โอ๊ะโอ่...ถึงตอนที่รอคอยแล้ววว เอ๊ะๆๆ ทำไมไม่รู้อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าโชคดีน่ารักจังเลยค่ะ ^^~ ดูเหมือนเด็กเอาแต่ใจตัวเองเลยค่า ปล. แอบเจอธงรบในเรื่องด้วย - -"
คุณก็บอกผมก่อนสิ อยู่ดีๆ จะให้วิ่งป่าราบ ทิ้งรถไว้อย่างนี้หรือไง”
“น้ำป่า” ธงรบพูดสั้นๆ ห้วนๆ แล้วหันหลังวิ่งต่อไป
ตาดีกันจัง เบลอไปหน่อย มัวแต่นึกถึงคนเจ้าชู้
บทที่ 11 ครับ
ขอบคุณทุกท่านที่กดบวกคะแนนให้นะครับ ตื่นเต้นมากที่อีกสองร้อยกว่าๆ จะได้คะแนนหนึ่ 1 พันแล้ว ใครเป็นคนกดคะแนนที่ 1000 ต้องกลายมาเป็นแฟนผมนะ เหงามานานแล่ะ อยากมีเมีย
บทที่ 11
“มายืนเปียกรอให้ปอดบวมหรือครับนายช่าง” เสียงพูดของคนที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครดังขึ้นข้างหลังชยุตม์
วิศวกรหนุ่มหันไปมองหน้าโชคดีช้าๆ บอกตัวเองว่าเริ่มจะชินและเข้าใจการสื่อสารแบบ “ตรงๆ แต่อ้อมค้อม” ของโชคดีแล้ว
...ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว นายช่างเข้าไปเปลี่ยนสิครับ ข้างนอกมันหนาว มายืนตัวเปียกอยู่แบบนี้เดี๋ยวจะเป็นปอดบวม...
...คนคนนี้พูดแบบนี้เป็นหรือเปล่านะ...
“ขอบคุณครับที่เป็นห่วง” ชยุตม์เดินเข้ามาใกล้โชคดี ตอบเบาๆ ใกล้หูแล้วเดินเข้าไปในห้องเงียบๆ โชคดีเดินตามเข้ามาและมองด้วยสายตาขุ่นๆ
“แค่นี้ทำฉุน”
...ผมไม่ได้ฉุน ผมน้อยใจ...
ชยุตม์ตอบอยู่ในใจ ทำทีไม่สนใจคำพูดกระทบกระเทียบของอีกฝ่าย แล้วถอดเสื้อออก เผยให้เห็นมัดกล้ามกำยำ
วิศวกรหนุ่มปลดตะขอกางเกงแล้วกำลังจะรูดกางเกงลง เสียงเดิมก็ดังขึ้นเบาๆ ว่า “ผ้าเช็ดตัวอยู่ตรงนั้น”
ชยุตม์หันไปมองด้วยสายตานิ่งเรียบหากท้าทายอยู่ในที ดังจะบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่า...ผมจะถอด ผมไม่พันผ้าเช็ดตัวหรอก เลิกสั่งผมได้แล้ว...
ชยุตม์ได้ยินเสียงปิดประตูแรงๆ เมื่อเขาดึงกางเกงให้หลุดลงไปกองกับพื้น ครั้นแอบปรายตาไปมองก็เห็นโชคดีนอนตะแคงหันหลังให้
...เดี๋ยวก็ถอดกางเกงชั้นในด้วยเสียเลย แล้วเดินไปถามว่า มีปัญหาอะไรไหม ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้าของผมอย่างนี้ล่ะ คุณจะทำไม...
...มีปัญหานัก จะจับปล้ำซะเลย...
ชยุตม์ยิ้มบางๆ แล้วจัดการเช็ดตัวให้แห้ง ก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามาสวม รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันใดหลังจากที่เปียกปอนอยู่นาน
...คงจะอุ่นมากกว่านี้ ถ้าได้นอนกอดกับใครซักคน ผ้าห่มก็ไม่มี ไออุ่นจากร่างกายของคนสองคนนี่ล่ะ อุ่นยิ่งกว่าผ้าห่มนัก...
...หากโชคดีเป็นแฟนเขา จะเดินไปสะกิดให้มานอนกอดกันดีกว่า...
...แต่ตอนนี้ หากไปชวนโชคดีทำอย่างที่คิดคงถูกต่อยปากเป็นแน่แท้...
...คนอะไร แม้นอนอยู่เฉยๆ ยังทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ได้ถึงเพียงนี้...
ชยุตม์เอนตัวลงนอน ยกมือก่ายหน้าผาก ลืมตาโพลงในความมืดทั้งๆ ที่รู้สึกเหนื่อยและง่วงนอนเป็นที่สุด คืนนี้เป็นคืนแรกที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับโชคดีถึงเพียงนี้ คืนแรกในชีวิตการทำงานที่เขาต้องนอนอยู่ในสถานที่แบบนี้ซึ่งไม่มีความสะดวกสะบายใดๆ เลย
...แต่เป็นคืนที่เขาได้นอนอมยิ้ม...
ชยุตม์ก้าวออกมานอกศูนย์วิจัยพันธ์พืชเอาเมื่อเวลาเกือบเก้าโมงเช้า ชายหนุ่มบิดตัวอย่างเหนื่อยล้า แล้วสูดลมหายใจลึกเอาอากาศบริสุทธิ์ คืนที่ผ่านมาฝนตกตลอดคืน เช้าวันนี้อากาศสดชื่นมาก มองไปรอบๆ เห็นแต่ต้นไม้เขียวชะอุ่ม
...และเห็นชายหนุ่มร่างสูงเดินขึ้นเนินมาช้าๆ ในมือถือกิ่งไม้ยาวประมาณหนึ่งช่วงแขน...
โชคดีฟาดไม้ไปมาราวกับครูกำลังเตรียมจะตีนักเรียนเกเร ใบหน้าคมเข้มนั้นเรียบนิ่ง และแม้เงยหน้าขึ้นมองชยุตม์ที่กำลังเดินเข้าไปหาก็ยังเรียบนิ่งอยู่
“อรุณสวัสดิ์ครับ” ชยุตม์ทักทายยิ้มๆ
...ติดน้ำป่าแบบนี้ยังมาทำหน้ามีความสุขเหมือนมาพักรีสอร์ทยังงั้นล่ะ...
โชคดีไม่ “อรุณสวัสดิ์” ตอบ หากถอนหายใจแรงๆ แล้วพูดว่า “เราติดน้ำป่า ไปไหนไม่ได้”
“รู้ได้ยังไง” ชยุตม์ถามแล้วต้องรีบกัดริมฝีปากตัวเอง เพราะรู้ตัวทันใดว่าถามอะไร “ไม่ได้เรื่อง” อีกแล้ว
“ผมก็ไปเดินสำรวจดูนะสิ ไม่ได้มานอนพักผ่อนประจำปีนะ”
...ตอบดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นจะต้องเหน็บแนมกันเลย...
“งั้นผมไปดูบ้าง” ชยุตม์เดินลงเนินไปตามทางที่โชคดีเดินกลับมา ไม่ถึงสิบนาที เขาก็มาหยุดยืนอยู่ริมสายน้ำสีขุ่นคลั่กที่กำลังไหลเชี่ยวกรากราวกับจะลากเอาทุกสิ่งให้ไหลตามไปด้วย
ชยุตม์เดินสำรวจบริเวณรอบๆ อยู่นานพอสมควร จึงเห็นว่าเขากับโชคดีคงไม่มีความสามารถที่จะข้ามสายน้ำได้ เขาเคยเห็นน้ำป่าในโทรทัศน์ ครั้นมาเจอของจริงจึงตระหนักได้ว่าน่ากลัวกว่าที่คิดเอาไว้ ชีวิตของเขาเคยอยู่แต่เมืองใหญ่ๆ ทันสมัย เขาโตมากลางความเจริญในเมือง ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ ต่างจากโชคดีซึ่งเก่งกว่าเขามากนัก แม้ฝนตก รถติดหล่มอยู่ที่ลุ่ม ยังได้ยินเสียงน้ำป่ากำลังถาโถมเข้ามาใกล้
...ปากดีแล้วยังหูดีอีก...
วิศวกรหนุ่มเริ่มรู้สึกหิวข้าวจึงเดินกลับที่พัก โชคดีหายไปอีกแล้ว แต่ชยุตม์เห็นจานอาหารวางอยู่บนโต๊ะหน้าประตู เหมือนโชคดีเตรียมไว้ให้เขาทาน
อาหารง่ายๆ ไข่ดาวหนึ่งฟองวางอยู่บนข้าวพูนจาน มีขวดน้ำปลาเตรียมไว้ให้
วิศวกรหนุ่มอมยิ้ม หยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารส่งเข้าปาก...อาหารจานที่เขาจะไม่มีวันลืมในชีวิตการเป็น ชยุตม์ เมธีวุฒิไกร วิศวกรหนุ่มคนเก่งที่สร้างตึกสูงๆ ใหญ่มาแล้วในหลายประเทศ ลูกชายคนเล็กของ ม.ท. 1
...ข้าวไข่ดาวหนึ่งฟอง หนึ่งจาน ฝีมือคนปากร้าย อร่อยจริงๆ...
ปฐพีนั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน ตั้งแต่เช้าจนเที่ยงเขาวิ่งตามหาโชคดีจนแทบหมดแรง คุณเตือนใจโทรศัพท์มาหาเขาตั้งแต่เช้ามืดด้วยน้ำเสียงร้อนรน ขอให้เขาช่วยตามหาลูกชาย
...โชคดีหายไปกับชยุตม์ โต๋กับเดือนบอกว่าโชคดีไปส่งทั้งสองที่บ้านยายของเดือน พายายไปส่งโรงพยาบาลแล้วกลับตั้งแต่เมื่อคืน แต่จนรุ่งเช้าก็ยังไม่ถึงบ้าน ติดต่อก็ไม่ได้...
คืนที่ผ่านมามีพายุฝนฟ้าคะนอง ปฐพีได้ข่าวว่ามีน้ำป่าไหลหลาก เขาตั้งสมมุติฐานว่าโชคดีกับชยุตม์คงติดอยู่ที่ไหนซักแห่ง แต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้ เส้นทางจากบ้านสะเละของเดือนมาจังหวัดน่านเป็นถนนลาดยางตลอดสาย หากเดินทางมาตั้งแต่สี่ทุ่มก็ต้องถึงตัวจังหวัดไม่เกินเที่ยงคืน
“ผู้กอง ให้ผมช่วยไหมครับ ผมจะระดมเพื่อนๆ ให้ช่วยกันออกตามหา” ทรงศักดิ์นั่งอยู่ข้างๆ ปฐพี ท่าทางร้อนร้อนไม่แพ้คุณเตือนใจที่เฝ้าโทรศัพท์สอบถามไปยังที่ต่างๆ
“อย่าเพิ่งเลยครับ ตอนนี้ลูกน้องผมก็กำลังตามอยู่ อีกไม่นานก็คงได้เรื่อง”
“ทำไมโชคดีต้องไปกับเขา” ทรงศักดิ์พึมพำเบาๆ “ไม่รู้หรือยังไง”
ร้อยตำรวจเอกปฐพีหันไปมองหนุ่มหน้าตี๋ที่ผุดลุกผุดนั่งด้วยความกังวล เขาไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ทรงศักดิ์พูดเท่าใดนัก กำลังจะเอ่ยปากถาม แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปฐพีจึงรีบรับสาย
ลูกน้องของเขารายงายว่ายังไม่พบตัวโชคดี หรือจะพูดให้ถูก ยังไม่พบรถกระบะโตโยต้าคันที่โชคดีขับไป
“ผู้กอง ผมทนไม่ไหวแล้ว เป็นห่วงโชคดี ผมจะไปขอให้ป๋าช่วย” ทรงศักดิ์พูดขึ้นทันทีที่ปฐพีคุยโทรศัพท์เสร็จ “ป๋ารู้จักคนเยอะ กำนันผู้ใหญ่บ้าน อบต. ทั่วจังหวัดน่านรู้จักป๋าทั้งนั้น ต้องมีใครซักคนที่ช่วยได้ โชคดีต้องไปติดน้ำป่าอยู่บนเขาที่ไหนซักลูก”
ปฐพีปล่อยให้ทรงศักดิ์ทำตามที่ต้องการ เขาลุกเดินเข้าไปในร้านเพื่อนคุยปลอบใจคุณแม่ของโชคดีแล้วย้ำกับคุณเตือนใจว่าเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถ
“ผมจะไปคุยกับคุณพ่อ ขอให้ท่านสั่งหน่วยบรรเทาสาธารณภัยมาช่วย” ปฐพีพูด
“จะดีหรือคะผู้กอง เท่าที่ทราบ ประชาชนหลายพื้นที่ก็ได้รับความเดือนร้อน ฉันเองในฐานะประธานไลอ้อนส์จังหวัดก็ต้องออกไปช่วยประชาชนเหมือนกัน เราทำได้เท่าที่ทำได้เถอะ จริงอยู่ อยากระดมคนช่วยตามหาโชคดีก็จริง แต่ก็ไม่อยากเอาคนของราชการตั้งหลายคนมาช่วยคนๆ เดียว”
“สองคนครับ” ปฐพีเตือน “อีกคนคือลูกชายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย”
...หาก ม.ท. 1 ทราบเรื่อง เฮลิคอปเตอร์ก็คงบินว่อนทั่วจังหวัดน่าน...
...แต่ตอนนี้รอก่อน ขอให้เขาได้พยายามเสียก่อน อย่าเพิ่งให้ถึงพ่อของชยุตม์เลย โชคดีคงไม่เป็นอะไร รายนั้นเก่งจะตายเรื่องเอาตัวรอด...
...กลัวอย่างเดียวว่าจะทะเลาะกับชยุตม์...
โชคดียืนเท้าสะเอวมองคนที่นอนหลับอยู่บนแคร่หน้าศูนย์วิจัยพันธ์พืช ซึ่งหลังจากพิจารณาแล้วเขาตกลงใจที่เรียกว่า “กระท่อมปลายดอย” เพราะศูนย์ฯ แห่งนี้เล็กเหลือเกิน
ชยุตม์นอนหลับท่าทางมีความสุข อกกว้างกระเพื่อมตามจังหวะหายใจสม่ำเสมอ ใบหน้าคมเข้มดูเรียบนิ่ง ไม่ต่างจากตอนที่ตื่น
...นิ่งเหมือนหุ่น ตอนตื่นก็ดูขรึมๆ นิ่งๆ วางมาดเป็นผู้ดี เป็นคุณชาย เป็นลูกท่านหลานเธอ ตอนนอนก็ยังมีมาดอีก ตัวเหยียดตรงนิ่ง เหมือนทหารกำลังยืนทำความเคารพผู้บังคับบัญชา...
โชคดีกลับจากเดินสำรวจรอบเนินเขาที่ศูนย์วิจัยพันธ์พืชแห่งนี้ตั้งอยู่ เขาติดน้ำป่าจริงๆ ไม่มีทางเลยที่จะฝ่าข้ามไปได้ แต่ถึงแม้จะข้ามได้ ก็ยังไม่รู้ว่าจะเจออะไรอีกเมื่อเดินลงเขาเพื่อหาทางกลับเข้าเมือง หรือแม้แต่จะไปให้ถึงปางเสือหมอบ เขาเคยเจอน้ำป่ามาสามสี่ครั้ง รู้ “ฤทธิ์” ของมันดี และครั้งหนึ่ง น้ำป่าก็ได้คร่าชีวิตของคนที่เขารู้จักไปถึงสามคน
หลังเที่ยง ฟ้าเริ่มครึ้มอีกครั้ง ฝนตั้งเค้าว่าจะตกอีกแล้ว ขณะนี้เลยเวลาอาหารกลางวันมานานพอสมควร โชคดีเริ่มหิว จึงก่อไฟ เตรียมทำอาหารง่ายๆ
มื้อเช้าไข่ดาว มือกลางวันไข่เจียว
เมื่อทำเสร็จ ชยุตม์ก็ตื่นพอดี ราวกับว่ากลิ่นหอมฉุยของไข่เจียวเป็นนาฬิกาปลุก วิศวกรหนุ่มเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ โชคดีที่กำลังตักข้าวใส่จาน มองชายหนุ่มอยู่เงียบๆ
...ทำไมตักข้าวแค่จานเดียว...
“ขอทานด้วยได้ไหมครับ” ชยุตม์ถามดื้อๆ เขานั่งคอยโชคดีตั้งแต่สายๆ จนเที่ยง หิวจนท้องกิ่วแล้วจึงนอนหลับไป
“ตามใจ แต่ช่วยล้างจานใบเดิมมาใช้นะครับ ที่นี่ไม่ใช่ภัตตาคาร ไม่มีพนักงานล้างจาน” โชคดีพูดเสียงเรียบ ไม่เงยหน้ามองคนที่ตัวเองพูดด้วย
“ขอโทษ ไม่มีเครื่องล้างจาน” ชยุตม์ประชด เดินไปหยิบจานของตัวเองที่ทิ้งไว้ตั้งแต่เช้า แล้วหันซ้ายหันขวาเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
...เฮ้อ ล้างจานเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ คุณหนูไฮโซจริงๆ เลย...
โชคดีถอนหายใจ รู้สึกขวางหูขวางตาเป็นที่สุด ชยุตม์ดูท่าทางเงอะงะไม่ทันใจเขา แม้จะเห็นตุ่มใส่น้ำแล้ว คุณวิศวกรก็ยังทำท่าเหมือนจะตัดสินใจว่าจะล้างจานใบเดียว “แบบไหนดี”
“เอาน้ำราดก่อนนะครับ แล้วก็เอามือถู อย่าจุ่มจานลงไปในตุ่ม” โชคดีบอก
ชยุตม์หันมามองด้วยสายตาขวางๆ แล้วหันกลับไปก้มหน้าล้างจานช้าๆ จากนั้นถือจานโบกไปมาเหมือนจะพยายามทำให้จานแห้ง
...โอ๊ย ขวางหูขวางตาอีกแล้ว แบบนี้น่าจะจับให้ไปเป็นเด็กทำงานที่ร้านของเขา จะได้สอนให้รู้จักทำงานบ้าน...
หลังทานอาหารกลางวัน “มือบ่าย” เสร็จ โชคดีกับชยุตม์ก็ไม่มีอะไรทำ ฝนเริ่มตกปรอยๆ สองหนุ่มจึงจับจองพื้นที่หน้าอาคารหลังเล็กคนละด้าน นั่งมองสายฝนกันอยู่เงียบๆ
ทรงศักดิ์นั่งหน้ามุ่ยอยู่ในรถหลังจากได้รับข่าวจากผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งว่าตามหารถของโชคดีไม่เจอ วันนี้เขาทั้งวันเขาเอาแต่สืบหาโชคดีและ “ชยุตม์” คนที่เขาคิดว่าคงกำลังเริ่มชอบพอโชคดีเข้าให้แล้ว ทั้งสองคนหายไปด้วยกัน หากไปติดน้ำป่าที่ไหนซักแห่ง ก็หมายความว่าทั้งสองคนนั้นได้ใกล้ชิดกัน ชยุตม์เป็นคนหน้าตาดี บุคลิกก็สง่า เขายอมรับว่าอิจฉาชยุตม์ ทั้งยังกลัวว่าโชคดีจะเกิดไปหลงรักวิศวกรคนนั้น หนทางเอาชนะใจโชคดีของเขาก็จะยากลำบากมากขึ้น
“คุณซ่งครับ ใกล้ค่ำแล้ว ผมว่าพอแค่นี้ก่อนเถอะ กลับบ้านกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยเริ่มใหม่” พงษ์ คนสนิทของโชคดีที่มาช่วยเขาพูดขึ้นเบาๆ
“แล้วเขาจะอยู่ยังไงน้าพงษ์ ค่ำคืนดึกดื่นจะกินจะนอนยังไง” ทรงศักดิ์ถอนหายใจ
“คุณโชคดีเอาตัวรอดได้ครับ” พงษ์พูด
...ห่วงแต่นายช่างนั่นล่ะ ท่าทางไม่เคยลำบาก แล้วอีกอย่าง จะทนเจ้านายของเขาได้นานแค่ไหน...
“รถก็หาไม่เจอ” ทรงศักดิ์พึมพำ คิ้วขมวด
“หาก็ไม่เจอก็ดีสิครับ อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ว่าคุณโชคดีไม่เป็นอะไร”
“หรืออาจถูกน้ำป่าพัดหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้” ทรงศักดิ์เหม่อลอยมองออกไปนอกรถ
“อย่าเพิ่งคิดด้านที่ไม่ดีสิครับคุณซ่ง คุณโชคดีอาจขับรถไปหลบฝนที่ไหนซักแห่ง พอน้ำท่วมก็ติดอยู่ออกมาไม่ได้”
“โทรศัพท์ก็ปิดเครื่องนะครับ ไปติดอยู่ที่ไหน กลางป่ากลางเขาหรือไง ถ้าติดอยู่หมู่บ้านข้างถนนที่ไหนก็น่าจะมีสัญญาณบ้าง”
“จากบ้านเดือนมาน่านต้องผ่านภูเขาสูงหลายลูกนะครับคุณซ่ง สัญญาณโทรศัพท์ก็ไปไม่ทั่วถึง หรืออาจจะแบตหมด” พงษ์ปลอบใจ มองทรงศักด์อย่างไม่เชื่อสายตาว่าเป็นห่วงเจ้านายของเขาเกินไป เขาเคยสงสัยอยู่ว่าทรงศักดิ์อาจจะแอบชอบโชคดี ตอนนี้เขาไม่สงสัยแล้ว
พายุหนักเมื่อวานนี้ทำให้เขาเห็นอะไรหลายอย่าง สิ่งที่เขาแอบสงสัยเรื่องทรงศักดิ์กับผู้กองปฐพี ตอนนี้กระจ่างแจ้งแล้วว่าสองคนนี้มารักคนๆ เดียวกัน
...แล้วที่เขาสงสัยเกี่ยวกับนายช่างชยุตม์จะเป็นจริงหรือไม่ อีกไม่นานก็คงรู้กัน ขอเพียงอย่างเดียวอย่าให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับทั้งสองคนนั้นด้วยเถิด...
โชคดีเก็บกระถางต้นไม้ที่กองระเนระนาดอยู่หน้าศูนย์วิจัยพันธ์พืชให้เข้าที่จนเรียบร้อย หันไปมองชยุตม์แล้วส่ายหน้าช้าๆ เพราะเห็นฝ่ายนั้นเอาแต่นอน จนค่ำแล้ววิศวกรหนุ่มก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่าง
...ทำอะไรล่ะ ติดอยู่ตรงนี้ครึ่งคืนกับหนึ่งวันเต็มๆ เบื่อแสนเบื่อ...
...หาเรื่องทะเลากับชยุตม์แก้เซ็งดีกว่า...
โชคดีเดินไปหาชยุตม์ที่นอนแผ่หราอยู่บนแคร่ไม้หน้า “กระท่อม” ร่างแกร่งกำยำนั้นนอนสงบนิ่งไม่ไหวติง ชยุตม์แทบไม่ขยับตัวเปลี่ยนท่านอนเลยตั้งแต่บ่าย เขาสังเกตเห็นว่าเกือบสามชั่วโมงที่ผ่านไป “คุณหนูไฮโซ” คนนี้เปลี่ยนท่านอนเพียงสองครั้ง นั่นคือ นอนหงายเหยียดตรง มือวางประสานพาดบนหน้าท้องเป็นท่าที่หนึ่ง แล้วมือกางแผ่หราออกเป็นท่าที่สอง
...คนอะไร เวลานอนยังขวางหูขวางตา...
“คุณชยุตม์” โชคดีเรียกเบาๆ ตามองที่คางบึกบึนของชายหนุ่ม หนวดเคราสากๆ ของชยุตม์เริ่มขึ้นเป็นแนวครึ้ม แรกที่เขาเห็นชยุตม์ ใบหน้าของชายหนุ่มขาวสะอาด แต่มาอยู่น่านได้เกือบสองเดือน ชยุตม์ผิวคล้ำลงอย่างรวดเร็ว
...สงสัยคงแพ้แดด นี่หากมาอาศัยอยู่ต่างจังหวัดแบบนี้จะไปรอดไหมเนี่ย ทำกับข้าวล้างจานยังทำไม่เป็นเลย...
“นายช่างชยุตม์” โชคดีเอื้อมมือไปเขย่าขาของชยุตม์เบาๆ สายตาพลันเหลือบไปเห็นแผลเลือดแห้งกรังที่ข้อเท้า เขามองเลยขึ้นไปยังใบหน้าอ่อนโยนของวิศวกรหนุ่มแล้วต้องถอนหายใจ รู้สึกสงสารชยุตม์ขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าทำไม ความคิดที่จะแกล้งชยุตม์หายไป จึงปล่อยให้วิศวกรหนุ่มนอนหลับต่อ แล้วเดินไปเตรียมอาหาร
...วันนี้พิเศษหน่อยก็แล้วกัน เพิ่มข้าวสวยมากกว่าเดิม สองมื้อที่ผ่านมาท่าทางชยุตม์ไม่อิ่มเพราะเห็นดื่มน้ำเข้าไปเยอะมากหลังทานข้าว โชคดีที่ใน “กระท่อม” มีข้าวเหลือครึ่งถุงและไข่ไก่ตั้งสิบฟอง ปลากระป๋องอีกสองกระป๋อง พอดำรงชีวิตอยู่ได้เกือบหนึ่งอาทิตย์...
ปฐพีกลับมาถึงร้านโชคดีค้าเหล็กเมื่อเวลาสามทุ่ม เขาแปลกใจที่เห็นรถหลายคันจอดอยู่หน้าร้าน ชายฉกรรจ์สามคนสวมชุดซาฟารียืนอยู่ข้างรถแลนด์ครูซเซอร์สีดำคันใหญ่ นายตำรวจหนุ่มจึงพอจะเดาออกว่า “ใคร” อยู่ข้างในร้าน
“ผู้กองมาโน่นแล้ว” เสียงคุณเตือนใจดังขึ้นเมื่อมองเห็นปฐพีเดินเข้าไปในร้าน ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หันมามอง ปฐพีจึงรีบยกมือไหว้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
“ยังไม่พบครับ” ปฐพีพูดเบาๆ
คุณเตือนใจถอนหายใจแรงๆ ใบหน้าไม่สู้ดี “พงษ์ก็ยังตามไม่พบเหมือนกัน นี่โชคดีกับนายช่างไปอยู่ไหนกันนะ”
“นายช่าง?” ม.ท. 1 ทวนคำ
“อ๋อ เราเรียกคุณชยุตม์ว่านายช่างครับ” ปฐพีรีบอธิบาย “คืนนี้คงออกตามหากันไม่ได้เพราะมืด เว้นแต่ว่าท่าน...”
“รอพรุ่งนี้เช้าเถอะ ผมจะขอคนเพิ่มให้มาช่วยกัน แต่คงมากไม่ได้ เข้าใจว่าประชาชนก็ได้รับความลำบากอยู่มากเหมือนกัน เราต้องระดมกำลังช่วยคนที่กำลังประสบปัญหาก่อน ผมเชื่อว่าชยุตม์กับคุณโชคดีคงไม่เป็นอะไร” ม.ท. 1 หันไปให้กำลังใจคุณเตือนใจ “คุณโชคดีคงโชคดีเหมือนชื่อ”
“ดิฉันก็หวังว่าอย่างนั้นค่ะท่าน” คุณเตือนใจตอบเสียงแผ่ว ส่งสายตามายังปฐพีดุจจะฝากให้เขาช่วยเป็นพิเศษเพราะคนที่เธอไว้ใจที่สุดคือนายตำรวจหนุ่มคนนี้
“พรุ่งนี้เช้าผมจะรีบออกตั้งแต่เช้าเลยครับ คุณซ่งก็เหมือนกัน” ปฐพีกล่าวหนักแน่น แล้วขอตัวรับโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังขึ้น
ทันทีที่เขารับสาย เสียงคุ้นเคยก็ถามอย่างร้อนรน “ผู้กองครับ ได้ข่าวว่าชยุตม์หายไป ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”
“ยังตามหาไม่เจอครับ” ปฐพีตอบ “แต่คุณจักรไม่ต้องห่วง ผมจะพยายามสุดความสามารถ ขณะนี้มีคนช่วยเยอะ ไม่นานต้องเจอแน่ ผมคิดว่าโชคดีกับคุณชยุตม์คงไปติดอยู่ที่ไหนซักแห่ง ตอนนี้น้ำป่าไหลเข้าท่วมหลายพื้นที่ ทางจังหวัดกำลังระดมกำลังกันช่วยเหลืออยู่”
“สองคนนั้นไปด้วยกัน” จักริณทร์ถาม
“ใช่ครับ โชคดีพาเดือนไปหายาย นายช่างขอไปด้วย ขากลับคงเจอพายุฝน อาจจะหาที่หลบ ทีนี้น้ำท่วม ก็คงจะติดอยู่ออกมาไม่ได้” ปฐพีอธิบายอย่างรวบรัด “ตอนนี้คุณพ่อของนายช่างก็อยู่ที่น่าน คุณจักรไม่ต้องห่วง ผมก็ช่วยออกตามหา พรุ่งนี้เช้าเรากะใช้เรือลุยหาเต็มที่”
“ผู้กองระวังตัวด้วยนะครับ” จักรินทร์เอ่ยเบาๆ “พักผ่อนให้เต็มที่ด้วย เดี๋ยวจะเกิดเป็นอะไรไป ไม่มีแรงช่วยเหลือประชาชน ตอนนี้ผมอยู่โคเปนฮาร์เก็น คงยังกลับเมืองไทยไม่ได้อีกเกือบอาทิตย์ ถ้าไปถึง ผมจะหาโอกาสไปน่านอีก”
ปฐพีกล่าวขอบคุณจักริณทร์และย้ำให้นักบินหนุ่มไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อน เขารับปากว่าจะช่วยเหลือชยุตม์อย่างเต็มที่
“ผมห่วงแต่จะทะเลาะกับคุณโชคดี ท่าทางสองคนนั้นไม่ค่อยถูกกัน กลัวคุณโชคดีจะทำอะไรยุตม์” จักริณทร์พูดเสียงกลั้วหัวเราะ
“โชคดีไม่ได้ร้ายเท่าไหร่หรอกครับ แต่ถึงร้าย ก็คงไม่ถึงกลับฆ่าคุณชยุตม์หมกป่า” ปฐพีหัวเราะเสียงเบา แล้วถามถึงการทำงานของจักริณทร์
“อากาศที่นี่หนาวมากครับ ผมพักหนึ่งวัน พรุ่งนี้ก็ต้องบินต่ออีกแล้ว เที่ยวบินยาวๆ แบบนี้เหนื่อยหน่อย”
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” ปฐพีแสดงความห่วงใย
“ผู้กองด้วย”
“ผมสบายมาก แข็งแรงไม่เคยเป็นอะไร”
“ดีแล้วครับ ผมก็แข็งแรง ไม่เคยเป็นอะไรเหมือนกัน” จักริณทร์ตอบ
ปฐพีไม่รู้สึกตัวว่า แรกที่คุยกับจักริณทร์เรื่องของชยุตม์กับโชคดี ตอนนี้กลายมาเป็นพูดเรื่องของตัวเองกับจักริณทร์ไปแล้ว นายตำรวจหนุ่มคุยกับจักริณทร์จนเพลิน ลืมนึกไปว่าพ่อของชยุตม์กับแม่ของโชคดีกำลังยืนคุยกันอยู่ ครั้นหันไปมองทั้งคู่ ปฐพีจึงต้องหยุดการสนทนาแล้วเดินมาสมทบกับผู้ใหญ่สอง ก่อนจะคุยกันต่ออีกชั่วครู่ จนพ่อของชยุตม์ชวนกลับจวนผู้ว่าฯ เพราะคืนนี้พ่อของเขาเชิญค้างที่บ้าน
“ผมคงค้างที่จวนฯ อีกคืน พรุ่งนี้เช้าคุณหญิงจะมา ห้ามก็ไม่ฟัง เขาบอกจะมาตามหาลูกชายด้วยตัวเอง” ม.ท. 1 พูดเบาๆ ขณะเดินออกมาหน้าร้านกับปฐพี
“คนเป็นแม่ก็ต้องห่วงลูกเป็นธรรมดา” ปฐพีพูด
“แน่นอน ลูกรักคนสุดท้อง ใครจะไม่ห่วง” ม.ท. 1 พูดกลั้วหัวเราะ ปฐพีรู้สึกแปลกใจ เขาเพิ่งได้ใกล้ชิดท่านรัฐมนตรีฯ และได้สัมผัสถึง “พลัง” บางอย่างในตัวของชายผู้นี่ พ่อของโชคดีค่อนข้างแตกต่างจากลูกชาย ท่าทางเป็น “นักเลง” พอตัว ดูเหมือนเป็นพ่อของโชคดีมากกว่าที่จะเป็นพ่อของคนขรึมๆ นิ่งๆ อย่างชยุตม์
“ผู้กองครับ ฝากด้วยนะ ถ้าต้องการอะไรก็บอกผมได้ หากแอบเอาเฮลิคอปเตอร์ราชการมาช่วยได้ซักเครื่อง ผมจะรีบโทรมาบอก แต่ว่าตอนนี้ยังไม่เหมาะ ขอช่วยประชาชนก่อน ผมว่าชยุตม์คงไม่เป็นอะไร อ้อ เรื่องนี้อย่าให้ถึงหูสื่อมวลชน ผมกลัวจะเป็นเรื่องใหญ่ ลูกชาย ม.ท. 1 หนึ่งหายไปกับลูกชายร้านค้าเหล็ก กลัวคนเข้าใจผิด”
พูดเสร็จ บิดาของชยุตม์ก็หัวเราะหึๆ ในลำคอแล้วแยกกับปฐพีไปขึ้นรถคันใหญ่ที่จอดรออยู่ ปล่อยให้ปฐพีมองตามด้วยสายตาฉงน
...พ่อของชยุตม์รู้อะไรหรือ? หมายความว่ายังไง...
...ชยุตม์กับโชคดี...หมายความว่ายังไง...
...แล้วที่ซ่งหวั่นกลัว...หมายความว่ายังไง...
อาหารมื้อ “พิเศษ” ทำให้ชยุตม์รู้สึกอิ่มเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาติดน้ำป่าอยู่กับโชคดีที่ “กระท่อมปลายดอย” โชคดีทำไข่ตุ๋นเป็นอาหารเย็น เขาเหลือบไปเห็นปลากระป๋อง แต่โชคดีดูราวกับมีพลังจิตอ่านใจเขาออก จึงรีบพูดดักคอเขาว่า “กับข้าวมื้อละอย่าง ปลากระป๋องรอเอาไว้เมื่อไข่หมด”
“ผมไม่ได้ว่าอะไรนี่” ชยุตม์เบ้ปากเล็กน้อย แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่
“กินเสร็จแล้วคุณล้างถ้วยนะ ผมทำอาหารแล้ว” โชคดีสั่ง
“ครับ” ชยุตม์รับคำสั้นๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกไปยื่นมือรองน้ำฝนที่ตกลงมาจากชายคาเพื่อล้างมือ ฝนที่ตกปรอยๆ มาตลอดบ่ายเริ่มตกหนักขึ้น และท่าทางจะหนักขึ้นมากกว่าเดิม
“คุณโชคดีครับ คิดว่าเราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน” ชยุตม์หันไปถามชายหนุ่ม มือสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อด้านหลังแล้วเกาหลังเพราะรู้สึกคัน เสื้อผ้าของเขายังไม่แห้ง จึงต้องใส่เสื้อผ้าตัวเดิมตั้งแต่มาถึงศูนย์ฯ แห่งนี้
“จะไปรู้หรือ”
...ถามดีๆ จะตอบดีๆ บ้างได้ไหมเนี่ย...
“ผมนึกว่าคุณรู้ทุกอย่าง” ชยุตม์พึมพำเบาๆ โชคดีเงยหน้าขึ้นมามองประหนึ่งว่าได้ยินที่เขาบ่น แต่ชายหนุ่มหลุบตาลงมองจานข้าวของตัวเองแล้วทานต่อช้าๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก
“พรุ่งนี้ผมว่าเราลองหาทางกันอีกครั้ง เผื่อจะออกไปจากที่นี่ได้”
“เดี๋ยวได้จมน้ำตายกันพอดี” โชคดีให้ความเห็น
“แล้วจะนั่งรออยู่แบบนี้หรือครับ”
“ไม่เคยติดน้ำป่าสิท่า” โชคดีวางจานข้าวลงกับโต๊ะ “อ้อ ลืมไป คุณเคยอยู่แต่กรุงเทพฯ กับแคนาดา น้ำป่าคงไม่ไหลเข้าไปท่วมกรุง”
“โตเกียวก็เคยอยู่ครับ นิวยอร์คก็ด้วย ลอนดอน ปารีส มาดริด โรม ซิดนีย์ ผมเคยไปอยู่หมด” ชยุตม์ประชด
“สงสัยคงต่างจากน่านเยอะ” โชคดีเบ้ปาก ยกจานขึ้นมาตักอาหารทานต่อ
“แน่นอน”
...งอนอีกแล้ว ทำหน้าแบบนั้นอีกแล้ว โชคดีทำหน้างอนๆ น้อยใจก็เป็น ไม่นึกเลย...
ชยุตม์อดยิ้มมุมปากไม่ได้ ตั้งแต่มาติดน้ำป่าอยู่ที่นี่เขาเห็นโชคดีทำหน้าแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหลายครั้งแล้ว
...และเขาชอบเสียด้วย...
ชยุตม์ตกใจกับความคิดนี้ ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะเริ่มชอบคนหน้าดุปากร้ายอย่างโชคดี
“น่านก็น่าอยู่ คนเมืองน่านก็น่ารัก แต่ว่า...”
โชคดีทำไม่สนใจสิ่งที่ชยุตม์พูด มือยังตักข้าวเข้าปากช้าๆ ตาหลุบมองพื้นโต๊ะ ทำหูทวนลม
ชยุตม์ทิ้งจังหวะ รอให้โชคดีรู้สึกกระหายอยากรู้ที่สิ่งเขาละเอาไว้ เขาแน่ใจว่าชายหนุ่มกำลังเอียงหูรอฟังอยู่ เพียงแต่ว่าต้องรักษา “มาด” เอาไว้ ไม่ยอมว่า “แต่ว่า อะไร”
วิศวกรหนุ่มแกล้งถอนหายใจหนักๆ ให้อีกคนได้ยิน
...แต่ว่าอะไร ชยุตม์นี่บทจะกวนก็กวนได้แบบหน้าเรียบๆ นิ่งๆ น่าหมั่นใส้ชะมัด...
โชคดีวางจานอาหารลงกับพื้นโต๊ะแรงๆ ยกน้ำขึ้นดื่มแล้วลุกเดินไปบ้วนปาก หูยังเงี่ยฟังสิ่งที่ชยุตม์จงใจทิ้งท้ายให้เขาอยากรู้
...นี่คงคิดจะให้เขาถามละสิ คงคิดว่าเขาอยากจะรู้มากว่า คนเมืองน่านก็น่ารัก แต่ว่า...แต่ว่าอะไร...
...แล้วแต่ว่าอะไรล่ะ...
...คงแต่ว่า “...คุณไม่น่ารักกับผมเลย ทำไมถึงเกลียดผม ไม่ชอบหน้าผมนัก...” จะมาพูดน้อยใจกับเขาแบบนี้ใช่ไหม...
...บ้าจริงๆ อยากต่อยปากแดงๆ ของชยุตม์นัก แล้วนี่ทำอมยิ้มอยู่ได้ ขำอะไรนักหนา ติดน้ำป่าอยู่บนดอยยังไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรอีก...