ขอโทษด้วยนะครับพี่นายไม่ได้แวะเข้ามาทักเลยยุ่งจริงวันนี้เลยตั้งใจอ่านทั้งวันเพิ่งเสร็จนี่แหละ คุณโชคดีนี่น่าหมั่นใส้จริงๆไม่รู้จะเหมือนคนเขียนหรือเปล่านะ5555
เหมือนที่ไหน คนเขียนออกน่ารัก อ่อนโยน นุ่มนวล ใจเย็นเป็นน้ำแข็ง
...ตอนเด็กๆ โชคดีคงอ้วนตุ้ยนุ้ยน่ารักสมกับชื่อ แม่ถึงได้ตั้งชื่อเล่นว่าหมูปิ้ง...
...ถ้าแฟนเขาชื่อหมูปิ้ง เขาจะเรียกทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง...
ชยุตม์เดินตามช้าๆ หันไปชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติรอบข้าง อดนึกภาพสิ่งก่อสร้างเติมเข้าไปในพื้นที่ว่างเปล่าแห่งนี้ไม่ได้ เขาสมมุตว่าหากที่ดินผืนนี้เป็นของเขา และมีเนินสูงสวยงามเช่นนี้ เขาอยากจะสร้างบ้านตากอากาศหลังเล็กๆ ที่เนินสูง แล้วทำระเบียบกว้างๆ ยื่นออกมา ยืนที่ระเบียงมองลงไปเบื้องล่างเห็นภาพมุมกว้างของโค้งน้ำที่มีฉากหลังเป็นภูเขาที่สวยงามยิ่งนัก
“เอาล่ะ คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าพาผมมาที่นี่ทำไม” ชยุตม์หยุดยืนข้างๆ โชคดีที่ยืนอยู่ริมน้ำ
ชายหนุ่มยังไม่ตอบ หันขวาไปมองสายน้ำ แล้วเคลื่อนสายตาไปด้านซ้าย ราวกับมองตามแม่น้ำที่กำลังไหลเอื่อยๆ
“คุณโชคดีครับ”
“อย่าได้เรียกชื่อเล่นผมเด็ดขาดนะ” โชคดีหันหน้ามาพูดเสียงเข้ม “ขื่อเล่นเรียกกันเฉพาะคนสนิท ไม่ได้เอาไว้ให้มาพูดกันเล่น”
...แปลกคน ชื่อเล่นก็เอาไว้เรียกกันเล่นๆ สิ คิดอะไรแปลกๆ...
“คุณเรียกผมว่ายุตม์เฉยๆ ก็ได้” ชยุตม์ตอบยิ้ม
“ถ้าคุณเรียกผมว่าหมูปิ้ง คุณโดนต่อยแน่” โชคดีขู่
“ผมกลัวมากเลย กลัวปากแตก” ชยุตม์พูดเรียบๆ ใบหน้านิ่ง มองตาโชคดีไม่หลบแม้แต่นิด “คุณจะอายชื่อนี้ไปทำไม ชื่อก็น่ารักดี ถ้าหาก...”
“ถ้าหากอะไร” โชคดีรีบถามเสียงห้วน
“ถ้าหากคุณทำตัวน่ารักเหมือนชื่อเล่น ผมว่ามันก็ไปกันได้ดีนะ” ชยุตม์ยิ้มมุมปาก
“ทำล้อเลียน เดี๋ยวได้เจอดี”
“ทำไม คุณจะฆ่าผมหมกป่าหรือไง” ชยุตม์เอียงหน้าท้าทาย
“เปล่า ผมไม่ฆ่าใครง่ายๆ หรอก ทำอย่างอื่นสะใจกว่าเยอะ” โชคดีหันหน้าหนี กลับไปมองสายน้ำอีกครั้ง
ชยุตม์หัวเราะหึๆ ในลำคอ แล้วขยับล้ำไปข้างหน้า มือไขว้หลัง มองดูสายน้ำเช่นกัน แต่ทันใดก็นึกอะไรได้ จึงรีบถอยกลับมาสองก้าว
...ยืนอยู่หน้าโชคดีท่าจะไม่ค่อยปลอดภัย มองไม่เห็นหน้าตาโชคดีว่าแสดงอารมณ์อะไรอยู่ จู่ๆ เกิดหมั่นใส้เขาขึ้นมา ถีบเขาตกลงน้ำคงซวยน่าดู...
ชยุตม์อดก้มลงมองสำรวจร่างกายของโชคดีไม่ได้ ชายหนุ่มตัวสูงอยู่ในชุดกางเกงยีนส์พอดีตัวและเสื้อเชิ้ทตัวโคร่งและรองเท้าคู่เก่าทุกครั้งเวลาเจอกัน นอกจากวันแต่งงานของเดือนที่เห็นแต่งตัวดีกว่าปกติ
...แต่ต้นขาแน่น บั้นท้ายงอนได้รูปนั้นเล่า เขามองอย่างไรก็ไม่เบื่อ...
“ที่ดินผืนนี้เป็นของผม” จู่ๆ โชคดีก็โพล่งขึ้นมา
“อะไรนะ”
“สวยใช่ไหมล่ะ คุณคิดว่าถ้าสร้างเป็นรีสอร์ทก็คงสวยมาก พอเห็นที่ดินสวยๆ คนเมืองอย่างคุณก็คงคิดสร้างอะไรเพิ่มเติมตามใจนึกภาพ รีสอร์ทหรือบ้านพักตากอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับตัวเอง อะไรก็ได้ที่ต้องได้เสียเงินสร้างขึ้นมา”
“คุณคิดทางลบเกินไปหรือเปล่า” ชยุตม์พูดไม่ค่อยเต็มเสียงเท่าใดนัก เพราะความจริงก็เป็นเช่นนั้น
...แต่เขาเป็นวิศวกรนี่นา อดนึกภาพสร้างนั่นสร้างนี่ไม่ได้ เขาหลงไหลตึกสูงทรงแปลกๆ สร้างด้วยวิธีการซับซ้อน รู้สึกท้าทายและภูมิใจที่ทำอะไรยากๆ ให้สำเร็จลงได้...
...แล้วเอาชนะโชคดีนี่ก็คงเป็นการท้าทายอีกอย่างหนึ่งใช่ไหมเล่า...
ชยุตม์อดนึกเปรียบโชคดีกับตึกสูงที่เขาเพิ่งสร้างเสร็จก่อนมาทำงานที่น่านไม่ได้ เขาได้ยินข่าวว่าผลงานของเขาเข้ารอบสุดท้ายของการพิจารณาให้รางวัลสำคัญรางวัลหนึ่งที่วิศวกรทุกคนต่างก็อยากได้
เขาสงสัยนัก หากพาโชคดีไป “ทัวร์” ดูตึกที่เขาสร้าง ชายหนุ่มจะทำหน้าอย่างไร
“ผมคิดทางบวกต่างหากเล่า พวกคุณนั่นล่ะที่คิดแต่ทางลบ” โชคดีกอดอก ตาจับนิ่งอยู่ที่ผิวน้ำเบื้องหน้า
“หมายความว่ายังไง” ชยุตม์ถาม
...ก็หมายความอย่างที่พูด...
ชยุตม์ตอบคำถามในใจ แบบที่คิดว่าโชคดีจะตอบ อดนึกถึงคำพูดกวนๆ แบบที่เคยพูดไม่ได้ว่า ต้องถามให้ตรงกับคำตอบ ตอนที่เขาโทรศัพท์คุยกับเพื่อนแล้วเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพื่อนเขาหัวเราะชอบใจจนบอกว่าอยากจะมาเจอ “วายร้ายเมืองน่าน” ให้เห็นกับตา
“ก็หมายความอย่างที่พูด” โชคดีตอบห้วนๆ แล้วไม่ลืมยักไหล่ -- บุคลิกประจำตัว
“ผมคงถามไม่ตรงคำตอบ” ชยุตม์เปรยเบาๆ “ถ้ายังงั้นผมถามใหม่ คุณคงคิดว่าผมโง่ ไม่เข้าใจอะไรที่คุณพยายามเล่นคำ หรือพูดเพื่อบอกนัยสำคัญทางอ้อม”
“สร้างรีสอร์ทใหญ่ๆ คุณคิดว่าได้มากกว่าเสียหรือครับคุณชยุตม์” โชคดีหันมามองวิศวกรหนุ่มด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แววตาจริงจัง
ชยุตม์อึ้ง คราวนี้โชคดีเรียกเขาดีๆ เสียงราบเรียบๆ ไม่มีแววตากวนๆ อย่างที่เคยเห็นเป็นนิจ
“นั่นล่ะที่ผมเรียกว่าคิดทางลบ หมายความว่า มันมีแต่สิ่งที่หายไป ไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นมาเลย”
“คุณกำลังว่าการสร้างรีสอร์ททำลายธรรมชาติ อะไรที่สวยๆ ก็หายไปเมื่อสร้างรีสอร์ทเสร็จ”
“เราต้องอยู่ที่สวยงามแบบนั้นหรือ คืนละ ห้าหกพัน เสียเงินนอนกันหนึ่งคืน แล้วเดินออกมาชื่นชมกับธรรมชาติสวยงามตอนเช้าไม่กี่นาที สูดลมหายใจเอาอากาศสดชื่นเข้าไปแล้วก็เตรียมตัวเสียเงินอีกห้าพันสำหรับคืนต่อไป” โชคดีหันกลับไปมองสายน้ำเบื้องหน้า
...คืนละหมื่นต่างหากล่ะ ถ้าโชคดีรู้ราคาค่าห้องจะยังยืนกอดอกพูดเสียงเรียบๆ แบบนี้อยู่อีกหรือเปล่านะ นี่ราคาต่ำสุด ยังไม่ได้พูดถึงราคาห้องสวีท...
“งั้นเราก็คงให้บริการกางเต้นท์แทน” ชยุตม์เอ่ยเสียงเบาแล้วรีบขยายความเพราะกลัวอีกฝ่ายเอาเรื่อง “ผมไม่ได้ประชดนะครับ ผมแค่พูดให้คุณเห็นว่า...”
“เห็นว่ายังไง” โชคดีรีบพูดแทรกจนได้
ชยุตม์ถอนหายใจเบาๆ แล้วอธิบายว่า “เห็นว่า จะให้มันแตกต่างกันสุดขั้วแบบนั้นก็ไม่ได้ทุกสถานการณ์หรอกนะครับ มันไม่ได้มีเพียงสีขาวและดำ มันมีสีเทา และสีเทามันก็มีหลายเฉด ตั้งแต่อ่อนไปเข้ม แต่เท่าที่คุณแสดงเจตน์จำนง ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทั้งที่ผมเป็นวิศวกร ไม่ได้รับผิดชอบนโยบายโดยตรง แต่ผมก็ทำเท่าที่ผมทำได้ที่จะสร้างรีสอร์ท The River Bend เป็นรีสอร์ทที่ดีที่สุด เวลาประชุมผมก็ท้วงเรื่องธรรมชาติขึ้นมาเสมอ ถ้าคุณยังจำที่เราเคยพูดกันได้ ทางรีสอร์ทก็พร้อมให้ทางคุณเข้าไปตรวจสอบ”
“คุณจะทำอะไรได้ คุณเป็นแค่วิศวกรที่รับจ้างเขาทำงาน ไม่ใช่สถาปนิก ไม่ใช่เจ้าของโครงการ ไม่ใช่คนวางมโนทัศน์”
“Concept ใช่ไหม” ชยุตม์ถามย้ำเพื่อให้เข้าใจถูกต้อง
“คอน เส็บ ใช่ครับ” โชคดีเน้นเสียง “ขอโทษ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ผมไม่ใช่เด็กนอก ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ รามคำแหงก็เรียนยังไม่จบ”
“ผมไม่ได้ว่าอะไรนี่” ชยุตม์บ่นอุบอิบ “แต่ผมก็พอพูดกับเขาได้”
...คุยกับคุณอาเขาอยู่บ่อยๆ แล้วคุณอาก็เชื่อเขามากกว่าคนอื่นๆ ด้วย นี่หากโชคดีรู้ว่าคุณอาเขาเป็นเจ้าของโครงการและหนำซ้ำเสนอขายหุ้นให้เขาถึง 40 เปอร์เซ็นต์ โชคดีคงโกรธจนไฟพุ่งออกหูเหมือนไฟเครื่องบินไอพ่น...
...คงน่ามองพิลึก...
“ทำไม เป็นอะไร” โชคดีเสียงห้วน
“อะไรหรือครับ” ชยุตม์ทำหน้าเหรอหรา
“ยิ้มทำไม”
“ผมยิ้มหรือ” ชยุตม์ถามเพราะไม่รู้สึกตัวจริงๆ ว่าตัวเองอมยิ้มขำๆ เมื่อนึกถึงภาพไฟพุ่งออกจากหูของโชคดีเหมือนที่นึกเปรียบเทียบ
“กวน” โชคดีพูดสั้นๆ แล้วหันหลังเดินกลับ
“แล้วตกลงเรื่องนั้น คุณจะเอายังไง” ชยุตม์หันหลังเดินตาม
“เรื่องอะไร” โชคดีถามเสียงห้วน เร่งเท้าเดินเร็วขึ้น
“คุณโชคดีครับ ก็จะเรื่องอะไรเล่า” ชยุตม์ทำเสียงอ่อนใจ
“เมื่อไหร่คุณพร้อมก็บอกมา”
“ผมพร้อมทุกเมื่อ เจ้าหน้าที่โครงการก็พร้อมที่จะให้คุณเข้าไปตรวจสอบ” ชยุตม์ตอบ
“งั้นกลับถึงน่าน ไปดูกันเดี๋ยวนี้เลย” โชคดีหยุดเดิน หันมาพูด
“เร็วไปมั๊งครับ นี่ก็จะเลิกงานแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่า ให้ผมแจ้งทางนั้นเสียก่อน”
“จะได้มีเวลาตกแต่งฉาก” โชคดียิ้มเยาะ
“อคติ”
“แต่อย่าคิดนะว่าจะมาหลอกผมได้” โชคดีจ้องหน้าชยุตม์ “ผมให้เวลาคุณจนหมดสัปดาห์ เช้าวันจันทร์ขอเข้าไปตรวจสอบ จะตกแต่งตบตาอะไรก็รีบทำเข้า”
ชยุตม์ถอนหายใจ มองตามหลังจองคนที่พูดเสร็จแล้วก็เดินลิ่วจากไป ก่อนที่สายตาเขาจะลดต่ำลงเพราะบังคับสายตาตัวเองไม่ได้
โชคดีขายาวมาก เดินขึ้นเนินไปอย่างคล่องแคล่ว บั้นท้ายขยับไปมาเป็นจังหวะ ซึ่งชยุตม์ต้องยอมรับว่ายิ่งมองเขาก็ยิ่งชอบ
...ชอบโชคดีหรือ...บ้าไปแล้ว...
...ไม่ได้ชอบโชคดี เขาแค่ชอบมอง แปลกตาและเพลินดี ไม่เหมือนใคร...
“อ้าว เดินตามมาสิครับคุณนายช่าง ถึงรถแล้วผมไม่รอนะ ถ้ามัวแต่โอ้เอ้ก็หาทางกลับเข้าเมืองเอง คนต้องทำงาน ไม่มีเวลาทั้งวัน” โชคดีหันมาเร่ง
...ร้ายจริงๆ คนที่ร้ายกว่านี้มีอีกไหมนี่...
... สงสัยนัก เขาโชคดีหรือโชคร้ายที่มาเจอโชคดี...
ชยุตม์กลับมาถึงบ้านและนั่งคอยจักริณทร์เพื่อพาไปรับประทานอาหารเย็น ก่อนที่นักบินหนุ่มจะกลับกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้น แต่เขาก็แปลกใจอีกครั้งเมื่อเห็นคนที่มาส่งแฟนเขาที่บ้าน
“ผมหลงทาง แต่โชคดีที่เจอผู้กอง เลยมีคนพามาส่งที่บ้าน” จักริณทร์เล่าให้ฟังยิ้มๆ
“แล้วคุณชยุตม์ต้องไปส่งผมกลับบ้าน ส่งกันไปส่งกันมา” ร้อยตำรวจเอกปฐพีหัวเราะแล้วหันมาพูดกับจักริณทร์ “เสียดายที่คุณจักรจะต้องกลับเสียแล้ว ยังไม่ได้ไปเที่ยวอุทยานศรีน่านเลยครับ”
“ไว้คราวหลังผมต้องไม่พลาดแน่ ได้ยินผู้กองเล่าให้ฟังแล้วอยากไป”
“จักรมาอยู่ไม่กี่วันได้ไปเที่ยวเยอะกว่าผมอีก” ชยุตม์มองจักริณทร์และปฐพีสลับไปมา แล้วเชิญปฐพีให้นั่งพัก จักริณทร์ขอตัวไปทำธุระ ชยุตม์จึงเล่าให้ปฐพีฟังว่าโชคดีพาเขาไปดูที่ดิน
“เคยมีคนต้องการที่ผืนนั้นจนเกือบมีเรื่องกันครับ โชคดีให้ผมแต่งชุดเครื่องแบบไปทำท่าข่มฝ่ายตรงข้าม พอเรื่องจบก็เลยซื้อต่อจากญาติของลูกน้อง คนที่โชคดีเรียกน้าพงษ์ คุณชยุตม์คงจำหน้าได้”
“ที่สวยมาก” ชยุตม์ชม “ถ้าสร้างบูติกรีสอร์ทเล็กๆ จะสวยมากจริงๆ”
“อย่าไปพูดให้เขาได้ยินเชียวนะครับ เดี๋ยวได้ควันออกหู” ปฐพีหัวเราะ
ชยุตม์หัวเราะเช่นกันเพราะเขาไม่ได้นึกถึงแค่โชคดีโกรธจนควันออกหู เขานึกไปมากกว่านั้น “ผมพูดเล่นเฉยๆ ไม่กล้าคิดจะไปพูดให้ได้ยินหรอกครับ แค่ผมเปรยว่าน่าสร้างบ้านพักตากอากาศ ก็เกือบโดนลุย”
“โชคดีไม่ได้ร้ายอย่างที่เห็นหรอกครับ เขาเป็นคนมีจิตใจดีงาม เพียงแต่โผงผางไปนิด” ปฐพีเข้าข้างคนใกล้ตัว
...โผงผางไปนิดหรือ เขาว่าโผงผางเหลือทนต่างหาก เกิดมาไม่เคยพบเคยเจอ ปฐพีก็เข้าข้างคนของตัวละสิ ชอบโชคดีเข้าแล้วนี่...
...แต่ทำไมมายุ่งอะไรกับจักริณทร์...
...และหากปฐพีจะมายุ่งกับจักริณทร์จริง ทำไมเขาไม่ค่อยรู้สึกหึงหวงเท่าใดนัก...
จักริณทร์เดินออกมาเพื่อสมทบกับสองหนุ่มที่นั่งคุยอยู่กันหน้าบ้าน แล้วชวนกันไปทานข้าวเพราะจะได้ไปส่งปฐพีด้วย แต่นายตำรวจหนุ่มปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าต้องกลับไปรับประทานกับบิดาและมารดา
“วันนี้คุณลุงกับคุณป้ามาเยี่ยมตอนค่ำๆ ครับ เลยต้องกลับไปทานข้าวที่บ้าน” ปฐพีตอบแล้วหันไปพูดกับจักริณทร์ว่า “คราวหน้า ผมจะพาไปทานที่ร้านเพื่อนผม อร่อยมากเลยครับ แต่ต้องออกไปนอกเมืองไกลพอสมควร แต่รับรองว่าคุ้มกับการเดินทาง บรรยากาศดีมาก อาหารก็รสเด็ด”
“งั้นผมต้องรีบหาโอกาสลาหยุดอีกแล้ว” จักริณทร์ทำท่าตื่นเต้น
“ไม่ต้องรีบมากก็ได้ ผมคงต้องทำงานอยู่ที่น่านอีกนาน ไม่รู้ว่ารีสอร์ทจะเสร็จเมื่อไหร่” ชยุตม์ถอนหายใจเบาๆ
“อย่ากังวลไปเลยครับคุณชยุตม์ ผมจะช่วยคุยกับฝ่ายโน้นด้วย” ปฐพีให้กำลังใจ
“คุณต้องทำได้แน่ยุตม์ อะไรๆ ก็เคยทำสำเร็จมาแล้ว คราวนี้ก็คงต้องสำเร็จอีก ไหนบอกว่าชอบการท้าทายไม่ใช่หรือ”
ชยุตม์ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มบางๆ ในใจนึกถึง “เวลา” จนถึงสุดสัปดาห์ที่โชคดีให้กับเขาก่อนเข้าไปร่วมตรวจสอบ ซึ่งไม่รู้จะออกหัวหรือออกก้อย
...จากวันนี้เขาต้องเตรียมตัวดีๆ เพราะฝ่ายนั้นคงไม่ปล่อยให้เขาทำงานได้สะดวกเป็นแน่แท้...
โชคดีนั่งอยู่ในห้องทำงานกับพงษ์ สุนิศา บำรุง และวัลลภ แกนนำร่วมการต่อต้านรีสอร์ทแห่งใหม่เพื่อแจ้งกำหนดการที่จะเข้าไปร่วมตรวจสอบการก่อสร้างรีสอร์ทตามที่ชยุตม์เสนอมา
“แล้วเขาจะยอมอย่างนั้นจริงๆ หรือครับ ผมกลัวว่าพอจะเข้าไปจริงๆ ฝ่ายนั้นจะโยกโย้” บำรุงตั้งข้อสังเกต
“ถ้ากลับคำ เราก็เกณฑ์คนไปลุยที่โครงการ ปิดทางเข้าทุกทาง กดดันให้หนักๆ” วัลลภที่หัวรุนแรงกว่าคนอื่นเสนอความเห็น
“ไม่ได้หรอก ทำแบบนั้นยิ่งจะไปกันใหญ่ ถ้าหากฝ่ายนั้นเล่นไม้แข็งไม่ยอมเอาดื้อ เราก็จะเจอปัญหาไม่น้อยเหมือนกัน” พงษ์แย้ง “เท่าที่ผมสังเกต ฝ่ายรีสอร์ทก็ดูเหมือนจะพยายามประนีประนอม”
โชคดีหันไปมองพงษ์ที่หันมาสบตาเขาเพื่อขอความเห็น วัลลภกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เขาจึงต้องพูดขึ้นว่า “ผมเห็นด้วยอย่างที่น้าพงษ์พูด เอาแบบนี้ก่อน ถ้าเกิดโยกโย้ เราค่อยมาปรับแผน ระหว่างนี้ผมจะเร่งทาง ดร. พงศธรเรื่องงานวิจัย ถ้าได้ข้อมูลอะไรออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร การต่อรองของเราก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น ศา ประสานงานกับกลุ่มคนรักเมืองน่านให้ดี ถ้าเขามาร่วมกับเราได้ก็เป็นประโยชน์ต่อเรามาก”
...คราวนี้ล่ะ ชยุตม์ไม่รอดแน่...
ชยุตม์เดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นจักรินทร์เดินถือโทรศัพท์มายื่นให้แล้วบอกว่ามีคนโทรมาหาหลายครั้งแล้ว ชยุตม์มองโทรศัพท์แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “พ่อ โทรมาทำไม”
วิศวกรหนุ่มไม่โทรกลับทันใด ชยุตม์เช็ดตัวจนแห้งและแต่งตัวจนเสร็จแล้วเดินไปนั่งลงบนเตียงที่จักริณทร์กำลังนอนหงายมองเขาอยู่
“ทำไมไม่รีบโทรกลับหาคุณพ่อล่ะครับ สงสัยป่านนี้กำลังรออยู่” จักริณทร์ถาม
“ไว้ค่อยโทรก็ได้ ให้พ่อรอซะบ้าง” ชยุตม์ยักไหล่ แต่สิ้นคำพูด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาจึงต้องหยิบมารับ
“พ่อจะไปเชียงใหม่ ยุตม์มาหาพ่อพรุ่งนี้ตอนค่ำนะ ทานข้าวเย็นด้วยกัน แม่ฝากของมาให้ด้วย” บิดาของชยุตม์สั่งทันทีที่เขารับโทรศัพท์แล้วพูดต่อ ไม่เปิดโอกาสให้ลูกชายได้แสดงความเห็น “ทุ่มตรง ไปเจอพ่อที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ่อคุยกับอธิการบดีเสร็จแล้วค่อยไปกัน”
“ทำไมไม่ให้คนขับรถเอามาให้ที่นี่เลยล่ะครับ” ชยุตม์ถาม
“แค่นี้นะยุตม์”
“คุณพ่อ” ชยุตม์รีบเรียกบิดาเพราะกลัวว่าจะวางสายไปเสียก่อน พ่อเขาพูดโทรศัพท์สั้นมาก ชอบสื่อสารทางเดียว เอาแต่สั่งแล้วให้คนอื่นทำตาม
“อะไรอีกเล่า เร็วๆ เข้า พ่อรีบ”
“ผมยังไม่ได้บอกว่าจะไปเลย” ชยุตม์ทำเสียงอ่อนใจ
“นี่ยุตม์ เราไม่ได้เจอกันหลายเดือนแล้วนะ ไม่กลัวลืมหน้าพ่อหรือยังไง มากินข้าวด้วยกันหน่อย พ่อมีธุระจะคุยด้วย”
“ธุระอะไรครับ” ชยุตม์ถาม รู้ทั้งรู้ว่าพ่อของเขาจะตอบอย่างไร แต่เขาก็อดถามไม่ได้
“ธุระเรื่องอะไรแล้วค่อยมาคุยตอนกินข้าว หนึ่งทุ่มนะ มารอหน้าห้องอธิการบดี หาให้เจอล่ะ”
ชยุตม์ถอนหายใจ พ่อของเขาสั่งแล้วก็รีบวางสายไป ไม่รอให้เขาพูดอะไรต่อ
“นี่ล่ะ พ่อผมล่ะ” ชยุตม์หันไปพูดกับจักริณทร์ที่นอนมองอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มๆ เช่นเคย
...เหมือนโชคดียังไงยังงั้น นี่ถ้าให้โชคดเป็นลูกพ่อเขาแทน ก็คงจะเหมาะกันมาก บอกใครว่าเป็นลูกชาย ใครก็คงเชื่อแล้วพูดว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น”...
“ก็รู้ว่าปฏิเสธ หรือต่อรองไม่ได้ ก็ยังไปต่อรอง”
“ผมก็อดไม่ได้ซักที” ชยุตม์ส่ายหน้า แล้วเอนตัวลงนอนแผ่นข้างๆ จักริณทร์ที่ตอนนี้พลิกตัวมานอนตะแคงแล้วเบียดเข้ามาหาเขา
“ยุตม์ มีความสุขไหมครับที่จักรมาเยี่ยม” จักริณทร์ถามเสียงนุ่ม
“มีความสุขสิครับ”
“ดูยุตม์ใจลอยๆ คิดอะไรอยู่”
“เปล่า” ชยุตม์ส่ายหน้า แต่เมื่อเห็นจักริณทร์ถอนหายใจรีบพูดเติมว่า “ก็สงสัยคงเหนื่อยเรื่องงาน มันมีอะไรต้องคิด”
“ผมไม่ใช่คนอื่นนะ ถ้ามีอะไรก็คุยกันก็ได้ อย่างน้อยถ้ายุตม์มีอะไรไม่สบายใจก็จะได้ระบายออกมาบ้าง อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว” จักริณทร์พูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่างน้อย การได้เป็นคนรับฟังอะไรๆ และให้กำลังใจนี่ก็ถือว่าผมจะได้ทำหน้าที่ของแฟนที่ดีเสียบ้าง”
“ผมต่างหากล่ะที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของแฟนที่ดี จักรอุตส่าห์มาเยี่ยม ได้พาไปเที่ยวน้ำตกครั้งเดียว ที่เหลือก็ทำแต่งาน” ชยุตม์ยกมือขึ้นลูบไล้ต้นแขนของคนที่กำลังนอนซบอกกว้างของเขาอยู่
“ไม่เห็นเป็นไรเลย บอกแล้วไงว่าผมไปเที่ยวคนเดียวเองก็ได้” จักริณทร์เขียนยอดอกของชยุตม์แล้วหัวเราะเบาๆ “แต่ดีที่ตอนหลังเจอกับผู้กองปฐพี ได้ไกด์กิตติมศักดิ์พาเที่ยว”
“ดีครับ เจ้าถิ่นพาเที่ยว ดีกว่าพาไปหลงทางตั้งเยอะ” ชยุตม์หัวเราะเบาๆ
“หึงหรือเปล่า” จักรินทร์เงยหน้าขึ้นมองคนรัก
“ทำไมต้องหึง”
“หึงบ้างก็ได้นะ” จักริณทร์พูดเสียงเรียบๆ ใบหน้ายิ้ม แล้วซุกหน้าลงกับอกของชยุตม์แล้วประทับจูบลงบนอกกว้างแกร่งเบาๆ
“ผมเชื่อใจจักร” ชยุตม์พูดเสียงอ่อนโยน หากเพียงเสี้ยววินาทีเขาเห็นภาพของคนๆ หนึ่งฉายวาบขึ้นมาให้ความคิด
...จักรก็คงเชื่อใจเขาเหมือนกัน...
...แล้วเขาล่ะ เชื่อใจตนเองได้เพียงใด...
**** end of chapter ****