อรุณสวัสดิ์ครับ
เมื่อวานฝนตกหนักหลังคาบ้านเปิดเปิงบ้านเละไปหมด มาทำงานก็เละเพราะหลังคาัรั่ว สนุกจริงๆ ฝนอันชุ่มฉ่ำ
อ่านบทที่ 3 ต่อกันนะครับ (ผู้เขียนโพสตามวันและเวลาราชการ

3
โชคดีเดินเข้าไปในตลาดสด ตรงไปยังห้องแถวหลังตลาด จุดหมายคือร้านเสริมสวยของสายสมร หญิงวัยกลางคนลูกหนี้รายหนึ่งของเขา ปกติเขาไม่เคยมาเก็บเงินด้วยตัวเอง ลูกหนี้ส่วนมากมักจะเอาเงินไปให้เขาที่ร้าน หรือบางคนที่จ่ายยาก เขาจะให้พงษ์เป็นคนไปทวง ซึ่งมีน้อยร้ายมาก ลูกหนี้ของเขาทุกคนมักจะตรงต่อเวลา เพราะหากใครมีปัญหาเรื่องการใช้คืนบ่อยครั้งเข้า เขาก็จะไม่ให้ยืมเงินอีก ซึ่งทั้งหลายรู้กันดีอยู่ว่า จะหาเจ้าหนี้ที่ดีแสนดีคิดดอกเบี้ยต่ำอย่างโชคดีไม่ได้อีกแล้ว
สายสมรป่วยเรื้อรังมานาน โชคดียอมให้หญิงม่ายผัดผ่อนมาแล้วเกือบสามเดือน วันนี้เขาตั้งใจมาเยี่ยมดูอาการ เผื่อจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง สายสมรอาศัยอยู่กับลูกสาวที่ตอนนี้เพิ่งสอบเข้าเรียนมัธยมปลาย ธาราลูกสาวคนเดียวของช่างเสริมสวยฝีมือดีรีบเปิดประตูต้อนรับโชคดีทันที่เห็นเขายืนอยู่หน้าประตู
“แม่เป็นยังไงบ้างธารา” โชคดีถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แบบที่ชยุตม์คงจะเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจหากมาได้ยินเข้า
“ก็ดีขึ้นค่ะ ขอบคุณคุณโชคดีที่กรุณามาเยี่ยมนะคะ แม่นอนหลับอยู่ข้างบน หนูจะไปเอาเงินมาให้” ธารากล่าวด้วยความนอบน้อม
“อย่าเพิ่งก็ได้ธารา มีใช้หรือเปล่าล่ะ”
“ก็มีค่ะ ช่วงนี้หนูพอช่วยแม่ได้แล้ว มีลูกค้าสระไดร์ผมบ่อยเหมือนกัน” ธาราตอบ
“ดีแล้ว ฝึกๆ เอาไว้ ถ้าคิดว่าจะเป็นช่างเสริมสวยก็ต้องฝึกไว้เยอะๆ แต่การเรียนก็อย่าให้เสีย”
“หนูไม่ทิ้งเรื่องเรียนเรียนหรอกค่ะ หนูจะเป็นครูให้ได้” ธาราแววตามุ่งมั่น
“นี่ก็ใกล้เปิดเทอมแล้ว อาจต้องใช้เงิน เก็บเงินนี้เอาไว้ก่อน ให้จ่ายค่าเทอมเรียบร้อยแล้วค่อยเอาเงินที่ค้างอยู่มาให้พี่ก็แล้วกัน ช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ เรียนยังไม่ค่อยหนัก เสาร์อาทิตย์ทำงานเก็บเงินเอาไว้ ปลายเทอมต้องทุ่มเวลาอ่านหนังสือสอบ” โชคดีแนะนำ
“ขอบคุณค่ะ” ธาราเริ่มน้ำตาคลอเพราะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเจ้าหนี้
“จำไว้นะธารา ตราบใดที่ยังมีแรงอยู่ก็ยังมีความหวัง ถ้าเราไม่แพ้ เราก็ทำอะไรได้ทุกอย่าง มีปัญหาเรื่องเงินทองก็ให้มาคุยกัน แต่อย่าไปยืมเจ้าหนี้คนอื่นที่คิดดอกแพงมหาโหด”
ธาราพยักหน้ารับคำ โชคดีชวนเด็กสาวอยู่อีกไม่กี่นาทีก็ขอตัวกลับ บอกว่าจะกลับร้านเพราะเย็นนี้มีงานแต่งงานของเดือน
“แล้วเรื่องรักอย่าเพิ่งคิดล่ะ เอาเรื่องเรียนไว้ก่อน เวลายังเหลืออีกเยอะ เดือนมันทำงานที่ร้าน ไม่ได้คิดจะเรียนหรือไปทำมาหากินอย่างอื่นอะไรอีกแล้ว แต่ธารามีความสามารถที่จะไปให้ได้ไกลกว่าเดือน เพราะฉะนั้น ต้องดูแลตัวเองให้ดี พี่ไปแล้ว ฝากเยี่ยมแม่ด้วยนะ”
โชคดีให้กำลังเด็กสาวแล้วขอตัวกลับ ตั้งใจจะแวะร้านของมาโนทย์ เพื่อนที่รู้จักและช่วยเหลือกันมาตั้งแต่เขากับแม่ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดน่านใหม่ๆ แต่ไม่ทันถึงรถที่จอดไว้หน้าตลาด ชายหนุ่มก็ชะงักเมื่อเจอคนที่ไม่อยากเจอ
“หมูปิ้ง มาทำอะไรหรือ เราอยากเจอหมูจะแย่อยู่แล้ว”
“ไอ้ซ่ง” โชคดีพึมพำ
ซ่ง หรือ ทรงศักดิ์ ลูกชายร้านทองร้านใหญ่ที่สุดของจังหวัดยืนยิ้มเผล่ขวางทางอยู่ตรงหน้า
“มาเก็บเงินลูกหนี้เหมือนเราหรือ” คนถามยิ้มกว้างแทบเห็นฟันสามสิบสองซี่
“หยุดเรียกชื่อนี้ได้แล้วซ่ง” โชคดีพูดเสียงเข้ม เดินเลี่ยงจะไปขึ้นรถ
“เดี๋ยวสิหมู คุยกับเราก่อน เราจะชวนนายไปงานเลี้ยงโต๊ะจีนสโมสรไลอ้อนที่ศาลากลางวันศุกร์หน้า”
“ไม่ไป ไม่อยากกิน ไม่ชอบอาหารจีน เลี่ยน” โชคดีปฏิเสธทันใดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“ไม่ใช่อาหารจีนอย่างเดียวนะ มีอาหารไทยด้วย ข้าวผัดปูก็อร่อย ร้านป้าต้อยเขาเป็นคนรับจัด”
“มีต้มย้ำโป๊ะแตกไหมล่ะ ถ้ามีถึงจะไป”
“เดี๋ยวเราไปสั่งให้เขาทำพิเศษ ป้าต้อยเป็นลูกหนี้เรา รับรองว่าทำอร่อยขาดใจ โชคดีไปนั่งโต๊ะเรานะ มีเพื่อนๆ สมัยเรียนไปกันหลายคน เราไปทาบทามหมดแล้ว” ซ่งยิ้มกว้าง เดินตามโชคดีไม่ยอมห่าง
โชคดีรู้จักกับซ่งตั้งแต่เขาย้ายมาน่าน รู้จักกันพร้อมๆ กับรู้จักมาโนทย์ เขาย้ายมาเรียนชั้น ม. 4 ที่โรงเรียนประจำจังหวัด ซ่งรวยที่สุดในห้อง มักจะเอาของแพงๆ มาอวดเพื่อนในห้องเสมอ แต่ตี๋หน้าจืดของทุกคนก็หาขนมมาให้เพื่อนทานไม่ได้ขาด ทำให้ซ่งเป็นที่รักของทุกคน
วันหนึ่ง วันที่โชคดีไม่มีวันลืม เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ เขาปั่นจักรยานกลับบ้าน ผ่านบึงใหญ่หลังโรงพยาบาล เห็นเด็กสองคนกำลังยืนตะโกนโหวกเหวกเรียกให้ช่วยคนตกน้ำ โชคดีรีบวิ่งเข้าไปหา จึงเห็นว่าคนที่กำลังตะกุยตะกายอยู่กลางน้ำกำลังจะจมคือตี๋น้อยหน้าขาวคนเดียวกันกับคนที่กำลังเดินตามเขาต้อยๆ อยู่ตอนนี้
วันนั้นเองที่โชคดีได้รู้ว่า ซ่ง แอบชอบเขาตั้งแต่เดือนแรกที่เขาย้ายเข้ามาเรียน ม 4 กลางเทอมแรก
...นักเรียนหน้าใหม่ที่ท่าทางเข้มเหลือหลาย ไม่คบหาใครทั้งสิ้น วันๆ เอาแต่นั่งเงียบอยู่คนเดียว...
โชคดีเกือบจะปล่อยมือที่ลากคอเสื้อของซ่งขณะที่ตะกายเข้าหาฝั่ง
“เราชอบนายนะ ชอบมาตั้งแต่เห็นหน้าครั้งแรก โชคชะตาฟ้าลิขิตให้เรามาเจอกัน ให้นายมาช่วยชีวิตเรา” ทั้งๆ ที่กำลังจะตาย ตี๋น้อยลูกเถ้าแก่ร้านทองก็ยังพล่ามด้วยเสียงกระหืดกระหอบไม่ยอมหยุด
“นี่ถ้าไม่เฉียดตาย เราก็ไม่กล้าเผยความในใจออกมาหรอกโชคดี”
โชคดีจำได้ว่าตัวเองตะคอกตี๋น้อยหน้าจืดว่า “หุบปาก”
หลังจากนั้น ซ่งก็คอยกวนใจเขาอยู่เรื่อยไม่ยอมหยุด จนโตเป็นหนุ่ม ตี๋น้อยหน้าจืดกลายเป็นตี๋เข้มรูปหล่อ ทุกครั้งที่ซ่งกลับมาเยี่ยมบ้านช่วงเรียนมหาวิทยาลัยจะต้องวนเวียนมาหาโชคดีอยู่ไม่ได้ขาด บางทีโชคดีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมซ่งจึงปักใจอยู่กับเขาไม่ยอมเลิกเสียที สี่ปีที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ซ่งไม่เคยพบรักกับใครบ้างหรืออย่างไร...
“เราบอกแล้วไงว่ามันเป็นชะตาฟ้าลิขิต” ซ่งให้เหตุผลโชคดีด้วยท่าทางฝันเฟื่อง “โชคดีอยู่ในใจเราตลอดไม่เคยหายไปไหน”
“โชคชะตาหรือความซวยกันแน่ รู้อย่างนี้ปล่อยให้จมน้ำตายซะก็ดี” โชคดีถอนหายใจ
โชคดีก้าวขึ้นนั่งบนรถ ซ่งเดินมาเกาะขอบหน้าต่าง ยิ้มกว้างจนตาหยี
“ว่าไง หมูปิ้ง ตกลงไหม”
“ซ่ง ไม่อายคนหรือไง ตามตื๊ออยู่ได้” โชคดีอ่อนใจเพราะซ่งตามเขาไม่เลิก “แล้วห้ามเรียกชื่อเล่นเด็ดขาด”
“ก็ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ เราไม่ได้ทำอะไรโจ่งแจ้งน่าเกลียดนี่นา”
“เดี๋ยวเตี่ยรู้ ถูกฆ่าหั่นศพ ไม่กลัวหรือ”
“ก็อย่าให้เตี่ยรู้สิ” ซ่งยักไหล่ “น่านะ โชคดี ตั้งแต่เล็กจนโตอายุ 27 ปีแล้วยังปิดมาได้”
“ความลับไม่มีในโลก” โชคดีแย้ง สตาร์ทเครื่องรถกระบะคู่ชีพ
“แต่ถึงมันจะกลายเป็นความไม่ลับ เราก็ไม่กลัว ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ เราจะยืดอก ยืนเคียงข้างโชคดี เป็นไงเป็นกัน” ซ่งแววตามุ่งมั่น “ขออย่างเดียว ขออย่าให้โชคดีปฏิเสธเรา”
“แต่อั๊วไม่อยากยืนเคียงข้างลื๊อ ไม่อยากยืนเคียงข้างใครทั้งนั้น ไม่อยากมีแฟน เข้าใจไม๊ คำว่าไม่อยากมีความรักน่ะ มันเข้าใจยากตรงไหน” โชคดีเค้นเสียงผ่านไรฟัน รู้สึกอ่อนใจเพราะพูดแบบนี้มาบ่อยแล้ว
“หมูปิ้งก็เปิดใจบ้างสิ” ซ่งอ้อนวอน ทำหน้าตาน่าสงสาร
“ไม่เปิดโว๊ย” โชคดีเริ่มเสียงดัง
“ไม่เปิดใจแล้วใยจะเจอรัก” ซ่งยิ้มแป้น พูดคล้องจอง
“โธ่เว้ย พูดไม่รู้เรื่อง แล้วเลิกเรียกหมูปิ้งซะที” โชคดีเข้าเกียร์ แล้วกระชากรถออกตัวไปอย่างรวดเร็ว จนซ่งเกือบกระโดดหลบแทบไม่ทัน
“ก็ตัวเองชื่อหมูปิ้ง จะให้เรียกว่ายังไงเล่า” ตี๋หนุ่มบ่นตามเบาๆ ยกมือขึ้นเกาศรีษะอย่างเซ็งๆ “แล้วตกลงจะไปงานไลอ้อนกับเราไหมเนี่ย สงสัยต้องไปเชิญถึงที่บ้าน”
โชคดีกลับมาถึงร้านก็เห็นว่าลูกน้องกับเพื่อนบ้านกำลังช่วยกันจัดสถานที่ เตรียมงานแต่งงานของโต๋กับเดือน เวลาเพียงวันเดียว ทุกอย่างก็เกือบแล้วเสร็จ ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันเป็นอย่างดี
ชายหนุ่มเจ้าของร้านค้าเหล็กยิ้มบางๆ กวาดตามองภาพที่กำลังปรากฏอยู่เบื้องหน้า รู้สึกโชคดีที่ได้มาอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เป็นมิตรและน่ารัก คิดขอบคุณมารดาที่หอบเขามาใกลถึงขนาดนี้ หนีความหลังอันโหดร้ายและเจ็บปวด หนีมาจากผุ้คนที่ร้ายกาจซึ่งจ้องแต่จะทำร้ายเขากับแม่ หนีมาจากผู้คนที่หัวใจไม่เคยมีความรักให้เขากับแม่เลย
...ผู้ดีตระกูลเมธานนท์...
สายตาของโชคดีหยุดนิ่งที่ชายหนุ่มหน้าเข้มที่นั่งมองซ้ายมองขวาอยู่อย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี วิศวกรหนุ่มชาวกรุงผู้กลายมาเป็นเถ้าแก่ฝ่ายชายดูท่าทางเงอะงะไม่คุ้นเคย
...ดูๆ ไปก็เป็นคนดี แต่พูดอะไรไม่คิด หรือไม่ก็มีความคิดแปลกๆ
เอาเถอะ ยอมให้เขาสักนิด อย่างน้อยเขาก็พยายามช่วยเรื่องโต๋ ยังไงก็คงไม่แย่เท่าไหร่...
โชคดีคิดในใจชั่วครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปหา “นายช่าง” ที่คนของเขาเรียก ชื่ออะไรเขาจำไม่ได้แล้ว ไม่เคยได้แนะนำตัวเป็นทางการ
“โชคดี มีงานอะไรหรือ”
โชคดีชะงัก หันหน้าไปยังเสียงคนที่เรียกเขาทางด้านหลัง นายช่างคนนั้นคงได้ยินด้วย จึงหันหน้ามามอง สบตาเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น
...มาดเยอะนัก วางท่าเหมือนคุณชาย ทำหน้านิ่งๆ คิดว่าตัวเองหล่อนักหรือไง...
“พอดีผ่านมา เห็นกำลังจัดอะไรกันอยู่” ร้อยตำรวจเอกปฐพี ลูกชายผู้ว่าราชการจังหวัดในชุดเครื่องแบบตำรวจเดินเข้ามาหาโชคดีช้าๆ
“แต่งงาน” โชคดีตอบสั้นๆ
“แต่งงาน โชคดีจะแต่งงานหรือ” ปฐพีล้อ ใบหน้ายิ้มๆ
...บ้าหรือ แต่งเข้าไปได้ยังไง ปฐพีรู้จักเล่นมุขตลกแบบนี้ด้วยหรือ...
“ถ้าแต่ง จะบอกผู้กองเป็นคนแรก จะให้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวด้วย” โชคดีเบ้ปาก ทำท่าทางไม่พอใจ
“ไม่อยากเป็นเพื่อน” ปฐพียักไหล่ “แต่อยากเป็นเจ้าบ่าว”
“เห็นแล้วว่าที่นี่มีงาน จะมาช่วยหรือเปล่า เอาเหล้ามาช่วยงานซักสองสามลังก็ได้นะผู้กอง” โชคดีเปลี่ยนเรื่อง เอียงหน้าคุยกับนายตำรวจ
ปฐพียิ้มกว้าง นัยน์ตาพราวระยับ ลักยิ้มสองข้างบนแก้มทำให้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายน่าดูมากยิ่งขึ้น
ปฐพีรู้จักกับโชคดีตั้งแต่เรียนจบนายร้อยตำรวจแล้วมาประจำการอยู่ที่จังหวัดใกล้เคียง ครั้งแรกที่พบกัน นายตำรวจหนุ่มโดนหัวหน้านำการชุมนุมต่อต้านการสร้างห้างสรรพสินค้าฟาดด้วยเสาธงชาติเข้าที่ต้นแขนและลำตัว และโชคดีถูกจับขึ้นโรงพักด้วยข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“ได้เลย จะแถมโซดาให้ด้วยสี่ลัง” ปฐพียิ้มกว้าง “แล้วนี่ใครแต่ง”
“เดือน เด็กที่ร้าน”
“ไม่เห็นมีบัตรเชิญ แล้วพ่อรู้หรือเปล่านี่” ปฐพีล้อยิ้มๆ เพราะรู้ว่าฝ่ายนี้ไม่ถูกกับพ่อเขา
“งานแค่นี้คงไม่บังอาจเชิญท่านผู้ว่ามาหรอกครับ เดี๋ยวคนจะแตกตื่นกันใหญ่ เราจัดกันง่ายๆ เฉพาะคนกันเอง” โชคดีกล่าวเสียงเรียบ ใบหน้าเคร่งขรึมเกือบทุกครั้งที่พูดถึงผู้ว่าราชการจังหวัด อดคิดถึงเรื่องในอดีตไม่ได้
วันนั้น ประท้วงขับไล่นายทุนที่จะมาสร้างห้างสรรพสินค้ากลางเมือง โชคดีขับรถติดเครื่องขยายเสียงประกาศกระตุ้นให้คนออกมาคัดค้านการก่อสร้างห้างขนาดใหญ่เพราะจะทำลายวิถีชีวิตของคนเมืองเล็กๆ แห่งนี้และส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อย เจ้าของร้านค้าแห่กันออกมาตามเขาไปยังศาลากลางจังหวัด ตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ เพราะฝูงชนเพิ่มจำนวนมากขึ้น การต่อรองเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด โชคดียื่นคำขาดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดออกมาคุยกับผู้ชุมนุม เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จึงเกิดความอลเวงกันขึ้น เมื่อผู้ว่าราชการออกมาพบฝูงชน สถานการณ์ก็แทบจะควบคุมไว้ไม่ได้แล้วเพราะตัวแทนคนหนึ่งของนายทุนตะโกนด่ากลุ่มผู้ต่อต้าน สองฝ่ายจึงเข้าปะทะกัน โชคดีเข้าไปขวางแต่ปฐพีโผล่มาจากไหนไม่รู้ โดนลูกหลงจากมือเขาไปเต็มๆ จนล้มคว่ำไม่เป็นท่า ตำรวจจับเขาข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ แต่เขาเถียงว่าปฐพีผุนผลันเข้ามาขวางทางและเป็นอุบัติเหตุ ตอนนั้นเองที่เขารู้ว่าปฐพีเป็นลูกชายผู้ว่าราชการจังหวัดและเป็นตำรวจที่เผอิญวันนั้นไม่ได้แต่งเครื่องแบบ
“ผมกลัวว่าคุณจะบุกเข้าไปทำอะไรพ่อผม เลยเข้ามาขวาง” ปฐพีบอกกับโชคดีตอนที่มาประกันตัวเขาออกจากโรงพัก
“ใครจะบ้าทำอย่างนั้น ผมไม่ใช่คนป่าเถื่อนประเภทนั้น ผมแค่มาร้องทุกข์ ตำรวจงี่เง่าใช้กำลังกับพวกเราเอง”
“ร้องทุกข์ประเภทที่ไม่ใช้ความรุนแรงใช่ไหม” ปฐพีล้อยิ้มๆ “ขอโทษที่ผมเข้าใจผิด และที่มาประกันตัวนี่คุณพ่อผมเป็นคนสั่งให้มา”
“ขอบคุณ แต่อย่าถือว่าเป็นบุญเป็นคุณกันนะ เพราะยังไงแม่ผมก็จะมาประกันตัวผมอยู่แล้ว” โชคดีเบ้ปาก
“คิดอะไรอยู่หรือโชคดี หรือคิดถึงใคร เวลามีงานแต่งงาน คนจัดงานมักคิดถึงเรื่อง...” ปฐีพีถามกลั้วเสียงหัวเราะ
“รู้ดีจังนะผู้กอง หัดเดาใจคนตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่...” ปฐพีขยิบตา แต่ต้องชะงักเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“โชคดีลูกแม่ แม่มีข่าวดีมาฝาก”
โชคดีกับปฐพีหันขวับไปยังต้นเสียงนั้น ผู้ที่กำลังเดินตรงเข้ามาใกล้จึงยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
“อ้าว สวัสดีค่ะผู้กอง มาจีบใครแถวนี้คะ”
โชคดีกรอกตา ถอนหายใจ แม่เขาชอบล้อเล่นปฐพีแบบนี้อยู่เรื่อย
บฐพีอมยิ้ม ยกมือสวัสดีคุณเตือนใจ มารดาของโชคดี “ก็คนเดิมครับ แต่ว่าวันนี้จะมีงานแต่งงาน ผมเลยเว้นเรื่องจีบคนซักวัน”
โชคดีบ่นพึมพำเบาๆ อย่างระอาใจ แม่ของเขาเข้ากับปฐพีได้เสียจนเขาเริ่มรู้สึกไม่ชอบใจ เพราะสองคนนี้มักจะพูดกันให้กระทบถึงเขาอยู่บ่อยๆ
“อ้าว หมูปิ้ง จะไปไหนลูก มาฟังข่าวดีแม่ก่อน”
“แม่” โชคดีเรียกมารดาเสียงเข้มที่เรียกชื่อเล่นเขา ผู้กองปฐพีอมยิ้มด้วยความชอบใจ จนเขาอยากจะหยิบอะไรขว้าง
...แม่เขาก็นี่กระไร รู้อยู่ว่าไม่ชอบให้เรียกชื่อเล่น บอกเท่าไหร่ก็ไม่จำ...
...คนอะไรไม่รู้ ตั้งชื่อเล่นลูกว่าหมูปิ้ง เขาอุตส่าห์รักษาภาพพจน์ห้าวๆ เอาไว้อย่างเหนียวแน่น แต่โดนเรียกว่าหมูปิ้ง ใครได้ยินก็อมยิ้มไปตามๆ กัน...
...แล้วนายช่างคนนั้นจะได้ยินหรือเปล่านะ...
โชคดีอดหันซ้ายหันขวาไม่ได้ เห็นนายช่างเถ้าแก่ของโต๋ยืนอยู่กับพงษ์อีกฟากหนึ่งของห้องแล้วก็โล่งอก
“แม่ได้เป็นนายกไลอ้อน ดีใจกับแม่หน่อยสิลูก” คุณเตือนใจยิ้มแก้มปริ
...ดีใจตายล่ะ คราวนี้แม่ก็คงไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน เขาก็คงต้องเหนื่อยดูร้านคนเดียวมากขึ้นกว่าเดิม...
“ขอแสดงความยินดีด้วยครับ จะเลี้ยงฉลองเมื่อไหร่แม่ พร้อมๆ กับงานแต่งยัยเดือนเลยดีไหม จะได้ประหยัดงบ”
นายกไลอ้อนสตรีคนใหม่ค้อนขวับ ลูกชายคนเดียวพูดจาประชดจนปฐพีกลั้นหัวเราะไม่ไหว
“ผมขอตัวไปดูเด็กๆ ก่อนนะครับ เชิญคุณแม่ตามสบาย ผู้กองฝากดูแลคุณแม่ด้วนนะครับ” โชคดีพูดเหน็บแนมมารดา แล้วผละจากไป
“แปลกคนจริง หมูปิ้งนี่ ผู้กองเป็นแขกจะให้ดูแลเจ้าของบ้าน”
“อ้าว แม่อยู่บ้านนี้ด้วยหรือ นานๆ ผมเห็นหน้าที” โชคดีเดินเข้าไปในโรงรถข้างร้านที่คนงานกำลังจัดสถานที่กันอยู่
“ไอ้ลูกคนนี้นี่จริงๆ เลย” เตือนใจ สาวใหญ่อายุห้าสิบปีที่ยังคงความสวยไม่สร่างมองตามลูกชายด้วยใบหน้ายิ้มๆ ภายนอกคนอาจจะมองว่าแม่ลูกคู่นี้โวยวายใส่กันเหมือนไม้เบื่อไม้เมา แต่ความเป็นจริงรักและสนิทกันมาก
“ผู้กองอย่าไปถือสามันเลยนะคะ” เตือนใจหันกลับมายิ้มกับนายตำรวจหนุ่ม
“ไม่เคยถือสาอยู่แล้วครับ” ปฐพีตอบเสียงนุ่ม ยิ่งเห็นโชคดีทำหน้าบึ้งเมื่อถูกแม่เรียกชื่อเล่นเขายิ่งชอบใจ เวลาโชคดีหน้าบึ้งนั้น น่ามองเป็นที่สุด
เขารู้ว่าโชคดีไม่เคยชอบชื่อเล่นของตัวเอง ปฐพีจำได้ถึงครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อเล่นของชายหนุ่ม โชคดีกระทืบเบรกรถจนเขาหัวคะมำ กระแทกกับกระจกหน้ารถจนหัวโน หนำซ้ำเกือบจะโดนชก ครั้งนั้น โชคดีบังคับเขาให้แต่งชุดตำรวจเต็มยศไปช่วยข่มขวัญนายทุนกว้านซื้อที่ดินที่มาบีบบังคับให้พงษ์ขายที่ดินติดเชิงเขา และวันนั้นเป็นวันแรกที่เขาแสดงออกชัดเจนว่าสนใจโชคดี เป็นวันแรกที่ต่างรู้จักกันและกันใน “ด้านลึก” ที่เคยแอบปกปิดกันไว้ และวันนั้นเองที่เขาก็รู้ด้วยว่า นอกจากเขาแล้ว มีตี๋หนุ่มลูกเถ้าแก่ร้านทองที่มาติดพันโชคดีอยู่
...โชคดี...ดุขนาดนี้ก็ยังมีคนมาชอบ...
“ผู้กองอดทนหน่อยก็แล้วกัน แม่ก็คิดว่าเลี้ยงหมูปิ้งมาดีแล้ว ไม่รู้ผิดพลาดยังไง ถึงกลายเป็นยังงี้ได้ แต่ผู้กองสบายใจได้ แม่ถือหางฝ่ายผู้กองเสมอ” เตือนใจยิ้มแก้มปริ
คนที่ได้รับการสนับสนุนสะดุ้ง “เอ่อ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ครับ” ผู้กองหนุ่มยิ้ม “แค่เอ็นดูผมก็พอ ไม่ต้องถึงกับถือหาง”
เมื่อนึกถึงความเด็ดเดี่ยว ในใจนายตำรวจนึกว่า โชคดีก็คงเหมือนแม่นี่ล่ะ คุณเตือนใจเองเมื่อตอนสาวก็ใช่ย่อย ผู้ใหญ่ที่เขารู้จักหลายคนเล่าให้ฟังว่า ในอดีต หญิงสาวคนหนึ่งมาตั้งรกรากที่จังหวัดน่าน หอบลูกชายมาคนเดียวกับกระเป๋าไม่กี่ใบ เช่าห้องพักอยู่หลังตลาด ทำงานด้วยความขยันขันแข็งจนสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ครั้นโชคดีจบมัธยมปลายก็ช่วยแม่ทำงานเต็มที่ ไม่นานก็สามารถมีกิจการเล็กๆ เป็นของตัวเอง และขยายใหญ่โตขึ้นเป็นตึกสามคูหา
โชคดีเป็นนักสู้ ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มยอมแพ้ พลังที่อัดแน่นอยู่ในตัวของโชคดีเป็นเหมือนหัวรถจักรไอน้ำที่ผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าไม่ยอมหยุด นี่เองเป็นส่วนหนึ่งที่เขาชอบชายหนุ่ม นอกเหนือไปจากบุคลิกอันโดดเด่นที่หาไม่ได้ง่ายๆ เหมือนพริกผสมน้ำตาลกับเกลือเค็มกำลังพอดีๆ
ปฐพีอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงจุดนี้ “โชคดี – เจ้าหนี้เงินกู้รายใหญ่คนหนึ่งของจังหวัด” จนเขาเคยล้อว่า “ระวังไว้เถอะ พอผมเป็นสารวัตร จะย้ายมาอยู่ที่น่าน มาปราบคนที่เข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพล”
“มาสิ ผมจะได้เกณฑ์คนไปประท้วงขับไล่” โชคดีท้าทาย
ขณะที่ร้อยตำรวจเอกปฐพีกำลังคิดอะไรเพลิน คุณเตือนใจก็แทรกขึ้นมาว่า “ผู้กอง เย็นนี้มางานนะคะ แต่คงไม่ถึงต้องเชิญคุณพ่อกับคุณแม่ งานเล็กๆ ของเด็กในร้าน จัดกันง่ายๆ แบบฉุกละหุก” เตือนใจบอก
“ครับผม” ปฐพีพยักหน้า “แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่า หากมีงานใหญ่กว่านี้จริง โชคดีจะเชิญพ่อหรือเปล่า”
เตือนใจถอนหายใจ “เฮ้อ ไม่รู้ว่ามันโกรธอะไรนักหนา ไม่ยอมลืมเสียที”
“นั่นสิ พ่อก็ขอโทษแล้ว” ปฐพีเห็นด้วย นึกถึงสาเหตุของปัญหาที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา เขารู้ว่าโชคดดีโกรธพ่อของเขาเกี่ยวกับเรื่องตั้งห้างสรรพสินค้ากลางเมือง แม้จะไล่นายทุนไปแล้ว ยกเลิกการสร้าง แต่โชคดีก็ยังไม่ยอมหายโกรธ ตอนนั้นพ่อของเขาตัดสินใจช้าและพลาดไป ไม่ได้ทำอะไรเฉียบขาดตามที่ได้รับการร้องเรียนและยื้อเวลาอยู่เป็นชั่วโมงกว่าจะออกมาพบกับผู้ชุมนุ่ม โชคดีเลยเลือดขึ้นหน้า ปลุกระดมจนเกิดเรื่องขึ้น แต่ยังดีที่ไม่พาลโกรธมาถึงลูกชาย
โชคดียืนสั่งการลูกน้อง ปล่อยให้แม่ของเขาคุยกับร้อยตำรวจเอกปฐพีอยู่หน้าร้าน ผู้กองหนุ่มเหลือบตามองมาที่เขาบ่อยๆ แต่โชคดีไม่สนใจ
โรงรถข้างร้านค้าเหล็กได้รับการเก็บกวาดเรียบร้อยจนมีพื้นที่กว้างขวางพอสำหรับจัดงาน โชคดีเห็นว่าแม้เดือนจะเป็นเพียงเด็กในบ้าน แต่เดือนก็ควรได้รับโอกาสพิเศษสำหรับวันที่พิเศษสุดของลูกผู้หญิง ลึกๆ ในใจชายหนุ่มอดกังวลไม่ได้ว่าสามีภรรยาวัยรุ่นคู่นี้จะพาชีวิตคู่ไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เขาบอกตัวเองว่า ตราบใดที่ยังพอดูแลได้ เขาจะคอยช่วยเหลือจนสุดความสามารถ
สมบูรณ์กับมานพ คนงานประจำร้านยกโซฟาออกมาจากหลังร้าน โชคดีรีบปรี่เข้าไปชี้จุดที่จะให้วาง แล้วยืนดูจนสองหนุ่มจัดวางโซฟาไม้สักขนาดใหญ่ให้เข้าที่แล้วจึงหันหน้าไปมองหาฤดี แม่บ้านของเบาที่รับหน้าที่จัดดอกไม้ แต่กลับเห็นใบหน้าของ “นายช่างใหญ่” อยู่ใกล้ๆ
“คุณโชคดี พักหน่อยเถอะครับ” ชยุตม์พูดเสียงนุ่ม แล้วยื่นแก้วน้ำให้ โชคดีหันซ้ายหันขวา ไม่ยื่นมือไปรับ
“ไม่มีใครมองหรอก” นายช่างทำหน้าเรียบ “ถ้าคุณกลัวว่าใครจะเห็น” ชยุตม์วางแก้วน้ำลงใกล้ๆ
“กลัวสิ” โชคดีพูดเสียงห้วน “กลัวจะมีคนเห็นว่าผมญาติดีกับคุณ”
“อ้าว” ชยุตม์หมดคำพูด อึ้งไปทันที เหมือนถูกต่อยเข้าที่ท้อง
โชคดีหันหลังเดินตรงไปยังอีกฟากหนึ่งของโรงรถแล้วสั่งให้คนไปตามแม่บ้านมาพบ ชายหนุ่มไม่แตะแก้วน้ำที่ชยุตม์ถือมาให้แม้แต่นิด
วิศวกรหนุ่มผู้กลายมาเป็น “นายช่าง” เหลือบตามมองแก้วน้ำเหมือนจะตัดพ้อ และหาคนคุยด้วย เพื่อระบายความในใจว่า ทำไมโชคดีไม่ชอบอะไรเขานักหนา
ชยุตม์ส่ายหน้า แล้วจึงตัดสินใจคุยให้รู้เรื่อง เขาอุตส่าห์พาโต๋มาขอเดือนแล้ว นี่ก็กำลังจะแต่งงานกัน ยังจะมาเกลียดกันอีก
...เป็นไงเป็นกัน มีคนอยู่กันหลายคน โชคดีคงไม่กล้าตะโกนโหวกเหวกเหมือนตอนพบกันครั้งแรกหรอก...
ชยุตม์เดินเข้ามาใกล้คนเลือดร้อนทันได้ยินเสียงเข้มสั่งเดือน
“จะแต่งอยู่แล้ว มาทำอะไรอีก ไปอาบน้ำแต่งตัว งานพวกนี้ให้คนอื่นทำ”
“ค่ะ” เดือนรับคำสั้นๆ แล้วรีบเดินหายเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้โชคดียืนเท้าสะเอวมองซ้ายมองขวาตรวจดูความเรียบร้อย
“คุณโชคดีครับ” ชยุตม์เรียก
ชายหนุ่มเจ้าของบ้านนิ่งเงียบชั่วครู่ ยกไหล่ขึ้นเหมือนสูดลมหายใจเข้าไปลึก ก่อนพ่นออกมาดังๆ แล้วหันมาเผชิญหน้าชยุตม์ช้าๆ
“คุณมีเรื่องอะไรอีก”
“ผมอยากรู้ว่าทำไมคุณถึงไม่อยากญาติดีกับผมนัก นี่ผมก็พาโต๋มาแต่งงานแล้ว ยังจะมาโกรธเกลียดอะไรกันอีก”
“ผมพูดหรือว่าเกลียด”
ชยุตม์ส่ายหน้า บทจะเจ้าคารมก็ไม่มีใครเกินโชคดี “คุณไม่พูดว่าเกลียด แต่คุณก็บอกว่าไม่อยากญาติดี มันก็คือเกลียดนั่นล่ะ”
“เปล่า” โชคดีปฏิเสธหน้านิ่ง “ถ้าเกลียด ผมไม่ให้คุณเข้ามาเหยียบบ้านผมหรอก”
“อ้าว” ชยุตม์อุทานอีกครั้ง
“ผมขอบคุณที่พาโต๋มา ซึ่งคุณอาจจะเป็นคนโน้วน้าวโต๋จริงๆ หรือโต๋อยากมาเองก็ได้แต่คุณบอกว่าพามา” โชคดีพูดเสียงเรียบ แต่ทำให้คนฟังสะอึก คิดในใจว่า...ชมหรือดูถูกเขากันแน่...
“ผมไม่เข้าใจ” ชยุตม์งง ไม่เข้าใจจริงๆ
“เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น”
“แล้วเรื่องอะไรคือประเด็นละครับ บอกผมหน่อยสิ จะได้รู้ว่าผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจ” ชยุตม์ขมวดคิ้ว ถามด้วยน้ำเสียงระอาใจ
“ยังไม่รู้” โชคดียักไหล่ พูดหน้าตาเฉย
“อ้าว” ชยุตม์อึ้งอีกแล้ว
“ถ้าผมยังไม่แน่ใจ ผมจะยังไม่พูด” โชคดีจ้องตาชยุตม์
“แล้วเรื่องไม่อยากญาติดีกับผมนี่แน่ใจแล้วหรือถึงได้พูดออกมา” ชยุตม์จ้องตากลับ
“แต่รู้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมยังไม่อยากญาติดีกับคุณ” โชคดีพูดต่อโดยไม่สนใจตอบคำถามของวิศวกรชาวกรุง “เพราะฉะนั้น กรุณาอย่าเพิ่งถาม ตอนนี้ เราก็แค่เป็นคนช่วยกันจัดงานให้เด็กสองคนนั่น คุณเองก็อย่ามัวแต่มายืนหาเรื่องผม กลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวให้ดูดี จะได้กลับมาทันงานแต่งงาน” โชคดีพูดยาว ก่อนหันไปตะโกนเรียกพงษ์ ผู้ช่วยคนสนิท
“น้าพงษ์ ให้คนไปนิมนต์พระหรือยัง”
“ยังครับ” พงษ์ตะโกนตอบกลับ
"รีบไปสิ เดี๋ยวไม่ทัน" โชคดีเร่ง
"คุณโชคดีครับ งานแต่งนะ ไม่ใช่งานศพ" พงษ์ตอบ
"อ้าวเหรอ" โชคดีทำหน้าเข้าใจ แล้วหันหน้ามาพูดกับชยตม์สั้นๆ แต่เน้นเสียงทุกคำ ก่อนจะเดินจากไป“ขอตัวนะครับ คนมีงานต้องทำจะไปทำงาน”
วิศวกรหนุ่มมองตามคนหน้าดุอย่างไม่เข้าใจตัวเอง แค่ไม่กี่วันที่รู้จักโชคดี เขารู้สึกเหมือนหมดพลังไปอย่างมาก สมองเหมือนถูกกระตุ้นด้วยการเอาเข็มทิ่มแทงทำให้ต้องรู้สึกตัวเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพราะคาดเดาไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะพูด จะทำอะไร หรือจะออกฤทธิ์อะไรอีก
ชยุตม์ไม่รู้ว่า อาจจะตกใจมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินโชคดีอวยพรคู่บ่าวสาว...คำอวยพรที่จะทำให้เขาสะดุ้งและอึ้งอีกครั้ง หลังจากสองวันที่ผ่านมาเขาอึ้งไปหลายครั้งแล้ว
***** จบบทที่ 3 *****