กอดน้องนุ่นและทุกท่านคืนเจ้าค่ะ คนอ่านของป้าน่ารักที่ซู้ด ตอนใหม่มาแล้วภายในสัปดาห์นี้ตามสัญญา (ถ้าไม่ได้จะไปเที่ยวจะมีแรงฮึดแบบนี้ไหมเนี่ย?) เนื้อหาตอนนี้น่าจะมีรายละเอียดบางอย่างที่ทำให้คนอ่านงงแน่ๆ แต่ทำเป็นหลับหูหลับตาไปละกันนะเจ้าคะ แล้วก็แนะนำว่าใครจะกินกาแฟระหว่างอ่านตอนนี้ก็ไม่ต้องใส่น้ำตาลค่ะ อ่านๆไปแล้วเดี๋ยวกาแฟที่ขมมันจะหวานเอง 555 แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าเน้อ~ตอนที่ 11.หลังจากพายุฝนกระหน่ำในยามบ่ายของวันก่อน เช้าวันถัดมาท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง ขอบฟ้าที่ตัดกับผืนทะเลในยามรุ่งสางเรื่อไปด้วยแสงสีส้มจางจากพระอาทิตย์ที่ยังไม่โผล่เหนือผิวน้ำอย่างเต็มดวง ขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องของนกทะเลดังมาให้ได้ยินจากที่ไกลๆ
ประตูห้องพักบีชฟร้อนท์สวีทถูกผลักเปิดออกอย่างช้าๆ ก่อนที่คนเปิดจะค่อยก้าวออกมายืนบนระเบียงหน้าห้อง ชายหนุ่มร่างเพรียวสูดอากาศยามเช้าริมทะเลที่เจือกลิ่นน้ำค้างจากต้นไม้ใบหญ้ารอบห้องพักเข้าเต็มปอด จากนั้นจึงเหลียวกลับไปมองร่างที่ยังนอนหลับไหลอยู่บนเตียงกลางห้อง
แม้ว่าภายในห้องจะค่อนข้างสลัวเพราะว่าผ้าม่านถูกรูดปิดไว้ทุกด้าน แต่เนื่องจากอีกฝ่ายนอนตะแคงหันมาทางเขา ภัทรจึงเห็นได้ถนัดว่าเปลือกตาทั้งสองของเชษฐ์ยังปิดสนิท แผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงรับกับจังหวะหายใจสม่ำเสมอ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวยังไม่รู้สึกตัวตื่นหรือรับรู้ว่าเขาลุกจากเตียงแล้ว ชายหนุ่มจึงพยายามงับประตูตามหลังโดยไม่ให้เกิดเสียงดัง จากนั้นก็พ่นลมออกจากปากเบาๆขณะหมุนตัวหันหลังให้ประตู
นัยน์ตาเรียวทอดมองไปยังท้องทะเลกว้างเบื้องหน้า ผืนฟ้าด้านบนยังเป็นสีเทาหม่นเนื่องจากแสงอาทิตย์ยังอ่อนเกินกว่าจะฉายให้เห็นสีฟ้าใส ร่างเพรียวเดินเท้าเปล่าไปทรุดตัวลงบนม้านั่งที่ทำจากไม้ซึ่งตอกติดกับระเบียงห้องทั้งแถบและมีช่องพอจะให้สอดขาเข้าไปนั่งห้อยขาได้ จากนั้นก็วางแขนทั้งสองประสานกันบนขอบพนักและเอาคางเกยไว้ด้านบน สายลมยามเช้าตรู่พัดมาไล้ตัวอย่างแผ่วเบาแต่ก็ไม่ถึงกับทำให้รู้สึกหนาว เขาจึงไม่นึกอยากลุกไปหาผ้ามาห่มและปักหลักนั่งมองทิวทัศน์หน้าห้องอยู่อย่างนั้น
ตื่นก่อนอีกแล้วสิ...ทั้งที่เวลานอนคนเดียวจะไม่ตื่นเช้าแบบนี้ในวันหยุดแท้ๆ
ภัทรคิดในใจขณะแกว่งขาไปมาอย่างเนือยๆ เนื่องจากส่วนระเบียงที่ยื่นออกไปนั้นสูงจากพื้นทรายประมาณหนึ่งฟุตกว่า เมื่อเขาห้อยขาออกไปจึงแตะไม่ถึงพื้น ลมทะเลยามเช้าพัดผมด้านหน้าให้ปลิวมาเข้าตาจนต้องยกมือเสยเป็นระยะ ทำให้เขาตั้งใจว่ากลับไปกรุงเทพฯเมื่อไหร่คงต้องไปตัดผมเสียที
ชายหนุ่มนั่งมองขอบฟ้าค่อยๆเปลี่ยนสีโดยไม่รู้สึกง่วงหรืออยากกลับเข้าไปนอนเลยสักนิด ไม่ช้า แสงเรืองรอบพระอาทิตย์สีส้มดวงใหญ่ก็เริ่มขยายขอบเขตจนกลืนผืนฟ้าสีเทาหม่นให้สดใสขึ้นทีละน้อย ความสว่างนั้นช่วยขับรูปทรงของเรือประมงและหมู่เกาะที่อยู่ไกลลิบให้เป็นสีเข้มตัดกับฟ้าเบื้องหลังมากยิ่งขึ้น และทำให้ภัทรรู้ตัวว่าตนคงออกมานั่งเล่นคนเดียวได้นานพอสมควรแล้ว
มือเรียวล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกง จากนั้นก็กดเปิดเครื่องแล้วรออยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มไล้นิ้วโป้งบนหน้าจอเบาๆเมื่อพบว่าเครื่องหาสัญญานเจอ นัยน์ตาใสกระจ่างจับจ้องที่ตัวเลขแสดงเวลาพลางคิดถึงคนที่ตั้งใจจะไปเยี่ยมในวันนี้
ปกติน้าจินชอบตื่นเช้าไปตักบาตร ตอนนี้เกือบจะเจ็ดโมง...ก็น่าจะตื่นได้สักพักแล้วล่ะมั้ง
ภัทรคิดในใจก่อนจะกดโทรออกแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เสียงเพลงรอสายซึ่งเป็นเพลงของนักร้องลูกกรุงชื่อดังสมัยก่อนเขาเกิดดังให้ได้ยินครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตัดเป็นเสียงพูดของหญิงวัยกลางคนที่ภัทรคุ้นหูเป็นอย่างดี
“ฮัลโหล? ภัทรเหรอลูก?”
เสียงที่ไม่ว่าเมื่อใดก็สะท้อนถึงความรักใคร่เอ็นดูอย่างเต็มเปี่ยมเอ่ยทักมาตามสาย อาจเพราะปกติน้าของเขาเป็นคนพูดช้าและเสียงเบา เวลาคุยโทรศัพท์ภัทรจึงต้องคอยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจทุกครั้ง ทว่าน้ำเสียงจากญาติผู้ใหญ่ที่เคารพซึ่งไม่ได้ยินมาหลายเดือนก็ทำให้ความคิดถึงพลุ่งขึ้นจนขอบตาร้อนผ่าว ชายหนุ่มจึงรีบสูดน้ำมูกและใช้อุ้งมือข้างที่ว่างเช็ดหยาดน้ำตรงหางตาออกไป
“ครับน้าจิน ผมเอง ผมไม่ได้โทรมาปลุกน้าจินใช่มั้ย?”
ภัทรรีบถาม เพราะตั้งแต่หลังปีใหม่เขาก็ไม่ได้ติดต่อไปหาน้าสาวและน้าเขยเลย ดังนั้นหากพบว่าตนโทรไประหว่างที่น้ายังไม่ตื่นนอนก็คงรู้สึกเสียมารยาทมาก ทว่าปลายสายกลับหัวเราะเบาๆ
“น้าก็ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าทุกวันนั่นแหละ ว่าแต่เราเถอะ ปกติวันหยุดต้องตื่นแปดเก้าโมงโน่นไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มีอะไรหรือเปล่าถึงได้โทรมาเสียเช้าเชียว? หรือว่ามีใครเป็นอะไรไป?”
น้ำเสียงของคนถามร้อนใจขึ้นเมื่อถึงประโยคสุดท้าย ภัทรจึงส่ายหน้ายิ้มๆทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็น “เปล่าครับ ผมแค่คิดถึง แล้วก็...เอ่อ ผมจะถามว่าวันนี้น้าจินกับน้าบรรณอยู่บ้านกันหรือเปล่า พอดีผมกะว่าช่วงสายๆจะเข้าไปหา...”
ภัทรตอบเสียงสะดุดเล็กน้อย ทั้งที่ความจริงแล้วเขาก็ใช้ชีวิตที่บ้านเดียวกับน้าทั้งสองอยู่หลายปีสมัยเรียนมัธยม เนื่องจากพี่สาวแยกไปอยู่หอเพราะพ่อกับแม่เสียตอนที่แพนเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว ดังนั้นบ้านที่จันทบุรีก็เปรียบเหมือนบ้านอีกหลังของเขา แถมน้าทั้งสองยังเอ็นดูเขามากเพราะไม่มีลูก ดังนั้นภัทรจึงไม่จำเป็นจะต้องรู้สึกเกรงใจกับการเข้าไปเยี่ยมก็ได้ แต่คงเพราะว่าการไปครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว ชายหนุ่มจึงรู้สึกเกร็งนิดหน่อย
คู่สนทนาได้ยินคำถามก็อุทาน “อ้าว! ตายจริง ไปยังไงมายังไงถึงจะมาวันนี้ละนี่ ตอนนี้น้าจินกับน้าบรรณมาช่วยงานบวชของลูกเพื่อนที่ชุมพรอยู่นะลูก ไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน ทำไมไม่บอกล่วงหน้าก่อนว่าจะมาเยี่ยมละจ๊ะ น้าจะได้รู้ว่าภัทรจะมาหา จะได้บอกปัดทางนี้เขาไป”
เสียงของผู้เป็นน้าเอ่ยติงเบาๆ ชายหนุ่มจึงรู้สึกว่าสีหน้าของตัวเองเจื่อนลง
“...ขอโทษครับ พอดีผมมาเที่ยวระยองเมื่อวาน แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้น่าจะแวะไปหาน้าจินก่อนกลับกรุงเทพฯเสียหน่อย เลยไม่ได้โทรมาบอกล่วงหน้าไว้ก่อน”
ภัทรอธิบายเสียงอ่อย ถึงแม้ใจหนึ่งจะนึกเสียดายที่จะไม่ได้พาเชษฐ์ไปเยี่ยมน้าของเขา แต่ความเสียดายที่ตนพลาดโอกาสได้พบผู้มีพระคุณทั้งสองนั้นมีมากกว่าเสียอีก
เสียงถอนหายใจเบาๆดังมาตามสาย “ไม่เป็นไรหรอก เอาเป็นว่าคราวหน้าเราก็บอกน้าแต่เนิ่นๆก็แล้วกันว่าจะมา นี่น้าบรรณก็บ่นว่าเดี๋ยวนี้หลานๆไม่ติดต่อมาหาเลย คนแก่ก็เหงาเป็นนะจ๊ะ ฝากบอกแพนด้วยว่าพวกน้าอยากเจอมายูมิ ถ้าเขาว่างเมื่อไหร่ให้พายายตัวเล็กมาให้อุ้มบ้าง”
เมื่อได้ยินผู้เป็นน้าเอ่ยถึงพี่สาวกับหลาน ภัทรจึงยิ้มออกได้ ชายหนุ่มตอบรับด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้นเมื่อนึกถึงแก้มยุ้ยๆและความช่างฉอเลาะของหลานสาว “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกพี่แพนให้ แต่ช่วงนี้เห็นว่าพี่โทรุเขายุ่งๆ อาจจะต้องรอให้ว่างก่อน แล้วคงได้พากันไปเยี่ยมน้าจินพร้อมหน้าทั้งครอบครัว”
ภัทรได้ยินคู่สนทนาหัวเราะเบาๆ จากนั้นอีกฝ่ายก็เงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงที่ขรึมขึ้น
“จริงสิ…ว่าก็ว่าเถอะ แล้วช่วงนี้ภัทรเป็นยังไงบ้างลูก ของพี่แพนน่ะน้าไม่ห่วงเขาแล้ว แต่ของเรานี่สิ ได้เจอใครบ้างหรือยัง? ตาคนเก่านั่นน่ะเลิกคิดถึงได้แล้วนะ หรือถ้าเบื่อกรุงเทพฯเมื่อไหร่ก็กลับมาอยู่กับน้าก็ได้ งานที่เมืองจันทน์ก็มีให้ภัทรทำออกเยอะแยะ เดี๋ยวให้น้าบรรณถามพวกเพื่อนๆเค้าให้ก็ได้”
ผู้เป็นหน้าถามไถ่ก่อนจะตบท้ายด้วยการหว่านล้อมเช่นทุกครั้ง ภัทรจึงยิ้มบางๆ น่าแปลกที่แม้เวลาจะผ่านมาจนป่านนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกหน่วงๆในอกส่วนลึกยามได้ยินใครพูดถึงธรทุกครั้ง ถึงแม้คนพูดจะไม่ได้เอ่ยชื่อก็ตาม นั่นคงเป็นเพราะแผลในใจของเขายังรักษาไม่หายสนิทร้อยเปอร์เซ็นต์เสียทีกระมัง
แต่ว่า...ความรู้สึกอึดอัดนั้นก็ไม่ได้มากเท่ากับเมื่อตอนที่เขาถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวใหม่ๆ เพราะว่าตอนนี้ ภัทรตระหนักดีว่าตนเองไม่ได้ ‘ตัวคนเดียว’ อีกต่อไปแล้ว
“น้าจินไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นแล้วล่ะครับ ผม...เอ้อ...”
ภัทรเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วก็ไปต่อไม่ได้ นี่เขาควรจะพูดว่ายังไงดีล่ะ ‘ผมมีแฟนใหม่แล้ว’ งั้นเหรอ? จริงอยู่ว่าหากบอกไปน้าจินคงสบายใจขึ้น แต่ทำไมเขาถึงยังกระดากปากก็ไม่รู้สิ...
ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง นึกขัดใจกับความหน้าบางของตัวเองในเวลาเช่นนี้ แต่คงเพราะอีกฝ่ายเลี้ยงดูเขามาหลายปีตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น คำตอบสั้นๆที่ได้จึงทำให้ผู้เป็นน้าปะติดปะต่อเรื่องราวได้เอง
“หือ? ตกลงว่าภัทรมีใครแล้วเหรอลูก? งั้นที่จะมาเยี่ยมน้าวันนี้ก็คือจะพาเขามาด้วยใช่หรือเปล่า?”
เสียงพูดที่เร็วและดังขึ้นเล็กน้อยบอกให้รู้ว่าคนพูดกำลังตื่นเต้น ภัทรจึงได้แต่ยิ้มแล้วถอนหายใจด้วยความระอาตัวเอง ทำไมคนรอบตัวถึงมีแต่คนที่อ่านเขาออกทั้งนั้นเลยนะ มีแต่เขานี่ล่ะ…อ่านใครไม่เคยออกเลยสักคน
“…ก็ทำนองนั้นล่ะครับน้าจิน พอดีผมก็ไม่ทันรู้ว่าจะโดนพามาระยอง เพิ่งมานึกได้ก็ตอนถึงที่นี่แล้วว่ามันใกล้เมืองจันทน์นิดเดียวเอง แต่ถ้าน้าจินไม่อยู่ก็คงต้องนัดกันใหม่”
ภัทรพูดพลางเอียงหน้าลงบนแขนข้างที่ยังวางไว้บนขอบพนัก แต่สองตายังคงมองไปยังพระอาทิตย์ที่เริ่มลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ สีฟ้าสดของฟ้ายามเช้าเริ่มแผ่ตัวกลบความหม่นทึบของฟ้าใกล้รุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และคงเพราะความสนใจของเขาถูกจดจ่ออยู่กับคู่สนทนาในสาย ชายหนุ่มจึงไม่ทันได้ยินเสียงเปิดประตูห้องที่ดังขึ้นจากด้านหลังเลยสักนิด
“อืม...น่าเสียดายจัง ยังไงคราวหน้าภัทรโทรมาบอกน้าก่อนจะมาก็แล้วกันนะลูกนะ แล้วก็พาเขามาด้วย น้าสองคนจะได้รู้จักไว้ ว่าแต่เขาดีกับภัทรใช่มั้ย? น้าเป็นห่วง...กลัวเราจะเจอคนไม่ดีอีกนี่แหละ”
ท้ายประโยคจบลงด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวล ภัทรได้ยินดังนั้นก็ยกมุมปากขึ้นน้อยๆ ชายหนุ่มนึกดีใจว่าถึงแม้ตนจะเสียพ่อกับแม่ไปตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น แต่ว่าครอบครัวของน้าที่รับเขาไปดูแลก็คอยให้ความเอาใจใส่และคอยให้กำลังใจทุกเรื่อง แม้เมื่อยามที่รักครั้งแรกจบลงด้วยความผิดหวัง แต่น้าทั้งสองก็ไม่เคยซ้ำเติมว่าภัทรหาเรื่องใส่ตัว และเพราะช่วงนั้นพี่สาวของเขายังอยู่ที่ญี่ปุ่นและไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ภัทรจึงมีที่พึ่งทางใจเพียงครอบครัวของน้าที่จันทบุรีเท่านั้น หากตอนนั้นไม่มีน้าจินกับน้าบรรณ เขาก็คงไม่สามารถรวบรวมความเข้มแข็งกลับคืนได้เร็วอย่างที่ผ่านมาแน่
“ครับ...ถ้าเรื่องนั้นน้าจินไม่ต้องห่วง เขาเป็นคนดีครับ”
คราวนี้ภัทรตอบได้อย่างเต็มเสียง เพราะเขามั่นใจในทุกคำที่พูดออกไป ถึงแม้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะนับได้ว่ายังอยู่ในขั้นทำความเรียนรู้กันและกัน แต่เขาก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเส้นทางของเขากับเชษฐ์จะไม่ย้ำรอยความรักครั้งก่อนอย่างแน่นอน
“...ถ้าเราว่าอย่างนั้น น้าก็เบาใจ”
เสียงของผู้เป็นน้ากลับไปเบาลงและเนิบนาบตามเสียงพูดปกติ จากนั้นทั้งสองก็ถามไถ่กันเรื่องความเป็นไปของแต่ละฝ่ายเพิ่มอีกเล็กน้อย ภัทรให้สัญญาว่าจะหาโอกาสไปเยี่ยมก่อนสิ้นปีก่อนที่จะวางสาย ทว่ายังไม่ทันจะเก็บโทรศัพท์มือถือกลับเข้ากระเป๋ากางเกง เสียงกระแอมจากคนที่มายืนอยู่ข้างหลังก็ทำเอาเขาสะดุ้ง
“แอบลุกออกมาก่อนอีกแล้วนะ”
“คุณเชษฐ์!”
ภัทรหันขวับไปหาเจ้าของเสียง แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายยืนเอามือล้วงกระเป๋าอยู่ด้านหลังเขาในระยะห่างออกไปเพียงไม่กี่คืบ ทว่าแม้น้ำเสียงจะฟังเหมือนดุ นัยน์ตาคมหลังเลนส์แว่นกลับทอยิ้มน้อยๆ
“...ก็พอตื่นแล้ว ผมหลับต่อไม่ลงนี่ครับ”
คนที่นั่งอยู่เอ่ยแก้ตัวเสียงอ่อย ร่างสูงใหญ่จึงก้าวไปหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ แต่ไม่ได้หันออกไปนั่งห้อยขาเหมือนภัทร มือใหญ่ยกขึ้นเกลี่ยปอยผมที่โดนลมพัดจนเกือบเข้าตาของคนข้างๆแล้วเสยไปด้านหลังให้
“นอนข้างฉันแล้วหลับไม่สนิทหรือไง? ฉันว่าฉันก็ไม่ได้นอนดิ้นหรือกรนนี่”
เชษฐ์เอ่ยถาม เพราะหากว่าไม่นับรวมวันนี้ เช้าวันก่อนที่ไปนอนที่บ้านของคุณผู้จัดการ ภัทรก็ตื่นก่อนแล้วแอบเดินลงไปที่ห้องครัวก่อนเหมือนกัน จึงช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะสันนิษฐานว่าการที่อีกฝ่ายตื่นเช้ากว่านั้นมีสาเหตุมาจากตัวเอง
ภัทรได้ยินคำถามก็ทำตาโตและรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่นะครับ! ไม่เกี่ยวกับคุณเชษฐ์เลย พอดีผมแค่...ยังไม่ชิน...ก็เท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มหลบตาแล้วก็ตอบเสียงอุบอิบ เพราะอีกฝ่ายเล่นจ้องเขาจริงๆจังๆจนเกือบจะเหมือนคาดคั้น แต่ว่าเหตุผลที่ภัทรให้ไปนั้นเป็นจริงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น จริงอยู่ว่าเขาไม่ได้นอนเคียงข้างใครมานาน ดังนั้นจึงยังไม่คุ้นกับการนอนบนเตียงที่มีคนอีกคนอยู่ด้วย แต่อีกสาเหตุที่ภัทรไม่อยากพูดออกมาก็คือ เพราะเขามักจะยังสับสน เกรงว่าความอบอุ่นที่ได้สัมผัสในยามหลับนั้นเป็นความฝันที่จะสลายไปเมื่อตื่นขึ้นมา ดังนั้นเมื่อลืมตาขึ้นและได้เห็นร่างสูงใหญ่ที่นอนอยู่ข้างๆจึงทำให้รู้สึกโล่งใจ แต่นั่นก็ส่งผลให้เขาข่มตาหลับต่อไม่ลงไปด้วยเหมือนกัน
เชษฐ์มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ทำทีเป็นมองไปยังท้องทะเล อาจเป็นเพราะทั้งสองคบกันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เขาจึงพอรู้ว่าด้วยนิสัยของภัทรนั้น ถ้าหากตั้งใจแล้วว่าจะไม่พูด ต่อให้โดนเค้นถามแค่ไหนก็ไม่มีวันพูด ร่างสูงจึงส่ายหน้าแล้วยกมือขึ้นตบไหล่บางเบาๆ
“เอาเถอะ ถ้าเพราะยังไม่ชินก็แล้วไป ว่าแต่เมื่อกี้โทรหาน้าเธอแล้วใช่มั้ย ตกลงว่ายังจะไปเยี่ยมกันอยู่หรือเปล่า?”
ภัทรมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม...ก็เมื่อกี้มาแอบยืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งนานไม่ใช่หรือไง นี่คุณเชษฐ์ทันได้ฟังบทสนทนาตั้งแต่ช่วงไหนกันแน่…
ภัทรคิดขณะหันกลับไปหาคนถาม เขาพยายามจะอ่านสีหน้าของคุณผู้จัดการให้ออก แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้เพราะไม่ได้ความกระจ่างใดๆเลย จึงตอบออกไปตามตรง
“น้าจินกับน้าบรรณไปชุมพรอยู่น่ะครับ ตอนนี้ถึงไปที่บ้านก็ไม่เจอใครอยู่ดี น้าผมบอกว่าถ้าจะไปหาคราวหน้าก็โทรไปบอกก่อน เขาจะได้รู้แล้วจะได้อยู่รอ”
ผู้สูงวัยกว่าได้ยินก็พยักหน้า “อืม...เข้าใจละ งั้นวันนี้พวกเราก็ว่างกันแล้วสิ”
รูปประโยคทำให้คิดว่าคนพูดรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะเป็นคำถาม ภัทรจึงพยักหน้าเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร เชษฐ์มองหน้าอีกฝ่ายแล้วก็ยิ้ม
"งั้นไปกินข้าวเช้าก่อน ไหนๆก็มีเวลาเหลือแล้ว เดี๋ยวแวะเที่ยวตามทางก่อนกลับกรุงเทพฯก็แล้วกัน”
++------++
หลังจากทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของรีสอร์ทเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็เก็บข้าวของแล้วเช็คเอ๊าท์ออกจากที่พักก่อนเวลาเที่ยงเล็กน้อย ขากลับคราวนี้เชษฐ์ไม่ได้ขับรถเร็วเหมือนขามา และพาแวะเที่ยวตลอดทางเหมือนกับยังไม่อยากให้ถึงกรุงเทพฯเร็วนัก แต่ว่าภัทรก็ไม่ได้ทักท้วงเพราะเขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนจะกลับเหมือนกัน
และที่สำคัญ...เขาก็รู้ดีว่าหลังจากนี้ทั้งสองคงไม่มีเวลาได้ไปไหนมาไหนกันแบบนี้อีกหลายเดือน เพราะว่าตอนนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงที่ใกล้การจัดงานมหกรรมที่ทางบริษัทของเขาจัดเป็นประจำทุกปี หรือที่คนในบริษัทเรียกกันว่าช่วง ‘หน้างาน’ แล้ว
บริษัทที่ภัทรและเชษฐ์ทำงานนั้นเป็นบริษัทจัดงานแสดงมหกรรมเครื่องจักรและเทคโนโลยี ซึ่งต่างจากบริษัทจัดงานอิเว้นท์ทั่วไปตรงที่ไม่ได้รับทำประชาสัมพันธ์หรือกิจกรรมส่งเสริมการขายให้ลูกค้ารายใดรายหนึ่ง แต่ดำเนินธุรกิจด้วยวิธีเหมาสถานที่สำหรับจัดแสดงงานในช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็ขายพื้นที่ให้ลูกค้าเพื่อนำเครื่องจักรและอุปกรณ์อื่นๆมาออกบู๊ธ และผู้ที่จะมาชมงานหรือเลือกซื้อก็คือวิศวกรหรือเจ้าของกิจการด้านการรับช่วงผลิต ซึ่งนับได้ว่าเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างเฉพาะทางมาก และถึงแม้บริษัทของภัทรจะไม่ใช่รายเดียวในประเทศที่จัดงานลักษณะเช่นนี้ แต่ว่าก็มีคู่แข่งน้อยรายเนื่องจากบริษัทอื่นจะเน้นจัดงานที่ขายผลิตภัณฑ์สำเร็จเช่นเฟอร์นิเจอร์หรืองานเลหลังสินค้ากันเสียมากกว่า และที่สำคัญก็คือคุณปรีชาซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ก่อตั้งบริษัทก็เป็นหนึ่งในผู้ที่บุกเบิกธุรกิจนี้เป็นรายแรกๆในประเทศ ก่อนที่ต่อมาจะนำบริษัทไปเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของบริษัทแนวเดียวกันในยุโรปซึ่งใหญ่กว่าและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ดังนั้นทุกงานที่จัดจึงค่อนข้างมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนในวงการ แม้แต่ชาวต่างประเทศที่อยู่ในแวดวงก็ยังบินมาเยี่ยมชมงานทุกปี และการจัดงานแต่ละครั้งก็มีเงินหมุนเวียนเป็นหลักเกือบพันล้าน
ภายในการจัดงานแต่ละครั้งนั้นจะไม่ได้มีการนำเสนอแบบรวมทุกอุตสาหกรรม แต่ว่ามีการแยกตามสายอุตสาหกรรมด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้คนที่เป็นเซลส์ขายพื้นที่แบ่งงานกันง่ายขึ้นโดยไม่ต้องแย่งลูกค้ากัน อย่างเช่นงานที่เน้นอุตสาหกรรมพลาสติกก็ขายพื้นที่ให้แต่บริษัทที่ขายเครื่องจักรฉีดพลาสติก งานที่เน้นอุตสาหกรรมแม่พิมพ์ก็ขายพื้นที่ให้แต่บริษัทที่ขายเครื่องผลิตแม่พิมพ์ โดยเซลส์ของแต่ละงานจะอยู่ใต้การดูแลและวางแผนโดยผู้จัดการโปรเจ็กต์อีกที จึงเป็นที่มาว่าทำไมบริษัทของภัทรจึงมีผู้จัดการโปรเจ็กต์ถึงสี่คน และเพราะการขายพื้นที่ในงานแบบนี้นั้น ลูกค้าที่สนใจจะออกบู๊ธต้องเสียค่าซื้อพื้นที่เป็นเงินหลักแสนหรือหลักล้านทั้งที่จัดแสดงเพียงสี่วัน ขึ้นอยู่กับว่าเลือกใช้พื้นที่มากแค่ไหนและซื้อแพคเกจประชาสัมพันธ์แบบใด การจะขายพื้นที่จึงต้องทำกันล่วงหน้าปีต่อปี คนที่เป็นผู้จัดการและเซลส์ของแต่ละโปรเจ็กต์จึงต้องทำงานหนักกันข้ามปีเพื่อจะขายพื้นที่ให้ได้มากที่สุด
ในแต่ละวันที่เซลส์ออกไปพบลูกค้า แผนกอื่นๆก็ต้องช่วยกันสนับสนุนการขายด้วย โดยทีมประชาสัมพันธ์ก็ต้องเขียนข่าวและจัดกิจกรรมให้งานเป็นที่รู้จัก ทีมก๊อปปี้ไรเตอร์และกราฟฟิคดีไซน์เนอร์ก็ต้องทำโบรชัวร์หรือสื่อโฆษณาเพื่อดึงดูดลูกค้าที่มีแนวโน้มว่าจะมาออกบู๊ธ ทีมคอลเซ็นเตอร์ก็ต้องโทรและส่งอีเมล์ติดต่อเชิญชวนทั้งผู้ที่มีแนวโน้มจะมาออกงานและมาชมงาน และเมื่อถึงกำหนดเวลาปิดการขาย ฝ่ายเซลส์ก็จะสรุปยอดผู้เข้าออกแสดงสินค้าและส่งต่อรายชื่อรวมทั้งตำแหน่งออกบู๊ธของลูกค้าแต่ละรายให้แก่ฝ่ายโอเปอเรชัน ซึ่งแผนกนี้ต้องรับช่วงในการประสานงานระหว่างลูกค้ากับสถานที่จัดงานให้ตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังงานจบและรื้อถอนบู๊ธ ซึ่งงานของภัทรจะตกอยู่ในส่วนนี้นั่นเอง ถึงแม้กระบวนการต่างๆเหล่านี้จะดูเหมือนง่าย แต่ว่าความจริงแล้วกินเวลาและมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมากทีเดียว กว่าภัทรจะเข้าใจถึงสิ่งที่รุ่นพี่ของเขาช่วยสอนให้ก็ยังต้องใช้เวลาร่วมปี และหลังจากที่เคยได้ผ่านงานของปีก่อนมาแล้ว คราวนี้เขาจึงรู้ว่าช่วงที่ทุกคนในบริษัทจะยุ่งที่สุดก็คือช่วงหนึ่งเดือนสุดท้ายก่อนจะเปิดงาน หรือก็คือช่วงนี้นั่นเอง
จริงอยู่ว่าภัทรเป็นคนมีนิสัยมุ่งมั่นกับการทำงาน เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าและได้ทำสิ่งที่มีประโยชน์ให้กับบริษัท แต่ขณะเดียวกัน ส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นนั้นก็มาจากความที่เขาต้องการหาอะไรทำเพื่อดึงความสนใจจากการจมจ่อมอยู่กับอดีต และมันก็ได้ผลจริงๆจนทำให้ภัทรแทบไม่ค่อยสมาคมหรือสังสรรค์กับคนในบริษัทนัก แต่ว่าเขาก็ไม่เคยได้มานั่งนึกเสียดายตรงจุดนี้ และถ้าหากเป็นเมื่อก่อนแล้วล่ะก็ ภัทรก็คงไม่นึกเสียดายหรืออาลัยเวลาสำหรับการพักผ่อนมากขนาดนี้อย่างแน่นอน แต่เพราะตอนนี้เขาเริ่มพบว่าตัวเองกำลังได้ค้นพบตัวตนที่ทำหายไปอีกครั้งจากการได้ใช้เวลาอยู่กับเชษฐ์ การเดินทางกลับกรุงเทพฯคราวนี้จึงอวลไปด้วยความรู้สึกดีใจปนเหงาหงอย รวมทั้งความรู้สึกที่อยากจะยืดเวลาที่พวกเขายังไม่ต้องกลับไปเผชิญกับชีวิตการทำงานให้เนิ่นนานขึ้นอีกนิดด้วย