ตอนใหม่....มาไวกว่าที่คาด หุหุหุ (แต่ตอนต่อจากตอนนี้ไม่แน่ใจ) ตอนที่ 15.การประชุมลูกค้าใหม่ในช่วงบ่ายเริ่มขึ้นและดำเนินไปอย่างราบรื่น สมกับที่ป๋วยตระเตรียมเนื้อหาและซักซ้อมมาอย่างดีหลายครั้ง ทำให้แม้ว่าลูกค้าจะถามคำถามยิบย่อยแค่ไหนในช่วงท้าย หญิงสาวก็สามารถตอบได้โดยไม่ติดขัด
ตรงกันข้าม ภัทรกลับไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่ เพราะหน้าที่หลักของเขาคือเตรียมเอกสารสำหรับผู้เข้าประชุมซึ่งเสร็จไปตั้งแต่เมื่อเช้า ตอนนี้หน้าที่ของเขาจึงเหลือเพียงถ่ายภาพบรรยากาศด้วยกล้องดิจิตอลที่เบิกยืมมาจากฝ่ายแอดมิน เพราะต้องนำไปทำรายงานการประชุมภายหลัง
รูปแบบการจัดห้องประชุมโดยเรียงโต๊ะเป็นสองแถวและมีที่ว่างตรงกลางช่วยให้ภัทรเดินถ่ายรูปได้ง่ายขึ้น โดยระหว่างที่ป๋วยพูดและบรรยายรายละเอียดที่ฉายบนสกรีน เขาก็จะย้ายที่ไปตามมุมที่ว่างเพื่อเก็บภาพที่จะเห็นท่าทางของคนที่มาเข้าฟังให้ชัดเจนที่สุด
แต่ก็ยังมีมุมหนึ่งของห้องที่เขาไม่ค่อยได้หันกล้องไปหาเท่าไรนัก
ภัทรตระหนักดีตลอดเวลาที่ประชุมว่าธราธรก็นั่งอยู่ในห้องด้วย แต่โชคยังดีที่ตั้งแต่ป๋วยเริ่มเปิดประชุม ฝ่ายนั้นก็ตั้งใจฟังโดยไม่ได้หันมาสนใจเขา ภัทรจึงไม่ค่อยรู้สึกกระวนกระวายเท่าตอนที่เจอกันในศูนย์อาหารเมื่อตอนเที่ยง
คงเพราะตกใจที่ได้เจอกันตรงๆ หลังจากไม่ได้เจอมานานเท่านั้นแหละ อีกอย่างพวกเราก็ตัดความสัมพันธ์กันมาเกินสองปีแล้วนะ ไม่ควรจะจำเอาไว้ให้เจ็บใจเลยสักนิด...
ภัทรเตือนตัวเองขณะเหลียวไปมองแผ่นหลังอันคุ้นตา ... ‘เคย’ คุ้นตาซึ่งกำลังนั่งฟังการประชุมอยู่หน้าห้อง อดจะตำหนิตัวเองไม่ได้ว่าช่างวิตกกังวลมากไป จากนั้นก็เดินไปด้านหลังห้องเพื่อเก็บภาพบรรยากาศต่อ
หลังจากการประชุมชี้แจงข้อมูลจบลงตามเวลาที่กำหนด ป๋วยก็กล่าวปิดประชุมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขณะยืนมองลูกค้าค่อยๆ ทยอยเดินออกจากห้องประชุม ภัทรเก็บกล้องดิจิตอลใส่ลงในซองหนังแล้วก็เดินเข้าไปหารุ่นพี่หลังจากทุกคนออกจากห้องหมดแล้ว
“เสร็จเสียที รู้สึกเหมือนเตรียมเนื้อหามาตั้งนานแต่ได้พูดแป๊บเดียวเอง”
ป๋วยพึมพำอย่างโล่งใจจนภัทรหัวเราะ “ก็ไม่แป๊บนะพี่ป๋วย ประชุมตั้งเกือบสองชั่วโมงแน่ะ แต่โชคดีนะที่ไม่ค่อยมีใครถามอะไรยากๆ เท่าไหร่”
รุ่นพี่สาวฟังแล้วก็ย่นจมูก “อย่าลืมสิยะว่าลูกค้ากลุ่มนี้เพิ่งจะมาออกงานกับเราครั้งแรก เดี๋ยวไว้ใกล้ๆ ช่วงจัดงานเมื่อไหร่คงมีเรื่องให้ต้องโทรมาถามกันอีกเยอะอยู่หรอก”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ขณะช่วยรุ่นพี่ปิดไฟและเก็บโน้ตบุ๊คเพื่อเอากลับไปที่ห้องทำงาน หลังจากตรวจความเรียบร้อยแล้วก็เดินออกจากห้องประชุมด้วยกัน แต่ขณะที่จะเดินผ่านล็อบบี้ด้านหน้าทางเข้า ฝีเท้าของภัทรก็ชะลอลงเมื่อสายตาปะทะเข้ากับร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงโซฟารับแขก
เช่นเดียวกับรอยยิ้มบนริมฝีปากที่เลือนลงแทบจะทันทีเหมือนกัน
“พี่ภัทร พอดีลูกค้าคนนี้บอกว่าอยากรอพบพี่ภัทรน่ะค่ะ”
กุ้งซึ่งนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์รีเซปชั่นหันมาบอก ขณะเดียวกับที่ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากโซฟาโดยที่มือข้างหนึ่งล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง นัยน์ตาคมเด็ดเดี่ยวและรอยยิ้มจางๆ บนมุมปากดูมีเสน่ห์ดึงดูดที่หากใครได้เห็นคงยากจะปฏิเสธ และภัทรก็เคยพ่ายแพ้แก่สายตาคู่นั้น...สมัยที่ทั้งคู่ยังเป็นนักศึกษาและธราธรเป็นฝ่ายที่มาแสดงความสนใจเขาก่อน จนสุดท้ายเขาก็กลายเป็นฝ่ายที่หลงความช่างตื๊อและมั่นใจในตัวเองนั้นจนถอนตัวไม่ขึ้นในภายหลัง
แต่นั่นเป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมานานจนเขาไม่อยากจะนึกถึง...
“อ้าว คุณธร? จริงสิ ไม่เจอเพื่อนเก่าตั้งนานคงคิดถึงสินะคะ ถ้างั้นเดี๋ยวพี่เอาโน้ตบุ๊คกับกล้องไปเก็บเองก็ได้ภัทร เธอคุยกับคุณธรตามสบายเถอะ”
ดูเหมือนสัญชาตญาณของรุ่นพี่สาวที่มักเฉียบคมเสมอจะฝืดไปในวันนี้ เพราะป๋วยไม่ได้เอะใจกับใบหน้าซีดเผือดของภัทรเลยแม้แต่น้อย และเพียงแต่หยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊คและถุงใส่กล้องไปจากมือเขาก่อนจะยิ้มให้ธราธรขณะเดินกลับไปยังห้องทำงาน ทิ้งให้ภัทรต้องยืนต้อนรับคนที่ไม่อยากพบที่สุดอยู่คนเดียว
“จะรับกาแฟหรือชาไหมคะ? เดี๋ยวกุ้งจะได้ให้แม่บ้านจัดมาให้”
สาวน้อยหนึ่งเดียวที่ยังอยู่ตรงนั้นถามขึ้นตามหน้าที่ ธราธรจึงปฏิเสธยิ้มๆ “ไม่ต้องหรอกครับ ผมแค่อยากคุยกับภัทรเฉยๆ”
นัยน์ตาแวววามที่เบนมาทางเขาตอนเรียกชื่อทำให้ไหล่ของภัทรเกร็งขึ้น ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังคงโดดเด่นและสะดุดตาไม่เปลี่ยน แต่ภัทรกลับรู้สึกถึงกลิ่นอายที่ทำให้ใจไม่สงบและอยากหนีจากตรงนั้นให้ไกล
“เดี๋ยวพี่ไปคุยที่ห้องประชุมเล็กดีกว่ากุ้ง ไม่มีใครจะใช้ห้องนั้นใช่ไหม?”
ภัทรเบนสายตาไปถามรุ่นน้องสาว กุ้งจึงเช็คตารางให้ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีค่ะพี่ภัทร วันนี้ห้องประชุมเล็กว่างยาวตั้งแต่เช้าเลยค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าพลางชำเลืองมองคนที่ยืนเยื้องไปด้านหลัง จากนั้นก็หมุนตัวแล้วเดินกลับไปทางห้องประชุมแทนการบอกอีกฝ่ายให้เดินตาม หลังจากเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุมเล็ก ภัทรก็เดินตรงไปที่มุมหนึ่งของห้องทันทีและยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หลังจากธราธรเข้ามาและปิดประตูตามหลัง บรรยากาศอันอึดอัดในห้องที่ออกแบบไว้สำหรับการประชุมเพียงไม่เกินเจ็ดถึงแปดคนก็ทำให้ภัทรหายใจติดขัด จึงตัดสินใจรีบชวนคุยธุระให้เสร็จ
“มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ?”
ภัทรพยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้บ่งบอกความรู้สึกใดออกไป ร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายทำให้ห้องประชุมดูเล็กไปถนัด และทำให้ภัทรเริ่มไม่แน่ใจว่าคิดถูกหรือไม่ที่ชวนมาคุยในห้องนี้ แต่ถ้าหากยังอยู่ที่ล็อบบี้ กุ้งซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ หรือใครที่เดินผ่านไปมาอาจเอะใจกับบทสนทนาของพวกเขาก็ได้
ใบหน้าคมคายเลิกคิ้ว “ทำไมล่ะ ถ้าหากเราได้เจอแฟนเก่าที่ไม่เจอกันมาตั้งสองปี เราจะไม่อยากคุยกับเขาเพราะคิดถึงหน่อยเหรอ?”
ภัทรสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ผุดพลุ่งขึ้นบนหน้า แต่ความรู้สึกนั้นช่างซับซ้อนจนยากจะอธิบายว่าเป็นความอายหรือความโกรธ ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายก็มีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้วแท้ๆ เขาพยายามกำมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์ แต่เมื่อธราธรก้าวเข้ามาใกล้ ภัทรก็รีบชักฝีเท้าถอยไปด้านหลังทันที
“ไม่อยากหรอกครับ ผมไม่ชอบนึกถึงอะไรที่มันจบไปแล้ว”
คำตอบห้วนๆ นั้นทำให้คนที่กำลังก้าวเข้าหาชะงัก ก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังออกมาโดยที่ภัทรได้แต่เม้มปาก ได้แต่หวังว่าเมื่อครู่นี้เสียงเขาคงไม่สั่นจนถูกจับได้
บางทีเขาก็เบื่อความอ่อนแอของตัวเองเสียจริงๆ
ธราธรหยุดหัวเราะโดยไม่ได้ก้าวเข้าหาภัทรมากไปกว่านั้น ทว่านัยน์ตาที่ทอดมองมาก็ไม่ได้ทำให้ภัทรรู้สึกว่าถูกคุกคามน้อยลงสักนิด “ไม่น่ารักเลยนะภัทร นี่ใจคอก็จะไม่เรียกชื่อธรสักคำเลยหรือไง?”
คิ้วที่ขมวดขึ้นของคนพูดทำให้ภัทรใจไม่ดี แต่ก็ยังฝืนทำคอแข็งไว้ “ผมไม่มีเหตุผลจะต้องเรียกชื่อคุณนอกเหนือจากเวลางานนี่ครับ”
เขาเริ่มสับสนจริงจังว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ และได้แต่ภาวนาให้บทสนทนานี้จบลงโดยไว แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่คิดแบบเดียวกัน
“อย่าเล่นแง่นะภัทร หรือจะบอกว่าจำเรื่องเมื่อก่อนของพวกเราไม่ได้เลย?”
ภัทรมองสีหน้าไม่พอใจของคนถามอย่างไม่เข้าใจ ในเมื่อคนที่อยากจบความสัมพันธ์ของทั้งคู่คือเจ้าตัวเองไม่ใช่หรือ แล้วจะมารื้อฟื้นเรื่องเก่าก่อนเอาป่านนี้ทำไมกัน
ร่างสูงเพรียวสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น จึงรีบพูดเสียงเข้มเพื่อหยุดฝีเท้าคู่นั้นไว้
“อย่าเข้ามาอีกนะ! ถ้าหากคุณมีธุระอะไรก็รีบพูดมา ผมมีงานที่ต้องรีบกลับไปทำ”
ภัทรหวังว่าเสียงของตัวเองจะไม่สะท้อนความหวั่นไหว ถึงแม้มือทั้งสองข้างจะสั่นจนต้องกำไว้แน่น ตอนที่เขายังอ่อนต่อโลกกว่านี้ เขาเคยมองทุกอย่างในแง่ดีและเชื่อว่าคนที่แยกทางกันย่อมสามารถคบกันเป็นเพื่อนต่อไปได้ แต่ประสบการณ์ที่ตกเป็นผู้ถูกทิ้งได้ทำลายความคิดนั้นไปสิ้น และทำให้เขาได้ตระหนักว่าสำหรับคนบางคน...มิตรภาพเป็นสิ่งที่สูงค่าเกินกว่าจะมอบให้หลังจากเลิกรากันแล้ว
ธราธรเคยทำให้เขาเชื่อหมดใจว่าทั้งสองจะมีอนาคตร่วมกัน แต่แล้วฝันนั้นก็ถูกทำลายด้วยการ์ดแต่งงานที่เจ้าตัวมอบให้พร้อมกับคำพูดตัดรอนเพียงไม่กี่ประโยค และตอนนี้ภัทรก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่จะดีใจเพราะแฟนเก่ามาทำดีด้วยอีก
ชายหนุ่มทั้งสองยืนสบตากันอย่างประเมินท่าทีอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายคนตัวใหญ่กว่าก็ยักไหล่และทำลายความเงียบก่อน
“เอาเถอะ แค่ได้เจอกันวันนี้ก็เกินคาดแล้วล่ะ เดี๋ยวไว้ค่อยคุยกันใหม่วันหลังก็แล้วกัน ส่วนนี่นามบัตรของธร...ถ้าเผื่อจะโทรหาเพราะธรเปลี่ยนเบอร์แล้ว”
ภัทรไม่ได้ถอยหนีอีกเมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้าหาพร้อมกับยื่นนามบัตรให้ เขาเพียงแต่เหลือบตามองแผ่นกระดาษแข็งสี่เหลี่ยมพิมพ์ตัวอักษรสีเงินหรูหราด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า กิริยานั้นคงทำให้อีกฝ่ายขัดใจจนต้องดึงมือข้างหนึ่งของเขาขึ้นไปแล้วยัดนามบัตรใส่ให้เอง
แต่ที่ทำให้ภัทรตกใจนชักมือหนีแทบไม่ทัน คอการที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นก้มลงประทับริมฝีปากเร็วๆ ลงบนข้อมือของเขาก่อนจะปล่อย
“ถ้าคิดถึงก็โทรมานะ”
ธราธรดูจะพอใจกับใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีเข้มจัดของอดีตคนรัก ใบหน้าคมคายได้รูปยิ้มเย็นก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินออกจากห้อง ทิ้งให้ภัทรยืนตัวสั่นเทิ้มอยู่คนเดียวในห้องประชุมแคบๆ พร้อมกับจิตใจที่ปั่นป่วน
คิดถึงก็โทรมานะ...งั้นหรือ? นี่ยังคิดว่าเขาจะอยากโทรหาหลังจากแยกทางกันมานานขนาดนี้อีกหรือไง ธราธรที่เขาเคยรู้จักเป็นคนหลงตัวเองจนน่ารังเกียจแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แล้วไหนจะยังภรรยาที่แต่งงานกันไปแล้วอีกล่ะ?? นี่อีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่???
มือเรียวขยำแผ่นกระดาษในมือจนยับยู่ยี่ก่อนจะปาลงถังขยะตรงมุมห้อง พายุอารมณ์ผสมกับความเครียดจากการเผชิญหน้าเมื่อครู่ทำให้ภัทรรู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้าจนปวกเปียกไปหมด ชายหนุ่มลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงพลางยกมือหนึ่งขึ้นกุมหน้าผากอย่างอ่อนแรง
ภัทรไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะควบคุมความรู้สึกที่คุกรุ่นในใจไม่ได้ถึงเพียงนี้ การกระทำเมื่อครู่ของอดีตคนที่เคยคบหากันทำให้เขาโกรธ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนทิ้งเขาไปเองเพื่อแต่งงาน แล้วยังเป็นฝ่ายตัดการคบหาทุกทาง พอมาตอนนี้ที่ได้พบกันโดยบังเอิญ จะเข้ามาทำให้เขาหัวปั่นอีกทำไม
คุณเชษฐ์...อยากได้ยินเสียงคุณเชษฐ์เหลือเกิน...
ชายหนุ่มสูดน้ำมูกขณะที่หัวตาร้อนผ่าว เขานึกอยากให้คุณผู้จัดการอยู่ในบริษัทตอนนี้ อย่างน้อยเขาจะได้เดินเข้าไปหาและขอความเข้มแข็งจากอ้อมกอดอบอุ่นนั้นได้ ความรู้สึกในตอนนี้ไม่ใช่ความเศร้าอย่างลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนที่ได้พบธราธรกับภรรยาโดยบังเอิญที่ร้านอาหาร แต่เป็นความรู้สึกเจ็บใจที่กำลังโดนคนรักเก่าคุกคามโดยไม่มีคุณเชษฐ์อยู่ข้างๆ ต่างหาก
ภัทรหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าพลางกดหาหมายเลขที่เชษฐ์ใช้ยามอยู่ที่เวียดนาม แต่แล้วก็ได้แต่จ้องหมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอด้วยความรู้สึกว้าวุ่นใจ
ตอนนี้คุณเชษฐ์อาจกำลังทำงานยุ่งก็ได้ แล้วถ้าเราโทรไปหาด้วยเรื่องแค่นี้ทั้งที่ยังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น จะไม่ดูเหมือนเราเป็นเด็กขี้ฟ้องที่โดนแกล้งนิดหน่อยก็รับมือเองไม่ได้หรอกหรือ...
ภัทรเม้มปากขณะจ้องโทรศัพท์ในมือ ความคิดถึงทำให้เขาอยากได้ยินเสียงที่จะช่วยกำจัดความขุ่นข้องในใจให้เลือนหาย แต่ขณะเดียวกันก็เกรงว่าถ้าหากเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ฟัง เขาอาจทำให้ฝ่ายนั้นต้องเป็นกังวลแทนที่จะได้ทุ่มเทความสนใจให้กับภารกิจตรงหน้าก็เป็นได้
...อย่าทำตัวเป็นเด็กสิภัทร รอให้อารมณ์เย็นก่อนค่อยโทรหาดีกว่า อยากให้คุณเชษฐ์มองว่าเรารับมือกับเรื่องแค่นี้ด้วยตัวเองไม่ได้หรือไง...
ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์พลางสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ กระทั่งคิดว่าปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้แล้ว จึงค่อยลุกออกจากห้องประชุมและเดินกลับไปฝั่งห้องทำงาน ระหว่างทางเขาต้องเดินผ่านเคาน์เตอร์รีเซปชั่นที่กุ้งนั่งประจำอยู่ด้วย แต่โชคดีที่รุ่นน้องสาวเพียงแต่ยิ้มให้และไม่ได้ซักไซ้ว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้แขกกลับไปก่อน
ภัทรใช้เวลาทำงานที่เหลือในการคัดเลือกรูปถ่ายและทำรายงานการประชุม พอถึงเวลาหกโมงเย็นก็ปิดคอมพิวเตอร์แล้วออกจากบริษัท ขณะที่กำลังยืนรอรถไฟฟ้าอยู่บนชานชาลาซึ่งมีผู้โดยสารจำนวนมากยืนเบียดเสียดกันอยู่ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าก็ส่งเสียงว่ามีสายเข้า แต่น่าเสียดายที่เมื่อหยิบขึ้นดูแล้วไม่ใช่ชื่อของคนที่เขากำลังคิดถึง
แต่ก็ยังถือว่าเป็นคนที่มีความสำคัญทางใจไม่แพ้กัน
“ฮัลโหล? พี่แพน?”
ภัทรกดรับสายพลางเดินออกจากแถวที่กำลังรอรถเพื่อจะได้คุยถนัด เพราะถึงอย่างไรก็ใช่ว่าเขาจะรีบร้อนกลับห้องตั้งแต่แรก
“ไงภัทร เลิกงานแล้วหรือยังเนี่ย?”
“เลิกแล้ว ภัทรเพิ่งออกมาจากออฟฟิศ กำลังรอรถไฟฟ้าอยู่ที่สถานี”
“อ้าว? นี่ไม่ได้กลับกับคุณเชษฐ์หรอกเหรอ?”