A 1
“หวังว่าจะชอบโรงเรียนแห่งนี้นะคะ โชคดีค่ะ” คุณครูเลขาฯกล่าวส่งท้ายก่อนที่เราสองคนจะเดินกลับมาขึ้นรถ
“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าเป็นตูดอย่างนั้นล่ะ” แม่ผมหันมาถามขณะที่กำลังจะสต๊าร์ทรถ
“ก็แม่อ่ะ นนท์ไม่ได้อยากมานอนหอที่นี่สักหน่อย ทำไมมันกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย”
“อะไร ก็นนท์เป็นคนตอบตกลงเองตอนที่แม่ถามตอนอยู่ในห้องของผอ.น่ะ”
“คือ นั่นมัน........” ผมอึกอัก จะพูดออกไปว่าผมไม่ได้ฟังอยู่แต่แค่พยักหน้าส่งๆไปเท่านั้นเองก็ไม่ได้ซะด้วย “ไม่รู้อ่ะ ก็นนท์ไม่อยากอยู่นี่ นี่เราก็เพิ่งย้ายลงมาจากเชียงใหม่ได้ไม่กี่วัน นนท์จะต้องย้ายมาเข้าหอที่นี่แล้วซะงั้นน่ะเหรอ และที่สำคัญ แม่ล่ะจะอยู่กับใคร บ้านหลังตั้งเบ้อเริ่มขนาดนั้น”
“พอเลยนนท์ อย่าเอาแม่มาอ้างนะ เรามานอนที่นี่ก็แค่อาทิตย์เดียวเอง มาเพื่อจะได้เคยชินกับโรงเรียนแล้วก็เพื่อนๆไง ก็เหมือนหิ้วเสื้อผ้าไปเที่ยวบ้านเพื่อนแค่อาทิตย์เดียวนั่นแหละ และจากนั้นก็กลับมานอนบ้านเหมือนเดิม เดี๋ยวคอยดูเถอะ พอเริ่มได้เพื่อนแล้วจะขี้คร้านไม่อยากกลับมาอยู่กับแม่”
“เหอะๆ บ่มีทาง”
“ยะหยังน่ะ บ่ชอบหอตี้นี่กะ แม่ว่ามันก่อโอเคอยู่นา ดูดีจะต๋าย”
“มันก่อใจ้........” ผมยอมรับ “แต่อันนั้นมันบ่ใจ้ประเด็น”
“จะอั้นอะหยังคือประเด็น ว่ามาโละ แล้วก่อบ่ต้องอ้างเรื่องของแม่เลยตวย ตี้บ้านก่อมีป้าๆ ลุงๆ อยู่กั๋นแหมเป็นสามเป็นสี่ เพราะงั้นห้าม!”
“เปล่าครับ บ่มีอะหยัง” ผมยอมแพ้ นึกย้อนไปถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินและไปเห็นมาเมื่อครู่นี้
อาคารหอพักของฝั่งมัธยมต้นคืออาคารสูงสิบสองชั้น แต่ละชั้นตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปมีทั้งหมดสามสิบห้อง และแต่ละห้องจะสามารถนอนได้ตั้งแต่หนึ่งถึงสามคน แต่โดยมากแล้วถ้าห้องไม่เหลือ ทางโรงเรียนจะไม่อนุญาตให้นักเรียนนอนเพียงคนเดียวเด็ดขาด ในห้องที่เลาขาฯผอ.พาพวกเราไปดูนั้นเป็นห้องว่างเพียงห้องเดียวที่เหลืออยู่บนชั้นสิบสอง ในห้องนั้นมีเตียงขนาดนอนคนเดียวอยู่สองเตียง มีตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินสองตู้ โต๊ะเขียนหนังสือพร้อมเก้าอี้สองตัว กระจกบานใหญ่หนึ่งบาน ห้องน้ำในตัว เครื่องปรับอากาศ และนอกจากนั้นยังมีระเบียงที่กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนซึ่งยื่นออกไปยังด้านนอกอีกด้วย ซึ่งมันทำให้ผมต้องยอมรับเลยว่าผมค่อนข้างประทับใจกับการออกแบบและความสะดวกสบายของมันมากทีเดียว นี่ยังไม่รวมบรรดาห้องคอมม่อน ห้องคอมพิวเตอร์ และห้องอื่นๆในชั้นล่างของหอพักอีกด้วยซ้ำไป
“สรุปวันพูกแม่จะมาส่งนนท์หื้อได้ปะเปื้อนใหม่คนแรกของนนท์ก่อแล้วกั๋น”
“ครับๆ” ผมถอนหายใจ
เย็นนั้นผมเอาคู่มือสำหรับนักเรียนใหม่มาเปิดอ่านดู ด้านหน้าเป็นรูปของป้ายโรงเรียนพื้นแดงเลือดหมูและมีตัวหนังสือสีทองตัวใหญ่เขียนเอาไว้เป็นภาษาไทยว่า “โรงเรียน วัชรชัย” ส่วนบรรทัดล่างก็เป็นชื่อโรงเรียนในภาษาอังกฤษว่า “WATCHARACHAI COLLEGE” ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นจะพูดถึงประวัติโรงเรียนและอื่นๆอีกหลายอย่าง แต่ที่ผมสนใจจริงๆก็คือแผนที่ภายในโรงเรียน กฏระเบียบ และสังคมภายในนั้นเท่านั้นเอง โดยเฉพาะชีวิตของเด็กหอที่นั่นที่จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ถึงยังไงผมก็ใกล้จะได้สัมผัสมันด้วยตัวเองในวันพรุ่งนี้แล้วอยู่ดีนั่นล่ะนะ
เฮ้ออ....... แม่นะแม่
ผมเปิดดูหนังสือเล่มเล็กเล่มนั้นแล้วก็รู้สึกเห็นด้วยอย่างที่ผู้อำนวยการคนนั้นพูดว่าโรงเรียนแห่งนี้ค่อนข้างอยู่ไกลพอสมควรเลยทีเดียว เพราะไอ้การจะสร้างหรือขยายโรงเรียนจนมีขนาดใหญ่โตเท่านี้ได้คงจะทำในตัวเมืองกรุงเทพแคบๆแห่งนี้ไม่ได้แน่นอน นอกเสียจากว่าจะอยู่ในเขตชานเมืองแบบนั้นเท่านั้น แต่จะว่าไป คำว่าไกลก็อาจจะใช้ได้ไม่ค่อยถูกต้องนัก เพราะจริงๆแล้วกรุงเทพมันก็มีขนาดเล็กแค่นิดเดียว แต่การจราจรนรกแตกนี่ต่างหากล่ะที่ทำให้มันยิ่งดูไกลมากขึ้นไปอีก นั่นคงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พ่อแม่หลายๆคนตัดสินใจตัดภาระเรื่องการดูแลรับส่งลูกของตัวเองให้โรงเรียนเป็นผู้ดูแล และเท่าที่ผมอ่านระเบียบการ คู่มือ และรายชื่อกฎระเบียบข้อห้ามต่างๆหลายสิบข้อของนักเรียนชั้นมัธยมต้นดูแล้ว ผมก็ต้องยอมรับเลยว่าท่าทางโรงเรียนแห่งนี้จะเข้มงวดไม่น้อยอย่างที่ผมกับแม่ถูกบอกมาเมื่อตอนกลางวันจริงๆ
ผมโยนหนังสือคู่มือทิ้งลงข้างเตียงแล้วก็นอนลืมตานึกถึงเหตุการณ์มากมายที่ผ่านมา เมื่อเช้าแม่บอกผมว่าผมหน้าเหมือนพ่อไม่มีผิด แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาในแว่บหนึ่งว่าแท้จริงแล้วแม่หมายถึง “พ่อ” คนไหนกันแน่นะ.......
ผมมองไปรอบๆห้องของตัวเองที่แทบไม่เคยเป็นของผมเองเลย แต่ในตอนนี้มันกำลังจะกลับมาเป็นของๆผมเองจริงๆแล้วอีกครั้ง เท่าที่ผ่านมาผมกับแม่จะอาศัยบ้านหลังโตนี้เป็นเพียงบ้านพักในเวลาที่กลับลงมายังกรุงเทพแค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่นับจากนี้ไป ผมคงจะต้องเริ่มทำตัวให้ชินกับการเรียกบ้านหลังนี้ว่า “บ้าน” จริงๆซะแล้ว
“น้องนนท์คะ คุณแม่ให้มาตามค่ะ” เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกของป้ายวน แม่บ้านของเรา
“ครับป้า บอกแม่ว่ารอแป๊บนึงนะครับ” ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง จากนั้นก็ลุกไปหยิบกางเกงขาสั้นมาสวมทับบ๊อกเซอร์ที่ใส่อยู่ จากนั้นก็เดินลงไปหาแม่ที่ชั้นล่าง แต่เมื่อผมเดินไปถึงห้องนั่งเล่นและเห็นคนที่นั่งอยู่ ผมก็ต้องสะดุ้งจนสุดตัวแล้วรีบวิ่งกลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้งโดยมีเสียงหัวเราะของแม่ดังไล่หลังมาติดๆ ผมคว้าเสื้อยืดที่แขวนอยู่บนราวแขวนผ้าในห้องนอนมาสวม จากนั้นก็เดินกลับลงไปที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง
“แค่นี้ก็ต้องอาย ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่” แม่หัวเราะเบาๆ
“ก็แล้วใครบอกว่านนท์อายแม่เล่า” ผมหน้าแดง จากนั้นก็หันไปหาเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆแม่ เธอคนนั้นก็กำลังยิ้มอายๆด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเช่นเดียวกัน “หวัดดี พลอย”
“ไง นนท์” พลอยยกมือขึ้นทักผมแล้วหัวเราะคิกคักเบาๆ
“วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ” ผมถาม
“เปล่า วันนี้อยู่บ้านน่ะ แล้วก็ตั้งใจจะมาเยี่ยมนนท์กับคุณป้าด้วย”
“นั่นสินะ เมื่อวันก่อนที่เจอกันก็ยังแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยด้วย” ผมนั่งลงบนโซฟาข้างๆแม่
“เอางี้สิ วันนี้พลอยกินข้าวเย็นกับป้านะ อีกเดี๋ยวก็คงเสร็จแล้วล่ะ หิวแล้วรึยังล่ะจ้ะ” แม่หันไปถามพลอย
“เอ่ออ พลอยว่าพลอยไม่รบกวนดีกว่าค่ะ เกรงใจ แล้วเดี๋ยวแม่จะว่าเอาด้วย”
“เกรงจงเกรงใจอะไรกัน มาเถอะนะ กินข้าวด้วยกันป้าจะได้ไม่นั่งเหงาอยู่กับนนท์แค่สองคนไง เดี๋ยวป้าโทรไปบอกที่บ้านให้เอง และเดี๋ยวพอเย็นๆค่ำๆแล้วค่อยให้เจ้านนท์มันเดินไปส่ง”
พลอยหันมามองหน้าผม ผมจึงพยักหน้าเบาๆ
“งั้นก็ได้ค่ะ งั้นพลอยขอรบกวนมื้อนึงนะคะ”
“เยี่ยมเลย งั้นพลอยเอาเบอร์ที่บ้านมา เดี๋ยวป้าโทรไปให้เดี๋ยวนี้เลย”
พลอยบอกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองให้กับแม่ จากนั้นแม่ก็ลุกขึ้นออกไปเดินโทรศัพท์ข้างหน้าระเบียงบ้าน ผมเลยหันไปชวนพลอยออกไปเดินเล่นที่สวนหน้าบ้านด้วยกันเป็นการฆ่าเวลารออาหารเย็นพร้อม
“ถ้าไม่นับเมื่อสองวันก่อนเนี่ย เราสองคนก็ไม่ได้เจอกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ นนท์” พลอยพูดขึ้นเมื่อเราสองคนนั่งอยู่บนชิงช้าในสวน
“ไม่รู้สิ........ ก็คงราวๆเดือนนึงมั๊ง ล่าสุดก็ในงานศพพ่อกิตน่ะ”
“อุ๊ย พลอยไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นนท์คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมานะ” พลอยรีบหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าเป็นกังวล “พลอยขอโทษ”
“ไม่เป็นไร” ผมส่ายหน้า “นนท์ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่ถ้าพลอยหมายถึงว่าไม่นับงานศพของพ่อกิตล่ะก็ เราก็ไม่ได้เจอกันมาเกือบปีนึงเต็มๆแล้วล่ะมั๊ง เพราะช่วงนั้นนนท์แทบไม่ได้กลับลงมากรุงเทพเลย และพอลงมาก็ไม่ได้เจอพลอยเลยสักครั้ง คลาดกันตลอด”
“นั่นสินะ ทั้งๆที่สมัยก่อนตอนที่นนท์อยู่ที่นี่ เรายังได้เจอกันแทบทุกวันเลยแท้ๆ” พลอยยิ้ม
พลอยคือเพื่อนเล่นของผมมาตั้งแต่สมัยผมยังเด็กและยังอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้อยู่ และนั่นก็นับเป็นเวลาตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้จนกระทั่งมาถึงตอนที่ผมอายุได้เจ็ดขวบ จากนั้นด้วยความจำเป็นอันน่าเศร้า ผมกับแม่จึงจำต้องย้ายออกจากบ้านหลังนี้กลับไปอยู่ที่เชียงใหม่กันสองคนเพื่อหลีกหนีจากความทรงจำอันเจ็บปวด และเพื่อรักษาบาดแผลที่คงไม่มีวันจางหายไปได้......... บาดแผลจากการที่พ่อของผมต้องจากไป โดยสิ่งที่เหลือทิ้งเอาไว้ให้แม่กับผมก็มีแต่เพียงบรรดารูปถ่าย ความทรงจำดีๆ และกองสมบัติมรดกจำนวนมหาศาลที่เราสองคนไม่เคยต้องการเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่เราต้องการจริงๆนั้นมีอยู่แค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือผู้ชายอันอบอุ่นและเป็นคนที่เรารักมากที่สุดในโลกคนเดิมเท่านั้นเอง
หลายปีถัดมาแม่ก็ตัดสินใจแต่งงานใหม่อีกครั้ง และสุดท้ายมันก็จบลงด้วยโศกนาถกรรมของชีวิตรักของแม่อีกเช่นเคย และครั้งนี้มันก็ทำให้แม่ต้องบอบช้ำมากโดยที่ผมไม่สามารถช่วยอะไรแม่ได้เลย ถึงแม้ภายนอกแม่จะทำตัวเข้มแข็ง แต่ทุกครั้งที่ผมมองตาของแม่ ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าแม่นั้นรู้สึกอย่างไร
“แล้วโรงเรียนใหม่เป็นยังไงบ้างล่ะ นนท์” พลอยถาม
“ก็ดีมั๊งนะ ไม่รู้สิ สงสัยชีวิตนนท์คงได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือก็คราวนี้แหละ พลอย นนท์ว่าโรงเรียนนั้นมันดูเว่อร์มากเลย แถมยังเป็นโรงเรียนชายล้วนอีกต่างหาก” ผมถอนหายใจแล้วยักไหล่ “แถมนี่แม่ก็ยังจะให้นนท์ไปนอนกับใครก็ไม่รู้ตั้งอาทิตย์นึงเพื่อให้นนท์ปรับตัวได้ด้วยนะ”
“ก็ดีแล้วนี่ เรียนโรงเรียนชายล้วนน่ะ” พลอยหัวเราะเบาๆ
“ตรงไหนกัน”
“ก็นนท์จะได้ไม่มีผู้หญิงคนอื่นมาจีบไง”
ผมรู้สึกตัวเองหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่พลอยเองก็กำลังหน้าแดงเพราะคำพูดของตัวเองอยู่ด้วยเช่นกัน จริงๆแล้วพลอยมีอายุเท่ากับผม แต่เขากำลังเรียนอยู่ชั้นมอสี่ ซึ่งสูงกว่าผมหนึ่งปี และผมต้องยอมรับเลยว่าทุกครั้งที่เราสองคนได้เจอหน้ากัน ผมจะต้องรู้สึกประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงในตัวของพลอยอยู่ตลอดเวลาเลยทีเดียว พลอยจะดูสวยขึ้น และเป็นสาวขึ้นทุกๆครั้งที่ผมเจอ อย่างเช่นในวันนี้ พลอยที่รวบผมหางม้า ใส่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นดูสบายๆนั้นก็ดูน่ารักมากจริงๆ ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่รู้ว่าผมคิดยังไงกับเธอก็เถอะนะ แต่ผมก็ต้องยอมรับเลยว่าพลอยเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักมากจริงๆ
โอเค ผมจะไม่ปฏิเสธว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับพลอยเลย แต่ผมเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้คำว่า “คิด” น่ะ มันควรจะคิดยังไงกันแน่ เพราะผมเองก็รู้ตัวดีอยู่แล้วว่าผมรู้สึกชอบมองผู้ชายมากกว่าผู้หญิงมาตลอด เพียงแต่ว่าผมยังไม่เคยคิดอะไรเกินเลยไปมากกว่าคำว่ามองเลยแม้แต่นิดเดียว แม้แต่การมีแฟนผู้ชายผมก็ยังไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำ และพูดตามตรงแล้วผมเองก็ไม่อยากจะคิดอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่หรอก ผมยังคงรู้สึกชอบผู้หญิง รู้สึกว่าเขาเป็นเพศที่บอบบางและต้องการคนดูแล การมีเค้าอยู่มันทำให้เรารู้สึกว่าเราจะต้องเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข็งขึ้นเพื่อใครสักคน เพราะงั้นที่ผ่านมาผมถึงได้เคยมีแฟนผู้หญิงอยู่กับเขาคนนึงเหมือนกัน แต่ทว่าสุดท้ายเราก็ต้องเลิกรากันไปเพราะเธอคนนั้นหันไปเลือกคนอื่นที่เธอให้เหตุผลว่าเขาคนนั้น “ดี” กว่าผม..........
แต่ผมก็ไม่ได้เสียใจหรือเจ็บใจอะไรเท่าไหร่หรอกนะ เพราะผมรู้ดีว่าตอนนั้นมันก็เป็นแค่ความรักในแบบ “ทดลอง” เท่านั้น ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่มากและยังไม่คิดแม้แต่นิดเดียวที่จะอยากมีใครสักคนจริงๆจังๆ และที่สำคัญ ผมเองก็ยังไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรกับเธอคนนั้นสักเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ........ ไม่ใช่ว่าเพราะเธอคนนั้นเป็น “ผู้หญิง” แต่ไม่ว่าจะกับคนเพศไหนหรือกับใคร ผมก็มักจะมีระยะปลอดภัยของผมอยู่เสมอๆ และนั่นก็เป็นช่องว่างที่ทำให้ผมยังไม่เคยปล่อยให้ความรู้สึกอื่นมากกว่าคำว่า “มิตรภาพ” ล่วงล้ำเข้ามาในห้องส่วนตัวของผมที่เรียกว่า “หัวใจ” ได้เลยสักครั้ง..........
แต่ในตอนนี้ผมรู้สึกตัวว่าผมกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าบาดแผลที่เกิดขึ้น แต่ทุกๆช่วงเวลาที่เข็มนาทีเดินผ่านไปบนหน้าปัดเวลาแห่งชีวิตนี้ มันจะทำให้คนเราเติบโตขึ้นและเข้มแข็งขึ้นเสมอๆ ผมเชื่อแบบนั้น และยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องของความรัก ผมเองก็เริ่มรู้สึกอยากจะรู้แล้วด้วยเหมือนกันว่าท้ายที่สุดแล้ว หัวใจของผมนั้นมันควรจะเปิดออกให้แก่ใครคนไหนกันแน่.........
ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม
“คิดอะไรอยู่น่ะ นนท์” เสียงของพลอยดึงผมให้กลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง
“เปล่า....... ก็คิดเหมือนๆพลอยนั่นแหละมั๊ง นนท์ได้ยินว่าพลอยเองก็มีผู้ชายมาจีบเยอะแยะเลยไม่ใช่เหรอ”
“บ้า ไปได้ยินมาจากไหน” พลอยหัวเราะและตีหัวไหล่ผมเบาๆ แต่น่าแปลกที่เธอเองก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดผมแม้แต่น้อย ผมจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องสมัยเรายังเด็กๆ และเรื่องชีวิตในกรุงเทพที่ผมคงต้องปรับตัวให้เคยชินอีกหลายๆอย่างแทน
เราสองคนนั่งคุยกันอีกสักพักใหญ่ๆจนกระทั่งมีคนมาตามให้เราสองคนไปทานข้าวได้ ผมจึงเดินนำพลอยเข้าบ้านไปยังโต๊ะอาหาร มื้อเย็นในครั้งนี้ดูเหมือนว่าแม่จะมีความสุขมากขึ้นเล็กน้อยเพราะมีพลอยอยู่ด้วย และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันเมื่อผมคิดถึงว่าแม่จะต้องกินข้าวคนเดียวบนโต๊ะอาหารเหงาๆนี่ไปอีกหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ผมก็เริ่มรู้สึกแย่ลงไปในทันที
“จริงสิ เอางี้ดีมั๊ยครับแม่ ตอนที่นนท์ไม่อยู่ แม่ก็ชวนพลอยมากินข้าวเย็นที่บ้านเป็นเพื่อนสิ ไม่ต้องทุกวันก็ได้ แม่จะได้ไม่เหงาไงครับ” ผมเสนอความคิดขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร
“ไม่ต้องเลย แม่รู้นะว่านนท์คิดอะไรอยู่น่ะ แม่บอกแล้วไงว่าแม่อยู่ได้ แถมพวกป้ายวนก็ยังอยู่ เวลาอาหารเย็นน่ะ ก็ควรจะเป็นเวลาที่พ่อแม่ลูกเค้าได้อยู่กันพร้อมหน้าสิ จะไปดึงพลอยมาแบบนั้นได้ยังไง”
“อ้าว และทีวันนี้แม่ยังชวนเค้ามา”
“ย้อนแม่เรอะ เดี๋ยวจะโดน ไอ้เผือก” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่บางครั้งเวลาที่เราสองแม่ลูกทะเลาะกันเล่นๆแบบนี้ แม่มักจะชอบเรียกผมว่าไอ้เผือกทุกครั้ง
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณป้า เดี๋ยวพลอยจะลองกลับไปถามพ่อแม่ดู ถ้าไม่ได้ทุกวันก็ไม่เป็นไร แต่พลอยจะพยายามมาให้ได้บ่อยๆค่ะ คุณป้าจะได้ไม่เหงา”
“จะดีเหรอ พลอย ป้าเกรงใจจัง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มีปัญหาแน่นอน พลอยมั่นใจ”
“งั้นเอาอย่างนี้ดีมั๊ย พรุ่งนี้พลอยชวนพ่อกับแม่มาทานข้าวเย็นกับป้าที่บ้านนะ ถือซะว่าป้าเชิญอย่างเป็นทางการเลยก็แล้วกัน ถือซะว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้บ้านหลังนี้มานาน แล้วก็เลี้ยงเพื่อนบ้านใหม่หน้าเก่าคนนี้อีกสักทีก็แล้วกันนะ”
“ได้ค่ะ แล้วพลอยจะบอกพ่อกับแม่ให้นะคะ”
คืนนั้นหลังจากทานอาหารกันเสร็จ ผมก็เดินกลับไปส่งพลอยที่บ้านซึ่งจริงๆแล้วก็อยู่ห่างจากบ้านของผมไปอีกแค่ไม่กี่หลังเท่านั้นเอง และหลังจากที่ผมกลับมาที่บ้าน แม่ก็เริ่มเปิดประเด็นขึ้นมาทันที
“แม่ว่าพลอยน่าฮักขึ้นจั้ดนักเลยเนอะ นนท์ว่าก่อ”
“ครับ ก่อว่าอั้น”
“แถมยังอุตส่าห์บอกว่าจะหมั่นมาอยู่เป๋นเปื้อนแม่ตวย น่าฮักแต้ๆ”
“ครับ ก่อว่าอั้น” แต่จริงๆ ผมเป็นคนออกปากเองนี่หว่า
“แถมยังเฮียนดีตวยนา หันตะกี้เปิ้นบอกว่าเปิ้นไขอยากเฮียนเภสัชใจ้ก่อ”
“ครับ ก่อว่าอั้น”
“นี่ อู้กำอื่นบ่จ้างแล้วก๊ะ”
“ครับ ก่อว่า........”
“ปอๆๆ แม่บ่คุยตวยละ จะไปไหนก่อไปเลยไป๊”
“โอ๋ๆๆ ล้อเล่นคร้าบแม่” ผมเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆแม่แล้วก็กอดเอวแม่หนับ “แต่นนท์กำลังกึ๊ดอยู่ว่า......แม่อยากฮื้อพลอยมาอยู่เป็นเปื้อนพ่องแต๊ๆ กา”
“หมายความว่าจะไดน่ะ ฮึ”
“เปล่าครับ ก่อประมาณว่า ถ้าสมมตินนท์ได้เปื้อนใหม่แล้วนนท์ปาเปื้อนมาแอ่วบ้าน แม่จะได้บ่เหงาอะหยังจะอี้ แม่จะว่าจะไดพ่องน่ะ”
“เอาไว้เฮาได้เปื้อนดีๆ ถึงขนาดตี้คนอย่างเฮาจะปาเข้าบ้านได้ก่อนเต๊อะก้อยว่ากั๋น” แม่หัวเราะเบาๆ “เมินๆ แม่จะได้หันนนท์ปาเปื้อนมาแอ่วบ้านสักเตื้อ”
“ก่อนะ....... บ่ฮู้นะ แต่นนท์ก่อหวังเหมือนกั๋นว่านนท์จะปะเปื้อนดีๆ เหมือนตอนอยู่ตี้ปู๊น”
“ยะหยังล่ะ ปกติแม่บ่เกยหันนนท์กังวลเรื่องหมู่นี้เลยนี่นา นนท์ออกจะเข้ากับคนได้ง่ายจะต๋าย”
“บ่ฮู้ก่ะครับ นนท์ก่อแค่กั๋วไปปะใส่หมู่ลูกคุณหนูรวยๆ หยิ่งๆ อะหยังจะอั้นน่ะครับ นนท์บ่ชอบ”
“มันก่อต้องมีพ่องล่ะนนท์ แต่บ่ใจ้กู่คนหรอก แม่เจื้อว่านนท์ต้องได้ปะเปื้อนดีๆ ตี้คุยกั๋นถูกคอแน่ๆ”
“ก่อหวังว่าจะเป๋นจะอั้นครับ”
“แม่น่ะบ่ได้อะหยังหรอก ขอแค่นนท์มีความสุขกับชีวิตและทุกๆอย่าง เต้าอั้นก่อปอแล้ว........” แม่ลูบหัวผมเบาๆ “ได้เปื้อนดีๆ แฟนดีๆ เฮียนดีๆ ทำตั๋วดีๆ ในต๋อนนี้กะว่าแหมสามสี่ปี๋นับจากนี้ แม่ก่อหวังอยู่เต้าอี้ล่ะ”
“ครับ ก่อว่าอั้น”
แม่แกะมือผมออกแล้วเอาหมอนอิงมาตีหัวผมเบาๆ “ดักปากเลย ไอ้เผือก”
“นี่ถามแต้ๆ เต๊อะแม่ เมื่อใดแม่จะยอมบอกนนท์สักกำว่า ‘ไอ้เผือก’ เนี่ย มันมีตี้มาจากไหนกั๋นแน่”
“ไขฮู้แต้ๆ กา”
“ครับ ก่อ.......” ผมหุบปากของตัวเองทันก่อนที่จะเผลอกวนตีนแม่ออกไปอีกหน และเปลี่ยนคำพูดใหม่แทน “ก่อไขฮู้มาตั้งเมินละนิ”
“จะอั้นเอาไว้ปาแฟนดีๆ เข้าบ้านได้สักคนก่อนแล้วแม่จะยอมบอก”
“โห แม่ โคตรขี้โก๋งเลย”
แม่หันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผม “ค่ะ ก่อว่าอั้น”
................................
นี่ อู้กำอื่นบ่จ้างแล้วก๊ะ = นี่ พูดคำอื่นไม่เป็นแล้วรึไง
/ เมินๆ = นานๆ /
กู่คน = ทุกคน
ดักปาก = หุบปาก /
ไขฮู้ = อยากรู้ /
ตั้งเมิน = ตั้งนาน