b49
ตี๋เล็ก
ในที่สุดเพื่อนๆของเราก็รู้กันแล้วว่าผมกับไอ้ป๊อปเป็น เอ่ออ.... เป็นแฟนกัน
เฮ้อออ จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่ชินและรู้สึกกระดากปากกับการเรียกสถานะระหว่างเราสองคนแบบนั้นอยู่ทุกทีสิน่า ผมก็อยากจะพูดอยู่หรอกนะว่าผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรผมถึงรู้สึกแบบนั้น แต่ลึกๆแล้วผมก็คิดว่าผมรู้ล่ะว่าทำไม ซึ่งคำตอบก็คือ การปฏิบัติตัวของไอ้ป๊อปที่มีต่อผมนั่นเอง.....
นับตั้งแต่ครั้งนั้นที่เราเปิดใจคุยกันและผมได้มันกลับมาอยู่ข้างกายเหมือนเมื่อก่อน เราสองคนก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ไม่ว่าจะที่บ้านของผม ที่หอของโรงเรียน หรือแม้แต่ที่บ้านของมันนานๆครั้ง เราแบ่งเวลามาใช้ในการสำรวจความรู้สึกและความในใจของกันและกันมากขึ้น ทำความเข้าใจกันมากขึ้น ในบางครั้งเราก็จะพูดกันเยอะแยะมากมายจนแทบจะไม่ได้นอน แต่ในบางครั้งเราก็แค่นั่งกันอยู่เฉยๆ ต่างคนต่างทำกิจกรรมของตัวเอง เพียงแค่รู้สึกดีที่ได้เห็นอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ใกล้ๆเท่านั้นก็พอ
แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้อีกอยู่ดีว่าความรู้สึกดีๆเล็กน้อยเหล่านั้นมันอาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในใจของผมเพียงคนเดียวหรือเปล่า เพราะว่าหลายครั้ง ที่ไอ้ป๊อปก็ยังคงปฏิบัติกับผมไม่ต่างจากเมื่อตอนที่เรายังเป็นเพื่อนกันเลยแม้แต่น้อย มันยังคงเล่นหัวกับผม เอะอะโวยวาย ไม่มีความโรแมนติก และใช้คำพูดที่บางครั้งผมยังต้องรู้สึกน้อยใจว่า นี่ตกลงผมกับมันเป็น “แฟน” กันแน่แล้วจริงๆใช่มั้ย
ไม่ใช่ว่าผมอยากจะเรียกร้องอะไรจากมันนักหนาหรอก แต่ผมก็แค่กลัวเท่านั้นเอง กลัวว่ามันจะแค่ยอมเรียกผมว่าแฟนก็เพียงเพราะไม่อยากจะเสียผมไปในฐานะเพื่อน ผมกลัวว่าถ้าหากวันหนึ่งมันเจอผู้หญิงคนอื่นที่ถูกใจแล้วมันก็จะจากผมไป เพราะว่ามันไม่เหมือนผมนี่ ที่รักมันจากก้นบึ้งของหัวใจมาตั้งนานแล้ว แต่มันเพิ่งจะมาบอกว่ารักผมก็เพราะว่าเราทะเลาะกันครั้งใหญ่เมื่อตอนนั้นเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าหากว่าผมจะคิดแบบนี้และรู้สึกไม่มั่นคงกับสิ่งที่เรากำลังเป็นกันอยู่นี่ ก็คงจะไม่ผิดนักใช่ไหม
“เออ มึงไม่ผิดหรอก กูเข้าใจมึงนะเว้ย ไอ้ตี๋” ไอ้นัทตอบผมหลังจากที่ผมเล่าความรู้สึก ‘คร่าวๆ’ ของผมให้มันฟัง “แต่กูก็ว่ามึงคิดมากเกินไปหน่อยจริงๆอะว่ะ”
ผมน่ะคิดมานานแล้วว่าไอ้นัทเป็นคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะอ่านใจผมออกและรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่มากที่สุดยิ่งกว่าไอ้ป๊อปเสียอีก และในตอนนี้ที่เราออกมากินข้าวเย็นกันข้างนอกท่ามกลางสายฝนที่ตกโหมกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตามาตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ ผมที่เดินออกจากโต๊ะอาหารมาเข้าห้องน้ำกับไอ้นัทแค่สองคนก็มีโอกาสได้ลองปรึกษาเรื่องนี้กับมันดูเสียที เพราะผมคิดว่ามันนี่แหละที่น่าจะเป็นคนเข้าใจผมและให้คำปรึกษาแก่ผมได้ดีที่สุดแล้ว
“นี่กูคิดมากเกินไปเองอีกแล้วเหรอวะ”
“ก็ไม่เชิงหรอก ไอ้ตี๋ คืองี้.....” มันนิ่งๆไป “คือกูจะพูดว่าไงดีวะ แต่แบบ มึงต้องเข้าใจนะเว้ยว่าไอ้ป๊อปมันก็เป็นของมันอย่างนั้นเอง มันก็โผงผาง ทึ่ม โง่ แล้วก็พูดอะไรทำอะไรไม่ค่อยคิดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และมึงเองก็เริ่มคบกันจากสถานะของคำว่า ‘เพื่อนสนิท’ fh;p แล้วจู่ๆมึงจะมาคาดหวังว่ามันจะเปลี่ยนจากการแสดงออกว่า ‘เพื่อนรัก’ ไปเป็น ‘คนรัก’ เลยในเวลาสั้นๆอะ กูว่ามันก็คงเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง”
“เออออ จริงๆไอ้เรื่องนั้นกูก็เข้าใจอยู่หรอกกก” ผมถอนหายใจ “แต่กูก็ไม่ได้คาดหวังอะไรแบบนั้นนะเว้ย แล้วก็ไม่ได้อยากจะให้ไอ้ป๊อปมันทำตัวหวานๆอะไรกับกูขนาดนั้นนักหนาด้วย แต่ก็แบบ.......”
“กูบอกแล้วไงว่ากูเข้าใจ กูอาจจะไม่ได้เข้าใจทั้งหมด แต่กูก็พอจะเข้าใจส่วนหนึ่งล่ะวะ” มันพยักหน้าเบาๆ “และที่สำคัญ มึงกับมันก็เพิ่งจะเปิดตัวว่ามึงคบกันแล้วไปเมื่อเย็นนี้เองนะเว้ย ดังนั้นก่อนหน้านี้มึงจะให้มันแสดงออกอะไรต่อหน้าคนอื่นๆมากมายได้ไงล่ะวะ”
“มันต่างหากที่เป็นคนเปิดตัว ไม่ใช่กู” ผมแก้ “แต่ว่าตอนอยู่กับกูแค่สองคน หลายๆครั้งแม่งก็เป็นแบบนั้นแหละนะเว้ย.... แบบ ไงดีวะ แบบว่า ‘โคตรเพื่อน’ อะ มึงเข้าใจปะ บางทีก็เพื่อนจนกูกลัวเลยด้วยซ้ำ”
“กูพอนึกออกว่ะ..... แต่ว่าถึงยังไงมึงก็รู้นี่ว่ามันรักมึงมากน่ะ”
“ใช่ กูรู้” ผมตอบ “แต่ก็เพราะงั้นแหละ เพราะไอ้ที่มันเพิ่งมารักกูทีหลังนั่นแหละ ไอ้นัท กูถึงได้บอกไงว่าบางทีกูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากูแค่คิดไปเองแค่คนเดียวรึเปล่า มันจะรักกูเหมือนที่กูรักมันมั้ย อะไรแบบนั้นอะ”
ไอ้นัทยิ้มให้ผมผ่านทางกระจกบานใหญ่เหนืออ่างล้างมือ “ถ้ามึงมั่นใจว่ามันรักมึง มึงก็อย่าสงสัยในความรักของมันที่มีต่อมึงเลย ไอ้ตี๋ มึงเชื่อกูเหอะ ถึงไอ้ป๊อปมันจะโง่ แต่มันก็เป็นคนซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเองมากนะเว้ย แล้วมันก็เป็นคนที่คิดจะทำอะไรก็ทำ ทำเฉพาะในสิ่งที่ใจมันอยากจะทำมากที่สุดในกลุ่มเราด้วย ถ้ามึงเอาแต่คิดอยู่แบบนี้ละก็ กูว่ามันจะบั่นทอนตัวมึงเองเปล่าๆว่ะ”
“ก็จริงของมึง..... กูไม่น่าสงสัยในตัวของมันตั้งแต่แรกเลยเนอะ” ผมพยักหน้าเบาๆ เลือกใช้คำว่า ‘สงสัย’ แทนที่จะเป็นคำว่า ‘กลัว’ จากนั้นก็เดินเข้าไปตบบ่ามันเบาๆสองสามที “ขอบใจมึงมากนะเว้ย ไอ้นัท”
“เออ ไม่เป็นไร กูก็แค่พูดตามความจริงว่ะ ไม่ได้ปลอบใจอะไรมึงหรอก มึงอย่ากังวลเลย”
“อืมมม” ผมพยักหน้าอีกครั้ง “แล้วว่าแต่เรื่องของมึงล่ะวะ เป็นยังไงบ้าง”
ผมรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณหัวไหล่ของไอ้นัทแข็งเกร็งขึ้นเล็กน้อยทันที และเมื่อผมสบตากับมันในกระจก ผมถึงได้เห็นว่ารอยยิ้มเมื่อครู่ของมันก็จางหายไปแล้ว
“หือออ มึงหมายถึงเรื่องอะไรวะ”
“เอ้า ก็หมายถึงเรื่องไอ้โจไง กูก็ไม่รู้นะเว้ยว่ามึงคิดยังไงและไอ้นนท์มันยังไงน่ะ แต่ไอ้โจมันชอบไอ้นนท์อยู่ไม่ใช่เหรอวะ มึงไม่กลัวว่าไอ้นนท์จะหวั่นไหวไปชอบไอ้โจมันมั่งเลยรึไง นี่ถึงขนาดแม่งไปนอนบ้านไอ้นนท์และมาเที่ยวทะเลกับพวกเราด้วยเลยนะเว้ย”
“อย่างแรกน่ะนะ ไอ้โจมันมีปัญหากับพ่อมัน มันก็เลยต้องไปอยู่บ้านของนนท์บ้าง อันนี้กูก็รู้ดี และที่สำคัญอีกอย่างนึงคือ.....” มันหลุบสายตาลงต่ำ “กูว่านนท์เองก็ชอบไอ้โจว่ะ”
“เฮ้ยยยย!!” ผมอุทานออกมาด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่ามันจะตอบผมกลับมาแบบนี้ “มึงแน่ใจเหรอวะ!”
“ไม่แน่ใจหรอก” มันยักไหล่ “แต่ก็ประมาณนึงล่ะมั้งวะ”
“เฮ้ยยย! แล้วมึงจะทำไงอะ ไอ้นัท”
“ก็ไม่ทำไงอะ กูรู้ว่านนท์อาจจะมีใจให้มัน แต่กูก็รู้ด้วยเหมือนกันว่านนท์รักกูและเลือกกู กูไม่อยากจะทำอะไรหรือพูดอะไรให้นนท์ไม่สบายใจไปมากกว่านี้อะว่ะ” มันยิ้มตอบผมกลับมาน้อยๆ
“โหยยยยย ไอ้พระเอกเอ๊ยยยยย!!”
“กูไม่ได้พระเอกหรอกเว้ย แต่กูก็แค่รักนนท์และก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกันนอกจากคิดแบบนี้อะ” มันยักไหล่ “ว่าแต่กูขอถามอะไรมึงจริงๆอย่างดิวะ ไอ้ตี๋ เรื่องไอ้โจเนี่ยแหละ”
“ว่าไงวะ เรื่องไร”
“มึงคิดยังไงมั่งวะ กับการที่มันมาเที่ยวกับพวกเรา มาคลุกคลีอยู่กับพวกเรา หรือแม้แต่มันมาชอบไอ้นนท์เนี่ยอะ”
“มึงเอาจริงๆ ตรงๆเลยปะ ไอ้นัท”
“อืมม”
“กูอะ เฉยๆนะเว้ย กับตัวไอ้โจอะ กูก็เคยไม่ชอบมันตอนแม่งอยู่กับพวกไอ้แม็กซ์อยู่หรอก แต่พอมันถอยออกมา กูว่ามันก็โอเคอะว่ะ และการที่เป็นไอ้โจ ก็ยังดีกว่าเป็นไอ้แม็กซ์หรือไอ้เคอะไรพวกนั้นเยอะด้วย จริงๆนะเว้ย เพราะไอ้โจมันก็เงียบๆ ไม่เคยกวนตีนหรือหาเรื่องอะไรพวกเราก่อนเลย เว้นแต่ถ้ามึงถามเรื่องที่มันมาชอบไอ้นนท์เนี่ย กูก็คงบอกตรงๆว่ากูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่หรอก ก็มึงเป็นเพื่อนกูนี่กว่า มึงคบกับไอ้นนท์มาก่อนอะ ถ้าไอ้โจมันจะมาแย่งไอ้นนท์ไปจากมึง กูก็รับไม่ได้อะว่ะ”
“แต่ไอ้โจมันก็ไม่เคยทำแบบนั้นน่ะนะ” ไอ้นัทยักไหล่ “ถ้ามันคิดจะทำ มันก็คงทำไปตั้งนานแล้ว”
“งั้นเหรอวะ” ผมเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ นี่แปลว่าระหว่างพวกมันสามคนคงมีเรื่องอะไรที่ผมไม่เคยรู้อยู่อีกแน่ๆ แต่ผมก็แค่เดาเอาเองน่ะนะ “แต่จะยังไง กูก็เคารพการตัดสินใจของพวกมึงสองคนนะ ไอ้นัท กูไม่ซีเรียสหรอกนะเว้ย มันไม่ใช่เรื่องของกูอะ กูขอแค่เห็นพวกมึงแฮปปี้ดี แค่นี้กูก็รู้สึกดีตายห่าแล้ว”
“เออ กูรู้เว้ย......” ไอ้นัทยิ้มออกมาอีกครั้ง “กูขอถามอะไรมึงอีกอย่างสิวะ ไอ้ตี๋”
“อะไรวะ”
คราวนี้ไอ้นัทหันทั้งตัวมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ และเมื่อผมได้สบตากับมัน ผมกลับต้องรู้สึกใจหายแบบแปลกๆชอบกล ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับมันหรือกับใครมาก่อนเลย บางอย่างในแววตาและสีหน้าของมัน ทำให้ผมต้องรู้สึกแบบนี้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่เคยเห็นมันหรือใครแสดงที่มีแววตาแบบนี้มาก่อนก็เป็นได้ และเปล่า.... ผมไม่ได้รู้สึกตกหลุมรักมันหรือรู้สึกอะไรแบบนั้นกับมันหรอก ไม่ได้ใกล้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าสิ่งที่ผมเห็นและรู้สึกได้นั้น ถึงผมจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่มันก็เป็นบางสิ่งที่ทำให้ไอ้นัท เพื่อนสนิทของผม ดูห่างไกลราวกับมันเป็นคนแปลกหน้าไปได้โดยปริยาย แววตาของมันมีความเศร้าที่ดูลึกล้ำยิ่งกว่าที่ผมเคยเห็นมาจากดวงตาของมัน ไม่ว่าในอดีตเมื่อไหร่หรือครั้งไหนก็ตาม
“ถ้าหากว่ากู.......” เสียงของมันจางหายไปพร้อมกับสายตาที่หลุบลงต่ำ
“ถ้าหากว่ามึงทำไมวะ ไอ้นัท” ผมเริ่มใจไม่ดี
“คือ สมมติว่ากลุ่มของเราเนี่ย ถ้าหากว่าพวกมึง..... มันไม่.... กู.......” มันอ้ำอึ้ง
“เฮ้ยย อะไรวะ ไอ้นัท” ผมเร่ง
“กู...... ไม่รู้ว่ะ กูว่ามันพูดยากว่ะเรื่องนี้อะ” มันส่ายหน้าเบาๆ และเมื่อมันสบตากับผม มันก็คงจะเห็นสีหน้ากังวลของผมล่ะมั้ง มันถึงได้ยิ้มกว้างออกมาก่อนจะตบบ่าผมเบาๆ “เฮ้ยยย ชิบหายละ ไอ้ตี๋! มึงอย่าตีหน้าแบบนั้นสิวะ ไม่ใช่เรื่องเครียดอะไรขนาดนั้นหรอกเว้ย!”
ถ้าหากจะบอกว่าไอ้นนท์เป็นคนที่โกหกไม่เก่งและเก็บความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เรื่องเลยแล้วล่ะก็ ไอ้นัทก็คงเรียกได้ว่าเป็นคนโกหกเก่งตัวพ่อเลยทีเดียว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยโกหกใคร แต่ถ้าเป็นไอ้เรื่องโกหกเพื่อเก็บความรู้สึกของตัวเองนี่ล่ะก็ มันเก่งนักแหละ แต่ว่าเมื่อครู่นี้นั้น แม้แต่คนอย่างผมก็ยังดูออกเลยว่ามันเก็บความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ไม่มิดเลยแม้แต่นิดเดียว นี่ถ้าหากว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ผมแต่เป็นไอ้ยุล่ะก็ มันคงโดนไอ้หมอนั่นยำจนเละไปแล้วล่ะมั้ง
“เอาดีๆ ไอ้นัท มึงเป็นอะไร มึงคิดอะไรอยู่วะ”
“กูไม่ได้คิดเหี้ยอะไรมากมายหรอกเว้ยยยย บอกแล้วไงว่ากูก็แค่เคยคิดเฉยๆอะว่า ถ้าหากวันนึงเราต้องห่างกันไป มันจะเป็นยังไง กูหมายถึงแบบว่า ตอนนี้อะ กลุ่มเรามันก็กำลังไปกันได้ดีไง ใช่มั้ยล่ะ พอมีนนท์มา อะไรๆมันก็ดีขึ้น กูก็แฮปปี้มากขึ้น มึงกับไอ้ป๊อปก็ลงตัวแล้ว หรือแม้แต่ไอ้คริสที่เพิ่งเจอเรื่องแย่ๆมาก็ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าหากว่าเราเรียบจบม. 3 กันไป พอขึ้นม. 4 เราอยู่กันคนละห้องหรืออาจจะคนละโรงเรียนไรเงี้ย มึงว่ามันจะเป็นยังไงวะ”
อ่ออออ.... ผมก็นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก
“สรุปคือมึงห่วงเรื่องไอ้นนท์ว่าถ้าเกิดต้องห่างกันไป แล้วไอ้โจมันจะคาบไปแดกจริงๆอะไรแบบนั้นใช่มะ ไอ้นัท”
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก.....” มันอึกอัก ดูเหมือนว่าผมจะถามได้ตรงจุดพอดีสินะ “เออ กูยอมรับก็ได้วะว่ากูก็เคยคิดแบบนั้นด้วยเหมือนกัน คือมันก็พูดยากนะเว้ย ไอ้ตี๋ เพราะกูเองก็บอกไปแล้วว่ากูเชื่อใจนนท์ แต่แม่งงงง กูเองก็ยังคิดอะไรเหี้ยๆแบบนั้นอยู่เลยอะ” มันส่ายหน้าเบาๆ “แต่เอาจริงๆกูก็คิดถึงเรื่องของพวกเราโดยรวมมากกว่าอยู่ดีว่ะ”
“อืมมมม ถ้ามึงพูดแบบนั้น กูก็ไม่รู้นะเว้ย ไอ้นัท พูดจริงๆเหมือนกัน แต่กูว่าเราก็คงไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่หรอกมั้ง เพราะถึงถ้าสมมติว่าเราอยู่กันคนละห้อง เราส่วนมากก็ยังอยู่หอด้วยกันอยู่ดี หรือต่อให้อยู่กันคนละโรงเรียน แต่พวกเราก็ตัดกันไม่ขาดหรอกว่ะ มึงไม่คิดแบบนั้นรึไง”
“คิดดิวะ แต่บางทีกูก็รู้สึกเหงาๆนิดหน่อยเท่านั้นเอง บางทีกูคงความรู้สึกไวเกินไปมั้ง”
“มากกกก!!” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ
“เออๆ กูผิดเองแหละ ไอ้เหี้ย”
“ส่วนเรื่องนนท์ กูก็คงบอกว่ามึงต้องไม่สงสัยในความรักของพวกมึงเหมือนที่มึงบอกกูนั่นแหละมั้งงง”
“เอออออ ไอ้สาดดด แม่งย้อนกูซะงั้นอะ ว่าแต่มึงเหอะ สบายใจขึ้นรึยัง เรื่องไอ้ควายนั่นน่ะ”
ผมอดที่จะหัวเราะกับชื่อที่ไอ้นัทใช้เรียกไอ้ป๊อปไม่ได้ “เออๆ กูสบายใจขึ้นแล้ว กูเองก็คงไม่ต่างจากมึงเท่าไหร่หรอกว่ะ ไอ้นัท ไอ้เรื่องคิดมากเนี่ย เอาเป็นว่ากูจะพยายามไม่ค่อยคิดอะไรให้มันเยอะแยะเกินไปก็แล้วกัน”
“เออ ดีแล้ว ไหนๆก็มาถึงทะเลแล้ว มึงก็ลองหาเรื่องทำอะไรโรแมนติกๆกับมันบ้างสักหน่อยสิวะ ไหนๆก็ไม่ค่อยจะมีโมเมนต์แบบนั้นกันไม่ใช่รึไง”
“มึงก็เหมือนกันนั่นแหละวะ ไม่ใช่แค่กูคนเดียวหรอก”
“โอ๊ยยยยย กูกะนนท์ออกจะหวานกันบ่อยไป มึงไม่ต้องมาห่วงพวกกูหรอก” มันหัวเราะ
หลังจากที่ผมคุยกับไอ้นัทจบ เราสองคนก็เดินออกจากห้องน้ำแล้วกลับไปยังโต๊ะของเรา ซึ่งก็ใกล้ถึงเวลาที่อาเมฆจะเช็คบิลแล้วกลับคอนโดพอดี และในขณะที่เราอยู่บนรถตู้กันนั้น ฝนที่ตกหนักมาตลอดก็เริ่มซาลงเล็กน้อย แต่เมื่อเรากลับไปถึงที่พักแล้ว ฝนก็ยังคงไม่หยุดตกพอให้เราออกไปเดินเล่นที่ชายหาดกันได้อยู่ดี
มันเป็นเรื่องจริงอย่างที่สุดที่ผมกับไอ้ป๊อปแทบไม่เคยมีช่วงเวลาโรแมนติกด้วยกันเหมือนคู่อื่นๆเขาบ้างเลย นานๆทีมันก็จะพูดหรือทำอะไรหวานๆให้ผมได้ประหลาดใจอยู่บ้าง อย่างเช่นนั่งกุมมือผม หรือหอมแก้มผมตอนผมเผลอ แต่โดยรวมแล้วสิ่งที่ใกล้เคียงกับช่วงเวลาโรแมนติกที่สุดที่เรามีกันเป็นกระจำและดูเหมือนจะบ่อยที่สุดเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆแล้วก็คงเป็น การที่เรานั่งอยู่ในห้องเดียวกันเงียบๆ ต่างคนต่างอ่านหนังสือหรือเล่นเกมส์อะไรกันไปนั่นแหละมั้ง
นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ผมค่อนข้างคาดหวังกับการมาทะเลครั้งนี้ค่อนข้างมาก เพราะอย่างน้อยๆ ผมก็คิดเอาไว้ว่าผมอยากจะออกไปเดินริมชาดหาดกับมันสองคนในตอนกลางคืน ภายใต้หมู่ดาวพร่างพราวบนท้องฟ้าที่หาดูไม่ได้ในยามค่ำคืนของเมืองหลวง แต่ทว่าฝันเหล่านั้นก็ต้องพังทลายลงไปเพราะฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกน้อยใจมากกว่าอย่างอื่นเลยก็คือ ถึงแม้ผมจะค่อนข้างแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าผมรู้สึกเซ็งไอ้ฝนบ้านี่มากแค่ไหน แต่ไอ้ป๊อปกลับดูท่าทางไม่ค่อยเดือดร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งเดียวที่มันบ่นก็คือการที่มันอดไปเล่นน้ำทะเลให้ชุ่มปอดเพียงเท่านั้น ทำให้ผมรู้สึกว่าดูเหมือนมันจะไม่ได้คิดอยากจะไปเดินริมหาดกับผมเหมือนที่ผมคิดเลยสักนิดนะเนี่ย
สรุปว่าคืนนั้นหลังจากที่พวกผู้ใหญ่เข้านอนกันหมดแล้ว ผมกับไอ้ป๊อปก็เริ่มเล่าเรื่องราวของเราสองคนตั้งแต่สาเหตุที่ทำให้เราผิดใจกัน ไปจนถึงการที่เรากลับมาดีกันได้ให้พวกมันทุกคนฟัง เราคุยกันไปเรื่อยจนกระทั่งเข็มนาฬิกาเดินเลยข้ามเวลาเที่ยงคืนไปแล้ว ไอ้เคนจึงฟุบหลับลงไปบนตักของพี่แม็ทเป็นคนแรก
“เคน..... เคน.....” พี่แม็ทเขย่าตัวไอ้เคนเบาๆ แต่ฝันไปเถอะว่าไอ้ขี้เซานี่มันจะตื่นขึ้นมาน่ะ “แม่งงงง ใครใส่ยานอนหลับให้มันรึเปล่าวะ! ทำไมมันหลับสนิทได้ขนาดนี้เนี่ย หรือว่าแม่งจะเมาโค้กวะเนี่ย กูงง”
“ก็งี้แหละ ไอ้แม็ท ก็กูเคยบอกมึงแล้วไงว่าไอ้เคนแม่งหลับเก่งหลับลึกจะตายห่า ยิ่งถ้ามันเหนื่อยๆนะ แม่งหลับเป็นตาย ตอนนั้นที่กูเคยเล่าให้มึงฟังไงว่ากูเคยปลุกมันแล้วแม่งไม่ยอมตื่น จนกูถีบมันตกเตียงแม่งก็ยังไม่ตื่นเลยอะ”
“งั้นกูว่ากูเอามันเข้าไปนอนในห้องดีๆดีกว่าว่ะ สงสารมัน”
ผมมองดูพี่แม็ทช้อนตัวของไอ้เคนขึ้นบนอ้อมแขนแล้วค่อยๆยืนขึ้นด้วยความรู้สึกทึ่งๆ นี่ถ้าผมไม่รู้จักพี่แม็ทมาก่อนล่ะก็ ผมคงจะเผลอคิดไปแล้วนะเนี่ยว่าพี่เขาชอบไอ้เคนอยู่น่ะ
“ดูดิ ขนาดนี้แม่งยังไม่ยอมตื่นเลย เห็นมะ กูบอกแล้วว่าแม่งขี้เซาที่สุดในสามโลกแล้ว ไอ้เหี้ยเนี่ย” ไอ้เจย์หัวเราะเบาๆ
“พี่แม็ทแม่งโคตรแมนเลยว่ะ ยังกะอุ้มเจ้าสาวแน่ะพี่ โหหหห หล่อสาดดดด” ไอ้ป๊อปที่นั่งอยู่ข้างๆผมพูดขึ้นบ้าง
“ทะลึ่งและ ไอ้ป๊อป” พี่แม็ทหัวเราะเบาๆ “เออ งั้นกูเอามันเข้านอนเลยนะ พวกมึงจะนอนกันอยู่ที่นี่ใช่มะ ไม่เข้าไปในห้องใช่ปะ ถ้าจะเข้าไปก็เข้าไปเบาๆแล้วกัน กูก็จะนอนแล้วด้วยเหมือนกัน”
“อ้าว มึงจะไปนอนในห้องเหรอวะ”
“เออ สักงีบนึงมั้ง แล้วเดี๋ยวกูค่อยออกมาดูพวกมึงเป็นระยะๆ มึงคุยกันไปเหอะ อย่าเสียงดังรบกวนพวกอาเมฆเค้ามากก็แล้วกัน”
หลังจากที่พี่แม็ทอุ้มไอ้เคนเดินหายเข้าไปในห้องแล้ว ไอ้โจกับไอ้นนท์ก็หายไปตรงหลังครัวกันอีกคู่หนึ่งด้วยเหมือนกัน ผมเหลือบไปมองไอ้นัทเพื่อดูปฏิกิริยาของมัน แต่ก็ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติอะไรเลยสักนิดเดียว แต่สักพักหนึ่ง ไอ้นัทก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำด้วยอีกคนเหมือนกัน ตามมาด้วยไอ้ยุ และหลังจากที่พวกมันทุกคนกลับมาในห้องนั่งเล่นกันเหมือนเดิมครบทุกคนแล้ว เราก็เปิดหนังและนั่งคุยนั่งเล่นไพ่ด้วยกันอีกพักใหญ่ๆ จนในที่สุดไอ้นนท์ที่นั่งดูพวกเราเล่นไพ่กันอยู่ก็เริ่มสัปหงกจนได้ ดังนั้นไอ้นัทจึงพาแฟนของมันไปนอนอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องรับแขกตรงทางก่อนที่จะเดินออกไปสู่ประตูหน้าคอนโด ส่วนไอ้โจก็เอาแต่นั่งอ่านหนังสืออะไรของมันไม่รู้อยู่คนเดียวบนโซฟามาตลอดตั้งแต่แรก
“เฮ้ย ไอ้โจ มึงไม่มาเล่นไพ่ด้วยกันจริงๆเหรอวะ” ผมออกปากชวนมันอีกครั้ง
“ไม่อะ พวกมึงเล่นกันไปเถอะ” มันตอบพร้อมกับพลิกเปลี่ยนหน้าหนังสือ
“ว่าแต่มึงอ่านหนังสืออะไรของมึงวะ ไอ้โจ กูเห็นมึงอ่านมาตั้งแต่บนรถและ” ไอ้ยุถาม
“นิยายแปล”
“แล้วทำไมมึงอ่านนานจังวะ ยังไม่จบอีกเหรอ”
“จบไปเล่มนึงแล้ว แต่กูพกมาสามเล่ม”
“แล้วมันเกี่ยวกับอะไรวะ ไอ้โจ” ผมถาม
“สืบสวน”
“เฮ้ยยย หน้าปากนั่นมันหนังสือเรื่องใหม่ของ ‘ไมเคิล คอนเนลลี่’ ใช่มั้ยวะ ไอ้โจ” ไอ้คริสถามขึ้นบ้าง
“ใช่”
“ของนักเขียนคนนั้นกูก็อ่านเหมือนกันนะเว้ย แต่เล่มใหม่นี่กูยังไม่ได้ซื้อเลย”
“ว่าแต่นี่มึงก็เป็นหนอนหนังสือเหมือนกันเหรอวะเนี่ย ไอ้โจ” ไอ้ป๊อปพูดขึ้นบ้าง “มึงแม่งชอบอ่านหนังสือเหมือนกูเลยยยยยยย”
“ถุ๊ยยยย!!” ทั้งผม ทั้งไอ้เจย์ และไอ้ยุพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“หน้าอย่างมึงเนี่ยนะ ชอบอ่านหนังสือ! ไอ้ควาย!” ไอ้เจย์ตบหัวไอ้ป๊อปเบาๆ
ผมเหลือบไปเห็นไอ้โจเองก็กำลังยิ้มที่มุมปากน้อยๆอยู่ด้วยเหมือนกัน อืมมมม ผมว่าที่จริงมันก็ไม่ใช่คนนิสัยเลวร้ายอะไรจริงๆนั่นแหละนะ
“เฮ้ย ว่าแต่นี่ฝนหยุดตกแล้วนี่หว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ กูไม่ได้สังเกตเลย” ไอ้ป๊อปเปรยขึ้นเบาๆพร้อมกับมองออกไปนอกระเบียง
“สักพักแล้ว ก็มึงมัวแต่กินขนมแล้วก็พูดมากอยู่อะดิ ไอ้ป๊อป” ไอ้คริสตอบ
“งั้นอีกเดี๋ยวมึงลงไปเดินเล่นข้างล่างกับกูหน่อยมั้ย ไอ้ยิ่ว” มันหันมายักคิ้วให้ผม
ผมรู้สึกหัวใจพองโตขึ้นทันที “มึงพูดจริงอะ”
“ก็เออดิ อยากไปมะล่ะ”
“เฮ้ย มันจะดีเหรอวะ พวกมึง นี่มันก็ดึกมากแล้วนะเว้ย” ไอ้ยุพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยแน่ใจ
“เออ นั่นดิ ไอ้ป๊อป จะดีเหรอวะ แถมแม่งคงแฉะด้วยอะ” ผมหลุดปากออกไป
แต่ก่อนที่ไอ้ป๊อปจะทันได้ตอบอะไรกลับมา เสียงประตูห้องนอนของพี่แม็ทกับไอ้เคนก็ถูกเปิดออกขึ้น และอีกสักพักหนึ่งไม่นาน พี่แม็ทก็โผล่หน้าเข้ามาหาพวกเราในห้องนั่งเล่นพร้อมกับน้ำเปล่าขวดหนึ่งในมือ
“อ้าว ไอ้นัทกับไอ้นนท์นอนแล้วเหรอวะ”
“ช่ายยยย”
“แล้วพวกมึงอะ ใกล้จะนอนกันยัง ไอ้คริสหน้าง่วงมากเลยนะน่ะ ไหวมั้ยวะ เรา”
“อีกเดี๋ยวก็คงนอนแล้วครับ พี่ ยุเองก็ง่วงแล้วเหมือนกัน” ไอ้ยุตอบแทนไอ้คริส
“เออ กูว่าก็คงอีกพักหนึ่งอะว่ะ เก็บๆของแป๊บนึงก็คงจะนอนแล้วล่ะ” ไอ้เจย์หันไปพูดกับพี่ชายของมัน “แต่เดี๋ยวไอ้ป๊อปกับไอ้ตี๋มันว่ามันจะลงไปเดินเล่นข้างล่างหน่อยอะว่ะ”
“ตอนนี้น่ะเหรอวะ”
“ช่ายยยย แต่ดูเหมือนไอ้ตี๋มันจะไม่อยากไปแล้วอะดิ พี่” ไอ้ป๊อปยักไหล่
“เอ๊า ถ้ามึงอยากไปก็ไปดิวะ” ผมรีบตอบ
“เออๆ ยังไงมึงก็เอาไฟฉายไปด้วยละกัน แล้วก็ดูแลกันดีๆด้วย ไม่ต้องพกกระเป๋าเงินไป เอามือถือไปแค่เครื่องเดียวพอ เข้าใจรึเปล่า” พี่แม็ทสั่ง
“โอเคคร้าบบบบบ ไม่ต้องห่วงหรอกน่าาาา น้องป๊อปจะดูแลแฟนน้องป๊อปคนนี้อย่างดีเองงงงง” มันกอดคอผม
“ไอ้เหี้ย!! ปล่อยกูเลยมึง! กูดูแลตัวเองได้น่า ไอ้สาดดดดด!!” ผมรีบยกแขนมันออก รู้สึกเขินๆชอบกล
“ไงก็ระวังตัวกันด้วยล่ะ พี่เข้าไปนอนต่อก่อนละ”
“แล้วขวดน้ำนั่นทำไมวะ ไอ้แม็ท แล้วไอ้เคนอะ ยังหลับอยู่รึเปล่า”
“อ๋อ กูก็เอาเข้าไปเผื่อหิวน้ำอะดิ ไปและๆเว้ย เจอกันอีกทีพรุ่งนี้เช้า”
“ฝันดีคร้าบบ พี่แม็ท” พวกเราประสานเสียงกันออกมาแบบเกือบจะพร้อมเพรียงกัน
“งั้นเราไปกันเหอะ ไอ้ตี๋ เดี๋ยวจะเช้าซะก่อน” ไอ้ป๊อปพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน “เอ๊อะ แต่เดี๋ยวกูไปเยี่ยวก่อนแป๊บนึง มึงรอกูแปร๊บบบบบ”
“เออๆ ไปเหอะ กูไปหยิบไฟฉายแล้วใส่รองเท้ารอก่อนก็แล้วกัน” ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปหยิบไฟฉายขึ้นจากชั้นวางทีวี จากนั้นจึงเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป
และในตอนที่ผมกำลังจะเดินผ่านไอ้นัทกับไอ้นนท์ไปอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงของไอ้นัทกระแอมขึ้นเบาๆ พอผมก้มลงมองดูแล้วก็เห็นว่ามันกำลังนอนลืมตายิ้มให้ผมอยู่
“หึๆ ดีใจด้วยนะมึง” มันพูดเบาๆ
“ดีใจเหี้ยอะไรของมึงวะ”
“ไม่รู้สิ มึงคิดว่ากูพูดถึงเรื่องอะไรล่ะ” มันเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ให้ตายเถอะ นี่ตกลงว่าไอ้นัทมันจะอ่านใจผมออกจริงๆใช่มั้ยเนี่ย
“กวนตีนนะมึง ไอ้เชี่ยนัท!” ผมใช้เท้าเขี่ยสีข้างมันเบาๆ “ทำไมยังไม่นอนอีกวะ เฮอะ แล้วนี่มึงได้ยินที่พวกกูคุยกันมาตลอดเลยรึไง”
“กวนตีนเหี้ยไร กูก็แค่เคลิ้มๆ แล้วได้ยินพวกมึงคุยกันแว่วๆแค่นั้นเองเหอะ แต่พอเมื่อกี้กูเห็นมึงทำหน้าทำตาดูมีความสุขดี ก็เลยแสดงอยากความยินดีด้วยเท่านั้นเอง”
ผมหน้าแดง แต่ก่อนที่ผมจะทันได้ตอบอะไรมันกลับไป ไอ้ป๊อปก็เปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดีเสียก่อน
“อะเครรร ไปกันเถอะ ไอ้ยิ่ว.....” มันพูดพร้อมกับเดินเข้ามาหาผม “อ้าวว ไอ้หัวถั่ว ยังไม่หลับอีกเหรอวะ”
“หลับแล้วมั้ง ไอ้หัวทุย” ไอ้นัทหลับตาลงพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก “พวกมึงรีบไปรีบกลับก็แล้วกัน และขากลับมาก็เบาๆหน่อยนะเว้ย กูไม่อยากให้นนท์ตื่นน่ะ"”
“โอเคๆ” ไอ้ป๊อปรับคำ ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้กับผม “ไปกันเหอะ”