สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

๑.   สนใจสั่งจอง
5 (55.6%)
๒.   ขอคิดดูก่อน
4 (44.4%)
๓.   ไม่สนใจ
0 (0%)

จำนวนผู้โหวตทั้งหมด: 5

ปิดการโหวต: 31-05-2012 00:47:21

ผู้เขียน หัวข้อ: สานฝันนิรันดร : ขอบคุณทุกคน  (อ่าน 212379 ครั้ง)

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
 :z10: มารอ ร๊อ รอ.....

๐ขนมปัง๐

  • บุคคลทั่วไป
 :3123: :3123: :3123:

เข้ามาจิ้ม + ให้สเตฟาน  เย้ย ม่ะช่าย ให้คุณบุหรงตะหาก

เรื่องกำลังตื่นเต้นน่าติดตามเลยครับ มาต่อไวๆนะ

 :call:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๑๙

“ไปไหนมาวะ ไม่ไปกินข้าว” รังสรรค์ถาม
“ลางานไปทำธุระมาหว่ะ เลยกินข้าวกลางวันมาจากข้างนอกเลย” ภูริทัตตอบด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ธุระอะไรวะ กลับมาถึงได้หน้าบูดแบบนี้” รังสรรค์พูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ ขำในสีหน้าและท่าทางที่เหมือนจะหงุดหงิดไม่น้อยของเพื่อน
“สานฝันน่ะสิ ไปอังกฤษ”
“อ้าว แล้วเอ็งจะหงุดหงิดทำไมวะ หรือว่า” รังสรรค์ก้มหน้าลงมาใกล้ภูริทัตที่นั่งอยู่ “บ่เห็นหน้าเจ้ากินข้าวบ่ลง”
“เพลงเชยหว่ะ” ภูริทัตผลักหน้าของรังสรรค์ออกห่าง “ชอบไปไหนไม่บอกล่วงหน้าอยู่เรื่อย แล้วพอถามก็บอกว่าตัดสินใจกะทันหันทุกที นี่ก็บอกให้ข้าไปทำพาสปอร์ต ทำยังกับว่าข้าไปไหนได้ง่ายๆเหมือนเค้าอย่างงั้นแหละ”
“หนอยทำมาเป็นบ่น แต่เอ็งก็แจ้นไปทำทันทีไม่ใช่เหรอวะ” รังสรรค์พูดแล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว
“เกรงใจคุณทรงศักดิ์หว่ะ มารับแต่เช้าเลย ทำเสร็จยังพาไปกินข้าวกลางวันอีก แล้วก็พาข้ามาส่งนี่แหละ แต่ถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ บอกแต่ว่า ท่านสั่งมา ท่านสั่งมา”
“ท่านไหนวะ”
“ก็สานฝันไง คุณทรงศักดิ์เรียกคุณท่านทุกคำเลย”
“จะว่าไปก็น่าแปลกนะ เอ็งว่ารึเปล่า คุณทรงศักดิ์นี่ผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมไม่ใช่เหรอวะ ทำไมยกย่องสานฝันของเอ็งซะขนาดนั้น แล้วน่าแปลกนะ ติดต่ออะไรกับทางโรงแรมเรื่องสานฝัน ก็ให้ติดต่อคุณทรงศักดิ์อะไรเนี่ยคนเดียวเลย แปลว่าต้องเป็นคนสำคัญมากๆ”
“เรื่องนั้นข้าไม่สนใจหรอก” ภูริทัตพูดอย่างเบื่อหน่าย
“แล้วเอ็งสนเรื่องอะไรวะ”
“ก็สุดสัปดาห์นี้อาจจะไม่ได้พบกันน่ะสิวะ ไปกลับอังกฤษนะเว๊ย คิดว่าไปเช้าเย็นกลับ หรือแค่ ๒-๓ วันเหรอไง”
“ฮ่าๆๆ งั้นเอ็งก็ไปเที่ยวกับพวกข้าสิวะ”
“ดูก่อนแล้วกันหว่ะ”
แล้วทั้งสองคนก็คุยกันอีกพักหนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของตน
...........................................................................
.........................................
วันศุกร์ ขณะที่กำลังกินอาหารกลางวันอยู่กับเพื่อนๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีสายเรียกเข้ามาในโทรศัพท์มือถือ ภูริทัตจึงหยิบออกมาดู หมายเลขที่ปรากฏบนหน้าจอ เหมือนจะโทรมาจากต่างประเทศ ชายหนุ่มรีบกดรับสายด้วยความดีใจ
“สวัสดีครับ ภูริทัต นี่ผมเอง สเตฟาน”
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกชื่อของคนที่โทรมา สีหน้าเบิกบานขึ้นมาทันที ทำเอากรกฏบุ้ยหน้าด้วยความไม่พอใจ
“กินข้าวกลางวันรึยังครับ ตอนนี้ที่นี่พระอาทิตย์จวนจะขึ้นแล้ว ผมคงคุยกับคุณได้ไม่นานนัก”
“คุณจะกลับเมื่อไหร่ ผมคิดถึงคุณจะแย่แล้ว” ภูริทัตพูดโดยลืมไปว่ามีคนอยู่รอบๆ
“ผมก็คิดถึงคุณ สุดสัปดาห์นี้คงไม่ได้เจอกัน คุณอย่าน้อยใจนะครับ ผมจำเป็นจริงๆที่ต้องมาอังกฤษ”
“อื้อ ... ผมรู้ คุณทรงศักดิ์บอกผมแล้ว ถ้าทำธุระเสร็จแล้วคุณรีบกลับมานะ”
“ครับ ผมจะรีบกลับให้เร็วที่สุด แค่นี้นะครับ แล้วผมจะรีบกลับ”
“อื้อ ผมรักคุณนะ สานฝัน”
“ผมก็รักคุณ ภูริทัต มาย สวีท เบบี้” แล้วก็มีเสียงเหมือนอีกฝ่ายจูบลงบนโทรศัพท์ แล้ววางหูไป
ภูริทัตนั่งอมยิ้ม ลืมไปเลยว่ากำลังกินข้าวค้างอยู่
“อิ่มเลยสินะไอ้ทัต ข้าวไม่ต้องกินแล้ว” ปรีชาแซว
“กินสิวะ ยังไม่อิ่มเลย” พูดจบก็ตักข้าวกินต่อ แต่ยังยิ้มไม่หุบ จะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไร อีกฝ่ายเรียกเขาว่า สวีท เบบี้ มันเหมือนกับคำว่า สวีท ฮาร์ท นั่นแหละ
“บอกรักกันต่อหน้าธารกำนัลเลยนะ พี่นี่ร้ายไม่เบา” ปูพูดบ้าง แต่น้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่ค่อยพอใจนัก
“ทำไงได้ คนมันรักกันนี่” ภูริทัตตอบอย่างไม่สนใจ
“แล้วคืนนี้นัดกันไว้ที่ไหนวะ” รังสรรค์ถามบ้าง
“ยังไม่กลับหว่ะ ยังอยู่ที่อังกฤษอยู่เลย คงอีกหลายวัน”
“งั้นคืนนี้ก็ฟรีสิวะ งั้นไปกับพวกข้าไม่ได้เที่ยวด้วยกันนานและ”รังสรรค์ชวนอีก
“โอเค เดี๋ยวเลิกงานแล้วไปต่อกันได้เลย วันนี้เต็มที่” ภูริทัตตอบไป ใบหน้ายังคงเปี่ยมไปด้วยความสุข
...........................................................................
.........................................
เรือนร่างที่สูงมากกว่า ๑๘๐ ของภูริทัตกับรังสรรค์ ไม่ทำให้ปรีชา ซึ่งสูงเพียง ๑๗๐ เศษดูแตกต่างกันเท่าไรนัก เพราะอย่างไรปรีชาเป็นคนที่ไหล่กว้าง มีรูปร่างบึกบึนพอสมควร แต่สำหรับกรกฏ ซึ่งมีความสูงไม่ถึง ๑๗๐ แล้วยังมีรูปร่างค่อนข้างบอบบาง จึงมองดูขัดกับทั้งสามคนอย่างเห็นได้ชัด
สถานที่แบบนี้ ในค่ำคืนวันศุกร์ ย่อมเนืองแน่นไปด้วยผู้คน บ้างก็มาเพื่อฆ่าเวลา บ้างก็มาเพื่อพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง บ้างก็มาสนุกสนานร่วมกัน และอีกหลายๆจุดประสงค์ และแน่นอนที่มีบางส่วนมาเพื่อการนั้นโดยเฉพาะ อาจจะได้เพียงชั่วคืน หรืออาจจะได้คนที่จะคบหากันไปสักระยะ นั่นก็แล้วแต่ว่าจะได้พบเจอคนเช่นไร

ภูริทัตขยับตัวตามจังหวะของเสียงดนตรีด้วยความสนุกสนาน ถึงแม้ค่ำคืนนี้จะไม่ได้เป็นไปตามที่เขาหวัง แต่เขาก็ยังมีความสุข เมื่อได้รับรู้ว่าคนที่เขาคิดถึงนั้น มีความรู้สึกไม่แตกต่างไปจากเขาเลย รังสรรค์และปรีชาเองก็รู้สึกสนุกสนานไม่แพ้กัน สายตาของทั้งสองคนมองไปที่ผู้คนซึ่งอยู่ภายในผัป บางทีก็หันมาชี้ชวนให้ดูคนที่ตนสนใจ ผิดกับกรกฏซึ่งมีทีท่าไม่พอใจนัก เพราะเมื่อชวนภูริทัตคุยแล้วอีกฝ่ายหนึ่งก็ถามคำตอบคำ บางทีก็ไม่ตอบเขาด้วยซ้ำ ถึงแม้รังสรรค์และปรีชาจะชวนคุย กรกฏก็ยังรู้สึกว่าภูริทัตน่าจะให้ความสนใจเขามากกว่านี้
“เอ๊ะ” กรกฏอุทานเบาๆเมื่อมองเห็นชายหญิงทั้ง ๓ คน
ชายหนุ่มชาวตะวันตกรูปร่างดี ผิวหน้าสีขาวอมชมพู จมูกโด่งเป็นสันเล็กน้อย ริมฝีปากสีชมพู ดูแล้วแทบจะเหมือนกันไม่ผิดไปจากคนที่เขารู้จัก ผิดกันแต่ว่าเรือนผมและขนคิ้วของคนคนนี้ เป็นสีเงินยวงเงาวับ หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างน่าจะเป็นลูกครึ่ง ที่มีส่วนผสมของชาวผิวดำ แต่ผิวสีชอคโกแลตก็ดูนวนเนียน โหนกแก้มค่อนข้างสูง ดวงตากลมโต ริมฝีปากอวบอิ่ม รูปร่างอวบอัดไปทุกส่วน ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งคงเป็นชาวเอเซีย กรกฏคิดว่าอาจจะเป็นจีนหรือญี่ปุ่น รูปร่างพอๆกับปรีชา แต่เหมือนจะมีมัดกล้ามมากกว่า เพราะช่วงแขนที่พ้นเสื้อกั๊กไร้แขนนั้น ดูใหญ่โตแข็งแรงด้วยมัดกล้าม ใบหน้าค่อนข้างกลม ผมตัดสั้น ดวงตาเรียวเล็ก จมูกถึงไม่โด่งนักแต่ก็จัดว่าค่อนข้างใหญ่ ริมฝีปากบางดูแดงราวเชอรี่ คนทั้งสามเดินเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของผัป เดินพลางสอดส่ายสายตามองดูผู้คนอย่างช้าๆ เหมือนจะมองดูคนที่อยู่ในผัปให้ครบทุกคน แล้วเมื่อหยุดยืน หญิงสาวและชายหนุ่มชาวตะวันออกก็หันหน้ามาทางเขาพอดี ในขณะที่อีกคนหนึ่งหันหลังให้
“น่ากินทั้งคู่เลยว่ามั๊ยปู” ปรีชาเอียงหน้ามาพูดกับกรกฏ
“เอ็งสนผู้หญิงด้วยเหรอวะ” รังสรรค์เข้ามาพูดด้วยอีกคน
“มันเริ่มกลายพันธ์แล้ว” ภูริทัตพูดแล้วก็หัวเราะร่า
“สองคนนี่ยังไม่เท่าไหร่หรอก คนที่หันหลังอยู่นั่นสิ ถ้าหันมานะ แม้แต่พี่ทัตก็ต้องสนใจ” กรกฏพูดยิ้มๆ
“ขนาดนั้นเชียว” ภูริทันเลิกคิ้ว “เดี๋ยวจะคอยดู”
ปรีชากับรังสรรค์และกรกฏ พากันวิพากษ์วิจารณ์หญิงชายทั้งสองกันอย่างสนุกสนาน ภูริทัตก็ฟังอย่างสนใจบ้างไม่สนใจบ้าง จนเมื่อชายผมสีเงินยวงหันหน้ามานั่นแหละ ชายหนุ่มถึงกับแทบสำลักเครื่องดื่มที่กำลังดื่มอยู่
“สานฝัน” ภูริทัตอุทานเบาๆด้วยความตกใจ
“ดูดีๆไอ้ทัต แค่เหมือนเว๊ย” รังสรรค์หันมาบอก หลังจากที่เพ่งมองอยู่ชั่วครู่
“แต่เหมือนมากเลยนะ ยังกับฝาแฝด เค้าเคยเล่ามั๊ยว่ามีฝาแฝดน่ะ” ปรีชาหันไปถามภูริทัต
“ไม่ใช่หรอก สานฝันเค้าตัวคนเดียว ครอบครัวเค้าตายไปหมดแล้ว ญาติก็แทบจะไม่เหลือ นี่กลับไปอังกฤษก็คงจะไปเยี่ยมญาติที่เหลืออยู่นั่นแหละ” ภูริทัตบอกกับเพื่อนๆ
“นั่นสิ สเตฟานก็เคยเล่าให้ข้าฟังเหมือนกัน ว่าเค้าตัวคนเดียว นี่ถ้าได้มาเห็นคนที่เหมือนตัวเองขนาดนี้คงตกใจน่าดู” รังสรรค์พูดขำๆ
“นายไปรู้มาตอนไหน” ภูริทัตหันมาถาม
“ก็ตอนที่เดินเล่นกับเค้าน่ะ ลองถามดู ตอนนั้นเค้าก็บอกว่าครอบครัวเค้าเสียชีวิตไปหมดแล้ว” รังสรรค์ตอบโดยที่ไม่คิดอะไร
“เดินเล่น” ภูริทัตทวนคำ “ตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่นายแอบไปหาสานฝันตอนไหน” ภูริทัตเสียงเขียว
“ไม่ได้ไปหาเว๊ย เจอกันโดยบังเอิญ ก็เลยเดินเล่นด้วยกัน แค่นั้นเอง เอ็งอย่าหึงไม่เข้าเรื่องน่า ยิ่งตอนนี้เอ็งได้กันแล้วแบบนี้ ข้ายิ่งไม่ยุ่ง” รังสรรค์พูดแล้วหัวเราะชอบใจปนขบขัน กับท่าทีหึงหวงของเพื่อน
“แล้วถ้าเค้ายังไม่ได้คบกันล่ะ พี่สรรค์จะว่ายังไง” กรกฏถาม ทำท่าทางเหมือนไม่มีเจตนาร้าย
“ก็จีบน่ะสิถามได้” รังสรรค์ตอบทันที แล้วหันไปทางภูริทัต “นี่ถ้าเอ็งไม่ใช่เพื่อนข้านะ ข้าจะลองแย่งดู”
“นั่นสิ นี่ถ้าพวกเราไม่ใช่เพื่อนรักกันนะ ป่านนี้เป็นศึกชิงนางแล้ว เอ ... ไม่ใช่สินะ ต้องศึกชิงนาย” ปรีชาผสมโรงด้วยคน
“พีชาก็เป็นไปกับเค้าด้วยเหรอ” กรกฏยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น ที่รู้ว่าคนทั้งสามต่างก็สนใจในคนคนเดียวกัน
“พวกเอ็งน่ะ หมดสิทธ็ตั้งแต่คิดแล้ว จะบอกอะไรให้นะ” ภูริทัตยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อน “สานฝันน่ะ เค้ารักข้าตั้งแต่เห็นข้าครั้งแรกเลยนะเว๊ย”
“แล้วนายล่ะ เลิฟ แอท เฟริส ไซด์ เหมือนกันรึเปล่า” รังสรรค์ถามยิ้มๆ
“อื้อ” ภูริทัตตอบแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
“เฮ้อ ... ชวด ฉลู ขาล เถาะ ไหนๆก็หมดหวังแล้ว เอาตัวสำรองก็ได้” พูดจบปรีชาก็หันกลับไปมองชายชาวต่างชาติผมสีเงินยวงคนนั้นอีกครั้ง แต่ชายคนนั้นและหญิงชายอีกสองคนที่มาด้วย หายไปเสียแล้ว
“เสียใจด้วยหว่ะ สงสัย มอ คอ ปอ ดอ ซะแล้ว”  รังสรรค์พูดแล้วก็แบมือทั้งสองออกทางด้านข้าง ทำหน้ายียวน
“เชอะ .... หาใหม่ก็ได้ มีอีกเยอะ” พูดแล้วปรีชาก็สอดส่ายสายตามองดูคนในผัปต่อ พร้อมกับชวนเพื่อนคุยไปเรื่อยๆ
ไม่มีใครสักคนสังเกตว่ารังสรรค์พูดน้อยลง และดื่มมากขึ้น เพราะคิดว่ารังสรรค์อาจจะเริ่มเบื่อแล้ว มีแต่ตัวรังสรรค์เองที่รู้ว่า เขารู้สึก ‘เซ็ง’ อย่างมาก เมื่อได้รับรู้เรื่องความรู้สึกของภูริทัตและสเตฟานมากขึ้น ตอนนี้เองที่เขาเพิ่งจะรู้ตัว ว่าเขาเองก็เกิดอาการเช่นเดียวกับภูริทัตเช่นกัน

และอาการนี้ยังเกิดขึ้นกับบุคคลเดียวกันเสียด้วย ... สเตฟาน ... สานฝัน

แต่ฝันของเขา คงเป็นได้เพียงแค่ฝันที่ไม่อาจสานต่อเท่านั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-03-2009 21:07:09 โดย บุหรง »

nartch

  • บุคคลทั่วไป
เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตื่นเต้น ๆๆๆๆ...รอติดตามตอนต่อไปครับบบบบ
 :L2:

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
อ้างถึง
และอาการนี้ยังเกิดขึ้นกับบุคคลเดียวกัน กับคนที่เป็นเพื่อนสนิทเสียด้วย
ไม่เข้าใจกับประโยคนี้

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
อ้างถึง
และอาการนี้ยังเกิดขึ้นกับบุคคลเดียวกัน กับคนที่เป็นเพื่อนสนิทเสียด้วย
ไม่เข้าใจกับประโยคนี้
อ่านแล้ว งง เหมือนกัน
เบียนเอง งงเอง  :sad4:

แก้ไขแล้วคร๊าบบบ หวังว่าคงดีขึ้น  o1

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
สานฝันกลับไปทำอะไรที่อังกฤษหว่า ต้องมีเหตุผลแน่ ๆ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
รังสรรค์หลงรักสเตฟานด้วยหรอ  :m21:

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
เหตุการณ์มันเริ่มดำเนินเข้าใกล้ตัวของภูริทัตเข้าไปทุกที

มารอตอนต่อไปอยู่นะครับ ตั้ม เป็นกำลังใจให้เหมือนเคย +1 ด้วย

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
^
^
จ่อติดก้นน้องวันเลย หุหุ

เรื่องยิ่งเข้มข้นมากมาย
รังสรรค์ก้อชอบสเตฟานเหมือนกัน
เจ้าปูท่าทางจะร้าย

ติดตามต่อไป บวก 1 ให้จ้า  :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nana

  • 아주마 애기 두명 ㅋㅋ
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2759
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
พากันตกหลุมรักสานฝันกันหมดเลย :laugh:

salapaw

  • บุคคลทั่วไป
ชอบสานฝันกันหมด

เรื่องเหมือนมันใกล้จะจบแล้วนะ

แฮปปี้ใช่ไหมคะ 

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
พากันตกหลุมรักสานฝันกันหมดเลย :laugh:
ชอบสานฝันกันหมด

เรื่องเหมือนมันใกล้จะจบแล้วนะ

แฮปปี้ใช่ไหมคะ 
อิ อิ อิ ทำไงได้ นายเอกเรามาดนุ่มซะขนาดนั้น จริงมะ  :laugh3:
ว่าแต่จะให้จบแล้วเหรอ  o12
ว่าจะยืดอีกซักหน่อย  :sad3:

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
^
^
จะยืดเป็นหนังสติ๊กเลยก้อได้น้า
แต่ว่าจบแบบสานฝันสมหวังกับภูริทัตนิรันดรได้เปล่าจ๊ะ  :monkeysad:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
รุมรักสานฝันกัน แต่สานฝันต้องคู่กับภูริทัตเท่านั้นนะ  :sad4:

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
 o22 อารายอ่ะ  จะจบแล้วเหรอ
ทำไมรู้สึกสั้นๆอ่ะ น้องตั้ม
เอ่อ.... พี่หมายถึงนิยายอ่ะนะที่สั้น  :laugh:
ยืดแข่งกะละครหลายสีหน่อยนะ ๆๆๆ
สงสารสานฝันอ่ะ  อยู่คนเดียวมาแสนนาน
กว่าจะได้มาเจอภู แล้วมีความสุขด้วยกันแป๊บเดียว จะจบซะละ
ม่ายยยยยยย  :serius2:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
o22 อารายอ่ะ  จะจบแล้วเหรอ
ทำไมรู้สึกสั้นๆอ่ะ น้องตั้ม
เอ่อ.... พี่หมายถึงนิยายอ่ะนะที่สั้น  :laugh:
ยืดแข่งกะละครหลายสีหน่อยนะ ๆๆๆ
สงสารสานฝันอ่ะ  อยู่คนเดียวมาแสนนาน
กว่าจะได้มาเจอภู แล้วมีความสุขด้วยกันแป๊บเดียว จะจบซะละ
ม่ายยยยยยย  :serius2:
:sad3:
จะให้จบอีกคนแล้วเหรอ ม่ายยยยยยยยยยยยย.....  :serius2:
ตัวละครยังออกมาไม่ครบเล๊ยยยยย..............
แล้วสเตฟาน เป็นแวมไพร์จริงๆรึเปล่า หรือเป็นอะไรกันแน่
ต้องยืดๆๆๆ ออกไปอีก
 :laugh3: :laugh3: :laugh3:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :z13: :z13: น้องตั้ม นี่แนะ  :z13:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๒๐

ชายหนุ่มมองดูคนตรงหน้าด้วยแววตาหวานเชื่อม ไล้มือไปตามแก้มที่เนียนนวล ถึงแม้จะมีผิวขาวแบบชาวตะวันตกเช่นเดียวกัน แต่ผิวของชายหนุ่มคนนี้กลับดูเนียนละเอียดผิดชาวตะวันตกทั่วไป มือที่วางอยู่บนไหล่เลื่อนลงมาลูบเบาๆบริเวณตะโพกของอีกฝ่าย
“ผิวคุณนุ่มจัง” ชายหนุ่มพูดเบาๆ มองไปตามส่วนต่างๆของเครื่องหน้าฝ่ายตรงข้ามด้วยความหลงไหล แล้วหยุดลงที่ดวงตาสีเขียวมรกต
อีกฝ่ายไม่ตอบได้แต่ยิ้มน้อยๆ ชายหนุ่มเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ แต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยมือขาวผ่อง ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มน้อยๆ แล้วชายหนุ่มก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังดันให้เขาเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ จนชนเข้ากับเตียง
“อุ๊บ” ชายหนุ่มอุทานเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายผลักให้เขาล้มนอนลงบนเตียงนุ่ม “ทำไมคุณรุนแรงจัง” ถามด้วยความแปลกใจ และเริ่มคิดว่า บางทีอีกฝ่ายอาจจะร้อนแรงกว่าท่าทางสุขุมที่มองเห็นภายนอก ทำให้ชายหนุ่มเริ่มยิ้มกริ่ม เมื่ออีกฝ่ายโน้มตัวลงมาช้าๆ  แล้วก็รู้สึกเหมือนทุกสิ่งหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น ก่อนที่จะหมดสติไป

สเตฟานโน้มตัวตามชายหนุ่มที่ถูกผลักให้ล้มลงบนเตียง ดวงตาสีเขียวมรกตเปล่งประกายแวววาว ราวกับแก้วที่สะท้อนแสงไฟ อีกฝ่ายไม่รู้เลยว่าตนถูกครอบงำด้วยจิตของเขาเสียแล้ว ในขณะที่คิดว่าจะได้ลิ้มรสความสุขจากเขา กลับต้องหมดสติลงเพราะการสะกดของดวงตาสีเขียวมรกตคู่ที่ตนชมชอบ ใบหน้าของสเตฟานที่เคลื่อนลงไป หยุดลงเหนือใบหน้าของอีกฝ่ายเล็กน้อย แล้วทำท่าเหมือนกำลังสูดหายใจเอาบางสิ่งเข้าไป ถึงแม้จะไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ แต่ภาพที่ปรากฏในดวงตาสีเขียวมรกต สเตฟานมองเห็นกลุ่มละอองสีขาวลอยออกมาจากบริเวณจมูกของชายหนุ่ม แล้วรวมตัวกันเป็นเส้นสายบางๆ เข้าสู่จมูกของตน เวลาผ่านไปไม่ถึงนาที เขาก็ยุติการ ‘กิน’ เพราะเขาต้องการพลังชีวิตจากมนุษย์เพียงเล็กน้อย เท่าที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตไปได้ช่วงหนึ่งเท่านั้น การสูบกินพลังชีวิตเช่นนี้ ไม่เกิดผลใดๆกับ ‘เหยื่อ’ นอกจากการอ่อนเพลียเล็กน้อยเมื่อตื่นขึ้น และเมื่อเหยื่อตื่นขึ้นมา ก็จะจำเหตุการณ์ต่างๆไม่ได้ เพราะเขาทำการสะกดจิตเหยื่อทุกครั้ง เหมือนๆกับการกระทำโดยปรกติของแวมไพร์โดยทั่วไป
....................................................................
.................................
... โจชัวร์ ...
เสียงเรียกทำให้ผู้ที่กำลังจะเข้าสู่นิทรารมย์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
“สเตฟาน เจ้าไปอยู่ถึงที่นั่นเชียวหรือ” โจชัวร์พึมพำเบาๆ ด้วยความแปลกใจ
... ปล่อยข้าเถอะ ข้าขอร้อง ให้ข้าได้เป็นอิสระ ...
“ไม่มีวัน เจ้าก็รู้ว่าอิสระของเจ้า จะเกิดขึ้นได้ เมื่อข้าสูญสิ้น” โจชัวร์เค่นเสียงออกทางไรฟัน ไม่ต้องการให้อีกสองคนได้รู้ความจริงข้อนี้
... แต่ข้าไม่ต้องการทำร้ายท่าน ท่านก็รู้ ...
“หึ หึ” เค่นหัวเราะในลำคอ “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นคนทำลายครอบครัวของเจ้าน่ะหรือ”
... เรื่องนั้นข้าเหลือแต่เพียงความเศร้าอยู่ในใจเท่านั้นแหละ ... เสียงที่ตอบมาเศร้าสร้อยจนต้องขมวดคิ้ว
“แล้วทำไมเจ้าถึงได้มาเร่งรัดข้าในตอนนี้ เวลาที่ผ่านมาหลายร้อยปี ไม่เห็นเจ้าร้อนรนเช่นนี้”
... เพราะตอนนี้ข้ามีคนที่ข้ารัก ได้โปรดเถอะโจชัวร์ อย่างน้อยก็ให้อิสระแก่ข้า จนกว่าดวงไฟแห่งชีวิตของมนุษย์ผู้นั้น จะดับลงได้หรือไม่ ...
“อ้อ ... ข้ารู้แล้ว เพราะมนุษย์คนหนึ่งนี่เอง เพราะความสุขที่เจ้าต้องการมอบให้มนุษย์ผู้นั้น” เสียงของโจชัวร์เริ่มดังขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ดวงตาสีฟ้าเริ่มเปล่งประกายเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อนๆ
... บอกท่านตามตรง การปิดกั้นจิตไม่ให้ท่านหาพบ ทำให้ข้ามอบความสุขแก่เขาได้ไม่เต็มที่ ...
“เจ้าก็เลยอยากให้ข้าเลิกยุ่งเกี่ยวกับเจ้า ยามที่เจ้าใช้ชีวิตกับมนุษย์ผู้นั้น” โจชัวร์แค่นหัวเราะ “เพื่อที่เจ้าจะได้มอบความสุขให้แก่มัน เหมือนวันนั้น” ถึงแม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่ดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำ แสดงถึงอารมณ์ที่ตรงกันข้าม
... ได้หรือไม่ โจชัวร์ ... น้ำเสียงนั้นทั้งอ่อนโยน และขอร้องอยู่ในที
ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกของเสตฟานเท่านั้น ความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยพบในแวมไพร์ตนใดนี่เอง ที่ทำให้โจชัวร์หลงใหล
“ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว ข้าต้องการเข้าสู่นิทรา” ความรู้สึกง่วงงุนเริ่มเข้าครอบงำ เมื่อประสาทสัมผัสเริ่มรับรู้ว่าถึงเวลาแห่งการนิทรา
... ถ้าเช่นนั้นข้าจะคุยกับท่านอีกครั้ง ...
เสียงเงียบหายไป แต่โจชัวร์ก็ยังรับรู้ถึงสภาวะของจิต ที่อยู่ห่างไปอีกซึกหนึ่งของโลกได้ รู้สึกแปลกใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ปิดกั้นจิตไว้เช่นเคย แต่ก่อนที่จะคิดอะไรต่อไป สภาพของจิตและร่างกายของตนก็เข้าสู่ห้วงนิทราเสียแล้ว

สเตฟานถอนหายใจยาว เขามีเวลามากกว่า ๑๐ ชั่วโมง ที่จะทำตัวตามสบาย ไม่ต้องกังวลกับการปิดกั้นจิตเหมือนที่เคยทำ เพราะรู้ดีว่าขณะที่พระอาทิตย์ขึ้นในอีกฟากหนึ่งของโลก ก็จะเป็นเวลาที่อีกฝ่ายเข้าสู่ห้วงนิทรา กี่ร้อยปีมาแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้ ถึงแม้การทำตัวให้มีสมาธิเพื่อก่อ ‘กำแพง’ อยู่ตลอดเวลา จะกลายเป็นความเคยชินในการดำเนินชีวิต แต่ช่วงเวลานี้ นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกผ่อนคลายมากที่สุด ชายหนุ่มสูดหายใจลึกๆเมื่อคิดไปว่า ‘แผน’ ที่กำลังดำเนินอยู่นี้จะได้ผลหรือไม่ แผนการที่จะทำให้โจชัวร์ออกห่างจากผู้เป็นที่รักของเขาให้มากที่สุด เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะปิดบังโจชัวร์ไว้ได้นานแค่ไหน ถึงตัวตนของบุคคลอันเป็นที่รัก กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งโจชัวร์และ ‘ลูก’ ของเขา อาจจะทำอันตรายแก่ชายหนุ่มผู้นั้นได้ หากโชคร้ายถึงที่สุดอาจไม่ใช่เพียงแค่ชีวิตของชายหนุ่มเท่านั้น แต่อาจหมายถึงการทำให้ชายหนุ่มผู้นั้น กลับกลายเป็นแวมไพร์ไปด้วยอีกผู้หนึ่ง ซึ่งอาจเป็นสิ่งเลวร้ายสุดคาดคิดก็ได้
“ภูริทัต ผมจะปกป้องคุณให้ได้” สเตฟานพูดกับตัวเองเบาๆ
....................................................................
.................................
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกคนเรียก จึงเงยหน้าขึ้นมอง แต่ก็ไม่พบว่ามีใครมีท่าทางว่าเรียกเขา ทุกคนในห้องต่างก็กำลังทำงานของตนอยู่อย่างขะมักเขม้น เพราะช่วงเช้าเช่นนี้นอกจากงานใหม่ที่จะต้องทำแล้ว บางคนอาจมีงานเก่าที่คั่งค้างมาจากวันวานด้วย ภูริทัตจึงก้มหน้าอ่านเอกสารที่อยู่บนโต๊ะต่อ และทำงานไปเรื่อยๆจนได้เวลาพักกลางวัน
“กลับมารึยัง” รังสรรค์ถามขึ้นในระหว่างกินข้าวกลางวัน
“อะไร” ภูริทัตย้อนถาม
“ก็สเตฟานไง เมื่อไหร่จะกลับ” รังสรรค์ขยายความ
“ไม่รู้หว่ะ ตั้งแต่ที่โทรมาวันนั้นก็ไม่ได้ติดต่อมาเลย” ภูริทัตตอบแล้วสีหน้าก็สลดลง
“แย่จังนะ เป็นแฟนภาษาอะไร ถ้าเป็นผมจะโทรหาพี่ทุกวันเลย” กรกฏพูดเสียงออดอ้อน
“ปูพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ” รังสรรค์ติง
“ทำไมล่ะพี่ ก็ผมห่วงพี่ทัตของผมนี่” กรกฏเน้นคำว่า ‘ของผม’ เป็นพิเศษ
“ว่าไปที่ปูพูดก็น่าคิดนะ ทำไมเค้าไม่โทรมาเลยล่ะ” ปรีชาแสดงความคิดเห็น
ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ ภูริทัตก็รู้สึกถึงการสั่นของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง จึงล้วงออกมาดู พอเห็นเลขหมายที่โทรเข้าก็ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ว่าทำไมผู้ที่กำลังเป็นจุดศูนย์กลางของการสนทนา ถึงได้โทรมาในเวลาที่พอเหมาะเช่นนี้
“สวัสดีครับ” ภูริทัตกรอกเสียงลงไป
“ภูริทัต ดวงใจของผม ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ติดต่อมาเลย” เสียงทักทายที่เปี่ยมไปด้วยความคิดถึง ทำให้สีหน้าของชายหนุ่ม เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นทันที
“ห่วงผมด้วยเหรอ” ถึงใบหน้าจะยิ้มแย้ม แต่ก็แกล้งทำเสียงดุ เหมือนไม่พอใจ
“ผมจะมีใครในเมืองไทยให้ห่วงได้อีกล่ะครับ นอกจากคุณ”
“จริงอ๊ะ” เขายังคงทำเสียงดุ ท่ามกลางสายตาที่มองดูด้วยความแปลกใจของเพื่อนๆ
“ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ” อีกฝ่ายตอบมาช้าๆ “ผมเพียงแต่จะโทรมาบอกว่า ‘ธุระ’ ของผมใกล้จะเสร็จแล้ว คงจะกลับไปเร็วๆนี้” น้ำเสียงสดใสในตอนแรก เปลี่ยนเป็นแหบแห้ง
“เมื่อไหร่ คุณจะกลับมาวันไหน” เสียงดุๆเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงตื่นเต้นทันที
“อีกไม่กี่วันหรอกครับ แล้วผมจะให้คุณทรงศักดิ์คอยส่งข่าวให้คุณรู้ แค่นี้ก่อนนะครับ ภูริทัต ดวงใจของผม” แล้วอีกฝ่ายก็วางสายไป
“สานฝัน เดี๋ยว ...”
ภูริทัตพูดจนเกือบเป็นตะโกน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงรีบวางสายไปอย่างกะทันหัน เก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม แล้วกินข้าวต่อด้วยความหงุดหงิด
“สเตฟานโทรมาเหรอ” ปรีชายื่นหน้าเข้าไปถาม
“เออ” ภูริทัตตอบสั้นๆ หน้านิ่วคิ้วขมวด
“ว่าไงมั่งล่ะ” รังสรรค์ถามด้วยความสนใจ
“จวนกลับแล้ว” ภูริทัตยังตอบสั้นๆเหมือนเดิม
“อ้าว ก็ดีน่ะสิ แล้วทำไมหน้าบูดอย่างงั้นวะ” รังสรรค์พูดกลั้วหัวเราะ
“พูดยังไม่ทันรู้เรื่อง วางสายซะแล้ว จะไม่ให้โกรธได้ไงล่ะวะ” ภูริทัตบ่น
“อ้าว แล้วทีเอ็งล่ะ ทำท่าดุซะขนาดนั้น ไม่คิดว่าเค้าจะเสียใจมั่งรึไงวะ” รังสรรค์แก้ให้
“พี่สรรค์พูดยังกับรู้ใจนะ” กรกฎพูดยิ้มๆ
“ไม่ต้องถึงกับรู้ใจหรอกนะปู คิดง่ายๆถ้าปูเป็นสเตฟาน เจอเจ้าทัตพูดแบบเมื่อกี้ จะทำยังไง”
“ผมก็จะพยายามพูดให้พี่เค้าอารมณ์ดีน่ะสิ นี่อะไรวางหูไปซะเฉยๆอย่างงั้น” กรกฏตอบ
“นั่นสิ คราวนี้เราเห็นด้วยกับปูมันนะ” ปรีชาเสริม
“แต่สเตฟานน่ะ เค้าอ่อนไหวกว่านั้นเยอะ เชื่อสิป่านนี้เสียใจแย่แล้ว” รังสรรค์พูดแล้วหันไปสบตาภูริทัต ซึ่งกำลังจ้องหน้าเขา “หรือนายว่ายังไง”
ภูริทัตไม่ตอบ แต่ก้มหน้ากินข้าวที่เหลืออยู่อย่างเงียบๆ ปล่อยให้เพื่อนๆคุยกันไป โดยที่ตัวเองอยู่ในความครุ่นคิด เพราะเขาก็เห็นด้วยกับรังสรรค์เช่นกัน
....................................................................
.................................
“รีบออกไปหาอาหารกันได้แล้ว” โจชัวร์บอกไลล่ากับไป่เทียน ทันทีที่ตื่นจากนิทรา “กินกันซะให้อิ่มด้วย เที่ยงคืนพวกเราจะออกเดินทาง”
“เดินทาง” ไลล่าทวนคำ ทำท่าว่าจะถามอะไรต่อ
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น รีบไป แล้วอย่าลืมว่า อย่าทำอะไรเป็นการทิ้งร่องรอย ให้พวกมนุษย์มันรู้ถึงการคงอยู่ของแวมไพร์อย่างพวกเรา”
ไลล่า และ ไป่เทียนรับคำ แล้วก็ออกจากห้อง ไม่นานนักโจชัวร์ก็ออกไปบ้าง เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางในครั้งนี้
“สเตฟาน ข้าไม่ปล่อยเจ้าหรอก เจ้าต้องกลับมาอยู่เคียงข้างข้า” โจชัวร์พึมพำ ขณะที่เดินออกจากโรงแรมไปสู่จุดหมายที่ต้องการ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-03-2009 18:49:44 โดย บุหรง »

๐ขนมปัง๐

  • บุคคลทั่วไป
^
^
^
^
มาจิ้มสเตฟาน......   หุหุหุ

รอลุ้นอยู่นะครับ กลัวว่าโจชัวร์ จะเจอภูริทัต ก่อนเจงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






nartch

  • บุคคลทั่วไป
:serius2:
งี้มีไรกะภูริทัตทีก็ต้องบินกันให้รอบโลก...ไม่งั้นก็จับได้ว่าอยู่ไน๋
ทำไม๊ทำไม...รักลำบากขนาดนี้...สงสารสเตฟานจังงงงง  :กอด1:

ออฟไลน์ wan

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5575
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +643/-10
ความน้อยใจ ทำให้ภูริทัต พูดออกไปอย่างงั้น

อะไรจะเกิดขี้นต่อไป ตาม ๆๆๆๆๆๆๆๆ

+1 ให้นะครับตั้ม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะ

ออฟไลน์ Shumi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
โอ้โห.. ตัวละครยังออกมาไม่ครบหรอ ดูท่าว่าเรื่องนี้ คงยาวพอสมควร (รึเปล่า) นะเนี่ย

แล้วตัวละครที่เหลือ จะเป็นยังไงกันบ้างหว่า อยากรู้ ๆ

ตอนใกล้ ๆ นี่ คงจะเจอกันแล้วสิ ภูริทัต กับ โจชัวร์

ออฟไลน์ mist

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +263/-3
แผนล่อเสือนี่เอง  o13

sNow

  • บุคคลทั่วไป
กรี๊ดดด หลังจากนั่งอ่านโต้รุ่ง ในที่สุดก็ทันปัจจุบัน

สนุกมากเลยค่ะ

ชอบแนวแวมไพร์อยู่พอดีเลย

สานฝัน ภูริทัติ :-[ ความรักนีคงยากลำบากหน่อยล่ะ

เอาใจช่วยให้แฮปปี้เอนดิ้ง

namtaan

  • บุคคลทั่วไป
สเตฟานวางแผนอะไรไว้เนี่ย
จะช่วยภูริทัตกับตัวเองให้สมหวังได้หรือเปล่านะ
บวก 1 ให้เลยจ้า ยิ่งอ่านยิ่งลุ้นมากๆ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
ต่อเรื่องอีกยาวๆ ก็ได้ค่ะ ชอบๆ เรื่องนี้ค่ะ ลุ้นดี  :3123:

kongkilmania

  • บุคคลทั่วไป
แอร๊ยยยยย สเตฟานจะกลับมาแล้ว  :z1:
ยินดีกะนายภูด้วยน้า หุๆๆ



ปล. น้องตั้มมมมมม พี่ไม่ได้เร่งให้จบเร็วเน้อ
อยากอ่านเยอะๆ แล้วก็นานๆด้วย
 55555555

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
สงสารสานฝันจริงๆ  :monkeysad:

ออฟไลน์ บุหรง

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 854
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +709/-3
    • My FB
บทที่ ๒๑

“อย่าลืมพาสปอร์ตนะครับ” ทรงศักดิ์ย้ำไปอีกครั้งหนึ่ง “แล้วพรุ่งนี้เย็นผมจะไปรับหน้าที่ทำงาน จะได้ไม่เสียเวลา แค่นี่นะครับคุณภูริทัต”
“เรียบร้อยแล้วครับคุณท่าน” ทรงศักดิ์หันกลับไปบอกสเตฟานที่นั่งอยู่บนโซฟา ภายในห้องทำงานภายในบ้านของเขา “ว่าแต่มันจะไม่อันตรายไปหน่อยหรือครับ สิงคโปร์มันใกล้แค่นี้เอง” พูดพลางเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของชุดโซฟา
“แบบนี้แหละดีแล้ว อีกฝ่ายคงคิดไม่ถึง ว่าผมจะกล้าขนาดนี้” สเตฟานตอบยิ้มๆ
“แล้วถ้ามันผิดพลาดล่ะครับ ผมอดห่วงไม่ได้ คุณภูริทัตจะไปสู้รบปรบมือกับอีกฝ่ายได้ยังไง” ทรงศักดิ์ถามด้วยความกังวล
“แล้วคุณไม่ห่วงตัวเองบ้างหรือ  ถ้าพวกนั้นรู้ว่าคุณเป็นคนจัดการเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจต่างๆให้ผม”
“คงสาวมาไม่ถึงตัวผมหรอกครับ ใครจะคิดว่าคุณท่านจะสนใจธุรกิจโรงแรม เพราะเงินไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นเลยแม้แต่น้อย สำหรับคุณท่าน หรือคนอื่นๆที่เป็นแบบคุณท่าน”
“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น แต่มีคนเตือนผม สอนผม ให้รู้ว่าในโลกมนุษย์ เงินตราเป็นสิ่งสำคัญ และนับวันจะมีความสำคัญมากขึ้น เพราะสิ่งของทุกอย่างในการดำเนินชีวิต ล้วนต้องใช้เงินซื้อหาทั้งนั้น แล้วยังสอนผมว่า การได้มาซึ่งสิ่งของด้วยวิธีที่ผ่านมา นับว่าเป็นเรื่องผิดในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ผมอยากทำตัวเหมือนมนุษย์ แต่ผมไม่สามารถทำธุรกิจได้เอง ผมได้ทวดของคุณนี่แหละที่ให้การช่วยเหลือ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับคุณท่าน คนที่ได้รับการช่วยเหลือน่ะ คุณทวดของผมต่างหาก ถ้าไม่ได้คุณท่าน คุณทวดของผมคงต้องล้มละลาย มีหนี้สินล้นพ้นตัว ธุรกิจก็ไม่สามารถฟื้นคืนมาได้ และพวกผมคงไม่ได้อยู่กันอย่างสุขสบายเหมือนทุกวันนี้” ทรงศักดิ์พูดอย่างตื้นตัน “มิหนำซ้ำ สิ่งที่คุณท่านต้องการ นับว่าเป็นทรัพย์สินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเทียบกับทรัพย์สินที่คุณท่านมอบให้คุณทวดในตอนนั้น”
“แค่นี้ผมก็เพียงพอแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมากมายนี่ ผมกินอาหารไม่เปลือง ดื่มนิดหน่อย บันเทิงอีกนิด ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปที่ต่างๆก็ไม่ต้องเสีย แล้วผมก็อยากใช้เวลาอยู่กับคนที่รัก ในช่วงเวลาที่สามารถทำได้” สายตาของสเตฟานเปลี่ยนเป็นเลื่อนลอย เมื่อคิดถึงชายหนุ่มที่อยู่ในใจของตน

ทรงศักดิ์จ้องมองอีกฝ่าย ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูกว่าตนคิดเช่นไรกันแน่

... มีความสุขเพราะเห็นคนที่ตนเคารพรัก มีความสุขกับคนที่ตนรัก
... เป็นห่วงว่าความรักของคนทั้งสองจะเป็นเช่นไรต่อไป เพราะความแตกต่างในแทบจะทุกเรื่อง
... กังวลว่าหากวันหนึ่งข้างหน้า ชายหนุ่มผู้นั้นได้รู้ความจริง ถึงตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย ชายหนุ่มผู้นั้นอาจจะตีจากไปด้วยความหวาดกลัว
... วิตกไปถึงคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาจสร้างปัญหาต่อทั้งคุณท่านของเขา และชายหนุ่มผู้นั้น

แล้วความคิดของเขาก็ต้องสะดุดลง เมื่อบานประตูห้องทำงานถูกเปิดขึ้นอย่างกระทันหัน พร้อมกับชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เป็นชายหนุ่มที่รูปร่างสูงมากกว่า ๑๘๐ ผิวสองสี หน้าตาคมเข้มแบบชายไทย หากมองให้ดี จะเห็นว่ามีส่วนคล้ายทรงศักดิ์อยู่บ้างเหมือนกัน
“คุณปู่ครับ ผมเอาตั๋วเครื่องบินที่คุณปู่สั่งไว้มาให้” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงและรอยยิ้ม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าภายในห้องมีคนอื่นอยู่ด้วย “ขอโทษครับ ผมไม่ทราบว่าคุณปู่มีแขก” ชายหนุ่มเขม้นมองคนแปลกหน้าด้วยความแปลกใจ เพราะยามวิกาลเช่นนี้ คุณปู่ของเขาไม่น่าจะมีคนมาหาถึงที่บ้านได้ มิหนำซ้ำยังเป็นชาวต่างชาติเสียอีก
“จะเข้ามาทำไมไม่เคาะประตูก่อน” ทรงศักดิ์ตำหนิเบาๆ “ขอโทษด้วยนะครับ หลานผมไม่ค่อยมีมารยาท” เขาหันไปบอกสเตฟาน ซึ่งยิ้มตอบเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร
“แหม ... ผมไม่คิดว่าคุณปู่จะมีแขกนี่ครับ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ที่ถูกตำหนิต่อหน้าคนอื่น แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวด้วยความสนใจ รอยยิ้มที่อบอุ่นชวนสนิทสนม ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเป็นมิตรด้วยทันที จึงได้ทักทายออกไป “สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ นี่คงเป็นทรงเดชหลานคุณสินะ” สเตฟานทักทายชายหนุ่ม แล้วหันไปถามทรงศักดิ์
“ใช่ครับ ทรงเดชมานั่งสิ” ทรงศักดิ์ตอบแล้วหันไปบอกหลานชาย “เมื่อกี้บอกว่าเอาอะไรมาให้”
ทรงเดชเดินเข้าไปยื่นซองสีน้ำตาลใบเล็กให้ทรงศักดิ์ แล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง
“ตั๋วเครื่องบินไงครับ ออกเดินทางคืนพรุ่งนี้ กลับเช้าวันอาทิตย์ ตามที่คุณปู่สั่งทุกอย่าง” ทรงเดชตอบ แล้วหันไปมองสเตฟานอีกครั้งก่อนจะหันกลับมาที่ทรงศักดิ์ “แล้วนี่คุณภูริทัต ที่จะเดินทางไปกับคุณปู่เหรอครับ” ชายหนุ่มหันไปยิ้มกับสเตฟานด้วยความเป็นมิตร  แล้วเพ่งมองใบหน้าของอีกฝ่ายอีกครั้ง “เอ ... ผมคุ้นๆหน้า เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนมั๊ยครับ หรือว่าตอนที่ผมไปหาคุณปู่ที่โรงแรม” ประโยคหลังหันไปถามกับทรงศักดิ์
“เคยสิครับ เราเคยพบกันหลายครั้งแล้ว แต่คุณคงจำไม่ได้” สเตฟานพูดกลั้วหัวเราะ
“เหรอครับ” ชายหนุ่มทำตาโต แล้วขมวดคิ้ว “ผมจำไม่ได้จริงๆนั่นแหละ แต่เอ๊ะ ... ทำไมคุณพูดไทยชัดจัง”
“ตาเดช” ทรงศักดิ์เรียกชื่อหลานด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “นี่คุณท่าน”
“คุณท่าน” ทรงเดชขมวดคิ้วอีกครั้ง นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คุณสเตฟานน่ะเหรอครับ” ชายหนุ่มตกใจจนอ้าปากค้าง หันไปมองสเตฟานอีกครั้ง ก็พบกับสีหน้าที่เหมือนจะขบขันกับท่าทางของเขา “เรื่องที่คุณปู่เล่าให้ผมฟังเป็นเรื่องจริงเหรอครับ” เขาหันไปถามทรงศักดิ์เสียงเลิกลั่ก
“ทำไมแกถามอย่างนี้ แปลว่าตลอดมาแกไม่เคยเชื่อชั้นเลยล่ะสิ” ทรงศักดิ์พูดเสียงดุๆ
ทรงเดชหันกลับไปมองสเตฟานอีกครั้ง คราวนี้เพ่งพินิจมากกว่าเก่า
“ไม่จริงน่า ... คุณปู่ล้อผมเล่น แวมไพร์อะไรจะเป็นแบบนี้” ทรงเดชพูดเบาๆ
“แล้วคุณคิดว่าแวมไพร์ น่าจะเป็นยังไง” สเตฟานถามยิ้มๆ รอยยิ้มทั้งอ่อนโยน ทั้งแสดงความขบขันต่อชายหนุ่ม
“แวมไพร์ที่ไหนจะยิ้มได้น่าดูแบบนี้ล่ะครับ” ทรงเดชพูดออกไปทันที “แวมไพร์น่ะต้องดุ โหด ดูเยือกเย็น ไม่เป็นมิตร แบบเคาท์แดกคิวร่าไง แต่ดุคุณสิ ยิ้มหวานขนาดนี้ ... คุณร่วมมือกับคุณปู่มาหลอกผมล่ะสิ”
ชายหนุ่มพูดแล้วหัวเราะเบาๆ แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว ค่อยๆเลือนหายไป
“คุณปู่ นี่มันอะไรกัน เค้าหายไปไหน” ทรงเดชถามหน้าตาตื่น
“ผมอยู่นี่”
ทรงเดชหันไปตามเสียงก็เห็นสเตฟานนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ ที่โต๊ะทำงานอีกด้านหนึ่งของห้อง
“คุณเชื่อรึยัง”
เสียงมาจากอีกด้านหนึ่ง ทรงเดชหันกลับไป ก็พบว่าสเตฟานกลับมานั่งอยู่บนโซฟายาวตัวเดิม ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่ามีเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากของตัวเอง
“ผม ... ผม” พูดด้วยความตะกุกตะกักเพราะความตื่นเต้น “ผมอยากเห็นเขี้ยวของคุณ”
สเตฟานขมวดคิ้ว มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ได้ เขี้ยวของแวมไพร์มีไว้เพื่อการสูบโลหิตเป็นอาหาร หรือการคร่าชีวิตผู้อื่นเท่านั้น มันอันตรายเกินไป อีกอย่างหนึ่ง ...” สีหน้าของสเตฟานอ่อนโยนลง “โลหิตไม่จำเป็นสำหรับผม และผมก็ไม่ต้องการชีวิตใคร ผมเลิกใช้เขี้ยวมานานแล้ว”
“ตาเดช แกอย่าสงสัยอะไรให้มากนัก ปู่เคยบอกแล้วว่า จะให้แกสานต่องานรับใช้คุณท่านต่อจากปู่ แกก็รับปากไม่ใช่เหรอไง”
“ผมคิดว่าคุณปู่หลอกผมเล่น” ทรงเดชถอนหายใจ
“ไม่เป็นไรหรอกทรงศักดิ์ หากเขาไม่เต็มใจก็อย่าบังคับเขา” สเตฟานติง
“แต่ว่า ต่อไปใครจะคอยดูแลคุณท่านล่ะครับ”
“ยังมีเวลาอีกนาน ทรงศักดิ์” สเตฟานยิ้มน้อยๆ “คุณยังแข็งแรง เชื่อว่าผมยังคงพึ่งพาคุณได้อีกนาน”
ทรงเดชมองดูสเตฟานด้วยความสงสัย แทบไม่เชื่อเลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าคือแวมไพร์ ที่เขารู้สึกมาตลอดว่า เป็นเรื่องเพ้อผัน และถ้ามีจริง คนเบื้องหน้าก็ช่างต่างจากภาพพจน์ที่เขาคิดไว้เสียเหลือกิน
“ดีใจที่ได้เห็นคุณอีกนะทรงเดช” สเตฟานหันมาพูดกับชายหนุ่ม “ครั้งแรกที่ผมเห็นคุณ คุณเพิ่งจะเกิดได้ไม่กี่วัน และครั้งสุดท้ายคุณยังเป็นเพียงเด็กชายที่กำลังจะเข้าสู่วัยรุ่น ตอนนี้คุณเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้ว” สเตฟานหันกลับไปทางทรงศักดิ์ “คุณคงภูมิใจในตัวหลานคนนี้มากนะ”
“ครับคุณท่าน ถึงจะไม่ค่อยเอาไหน แต่ก็ทำเรื่องให้ผมดีใจหลายเรื่อง” พูดแล้วก็หันมองหลานชายด้วยความรักและเอ็นดู
“ดีแล้ว เอาหล่ะ ดึกมากแล้ว ผมควรจะไปซะที คงจะมีโอกาสได้พบกันอีกนะครับ” สเตฟานหันไปยิ้มให้ทรงเดช ซึ่งยังมองเขาอย่างงงๆ
“คุณท่านจะกลับไปที่โน่นเลยเหรอครับ” ทรงศักดิ์หมายถึงประเทศอังกฤษ
“ไม่หล่ะ คืนนี้ผมคงจะอยู่ในกรุงเทพฯ วันพรุ่งนี้ก็คงพักในห้องพักเหมือนเคย แล้วเจอกันที่สิงคโปร์นะ” พูดจบร่างของสเตฟานก็ค่อยๆเลือนหายไป
คนทั้งสองยังคงนั่งอยู่ในความเงียบ สายตาของชายหนุ่มที่จ้องมองผู้เป็นปู่ ราวกับจะมีคำถามอยู่มากมาก

“ตกลงมันเป็นเรื่องจริงเหรอครับ” ทรงเดชขยับตัวมานั่งที่โซฟาตัวยาว ด้านที่ใกล้กับทรงศักดิ์
“ขนาดนี้แล้วแกยังไม่เชื่ออีกเหรอไง”
“แต่คุณท่านไม่เหมือนที่ผมคิดไว้เลย ผมคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะดูเหมือนคนวัยกลางคน ที่ไหนได้ดูแล้วยังกับว่าอายุพอๆกับผม แล้วยังดูใจดีอีกต่างหาก”
“อื้อ ปู่พอจะเข้าใจแก คุณท่านน่ะเป็นแวมไพร์ที่แปลกกว่าแวมไพร์ตนอื่น ซึ่งถ้าแกได้เจอพวกนั้น แกต้องออกห่างเพราะมันอันตราย”
“แล้วที่คุณสเตฟาน ... เอ้อ ... คุณท่านบอกว่าท่านเลิกใช้เขี้ยว แปลว่าท่านไม่กินเลือดคนเหรอครับ”
“ใช่”
“อ้าว ... เป็นแวมไพร์ไม่ดูดเลือด แล้วจะอยู่ได้ยังไง” ทรงเดชขมวดคิ้ว ยกมือลูบคาง
“ได้สิ คุณท่านดูดพลังชีวิตของพืช เอามาเป็นพลังงานในการดำรงชีวิต แต่ก็มีบางช่วง ที่ต้องดูดพลังชีวิตจากมนุษย์เหมือนกัน”
“แล้วมันไม่ยิ่งแย่กว่าดูดเลือดเหรอครับคุณปู่ แค่เลือดน่ะ ร่างกายสร้างใหม่ทดแทนได้ แต่ถ้าสูบพลังชีวิต จะไม่ทำให้อายุสั้นลงเหรอครับ ผมเคยเห็นในหนัง คนที่ถูกดูดพลังชีวิตจะแก่เร็วขึ้น”
“ก็อาจจะนะ แต่คุณท่านไม่ดูดพลังชีวิตของคนมากมาย จนถึงขนาดทำให้แก่ลงทันทีหรอก เรื่องนี้คุณท่านเคยพูดให้ปู่ฟัง ท่านขอเพียงให้ใช้ดำรงชีวิตได้เท่านั้น ไม่มีผลต่อคนที่ท่านดูดพลังชีวิตเท่าไรนัก ไอ้เรื่องจะทำให้แก่ลงเร็วขึ้นน่ะ มันเป็นแค่ในหนัง ที่คนสร้างจินตนาการขึ้น”
“เหรอครับ อย่างนั้นก็ไม่น่ากลัวเท่าไหร่” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“แต่คุณท่านก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอกนะ เพราะฉะนั้นคุณท่านจะไม่แตะต้อง ‘เหยื่อ’ อีกเป็นครั้งที่สอง” ทรงศักดิ์เว้นระยะการพูด มองดูใบหน้าที่ครุ่นคิดของหลานชาย “ว่าแต่แกน่ะ จะไม่ดูแลคุณท่านต่อจากชั้นจริงๆน่ะเหรอ”
“ขอผมคิดซักพักได้มั๊ยครับคุณปู่ ผมยังสนุกกับงานที่ทำอยู่เลย”
“ปู่ก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรแก แต่อย่างมั่นใจว่ามีคนมารับช่วงงานต่อ ถ้าแกยอมทำ ก็หาเวลามาเรียนรู้งานบริหารที่โรงแรมได้แล้ว ปู่อยากเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อม เพราะตอนนี้ปู่ก็อายุมากขึ้นทุกวัน”
“คุณปู่ยังแข็งแรงอยู่ได้อีกนาน” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปบีบมือผู้ชราเบาๆ “ก่อนจะเริ่มงาน คุณปู่ให้ผมได้พบคุณท่านอีก ๒-๓ ครั้งได้มั๊ยครับ”
แววตาแสดงความสงสัยในดวงตาของทรงศักดิ์ ทำให้ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“แหม ... ผมก็ต้องอยากรู้มั่งสิครับ ว่าคนที่ผมจะต้องทำงานด้วยน่ะเป็นยังไงบ้าง ฟังแต่ที่คุณปู่เล่า ยังไงก็คงไม่เหมือนได้รู้ด้วยตัวเองหรอกนะครับ”
“อืม ... ได้ แล้วปู่จะจัดการให้” ทรงศักดิ์พยักหน้า เหมือนเห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นหลาน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด