เรื่องรักต้องใช้ใจศึกษา ภาคพิเศษ
ไอ้กระชายเป็นนักเรียนหลังห้อง เป็นเพื่อนร่วมห้องที่มองยังไงก็ไม่คู่ควรและไม่สมควรที่จะได้มานั่งหน้าห้อง เพราะไม่ว่าจะสอบกี่ครั้ง มันก็ได้ที่โหล่อยู่ดี
นั่งตัวดำอยู่หลังห้องอย่างนั้นแหละดีแล้ว บางวันก็เห็นเล่นการ์ดกระดาษกับเพื่อน บางวันก็เห็นไปปีนต้นไม้เก็บมะม่วงอยู่ข้างวัด ชาตินี้คงไปไหนไม่ได้คงได้แต่อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้แหละ
“เปรี้ยววววววววว ว่ะ เปรี้ยว ๆ เกลือ ๆ”
เปรี้ยวแล้วก็ยังกิน ประสาท ไม่มีใครกินของที่ไม่ควรกินหรอก
ใครจะไปกินของแบบนี้ได้
ว่าที่คุณหมอ กำลังคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านเลยมาเนิ่นนาน
เรื่องราวสมัยเด็ก ๆ ความทรงจำจาง ๆ เกี่ยวกับคนที่เคยคิดว่าคงจะเป็นได้แค่นักเรียนหลังห้องและสอบได้ที่โหล่อยู่อย่างนั้น
ไม่ว่ายังไงหลังจากเรียนจบไปแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้พบเจอกันอีก
แต่ในวันนี้กลับไม่เป็นอย่างที่เคยคิดเลย น่าแปลกที่มาถึงวันนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่า คือความพยายามที่ยาวนานของคน ๆ หนึ่ง
ที่เอาชนะความหยิ่งยโส และการมองคนแค่ด้านเดียวของว่าที่คุณหมอ
ไม่ได้สั่งสอนให้เชื่อฟัง แต่เปิดโอกาสให้คิด ให้เห็นและได้สัมผัส
จนมาถึงวันนี้ด้วยกัน วันที่ไม่ว่ามองยังไง ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ ว่าไอ้กระชายตัวดำหลังห้องคนนั้นเมื่อเวลาผ่านไป กลับเป็นคนที่ทำให้ประหลาดใจ และทำให้หลงรักได้ในที่สุด
“หมอครับมองอะไรนักหนา”
มองอะไรงั้นเหรอ มองหน้าเอ็งแหละกระชาย มองแล้วก็นึกถึงเมื่อก่อน เรื่องสมัยเด็ก ๆ เรื่องที่ผ่านมานานแล้ว เรื่องที่ข้าไม่นึกว่าสมองจะจำได้ แต่กลับจดจำได้ดี และเพิ่งได้รู้ว่าข้าไม่เคยลืมภาพของเอ็งเลย
ว่าที่คุณหมอกระพริบตาถี่ ๆ หลายครั้ง และก้มหน้าก้มตาลง อมยิ้มคนเดียวเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
มีบางครั้งที่แอบเหลือบสายตามองคนที่แกล้งนั่งเฉยอยู่ข้าง ๆ
ไม่เห็นพูดอะไรเลยนะ
ทำเป็นนั่งนิ่งเฉย มองสายลมแสงแดดอะไรกัน นี่มันมืดแล้วไม่ต้องทำเป็นมองอะไรรอบตัวให้มากความมากนักก็ได้
“ลมเย็นเนอะ”
อือ ลมก็เย็นอยู่หรอก แต่ข้ารู้ว่าเอ็งคงไม่อยากเย็นเท่าไหร่ ก็ดูท่าทางที่เอ็งพยายามนั่งเฉยแต่ก็เผลอหลุดท่าทางแปลก ๆ ออกมานั่นสิ
ผิดจากไอ้กระชายปกติที่ข้าเคยรู้จักจริง ๆ นั่นแหละ ปกตินายช่างสมชายที่น่ายกย่องศรัทธาคนนั้น ไม่ทำท่าลุกลี้ลุกลนแบบนี้หรอก แล้วไอ้คนที่ทำท่าทางลุกลี้ลุกลนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นี่ล่ะเป็นใคร
เวลาเอ็งเสียความมั่นใจแบบนี้ ข้าก็แอบสะใจเล็ก ๆ เหมือนกัน
ว่าที่คุณหมอ เพลิดเพลินเจริญใจกับการได้เป็นฝ่ายแอบลอบมองกิริยาท่าทางของคนที่นั่งอยู่เคียงข้าง และนึกขำในท่าทีของอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่
แต่ก็เพียงไม่นาน
เพราะหลังจากที่นั่งนิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จา คราวนี้ว่าที่คุณหมอเริ่มสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่ว ๆ ของใครบางคนที่เมื่อเริ่มรู้สึกตัว ใบหน้าคมที่อยู่ห่างออกไป ก็ ค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้และโน้มเข้ามาหาเสียแล้ว กำลังอมยิ้มเงียบ ๆ ก็มีอันต้องสะดุดกับสายตาคม ที่จ้องมองมา
สบสายตากันนิ่ง นาน ร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้กว่าที่เคย ก่อนจะค่อย ๆ ก้มหน้าลงมาแตะริมฝีปากอุ่น ๆ เข้าที่ข้างแก้มขาว ๆ ของว่าที่คุณหมออย่างช้า ๆ แผ่วเบา และผละออกห่าง เหมือนลองใจ
“ข้ารักเอ็งมากนะแคน”
รัก
งั้นเหรอ
แค่ไหนกัน ที่บอกว่ารัก และคำว่ามาก มันมากแค่ไหน มากพอที่จะทำให้หัวใจหลอมละลายเลยหรือเปล่า มากพอที่จะทำให้หัวใจที่เคยเข้มแข็งไหวเอนไปมาได้เลยใช่มั๊ย รักมากสินะ รัก คำว่ารักคำนั้นมันส่งผ่านมาถึงหัวใจได้ แม้ไม่เคยมองเห็น แต่สัมผัสได้เสมอ แล้วมันมาก แค่ไหนกันคำว่ารักคำนี้
ว่าที่คุณหมอเงยหน้าขึ้น เพื่อฟังคำที่อยากได้ยินให้ชัด ๆ
และเมื่อฟังจนเข้าใจแล้ว คราวนี้ก็เลยรีบก้มหน้าก้มตากลับลงไปอีกครั้ง เพราะคำว่ารักที่ได้ยิน มันมีความรู้สึกร้อนแรงบางอย่างส่งผ่านมากับดวงตาคม ๆ คู่นั้นด้วย
“คืนนี้ข้าอยากอยู่กับเอ็งจนถึงเช้าได้หรือเปล่าแคน”
ถึงบอกว่าจะกลับ ก็คงไม่ให้กลับอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ที่คิดอยากจะทำอะไรตามที่ใจต้องการ ก็ทำไปเถอะ อุตส่าห์ท้าทายซะขนาดนี้แล้ว ขืนเอ็งไม่ทำอะไรข้าวันนี้ ข้าจะเป็นฝ่ายหาเรื่องให้เอ็งทำแล้วจริง ๆ นะ
“เอ่อ คือว่านะกระชาย ถ้าเอ็งรู้ใจข้า เอ็งคงไม่ถามอะไรแบบนี้อีกหรอกจริงมั๊ย”
ครับ
คงไม่ถาม เพราะไม่กล้า แต่ว่าหมอครับ แบบที่หมอพูดและทำอยู่ เขาเรียกว่ายั่วนะครับ หมอรู้ตัวมั๊ยว่ากำลังทำอะไรลงไป
ถ้ารู้ใจงั้นเหรอ ถ้าแค่รู้ใจ ก็................
ก็ ได้ เพราะว่ารู้ใจไง ถึงได้จะทำให้ได้อย่างใจอยู่นี่ไง หมอก็ท้าได้ท้าดีเนอะ
ถามจริง ๆ เถอะ ทำไมหมอห้าวจัง
Fin