เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 78 (จบ) , บทสรุป , มุมมองสรุปของแต่ละคนในทริป
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 78 (จบ) , บทสรุป , มุมมองสรุปของแต่ละคนในทริป  (อ่าน 4757 ครั้ง)

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เยี่ยมแวะวิมาน

   •   เยี่ยม: เยี่ยมกันในอดีต (รู้จักกันตั้งแต่เด็ก)
   •   แวะ: แวะเข้าไปทบทวนความรู้สึกที่หลงลืม
   •   วิมาน: ความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่สร้างขึ้นใหม่ด้วยความเข้าใจ

“บางทริป…ไม่ได้พาเราไปแค่ที่ใหม่ แต่พาใจกลับมาเจอกันอีกครั้ง”

ใครจะคิดว่า ‘วิมาน’ ที่ใคร ๆ วาดฝันไว้ อาจไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ รถคันหรู หรือชีวิตที่ราบรื่น
แต่มันอาจหมายถึง ‘ช่วงเวลาสั้น ๆ’ ที่ได้อยู่กับใครบางคน
แม้จะทะเลาะกันแทบทุกวัน
แม้จะเห็นไม่ตรงกันแทบทุกเรื่อง
แต่ก็ยังเลือกจะ “เยี่ยม” และ “แวะ” เข้าไปในใจของกันและกัน
ซ้ำแล้ว…ซ้ำเล่า

ทริปยุโรป 20 วัน ที่เริ่มต้นด้วยความไม่ลงรอย
กลับกลายเป็นการเดินทางที่ทำให้สองหัวใจ
…ไม่อยากกลับจากวิมานที่ทั้งคู่สร้างไว้กลางฟ้า
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-04-2025 08:40:08 โดย Shibaguy »

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน
«ตอบ #1 เมื่อ04-04-2025 13:14:04 »

พวกเขาเคยเป็นเด็กชายสองคนที่ทะเลาะกันเรื่องดินสอ 2B
โตขึ้นมากลายเป็นวัยรุ่นที่เถียงกันเรื่องเพลงใครดีกว่า
และเมื่อกลายเป็นผู้ใหญ่…ก็ยังไม่วายขัดกันเรื่องว่าจะกินก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวมันไก่

ภัทรกับดินสอ
ต่างกันทุกอย่างที่คนสองคนจะต่างกันได้
หนึ่งคนเสียงดัง หัวเราะง่าย ใจร้อนเป็นไฟ
อีกคนเงียบเฉียบ คิดนาน พูดน้อยจนบางครั้งเหมือนพูดกับผนัง
แต่ไม่ว่าจะกี่ปี กี่ช่วงวัย
ทั้งคู่ก็ยังวนกลับมาอยู่ในวงโคจรเดียวกันเสมอ

เมื่อความสัมพันธ์เริ่มเอียง
เมื่อคำว่า “แฟน” เริ่มสั่นคลอน
และเมื่อความอดทนของคนสองคนใกล้จะหมดลง

ตั๋วเครื่องบินสองใบที่จองไว้ตั้งแต่ยังรักกันดี
ทริปยุโรปตะวันตก 20 วัน พร้อมโรงแรมหรูระดับห้าดาว
กลายเป็นเดิมพันสุดท้ายก่อนจะตัดสินว่า “จะไปต่อ” หรือ “พอแค่นี้”

จากปารีสสู่บาร์เซโลนา
จากคลองในอัมสเตอร์ดัมถึงหิมะบนเขาริกิ
เสียงหัวเราะ การเงียบงัน คำประชด
และสายตาที่เผลอมองกันเวลาหนึ่งคนไม่รู้ตัว
กลายเป็นบทสนทนาที่ไม่ต้องใช้คำพูด

เพราะบางที
“วิมาน” ไม่ได้แปลว่าปลายทางอันสมบูรณ์แบบ
แต่มันคือระหว่างทาง ที่คนสองคน…เลือกจะเยี่ยม เลือกจะแวะ
และเลือกจะไม่หายไปจากกัน

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน (บทนำ)
«ตอบ #2 เมื่อ04-04-2025 14:11:32 »

ตัวละครหลัก

1. ภัทร (พระเอก)
   •   อายุ: 26 ปี
   •   ส่วนสูง/ลักษณะ: 186 ซม. หุ่นล่ำ กล้ามแน่น ผิวแทนสุขภาพดี
   •   บุคลิก: Extrovert, ขี้เล่น พูดตรง มีเสน่ห์แบบคนมั่นใจ มักชวนทะเลาะเพราะคิดเร็วพูดเร็ว
   •   อาชีพ: เจ้าของบริษัทสตาร์ทอัปสายเทคฯ ที่เพิ่งปิดดีลกับฝั่งยุโรป ทำให้ต้องไปยุโรปอยู่แล้ว
   •   จุดแข็ง: ใจใหญ่ ใจเร็ว ใจนักเลง
   •   จุดอ่อน: หงุดหงิดง่าย หัวร้อน ชอบตัดสินแทนดินสอ

2. ดินสอ (นายเอก)
   •   อายุ: 26 ปี
   •   ส่วนสูง/ลักษณะ: 172 ซม. ผิวขาวจัด หน้าตานิ่ง ๆ ดูเย็นชาแต่ใจดี
   •   บุคลิก: Introvert ชอบเงียบ ๆ ไม่ชอบวุ่นวาย มีระเบียบในชีวิตสุด ๆ
   •   อาชีพ: Interior Designer ฟรีแลนซ์มีชื่อเสียง ทำโปรเจกต์ให้ลูกค้าต่างประเทศ
   •   จุดแข็ง: ละเอียด ละเมียด ฉลาดนิ่ง
   •   จุดอ่อน: ดื้อเงียบ ขี้เก็บ ไม่ชอบพูดตรง ๆ

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน (บทนำ)
«ตอบ #3 เมื่อ04-04-2025 14:23:50 »

ตอนที่ 1: เสียงเงียบในกระเป๋าเดินทาง

เสียงซิปกระเป๋าเดินทางดังขึ้นในห้องคอนโดที่แสนจะเงียบ
ดินสอนั่งพับเสื้อแบบเรียงมุมตามสีเสื้อ – สีฟ้าไว้ซ้าย, สีขาวตรงกลาง, สีเข้มไว้ล่างสุด
การจัดกระเป๋าสำหรับเขาไม่ใช่เรื่องเร่งรีบ
มันเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ที่ควบคุมได้ ในโลกที่อะไรหลายอย่างควบคุมไม่ได้…โดยเฉพาะคนชื่อภัทร

“แกร๊ง”
เสียงโทรศัพท์สั่นคว่ำอยู่บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา
หน้าจอขึ้นชื่อว่า “ภัทร (อีกเบอร์)”

แน่นอนว่าดินสอไม่รับสาย
เขาเลือกจะปล่อยให้เสียงสั่นนั่นเงียบไปเอง
เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา
ไม่ใช่เพราะไม่อยากคุย…แต่เพราะไม่รู้จะพูดยังไงต่างหาก

ทริปยุโรป 20 วันที่เคยตั้งใจจะไปด้วยกัน
กลายเป็นเส้นทางที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยังอยู่ข้าง ๆ กันถึงวันสุดท้ายหรือเปล่า

“ไปทั้งที่ยังทะเลาะกันแบบนี้ มันจะดีเหรอวะ…”

ประโยคที่ดินสอเคยถามตัวเองเมื่อสองวันก่อน ยังคงวนอยู่ในหัว
คำตอบก็ยังคงเหมือนเดิม

“เสียดายตั๋ว”

ทันใดนั้น
เสียงแจ้งเตือนจากมือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ไม่ใช่สายเรียกเข้า
แต่เป็นข้อความ

ภัทร: “ถ้ามึงยังไม่ยกเลิก กูจะไปรอที่สนามบินเลยนะเว้ย”
ภัทร: “ขึ้นเครื่องแล้วจะนั่งข้างกันมั้ยก็เรื่องของมึง แต่กูจะไป”

ดินสออ่านจบ
นิ่งอยู่สักพัก
แล้วลุกไปหยิบแจ็กเก็ตจากราว
พับมันวางบนสุดของกระเป๋า
ตามด้วยหมวกไหมพรมที่ภัทรเคยล้อว่า “ใส่แล้วเหมือนเด็กสกีหลงฤดู”

เสียงซิปปิดลงอีกครั้ง
แน่นกว่าเมื่อครู่
เงียบ…แต่แน่นด้วยอะไรบางอย่างที่เขาไม่กล้าพูด

“ถ้ากลับมาค่อยเลิกกันก็ได้” เขาพึมพำเบา ๆ
แล้วลากกระเป๋าไปจอดไว้ข้างประตู



End – ตอนที่ 1

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน (บทนำ)
«ตอบ #4 เมื่อ04-04-2025 14:57:47 »

ตอนที่ 2: คนที่โยนยางลบลงจากชั้นสอง

โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี
สนามเด็กเล่นสีซีดเต็มไปด้วยเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กชายหญิงในชุดนักเรียนสีกรมฯ

เด็กชายร่างสูงกว่าปกติในวัย 6 ขวบ ชื่อ “ภัทร”
กำลังหัวเราะเสียงดัง เพราะเขาเพิ่งเล่น “เตะบอลใส่ต้นไม้แล้วหล่นโดนหัวเพื่อน” ได้สำเร็จ
อีกฟากของห้องเรียน
เด็กชายอีกคน ตัวเล็กกว่า ผิวขาวจัด นั่งเหลา “ดินสอ 2B” อย่างบรรจง

ภัทรเดินผ่านมา
เห็นดินสอนั่งนิ่ง ๆ ก็แหย่ตามประสาเด็กขี้แกล้ง

“เหลาอะไรนักหนาวะ ไว้จิ้มข้อสอบหรือจิ้มคน?”

ไม่มีเสียงตอบ
ดินสอแค่เงยหน้ามองเล็กน้อย แล้วกลับไปเหลาอย่างเดิม
ภัทรเบ้ปาก ก่อนจะคว้ายางลบของอีกฝ่ายขึ้นมา

“ขอลองดูหน่อยดิ๊ ว่าใช้ดีปะ!”

แล้วก็…ปา ปิ้วววว
ยางลบเจ้ากรรมลอยผ่านหน้าต่างห้องเรียน
ตกไปยังชั้นล่างเหมือนลูกดิ่ง

ดินสอนิ่ง…
เหมือนคอมพิวเตอร์ที่เจอ Blue Screen

30 วินาทีต่อมา
น้ำปลาหนึ่งฝาเทลงในรองเท้าภัทรตอนพักเที่ยง
โดยเด็กชายคนเดิม ที่ไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว



หลายปีต่อมา
เรื่องราวขำ ๆ แบบนี้ยังคงเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
บางทีเป็นสไตล์การแหย่
บางทีเป็นความพยายามจะดึงอีกคนให้ออกมาจากเปลือก
หรือบางที…ก็แค่
“เพราะนายอยู่ตรงนั้น ฉันเลยเป็นแบบนี้ได้”

แม้จะเรียนคนละห้องตอนมัธยม
แม้จะห่างกันช่วงมหาวิทยาลัย
แต่ไม่เคยห่างเกินกว่าใครจะหายไปจากชีวิตของใคร

พวกเขาโตขึ้นด้วยกัน…ทะเลาะกัน…แล้วก็กลับมาคุยกัน
ซ้ำแล้ว…ซ้ำเล่า
จนถึงวันนี้ ที่ทุกอย่างเหมือนจะถึงจุดแตกหัก

เสียงเครื่องบินขนาดใหญ่กำลังทะยานขึ้นฟ้าจากสนามบินสุวรรณภูมิ
ดินสอนั่งเงียบข้างหน้าต่าง
ภัทรนั่งข้าง ๆ ขาเหยียดชนกันนิด ๆ
ไม่มีคำพูด
ไม่มีการสบตา
แต่ก็ไม่มีใครลุกไปไหน

เหมือนยางลบที่เคยโดนโยนจากชั้นสอง
สุดท้าย…มันก็ยังกลับมาอยู่บนโต๊ะเดิม



End – ตอนที่ 2

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน (บทนำ)
«ตอบ #5 เมื่อ04-04-2025 15:46:18 »

ตอนที่ 3: สนามบินที่ไม่มีใครยิ้ม

เสียงล้อกระเป๋าเดินทางลากไปบนพื้นหินแกรนิตของสนามบินสุวรรณภูมิ
เสียงประกาศสายการบินดังเป็นระยะ
แสงยามเช้าส่องผ่านกระจกสูงเป็นแถบ ๆ ทาบลงบนไหล่ของคนสองคน
ที่ยืนห่างกันประมาณ 1.3 เมตร…อย่างพอดีเป๊ะ

ดินสอใส่เสื้อคอเต่ากับเสื้อโค้ตสีเทาเข้ม
ภัทรใส่เสื้อยืดพอดีตัวกับแจ็กเก็ตสีน้ำเงินกรมท่า
ใบหน้าทั้งคู่เรียบเฉยพอ ๆ กัน
เหมือนทั้งโลกไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ในหัว…อาจกำลังเดือดคนละแบบ

“กินอะไรมารึยัง” ภัทรถาม ขณะกำลังวางกระเป๋าขึ้นตาชั่งเช็กอิน

“ไม่หิว” ดินสอตอบโดยไม่หันมามอง

“โอเค” ภัทรพยักหน้า แต่ในใจน่าจะกรอกตาไปแล้วสามรอบ



ไม่นานนัก พวกเขาก็เดินเข้ามาใน Lounge ของสายการบิน
ผู้โดยสารบางส่วนกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ ดื่มกาแฟ หรือจัดทริปลงในมือถือ
ภัทรหยิบครัวซองต์มากินสองชิ้น แถมน้ำส้มอีกแก้ว
ดินสอไม่หยิบอะไรเลย นอกจากถ้วยชาดำที่ไม่มีน้ำตาล

ทั้งคู่เลือกที่นั่งติดหน้าต่าง
มองเห็นเครื่องบินจอดเรียงอยู่ด้านนอก
ไม่มีคำพูด
จนภัทรอดไม่ได้

“ถ้ามึงจะมางอนกูแบบเงียบ ๆ แบบนี้ มึงจะไปกับกูทำไมแต่แรกวะ?”

ดินสอวางถ้วยชาลงช้า ๆ
ไม่หันไปมองด้วยซ้ำ

“ถ้ากูไม่ไป มึงก็ต้องไปคนเดียว แล้วก็จะไม่เช็กอินโรงแรม ไม่ตามทัวร์ ลืมซื้อตั๋วเข้า Louvre แล้วก็คงหลงที่ La Défense จนกลับไม่ถูก”

ภัทรหันมามอง ยกคิ้วสูง

“โห…ใส่กูเหมือนจ้างมึงทำทริปนี้เลยนะ”

“เปล่า กูแค่รู้จักนิสัยมึงดี”

เงียบอีกครั้ง
แต่คราวนี้ไม่อึดอัดเหมือนก่อนหน้า
ภัทรเหลือบมองหน้าอีกฝ่าย เห็นเงาสะท้อนในกระจกบานใหญ่
แสงเช้าทาบลงบนใบหน้าเรียบเฉยของดินสอ
เหมือนป้ายเตือนว่า “อย่าแตะตอนนี้ เดี๋ยวเจ็บ”

“โอเค…งั้นขึ้นเครื่องแล้วค่อยทะเลาะใหม่”
ภัทรว่า แล้วหยิบครัวซองต์อีกชิ้นส่งให้
“ถือว่าเป็นสินบนก่อนขึ้นฟ้า”

ดินสอรับไว้เงียบ ๆ
ไม่ได้ยิ้ม
แต่ครัวซองต์นั่น…หายไปจากมือเขาในอีกไม่ถึงนาที



End – ตอนที่ 3

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน (บทนำ)
«ตอบ #6 เมื่อ04-04-2025 15:48:54 »

ขอลบตอน 4 นะครับ เหมือนมันขาดอะไร เดี๋ยวจะมาลงใหม่ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2025 19:04:52 โดย Shibaguy »

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ตอนที่ 4: ฟ้าใกล้ขึ้น…ใจยังห่างอยู่

สนามบินสุวรรณภูมิ – Emirates Lounge

เสียงบรรจบกันของเสียงคนลากกระเป๋า เสียงตู้กาแฟ และเสียงรองเท้าหนังเคาะพื้น
ภัทรกับดินสอนั่งอยู่ที่โซฟาริมสุดของ Lounge ชั้น Business Class
ตรงมุมที่มีปลั๊กไฟครบสามช่อง และแสงไม่สว่างเกินไป

ดินสอกอดหมอนอิงใบเล็ก สีเทาเข้ม
เขานอนตะแคงขดตัวเล็ก ๆ เหมือนลูกแมวที่ไม่อยากโดนปลุก
ภัทรนั่งข้าง ๆ เปิดไอแพดอ่านบทสัมภาษณ์นักออกแบบรถไฟฟ้าในฝรั่งเศส
อ่านไปไม่กี่บรรทัด…ก็หลุดมองคนข้าง ๆ

“จะหลับก็หลับไปเลยสิ จะฝืนตาแฉะทำไม”
เขาคิดในใจ

ในจังหวะที่สายตาเผลอมองแก้มขาว ๆ นั่นนานเกิน
ดินสอก็พูดเบา ๆ โดยไม่ลืมตา

“อย่าจ้องขนาดนั้น กูไม่ได้ทาครีมกันแดด”

ภัทรสะดุ้งนิด ๆ

“อ้าว มึงไม่หลับเหรอ?”

“ไม่ได้หลับ กำลังตั้งใจไม่ง่วง”



10:15 น. – เรียกขึ้นเครื่อง

เสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องดังมาเบา ๆ ผ่านลำโพง
คณะกรุ๊ปทัวร์เริ่มทยอยลุก
พีทหาววอด ๆ พร้อมลากกล้อง
เจ๊พลอยยังแต่งปากไม่เสร็จดี
คุณลุงก้องกับป้าอุ๊จับมือกันแน่นเหมือนคู่รักในละคร

ภัทรลุกขึ้น หันไปหาดินสอ
ยื่นมือลงไปตรงหน้า

“ลุกไหวมั้ย หรือต้องให้กูอุ้มขึ้นเครื่อง”

ดินสอมอง

“ลุกเองได้ แต่ถ้ามึงจะอุ้มก็ไม่ว่า”

ทั้งคู่เดินเคียงกันไปยังเกท B4
ระยะห่างระหว่างหัวไหล่
คือระยะเดียวกับความสัมพันธ์ช่วงนี้
ไม่ใกล้…แต่ก็ไม่ได้ห่างพอจะไม่คิดถึง



11:00 น. – ขึ้นเครื่อง Business Class

เบาะกว้างสีครีมอ่อน มีกลิ่นน้ำหอมแบบ Oriental
พนักงานต้อนรับยิ้มทัก

“Welcome onboard, gentlemen. Here’s your Moët & Chandon.”

ภัทรรับแชมเปญ
ดินสอเลือกเป็นน้ำแอปเปิ้ล
แค่เรื่องเครื่องดื่มก็สะท้อนตัวตนของทั้งคู่ได้ชัดพอ ๆ กับไลน์นิ้วมือ

บนที่นั่ง
มีหมอนขนเป็ดนุ่ม
ผ้าห่มสีเทา
และชุด amenity bag สีทองของ Emirates
ภัทรหยิบดูของในถุงแบบตื่นเต้น
แปรงสีฟัน ชุดนอน แผ่นปิดตา

“โห อย่างกับนอนโรงแรมห้าดาว”
“มึงเอาแผ่นปิดตามั้ย กูไม่ใช้”

ดินสอรับมาเงียบ ๆ

“ขอบใจ”



11:45 น. – เครื่องเริ่ม taxiing บนรันเวย์

เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นเบา ๆ
แสงแดดเอียงเข้ามาจากหน้าต่าง
ผืนฟ้าไกลออกไป เหมือนผืนผ้าสีฟ้าบาง ๆ

Inside – ความคิดของภัทร

“เรากำลังจะบินไปยุโรป…กับคนที่เรารู้จักมาตั้งแต่ ป.1”
“แต่ตอนนี้เรากลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรกับเขา…”

“หรือจริง ๆ แล้ว กูแค่กลัวว่า…ดินสอจะเปลี่ยนไป”



Inside – ความคิดของดินสอ

“เราอยู่กับภัทรมานาน…จนบางทีเราก็แยกไม่ออกว่าเรารักเขา หรือแค่คุ้นเคยกับเขา”
“แต่ถ้าไม่รักจริง…เราคงไม่ยอมมาด้วยหรอก ใช่มั้ย?”

“หรือเรากำลังพยายามพิสูจน์อะไรบางอย่าง…”



12:05 น. – เครื่องทะยานขึ้นฟ้า

ภัทรหันขวับมาทางดินสอพอดี
ดินสอกำลังหันมาทางภัทรเพราะเครื่องกระชาก
จังหวะนั้น
หัวของทั้งคู่ชนกันเบา ๆ

“โอ๊ย!”
“เฮ้ย มึงหัวหนักมาก!”

ทั้งคู่หลุดหัวเราะพร้อมกัน
เสียงมันไม่ดังนัก
แต่เพราะมันนานมากแล้ว ที่ไม่ได้หัวเราะด้วยกัน
แค่นั้น…ก็พอให้ทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน
นิ่ง
เงียบ
และใจสั่นนิด ๆ โดยไม่รู้ตัว



12:30 น. – เสิร์ฟอาหาร

Appetizer: สลัดแซลมอนรมควันกับครีมชีสเคเปอร์
Main Course:
   •   ภัทรเลือกเนื้อสันในย่างซอสไวน์แดงกับมันบด
   •   ดินสอเลือกพาสต้าเพสโต้ใส่ผักย่าง
Dessert: ช็อกโกแลตมูสกับวิปครีมฝรั่งเศส
พร้อมชาเอิร์ลเกรย์สำหรับดินสอ และกาแฟดำสำหรับภัทร

“ของมึงดูเขียวมาก”
ภัทรแซวเบา ๆ

“ของมึงก็แดงมาก กินแล้วเลือดร้อนขึ้นมั้ย?”



บ่ายวันนั้น – กลางท้องฟ้าเหนืออินเดีย

สองคนหลับไปเงียบ ๆ
ใต้ผ้าห่มสีเทาเหมือนกัน
แต่หัวใจ…ค่อย ๆ ขยับเข้าหากันนิดเดียว



End – ตอนที่ 4
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2025 13:12:46 โดย Shibaguy »

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 5: ยิ่งสูง ยิ่งเห็นช่องว่างชัดเจน

กลางอากาศ – ที่นั่ง Business Class

แสงจากไฟ ambient light บนฝ้าเพดานค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเฉดสีอำพันอ่อน
ในขณะที่เสียงเครื่องยนต์ต่ำลึกเบื้องใต้กำลังพาร่างของทุกคนทะยานผ่านชั้นเมฆระดับสามหมื่นฟุต

ภายในห้องโดยสาร Business Class ของ Emirates
บรรยากาศเงียบสงบ
ทุกเบาะมีฉากกั้นเพิ่มความเป็นส่วนตัวแบบ mini suite
กลิ่นอ่อน ๆ ของเลมอน ผสมดอกไม้ตะวันออก ลอยมากับระบบปรับอากาศ
เบาะนั่งปรับราบได้ 180 องศา ห่อด้วยผ้าห่มขนเป็ดเนื้อนุ่มและหมอนรองคอผ้าซาติน
หน้าจอ 27 นิ้วฉายภาพท้องฟ้ายามเช้า…ในขณะที่เวลาจริงกำลังย่างเข้าสู่กลางคืน

ภัทรนั่งพิงเบาะด้านหนึ่ง
มองออกไปยังความมืดนอกร่างเครื่องบิน
ข้างตัวมีแชมเปญ Moët ที่เหลือครึ่งแก้ว
อีกมือจับพาสปอร์ตแน่นราวกับมันเป็นที่ยึดเหนี่ยวเดียว

ในหัวเขา…เสียงดินสอยังชัดอยู่

> “ถ้าเราจะมาเที่ยวด้วยกันแค่เพื่อจะรู้ว่าเราไปต่อไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาก็ได้นะ”



> …แต่มึงก็มากับกูอยู่ดี



ภัทรจำได้ดี—คืนที่เขาถามดินสอว่า “จะไปมั้ย”
เสียงในสายโทรศัพท์สั้น ง่าย แต่ชัดเจน

> “ไปสิ…ซื้อตั๋วแล้วนี่”



ภัทรไม่แน่ใจว่าคำตอบนั้นคือ “ตกลง” หรือแค่ “ตามมารยาท”
แต่ในวินาทีนั้น เขาเลือกไม่ถามอะไรอีก
เพราะกลัวคำตอบจริง ๆ

...

ด้านข้างอีกฝั่ง
ดินสอนั่งหลังตรง มือจับแก้วน้ำผลไม้ใส่น้ำแข็ง
สายตาไม่ได้มองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนภัทร
แต่มองต่ำลงที่ฝ่ามือตัวเอง

ในมือนั้น
มีสายรัดข้อมือจากงานวิ่งการกุศลเมื่อสองปีก่อน
วันนั้นภัทรลงแข่งวิ่ง 10 กิโล
เขานั่งรออยู่ที่จุดเส้นชัย
พร้อมน้ำเย็นกับแซนด์วิชที่เตรียมมาให้ภัทรโดยไม่บอกล่วงหน้า

> “มึงอยากให้กูมาวิ่งด้วยมั้ยวะ”
“เปล่า…แค่มาอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว”



คำพูดนั้น
ยังคงอุ่นอยู่ในใจ
แต่ความอุ่นก็ไม่สามารถกันลมหนาวได้ทั้งหมดเสมอไป

...

บรรยากาศบนเครื่อง – สมาชิกกรุ๊ปทัวร์

เจ๊พลอย กำลังไลฟ์สั้นใน Instagram พร้อมพร่ำบรรยาย


> “กี่แสนฟุตแล้วเนี่ย หัวใจยังเต้นแรงกว่า altimeter อีกแม่”



พี่ดา ใช้เวลาพลิกไพ่ Tarot บนโต๊ะพับ


> “อ้าว…ไพ่ The Lovers กลับหัวนะพลอย เห็นมั้ย ฉันเตือนแล้ว”



โอ๊ตกับพีท เอาหูฟังแชร์กันดู Netflix เรื่องเกี่ยวกับการตกหลุมรักระหว่าง flight attendant กับนักธุรกิจ


> “มึงว่าเราน่าจะเจอกันบนเครื่องบินมั้ย ถ้าไม่ได้เจอตั้งแต่ ม.3?”



พี่แป๋ว กำลังขอไวน์แดงรอบที่สอง พร้อมบอก


> “กลิ่นเบอร์รี่ตอนบินมันฟินกว่าในบาร์จริง ๆ นะเธอ”



คุณเอิร์ธกับคุณต่าย แชร์ไอแพดจดลิสต์ “ร้านอาหารที่ห้ามพลาด” ตลอดทริป

พี่แม็กซ์ ใส่ noise cancelling headphone แล้วนอนนิ่งเหมือนเทพเจ้าแห่งการพักผ่อน

ลุงก้องกับป้าอุ๊ เล่น Sudoku ด้วยกันเงียบ ๆ และหัวเราะตอนเขียนเลขผิดช่อง

สมาชิกใหม่อีกสองคน: โจ & เจน
ฝาแฝดวัย 30 ต้น ๆ จากเชียงใหม่ หน้าตาดีมีสไตล์ โจเป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้า เจนเป็นสไตล์ลิสต์สายญี่ปุ่น
กำลังนั่งวาดบันทึกการเดินทางลง iPad ด้วย Apple Pencil ข้างละแท่ง


...

14 ชั่วโมงผ่านไป – เครื่องบินแตะรันเวย์ที่ Charles de Gaulle

เสียงล้อกระแทกพื้นดังกึกเบา ๆ
ไฟในห้องโดยสารสว่างขึ้น
กลิ่นกาแฟอุ่น ๆ ลอยมาตามทางเดิน
ภัทรหันไปมองดินสอที่กำลังบิดขี้เกียจเงียบ ๆ ในที่นั่ง

> “ถึงแล้ว…”
“แต่ใจเรายังไม่ถึงกันเลยว่ะ”



...

สนามบิน Charles de Gaulle – ความหรูหราของการมาถึง

ทันทีที่ออกจากเครื่องบิน
คณะทัวร์ถูกพาเข้าสู่เลานจ์ตรวจคนเข้าเมืองพิเศษสำหรับ Business Class
เส้นทาง fast track, พนักงานพูดอังกฤษได้ชัด, แอร์สะอาดไม่มีคนเบียด
แสงไฟเหลืองนวลตกลงบนพื้นหินอ่อนสีครีม
ประตูอัตโนมัติบานใหญ่เปิดสู่โถงกระเป๋าที่มีจอภาพศิลปะหมุนเวียนจากศิลปินฝรั่งเศสรุ่นใหม่

...

บรรยากาศข้างทาง – ระหว่างทางเข้าเมือง

รถโค้ชล้อใหญ่แล่นผ่านทิวต้นไม้เปลือยใบของฤดูใบไม้ผลิ
ท้องฟ้าในเดือนเมษายนของปารีสเป็นสีฟ้าขุ่นอ่อน ๆ
มองเห็นหอไอเฟลลิบ ๆ ตรงเส้นขอบฟ้า
ร้านเบเกอรี่ริมทางเปิดหน้าต่างโชว์ครัวซองต์ในตู้แก้ว
เสียงเพลงแจ๊สฝรั่งเศสเปิดคลอเบา ๆ ในรถ

ภัทรเอนตัวนิด ๆ
มองออกไปข้างทาง

> “จะผ่านอีกสิบยี่สิบเมืองก็ได้
แต่ถ้าคนข้าง ๆ ไม่หันมามองพร้อมกัน
ทริปนี้มันก็เหมือนหายใจอยู่ในที่ที่ไม่มีออกซิเจน”



...

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 5
«ตอบ #9 เมื่อ06-04-2025 13:53:28 »

ตอนที่ 6: ห้องเดียว เตียงเดียว ใจใกล้แต่ยังห่าง

สนามบิน Charles de Gaulle – ประตูแห่งยุโรป

สนามบิน Charles de Gaulle ไม่ใช่แค่ท่าอากาศยาน
แต่มันคือ "สถาปัตยกรรมแห่งฝันของโลกเก่า"
ตั้งชื่อตามประธานาธิบดี Charles de Gaulle ผู้ปลุกปารีสให้ลุกขึ้นมาอีกครั้งหลังสงครามโลก

สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1974
ด้วยวิสัยทัศน์ของฝรั่งเศสที่อยากเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก
สนามบินนี้จึงไม่ได้เป็นแค่สนามบิน
แต่มันคือลูกผสมระหว่างประวัติศาสตร์แห่งชาติ
กับเทคโนโลยีล้ำยุคที่ปรับตัวมาตลอดครึ่งศตวรรษ

เพดานกระจกโค้งสูงของ Terminal 2E สะท้อนแสงแดดยามบ่าย
พื้นหินอ่อนสีน้ำผึ้งเรียบหรูจนเงาสะท้อนของคณะทัวร์เต้นระริกอยู่ใต้เท้า

ภัทรหันมองดินสอที่ลากกระเป๋าเงียบ ๆ ข้างตัว
เสี้ยววินาทีหนึ่ง เขาอยากจะเอื้อมมือไปแตะแขนอีกฝ่าย
…แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้ระยะห่างระหว่างกันพอเหมาะพอดี

...

โรงแรม Le Meurice – กลิ่นหอมของยุคศตวรรษที่ 18

เพียงก้าวแรกที่เข้ามาในล็อบบี้
ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในภาพวาดของ Monet
โคมไฟคริสตัลระย้ากว่า 200 ดวง
พรมลายดอกไม้สีเขียวอ่อนปูตั้งแต่ประตูทางเข้าไปจนถึงลิฟต์
เพดานสูงหกเมตรแต่งด้วยปูนปั้น
พนักงานในสูทสีเทาชา พูดอังกฤษเป๊ะไม่มีติดสำเนียง

Le Meurice เคยเป็นโรงแรมที่ Salvador Dalí เช็คอินทุกปี
มีห้องพักที่เขาเคยสร้างสรรค์ผลงาน
แม้กระทั่ง Picasso เองก็เคยจัดเลี้ยงแต่งงานที่นี่

ภัทรหันไปมองดินสออีกครั้ง
“ดินสอที่เคยบ่นว่าห้อง Deluxe ของเชียงใหม่มันแพงไป…
กำลังยืนอยู่ใต้โคมไฟ Baccarat ราคาเกือบล้านบาท”

...

ห้องพัก – King Size Bed ที่ไม่รู้ว่าจะอบอุ่นหรืออึดอัด

พนักงานเปิดประตูเข้าห้อง
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของลาเวนเดอร์ผสมเบอร์กาม็อตตีเข้าจมูกทันที
วิวจากหน้าต่างเป็น Jardin des Tuileries ที่ค่อย ๆ ถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์ตอนเย็น
เตียงกลางห้องคือ King Size แบบ French style ไม่มีรอยต่อ

ภัทรยืนมอง
เงียบ…

> “กูลืมบอกทัวร์เรื่องแยกเตียงอะ…”
“เดี๋ยวคืนนี้มึงจะนอนลำบากมั้ยวะ…”



ดินสอแค่มอง
ไม่ได้พูด
แล้วเดินไปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้า

...

Welcome Set
บนโต๊ะเล็กริมหน้าต่าง
มีขนมมินิครัวซองต์ร้อน ๆ วางข้าง macarons หลากสี
ข้าง ๆ คือแชมเปญ Laurent-Perrier ขวดเล็กในถังน้ำแข็ง
การ์ดเขียนลายมือ “Bienvenue, P. & D.” ติดโบว์เล็ก ๆ

> “เหมือนงานแต่งย่อม ๆ เลยว่ะ”
ภัทรพูดเบา ๆ



...

ค่ำคืนแรก – ความเงียบที่ไม่เคยเงียบ

ภัทรกำลังหยิบเสื้อยืดไปเปลี่ยนในห้องน้ำ
ดินสอกำลังพับชุดวางเข้าลิ้นชัก

เตียงกลางห้องยังว่าง
แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะเริ่มวางตรงไหนดี

ภัทรเปิดน้ำอุ่น
ยืนอยู่ใต้ฝักบัวนานกว่าที่ควร
ความคิดวนกลับมาที่เดิม

> “ยี่สิบวันกับเตียงเดียว...
มันคือโอกาส หรือบททดสอบวะ”



...

ดินสอเปิดกล่อง skincare ชุดเล็ก
ทาครีมช้า ๆ
มือเรียวค่อย ๆ ลูบไปตามแก้ม
ภาพสะท้อนตัวเองในกระจก คือคนที่ยัง “ไม่พร้อม” กับบางสิ่ง
แม้จะอยู่กับภัทรมาตลอด 20 กว่าปีก็ตาม

> “กูไม่เคยบอกภัทรว่า ‘ไม่อยาก’
กูแค่ยัง ‘ไม่พร้อม’
แล้วกูก็กลัวว่าถ้าพร้อมเมื่อไหร่…มันจะไม่เหมือนเดิมอีกเลย”



...

อาหารว่างก่อนนอน

ทั้งสองคนลงมาที่คาเฟ่ชั้นล่างของโรงแรม
ชื่อว่า Le Dali – ห้องอาหารที่ตกแต่งด้วยภาพวาด surreal
แสงไฟนวล
บรรยากาศเหมือนในฝัน

ภัทรสั่งฟัวกราส์กับขนมปังไรย์
ดินสอสั่งซุปหัวหอม
ทั้งคู่นั่งฝั่งตรงข้าม
ไม่พูด
แต่จังหวะยกช้อนกลับตรงกันเป๊ะ
ก่อนจะมองหน้ากันแล้วเผลอยิ้มบาง ๆ

...

กลับห้อง – นอนข้างกันในความเงียบ

เตียงคิงส์ไซด์ดูใหญ่เกินไปสำหรับคนสองคนที่ไม่พูดอะไร
ภัทรนอนหงาย
ดินสอนอนตะแคงหันหลัง
หมอนกั้นไม่มี
แต่ระยะกายห่างพอสมควร

เสียงแอร์เบา ๆ ดังอยู่ใต้เพดาน
เสียงในใจภัทรดังกว่า

> “ขอให้ทริปนี้เป็นจุดเริ่มต้นของอะไรใหม่ ๆ
ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเราสองคนเลยนะ…”



...

รุ่งเช้า – แสงแรกในปารีส

แสงอาทิตย์ลอดม่านสีครีม
ทอดผ่านปลายเตียงลงบนใบหน้าของดินสอ
ภัทรตื่นก่อน
นั่งพิงหมอนมองวิวด้านนอก

สวน Tuileries ยามเช้าเหมือนภาพฝัน
ผู้คนเริ่มวิ่งเหยาะ
กลิ่นขนมปังอบลอยมาตามลม

เขาหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ยังหลับ

> “มึงน่ารักกว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศอีกนะ…
แค่กูยังไม่กล้าบอกออกไปเฉย ๆ”



...

End – ตอนที่ 6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 5
« ตอบ #9 เมื่อ: 06-04-2025 13:53:28 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 5
«ตอบ #10 เมื่อ06-04-2025 13:55:35 »


ตอนที่ 7: ใจมันพาไป…แต่ไม่รู้จะไปในฐานะอะไร

07:30 น. – ห้องอาหารเช้า Le Meurice

ห้องอาหารเช้าถูกจัดไว้ที่ Restaurant Le Dali ใต้โคมไฟที่ประดับด้วยจานเซรามิกลอยฟ้า
แสงแดดยามเช้าส่องผ่านกระจกสีทอง
ตัดกับกลิ่นขนมปังอบใหม่ที่อบอวลไปทั่วทั้งห้อง

บนโต๊ะบุฟเฟต์วางเรียงครัวซองต์เนยสด ไข่คนเนื้อเนียน
มีโยเกิร์ตรสวานิลลา ผสมน้ำผึ้งจากแคว้นโปรวองซ์
ผลไม้สดเรียงในถาดหินอ่อน—มะม่วง ฝรั่ง ลูกฟิกซ์
พร้อมกับกาแฟดำเข้มข้นเสิร์ฟในถ้วยพอร์ซเลนของ Bernardaud

> “เชี่ย ดินสอ กูไม่รู้เลยว่าครัวซองต์ที่เคยกินมาทั้งชีวิต…มันปลอมขนาดนี้”
ภัทรพูดพลางหยิบมาอีกชิ้น



> “เออ กูก็คิดแบบนั้น…แต่ไม่กล้าพูด กลัวโดนว่าเป็น elitist”



โต๊ะคณะทัวร์เริ่มสนิทกันขึ้น
พี่แป๋ว เริ่มแจกสเปรย์ฉีดหน้าว่าช่วยให้สดชื่นระหว่างเดินทาง
โอ๊ตกับพีท ลองถ่าย Tiktok เปิดกล่องอาหารเช้า
เจ๊พลอย ถามทุกคนว่าเมื่อคืนใครนอนดิ้นบ้าง (ก่อนหันมาหัวเราะให้ภัทรแบบรู้ทัน)

...

08:30 น. – ออกเดินทางสู่ Île de la Cité

รถโค้ชล้อใหญ่พาคณะข้ามแม่น้ำแซนน์
เข้าสู่เกาะกลางน้ำที่เป็นจุดเริ่มต้นของกรุงปารีส

Île de la Cité
คือหัวใจแห่งประวัติศาสตร์
ที่นี่มีบ้านเรือนมาตั้งแต่สมัยโรมัน
พื้นทางเดินยังคงปูด้วยหินขนาดใหญ่
กลิ่นของอดีตกระซิบผ่านอิฐแต่ละก้อน

...

09:00 น. – มหาวิหาร Notre-Dame de Paris

แสงเช้าตกกระทบปลายยอดแหลมของ Notre-Dame
ทำให้หน้าต่างกระจกสีสว่างขึ้นเหมือนจะหายใจเองได้
ภัทรกับดินสอยืนอยู่หน้าทางเข้า
มองรูปปั้นเทวดาบนซุ้มประตูที่เล่าถึงวันพิพากษา

> “มึงว่าถ้าเราอยู่ยุคกลาง มึงจะเป็นอะไร?”
ดินสอถามขำ ๆ



> “ก็คงเป็นอัศวินอุ้มพระสังฆราชหนีไฟ”
“แล้วมึงอะ?”



> “ก็คงเป็นคนขายกระดาษเขียนจดหมายรัก”



...

10:00 น. – มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ (La Sorbonne)

ดินสอยิ้มมุมปากทันทีที่ไกด์พูดถึง
“หนึ่งในศูนย์กลางการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1257”

ดินสอเป็นคนรักหนังสือ
แม้จะไม่พูดมาก แต่เขามักอ่านทุกอย่างที่อยู่ในมือ
ภัทรสังเกตเห็นแววตาอีกฝ่ายเปลี่ยนเวลามองหอสมุดกลาง
เหมือนเด็กที่ได้เห็นโลกครั้งแรก

...

10:45 น. – พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์

ทุกคนเดินเข้าสู่ Louvre ผ่านปิรามิดแก้ว
แดดตอนสายส่องผ่านแล้วตกกระทบพื้นหินอ่อน
เสียงฝีเท้าและกล้องกดชัตเตอร์สลับกันไป

กลุ่มยืนฟังไกด์พูดถึง Mona Lisa, Venus de Milo, Liberty Leading the People

ดินสอยืนดูภาพ Liberty ด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
หญิงสาวในภาพชูธงด้วยสายตาที่ไม่กลัวอะไร
เขาเงียบอยู่นาน
ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงคนเรียกภัทร

> “Excuse me, can we take a picture with you?”



หญิงสาวคนหนึ่ง หน้าตาเอเชีย พูดภาษาอังกฤษคล่อง
ภัทรยิ้ม

> “Sure”



...

แล้วก็ตามมาคนที่สอง คนที่สาม…จนถึงสิบกว่าคน
เสียงกล้องดังต่อเนื่อง
ดินสอยืนมองอยู่ข้างหลัง
เหมือนกลายเป็นคนแปลกหน้าในภาพที่ไม่มีเขา

> “คนสองคน…กูยังรับได้
แต่สิบกว่าคน คนละสองสามรูป
แล้วมึงจะเป็น idol รึไง…”



เจ๊พลอยแซว

> “ภัทร! พ่อนักกล้ามสายเบ้าหล่อแน่นแห่ง Louvre!”



โอ๊ตหัวเราะ

> “นี่กูถ่ายไว้หมดเลยนะ เดี๋ยวตัดต่อส่งให้นายแบบนะครับ”



ภัทรหันมาเห็นดินสอ
แววตานิ่งกว่าทุกที
ไม่โกรธ…แต่ก็ไม่ชัดเจน

...

Flashback – 3 ปีก่อน / เส้นชัย Half Marathon

เสียงคนเชียร์ดังระงม
ภัทรวิ่งเข้าเส้นชัย
เหงื่อท่วมหน้า
หายใจแรงจนตัวโยน

เขาก้มหน้าลง…ก่อนจะเงยขึ้นมาเห็นใครบางคนถือขวดน้ำยื่นให้

> “กินน้ำก่อน เดี๋ยวเป็นลม”
ดินสอพูดพลางส่งผ้าเช็ดหน้า



> “เฮ้ย มึงมาทำไม…”



> “อยากรู้ว่าถ้ามึงล้มกลางทาง จะมีใครมาเก็บมั้ย”



...

13:00 น. – Le Grand Véfour

ร้านอาหารในสวน Palais Royal
ตกแต่งด้วยกระจกสี ทองคำเปลว และเฟอร์นิเจอร์ศตวรรษที่ 18
เคยเป็นร้านประจำของ Napoleon Bonaparte และ Colette นักเขียนฝรั่งเศส

กลิ่นเป็ดอบซอสส้มลอยมาแตะจมูก
เสิร์ฟพร้อมซุปหัวหอมฝรั่งเศสและไวน์ขาวจากแคว้น Bourgogne

ภัทรนั่งฝั่งตรงข้ามดินสอ
อยากจะพูดอะไรสักอย่าง
แต่ในจังหวะที่คนมากมายเข้าหาเขาเมื่อครู่
เขากลับคิดถึงแค่คนคนเดียว
ที่นั่งเงียบอยู่ตรงนี้

...

End – ตอนที่ 7

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 5
«ตอบ #11 เมื่อ06-04-2025 13:59:36 »

ตอนที่ 8: งอนเปล่า ๆ หรือเปล่าเปล่า งอนจริง ๆ

15:00 น. – ล่องเรือแม่น้ำแซนน์ (Seine River Cruise)

เรือไม้ลำยาวลอยเอื่อยอยู่เหนือผืนน้ำสีเทาอมฟ้าของแม่น้ำแซนน์
ลมเย็นของเดือนเมษายนพัดกลิ่นหอมของดอกลาเวนเดอร์จากริมฝั่ง
ท้องฟ้าใสกว่าทุกวันที่ผ่านมา จนเงาของหอไอเฟลสะท้อนลงน้ำราวกับกระจก

เสียงไกด์ในระบบหูฟังเริ่มเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงนุ่ม

> “แม่น้ำแซนน์คือลมหายใจของปารีส
มันไหลผ่านใจกลางเมืองมานานกว่าสองพันปี
มีสะพานมากกว่า 30 แห่ง
รวมถึง Pont des Arts ที่เคยเป็นจุดคล้องกุญแจรัก…ก่อนเมืองจะรื้อออกเพราะน้ำหนักมันมากเกินไป”



ภัทรนั่งริมหน้าต่างขวา
ดินสอนั่งอีกฝั่ง—ไม่พูด ไม่สบตา ไม่แม้แต่จะเหลือบมา
มือเรียวของดินสอจับขอบเก้าอี้แน่น เหมือนต้องยึดอะไรบางอย่างเอาไว้

> “มึงหิวรึยัง”
“ไม่”



> “หนาวรึเปล่า”
“ไม่”



ภัทรอมยิ้ม

> “แล้วมึง ‘ไม่พอใจ’ มั้ย”
“ก็ไม่”



เขารู้ดี—คนอย่างดินสอเวลางอนจะ “ไม่” ทุกคำถาม
และเขาก็ชอบ…ที่จะง้อ

...

16:30 น. – Café de Flore
(หนึ่งในคาเฟ่ที่มีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ปารีส)

โต๊ะไม้กลมด้านหน้าเพียงหนึ่งโต๊ะยังว่าง
ภัทรแอบดีใจ เพราะโต๊ะนั้นคือ “โต๊ะประจำของ Sartre กับ Simone de Beauvoir”
คาเฟ่แห่งนี้คือที่ประชุมของนักปรัชญา นักเขียน และนักรัก
กลิ่นกาแฟผสมกลิ่นหมึกปากกาน้ำเงินเหมือนจะยังคงลอยอยู่ในอากาศ

> “รู้มั้ย ที่นี่เป็นที่ที่เขียนบทละครแห่งยุคสมัย
แล้วตอนนี้…มันคือที่ที่กูอยากเขียนประโยคเดียวกับมึง”



> “อะไร”
ดินสอยกคิ้ว



> “ว่า ‘มึงหึงกูใช่ไหม’”



ดินสอวางช้อนกาแฟ

> “เปล่า”



ภัทรขำ

> “หึงอะ”



> “เปล่าไง”



> “แล้วทำไมตั้งแต่ลูฟวร์ถึงเรือนี้…มึงไม่สบตากูเลย”



> “มึงชอบให้คนขอถ่ายรูปเหรอ”
ดินสอพูดออกมาแบบไม่มอง



ภัทรถอนหายใจ แต่ยิ้มมุมปาก

...

Flashback – งาน half marathon สามปีก่อน

แสงแดดส่องจ้า
เหงื่อไหลเข้าตา
เขาก้าวขาแทบไม่ไหว

แต่พอเห็นร่างสูงโปร่ง ใส่เสื้อฮู้ดสีเทา ยืนอยู่ตรงเส้นชัยพร้อมผ้าเย็นกับขวดน้ำ…

หัวใจก็วิ่งไปถึงก่อนร่างกาย

> “มึงมาได้ไง”
“มารอแฟน”
“อะไรนะ?”
“มารอแฟนไง”
ดินสอยิ้ม แล้วค่อย ๆ เช็ดเหงื่อบนหน้าภัทร
ค่อย ๆ ลูบตรงขมับ
ค่อย ๆ ซับบนอกเสื้อที่เปียก



ภัทรยังเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้จนวันนี้—แม้จะซักแล้วก็ตาม

...

19:00 น. – Le Jules Verne
(ร้านอาหารบนหอไอเฟล ชั้น 2)

ลิฟต์แก้วพาทั้งคณะขึ้นสู่ระดับ 125 เมตร
แสงไฟสีส้มของหอไอเฟลด้านนอกส่องผ่านกระจกเข้ามาเป็นลวดลาย
ภายในร้านตกแต่งด้วยเส้นโค้งแบบ futurist
คล้ายเป็นภาพจำลองของ Jules Verne นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง

เสียงกระจกชนแก้วไวน์เบา ๆ ดังแทรกท่ามกลางเสียงพูดคุยของคณะ

เมนูเย็นนี้:

กุ้งล็อบสเตอร์ปรุงซูวีในเนยกระเทียม

ไก่เบรสตุ๋นซอสขาวสูตรเก่าแก่

แชมเปญ Laurent-Perrier Cuvée Rosé

ของหวาน: มูสราสป์เบอร์รีเสิร์ฟพร้อมซอร์เบต์กุหลาบ


> “มึงจำได้มั้ย…”
ภัทรพูดเบา ๆ ขณะดินสอกำลังจิ้มของหวาน



> “อะไร”



> “ตอนนั้นมึงเช็ดเหงื่อให้กู แล้วบอกว่ามารอแฟน…
…กูยังไม่เคยลืมเลยนะ”



ดินสอก้มหน้า

> “แล้ววันนี้ล่ะ มึงยังเป็นแฟนกูอยู่มั้ย”



ดินสอเงียบ
ภัทรยิ้มให้

> “ไม่เป็นไรก็ได้ ถ้ายังไม่แน่ใจ
กูรอได้
เหมือนตอนวิ่งเลย
ต่อให้เหนื่อย
แต่ถ้าปลายทางมีมึงรออยู่…กูพร้อมวิ่งต่อเสมอ”



...

เสียงหัวเราะพร้อมกันเบา ๆ ดังขึ้น

เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ๊พลอยหันไปยิ้ม
โอ๊ตกับพีทกระซิบกันว่า

> “ขอให้คู่นี้รอดเถอะวะ เห็นแล้วมันฟีลกู๊ดจัด”



...

22:30 น. – เดินทางกลับโรงแรม

รถโค้ชล่องผ่านแม่น้ำแซนน์อีกครั้ง
หอไอเฟลที่เมื่อกี้ยังอยู่ข้างตัว
ตอนนี้กลายเป็นภาพเล็ก ๆ ในกระจกหลัง

บนที่นั่งคู่ท้ายรถ
ภัทรกับดินสอยังไม่จับมือ
แต่ระยะห่างระหว่างไหล่เริ่มแคบลงทีละนิ้ว

...

End – ตอนที่ 8

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 5
«ตอบ #12 เมื่อ06-04-2025 14:01:22 »

ตอนที่ 9: คนนึงขี้งอน อีกคนก็ขี้แกล้ง

22:30 น. – บนรถโค้ชกลับจากหอไอเฟล

แสงไฟของหอไอเฟลยังวาบวับอยู่ปลายกระจกหลัง
ภัทรนั่งริมหน้าต่าง
ดินสอนั่งข้าง ๆ แต่เอียงตัวออกไปเล็กน้อย

เสียงในรถเริ่มเงียบลง เหลือแค่แสงไฟสลัวจากทางเดิน
และบทสนทนาเบา ๆ จากคู่สามีภรรยาที่นั่งหลังสุด

> “ทำหน้างี้อีกแล้ว มึงเป็นอะไร?”
ภัทรหันมาถาม



> “กูปกติ”



ภัทรยิ้ม
แล้วเอื้อมมือไปดีดหน้าผากดินสอเบา ๆ

> “โอ๊ย!”
“มึงดีดหัวกูทำไม!”



> “ก็มึงงอน แล้วไม่ยอมบอกกูว่าทำไมอะ”



> “ก็บอกแล้วว่ากูปกติ!”



> “แล้วหน้ามึงที่เบ้ขนาดนี้เรียกว่าปกติ?”



เสียง “เหอะ” ดังออกมาจากปากบาง
ดินสอหันไปอีกทาง
ภัทรเลยแกล้งเอื้อมมือไปหยิกแก้ม

> “เลิกยุ่งกับกูสักทีภัทร!”



เสียงในรถเงียบกริบ
เจ๊พลอยหันมามอง
พี่แป๋วถอนหายใจเบา ๆ
โอ๊ตกับพีทสบตากันแล้วหัวเราะเงียบ ๆ

> “คู่นี้แม่งเหมือนลูกหมาแมวขี้งอนอะ”
พีทกระซิบ



...

23:00 น. – ห้องพัก Le Meurice

ห้องยังคงหรูหราตามสไตล์ศิลปะฝรั่งเศสยุคศตวรรษที่ 18
ไฟหัวเตียงสลัว
ม่านลูกไม้ปลิวเบา ๆ ตามลมจากหน้าต่างที่แง้มไว้

ดินสอนั่งพิงหัวเตียง
ไม่พูดกับภัทรแม้แต่นิดเดียว
ภัทรถอนหายใจ…เดินไปอาบน้ำ
แล้วออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัวผืนเดียว

เสียงผ้าขยับ
ภัทรหยุดยืนหน้ากระจก

กล้ามแน่นจากการออกกำลังปรากฏชัด
แต่สายตาที่มองเงาสะท้อนของตัวเองกลับดูอ่อนแรง

> “นี่กูทำผิดตรงไหนวะ”
เขาบ่นกับตัวเองเบา ๆ



> “กูแค่ดีใจกับมึง
อยากให้มึงหึง
เพราะมันหมายความว่ามึงยังรู้สึก…”



เสียงขยับผ้าจากเตียง
แต่ไม่มีคำตอบใดจากดินสอ

...

07:30 น. – อาหารเช้าที่โรงแรม

เช้าวันใหม่
กลิ่นกาแฟเข้มลอยมาแตะจมูก
ดินสอกำลังคีบครัวซองต์ใส่จาน
ภัทรยืนอยู่ข้าง ๆ หยิบไข่ลวกมาอีกสองฟอง

> “เอาเพิ่มมั้ย กูหยิบมาให้ก็ได้”
ภัทรถามเบา ๆ



ดินสอหันมา
พยักหน้าเล็กน้อย
ภัทรยิ้ม…แอบโล่งใจ

...

08:30 น. – ย่านธุรกิจ La Défense

กรุงปารีสในอีกมุมหนึ่ง
ตึกกระจก ตึกเหล็ก เส้นสายเรขาคณิตสะท้อนแดดยามเช้า
ทุกอย่างดูเหมือนนิวยอร์กมากกว่าฝรั่งเศส

Grande Arche
คือสัญลักษณ์แห่งศตวรรษใหม่ของปารีส
โครงสร้างทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูง 110 เมตร
สามารถมองทะลุจาก La Défense ไปถึงประตูชัย Arc de Triomphe ได้

ภัทรถ่ายรูปคู่กับเจ๊พลอย
ดินสอแอบมอง…แต่ไม่พูดอะไร
แล้วเดินไปถ่ายภาพ art installation ที่เป็นปีกโลหะลอยกลางอากาศ

...

11:00 น. – Atelier des Lumières

โกดังเก่าในเขต 11 ของปารีส
ถูกแปลงให้กลายเป็นโลกของแสง สี และเสียง

วันนี้เป็นโชว์ของ Klimt และ Monet
ภาพวาดถูกฉายเต็มกำแพงสูง 10 เมตร
แสงสีเคลื่อนไหวประกอบเสียงดนตรีคลาสสิก

> “รู้มั้ย…ตอนดู Klimt กูนึกถึงมึง”
ภัทรพูดเบา ๆ



> “เพราะอะไร?”
ดินสอถามโดยไม่หันกลับมา



> “เพราะมึงเหมือน ‘The Kiss’
คนที่ไม่เคยพูดว่ารัก
แต่แค่ก้มลงมา…กูก็รู้แล้วว่ามึงรู้สึกอะไร”



...

13:00 น. – Pink Mamma

ร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนที่ตกแต่งด้วยต้นไม้แขวน
ผนังเป็นกระเบื้องสีพาสเทล
โต๊ะทำจากไม้เก่า พื้นเป็นลายกระเบื้องดินเผา

เมนูเด็ด:

พาสต้า truffle กลิ่นหอมจนหันมองโต๊ะข้าง

พิซซ่าเตาถ่านหน้า mortadella ชีส burrata

ทิรามิสุคลาสสิก เสิร์ฟในแก้วโหล

น้ำเลมอนโซดาทำสด


ทุกคนในกรุ๊ปหัวเราะกันใหญ่
เพราะพีทแอบเอาทิรามิสุไปจิ้มจมูกโอ๊ต

ภัทรตักพาสต้าเข้าปาก
หันไปเห็นดินสอกำลังดูเมนูเครื่องดื่ม
ภัทรเลยเลื่อนแก้วของตัวเองให้

> “อันนี้มึงน่าจะชอบ”
“ไม่ขมมาก แต่ซ่าแบบพอดี ๆ”



ดินสอหยิบแก้วมาดื่ม
ไม่ได้พูดอะไร
แต่คิ้วที่เคยขมวดเริ่มคลาย

...

End – ตอนที่ 9

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 9
«ตอบ #13 เมื่อ06-04-2025 14:28:38 »

ตอนที่ 10: กลิ่นหอม วิวสวย และรสสัมผัสของความรักที่ยังไม่แน่ใจ

14:30 น. – Galeries Lafayette Haussmann
(ตำนานแห่งแฟชั่นและศิลปะการค้าของปารีส)

หากหอไอเฟลคือสัญลักษณ์ของเมือง
Galeries Lafayette ก็คือหัวใจแห่งความหรูหราและความฝันของเหล่านักช้อป

อาคาร Art Nouveau หลังใหญ่สีขาวครีม โดดเด่นด้วยโดมกระจกหลากสี (stained glass) อันวิจิตร
ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1912
ศิลปะลวดลายที่เพดานโดมเป็นทั้งสถาปัตยกรรมและผลงานศิลป์
บันไดวนตรงกลางชั้นล่างให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโบสถ์แห่งการจับจ่าย

ภัทรเดินมาช้า ๆ จนถึงเคาน์เตอร์ Dior Homme
ดินสอเดินแยกไปอีกทาง ไปที่โซนน้ำหอม
เฮียโอ๊ตกับพีทกำลังลองแว่นตากันแดด
พี่แป๋วกับเจ๊พลอยตรงไปที่ Louis Vuitton อย่างไม่ลังเล

ภัทรแอบเหลือบมองดินสออยู่ไกล ๆ
ดินสอกำลังลองกลิ่นน้ำหอมบนกระดาษเทสเตอร์
จังหวะที่เขายื่นข้อมือขึ้นมาเพื่อดม กลิ่นของเขาก็ลอยล่องผ่านผู้คน

> “Musk กับกุหลาบขาว…” ภัทรพึมพำ
“…กลิ่นเหมือนมึงเลยว่ะ”



...

15:30 น. – Rooftop Garden

ดาดฟ้าชั้นบนสุดของ Galeries Lafayette
เป็นที่เปิดโล่ง มีคาเฟ่เล็ก ๆ และโซนชมวิวที่สามารถมองเห็นปารีสแบบ 360 องศา
หอไอเฟลตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล
โดมของ Opéra Garnier เป็นสีเขียวอ่อนสะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ
ปลายฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ทำให้มีดอกไม้เล็ก ๆ บานเต็มกระถาง

ดินสอยืนมองวิวเงียบ ๆ
ภัทรเดินไปยืนข้าง ๆ โดยไม่ได้พูดอะไร
เงียบแต่ไม่อึดอัด
เย็นแต่ไม่เหินห่าง

> “สวยดีเนอะ”
ดินสอพูดก่อน



> “เออ”
ภัทรตอบเรียบ ๆ
แต่ยิ้มในใจ—เพราะมึงเริ่มคุยกับกูก่อนแล้วไง



...

17:00 น. – Rue Saint-Honoré
(ถนนแห่งกลิ่นหอมและความลักชัวรี)

ย่านนี้คือที่ตั้งของแบรนด์น้ำหอม niche และ concept store ที่ดีที่สุดในปารีส
อาคารยุคศตวรรษที่ 17–18 ถูกรีโนเวตให้กลายเป็นร้านกล่องกระจก
แต่ยังคงบานหน้าต่างแบบฝรั่งเศสดั้งเดิม
ทั้งถนนอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ เครื่องหนัง และกลิ่นไม้หอมที่แฝงกลิ่นไวน์แดง

> “มึงว่าเวลาเราคิดถึงใคร กลิ่นมันมาก่อนภาพมั้ย?”
ดินสอถามเบา ๆ ตอนเดินผ่าน Diptyque



> “สำหรับกู กลิ่นของมึงแม่งติดหัวใจกูตลอดอะ”
“กลิ่นครีมกันแดดของมึง กลิ่นเสื้อยืดใหม่…แล้วก็น้ำหอมขวดเดิมตั้งแต่ปีสาม”



ดินสอหน้าแดง
รีบเดินเข้าร้าน Ex Nihilo เพื่อหลบสายตา

...

19:00 น. – Septime
(ร้านอาหารมิชลินสตาร์ที่จองยากที่สุดแห่งหนึ่งในปารีส)

หน้าร้านเรียบง่าย เป็นประตูไม้เก่า ๆ สีเทา
ไม่มีป้ายใหญ่ ไม่มีเสียงเพลง
แต่บรรยากาศภายในกลับอบอุ่นเหมือนบ้านในหนังฝรั่งเศส

เชฟ Bertrand Grébaut สร้างชื่อจากความเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก
ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล และไม่เคยเสิร์ฟเมนูเดิมซ้ำในแต่ละวัน

Tasting Menu 7 คอร์สของค่ำคืนนี้ ได้แก่:

1. Amuse-bouche: ครีมดอกกะหล่ำกับไข่ปลาแซลมอน


2. คอร์สที่ 1: หน่อไม้ฝรั่งอ่อนกับซอสไข่แดง


3. คอร์สที่ 2: ปลากะพงขาวนึ่งในไวน์ขาว เสิร์ฟพร้อมพิวเร่มันม่วง


4. คอร์สที่ 3: เป็ดอบไม้แอปเปิ้ล ซอสเบอร์รี่ดำ


5. คอร์สที่ 4: โฟมเห็ดทรัฟเฟิลกับไข่ออนเซ็น


6. ของหวาน: พายราสป์เบอร์รีแบบเปิดหน้า


7. จบด้วย: ไอศกรีมส้มยูซุราดน้ำผึ้งลาเวนเดอร์



ไวน์ Pairing:
ไวน์ขาวจากแคว้น Loire
Rosé เบา ๆ จาก Provence
และ Pinot Noir จาก Burgundy ที่ละมุนจนน่าหลงรัก

ทั้งคณะเงียบไปชั่วขณะ เพราะอาหารมันดีเกินกว่าจะพูด

ภัทรหันไปมองดินสอ
เห็นอีกฝ่ายกำลังตักพายราสป์เบอร์รีเข้าปากอย่างตั้งใจ

> “มึงชอบของเปรี้ยวเหรอ”
“อืม”
“งั้น…คงไม่ชอบกูอะดิ กูมันออกจะหวาน”



ดินสอเกือบสำลัก
ภัทรหัวเราะจนเจ๊พลอยต้องยื่นผ้าให้

...

21:00 น. – กลับโรงแรม

รถโค้ชเคลื่อนผ่านแสงไฟริมแม่น้ำ
ฝรั่งเศสในยามค่ำไม่ต่างจากโปสการ์ด
ดินสอหลับตาเอนหัวกับเบาะ
ภัทรมอง แล้วถอนหายใจเบา ๆ

คืนนี้…ถึงแม้เขาจะยังไม่ได้จับมือ
แต่เขาได้รอยยิ้มบาง ๆ กลับคืนมาแล้ว

...

End – ตอนที่ 10

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 9
«ตอบ #14 เมื่อ06-04-2025 14:29:53 »

ตอนที่ 11: เมื่อมือของใครบางคนไม่ขัดขืนอีกต่อไป

07:00 น. – อาหารเช้าก่อนออกเดินทาง

ห้องอาหารของ Le Meurice ยังคงหรูหราแม้จะเป็นเช้า
พื้นหินอ่อนลายขาวเทา
แชนเดอเลียวิบวับเหนือโต๊ะบุฟเฟต์
เสียงเปียโนคลอเบา ๆ ยามเช้า

> “วันนี้ต้องเดินเยอะ อย่าลืมกินให้พอ”
เจ๊พลอยบอกก่อนจะตักสลัดผลไม้ใส่จาน



> “พี่แป๋วเคยไปแล้ว แต่ก็ยังอยากไปอีก”
พี่แป๋วหัวเราะ ขณะคีบแซลมอนรมควัน



มิวกับบีนั่งข้างกันเงียบ ๆ
เหมือนเป็นคู่เพื่อนสนิทที่ไม่พูดเยอะแต่รู้ใจกันดี
ข้าง ๆ กันคือพี่แทนและพี่มายด์—คู่รักวัย 30 ปลาย ที่ดูเรียบร้อย
พี่แทนอ่าน guidebook เล่มเล็กอย่างตั้งใจ
พี่มายด์กำลังเช็ดเลนส์กล้อง DSLR อย่างทะนุถนอม

โอ๊ตกับพีทยังคงเป็นเหมือนเดิม
กินเยอะ คุยเยอะ หัวเราะเยอะ
แต่ก็แอบชำเลืองมองคู่ตรงข้ามที่เริ่มนั่งใกล้กันอีกครั้ง…

ภัทรกับดินสอ
วันนี้ไม่ทะเลาะ
แม้จะยังไม่มีคำขอโทษ
แต่น้ำเสียงที่อ่อนลง…คือสิ่งที่ดังกว่า

...

08:00 น. – รถโค้ชมุ่งหน้าสู่แวร์ซาย

วิวข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งสีเขียวอ่อนตัดกับท้องฟ้าใส
แสงแดดอุ่นไม่แสบตา
กลุ่มนักท่องเที่ยวในรถคุยกันเบา ๆ

> “รู้มั้ย Versailles ไม่ใช่แค่พระราชวัง มันคือนิยามของคำว่า ‘อำนาจ’ ในยุคหนึ่งเลยนะ”
พี่แป๋วเล่า
“ตอนที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สร้าง มันคือการบอกว่า ‘ข้าคือศูนย์กลางจักรวาล’ แบบไม่ต้องพูด”



...

09:30 น. – พระราชวังแวร์ซาย (Versailles Palace)

ประตูทองเหลืองสูงตระหง่าน
แสงแดดเดือนเมษายนกระทบกับทองคำเปลวแล้วเปล่งแสงเหมือนเวทย์มนตร์

พระราชวังแวร์ซายคือสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง
และความปรารถนาที่จะควบคุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จของราชวงศ์บูร์บง
ภายในมีห้องมากกว่า 2,300 ห้อง
มีผู้รับใช้และข้าราชการอยู่อาศัยนับพันคน
โดยเฉพาะในยุคของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งได้รับฉายาว่า The Sun King

กลุ่มเดินตามไกด์ท้องถิ่น
ที่อธิบายถึง Hall of Mirrors ห้องกระจกยาว 73 เมตร
ตกแต่งด้วยกระจก 357 บาน และโคมไฟระย้าคริสตัล
ห้องนี้เคยเป็นสถานที่ลงนามสันติภาพ สนธิสัญญาแวร์ซาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1

ดินสอหยุดมองภาพจิตรกรรมบนเพดาน
แล้วพูดเบา ๆ

> “บางทีพวกเราก็เหมือนกระจกเนอะ…”
“สะท้อนกันไปมา แต่ไม่เคยมองกันตรง ๆ เลย”



ภัทรไม่ได้ตอบ
แต่เดินเข้าไปใกล้
ยืนข้าง ๆ แล้วโอบไหล่คนตัวเล็กเบา ๆ
ดินสอไม่ขัดขืน

และนั่นคือครั้งแรกในทริป
ที่มือทั้งสอง…จับกันไว้โดยไม่ต้องมีเหตุผล

...

11:30 น. – สวนฝรั่งเศส (Jardin à la française)

สวนของพระราชวังแวร์ซายออกแบบโดย André Le Nôtre
แนวคิดคือ "ความสมมาตร สมดุล และควบคุมธรรมชาติ"
ทางเดินถูกตัดตรงเป็นแนว เส้นทางสี่เหลี่ยม
ต้นไม้ถูกตัดแต่งเป็นทรงเรขาคณิต
มีน้ำพุ มีรูปปั้นเทพเจ้ากรีก
ทุกจุดถูกวางอย่างแม่นยำราวกับคณิตศาสตร์

ดินสอเดินไปหยุดที่ริมสระน้ำ
ภัทรหยิบกาแฟอเมริกาโนร้อนจากคาเฟ่เล็ก ๆ ในสวน
แล้วยื่นให้อีกฝ่าย

> “วันนี้แดดดี…”
“อากาศก็ดี…”
“แล้วกูก็…ดีขึ้น”
ดินสอพูดเบา ๆ ขณะถือแก้ว



...

12:30 น. – La Petite Venise

ร้านอาหารกลางวันใกล้พระราชวัง
ตัวร้านเป็นอาคารหินสไตล์อิตาเลียนแบบเรียบง่าย
ภายในตกแต่งด้วยไม้สีอ่อน พื้นกระเบื้องโบราณ

เมนูแนะนำ:

Coq au vin (ไก่ตุ๋นไวน์แดง) กลิ่นหอมเข้มข้นจากการเคี่ยวกว่า 8 ชั่วโมง

เนื้อแกะตุ๋น เสิร์ฟกับมันฝรั่งบด

Crème brûlée หน้ากรอบนิด ๆ หอมวนิลา


โอ๊ตกับพีทยังคงโวยวายเหมือนเดิม
แต่วันนี้พี่แทนกับพี่มายด์นั่งหัวโต๊ะ
แบ่งไวน์แดงให้พี่แป๋วกับเจ๊พลอย
มิวกับบีนั่งมุมเงียบแต่ยิ้มทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า "ของหวาน"

ภัทรกับดินสอไม่ได้พูดอะไรมาก
แต่ตักอาหารให้กัน
แลกขนม
และนั่งข้างกันเหมือนเรื่องเมื่อวานไม่เคยเกิดขึ้น

...

End – ตอนที่ 11

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 9
«ตอบ #15 เมื่อ06-04-2025 14:30:57 »

ตอนที่ 12: ความรักบนเนินเขา และครัวซองต์รางวัลโลก

14:00 น. – เดินทางกลับปารีส

รถโค้ชหรูเลี้ยวจากทางหลวงเข้าสู่เขตเมือง
บ่ายแดดอ่อน ๆ ปะทะกระจก
วิวฝั่งขวาคือทุ่งลาเวนเดอร์ที่ยังไม่บานเต็มฤดู
แต่ก็มีความคลาสสิกแบบฝรั่งเศสอยู่ในนั้น

บนรถ ทุกคนเริ่มหลับ ๆ ตื่น ๆ
ดินสอหลับพิงไหล่ภัทร
ภัทรยิ้มมุมปาก แล้วโน้มตัวลงเอียงหน้าไปซบเบา ๆ
เงียบ…แต่ไม่เหงาอีกต่อไป

...

15:30 น. – Montmartre (มงมาร์ต)

เขตบนเนินเขาที่เคยเป็นแหล่งมั่วสุมของศิลปิน
และยังคงกลิ่นอายของอิสระจนถึงทุกวันนี้

พอรถจอด
กลุ่มทัวร์ก็ก้าวลงสู่ถนนหินโบราณ
ข้างทางคือร้านคาเฟ่ปูนเปลือย ต้นไม้เถาเลื้อย และนักวาดภาพข้างทาง

Basilica of Sacré-Cœur
โบสถ์สีขาวงาช้างตั้งตระหง่านบนยอดเขา
สร้างขึ้นเพื่อเป็นการไถ่บาปของฝรั่งเศสในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย
โดมของมันคือหนึ่งในจุดชมวิวที่ดีที่สุดของปารีส
เห็นหอไอเฟล พระราชวังลูฟวร์ แม่น้ำแซนน์
และยอดตึกของ La Défense

ภัทรยืนข้างดินสอ
โอบไหล่
ดินสอหันไป…งับเบา ๆ ที่ไหล่ของภัทร

> “โอ๊ย!”
“มึงกัดกูทำไม!”
“มือมึงเย็น…อยากให้หายง่วง”
“พูดดี ๆ ก็ได้ไหม!?” ภัทรว่า
แต่ยิ้มเหมือนหมาบ้า



โอ๊ตถ่ายภาพไว้ทัน
ลงกลุ่มไลน์พร้อมแคปชั่น

> “#รักกัดได้ #อย่าตีกันอีกละน้าาา”



เจ๊พลอยกรี๊ดลั่น
พี่แป๋วแทบหงายหลัง
พี่แทนกับพี่มายด์พยักหน้ารัว ๆ

...

Rue Norvins & Wall of Love

เดินลงจากโบสถ์
เข้ามาย่าน Rue Norvins—ถนนเล็กในย่านศิลปิน
สองข้างทางคือร้านของที่ระลึก
นักวาดรูป
ร้านคาเฟ่ที่ยังใช้เก้าอี้หวายกับโต๊ะกลมไม้

จนมาถึง “Le mur des je t’aime”
หรือ กำแพงแห่งรัก

> “I Love You” เขียนด้วย 311 ภาษา
กระเบื้องสีน้ำเงินเข้ม วางเรียงกันกว่า 600 ชิ้น
ตรงกลางมีรอยแตก เป็นรูปหัวใจ
สื่อว่าแม้ความรักจะไม่สมบูรณ์ แต่มันยังคงสวยงาม



ภัทรเอื้อมไปจับมือดินสอ
แล้วพูดเบา ๆ ว่า

> “กูไม่รู้ภาษาที่ 312…”
“แต่กูรู้ว่ารักมึงแค่ไหน”



...

17:30 น. – Le Grenier à Pain

เบเกอรี่รางวัลโลกแห่งนี้ชนะการประกวด “Best Baguette in Paris”
ครัวซองต์ของที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความบาง 64 ชั้น
ด้านนอกกรอบเบา ๆ แต่ด้านในยังชุ่มเนย

ดินสอสั่งครัวซองต์อัลมอนด์
ภัทรสั่งแบบคลาสสิก
เจ๊พลอยซื้อติดไม้ติดมือกลับโรงแรมหกชิ้น
เพราะเธอบอกว่า “อร่อยเหมือนรักแรกพบ”

...

19:00 น. – Moulin Rouge

สถานที่แห่งตำนาน
กังหันสีแดงหมุนแช่มช้า
ภายนอกดูเหมือนโรงละครเล็ก
แต่ภายในคือความหรูหราอลังการระดับราชสำนัก

Moulin Rouge เปิดเมื่อปี 1889
โดย Joseph Oller ผู้ก่อตั้ง Paris Olympia
ที่นี่คือที่กำเนิด “คาน-คาน” (Can-Can)
และเป็นเวทีของตำนานนักเต้นสาวของยุโรป

เมนูมื้อค่ำ:

Duck Confit (เป็ดตุ๋นจนหนังกรอบ เนื้อในเปื่อยนุ่ม)

Seafood Platter: หอยนางรม, กุ้ง, หอยแมลงภู่

ไวน์แดง Bordeaux


โชว์คาบาเรต์เริ่ม
ผู้คนในชุดประดับเพชรขนนก
ดนตรีฝรั่งเศสยุค 20s
แสงสีเสียงเต็มพิกัด

ภัทรกระซิบ

> “มึงดูเหมือนไม่ใช่ทางมึงเลย”
ดินสอหันมา
“แล้วไงอะ ก็ทางมึง กูก็ดูให้มึงไง”



...

22:30 น. – กลับโรงแรม

รถโค้ชวิ่งผ่านไฟถนน
ภัทรเอื้อมไปจับมือดินสอ
ดินสอไม่ได้ขืน

คืนนั้นทุกอย่างไม่ต้องพูด
แค่จับมือไว้…ให้อุ่นพอ


---

End – ตอนที่ 12

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 9
«ตอบ #16 เมื่อ06-04-2025 14:32:12 »

ตอนที่ 13: เมื่อคำถามไม่ได้ถาม…แต่ทุกคนพร้อมใจตอบว่า “แน่ๆ”

22:30 น. – กลับถึงโรงแรม Le Meurice

หลังค่ำคืนสุดตื่นตา ณ Moulin Rouge
คณะทัวร์ทยอยขึ้นห้องด้วยความอ่อนล้า
บรรยากาศในลิฟต์เงียบ ๆ มีเพียงเสียงกดชั้นและถอนหายใจยาว ๆ

ดินสอเปิดประตูห้องก่อน เดินลากขาเข้าห้องน้ำทันที

> “เหนื่อย จะอาบน้ำก่อนนะ”
เสียงทุ้มเล็กหายเข้าไปพร้อมไอน้ำอุ่นในห้องน้ำ



ภัทรถอดรองเท้า โยนตัวลงเตียง เอื้อมไปหยิบขวดน้ำจิบ

> “อาบไปเลย กูจะนอนรอ”



เสียงน้ำจากฝักบัวยังคงดังอยู่
ดินสอพูดลอดประตู

> “เดินทั้งวันไม่อาบน้ำ สกปรก”



ภัทรหัวเราะในลำคอ

> “ถอดเสื้อแล้วไงอะ? ไม่สกปรกแล้วมั้ง”
ว่าจบก็ลุกขึ้น ถอดเสื้อ
กล้ามอกแน่น ๆ กับหน้าท้องลีนแบบที่เทรนเนอร์ก็ต้องยอม
ผิวแทนลึกจากการออกกำลังกายกลางแจ้ง
สะท้อนกับแสงไฟหัวเตียงอ่อน ๆ



ประตูห้องน้ำเปิด
ดินสอออกมาพร้อมผ้าขนหนูพันรอบเอว หยุดกึก

> “มึงจะไม่ใส่เสื้อเหรอ?”



ภัทรยักไหล่

> “ก็มึงบอกให้ถอดของสกปรก กูก็ถอดแล้วไง”



ดินสอพ่นลมหายใจแรง แต่ไม่ต่อปาก
เขาเดินไปหยิบเสื้อผ้า พึมพำอะไรเบา ๆ
ภัทรเข้าไปนอน กางแขนกอดอีกฝ่ายไว้จากด้านหลัง
ไม่รัดแน่น แต่มั่นคง

> “คืนนี้ไม่กวนหรอก แค่นอนเฉย ๆ”
เสียงต่ำของภัทรเหมือนลมหายใจ
ดินสอไม่ตอบ
และก็ไม่ขัดขืน



...

เช้าวันที่ 5 – 06:00 น.

ห้องอาหารเช้าของโรงแรมเปิดไวเป็นพิเศษ
กล่องอาหารเช้าถูกแจกให้ทุกคนก่อนออกเดินทาง
มีครัวซองต์เนย กาแฟร้อน ไข่ต้ม และโยเกิร์ตใส่ผลไม้

เสียงฮือฮาเริ่มดังในกลุ่ม
พี่แทนกระซิบกับพี่มายด์
เจ๊พลอยกับพี่แป๋วหัวเราะหึ ๆ
โอ๊ตกับพีทเอามือปิดปาก แต่ยิ้มเหมือนเห็นอะไรสนุกมาก

พีทกระซิบเสียงดังพอให้ทั้งโต๊ะได้ยิน

> “เมื่อคืนผมเคาะห้องไปขอยานวดขา ภัทรเปิดประตูให้...ไม่ใส่เสื้อครับ”



ทุกคนพูดพร้อมกัน

> “แน่ๆๆๆๆ!”



ภัทรลงมาหลังสุด
สายตาหลายคู่มองพร้อมรอยยิ้ม
เจ๊พลอยแกล้งถาม

> “วันนี้เอา หอยนางรม หรือ ไข่ลวก ดีคะ?”



> “หอยนางรมครับ ถ้าไข่ลวกเดี๋ยวไม่ตื่น”
ภัทรตอบหน้าตาย



ดินสอหยิบกล่องอาหารของตัวเอง
แล้วเดินเลี่ยงออกไปนั่งข้างมิวกับบี
แต่แก้มที่ขึ้นสีมันบอกทุกอย่างแล้ว

...

07:30 น. – รถไฟ Thalys สู่บรัสเซลส์

รถไฟความเร็วสูง Thalys ใช้เวลา 1.5 ชม. วิ่งจากปารีสถึงบรัสเซลส์
เบาะกำมะหยี่นุ่มแนบตัว
เสียงประกาศภาษาฝรั่งเศสและดัตช์สลับกัน

พนักงานเสิร์ฟอาหารเช้าแบบ light meal
เป็นขนมปังดำ แยมลูกแพร์ และชีสสด

ดินสอเปิดฝาอาหาร
นิ่วหน้า

> “มึงเคยกินชีสที่กลิ่นแรงกว่านี้ไหม”



> “มึงก็อย่าเปิดเล่น ๆ แล้วไม่กิน มันเสียมารยาทอะ”
ภัทรพูดเรียบ ๆ



> “กูก็แค่…ดูไง”
“ดูจนเหม็นทั้งโบกี้อะดิ”
“ภัทร!”



เสียงเริ่มดัง
ทุกคนในคณะเงียบ
มือหลายคู่ยกมือถือขึ้น…ถ่ายภาพนิ่ง
กลุ่มไลน์ของกรุ๊ปทัวร์มีข้อความขึ้นว่า

> "Live: คู่รักทะเลาะเรื่องชีส"



...

09:00 น. – บรัสเซลส์

อากาศสดชื่นกว่าในปารีสเล็กน้อย
แสงแดดกระทบยอดอาคารกอธิกทองอร่ามของ Grand Place
จัตุรัสที่ได้รับการยกย่องว่าสวยที่สุดในยุโรป
เป็นที่ตั้งของศาลาว่าการเมือง สถาปัตยกรรมสมัยศตวรรษที่ 15
ทุกอาคารเต็มไปด้วยรูปปั้น ประดับทองคำ และลวดลายแกะสลักแน่นละเอียด

พี่แป๋วอธิบายเสียงเบา

> “ตอนกลางคืนที่นี่สวยกว่านี้อีก…เขาเปิดไฟ projection บนตัวอาคารเลยนะ”
“Grand Place เคยถูกทำลายในสงคราม แล้วสร้างใหม่จากภาพวาดเก่า ๆ อย่างละเอียด”



เดินต่อไปยัง Manneken Pis
รูปปั้นเด็กชายยืนฉี่ ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมือง
สร้างขึ้นในปี 1618
โดยเชื่อว่าเด็กชายในตำนานนี้เคยดับไฟในเมืองด้วยการฉี่ใส่เปลวไฟ

ภัทรมอง

> “เหมือนเด็กผู้ชายเวลากินชีสมั้ง…ฉี่แรงดี”



ดินสอหัวเราะเบา ๆ

> “มึงก็พูดอะไรของมึง…”



...

11:30 น. – Maison Dandoy

ร้านวาฟเฟิลในตำนาน
สูตรดั้งเดิมแบบ Liège waffle
อบแบบมีน้ำตาลเกล็ดหยาบด้านใน กรอบนอกนุ่มใน
ราดซอสช็อกโกแลต Valrhona
เสิร์ฟพร้อมช็อกโกแลตร้อนเบลเยียมแท้

โอ๊ตกัดเข้าไปคำแรก

> “นี่แหละ วาฟเฟิลที่ทำให้ผมรู้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรดี ๆ เหลืออยู่”



ดินสอเงียบ กินช้า ๆ
ภัทรมอง แล้วกระซิบ

> “ยังไม่หายหงุดหงิดเหรอ?”



> “กูกำลังพยายามละลายเหมือนช็อกโกแลตอยู่นี่แหละ…”



ภัทรยิ้ม—รสชาติวาฟเฟิลอาจไม่หวานเท่าคำพูดนั้นก็ได้

...

End – ตอนที่ 13

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 9
«ตอบ #17 เมื่อ06-04-2025 14:34:22 »

ตอนที่ 14: Moules, Moment & มึงคิดอะไรอยู่

11:50 น. – บนรถบัสระหว่างทางไปร้าน Chez Léon

เสียงพูดคุยในรถเริ่มจางลง หลังทุกคนได้พักหูจากการโดนกล่อมด้วยเสียงบรรยายประวัติศาสตร์ครึ่งเช้า
รถกำลังเคลื่อนไปตามถนนคดเคี้ยวของกรุงบรัสเซลส์ ผ่านสถาปัตยกรรมยุโรปผสมผสาน
ด้านนอกหน้าต่าง มีทั้งตึกยุคเรอเนซองส์สีหม่น และร้านเบเกอรี่หน้าตาอบอุ่นริมทาง

ภัทรนั่งไขว่ห้างอยู่ข้างดินสอ
พอเห็นป้ายร้านอาหารขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าตัวก็บ่นเสียงดังพอให้ได้ยินทั่วรถ

> “นี่เราจะกินกันอีกแล้วเหรอ…”



ทันใดนั้นเอง…
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านหลัง
บางคนยิ้ม
สองสามคนสำลักน้ำแบบอัตโนมัติ
เพราะมันสอดคล้องกับบทสนทนาที่ทุกคน เข้าใจผิด กันทั้งรถตั้งแต่ตอนเช้า
“แน่ๆ” ยังคงเป็นคำที่อยู่ในใจใครหลายคน

ภัทรเพิ่งรู้ตัว
แต่ยิ้มกะล่อน เหล่มองคนข้าง ๆ

> “ดินสอ มื้อเที่ยงนี่คือ…เราจะกินกันแล้วใช่ไหม?”



ดินสอหันไปบิดแขนภัทรเต็มแรง

> “มึงจะพูดอะไรไม่ดูปากตัวเองบ้างเลยรึไง!?”



ภัทรร้อง

> “โอ๊ย! เจ็บนะเว้ย!”



เสียงหัวเราะทั้งรถบัสดังลั่น
ดินสอว่าเสียงเขียว

> “กูยังไม่เคยโดนใครกิน กูจะรักษาไว้ห้าร้อยชาติ!”



ภัทรเบิกตากว้าง ยกมือเป็นเชิงยอมแพ้

> “เฮ้ย กูหมายถึงมื้อเที่ยง! มึงคิดไปถึงไหนเนี่ย คิดเยอะนะเราอะ”



ดินสอหันหน้าหนี
แต่ยังอุบยิ้มมุมปาก

> “ไม่ต้องมาแกล้งกู กูรู้…กูกินปลา”



เสียงฮาในรถไม่หยุดง่าย ๆ
เจ๊พลอยพูดเบา ๆ กับพี่แป๋ว

> “คู่รักคู่นี้แม่งมีความสุขในการเถียงกันเนอะ”



...

12:30 น. – Chez Léon

ร้านอาหารดังที่สุดแห่งหนึ่งของบรัสเซลส์
ชื่อเสียงสืบทอดมาตั้งแต่ปี 1893
ตกแต่งภายในเป็นสไตล์เบลเยียมโบราณ ด้วยกระเบื้องเคลือบลายเก่าและโต๊ะไม้เข้ม
กลิ่นเนยละลายและเบียร์สดโชยอวลชวนหิวทันทีที่เปิดประตูเข้าไป

อาหารขึ้นชื่อของที่นี่คือ Moules-frites – หอยแมลงภู่สดจากทะเลเหนือ
ปรุงกับไวน์ขาว กระเทียม และสมุนไพร
เสิร์ฟในหม้อเหล็กดำร้อน ๆ คู่กับ เฟรนช์ฟรายส์ กรอบนอกนุ่มใน
พร้อมเบียร์เบลเยียมสดที่ไม่มีในไทย

ภัทรยกเบียร์ขึ้นชนแก้วกับโอ๊ต

> “ใครว่าอาหารทะเลต้องอยู่แค่ฝรั่งเศสกับอิตาลี เบลเยียมนี่แหละตัวจริง!”



ดินสอคีบหอยเข้าปาก
แล้วทำตาโต

> “หอม…ไม่คาวเลยมึง”
“มึงลองบีบเลมอนนิด ๆ ด้วย จะตัดเค็มได้ดีเลย” – มิวแนะนำ



มีกลุ่มนักดนตรีพื้นบ้านเล่นแอคคอร์เดียนอยู่ด้านนอก
สร้างบรรยากาศให้มื้ออาหารกลมกล่อมยิ่งขึ้น

พี่แทนสั่งซ้ำสองหม้อ
เจ๊พลอยสั่งเบียร์ตัวแรงขึ้นกว่าเดิม
ดินสอกินหมดหม้อ
ภัทรหันมา

> “มึงแน่ใจนะว่าไม่ได้หิวเพราะอะไรที่กูยังไม่รู้?”



ดินสอสวน

> “แน่ใจ...ก็กินปลาไง”



...

14:00 น. – Atomium

หลังอาหารเที่ยง
คณะทัวร์เดินทางสู่ Atomium
สิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาที่มีรูปทรงเป็นอะตอมของผลึกเหล็กขยายขนาด 165 พันล้านเท่า
สร้างขึ้นเพื่อ World Expo 1958
เป็นผลงานสถาปัตยกรรมที่สะท้อนวิสัยทัศน์ด้านวิทยาศาสตร์และอนาคตของยุโรปยุคนั้น

คณะทัวร์ขึ้นลิฟต์ความเร็วสูงในเสาเหล็กหลัก
ไปยังจุดชมวิวพาโนรามาบนลูกบอลที่สูงที่สุด
จากนั้นค่อย ๆ เดินลงไปตามลูกบอลอื่น ๆ ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการด้านวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และนวัตกรรม

ดินสอมองไปที่เมืองเบื้องล่าง
ลมเย็นตีหน้า
แสงอาทิตย์เดือนเมษาไม่แสบตา แต่ทำให้ใจอุ่น
ภัทรเดินมาข้างหลัง โอบไหล่หลวม ๆ

> “นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน กูกอดแบบนี้มึงต้องตีมือ”
“มึงพูดเหมือนกูมีแรงตี”
“ถ้ากูตีคืนล่ะ”
“ลองสิ”
“ได้เลย…”



...แล้วเงียบไป

แต่ไม่มีใครผละออกจากกัน

...

16:30 น. – เช็คอิน Warwick Brussels – Grand Place

โรงแรมระดับ 4 ดาว ทำเลดีที่สุดในกรุงบรัสเซลส์
ห่างจาก Grand Place ไม่ถึง 3 นาทีเดิน
ห้องพักตกแต่งแบบร่วมสมัย หรูหราด้วยวัสดุไม้เข้ม ผ้ากำมะหยี่ และไฟหัวเตียงอบอุ่น

ดินสอวางกระเป๋าแล้วล้มลงบนเตียงทันที

> “วันนี้เดินเยอะกว่าที่คิดแฮะ”
ภัทรวางหมวกลงบนโต๊ะ วางโทรศัพท์ แล้วเดินมานั่งข้าง ๆ



> “ขานวดมั้ย?”
“ไม่ต้องเลยมึง เดี๋ยวเผลอกูโดนกินอีก”



...

18:30 น. – เดินเล่น Galeries Royales Saint-Hubert

ห้างหรูสไตล์เรเนซองส์ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1847
มีหลังคาโค้งกระจกสูงโปร่ง ประดับเหล็กดัดสีทอง
สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านช็อกโกแลตระดับโลก
ร้านนาฬิกา ร้านหมวกโบราณ และโรงละครเล็ก ๆ

โอ๊ตซื้อช็อกโกแลตให้พีท
เจ๊พลอยซื้อหมวกปีกกว้างคลุมตา
ดินสอกินไอศกรีมวานิลลาจากร้านเลอเฟเบร

ภัทรแกล้งแย่งคำสุดท้าย

> “กูลองให้ก่อนว่ามันปลอดภัยมั้ย”
ดินสอเบะปาก
“มึงปลอดภัย แต่ไอติมกูไม่รอด”



...

19:30 น. – ดินเนอร์ที่ La Roue d’Or

ร้านอาหารเบลเยียมแท้ ๆ
บรรยากาศอบอุ่น ผนังตกแต่งด้วยโปสเตอร์ละครเก่ายุคศตวรรษที่ 19
เมนูดังคือ Carbonnade flamande – เนื้อตุ๋นเบียร์ ดำข้น รสลึก หอมเครื่องเทศ
กับ กุ้งทอดเบลเยียม ที่กรอบนอกนุ่มใน

เจ๊พลอยเอื้อมมือไปแตะไหล่ดินสอ

> “วันนี้ไม่ทะเลาะกันเลยนะลูก”
“อาจจะหิวจนไม่มีแรงเถียงครับ” – ภัทรตอบแทน
“หรือไม่ก็อาจจะอิ่มจากเมื่อคืน…”



ทั้งโต๊ะหัวเราะ
ภัทรยกแก้วไวน์
ดินสอมองหน้า

> “มึงอย่าเพิ่งพูดอะไร กูรู้ว่ามึงจะพูดอะไร”



ภัทรยิ้ม

> “กูยังไม่ได้พูดซะหน่อย…”



...แต่ในสายตา เขาพูดหมดแล้ว


---

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 14
«ตอบ #18 เมื่อ06-04-2025 14:39:20 »

ตอนที่ 15: เพลงที่มึงร้องครั้งแรก...ยังอยู่ในใจ

21:00 น. – จัตุรัสกลางกรุงบรัสเซลส์

ค่ำนี้ บรัสเซลส์อ่อนแสงลงอย่างงดงาม
พื้นหินก้อนเล็ก ๆ ของจัตุรัสสะท้อนแสงไฟจากโคมเก่า
สายลมเย็นปะทะใบหน้าแบบพอดี ๆ
และเสียงดนตรีจากมุมถนนก็ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็ก ๆ ให้หยุดฟัง

ภัทรที่ยืนข้างดินสอหันไปสบตากับนักกีตาร์
แล้วพูดเบา ๆ ว่า...

> “ขอแจมได้มั้ยครับ?”



หนุ่มนักดนตรียิ้ม พยักหน้า
ภัทรยกมือขอไมค์…แล้วหันมาหาดินสอ
เจ้าตัวไม่พูดอะไร แต่แววตาแม่งบอกทุกอย่าง


---

เพลงที่ภัทรร้อง: _“Best Part” – Daniel Caesar ft. H.E.R. (Acoustic)

> You're the coffee that I need in the morning
You're my sunshine in the rain when it's pouring
Won't you give yourself to me
Give it all, oh...



เสียงของภัทรนุ่มลึก เป็นเสียงที่ดินสอเคยฟังทุกครั้ง
ตอนซ้อมกีตาร์ช่วง ม.5
ตอนนั่งท้ายห้องพร้อมสมุดเพลงเก่า
ตอนเขินจนไม่กล้ามองหน้า แต่ภัทรก็ยังร้องเพลงนี้ให้เสมอ


---

> I just wanna see how beautiful you are
You know that I see it
I know you're a star
Where you go I'll follow
No matter how far...



ช่วงสุดท้ายของท่อนฮุก
ภัทรหันมามองดินสอ
...ไม่พูดอะไร
แต่ตายังคงมอง...มองเหมือนเดิม
แบบที่เคยมองตั้งแต่สิบปีก่อน
และจนถึงวันนี้ก็ยังมอง

...

เจ๊พลอยเอียงหน้ามากระซิบกับพี่แป๋ว

> “เด็กดินสอหูแดงมาก…”
“กินไวน์ไปแก้วเดียวเองนะ”
“ไม่เมาหรอกมึง...เขิน”



มิวหันมาหาโอ๊ต

> “คู่รักวัยมัธยมแบบนี้แม่งโคตรเรียลเลยเนอะ”
“แล้วดูสิ มึงดูหูดินสอ...แดงยิ่งกว่าทับทิม”
“คนมันโดนจีบด้วยเพลงที่เคยร้องตอนเรียน ม.ปลาย จะไม่เขินได้ไง”



...

หลังจบเพลง

เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วทั้งจัตุรัส
ภัทรยิ้ม รับคำชมจากนักท่องเที่ยว
ก่อนเดินกลับมาหาดินสอ

> “เฮ้ย...”
“อะไร?”
“มึงยังจำได้มั้ย กูเคยร้องเพลงนี้ให้ฟังตอนเรียน ม.5”
“…อือ”
“แล้วตอนนั้นมึงตอบกูว่าไง?”
“…ไม่ตอบอะไร”
“แต่หลังจากนั้นก็เป็นแฟนกันใช่มั้ย?”
“...กูไม่ได้ปฏิเสธก็แล้วกัน”



ภัทรหัวเราะเบา ๆ

> “มึงแม่งก็ยังขี้เขินเหมือนเดิมเลยว่ะ”



...

ภาพสุดท้ายของคืนนี้
ทั้งคู่เดินกลับโรงแรม
ในขณะที่กลุ่มคณะทัวร์บางคนยังพูดไม่หยุดว่า

> “ชั้นว่าเค้าจะคืนดีกันเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ”
“คือดูแววตามันอะ พี่แทนขนลุกเลย”



...

เพลงยังคงเล่นต่อ
แต่ในหัวของดินสอ...มีแค่เสียงของภัทร
เสียงที่เคยร้องให้ฟังครั้งแรก
เสียงที่ยังอยู่
เสียงที่ยังไม่เคยเปลี่ยนเลยสักนิดเดียว


---

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 14
«ตอบ #19 เมื่อ06-04-2025 14:41:44 »

ตอนที่ 16 — คืนที่ภัทรเกือบพิชิต

บรัสเซลส์ยามค่ำ… สวยเสียจนเหมือนภาพฝัน

สายลมยามฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมาพร้อมกลิ่นโกโก้อุ่นและช็อกโกแลตสดที่ลอยมากับไอหวาน ๆ จากร้าน Maison Dandoy ที่เพิ่งปิดไฟไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แสงไฟจากหน้าต่างของคาเฟ่ย่าน Grand Place ยังสะท้อนลงบนถนนหินเก่าราวเวทมนตร์

หลังจากโชว์เสียงหล่อกล่อมสาว ๆ — ไม่สิ กล่อม "ดินสอ" — ภัทรก็แกล้งบอกให้คนตัวเล็กเดินกลับโรงแรมกับพี่ ๆ ไปก่อน ส่วนตัวเองขอแวะ "ซื้อของ"

> “ซื้ออะไร?”
“ของที่ต้องใช้ตอนมึงไม่รู้ตัว”
“พูดให้มันดี ๆ”
“ไม่ดีแน่ ๆ ถ้าคืนนี้มึงยังไม่พร้อม…”





ระหว่างทาง

พีทเดินตามมาในร้านเวชภัณฑ์พอดี
แทนมองถุงกระดาษในมือภัทรแล้วหรี่ตา
โอ๊ตยิ้มแล้วแกล้งกระซิบ

> “คืนนี้แน่ ๆ ใช่ไหม?”
“ไม่แน่ แต่กูต้องพร้อมไว้ก่อน”
“กล้ามมึงพร้อมขนาดนี้แล้ว ของเล็ก ๆ พวกนี้จะพลาดได้ไงวะ”



ภัทรหัวเราะหึในลำคอ ไม่ตอบ

> “ห้องติดกันด้วย กูขออย่างเดียว ถ้ามึงจะปลุกพรหมจรรย์ 500 ปีคืนนี้ เสียงเบา ๆ หน่อยนะ…”




---

กลับถึงโรงแรม

ไฟในห้องเปิดไว้แค่โคมหัวเตียง

ภัทรถอดแจ็กเก็ต วางของไว้เงียบ ๆ
เสียงน้ำไหลจากห้องน้ำแผ่วเบา
เขายืนมองเงาตัวเองในกระจก
ผ้าเช็ดตัวพาดอยู่บนไหล่แกร่ง กล้ามแน่นสะท้อนแสงสีอุ่นอย่างคมชัด
ภัทรสูดหายใจลึก

> “คืนนี้ ถ้ามึงยังไม่ปฏิเสธ กูจะรู้แล้วว่าความหวังของเรายังมีอยู่จริง”



ดินสอเปิดประตูห้องน้ำออกมาพร้อมไอน้ำจาง ๆ
สายตาทั้งคู่สบกัน
ไม่มีคำพูด แต่บรรยากาศรอบห้องแทบหยุดหายใจ

> “...อาบมั้ย?”
“อาบดิ”
“นานแน่คืนนี้”



ภัทรหันหลังเข้าไป
อาบน้ำ ล้างหน้า บ้วนปาก
สระผมรอบสอง
แล้วฉีดน้ำหอมกลิ่นที่ดินสอชอบไว้ที่ซอกคอ ใต้ข้อมือ
ทุกจุดที่เขา "อยากให้ดินสอจำได้"

> “วันนี้ต้องไม่เหมือนคืนก่อน ๆ”




---

แต่เมื่อเขาออกจากห้องน้ำ...

ดินสอหลับแล้ว

ตัวเล็ก ๆ ขดอยู่ตรงมุมเตียงใต้ผ้าห่มหนานุ่ม
แก้มขาวขึ้นสีจาง ๆ คงเพราะความเหนื่อยตลอดวัน
ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย
ลมหายใจสม่ำเสมอ… และเสียงหัวใจภัทร…ช้าลงทันที

ภัทรนั่งลงข้างเตียงเงียบ ๆ
มือใหญ่ลูบผมนิ่มของดินสอเบา ๆ
แล้วก็หัวเราะในใจ…ให้กับความหวังอันยาวนานของตัวเอง

เขาขึ้นเตียง ห่มผ้า
กอดดินสอจากข้างหลัง
ฝังจมูกไว้ที่ท้ายทอยอีกฝ่าย

กระซิบเบา ๆ ว่า...

> “กูไม่รีบหรอกดินสอ… ถึงมึงจะหลับทุกคืน กูก็จะกอดมึงแบบนี้ไปเรื่อย ๆ”
“ไม่ใช่เพราะกูแพ้มึงนะ…แต่เพราะกูรักมึงทุกคืนมาตลอด…”




---

เช้าในบรัสเซลส์

ในกลุ่มไลน์ของคณะทัวร์
เจ๊พลอยโพสต์:

> “เมื่อคืนพีทไปขอยานวดขา…ภัทรเปิดประตูมาด้วยผ้าขนหนูผืนเดียว!”
“พูดพร้อมกันค่ะ ‘แน่ ๆ’!!!”



แทนเสริมทันที

> “กูว่าไม่ใช่แค่ยานวดที่ใช้แน่ ๆ”
“คู่นี้เงียบผิดปกติ เช้านี้ไม่ทะเลาะ แปลว่าเมื่อคืน…อะไรยังไงล่ะครับ?”



ดินสอกำลังตักโยเกิร์ตในไลน์บุฟเฟต์
มือไม่นิ่ง
ใบหูแดงอีกแล้ว

ภัทรเดินเข้ามาข้าง ๆ พร้อมกระซิบด้วยเสียงทุ้ม

> “เมื่อคืนกูไม่ได้อะไรเลย…นอกจากลมหายใจมึงตอนหลับ”
“แต่ก็ยังดี…เพราะมันยังเป็นของกูคนเดียว”




---

จบบทที่ 16

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 14
« ตอบ #19 เมื่อ: 06-04-2025 14:41:44 »





ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 14
«ตอบ #20 เมื่อ06-04-2025 14:44:07 »

ตอนที่ 17 — บรูจจ์ เมืองโบราณ ความหวานยังไม่จาง

เสียงล้อรถโค้ชบดกับถนนหินกรวดของเบลเยียมขับกล่อมเช้าอากาศดีให้ละมุนขึ้นอีกหลายระดับ
เมืองบรูจจ์กำลังเรียกหา

> “ขับตรงอีกไม่ไกลค่ะ อีกสิบกว่านาทีจะถึงใจกลางเมืองแล้วค่ะทุกคน”
เสียงไกด์สาวชื่อพี่ก้อยดังจากไมโครโฟนในรถ ภัทรหาวเบา ๆ
ดินสอหลับตาพิงไหล่เขาแบบไม่ได้ตั้งใจ



ภัทรลูบผมอีกฝ่ายช้า ๆ

> "แค่เมื่อคืนไม่ได้อะไร มึงก็หมดแรงขนาดนี้เลยเหรอดินสอ..."




---

09:30 น. — เดินชมเมืองเก่าบรูจจ์

เมืองนี้คือเมืองในนิทาน

บ้านไม้โบราณปลูกเรียงริมคลอง สะพานหินเก่าทอดข้ามไปยังตรอกศิลปะกลางเมือง
เสียงนกร้องเคล้ากับเสียงจักรยานที่กลุ่มนักเรียนเบลเยียมปั่นผ่านไปอย่างสดใส

> “มันสวยจนเหมือนหลุดมาจากภาพวาดเลย” ดินสอพูดออกมา
ภัทรยิ้มแล้วตอบ “แต่กูว่าอะไรก็ไม่สวยเท่ามึง”
“มึงเพิ่งตื่นเหรอ”
“ก็เพิ่งตื่นมาเจอมึงนี่แหละ”



กล้องจากพี่โอ๊ตลั่นชัตเตอร์ทันที
“แชะ!”

> “มึงอยากได้รูปคู่มั้ยวะ”
“ถ่ายให้หน่อยครับพี่โอ๊ต”
“ใกล้กันอีก ๆ ไอ้ภัทร จับเอวมันเลย”



ภัทรจับเอวดินสอ ดินสอทำท่าจะผลัก แต่สุดท้ายแค่เขินแล้วหันหน้าหนีไปอีกฝั่ง
แชะอีกภาพ… หูแดงอีกแล้ว…


---

10:00 น. — ตลาดกลาง (Markt Square) & Belfry Tower

จัตุรัสแห่งนี้คือหัวใจของบรูจจ์
ด้วยอาคารกิลด์เฮาส์แบบเฟลมิช ปลายจั่วสูงล้อมรอบลานกว้าง
เสียงม้าลากรถแผ่ว ๆ กับเสียงนาฬิกาจากหอคอย Belfry Tower ดังทุก 15 นาที ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์แบบย้อนยุค

> “ใครไหวขึ้นบันได 366 ขั้นไปดูวิวบ้างคะ?”
“ใครขึ้นบ้าง เดี๋ยวผมขึ้น” ภัทรยกมือทันที
“มึงน่าจะอยู่ข้างล่างกับกู” ดินสอพูด
“ไม่เอา กูจะขึ้นไปตะโกนบอกรักมึงจากยอดหอคอย”
“ไม่ต้องทำขนาดนั้น…”



เสียงคณะทัวร์หัวเราะ
พลอยหันมากระซิบกับแทน

> “ฉันล่ะอยากเห็นดินสอเขินจนเป็นลมสักวัน”




---

11:00 น. — ล่องเรือคลองบรูจจ์

เรือพายลำยาวพานักท่องเที่ยวไหลไปตามลำคลองน้ำใส
ดอกไม้บานริมหน้าต่างบ้านไม้สองฝั่ง
เป็ดว่ายน้ำคู่กัน เงาสะท้อนอาคารเก่าบนผิวน้ำไหวเบา ๆ
อากาศเย็นจับแก้มแต่หัวใจกลับอุ่นมากเกินควร

> “อยากอยู่เมืองนี้นาน ๆ” ดินสอพึมพำ
“อยู่กับกูมั้ยล่ะ”
“พูดอีกทีดิ”
“อยู่กับกู”



...


---

12:00 น. — ร้านอาหารกลางวัน De Gastro

ร้านอาหารเล็ก ๆ แต่เก่าแก่ อยู่ติดกับสะพานหินด้านใต้ของ Markt Square
กลิ่นของสมุนไพรต้มกับเนื้อปลาโชยอ่อน ๆ ออกมาจากห้องครัว
ทุกอย่างตกแต่งด้วยไม้เก่าและแจกันดอกทิวลิปสด

เมนูวันนี้:

ซุปปลาเฟลมิช (สไตล์ดั้งเดิม กลิ่นหอมละมุน ละเอียดมาก)

ข้าวต้มทะเลเบลเยียม (ใช้ปลาทะเลสด ผสมหอยลาย กุ้ง และใบไธม์)

ของหวาน: ช็อกโกแลต handmade จากครัวหลังร้าน เสิร์ฟพร้อมราสป์เบอร์รี่สด


ภัทรกินไปมองหน้าดินสอไป

> “ช็อกโกแลตหวานสู้มึงไม่ได้เลย”
“จบประโยคเถอะภัทร…”




---

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 14
«ตอบ #21 เมื่อ06-04-2025 14:45:53 »

ตอนที่ 18 — ภัทรลุย แต่ฟ้าไม่เป็นใจ

13:30 น. – เดินทางต่อสู่รอตเตอร์ดัม (ประมาณ 2.5 ชม.)

เสียงล้อรถโค้ชไถลผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนที่เริ่มแต่งแต้มด้วยดอกทิวลิปบานสะพรั่ง ต้นไม้สองฝั่งทางชูใบอ่อนรับลมฤดูใบไม้ผลิ

ดินสอหลับพิงหน้าต่าง ส่วนภัทรนั่งดูหน้าตัวเองในกล้องมือถือ

> “คืนนี้กูจะต้องทำให้ได้… พรหมจรรย์ 500 ปีของมึง กูจะทำพิธีเปิดมันคืนนี้แหละดินสอ”




---

16:00 น. – เข้าชม: Cube Houses (บ้านลูกบาศก์)

Cube Houses หรือ Kubuswoningen เป็นผลงานการออกแบบอันล้ำยุคของ สถาปนิก Piet Blom ที่ต้องการ "เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นต้นไม้" และเมื่อมองจากด้านบน อาคารทั้งหมดจะดูเหมือน "ป่าเรขาคณิต" กลางเมือง

เกร็ดเด็ด:

แต่ละบ้านเอียงทำมุม 45 องศา

คนในพื้นที่เคยบอกว่า “ถ้าอยู่ในบ้านนี้นาน ๆ แล้วไม่เวียนหัว ถือว่าใจแข็ง”


> “ถ้าคืนนี้เราจะทำอะไรกันในบ้านแบบนี้ กูน่าจะเมาแน่นอน” ภัทรแกล้งกระซิบ
“บ้านเราจะอยู่โรงแรมนะมึง ไม่ใช่บ้านทรงลูกบาศก์”
“งั้นมึงต้องมาอยู่ในอ้อมแขนกูให้มึนแทน”




---

16:45 น. – Markthal (Markthal Rotterdam)

Markthal คือตลาดโดมขนาดยักษ์กลางเมืองที่ไม่เหมือนใครในโลก โดมโค้งสูง 40 เมตร ด้านในเป็นภาพจิตรกรรม "Horn of Plenty" ขนาดใหญ่บนเพดาน ที่รวมผลไม้ ผัก ดอกไม้ และแมลงไว้ในความหมาย "ชีวิตเต็มไปด้วยของขวัญ"

บรรยากาศภายในอบอวลด้วยกลิ่นหอมจากชีส ดอกไม้แห้ง กาแฟคั่วสด และอาหารทะเล

> “เฮ้ย ข้างบนเหมือนมีกล้วยบิน!”
“เขาเรียกจิตรกรรมแนว surrealism …ไม่ใช่กล้วยบิน”



ของที่น่าซื้อ:

ชีส Gouda รุ่น matured

Stroopwafel อบสด

เบียร์รสผลไม้จากท้องถิ่น

น้ำหอมกลิ่นขนมปัง (มีจริง!)



---

18:00 น. – เช็คอิน: Mainport Hotel Rotterdam (5 ดาว วิวแม่น้ำ Maas)

โรงแรมหรู ที่อยู่ริมแม่น้ำ Maas ห้องพักของภัทรและดินสอเป็นห้องมุมกระจก เปิดรับวิวท่าเรือเก่า หอคอย Euromast และแสงพระอาทิตย์ตกสีทองฉาบลงบนแม่น้ำ

ในห้องมีอ่างจากุซซี่มองเห็นวิวเมือง
มีบับเบิลบาธ กลิ่นลาเวนเดอร์
ไวน์ขาวและผลไม้จัดไว้ครบถ้วน

Welcome set:

วาฟเฟิลเนยอบใหม่

จานชีส & ไวน์ Pinot Grigio

โน้ตเขียนด้วยลายมือจาก GM โรงแรมว่า

> “For the lovely couple — may your night be sweet”




ภัทรแทบจะกอดหมอนตายไปตรงนั้น

> “คืนนี้แน่นอน”




---

19:30 น. – ดินเนอร์ที่ FG Restaurant (Michelin Star)

ร้านอาหารสุดหรูริมแม่น้ำ ภายในตกแต่งด้วยโทนไม้สีอ่อน เงาสะท้อนจากกระจกทำให้ห้องดูกว้างเหมือนท่าเรือขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ

Tasting Menu คืนนี้:

1. กุ้งทะเลเหนือหมักสมุนไพรและวานิลลา


2. ฟัวกราส์กับซอสเบอร์รี่เข้ม


3. เนื้อวัวแองกัสย่างถ่านเสิร์ฟกับมูสเห็ดทรัฟเฟิล


4. ดาร์กช็อกโกแลตเบอร์กันดีมูส


5. จิบไวน์ Ice Wine กับเนยสดเกลือทะเล



ภัทรเทไวน์ให้ดินสอ แล้วพูดเสียงเบา

> “คืนนี้...ต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอีกแล้วนะ”
“กูแค่กินข้าวเอง…”




---

21:00 น. – กลับโรงแรม

ดินสอเดินนำเข้าห้อง
ขณะนั้นหนุ่ม ๆ คนอื่น ๆ ที่ไปเดินเล่นริมท่าเรือก่อนกลับ แอบเห็นภัทรแวะมินิมาร์ทซื้ออะไรบางอย่าง

> “ถุงยาง…แน่นอน”
“เจลด้วย…ครบเครื่องแล้ววันนี้”
“ใครก็หยุดมันไม่ได้แล้ว!”




---

ห้องพักวิวแม่น้ำยามค่ำ

ภัทรเปิดไฟสลัว ๆ ใต้หัวเตียง
เปิดเพลง Jazz เบา ๆ
จากนั้นก็...

ถอดเสื้อ

ผ้าเช็ดตัวพันแค่เอว

ฉีดน้ำหอมตรงซอกคอ

ล้วงของออกจากกระเป๋าเสื้อโค้ตมาวางไว้ริมเตียง


ดินสอกำลังอาบน้ำ
เสียงสายน้ำรินไหลออกมาเหมือนซาวด์แทร็กของค่ำคืนที่ควรเป็น “คืนแห่งความสมหวัง”

ภัทรยิ้ม… พร้อมมาก…





แต่…

ดินสอเดินออกมาพร้อมคำเดียวว่า

> “เหนื่อย…ขอนอนเลยนะ กูเพลียมากวันนี้”



แล้วล้มตัวลงนอนแบบไม่สนอะไรทั้งสิ้น



ภัทรหันมองของข้างเตียง
ถอนหายใจ...

แล้วบ่นกับตัวเองในกระจก

> “เฮ้อ...500 ปี กูจะต้องสู้ต่อไป...”




---

จบบทที่ 18
ภัทร : 0
พรหมจรรย์ดินสอ : ยังอยู่…


---

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 18
«ตอบ #22 เมื่อ06-04-2025 16:21:38 »

ตอนพิเศษ 1 — บทสนทนายามค่ำ ของคนที่ยังไม่หลับ

สถานที่: ล็อบบี้บาร์ของโรงแรม Warwick Brussels – Grand Place
เวลา: 22:47 น.
ผู้ร่วมวงสนทนา: พลอย, พีท, โอ๊ต, พี่แป๋ว, คุณเอิร์ธ, เจน, โจ, พี่แม็กซ์

เสียงเปียโนเบา ๆ ลอยมาจากลำโพงบาร์ด้านใน
บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นไวน์ เบียร์เบลเยียม และขนมอบที่เพิ่งออกจากเตา

พวกเขามากันแบบไม่ได้นัดหมาย
แต่สุดท้ายก็รวมตัวกันที่โซฟาใหญ่หน้าบาร์เหมือนเป็นธรรมเนียมของคืนนี้

> “ฉันบอกเลยนะ… สองคนนั้นน่ะ คืนนี้ต้องมีซัมติงแน่ ๆ”
เสียง พลอย เริ่มก่อนคนแรก ขณะกำลังคนไวน์ในแก้ว



> “อ้าว! เค้าแค่นอนห้องเดียวกัน เตียงคิงส์ไซด์เท่านั้น”
โอ๊ต แย้ง พร้อมยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบเล็ก ๆ
“หรือว่าเค้า…เคยแล้ว?”



> “ดินสอยังซิง”
พีท พูดขึ้นแบบทันทีทันใด



ทุกคนหันขวับมองเขา
พีททำหน้าเลิ่กลั่กก่อนจะยกมือขึ้นตั้งรับ

> “ก็ภัทรบอกผมเองตอนคุยกันในห้องฟิตเนสเมื่อวาน ว่าดินสอยังไม่เคย…เขาไม่เคยฝืนเลยซักครั้ง”



บรรยากาศเงียบลงเล็กน้อย เหมือนมีอะไรบางอย่างนุ่มนวลเคลือบอยู่ในคำพูดของภัทรผ่านเสียงของพีท

พี่แป๋ม ยิ้มบาง ๆ

> “ภัทรมันดูเป็นผู้ชายห่าม ๆ นะ แต่เวลาอยู่กับดินสอ มันเหมือนหมาบ้านที่นอนหนุนตักแมวเลยอะ”



> “เมื่อเช้าฉันยังแอบเห็นมันถอดหมวกให้ดินสอเอามาบังแดดตอนขึ้นไปที่ Sacré-Cœur อยู่เลย”
พี่เมย์ เสริม ขณะกำลังตักไอศกรีมรสวานิลลาที่สั่งมากินคู่แชมเปญ



> “เอาจริง ๆ นะ ผมไม่คิดว่าคู่นี้จะเหมือนคนจะเลิกกันเลย”
เจย์ ที่นั่งเงียบมาตลอดพูดขึ้น
“แต่กลับกัน…มันเหมือนคนที่กลัวจะเสียกันไปมากกว่า”



เงียบกันไปแป๊บหนึ่ง
เสียงเพลงเปียโนยังคงเล่นคลอ
บรรยากาศในล็อบบี้บาร์ดูอุ่นขึ้นทั้งที่แอร์เย็นเฉียบ

คุณเอิร์ธ ยกแก้วไวน์แล้วพูดอย่างมั่นใจ

> “ถ้าเราเป็นทีมซัพพอร์ตภัทร…ฉันว่าเราต้องช่วยมันเฮได้ก่อนเครื่องบินลงที่สุวรรณภูมิ”



เสียงหัวเราะของทุกคนดังขึ้นพร้อมกัน

โอ๊ต : “แผนการณ์สนับสนุนความรักแห่งยุโรปสินะครับ”
พลอย : “หรือเราเรียกตัวเองว่า Operation Bedside Victory ดี”

พีท : “แล้วถ้าไม่สำเร็จล่ะครับ?”

เงียบไปครู่หนึ่ง
ก่อนที่ พี่แป๋ม จะพูดด้วยเสียงที่อ่อนโยนที่สุดในวง

> “ก็ช่วยให้ทั้งคู่…ได้เข้าใจกันจริง ๆ ก่อนกลับไทย ถึงจะไม่ได้นอนทับกัน แต่ก็ขอให้นอนใจตรงกันก่อนละกันเนอะ”




---

00:04 น.

เสียงบาร์ปิดไฟบางส่วน
คณะสนทนาเริ่มทยอยแยกย้าย

> “คืนนี้พรุ่งนี้ยังอีกยาว…แต่ความรักไม่เคยรอใครหรอกเนอะ”
เจย์ พูดก่อนหันหลังขึ้นลิฟต์




---

คืนนี้ในบาร์ไม่มีพระเอกกับนายเอก
แต่มีแฟนคลับ #ทีมพ่อกล้าม กับ #ทีมแมวขี้งอน
ที่เฝ้ารอดูว่า...พรุ่งนี้ รักจะก้าวหน้าไปอีกกี่เซนติเมตร



จบบทพิเศษ 1

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เยี่ยมแวะวิมาน ตอนที่ 18
«ตอบ #23 เมื่อ06-04-2025 16:40:02 »

ตอนพิเศษ 1 — ค่ำคืนของคณะทัวร์ (ไม่มีภัทรและดินสอในฉาก)

ชื่อ: “บทสนทนายามค่ำ ของคนที่ยังไม่หลับ”

สถานที่: ล็อบบี้บาร์ของโรงแรมในบรัสเซลส์

ตัวละครหลัก: พีท, โอ๊ต, พลอย, พี่แป๋ว, พี่แม๊ค, คุณเอิร์ธ, เจน

> หลังดินสอกับภัทรกลับขึ้นห้อง
คนอื่น ๆ รวมตัวนั่งจิบไวน์ที่ล็อบบี้บาร์…



พี่แป๋ว : “ฉันว่าเด็กสองคนนั้นต้องมีอะไรกันแน่ ๆ เมื่อคืนก่อน”
พลอย : “ภัทรกล้ามแน่นจะตาย…ใครจะอดใจไหว”
พีท : “เอ้า แล้วไปเคาะห้องเมื่อคืนไง เจอมั้ย?”
โอ๊ต : “ภัทรเปิดประตูมาทั้งตัวเปียกผ้าขนหนูผืนเดียว กล้ามเป็นลอน…ผมนี่กดหัวตัวเองเลยครับ”

แล้วทุกคนก็หลุดหัวเราะ

พี่แม็ค : “แต่ดินสอไม่ธรรมดานะ ผมว่าเค้ายังไม่ยอมง่าย ๆ”

บทสนทนาในคืนนี้ ยังพูดถึง “ความรักที่เหมือนจะไปไม่รอด แต่ก็ยังไม่อยากหยุดเดิน”
และทุกคนพร้อมใจว่า

> “ถ้าเราเป็นทีมสนับสนุนภัทร ต้องช่วยมันให้พิชิตใจน้องให้ได้ก่อนกลับไทย!”




---

ตอนพิเศษ 2 — มุมมองของไกด์ประจำทริป

ชื่อ: “ผู้ชายที่ชื่อภัทร กับเด็กที่ชื่อดินสอ”

เขาเป็นไกด์มากว่า 10 ปี
เคยเจอคนรักกันกลางทริป
เลิกกันกลางทริป
มีคนแอบคบกันในทริป
แต่ไม่เคยเจอ “คู่นี้”

> “คนตัวใหญ่...มักเดินตามคนตัวเล็ก”
“คนตัวเล็ก...ชอบหยุดถ่ายรูปเงียบ ๆ”
“คนตัวใหญ่...จะหลบแดดให้เขา”
“คนตัวเล็ก...มักแกล้งเฉย แต่หูจะแดงตอนโดนมอง”



ไกด์เก็บรายละเอียดไว้เงียบ ๆ
และตอนค่ำ
เขาเขียนลงในสมุดบันทึกชื่อว่า

> “บันทึกของคนที่ไม่อยากให้ใครเลิกกันในทริป”




---

ตอนพิเศษ 3 — ดินสอในวันที่ภัทรไม่ได้อยู่ด้วย

ชื่อ: “วันที่ไม่มีเงาใครเดินข้าง”

วันหนึ่ง...ระหว่างช้อปปิ้งที่ Le Marais ดินสอหลุดจากกลุ่มสักพัก

ร้านกาแฟเก่า ๆ ใกล้ถนน Rue Vieille-du-Temple
แสงแดดลอดผ่านม่านไม้ไผ่
เสียงเพลง Edith Piaf คลอเบา ๆ

ดินสอนั่งลง...
แล้วเขียนบางอย่างลงบน Postcard ใบหนึ่งที่ซื้อจากร้านหนังสือเก่า

> “ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีมึง...กูจะยังยิ้มให้รูปเก่า ๆ เหมือนวันนี้หรือเปล่าวะ”



ดินสอไม่เคยพูดว่ารัก
แต่เขาเขียนเก็บไว้เสมอ
ในที่ที่ไม่มีใครเห็น


---

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เสริมตอนพิเศษ 3 — วันที่ไม่มีเงาใครเดินข้าง

ชื่อรอง: “คนข้าง ๆ ไม่ได้อยู่ แต่เงายังอยู่ในใจ”
สถานที่: Le Marais, ปารีส
เวลา: บ่ายวันหนึ่งในช่วงท้ายของทริป


---

คณะทัวร์แยกกันเดินเล่นตามอัธยาศัยที่ย่าน Le Marais
ร้านหนังสือมือสอง ร้านเสื้อผ้า local designer คาเฟ่คราฟต์เล็ก ๆ สลับกับเสียงกีตาร์ของนักดนตรีข้างถนน
บ่ายนี้อากาศอบอุ่น ลมเบา ดินสอเดินหลุดกลุ่มออกมานิดหน่อยอย่างไม่รู้ตัว

เขาไม่ชอบเสียงคนเยอะ ไม่ชอบคุยตลอดเวลา
บางครั้ง...เขาชอบเงียบ และให้ขาค่อย ๆ พาใจเดินไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ


---

“ร้านหนังสือมือสอง” บนถนน Rue Vieille-du-Temple
ร้านเล็ก ๆ ที่มีโปสการ์ดติดผนังเก่า สีจาง
กลิ่นกระดาษ…กลิ่นน้ำหมึก…กลิ่นความทรงจำ

ดินสอหยิบโปสการ์ดใบหนึ่งขึ้นมา
ภาพนั้นคือ ภาพสะพาน Pont des Arts ยามค่ำ ที่เต็มไปด้วยกุญแจล็อกรักเก่า ๆ
เขายืนนิ่งอยู่หน้าโปสการ์ดนานมาก

ไม่ใช่เพราะเขารำลึกอะไรบางอย่าง
แต่เพราะ…เขาไม่รู้ว่าควรเขียนอะไรลงไป

> “เขายังจะอยู่กับกูไหมวะ…หลังจากทริปนี้?”



เงาของตึกริมถนนทอดยาวเข้ามาในร้าน
เงาของฝ่ามือที่เขาคุ้นเคย…เงาของคนตัวสูงที่มักชอบเดินเยื้องเขานิด ๆ
วันนี้ไม่มี

เขาหยิบปากกา
แล้วเขียนข้อความสั้น ๆ บนโปสการ์ดใบนั้น


---

> “ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีมึง...กูจะยังยิ้มให้รูปเก่า ๆ เหมือนวันนี้หรือเปล่าวะ”
– ดินสอ




---

เขาไม่ส่งโปสการ์ด
ไม่แม้แต่ให้คนตัวสูงได้อ่าน
เขาเก็บมันไว้ในกระเป๋ากล้องของตัวเอง
ใต้เลนส์ฟิกซ์ 35mm ที่เขาชอบใช้ถ่ายหน้าภัทรเวลาหลับ


---

ก่อนออกจากร้าน
เจ้าของร้านแก่ ๆ ชาวปารีสทักเขาเป็นภาษาฝรั่งเศส
“Tu as l’air triste, mais doux.”
แปลว่า...

> “คุณดูเศร้านะ แต่ก็ดูอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน”



ดินสอไม่เข้าใจ
แต่เขายิ้ม


---

1 ชั่วโมงต่อมา

เขาเดินกลับมาเจอกลุ่มทัวร์หน้า Carette Café
แสงยามบ่ายกระทบหอไอเฟลจากฝั่ง Place du Trocadéro

ภัทรเดินมาใกล้ ๆ ยื่นแซนด์วิชให้

> “กินมั้ยมึง?”



ดินสอมองหน้าเขา

> “ไม่หิว...แต่กินก็ได้”



เขากัดคำเล็ก ๆ แล้วส่งคืน
ขนมปังยังกรอบ
แต่อะไรบางอย่างในใจ…เริ่มไม่แข็งเท่าเมื่อเช้า


---

คืนนี้ดินสอจะเก็บโปสการ์ดใบนั้นไว้
ใต้หมอน หรือในกระเป๋าเสื้อโค้ทของภัทร
ไม่รู้เหมือนกัน

แต่เขารู้ว่า…

> ถ้าวันหนึ่งไม่มีมึงอยู่ข้างกูจริง ๆ
อย่างน้อยกูจะยังยิ้มให้รูปนี้ได้
เพราะกู...เคยมีมึงในมันแล้ว




---

จบบทพิเศษ 3
— Le Marais, Paris —

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 19 – หึงจนกล้ามเกร็ง

ยามเช้าของรอตเตอร์ดัม
เสียงน้ำไหลเบา ๆ ของแม่น้ำมาส (Maas River) สะท้อนประกายแดดแรกของเดือนเมษายน
ม่านโปร่งของห้องพัก Mainport Hotel Rotterdam สีครีมไล่เฉดทอง เปิดแยกออก เผยให้เห็นวิวแม่น้ำเบื้องล่างที่ทอดตัวยาวไปถึงท่าเรือไกลลิบ

ดินสอขยับตัวก่อน ลืมตาขึ้นช้า ๆ ในอ้อมแขนของภัทร
ร่างสูงที่ยังคงนอนนิ่ง กล้ามแน่นเต็มหน้าท้องยังสม่ำเสมอในลมหายใจ
เมื่อคืน...ภัทรพยายามมากกว่าทุกคืน แต่สุดท้ายก็ยังไม่สำเร็จ
และสิ่งที่ภัทรไม่รู้คือ — ดินสอไม่ได้หลับทันทีหรอก...

> "มึงแม่ง...อาบน้ำสะอาดเป็นพิเศษด้วย"
เขาเคยได้กลิ่นแชมพูกลิ่นนี้จากห้องน้ำโรงแรม...แต่ไม่เคยได้กลิ่นจากตัวภัทร
แล้วเมื่อคืน ภัทรก็ฉีดมันทั่วตัวไม่มียั้ง




---

หลังจัดการตัวเองเสร็จ คณะทัวร์ทยอยลงมาทานอาหารเช้าที่ชั้นล็อบบี้
อาหารเช้าที่ Mainport Hotel โดดเด่นด้วยความสดใหม่ของวัตถุดิบจากเนเธอร์แลนด์ตอนใต้
เมนูเช้านี้มีทั้งครัวซองต์อบใหม่จาก Rotterdam Central Bakery
ไข่ลวกในถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว – เสิร์ฟแบบ “6-minute boil”
แซลมอนรมควันจากท่าเรือ Hook of Holland
น้ำผลไม้คั้นสดในขวดแก้วปิดจุกไม้ก๊อก

และแน่นอน...พระเอกของโต๊ะเช้าวันนี้คือ "ไข่ลวก 6 ฟอง"


---

"ภัทร ๆ เอาไข่ไหม?"
พลอยพูดยิ้ม ๆ แล้ววางจานไข่ 6 ฟองลงตรงหน้า

"เยอะไปป่ะพี่?" ภัทรหัวเราะ

"เมื่อคืนใช้พลังงานเยอะไม่ใช่เหรอ?" พีทกระซิบแบบไม่เบา

โต๊ะทัวร์ทั้งโต๊ะหัวเราะพรึ่บ
ดินสอก้มหน้าทันที หูแดงถึงติ่งหู
ภัทรยักคิ้ว แล้วยกช้อนตักไข่ลวกกินทีเดียวรวดทั้ง 6 ฟอง
"มาแล้วครับพี่! ฟื้นพลังเต็มที่"


---

รถโค้ชนำคณะเดินทางสู่ อัมสเตอร์ดัม เมืองแห่งคลอง ศิลปะ และอิสระ
ระยะทางประมาณ 80 กม. ใช้เวลาราว 1.5 ชม.
ระหว่างทาง ไกด์หญิง “คุณเอม” หยิบไมค์ขึ้นมาเล่าเรื่องแกล้ง ๆ แซวเบา ๆ

> “ทุกคนรู้ไหมคะว่าอัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่มีจักรยานมากกว่าคน?”
“แต่ถ้าให้เดา...กล้ามพี่ภัทรเมื่อคืนแข็งกว่าล้อจักรยานแน่นอนค่ะ!”



คณะทัวร์หัวเราะอีกรอบ
ภัทรหัวเราะเงียบ ๆ ดินสอเขินจนต้องพิงกระจกหนีสายตา


---

10:00 น. – พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ (Van Gogh Museum)

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือเป็นสถานที่รวมผลงานมากที่สุดของ Vincent van Gogh ศิลปินชาวดัตช์ผู้มีชีวิตอันบอบช้ำและเปราะบาง
บรรยากาศภายในเงียบสงบ แสงไฟอุ่น และการจัดเรียงผลงานตามลำดับชีวิตของศิลปิน

ดินสอเดินชมเงียบ ๆ เหมือนทุกครั้ง
ข้าง ๆ กัน ภัทรเดินแบบไม่ห่าง ไม่ใกล้

"The Bedroom" ภาพวาดห้องนอนเรียบง่ายของแวนโก๊ะในเมือง Arles
เป็นภาพที่ดินสอยืนดูนานกว่าทุกภาพ

“...เรียบแต่สงบดีเนอะ” ดินสอพูดกับตัวเองเบา ๆ

> แต่ภัทรได้ยิน




---

11:40 น. – เกิดเหตุ

นักท่องเที่ยวคนหนึ่งสะดุดเชือกกั้นขณะถ่าย vlog ด้วยมือถือ
ดินสอซึ่งอยู่ใกล้พอดี รีบคว้าแขนเขาไว้
คนที่เขาช่วยไว้คือ...YouTuber หนุ่มหล่อชาวเกาหลี ผิวขาว ผมยุ่ง ใส่หมวกแก๊ป กล้อง GoPro แขวนคอ

เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดี มีเสน่ห์ และที่สำคัญ...คุยกับดินสอเก่งมาก
ดินสอหัวเราะเบา ๆ กับมุกของอีกฝ่าย ขณะคุยกันเรื่องเลนส์กล้อง
ภัทรที่ยืนอยู่ห่างออกไป มองด้วยสายตานิ่งเฉียบ

ดินสอหันมาหยิบแผ่นพับให้อีกฝ่าย
ภัทรเดินเข้ามาช้า ๆ แล้วเอ่ย

> “เลนส์กล้องเขาดีใช่ไหมมึง...” “หรือว่าคนมันดี?”



ดินสอเงยหน้าขึ้นสบตา
“อะไรของมึง?”

“ก็เห็นคุยกันขำขนาดนั้น…”

“กูไม่ได้มีอะไรกับเขา มึงหึงเหรอ?”

“เปล่า” ภัทรตอบทันที แต่น้ำเสียงบ่งบอกว่าโคตรหึง


---

จากพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ ทั้งคู่เดินต่อมายัง Rijksmuseum
อาคารสุดยิ่งใหญ่ สถาปัตยกรรมแบบ Dutch Renaissance
มีผลงานชิ้นเอกอย่าง “The Night Watch” ของ Rembrandt
และภาพวาดที่บันทึกชีวิตชาวดัตช์ตั้งแต่ยุคทอง

ดินสอยืนดูภาพ “The Milkmaid” ที่หญิงสาวรินนมลงชามด้วยความเงียบสงบ
ข้างหลังคือภัทรที่ยังยืนนิ่ง ไม่พูดกับใคร
ทุกคนในคณะเริ่มสังเกตว่าคู่นี้…เริ่มงอนกันอีกแล้ว


---

> “เมื่อคืนกูไม่ได้แกล้งหลับนะ”
ภัทรคิดในใจ ขณะมองแผ่นหลังของดินสอ
“แต่มึงแกล้งทำเหมือนไม่รู้ว่ากูรู้...มากกว่า”




---

12:30 น. คณะเริ่มเดินออกจาก Rijksmuseum
เฮียพีทแอบกระซิบกับคุณเอม
“พี่เอมครับ วันนี้ภัทรไม่ได้ยิ้มตั้งแต่ไอ้หนุ่มเกาหลีเข้าฉากเลยครับ”

คุณเอมหัวเราะเบา ๆ
“เอาน่า เดี๋ยวบ่ายนี้ เดี๋ยวก็หาย...พวกนี้ขี้งอนทั้งคู่แหละ”


---

จบบทที่ 19

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 20: ดอกไม้กลางลำคลอง

แสงแดดสีทองอ่อนของบ่ายคล้อยเดือนเมษายน สาดผ่านกระจกเรือนกระจกขนาดใหญ่ของร้านอาหาร De Kas ในอัมสเตอร์ดัม สะท้อนกับสีเขียวอ่อนของผักสลัดอินทรีย์ที่เพิ่งเด็ดจากแปลงหลังร้าน ทุกอย่างราวกับฉากในสารคดีเกษตรแนววิจิตรศิลป์—แต่บนโต๊ะอาหารของคณะทัวร์ 14 ชีวิต กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึมบางเบา ที่เริ่มจะจับกลิ่นทะเลาะได้ตั้งแต่น้ำเปล่ายังไม่หมดแก้วแรก

ภัทรไม่ยอมมองหน้าดินสอ ดินสอเองก็ทำท่าราวกับเมนูซุปครีมเห็ดตรงหน้าเป็นสิ่งที่ต้องจ้องเขม็งไปตลอดชีวิต

"มึงจะไม่อธิบายอะไรหน่อยเหรอ?"
เสียงภัทรกดต่ำ ไม่ดังมากแต่ชัดเจนพอให้คนข้าง ๆ เงี่ยหูฟัง

"อธิบายอะไรวะ" ดินสอไม่เงยหน้า

"เมื่อเช้า กับไอ้ยูทูบเบอร์นั่น"

คำว่า ยูทูบเบอร์ ถูกออกเสียงแบบติดคมมีด ผสมความเถื่อนเล็ก ๆ จนกลุ่มพี่ ๆ อย่างพี่แม๊ก พี่เอ พี่กี้ ถึงกับเหลือบตามามอง

“เค้ามาขอให้กูช่วยเปิดกล้องเฉย ๆ กูไม่ได้ยิ้มให้มันด้วยซ้ำ กูแค่สุภาพ” ดินสอบ่นเสียงเบา

“แต่คุยตั้งนาน มึงก็หัวเราะด้วยอ่ะ” ภัทรย้อน พยายามทำเสียงให้ดูไม่เด็ก แต่แอบเง้างอนจนน้องแป้งเบือนหน้าหลบไปแอบขำกับพลอย

พี่โอ๊ตกระซิบ "เฮ้ย ขี้หึงว่ะพ่อนักกล้าม"

"เฮียเขาหึงของเขาทุกวัน" พลอยกระซิบตอบ พยายามกลั้นหัวเราะ

เมนูจานที่สองมาเสิร์ฟ—พาสต้าเฟตตูชินีเห็ดทรัฟเฟิลสด พร้อมไข่ออนเซ็นจากฟาร์มในสวนเดียวกัน กลิ่นหอมครีมและทรัฟเฟิลลอยอบอวล แต่ภัทรกับดินสอก็ยังไม่แตะ

“มึงคิดเยอะไปเองปะวะ ภัทร กูไม่ได้ชอบมัน” ดินสอเงยหน้าขึ้นมอง ภัทรเห็นชัดว่าตาเขาขุ่นแต่มีประกายวูบหนึ่งเหมือนเจือเสียใจ

ภัทรถอนหายใจเฮือก ลุกออกจากโต๊ะ เดินไปยืนรับลมที่ริมแปลงผักหน้าร้าน


---

14:30 น. – ล่องเรือในคลองอัมสเตอร์ดัม

เรือไม้โบราณดีไซน์คลาสสิกล่องเอื่อย ๆ ไปตามลำคลองที่ตัดผ่านใจกลางเมืองอัมสเตอร์ดัม เสียงน้ำกระทบท้องเรือแผ่วเบา กลิ่นดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิจากระเบียงบ้านริมคลองลอยมากับสายลม กลบกลิ่นความเงียบระหว่างคู่รักที่ยังงอนไม่หาย

ภัทรนั่งคนเดียวตรงท้ายเรือ ดินสออยู่ฝั่งหัวเรือ ไกลกันพอสมควร แต่สายตายังแอบมองผ่านแว่นดำอยู่ตลอด

"ขอโทษนะครับ ขออนุญาตถ่ายรูปคู่นิดนึง" พี่แม๊กบอกคนขับเรือ แล้วเดินมานั่งกลางระหว่างภัทรกับดินสอ "ง้อน้องมันได้ยังเนี่ย"

"ยังครับพี่" ภัทรพูดเสียงเบา

"เร็ว ๆ เลยนะ ใกล้ถึง Pulitzer แล้ว"


---

16:00 น. – ย่าน Jordaan
ย่านศิลปินที่เต็มไปด้วยร้านกาแฟเล็ก ๆ ป้ายไม้แฮนด์เมด และดอกทิวลิปหน้าร้านที่จัดราวกับภาพในโปสการ์ด ร้านหนึ่งชื่อ “Blossom & Bean” ดินสอหยุดดูสมุดบันทึกปกหนังที่สลักลายแวนโก๊ะ ภัทรเดินตามมายืนข้างหลัง

“เมื่อกี้กูขอโทษนะ…”

"..."

"คือ กูไม่ชอบเวลามึงหัวเราะให้คนอื่นอะ กูไม่ชอบเวลาใครชอบมึง แล้วมึงก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามึงน่ารัก"

ดินสอยิ้มมุมปาก เลิกคิ้ว “มึงหึงเหรอ?”

“เปล่า”

“มึงหึง”

“เปล่าเว้ย”

“หึงแน่ ๆ” ดินสอหัวเราะเองคนเดียว

“เออ…หึงก็ได้เว้ย”


---

18:00 น. – Pulitzer Amsterdam
โรงแรมระดับตำนานที่รวมเอาบ้านสไตล์ดัตช์เก่ากว่า 25 หลัง มาดัดแปลงเป็นห้องพักหรูริมคลอง แต่ละห้องไม่เหมือนกันสักห้อง ห้องของภัทรกับดินสอในคืนนี้ เป็นห้องเพดานสูง มีหน้าต่างโค้งขนาดใหญ่ที่มองออกไปเห็นคลอง Keizersgracht

"ห้องแม่งโรแมนติกเกินปะวะ..." ดินสอพึมพำ

“เหมาะกับคืนคืนหนึ่งที่อาจจะ...เป็นความทรงจำที่มึงไม่ลืมไง” ภัทรตอบเสียงทุ้ม ยืนอยู่ใกล้หน้าต่าง

ดินสอเหลือบมอง “มึงอย่ามาหยอด กูหายงอนก็จริง แต่กูยังไม่พร้อม”

ภัทรยิ้ม ไม่ได้แตะ ไม่ได้กอด ไม่ได้จูบ เขาเดินมานั่งบนเตียงข้าง ๆ แล้วเอานิ้วแตะหลังมือของดินสอเบา ๆ

“แค่อยู่ด้วยกันแบบนี้ กูก็ไม่ขออะไรมากแล้ว” ภัทรพูดช้า ๆ น้ำเสียงนุ่มกว่าทุกที


---

19:30 น. – ดินเนอร์ที่ The Duchess

ร้านอาหารหรูที่ตั้งอยู่ในอดีตธนาคารกลางของอัมสเตอร์ดัม ตัวร้านตกแต่งด้วยศิลปะนีโอคลาสสิก ผนังหินอ่อน แชนเดอเลียร์แก้วโบราณ และเปียโนขาวล้อมกลางห้อง

อาหารค่ำเสิร์ฟมาเป็นคอร์สตามสไตล์ European fine dining
จานเด่นคือ “เนื้อกวางตุ๋นไวน์แดง” เสิร์ฟคู่ซอสบลูเบอร์รี่และผักรากดัตช์เคลือบน้ำผึ้ง
อีกจานคือ “ปลากะพงอบสมุนไพร” กลิ่นหอมฟุ้งจนดินสอเผลอยิ้มออกมา

“ไวน์มื้อนี้จากไร่องุ่นดัตช์ใน Limburg ค่ะ หอมละมุนมากนะคะ”
พนักงานสาวยิ้มหวาน แต่ภัทรจับมือดินสอใต้โต๊ะไว้แล้วพูดเบา ๆ
“มึงยิ้มแล้วน่ารักดีว่ะ”


---

21:00 น. – เดินกลับโรงแรม

สองข้างทางเงียบสงบ ไฟประดับริมคลองสะท้อนในผิวน้ำ ดินสอเดินอยู่ข้างภัทร แล้วค่อย ๆ เอียงไหล่มาพิงเขานิดหนึ่ง

“คืนนี้จะหลับก่อนอีกไหม”

“ไม่รู้สิ” ดินสอตอบเบา ๆ

“แต่กูจะนอนกอดมึงเหมือนเดิม”

“กูไม่ได้ว่าอะไรซักคำ”


---

คืนนี้ภัทรนอนกอดดินสอแน่น เหมือนกลัวว่าถ้าเขาปล่อย มึงจะหายไปอีก

To be continued...


---

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 21 – ปราการ (ไม่) แตก… กลางดึกแฟรงก์เฟิร์ต

ค่ำคืนใน Pulitzer Amsterdam ผ่านไปอย่างเงียบงัน — สำหรับคนอื่นในกรุ๊ปทัวร์

แต่สำหรับภัทร มันคือ “คืนแห่งการปฏิบัติภารกิจ”… ที่เหมือนกำลังลอบเข้าฐานทัพลับ แต่สุดท้ายก็โดนรปภ.ปิดประตูใส่หน้า

…อีกครั้ง


---

00:48 น. – โรงแรม Pulitzer Amsterdam

Pulitzer คือโรงแรมหรูระดับตำนานริมคลอง Keizersgracht ที่เชื่อมต่อคฤหาสน์เก่าถึง 25 หลังเข้าด้วยกัน ตกแต่งแบบ Dutch classic ร่วมสมัย ผสมศิลปะกับกลิ่นอายความรักเก่า ๆ ของเมืองอัมสเตอร์ดัม

ห้องพักของภัทรกับดินสออยู่โซนเก่า วิวกว้างมองเห็นคลอง และเรือที่ยังจอดลอยอยู่ใต้แสงโคม

ภัทรนั่งพิงหัวเตียง นุ่งเพียงผ้าขนหนูตัวเดียว กล้ามแน่นแนบผ้าเช็ดตัว ขาท่อนโตเหยียดพาดอยู่บนเตียง ร่างกายมีกลิ่นน้ำหอมจาก Acqua di Parma ที่ฉีดซ้ำสองรอบ และบ้วนปากจนฟลูออไรด์จะกัดลิ้น

เขามองร่างขาว ๆ ของคนที่เพิ่งล้มตัวลงข้าง ๆ — ดินสอที่อาบน้ำเสร็จในชุดนอนสีเทาอ่อน หน้าใสหมดจด แถมหลับเร็วเหมือนเด็ก

ภัทรมองซ้าย มองขวา... มองซ้ำอีกที
ขยับมือไปแตะเบา ๆ ที่เอวบางของคนข้างตัว...

ไม่มีการตอบสนอง
ไม่มีการขัดขืน

แต่…
มีเสียงกรนเบา ๆ แทรกออกมาพร้อมคำว่า
“มึงอย่าคิดล้วงนะ… กูยังตื่นอยู่”

เงียบ…
และแล้วเสียงหายใจเรียบ ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง

ภัทรนั่งตัวตรงทันที ก่อนจะค่อย ๆ ฟุบหน้าลงกับหมอน

“…แผนพิชิต 500 ชาติ ล่มอีกแล้ว” เขาพึมพำ


---

07:00 น. – เช้าวันใหม่

แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านบาง ทำให้เงาของกรอบหน้าต่างทาบบนเตียง ภัทรตื่นก่อน ลุกไปยืนที่หน้าต่าง เห็นคลองเงียบสงบ เรือบรรทุกดอกไม้กำลังล่องผ่านช้า ๆ ข้างล่าง

Pulitzer เป็นโรงแรมที่ใครมาอัมสเตอร์ดัมก็อยากพัก
เคยต้อนรับเซเลบดังทั้ง Audrey Hepburn, Brad Pitt และ Madonna
แต่ตอนนี้ คนที่ภัทรอยากต้อนรับสุด ๆ อยู่บนเตียงข้างหลังเขานี่แหละ — ยังไม่ยอมต้อนรับเลย


---

08:00 น. – รถโค้ชมุ่งหน้าสู่โคโลญจน์

“เมื่อคืนเป็นไงพี่ภัทร หอยนางรมโอเคไหม?”
พีททักขึ้นเสียงใส พร้อมยื่นไข่ลวก 3 ฟองให้
แม็กซ์เพิ่มให้อีก 3 “เอาไปเลยหกฟอง เผื่อเมื่อคืนหมดแรง”

ทั้งคันรถหัวเราะสนั่น
แต่ภัทรกลับตอบนิ่ง ๆ พร้อมแววตากรุ้มกริ่ม
“ไม่พอด้วยซ้ำ ไข่หกฟองก็ฟื้นไม่ทัน”

ดินสอหูแดงแจ๋

พลอยซบโอ๊ตแล้วกระซิบ
“ดินสอหน้าเหมือนไข่ต้มเลยวันนี้”
โอ๊ตพยักหน้า “แดงขนาดนี้คงน้ำเดือดแล้วแหละ”


---

ระหว่างเดินทาง – สู่โคโลญจน์ (Cologne)

ไกด์หนุ่ม “พี่โต” ยืนถือไมค์หน้ารถ
“ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่เส้นทางมุ่งหน้าโคโลญจน์นะครับ เป็นเมืองสำคัญทางตะวันตกของเยอรมนี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไรน์ มีประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่า 2,000 ปี และเป็นหนึ่งในเมืองที่โดนทิ้งระเบิดหนักสุดในสงครามโลกครั้งที่สอง”

“แต่ Cathedral ยังรอดนะครับ นี่ไงเกร็ดน่ารู้ของวันนี้ — ตอนพันธมิตรทิ้งระเบิด พวกนักบินจงใจไม่ทิ้งตรงโบสถ์ เพราะมันใหญ่จนใช้เป็นจุดสังเกตทางอากาศ”

“อีกอย่าง… Cologne เป็นที่มาของน้ำหอม Eau de Cologne ด้วยนะ”

ภัทรหันไปกระซิบดินสอ
“มึงได้กลิ่นกูยัง เมื่อคืนกูฉีดทั่วตัวเลย”

ดินสอพึมพำ
“…เมื่อคืนกูไม่ได้ดม กูหลับ”

“กูรู้ว่ามึงไม่หลับ มึงแกล้ง”
“เปล่า”
“แกล้ง”
“เปล่า”
เถียงกันอีกรอบ… แต่ครั้งนี้ ดินสอหัวเราะออกมาเอง


---

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 22
“เสียงหัวเราะบนทางด่วน… กับคนที่เรายังไม่เลิกรัก”

เสียงหัวเราะกรุ๊งกริ๊งของเจ๊พลอยดังขึ้นก่อนใครระหว่างที่รถโค้ชสีดำเงาวับเคลื่อนตัวออกจากอัมสเตอร์ดัม มุ่งหน้าสู่เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี ถนนหลวง A3 ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาภายใต้แสงแดดอ่อนปลายเดือนเมษายนรายล้อมด้วยทุ่งหญ้าและแปลงทิวลิปที่ยังหลงเหลืออยู่เป็นหย่อม ๆ ทำให้บรรยากาศบนรถอบอวลไปด้วยความผ่อนคลาย ปนเสียงกรนเบา ๆ ของพี่ดาผู้แพ้แอร์เย็นแบบคลาสสิก

“คนตัวเล็กอย่างอนบ่อย คนตัวใหญ่อย่าแกล้งแรงนะลูกเอ๊ย”
เสียงลุงก้องดังลั่นรถพร้อมเสียงหัวเราะครืน ๆ ของป้าอุ๊ที่นั่งข้างกัน ดินสอหน้าขาวจัดอยู่แล้วกลับยิ่งซีดจัดเข้าไปอีก ขณะที่ภัทรยิ้มมุมปาก กอดอกเอนพิงเบาะแบบคนที่มีชัยแต่เมื่อคืนก็พ่าย

“เมื่อวานแค่จะห่มผ้าให้ แต่โดนถีบตกเตียงเลยครับลุง”
ภัทรว่าพลางหันมามองคนข้าง ๆ ที่ตอนนี้เบะปาก ทำทีเป็นง่วงใส่ แล้วหลบตาออกไปนอกหน้าต่างเหมือนไม่รู้เรื่อง

“ไม่ต้องอ้าง! เมื่อคืนเสียงคราง—”
เจ๊พลอยกำลังจะเผลอพูดต่อ แต่ถูกพี่แม็กซ์เบรกด้วยการยื่นโดนัทยัดปากไว้ทัน ทำเอาทั้งรถหัวเราะลั่น บางคนยกโทรศัพท์ขึ้นมาแอบถ่ายคลิปไว้ตามธรรมเนียม

ช่วงที่ทุกคนกำลังสนุกสนานอยู่นั้น เสียงไมค์บนรถก็ดังขึ้นอย่างนุ่มนวล ก่อนเสียงทุ้มอบอุ่นจะดังตามมา

“สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อโตนะครับ เป็นไกด์ที่จะดูแลทริปพวกเราต่อจากวันนี้ไปจนจบทริป… ก่อนอื่นเลย ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
น้ำเสียงของพี่โตทำให้ทั้งรถเงียบลงทันที บางคนละสายตาจากโทรศัพท์ บางคนหยุดเคี้ยวขนมแล้วหันมองไปด้านหน้า

พี่โต อายุ 42 สูง 182 ซม. รูปร่างสมส่วน สวมเสื้อเชิ้ตสีกรมท่า พับแขนขึ้นถึงศอกเผยกล้ามแขนแน่น ๆ แบบไม่ได้ฟิตหุ่นแต่เกิดมาดี
เขาเป็นญาติห่าง ๆ ของภัทร เคยไปเยี่ยมบ้านภัทรเมื่อสิบกว่าปีก่อน และภัทรยังจำได้ว่าเด็กผู้ชายวัยสิบหกอย่างเขา ตอนนั้นเคยมองพี่โตเป็นเหมือน “พี่ชายฮีโร่” ในครอบครัวเลยก็ว่าได้

“ผมเป็นเจ้าของบริษัททัวร์นี้เองครับ แต่ที่ผ่านมาฝากทีมงานคนอื่นช่วยดูแลไว้ก่อน เพราะติดทริปแถบสแกนดิเนเวีย วันนี้เพิ่งบินจากโคเปนเฮเกนมาเจอกับทุกคนที่อัมสเตอร์ดัมเมื่อคืนครับ”

ทุกคนปรบมือแปะ ๆ ต้อนรับ
พี่โตโค้งให้ก่อนจะพูดต่อแบบกันเอง

“จริง ๆ ผมสนิทกับน้องภัทรอยู่บ้างครับ เป็นญาติกันห่าง ๆ ตั้งแต่รุ่นปู่ ภัทรเรียกผมว่าพี่ได้เลยนะ”

“พี่โต พูดงี้ดินสอจะหึงผมรึเปล่าเนี่ย”
ภัทรยักคิ้วใส่คนข้างตัว
ดินสอหันขวับ “มึงอย่าโยง” แล้วแอบเตะเข้าที่หน้าแข้ง ภัทรหัวเราะ

รถเคลื่อนตัวผ่านเขตป่าโปร่งที่เริ่มเปลี่ยนสีใบไม้จากเขียวเป็นทองอ่อน สลับกับกระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ และป้ายบอกระยะทางไปโคโลญจน์

พี่โตเปิดประวัติเมืองให้ฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“โคโลญจน์เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเยอรมนี เดิมเป็นเมืองของชาวโรมันชื่อ Colonia Claudia Ara Agrippinensium เป็นที่ตั้งของฐานทัพโรมัน แล้วต่อมากลายเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าสำคัญยุคกลาง…”
ทุกคนในรถตั้งใจฟังแบบคนรู้ว่ามีของรออยู่ข้างหน้า

ไม่นาน รถก็เลี้ยวเข้าถนนสายหลักที่เห็นยอดแหลมของ มหาวิหารโคโลญจน์ (Cologne Cathedral) ตระหง่านอยู่แต่ไกล

“ที่นี่คือหนึ่งในมหาวิหารสไตล์โกธิคที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปครับ ใช้เวลาสร้างกว่า 600 ปี มีโครงสร้างสูงถึง 157 เมตร สูงที่สุดในโลกเมื่อร้อยปีก่อน ติดอันดับ UNESCO World Heritage Site ด้วยนะครับ”
พี่โตว่า ก่อนพาทุกคนลงจากรถ

มหาวิหารยิ่งใหญ่และสง่างามกว่าทุกภาพถ่าย เส้นสายของยอดแหลมปาดฟ้าสีครามจนเหมือนจะเชื่อมสวรรค์กับโลกได้จริง ๆ ประตูบานไม้เก่าที่แกะสลักพระคัมภีร์ รายละเอียดของผนังที่เต็มไปด้วยลวดลายเหมือนเส้นผมของเทวดา ทุกอย่างทำให้ทุกคนเงียบไปโดยอัตโนมัติ

ภัทรเดินถ่ายรูปให้ดินสอหน้ามหาวิหาร
ดินสอไม่พูดอะไร ยิ้มบาง ๆ แต่ตากลับมองภัทรนานกว่าปกติ

“ใส่ฟิลเตอร์มั้ย”
“ไม่เอา ชอบของจริงมากกว่า”
“กูหมายถึงภาพ”
“กูก็หมายถึงของจริง…”

ภัทรนิ่งไปนิด ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าดินสออีกที
เหมือนรู้ว่า ดินสอเริ่มจะไม่อยากเลิกกันแล้วจริง ๆ



เวลาเที่ยงตรง — ทุกคนมุ่งหน้าสู่ร้านอาหารท้องถิ่นชื่อ Früh am Dom ซึ่งอยู่ใกล้มหาวิหารแค่เดินไม่ถึง 5 นาที

ร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านที่ขายเบียร์ท้องถิ่นชื่อ Kölsch ซึ่งเป็นเบียร์สีทองใสรสชาติละมุน ที่ขึ้นชื่อที่สุดของโคโลญจน์ คู่กับเมนูชื่อดัง Bratwurst mit Sauerkraut หรือ ไส้กรอกเยอรมันกับกะหล่ำปลีดอง
เสียงแก้วชนกันดังกรุ๊งกริ๊ง ท่ามกลางกลิ่นเบียร์และกลิ่นเนยที่ลอยฟุ้งทั่วร้าน

พี่โตสั่งเมนู “Eisbein” หรือขาหมูเยอรมันตุ๋นไวน์เบียร์ขาว กรอบนอกนุ่มใน
เจ๊พลอยขอลอง “Leberknödel” หรือ ลูกชิ้นตับเนื้อในซุป
ส่วนดินสอเลือกสั่งไส้กรอกสมุนไพรคู่มันบดเนยละลาย และเบียร์แก้วเล็กที่ดื่มไม่หมด เพราะถูกแย่งไปครึ่งแก้วโดยคนข้าง ๆ ที่อ้างว่า “ลองชิมเฉย ๆ”



หลังมื้อเที่ยง รถเคลื่อนตัวออกจากโคโลญจน์ มุ่งหน้าสู่ แฟรงก์เฟิร์ต
เมืองศูนย์กลางการเงินอันดับต้นของยุโรป ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมเก่าและใหม่ได้อย่างกลมกลืน

ก่อนเข้าโรงแรม ทุกคนมองออกไปเห็นตึกระฟ้าเรียงกันเป็นแนว ตัดกับแสงอาทิตย์ที่เอียงต่ำในยามเย็นพอดี
พี่โตหันมายิ้ม “ยินดีต้อนรับสู่มหานครแฟรงก์เฟิร์ตครับ”



To be continued in ตอนที่ 23

ออฟไลน์ Shibaguy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 23 — ข้ามสายลม...สู่เมืองเก่าริมไรน์

ช่วงบ่ายในเยอรมนี อากาศโปร่ง แสงแดดอุ่นจัดจ้าแต่ไม่ร้อน รถโค้ชสีดำเงาวับแล่นฉิวไปตามทางด่วนสาย A3 จากโคโลญจน์มุ่งหน้าแฟรงก์เฟิร์ต วิวสองข้างทางทอดยาวด้วยทุ่งหญ้าเขียวสดแซมกลุ่มบ้านเรือนสีครีมอมน้ำผึ้ง สไตล์ half-timber แบบเยอรมันดั้งเดิมตัดกับท้องฟ้าสีคราม

เสียงเพลงจากลำโพงบนรถคลอเบา ๆ เป็นดนตรีคลาสสิกแบบเบา ๆ พี่โต ไกด์อาวุโสประจำทริป อายุ 42 ปี สูง 182 เซนติเมตร รูปร่างสมส่วน ผิวแทนแบบคนตะลุยยุโรปมายาวนาน หัวเราะเบา ๆ ขณะกดไมค์บนรถ “ใครหิวก็อดทนหน่อยนะครับ เดี๋ยวเราเข้าโรงแรมแล้วไปกินกันที่ร้านบนตึกสูง วิวอลัง!”

ดินสอนั่งริมหน้าต่าง ใบหน้าหวานคล้ายเด็กน้อยอมขม เขาเงียบ ขมวดคิ้ว กอดอกมองวิวข้างทาง ไม่ยอมหันมาทางภัทรแม้แต่น้อย ส่วนภัทรนั่งข้างกัน เบะปาก สูดลมหายใจ “ก็แค่แซวนิดเดียวเองมึง... ขำ ๆ” น้ำเสียงเบาหวิว

เหตุการณ์ก่อนขึ้นรถคือจุดเริ่มต้น...

“เฮ้ย ไอ้ภัทร!” พี่แม็กซ์หัวเราะโบกมือเรียกหน้าร้านขายของที่ระลึก “ดูนี่ดิ มีชุดหนังเยอรมันแท้ ๆ ด้วย ใส่ได้เลย”

“เดี๋ยวกูซื้อน้ำก่อนนะ มึงดูไปก่อน” ภัทรหันขวับหันไปคว้าข้อมือดินสอ “มึงเอาอะไรไหม”

“ไม่เอา” ดินสอบอกเสียงเย็น ไม่แม้แต่จะสบตา ภัทรหน้าเหวอ ลูบท้ายทอยตัวเอง หันไปหยิบเจลหล่อลื่นยี่ห้อเยอรมันจากมุมลับหลังร้านขายยา แล้วหยิบถุงยางไซส์ XL มาอีก 3 กล่อง

“เอาไปทำไรเยอะแยะวะ” โอ๊ตถามเสียงดัง พีทขำตาม ทุกคนแอบเห็นหมดแล้ว หัวเราะกันยกแผง

“เตรียมพร้อมเผื่ออนาคต...มึงไม่รู้หรอกว่าภารกิจใหญ่แค่ไหน” ภัทรยักคิ้วกวน ๆ แต่สายตาเหลือบไปมองดินสอที่ยังไม่พูดกับเขา

“มึงหยาบ” ดินสอพูดสั้น ๆ แล้วเดินหนีทันที

พอขึ้นรถมาด้วยอารมณ์ที่ยังไม่จาง ดินสอก็นั่งเงียบ ภัทรก็หงุดหงิด จึงแกล้งกระซิบ “เมื่อคืนถ้ามึงไม่หลับ กูว่ามีสิทธิ์นะ...”

“ภัทร!” เสียงพี่โตดังจากเบาะข้างหน้า “ใจเย็น ๆ นะ มึงตัวใหญ่ มึงแกล้งน้องแรง ๆ เดี๋ยวเขาใจเสีย เข้าใจกันดี ๆ นะ ทริปยังอีกยาว”

ดินสอเบือนหน้าไปทางหน้าต่าง ไม่พูดต่อ ส่วนภัทรถอนหายใจ แล้วหลับตาพิงเบาะ มุมปากกระตุกเล็กน้อยเหมือนยังมีไฟอยู่



17:00 น. – เข้าที่พัก: Steigenberger Frankfurter Hof

โรงแรมหรูระดับ 5 ดาวใจกลางเมืองเก่าแฟรงก์เฟิร์ต ตึกหินทรายสไตล์นีโอเรอเนซองส์ตั้งตระหง่านตรงจัตุรัส Willy-Brandt-Platz ภายในตกแต่งคลาสสิกแบบยุโรปเก่า โคมไฟระย้าแก้ว ม่านกำมะหยี่สีทอง และกลิ่นหอมอบอวลของลาเวนเดอร์ผสมกลิ่นเนยอบจากร้านขนมด้านล่าง

ห้องของภัทรและดินสออยู่ชั้น 3 เตียงคิงไซส์หัวเตียงบุหนังสีครีม วิวจากหน้าต่างเห็นโบสถ์ St. Bartholomew พอดี แสงแดดยามเย็นส่องกระทบโดมทองเป็นประกาย

“คืนนี้มึงนอนฝั่งขวานะ กูจะได้ไม่กลิ้งไปโดน” ดินสอพูดขณะวางเป้บนเก้าอี้ ภัทรแค่พยักหน้า เดินไปล้างหน้าด้วยสีหน้าหม่น ๆ



18:00 น. – เดินชมเมืองเก่า Römerberg

เมืองเก่าของแฟรงก์เฟิร์ตคือฉากในฝัน บ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนเรียงรายล้อมจัตุรัสกลางเมือง ตึกสีสันสดใส มีลายไม้ไขว้เป็นรูปกากบาทแบบ Fachwerkhäuser เดินต่อไปถึงวิหาร St. Bartholomew กับหอคอย Main Tower ที่สามารถขึ้นไปชมวิว 360 องศา

ทุกคนถ่ายรูป ดินสอยิ้มแค่ตอนพี่เจ๊พลอยถ่ายให้ แต่ยังไม่คุยกับภัทร ภัทรเดินถ่ายรูปเล่นแบบเงียบ ๆ แต่ไม่ห่างจากดินสอเกิน 5 เมตร



19:30 น. – ดินเนอร์: Main Tower Restaurant & Lounge

ร้านอาหารหรูบนชั้น 53 ของ Main Tower หน้าต่างกระจกสูงจากพื้นถึงเพดาน เผยให้เห็นวิวทั้งแฟรงก์เฟิร์ตยามค่ำ แสงไฟจากตึกระฟ้าสะท้อนแม่น้ำ Main ด้านล่างราวฉากหนังไซไฟ

เมนูเย็นนี้คือ เนื้อวัว Wagyu เยอรมันอบซอสทรัฟเฟิล, ปลาเทราต์ย่างซอสสมุนไพร, เสิร์ฟคู่ไวน์ Riesling เย็นฉ่ำ

ดินสอกินน้อย ภัทรคีบเนื้อเข้าปาก แต่ไม่เคี้ยวแรง พี่แม็กซ์กระซิบ “เมื่อคืนเสียพลังเยอะสินะ...”

“กูยังไม่ได้ทำไรเลยเว้ย!” ภัทรกระซิบกลับเบา ๆ แต่หน้าแดง ส่วนดินสอได้ยินเต็มสองหู สะบัดหน้าหนีแต่ยิ้มมุมปาก



หลังอาหารเย็น

ภัทรแยกตัวแวบไปร้านขายยาใกล้โรงแรม ซื้อเจลอีกหลอด กลับห้องพร้อมถุงใบเล็ก

คืนนี้... เขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ทำให้ดินสอร้องไห้ แต่ถ้าร้องเสียงอื่น เขาคงยิ้มได้

แต่...

ดินสอหลับไปแล้วอีกครั้ง พร้อมโพสต์ท่าคลุมโปงจนเหลือแค่ผมที่ยื่นออกมา...

ภัทรถอนหายใจ หยิบหมอนมากอดแน่น แล้วหลับไปทั้งกลิ่นแชมพูหอมจาง ๆ


---

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด