ตอนที่ 12
ฟื้นสติ
แสงแดดยามเช้าของอีกวันปลุกให้ผมตื่นขึ้นจากห้วงภวังค์ ความหนักอึ้งกดทับหนังตาทั้งสองข้างจนแทบจะลืมตาขึ้นไม่ไหว ความปวดร้าวเริ่มทำงานโดยไล่จากศีรษะลามไปจนถึงท้ายทอย กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศที่ไม่คุ้นเคยช่วยให้ได้สติขึ้นมาอีกนิดหน่อย
ว่าแต่เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันนะ?
พอลืมตาขึ้นมาได้สายตาก็สำรวจตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก
เสื้อยืดขนาดโอเวอร์ไซซ์สีดำที่ไม่คุ้นเคยถูกสวมแทนที่เสื้อนิสิตสีขาวที่ผมใส่ไปดื่มเมื่อคืน กางเกงนิสิตขายาวเข้ารูปสีดำกลับกลายเป็นกางเกงบ๊อกเซอร์ขาสั้นจุ๊ดจู๋จนรู้สึกได้ถึงความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่ไหลเข้าสู่ร่างกายช่วงล่าง แว่นสายตาก็ไม่รู้หายไปไหน ตอนนี้เลยกลายเป็นผู้ประสบภัยสายตาสั้นไปโดยอัตโนมัติ
เหลือบมองไปทางระเบียงก็พบว่าอยู่ที่ห้องไอ้กันต์นี่เอง สงสัยผมจะเมาจนภาพตัดแล้วไอ้กันต์ช่วยแบกผมขึ้นมา
ว่าแต่ไอ้กันต์มันเปลี่ยนผ้าม่านเป็นสีนี้ตั้งแต่ตอนไหนนะ คราวที่แล้วยังใช้ผ้าม่านสีดำ คราวนี้กลับกลายเป็นผ้าม่านสีเทาซะงั้น แถมยังใช้น้ำหอมปรับอากาศอีกซึ่งปกติมันไม่เคยใช้อะไรแบบนี้เลย
ผมบิดตัวไปมาเพื่อสลัดความเมื่อยล้าของร่างกายทิ้งไป ทัศนวิสัยน์ยังค่อนข้างเบลอเพราะยังไม่ได้ใส่แว่น แต่ก็พอมองเห็นสภาพห้องได้อยู่บ้าง
แต่สิ่งที่ชัดแจ๋วจนทำให้ร่างกายเป็นอัมพาตทั้งตัวไปชั่วขณะก็คือคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ ณ ตอนนี้
ไม่ใช่ไอ้กันต์
ชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงเกลานอนหงายจนผมแหวกตรงกลางจนเห็นหน้าผากอันขาวผ่องใส จมูกเป็นสันโด่งยาวได้รูป ปากสีชมพูระเรื่อดูสุขภาพดีกำลังพอดีที่เผยอขึ้นมาจนเห็นฟันขาวเรียงสวยบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังหลับใหลอยู่
“เห้ย!”
ผมร้องตกใจ ถอยกรูดไปตั้งตัวที่มุมหนึ่งของเตียง ทำเอาเจ้าของเตียงตัวจริงตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย สารภาพตามตรงว่าอีกฝ่ายนั้นดูดีจริง ๆ แม้แต่ตอนหลับยันตอนตื่น ขนาดสภาพที่อยู่ในเสื้อยิดสีขาวเรียบ ๆ ผมเผ้าไม่เรียบร้อย ก็ยังดูดียังกับฉากตื่นนอนในซีรีส์
แต่นี่มันไม่ใช่ซีรีส์ไง!
เมื่อเจ้าของเตียงบิดขี้เกียจลืมตาตื่นขึ้นมาประชันหน้ากับผม อีกฝ่ายก็ไม่ได้ดูตกใจตาค้างแบบที่ผมกำลังเป็นอยู่
“เสียงดังแต่เช้าเลยนะมึง”
เจ้าของเตียงทักทายด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก
“ทำไมกูถึงมาอยู่ที่ห้องมึงได้วะนันท์” ถึงจะได้สติแต่ผมยังไม่หายตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแม้แต่น้อย
“มึงจำอะไรไม่ได้จริงหรอ” อีกฝ่ายหรี่ตามองตรงมายังผมพร้อมเอียงหน้าเล็กน้อย
ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบแทนคำปฏิเสธ
“เมื่อคืนมึงเมามาก เมาสุด ๆ ไปเลยล่ะ”
“ดูจากสภาพตอนนี้กูก็พอเดาได้แหละว่ากูเมามาก นี่กูเมาจนภาพตัดไปเลยหรอวะกูถึงจำอะไรไม่ได้เลย”
ผมจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ นะให้สาบานก็ได้ นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าทำไมผมถึงมาลงเอยที่นี่
“ใช่ มึงแดกเบียร์จนน็อคภาพตัดไปเลย”
“...”
“เรานั่งโต๊ะติดกัน มึงเมามากจนทำตัวเรื้อนไปหมด เพื่อนมึงอีกสองคนก็เมา แต่กันต์ดูเหมือนจะมีสติสุด”
“ขนาดนั้นเลยหรอวะ” ปกติพวกผมต่อให้เมาแค่ไหนก็ยังสามารถแบกสังขารกลับไปยังห้องตัวเองได้ แต่ทำไมรอบนี้แต่ละคนสภาพถึงกลายเป็นหมาไปได้ โดยเฉพาะผม
“ที่เหลือมึงไปถามกันต์เอาละกัน กูขี้เกียจเล่า”
ผมว่าจะตื๊อถามมันต่อแต่ดูจากสีหน้ามันแล้วล่ะก็ ถ้าทู่ซี้ถามต่อก็อาจจะโดนทุบหลังก็เป็นได้
ว่าแล้วเจ้าของห้องก็ดันตัวเองให้ลุกขึ้น มันใส่กางเกงขาสั้นระดับเดียวกับผมที่มันใส่อยู่ แต่ด้วยความที่เจ้าตัวสูงกว่าผม เลยทำให้กางเกงที่ว่าสั้นแล้วก็ยิ่งดูสั้นเข้าไปอีก เผยให้เห็นท่อนขาสีขาวเนียนใสไร้ขนยั่วยวนสายตาซะเหลือเกิน ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อได้เห็นของดีตรงหน้า
คนอะไรแม่งโคตรดูดี ใส่เสื้อผ้าแค่นี้ก็ยังดูดี
ผมเดินตามหลังมันไปโดยที่ยังไม่ได้ถามอะไร กวาดสายตามองไปยังรอบห้องเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อม ห้องนี้เป็นแปลนเดียวกันกับห้องของไอ้กันต์เลย แต่ความสะอาดนั้นกินขาดสุด ๆ เฟอร์นิเจอร์และข้าวของทุกอย่างล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีของวางเกะกะเหมือนห้องไอ้กันต์ พื้นห้องสะอาดเนียนกริบไม่มีของกระจัดกระจาย ในห้องได้กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศกลิ่นสดชื่นคล้ายกลิ่นซิตรัสจาง ๆ ความเนี้ยบของห้องกับลุคคุณหนูของไอ้นนท์ช่างเหมาะเจาะกันจริง ๆ
“เอ่อแล้วทำไมกูถึงใส่เสื้อผ้านี่ได้ล่ะ” ผมถือโอกาสถามเพื่อทำลายความเงียบลง
“กูเปลี่ยนให้เอง”
เดี๋ยวก่อนนะ ไอ้หน้าหล่อเจ้าของห้องเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ผม?
“บ้า กูเมาขนาดที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเองไม่ได้เลยหรอ”
“ก็ใช่ไง กูบอกแล้วว่ามึงเมาจนภาพตัด พอมาถึงห้องกูก็ต้องเปลี่ยนให้ กูไม่ชอบให้ใครใส่ชุดที่ไม่ได้ซักลงบนเตียงกู”
“ก็คือมึงเปลี่ยนให้กูหมดเลยหรอทั้งเสื้อแล้วก็...กางเกง”
“ใช่”
พอได้ยินคำตอบ ผมไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนของห้องนี้แล้ว หมดกันภาพลักษณ์ต่าง ๆ ที่พยายามคีพไว้ระหว่างที่ได้รู้จักกัน แค่ความเมาชั่วข้ามคืนทำผมเป็นเอามากขนาดนี้เลยหรอ ทำคนอื่นเดือดร้อนยังไม่พอ
แถมคนที่เดือนร้อนยังเป็นคนที่ตัวเองแอบชอบอีก
คะแนนตอนนี้น่าจะโดนติดลบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะ
“ขอบใจมากนะมึงที่ช่วยเหลือกูขนาดนี้ และก็ขอโทษด้วยที่ทำให้เดือดร้อน” ผมก้มหน้างุดพูดด้วยน้ำเสียงหงอย ๆ เพื่อแสดงความขอบคุณและความรู้สึกผิดไปในตัว เอาจริงผมก็ทำตัวไม่ดีด้วยแหละที่ต้องมาเดือนร้อนมันแบบนี้
อยู่ ๆ บนหัวก็รู้สึกถึงมือที่กำลังลูบไปมาเบามือจนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ผมเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังยืนประจันหน้ากับอีกฝ่ายที่ตัวสูงกว่า
“อะไรมึง เมื่อคืนยังซ่าอยู่เลย ตอนนี้กลายเป็นหมาหงอยไปแล้วหรอ”
มันยิ้มมุมปากพร้อมกับดีดหน้าผากผมเบา ๆ หนึ่งทีเหมือนช่วยเรียกสติกลับมา
“งั้นทำอะไรให้กูกินหน่อยสักอย่าง ต้มมาม่าก็ได้ ในครัวมีมาม่ากับไข่อยู่ ทำส่วนของมึงด้วยเลย”
ผมมองหน้ามันแบบงง ๆ ว่าทำไมอยู่ดี ๆ ถึงอยากจะให้ผมทำอาหารให้กิน
“โอเคงั้นเดี๋ยวไปทำให้ละกัน สิบนาที”
เจ้าของห้องพยักหน้าให้หนึ่งทีแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ ส่วนผมเดินไปที่เคาน์เตอร์เล็ก ๆ ที่เป็นส่วนของครัวในห้องไอ้นนท์ เปิดตู้เย็นออกมาก็เจอไข่ที่แช่อยู่ทางขวามือ ผมหยิบออกมาสองฟองวางไว้บนเคาน์เตอร์ พอเปิดตู้ที่อยู่เหนือหัวก็เจอมาม่าเกาหลีซองสีดำอยู่สี่ห่อ
'ไม่มียี่ห้ออื่นเลยรึไงวะ'
ผมได้แต่ถามตัวเองในใจ คือไม่ใช่ว่าเรื่องมากหรืออะไรหรอกนะครับ ผมกินเผ็ดได้ไม่มีปัญหา แต่ผมท้องไส้ไม่ค่อยแข็งแรงมาก ยิ่งหลังจากที่กินเหล้า/เบียร์มาก็ท้องไส้ก็ยิ่งบอบบาง ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
แต่เอาจริงผมก็เริ่มหิวแล้ว จะมาเรื่องมากเอาตอนนี้ก็คงไม่ดีเท่าไหร่ ผมจึงหยิบมาม่าลงมาไว้สองห่อจัดแจงเตรียมทำอาหารมื้อแรกของวัน หม้อที่ถูกเก็บไว้ใต้เคาน์เตอร์ถูกหยิบขึ้นมาวางไว้บนเตาไฟฟ้า ผมเติมน้ำ กดเปิดสวิตช์ รอไม่นานน้ำก็เดือดปุด ๆ จากนั้นจึงแกะมาม่าลงไปต้ม ยืนรออีกสักพักเส้นก็นุ่มกำลังดี ผมก็เอาตะเกียบคีบเส้นใส่ถ้วยที่เตรียมเอาไว้อย่างเท่า ๆ กันก่อนที่จะฉีกซองซอสเผ็ดราดบนเส้นทั้งสองถ้วยแล้วคนให้เข้ากันแล้วตามด้วยสาหร่าย เสร็จแล้วก็ตอกไข่ลงไปในหม้อโดยไข่ใบแรกผมต้มอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ไข่แดงแตก พอไข่ใบแรกสุกได้ที่ก็เอาทัพพีตักใส่ถ้วย ไข่ใบที่สองถูกตอกลงในหม้อที่น้ำเหลืออยู่นิดหน่อย ไข่ใบนี้ผมจัดการเอาทัพพีกด ๆ สับ ๆ ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ พอสุกได้ที่ก็ตักไข่ใส่อีกถ้วยแล้วก็ปิดสวิตช์เตา
ถึงจะเป็นมื้อง่าย ๆ แต่ผมก็ไม่ได้ทำชุ่ย ๆ นะครับ เป็นมาม่าที่ทำจากใจด้วยน้อย ๆ ดวงนี้เพื่อคนที่...เอ่อ ที่เรา...มาขออาศัยห้องด้วยแบบงง ๆ แหะ ๆ
ผมยกถ้วยมาม่าทั้งสองไปวางไว้บนโต๊ะอาหารที่มีเจ้าของห้องนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่
“มึงเอาแบบไหน กูทำมาสองแบบ” ผมยื่นถ้วยให้เจ้าตัวเลือกว่าอยากได้ไข่แบบไหน
“กูเอาอันนี้ละกัน” นันท์หยิบถ้วยที่มีไข่แดงไม่สุก ผมเลยได้กินถ้วยที่มีไข่เป็นชิ้น ๆ
ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างเราสองคนกำลังจัดการมื้ออาหารตรงหน้า คนที่นั่งตรงข้ามกินมาม่าเผ็ดได้อย่างสบายเฉิบ ไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกเผ็ดอะไรเลย ดูทรงแล้วเป็นคนที่กินเผ็ดเก่งใช้ได้ ซึ่งไม่เข้ากับลุคภายนอกที่ดูเป็นคุณชาย ดูเลือกกินอาหาร ดูเจ้ากี้เจ้าการ พอได้เริ่มทำความรู้จักแล้วก็พบว่าไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย
เราสองคนจัดการมาม่ามื้อเช้าเสร็จผมก็เดินไปหยิบแก้วและน้ำเปล่าจากตู้เย็นมาเสิร์ฟโดยไม่ต้องรอคำสั่ง คนที่นั่งตรงข้ามดูแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผมจัดการเก็บจาน แก้วน้ำ และขวดน้ำไปที่เคาน์เตอร์ จัดแจงเอาจาน ช้อนส้อม และแก้วน้ำลงอ่างล้างจานก่อนที่จะบรรจงทำความสะอาดทีละอย่าง ๆ จนครบหมด จากนั้นก็เอาขวดน้ำที่ยังเหลืออยู่เก็บกลับเข้าไปในตู้เย็น
ทำไมเหมือนรู้สึกเหมือนกำลังเป็นแม่บ้านอยู่เลยวะ
ส่วนเจ้าของห้องก็นั่งเล่นโทรศัพท์ที่โซฟาอย่างสบายใจเฉิบ
“นันท์”
“หืม”
“แล้วเสื้อผ้ากูอยู่ไหนอะ”
“อยู่ในตะกร้าผ้าน่ะ เดี๋ยวซักให้”
“เห้ยไม่ต้อง ๆ แค่นี้กูก็เกรงใจจะแย่แล้ว เดี๋ยวกูกลับแล้วเนี่ย ขอเสื้อผ้าคืนได้มั้ย”
ผมบอกไปเพราะผมเกรงใจมันจริง ๆ ลำพังแค่เมาแล้วต้องมานอนห้องมันก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว แต่จะให้มันซักผ้าให้ก็ใช่เรื่อง ผมยอมใส่ชุดซ้ำกลับไปห้องยังจะดีซะกว่า
“ท่าทางมึงจะจำอะไรไม่ได้เลยสินะ”
พูดเสร็จไอ้เจ้าของห้องก็เดินไปยังตะกร้าผ้าที่อยู่ไม่ไกลจากกันนัก ค้นนิดค้นหน่อยแล้วก็หยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหนึ่งขึ้นมาซึ่งดูแล้วเป็นชุดนิสิตแน่นอนชัวร์ป้าบ
มันเดินมาหาผมแล้วก็ชูให้ผมดูโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผมอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นสภาพเสื้อนิสิตสีขาวใกล้ ๆ ไม่สิ ต้องบอกว่า ‘เคย’ เป็นสีขาวมาก่อนถึงจะถูก เพราะเสื้อเต็มไปด้วยคราบสีน้ำตาลราวกับไปถูไถกับพื้นดินมา ที่แย่ไปกว่านั้นคือบริเวณกลางอกยาวไปจนเกือบถึงชายเสื้อมีรอยของเหลวเปื้อนเป็นทางยาว
“น่าจะเดาได้ไม่ยากเนอะว่าเกิดอะไรขึ้น”
คนตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ พร้อมกับส่งสายตาอันแสนเย็นเฉียบมาทางผม แค่นี้ก็ทำเอาแทบมุดแผ่นดินหนีแล้ว
“มึงเมาจนอ้วกแตก”
“แง รู้แล้ว”
“มึงยังอ้วกใส่กูอีกต่างหาก”
“ห๊า มึงก็โดนด้วยหรอ”
“อืม โคตรแย่” พูดจบก็หันหน้ากลับไปยังตะกร้าแล้วโยนเสื้อลงไปอย่างไม่ปราณี
“มึงกูขอโทษ”
ผมเดินตามหลังมันไปพร้อมกับยกมือไหว้อย่างสวยงามเพื่อแสดงความรู้สึกผิดออกมา คือผมรู้สึกผิดจริง ๆ รู้สึกแย่สุด ๆ ไปเลยที่เมาจนเรื้อนแล้วทำคนอื่นเดือดร้อนแบบนี้
เจ้าของห้องหันหน้ากลับมามองแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา
“มึงอย่าโกรธกูเลยนะ” ผมใช้ลูกอ้อนเข้าสู้ ก็รู้แหละว่ามันต้องโกรธแน่ ๆ แต่ก็ไม่อยากให้โกรธนานกว่านี้
ทว่าคนที่ยืนประจันหน้ากับผมก็ยังคงเงียบอยู่แต่ก็ยังส่งสายตานิ่งเฉียบมาทางผมจนรู้สึกสั่น ๆ อยู่ในอกยังไงก็ไม่รู้
“ก็ไม่ได้โกรธอะไร”
โอ้โห ไม่โกรธกี่โมง ถ้าทุกคนได้เห็นหน้าไอ้คุณชายตอนนี้ก็คงจะคิดแบบเดียวกับผม ความหล่อบนใบหน้าไม่ได้ช่วยปกปิดความเย็นชาที่ออกมาจากน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย ถ้ามันบอกว่าโกรธผมก็ยอมรับได้ แต่นี่ดันบอกไม่โกรธด้วยสีหน้านิ่งเฉย เสียงเย็นเฉียบแบบนี้ใครจะไปเชื่อได้วะ
“ไม่โกรธแต่หน้านิ่งซะขนาดนี้”
“กูก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
“มึงโกรธมึงก็พูดมาเลย กูรู้ว่ากูทำผิด กูสำนึกผิดจริง ๆ ให้กูทำอะไรก็ได้ตอนนี้” ผมบอกไปด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน คือให้ทำอะไรก็ได้ตอนนี้ที่จะให้มันโกรธผมน้อยลง
พอผมพูดจบไอ้หน้าหล่อก็เดินตรงมาหาผมด้วยสีหน้าที่เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน มันเดินเข้ามา ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา
ใกล้เข้ามาจนจะสิงกูอยู่แล้วโว้ยยย
“มึงจะทำอะไรเนี่ย” ผมถอยหลังอย่างรวดเร็วเพราะถ้าไม่ถอยมีหวังได้ชนกันแน่
มันมองหน้าผมแล้วค่อย ๆ โน้มตัวลงมากระซิบเบา ๆ ข้างหู
“จะทำทุกอย่างจริงดิ”
ประโยคคำถามสั้น ๆ ทำเอาขนลุกซู่ไปทั้งตัว ให้ความรู้สึกเหมือนในซีรีส์ที่พระเอกกำลังจะสร้างเงื่อนไขกับนางเอกด้วยอะไรสักอย่าง แต่นี่มันดันเกิดขึ้นกับตัวผมเอง
“อะ...อืม จะให้ทำอะไรล่ะ” ผมทำใจดีสู้เสือแต่ตัวก็แอบสั่นเล็กน้อยเพราะรู้สึกไม่ปลอดภัยกับการที่มีหน้าหล่อ ๆ มาอยู่ใกล้ขนาดนี้
“งั้น” มันเว้นช่วงอยู่สักแป๊บหนึ่งก่อนที่จะถอยหลังออกมา “ซักผ้าให้กูหน่อยละกัน” มือขาว ๆ ชี้ไปทางตะกร้าผ้าที่อยู่ด้านหลัง
“แล้วก็เก็บผ้าเข้าตู้ให้ด้วยนะ เครื่องซักผ้ามันมีฟังก์ชั่นอบผ้าได้ ไม่ต้องเอาไปตาก”
“ด...ได้ เดี๋ยวจัดการให้” ผมเดินผ่านมันไปยังตะกร้าผ้าเพื่อที่จะเอาไปลงเครื่อซักผ้าที่อยู่อีกโซนของห้อง
“น้ำยาซักผ้ากับน้ำยาปรับผ้าอยู่บนตู้นะหาเอา”
“โอเคคค”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงตอบรับคำสั่งของผม เจ้าของห้องก็กระโดดลงเตียงดังตุ้บ มันนอนคว่ำเล่นโทรศัพท์ กางขาขยับไปมาอย่างสบายใจ
ผมได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ หยิบตะกร้าใบเล็ก ๆ ที่วางอยู่ข้างเครื่องซักผ้าที่มีใส่ถุงซักผ้าไว้ประมาณสองสามถุง ผมหยิบขึ้นมาแล้วจัดการแยกถุงเท้าออกมาใส่ถุงซักผ้าก่อนโยนลงไปในเครื่อง
แล้วก็แยก เอ่อ แยกกางเกงในของเจ้าของห้องใส่ลงในถุงซักผ้าอีกถุง อย่าหาว่าผมโรคจิตเลยนะครับ กางเกงในของเจ้าของห้องนี่ยี่ห้อแพงทั้งนั้น ราคาตัวละไม่ต่ำกว่าพันบาทแน่นอนเพราะผมเคยเห็นราคาในช็อปออนไลน์ แต่ก็สมกับเป็นคุณชายจริง ๆ แหละ สีกางเกงในก็ยังคุมโทน มีแค่สีขาว ดำ แล้วก็เทา ไม่มีสีสันฉูดฉาดอื่น ๆ ปนมาด้วยเลย
แต่สิ่งที่ทำให้แปลกใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ
มันมีกางเกงในสีดำตัวหนึ่งที่มีลักษณะแปลกไปกว่าเพื่อน กล่าวคือกางเกงในยี่ห้อแพงจะมีตัวอักษรยี่ห้อระบุไว้ที่ขอบ แต่ตัวนี้ดันไม่มียี่ห้ออะไรบอกไว้ แถมยังคุ้น ๆ ว่าเหมือนเคยเจอที่ไหน
สมองผมประมวลผลอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มหา’ลัยโตเกียว มือขวาคลำที่เป้าตัวเองโดยอัตโนมัติ และแล้วก็ได้รู้คำตอบว่า
มันคือกางเกงในของผมเอง
สมองที่ประมวลผลได้อย่างรวดเร็วเมื่อตะกี๊กลับมีแต่ความว่างเปล่าเข้ามาแทนที่ชั่วขณะ หูที่ได้ยินเสียงชัดเจนกลับได้ยินแต่เสียงวิ้ง ๆ ตาที่มองอะไรไม่ค่อยจะชัดก็ยิ่งเบลอเข้าไปใหญ่
ผมเดินไปหาไอ้เจ้าของห้องที่นอนเล่นเกมในท่วงท่าที่สุดแสนจะสบายใจต่างกับผมที่รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งอก
“มึงบอกว่ามึงถอดเสื้อผ้าให้กูหมดเลยหนิใช่มั้ย”
“ใช่ ทำไมหรอ” เจ้าของห้องตอบกลับมาโดยที่ยังนอนคว่ำหน้าเล่นเกมอย่างเมามัน
“แสดงว่ามึงก็ถอดกางเกงในให้กูด้วยหรอ” ผมถามไปตรง ๆ โดยที่มือยังถือกางเกงในของตัวเองไว้อยู่เลย สภาพทุเรศทุรังสุด ๆ
“จะบ้าหรอ” พอได้ยินคำถามมันก็วางมือถือลงแล้วหันหน้ามาเพื่อตอบกลับอย่างรวดเร็ว “มึงเอาผ้าลงเครื่องให้หมดก่อนไปเดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง” มันเชิดหน้าไปทางกองผ้าที่อยู่ใกล้ ๆ กับเครื่องซักผ้า
ผมขมวดคิ้วมองคนบนเตียงด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ผมตรงกลับไปยังกองผ้าแล้วก็จัดการเอาลงเครื่องซักผ้า กดปุ่มตั้งค่าเวลาต่าง ๆ จนเรียบร้อยแล้วก็ปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันไป
ผมเดินกลับมานั่งข้าง ๆ เจ้าของเตียงที่ยังคงนอนเล่นเกมอยู่
“เล่ามาเลยมึง มันยังไงกันแน่วะ”
มันวางโทรศัพท์ลงแล้วมองหน้าผม
“เสื้อผ้ามึงน่ะกูเป็นคนถอดให้ แต่กางเกงในน่ะมึงเป็นคนถอดเอง กูไม่ได้ถอด”
“หา! อะไรนะ!” ได้ยินคำตอบแล้วยิ่งอึ้งไปกันใหญ่ ผมเนี่ยนะจะกล้าถอดกางเกงในต่อหน้าคนอื่น แล้วยิ่งกับคนที่แอบชอบนี่เป็นไปไม่ได้เลย “มึงโกหกกูป่าววะ”
“กูจะโกหกมึงทำไม” มันลุกขึ้นนั่งแล้วมองหน้าผมด้วยความละเหี่ยใจ “มึงมาถึงห้องกูด้วยสภาพที่เละเป็นโจ๊ก อ้วกแตกจนเลอะเทอะเหม็นไปหมด กูเลยต้องถอดเสื้อกับกางเกงออกให้เพราะมึงเมาเดี้ยงจนทำเองไม่ได้สักอย่าง”
มันมองหน้าผมด้วยสายตาคาดโทษอีกแล้ว...
“แล้วพอถอดเสร็จกูก็เอาเสื้อผ้ามึงไปใส่ตะกร้า กูไปเปิดตู้หาชุดมาให้มึงใส่แล้วก็จัดการใส่เสื้อให้มึง แต่พอจะใส่กางเกง มึงก็ดันถอดกางเกงในพรวดออกมาแล้วก็ใส่กางเกงเข้าไป แถมยังทิ้งกางเกงในเรี่ยราดจนกูต้องเก็บไปใส่ตะกร้าให้”
สตั๊น
ผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ตรงไหนแล้วตอนนี้
บนเตียงไอ้นันท์ตอนนี้คงจะใช้นอนต่อไม่ได้แล้วล่ะ เพราะมีแต่เศษหน้าผมแตกเป็นเสี่ยง ๆ เต็มไปหมด
ไม่รู้จะด่าตัวเองยังไงที่ทำอะไรน่าอายแบบนั้นออกไป แถมทำต่อหน้าไอ้หน้าหล่อที่ผมกำลังชอบอยู่ด้วย! ไอ้นนท์เอ้ย ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่าตัวเองดี ทำอะไรบ้า ๆ ลงไปวะ
“งั้นมึงก็เห็นจู๋กูแล้วดิ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามคำถามบ้า ๆ แบบนั้นออกไป ท่าทางจะใกล้บ้าแล้ว
“มึงดูขนาดเสื้อที่มึงใส่ก่อนเถอะ แทบจะกลายเป็นเดรสไปแล้ว” มันชายตามองมาที่เสื้อที่ผมใส่อยู่ “กูใส่เสื้อให้มึงเสร็จมันก็คลุมไปจนเกือบถึงเขามึงแล้ว พอมึงถอดกางเกงในออกเสื้อมันก็บังไว้ให้อยู่ และอีกอย่างกูก็หันหน้าหนีทัน ไม่ได้อยากดูสักหน่อย”
ผมเอามือทั้งสองบังหน้าไว้จนมิดด้วยความเขินอายปนความกระอักกระอ่วนใจ
“มึงไม่เห็นจู๋กูแน่นะ” ผมถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“เออ ไม่เห็นแม้แต่นิดเดียว”
พอมันพูดยังงั้นผมก็ค่อยสบายใจขึ้นมา
ผมนอนแผ่หลาลงไปบนเตียงด้วยความโล่งใจ ในหัวมีแต่อะไรก็ไม่รู้ตีกันไปหมด ยังนึกสงสัยอยู่เลยว่าทำไมผมถึงไม่ได้สติขนาดที่ว่าแก้ผ้าต่อหน้าคนที่ชอบก็ยังจำไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำบ้าอะไรต่อมิอะไรลงไปแล้วบ้าง
“แล้วทำไมต้องเป็นมึงที่พากูกลับมา”
“กันต์บอกว่าวันนี้ต้องไปหาญาติแต่เช้าที่อยุธยาเลยฝากมึงไว้กับกู”
ชิบหาย แล้วทำไมมันไม่บอกผมตั้งแต่แรกวะ
“แต่โคตรเละเลยอะมึงน่ะ กูบอกได้คำเดียว”
“อื้ม อู อู๊ แอ๊ว” ผมพลิกตัวคว่ำหน้าลงบนผ้าห่มแล้วตะโกนออกมา
“มึงติดหนี้บุญคุณกูนะรู้มั้ย”
“แล้วจะให้ทำยังไง”
ไอ้นันท์นอนตะแคงลงบนเตียงหันหน้ามาทางผม ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สายตาที่จ้องมองมาเปลี่ยนจากความเย็นชาเมื่อก่อนหน้านี้เป็นสายตาที่แฝงไปด้วยความต้องการบางอย่าง
“วันนี้อยู่เป็นเพื่อนกูหน่อย”