ตอนที่ 4
เด็กไม่ดี
“อ้าวสกาย ทำไมวันนี้มาเช้าจังวะ”
เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อ ‘สกาย’ สะดุ้งเล็กน้อย รีบเก็บกระเป๋าสตางค์อย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถรอดพ้นสายตาคนที่เพิ่งมาถึงไปได้
“ฮั่นแน่ ลุกลี้ลุกลนแปลกๆ นะเนี่ย” รามิลนั่งลงฝั่งตรงข้าม มองเพื่อนสนิทด้วยแววตายิ้มๆ
“ไม่มีอะไร”
“ถ้างั้นเอาของที่เก็บไปเมื่อกี้มาให้ดูหน่อย”
“ใช่เรื่อง?”
“งั้นก็แปลว่ามี”
“จะคิดอะไรก็เชิญ”
รามิลอมยิ้ม ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่คิดจะซักถามจริงจังอยู่แล้ว “ยังไม่ตอบคำถามเลยนะ ทำไมวันนี้มามหา’ลัยแต่เช้า”
“พี่วายุมีนัดกับลูกค้าแต่เช้า เลยต้องมาส่งกูเร็วกว่าปกติ”
“พี่วายุ? อ๋อ ลูกชายเจ้าของบ้านที่มึงไปอยู่อ่ะนะ”
“อืม”
“ไม่ต้องทำตาเคลิ้มขนาดนั้นก็ได้ พูดชื่อนี้ทีไรจะลอยทุกทีเลยนะมึง”
สกายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาจะสนคำแซวของเพื่อนทำไมในเมื่อชื่อนี้มีอิทธิพลกับเขาจริงๆ
รามิลคือเพื่อนสนิทหนึ่งเดียวที่รู้ว่าสกายแอบหลงรักวายุมาตลอดสิบปี เขาไม่ได้ตั้งใจบอก แต่มีอยู่วันหนึ่งเขาบังเอิญเจอกับวายุในห้างสรรพสินค้า ตอนนั้นสกายไม่กล้าเข้าไปทักเพราะกลัวอีกฝ่ายจำเขาไม่ได้ แต่สายตาที่เขาใช้ทอดมองวายุทำให้รามิลเกิดนึกสงสัยขึ้นมา หลังจากโดนไต่สวนอยู่นานเขาจึงต้องยอมสารภาพออกไป
“แล้วเป็นไง มีอะไรคืบหน้าบ้างยัง” หนุ่มน้อยหน้าหวานถามด้วยความกระตือรือร้นเสมือนเป็นเรื่องของตัวเอง
“ยัง”
“อ้าว!” เสียงอุทานนั้นทำให้สกายรู้ได้ว่าคนรอฟังผิดหวังแค่ไหน
“ยังไม่มีอะไรคืบหน้า” เขาพูดให้ชัดเจนมากขึ้น
“มึงไปอยู่บ้านเขาตั้งหลายวัน กูนึกว่าป่านนี้จีบติดไปแล้วเสียอีก”
“กูไม่เคยบอกว่าจะจีบพี่วายุ”
“แต่มึงชอบ...ไม่สิ มึงรักเขามาสิบปีเลยนะ”
“เพราะกูแอบรักเขาอยู่ในมุมมืดมาสิบปีไงถึงไม่คิดจะจีบ”
“หมายความว่ายังไง” รามิลทำหน้างง เขาคิดมาตลอดว่าการรักใครสักคนจะทำให้เราอยากจีบคนๆ นั้น
“มึงคิดดูนะมีน กูไม่ได้เจอพี่วายุมาตั้งสิบปี ได้แต่คิดถึงเขา เพ้อถึงเขาอยู่คนเดียว แล้วจู่ๆ วันนึงพี่วายุก็กลับเข้ามาในชีวิตกูอีกครั้ง มึงคิดว่าถ้ากูเดินหน้าจีบจริงๆ โอกาสที่จะจีบติดกับโอกาสที่พี่วายุจะหนีหายไปอีกครั้งอะไรมีมากกว่ากัน”
รามิลคิดตามคำพูดของเพื่อนก่อนจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง สกายเป็นผู้ชาย พี่วายุก็เป็นผู้ชาย ถึงตอนนี้โลกจะเปิดกว้างแล้วแต่พวกเขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าพี่วายุมีรสนิยมชอบผู้ชายหรือเปล่า ถ้าหากสกายลุกขึ้นมาจีบพี่วายุตามที่เขาแนะนำ ดีไม่ดีนอกจากความรักอันยาวนานจะจบลงแล้วเพื่อนเขาอาจจะโดนรังเกียจไปเลยก็ได้
“อะไรที่เสี่ยงทำให้พี่วายุหายไปกูจะไม่มีวันทำเด็ดขาด คราวนี้กูจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ข้างพี่วายุไปตลอด ไม่ว่าจะในสถานะอะไรก็ตาม”
รามิลไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาไม่นึกเลยว่าคำพูดที่เขาชวนคุยไปตามเรื่องตามราวจะทำให้เพื่อนสนิทคิดมากถึงเพียงนี้
“ถ้ามึงคิดดีแล้วกูก็จะไม่ห้าม แต่อย่าลืมดูแลหัวใจตัวเองด้วยละกัน วันนี้มึงอาจคิดว่าขอแค่ได้อยู่กับเขาก็พอ แต่ถ้าในอนาคตเขามีคนอื่นขึ้นมา ต่อให้มึงแกร่งแค่ไหนก็ทนอยู่ไม่ได้หรอก”
ไม่ใช่ว่าสกายไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น แต่ความสุขของเขาเพิ่งเริ่มต้น เขาจึงอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงให้มากที่สุด เพราะเขาไม่รู้ว่าความสุขจะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน
“พอๆ เลิกทำหน้าหงอยได้แล้ว ไม่มีใครบอกเหรอว่าเวลาอยู่กับคนน่ารักต้องยิ้มแย้มเข้าไว้”
คนหน้าหงอยเปลี่ยนมาทำหน้าเอือมระอาแทน ดวงตากลมโต ปากจิ้มลิ้ม จมูกรั้น แก้มเนียนใส ผิวพรรณขาวผ่อง ทุกอย่างที่เป็นรามิลล้วนน่ารักจนสกายเถียงไม่ออกก็จริง แต่เขาได้ยินอีกฝ่ายชมตัวเองตลอดเวลาจนสกายอดคิดไม่ได้ว่าถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่ไม่น่ารักก็คงเป็นนิสัยของเจ้าตัว
เห็นอย่างนี้อย่าได้ประมาทเชียว แววตาซุกซนนั้นทำเอาเขาปวดหัวมานักต่อนักแล้ว
สกายเป็นหนุ่มฮอตในมหาวิทยาลัย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้หญิงเข้ามาไม่ขาดสาย แต่หลังจากมั่นใจว่าในใจเขามีแต่วายุจึงไม่เคยคิดจะสานสัมพันธ์กับใครอีก เพื่อนสนิทอย่างรามิลที่รู้เรื่องนี้ดีจึงเป็นไม้กันหมาให้เขามาตลอด แต่ละวิธีที่เจ้าตัวสรรหามาจัดการผู้หญิงเหล่านั้นสกายบอกได้คำเดียวว่าแสบถึงทรวง
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวสาย” รามิลเอ่ยเมื่อมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่าจวนจะถึงเวลาเรียนแล้ว เขาหยิบกระเป๋า ลุกขึ้นแล้วเดินนำไปก่อน สกายลุกตามไปแต่ชะลอฝีเท้าเพื่อรักษาระยะห่าง
เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาอีกครั้ง ริมฝีปากจุดรอยยิ้มบางเมื่อมองดูรูปโพลารอยด์ที่เขาอัดออกมาเมื่อวันก่อน วายุในรูปกำลังกึ่งนั่งกึ่งยืน ใบหน้าหันข้างเพราะถูกถ่ายขณะลุกจากโต๊ะหินอ่อน แม้ไม่มีรอยยิ้มแต่สกายกลับรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนผ่านดวงตาคู่นั้น
สกายหวนนึกถึงความทรงจำอันแสนมีค่าของเขา ความทรงจำที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ความทรงจำที่ทำให้เขาโกหกชื่อของตัวเองออกไป
‘ชื่อสกายสินะ รู้ไหมว่าสกายแปลว่าอะไร’
หนุ่มน้อยวัยสิบขวบส่ายหน้าไปมา เขารู้แค่ว่าชื่อตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ คลับคล้ายคลับคลาว่าคุณครูที่โรงเรียนจะเคยสอนคำนี้ แต่เขาไม่ชอบวิชาภาษาอังกฤษจึงไม่เคยท่องจำ
พี่ชายท่าทางใจดีที่มากับคุณอาเกริกพลยิ้มให้เขา แหงนมองท้องฟ้าที่ไร้เมฆบดบังพลางชี้นิ้วขึ้น ชักชวนให้เขามองตาม
‘สกายแปลว่าท้องฟ้า’
หนุ่มน้อยห่อปากตาโต เขาจำได้แล้ว คุณครูสอนเขาว่าสกายแปลว่าท้องฟ้า ในที่สุดเขาก็นึกออก
‘สกายคิดว่าท้องฟ้าตอนนี้สวยไหม’
‘สวยครับ’ เด็กชายสกายตอบตามซื่อ เขาไม่รู้ว่าท้องฟ้าสวยหรือไม่สวยดูยังไง แต่ถ้าพี่ชายคนนี้บอกว่าสวยเขาก็จะเชื่ออย่างนั้น
‘ต่อไปนี้พี่จะเรียกสกายว่าท้องฟ้า สกายจะได้สดใสและร่าเริง เหมือนที่พี่มองท้องฟ้าแล้วยิ้มออก ดีไหมครับ’
เด็กชายสกายรีบพยักหน้ารับ ตอนนั้นเขาคิดแค่ว่ารอยยิ้มของพี่วายุช่างอบอุ่นเหลือเกิน เวลาเห็นพี่วายุยิ้มเขามักจะรู้สึกเข้มแข็งขึ้นมา ราวกับความกลัวและความอ่อนแอในใจถูกปลอบประโลมด้วยความอ่อนโยน ดังนั้นถ้าพี่วายุเรียกเขาว่าท้องฟ้าแล้วจะยิ้มให้ดู เขายอมให้เรียกไปตลอดเลย จากเด็กชายสกายที่ขี้กลัวและชอบโดนรังแกในวันนั้น วันนี้ได้เติบใหญ่กลายเป็นเด็กหนุ่มสกายที่มีความกล้าหาญและความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาก ที่เขาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ส่วนหนึ่งเพราะวายุ ไม่คิดเลยว่าแค่ชื่อธรรมดาที่อีกฝ่ายตั้งให้จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล และถึงแม้วายุจะจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะทุกความทรงจำถูกสลักลงในหัวใจเขาแล้ว เขาจะจดจำภาพในอดีตเหล่านั้นแทนวายุเอง
สกายยิ้มออกมาอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสดใสราวกับท้องฟ้าในช่วงเช้านี้ ชายหนุ่มนึกขอบคุณบิดามารดาที่ตั้งชื่อนี้ให้เขา เพราะถ้าเขาไม่ได้ชื่อสกาย วายุก็คงไม่เรียกเขาว่าท้องฟ้า
ท้องฟ้า...ชื่อที่เขาไม่เคยให้ใครเรียก เพราะคนเดียวที่เขาอยากให้เรียกคือคนที่เป็นดั่งท้องฟ้าของเขาเหมือนกัน
✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥
“ไม่เอา”
“ทำไมปฏิเสธเร็วจัง” รามิลนิ่วหน้า มองเพื่อนสนิทที่ขัดใจตนเอง “แค่วันเดียวเอง”
“วันเดียวก็ไม่ได้”
“กูไม่แย่งคนของมึงหรอกน่า มึงก็รู้ว่าสเป็กกูต้องสูงยาวเข่าดีสมาร์ทแอนด์แฮนด์ซัม”
“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” สกายถอนหายใจยาว มองคนที่เอาแต่รบเร้าอย่างเหนื่อยหน่าย “แค่นี้กูก็รบกวนบ้านเขามากพอแล้ว ขืนพาเพื่อนไปเที่ยวอีกพ่อเอากูตายแน่”
รามิลเอียงคองง เขาไม่คิดว่าการพาเพื่อนไปทานข้าวที่บ้านจะรบกวนตรงไหนถึงจะไม่ใช่บ้านตัวเองก็เถอะ อันที่จริงเขาไม่ได้อยากไปทานข้าว แค่อยากไปเจอพี่วายุคนโปรดของสกายเฉยๆ รามิลอยากรู้ว่าเวลาอยู่ด้วยกันที่บ้าน ท่าทางที่วายุมีต่อเพื่อนของเขาเป็นอย่างไร ในฐานะผู้ชายที่ชอบผู้ชายอย่างเขาจึงคิดว่าน่าจะดูออกหากวายุมีรสนิยมเดียวกัน
“มึงลองโทรไปถามก่อนไหม บางทีพี่วายุอาจจะไม่ได้คิดอะไร”
“น้อยไปสิ วันแรกที่ไปถึงก็ห้ามกูไปยุ่งกับชีวิตส่วนตัวแล้ว กว่ากูจะตีสนิทเนียนๆ ได้ใช้เวลาตั้งนาน ดังนั้นมึงอย่าหวังเลยว่าจะได้เข้าบ้าน”
“พี่วายุโลกส่วนตัวสูงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“น่าจะอย่างนั้น กูยังเคยคิดเลยว่าสิบปีที่ผ่านมาเขาเปลี่ยนไปมาก”
“หมดกัน” รามิลทำปากยื่น สีหน้าแสดงออกชัดว่าผิดหวัง อุตส่าห์อยากเป็นกามเทพสื่อรักให้เพื่อนแท้ๆ
“แต่...ลองโทรไปถามดูก่อนก็ไม่เสียหาย”
ใบหน้าเศร้าๆ กลับมายิ้มแย้มทันที สกายดีดหน้าผากไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาโทรหาคนที่ตอนนี้น่าจะคุยงานกับลูกค้าเสร็จแล้ว
[พอดีเลย พี่ว่าจะโทรถามอยู่ว่าเราเรียนเสร็จยัง] เสียงใสๆ ที่ดังมาตามสายทำให้เด็กหนุ่มอมยิ้ม รามิลแอบมองบน แค่ได้ยินเสียงนิดๆ หน่อยๆ พ่อคนยิ้มยากกลับยิ้มง่ายขึ้นมาผิดหูผิดตา
“เสร็จแล้วครับ พี่วายุทำธุระเสร็จแล้วเหรอ”
[ใช่ พอดีลูกค้าชอบงานที่พี่ออกแบบมาก พอคุยเรื่องงานเสร็จเลยพามาเลี้ยงอาหารแถวมหา’ลัย นี่พี่นั่งเล่นอยู่ในร้านกาแฟ กะจะรอรับเรากลับทีเดียว]
“พี่กลับไปพักผ่อนก็ได้นะครับ ผมจำเส้นทางได้แล้วกลับเองได้” สกายพูดเสียงอ่อนเนื่องจากเป็นห่วงอีกฝ่าย เมื่อคืนเขาแอบเห็นว่าไฟในห้องทำงานของวายุเปิดยาวจนถึงเที่ยงคืน แถมเช้านี้ยังออกมาพบลูกค้าเร็วอีก เขาจึงกลัวว่าวายุจะเหนื่อยล้า
[ไม่เป็นไร อยู่บ้านเบื่อๆ ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเหมือนกัน เราเลิกเรียนแล้วใช่ไหมพี่จะได้ไปรับ]
รามิลสะกิดแขนเพื่อนเบาๆ เพื่อเตือนว่าอย่าลืมเรื่องสำคัญ
“เอ่อ...พี่วายุครับ จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะขอพาเพื่อนไปทานข้าวที่บ้าน” สกายเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะรีบพูดต่อเพราะกลัวคนปลายสายไม่พอใจ “เพื่อนผมมันอยากไปเที่ยวเฉยๆ ถ้าพี่ไม่อนุญาตก็ไม่เป็นไรนะครับ ผมเข้าใจ...”
[เอาสิ]
“หืม?” สกายเผลอยกโทรศัพท์ออกจากหูมามอง นี่เขากำลังคุยอยู่กับพี่วายุตัวจริงใช่ไหม “พี่วายุ...อนุญาตเหรอครับ”
[อืม แค่มาทานข้าวเองไม่เห็นเป็นไรเลย ดีซะอีกเราจะได้ไม่เหงา อยู่แปลกที่แปลกทางพี่ก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นโฮมซิก]
“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ” สกายเผลอทำเสียงขึ้นจมูกเมื่ออีกฝ่ายพูดเหมือนเขาเป็นเด็กๆ ถึงตอนนี้จะยังเป็นแค่นักศึกษาแต่เขามั่นใจว่าเขาโตพอจะดูแลวายุได้ ถ้าวายุอนุญาตให้เขาดูแลล่ะก็นะ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาให้ได้ยิน ก่อนที่คนโตกว่าจะเปลี่ยนเรื่องคุยดื้อๆ [เพื่อนอยู่ด้วยใช่ไหม]
“อยู่ครับ”
[งั้นบอกเพื่อนให้ไปพร้อมกัน พี่บอกให้แม่บ้านเตรียมอาหารรอไว้แล้ว มีเพิ่มมาอีกคนคงไม่เป็นไรหรอก]
“ขอบคุณนะครับ”
เมื่อเห็นเพื่อนวางโทรศัพท์ลงแล้ว คนที่รอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อก็รีบโพล่งขึ้นมาทันที “อนุญาตใช่ไหม”
“อืม”
“เย้!” รามิลร้องอย่างดีใจ ก่อนจะลดมือที่ชูขึ้นฟ้าลงเมื่อเห็นสีหน้าของอีกคน “ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ กูบอกแล้วไงว่าไม่แย่งพี่วายุ วางใจได้”
“กูไม่ได้คิดมากเรื่องนั้น”
“ถ้างั้นเรื่องอะไร”
คนถูกถามเบือนหน้าหนี รามิลทำตาปริบๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ คิดเอาเองว่าเพื่อนสนิทคงเครียดเนื้อหาวิชาที่เรียนวันนี้
สกายเหม่อมองรอบข้าง สายตาเต็มไปด้วยความน้อยใจ เขาจะบอกได้อย่างไรว่าน้อยใจที่วายุรีบตอบตกลงเพื่อนเขา แต่กลับต้อนรับเขาในวันแรกด้วยถ้อยคำเย็นชา
✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥
“สวย” รามิลเปรยขึ้นมาเบาๆ ขณะอยู่บนโต๊ะอาหาร
“มีนชมป้านิดเหรอครับ” วายุได้ยินเพื่อนของท้องฟ้าพูดเลยเอ่ยถาม ในห้องนี้มีผู้หญิงแค่ป้านิดที่กำลังเสิร์ฟอาหารให้ทุกคน
“เปล่าครับ ผม...ผมชมบ้านพี่วายุ ผมฝันอยากมีบ้านสวยๆ แบบนี้มานานแล้ว”
วายุยิ้มรับคำชมก่อนจะหันไปคุยกับท้องฟ้า รามิลจึงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เกือบหลุดปากไปเต็มประโยคแล้วว่าพี่วายุสวย ตอนเจอกันในห้างสรรพสินค้ารามิลเห็นไม่ชัด แต่พอได้มานั่งทานข้าวด้วยกันแบบนี้เขาจึงเห็นว่าวายุเป็นผู้ชายที่หน้าสวยมาก ต่างกับเขาที่ค่อนไปทางหน้าหวานมากกว่า
“อาศิมันตร์บอกว่าวันอาทิตย์หน้าให้พี่พาเราไปหาที่บ้าน ติดธุระอะไรหรือเปล่า” วายุจงใจไม่บอกเหตุผลว่าเป็นเพราะคุณพ่อต้องการฟังพฤติกรรมของลูกชายจากปากของเขาโดยตรง
“ไม่ครับ”
“ไม่ดีใจเหรอ จะได้กลับบ้านตัวเองเชียวนะ” วายุนึกแปลกใจ เขาคิดว่าจะได้เห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มเสียอีก
“ดีใจครับ” คำตอบของท้องฟ้าสวนทางกับใบหน้า เขายังน้อยใจวายุไม่หาย ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านวายุกับรามิลคุยกันสนุกสนาน จนท้องฟ้าอดคิดไม่ได้ว่าวายุอาจจะไม่ใช่คนโลกส่วนตัวสูง แต่เป็นเพราะวายุไม่ชอบเขาเลยพูดอย่างนั้นในวันแรกที่เขามาอยู่ที่นี่
“พี่วายุครับ” รามิลเอ่ยขึ้นมา ตั้งใจจะชวนเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อน “สกา...เอ่อ...ท้องฟ้าอยู่นี่มันเกเรไหมครับ”
รามิลยกมือปิดปากแทบไม่ทันเมื่อสายตาคมเข้มตวัดมามอง เขาถูกสกายขอร้องแกมบังคับว่าตอนอยู่ในบ้านวายุให้เรียกด้วยชื่อท้องฟ้า รามิลอยากรู้เหตุผล แต่เมื่อเพื่อนไม่ยอมบอกเขาจึงไม่ถามอะไรอีก คิดแค่ว่าสกายคงมีเหตุผลบางอย่าง
“ไม่เกเรครับ ท้องฟ้าเป็นเด็กดี พูดอะไรก็เชื่อฟังหมด ไม่เคยก่อเรื่องให้ปวดหัวเลย” วายุเอ่ยชมตามที่เขาคิด โดยหารู้ไม่ว่าคำชมของเขาทำให้เด็กดีหน้าหงิกงอมากขึ้น
“โห น้อยไปสิครับ พี่ต้องมาเห็นตอนมันอยู่กับผม บอกให้ไปซ้ายมันไปขวา บอกให้เดินหน้ามันถอยหลัง”
“เพื่อนไม่ใช่พ่อ ทำไมต้องฟัง” ท้องฟ้าจิ้มทอดมันมาใส่ปาก เขารู้สึกหงุดหงิดที่คนอื่นเอาแต่พูดเหมือนเขาเป็นเด็ก แม้แต่เพื่อนสนิทก็ไม่เว้น
“เพื่อนเหรอ พี่นึกว่าเป็นแฟนกันซะอีก”
“ไม่ใช่!” “ไม่ใช่ครับ!”
การประสานเสียงปฏิเสธพร้อมกันทำให้วายุเข้าใจไปอีกทางว่าเจ้าตัวคงไม่กล้าพูด
“ไม่เป็นไรพี่เข้าใจ เรื่องพวกนี้มันปกติมาก อย่ามองว่าพี่หัวโบราณสิ พี่ไม่ได้แก่ขนาดนั้น”
“เราสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆ ครับ” รามิลยืนยันอีกครั้ง วายุไม่ใช่คนแรกที่คิดแบบนี้ มีคนไม่น้อยที่เชียร์ให้เขาสองคนคบกัน แต่เพราะเป็นเพื่อนกันมานานจึงรู้นิสัยของกันและกันดี รามิลเลยเป็นแฟนกับท้องฟ้าไม่ลง เรียกว่าไม่เคยอยู่ในสายตาเลยดีกว่า
“จริงเหรอ”
“ครับ” ท้องฟ้าลงเสียงหนักแน่น เขาจะคบกับเพื่อนตัวเองได้อย่างไรในเมื่อคนเดียวที่อยู่ในใจเขาคือคนตรงหน้า
“อ่า...งั้นพี่ต้องขอโทษด้วย พี่เห็นคนนึงหล่อคนนึงน่ารัก ดูเหมาะสมกันดีเลยนึกว่าเป็นแฟนกัน” วายุพูดอย่างไม่คิดอะไร แต่เหมือนจะมีอยู่หนึ่งคนที่คิด
“แล้วผมกับพี่ล่ะครับ”
“หืม?” เป็นเพราะคนพูดเอาแต่พึมพำอยู่ในคอ วายุจึงได้ยินไม่ชัด “ท้องฟ้าว่าอะไรนะ”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ท้องฟ้าเบือนหน้าหนี ปล่อยให้อีกสองคนคุยกันไป เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ได้แต่ตัดพ้อในใจคนเดียว
ไม่ได้รู้เลยสินะครับว่าคนที่ผมอยากเป็นแฟนมากที่สุดก็คือพี่นั่นแหละ
✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥
“เป็นไงบ้าง” สกายเอ่ยถามระหว่างที่เดินมาส่งเพื่อนหน้าบ้าน ตอนแรกวายุอาสาจะไปส่งแต่รามิลปฏิเสธเพราะเกรงใจ อีกอย่างหอเขากับบ้านวายุก็ไม่ได้ไกลกันมาก
“ดูไม่ออกว่ะ พี่วายุของมึงหน้าสวยมากแต่ก็นิ่งมากเช่นกัน กูผ่านมาเยอะก็จริงแต่คนนี้แม่งเดายากสุด”
“อืม” สกายไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว เขาแค่ถามขึ้นมาเผื่อเพื่อนสนิทจะมองเห็นความเป็นไปได้อันน้อยนิด
“อย่าทำหน้าอย่างนั้น เทียบกับสิบปีที่ผ่านมาตอนนี้มึงพัฒนาขึ้นมากเลยนะ” รามิลตบบ่าให้กำลังใจคนตรงหน้า “ทำตัวดีๆ เผื่อความเป็นเด็กดีของมึงอาจทำให้พี่วายุหันมาชอบก็ได้”
“ว่ากูเด็กอีกแล้วนะ” คนที่ไม่อยากเด็กเผลอนิ่วหน้า เรียกรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากของอีกคน
“คิดมากเรื่องนี้อยู่สินะ”
สกายทำหน้าเหลอหลาเมื่อโดนจับได้ ยิ่งเห็นสายตาล้อเลียนเขายิ่งรู้สึกอาย
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้มึงเกิดหลังพี่เขาล่ะ อยากเหมาะสมกับคนอายุมากกว่าก็ต้องพยายามหน่อยนะ”
“มึงได้ยิน?”
“นั่งใกล้กันขนาดนั้น ถ้าไม่ได้ยินก็หูตึงแล้วครับคุณเด็กชายสกาย”
“กลับไปได้แล้ว” สกายรีบไล่เพื่อนกลับบ้าน ก่อนที่เขาจะยั้งใจไม่ไหวเผลอเตะคนขึ้นมาจริงๆ
“รู้แล้วน่า ไม่อยู่ขัดความสุขมึงนานหรอก” รามิลพูดยิ้มๆ ก่อนจะให้กำลังใจเพื่อนอีกรอบ “สู้ๆ ล่ะมึง สิบปียังทนมาแล้วเลย ใครจะรู้อาจมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”
“อืม ขอบใจ”
✦✪✧✥✦✪✧✥✦✪✧✥
“พี่วายุครับ”
ร่างสูงโปร่งชะงักมือค้างอยู่บนลูกบิดประตู เขากำลังจะเข้าห้องนอนหลังจากอุดอู้อยู่ในห้องทำงานมาหลายชั่วโมง
“ว่าไง”
“ผมมีเรื่องอยากคุยกับพี่”
วายุมองเด็กหนุ่มด้วยความแปลกใจ ท้องฟ้าอยากคุยอะไรกับเขาตอนสี่ทุ่มแบบนี้กันนะ
“ได้สิ เอาเป็นห้องนั่งเล่นแล้วกัน”
“คุยตรงนี้ก็ได้ครับ ไม่นานผมรับรอง”
“งั้นท้องฟ้าจะคุยอะไรกับพี่”
คนอายุน้อยกว่าหลุบตาลงต่ำ เขาไม่เคยอยากละสายตาไปจากใบหน้าวายุจนกระทั่งตอนนี้
“ท้องฟ้า” วายุเอ่ยเรียกซ้ำ รู้สึกถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า
“พี่วายุไม่ชอบผมใช่ไหมครับ”
“ฮะ!?” วายุเผลอเสียงดัง นี่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในหัวเขาเลยแม้แต่น้อย
“ตอนแรกผมคิดว่าพี่โลกส่วนตัวสูงเลยไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน แต่พอวันนี้พี่ให้มีนมาทานข้าว ผมเลยคิดว่าพี่น่าจะไม่ชอบผม”
“เดี๋ยว อะไรทำให้เราคิดแบบนั้น” วายุยังไม่เข้าใจความคิดของเด็กหนุ่ม
“ก็วันแรกที่ผมมาอยู่นี่พี่พูดกับผมไว้”
“เรื่องนี้เราคุยกันแล้วนะ”
“แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
วายุถอนหายใจ มองเด็กหนุ่มด้วยแววตาเหนื่อยใจปนเอ็นดู เขาเพิ่งรู้ว่าลูกชายเพื่อนพ่อเป็นคนขี้คิดมากก็วันนี้
“ท้องฟ้า” มือบางแตะบนไหล่กว้าง เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบกับรอยยิ้มที่เขาหลงใหลมาตลอดสิบปี “คิดว่าพี่ไม่ชอบให้ใครมาบ้านใช่ไหม”
“ครับ”
“พี่จะไม่บอกว่าเราพูดผิดเพราะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด”
“หมายความว่าไงครับ” เด็กตัวโตย่นคิ้ว วายุนึกขำอยู่ในใจ ภาพในตอนนี้เหมือนเขากำลังอธิบายเรื่องยากๆ ให้ลูกหลานฟังอยู่เลย
“พี่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่สนิทมาอยู่บ้านตัวเอง คำว่าอยู่หมายถึงค้างคืน ที่ไม่ชอบเพราะพี่รู้สึกว่าแบบนั้นจะทำตัวสบายๆ เหมือนตอนอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่กรณีของมีนแค่มาทานข้าวด้วยเฉยๆ ทานเสร็จก็กลับ แบบนี้พี่โอเคไม่ได้คิดมากอะไร”
“...”
“ส่วนที่พี่พูดกับเราวันแรกเพราะตอนนั้นพี่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอเรา แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วว่าต่อให้มีท้องฟ้าอยู่ด้วยพี่ก็ยังทำตัวสบายๆ ได้เหมือนเดิม พี่มั่นใจว่าท้องฟ้าจะไม่ทำอะไรให้ลำบากใจแน่นอน เพราะท้องฟ้าเป็นเด็กดี”
ท้องฟ้าเกือบรู้สึกดีแล้ว ถ้าท้ายประโยคไม่มีคำที่เขาแสลงหู เอาเถอะ เห็นแก่ที่วายุไม่ได้คิดแง่ลบกับเขา เขาจะปล่อยผ่านทำเหมือนไม่ได้ยิน
“ถ้าคำพูดพี่ทำให้ท้องฟ้าไม่สบายใจก็ต้องขอโทษด้วย พี่ขอโทษนะ”
ท้องฟ้ากำลังจะพูดว่าไม่เป็นไร หากแต่ไอเดียบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวเสียก่อน ร่างสูงมองคนตรงหน้านิ่ง เอ่ยถามออกไปโดยพยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้
“รู้ไหมครับว่าผมเสียใจกับคำพูดพี่แค่ไหน”
วายุมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ เขาเข้าใจว่าท้องฟ้าคิดมากกับคำพูดของเขา แต่ไม่นึกว่าจะถึงขั้นเสียใจ
“วันนั้นผมต้องพยายามอย่างหนักที่จะฝืนยิ้มให้พี่ ทั้งที่ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กไม่ได้เรื่องที่มารบกวนคนอื่น”
“ท้องฟ้า พี่...”
“ถ้าผมบอกว่าไม่ยกโทษให้ พี่จะทำยังไงครับ”
วายุถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่เคยรู้เลยว่าคำพูดที่คิดว่ากลั่นกรองมาดีแล้วจะทำให้คนๆ หนึ่งเสียใจได้ถึงเพียงนี้ วันนั้นเขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กที่จะมาป่วนในบ้านของเขา แต่พอได้รู้จักกันจริงๆ วายุถึงรู้ว่าไม่ใช่เลย
“พี่ขอโทษจริงๆ ขอโทษที่พูดโดยไม่ทันคิด”
ใบหน้ารู้สึกผิดทำเอาท้องฟ้าอยากหยุดแกล้ง แต่เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเขาจึงต้องแสดงละครต่อไป
“วันนี้ทั้งวันผมเอาแต่คิดว่าพี่เกลียดผม”
“เปล่านะ! พี่ไม่ได้เกลียด”
“พูดจริงเหรอครับ”
วายุรีบพยักหน้ารัวเร็ว นั่นล่ะคือสิ่งที่เขากำลังรอ
“ถ้างั้นพี่กล้าพิสูจน์ไหมครับว่าไม่ได้เกลียดผมจริงๆ”
“ได้สิ อยากให้พิสูจน์ยังไงบอกมาได้เลย”
“พาผมไปเที่ยว”
“หืม?” วายุกะพริบตาปริบๆ มองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ
“พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียน พี่ต้องพาผมไปเที่ยวเพื่อแสดงให้เห็นว่าพี่ไม่เกลียดผม ส่วนสถานที่เอาไว้ผมกลับไปคิดคืนนี้แล้วจะบอกทีหลัง แค่นี้พี่ทำให้ผมได้ไหม”
วายุอยากถามเหลือเกินว่านี่หรือคือวิธีพิสูจน์ว่าเกลียดหรือไม่เกลียด คิดยังไงก็ไม่เข้าใจว่ามันมาเกี่ยวกันได้ยังไง แต่พอเห็นสีหน้าหงอยๆ ของอีกฝ่ายจึงรีบตอบออกไป
“โอเคครับ ไปเที่ยวก็ไปเที่ยว แต่ขอเป็นในกรุงเทพฯ นะจะได้ไปกลับสะดวก พี่ไม่อยากค้างคืนต่างจังหวัด”
“ได้ครับ ผมก็ไม่อยากไปไกลเหมือนกันเพราะมะรืนมีเรียน”
วายุยังไม่หายงง เมื่อครู่เขารู้สึกผิด แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนล่อลวง แต่ไม่รู้ว่าใครและล่อลวงเรื่องอะไร
“ไปพักผ่อนเถอะครับ ขอโทษที่ชวนคุยซะยาว ราตรีสวัสดิ์ครับพี่วายุ”
“…ราตรีสวัสดิ์ครับ”
ร่างสูงโปร่งเปิดประตูห้องนอน เดินหายเข้าไปด้วยใบหน้ามึนงง ต่างกับใครอีกคนที่ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาของท้องฟ้าพราวระยับ เขากำลังสนุกที่ได้แกล้งผู้ใหญ่อ่อนโยนแต่ใสซื่อ
ไหนๆ ก็โดนหาว่าเป็นเด็กแล้ว ก็ขอเป็นเด็กไม่ดีด้วยการโดดเรียนไปเดตเลยแล้วกัน ขอโทษนะครับพี่วายุ แต่ความสุขไม่เข้าใครออกใคร ผมทำแบบนี้เพราะอยากมีความสุข แต่ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ผมจะทำให้พี่รู้ว่าอยู่กับผมก็มีความสุขได้เหมือนกัน
TBC Tag :
#ท้องฟ้าที่ผมรัก Twitter :
@earthxxide Facebook :
Earthxxide