๓๙.
ที่สุดปลายขอบฟ้า
“แด๊ด เดี๋ยวจอดส่งพวกเราลงตรงนี้ก็ได้ครับ” แดนบอกกับพ่อของเขา ที่อาสาขับรถมาส่งที่ทางใต้ของเกาะแมนฮัตตัน คุณโทมัสจอดรถเลยพิพิธภัณฑ์ชาวยิวไปเล็กน้อย “ไม่ครับ คืนนี้พวกเราจะพักที่โรงแรม พ่อไม่ต้องเป็นห่วง บอกแม่ด้วยว่าเราสองคนจะกลับไปกินมื้อค่ำที่บ้านด้วย ในเย็นวันพรุ่งนี้” แดนบอกกับพ่อของเขาขณะลงจากรถ และเขาคิดว่าจำเป็นมาก ถ้าทำให้แม่ของเขาสบายใจ รวมถึงพ่อและแม่ของเอิงด้วยเช่นกัน
“แต๊งส์ครับ มิสเตอร์โรเบิร์ต” เอิงกล่าวขอบคุณ คุณโทมัส ก่อนจะต้องเรียกคุณโรเบิร์ตใหม่ด้วยคำที่ถูกต้อง “ขอบคุณครับแด๊ด” คุณโทมัสพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มรับ ก่อนจะออกรถจากไป แดนมองเอิงด้วยความเอ็นดู หัวใจของเขาพองโตจนรู้สึกคับแน่นหน้าอกไปหมด ด้วยเหตุผลที่ว่า หนึ่งเอิงยืนอยู่ตรงหน้าเขา อยู่ด้วยกันกับเขาในเวลานี้ และสองคือ พ่อและแม่ของเขาอ้าแขนต้อนรับเอิงมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้ว
“พร้อมจะเจอพวกเพี้ยน เพื่อนของผมหรือยัง” แดนถามเอิง ก่อนจะเห็นเอิงยิ้มกว้างให้เขาแทนคำตอบ “พวกมันใจจดใจจ่อที่จะเจอคนที่ผมเฝ้ารอมาตลอดคนนี้แล้ว” เอิงรู้แล้วว่า เวลาแดนทำท่าทางกรุ้มกริ่มกับเขา สายตาที่แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาของหนุ่มลูกครึ่งคนนี้ มันทำให้เขาใจสั่น รู้สึกเคอะเขินได้ทุกที
“ตอนนั้น ซายเขาต้องเจอกับอะไรแบบนี้ด้วยใช่มั้ยเนี่ย” เอิงกระเซ้าแดน หนุ่มลูกขึ้นได้ยินแบบนั้น ก็หัวเราะออกมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ผมว่า ก็ไม่น่าจะต่างกันมากนะ” แดนตอบกลับไป พลางนึกว่า แมทคงได้ทิ้งลีลาการจีบคู่ให้กับเขาเอาไว้บ้าง ไม่มากก็น้อย ยังไงเสีย เขาก็มีไม้เด็ดมัดใจเอิง กับไมโลแก้วอุ่น ๆ เอาไว้ดื่มด้วยกันไป คุยกันไปแล้วแน่นอน
แดนเดินพาเอิงมาที่ประตูทางเข้าของสวนสาธารณะแห่งนี้ ตัวทางเข้าก่อด้วยอิฐแดงขึ้นเป็นลักษณะของโคลอสเซียม มีบันไดทางขึ้นอยู่ทั้งซ้ายขวา ตรงกลางเป็นทางเข้าหลัก มีประติมากรรมตั้งแสดงอยู่ด้านหน้า ด้านในเป็นสนามหญ้าสีเขียวขนาดใหญ่ มีคนมานั่งเล่นและปิกนิกกันได้ มองเลยถัดเข้าไปอีกจนสุดสายตาด้านหน้านั้น เป็นทางเดินฮาร์เบอร์ยาวขนานไปกับฝั่งแม่น้ำ
“จริง ๆ เดือนตุลาคมปีนี้ พวกเขามีแพลนจะทุบสวนแห่งนี้ทิ้ง แล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่ ด้วยเหตุผลเรื่องไคลเมต เชนจ์ น้ำจะท่วมสวน” แดนบอกเล่าถึงเรื่องความตั้งใจที่เมืองนี้ จะบูรณะสวนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ “แต่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนี้มานาน บนตึกสูงระฟ้าพวกนั้น” แดนชี้นิ้วไปที่ตึกสูงเสียดฟ้าที่ยืนตระหง่านเป็นฉากหลังให้กับสวน
“พวกเขาประท้วง ว่ามันจะออกจะเกินไปหน่อย และฟังดูไม่ค่อยเป็นมิตรทางความรู้สึก เรื่องที่จะทำลายสิ่งที่ดีลงไป ด้วยเหตุผลที่ว่า จะสร้างสิ่งที่คิดเอาเองว่าดีกว่า” เอิงฟังที่แดนเล่า พลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ สวนสวยแห่งนี้ “ตอนนี้แผนที่จะทุบทิ้งจึงปรับเป็นว่า จะทำคันกั้นน้ำและปลูกต้นไม้เป็นร้อย ๆ ต้น เพิ่มเติมแทน” ลมเย็น ๆ จากอ่าวพัดมาปะทะตัวของเอิง ให้รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก
“มันคงจะดีไม่น้อย หากว่าตอนนั้น แมทและซายเขาสามารถพูดอะไรได้ดั่งใจ อย่างที่ผู้คนในตอนนี้ทำได้” เอิงสบตากับแดน สีหน้าและแววตาของแดนที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแมท ทำให้ชายหนุ่มลูกครึ่งต้องเป่าลมออกจากปาก เพื่อระบายความรู้สึกตื้อตันภายในจิตใจนั้นออกมา เอิงมองตามสายตาของแดน ที่มองเลยไกลออกไปในอ่าวเบื้องหน้านั้น
“อิสระที่จะรักกับใครก็ได้ โดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะยอมรับไม่ยอมรับ อีกหน่อยโลกของเรามันคงจะเป็นไปแบบนั้นได้” ที่ตรงนั้น ไกลออกไป ทั้งสองคนมองไปที่เทพีเสรีภาพตั้งตระหง่านอยู่บนเกาะลิเบอร์ตี้ ชื่อเกาะที่แปลว่า หลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง เสรีภาพที่ทำให้ใจไม่ถูกดึงรั้งไว้ด้วยอคติหรือความไม่เข้าใจทุก ๆ อย่าง
“พวกเขาทำดีที่สุด เท่าที่พวกเขาจะทำได้แล้ว” เอิงพูดขึ้น แดนหันกลับมามองใบหน้าของเอิง “เพียงแต่สถานการณ์ สถานที่ การติดต่อสื่อสาร ระยะทางระหว่างกัน มันไม่เอื้ออำนวยให้พวกเขารับรู้หัวใจของกันและกันได้เลย” เอิงยังรู้สึกถึงความรู้สึกที่ด้าจก์ซายมี กับความทรมานใจของคนที่ได้แต่เฝ้ารอ รอโดยไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ที่การรอคอยนั้น มันจะสิ้นสุดลง
หากว่าในตอนนั้น แมทสามารถกลับมาหาด้าจก์ซายได้ดั่งใจนึก และด้าจก์ซายก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเป็นไป สิ่งที่เกิดขึ้นกับแมท ความทุกข์ทรมานในใจคงไม่มากมายจนล้นหัวใจขนาดนั้น แม้แต่ในวันที่ทั้งสองคนจากโลกนี้ไป ก็ไม่มีโอกาสได้เจอะเจอ พูดคุยทำความเข้าใจถึงเหตุจำเป็นในชีวิตของกันและกัน ว่าอะไรที่กั้นกลางความรักของพวกเขาเอาไว้
“เอิง” แดนเรียกชื่อของอีกฝ่าย “เอิงเห็นรูปปั้นอันนั้นมั้ย” แดนพูดพลางออกเดินนำไปทางรูปปั้นที่เขากำลังพูดถึง ในสวนแห่งนี้ มีรูปปั้นหนึ่งที่ชื่อว่า Ape & Cat (At the Dance) ตั้งอยู่ มันเป็นรูปปั้นของลิงและแมว ที่กำลังเต้นรำอยู่ในงานเลี้ยง โดยทั้งสองโอบกอดแนบชิดซึ่งกันและกัน
“มีคนตีความรูปปั้นนี้ไปในหลายความหมาย” แดนพูดขึ้น เมื่อทั้งสองมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าของงานปั้นชิ้นนี้ เอิงมองไปที่รูปปั้นนั้น “สัตว์สองชนิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งนิสัยใจคอและเผ่าพันธุ์” แดนพยักหน้าเบา ๆ พลางฟังที่เอิงกำลังพูดออกมา “แต่กลับมาใกล้ชิดกัน ดูรักและทะนุถนอมซึ่งกันและกัน” นี่คือความรู้สึกที่เอิงได้รับจากการได้เห็นผลงานของศิลปินที่สรรค์สร้างงานชิ้นนี้
“เอิงลองมาดูรูปปั้นนี้อีกที ตรงมุมนี้สิ” แดนดึงมือของเอิง ให้มายืนที่อีกด้านหนึ่งของรูปปั้น “เอิงรู้สึกยังไงครับ ทีนี้” เอิงมองไปที่รูปปั้นเดียวกันนั้น “เหมือนทั้งสองกำลังบอกลากันและกัน” ความรู้สึกเศร้านี้ อยู่ ๆ เอิงก็รับรู้ขึ้นมาได้จากมุมที่มองไปยังรูปปั้นที่เปลี่ยนไป
“เหมือนคนปั้นจงใจทำให้สีหน้าของทั้งลิงและแมวเปลี่ยนไป เมื่อแสงที่มาตกกระทบไม่เหมือนเดิม” แดนพูดอธิบายให้เอิงได้ฟัง “สิ่งที่ผมรู้สึกจากรูปปั้นนี้คือ ความรู้สึกลึก ๆ ในใจ ที่คนเราไม่สามารถบอกออกมาให้คนอื่นได้เข้าใจ หากว่าเขาเหล่านั้น ไม่ได้มายืนอยู่ในจุดที่เรารู้สึกจริง ๆ ไม่ได้มาเห็นกับตาว่าเราต้องผ่านอะไรบ้าง จนเขานึกเอาเองว่า เรายังรู้สึกดีอยู่ เรายังโอเคอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพวกเขา”
คำพูดของแดน ทำให้เอิงนึกไปถึงสิ่งที่แมทและซายต้องเผชิญ สิ่งที่ต้องซ่อนเร้น ความเป็นจริงที่ถูกปิดบัง และเมื่อคนบนโลกใบนี้รับรู้ถึงความรู้สึกของคนทั้งคู่ กลับกลายเป็นว่า นอกจากพวกเขาจะสูญเสียคนรอบข้างไปทั้งหมดแล้ว เขายังต้องสูญเสียกันและกันไปอย่างน่าเศร้าใจ
“แต่ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันตรงนี้อีกครั้ง” เอิงพูดพลางยิ้มน้อย ๆ กับแววตาอบอุ่นหัวใจที่แดนส่งผ่านมาให้ “สิ่งที่เหลือเชื่อได้เกิดขึ้นกับเรา” แดนยืนยันตามที่เขาพูดด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มที่ยากจะบรรยาย ใครจะนึก ใครจะไปเชื่อ ว่าการจากกันในครั้งนั้นของแมทและซาย จะทำให้ความทรงจำของทั้งสองคน หวนกลับมาใหม่ ในวันที่ทั้งสองนั้น กลายมาเป็นแดนและเอิงแบบนี้
“งานดนตรีเริ่มแล้ว” แดนเอ่ยขึ้น ก่อนจะยื่นมือให้เอิงจับ เจ้าของมือทำหน้ายิ้ม ๆ เมื่อเห็นเอิงมีท่าทางเขินอยู่ไม่น้อย ที่จะเดินจับมือ แสดงความรักกันอย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องหลบซ่อนว่าพวกเขานั้นเป็นอะไรกัน “เราไปกันเถอะ” เอิงเอื้อมมือออกไปจับมือของแดนเอาไว้ แดนกระชับมือของเขาเข้ากับมือของเอิงจนแน่น ก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินไปด้วยกัน เป็นอีกหนึ่งคู่รักธรรมดาทั่วไปในสวนสาธารณะนั้น ที่ออกมาเพลิดเพลินกับงานดนตรีและศิลปะที่อยู่รายล้อมตัว
หิมะหยุดตกไปได้สักพัก เช้าในฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกวันนี้ ไมโลเดินผ่านทางเดินเล็ก ๆ ที่ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด จนมาหยุดอยู่ที่บึงน้ำภายในสวน ด้านหน้าของอดีตนายทหารเก่า คือศาลาไม้เล็ก ๆ ริมน้ำ มีที่นั่งด้านข้างพอให้คนสักสามสี่คนได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ
บรรยากาศที่เงียบสงบ น้ำในบึงยังคงใสแจ๋ว สะท้อนภาพของเมฆที่จับตัวเป็นก้อนถี่ ๆ อยู่ด้านบน ไมโลทรุดตัวลงนั่งตรงด้านหนึ่งของที่นั่งในศาลา แต่อีกไม่นาน เมื่อความหนาวเย็นทวีคูณเพิ่มขึ้น ไมโลคิดกับตัวเอง น้ำในบึงทั้งบึงแห่งนี้ ก็จะกลายเป็นหิมะไปทั้งหมด โดยที่ต้นไม้ที่ผลัดใบทิ้งจนหมด
จะเหลือเพียงแต่กิ่งก้านที่มีหิมะร่วงหล่นลงมาเป็นใบแทนอยู่เต็มต้น ยืนต้นรายล้อมอยู่ทั่วทั้งบึง ตอนนี้ที่จะมี ก็เพียงต้นไม้เล็ก ๆ ริมน้ำที่ยังพอเหลือใบเรียวยาวสีเขียวแซมให้เห็นอยู่เป็นระยะ แต่อีกไม่นานความสดใสที่เห็น ก็จะกลายสภาพเหี่ยวเฉาไปเช่นกัน
ไมโลดึงเอากระดาษแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งออกจากเสื้อโค้ทตัวยาวที่เขาสวมอยู่ มันเป็นภาพวาดลายเส้นดินสอ ที่เขาขอให้นักวาดรูปที่นั่งรับวาดภาพเหมือนอยู่ข้างทาง วาดให้เขา นักวาดรูปนั้นใช้เวลาอยู่นานกว่าจะวาดรูปนี้ออกมาจนเสร็จ เพราะไมโลให้ต้นฉบับคนในรูปจากความทรงจำที่เขาเก็บไว้
รอยยิ้มแต้มที่ริมฝีปากของไมโล เมื่อเขาได้ดูภาพวาดบนกระดาษที่เขาถืออยู่ในมือ เขานึกถึงใบหน้าอันอ่อนโยนและดวงตาที่สดใสของซาย มุ่นมวยผมที่มีช่อผมรุ่ยร่ายลงมา ทำให้เขานึกอยากจะก้มฝังจมูกลงดอมดมมันอีกครั้ง 'อยากกอดแน่น ๆ ' มันคือเสียงเรียกร้องจากหัวใจของไมโล ที่เขาอยากจะดึงตัวของซายเข้ามากอดอีกสักครั้ง ให้หายคิดถึง
แต่เมื่อเขารู้ตัว กับความจริงที่เป็นอยู่ ฉับพลันน้ำตาอุ่นร้อนก็เอ่อขึ้นมาที่ขอบตา ระยะทางระหว่างกันทำให้ก้อนสะอื้นแข็ง ๆ แล่นขึ้นมาจุกที่คอหอย 'ไมโลนายจะทำยังไงให้ความต้องการของนายเป็นความจริง' แค่เพียงเท่านั้น น้ำตาของอดีตนายทหารช่างหนุ่มก็พร่างพรูลงมา ก่อนที่ไมโลจะกลั้นเสียงสะอื้นไห้เอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป
แดนเดินพาเอิงผ่านบึงน้ำใหญ่ ที่มีศาลาไม้ริมน้ำตั้งอยู่ ต้นไม้ยืนต้นมากมายเรียงตัวรายล้อมบึงน้ำเอาไว้ ต้นหญ้าน้ำแซมตัวเป็นระยะ ๆ ที่ริมน้ำนั้น มันแทรกตัวอวดใบเรียวสีเขียวอยู่ทั่ว ลมโชยพัดมา ทำให้มันลู่ไปตามแรงลม น้ำใสในบึงพัดเป็นระลอกพลิ้ว บรรยากาศนั้นร่มรื่น ชวนให้พักผ่อนหย่อนใจ
“มีบ่าวสาวหลายคู่นิยมมาจัดงานแต่งงานกันตรงนี้” แดนชี้นิ้วไปที่ศาลาไม้ที่มีที่นั่งอยู่สองด้านซ้ายขวา มันตั้งอยู่ริมน้ำ โดยให้บึงน้ำเป็นฉากหลังพิธีให้ “บาทหลวงจะยืนอยู่ตรงกลาง และคนสองคนก็จะยืนกันคนละข้างแบบนี้” แดนจัดแจงให้เขายืนอยู่ตรงข้ามกับเอิง
“แล้วพวกเขาต่างก็แลกแหวนแต่งงาน” เสียงพูดของแดนนั้นจริงจังขึ้นมาในทันใด “พร้อมกับพูดคำว่าไอดู” เอิงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่มีของแดน มันพรั่งพรูออกมาทั้งจากน้ำเสียง ท่าทาง และแววตาของชายหนุ่ม “แมทเขาเคยที่นี่ใช่มั้ย” เอิงเอ่ยถามหนุ่มลูกครึ่งไทย – อเมริกันออกไป แดนหลับตาพยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ ก่อนจะเอียงแก้มเข้าหามือของเอิงที่ยื่นมาแตะที่ใบหน้าของเขา
“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว” แดนลืมตาขึ้น เสียงพูดอันอ่อนโยนและปลอบประโลมใจของเอิง ทำให้แดนดีใจอย่างไม่รู้ว่าเขาจะอธิบายมันออกมาว่าอย่างไรดี ความสุขที่ได้เห็นเอิงยืนอยู่ตรงหน้าเมื่อเขาลืมตาขึ้น ความยินดีที่ได้เอิงกลับคืนมา แม้ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง และนี่มันไม่ใช่ชีวิตที่แล้วของพวกเขาก็ตาม
“โย่ว แมน” เอิงนึกขำที่เห็นอีกด้านหนึ่งของหนุ่มอเมริกัน เมื่อเวลาที่เขารับโทรศัพท์เพื่อน แดนนึกเสียดายอยู่เหมือนกัน ที่ต้องรับสายเรียกเข้าของเพื่อน ก่อนจะได้สร้างซีนโรแมนติก ดึงเอิงเข้ามากอดแน่น ๆ ในอ้อมแขน “โอเค ซี ยู กายส์ อิน ทเว้นทิ่” แดนกดวางสายเมื่อพูดจบ
“พวกเพื่อน ๆ ของผมจะมาถึงในอีกยี่สิบนาที พวกมันให้เราไปนั่งฟังเพลงรอกันก่อนได้เลย” แดนบอกให้เอิงรู้ ทั้งสองเลยเดินตรงไปที่งาน ที่ไม่ไกลจากศาลาริมน้ำนั้นมากนัก เมื่อเดินไปถึง มีคนอื่น ๆ มาจับจองที่นั่งอยู่แล้วพอสมควร แดนเดินไปยื่นตั๋วที่เขาจองเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อรับหูฟังมายื่นให้กับเอิง พร้อมสอนวิธีเปลี่ยนช่องถ่ายทอดสด เพื่อเปลี่ยนแนวเพลงอื่น ๆ ที่ต้องการฟัง
“แบบนี้ก็ดีนะ ฟังเพลงดัง ๆ แสบแก้วหูได้ โดยไม่หนวกหูคนอื่น” เอิงพูด ก่อนครอบหูฟังลง แล้วโยกหัวไปมาให้เข้ากับจังหวะเพลงร็อกที่กำลังเล่นอยู่ แดนหัวเราะชอบใจกับท่าทางของเอิง จนเขาต้องเปลี่ยนช่องเพลงตามอีกฝ่าย แล้วก็ต้องทำหน้าเหวอ เมื่อได้ยินเพลงร็อกหนัก ๆ กำลังแผดเสียงอย่างเร้าใจ
แดนกับเอิงกำลังฟังเพลงในหูฟัง ก่อนที่แดนจะสังเกตเห็นมีบางคนเริ่มวิ่งผ่านด้านหลังเขาไป ชายหนุ่มมองตาม กลุ่มชายหญิงสองสามคนพูดคุยอะไรกันบางอย่าง ก่อนจะรีบเดินไปอีกทางของสวน โทรศัพท์ของแดนที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาดังขึ้นอีกครั้ง และดับลง ก่อนที่มันจะดังขึ้นถี่ ๆ ราวกับว่าคนที่โทรมามีเรื่องด่วน และต้องการให้แดนรับสายเดี๋ยวนี้
แดนหันมองไปทางที่มาจากด้านหน้าของสวนสาธารณะ ก่อนจะเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ เหมือนกับว่าเขาหนีอะไรบางอย่างอยู่ แล้วทันใดนั้น ผู้ชายคนนั้นก็ล้มลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น ก่อนที่แดนจะเห็นผู้หญิงอีกคนทำท่ากรีดร้อง วิ่งมาทางนี้เช่นกัน แล้วเธอคนนั้นก็ล้มลงไปแน่นิ่งอยู่ที่พื้น แดนรีบประมวลผลกับสิ่งที่เขาเพิ่งเห็น ก่อนจะตกใจรีบคว้ามือของเอิงในทันที
“กราดยิง” แดนถอดหูฟังของตัวเองและของเอิงออก “เราต้องรีบออกไปจากที่นี่” แดนบอกกับเอิง ก่อนจะตะโกนอย่างเดียวกันบอกผู้คนตรงนั้น แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครได้ยิน เนื่องจากทุกคนครอบหูฟังเอาไว้ “เอิงมากับผม” เอิงที่ตกใจไปกับสิ่งที่แมทพูด แต่ก็รีบรวบรวมสติ ลุกขึ้นวิ่งไปกับแมท ตรงไปยังบูธดีเจที่อยู่ใกล้ที่สุด แดนรีบบอกสิ่งที่เขาคิดว่าเกิดขึ้นกับดีเจ และให้ดีเจรีบประกาศออกหูฟังให้ทุกคนได้รับรู้
“เอิงหลบ” ทันใดนั้น เสียงปืนดังขึ้นถี่ ๆ หลายนัด แดนรับเอาตัวของเขาบังเอิงเอาไว้ โดยผลักเอิงให้เข้าไปที่ด้านหลังของบูธดีเจ โดยที่ดีเจอเอง พอได้ยินเสียงปืนแบบนั้น จากตอนแรกที่ไม่เชื่อ ก็รีบประกาศออกไมค์ผ่านหูฟังของผู้เข้าร่วมงานเทศกาลดนตรีในทันที คราวนี้ ฝูงชนพากันแตกตื่น ฮือกันวิ่งหนีกันอลหม่าน
“เราอยู่ที่นี่ไม่ได้” แดนบอกกับเอิง ในขณะที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกจากที่ไกล ๆ เอิงพยักหน้าแทนคำตอบ ความกลัวทำให้เอิงหายใจเร็วและแรง แดนก้มลงจูบลงที่ปากของเอิงเพื่อให้เจ้าตัวหายกลัว ก่อนที่เขาจะจับมือเอิงเอาไว้จนแน่น “อย่าปล่อยมือจากผมเป็นอันขาด” แดนออกคำสั่ง ก่อนจะพาเอิงวิ่งออกจากที่ด้านหลังบูธดีเจนั้น โดยก้มตัวลงต่ำให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นเป้าชัดเจน
ทั้งสองคนวิ่งตรงไปที่พุ่มไม่ใหญ่ อ้อมไปทางประตูทางเข้าด้านหน้าที่พวกเขาเข้ามาในตอนแรก แดนประเมินจากเสียงปืน ที่ดังขึ้นเข้าไปใกล้กับลานนั่งฟังดนตรี ที่เขาสองคนเพิ่งวิ่งมาจากตรงนั้น เอิงตัวสั่นเทาไปหมดด้วยความกลัว จากตอนที่วิ่งมานั้น เขาเห็นมีคนมากมายหลายคน ที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น แดนรีบบอกให้เอิงรู้ว่า พวกเขาทั้งสองคนจะไม่เป็นอะไร
ปืนเงียบเสียงลงไปได้สักพัก แดนจึงค่อย ๆ ชะโงกหน้าออกจากพุ่มไม้ใหญ่นั้น เพื่อดูเหตุการณ์ด้านนอกที่เกิดขึ้น ทุกอย่างดูเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดไหวติง แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกพรั่นพรึงก็คือ มีร่างคนจำนวนไม่น้อย นอนอยู่บนพื้น ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่า คนเหล่านั้นยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่
“เราจะวิ่งเลาะริมรั้วนี้ไปจนถึงทางออกประตูใหญ่ เราจะปลอดภัยที่นั่น เมื่อได้ออกไปจากสวนนี้แล้ว” แดนพูดกับเอิง ก่อนจะบีบมือของเอิงจนแน่น เพื่อเป็นการบอกว่า พวกเขาทั้งสองคนจะไม่เป็นไร เอิงพยายามรวบรวมสติ นี่เป็นเหตุการณ์ระทึกขวัญมากที่สุดที่ได้เคยเจอมา แต่เอิงก็เชื่อในตัวของแดน ว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร
“วิ่งให้เร็วที่สุด อย่าหยุด จนกว่าเราจะออกไปจากประตูรั้วนั้นได้” แดนพูดย้ำกับเอิงอีกครั้ง ก่อนจะรอจังหวะเหมาะ ๆ เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรเคลื่อนไว้ที่ด้านนอกนั่นแล้ว “ไป เอิง วิ่ง” แดนฉุดมือของเอิงให้วิ่งตาม ทั้งสองวิ่งจนเต็มฝีเท้า ประตูด้านหน้าสวนทั้งที่อยู่ในระยะที่ไม่ไกลจากตรงพุ่มไม้ที่ทั้งสองแอบซ่อนตัวอยู่ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ในความรู้สึก มันช่างไกลแสนไกล ทำให้ใจกลัวจนเจ็บปวดหนึบไปหมด
“เอิง วิ่ง เร็ว อย่าหันกลับไปมอง” แดนตะโกนขึ้น ร้องบอกเอิง เมื่ออยู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ วิ่งไล่ตามทั้งคู่มาจากด้านหลัง “แดน ผมวิ่งไม่ไหวแล้ว” เอิงร้องบอกกับแดน เมื่อเห็นว่าประตูรั้วนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ขาของเขากลับหมดแรงไปเสียดื้อ ๆ
“เราหยุดไม่ได้” แดนร้องบอกอีกครั้ง ก่อนหันไปมองทางด้านหลัง เขาเห็นใครบางคนสวมหมวกไอ้โม่ง ถือปืนยาวไรเฟิล วิ่งตามมา ก่อนที่เสียงปืนหลายนัดจะดังขึ้น แดนคว้าตัวของเอิงเอาไว้ ก่อนจะล้มลงบนพื้นดิน กลิ้งไปหลบอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่
“เอิง เอิง เป็นอะไรมั้ย” แดนร้องถามด้วยความตกใจกลัว รีบสำรวจเอิงว่า บาดเจ็บที่ตรงไหนหรือเปล่า ก่อนจะเห็นเอิงส่ายหน้าถี่ ๆ บอกว่าเขาไม่เป็นอะไร “เหลืออีกนิดเดียว ไม่ไกลแล้ว” เอิงมองตามแดนไป ประตูทางออกด้านหน้า อยู่ไกลออกไปเพียงอีกไม่กี่เมตรเท่านั้น
แดนพยักหน้าให้กับเอิง เป็นสัญญาณว่า พวกเขาทั้งสองคนต้องไปกันต่อแล้ว ไม่มีเวลาแล้ว ก่อนจะดันตัวลุกขึ้น เอิงทำตาม ทั้งสองกำลังจะออกวิ่งอีกครั้ง แดนก็รู้สึกได้ว่า เอิงคว้าเสื้อของเขาจากทางด้านหลัง แดนรีบหันมามอง ก่อนจะต้องรีบคว้าตัวของเอิงเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเอิงทรุดตัวลงกับพื้น
“เอิง ไม่นะ ไม่นะ” มือของแดนที่คว้าเข้ารับด้านหลังของเอิงไว้ รู้สึกได้ทันทีถึงของเหลวอุ่นที่ไหลออกมาแดงฉานจากหลังของเอิง “โน โน โน โน” แดนร้องตะโกนอย่างคนเสียสติ เมื่อเห็นเลือดของเอิงเต็มไปหมด ก่อนที่เสียงปืนอีกหลายนัดจะดังขึ้น แต่ครั้งนี้ เป็นเสียงปืนจากตำรวจ ที่ตัดสินใจยิงเพื่อปลิดชีพมือปืนสองคน คนหนึ่งวิ่งไล่ตามแดนและเอิงมา ส่วนอีกคนรอซุ่มดักยิงใครก็ตามที่คิดจะเข้าหรือออกสวนสาธารณะแห่งนี้
“เอิงอยู่กับผมก่อน ไม่นะ อย่าหลับ เอิง เอิง อยู่กับผม อยู่กับผม เมดิค เมดิค มีคนโดนยืนตรงนี้ เมดิค” แดนตะโกนเรียกหาหน่วยพยาบาลดังลั่น ตำรวจที่เห็นเหตุการณ์อยู่ตรงนั้น รีบวอเรียกหน่วยพยาบาลให้รีบเข้ามาช่วยเหลือคนเจ็บโดยเร็วที่สุด
“ไม่เป็นไรนะ” เสียงพูดของเอิงอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด เอิงรู้สึกหมดแรง เมื่อพยายามจะยกมือขึ้นแตะแก้มของแดน “เอิง อยู่กับผม อยู่กับผมก่อน รถพยาบาลกำลังมาแล้ว หมอกำลังมาแล้ว เอิงต้องไม่เป็นอะไร” แดนพูดด้วยอาการปากคอสั่นไปหมด มันคืออาการของคนที่กำลังเผชิญกับความกลัวที่สุดในชีวิต ที่มันอาจจะเป็นการกลัวการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง
“เอิงรักแดนนะ” เสียงพูดของเอิงเบาลง ลมหายใจเริ่มแผ่วตาม “เอิงอย่าหลับ เอิงอยู่กับผมก่อน ไม่นะ ลืมตาขึ้นมามองผมก่อน เอิงอย่าทิ้งผมไว้คนเดียวแบบนี้ เอิงเข้มแข็งเอาไว้ เมดิค เมดิค” แดนแผดตะโกนเรียกหน่วยฉุกเฉินที่ยังมาไม่ถึงจนสุดเสียง ตำรวจหลายนายที่ยืนอยู่ตรงนั้น ต่างพากันเบือนหน้านี้ไปทางอื่น ด้วยความรู้สึกสลดหดหู่ ที่กำลังเห็นผู้ชายคนหนึ่งเรียกคนรักของเขา ไม่ให้จากไป
“เอิงอย่าทิ้งผมไป อย่าทิ้งผมเอาไว้ ได้โปรด ได้โปรด โอ้ พระเจ้า โน โน โน” แดนกรีดร้องทั้งน้ำตา เมื่อเห็นเอิงปิดเปลือกตาลง ไม่ใช่สิ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ แดนร้องตะโกนเรียกชื่อของเอิงด้วยน้ำเสียงของคนแทบจะขาดใจตามไป ที่แดนต้องการกอดเอิงเอาไว้แน่น ๆ มันไม่ใช่การกอดของการจากลาแบบนี้
“เอิง อยู่กับผมก่อน โอ ก็อด โน ก็อด โน ลืมตามองผมก่อน พลี้ส ฮันนี่” แดนก้มลงจูบที่หน้าผากของเอิง ก่อนจะคว้าร่างของเอิง เข้ามากอดเอาไว้กับอก เสียงร่ำไห้ของเขาทำให้ทั่วทั้งบริเวณนั้นเต็มไปด้วยความเศร้า เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังแว่วใกล้เข้ามา
“ไอ เลิฟ ยู มาย เลิฟ” น้ำตาของแดนพรั่งพรู เขามองออกไปที่ด้านนอกของประตูสวนสาธารณะ แสงไฟฉุกเฉินจากรถพยาบาลวิ่งเข้ามาหยุดจอดอยู่ตรงนั้น ด้วยดวงตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตาของแดน เขามองเห็นป้ายที่แขวนเอาไว้ที่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ฝั่งตรงข้ามถนน
มันเขียนเอาไว้ว่า 'What Hate Can Do' สิ่งที่ความเกลียดชังทิ้งเอาไว้
**********************************
คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA
English Lyrics Translation by KADUMPA
https://www.youtube.com/watch? v=hsRK0kfVzUA
ฉันยังเป็นคนที่รักเธอหมดใจ
I’m the guy who loves you with no questions asked
ฉันยังได้แต่คิดถึงเธอเรื่อยไป
My heart goes out to you as always
ฉันยังดูรูปถ่ายที่เราชิดใกล้อยู่ทุกวัน
I still look at our photos, how close we were back in the day
ฉันยังรอคอยให้เธอนั้นกลับมา
I’ve been waiting for your return
ฉันยังกาปฏิทินทุกคืนวัน
Marked on calendar each day’s gone by
เพราะคำเดียวระยะทางที่มาขวางกั้นเราไว้
The distance between us is the real culprit, obviously
ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
I can’t help but wonder
อยู่ตรงนั้นเธอเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
Keep thinking how you are over there
ฝากเพลงนี้ให้ไปถามเธอดู
This is the song sent your way
อยากจะรู้ในความเป็นไป
It says how much I care about you
เธอยังคิดถึงฉันทุกนาทีรึเปล่า
Do you still miss me with all minutes they are?
เธอยังจำเรื่องเราในวันวานได้หรือไม่
Do you still remember those days we had before?
เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว
Am I the only one you love? Are you still waiting for me?
เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม
Is everything still just the way they are?
ช่วยบอกให้รู้ที
Please let me know
ฉันกลัวใครทำให้เธอนั้นเปลี่ยนไป
I’m afraid there will be someone come change your mind
ฉันกลัวสิ่งที่ไม่แน่นอนมากมาย
I’m frightened with the uncertainty in the world
ฉันกลัวคำว่าเสียใจ เธอรอฉันได้ใช่ไหม
I’m scared of the word sorrow, will you please wait for me, my love?
ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
I can’t help but wonder
อยู่ตรงนั้นเธอเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
Keep thinking how you are over there
ฝากเพลงนี้ให้ไปถามเธอดู
This is the song sent your way
อยากจะรู้ในความเป็นไป
It says how much I care about you
เธอยังคิดถึงฉันทุกนาทีรึเปล่า
Do you still miss me with all minutes they are?
เธอยังจำเรื่องเราในวันวานได้หรือไม่
Do you still remember those days we had before?
เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว
Am I the only one you love? Are you still waiting for me?
เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม
Is everything still the same?
เธอยังคิดถึงฉันทุกเวลาอยู่หรือเปล่า
Do you still miss me all the time there is?
เธอยังดูรูปเราใบเดิมเดิมอยู่หรือไม่
Do you still love the way we look in our old photos?
เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว
Your heart still belongs to me? I am the man of your dream?
เธอยังรักกันเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม
Your love is that same love since we left
ช่วยบอกให้รู้ที
Please comfort my soul
ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
I am here with all these questions
อยู่ตรงนั้นเธอเป็นอย่างไรก็ไม่รู้
Don’t really know how well you are there
ฝากเพลงนี้ให้ไปถามเธอดู
Think of this song for you to say
อยากจะรู้ในความเป็นไป
I wish you tell me how things really are
เธอยังคิดถึงฉันทุกนาทีรึเปล่า
Every minute, is it still me with you?
เธอยังจำเรื่องเราในวันวานได้หรือไม่
All the things we’ve had, do they still count?
เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว
Am I the one in your heart, still the only one you need?
เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม
Everything remains unchanged, don’t they?
เธอยังคิดถึงฉันทุกเวลาอยู่รึเปล่า
Am I the one in your heart?
เธอยังดูรูปเราใบเดิมเดิม อยู่หรือไม่
You’re still fond of our old photos?
เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว
You’re still head over heel, and that’s me you feel
เธอยังรักกันเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม
Our love is the same though we are apart
ช่วยบอกให้รู้ที
Please tell me so, honey