พิมพ์หน้านี้ - เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๙. ที่สุดปลายขอบฟ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: KADUMPA ที่ 07-04-2022 19:44:25

หัวข้อ: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๙. ที่สุดปลายขอบฟ้า
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 07-04-2022 19:44:25
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 07-04-2022 19:45:15
๑.

ตนุ - ปัตนิ (ตัวตน – คู่ครอง)

ปราชญ์นั่งรอคนของเขามาเกือบชั่วโมง ใช่แล้ว เขาพูดกับตัวเองแบบนั้นมาตลอด `คนของเขา` ที่ตอนนี้ทำตัวแปลกไป หลบหน้า ห่างเหิน ไม่ค่อยรับโทรศัพท์เมื่อเขาโทรหา ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะอยู่บ้านเดียวกัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่าย สามารถหลบเลี่ยงไม่ยอมเจอหน้าเขามาได้พักใหญ่

“วันนี้เรียนตึกนี้นี่” ปราชญ์พึมพำกับตัวเอง พลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ บริเวณตึกเรียนของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มีนักศึกษาหลายคนมองมาทางเขา ด้วยหน้าตาที่คมคายและบุคลิกที่ดูดี ปราชญ์คือชายหนุ่มที่น่าหลงใหล แต่ดูดุดันอยู่ในที

`ผิดกับอีกคน` เป็นคำพูดที่ปราชญ์ได้ยินอยู่เสมอ เวลาที่คนอื่นเห็นชายหนุ่มอยู่กับคนของเขา แต่ปราชญ์ไม่ค่อยชอบใจนักกับคำพูดดังกล่าว เขารู้สึกเหมือนกับว่า คนเขาของถูกพูดถึงในแง่ลบ `ก็แค่ไม่เหมือนกัน` อย่างไรเสีย ปราชญ์คิด คนของเขาก็คือคนของเขา

“ปราชญ์” เสียงเรียกชื่อเขา ดังมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือเพื่อนเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

“อ้าว เอิง ฉันว่าจะโทรหาแกพอดี” ปราชญ์กล่าวทักทาย ก่อนจะทำท่าเชื้อเชิญให้คนที่เพิ่งมาใหม่ นั่งลงที่ม้านั่งตรงข้ามกับเขา

“ช่วงนี้ไม่ได้เจอกันเลย” เอิงนั่งลงตามคำชวน ก่อนจะพูดตอบเพื่อนเก่ากลับไป เอิงกับปราชญ์เป็นเพื่อนต่างคณะ แต่มารู้จักและสนิทสนมกันตอนทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย

“สบายดีนะ” เอิงถาม แต่ก็สังเกตสีหน้าของปราชญ์ ที่แสดงความกังวลออกมาได้แทบจะในทันที

“ก็” ปราชญ์ลากเสียงยาว ลังเล ที่จะพูดต่อประโยคนั้นให้ถ้วนความขึ้น เอิงมองหน้าปราชญ์ เขาพยักหน้าช้า ๆ ให้เวลาปราชญ์ได้เรียบเรียงการตัดสินใจ

“แกมาทำอะไรวะ” ปราชญ์ถามเพื่อน ยังไม่กล้าที่จะพูดความในใจให้เพื่อนในทันที

“ฉันมาช่วยอาจารย์ทำเอกสารภาษาอังกฤษนิดหน่อยน่ะ” เอิงตอบ ปราชญ์พยักหน้ารับ เขาจำได้ดีว่าเอิงคือนักศึกษาดีเด่นเรียนทองในด้านภาษาต่างประเทศ เอิงตอบก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น เพื่อส่งคิวให้ปราชญ์บอกสิ่งที่เขาต้องการออกมา

“แกยังดูดวงอยู่มั้ย” ปราชญ์ถามเพื่อน น้ำเสียงฟังดูจริงจัง เอิงเองก็รู้สึกได้ ก่อนจะพยักหน้าให้เพื่อนแทนคำตอบ

“ถ้าแกหมายถึงดูทักษาดาวนะ” เอิงพูดบอกเพื่อน เขาเองก็รู้สึกขำ ๆ เวลาถูกเรียกว่าหมอดู

“แกดูโคตรแม่น เอิง” ปราชญ์จำได้ดี ถึงเรื่องที่เอิงเคยพูดไว้เกี่ยวกับดวงของเขา มันตรงมาก ตรงเสียจนน่าขนลุก ตรงเสียจนเขาเองยังเกรง ๆ ในความสามารถด้านนี้ของเอิง

เอิงมองหน้าปราชญ์ เขาพอจะเข้าใจถึงเรื่องที่กำลังสร้างความกังวลให้กับเพื่อนสนิทของเขา ปราชญ์มีความไม่แน่ใจถึงเรื่อง `ความสัมพันธ์` ของตนมาโดยตลอด แม้ว่าชายหนุ่มจะแน่ชัดว่าเขาต้องการอะไร แต่มันก็มีเหตุและปัจจัยอื่น เข้ามาทำให้เขาดูร้อนรนเกี่ยวกับเรื่องนี้

“แกอยากรู้เรื่องอะไร การงาน การเงิน หรือว่า” เอิงถามเพื่อน ก่อนจะเว้นท้ายประโยคเหมือนเเป็นสิ่งที่รู้กันกับเพื่อน ว่าจะถามอะไร ปราชญ์สบตาเพื่อน ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนพูดขึ้นว่า

“แกดูดวงของปั๋นให้ที” ปราชญ์บอกออกไปแบบนั้น “ฉันอยากรู้ว่า เขา” ปราชญ์ทิ้งช่วง ก่อนจะจบประโยคของตัวเองว่า “เขาคิดยังไง และฉันจะไปต่อยังไงดี”

เอิงมองหน้าเพื่อน พยักหน้าอย่างเข้าใจ ดูเอาเถิด คนชื่อปราชญ์แท้ ๆ เท่าที่ผ่านมา ชายหนุ่มคนนี้รู้เสมอว่า เขาต้องการอะไร ต้องทำอย่างไร ต้องก้าวเดินไปทางไหน แต่ในมุมหนึ่งของห้วงอารมณ์ ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต นักปราชญ์ก็ยังมีรู้พลั้งและมืดแปดด้านให้เห็น

“วัน เดือน ปี เกิด” เอิงถามเพื่อน ปราชญ์รีบตอบออกไปตามที่เขารู้ เอิงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาป้อนข้อมูลลงในแอพพลิเคชั่นที่เขาใช้

“เวลาตกฟาก” เอิงถามต่อ ปราชญ์ถึงกับชะงัก เมื่อได้ยินเพื่อนถามมาแบบนั้น

“เวลาเกิดน่ะ” เอิงอธิบาย

“ไม่รู้ว่ะ” ปราชญ์ตอบ พลางทำยิ้มแห้ง ๆ “ต้องใช้ด้วยหรือวะ ฉันไม่เคยถามด้วยสิ” ปราชญ์พูด พลางพยายามนึก แม้ว่ามันไม่มีอะไรที่จะให้คำตอบเขาได้ในตอนนี้อย่างแน่นอน

“จะแม่นไม่แม่น มันก็อยู่ตรงการดูลัคนาเกิด ดวงเกิดว่าดาวไหนอยู่ภพเรือนไหน เวลาเกิดจะบอกลัคนา” เอิงบอกเพื่อน ยักไหล่ขึ้นแบบให้เพื่อนรู้ว่า มันสำคัญ ไม่มีไม่ได้

ก่อนที่ปราชญ์จะทันได้พูดอะไรต่อ เขาเหลือบไปเห็น `คนของเขา` เดินลงมาจากตึกเรียนพอดี เอิงมองตามสายตาของเพื่อนสนิทไป ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งอยู่ในชุดนักศึกษา เด็กคนนั้นหยุดชะงัก เมื่อได้ยินน้ำเสียงเข้ม ๆ ของปราชญ์เรียกชื่อออกไป

“ปั๋น” เจ้าของชื่อถึงกับตกใจ ที่ได้เห็นเจ้าของเสียงนั้น ปั๋นหน้าถอดสีเพราะไม่คิดว่า ปราชญ์จะมาดักรอเขาในเวลานี้ ปราชญ์รีบลุกเดินไปหาคนของเขา “คุยกันดี ๆ” โดยมีเสียงเตือนของเอิงไล่ตามหลังมา

ส่วนเอิงนั้น ลุกขึ้นจากม้านั่งก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา โดยหวังใจว่า เพื่อนของเขาจะสามารถจัดการเรื่องที่ทำให้จิตใจวุ่นวายนี้ได้

“ปั๋น หลบหน้าพี่ทำไม” ปราชญ์ที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม ถามด้วยท่าทีพยายามข่มความโกรธที่มีนั้นลง

“ผมไม่ได้หลบคุณปราชญ์” ปั๋นพยายามแก้ตัว แต่สีหน้าของคนตรงหน้าที่เขาเห็นนั้น ดูยังไงปราชญ์ก็รู้ ว่าปั๋นพูดโกหก

“กลับบ้านกับพี่” ปราชญ์ออกคำสั่ง เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาทำทีอิดเอื้อน “พี่รู้ว่าปั๋นเลิกเรียนแล้ว ปั๋นอย่าเสียเวลาหาข้ออ้าง”

“คุณปราชญ์ ผมโตแล้ว ไม่ใช่เด็ก เหลืออีกเทอมเดียวผมก็จะเรียนจบมหาวิทยาลัย คุณต้องเลิกทำแบบนี้กับผมได้แล้ว” เสียงของปั๋นสั่น ๆ ความประหวั่นใจแล่นเข้ามาในความรู้สึก ปราชญ์ทำหน้าดุใส่เด็กหนุ่ม

“อย่าลองดีกับพี่” ปั๋นรับรู้ได้ในทันทีว่า เวลาปราชญ์มีท่าทางและใช้น้ำเสียงแบบนี้ ปราชญ์เอาจริง “อย่าทดสอบความอดทนกัน”

“หรือปั๋นจะให้พี่แสดงให้คนแถวนี้รับรู้กันทั่วว่า ปั๋นกับพี่เป็นอะไรกัน” ปราชญ์ก้าวเท้าเข้าหาปั๋น เด็กหนุ่มผงะถอยหลัง ชายหนุ่มจึงใช้ท่อนแขนรั้งเอวของเด็กหนุ่มไว้ เพื่อไม่ให้ล้ม

“คุณปราชญ์ปล่อยผม” ปั๋นหันรีหันขวาง เมื่อรู้สึกว่า เขาและปราชญ์กำลังตกเป็นเป้าสายตาของนักศึกษาคนอื่น ๆ  ปราชญ์ลดท่าทางแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของนั้นลง ดึงแขนกลับ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้น ปั๋นก็เดินไปขึ้นรถ กลับบ้านกับพี่ดี ๆ” ชายหนุ่มยื่นคำขาดอยู่ในที ปั๋นไม่อยากทำตาม แต่ก็ต้องจำใจ

“เชิญครับ” ปราชญ์ผายมือ พูดพลางยิ้มมุมปาก ที่เห็นอีกฝ่ายยอมโอนอ่อนผ่อนตามเขาอย่างที่เคยเป็นมา นี่คือสิ่งที่ปราชญ์รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า หลัง ๆ มานี้ ปั๋นพยายามจะแข็งขืนกับเขา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นคำขอร้อง หรือแม้จะเป็นคำสั่งของเขาก็ตาม

ปราชญ์เดินตามหลังคนของเขากลับไปที่รถ `เด็กน้อยของเขา` ปราชญ์เผลอยิ้มกับตัวเอง รู้สึกโล่งใจเล็ก ๆ ที่ตอนนี้ปั๋นอยู่กับเขา ความฟุ้งซ่านที่เข้ามากลุ้มรุม ว่าปั๋นอยู่ไหน อยู่กับใคร ทำอะไร ที่ไหน ถึงไม่กลับมานอนที่บ้านแล้วยังไม่บอกให้เขารู้อีก และที่สร้างความทรมานใจให้กับเขาเป็นที่สุด เมื่อใจมันประหวั่นเตลิดไปไกล ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ จะไม่ใช่คนของเขาอีกต่อไป


พันธุ – ศุภะ (ที่อยู่ – ความสำเร็จ)

เอิงกลับถึงคอนโด เขานั่งลงบนโซฟาตัวยาวริมหน้าต่าง ก็พอดีกับมีเสียงข้อความเข้ามาในโทรศัพท์ เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาดู มันเป็นข้อความจากปราชญ์ ในข้อความนั้นแสดงเลขเวลาพร้อมกับชื่อของปั๋น เอิงหัวเราะเบา ๆ กับความเอาแต่ใจของเพื่อนคนนี้ ที่พอบทจะเอาอะไรให้ได้แล้วนั้น ปราชญ์ไม่เคยยอมให้มันผ่านไปง่าย ๆ ไม่ว่าจะอย่างไร เพื่อนคนนี้ก็จะเอามาให้ได้

เอิงเอื้อมมือไปเปิดแล็ปท็อปของเขาขึ้นมา แล้วจะจัดการเอาวัน เดือน ปี และเวลาเกิดของปั๋นคีย์เข้าไปในโปรแกรมอัตโนมัติ ด้านหน้าจอมีมหาทักษาดวงเกิดของเด็กหนุ่มปรากฏขึ้น ปั๋นกวาดสายตามองเพื่ออ่านดู

“ลัคนาสิงห์หรือนี่” เอิงยิ้มเบา ๆ “เป็นนักสู้สินะน้อง” เอิงนึกถึงเรื่องราวชีวิตของปั๋นที่ปราชญ์เคยเล่าให้เขาฟัง “ท่านจะชนะคนเกิดราศีเมษและธนู แต่จะแพ้คนเกิดราศีมีนและกรกฏ” เอิงอ่านแล้วให้สะกิดใจ

“เดี๋ยวนะ” เขาพูดก่อนจะหยิบสมุดที่เคยจดรายละเอียดดวงของปราชญ์ขึ้นมาดู “นั่นไง ปราชญ์ ราศีมีน” ว่าแล้วเชียว เอิงคิดในใจ ว่าเหตุใด ทำไม เหตุผลกลใดกัน ที่ปราชญ์ถึงได้เอาแต่ใจได้เหนือปั๋นซะแทบทุกครั้งไป ดวงสองคนนี้พอมาอยู่ใกล้กัน แล้วเป็นแบบนี้นี่เอง

“ไหน มีดาวอังคาร ๓ ในเรือนตัวตน เป็นตนุเศษ ดื้อตามดวงเลยนะปั๋น” เอิงนึกเอ็นดูเด็กหนุ่มคนนี้ ที่ต้องคอยหาทางสู้เพื่อนรักของเขา แต่กลับต้องเป็นฝ่ายยอมอยู่เสมอ “แถม ๓ เป็นทั้งเจ้าเรือนพันธุ เจ้าเรือนศุภะ” เอิงหยุดคิดนิดหนึ่ง “ในหัวอยากหาที่ทาง อยากเจริญก้าวหน้าด้วยตัวเองตลอดสินะ” เอิงรู้สึกเห็นใจเด็กหนุ่มขึ้นมาจับใจ อะไรบางอย่างในพื้นดวงของปั๋นกำลังเริ่มส่งผลเรียกร้องให้เจ้าตัวอยากทำอะไรบางอย่าง

“สิงห์คือเลข ๑” เอิงกวาดตามองหาดาวพระอาทิตย์ในพื้นดวงของปั๋น ซึ่งก็อยู่ในเรือนศุภะ จะก้าวหน้าได้ ชีวิตจะประสบความสำเร็จได้ ก็ต้องทำด้วยตัวเอง เหนื่อยเองสินะ “แล้ว ๑ จรล่ะ” เอิงเอาหนังสือตำรามาเปิด ไล่ดูวันที่ปัจจุบัน เมื่อเห็นว่าดวงดาวที่ตัวเองกำลังมองหาไปตกอยู่ภพเรือนใด ก็ทำให้เกิดความกังวลขึ้นมา

“เลข ๑ ตัวตนไปตกเรือนอริ” อุปสรรค ขัดขวาง ความทุกข์ทรมาน ความขัดแย้ง เอิงรู้แบบนั้นแล้ว ใจไม่ดีแทน “ปราชญ์ แกอย่าชวนปั๋นทะเลาะเป็นใช้ได้ ฉันล่ะกลัวปากแกจริง ๆ” เอิงคิดพลางเปิดรายละเอียดดวงของปราชญ์ขึ้นมาดู

“เพื่อนเราเกิดโจโรฤกษ์เสียด้วย” อะไรที่ปราชญ์ต้องการ ปราชญ์จะแย่งชิงมาจนสมใจ เหมือนดั่งฤกษ์นี้ที่ต้องแข่ง ชิงไหวชิงพริบ ชิงความได้เปรียบ ดวงของชายหนุ่มเหมาะที่จะดำเนินธุรกิจ และพื้นฐานก็มาจากครอบครัวผู้ร่ำรวยเงินทอง “มาเจอปั๋น ที่ฤกษ์เกิดคือเทวีฤกษ์นี่สิ เสน่ห์ล้นเหลือเลยนะน้อง” ถึงว่า เอิงยิ้มอย่างเอ็นดูเพื่อนสนิท

“น้องมันหน้าตาน่ารักสินะ เพื่อนเราถึงได้อะไร ๆ ก็ปั๋น” ตลอดตั้งแต่ตอนเรียนด้วยกันแล้ว ที่เอิงได้ยินปราชญ์พูดว่า ปั๋นอย่างโน้น ปั๋นอย่างนี้ ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ทุก ๆ ครั้งที่ปราชญ์พูดถึงปั๋น

เอิงส่งข้อความที่เขาพิมพ์ไว้ให้ปราชญ์  มันเป็นรายละเอียดสำคัญ ๆ ของปั๋นที่เขาคิดว่าปราชญ์ควรจะรู้เอาไว้ โดยหวังใจว่า เขาจะสามารถคลายความกังวลใจให้เพื่อนสนิทได้ไม่มากก็น้อย


ปัตนิ - พันธุ (คนรัก – บ้าน)

เสียงหอบเหนื่อยของผู้ชายสองคนดังออกมาเบา ๆ เมื่อคนทั้งคู่กำลังผ่อนความร้อนแรงของความรู้สึกลง อารมณ์ที่พลุ่งพล่านเมื่อนาทีก่อนหน้า ค่อย ๆ ลดลง ทั้งสองจ้องมองตาของกันและกัน ในแววตานั้นอัดแน่นไปด้วยคำพูดมากมาย

ปราชญ์ที่ค่อย ๆ ขยับเอวของตัวเองให้ช้าลง แต่ยังคงอ้อยอิ่งเคลื่อนตัวเข้าออกอยู่อย่างนั้น นั่นเพราะคนตรงหน้าของเขาคือปั๋น เด็กหนุ่มที่เขาตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำ ปั๋นหลบสายตาจากปราชญ์ เขาไม่เคยที่จะต้านทานแววตาที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความกระหายในตัวปั๋นของปราชญ์ได้

“คุณปราชญ์พอก่อน” ปั๋นพูดก่อนจะใช้มือดันท้องของปราชญ์ออกเบา ๆ ปราชญ์ที่บดเบียดส่วนสำคัญของเขาเข้าไปในร่างกายของปั๋น ทำท่าจะไม่ยอมถอนตัวออกไปโดยดี

“คุณปราชญ์” ปั๋นเตือนชายหนุ่ม สีหน้าเริ่มบ่งบอกถึงความไม่สบายตัว

“เจ็บหรือครับ” ปราชญ์ถาม ปั๋นพยักหน้ารับ ปราชญ์เองเขาก็รู้ดี เมื่อปั๋นถึงที่หมายแล้ว นอกจากด้านหน้าของปั๋นจะไวต่อความรู้สึก ด้านหลังของเด็กหนุ่มก็เริ่มจะปฏิเสธเจ้าสิ่งรุกล้ำเข้ามาด้วยเช่นกัน

“ปั๋นจะไปล้างตัว” ปราชญ์ก้มลงมองที่หน้าท้องของปั๋น มีคราบเหนียวของปั๋นนองอยู่ ปราชญ์ยิ้มพอใจ ก่อนจะดึงส่วนนั้นของตัวเองให้หลุดออก ปั๋นหลับตาด้วยความเขิน เมื่อได้ยินเสียงเนื้อแนบเนื้อนั้นผละออกจากกัน ที่ตรงนั้น ปั๋นรับรู้ได้ถึงของเหลวอุ่น ๆ ที่ปราชญ์ฝากไว้ในตัวเขา กำลังเคลื่อนตัวเองออกมา

ปราชญ์อยากจะคลอเคลียกับปั๋นต่อ แต่ก็ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายลุกขึ้นจากเตียงนอนแต่โดยดี แสงสลัว ๆ จากโคมไฟภายในห้องนอนของชายหนุ่ม สว่างพอให้เห็นรูปร่างของปั๋น ที่ดูสะโอดสะองจนเกินห้ามใจ และนี่คือสิ่งที่ปราชญ์ยอมรับกับตัวเองถึงสาเหตุที่เขาทั้งหวงทั้งห่วงปั๋น

ปราชญ์หันไปมองหาผ้าผืนเล็ก ๆ ที่วางไว้บนหัวนอน เขาหยิบมันมาเช็ดคราบเหนียวที่แก่นกาย ก่อนจะโยนมันให้ลงตะกร้าผ้าที่มุมห้อง เสียงข้อความเข้าดังมาจากโทรศัพท์มือถือ ชายหนุ่มดันร่างตัวเองขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนชิดหัวเตียง หน้าจอโทรศัพท์บอกว่า เป็นข้อความจากเอิง ชายหนุ่มกดอ่านข้อความนั้น สายตาไล่อ่านสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

“นางสิงห์หรือนี่” ปราชญ์ปราดสายตาไปที่ประตูห้องน้ำ ที่มีปั๋นอยู่ด้านใน “เทวีฤกษ์ สิงห์ ชอบแฮะ” ปราชญ์พูดยิ้ม ๆ กับข้อความของเพื่อนสนิทที่ได้อ่าน ที่เอิงได้ทิ้งท้ายข้อความไว้ว่า ยังไงเสีย ดวงดาวมันก็เป็นแค่ส่วนประกอบ จะคิดอ่านทำอะไร ก็ให้คำนึงถึงความเป็นไปในชีวิตด้วย ปราชญ์กดปิดข้อความ วางโทรศัพท์ลง เสียงน้ำในห้องน้ำเงียบหายไป

“ปั๋น เดี๋ยวเราออกไปกินข้าวข้างนอกกันนะ” ปราชญ์ตะโกนบอก ก่อนจะเห็นปั๋นเปิดประตูห้องน้ำออกมา ปั๋นอยู่ในเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่ง ๆ เป็นเสื้อทีมบาสที่ปราชญ์เคยลงแข่งสมัยมหาวิทยาลัยของเขาทำออกมาขาย และกางเกงบ็อกเซอร์นั่นก็ของเขาอีกนั่นแหละ ปราชญ์เห็นแบบนั้นก็ต้องพยายามข่มใจลง คนของเขาทำให้จิตใจเขาปั่นป่วนยิ่งนัก

“แต่มันค่ำแล้วนะครับ” ปั๋นท้วงเบา ๆ ก่อนจะหลบสายตาจากร่างเปลือยเปล่าของปราชญ์ที่นอนอยู่บนเตียง ปราชญ์ได้ยินปั๋นพูดแบบนั้น ก็รีบลุกขึ้นจากที่นอน ก่อนจะเดินมาหาปั๋น

“ผมทำอะไรง่าย ๆ ให้คุณปราชญ์ทานก็ได้นะครับ” ปั๋นรีบบอก แต่นั่นไม่ใช่ที่ปราชญ์ตั้งใจไว้ “พี่ล้างตัวแป๊บเดียว เดี๋ยวเราออกไปกันเลย นะครับ” ปราชญ์ยิ้มให้ปั๋น แล้วก้มลงหอมแก้มเจ้าตัวหนึ่งฟอดใหญ่ ท่าทางก้มหน้างุด ๆ เขิน ๆ ของปั๋น

“แต่งตัวน่ารัก ๆ นะครับ” ทำให้ปราชญ์พูดกลั้วหัวเราะออกมา ก่อนที่เขาจะเดินหายเข้าห้องน้ำไป ปั๋นผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ก้มลงหยิบเสื้อผ้าของเขาที่ถูกปราชญ์ถอดออก แล้วโยนไปกองไว้บนพื้น เสียงฮัมเพลงแบบสบายใจดังลอดออกมาจากห้องน้ำ ปั๋นยิ้มออกมา นึกท่าทางขี้เล่นของปราชญ์ ที่น้อยคนจะได้เห็น แต่แล้วสิ่งที่ปั๋นเก็บงำไว้ในใจก็ทำให้รอยยิ้มนั้นหายไปจากใบหน้า

ปั๋นปิดประตูห้องนอนของปราชญ์ตามหลัง เมื่อตอนที่ทั้งสองกลับมาถึงบ้าน ปราชญ์บังคับให้ปั๋นขึ้นมาที่ห้องนอนบนตึกหน้า `ในฐานะคนรัก` ปั๋นรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่ใจ กับความสัมพันธ์ที่กำลังเกิดขึ้นของเขาและปราชญ์ เวลาปีกว่าจากวันที่มันเริ่มต้น ที่เขากับปราชญ์เกินเลยมาจนถึงขั้นนี้

ตั้งแต่เด็กแล้ว ปั๋นจำได้ว่าไม่ว่าปราชญ์จะต้องการอะไร ปั๋นจะยอมให้ปราชญ์เสมอ แต่ไม่ใช่ว่าปั๋นถูกปราชญ์รังแก แต่ถ้าหากว่าปราชญ์ต้องการให้ปั๋นทำอะไร ไม่ทำอะไร ปั๋นเป็นอันขัดปราชญ์ไม่ได้ ยิ่งโตมา ปราชญ์อ่านหนังสือสอบ ก็ต้องให้ปั๋นมานั่งอยู่เป็นเพื่อน

จะไปไหน ไปทำอะไร ปราชญ์ต้องมีปั๋นอยู่ข้าง ๆ คนในบ้านต่างพูดว่า โชคดีที่ปราชญ์มีปั๋นอยู่รับใช้ แต่พอปราชญ์ได้ยินใครพูดแบบนั้น นานวันปราชญ์ยิ่งแสดงอาการไม่พอใจ และสั่งให้ทุกคนเลิกพูดถึงปั๋นด้วยคำที่เขาไม่ชอบ

ปั๋นหอบเสื้อผ้าเดินลงมาจากตึกหน้า เขาเดินไปทางห้องครัวและลานซักล้างที่อยู่ด้านหลัง วันนี้บ้านเงียบเชียบ เพราะคนงานออกไปช่วยงานบ้านในกันหมด ปั๋นโล่งใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งช่วงหลัง ๆ มานี้ ปราชญ์ดูไม่ระวังตัวเหมือนที่เคยเป็น จะพูด จะแสดงออกอะไรที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ลับ ๆ ของทั้งสอง ปราชญ์เหมือนไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ ว่าใครจะรู้

ปั๋นเดินไปตามทางเล็ก ๆ ที่พาเขาไปห้องนอนที่เรือนขนาดย่อมด้านในสุด ติดกำแพงรั้วบ้านด้านหลัง เลยตึกที่คนรับใช้อยู่ลึกเข้าไปอีก เขาย้ายมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย ตอนที่แม่เขาเสียชีวิต อะไร ๆ ในชีวิตก็เปลี่ยนไปนับตั้งแต่วันนั้น ความใกล้ชิดระหว่างปราชญ์กับปั๋นก็ยิ่งทวีคูณขึ้นจากวันนั้นเช่นกัน

“ค่ะ ใช่ค่ะ เดินลงมาจากตึกหน้า ใช่ค่ะท่าน” ใครคนหนึ่งกำลังรายงงานสิ่งที่เห็นให้คนปลายสายรับรู้
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒ ปัตนิ - มรณะ (คู่ครอง - การจากลา)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 08-04-2022 14:17:42
๒.

สหัสชะ – กัมมะ (เพื่อนฝูง – สิ่งที่ทำไป)


`ฉันไม่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้` เมื่อเอิงเจอหน้ากับเพื่อนคนนี้อีกครั้ง ประโยคที่เคยได้ยิน แว่วมาให้รับรู้อีกครั้ง  เอิงรับสายเพื่อนคนนี้ ที่ไม่ได้คุยกันมานานหลายปี ห่างหายกันไปหลังจากที่เพื่อนคนนี้เรียนจบและแต่งงานไป ครั้งสุดท้ายที่เอิงได้เจอกับหลิว คือก่อนงานแต่ง ที่เอิงไม่ได้รับเชิญให้ไปร่วมงาน

“ไม่ได้เจอกันนาน แกดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปเลยนะ” ผู้เป็นเพื่อนเก่าและเจ้าของบ้าน เอ่ยทักเอิงด้วยรอยยิ้ม แต่เจ้าของรอยยิ้ม ดูซูบผอมและอิดโรย เปลี่ยนจากหลิว ผู้หญิงที่หน้าตาดีและสดใสอยู่เสมอ

“ฉันก็อย่างนี้แหละ” เอิงตอบ ยิ้มรับประโยคทักทายของเพื่อน เอิงนั้น เขาเองก็แปลกใจที่หลิวโทรหา เพราะจากครั้งที่หลิวให้เขาตรวจดวงให้ แล้วผลที่ได้ ออกมาไม่ถูกใจหลิว จากวันนั้น ทั้งสองก็ห่างเหินกันไป เหมือนไม่เคยรู้จักหรือสนิทสนมกัน

เอิงนั่งลงที่ม้านั่งในสวน ตามคำชวนของหลิว หลิวดูผ่ายผอมลงไปมาก แทบไม่เหลือเค้าความมีน้ำมีนวลของดาวมหาวิทยาลัยให้เห็น มือที่ผอมจนเริ่มสังเกตเห็นได้ รินชาอุ่น ๆ กลิ่นหอมฟุ้งใส่แก้ว ก่อนจะเลื่อนแก้วนั้นส่งให้เอิง เขาเห็นแบบนั้น ก็รีบช่วยเพื่อนประคองถ้วยชานั้นไว้ หลิวยิ้มให้ พลางพูดขอบใจ

“แกยังโกรธฉันอยู่มั้ย” หลิวถาม ลมเอื่อย ๆ พัดมา ร่มไม้ใหญ่บังแดดให้ส่องรำไรลงมาที่ชุดโต๊ะเก้าอี้ ที่ตั้งอยู่ใต้ซุ้มการะเวกนี้ “ฉันมันก็เฮงซวยจริง ๆ” หลิวไม่รอให้เพื่อนได้ตอบคำถามของตัวเอง เธอพูดต่อประโยคนั้น ด้วยสิ่งที่มันอัดเก็บเอาไว้ในใจ

“สวย” เอิงพูดขึ้น “แต่เฮงซวย” แต่ยิ้มน้อย ๆ ให้เพื่อน ทำเอาหลิวถึงกับฉีกยิ้มออกมา รอยยิ้มที่พอจะกลบเกลื่อนแววตาที่เศร้าระทมของเธอลงได้บ้าง “ถ้าโกรธ ฉันคงไม่มาหาแกหรอก” เอิงพูดย้ำ อยากให้เพื่อนสบายใจ ว่าการมาหาเพื่อนที่บ้านในวันนี้ มันก็คือเพื่อนฝูงมาเยี่ยมเยียนกัน

“ถ้าฉันเชื่อเรื่องที่แกเตือนวันนั้น เราสองคนคงได้มีช่วงเวลาดี ๆ แบบเพื่อนควรจะมีด้วยกันมากกว่านี้” หลิวพูดด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจจริง ๆ เอิงพยักหน้าให้กับเพื่อน ก่อนบอกเพื่อนออกไปว่าไม่เป็นไร “เราเริ่มต้นกันใหม่ได้นี่แก” เอิงยิ้มให้เพื่อนอย่างจริงใจ

“ฉันคงมีเวลาเหลือไม่มากพอแล้วล่ะแก” หลิวพูด ขอบตามีน้ำใส ๆ รื้นเอ่อล้นขึ้นมาในทันที “แต่ฉันขอบใจแกมากนะ ที่ไม่โกรธกันแล้ว” ความเจ็บป่วยทำให้หลิวเปลี่ยนไปมาก จากคนที่เคยเชื่อในความคิดของตนเท่านั้น กลายมาเป็นคนที่เข้าใจอะไร ๆ ได้ง่ายขึ้น

เอิงรับรู้ข่าวการป่วยของหลิวมาบ้าง แต่ไม่คิดว่า อาการของหลิวจะทรุดลงอย่างรวดเร็วแบบนี้ หญิงสาวอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีขาว มันคือสีที่เธอชอบ ใบหน้าที่ไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเหมือนอย่างเคย ดูซีดเซียว แม้เจ้าตัวพยายามจะข่มมันลงด้วยการพยายามยิ้ม ผ้าพันคอมีสีสันลวดลายนั้น โพกอยู่ที่ศีรษะที่ไร้เส้นผมนั้น

“ดาวอะไรของฉันวะแก ที่ส่งผลให้ฉันกลายสภาพเป็นแบบนี้” หลิวถามเพื่อน “พูดมาเลย ฉันรับได้”หลิวบอกกับเพื่อน เมื่อเห็นว่าเอิงดูลังเลที่จะพูด “ลัคนากันย์ มฤตยูจร ๐ ของแกอยู่ในภพเรือนไม่ค่อยดีน่ะ” เอิงตอบเพื่อนไป “แต่เดี๋ยวแกก็หาย หมอสมัยนี้เก่งจะตายไป” เอิงไม่อยากให้เพื่อนที่ป่วยอยู่แล้ว ต้องมาเป็นกังวลกับการทำนายของเขา

“แกนี่ พูดโกหกไม่เก่งเหมือนเดิมเลยนะ” เอิงสบตากับหลิว ที่พยายามจะพูดตลกกลบเกลื่อนความรู้สึกจริง ๆ ภายในใจตัวเอง เดี๋ยวก็รักษาหายหรือ หลิวรู้สึกได้ด้วยตัวเองเลยว่า เวลานั้นมันใกล้เธอเข้ามาทุกทีแล้ว

“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ แกเคยเตือนฉันเรื่องอื่นด้วย แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่แกว่าไว้ไม่ผิด” หลิวหลบตาเอิง เพราะรู้สึกผิด ที่คำเตือนก่อนหน้านี้อย่างเพื่อนที่หวังดีของเอิง ได้รับการตอบแทนจากกหลิวด้วยการด่าทอและตัดเพื่อนกัน

“เรื่องนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับดวงดาวอะไร ฉันเตือนแก เพราะเราเป็นเพื่อนกัน ฉันไม่อยากให้แกเสียใจทีหลัง” หลิวได้ฟังคำพูดนี้ของเอิง ได้แต่ยักไหล่ขึ้น เป็นเชิงรับรู้กันว่า มันไม่ทันการณ์เสียแล้ว ความเสียใจมันเกิดขึ้นแล้ว กับสิ่งที่หลิวเป็นคนเลือกที่จะทำมันลงไป และเมื่อการกระทำนั้นสมบูรณ์แล้ว ก็ต้องเตรียมรับผลที่ตามมาด้วย

เอิงเลี่ยงที่จะไม่พูดว่า ดาวพุธจร ๔ เป็นดาวเจ้าเรือนสหัสชะเรื่องเพื่อนของเขาเอง ก็ตกในภพเรือนที่เสียหายด้วยเช่นกัน เขาจึงอยากให้กำลังใจเพื่อน ให้เพื่อนได้มีความเข้มแข็งต่อสู้ในเวลาที่ยากลำบากนี้ ซึ่งหลาย ๆ ครั้ง เอิงเองก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไปตรง ๆ มากนัก ยิ่งเป็นเรื่องราวร้าย ๆ ด้วยแล้ว เพราะมันสร้างความลำบากใจทั้งแก่เขาที่เป็นผู้พูด และคนที่เขาทำนายทายทักไป ที่เป็นผู้ฟัง


อริ - ปัตนิ (ศัตรู - คนรัก)


“นั่นพี่นนท์กลับมาพอดี” หลิวเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นสามีเปิดประตูรั้วบ้านเข้ามา “พี่นนท์มาทางนี้ก่อน เอิงมาเยี่ยมค่ะ” นนท์ที่ตอนแรกกำลังจะเดินเลี่ยงเข้าบ้านไป เขาเดินมาหาภรรยากับเพื่อนเก่าของเธอ ที่ไม่ได้เจอกันนาน นนท์กับเอิงกล่าวทักทาย ถามสารทุกข์สุกดิบกันพอหายคิดถึง นนท์แปลกใจที่หลิวไม่มีวี่แววว่า จะคืนดีกับเพื่อนเก่าอย่างเอิงมาก่อน

“อยู่กันหลาย ๆ คนแบบนี้ ครึกครื้นดีนะคะ” นนท์แปลกใจกับน้ำเสียงของผู้เป็นภรรยา ที่ฟังดูสดใสขึ้น ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เขาจำไม่ได้แล้ว ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ยินหลิวพูดจาดี ๆ กับเขานั้น มันเมื่อไหร่กัน สิ่งที่เขาต้องผ่านมันไปให้ได้ในแต่ละวัน กับชีวิตคู่ที่เขา `ต้องเลือก` และทิ้งสิ่งที่เขา `ต้องการ` มันโหดร้ายกับเขามากมายเหลือเกิน

“แต่เราต้องการคนเพิ่มอีกสักคน จะดีกว่านี้ค่ะ” เอิงมองหน้าเพื่อน พยายามจับสังเกตว่าเพื่อนของเขาไม่ได้กำลังประชด หรืออะไรทำนองนั้น “ทำไมมองหลิวกันแบบนั้นล่ะคะ” หญิงสาวถามขึ้น เมื่อเห็นทั้งเอิงและนนท์แสดงสีหน้าประหลาดใจ โดยเฉพาะนนท์ ที่เขาไม่ได้เห็นความเฟรนด์ลี่แบบนี้จากหลิวมานานมาก

“มาพอดี” หลิวพูดขึ้น เมื่อได้ยินเสียงกริ่งประตูบ้านดังขึ้น “พี่นนท์คะ ช่วยไปเปิดประตูให้หลิวสิคะ” หญิงสาวพูดกับสามี นนท์พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปที่ประตูรั้ว วินาทีที่เขาเปิดประตูออกนั้น เขาถึงกับต้องตะลึง เมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า

“อุ่น” เจ้าของชื่อนั้นเอง ก็ไม่ต่างกัน “นนท์” ผู้ที่เพิ่งมาถึง ตกใจที่ได้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคยนั้น ใบหน้าที่เก็บซ่อนเอาไว้อยู่ภายในใจ ใบหน้าที่เขาเองก็ไม่คิดว่า จะได้พบเจอกันอีก “คุณอุ่นใช่มั้ยคะ พี่นนท์เชิญคุณอุ่นเข้ามาในบ้านสิคะ” ชายหนุ่มทั้งสองคน ได้ยินเสียงคะยั้นคะยอของหลิว นนท์รีบพยักหน้าเป็นเชิงเชื้อเชิญให้อุ่นเข้ามาก่อน อุ่นเองก็ดูจะทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ได้แต่เดินตามนนท์ไปเงียบ ๆ

“ได้เจอกันซักทีนะคะ คุณอุ่น” หลิวที่โทรไปเจาะจงเลือกอุ่นที่เป็นนักโภชนาการบำบัด ให้มาดูแลเธอเป็นการเฉพาะ “สวัสดีครับ” อุ่นกล่าวทักทายหลิว โดยไม่กล้าหันไปมองนนท์ที่กำลังจ้องหน้าของอุ่นแทบไม่วางตา หลิวที่เห็นท่าทางของนนท์ เธอรู้สึกแปลบขึ้นมาที่ใจ แต่เธอก็บอกกับตัวเองให้เข้มแข็งเข้าไว้ แล้วเดินหน้าต่อไป

“คุณอุ่นช่วยพาหลิวเข้าบ้านทีสิคะ ลมชักจะแรงแล้ว” หญิงสาวเอ่ยขึ้น ก่อนจะยื่นมือให้อุ่นมาช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ อุ่นรับคำ แล้วรีบเข้าไปหาหลิว ยื่นแขนให้หลิวจับ “ค่อย ๆ นะครับ” อุ่นเตือนด้วยน้ำเสียงห่วงใย แม้ในใจของเขาสั่นตึก ๆ กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

“พี่นนท์คะ” หลิวเรียก “เข้าบ้านกับคุณอุ่นสิคะ” นนท์เห็นหลิวยิ้มให้เขา ก่อนหันไปหาอุ่น ที่เงยหน้าขึ้นสบตากับนนท์ที่มองมาพอดี เอิงที่ลอบสังเกตเพื่อนสนิท เขารู้ดีว่า ที่หลิวกำลังทำอยู่นี้ หลิวต้องฝืนใจมากแค่ไหน หลิวต้องใช้พลังใจเพื่อเอ่อยคำพูดแต่ละคำ ยิ้มแต่ละทีมากขนาดไหน

ทั้งสี่คนเข้ามาในบ้าน หลิวขอให้เอิงอยู่ต่อ อย่าเพิ่งกลับ เอิงตามใจเพื่อนและอยู่เป็นเพื่อนกับหลิวก่อน ทั้งสองคน หลิวและเอิงนั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก ที่มองตรงไปเป็นไอส์แลนด์ครัว หลิวบอกให้อุ่นเข้าไปเตรียมอาหารเย็นได้เลย โดยไม่ลืมที่จะขอให้นนท์ เข้าไปช่วยอุ่นที่ในครัว

นนท์นั้นดูดีใจมากที่อุ่นมาอยู่ตรงนี้กับเขา เขากุลีกุจอช่วยอุ่นหยิบจับนั่นนี่ โดยมีอุ่นที่ลอบมองใบหน้าของนนท์ แต่ก็ต้องรีบหลบสายตา เพราะไม่ต้องงการให้ใครสังเกตเห็น แต่กระนั้น หลิวได้เห็นอากัปกิริยาทั้งหมดของทั้งคู่ เธอตั้งใจ หญิงสาวยืนยันกับตัวเอง

“แกทายแม่นอีกแล้วนะเอิง” หลิวกล่าวชมเพื่อน “พี่นนท์ลัคนาธนู ดาวคู่ครองจรของเขา ตอนนี้อยู่ในภพเรือนวินาศน์ แกบอกฉันว่า วินาศนะ คือการปกปิด ซ่อนเร้น ไม่เปิดเผย คนรักตัวจริงของพี่นนท์คือคนที่ซ้อนเร้น ไม่เปิดเผย ก็คือคุณอุ่นสินะ” ภาพตรงหน้า รอยยิ้มของนนท์ เธอเองเห็นมันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กันนะ หญิงสาวคิดไม่ออก

“แต่ฉันสิ พื้นดวงฉัน ดาวคู่ครองฉันอยู่เรือนวินาศน์มาตั้งแต่ต้น ฉันเลยทำตัวกีดกันความรักของคนอื่น วิบากกรรมที่ฉันกำลังเจออยู่ ส่งผลเร็วดีนะ ในชาตินี้แหละ ไม่ต้องรอชาติไหน” เสียงพูดของหลิวสั่นเครือ สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าเธอพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ข่มความรู้สึกไว้มากแค่ไหน

“ถ้านี่เป็นนิยายวายสักเรื่อง ฉันไม่อยากเป็นผู้หญิงแย่ ๆ ในนิยายเรื่องนั้น” หลิงพูด เอิงบีบมือเพื่อนเพื่อให้กำลังใจ ก่อนที่เอิงจะเห็นหลิวยันตัวเพื่อลุกขึ้นยืน เธอเซเล็กน้อย เอิงจะเข้าไปช่วยพยุงเพื่อน แต่หลิวส่ายหน้าห้ามเขาไว้ เอิงมองเพื่อนที่เดินเข้าไปหานนท์และอุ่น ทั้งสองหันมาเห็นหลิว ก็พอดีกับที่หลิวมาหยุดยืนตรงหน้า สายตาของหลิวเต็มไปด้วยความเสียใจที่อัดแน่นจนมันล้นแสดงออกมา

“คุณอุ่น หลิวเกลียดคุณ” หลิวพูดออกไป ตัวสั่นเทิ้ม การเดินทางเพื่อให้มาถึงจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุด มันทรมานใจครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งนั้น มันกำลังจะปลดล็อคและทำให้เธอเป็นอิสระจากเครื่องพันธนาการ ที่เธอจองจำคนหลายคนเอาไว้ นนท์และอุ่นตกใจกับสิ่งที่หลิวพูด

“คุณไม่ได้ผิดอะไร แต่หลิวเกลียดคุณ คุณเข้าใจมั้ย หลิวไม่เคยได้รับความรักจากพี่นนท์เลย เพราะเขาไม่เหลือความรักเผื่อให้ใครได้อีกนอกจากคุณ” นนท์พยายามห้ามหลิว แต่หญิงสาวขอให้เขาอย่าห้ามในสิ่งที่เธอกำลังจะพูดนี้

“หลิวจงใจแย่งพี่นนท์มาจากคุณ ทั้ง ๆ ที่เราไม่แม้แต่จะรู้จักกัน จะเรียกว่าอะไรดี ความเห็นแก่ตัว ความทุเรศ หรือว่าความที่หลิวไม่อยากจะแพ้คุณ หลิวแพ้ในเรื่องความรักให้กับผู้ชายอีกคน ที่ผู้ชายที่หลิวรักจนหมดใจมีใจให้ คุณอุ่นว่า ชะตาชีวิตคนเรา มันช่างโหดร้ายดีมั้ยคะ” ทั้งห้องเงียบสนิท อุ่นอยากจะพูดอะไรออกไป เพื่อให้หลิวคลายกังวล ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาจะมาแย่งนนท์กับหลิว

“พี่นนท์ หลิวไม่เคยท้อง พี่นนท์ไม่ได้ทำหลิวท้อง หลิวสร้างเรื่องขึ้นมา สร้างหลักฐานเท็จทั้งหมด เพื่อให้พี่นนท์ไม่กล้าทิ้งหลิว” หลิวพูดออกมาด้วยน้ำตานองหน้า เธอมองนนท์ด้วยสายตาของคนสำนึกผิด “พี่นนท์อย่าเกลียดหลิวนะ” นนท์ที่ได้ยินแบบนั้น เขารู้สึกเหมือนโดนค้อนปอนด์ทุบเข้าที่หัวอย่างจัง มันมึนงง มันบรรยายไม่ถูก ส่วนอุ่นนั้น เขาเลือกที่จะตัดความสัมพันธ์กับนนท์ ตั้งแต่ได้รับรู้ว่า นนท์กำลังจะเป็นพ่อคน การเดินจากไปของเขา มันง่ายที่สุดแล้วสำหรับทุกคน
“พี่นนท์ หลิวเซ็นใบหย่าไว้ให้พี่แล้ว พี่นนท์เป็นอิสระแล้วนะคะ พี่ไปอยู่กับคนที่พี่รักได้แล้วนะคะ” สิ่งที่หลิวเลือกทำในวันนี้ มันคือสิ่งดี ๆ เพียงไม่กี่อย่างที่เธอจะทำให้นนท์ได้ เพื่อแก้ไขในสิ่งแย่ ๆ ที่เธอได้ทำไว้ทั้งหมด แม้มันจะไม่สามารถชำระความผิดทั้งหมดของเธอได้ก็ตาม

“ขอแค่พี่นนท์คิดถึงหลิวบ้าง มาเยี่ยมกันบ้างก็ยังดี” หลิวพูดจบ เธอรู้สึกเหมือนจะเป็นลม ภาพด้านหน้าของเธอวูบไหว ก่อนที่เธอจะหมดสติและกำลังจะล้มพับไป นนท์ตกใจรีบวิ่งเข้าไปรับตัวหลิวก่อนที่หญิงสาวจะล้มถึงพื้น เอิงรีบเข้าไปดูเพื่อน เรียกชื่อหลิวเผื่อจะช่วยให้หลิวฟื้นคืนสติ อุ่นนั้นรีบโทรเรียกรถพยาบาล ทั้งสามคนได้แต่มองหน้ากัน พยายามทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น



ปัตนิ - มรณะ (คู่ครอง – การจากลา)


ที่โรงพยาบาล ทีมแพทย์กำลังดูอาการของหลิวอย่างใกล้ชิด แต่อาการของหลิวไม่สู้ดีนัก โรคร้ายที่เธอเป็นอยู่ได้ลุกลามไปมาก ยารักษาที่เคยได้ผลก่อนหน้า ก็เริ่มแสดงให้เห็นว่า ร่างกายของหลิวไม่ตอบสนองกับยาเหล่านั้น ที่เตียงคนไข้ สายเครื่องพยุงชีพต่าง ๆ ระโยงระยางเต้มไปหมด หลิวตอนนี้ดูอ่อนแอและเปราะบางเป็นที่สุด

เมื่อเธอฟื้นมีสติ เธอพยายามแสดงอาการรับรู้ เมื่อเห็นนนท์นั่งอยู่ข้าง ๆ หลิวพยายามพูด แม้ว่ามันจะทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยหอบมากกว่าปกติก็ตาม หมออยากให้เธอพักผ่อนมาก ๆ แต่หลิวรู้ดี ว่าเวลาของเธอเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ทุกอย่างมันงวดเข้ามาจนทุกวินาทีที่เธอมีเหลืออยู่นี้ เธอต้องการใช้มันให้มีคุณค่ามากที่สุด

“พี่นนท์ คุณอุ่นล่ะ” หลิวถามด้วยเสียงแห้งปร่า หลังจากที่นนท์ให้เธอจิบน้ำเปล่า “หลิวอยากเจอคุณอุ่น” หลิวขอร้องนนท์ ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไปตามอุ่น ที่นั่งรออยู่ด้านนอก อุ่นเดินตามนนท์เข้ามา หลิวยิ้มให้กับเขา ก่อนจะกวักมือเรียกอุ่นให้เข้าไปนั่งกับนนท์ที่ข้าง ๆ เตียง

“คุณอุ่นคะ หลิวขอโทษ ยกโทษให้หลิวด้วยนะคะ” หลิวพยายามพูด ทุกครั้งมันทำให้เธอหายใจขาดห้วงมากขึ้นเรื่อย ๆ “คุณหลิวพักผ่อนก่อนนะครับ ผมไม่ได้ถือโทษโกรธคุณหลิว ผมไม่เป็นไรจริง ๆ” อุ่นรู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้อย่างจับใจ ใช่ สิ่งที่เธอทำมันทำร้ายชีวิตของเขาและนนท์ แต่ตอนนี้ อุ่นเองก็โกรธหลิวไม่ลงจริง ๆ และนั่นคงไม่ต่างอะไรกับนนท์เช่นกัน

“ดูแลพี่นนท์ให้ดูนะคะ” หลิวจับมือของนนท์ไปวางทับมือของอุ่น “รักกันนาน ๆ” หลิวพูดพลางน้ำตาไหลลงมาเป็น “อย่าทิ้งคุณอุ่นอีกนะคะ พี่นนท์ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม” หลิวพยายามยิ้มให้คนทั้งคู่ “สองคนเสียเวลากับหลิวมามากพอแล้ว อโหสิให้หลิวนะ” หลิวพูดจบ พร้อมหลับตาลง หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน

นนท์นั้น พอมาถึงขั้นนี้ ต่อให้เขาไม่เคยรักหลิวเลย และต้องจำยอมอยู่กับหลิวเพื่อรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ความผูกพันระหว่างเขากับหลิวมันย่อมมี แม้ว่าเขาได้อิสระในชีวิตกลับคืนมาแล้ว แต่ความสูญเสียที่เห็นกันอยู่ตรงหน้านี้ มันทรมานหัวใจมากเสียเหลือเกิน

สองวันหลังจากนั้น เอิงก็ได้รับข่าวร้าย เมื่อนนท์โทรมาอกว่า หลิวจากไปอย่างสงบแล้ว หลังจากคืนที่หิวถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล คืนนั้น เธอหลับไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย เหมือนโซ่ตรวนที่เธอใช้เหนี่ยวรั้งทุกคนเอาไว้ แตกหักลง มันได้ปลดปล่อยทุกคน รวมถึงตัวของเธอเองด้วย

ความรักของหลิวที่ทำร้ายคนที่เธอรัก และทำร้ายตัวของเธอเองมากกว่าใคร ได้จบสิ้นลง มันอาจเป็นไปตามอิทธิพลของดวงดาวบนฟากฟ้า หรืออาจจะเป็นเพราะสติระลึกได้ของหลิว ที่ยอมให้ชีวิตดำเนินไปอย่างปกติตามธรรมชาติ

https://www.youtube.com/watch?v=PtZGhD8OFK0

ฉันได้พูดคุยกับเขาแล้ว
ได้เจอกับเขาคนนั้นของเธอ
ก็บอกตรงตรง
โกรธไม่ลงที่เธอได้เลือกเขา

เห็นแล้วเขาดีขนาดไหน
แตกต่างจากฉันที่ชีวิตวุ่นวาย
ไม่โกรธเธอแล้ว
เหมาะกับเธอก็เขานั้นคู่ควร

ทั้งหมดใจ
ก็ยังรักเธอเสมอ
และเข้าใจ
เมื่อเธอเจอทางที่ดี
ไม่อยากจะฉุดรั้งเธอ

ดูแลรักเขาให้ดีดี
อยู่กับเขาไปให้นานนาน
มีเพียงเท่านี้
จะใช้เป็นคำส่งท้าย
ดูแลรักเขาให้ดีดี
และจากนี้ไปเรื่องนี้จะจบ
ตัดใจเสียที
เธอได้คนดี
ก็หมดเวลาฉัน
ตั้งแต่นี้
ฉันขอลาก่อน

รู้แล้วทำไมเธอเลือกเขา
พอคุยกับเขาก็เลยเข้าใจ
มันต่างกันไกล
ไม่มีทางที่ฉันจะเทียบเลย

เห็นแล้วเขาดีขนาดไหน
แตกต่างจากฉันที่ชีวิตวุ่นวาย
ไม่โกรธเธอแล้ว
เหมาะกับเธอก็เขานั้นคู่ควร

ทั้งหมดใจ
ก็ยังรักเธอเสมอ
และเข้าใจ
เมื่อเธอเจอทางที่ดี
ไม่อยากจะฉุดรั้งเธอ

ดูแลรักเขาให้ดีดี
อยู่กับเขาไปให้นานนาน
มีเพียงเท่านี้
จะใช้เป็นคำส่งท้าย

ดูแลรักเขาให้ดีดี
และจากนี้ไปเรื่องนี้จะจบ
ตัดใจเสียที
เธอได้คนดี
ก็หมดเวลาฉัน
ตั้งแต่นี้
ฉันขอลาก่อน
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓ ลาภะ - ปัตนิ (โชคลาภและคนรัก)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 09-04-2022 15:49:37
๓.

ลาภะ – ปัตนิ (โชคลาภและคนรัก)


“พรุ่งนี้ผมว่างครับ” เอิงตอบปลายสายกลับไป “โอเคครับ ได้ครับคุณแม่ เจอที่คาเฟ่เดิมนะครับ ได้ครับ สวัสดีครับ” เอิงกล่าวลาอีกฝ่าย ก่อนจะกดวางสายลง สายตาของเขามองผ่านประตูกระจกสำนักงานเข้าไป ก็เจอสายตาอีกคู่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“สวัสดีครับพี่เอิง” เสียงเด็กหนุ่มรุ่นน้องเอ่ยทักเขา เมื่อเอิงดันประตูกระจกบานนั้นเข้าไป “มารับเช็คค่าแปลงานหรือครับพี่” เอิงยิ้มให้แล้วพยักหน้าแทนคำตอบ “พี่ว่านบอกให้พี่เข้ามารับได้เช้านี้น่ะ” เอิงอ้างถึงผู้ที่เป็นเจ้านายของอีกฝ่าย ที่ส่งข้อความไปบอกเขาเมื่อสองสามวันก่อน

“เดี๋ยวผมตามให้พี่” เด็กหนุ่มบอก ก่อนจะชะโงกเข้าไปด้านหลังออฟฟิศ แล้วตะโกนเรียกใครบางคน “หนู” เสียงเขาเรียก “หนูจ๋า” เอิงมองเด็กหนุ่มเรียกชื่อคนที่อยู่ด้านหลังออฟฟิศด้วยท่าทางพอใจแบบพิกล ๆ “หนูจ๋า” เขาเร่งเสียงเรียกดังขึ้นอีก คราวนี้ทำเสียงยานคางด้วยพร้อม จนเอิงได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ กำลังดังออกมาจากด้านหลังนั้น

“โอ๊ย เรียกใช้แต่เช้าเลยนะ” คนที่ถูกเรียกว่าหนูจ๋า บ่นกระปอดกระแปด ก่อนเยี่ยมหน้าออกมาดู เอิงเอ็นดูหน้าตายู่ยี่แสดงอาการเคือง ๆ นั้น “มีอะไร” เสียงนั้นห้วน ๆ แต่เจ้าตัวก็ต้องหันมาทำหน้ารู้สึกผิด เมื่อเห็นเอิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วย

“สวัสดีครับพี่เอิง เช็คใช่มั้ยครับ พี่ว่านสั่งไว้แล้ว เดี๋ยวหนูไปหยิบให้ แป๊บนึงนะพี่” หนูจ๋าทำท่านึกว่า ที่เก็บเช็คสำหรับค่าแปลเอกสารเก็บไว้ที่ไหน “เอ้าเร็ว ๆ เข้า พี่เขารอ” เจ้าเด็กหนุ่มคนแรกที่กล่าวทักเอิง ทำซุ่มเสียงดุเข้ม ออกคำสั่ง

“รู้แล้วน่ะ” หนูจ๋ายู่หน้าใส่ บ่นพึมพำ ๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปด้านหลังออฟฟิศอีกครั้ง “ไม่ไหวครับพี่เอิง เด็กฝึกงานก็อย่างเนี้ย แต่ไม่ต้องห่วงครับพี่ เดี๋ยวผมเกลาให้ ดูแล้วทรงนี้ยังต้องฝึกอีกเยอะครับ” เอิงนึกขำคำพูดของเด็กหนุ่ม ส่ายหน้าให้กับท่าทางของเจ้าตัว

“แล้วเราล่ะ ทำมาก่อนเขานานมากเลยนะ” เอิงเอ่ยปากแซว คนโดนแซวยิ้มกว้างแบบคนโดนจับผิดได้ “แหมพี่ อย่างน้อยก็สองปีแหละ ไม่ต้องห่วง ผมประสบการณ์เยอะ” เจ้าเด็กหัวเกรียนสกินเฮด เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์สีซีด พูดอวดภูมิให้เอิงฟัง

“โอ๊ย ขี้คุยแท้ ไอ้คัน” เอิงหมั่นไส้เจ้าเด็กหนุ่มนี้เสียเหลือเกิน “พี่เอิง ผมชื่อคันศร เรียกให้มันเต็ม ๆ หน่อยสิพี่” เจ้าของชื่อคันศรท้วงขึ้นด้วยหน้าตาทะเล้น ๆ เอิงหัวเราะไปกับท่าทางนั้น “ก็แกไม่มีชื่อเล่นให้พี่เรียก” เอิงท้วงกลับไปบ้าง “ศรก็ยังดีพี่” ทั้งเอิงทั้งคันศรหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก็พอดีที่หนูจ่าเดินถือเช็คเงินออกมาพอดี

“ได้แล้วครับพี่เอิง” หนูจ๋ายื่นเช็คให้กับเอิง “ขอบคุณนะ หนูจ๋า” เอิงเอื้อมมือไปรับเช็คมาจากเด็กหนุ่มในชุดนักศึกษา ดูเรียบร้อยและสดใสสมวัย “ขยัน ๆ เข้านะ เดี๋ยวก็ฝึกงานจบแล้ว” เอิงกล่าวกับหนูจ๋า “เหลืออีกเดือนเดียวเองพี่เอิง” หนูจ๋าพูด “จะได้เริ่มงานจริง ๆ สักที” แว่บเดียวนั้น ที่เอิงเห็นสีหน้าและแววตาของคันศรวูบไหว เหมือนคนกำลังจะเสียของที่สำคัญอะไรไป

“โชคดีจังเนอะ” คันศรหันไปพูดกับหนูจ๋า น้ำเสียงดูกระเง้ากระงอดอีกฝ่ายชอบกล หนูจ๋ามองคันศรแบบงง ๆ “แล้วอย่างนี้ ผมจะโชคดีกับเขาบ้างมั้ยครับพี่เอิง” คันศรถามผู้ที่โตสุดที่อยู่ตรงนี้ “ก็ต้องดูว่า ดาวลาภะ ลาภผลของแกไปอยู่ตรงไหน” เอิงตอบกลับเด็กหนุ่มไป

“งั้น พี่เอิงดูให้ผมหน่อยสิครับ นะครับ ผมอยากรู้ เผื่อจะมีโชคถูกรางวัลใหญ่อะไรกับเขาบ้าง” คันศรคะยั้นคะยอให้เอิงช่วยตรวจดวงให้เขาหน่อย “อ้ะ ๆ ก็ได้” เอิงตอบตกลง ก่อนจะถามวัน เดือน ปี และเวลาเกิดของเด็กหนุ่ม

“เกิดราศีธนู ลัคนามังกร” เอิงพูดบอกกับคันศรออกไป โห เจ้านี่ ราศีธนู นักรักผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรราศีเลยนี่นา เอิงคิด ก่อนเหลือบตาไปมองที่หนูจ๋า ที่มองมาทำตาแบ๊วใสอยู่ “ยังไงพี่” คันศรถามเอิง เพื่อให้อธิบายเพิ่มเติม

“เกิดราศีธนู ก็เลยชื่อคันศร” เอิงพูดเพื่อให้เจ้าตัวยืนยัน คันศรยิ้มกว้างและพยักหน้าแทนคำตอบ “อืม แต่แกเป็นคนสูง เข้ม ๆ แปลกตาดี ต่างจากคนเกิดลัคนามังกรที่พี่เคยเจอมาที่จะตัวเล็ก ๆ หน่อย” เอิงทักจากประสบการณ์ที่ผ่านมา “คนมันหล่ออ้ะพี่” คันศรไม่วายพูดชมตัวเองไปอีกหนึ่งที

“แหวะ” หนูจ๋าส่งเสียงไม่เห็นด้วยขึ้นมา “ฟังก่อน อย่าเพิ่งแพ้ท้อง เฮียเพิ่งเริ่มเองนะหนู ต่อเลยครับพี่เอิง” คันศรหันไปปรามหนูจ๋า ว่าอย่าเพิ่งรีบด่วนสรุป ของดีกำลังจะมาถึงต่อจากนี้ เอิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ หนึ่งที พลางนึกเอ็นดูไอ้เด็กสองคนนี้

“ถ้าเรื่องโชคลาภ อืม แกมี ๓ ดาวอังคารเป็นเจ้าเรือนลาภะ ที่หมายถึงโชคลาภ และเรือนพันธุ คือบ้าน คือที่อยู่อาศัย มันไปตกอยู่เรือน” เอิงพูดก่อนจะหยุดนิดหนึ่ง เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจอยู่ในที เจ้าคันศรทำหน้าลุ้นหนัก แม้แต่หนูจ๋าเองก็เช่นกัน

“ปัตนิ” เอิงบอกออกไป คันศรทำหน้าสงสัยใส่เอิง “คนรักน่ะ” เอิงไขความให้ ก่อนมองไปที่หนูจ๋า ซึ่งก็ยังคงมองมาตาใสแจ๋วอยู่เหมือนเดิม “คือยังไงอ้ะพี่ คือผมต้องมีแฟนหรือครับ ถึงจะโชคดี” คันศรถามแบบงง ๆ ในความหมายของดวงดาวที่เอิงบอกมา

“ก็ ทำนองนั้น” เอิงตอบเด็กหนุ่ม “คือถ้าแกนะ คันศร มีแฟนตอนนี้ แกก็จะได้โชคได้ลาภจากแฟนแกไง” เอิงอธิบายไปตามความหมายที่เขารู้ “ต้องมีแฟนงี้” คันศรพูดก่อนค่อย ๆ เหลือบตาไปมองหนูจ๋า เอิงเห็นแบบนั้นแล้วอยากมองบนใส่ไอ้เด็กคันนี่มากจริง ๆ

“แล้วเราจะได้โชคจากแฟนยังไงครับพี่เอิง” แม้แต่หนูจ๋าเองก็ให้สงสัย ว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง “คืองี้ สมมุติว่าเราอยากจะเสี่ยงโชค ซื้อล็อตเตอรี่ซักใบ เราก็ซื้อเลขที่เกี่ยวกับวัน เดือน ปี เกิด แฟนของเรา หรือเลขที่เกี่ยวข้องกับแฟน อย่างของเจ้าคันศรนี่ มีเรือนพันธุร่วมด้วย เลขที่บ้านตัวเอง บ้านแฟน ลองดู” เอิงนั้นอรรถาธิบายให้ทั้งคู่ฟัง

“แต่” เอิงขัดขึ้น คันศรหันมามองเอิงแบบไม่ชอบคำว่าแต่นั้นนัก “ดาวพุธ ๔ ของแกเดินเสียอยู่ ดาวพุธหมายถึงการพูด การสื่อสาร ๔ เป็นเจ้าเรือนอริของแกด้วย พูดยังไงให้เกิดเรื่อง พูดยังไงให้ตัวเองซวย แล้วคำว่าอริ ไม่ได้หมายถึงศัตรูเพียงอย่างเดียวนะ ลูกจ้าง อ้อ ลูกน้องก็ด้วย” คันศรถึงกับอึ้งไปนิดหนึ่งที่ได้ยินเอิงพูดมาแบบนั้น แต่ท่าทางเฉย ๆ เหมือนฟังไม่ทันของหนูจ๋า ทำให้คันศรโล่งไปได้หน่อยนึง

“เคยได้ยินมั้ยที่เขาพูดขำ ๆ กันว่า ปากหอมอมยา ปากหมาอม” เอิงหยุดพูดตรงคำสุดท้ายของประโยค คันศรพูดคำนั้นออกมาแบบไม่มีเสียง “นั่นแหละ ถ้าแกอยากจะได้โชคลาภจากแฟน ก็ต้องพูดจาดี ๆ กับเขา เอาใจเขา ชมเขา ไม่ชวนเขาทะเลาะ อะไรทำนองนั้น” เอิงบอกรายละเอียดการปรับพฤติกรรมตามดวงดาวให้คันศรเข้าใจ ซึ่งดูท่าแล้ว สีหน้าที่เป็นกังวลของคันศร มันเผยอะไรบางอย่างออกมาพอสมควร

“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง” หนูจ๋าทำเสียงหมาเห่า ก่อนจะหัวเราะทำหน้าชอบใจ คันศรนึกในใจ ซวยล่ะ นี่เขาไม่เคยพูดจาอะไรดี ๆ หวาน ๆ ออกไปเลย มีแต่ยียวนกวนประสาท มีแต่ออกคำสั่ง ก็เขานึกว่ามันคิ้วท์ คิ้วท์ ดีนี่นา แล้วอย่างนี้ จะเริ่มพูดเพราะ ๆ ดี ๆ ด้วยตอนไหน ยังทันอยู่ไหมวะ

“ส่วนของหนูจ๋า” เอิงหันไปทางเด็กหนุ่มตัวเล็ก หน้าใส “ครับพี่เอิง หนูพร้อมแล้ว” รอยยิ้มหวาน ๆ นี่ใช่มั้ย ที่ทำให้คนห่าม ๆ อย่างไอ้คันต้องหวั่นไหว เอิงคิดประมวลผลตามสิ่งที่เห็นด้วยตาเนื้อ ก่อนจะต้องประหลาดใจเมื่อเห็นดวงดาวของหนูจ๋า

“ราศีเมถุน คนคู่ ลัคนากรกฏ” เอิงถึงกับเลิกคิ้วขึ้น เพราะภพเรือนคู่รักของคันศร ก็คือลัคนากรกฏนี่แหละ “อืม หนูจ๋านี่ลักษณะตรงกับลัคนาเลยนะ แม่ตั้งชื่อให้ตามขนาดตัวป่ะเนี่ย ปากนิด จมูกหน่อย ตัวเล็กจิ้มลิ้ม เป็นพวกหน้าเด็ก น่ารัก” เอิงว่าไปตามดวงดาวที่เป็น

“แม่นดีนะครับ” คันศรยิ้มที่ได้ยินเอิงพูดชมหนูจ๋าแบบนั้น ส่วนหนูจ๋าก็ยิ้มเขินอยู่ แลละก็เห็นด้วยกับที่คันศรพูดว่าพี่เอิงทายแม่นดี “ส่วนโชคลาภของหนูจ๋า เลข ๖ ดาวศุกร์อยู่ในเรือนตนุ หรือตัวตนของตัวเองและมี ๒ ดวงจันทร์ การเสี่ยงโชค กุมลัคน์อยู่ด้วย ซื้อเลขตัวเองเลยหนูจ๋า เชื่อพี่” พูดจบ เอิงยังไม่อยากเชื่อเองเลยว่า ทั้งคันศรและหนูจ๋า จะมีดวงดาวที่สัมพันธ์คาบเกี่ยวกันแบบนี้

“คนนึงซื้อเลขแฟนนะ” เอิงย้ำกับคันศร “ส่วนอีกคน ก็ซื้อเลขที่เกี่ยวกับตัวเอง ตามนั้น” เอิงหันไปย้ำกับหนูจ๋าด้วย คันศรยิ้มเขิน ๆ อาย ๆ ไอ้ข้อมูลวัน เดือน ปี เกิด ของหนูจ๋าที่ได้ยินเมื่อกี้เขาจดเอาไว้แล้ว ส่วนหนูจ๋า ยังขมวดคิ้ว คิดไม่ตกเลย ว่าจะซื้อเลขวันเกิด หรือจะ พ.ศ. เกิดดี

“อ้อ แต่พี่จะบอกอะไรเอาไว้อย่างหนึ่งนะ” เอิงเรียกทั้งสองหนุ่มให้หันมาฟังในสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้ “เรื่องโชคลาภในชีวิตเนี่ย มันก็ไม่ได้หายถึงการเสี่ยงโชค เสี่ยงเบอร์เสมอไปหรอกนะ บางที โชคลาภของเราก็เป็นเรื่องงาน เรื่องการเดินทาง หรือแม้แต่เรื่องความรัก” เอิงมองหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมา

“โชคลาภบางที มันก็มาในรูปแบบของ สัตว์สองเท้า เคยได้ยินมั้ย” เอิงเอ็นดูเด็กทั้งสองคนนี้ขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ “นกหรือครับพี่เอิง หรือว่าเป็ด หรือว่าไก่” หนูจ๋าถามขึ้น ด้วยใบหน้าครุ่นคิดจริงจัง “โว้ะ” คันศรที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับต้องร้องออกมาดัง ๆ “โชคดีนะ ไอ้คัน” เอิงถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง แต่ท่าทางของหนูจ๋า ก็ยังงง ๆ ว่าพี่เอิงหัวเราะทำไม และคันศรจะเกาหัวดูหงุดหงิดทำไม

วันนั้นทั้งวัน พี่ว่านที่เข้ามาในออฟฟิศช่วงบ่าย ก็ดูจะแปลก ๆ กับท่าทีของคันศรไม่น้อย ที่อยู่ ๆ คันศรก็เพิ่มความละมุนละม่อมเวลาสอนงานหนูจ๋า ใช่แล้ว พี่ว่านมอบหมายให้คันศรเป็นพี่เลี้ยงดูแลหนูจ๋าที่เข้ามาฝึกงาน และให้เป็นผู้ส่งแบบประเมินสุดท้ายให้เธอด้วย พี่ว่านพึมพำกับตัวเองว่าคันศรกินยาผิดหรือเปล่า แต่ก็ดี ที่ทั้งสองไม่แง่ง ๆ ใส่กันให้เธอต้องปวดหัว

“พวกผมกลับก่อนนะครับพี่ว่าน” คันศรยกมือไหว้ร่ำลาเจ้านาย “ไปเร็ว กลับได้แล้ว” ก่อนจะหันมาดุนหลังให้หนูจ๋าเดินนำออกไป หนูจ๋ายกมือไหว้พี่ว่านแทบไม่ทัน ทั้งสองเดินออกมาจากออฟฟิศ คันศรก้าวขายาว  ๆ สองสามก้าว ก็ทำให้เขาเดินตามหนูจ๋าทัน ทั้งสองเดินข้าง ๆ กัน เพื่อไปที่สถานีรถไฟฟ้า

หนูจ๋านั้น ตอนนี้กำลังนึกในใจว่า เพราะอะไร วันนี้คันศรถึงได้พูดจากับเขาดีจัง จนผิดสังเกต ทั้งสองเดินไปด้วยกับแบบไม่ได้พูดอะไรกัน คันศรเอง เมื่ออยู่ ๆ ต้องหาคำพูดดี ๆ มาพูดคุยกับหนูจ๋า หลับหลายเป็นว่า คำพูดน่ะมี แต่เขาพูดไม่ออกซะอย่างนั้น

“แผงล็อตเตอรี่ เร็วหนูจ๋า” ไม่พูดเปล่า คันศรฉวยข้อมือของหนูจ๋าให้เดินตามเขาไป “เอาเลขอะไรดีหนุ่ม” คุณลุงแผงล็อตเตอรี่เอ่ยถาม ทั้งคันศรและหนูจ๋ากวาดตามองหาเลข “เอาเลขนี้” ทั้งสองจิ้มไปบนสลากเลขเดียวกันแทบจะพร้อมกัน

“นี่มันเลขปีเกิดของหนูจ๋า พี่ก็ซื้อเลขแฟนพี่สิ จะมาแย่งหนูทำไม” หนูจ๋าท้วงเสียงดัง “อ้าว หนูจ๋า มันมีตั้งสองใบ อย่างก” คันศรไม่ยอมแพ้ “มันมีสองใบ ก็แบ่งกันคนละใบสิไอ้หนุ่มเอ๊ย” คุณลุงเจ้าของแผงเอ่ยขึ้น สีหน้าคุณลุงชัดเจนว่า เชิญไปทะเลาะกันไกล ๆ ทั้งคันศรและหนูจ๋าในมือถือสลากไว้คนละใบ จ่ายเงินเสร็จก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า

เมื่อทั้งสองั่งอยู่บนรถไฟฟ้านั้น ในหัวของคันศรกำลังเรียบเรียงคำพูด ส่วนในใจของเขากำลังรวบรวมความกล้า เมื่อเห็นหนูจ๋าขยับกระเป๋าสะพายในมือให้กระชับ เพื่อเตรียมตัวลงสถานีที่จะมาถึง ขบวนรถไฟเริ่มชะลอ หนูจ๋าลุกขึ้นก่อนจะแทรกผู้โดยสารคนอื่น เพื่อไปที่ประตูรถ คันศรมองตาม ก่อนตัดสินใจลุกขึ้นด้วย

รถไฟฟ้าจอด ประตูเปิด คนด้านหน้าประตูเริ่มขยับเดินออก หนูจ๋าโดนเบียดไปทางกระจกใสข้างประตู ผู้โดยสารด้านนอก เดินตามเข้ามา เสียงของหนูจ๋าพูดขอทางว่าจะลง คันศรขยับเดินตามจนมาทันคว้าแขนหนูจ๋า เจ้าของแขนหันมามอง เห็นคันศรดึงแขนเขาไว้ หนูจ๋าตกใจดึงแขนตัวเองกลับมา เสียงปิ๊บ ๆ เตือนว่าประตูกำลังปิด

“ถ้าพี่ถูกล็อตเตอรี่ เลขแฟนพี่ คือเลขของหนูจ๋านะ” คันศรรีบพูดออกไปเสียงดัง ประตูรถไฟฟ้าปิดลงไปแล้ว คันศรมองลอดช่องกระจกประตูออกไป เห็นหนูจ๋ายืนนิ่งมองมาที่เขา หนูจ๋าได้ยิน หรือหนูจ๋าไม่ได้ยินที่เขาพูด คันศรไม่รู้ แต่ที่เขารู้  ผู้โดยสารทุกคนในตู้รถไฟนั้น จ่างพากันแอบยิ้ม กลั้นขำ เพราะได้ยินที่เขาพูดกันชัด และคันศรที่ตอนนี้อายมาก ๆ แทบมุดรถไฟฟ้าหนี ต้องปั้นหน้าเข้ม ทำไม่รู้ไม่ชี้ เพราะยังต้องไปกับรถไฟขบบวนนี้อีกไกล กว่าเขาจะถึงสถานีปลายทาง


https://www.youtube.com/watch?v=A6PYtr0M-iU

เวลาอยู่ใกล้เธอ ฉันชอบวิธีที่เธอคุยกับฉัน
เวลาเธอซุ่มซ่าม มันทำให้ฉันอดยิ้มไม่ได้
เธอคงไม่รู้ตัว ฉันชอบที่เธอ
ชอบร้องเพลงผิดคีย์ มันดูน่ารักดี
เธอทำให้โลกสดใส
มีเหตุผลนับเป็นร้อย เป็นพัน
ที่ทำให้ฉันนั้นต้องรักเธอ
ไม่เบื่อสักครั้งที่ต้องพูดคำเดิม
ฉันชอบบอกว่ารักเธอ
มันตกหลุมรักเธออย่างนี้ทุกวัน
ไม่ว่าวันนี้ หรือวันไหน
ก็ยังตกหลุมรักเธอได้ทุก ๆ วัน
มีแต่เธอในหัวใจ รู้สึกเหมือนเราเพิ่งเริ่มรักกัน
เคยเป็นไงก็เป็นงั้น ยิ่งนานเท่าไร ยิ่งรู้ใจกัน
ก็เธอมาทำให้ทุกวัน เป็นวันแรกเจอ
เวลาตื่นเช้ามา ฉันชอบที่ฉันได้เจอเธอก่อนใคร
อะไรที่วุ่นวาย ก็ลืมไปเลยเมื่อฉันมีเธอ
เธอคงไม่รู้ตัว ฉันชอบวิธีที่เธอมาเปลี่ยนฉัน
ให้เป็นคนสำคัญ ไม่มีใครดีเท่าเธอ
มีเหตุผลนับเป็นร้อย เป็นพัน
ที่ทำให้ฉันนั้นต้องรักเธอ
ไม่เบื่อสักครั้งที่ต้องพูดคำเดิม
ฉันชอบบอกว่ารักเธอ
มันตกหลุมรักเธออย่างนี้ทุกวัน
ไม่ว่าวันนี้ หรือวันไหน
ก็ยังตกหลุมรักเธอได้ทุก ๆ วัน
มีแต่เธอในหัวใจ รู้สึกเหมือนเราเพิ่งเริ่มรักกัน
เคยเป็นไงก็เป็นงั้น ยิ่งนานเท่าไร ยิ่งรู้ใจกัน
ก็เธอมาทำให้ทุกวัน เป็นวันแรกเจอ
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๔ สหัสชะ - ปัตนิ (เพื่อนมาเป็นคนรัก)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 10-04-2022 19:37:49
๔.



พันธุ – วินาศน์ (ครอบครัวกับสิ่งซ่อนเร้น)



เอิงมาถึงที่คาเฟ่ก่อนเวลานัดเล็กน้อย แต่พอมองเข้าไปในร้าน ก็เห็นผู้อาวุโสกว่าที่โทรศัพท์นัดหมายเวลากับเขานั้น นั่งรออยู่ก่อนแล้ว เอิงรีบเดินเข้าไปในร้าน ผู้หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเรียบหรู หันมาเห็นเขา ก็ยิ้มให้ เอิงเดินเข้าไปที่โต๊ะ ก่อนยกมือไหว้สวัสดีอีกฝ่าย

“ขอบคุณมากนะเอิง ที่แม่นัดเรากะทันหันแบบนี้” คุณนุจรีออกตัวขอโทษอีกฝ่าย เอิงตบกลับไปว่าไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรเช้านี้เขาก็ว่างอยู่แล้ว “เอิงดื่มอะไรดี เดี๋ยวแม่สั่งให้” เอิงตอบอีกฝ่ายไป ก่อนจะเห็นพนักงานเดินมารับออเดอร์

“เรื่องนี้แม่ร้อนใจ อยากให้เอิงช่วยแม่ที เหมือนกับคราวที่แล้ว ที่แม่ได้เอิงไขข้อข้องใจให้” คุณนุจรีพูดต่อเมื่อคล้อยหลังพนักงานคนนั้นไปแล้ว เอิงจับน้ำเสียงเจือความกังวลอะไรบางอย่างได้จากอีกฝ่าย

“ยินดีครับคุณแม่ ถ้าเอิงจะพอช่วยอะไรได้บ้าง” เอิงตอบคุณนุจรีไป ก่อนจะเห็นคุณนุจรีหยิบเอาชุดวัน เดือน ปี และเวลาเกิดส่งให้เขา “เอิงช่วยตรวจดวงของสองคนนี้ให้แม่ที” คุณนุจรีบอกกับเอิง “แม่อยากรู้ว่าสองคนนี้ เขาเข้ากันได้บ้างไหม” เอิงมองดูบนแผ่นกระดาษนั้น ก่อนเงยหน้าสบตากับคุณนุจรี

“คือ” คุณนุจรีพูดแบบรู้สึกเขิน ๆ อยู่ในที “คืออย่างนี้ ตาภพลูกชายแม่น่ะ กำลังจะเรียนจบรับปริญญาแล้ว ทีนี้ แม่ก็อยากจะดูว่า ถ้าเขาทำการทำงานของเขาไป แล้วเขาจะเป็นฝั่งเป็นฝาไปกับคนดี ๆ แม่ก็จะได้หมดห่วง” น้ำเสียงของคุณนุจรีฟังดูเครือ เหมือนกับว่าเธอเองก็ต้องผ่านการชั่งใจอะไรมาก่อนหน้านี้ด้วยเช่นกัน

เอิงพยักหน้าช้า ๆ ทำความเข้าใจกับความต้องการของอีกฝ่าย เอิงยิ้มให้กับคุณนุจรี เป็นเชิงให้กำลังใจ เขามองที่กระดาษใบนั้น ด้านซ้ายกำกับชื่อเอาไว้ว่าธนภพ ส่วนด้านขวาเขียนไว้อีกชื่อหนึ่ง เอิงเริ่มกระบวนการของเขา เพื่อเปรียบเทียบทักษาของทั้งสองคน

“จากที่เอิงเห็น ลูกชายของคุณแม่ลัคนาเมษ ส่วนอีกคนนั้นเป็นลัคนาพิจิก” เอิงเริ่มอธิบายภาพรวมดวงดาวให้คุณนุจรีฟัง “ถ้าคุณแม่จะเน้นเรื่องความรัก” เอิงพูดพลางกวาดสายตาเช็ครายละเอียด

“ของภพเขามีดาวศุกร์ ๖ เป็นเจ้าเรือนปัตนิ มาอยู่ในเรือนกัมมะสิ่งที่เราทำ อืม นี่เขาแอบหวาดหวั่น กลัวว่าสิ่งที่ทำอยู่ จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ไม่สมหวังอะไรทำนองนั้น เจ้าชะตามีแววจะเกรงใจคู่ของตัวเอง แบบเป็นคนกลัวเมียน่ะครับ” เอิงพูดแบบไม่มองหน้าคุณนุจรี แต่ลอบสังเกตได้จากท่าทางที่ได้เห็น ซึ่งก็น่าจะเป็นไปตามนั้น

“แต่ว่า ดาว ๖ กำลังจะย้ายเรือนในอีกไม่กี่วันนี้ ของน้องภพก็จะไปตกเรือนลาภะ จะมีเกณฑ์โชคดีเรื่องความรักนี่ครับ คือถ้าคุณแม่จะถามเรื่องแต่งงานแล้วล่ะก็ ก็แต่งได้นะครับ แต่อาจจะเป็นงานแต่งที่ ไม่เหมือนงานของคนทั่วไป แปลกไปจากคนอื่น ไม่แคร์ว่าใครจะมองว่ายังไง แต่ถ้าเข้าทางผู้ใหญ่น่าจะดีที่สุดครับ” เอิงอธิบายข้อมูลตามดวงดาวที่ปรากฏ คุณนุจรีนั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ได้พูดอะไร

“ส่วนอีกคน เขาก็มีดาวศุกร์ ๖ เป็นเจ้าเรือนปัตนิด้วยเช่นกัน แต่ของเขามาตกเรือนสหัสชะเพื่อนฝูง ก็ถ้าน้องภพคิดจะจับเพื่อนทำแฟนแล้วล่ะก็ ผมทายว่า เพื่อนคนนี้ก็แอบชอบน้องภพเหมือนกันนะครับ” แววตาของคุณนุจรีวูบไหว แต่ดูแล้ว ไม่ได้ต่อต้านเท่ากับตอนที่เอิงมาถึง

“เจ้าชะตามีดาว ๖ เป็นเจ้าเรือนวินาศน์อีกเรือนหนึ่ง เมื่อเดินมาอยู่ในเรือนสหัสชะ นั่นก็หมายความว่า เขาเองก็ไม่กล้าบอกใคร ไม่กล้าให้ใครรู้ น่าจะอยากเก็บไว้เป็นความลับ ไม่ยอมพูดง่าย ๆ หรอกครับ แต่วินาศนะ มันก็แปลได้อีกอย่างว่าจบเพื่อเริ่มใหม่ด้วยนะครับ เพราะดาว ๖ นี้กำลังจะย้ายเข้าเรือนพันธุ ที่แปลว่าบ้าน ดูแล้วคงกลัวว่า ที่บ้านพ่อแม่หรือญาติจะไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับความรักที่เขามี” คุณนุจรีได้ยินแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ

“เด็กคนนี้มีดาวพุธ ๔ เป็นเจ้าเรือนลาภะโชคลาภ ที่อยู่ในเรือนปุตตะการเริ่มต้นใหม่ ถ้าให้เอิงเดา น้องคนนี้อาจจะเรียนที่เดียวกันกับน้องภพ และคงจะเรียนจบรับปริญญาพร้อม ๆ กัน พื้นดวงของเขาดูแล้วอาจจะไม่มีฐานะอะไรเลย น่าจะขัดสนเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขาได้ริเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ เอิงว่า โอกาสดี ๆ ก็รอเขาอยู่ไม่ไกล อย่างน้อย ถ้าเขาได้คู่คิดหรือว่า เพื่อนดี ๆ ซักคน”

คุณนุจรีสบตากับเอิง ใบหน้าของเธอตอนนี้เรียบเฉย เอิงไม่รู้ว่า สิ่งที่เขาพูดฟังดูแล้วเกลี้ยกล่อมให้คุณนุจรียอมรับเด็กคนนี้มากไปหรือเปล่า แต่เขาพูดไปตามเนื้อผ้า ไม่ได้เสริมแต่งอะไรเลย



สหัสชะ – ปัตนิ (เพื่อนมาเป็นคู่ชีวิต)



“เฮ้ยไอ้ภพ มึงจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด อย่าลืมของฝากพวกข้านะเว้ย ก่อนจบ” เสียงหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทตะโกนบอกเขา ขณะที่ทั้งหมดกำลังจะเดินออกจากประตูห้องบรรยาย “เออ กูไม่ลืมหรอกน่า” ภพตอบกลับเพื่อนไป “แล้วโชคดีนะเว้ย กับการดูตัวน่ะ พวกกูรอดูหน้าเจ้าสาวมึงอยู่ ว่าจะสวยขนาดไหน” เสียงใครอีกคนพูดขึ้น ทั้งหมดพากันส่งเสียงแซววี้ดวิ้ว ก่อนจะพากันเดินไป

ภพตะโกนไล่พวกเพื่อน ๆ ให้รีบไปเสียที ก่อนเขาจะหันมามองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่เจ้าตัวกำลังก้มหน้าเก็บของใส่กระเป๋าเป้อย่างเงียบ ๆ ไปพร้อม ๆ กับความเงียบงันที่เกาะกินหัวใจ ว่าในที่สุด วันเวลาก็ต้องเดินมาถึง ไม่ว่าเขาจะต้องการหรือไม่ มันไม่เคยหยุดให้เขามีเวลาเตรียมใจ

“ซื่อหนาน กลับกันเถอะ” ภพหันไปชวนเพื่อนสนิทของเขา “อื้อ” เจ้าของชื่อตอบรับสั้น ๆ ยิ้มให้กับภพ แม้ว่ามันจะยากมากสำหรับเขา แต่อาหนานที่เพื่อน ๆ เรียก ก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ กับการได้รับรู้ว่า เส้นทางการเป็นเพื่อนกัน ระหว่างเขากับภพ กำลังจะถูกปิดผนึกไว้ ด้วยคำว่าเพื่อนโดยถาวร

ทั้งคู่เดินเงียบ ๆ ไปที่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย ต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดอะไร จนมาถึงป้ายรถเมล์ ปกติแล้วภพจะขับรถไปส่งอาหนานที่บ้าน แต่วันนี้ภพไม่ได้ขับรถมามหาวิทยาลัยด้วย ภพเลยบอกว่าจะมาส่งเขาที่ป้ายรถเมล์แทน อาหนานต้องรีบเตือนตัวเองว่า อย่าติดความสะดวกสบาย ต่อไปนี้มันจะไม่มีอะไรแบบนี้อีกต่อไป

“เราไปก่อนนะ” อาหนานแม้จะเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ แต่ก็รีบปรับสีหน้า ปรับน้ำเสียง ทำเรื่องที่จะพอทำได้ให้กับภพ เพื่อไม่ให้ภพรู้สึกไม่สบายใจ ถือว่าเป็นของขวัญให้ภพแล้วกัน แม้ว่าความจริงแล้ว อาหนานอยากจะพูดบอกกับภพถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองมากแค่ไหน แต่มันคงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

เขาก้าวขึ้นไปบนรถเมล์ อาหนานหูอื้อไปหมด อยู่ ๆ น้ำตาก็รื้นขึ้นขอบตาอย่างห้ามไม่อยู่ อาหนานเบือนหน้าไปอีกทาง เมื่อเห็นว่าภพมองตามขึ้นมา ความรู้สึกนี้ มันทำให้เขาทนแทบไม่ไหว

อาหนานนั่งรถเมล์เลยป้ายไปค่อนข้างไกล เขาคิดเรื่องการไปดูตัวของภพ วนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว ใครกันนะ จะได้มาเป็นเจ้าสาวของภพ คนที่โชคดีคนนั้น อาหนานเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างแรง เมื่อมีก้อนแข็ง ๆ แล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่หน้าอก เขากำลังเดินย้อนกลับบ้านและกำลังผ่านย่านชุมชน กลั้นมันเอาไว้ก่อน อาหนานสั่งตัวเอง อย่าปล่อยให้น้ำตาเป็นฝ่ายชนะ แม้ว่าใจของเขาจะสั่นระรัวก็ตาม

ทุก ๆ ก้าวที่เขาเดินไป มันเหมือนการตอกย้ำให้เขารับรู้ว่า เขากำลังเดินห่างออกจากชีวิตของภพไปเรื่อย ๆ และมันบีบคั้นความรู้สึกเสียเหลือเกิน ที่ชีวิตข้างหน้าของเขาต่อไปนี้ จะเป็นชีวิตที่ไม่มีภพอยู่ในนั้นอีกต่อไป จงเริ่มทำใจให้ชินเสียแต่ตอนนี้ อย่าปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไป มันจะยิ่งทำให้เขาตัดใจยากเข้าไปใหญ่

อาหนานเดินกลับมาจนถึงบ้าน เขาทักทายยายของเขา กอดยาย อยากได้พลังใจจากยาย เหมือนทุกครั้งที่เขาเหนื่อยล้า อ้อมกอดของยายคอยเติมความรักให้กับเขาได้เสมอ แต่ก็ไม่สามารถที่จะกอดยายได้นานอย่างที่เคยทำ

อาหนานรีบขอตัวเข้าห้องก่อน สร้างข้ออ้างว่าจะรีบไปอาบน้ำ แต่เมื่อประตูห้องนอนเก่า ๆ นั้นปิดลงตามหลังเขา น้ำตาอุ่น ๆ ก็พรั่งพรูลงมาเป็นสาย ทำนบเขื่อนที่กักกันน้ำตานั้นไว้ พังทลายลง มันคือใจที่เจ็บปวด ที่ผิดหวัง และร้าวราน

สองวันผ่านมาแล้ว ภพไม่ได้โทรหรือส่งข้อความหาเขาเลย และไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ทางโซเชียล มีเดีย อาหนานเอง ก็ต้องรีบปรับสภาพตัวเอง เขาจะทำให้ยายต้องเป็นห่วงเขาไม่ได้ เขาต้องเป็นที่พึ่งให้ยาย ดังนั้น เขาต้องตัดใจเรื่องทุกเรื่อง ความรู้สึกทุกอย่างให้ได้ไวที่สุด

อาหนานเตรียมของไว้ เพื่อจะทำไข่พะโล้สูตรโบราณให้ยายกิน เขาฝึกปรือทำอาหารไทยมาตั้งแต่ตอนเรียนปีสอง ตอนที่เขาไปช่วยเพื่อนบ้านที่เปิดร้านขายอาหาร เพื่อหารายได้พิเศษ แต่พอปีขึ้นชั้นปีสุดท้าย เขาก็ต้องมาตั้งใจเพื่อเรียนให้ได้เกรดที่ดีที่สุด การทำอาหารหม้อใหญ่ ๆ ก็เพื่อตอบแทนพระคุณยาย รวมถึงมันสามารถเก็บเอาไว้กินหลาย ๆ มื้อ เพื่อความประหยัดได้อีกด้วย

อาหนานกำลังจะเริ่มเคี่ยวน้ำตาลปึก หน้าจอโทรศัพท์ของเขาก็มีสายเรียกเข้าจากภพ มันเป็นวิดีโอคอล อาหนานจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์อยู่นาน จนมันตัดไป อาหนานเหมือนคนกำลังทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้ารับสาย แต่ก็เสียดายว่าสายตัดไปแล้ว แต่ภพก็โทรกลับมาใหม่ อาหนานรีบรวบรวมสติ ก่อนกดรับสาย

“อาหนานทำอะไรอยู่” ภาพของภพปรากฏอยู่บนหน้าจอ น้ำเสียงที่ถามฟังดูฉุน ๆ ที่เขาไม่ยอมรับสายเมื่อครู่ “เรากำลังจะทำไข่พะโล้ให้ยายกินน่ะ” อาหนานพิงโทรศัพท์ไว้ข้างชั้นวางจาน ในขณะที่ตัวเองกำลังเตรียมข้าวของ เครื่องปรุง

“อยากกินกับข้าวฝีมืออาหนานจัง” น้ำเสียงนุ่ม ๆ ของภพผ่านออกมาจากโทรศัพท์ อาหนานชะงักนิดหนึ่งเมื่อได้ยินภพพูดแบบนั้น เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่หันไปยิ้มน้อย ๆ ให้กับภพ ซึ่งดูเหมือนภพจะนั่งอยู่ในรถ กำลังเดินทาง อาหนานแม้จะอยากรู้ แต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะกลัวคำตอบที่จะได้ยิน ภพก็คงจะไปที่งานดูตัว อาหนานบอกกับตัวเอง บ้าจริง ไหนสัญญากับใจไว้แล้วว่า จะไม่มีน้ำตาอีก นี่อะไรกัน ยังไม่ทันจะข้ามวัน

“อาหนาน เราใกล้จะถึงที่ดูตัวแล้ว เดี๋ยวเราวางสายก่อนนะ” เสียงภพพูดจบ ภาพวิดีโอคอลก็ตัดลง อาหนานยืนมองจอโทรศัพท์ที่กลายเป็นหน้าจอสีดำแบบใจสั่น เขากลืนเจ้าก้อนความรู้สึกแข็ง ๆ นั้นลงไปอย่างยากลำบาก เจ็บแบบซ้ำ ๆ มันเป็นอย่างนี้เองหรือ ได้โปรดสงสารเขาบ้างสักนิดเถิด

“อาหนาน” เสียงอันคุ้นเคยของภพ ดังขึ้นที่ด้านหลังของเขา อาหนานหันกลับไปมอง ภพยืนอยู่ตรงนั้น ที่ตรงหน้าของเขาจริง ๆ “ภพไปงานดูตัวไม่ใช่หรือ” อาหนานถามออกไปแบบงง ๆ ก่อนจะเห็นภพยิ้มให้กับเขา ภพเดินเข้ามาหา

“ก็ใช่ไง ภพพาแม่มาดูตัว ไม่ผิดหรอก” ภพหยุดนิดหนึ่ง อาหนานเห็นผู้หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามา คุณนุจรียิ้มให้กับอาหนาน มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มด้วยสายตา อาหนานยกมือขึ้นไหว้ คุณนุจรีพนมมือรับไหว้เด็กหนุ่ม เธอได้ยินเรื่องของอาหนานจากธนภพลูกชาย เรื่องราวของเด็กดีมากคนหนึ่ง ที่ความขัดสนไม่ได้ทำให้เขาย่อท้อ แต่กลับทำทุกอย่างเพื่อให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้า ไม่หมดหวัง ไม่ท้อถอย และถ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของเธอจะตกหลุมรักเด็กดีอย่างอาหนาน เธอว่า ก็ถือว่าลูกของเธอโชคดีอยู่ไม่น้อย

ภพเอื้อมมือไปจับมือของอาหนาน เสียงจ้อกแจ้กคิกคักของกลุ่มเพื่อนสนิทตัวแสบดังขึ้นที่ประตู อาหนานหันไปมอง เสียงเพื่อนพูดว่า บอกแล้วว่าจะคอยดูหน้าเจ้าสาวของไอ้ภพ ภพทำท่าปรามเพื่อน ก่อนเดินจูงมืออาหนานไปหายาย ที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งไม่ไกล ทั้งสองนั่งคุกเข่าลงที่ด้านหน้ายาย ภพยกมือไหว้หญิงชรา ยายรีบบอกให้ภพไหว้พระตามประสาคนแก่

“ยายครับ ผมชื่อภพ ธนภพ วันนี้ผมพาแม่มาขออนุญาตยาย ขอซื่อหลาน หลานของยายแต่งงานอย่างถูกต้องครับ” ภพพูดบอกกับผู้อาวุโสแบบจริงใจ อาหลานมองยายด้วยความเป็นกังวล เขาไม่รู้ว่ายายจะเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่ แต่อาหลานกลับเห็นยายยิ้มให้กับภพ “บุญรักษานะลูกนะ” ยายใช้มือเหี่ยวกร้านตามประสาคนทำงานหนักมาทั้งชีวิตจับมือที่พนมไหว้ลงที่ตักยายของภพเอาไว้

“อาหนานมันเป็นเด็กกำพร้า แม่คนจีนของมันก็ด่วนจากไปตั้งแต่คลอดมันได้ไม่กี่วัน ยายเห็นแล้วก็ได้แต่สงสารมัน ยายก็เลี้ยงมันได้ตามมีตามเกิด อาหนานมันเป็นเด็กดี เป็นเด็กกตัญญู ถ้าเรารักมันจริง ยายก็เบาใจ ยายจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ ได้เห็นแบบนี้ ยายจะได้ตายตาหลับแล้ว”

อาหนานได้ยินยายพูดแบบนั้น ก็รีบห้าม บอกกับด้วยเสียงสั่นเครือยายว่า ยายต้องอยู่กับเขาไปอีกนาน ๆ คุณนุจรีได้ยินแบบนั้นก็แอบเช็ดน้ำตา รู้สึกซาบซึ้งใจเมื่อได้เห็นความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างยายกับหลาน แม้ว่าคนทั้งคู่จะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่อย่างใด

“ผมรักอาหนานครับยาย ผมหลงรักเขามาตั้งแต่ที่ได้เจอกัน” ภพพูด สบตากับอาหนาน “ผมกลัวว่าเขาจะไม่คิดเหมือนกันกับผม ผมเลยตัดสินใจบอกกับแม่ เพราะผมไม่อยากเก็บความรู้สึกนี้ไว้แล้ว ผมกลัวว่าจะเสียอาหนานไป” ภพอธิบายความคิดของเขาให้กับหญิงชราฟัง

“ก่อนหน้านี้ ผมไม่กล้าล่วงเกินอาหลาน ไม่กล้าแม้แต่จะจับมือหรือหอมแก้ม เพราะว่ายังไม่ได้รับพรจากยาย ยายครับอวยพรให้กับผมสองคนด้วยนะครับ” ภพกล่าวกับผู้เป็นยาย ยายยิ้มทั้งน้ำตา อวยพรให้หลานทั้งสองโชคดี มีชีวิตที่รุ่งเรือง ก้าวหน้า และรักกันไม่เสื่อมคลาย อาหนานน้ำตาไหลอาบแก้ม มองหน้ายายผู้เป็นที่รักที่สุดในชีวิตของเขา ยายเช็ดน้ำตาให้อาหลาน ความรักและความผูกพัน ความยินดีสำหรับผู้เป็นยายแล้วนั้น ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่าความสุขของหลานคนนี้

“เพื่อเป็นการให้เกียรติแม่ของอาหลาน ผมจะมาทำพิธียกน้ำชาอีกครั้งนะครับ” ภพคิดว่า เขาอยากให้แม่ของอาหลานรับรู้ ว่าเขาจะดูแลอาหลานให้ดีที่สุดต่อจากนี้ไป อาหลานยิ้มให้ภพ กล่าวขอบคุณเขา ภพบีบมืออาหลาน เป็นการสัญญาว่า เขาจะรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับยาย

“คุณยายคะ” คุณนุจรีที่เพิ่งวางสายจากสามีเอ่ยขึ้น “พ่อเจ้าภพเขารับทราบแล้วนะคะ กำลังหาตั๋วเครื่องบินกลับมาเมืองไทยค่ะ” ภพรู้สึกขอบคุณพ่อและแม่ของเขา ที่รับฟังและเข้าใจลูกชายคนนี้ เพียงแต่ว่า แม่ของเขาต้องเอาดวงของทั้งคู่ไปตรวจด้วยนี่แหละ เพื่อความสบายใจ

“ไอ้ภพได้ข่าวว่า มึงดวงกลัวเมียนี่หว่า” เสียงโห่หิ้วดังมาจากเพื่อนสนิท ภพทำหน้าตาตื่น เมื่อเห็นอาหนานรู้ความลับของเขาแล้ว “กลัวเมีย ได้ดีทุกคนแหละ เชื่อแม่ ดูอย่างพ่อแกสิ ได้ขยายกิจการไปต่างประเทศ เห็นมั้ย” คุณนุจรีบอกกับลูกชายของเธอ ภพหน้าเสียเมื่อเห็นแววตาดุและเอาจริงจากอาหนาน

“เบา ๆ มือกับภพหน่อยแล้วกันนะอาหนาน” ภพอ้อนวอน ทุกคนหัวเราะขึ้นมาเมื่อได้ยิน ภพก้มลงหอมแก้มอาหนานให้กับทุกคนได้เป็นสักขีพยาน ว่าต่อจากนี้ ภพจะมีอาหนานเป็นคู่ชีวิต ร่วมทุกข์ร่วมสุข แบ่งปันความรัก ความอาทร และความรู้สึกตลอดไป

อาหนานนั้นได้แต่เขิน แต่ก็ดีใจ มันคิดไม่ถึง มันนึกไม่ออก ให้ตายก็ไม่เคยคิดฝันว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้จะเป็นความจริง ยิ่งได้รู้ว่าพ่อของภพบอกว่า มีลู่ทางเรื่องการเปิดร้านอาหาร ความสามารถทางนี้ของอาหลานเป็นประโยชน์แน่นอน รวมถึงวิชาที่ทั้งคู่ได้ร่ำเรียนมา เอามาประยุกต์ปรับใช้ เพื่อต่อความก้าวหน้าในต่อไปในชีวิต



******************************

https://www.youtube.com/watch?v=6OS7kcVbFJI

ไม่กี่คนที่จะเคียงข้างกัน

ไม่กี่คนที่จะคอยร่วมทุกข์ใจ

และไม่ทิ้งฉันไว้ลำพัง

ไม่ว่าเจอเรื่องร้ายใดๆ

ก็พร้อมเดินไปกับฉัน

ไม่กี่คนที่จะรักฉันจริง

ทำให้ยิ้มในชั่วโมงที่เหงาใจ

ในชีวิตที่ล่วงเลยมา

ไม่กี่คนที่ฉันไว้ใจ

ให้กุมมืออยากฝากชีวิต

และหนึ่งในนั้นก็คือเธอคนดี

ที่ฉันนั้นโชคดีที่เราได้พบกัน

จากหนึ่งในร้อย หนึ่งจากในล้าน

ได้มาร่วมทางเดิน

ให้หนึ่งใจฉันได้เจอกับรักดีๆ

ไม่กี่คนที่จะคอยหวังดี

มีแค่เพียงไม่กี่คนให้เชื่อใจ

ในชีวิตที่ล่วงเลยมา

ไม่กี่คนที่ฉันให้ใจ

แค่บางคนที่อยากบอกรัก

และหนึ่งในนั้นก็คือเธอคนดี

ที่ฉันนั้นโชคดีที่เราได้พบกัน

จากหนึ่งในร้อย หนึ่งจากในล้าน

ได้มาร่วมทางเดิน

ให้หนึ่งใจฉันได้เจอกับรักดีๆ

และหนึ่งในนั้นก็คือเธอคนดี

ที่ฉันนั้นโชคดีที่เราได้พบกัน

จากหนึ่งในร้อย หนึ่งจากในล้าน

ได้มาร่วมทางเดิน

ให้หนึ่งใจฉันได้เจอกับรักดีๆ

อยากบอกว่าฉันรักเธออีกครั้งคนดี
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๕ ปัตนิ - วินาศน์ (คู่ครองที่ซ่อนเร้น)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 12-04-2022 21:45:58
๕.



ปัตนิ - วินาศน์ (คู่ครองที่ซ่อนเร้น)



เอิงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นดู ภาพที่ส่งมาทางข้อความแชท เป็นภาพของเด็กหนุ่มสองคนกำลังยกถ้วยน้ำชาให้กับหญิงผู้มีอาวุโส เอิงยิ้มให้กับภาพที่เห็น โดยเฉพาะสติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่คุณนุจรีส่งมาปิดท้ายข้อความสุดท้ายแล้ว คนเป็นแม่ ก็เลือกที่จะประนีประนอมระว่างความต้องการของตัวเองและความรู้สึกของลูก พบเจอกันครึ่งทาง คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว

เอิงเดินเข้าตึกมิกซ์ยูสอันหรูหราแห่งนี้ รู้สึกตัวลีบเล็กลงอย่างประหลาด ก็อย่างว่าล่ะนะ วันนี้เอิงมีธุระที่จะมาคุยกับรองประธานการฝ่ายพัฒนาองค์กรคนเก่ง แค่ชื่อตำแหน่งก็ยาวจนแทบจะท่องไม่ถูก แถมเจ้าตัวก็ยังเต็มไปด้วยความสามารถ รวมถึงการมีรูปเป็นทรัพย์ ที่มันช่างเข้ากันได้ดีมาก

เคาน์เตอร์ด้านหน้าแจ้งกับเอิง ว่าให้ขึ้นไปได้เลย ชื่อของเอิงอยู่ในรายชื่อของแขกวีไอพีของตึกในวันนี้ เอิงกล่าวขอบคุณ ก่อนเดินไปกดลิฟต์ เพียงไม่นาน ลิฟต์อันทันสมัยพาเอิงขึ้นมาถึงชั้นที่ต้องการ เจ้าหน้าที่ด้านหน้ากล่าวทักทายเอิงอย่างสุภาพ เธอทราบอยู่ก่อนแล้ว ว่าเอิงจะเข้ามาวันนี้ ก่อนเดินพาเอิงไปที่้ห้องรับรองแขก ที่อยู่ด้านนอกห้องทำงานใหญ่โต

ไม่นานนัก กาแฟราคาแพงหอมกรุ่นและขนมทานเล่นจากโรงแรมห้าดาว ถูกนำมาวางตรงหน้าเอิง เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ให้เอิงรอสักครู่ ท่านรองประธานติดประชุมกับฝ่ายการตลาด แต่อีกเดี๋ยวก็คงประชุมเสร็จ เอิงรับคำ ก่อนกล่าวขอบคุณ ประตูห้องทำงานบานใหญ่ปิดลงตามหลังเมื่อคุณเจ้าหน้าที่เดินออกไป เอิงถอนหายใจยาว ๆ ออกมา พอจะหายเกร็งลงไปบ้าง เมื่อต้องมานั่งอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเลยแบบนี้

เอิงยกกาแฟขึ้นจิบ รสชาติมันกลมกล่อม พร้อมของว่างที่หวานละมุนเช่นกัน เอิงนั่งรออยู่ครู่ใหญ่ กาแฟลดลงไปจนเกือบหมดแก้ว ขนมพร่องไปบางส่วน ก่อนจะได้ยินเสียงพูดที่ด้านหน้าห้อง ประตูห้องทำงานนั้นถูกเปิดเข้ามา เอิงเห็นรอยยิ้มจากใบหน้าอันแสนสวยนั้นของท่านรอง

“เอิง ฉันคิดถึงแกมาก” อันน์กล่าวทักทายเอิง รุ่นพี่คนสวยของเขารีบเดินเข้าสวมกอดแน่น ๆ “พี่อันน์สบายดีนะครับ” เอิงถามไถ่ อันน์ยิ้มให้แทนคำตอบ “ไป ไปคุยกันต่อในห้องทำงานพี่” อันน์เดินนำเอิงเข้าไปนส่วนห้องทำงาน ก่อนกดปุ่มแจ้งหน้าห้องให้เอากาแฟมาเพิ่มให้กับเอิง อันน์เชื้อเชิญให้เอิงนั่งที่ชุดโซฟาราคาแพง รอจนกาแฟถูกนำมาเสิร์ฟ แล้วจึงพูดต่อ

“กาแฟอร่อยเนอะ” พี่อันน์ไม่เคยเปลี่ยน ก่อนหน้าเคยเอ็นดูเอิงแบบไหน ปัจจุบันก็ยังเป็นพี่คนสวยที่แสนดี เอิงยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะพูดว่า “พี่อันน์สวยไปเปลี่ยนเลยนะ” อิงกล่าวชมรุ่นพี่ “แกต้องพูดว่า ฉันสวยขึ้นสิ ึงจะถูก” คนถูกชมแก้ไขคำพูดรุ่นน้องให้ถูกต้อง ถูกใจคนฟัง” อันน์พูด ก่อนที่ทั้งสองจะหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน

ก็จริงนะ อันน์มีใบหน้ารูปไข่ ปาก คิ้ว จมูก คาง คอ ได้สัดส่วนรับกันไปหมด ใบหน้าแต่งแต้มสีสันไ้อย่างลงตัว ลิปสติกสีแดงเพลิงบนริมฝีปากเรียวสวยนั้น เย้ายวนเด่นสะดุดตา แถมรูปร่างทรวดทรงองค์เอว ส่วนเว้าส่วนโค้ง อกอวบอิ่มแทบไม่มีที่ติ ยิ่งอยู่ในเดรสทำงานคอกลม แต่งแฉกเล็ก ๆ แขนสั้น ที่เอวมีเข็มขัดเส้นเล็กๆ สีเงินคาดอยู่ แบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งขับผิวที่ขาวของอันน์ให้ผ่องยิ่งขึ้น ผมยาวดำขลับเป็นลอนรวบมัดเป็นหางม้าต่ำ แบบดูไม่ตั้งใจ แต่สวยเป็นธรรมชาติ

“เสียดาย ดันเป็นกะเทยซะนี่” อันน์พูดติดตลก พลางยักไหล่ขึ้นแบบช่วยไม่ได้ เอิงยิ้มให้รุ่นพี่ ก่อนส่ายหน้าแบบไม่คล้อยตาม “แต่ก็ทั้งสวย ทั้งเก่งนะ ท่านรองฯ” เอิงพูดจริงจัง อันน์ยิ้มให้กับรุ่นน้อง เธอรู้ดีว่าเอิงนั้น ไม่ค่อยชอบให้เธอพูดอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ แม้ว่ามันจะเป็นความจริงที่หลีกหนีไปไม่พ้นก็ตาม

เอิงนั้น เขาคิดว่าเขาเข้าใจพี่สาวคนสนิทคนนี้ดี เอิงรู้ดีว่าอันน์นั้น ต้องใช้ความเพียรพยายามมากแค่ไหน กว่าที่จะก้าวมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ กับเพศสภาพที่แม้ในภาพรวม สังคมไม่ได้ปิดกั้นแต่อย่างใด แต่ในโลกธุรกิจแล้วนั้น อันน์ต้องพิสูจน์ตัวเองมากมาย ผ่านอะไรมาเยอะ จิตใจต้องแข็งแกร่งจนหลายครั้งเอิงนึกเห็นใจอันน์อย่างที่สุด

อันน์เป็นคนเกิดราศีมังกร ลัคนาสถิตราศีกุมภ์ โดยมีราหู ๘ เป็นตนุลัคน์หรือตัวตนของอันน์ แถมมีดาวเสาร์ ๗ อยู่ในราศีัมังกร จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมอันน์ถึงประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ แต่นั่นก็ต้องแลกมากับความเพียรอุตสาหะอย่างสูง แล้วพื้นดวงกำเนิดนั้น ราหู ๘ ไปตกที่ภพเรือนกัมมะ การงานการกระทำ อันน์จึงเป็นคนมุ่งมั่น อดทน มุมานะ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค แม้ว่าจะต้องเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดขนาดไหน

“สวยขนาดนี้ มีแฟนได้แล้วมั้ง” เอิงพูดเย้ากึ่งลองเชิงดูว่า รุ่นพี่คนนี้สละโสดหรือยัง “ใครเขาจะมาชอบฉัน” อันน์พูดพลางทำหน้าทำตาน้อยใจ “เฉาะรึก็ยังไม่เฉาะ” เอิงส่ายหน้าเอือมกับความกล้าพูด กล้าเปิดเผยของพี่สาวคนนี้เสียจริง ๆ

“ถ้าเขาชอบพี่อันน์ เรื่องนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” เอิงยืนยันกับอันน์ อันน์ยิ้มให้รุ่นน้อง เธอรู้ว่า เอิงนั้นรู้สึกอยากปกป้องความรู้สึกของเธอมาโดยตลอด อันน์ถึงได้รักและเอ็นดูรุ่นน้องคนนี้อย่างพี่น้องกันแท้ ๆ

กระนั้นเลย ดาวเจ้าเรือนปัตนิของอันน์คือ ดาวอาทิตย์ ๑ ไปอยู่ในเรือนวินาศน์ มันหมายถึงสิ่งที่ปิดบัง ซ่อนเร้น ไม่เปิดเผย ไม่ชัดเจน และอาจจะกลายเป็นเรื่องผิดศีลธรรมได้ ถ้าเจ้าตัวไม่ระมัดระวัง แถมยังอาจจะถูกหลอกลวง มีปัญหารักซ้อน แม้คู่แท้ที่ได้มาก็จะต้องมีอุปสรรคขวางกั้นเอาไว้ ภายใต้บุคลิกลักษณะที่แข็งแกร่ง เป็นผู้นำของอันน์ ความอ่อนแอเปราะบางซ่อนอยู่ลึก ๆ ในนั้น

“เข้าเรื่องดีกว่า” อันน์รีบเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องอย่างเอิงเริ่มกลายเป็นคนเจาะลึกชีวิตของเธอเสียแทนแล้ว “เอิง แกมาช่วยรับรองแขกพิเศษให้พี่ที” อันน์ปรับเข้าสู้โหมดท่านรองฯ “มิสเตอร์โรเบิร์ต ดทมัส โรเบิร์ต อเมริกัน จะมาเป็นผู้ลงทุนร่วมกับบริษัท พี่อยากได้ล่ามภาษาอังกฤษ ซึ่งแกเป๊ะมากในเรื่องนี้ ดังนั้น พี่มองไม่เห็นใครจะเหมาะสมมากไปกว่าแกแล้ว” เอิงฟังที่อันน์พูด

“งานนี้มีค่าเหนื่อยให้ เรตนี้” อันน์ยื่นเอกสารว่าจ้างให้เอิงดู มีค่าตอบแทนตัวเลขงามแสดงอยู่ เอิงถึงบอกว่า มันมากเกินไปด้วยซ้ำ แต่อันน์ยืนยันตามนั้น “และถ้างานของแกออกมาเพอร์เฟ็คไม่มีที่ติ แล้วมิสเตอร์โรเบิร์ตอยากจะมอบสินน้ำใจให้แกเพิ่ม เพราะความเสน่หา แกก็รับไปได้เต็ม ๆ ไม่มีหักเปอร์เซ็นต์” อันน์ยื่นปากกาให้เอิงเซ็นชื่อรับงานนี้

เอิงรับปากกามาจรดลงบนกระดาษแผ่นนั้น อันน์พยักหน้าให้กับรุ่นน้อง เป็นเชิงว่าให้เซ็นได้เลย เอิงลงชื่อในสัญญานั้น อันน์ยิ้ม เธอโล่งใจไปอีกหนึ่งเรื่อง ที่ได้น้องที่น่ารักและมีความสามารถอย่างเอิงมาช่วยงาน อันน์นัดหมายเอิงให้มาเริ่มงาน เอิงกล่าวขอบคุณรุ่นพี่อีกครั้ง

“เออใช่ งานนี้แขกพิเศษ 'พลัสวัน' นะ” อันน์เกือบลืมบอกกับเอิง “พี่ไม่แน่ใจว่ามิสเตอร์โรเบิร์ตจะเดินทางมากับใคร แต่เดาว่าน่าจะเป็นคนในครอบครัว ไม่ภรรยา ก็คงคู่ควง ยังไงแกเตรียมปวดหัวได้เลย” อันน์หยอกเอิง ก่อนจะบอกว่าให้มองรายได้ก้อนงามนั้นไว้ ทำให้ดีที่สุด ทำให้สำเร็จ เสร็จงานรับเงิน เดี๋ยวก็หายเหนื่อยเอง

“พี่อันน์ไม่ต้องไปส่งเอิงหรอก เดี๋ยวเองลงไปเอง” เอิงบอกกับรุ่นพี่ เมื่ออันน์เดินออกมาจากห้องทำงานพร้อม ๆ กัน “เอางั้นนะ” อันน์ถามย้ำ ก่อนจะได้ยินเสียงทักทายจากท่านประธานบริษัทหนุ่มหล่อ “คุณอันน์อย่าลืมงานกาล่าคืนนี้นะครับ” เอิงหันไปมอง จึงได้เห็นชายหนุ่มหน้าตาดี เจ้าของบริษัทนี้ รับช่วงต่อมาจากผู้เป็นบิดา

“ไม่ลืมแน่นอนค่ะ คุณพฤกษ์” อันน์ส่งยิ้มให้กับพฤกษ์ ที่หันมามองเอิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย “นี่คุณเอิงค่ะ อันน์ขอแรงให้มาช่วยรับรองมิสเตอร์โรเบิร์ต” อันน์แนะนำรุ่นน้องให้พฤกษ์รู้จัก เอิงยกมือไหว้ชายหนุ่ม “จริง ๆ เราให้มืออาชีพมาทำหน้าที่นี้ งานมันน่าจะออกมาเรียบร้อยดีกว่า” พฤกษ์พูด ก่อนมองอันน์และเอิงสลับกัน

“แต่ ถ้าคุณอันน์เชื่อมั่นในตัวคุณคนนี้ ผมเองก็ไม่ขัด ผมไว้ใจคุณอันน์ ว่าจะไม่ทำอะไรให้เสียเรื่อง” อันน์เองก็อึ้งไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินแบบนั้น เอิงรีบพูดกับพฤกษ์ รับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะทำให้ดีที่สุด พฤกษ์ไม่ตอบอะไร ก่อนบอกกับอันน์ว่า

“งั้นผมมารับคุณอันน์ที่นี่ทุ่มตรง” ชายหนุ่มบอกกับอันน์ที่ยิ้มรับ ก่อนจะเดินไป อันน์หันมาแตะไหล่น้อง บอกให้เอิงกลับได้เลย แล้วมาในวันเริ่มงาน เอิงนั้นก็ไม่อยากให้อันน์ต้องลำบากใจ จึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร เขายกมือไหว้กล่าวลารุ่นพี่ แล้วกำหนดจิตให้นึกถึงงานเอาไว้

ถึงเวลาเย็น อันน์กลับบ้านก่อนเพื่อไปเตรียมตัว เธออยู่ในชุดจากห้องเสื้อดีไซเนอร์ชื่อดัง เป็นชุดราตรียาวเปิดไหล่ แขนสั้น เข้ารูป สีดำ ความยาวจรดเท้า รองเท้าส้นสูงสีน้ำเงินเลื่อมปักลาย อันน์ดูสวยสง่า ผมเป็นลอนสวยปล่อยลงสยายอยู่เต็มหลัง ชุดต่างหูเพชรระย้า ปล่อยคอเปลือยเปล่า เย้ายวน ชวนค้นหา ใบหน้าถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางดูเฉี่ยว ปากสีแดงเพลิงสะกดทุกสายตา ในมือมีกระเป๋าในเล็ก ๆ ในของจุกจิกและบัตรเชิญกาล่า

อันน์กดแอพเรียกรถจากบ้านให้มาส่งที่อาคารมิกซ์ยูส เธอจอดรถไว้ที่บ้าน เพราะคงไม่มีประโยชน์ เมื่อตอนเลิกงานที่ต้องนั่งรถกลับมากับพฤกษ์อยู่แล้ว อันน์รอพฤกษ์อยู่ที่ด้านหน้าตึก ค่ำแล้ว ไฟหน้าตึก ไฟทาง และไฟจากตึกอาคารอื่นเปิดให้แสงสว่าง

อันยืนรออยู่พักใหญ่ แต่ยังไม่เห็นรถของพฤกษ์ขับเข้ามา เธอคิดว่า อาจจะเกิดความสับสนเรื่องสถานที่นัด เลยกดโทรศัพท์โทรหาพฤกษ์ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รับสาย อันน์นึกสงสัย เพราะว่าถ้าพฤกษ์มารับเธอไม่ได้แล้ว ทำไมชายหนุ่มไม่โทรมาบอกสักคำ อันน์พยายามโทรศัพท์ติดต่อพฤกษ์อีกสองสามครั้ง แต่ไม่เป็นผล งานกำลังจะเริ่มแล้ว อันน์ก้มดูนาฬิกา เธอจึงเรียกรถเพื่อไปที่งานจากแอปพลิเคชันอีกครั้ง

รถพาอันน์มาส่งที่งาน ทางเข้างานเป็นแบบไดรฟ์ทรู ที่คนมาในงานต่างได้เห็นว่า ผู้มาร่วมงานแต่ละคน มางานด้วยรถยนต์สุดหรูคันไหน อันน์ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ มองเห็นสายตาคนอื่น ๆ มองมาที่รถที่มาส่งเธอด้วยสายตาขบขันและเริ่มทำท่าซุบซิบกัน อันน์ลงจากรถ พนักงานวาเล่ต์รีบมาบอกทางให้คนขับรถรีบนำรถออกจากพื้นที่ อันน์ได้ยินเสียงฮือฮาดังแว่ววมาแต่ไกล ถ้าคิดไม่ผิด คงเกี่ยวกับรถคันที่อันน์นั่งมา

อันเดินเข้างาน ท่ามกลางสายตาแอบดูแคลน งานกาล่าระดับนี้ มีแต่ผู้ร่วมงานจะอวดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต แต่สิ่งที่คนเห็น รองประธานบริษัทอย่างอันน์ กลับมาด้วยรถรับจ้างอันแสนธรรมดา กะจะฉีกหน้าคุณพฤกษ์และผู้ถือหุ้นของบริษัทกันหรืออย่างไรนะ ช่างกล้า คนบางคนแอบตำหนิอันน์ หรือลืมเทคฮอร์โมนหรือเปล่า แม่ผู้หญิงหลังกำเนิด เสียงหัวเราะคิกคักดังมา

“คุณอันน์ สวัสดีค่ะ” ลลิน หญิงสาวลูกเจ้าของบริษัทส่งออกการ์เม้นท์อันดับต้น ๆ ของเมืองไทยดังขึ้น อันน์หันไปมองตามต้นเสียงนั้น ชายหนุ่มคนที่ยืนอยู่เคียงข้างกับลลิน คือพฤกษ์ ชายหนุ่มมองมาที่อันน์ ก่อนหลบสายตาของเธอ อันน์มองเห็นลลินควงแขนกับพฤกษ์ ดุจประกาศให้ทุกคนที่ได้เห็นรับรู้ ถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ระหว่างลูกสาวแสนสวยเจ้าของบริษัทกับท่านประธานหนุ่มหล่อ

“พลัสวันของคุณอันน์ ใครหรือคะ” ลลินทำเหลือบมองดูที่บัตรเชิญในมือของอันน์ “อย่าบอกนะคะ ว่าคุณอันน์คิดว่าจะเป็น พฤกษ์” ลลินจงใจพูดเสียงดังให้คนทีอยู่แถวนั้นหันมาสนใจบทสนทนานี้ “ลิน ผมว่าเราเข้าไปในงานกันเถอะ” พฤกษ์พยายามพูดตัดบท ลลินยังไม่ยอม

“แหม อะไรกันคะพฤกษ์ ลินก็แค่พูดทักทายคุณอันน์ ตามประสาแฟนนายจ้างกับลูกจ้างเองนี่คะ” ลลินทำเสียงอ้อน แก้ตัวกับพฤกษ์ อันน์พยายามข่มใจ ข่มความรู้สึก พฤกษ์ส่งสายตาแทนคำขอโทษมาให้อันน์ แต่เธอหลบสายตานั้นของพฤกษ์

“ยังไงตอนลงชื่อ คุณอันน์เขียนชื่อตัวเองลงไป ส่วนพลัสวันคนที่คุณอันน์มางานด้วย ก็เขียนว่า ความมั่นหน้า ก็ได้นะคะ ลินว่าแบบนั้นน่ารักดี” ลลินหัวเราะใส่อันน์อย่างเปิดเผย อันน์กำลังจะพูดตอบโต้กลับไป เพราะเธอคิดว่า สิ่งที่ลลินพูด มันชักจะเกินไปมากแล้ว ก็พลันมีเสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

“คุณอันน์ ทำไมจะเข้างานก่อนผมล่ะครับ ในเมื่อเรานัดกันไว้แล้ว ไม่ได้นะครับ นั่งรถมาก่อนที่ผมจะไปรับก็ทีนึงแล้ว ยังไงคุณอันน์ต้องอยู่เคียงข้างผมตลอดทั้งงานนะครับ” เจ้าของเสียงเดินเข้ามายืนข้าง ๆ อันน์ ชายหนุ่มที่ตัวสูงใหญ่ รูปร่างกำยำล่ำสัน ผิวสีแทน ดูหล่อเท่ในชุดทักซิโด อันน์กำลังนึกตามกับสิ่งที่เธอได้ยินชายหนุ่มพูด

“ไอ้ทัพ” พฤกษ์เอ่ยชื่อลูกพี่ลูกน้องของเขา “สวัสดีครับพี่พฤกษ์” ฐานทัพทักทายพี่ชายของตัวเอง เขาได้ข่าวว่าลูกชายของป้ากำลังจะกลับมาจากเมืองนอก แต่ไม่รู้ว่าฐานทัพถึงเมืองไทยแล้ว “สวัสดีค่ะคุณทัพ” ลลินกล่าวทักทาย ฐานทัพทำเป็นไม่ได้ยิน ก่อนจะหันไปหาอันน์ ชายหนุ่มผู้อ่อนเยาว์กว่า ก้มหน้าเข้าใกล้อันน์ จากความสูงระดับหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร

“เชิญครับคุณอันน์” ฐานทัพยกแขนขวาขึ้นให้อันน์จับ อันน์เอื้อมมือไปแตะที่แขนกำยำของฐานทัพ พฤกษ์มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกขัดใจ ลลินแอบเบ้ปากใส่ เมื่อเห็นคนในงานให้ความสนใจกับคู่ของอันน์และฐานทัพ บางคนเริ่มเอ่ยชมว่าทั้งสองคนดูเหมาะสมกันดี บางคนก็รู้สึกเขินแทน เมื่อเห็นฐานทัพใช้มือซ้ายกุมมือของอันน์ที่จับแขนของเขาอยู่

“ขอบคุณค่ะ” อันน์กล่าวกับฐานทัพเมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในงาน เธอดึงมือกลับจากการเกาะกุมนั้น “ความสุขมันมักจะอยู่กับเราไม่นาน ผมชักจะเชื่อแล้วนะครับ” ฐานทัพยอมปล่อยมืออันน์อย่างจำใจ แต่เขาไม่สามารถละสายตาจากอันน์ไปได้เลย อันน์เองก็ต้องหลบสายตาแบบนั้นของฐานทัพ

“ขอโทษที่ต้องเสียมารยาทนะคะ” อันน์พูดกับฐานทัพ “แต่ฉันดูแลตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากคุณหรือใคร” อันน์บอกออกไป ก่อนจะเห็นแววตาของฐานทัพ ที่อันน์มั่นใจว่า แววตาของฐานทัพคือแววตาของคนที่กำลังถูกทำร้ายความรู้สึก

“มันทำกับคุณอันน์แบบนี้ คุณยังอันน์ยังจะเห็นว่ามันดีอยู่อีกหรือครับ” ฐานทัพไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมคืนนี้ ณ เวลานี้ เขาถึงไม่อยากจะเก็บความรู้สึกที่แท้จริงของเขาเอาไว้ อย่างที่เคยทำมา “ฉันถือว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัว” น้ำเสียงของอันน์แสดงความไม่เป็นมิตร มันเหมือนเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติ เพื่อปกปิดความเปราะบางของตัวเอง

“ผมไม่เชื่อว่าคุณรักพี่พฤกษ์” ฐานทัพเองก็แทบไม่เชื่อว่าเขาจะพูดออกไปแบบนั้น “คุณฐานทัพ ฉันขอบคุณเรื่องที่คุณช่วยเหลือฉันนะ แต่นี่คุณจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของฉันมากเกินไปแล้วนะ ขอตัวนะคะ” อันน์พูดจบ พยายามจะเดินหนีชายหนุ่มรุ่นน้อง

“เขาเคยปกป้องคุณอันน์สักครั้งมั้ยครับ” ฐานทัพถามอันน์ออกไป เธอหยุดยืนนิ่งราวกับถูกตรึงเอาไว้ด้วยความจริงข้อนั้น ฐานทัพเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังของอันน์ ชายหนุ่มแตะเบา ๆ ที่แขนทั้งสองข้างของอันน์ ก่อนจะก้มลงพูดที่ข้างหูของอันน์

“เหมือนกันที่ผมปกป้องคุณอันน์” ฐานทัพค่อย ๆ ดันแผงอกของเขาให้แนบกับแผ่นหลังเนียนสวย ที่เผยพ้นออกจากชุดเดรสสีดำนั้น อันน์รู้สึกแปลบที่ใจขึ้นมาแบบแปลก ๆ เธอรีบหันหน้ามาทางฐานทัพ “ผมรักคุณอันน์นะครับ รักมาตลอด” ก่อนที่อันน์จะทันได้พูดอะไรกลับไป ฐานทัพก็โน้มใบหน้าลงมาหาอันน์ ริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้จนเกือบสัมผัสได้กับริมฝีปากของอันน์



**************************

https://www.youtube.com/watch?v=TWv9vhDxpJQ

ที่ดูเหมือนเก่ง มันเป็นแค่การแสดง

ที่แกล้งให้ดูแข็งแรง

เพราะไม่ต้องการอ่อนแอให้ใครดู

สิ่งที่ใครต่อใครก็รู้ ไม่ใช่ตัวจริงเลยสักนิด

เป็นภาพลวงตาที่ไม่มีใครเข้าใจ

ใครจะรู้ว่าฉันก็เจ็บ ใครจะรู้ว่าฉันก็แพ้

ร้องไห้ในใจ ไม่มีใครดูแล เจ็บเองก็ต้องหายเอง

ใครจะรู้ถึงความรู้สึก ที่อยู่ลึกในใจของฉัน

ที่มันร้อนเป็นไฟ เพราะว่าใครกัน

ที่ทำให้ตัวฉันต้องเป็นคนแบบนี้

ขอเพียงสักคน ที่เข้าใจกันก็พอ

อยากขอเพียงสักคน ที่รักตัวตนที่ฉันนั้นเป็น

สิ่งที่ใครต่อใครได้เห็น ไม่ใช่ตัวจริงเลยสักนิด

เป็นภาพลวงตาที่ไม่มีใครเข้าใจ

ใครจะรู้ว่าฉันก็เจ็บ ใครจะรู้ว่าฉันก็แพ้

ร้องไห้ในใจ ไม่มีใครดูแล เจ็บเองก็ต้องหายเอง

ใครจะรู้ถึงความรู้สึก ที่อยู่ลึกในใจของฉัน

ที่มันร้อนเป็นไฟ เพราะว่าใครกัน

ที่ทำให้ตัวฉันต้องเป็นคนแบบนี้

จะมีใครบ้างไหม มีไหมบนโลกใบนี้

ที่รักตัวฉันคนนี้ และไม่ทอดทิ้งกันไป

ใครจะรู้ว่าฉันก็เจ็บ ใครจะรู้ว่าฉันก็แพ้

ร้องไห้ในใจ ไม่มีใครดูแล เจ็บเองก็ต้องหายเอง

ใครจะรู้ถึงความรู้สึก ที่อยู่ลึกในใจของฉัน

ที่มันร้อนเป็นไฟ เพราะว่าใครกัน

ที่ทำให้ตัวฉันต้องเป็นคนแบบนี้

ใครจะรู้ว่าฉันก็เจ็บ ใครจะรู้ว่าฉันก็แพ้

ร้องไห้ในใจ ไม่มีใครดูแล เจ็บเองก็ต้องหายเอง

ใครจะรู้ถึงความรู้สึก ที่อยู่ลึกในใจของฉัน

ที่มันร้อนเป็นไฟ เพราะว่าใครกัน

ที่ทำให้ตัวฉันต้องเป็นคนแบบนี้
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๖ พันธุ - อริ (ครอบครัวและรักอุปสรรค)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 14-04-2022 16:45:29
๖.

พันธุ - ตนุ (บ้านกับตัวเรา)



“อิทัง เม ญาตินัง โหนตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย” เมื่อบทกรวดน้ำจบลง ทั้งหมดก็ลุกขึ้นเพื่อเอาน้ำไปรดที่โคนต้นไม้ใหญ่ เอิงเดินรั้งท้ายในกลุ่ม มีปราชญ์เดินอยู่กลาง และพี่นนท์กับอุ่นเดินนำหน้า ทั้งหมดตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ดวงวิญญาณของหลิวได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี เอิงชื่นชมทั้งพี่นนท์และอุ่น ที่ทั้งคู่เป็นธุระเรื่องงานศพของหลิวเป็นอย่างดี ทิ้งความโกรธ ความไม่เข้าใจ ที่หลิวได้ก่อขึ้นเอาไว้เบื้องหลัง หมดความโกรธและแค้นเคืองต่อกัน

“เออปราชญ์ พี่ว่าจะขายบ้านนะ” พี่นนท์หันมาบอก ตอนที่ทั้งหมดกำลังเดินกลับไปที่รถ “เอาจริงหรือพี่” ปราชญ์ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “อืม พี่ฝากปราชญ์ด้วย มีอะไรที่ต้องซ่อมแซมปรับปรุงก่อนขาย ก็บอกพี่ได้ ส่วนค่านายหน้าก็คิดมาได้เลย พี่เข้าใจ” นนท์บอกเพื่อนรุ่นน้องถึงความต้องการของเขา

“ไม่ต้องห่วงครับพี่นนท์ ผมคิดราคากันเอง พี่วางใจได้” ปราชญ์รีบพูดให้นนท์สบายใจ “พี่กับอุ่น กลับไปดูคอนโดที่เคยดูด้วยกันไว้ตั้งแต่ก่อนเรื่องราวทุกอย่าง มันจะกลายมาเป็นแบบนี้” นนท์หันไปสบตากับคู่ชีวิตของเขา อุ่นให้กำลังใจนนท์ผ่านทางสายตานั้น “มันยังสภาพดีอยู่เลย เจ้าของเขาดูแลอย่างดี” อุ่นเสริมขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าแสดงถึงความสุขที่รอคอยมาเนิ่นนาน

“โอเค ไว้พี่โทรหาเราอีกที เดี๋ยววันนี้พี่กลับก่อน ขอบใจมากเว้ยปราชญ์ เอิง ที่มาทำบุญด้วยกัน” ทั้งปราชญ์และเอิงยินดีที่พี่นนท์กับอุ่นชวนพวกเขาทั้งสองคน เอิงกับปราชญ์มองรถเก๋งคันนั้นแล่นจากไป “กว่าจะได้ลงเอยกัน” เอิงพูดออกมาเบา ๆ ปราชญ์ผ่อนลมหายใจออกมา “ความสุขนี่มันมีคุณค่ามากจริง ๆ นะ” เอิงนึกขำท่าทางสุขุมนุ่มลึกของเพื่อนสนิทในวันนี้

“อย่ามาทำหัวเราะดีไป แกนั่นแหละ เมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขาซะที” ปราชญ์ถามกลั้วหัวเราะ แต่ในใจอยากก็อยากรู้ว่าเมื่อไหร่ เอิงจะเปิดรับใครเข้ามานั่งในหัวใจเสียที คนถูกถาม ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “มัวแต่ดูดวงให้คนอื่น ได้เช็คดวงตัวเองมั่งมั้ย ว่าโชคสัตว์สองเท้ามาถึงหรือยัง”

ปราชญ์ถามเพื่อนด้วยความอยากรู้ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย นึกแล้วก็ขำ ที่เพื่อน ๆ ต่างพากันจับคู่เขากับเอิง ซึ่งคำพูดของเอิงที่บอกกับเขาในตอนนั้นก็คือ 'โอ๊ย ขนลุก' ปราชญ์คิดถึงสิ่งที่เอิงบอกว่าเขามีอยู่ในพื้นดวง คือมีเพื่อนที่ดี และปราชญ์นึกขอบคุณเอิง ที่เอิงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาตลอดมา

“ไม่อ้ะ ทำงานดีกว่า เก็บเงินเยอะ ๆ ตอนแก่จะได้สบาย” เอิงพูดบอกสิ่งที่เขาคิด “ไปเจอพี่อันน์มาเหรอ เจ้แกสบายดีนะ ยังสวยเหมือนเดิมสิ” ปราชญ์ถามขึ้น เพราะเห็นเมื่อวันก่อน อันน์ลงรูปคู่กับเอิงในโซเชียล มีเดีย “พี่อันน์แกขอให้ไปช่วยงานน่ะ เงินดีซะด้วย” เอิงทำท่าลูบปาก ว่าลาภลอยมาถึงแล้ว

“พี่อันน์ แกต้องสวยสิ ฉันว่าสวยกว่าเดิมด้วยซ้ำ เสียดาย ติดอยู่หน่อย แค่ตรงที่แกมีเจ้านายปาก จุด จุด จุดนั่นน่ะ” เอิงเล่าถึงคำพูดที่พฤกษ์ใช้ในวันนั้นให้ปราชญ์ฟัง เอิงรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่พฤกษ์ แต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรที่ทำให้อันน์ไม่สบายใจ อีกอย่างงานที่เซ็นสัญญาไปนั้น ก็จะเริ่มในอีกไม่กี่วันนี้

“แกช่วยบอกเจ้แกด้วยละกัน วันไหนว่าง ๆ ไปดวลเหล้ากัน ไม่สว่างไม่กลับ” ปราชญ์พูดขึ้น เมื่อทั้งคู่ออกจากวัดแล้วเดินตามทางมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ใต้สถานีรถไฟฟ้า “ได้เลย” เอิงรับปาก “แล้วแกกลับยังไง” เอิงถามปราชญ์ “เดี๋ยวฉันว่าจะเรียกแท็กซี่ อยากไปถึงบ้านเร็วหน่อย กะจะกลับเร็ว ไปเซอร์ไพรซ์ปั๋น” ปราชญ์ตอบเพื่อน เอิงทำท่าหมั่นไส้ ปราชญ์หัวเราะชอบใจ ก่อนเห็นรถแท็กซี่กำลังเข้าจอดพอดี เอิงเลยถือโอกาสร่ำลาเพื่อน แล้วเดินขึ้นบันไดเลื่อนของสถานี

“มึงอยู่ตรงไหนแล้ว ขึ้นไปรอรถไฟแล้วใช่มั้ย เออ ได้ ๆ กูกำลังขึ้นบันไดเลื่อน” เสียงคนคุยโทรศัพท์เดินตามหลัง แล้วผ่านเลยเอิงขึ้นไป เอิงหลบให้เขาผ่านขึ้นไปก่อน เอิงล้วงมือลงในช่องซิปในกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบบัตรโดยสาร คนที่เดินผ่านเอิงไปทางชานชาลาฝั่งตรงข้าม เอิงขึ้นทางด้านนี้ เพื่อกลับคอนโด

“เฮ้ย โทษที กูรีบที่สุดแล้วเนี่ย” ตรงหน้าผู้พูด ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย – อเมริกัน สูงหนึ่งร้อยแปดสิบเก้าเซนติเมตร กล่าวตอบว่า “ไม่เป็นไร” โดยไม่ติดสำเนียงเลยสักนิด “แหม กลับไทยมาได้ไม่กี่วัน ไม่เป็นไรตามคนไทยเลยนะมึง ไอ้แดน” เพื่อนเขาพูดแซว

แดนยิ้ม ๆ กับคำพูดนั้น ก่อนจะหันหน้าไปทางชานชาลาฝั่งตรงข้าม เหมือนมีพลังอะไรบางอย่าง ดึงดูดเขาให้มองไปทางนั้น แล้วทุกอย่างก็เหมือนกับหยุดนิ่ง สายตาที่มองเห็น หนุ่มไทยคนนั้น ที่ทำให้หัวใจของแดนเต้นเร็วมาก ความรู้สึกประหลาดนี้ถาโถมเข้าหาหนุ่มลูกครึ่ง เขาอธิบายไม่ถูก แต่ใบหน้าของผู้ชาย คนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้น สะกดเขาเอาไว้

“ไอ แอม โฮม” แดนพูดออกมาเบา ๆ



พันธุ - อริ (ครอบครัวและรักอุปสรรค)



ปราชญ์เลือกที่จะไม่เดินเข้าทางตึกหน้า เขาเดินเลาะไปตามด้านข้างของบ้าน ทางเดินเล็ก ๆ นี้ เคยเป็นที่แอบซ่อนตัวจากคนในบ้าน เมื่อสมัยยังเด็กของเขาและปั๋น มันทำให้เขารู้สึกเหมือนมีสถานที่ลับเป็นของตัวเอง แยกออกมาเป็นเอกเทศ ที่สามารถเล่นจินตนาการอะไรก็ได้ ที่ทั้งสองคนอยากให้มันเป็นจริง รวมทั้งเป็นที่ที่ปราชญ์จูบปั๋นเป็นครั้งแรก ในวันเกิดครบรอบสิบแปดปีของปั๋น

ปราชญ์เดินฝ่ายเรือนคนรับใช้ เพื่อที่จะทะลุเข้าเรือนเล็กติดกำแพงหลังบ้าน หลุดจากกำแพงนั้นไปก็คือบ้านใน ที่เขาไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเยียนมานานแล้ว ปราชญ์จำได้ดีว่า ตอนนั้นเขาโกรธมากเมื่อกลับมาถึงบ้าน แล้วรู้ว่า ปั๋นที่ตอนนั้นเพิ่งขึ้นมัธยมปลาย ถูกอัปเปหิจากตึกหน้าลงมาอยู่ที่เรือนเล็กนี้ เรือนที่ทั้งเก่า ทั้งทรุดโทรม ที่แม้แต่คนรับใช้ยังได้อยู่ที่ดีกว่านี้

แต่ตอนนั้น เขาทำอะไรไม่ได้เลย ปราชญ์นึกโทษตัวเองมาโดยตลอด ที่เขาไม่สามารถพูดหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แถมปั๋นยังย้ายลงมาโดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้จะต้องรอให้ช่างมาติดไฟ ต่อน้ำ ซ่อมกลอนประตูจนเกือบสัปดาห์ให้หลัง สาเหตุนี้เองที่ปราชญ์ถึงรู้สึกว่าปั๋นเป็น 'คนของเขา' ที่เขาต้องดูแลให้ดี จนบ่อยครั้งที่ปราชญ์ต้องใช้วิธีบังคับเพื่อให้ปั๋นทำตาม เพราะชายหนุ่มกลัวว่าปั๋นจะปฏิเสธความหวังดีของเขาที่พยายามชดเชยให้

ปราชญ์เดินมาถึงเรือนเล็ก เขาเคาะประตูเรียกปั๋น แต่เรือนเงียบสนิทเหมือนไม่มีใครอยู่ ปราชญ์เรียกปั๋น พยายามชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างเล็ก ๆ ด้านหน้านั้นเข้าไป แต่ก็ไม่เห็นใคร ไม่มีการเคลื่อนไหว เพราะถ้าปั๋นอยู่ในห้องนอน เดินออกมาจากห้องเพียงนิดเดียวก็ถึงประตูด้านหน้านี้แล้ว

ปราชญ์ยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหา แต่พอเสียงสัญญาณปลายสายดังเพียงสองครั้งก็ถูกตัดลง ปราชญ์แปลกใจ ชายหนุ่มจัดการกดโทรหาปั๋นอีกครั้ง แต่คราวนี้ปลายสายติดต่อไม่ได้แล้ว ปราชญ์กำลังคิดว่าปั๋นอาจจะงีบหลับไป เลยไม่ได้ยินเสียง แต่ก่อนที่เขาจะคิดว่าจะทำยังไงต่อดี คนรับใช้สองคนก็โผล่ออกมาจากทางตึกหน้าพอดี ทั้งคู่ตกใจที่เห็นปราชญ์ ชายหนุ่มเองก็สงสัยว่า สองคนนี้แบกอุปกรณ์ทำความสะอาดมาทำไม

“ถือซะว่าฉันช่วยแกมามากพอ และช่วยแกอย่างดีที่สุดแล้วนะ” ปั๋นที่ยืนถือกระเป๋าเสื้อผ้าเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง พยักหน้ารับกับคำพูดที่ได้ยิน คุณชัยวัฒน์ บิดาของปราชญ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม่แกก็ตายไปตั้งนานแล้ว ที่ฉันยอมให้แกเกาะจนจะเรียนจบมหาวิทยาลัยนี่ แกต้องสำนึกเอาไว้ด้วยนะ” ปั๋นก้มหน้านิ่ง กัดฟันข่มความรู้สึกเอาไว้

“แกสัญญากับฉันแล้วนะ ว่าแกจะไม่ติดต่อเจ้าปราชญ์ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม แกจะให้ลูกชายฉันรู้ไม่ได้ ว่าแกอยู่ที่ไหน ห้ามติดต่อกันเด็ดขาด” คุณชัยวัฒน์สั่งกำชับปั๋นอีกครั้ง ว่าให้ทำตามข้อตกลงที่ปั๋นให้สัญญาเอาไว้

“ส่วนแกจะร่อนเร่ไปไหน หรือจะไปตายอะไรยังไง ฉันไม่เกี่ยวอะไรด้วย เข้าใจมั้ย” ปั๋นได้ยินคำพูดนั้นของคุณชัยวัฒน์ ก็รีบห้ามน้ำตาที่จู่ ๆ ก็รื้นขอบตาขึ้นมาทันที “ไป ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว จะไปไหนก็ไป อย่ามาโอ้เอ้ ชักช้า ลีลามากนัก” ปั๋นเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของบ้าน เด็กหนุ่มยกมือขึ้นไหว้ พร้อมเอ่ยคำลา ก่อนจะเห็นอีกฝ่าย ไม่รับไหว้แถมโบกมือไล่ด้วยความรำคาญ ปั๋นได้แต่หันตัว กำลังจะเดินไปทางประตูหน้าบ้าน

“ปั๋นจะไม่ไปไหนทั้งนั้น นี่มันอะไรกันครับคุณพ่อ” ปราชญ์ที่เดินย้อนกลับมาทางเดินลับเอ่ยถามขึ้น คุณชัยวัฒน์ดูหัวเสียมาก เมื่อปั๋นทำพิรี้พิไรอยู่ จนปราชญ์กลับมาถึงบ้านเสียก่อน “ปั๋นบอกพี่สิ เกิดอะไรขึ้น แล้วนี่เก็บกระเป๋าทำไม คุณพ่อจะให้ปั๋นไปไหน” ปราชญ์ที่เค้นถามคนรับใช้สองคนนั้นแล้วไม่ได้ความอะไร รู้แต่ว่าปั๋นจะย้ายออกจากบ้านวันนี้ ต้องการคำอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“ฉันไล่มันไปเองแหละ” คุณชัยวัฒน์ให้คำตอบกับปราชญ์ ชายหนุ่มมองหน้าปั๋นที่ก้มหน้าหลบสายตาของเขา ก่อนจะมองไปที่ผู้เป็นพ่อ “ไล่ปั๋น ไล่ทำไมครับ” ปราชญ์กำลังปะติดปะต่อเรื่องราวและข้อมูลในหัว “ฉันไม่ต้องการให้มีตุ๊ดแต๋วในบ้านนี้” คุณชัยวัฒน์พูดใส่ปั๋นที่ยืนก้มหน้าซ่อนความรู้สึกเอาไว้ ปราชญ์ถึงกับกใจที่ได้ยินพ่อพูดแบบนั้น ชายหนุ่มมองหน้าปั๋น เขาเห็นแววตาแห่งความเจ็บปวดในนั้น

“ถ้าพ่อไม่ต้องการให้บ้านพ่อมีตุ๊ดมีแต๋วแล้วล่ะก็ งั้นขอเวลาผมเก็บของเดี๋ยว ปั๋น รอพี่แป๊บนึง เดี๋ยวพี่จะไปกับปั๋นด้วย” ปราชญ์บอกกับปั๋น ก่อนจะเดินผ่านพ่อของเขาเพื่อเข้าไปในบ้าน คุณชัยวัฒน์คว้าแขนปราชญ์เอาไว้ ชายหนุ่มสะบัดออก สีหน้าของปราชญ์ตอนนี้แสดงถึงความเดือดดาลที่มีในใจ

“แกพูดอะไรของแก เจ้าปราชญ์” คุณชัยวัฒน์ไม่ชอบใจกับคำพูดของลูกชายตัวเอง “ก็ตุ๊ดแต๋วไงครับ เดี๋ยวผมย้ายออกวันนี้เลย” ปราชญ์ย้ำคำพูดของพ่อตัวเอง “ฉันหมายถึงไอ้ปั๋นมันนู่น ไม่ใช่แก” คุณชัยวัฒน์ตอบกลับปราชญ์ด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว

“ไอ้ตุ๊ดไอ้แต๋วที่มันล่อลวงแกให้ทำเรื่องทุเรศเลวทรามกับมัน ในบ้านของฉันนี่ไง” คุณชัยวัฒน์ระเบิดอารมณ์โกรธของตัวเองออกมาเช่นกัน “ฉันกำลังพยายามช่วยแกให้พ้นไปจากพวกโสโครกนี่ แกยังมีหน้ามาเถียง ยังกล้าดีมาใส่อารมณ์กับฉันอีกหรือ เรื่องระยำตำบอนที่มันทำกับแกในห้องนอนน่ะ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ” คุณชัยวัฒน์เกรี้ยวกราดกับลูกชายด้วยอารมณ์โมโหและผิดหวัง

“คุณพ่อครับ” ปราชญ์เรียกผู้เป็นพ่อช้า ๆ “ถ้าคุณพ่อจะหมายถึง การที่ผมได้ปั๋นเป็นเมียล่ะก็” ปราชญ์พูดขึ้น ก่อนสาวเท้าด้วยท่าทางโกรธขึ้งไปหาปั๋น “คุณพ่อรู้เอาไว้เลยนะครับ ว่าผมนี่แหละที่ล่อลวงเขา” ปั๋นเงยหน้าขึ้นสบตากับปราชญ์ เด็กหนุ่มส่ายหน้าขอร้องปราชญ์ ไม่ให้เขาพูด แต่ตอนนี้ความโกรธมันเข้าครอบงำสติและเหตุผลของปราชญ์จะเกือบหมดสิ้นแล้ว

“และถ้ามันยังไม่ชัดมากพอสำหรับคุณพ่อล่ะก็ ผมจะบอกอะไรให้ฟัง ว่าตั้งแต่ตอนผมอายุสิบเจ็ด ที่ผมรู้ว่า แม่รินแม่ของปั๋น เป็นแค่เมียคุณพ่ออีกคน และปั๋นเป็นลูกติดแม่รินมา ปั๋นไม่ใช่ลูกของคุณพ่อ ผมนี่แหละ ที่อยากจะเอาปั๋นตั้งแต่นั้น ผมนี่แหละที่อยากจะจับเขาทำเมียซะตอนนั้นเลย” ปราชญ์หน้าแดงด้วยความโกรธ ตาแดงรื้นเพราะอารมณ์เสียใจกำลังกลั่นออกมาเป็นน้ำตา

“แต่ยังไงรู้มั้ยครับคุณพ่อ ผมนี่ ทั้ง ๆ ที่ไอ้นั่นของผมแข็งทุกครั้งที่เข้าใกล้ปั๋น แต่ผมตั้งหักห้ามใจ ไม่ทำอย่างที่ใจคิด เพราะผมรักของผม ผมรักคนคนนี้ของผม ผมรอจนเขาอายุสิบแปด ผมถึงหลอกล่อเขาจนเขาหลงกล ยอมจูบกับผม จากนั้น ผมก็หนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ผมทำยังไงรู้มั้ยครับคุณพ่อ” ปั๋นดึงแขนของปราชญ์เอาไว้ “พอแล้วคุณปราชญ์” ปั๋นพยายามห้ามไม่ให้ชายหนุ่มพูดอะไรอีก

“คืนนั้น ผมที่งุ่นง่าน ลงไปหาเขาที่เรือนเล็ก เรือนที่เฮงซวยเสียยิ่งกว่าห้องนอนคนใช้ ผมใช้ข้ออ้างความเป็นพี่ชาย บังคับเขาถอดกางเกงออก” ปราชญ์พูดต่อ “หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าปราชญ์” คุณชัยวัฒน์ตะโกนห้ามลูกชายสุดเสียง “ฟังดี ๆ นะครับคุณพ่อ ผมทั้งอมทั้งดูดให้กับเขา จนเสร็จ” ปราชญ์ที่ตอนนี้อารมณ์โกรธเกรี้ยว ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ๆ

“ผมกลืนให้เขาจนหมด ไม่เหลือสักหยด” ปราชญ์จ้องหน้าผู้เป็นพ่อ “ถ้าจะมีใครที่เป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว คุณพ่อรู้เอาไว้เลย ว่าไม่ต้องมองหาที่ไหนไกล ผมนี่แหละ ปั๋นไม่ได้ทำให้ผมเป็น ผมต่างหากที่เป็นต้นเหตุ อ้อ แล้วคุณพ่อพอมีเวลาฟังเรื่องที่ผมเอากับเขาตอนเขาอายุยี่สิบมั้ยครับ” ปราชญ์หยุดพูดนิดหนึ่ง มองหน้าคุณชัยวัฒน์ที่ตอนนี้อึ้งไปกับสิ่งที่ได้ยินจากลูกชาย

“เรื่องที่ว่า ผมเอา ๆ รูฟิต ๆ ของเขาไป แล้วมันไม่ถึงใจ เลยถอดถุงยางทิ้ง แล้วเอาต่อจนปล่อยแตกในตัวเขา ถ้าคุณพ่อจะมองหาคนเหี้ย ๆ ที่ทำให้คนในบ้านนี้เป็นแบบที่ว่าแล้วล่ะก็” ปราชญ์พูดก่อนเอามือตบที่หน้าอกของตัวเองดังอั้ก ๆ ปั๋นที่ตอนนี้เจ็บร้าวในหัวใจไปหมด ก้าวเท้าเดิน อยากจะออกจากตรงนี้ไปให้เร็วที่สุด

“ปั๋น พี่ไม่ให้ไป” ปราชญ์รีบเข้าไปขวางหน้า ปั๋นพยายามเดินหลบ ชายหนุ่มคว้าดึงตัวปั๋นเข้าไปกอด “คุณปราชญ์ปล่อยผม” ปั๋นบอกกับปราชญ์ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เด็กหนุ่มดันตัวชายหนุ่มให้ขยับออกห่าง “ผมเคยคิดไว้ ต่อให้ในบ้านนี้ มีแต่คนรังแกผม ทำให้ผมเสียใจไม่เว้นวัน ผมยังจะเหลือคุณปราชญ์ ที่จะไม่ทำร้ายจิตใจกัน” สิ่งที่ปราชญ์ได้ยินปั๋นพูด ทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัว

“ปั๋น พี่” ปราชญ์ที่คิดว่าเขากำลังปกป้องคนที่เขารักอยู่ แต่แล้ว สิ่งที่เอิงได้เตือนเขาเอาไว้ ว่ามันไม่ใช่ว่าเขาจะทำถูกทุกอย่าง กับเรื่องที่เกี่ยวกับปั๋น เมื่อเขาไม่เคยสักครั้ง ที่จะถามสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการ สิ่งที่ปั๋นรู้สึก ความหวังดีผสมกับความตั้งใจดีของเขา กลายเป็นยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์เข้าไปอีก

เอิงเคยอธิบายให้ปราชญ์ฟังว่า พื้นดวงของปราชญ์ที่เป็นคนลัคนามีน มีดาวอาทิตย์ ๑ เป็นเจ้าเรือนอริ ดาวอาทิตย์ที่เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนใด ย่อมส่องให้ความหมายของเรือนนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น ปั๋นที่เป็นคนลัคนาสิงห์ มีดาวอาทิตย์ ๑ เป็นตนุหรือตัวตน แต่เป็นเรือนอริหรืออุปสรรค การฟันฝ่าปัญหาของปราชญ์ การที่ปราชญ์ได้ปั๋นเป็นแฟนนั้น ไม่ผิด แต่เอิงเคยเตือนเขาไว้แล้วว่า กับเรื่องนี้ มันจะไม่ง่ายเลย

แถมช่วงนี้ ดาวอาทิตย์จร ๑ นี้มาอยู่ในเรือนตนุ ราศีมีนของตัวปราชญ์เอง อริมาทับตนุ มันย่อมส่งผมให้เจ้าชะตา ถ้าจะประสบความสำเร็จในเรื่องใด ๆ ย่อมจะต้องพบเจอแต่ปัญหารุมเร้า หนักหนาสาหัส จนกว่าจะผ่านมันไปได้ มันไม่ใช่หนทางที่ราบรื่นอย่างที่คิดเอาไว้ วันหนึ่ง ปั๋นที่แบกความรู้สึกเอาไว้ จะวางทุกอย่างลง และปลดพันธนาการนั้นลง

อีกทั้งเกตุหรือ ๙ มาอยู่ในเรือนวินาศน์ ที่มีความหมายว่า อะไรที่ปิดบังอยู่ จะถูกเปิดเผยออกมา แต่ตะประสบกับความเดือดร้อน สูญเสีย อุปสรรคปัญหานานา ถูกหน่วงเหนี่ยวและจำกัดสิทธิ์ไม่ว่าจะเรื่องใด ๆ ที่สำคัญดาวอาทิตย์ ๑ อีกความหมายหนึ่งก็คือ บิดา ที่อาจจะทายได้ว่า เจ้าชะตาอาจจะไม่ลงรอยกับพ่อ ขัดแย้งกัน แต่ผู้เป็นพ่อนั้นจะมีอำนาจเหนือกว่า

“ผมอยู่ได้ เรือนเล็กมันจะเก่าซอมซ่อยังไง ผมก็อยู่ได้” สิ่งที่อยู่ในใจและเก็บอัดอั้นมานานมันกำลังล้นออกมาเป็นน้ำตาของปั๋น “แต่ผมก็อยากจะมีที่ที่จะเป็นตัวเองได้ ไม่ต้องคอยรับคำสั่งใคร ให้ต้องหันซ้ายหันขวา ผมอยากอยู่ในที่ไม่มีใครทำร้ายผมได้อีก”

ปั๋นน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย เงินเก็บก้อนหนึ่ง ที่ปั๋นแอบปราชญ์ไปทำงานพิเศษ มันทำให้ปั๋นอยากไปมีที่ทางเป็นของตัวเองด้วยเช่นกัน เป็นบ้านที่ปั๋นเป็นผู้กำหนด ว่าห้องไหนทาสีอะไร อะไรวางไว้ตรงไหน ใครมาได้ ใครอยู่ได้ หรือใคร ๆ ก็ไล่เขาไปไหนไม่ได้

“ได้ยินหรือยังล่ะ เจ้าปราชญ์ พ่อไม่ได้ผิด มันเองก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่กับแกเหมือนกัน” คุณชัยวัฒน์ตะโกนมาดังลั่น “ถ้างั้น ผมจะออกไปอยู่กับปั๋น” ปราชญ์ประกาศกร้าว “แกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น แกมีหน้าที่ต่อครอบครัวนี้” คุณชัยวัฒน์เดินเข้ามาดึงปราชญ์ให้ออกมาไกลจากปั๋น ปราชญ์พยายามขัดขืน แต่คุณชัยวัฒน์ไม่ยอม เงินสองแสนแลกกับการที่ลูกชายจะอยู่ห่างจากสิ่งน่าขยะแขยงนี้ได้ คุณชัยวัฒน์คิดว่ามันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

“แกสัญญากับฉันไว้แล้ว ว่าแกจะช่วยงานฉัน ให้บริษัทผ่านปัญหาไปได้ด้วยดี แกจะมาเห็นแก่ตัว แล้วทำให้ทุกอย่างมันพังลงไปไม่ได้ ถ้าบริษัทล้มละลาย ทุกอย่าง ทุกคนที่เดือดร้อนจะมีแกเป็นต้นเหตุ” คุณชัยวัฒน์พูดด้วยความแข็งกร้าว “ผมยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อที่จะได้อยู่กับปั๋น” ปราชญ์มองไปที่สุดที่รักของเขา ถ้าไม่มีปั๋น ชีวิตของเขาคงย่ำแย่ไม่มีชิ้นดีเช่นกัน

“มันไม่ได้อยากอยู่กับแก” คุณชัยวัฒน์ตะโกนด่าลูกชาย “แกดูนี่ แล้วแกเลิกโง่ เลิกหลงมันได้แล้ว แกดูนี่ เงินแค่สองแสนก็ซื้อคนอย่างมันได้แล้ว แกดู ว่ามันหน้าเงินขนาดไหน เอ้า ดูซะให้เต็มตา” คุณชัยวัฒน์เอาใบโอนเงินเข้าบัญชีเข้าที่หน้าของปราชญ์ ชายหนุ่มจับมันเอาไว้ในมือ สายตาไล่ดูรายละเอียด มันตรงตามที่พ่อของเขาพูดไม่มีผิด ปราชญ์มองหน้าปั๋น ที่ตอนนี้เด็กหนุ่มพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้

“ปั๋น เงินแค่นี้ ทำไมไม่มาเอาจากพี่” ปราชญ์ถามเสียงสั่นด้วยความผิดหวัง “ผมต้องการบ้านตอนนี้ คุณปราชญ์หาให้ผมได้เลยมั้ยครับ” ปราชญ์อึ้งไปกับคำพูดของปั๋น แต่สิ่งที่เขาเพิ่งรับปากพี่นนท์ไปเมื่อเช้านี้ ก็แล่นเข้ามาหาเขาเช่นกัน เรื่องช่วยขายบ้านที่เพิ่งรับปากพี่นนท์ไป ส่วนปั๋นนั้นมีเงินเก็บอยู่จำนวนหนึ่ง ถ้าเติมเข้ากับเงินสองแสนนี้ มันก็ช่วยให้ปั๋นเข้าใกล้สิ่งที่ฝันไว้ได้เร็วขึ้น

“ผมขอบคุณคุณผู้ชายที่กรุณาผมนะครับ” ปั๋นตัดสินใจแล้ว ที่จะจบเรื่องทุกอย่างไว้ที่นี่ ในวันนี้ ความสูญเสียของปั๋น ความไร้ญาติขาดมิตรของปั๋น การไม่มีครอบครัวคอยเคียงข้าง ปั๋นไม่อยากเห็นภาพนั้นเกิดขึ้นกับปราชญ์ เพราะเขารู้ซึ้งดี ว่ามันทรมานและแสนจะเจ็บปวดขนาดไหน ยังไงซะ ปั๋นกับปราชญ์ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันทางสายเลือดอยู่แล้ว ต่อให้เลือดแม้จะไม่ดี แต่เลือดก็ย่อมต้องข้นกว่าน้ำ

ปราชญ์หลับตาลง ในหัวของเขามึนงงไปหมด ในหัวใจของเขาสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ชายหนุ่มมีท่าทีอ่อนลง เพียงแต่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมปั๋นถึงได้ไม่ยอมให้เขา เหมือนที่ผ่าน ๆ มา ปราชญ์จำได้ที่เอิงเคยบอก ว่าปั๋นมีดาวจันทร์ ๒ ที่แปลว่า แม่ หรือญาติฝ่ายหญิงอุปถัมภ์ แต่เมื่อแม่รินเสียไปนานแล้ว ปราชญ์ถึงได้ตั้งใจที่จะดูแลช่วยเหลือปั๋นให้ได้ดีที่สุด เยอะที่สุด

ปั๋นมองหน้าของปราชญ์ เขาอยากจะจดจำภาพที่สวยงามของคนที่อยู่ตรงหน้านี้ เอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะว่าต่อจากนี้ ชีวิตที่จะก้าวต่อไป มันจะไม่มีอีกแล้ว คนที่ห่วงใยกัน คนที่รักกัน เมื่อต่างก็พากันเดินมาจนสุดทาง และมันมีเพียงทางแยกสองข้าง ซ้ายและขวา ที่มองไปในแต่ละด้าน ก็ยาวจนสุดปลายสายตา และไม่รู้ว่าอีกนานไหม ทางทั้งสองจะกลับมาบรรจบกันได้อีก



********************************

https://www.youtube.com/watch?v=mKFmwCNRvR8

กว่าจะรวมจิตใจ เก็บทรายสวยสวยมากอง ก่อปราสาทสักหลัง ก่อกำแพงประตู ก่อสะพานสร้างเป็นทาง ทำให้เป็นดังฝัน ก่อนที่ฉันจะได้เห็นทุกอย่าง อย่างที่ฝันที่ฉันทุ่มเท น้ำทะเลก็สาดเข้ามา ไม่เหลืออะไรเลย แหลกสลายลงไปกับตา เหลือเพียงทรายที่ว่างเปล่า กับน้ำทะเลเท่านั้น ไม่เหลืออะไรเลย จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม ทีละเล็กละน้อย ที่คอยสะสมความดี มีให้เธอเท่านั้น ก่อเป็นความเข้าใจ แต่งเติมความหมายด้วยกัน คอยถึงวันที่หวัง ก่อนที่ฉันจะได้พบความสุข อย่างที่ฉันฝันไว้ทุกวัน เธอก็พลันมาจากฉันไป ไม่เหลืออะไรเลย แหลกสลายลงไปกับตา เหลือเพียงใจที่ว่างเปล่า กับฉันคนเดียวเท่านั้น ไม่เหลืออะไรเลย จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม จะเอาแรงพลังจากไหนไว้เติมแต่งฝัน จะเอาวันและคืนจากไหนให้พอทำใจ ไม่เหลืออะไรเลย ไม่เหลืออะไรเลย แหลกสลายลงไปกับตา เหลือเพียงใจที่ว่างเปล่า กับฉันคนเดียวเท่านั้น ไม่เหลืออะไรเลย จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม ไม่เหลืออะไรเลย
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๖ พันธุ - อริ (ครอบครัวและรักอุปสรรค)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 15-04-2022 08:42:22
 :hao5: :hao4:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๗ ปุตตะ - ตนุ (เริ่มต้นใหม่เป็นตัวเอง)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 16-04-2022 16:29:09
๗.

ปุตตะ – ตนุ (เริ่มต้นใหม่เป็นตัวเอง)



“แม่พี่ศรไม่ยอมออกมาสักที เดี๋ยวหนูไปสาย” ศศิตะโกนฟ้องแม่ เหตุเพราะเช้านี้พี่ชายของเธออาบน้ำนานมาก “ศร อย่าแกล้งน้อง เดี๋ยวน้องไปเรียนสาย รีบ ๆ หน่อยลูก” คุณอนงค์ตะโกนบอกลูกชาย ได้ยินเสียงตอบรับมาดังออกมาจากห้องน้ำชั้นบน “ปกติก็ยังกับวิ่งผ่านน้ำ วันนี้จะมานึกขัดสี ฉวีวรรณอะไรขึ้นมา” ผู้เป็นแม่หันไปพูดกับสามีของเธอ ที่ได้แต่พยักหน้าเออออไปตามประสา ขณะจิบกาแฟยามเช้า

“ขี้ฟ้องไม่เปลี่ยนเลยนะ ยัยขี้มูก” คันศรที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเปิดประตูออกมา บ่นน้องสาวคนเดียวของเขา “อี๋ ไปแต่งตัวให้ดี ๆ อย่ามาเดินโทงเทง ทุเรศ” ศศิในชุดนอนเสื้อกับกางเกงลายดอกไม้ หิ้วกระเป๋าประทินโฉมพร้อมผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดผม และผ้าเช็ดใบหน้า ร้องบอกพี่ชายตัวเอง เช้า ๆ แบบนี้ ทำไมต้องมาเห็นภาพน่าเกลียดนี้ด้วย

“ซิกแพ็กของผมเนี่ย ไม่ใช่จะได้มาง่าย ๆ นะครับ คุณศศิ” คันศรอวดสรรพคุณรูปร่างของตัวเอง ศศิหลบหน้าไปทางอื่น ไม่อยากมอง แล้วรีบเดินเพื่อจะเข้าห้องน้ำ “เดี๋ยว” คันศรรีบเรียกให้น้องสาวให้หยุดฟังอะไรก่อน

“แกมีพี่สะใภ้อายุมากกว่าแค่ปีเดียว ไม่ติดหรอกเนอะ” คันศรพูดไป พลางนึกถึงคนที่เขาพูดถึงไป “แน่นอน นั่นไม่ใช่ปัญหา” น้องสาวตัวดีของคันศรตอบกลับมา “ติด” ศศิพูด “ติดที่เขาจะเป็นพี่สะใภ้ที่โชคร้ายที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา เขาควรจะไปรดน้ำมนต์ล้างซวย โอเคนะคะ ชวนคุยอยู่ได้ สายแล้วเนี่ย” ศศิพูดจบก็ปิดประตูห้องน้ำ ก่อนที่คันศรจะทันได้ตอบโต้กลับไป

“รดน้ำมนต์” คันศรทวนคำ ก่อนที่จะอยู่ ๆ ก็ยิ้มออกมา เหมือนนึกอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ เขากลับเข้าห้องแต่งตัว วันนี้คือเสื้อยืดสีขาวด้านใน เชิ้ตแขนยาวสีเทาฟ้าด้านนอก กับกางเกงขายาวสีดำ เขามองดูกระจกแล้วก็นึกภูมิใจกับสิ่งที่เห็น ตาหนูนั่นต้องรู้สึกดีกับเขา พูดเลย คิดแบบนั้น เขาก็คว้าเป้แบบสะพายข้าง แล้วออกจากห้อง

“โอ้โห วันนี้ลูกแม่ ฉีดน้ำหอมตัวหอมฟุ้งเชียว” คุณอนงค์ถึงกับเอ่ยปากชมลูกชาย ที่วันนี้ดูเปลี่ยนไปราวกับไม่ใช่คนเดิม คุณศรันย์ผู้เป็นพ่อถึงกับต้องหันมามองตามเสียงของภรรยา “นี่เอ็งจะไปทำงานหรือมีนัดออกเที่ยวกันแน่ เจ้าศร” พ่อของเขาเองยังอดแซวลูกไม่ได้ คันศรยิ้มกว้างแอบเขิน

“นิดนึงครับ” ศรพูดพลางทำท่าเอียงอาย คุณอนงค์กับคุณศรัณย์หันมามองหน้ากัน แบบงง ๆ ว่าเกิดอะไรกับลูกชายของพวกเขา “ดูทำเข้า นี่ถ้าให้นึกถึงความหลัง เราทำเหมือนพ่อเราตอนจีบแม่ใหม่ ๆ เลยนะ” คุณอนงค์พูดพลางนึกขำสามี “แต่งตัวหล่อ ตัวหอมมาเทียวไล้เทียวขื่อแม่ทุกวัน” คุณอนงค์หันไปมองสามีตัวเอง ที่ตอนนี้หัวเราะชอบใจคำพูดของผู้เป็นภรรยา

“นิดนึงครับ” คุณศรันย์พูดเหมือนลูกชายเปี๊ยบ คันศรมองพ่อกับแม่ของตัวเองที่ทำท่าจู๋จี๋กันแล้วพาลรู้สึกจักจี้ แต่ก่อนที่ทั้งสองคนจะหวานสาดใส่กันมากกว่านี้ คันศรตัดสินใจว่า เขาจะต้องบอกเรื่องสำคัญเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่รับทราบเอาไว้

“พ่อครับ แม่ครับ” ศรันย์เอ่ยออกไป “ผมกำลังจะมีแฟนนะครับ คือไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ผมตามจีบเขาอยู่” พ่อกับแม่ของคันศรยิ้มขำไปกับท่าทางเงอะงะ แต่ดูจริงจังกับสิ่งที่พูด “พ่อถามคำนึง แล้วเขาจะเป็นแฟนแกมั้ย” คุณศรันย์นึกสงสัย

“นั่นสิลูก เขาตอบตกลงเราแล้วหรือยัง” คุณอนงค์ก็สงสัย ใจหนึ่งก็นึกเอ็นดูไปกับลูก แต่อีกใจก็นึกเป็นห่วง เพราะคันศรลูกชายของเธอ ตั้งแต่เล็กจนโตมาป่านนี้ ไม่เคยพูดเรื่องความรักเลยสักครั้ง จนกระทั่งเช้าวันนี้ คันศรเดินเข้าไปหาแม่ เขากอดเอวแม่ของเขาเอาไว้ คุณอนงค์เอามือตบลงไปที่ไหล่ของลูกชายเบา ๆ

“แต่เขาน่ารักมากเลยนะครับ ดื้อนิดหน่อย ขี้วีนพอประมาณ แต่ถูกใจผม” คันศรพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป “อีกเรื่องคือ” คันศรถอนกอดแม่ออกมาก่อนจะหันไปมองผู้เป็นพ่อ และหันมามองผู้เป็นแม่ของเขาอีกรอบ “เขามีทุกอย่างเหมือนกับที่ผมมี เป๊ะเลย” คันศรไม่พูดเปล่า ใช้สองนิ้วชี้ ชี้ไปที่หว่างขาของตัวเอง คุณศรันย์กับคุณอนงค์รีบหันไปมองหน้ากัน

“ก็แม่นั่นแหละ แม่เคยบอกกับผมว่า แม่อยากมีลูกชายน่ารัก ๆ อีกสักคน เสียดายที่แม่ปิดอู่ไปซะก่อน เนี่ย ผมก็หาลูกชายอีกคนมาให้ตามที่แม่ต้องการแล้ว” คันศรพูด โดยลอบดูปฏิกิริยาของบุพการีของตนไปด้วย “ส่วนพ่อ พ่อก็เคยพูดว่า ผมรักใคร พ่อก็รักด้วยนะครับ พ่อห้ามลืมนะครับ” คันศรพูดจบ ก่อนทำหน้าเหมือนลูกหมาเหงาหงอย

“เลี้ยงมันได้แต่ตัวล่ะนะลูกเนี่ย ว่าไงแม่” คุณศรันย์ที่ถูกลูกชายพูดดักคอ พยักหน้าให้กับคันศร ไม่ได้พูดขัดอะไรลูกชาย แต่หันไปถามความคิดเห็นผู้เป็นแม่ของลูกชายตัวเอง “เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร พามาให้แม่รู้จักด้วย เข้าใจไหม อย่าไปแอบทำอะไรงุบงิบกัน นอกสายตาพ่อกับแม่” นี่เป็นเรื่องที่คุณอนงค์กับคุณศรันย์เคยคุยกันไว้นานแล้ว ถึงวี่แววเรื่องนี้ของคันศร

คนเป็นพ่อเป็นแม่ ที่เลี้ยงลูกมากับมือ ย่อมรู้ว่าลูกของตนนั้น ชอบอะไร จะไปทางไหน ลึก ๆ ก็เตรียมทำใจเอาไว้เช่นกัน แต่เมื่อนี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ เธอรักคันศรอย่างไรเมื่อวินาทีแรกที่เธอได้เห็นหน้าลูก มาวันนี้วินาทีนี้ หรือจะเป็นวินาทีต่อไปในอนาคต เธอก็ยังรักคันศรเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เธอดีใจ ที่คันศรเลือกที่จะพูดเรื่องนี้กับแม่และพ่อตรง ๆ บางที การได้บอกให้พ่อกับแม่รับรู้ถึงตัวตนของลูก ก็ไม่ใช่ว่า ผลลัพธ์จะออกมาเลวร้ายเสียซะทุกครั้งไป

“ขอบคุณนะครับแม่ ขอบคุณนะครับพ่อ” คันศรยกมือไหว้พ่อกับแม่ของเขา คุณอนงค์ยิ้มรับก่อนหอมแก้มลูกชายหนึ่งฟอดใหญ่ ก่อนที่คันศรเดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อ คุณศรันย์ยืนขึ้น ดึงลูกชายเข้ามากอด พร้อมตบลงที่บ่าของคันศรเบา ๆ “จีบเขาให้ติด อย่าให้เสียชื่อพ่อ ไอ้ลูกหมา” คุณศรันย์เองก็พูดตลกกลบเกลื่อน ถึงเขาจะรักลูกมากเพียงใด แต่การที่จะมาแสดงออกว่ารักกัน มันก็เคอะ ๆ เขิน ๆ ไปบ้าง

ศศิที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด แอบหมั่นไส้พี่ชายไม่น้อย จริง ๆ เธอก็พอจะดูออกแหละ ว่าพี่ชายของเธอชอบอะไรแบบไหน แต่ถ้าจะให้เธอเดาลึกฟันโชะ ชี้ลงไปชัด ๆ ว่าคนไหนกัน ที่คันศรชอบ ก็คงจะเป็นคุณหนูตะมุตะมิ ที่มาฝึกงานกับพี่ชายของเธอแน่นอน แถมคันศรนั่นก็เข้าตำราเด็กผู้ชายดึงผมเปียสาวชัดเจน เพราะถ้าไม่ชอบก็คงไม่แกล้ง ถ้าไม่ใช่ก็คงไม่วอแวด้วย



ปุตตะ – กัมมะ (เริ่มต้นใหม่กับสิ่งที่ทำ)



“หนูจ๋า ที่แกทำโอ้เอ้วันนี้ นี่มันยังไง” พี่หนูดีดุน้องชายที่ทำตัวเหมือนเด็กอนุบาลงอแงไม่ยอมไปโรงเรียน “ย่าให้พี่ฟ้องแม่นะ ไปลงไปได้แล้ว เดี๋ยวไม่ผ่านฝึกงาน” พี่หนูดีเป็นคนใจดี แต่กับเรื่องงาน วินัย และความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เธอไม่อยากให้น้องเสียหายเรื่องนี้ “รู้แล้วครับ” หนูจ๋าทำหน้าบู้บี้ แต่ก็ยอมลงจากรถมาแต่โดยดี หนูจ๋าเอง ไม่รู้จะบอกกับพี่สาวยังไงดี ถึงสาเหตุที่อยากจะเบี้ยวงานในวันนี้

“เกือบจะเข้างานไม่ทันแล้วนะ” คำทักทายแรกที่หนูจ๋าได้ยิน แน่นอน จะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ “หรือว่า คิดจะหลบหน้ากันมิทราบ” คันศรทำหน้าดุเสียงเข้ม “ทำไมต้องหลบด้วย ไม่มี้” หนูจ๋าหลุดทำเสียงสูงออกไป ยิ่งดูมีพิรุธ คันศรคิด แน่แล้วล่ะ หนูจ๋าต้องได้ยินคำพูดของเขาก่อนที่ประตูรถไฟฟ้าจะปิดลงอย่างแน่นอน คันศรกำลังจะพูดต่อ แต่เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นเสียก่อน

“ครับพี่เอิง” คันศรกรอกเสียงลงไปตามสาย “ได้เลยครับ เน้นรูปตามแนวนั้นเลยใช่มั้ยครับ ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมไปให้วันนี้เลย ครับพี่ ครับผม สวัสดีครับ” คันศรกดวางสาย เอิงเพิ่งโทรมากำชับเรื่องรูปถ่ายใหม่ ๆ ที่จะเอาไปใช้ประกอบการแปลเอกสารนำเที่ยวอันใหม่ เลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เกาะรัตนโกสินทร์ หนูจ๋าที่มัวแต่ฟังคันศรพูดโทรศัพท์ เพิ่งสังเกตเห็นว่า วันนี้คันศรแต่งตัวหล่อมาก ดูดีกว่าทุกวันที่เคยเห็น แถมยังตัวหอมฟุ้งไปหมด

“ไปด้วยกัน” คันศรพูดขึ้น สายตาของเขาลอบมองหนูจ๋า ที่มองเขาไม่ละสายตาเช่นกัน “อ้อ” หนูจ๋ารู้สึกตัว เหมือนจะโดนจับได้ว่าแอบมองคันศรอยู่รีบละล่ำละลักพูด “ไปไหนครับ” คันศรยิ้มน้อย ๆ นึกขำท่าทางของเด็กโดนจับผิดได้ “ไปถ่ายรูปให้พี่เอิง ไปเลย เดี๋ยวแดดร้อน บอกพี่ว่านแล้ว” คันศรหยิบเป้ขึ้นสะพาย หยิบกล้องดีเอสแอลอาร์ขึ้นคล้องคอ แล้วเดินนำ หนูจ๋ารีบเดินตาม พี่ว่านชะเง้อมองตาม นึกสงสัยในพฤติกรรมของทั้งสองคน

คันศรจงใจพาหนูจ๋าขึ้นรถเมล์ สายตีนผีในตำนาน บนรถมีเบาะว่างคู่กันเหลืออยู่คู่เดียว คือติดกับประตูทางลงด้านหน้า คันศรให้หนูจ๋านั่งติดหน้าต่าง เขานั่งด้านนอกติดทางเดิน คันศรจ่ายค่ารถ หนูจ๋าขยับตัวไปทางหน้าต่าง เมื่อเห็นว่านั่งติดกับคันศรมากเกินไป คันศรที่เห็นว่าตัวเอง นั่งห่างหนูจ๋ามากเกินไปก็ขยับเข้าไปจนชิดแนบกัน หนูจ๋าเห็นแบบนั้น ก็รีบหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง รีบถามตัวเองในใจล้งเล้งไปหมดว่า นี่เขาเขินอะไรกัน

เหลืออีกไม่กี่วัน ตามที่เอิงเคยบอกกับคันศรไว้ ดาวศุกร์ ๖ ที่เป็นเจ้าเรือนลาภะของลัคนากรกฎของหนูจ๋า จะยกย้าย ออกจากเรือนปัตนิที่อยู่ในราศีมังกร ซึ่งเป็นลัคนาของตัวคันศรเอง ใช่แล้ว ในจักรราศีลัคนาของคันศรกับหนูจ๋าอยู่ตรงข้ามกัน และนั่นหมายความว่า ทั้งคู่ มีเรือนตัวตนและเรือนคนรักเล็งกันอยู่ คันศรมีภพเรือนคนรักเป็นลัคนาของหนูจ๋า ส่วนหนูจ๋าก็มีเรือนคนรักเป็นลัคนาของคันศร

ดาวศุกร์ ๖ ก็มีความหมายตามการออกเสียง คือสิ่งสวยงาม คือความสุข การเริ่มต้น และรวมถึงเรื่องความรัก ดังนั้น ถ้าเขาจะทำอะไรในตอนนี้ให้ความสัมพันธ์นี้ก้าวหน้า เขาต้องรีบทำ คนรักจะให้โชค ถ้าอย่างนั้นเขาต้องไม่รอช้า แถมดาว ๖ นี้ ยังเป็นเจ้าเรือนปุตตะที่หมายถึงการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ โอกาสดี ๆ คันศรไม่คิดจะปล่อยให้มันหลุดลอยไป

ไม่นานนัก รถสายซิ่งในตำนาน ก็พาคนทั้งคู่มาจอดที่อู่รถสุดสาย ทั้งสองพากันลง ด้านหน้าริมแม่น้ำคือท่าเรือสะพานพุทธ คันศรยกกล้องขึ้นถ่ายในหลาย ๆ มุม ทั้งตัวอาคาร ทั้งภาพที่ติดกับแม่น้ำ คันศรยกล้องขึ้นถ่ายอย่างคล่องแคล่วและเป็นงาน หนูจ๋าเห็นแล้วนึกสงสัยว่า ทำไมบุคลิกที่ดูเป็นตัวจริงของคันศร หนูจ๋าถึงไม่เคยเห็นมาก่อน ที่ว่าคันศรดูสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้

คันศรถ่ายภาพตรงนี้เสร็จ ก็พาหนูจ๋าเดินเลาะจนออกมาที่ปากคลองตลาด คันศรเอ่ยขออนุญาตพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้น ขอพวกเขาถ่ายรูปดอกไม้ ที่วางขายยาวไปตลอดสองฟากฝั่งถนน สีสันของดอกไม้นานาพันธุ์ ทั้งที่เอาไปบูชาพระ ทั้งที่เอาไปมอบให้กันในโอกาสต่าง ๆ ไทยเทศมีให้เลือกมากมาย ถ่ายรูปพอแล้ว

คันศรกำลังจะชวนหนูจ๋าให้เดินต่อ แต่เห็นหนูจ๋าร้อนจนหน้าแดง เหงื่อเกาะพราวไปหมด แล้วก็นึกสงสาร ใจจริงคันศรอยากจะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับย่านนี้ตลอดถนนให้หนูจ๋าฟัง เพราะเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ มีทั้งสถานที่สำคัญ มีทั้งพิพิธภัณฑ์ ความเก่าแก่ ความโบราณที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาสัมผัสดูสักครั้ง

“ร้อนเนอะ เดี๋ยวซื้อน้ำดื่มก่อน” คันศรเอ่ยกับหนูจ๋า “เดี๋ยวหนูจ๋าซื้อให้ครับ” แต่หนูจ๋ารีบชิงพูดขึ้นก่อน แล้วเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ นั้น ก่อนจะกลับออกมาพร้อมน้ำดื่มเย็นชื่นใจสองขวด “เดี๋ยวเรานั่งรถเมล์ไปดีกว่า มันเดินไกล” คันศรยกน้ำขึ้นดื่ม แต่ตาก็ไม่ยอมละจากใบหน้าของหนูจ๋า ที่ตอนนี้คันศรอยากจะเอาผ้าขนหนูซับเหงื่อให้ แต่ใจยังไม่กล้าพอ ได้แต่ยื่นผ้าให้แล้วบอกให้หนูจ๋าเช็ดเหงื่อซะ แก้มแดงเป็นสีลูกท้อของหนูจ๋าในตอนนี้ น่ารักเป็นบ้าเลย คันศรตะโกนโหวกเหวกอยู่ในใจตัวเอง

“ขอบคุณคร้าบ” คันศรตะโกนบอก เมื่อเขาดุนหลังหนูจ๋าให้ก้าวลงจากรถเมล์ ที่วิ่งมาไม่ไกลมาก จากปากคลองตลาด ทั้งสองคนหัวเราะออกมา สนุกไปกับการเดินทางในวันนี้ คันศรมองซ้ายมองขวา “ตามมา” ก่อนที่เขาจะจูงมือหนูจ๋าข้ามมาอีกฝั่งถนน “เดี๋ยวเราไหว้พระกันก่อน” คันศรหันมาพูดกับหนูจ๋า “นี่วัดโพธิ์นะ” หนูจ๋าบอกกับคันศร

“วัดโพธิ์แล้วยังไงเหรอ” คันศรทำซื่อถามกลับไป หนูจ๋าที่นึกได้ถึงรายการที่ดูในทีวีเมื่อวันก่อน ที่บอกว่า มีคนมากมายมาขอพรเรื่องความรักและเรื่องมีลูกที่นี่ “ไป เร็ว” คันศรออกคำสั่ง ก่อนจะดึงมือหนูจ๋าให้เดินตาม ทั้งสองเดินเข้ามาด้านใน มีพี่ ๆ เจ้าหน้าที่ด้านหน้าคอยอำนวยความสะดวก คันศรพาหนูจ๋าเดินตรงไปจนถึงพระอุโบสถที่ประดิษฐานองค์พระพุทธไสยาสน์

คันศรพาหนูจ๋ามาที่ศาลาด้านข้าง เขายื่นธูปเทียนให้กับหนูจ๋า ก่อนจะจุดเพื่อบูชาพระรัตนตรัย หนูจ๋าทำตาม ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมาสบตากัน เป็นคันศรที่หลบตาก่อน แล้วหันไปยิ้มกับตัวเอง แล้วจึงพาหนูจ๋าเดินถือถุงสีน้ำตาลเข้มที่เอาไว้ใส่รองเท้า เข้าไปกราบองค์พระนอนด้านใน เพื่อความเป็นสิริมงคล คันศรถ่ายรูปองค์พระและลวดลายภาพเขียนศิลปะด้านใน เพื่อใช้ส่งงาน ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่สักพักหนึ่ง ก็ชวนกันไปที่หมายต่อไป

“เหนื่อยหรือยัง” คันศรถามหนูจ๋า เมื่อเดินมาจนถึงแถวท่าเตียน “เอ้า ใส่ไว้” คันศรหยิบเอาหมวกปีกลายพรางแบบมีสายห้อยคอออกมาจากเป้ แล้วสวมให้กับคันศร “มันร้อน” คันศรทำเสียงดุหนูจ๋า เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะขัดขืน “ได้ ใส่ก็ได้” หนูจ๋าทำยอม “แต่ถ้าดุมาก ว่ามาก จะสั่งให้วิดพื้น คอยดูนะ” หนูจ๋าทำเสียงเข้มจริงจังใส่

“โอ๊ย คร้าบ กลัวแล้วคร้าบ คุณผู้กอง” คันศรทำหน้าทำตา พร้อมท่าทางว่าตัวเองกลัวหนูจ๋าจะแย่แล้ว “ทำไมต้องผู้กองด้วยล่ะ” หนูจ๋านึกตลกแกมหมั่นไส้ท่าทางของคันศร แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ “ก็” คันศรยิ้ม ๆ ก่อนจะตอบออกไปว่า “เคยเห็นแม่ดูละคร ผู้กองยอดรักไง” หนูจ๋าที่ได้ยินคำตอบก็หลบสายตาของคันศรที่มองมาเป็นพัลวัน อยากจะนึกคำพูดอะไรต่อ ก็นึกไม่ออก

“ไป ไปไหนต่อล่ะ” กว่าจะหลุดถามออกมาได้อีกครั้ง หนูจ๋าก็เก๊กหน้าไม่ให้ตัวเองยิ้มเขินออกมาจนปวดโหนกแก้มไปหมด คันศรแอบยิ้มขำ ชอบใจในวิธีการซ่อนความรู้สึกของอีกฝ่าย “เนี่ย เดินไม่ไกลมาก แต่ก็ไกลแหละ หิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า” คันศรทำท่าออกเดินนำ ก่อนจะพยักหน้าให้หนูจ๋าเดินตามมา

ตลอดทางที่เดินมาจนถึงท่าช้าง คันศรยกกล้องถ่ายรูปมาเรื่อย ๆ มีบางจังหวะที่เขาสบโอกาสกดถ่ายรูปที่มีหนูจ๋าร่วมเฟรมอยู่ด้วย เหมือนกับตอนที่เขากดถ่ายรูปหนูจ๋าตอนอยู่ในวัดโพธิ์ เวลาเผลอ ๆ นิ่ง ๆ หนูจ๋าดูน่ารักดี คันศรรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ

คันศรเดินนำเข้าสู่ท่าเรือ เขาวางเหรียญค่าเรือข้ามฟากพอดีสำหรับสองคนตรงหน้าทางเข้า หนูจ๋าเดินตามเข้าไป ก่อนจะนั่งบนม้านั่งยาว มองเห็นแดดระยิบระยับสะท้อนแสงมาจากแม่น้ำ เรือข้ามฟากกำลังแล่นมาจากฝั่งด้านโน้น มีคนรอลงเรืออยู่พอสมควร ไม่นานนักหลังจากผู้โดยสารจากอีกฝั่งขึ้นจากเรือมาแล้ว ก็ถึงคิวลงเรือของทั้งคู่

“ลมเย็นสบายดีจัง” หนูจ๋าพูดออกมาด้วยใบหน้าชุ่มชื่น กับลมที่พัดมาขณะเรือแล่น คันศรมองหน้าหนูจ๋าที่ตอนนี้กำลังสบายอารมณ์ “ไม่แอบถ่ายรูปหนูจ๋าแล้วเหรอ” คนที่จับได้ว่าตัวเองถูกจับภาพไปก่อนหน้านี้ท้วงขึ้น “ไม่ล่ะ” คันศรตอบแบบไม่ละสายตาจากคนที่พูดเหน็บแนมเขา “นั่งมองตัวจริงสวยกว่า” คันศรตอบ นึกเขินตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ทำไงได้ พูดออกไปแล้ว ส่วนหนูจ๋าที่ไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ มือไม้ดูเป็นส่วนเกิน ไม่รู้จะเอามันไปวางไว้ตรงไหนดี

เรือแล่นเข้าเทียบโป๊ะพอดี หนูจ๋าลุกขึ้นเดินนำขึ้นท่าเรือไป ในใจตอนนี้เต้นตึกตัก ถามตัวเองว่าจะเอายังไงดี คันศรเดินตามมาจนทัน คนสูงกว่าก้มมองคนตัวเล็กกว่าที่เดินงุด ๆ เลี่ยงไม่มองมา ก็เมื่อเช้ายังจะไม่อยากมาเจอหน้าคันศรอยู่เลย ตอนนี้จะมาแฮปปี้ปรีดาไปกับคำพูดเพ้อ ๆ ของเขาทำไมกัน ฮึ หนูจ๋า เจ้าตัวดุตัวเองเสียงดังลั่นไปหมดในใจ

“รอสักครู่นะคะ” คนขายรับออเดอร์ก๋วยเตี๋ยวของทั้งสองคนไปแล้ว ก่อนที่เด็กในร้านจะเอาโอเลี้ยงมาให้คันศรและเก๊กฮวยวางไว้ด้านหน้าหนูจ๋า ทั้งสองคนผลักขันเงิน ที่ใส่เครื่องดื่มคืนให้แก่กัน ก่อนจะหัวเราะว่าต่างคนต่างชอบน้ำที่ไม่ได้เข้ากับบุคลิกตัวเองเลย “ก็มันอร่อยนี่” หนูจ๋าโอด “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” คันศรอุทธรณ์

“น่ากินมาก” หนูจ๋าร้องบอก หลังจากที่ชามก๋วยเตี๋ยวไข่ยางมะตูมวางอยู่ตรงหน้า “กินเลย ร้านนี้อร่อย” คันศรบอกกับอีกฝ่าย “ขอบคุณนะ ที่พามา” หนูจ๋าพูดก่อนคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก “ตั้งใจน่ะ” คันศรสารภาพ หนูจ๋ามองไปที่คันศร พลางเคี้ยวก๋วยเตี๋ยวไปด้วย

“พ่อเรียนจิตรกรรมอยู่ฝั่งโน้น หลังเลิกเรียนก็ข้ามมาจีบแม่ ที่เรียนพยาบาลอยู่ฝั่งนี้ ทุกวัน” คันศรยกขันน้ำเก๊กฮวยของเขาขึ้นจิบ เขาไม่รู้หรอกว่า ตอนนั้นพ่อรู้สึกแบบไหน แต่ตอนนี้ หัวใจเขาเต้นแรงแทบจะทะลุอก ออกมาแล้ว คันศรเห็นหนูจ๋า คีบเส้นก๋วยเตี๋ยวคำโตเข้าปาก มือไม้แลดูสั่นไปหมด

“ที่พามาที่นี่ ก็เพราะอยากเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง และก็อยากให้เห็นบรรยากาศจริงด้วย” หนูจ๋าได้ยินแล้ว ไม่กล้าพูดอะไรตอบกลับไป แต่ตอนนี้สิ่งที่แสดงออกมา แล้วคันศรเห็นได้ชัดเลยก็คือ หนูจ๋าทั้งหน้า ทั้งหูแดงไปหมดแล้ว

คันศรพาหนูจ่าเดินลัดเลาะไปตามซอกซอยของย่านวังหลัง อากาศร้อนก็จริง แต่ก็รู้สึกสนุก คันศรเก็บภาพสวย ๆ ได้เยอะมาก ความมีชีวิตชีวาของย่านเมืองเก่า รอยยิ้มของคนในชุมชน การเดินเที่ยวของผู้มาเยือน เสน่ห์ของความไม่สมบูรณ์แบบ ที่เติมเต็มความรู้สึกได้อย่างน่าประหลาดใจ

ทั้งสองนั่งเรือข้ามฟากขากลับ สายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตของคนไทยมานาน ระยิบระยับล้อไปกับแสงแดดยามบ่ายแก่ สิ่งที่ทั้งสองอาจจะไม่รู้ถึงอิทธิพลของดาวศุกร์ ๖ ที่เป็นธาตุน้ำ ที่เป็นส่วนประกอบอยู่กับเขาทั้งคู่ในช่วงเวลาของวันนี้ น้ำดื่มจากร้านสะดวกซื้อ ก๋วยเตี๋ยวน้ำ เครื่องดื่มใส่ขันเงินเย็นชื่นใจ รวมทั้งสายน้ำแห่งลุ่มเจ้าพระยาที่พาเรือข้ามฟากรับส่งไปกลับ อยู่กับน้ำ

“ใกล้เวลาแล้ว” คันศรร้องเตือนหนูจ๋า ก่อนจะหยิบสลากลอตเตอรี่ออกมาจากกระเป๋าสตางค์ “ดูถ่ายทอดสดออนไลน์” หนูจ๋ากดหาในโทรศัพท์มือถือ “มาแล้ว ๆ” ทั้งสองและดูตื่นเต้นกับการลุ้นรางวัลในวันนี้ “รางวัลเลขท้ายสองตัว งวดวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๕ เลขที่ออก ๕๘” สิ้นเสียงการประกาศ ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย

“ไม่ถูกอ้ะ ไม่ใช่ พ.ศ. เกิดของหนูจ๋า” หนูจ๋าบ่นเป็นหมีกินผึ้ง “สลากกิน แต่ไม่ค่อยแบ่งเลย” คันศรนึกขำไปกับคำพูดของหนูจ๋า ที่กำลังทะเลาะกับกระดาษสลากแผ่นเล็ก ๆ เสียงประกาศรางวัลที่หนึ่ง รางวัลสุดท้ายของงวดนี้ผ่านไปแล้วเช่นกัน “ไม่เฉียดเลยสักนิด” หนูจ๋าบ่นไม่เลิก ก่อนจะนึกในใจขึ้นมา ถึงเรื่องที่เอิงบอกไว้ ว่าคันศรแฟนจะให้โชค แต่นี่ มันไม่ใช่

“เดี๋ยว ๆๆ” คันศรร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น ก่อนหยิบสลากมาเทียบดูกับหน้าจอโทรศัพท์มือถือในมือของหนูจ๋า “แฟนผมให้โชคครับ ผมมีโชคจากแฟนครับ ทุกคน” คันศรร้องออกมาอย่างดีใจ ก่อนจะบอกให้หนูจ๋าดู ว่าสลากของพวกเขาทั้งสองคน ถูกรางวัลเลขหน้าสามตัว

“ไหน อย่าอำกันนะ ถูกจริงอ้ะ” คนถามเอง ก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาเช่นกัน “สองใบก็แปดพัน” คันศรยิ้มกว้าง หนูจ๋าทำตาโต ยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง “ไม่อยากจะเชื่อ พี่เอิงแม่นมาก ต้องเอาทองไปปิดรอบตัว” คันศรพูดไปหัวเราะไป ก่อนจะได้ยินหนูจ๋าร้องห้ามไม่ให้ทำ แต่ก็หัวเราะชอบใจไปด้วย ว่าพี่เอิงจะอร่ามไปทั้งตัว

“แม่ครับ” คันศรที่เมื่อปลายสายกดรับโทรศัพท์ เขาก็พูดรัวลงไปทันที “ฝากบอกพ่อด้วยนะครับ ว่าเรื่องจีบไม่ติด พ่อไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว แฟนผมเพิ่งให้โชคผมเนี่ย คือวันอาทิตย์นี้ เดี๋ยวผมพาแฟนไปกินข้าวที่บ้านด้วยนะครับ ขอบคุณครับแม่” คันศรพูดจบก็กดวางสาย

“งานเข้าแล้วเรา” หนูจ๋าที่เพิ่งได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของคันศรกับแม่ ได้แต่พึมพำออกมา เอิงบอกเอาไว้แล้ว ว่าโชคลาภมีทั้งที่เป็นทรัพย์ และเป็นสัตว์สองเท้า “แถมเป็นงานดีซะด้วย” คันศรปิดท้ายประโยคของวันให้กับหนูจ๋า



****************************

https://www.youtube.com/watch?v=J3-PG1L2Y_Y

มันดีกว่าที่คิด มันดีต่อหัวใจ เพราะเธอเลยใช่ไหม หัวใจเลยปั่นป่วน เคยปิดมันเอาไว้ไม่ให้ใคร สุดท้ายใจก็รวน ยิ้มเธอคอยมาป่วน จนต้องรักเพียงแค่เธอคนเดียว ก่อนนั้นอยากใช้ชีวิตลำพัง ไม่ต้องฟัง ไม่ต้องห่วงไม่ต้องแคร์อะไร ชีวิตสบายไม่มีใครก็ไม่ตาย I don’ t cry ไม่มีใคร ก็ไม่มีภาระ ไม่ต้องจิ๊ไม่ต้องจ๊ะไม่ต้องมีนะครับ จนวันนี้ได้รู้จักความรักก็เพราะเธอ มีคนห่วงไยให้คอยคิดถึง เพิ่งรู้ว่ามันช่างดีแบบนี้ Oh Baby, I love you คำนี้เพิ่งเข้าใจ ถ้ารู้แบบนี้คงจะรักนานแล้ว คู่กันไม่แคล้วไม่ต้องเหงาตาย เพิ่งรู้ว่าหัวใจต้องการแค่เพียงเธอ ก็บอกไม่ถูกมันคือความรักใช่ไหม แต่แบบว่าบอกไม่ได้แต่มันก็รู้สึกดี บาทีก็ห่วงบางทีก็เศร้าบาทีก็เหงา ภาพเธอคอยมาป่วนทำไงล่ะทีนี้ เฮ้อ แต่มันก็ดีกว่าหายใจทิ้งไปวันวัน ให้ใจมันสั่นก็หวั่นหวั่น แต่มันก็ดีเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๘ วินาศน์ - ปัตนิ (จบเพราะมีคู่ใหม่)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 17-04-2022 19:51:07
๘.

วินาศน์ - ปัตนิ (จบเพราะมีคู่ใหม่)



“ไม่สว่างไม่เลิก เอ้าชน” นนท์ยกแก้วขึ้นตามคำชวนของเขาจำต้องแวะมาดื่มฉลองที่หอพักเพื่อน “เรียนจบทั้งที เมาให้เต็มที่โว้ยพวกเรา” เสียงใครอีกคน ที่เพิ่งรู้ผลเกรดวิชาสุดท้าย ที่ตัวเองลุ้นว่าจะจบพร้อมกับเพื่อนมั้ย พอผลออกมาว่าผ่านแล้ว ก็ชวนทุกคนให้สนุกไปกับปาร์ตี้ปลดปล่อยชีวิตนักศึกษานี้

“กูอยู่ดึกไม่ได้นะ อุ่นมันรออยู่ที่ห้อง” นนท์ที่เพิ่งโดนบังคับให้ดื่มจนหมดแก้ว บอกกับเพื่อน “อะไรวะ ไอ้นนท์ มึงนี่แม่ง ไอ้อุ่นมันเป็นแม่มึงหรือไง ถึงต้องคอยรายงานมัน” เพื่อนถามนนท์ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้นเว้ย คือว่า กูนัดจะไปคุยเรื่องสมัครงานกับมัน กูสองคนแพลนกันไว้แล้ว มีโอกาสได้ทำงานด้วยกัน” นนท์ตอบคำถามเพื่อน แต่เขาโกหก เขาไม่ได้จะไปสัมภาษณ์งานอย่างเดียว แต่จะไปดูคอนโดที่ทั้งคู่ชอบด้วย นนท์คิดถึงรอยยิ้มของอุ่นที่รออยู่ที่ห้อง ว่าอีกฝ่ายดีใจมากแค่ไหน ที่ต่อไปจะได้ใช้ชีวิตด้วยกัน

“โอ้โห ไม่ใช่แม่ แต่นี่กูว่ามันตัวติดกับมึงยิ่งกว่าเมียอีกว่ะ” ใครอีกคนพูดขึ้น เพื่อนทั้งกลุ่มหัวเราะครืนใหญ่ “เออว่ะ มึงสองตัวเป็นแค่รูมเมทกัน กูนี่ นึงว่าผัวเมีย” ใครอีกคนเสียงอ้อแอ้ ก่อนจะหัวเราะแล้วทำท่าขนลุกแบบรับไม่ได้ นนท์กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก สิ่งที่เขาสังเกตได้อย่างชัดเจนคือ คนรอบข้างเขา ดูจะไม่มีใครมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา

“ยังดีนะเว้ย ที่ผู้ชายทั้งหมดในกลุ่มเรา ไม่มีใครเป็นแบบนั้น” เพื่อนคนที่เป็นเจ้าของห้องพูดขึ้น “พวกมึงคิดดูนะ ถ้าเพื่อนเราสักคนบอกว่าชอบเข้าข้างหลัง พวกมึงจะไม่ระแวงมั่งหรือไงวะ คือไง นอน ๆ อยู่ ไอ้เชี่ย แม่งกดดุ้นเข้ารูดากไปแล้ว” เสียงโห่ฮาดังขึ้น ทั้งหมดพากันทำท่าสะดีดสะดิ้งหวงตัว เมื่อโดนเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แกล้งจับบั้นท้าย

“ยิ่งถ้าเป็นไอ้นนท์นะ ฉิบหายแน่ หล่อ ๆ อย่างมึงสาว ๆ เสียดายตายห่า” เพื่อนทั้งกลุ่มหันมามองนนท์เป็นตาเดียวกัน นนท์ที่ตอนนี้เขาหน้าชาไปหมดด้วยความอาย ซึ่งเขาเองก็ตอบไม่ได้ว่า ที่กำลังรู้สึกอายนั้น เป็นเพราะสิ่งที่เขาเป็น หรือสิ่งที่เพื่อนคิดว่าเขาเป็นกันแน่

“ไม่หรอก” นนท์ขบกรามแน่น หลังจากได้ยินตัวเองพูดออกไปแบบนั้น ถ้าเพื่อนสักคนในกลุ่ม ถ้ามีเพียงสักคน พูดว่าผู้ชายกับผู้ชายก็สามารถเป็นคู่กันได้ เขาจะยอมรับมัน เขาจะบอกกับเพื่อนว่าเขากับอุ่นเป็นอะไรกัน แม้จะต้องเสียเพื่อนทั้งกลุ่มนี้ไป ใช่จริงหรือ แวบนั้น อยู่ ๆ เขาก็ถามคำถามกับตัวเอง ในใจของนนท์เต้นรัว

แค่เป็นตัวเอง มันจะอะไรนักหนา ก้อนแข็งอะไรบางอย่าง ดันจุกคอหอยเขาจนแทบจะหายใจไม่ออก นนท์ยกแก้วเหล้าขึ้น และคราวนี้เขาซดมันจนหมดแก้ว โดยไม่ต้องมีเพื่อนคนไหนยุ เขานึกสงสัยตัวเอง ทำเอง บอกออกไปเองดีมั้ย หรือมันถูกกำหนดมาแล้วเขากับอุ่น แบบนี้มันถูกต้องแล้วใช่มั้ย ความสับสนทำให้นนท์ความคิดของนนท์สะเปะสะปะไปหมด

“คุยอะไรกันอยู่ ขอร่วมวงด้วยคนสิ” เสียงใส ๆ ของหลิวดังขึ้น ทุกคนชวนให้หลิวและเพื่อนผู้หญิงอีกสองสามคนนั่งรวมวงกัน “คุยเรื่องที่ผู้หญิงไม่ควรรู้น่ะสิ” เพื่อนผู้ชายพากันโห่ฮาป่ากันใหญ่ “เรื่องลามกแน่ ๆ” หนึ่งในเพื่อนผู้หญิงพูดพลางทำหน้ารังเกียจ

“คือพวกเรากำลังนึกสงสัยกันว่า ผู้หญิงจะยอมให้ผู้ชายลุยประตูหลังมั้ยน่ะสิ” จบประโยคนั้น เพื่อนผู้หญิงต่างพากันหัวเราะ ร้องกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ “แต่กูว่านะ คือมันกำลังจะทิ่มให้ถูกรูแหละ แต่แม่งลื่น พลาดซะงั้น” ใครอีกคนบรรยายสิ่งที่ตัวเองคิด ก่อนที่จะได้ยินเสียงทั้งกลุ่ม ส่งเสียงเฮฮาชอบใจอีกรอบ หลิวที่นั่งอยู่ข้างนนท์ เอื้อมมือไปแตะที่ต้นขาของนนท์ เขาหันไปมอง สายตาของหลิวมองอยู่ก่อนแล้ว

“หลิวคิดนะ ถ้าเป็นนนท์ขอทำ หลิวจะยอมให้” หลิวลูบมือบนขาของนนท์ไปมา นนท์ยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้ หลิวหัวเราะ ก่อนจะยกแก้วขึ้นชนกับนนท์ เสียงทุกคนเชียร์หมดแก้ว ๆ ดังลั่น นนท์ยกแก้วกระดกตามที่เพื่อนสั่ง หลิวยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ สายตามองหน้าของนนท์แบบไม่ละสายตา เพื่อนในกลุ่ม ใครก็มองออกว่าหลิวชอบนนท์มาก ติดอยู่เพียงอย่างเดียว และนั่นคืออุ่น

ปาร์ตี้ดำเนินต่อไป นนท์ตอนนี้หน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ เพื่อน ๆ หลายคนเริ่มฟุบหลับ บางคนที่ยังดื่มอยู่ ก็อ้อแอ้ ๆ เต็มทน นนท์พยายามดึงสติให้คงอยู่ เขาหายใจเข้าจนลึก ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ เพื่อรวบรวมแรงดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน ตัวนนท์เซไปด้านหน้า แต่หลิวใช้มือทั้งสองข้างรั้งตัวของนนท์ไม่ให้ล้ม

“นนท์ไหวมั้ยเนี่ย” หลิวถาม ทำหน้ายิ้ม ๆ “ไหวสิ เดี๋ยวเรากลับห้องก่อน” นนท์พูดช้าลงเพราะความเมา ทำท่าจะเดินไป “ให้เราช่วยดีกว่า” หลิวรีบเข้าไปประคอง ก่อนจะพานนท์เดินไปเปิดประตูห้อง นนท์เดินตามหลิวไป ก่อนที่หลิวจะปล่อยให้นนท์ทิ้งตัวบนที่นอน ในห้องนอนของเพื่อน

“ถึงแล้วเหรอ” นนท์พูดเสียงอ้อแอ้ นอนห้อยขาอยู่บนเตียง หลิวมองภาพข้างหน้าของเธอ ผู้ชายที่เธอแอบรักและอยากได้มานาน โอกาสมาถึงเธอแล้ว หลิวนั่งลงข้าง ๆ นนท์ เป้ากางเกงของนนท์นูนชัดขึ้น เธอเคยแอบได้ยินเพื่อนผู้ชายในกลุ่มแซวนนท์ว่า ของนนท์แข็งตัวตอนเมา หลิวจับไปที่เป้าของนนท์ แล้วเผยยิ้มออกมา

“เดี๋ยว ๆ” เสียงนนท์อ้อแอ้ พยายามเบี่ยงตัวหลบ “หลิวชอบนนท์นะ” หลิวที่ถอนปากออกจากแก่นกายของนนท์พูดเสียงกระเส่า “นนท์ช่วยทำหลิวที” หลิวพูดพลางดันตัวขึ้น เธอขึ้นนั่งคร่อมตัวของนนท์ มือจับความเป็นชายของนนท์ให้ตั้งขึ้น ก่อนจะกดร่องกลางลำตัวของเธอให้พอดีกับส่วนปลายที่พองใหญ่ของนนท์ หลิวโยกตัวขึ้นลงตามแรงกำหนัดที่กำลังพลุ่งพล่าน นนท์ใช้มือคว้าตัวของหลิว พลิกร่างของเธอให้กลับมาอยู่ใต้ร่างเขา ก่อนที่ไฟราคะนั้น จะนำทางคนทั้งสองไปจนถึงปลายทาง

นนท์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เวลาก็เกือบคล้อยบ่ายแล้ว นนท์ไม่เคยคิดว่า เขาจะต้องเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้กับตัวเอง เขากับหลิวอยู่บนเตียงด้วยกัน เนื้อตัวเปลือยเปล่าทาบทับกันอยู่ เพื่อน ๆ ในกลุ่มรู้เรื่องกันหมด เมื่อเจ้าของห้องตื่นขึ้นมา แล้วเห็นทั้งทั้งคู่กำลังร่วมรักกัน นนท์บอกกับทุกคนว่า เขาขอกลับห้องก่อน โดยที่หลิวบอกว่า เดี๋ยวเธอโทรหา นนท์ทำอะไรลงไปแล้ว มีพยานรู้เห็น นนท์ต้องรับผิดชอบ นนท์ตอนนี้หัวตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก จะทำยังไงดี

“อุ่น” นนท์เรียกชื่ออุ่น เมื่อเขากลับมาถึงห้อง และเห็นอุ่นนั่งรอ อยู่ที่โต๊ะกินข้าวเล็ก ๆ สำหรับสองคนนั้น ที่ข้าง ๆ อุ่น มีกระเป๋าเสื้อผ้าวางอยู่ นนท์ก้าวช้า ๆ เดินเข้าไปหาอุ่น ที่เจ้าตัวนั่งนิ่ง เงียบไม่พูดอะไรออกมา นนท์รู้สึกว่า มันเป็นการเดินที่ยากลำบากมากเหลือเกิน เมื่อขาทั้งสองข้างของเขา เหมือนว่ากำลังจะหมดแรง

“นนท์มีอะไรจะบอกอุ่นมั้ย” อุ่นถามออกไปด้วยความยากลำบาก เขารู้สึกปวดใจไปหมด เรื่องอะไรแบบนี้มันก็ช่างแพร่สะพัดเร็วเหลือเกิน เมื่อมีเพื่อนของนนท์ ที่เจอกับเขาด้านล่างตึก พูดแซวเรื่องที่ว่า ต่อไปนนท์จะมีรูมเมทคนใหม่ ผู้หญิงสาวสวยที่เป็นแฟน แทนผู้ชายที่เป็นเพื่อนอย่างอุ่นเสียที แล้วในโลกโซเชียล มีเดีย เพื่อนที่รู้จักกัน ก็แชร์ถึงความสัมพันธ์นี้กันทั่ว

“อุ่นเลยรอถามนนท์ก่อน” อุ่นพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เมื่อนนท์ไม่พูดอะไร นนท์หาคำพูดใดมาพูดตอบอุ่นไม่ได้จริง ๆ เขาทำพลาดอย่างมหันต์ เขาไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ จริง ๆ คนที่เขาเรียกว่าแฟน คนที่เขารักและอยากใช้ชีวิตร่วมกันตลอดไป

“อุ่นเข้าใจแล้ว” อุ่นเอื้อมหยิบกระเป๋าเสื้อผ้า ก่อนใช้พละกำลังเรี่ยวแรงที่ตัวเองยังพอมีเหลือ หยัดตัวยืนขึ้น นนท์รีบลุกขึ้น ทำท่าจะจับแขนของอุ่นไว้ “อย่านนท์” อุ่นห้าม ก่อนจะมองไปที่ประตูห้อง นนท์เพิ่งจะเดินเข้ามา แต่เขากำลังจะเดินออกไป และจะไม่ได้ย้อนกลับมาอีกแล้ว

เสียงประตูห้องปิดลงไปนานแล้ว แต่นนท์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาปล่อยให้น้ำตาไหลลงอาบแก้ม มันเป็นน้ำตาของผู้สูญเสีย เป็นน้ำตาของคนขี้ขลาด คนอ่อนแอที่ทำให้ทุกอย่างพังทลาย คนลัคนาธนูอย่างนนท์ เมื่อดาวอังคาร ๓ ที่เป็นเจ้าเรือนวินาศน์ เดินเข้าสู่เรือนปัตนิ จึงมีเกณฑ์ได้คนที่ทำความเสียหายให้กับเขามาเป็นคู่ ความเดือดร้อนนั้นเกิดจากการกระทำของคู่ครอง หรือเพศตรงข้าม ความเดือดร้อนเกิดขึ้น ถูกหลอก ถูกทรยศจากคู่ ที่ตนเลือกแล้ว



“พี่เสียดายจังเลย ที่ไม่ได้อุ่นมาทำงานกับพี่” พี่ผู้หญิงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคล พูดอย่างเสียดายที่จะไม่ได้คนเก่ง ๆ อย่างอุ่นมาทำงานที่บริษัท วันนี้อุ่นเข้ามาแจ้งกับทางบริษัทอย่างเป็นทางการด้วยตัวเอง ว่าคงจะรับข้อเสนองานนี้ไม่ได้แล้ว “อุ่นต้องขอโทษพี่ ๆ อีกครั้งนะครับ” อุ่นยกมือไหว้พี่ผู้จัดการอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรค่ะ น้องอุ่น พี่เข้าใจ พี่รู้สึกดีเสียด้วยซ้ำไป ที่น้องอุ่นเข้ามาคุยกับพี่ตรง ๆ ดีกว่าเงียบหายไปเฉย ๆ โอกาสหน้ายังมี ในอนาคตเรายังร่วมงานกันได้นะ” อุ่นยิ้มรับกับคำพูดของพี่เขา รู้สึกโล่งใจที่พี่ผู้จัดการเข้าใจ กับการตัดสินใจบอกปัดตำแหน่งงานในบริษัทใหญ่แบบนี้

“นนท์เขาเลยต้องมาทำอีกแผนกคนเดียวเลย คู่หูบัดดี้ของเขาไม่มาเสียแบบนี้” อุ่นฝืนยิ้มให้กับคำพูดนั้นของพี่ผู้จัดการ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ อุ่นเตรียมจะขอตัวพี่เขา ลากลับตอนนี้เลย “แต่ว่านะ เอาอย่างนี้ คนดี ๆ อย่างน้องอุ่น น้องที่น่ารักอย่างนี้ เดี๋ยวพี่เอานามบัตรเพื่อนพี่ให้” พี่ผู้จัดการไม่พูดเปล่า แต่เปิดกระเป๋ามองหานามบัตรที่ต้องการ

“พี่เขาชื่ออันน์ อุ่นบอกเขาว่าพี่แนะนำมา ยังไงไม่ต้องห่วงนะน้อง เดี๋ยวพี่จะโทรไปเกริ่นกับพี่อันน์เขาให้ก่อน พี่ได้ยินว่า เขากำลังมองหาคนออกต่างจังหวัด แถว ๆ บ้านเกิดอุ่นพอดี” อุ่นยกมือไหว้ กล่าวขอบคุณ ก่อนจะรับนามบัตรนั้นมา “ขอบคุณพี่มาก ๆ นะครับ ที่เมตตาผม เดี๋ยวยังไง ผมขออนุญาตกลับก่อนนะครับ” อุ่นรีบบอก เพราะเสร็จธุระแล้ว อีกอย่างเขาก็กลัวว่าจะเจอนนท์ที่นี่เหมือนกัน

“โอเคจ้ะ โชคดีนะ ว่าง ๆ ก็แวะมาคุยกับพี่ได้” อุ่นยกมือไหว้พี่ผู้จัดการอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกมาที่ลิฟต์ อุ่นก้มอ่านนามบัตรที่อยู่ในมือ ก็ดีเหมือนกัน อุ่นคิด ถ้าได้กลับไปอยู่บ้านด้วย ได้งานที่ไม่ไกลบ้านด้วย ชีวิตมันก็ลงล็อกพอดี อะไรก็ตามต่อจากนี้ มันคือการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น แต่อย่างน้อย มันก็ดูจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ประตูลิฟต์เปิดออก อุ่นเดินเข้าไปด้านในสุด เพราะมีอีกหลายคนเดินตามเข้ามา ลิฟต์เลื่อนตัวลงมาอีกหลายชั้น ก่อนจะหยุดอยู่ที่ชั้นห้า ประตูลิฟต์เปิดออก อุ่นที่ก้มก้มหน้าหย่อนนามบัตรลงในกระเป๋าเสื้อ เงยหน้าขึ้น พอดีกับที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในลิฟต์ สายตาของทั้งคู่ประสานกัน แววตาของนนท์ดูดีใจมาก ที่ได้เห็นอุ่น ตั้งแต่วันนั้น เขาติดต่ออุ่นไม่ได้อีกเลย ไม่รู้ว่าอุ่นไปอยู่ที่ไหน เขาขาดการติดต่อกับอุ่นในทุกช่องทาง

อุ่นก้มหน้าหลบสายตา ใจของเขาเจ็บแปลบ มันเหมือนอารมณ์สองขั้วกำลังโต้เถียงกันอยู่ ใจหนึ่งก็บอกว่า ทุกอย่างกำลังจะไปต่อได้ด้วยดี อย่าให้อะไรเข้ามาขัดขวางได้อีก ส่วนอีกใจหนึ่ง ก็เรียกร้องว่า นนท์อยู่ตรงนี้แล้ว เขาอยู่ตรงหน้าแล้ว ถามเขาไปตรง ๆ สิ ว่าอยากจะแก้ไขอะไรมั้ย ทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้ฝันร้ายนี้หายไป ได้มั้ย

แต่คนเรา แม้ว่าดวงส่วนตัวจะไม่ได้แย่อะไร อุ่นที่มีลัคนาอยู่ราศีตุลย์ ตรงกันข้ามกับลัคนาเมษ ที่เป็นดวงเมืองดวงโลก เมื่อดาวเสาร์จร ๗ ทับราศีมังกรที่เป็นเรือนกัมมะ สิ่งที่เป็นไปนั้น มันส่งผลให้คนที่มีดาวศุกร์ ๖ เป็นดาวประจำตัวอย่างลัคนาตุลย์ ที่มีความหมายถึง ความสุข ความรื่นรมย์ในชีวิต จึงได้เกณฑ์พิเศษ เรียกว่า ฤทธิโยค จากดาวเสาร์ ๗ นั้น

ผลกระทบที่ได้ จะเกิดขึ้นหนักเบา แล้วแต่ดวงของแต่ละคน บางคนถูกขโมยของ บางคนป่วยไข้ มีโรคร้ายที่หายแล้ว กลับมาเป็นใหม่อีกครั้ง หรือบางคนมีโอกาสที่จะอกหัก ผิดหวังในเรื่องของความรัก ต้องพลัดพรากสูญเสีย ดังคำโบราณเคยว่าเอาไว้ ดาวศุกร์ ๖ และดาวเสาร์ ๗ เป็นคู่ศัตรูกัน พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก แต่หากแม้นมีดาวดวงอื่นให้คุณ ก็จะเป็นไปในแบบทุกขลาภ คือต้องทุกข์เสียก่อน แล้วจึงเกิดผลที่ดีตามมา

ลิฟต์เลื่อนลงมาถึงชั้นที่หนึ่ง นนท์ที่ยืนอยู่ตรงแผงกดลิฟต์ ยืนรอให้คนอื่น ๆ ออกไปจากลิฟต์ก่อน สายตาของเขาเฝ้ามองอุ่น ที่ใบหน้านั้นไม่สดใสเอาเสียเลย คนอื่น ๆ ในลิฟต์เดินออกไปกันจนหมดแล้ว อุ่นก้าวเท้าจะเดินออกไปเช่นกัน ก่อนที่จะรู้สึกได้ถึง ปลายนิ้วมือของนนท์ ที่แตะลายนิ้วมือของอุ่นเบา ๆ เหมือนเป็นเชิงขออนุญาต ให้อุ่นหยุดรอก่อน

อุ่นตัดใจก้าวเท้าเร็ว ๆ เพื่อพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ ไปก่อน ไปจากตรงนี้ให้ได้ก่อน นนท์วิ่งตามอุ่นมาจนทัน เขาสวมกอดอุ่นจากทางด้านหลัง ไม่ให้ไป อุ่นอย่าไปจากเขา ชีวิตของนนท์ที่ไม่มีอุ่น มันช่างเงียบเหงาและอ้างว้างสิ้นดี

“นนท์ขอโทษ นนท์ผิดไปแล้ว อุ่นให้อภัยนนท์นะ นนท์ขอโอกาส ขอแค่ครั้งเดียว” นนท์กอดอุ่นจนแน่น เขาซุกหน้าลงที่ซอกคอของอีกฝ่าย เขาหอมหลังคอ หอมผมของอุ่นอย่างที่เคยทำ มันคิดถึงเหลือเกิน มันทรมานที่ได้เห็น แต่ไม่สามารถครอบครอง

“อุ่นจะเชื่ออะไรนนท์ได้อีก” อุ่นพูดออกมา พร้อมน้ำตาที่รื้นขึ้นขอบตาในทันที นนท์รีบกอดอุ่นให้แน่นขึ้นอีก “อุ่นยังไม่ต้องเชื่อ อุ่นแค่ยอมฟังนนท์ก่อน นนท์ไม่แก้ตัวถึงความเลวที่นนท์ทำลงไป แต่ อุ่นอยู่กับนนท์นะ อุ่นอย่าทิ้งนนท์ไป” เสียงคำขอร้องจากนนท์ มันบีบคั้นหัวใจของอุ่นไม่ใช่น้อย

“นนท์ผิดเอง มันเกิดจากนนท์ไม่กล้ายอมรับไปตรง ๆ กับเพื่อนว่าอุ่นสำคัญมากแค่ไหนกับนนท์” นนท์ไม่รู้จะอธิบายให้อุ่นเชื่อยังไง “ต่อให้เพื่อนทุกคนหรือคนทั้งโลกไม่เข้าใจ นนท์ไม่จำเป็นต้องนอนกับเขา” คำพูดของอุ่นแทบปลิดขั้วหัวใจของนนท์

“คืนนั้น นนท์เมามาก” ยิ่งพูด นนท์ก็ยิ่งรู้สึกว่า ตัวเองยิ่งดูทุเรศ ยิ่งไม่น่าให้อภัย โดยไม่ต้องให้อุ่นพูด ถ้าเรื่องนี้กลับกัน เป็นอุ่นที่ทำแบบเดียวกันนี้ อ้างแบบนี้กับนนท์ เขาจะเสียใจมากแค่ไหน ก่อนที่นนท์จะได้พูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น นนท์กดรับ และโลกนี้เหมือนหยุดหมุนสำหรับเขา

“หลิวท้อง” นนท์พูดออกมาเหมือนคนไร้ชีวิต ก่อนจะเห็นอุ่นค่อย ๆ เดินจากเขาไปช้า ๆ คนที่มีดาวมฤตยูย้ายเข้าสู่เรือนปัตนิ มักจะมีเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แบบได้หลับนอนกันอย่างไม่คาดฝัน ได้แต่งงานกับคนที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนในชีวิต ยิ่งมีดาวทำมุมไม่ดีด้วยแล้ว ยิ่งให้โทษ ชีวิตแต่งงานมีแต่ความยุ่งยากซับซ้อน เกิดจากความเข้าใจผิด คิดผิด หลงผิด แต่งกันไปก็มักจะหย่าและเลิกร้างกัน

ทายอาเพศ ให้ทายมฤตยู แต่คำว่าอาเพศ มันหมายถึง ปล่อยให้เป็นไป ให้เกิดขึ้น ต่อให้มันผิดแปลกไปจากธรรมดาก็ตาม ดาวนี้ให้คุณก็ได้ ให้โทษก็มี แล้วแต่เรือนชะตาที่ดาวเข้าไปอยู่ โดยท่านบรมครูโหร ท่านได้ว่าไว้ดังคำโคลง

มฤตยูสู่ภพปัตนิ

เคราะห์แล้วสิคู่จะตายทายเฉลย

แม้จากกันพอบรรเทาเขาพิเปรย

พอดาวเลยกลับมาสู่หากัน



ความว่า เมื่อมฤตยูเข้าเรือนคู่ครอง ถ้าไม่จากตาย แต่หากจากเป็น เมื่อดาวเดินพ้นไป ก็จะกลับมาเจอกันได้อีกครั้ง



******************************

https://www.youtube.com/watch?v=8Lr3Su88pdE

คงเป็นที่ฟ้าเบื้องบน

เป็นคนขีดโชคชะตา

สั่งฉันและเธอให้มาให้ได้พบเจอกัน

ให้ฉันได้มีโอกาสลิ้มรสในความชื่นบาน

ให้เรามีกันมีวันเวลาที่ดี



และเป็นที่ฟ้าเบื้องบน

เป็นคนพรากเราเช่นกัน

ให้เวลาเพียงแค่นั้นกลับต้องเสียเธอไป

ฉันรู้ว่าไม่มีหวัง

จะเหนี่ยวและรั้งเธอไว้ข้างกาย

จะทำยังไง ก็คงไม่มีหนทาง



หากชีวิตฉันต้องขาดเธอไปจะเป็นยังไง

ชีวิตคงไร้ความหมายและเหมือนไร้พลัง

ร่างกายที่เคยอดทนก็คงไม่มีกำลัง

ไม่มีความหวังให้ฉันได้ชื่นหัวใจ



แค่เพียงพรุ่งนี้ถ้าตื่นมามองไปไม่เจอเธอ

แค่นึกก็ทำให้เผลอหวั่นและไหวในใจ

ถ้าเราจะต้องจากกันไม่ว่าด้วยเหตุผลใด

คงรู้ใช่ไหมว่าฉันจะต้องเสียใจ

เสียใจจนตาย



หากชีวิตฉันต้องขาดเธอไปจะเป็นยังไง

ชีวิตคงไร้ความหมายและเหมือนไร้พลัง

ร่างกายที่เคยอดทนก็คงไม่มีกำลัง

ไม่มีความหวังให้ฉันได้ชื่นหัวใจ



แค่เพียงพรุ่งนี้ถ้าตื่นมามองไปไม่เจอเธอ

แค่นึกก็ทำให้เผลอหวั่นและไหวในใจ

ถ้าเราจะต้องจากกันไม่ว่าด้วยเหตุผลใด

คงรู้ใช่ไหมว่าฉันจะต้องเสียใจ



เสียใจจนตาย
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๙ ศุภะ - ปัตนิ (ก้าวหน้าด้วยคู่ครอง)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 19-04-2022 20:54:52
๙.



ศุภะ – ปัตนิ (ก้าวหน้าด้วยคู่ครอง)





สายตาของฐานทัพจ้องมองหน้าจอแล็บท็อป แบบไม่วางตา หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ฐานทัพกลืนน้ำลายลงคอลงไปอย่างลำบาก ใจเต้นตุบ ๆ มือไม้สั่น กับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า หอพักนักศึกษาชายช่วงบ่าย เงียบเชียบ เขาหลบกลับมาที่ห้อง หลังจากที่เรียนคาบเช้าเสร็จ รูมเมทของเขายังไม่กลับมา ฐานทัพจึงเปิดอินเทอร์เน็ต ค้นหาภาพที่ตอนนี้กำลังแสดงอยู่ตรงหน้า

“เฮ้ย ไอ้ทัพ ดูอะไรน่ะ” อยู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา พร้อมกับเสียงตะโกนถามจากรูมเมท ตามมาด้วยเสียงฮือฮาจากเพื่อนอีกคนที่มาด้วยกัน “เฮ้ย ไอ้เชี่ย ไม่มีอะไร” ฐานทัพตะโกนตอบ ลนลานรีบพับหน้าลงทันที “ไม่มีได้ไง โห แม่ง ไอ้ทัพมึงชอบนมใหญ่ ๆ นี่หว่า” รูมเมทของฐานทัพพูดพลางหัวเราะ กับภาพที่เขาเห็นแวบเดียวก่อนที่ฐานทัพจะปิดหน้าจอลง

“เออ กูชอบ มึงเสือกไรด้วย” ฐานทัพที่ตอนนี้ใจเต้นแรงด้วยความตกใจ เสียงละล่ำละลัก ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเห็นอะไรมากน้อยแค่ไหน “กูก็ไม่ได้ว่าอะไร” รูมเมทของเขาพูด เมื่อเห็นฐานทัพแสดงท่าทางขึงขัง “ถึงว่าสิ สาว ๆ ในคณะสวย ๆ ทั้งนั้น แต่ไอ้ทัพแม่งไม่สนใจ เพราะไม่มีใครไซซ์มหึมาขนาดนั้นนี่เอง” เพื่อนที่มาด้วยกันกับรูมเมท ทำมือทำไม้แสดงขนาดความใหญ่ของหน้าอกให้ดู

“อ้ะ กูไม่แซวมึงแล้วก็ได้ ไอ้ห่า มึงน่าจะชอบจริง ดูดิ แข็งไม่มีหดเลยนะมึง” เพื่อนทั้งสองคนของฐานทัพ พากันชี้มาที่หว่างขาของเขา ที่ตอนนี้กางเกงบอลผ้าลื่น ๆ มันแนบไปกับสิ่งที่โป่งนูนเป็นลำอย่างชัดเจน “เฮ้ย” ฐานทัพรีบหยิบหมอนจากเตียงนอนของเขามาปิดที่ตักของเขาเอาไว้

“พวกมึงจะไปไหนก็ไปเลยไป” ฐานทัพออกปากไล่ “เออ กูรู้หรอกน่า พวกกูแค่จะมาเอากุญแจมอเตอร์ไซค์ ส่วนมึง ก็เอ้า” รูมเมทของเขาไม่พูดเปล่า แต่โยนม้วนกระดาษชำระให้เขาด้วย “จัดการซะให้เสร็จ เช็ดให้ดี อย่าให้เลอะพื้นห้องนะมึง เดี๋ยวกูลื่นหัวแตก” เสียงเพื่อนของเขาแซวแรง “ไอ้เพื่อนชั่ว” ฐานทัพด่ากลับ แต่ก็อดหัวเราะไปกับเพื่อนไม่ได้

รูมเมทกับเพื่อนของเขาออกจากห้องไปแล้ว ฐานทัพเปิดหน้าจอแล็บท็อปขึ้นมาอีกครั้ง รูปที่เขาดูอยู่ตรงหน้า อิสตรีใบหน้าสะสวย ที่เปลืองผ้าอาภรณ์ หน้าอกหน้าใจของเธอใหญ่โตจนน่าตื่นเต้น ฐานทัพค่อย ๆ ไล่นิ้วเลื่อนให้ส่วนล่างของร่างกายขิงเธอ ที่รูมเมทของเขาไม่เห็น รูปนั้นเผยขึ้นมา ที่หว่างกายของเธอนั้น คือเครื่องเคราของบุรุษเพศ ที่ขยายขึ้นตามสิ่งเร้าอารมณ์

ฐานทัพรู้สึกตื่นเต้นและอารมณ์พลุ่งพล่าน เมื่อเห็นภาพแบบนี้ ความรู้สึกวัยหนุ่มของเขากรุ่นไปด้วยราคะ กับภาพที่เห็น เขาตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไม เขาเคยคิด เคยพยายามที่จะฝืน แต่ภาพเปลือยเปล่าของผู้หญิง ไม่ได้ทำให้เขาเกิดความต้องการในตัวพวกเธอ ในแบบที่มันเกิดขึ้นกับสตรีข้ามเพศแบบนี้ ถ้าจะถามว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน ฐานทัพคิดว่า ต้องย้อนกลับไปตอนที่เขากำลังจะจบมัธยมปลาย

“ขอโทษนะคะ ความสวยคนเรามันแข่งกันไม่ได้จริง ๆ” เสียงกรี๊ดกร๊าดเกรียวกราวดังออกมาจากกลุ่มนักศึกษากลุ่มใหญ่ ที่นั่งกันอยู่ที่ใต้ตึกคณะ “พวกแกกำลังจะมีรุ่นพี่ กลายเป็นตำนาน” ฐานทัพมองไปที่เจ้าของเสียงพูดนั้น น้ำเสียงของเจ้าตัวฟังดูแปร่งปร่า ลูกผสมกันระหว่างชายและหญิง แต่เอนไปทางเสียงที่ใสแหลมขึ้น ทำแทนโทนที่ทุ้มต่ำที่มมีมาแต่กำเนิด “ดูเอาไว้นะคะ หนู ๆ น้อง ๆ พี่อันน์คนนี้จะทำให้พวกเธอเห็นเอง ว่าระดับผู้บริหาร เขาเป็นกันยังไง” คนพูดกำลังเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปสู่การเป็นคนใหม่ ที่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

“ถ้าสวยไปกว่านี้ ใครก็สู้ไม่ได้แล้วนะ” พฤกษ์ที่นั่งร่วมกลุ่มอยู่ด้วย เอ่ยขึ้น ฐานทัพที่วันนี้มาหาพี่ชาย ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา เพราะต้องการคุยเรื่องการเข้ามหาวิทยาลัย เห็นท่าทางของอันน์ดูเคอะเขิน แสดงอาการพอใจ เมื่อได้ยินพฤกษ์พูดแบบนั้น อันน์ยิ้มขึ้นแต่ก็ต้องกลบเกลื่อนรอยยิ้มนั้น เมื่อเห็นเพื่อนผู้หญิงของพฤกษ์ที่เอามือคล้องแขนแนบแน่นอยู่แบบนั้น้องแขนเขาอยู่ สายตาที่มองมาที่อันน์นั้น แสดงความหวงและเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อย่างเปิดเผย

ฐานทัพเห็นสายตาของพฤกษ์ที่มีแววเล่นด้วย ติดอยู่เพียงสาวสวยอย่าลลิน ที่นั่งติดชิดตัวพฤกษ์แจ ฐานทัพไม่ทันรู้ตัว ว่าเขารู้สึกอยากออกตัวปกป้องอันน์ขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น เพราะได้เห็นสิ่งที่พฤกษ์ทำ ความรู้สึกอะไรบางอย่างผุดขึ้นมากลางใจของเขา ถึงแม้ว่าอันน์ในตอนนั้น ยังมีลักษณะเป็นผู้ชายอยู่ ทั้งการแต่งตัว ทั้งรูปลักษณ์ แต่เมื่อฐานทัพจินตนาการถึงตอนที่รูปร่างของอันน์เปลี่ยนไปทั้งหมดแล้ว ฐานทัพรู้สึกตื่นเต้น อยากที่จะเห็นมันด้วยตาใกล้ ๆ

จากวันนั้น ฐานทัพก็เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของอันน์มาโดยตลอด ทั้งยังเป็นห่วงเรื่องที่อันน์ต้องเข้ารับการผ่าตัดหลายครั้ง เขาดีใจที่อันน์ปลอดภัย การผ่าตัดทั้งหลายเป็นไปด้วยดี ภาพอันน์ตอนที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ ถึงกับทำให้ฐานทัพกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ความต้องการในตัวอันน์ของเขาพลุ่งพล่านอย่างที่สุด แต่เขาก็ได้แต่เก็บงำความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้

อันน์เป็นคนที่ชื่นชมผู้ชายที่เก่ง เป็นผู้นำ มีความสามารถ แต่ตอนนั้น ฐานทัพรู้ตัวเองว่า แค่สอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้เอง โดยไม่ต้องใช้เส้นสายของครอบครัว ก็ถือว่าเขาโชคดีมากแล้ว เพราะแบบนี้ อันน์ถึงได้ชอบพฤกษ์ ส่วนไอ้ฐานทัพ คนนอกสายตาอย่างเขา จะไปสู้อะไรพี่ชายได้ เรียนก็ไม่ดีเด่อะไร แถมอายุยังน้อยกว่า ความสัมพันธ์ความใกล้ชิดก็ไม่มี อันน์เคยพูดกับเขาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และทุกครั้ง เป็นที่เขา ที่ดึงตัวเองออกมาให้ไกล เพราะกลัวว่า ถ้าอันน์รู้ แล้วอันน์บอกปฏิเสธ ฐานทัพบอกตัวได้เลยว่า โลกทั้งใบคงสลายลงต่อหน้าเขา

การที่ฐานทัพอาจจะอธิบายได้ว่า เมื่อตั้งดาวพฤหัส ๕ การงาน การเรียนของเขาเป็นลัคนา จึงโดนดาวอังคาร ๓ เจ้าเรือนปุตตะ ความประมาท คึกคะนองตามวัย รวมถึงภพวินาศน์ ที่คือความเกียจคร้านเล็งอยู่ ทำให้ก่อนหน้านี้ เขาถึงได้มีการเรียนลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่เป็นโล้เป็นพาย ห่วงแต่เล่น ห่วงแต่เพื่อน ไม่สนใจการเรียนเพราะคิดว่า ที่บ้านไม่ได้ขัดสนอะไร

แต่พอมารู้ว่า อันน์ชอบผู้ชายที่เก่ง ฉลาด ความรู้ดี มีความสามารถ โดยไม่ได้มองฐานะที่บ้านเป็นสิ่งแรก มันก็ทำให้เขายิ่งหมดความมั่นใจ ไม่รู้จะเอาตัวเองไปเสนอหน้าให้อันน์สนองความรัก ความชอบพอที่เขามีได้ยังไง แม้ว่าเขาจะมีดวงดาวที่บ่งบอกถึงเรื่องที่ว่า เขาชอบผู้ชาย

แต่มันก็แปลกซับซ้อนอยู่ คือดาวพุธ ๔ ปัตนิคู่ครอง กุมอยู่กับดาวอาทิตย์ ๑ ได้ตำแหน่งมหาจักร มีความหมายว่า ผู้ชายนั้นเด่นในชีวิตเขา โดยมีดาวจันทร์ ๒ ที่แปลว่าผู้หญิง อยู่ในเรือนศุภะ ที่แปลว่าความเจริญก้าวหน้า ความสุขในชีวิตก็จริง แต่ดาวได้ตำแหน่งเป็นนิจ คือ ต่ำต้อย ด้อยค่า อ่อนแรง

ก็พูดได้ว่า เพศหญิงไม่ได้นำความสุขมาให้ แต่อาจจะเป็นชายที่มีลักษณะเป็นหญิงในปัจจุบันแล้วต่างหาก ที่พาเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตมาสู่เขา และกลายเป็นว่า ฐานทัพขอที่บ้านของเขา ดร็อปเรียนมหาวิทยาลัย ก่อนจะตัดสินใจเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ที่ว่าอย่างน้อย แม้เขาจะไม่ประสบความสำเร็จอะไรกลับมา แต่ก็พาความรู้สึกของเขา ไปให้ห่างจากอันน์ ก็เพราะว่าเมื่อเทียบกันแล้ว ยังไงพฤกษ์ก็มีภาษีดีกว่าเขา แม้ว่าฐานทัพจะยังพอชุ่มชื่นใจได้ว่า ชีวิตของพฤกษ์ติดอยู่ที่ลลิน และอันน์ก็ไม่ใช่คนที่จะแย่งของของ คนอื่น

“โอเคเอิง พรุ่งนี้เจอกันที่ออฟฟิศพี่” อันน์เพิ่งพูดสายกับรุ่นน้องจบ ก็ถอนหายใจระบายความเหนื่อยล้าออกมา วันนี้มีงานให้อันน์ต้องสะสางมากเป็นพิเศษ ไหนจะงานโปรเจ็กต์ใหม่ที่อันน์กำลังจะดึงเอิงให้มาช่วย ที่จะจัดการเรื่องสัญญาจ้างพรุ่งนี้ รวมทั้งการเตรียมตัวต้อนรับผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ชาวอเมริกันนั่นอีก แต่อย่างน้อย ได้เอิงมาช่วย อันน์ก็พอจะคลายความกังวลลงไปได้หลายส่วน

วันนี้อันน์กลับถึงห้องก่อนค่ำ เธอตรวจดูชุราตรีที่จะใส่ไปในงานกาล่าวันพรุ่งนี้ ในหัววางแผนเรื่องเวลาว่าตั้งแต่เช้าจนถึงก่อนเวลาไปงาน เธอจะต้องทำอะไร ติดต่อใครบ้าง ส่วนเรื่องคุยงานกับเอิงนั้น อันน์กำหนดเวลาไว้ชัดเจนตายตัว ซึ่งก็ไม่ลืมสั่งน้องพนักงานด้านล่างเอาไว้แล้ว ว่าเอิงเป็นแขกวีไอพีของเธอในวันนั้น

อันน์คิดงานไปพลาง ถอดชุดทำงานไปพลาง จนเหลือเพียงชุดชั้นใน ไม่ทันได้สังเกตเห็นห้องที่ตรงกัน จากตึกฝั่งตรงกันข้ามว่าเปิดไฟหัวเตียงเอาไว้ เธอรวบผมที่สยายเต็มแผ่นหลังมารัดเป็นมวยผม พลางหันไปมองห้องนั้นที่ปกติไม่มีคนอยู่ แสงไฟจากหัวเตียง ส่องกระทบให้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่นุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียว กำลังจ้องมองมาที่เธอ อันน์ตกใจ รีบหยิบเอาเสื้อคลุมอาบน้ำที่พาดอยู่บนเตียงนอน มาสวมทับทันที

“บ้าจริง” อันน์ที่สวมเสื้อคลุมจนมิดชิด ขยับเดินหลบจากหน้าต่างบานใหญ่ไปทางด้านข้าง “มีคนย้ายเข้ามาอยู่ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อย่างที่อันน์พูด ปกติเธอไม่ค่อยจะต้องระวังตัวเองอะไรมากมาย เมื่อทำธุระส่วนตัว กับห้องสวีทเพ้นท์เฮาส์ หนึ่งชั้น หนึ่งห้องแบบนี้ แม้ว่าตึกตรงข้ามจะเป็นห้องในลักษณะเดียวกัน แต่ก็ไม่มีใครอยู่มาตั้งนานแล้ว

อันน์ค่อย ๆ เยี่ยมหน้าออกไปมอง เธอว่าเธอเห็นผู้ชายหน้าตาดีคนนั้น ยิ้มให้ กล้ามอก กล้ามท้องของเขาน่าดูไม่เบา หนวดเคราที่ขึ้นรกครึ้มในเงาสลัวนั้น ดูเซ็กซี่เย้ายวนมากจริง ๆ และในจังหวะที่อันน์โผล่หน้าออกไปมองอีกครั้ง อันน์ก็เห็นชายหนุ่มคนนั้น โบกมือมาให้ ส่วนอีกมือหนึ่งที่อยู่ด้านข้างลำตัว ทำท่าเหมือนจะเอื้อมมากุมที่ด้านหน้า อันน์รีบเลื่อนปิดผ้าม่าน ก่อนจะรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ ในใจเต้นรัวกับภาพทั้งหุ่นทั้งกล้ามของชายหนุ่ม

ฐานทัพแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองกับภาพที่เห็น อันน์ที่เกือบเปลือยเปล่า มีเพียงชุดชั้นในที่แสนจะเย้ายวนติดกายเท่านั้น หน้าอกที่อวบอิ่ม สะโพกที่อวบอัด ฐานทัพที่รู้แต่แรกแล้วว่า ห้องชุดฝั่งตรงข้ามเป็นห้องของอันน์ เขาจงใจซื้อห้องฝั่งตรงข้ามนี้ไว้ เพียงแค่ไม่นึกว่า จะได้ดูโชว์เล็ก ๆ เซ็กซี่ ๆ จากอันน์ ต้อนรับเขากลับมาจากเมืองนอก แม้ว่าอันน์จะไม่ได้ตั้งใจโชว์เรือนร่างให้เขาได้โลมเลียก็ตาม

แต่เขาสิ ฐานทัพยอมรับสารภาพ ว่าเขาจงใจนุ่งเพียงผ้าเช็ดตัว ออกมายืนมองอันน์โดยเปิดไฟที่หัวเตียง ไว้เพียงดวงเดียว ผู้ชายหนวดเครารุงรัง นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว โดยพันเอาไว้ให้ไรขนด้านล่างโผล่พ้นขึ้นมาเสียอีก แถมยังทำท่าเอามือจะมากุมเจ้าน้องชายตัวดีอีก โดนปิดผ้าม่านใส่ อดดูของดีซะแล้วสิ ไอ้ฐานทัพ ชายหนุ่มยิ้มออกมา ก่อนเดินมานั่งที่โซฟา ที่ตอนนี้ท่อนกลางลำตัวของเขา ก็ยังพองก๋านูนชัด ภายใต้ผ้าขนหนูอยู่อย่างนั้น

“เย็นไว้ก่อน ไอ้เสือ” แล้วจะให้เขาทำยังไง อันน์สวยมากในสายตาของเขา ยิ่งได้มาเห็นภาพเร้าอารมณ์ต่อหน้าต่อตาเขาอีก ใจของเขาตอนนี้บุกไปถึงห้องนอนของอันน์แล้ว โดยที่ความคิดของเขาไม่รีรอที่จะเข้าจัดการทำให้อันน์ตกเป็นของเขา แต่ตัวของเขาก็ทำได้แต่นั่งอยู่ตรงนี้ ยังไม่อยากที่จะบุ่มบ่ามทำอะไรลงไป อันน์จะจำเขาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ยังไง พรุ่งนี้ก่อนที่อันน์ไปงานกาล่า เขาจะลองขอให้อันน์ยอมไปที่งานกับเขาดู ฐานทัพมองไปที่ชุดทักซิโด้ที่เขาสั่งตัดเป็นพิเศษ เตรียมไว้สำหรับใส่ไปงานวันพรุ่งนี้

อันน์เข้าออฟฟิศเช้านี้ด้วยความรู้สึกหลายอย่างปนเปกันไปหมด จากเหตุการณ์ที่งานกาล่าเมื่อคืนนี้ อันน์นั่งลงที่โต๊ะทำงาน เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนอันน์จะเห็นเลขาเอาเอกสารเข้ามาให้เซ็น อันน์กำลังเซ็นชื่ออยู่ ก็ได้ยินเสียงคนด้านนอกพูดคุยอะไรกัน เลขาบอกกับอันน์ว่าน่าจะเป็นพฤกษ์กับน้องชาย อันน์ได้ยินแบบนั้น เลยเดินออกไปดู

“แกจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงที่นี่ตามใจแกให้หมดหรือยังไง” พฤกษ์ถามน้องชายของเขาด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ผมก็ไม่ได้ปลดพี่พฤกษ์จากตำแหน่งใหญ่โตของพี่นี่ครับ” คำตอบของอีกฝ่าย ยิ่งทำให้พฤกษ์หงุดหงิดมากยิ่งขึ้น “ผมก็แค่มาดูแลบริษัทนี้ ตามส่วนของผม” เจ้าของเสียงพูดจบ ก็หันไปเห็นอันน์ยืนมองมาอยู่พอดี

“และผมก็คิดว่า เป็นโอกาสดีมาก ๆ ที่ผมจะได้ร่วมงานกับคุณอันน์แบบเต็มตัว” อันน์รับรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงนี้ตั้งแต่ที่งานเมื่อคืน “ฐานทัพ” เสียงเรียกของพฤกษ์ฟังดูไม่เป็นมิตรเลยสักนิด เมื่อเขาเห็นน้องชายแสดงท่าทีกับอันน์อย่างเปิดเผย และนั่น เขาก็เห็นมาตั้งแต่ที่งานเมื่อคนแล้ว ที่ฐานทัพพยายามจะจูบอันน์

“หวังว่าคุณอันน์คงจะไม่ขัดข้องนะครับ” ฐานทัพเดินเข้าไปหาอันน์ ก่อนจะหันมามองพฤกษ์ด้วยสายตาเอาชนะคะคาน พฤกษ์กำลังจะขยับเดินเข้ามาหาทั้งคู่ แต่ลลินก็เข้ามาเดินเข้ามาในออฟฟิศเสียก่อน “อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะคะ” ลิลินกล่าวทักทาย และก็เช่นเคย เธอเดินเข้าไปกอดแขนของพฤกษ์เอาไว้ เพื่อแสดงท่าทีหวงชายหนุ่มให้ทุกคนได้รับรู้

“ผมขอไปทำงานก่อน” พฤกษ์พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ฐานทัพเข้าไปยืนใกล้จนชิดอันน์ โดยที่อันน์ก็ไม่ได้ขยับตัวหนี “พฤกษ์ พฤกษ์คะ” ลลินเรียกอีกฝ่าย แต่ชายหนุ่มเดินไปไม่หันกลับมามอง ลลินหันมองมาทางอันน์อย่างไม่ชอบใจ “อันน์ขอตัวค่ะ” อันน์พูดขึ้น ฐานทัพยิ้มให้กับเธอ ก่อนจะมองอีกฝ่ายเดินเข้าห้องทำงานไป

“คุณฐานทัพนี่ก็แปลกคน ผู้หญิงก็มีตั้งมากมายทั้งโลก” ลลินพูดด้วยเสียงดูแคลน “คุณลลินก็เป็นผู้หญิง หนึ่งในผู้หญิงทั้งโลก ผมก็ไม่ได้ชอบคุณลลิน ก็ถูกต้องแล้วนี่ครับ” ฐานทัพกล่าวตอบหญิงสาวกลับไป และมันทำให้ลลินไม่พอใจที่ฐานทัพพูดกับเธอแบบนั้น “ที่ลินพูดเนี่ย ก็เพราะว่าลินหวังดีนะคะ กลัวว่าคุณทัพจะไปคว้าเอาคนไม่ดีเข้า เดี๋ยวจะเสียมาถึงพฤกษ์ด้วย” ลลินพูดทำนองที่ว่า เธอกำลังปกป้องพฤกษ์อยู่

“ผมกับพี่พฤกษ์เราเป็นพี่น้องกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่เราก็เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ผมรู้ดี ว่าอะไรที่พี่พฤกษ์ชอบ และน่าแปลกใจมากเสียด้วยสิครับ ที่หลาย ๆ อย่างผมกับพี่พฤกษ์ดันชอบตรงกันเสียด้วย ตรงกันในแบบที่ว่า เหมือนกันในทุกรายละเอียดเลยนะครับ” ลลินได้ยินฐานทัพพูดแบบนั้น ก็ให้เกิดความรู้สึกจี๊ด ๆ ขึ้นมาในใจ

“คุณลลินล่ะครับ พอจะบอกตัวเองได้มั้ยครับ ว่าพี่พฤกษ์ชอบอะไรกันแน่ และเตรียมพร้อมจะอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรู้ให้ได้ ยังไงดี” ลลินอยากจะกระทืบเท้า ส่งเสียงกรี๊ดให้ดังลั่น แต่ติดที่ตอนนี้ เธอรู้ว่า ฐานทัพเข้ามาในฐานะผู้เทคโอเวอร์บริษัท อำนาจการตัดสินใจทุกอย่างของพฤกษ์ ตกมาอยู่ในมือฐานทัพทั้งหมด

“อีกอย่าง ใครที่คิดจะทำอะไรคุณอันน์ ผมไม่ปล่อยให้คนคนนั้นลอยนวล รอดไปได้นะครับ” ฐานทัพพูดกับลลินแบบให้มั่นใจว่า ผู้หญิงคนนี้จะไม่คิดสั้น สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นกับอันน์ พอฐานทัพพูดจบ ลลินก็สะบัดหน้าเดินไป ฐานทัพส่ายหน้าแบบรู้สึกเอือมระอากับผู้หญิงคนนี้ กับพฤกษ์ ลลินนั้นดีกับพี่ชายของเขามาก ๆ เพียงแต่ลลินทำตัวร้าย ๆ กับอันน์ ทุกครั้งที่มีโอกาส เช่นที่งานกาล่าเมื่อคืนนี้

อันน์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน คิดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ ใจหนึ่งเธอก็นึกขอบคุณฐานทัพที่เข้ามากู้หน้าให้เธอ ตอนที่โดนลลินฉีกหน้า พฤกษ์ส่งข้อความมาขอโทษอันน์ พูดว่าเป็นเรื่องสุดวิสัยจริง ๆ ที่พ่อแม่ของเขาบังคับให้ไปรับลลินมางานด้วย อันน์อ่านแล้ว เลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับไป เช้านี้ พอพฤกษ์เจอหน้าอันน์ ชายหนุ่มก็หาจังหวะจะเข้ามาคุยด้วย แต่อันน์ก็เลี่ยงเข้ามาในห้องทำงานเสียก่อน

กับชายหนุ่มอีกคน ฐานทัพ เรื่องที่เขาจะจูบอันน์เมื่อคืน แล้วอันน์หันหน้าหลบ ดูฐานทัพจะน้อยใจอยู่มากทีเดียว แต่เขาก็เลือกที่จะ ไม่ฝืนใจอันน์ ซึ่งเธอได้ยินฐานทัพบอกว่า เขายืนยันคำพูดตามที่ได้บอกกับอันน์ไป ต่อจากนี้ เขาจะทำให้อันน์หันมามองเขาให้ได้ หลังจากที่อันน์ไม่เคยเห็นเขาในสายตาเลยมานาน อันน์นึกสงสัยในสิ่งที่ฐานทัพพูด เหมือนว่าทั้งคู่เคยเจอกันมาแล้ว แต่อันน์กลับนึกไม่ออก

เสียงเคาะประตูดังขึ้น อันน์เอ่ยอนุญาตให้เข้ามาได้ ฐานทัพผลักประตูห้องทำงานของอันน์เข้ามา ชายหนุ่มในชุดทำงานแบบลำลอง ดูสมาร์ตและคล่องแคล่ว เขาเดินเข้ามาหยุดยืนที่หน้าโต๊ะทำงานของอันน์ เจ้าของห้องทำงานกล่าวเชื้อเชิญให้เขานั่ง แต่ชายหนุ่มเริ่มพูดเรื่องของเขาแทน

“ต่อจากนี้ คุณอันน์ต้องทำงานใกล้ชิดกับผมนะครับ” ฐานทัพใช้น้ำเสียงให้อันน์รู้สึกว่า กำลังโดนออกคำสั่งนิด ๆ “อันน์ทำงานร่วมกับคุณพฤกษ์ก็คล่องตัวอยู่แล้ว” อันน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความมั่นใจในตัวเองในเรื่องงานที่สูงลิ่ว “เกรงว่าผมจะให้คุณอันน์ทำแบบนั้นต่อไปไม่ได้” ฐานทัพตอบกลับไป อันน์กำลังจะพูดต่อ

“หรือคุณอันน์กลัวผม กลัวว่าสิ่งที่ผมบอกคุณอันน์ไปเมื่อคืน ผมจะทำสำเร็จ เพราะคุณอันมาอยู่ชิดตัวติดกันกับผมไปทุกที่” อันน์นึกหมั่นไส้ ท่าทีพูดไปยิ้มไป ราวกับรุ้ดีอยู่แก่ใจว่า ตัวเองจะเป็นฝ่ายชนะ และได้ทุกสิ่งตามใจต้องการของฐานทัพ “อันน์ไม่ได้กลัว” อันน์อดไม่ได้ที่จะตอบฐานทัพไปแบบคนที่เพิ่งโดนจี้โดนจุด

“ถ้าอย่างนั้น คุณอันน์กับผมก็จะคบกันเป็นแฟน ในอีกไม่นานนี้” ฐานทัพยิ้มกว้างถูกใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดออกไป อันน์ที่ได้ฟังแล้ว พาลใจเต้นรแรง เกิดมาก็เพิ่งจะโดนผู้ชายพูดเกี้ยวตรง ๆ เอาดื้อ ๆ แบบนี้ “นี่คุณฐานทัพ” อันน์ไม่รู้ว่าจะโต้ตอบผู้ชายคนนี้กลับไปยังไงดี แต่พอนึกขึ้นได้ อันน์เลยพูดใส่ฐานทัพไปว่า

“คุณพร้อมจะเป็นผัวกะเทยแล้ว หรือยังไงกัน” อันน์ที่คิดว่า ร้อยทั้งร้อย ผู้ชายพอได้ยินประโยคนี้ ก็ต้องถอยกรูดนึกหวั่นใจ กับการโดนแปะป้ายว่าผัวกะเทยกันทั้งนั้น “แล้วคุณอันน์พร้อมจะเป็นเมียกะเทยให้ผัวคนนี้มั้ยล่ะครับ” ฐานทัพตอบกลับอันน์ไปโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ในเมื่ออันน์ดันเปิดช่องโดยไม่รู้ตัว ให้เขาเองแบบนี้



****************************


https://www.youtube.com/watch?v=-LOR4u9cs-Y

ความจริงที่ฉันต้องการเก็บไว้

มันทำให้ฉันต้องคอยห่างเธอ

ไม่กล้ามอง ไม่จ้องตา ไม่ค่อยมาเจอ

เดี๋ยวจะเผลอ เกิดหลุดปากอะไรไป

บังเอิญคืนนั้นพระจันทร์สุดสวย

บังเอิญตอนนั้นเหลือเธอกับฉัน

ทั้งสายลมและแสงดาวก็เหมือนแกล้งกัน

บังคับกัน จนฉันทนไม่ไหว

ไม่มีทางหนีได้เลย

ฉันเลยต้องเอ่ยปาก

บอกรักเธอ รักเธอมานานแสนนาน

(รักเพียงเธอเท่านั้น)

ไม่อยากให้รู้ ให้จำ

ไม่อยากทำให้รำคาญ

เพียงแต่คืนนั้น

ทุกอย่างบอกฉันว่าต้องพูดความจริง

พอเธอได้รู้แล้วเธอโกรธไหม

มันคงไม่ใช่เป็นความผิดฉัน

ต้องโทษดาว โกรธสายลม และโทษพระจันทร์

ที่สั่งฉันให้ฉันต้องบอกเธอ

ไม่มีทางหนีได้เลย

ฉันเลยต้องเอ่ยปาก

บอกรักเธอ รักเธอมานานแสนนาน

(รักเพียงเธอเท่านั้น)

ไม่อยากให้รู้ ให้จำ

ไม่อยากทำให้รำคาญ

เพียงแต่คืนนั้น

ทุกอย่างบอกฉันว่าต้องพูดความจริง

ไม่มีทางหนีได้เลย

ฉันเลยต้องเอ่ยปาก

บอกรักเธอ รักเธอมานานแสนนาน

(รักเพียงเธอเท่านั้น)

ไม่อยากให้รู้ ให้จำ

ไม่อยากทำให้รำคาญ

เพียงแต่คืนนั้น

ทุกอย่างบอกฉันว่าต้องพูดความจริง

เพียงแต่คืนนั้น

ทุกอย่างบอกฉันว่าต้องพูดความจริง
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๙ ศุภะ - ปัตนิ (ก้าวหน้าด้วยคู่ครอง)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 19-04-2022 21:18:14
 :impress2: :-[ :o8:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๐ มรณะ - มรณะ (สูญเสียเพื่อคงอยู่)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 20-04-2022 18:52:48
๑๐.



มรณะ – มรณะ (สูญเสียเพื่อคงอยู่)





เอิงลืมตาตื่นขึ้น พร้อมเสียงสะอื้นไห้ เอิงพยายามรวบรวมสติให้กลับมาเป็นปกติ เขาหายใจหอบ ความรู้สึกช่วงท้ายในความฝันยังอ้อยอิ่งอยู่ในความรู้สึก เขายันตัวลุกขึ้นนั่ง เอามือทั้งสองข้าง ปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม เอิงกะพริบตาถี่ ๆ หยาดน้ำใส ๆ ค้างอยู่ที่ขนตา เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดให้มันแห้ง

ช่วงนี้เขาฝันทำนองนี้บ่อยครั้ง รู้แต่ว่าฝัน แต่จดจำรายละเอียดความฝันนั้นไม่ได้ มีเพียงบางเสี้ยวที่ติดอยู่ในอารมณ์หลังจากตื่นขึ้นมา เอิงเดินไปเปิดประตูตู้เย็น เขาหยิบขวดน้ำดื่มมารินใส่แก้ว ก่อนจะยกขึ้นดื่มรวดเดียว ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขาเป็นวัยรุ่น ประมาณมัธยมปลายเป็นช่วงที่เขาเริ่มฝัน กับเรื่องเดียวกันนี้ เขาจำได้ว่า เขารู้สึกกลัวมาก ผสมกับความเศร้าอย่างสุดประมาณ แต่หลังจากช่วงนั้น ความฝันนี้ก็เว้นช่วงไป จนกลับมาฝันติดกันถี่ ๆ แทบทุกคืนในตอนนี้

'เด็กคนนี้เลี้ยงยาก' เอิงจำได้ถึงคำพูดของหลวงปู่ ที่เคยบอกกับพ่อแม่ของเอิงเอาไว้ 'ให้เขาอยู่กับอิสระในชีวิต อย่างที่เขาโหยหาเถิด' นี่กระมัง ที่ทำให้พ่อกับแม่ของเขา ไม่ค่อยจะห้ามอะไรเอิงสักเท่าไหร่ ถ้าสิ่งที่เอิงเลือกทำ ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไรกับใคร 'จิตเขากำหนดมา' คำพูดของหลวงปู่ตั้งแต่เอิงยังเล็ก ๆ ถูกถ่ายทอดผ่านมาหา จากคำบอกเล่าของพ่อกับแม่

“แม่ คุณตามาหา คุณตาจะไปเที่ยว” คำพูดของเอิง ตอนที่เขาอายุจะเข้าห้าขวบ ที่เขาในตอนที่เป็นเด็กน้อยนั้น ชี้มือชี้ไม้ไปที่หน้าบ้าน ก่อนจะวิ่งไปแหงนหน้าคอตั้งบ่า มองคุณตา ตามที่ตัวเองบอก ที่ทำให้ทุกคนในบ้านถึงกับต้องอึ้งกับสิ่งที่เห็น

เอิงเกิดในลัคนาเมษ มีดาวอังคาร ๓ เป็นดาวประจำตัว โดยมีเกตุ ๙ ที่แสดงถึงความลึกลับ เป็นตัวกลางแห่งการส่งสัญญาณ เป็นคลื่นกระแสทับลัคน์อยู่ ซึ่งมันแปลได้ว่า ตัวตนของเขาจะเกี่ยวข้อง ผูกพัน ข้องแวะอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ของโบราณ เรื่องราวเก่า ๆ หรือมีความรู้สึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด แล้วเกิดขึ้นจริง ๆ และเกตุจะค่อย ๆ เพิ่มอิทธิพลในชีวิตของเขาอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ให้เอิงเริ่มสนใจเกี่ยวกับโหราศาสตร์มากขึ้นเรื่อย ๆ และค่อนข้างเอาดีทางนี้ได้

ที่สำคัญ ดาวอังคาร ๓ ยังเป็นเจ้าเรือนมรณะของเขาอีกด้วย จึงมักจะมีเหตุการณ์อะไรต่าง ๆ มากมายในชีวิตของเจ้าชะตา ที่มันเกินกว่าจะหาเหตุผลมาอธิบายมันได้ ซึ่งเอิงเองนั้น ก็เลือกตัดสินใจที่จะ ปล่อยให้มันไหลไป กับอะไรที่มันหาคำตอบด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ สิ่งที่มันเกิดขึ้นแบบลึกลับเหนือธรรมชาติ

เอิงรีบสลัดความรู้สึกเศร้าสร้อยให้ออกจากความรู้สึก เขารีบเตรียมตัว เพื่อไปช่วยงานของอันน์ที่บริษัท เช้า ๆ แบบนี้ เขาควรจะต้องสดใส กระปรี้กระเปร่า เตรียมพร้อมทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ดึงอะไรที่เข้ามากวนสมาธิให้ออกไปก่อน เก็บแรงเก็บหัวเอาไว้ลุยงานให้ลุล่วงดีกว่า เอิงแต่งตัวเสร็จ ก็มองสำรวจความเรียบร้อยในกระจกอีกครั้ง วันนี้ต้องดูดีหน่อย พี่อันน์อุตส่าห์ไว้ใจ ให้ช่วยรับแขกพิเศษจากต่างประเทศ แถมค่าตอบแทนก็ยังดีมากอีกต่างหาก เอิงสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา ยิ้มให้ตัวเองหนึ่งที ก่อนออกจากบ้านไป

“แปดโมงกว่าแล้ว ยังมาไม่ถึงอีกหรือครับ” พฤกษ์มองดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือราคาแพะยับของเขา พูดบ่นถึงเรื่องการตรงต่อเวลา “อันน์นัดเอิงไว้เก้าโมงค่ะ” อันน์อธิบาย “ก็ยังไม่สายนี่ครับ” ฐานทัพพูดเสริม พฤกษ์ทำหน้าหน่าย “ผมว่า ผมไม่เสียเวลารอผู้ช่วยของคุณอันน์ละกันนะครับ เดี๋ยวผมเชิญคุณโรเบิร์ตไปที่ห้องทำงานผมเลยดีกว่า” พฤกษ์พูดจบก็หันไปทางเจ้าของชื่อ กล่าวเชิญ แล้วเดินออกจากห้องทำงานของอันน์ไปทันที

“ผู้ชายที่คุณอันน์เคยชอบ นิสัยแย่มากนะครับ” ฐานทัพจงใจพูดกับอันน์แบบไม่อ้อมค้อม โดยเน้นตรงคำว่าเคยในประโยคนั้น “มันใช่เวลามั้ย” อันน์นิ่วหน้าใส่ฐานทัพ ก่อนจะบุ้ยบ้ายไปทางชายหนุ่มลูกครึ่งที่นั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย ทั้งอันน์และฐานทัพหันไปหัวเราะแห้ง ๆ ให้กับหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลาคนนั้น ที่เข้าใจภาษาไทยดี แถมยังพูดไทยได้ดีเยี่ยม ตามคุณแม่อีกด้วย

“คบกันหรือครับ” แดนยิ้มให้กับทั้งสองคน ก่อนจะรู้สึกเหมือนตัวเองเสียมารยาทที่ถามออกไปแบบนั้น แต่ในใจก็อยากรู้คำตอบเหมือนกัน ก่อนที่แดนจะเห็นฐานทัพยืดอกรับว่าใช่ แต่อันน์รีบละล่ำละลักตอบปฏิเสธว่าไม่ใช่ “คิ้วท์” แดนพูดแบบที่เขาคิด ฐานทัพค้อมหัวลงนิดหนึ่ง ก่อนกล่าวขอบคุณหนุ่มลูกครึ่ง แล้วหันไปยักคิ้วหลิ่วตากับอันน์ เจ้าของห้องทำงานกำลังจะตอบโต้ ก็พลันมีเสียงเคาะประตูเสียก่อน

“สวัสดีครับพี่อันน์ เอิงมาทันเวลานะครับ” เอิงเปิดประตูเข้ามา ก่อนกล่าวทักทายอันน์ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอันน์มีแขก เอิงรีบยกมือไหว้ฐานทัพ เจ้าตัวรีบโบกมือห้ามว่าไม่ต้องไหว้ก็ได้ “ทันสิ ไม่ต้องห่วง คุณโรเบิร์ตมาถึงแล้ว ตอนนี้คุยกับคุณพฤกษ์อยู่ ยังไงเดี๋ยวเอิงเริ่มได้เลย และนี่คุณแดน ลูกชายของคุณโทมัส โรเบิร์ต” อันน์แนะนำให้เอิงรู้จักกับ 'พลัสวัน' ที่เคยเกริ่นเอาไว้ก่อนหน้า

แดนที่ตาค้างตั้งแต่เห็นเอิงเปิดประตูเข้ามาแล้ว เอิงใช่คนคนเดียวกับที่เขาเห็นที่ชานชาลารถไฟฟ้าจริง ๆ ด้วย ตอนนี้หัวใจของแดนเต้นไม่เป็นส่ำ เสียงของมันดังอยู่ในหน้าอกของเขา จนแดนได้ยินมันได้ อารมณ์ของแดนพรั่งพรูผสมปนเปไปหมด มันบอกไม่ถูก เขาค่อย ๆ ยันตัวเองให้ยืนขึ้น สายตามองไปที่คนที่เพิ่งมาใหม่อย่างไม่วางตา ในความลิงโลดนั้นเจือไปด้วยความกังวล ว่าอีกฝ่าย จะจดจำได้เหมือนที่เขาจำได้มั้ย เพราะตอนนี้ ชีวิตของแดน มันเหมือนเขาเจอส่วนที่ขาดหายไปจากภาพในจินตนาการของเขาเสียที เขาหาชิ้นส่วนสำคัญนั้นเจอแล้ว

เอิงที่หันมาเห็นแดน มันทำให้เขาชาไปทั้งตัว ใบหน้าของแดนเหมือนมีแรงดึงดูดลึกลับ ที่ทำให้เอิงเหมือนจะหายใจไม่ออก ในอกของเอิงเหมือนอะไรบางอย่างที่ถูกอัดแน่น จนพร้อมจะระเบิดออกมาเมื่อถึงเวลา ซึ่งจู่ ๆ ภาพต่าง ๆ มากมายก็ไหลเข้ามาในความทรงจำของเอิง ก้อนสะอื้นจากที่ใดไม่รู้ แล่นขึ้นมาในความรู้สึก เอิงเริ่มทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ดวงตาเริ่มแดง น้ำตารื้นขึ้นขอบตาทั้งสองข้าง เสียงหอบสะอื้นของเอิงเริ่มดังขึ้น อันน์ตกใจ ฐานทัพเองก็กำลังงงกับภาพตรงหน้า

หมอกหนาในตอนเช้าโรยตัวลงมา ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ ความชุ่มฉ่ำหนาวเย็นแบบนี้ ทำให้นายทหารหนุ่มชาวอังกฤษใจตวัดคิดถึงบ้าน ที่ที่เขาจากมา เขาห่อไหล่เพื่อกักไออุ่นให้อยู่กับตัวนานขึ้น สายตามองตรงไปตรงที่นัดหมาย จากที่ซ่อนตัวตรงนี้ นายทหารหนุ่มเพิ่งเริ่มต้นหน้าที่นี้เป็นครั้งแรก เขาต้องมารับเสบียงเพื่อนำข้ามกลับจากฝั่งไทยไปอีกฝั่งหนึ่ง

เขานั่งอยู่ตรงนี้มาได้สักพักใหญ่ ตั้งแต่แสงยามเช้ายังไม่เริ่มส่อง จนตอนนี้ยามเช้าเริ่มเผยตัวเองให้เห็นหมอกที่อยู่ทั่วผืนป่าตามชายแดนอันอุดมสมบูรณ์ เพียงอีกครู่หนึ่ง เขาได้ยินเสียงเดินสวบสาบดังมาจากทิศทางตรงหน้า เสียงนั้นเบากว่าพวกหน่วยลาดตระเวนที่มักจะเป็นเสียงเท้าหนัก ๆ จากรองเท้าคอมแบท

อีกเพียงอึดใจ นายทหารชาวอังกฤษก็เห็นหนุ่มร่างเล็ก ๆ เดินผ่านหมอกหนานั้นเข้ามา เขาชั่งใจอยู่สักพัก ว่านี่ใช่เป้าหมายที่ต้องการหรือเปล่า แต่จากที่เขาประเมิน คนนี้สะพายตะกร้าใส่ของไว้ด้านหลัง น่าจะใช่คนที่เอาเสบียงมาส่งให้เขาอย่างแน่นอน จากที่เขานั่งนิ่ง ๆ แทบไม่ไหวติง ก็ขยับตัวลุกขึ้นจนเกิดเสียงดัง และคนที่เพิ่งเดินมาถึง สะดุ้งจนตัวโยน เมื่อเห็นชายชาวอังกฤษร่างสูงใหญ่ โผล่พ้นออกมาจากพุ่มไม้

“เดี๋ยว ๆๆๆ ไม่ต้องตกใจ ผมมารับเสบียง” นายทหารหนุ่มพยายาม ส่งภาษาให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ว่าดูจะไม่เป็นผล คนที่อยู่ตรงหน้า ตัวสั่นไปหมด คงจากทั้งจากอากาศที่หนาว และจากที่อยู่ ๆ ก็มีคนผิวขาวรูปร่างสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นจากที่ไหนก็ไม่รู้ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า แถมยังพูดภาษาอะไรแปลกประหลาด ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วยังจะชี้มือชี้ไม้มาที่ตะกร้าที่สะพายอยู่ด้านหลัง ทำท่าจะมาหยิบฉวยไปเสียดื้อ ๆ อีก

“ยู ๆๆๆ โน ๆๆๆ” อยู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ชายวัยกลางคนเจ้าของเสียง วิ่งเข้ามาห้ามนายทหารชาวอังกฤษเอาไว้ ก่อนรีบบอกเป็นภาษาอังกฤษ จับใจความได้ว่า นั่นไม่ใช่เสบียงที่นายทหารต้องการ “ของที่นายช่างแมทต้องการ อยู่นี่” ชายวัยกลางคนยื่นของที่ตนนำมาให้ แมทรับเอาของต่าง ๆ มา ตรวจนับ แต่สายตาก็ลอบมองไปที่หนุ่มคนนั้น ที่ตอนนี้ดูจะหายตัวสั่นไปแล้ว ตั้งแต่เห็นชายวัยกลางคน ที่ดูจะคุ้นเคยกันดี

“นายช่างไม่ต้องกังวลไป” ชายวัยกลางคนส่งภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างดี “ไม่ต้องกลัว เจ้านี่มันชื่อด้าจก์ซาย แปลว่าน้ำผึ้ง แต่คนเรียกมันสั้น ๆ ว่าซาย แปลว่าผึ้ง” เจ้าของชื่อไม่รู้ว่าอีกสองคนนั้นพูดอะไรกัน แต่ได้ยินชายวัยกลางคนพูดชื่อของเขา “ซาย” แมททวนชื่อ พลางมองหนุ่มใบหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตากลมแป๋ว สื่อถึงความซื่อ ใสบริสุทธิ์ มองมาที่เขา

“่ต่อให้มันได้ยินอะไร มันก็เอาไปบอกใครต่อไม่ได้ มันพูดไม่ได้ หรือมันไม่ยอมพูดก็ไม่รู้ ชื่อของมันจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไร คนเขาเห็นว่ามันเก็บน้ำผึ้ง เก็บของจากในป่าไปขาย เขาก็เลยเรียกมันด้าจก์ซาย ง่ายหน่อยก็ซายนี่แหละ” ชายวัยกลางคนที่ทำตัวเป็นนายหน้าหาเสบียงกรังให้กับนายทหารชาวอังกฤษ พูดเล่าเรื่องให้นายทหารสบายใจ ว่าการพบปะกันคราวนี้ แต่มาเจอด้าจก์ซายด้วยนั้น จะไม่นำภัยมาให้อย่างแน่นอน

สายตาของด้าจก์ซายที่มองไปที่นายช่างแมท เป็นสายตาที่เอิงกำลังประสานกับของแดนในตอนนี้ ภาพในกาลก่อน ไหลเวียนกลับมาให้เอิงได้เห็น ภาพเหล่านั้นช่างชัดเจน เหมือนว่าเรื่องราวทั้งหมด กำลังย้อนกับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง ตรงข้างหน้าเอิงในตอนนี้ ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ตัดสลับเข้ามาย้ำให้เอิงได้เห็น เรื่องที่ครั้งหนึ่ง มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว

ซายวางตะกร้าลงข้าง ๆ ตัว เขานั่งลงบนพื้นกระดานที่ตีขึ้นมาอย่างง่าย ๆ บ้านที่เล็กกว่าคอกหมูนี้ เป็นที่ซุกหัวนอนของเขา ซายไม่มีญาติที่ไหน หรือถึงมี เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหายังไง ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน คนที่รู้ประวัติของซาย ต่างแตกฉานซ่านเซ็นไปกันคนละทิศละทาง จากภัยแห่งความโหดร้ายของคนด้วยกันเอง ซายมีเพียงตัวเองเท่านั้นที่เป็นเพื่อน เป็นครอบครัว เป็นที่พึ่ง

ซายตักข้าวต้มเละ ๆ นั้นเข้าปาก เขาเพิ่งเอาน้ำผึ้งไปขาย เพื่อแลกเงินนั้นมาเป็นข้าวสารไว้กรอกหม้อ ต้มเละ ๆ ใส่น้ำเยอะ ๆ ให้พอซดแล้วหนักท้อง เหยาะเกลือให้พอมีรสชาติ เป็นอีกมื้อหนึ่งที่ต้องผ่านมันไปให้ได้ ซายตักข้าวเข้าปาก แต่อยู่ ๆ ภาพใบหน้าของนายทหารชาวอังกฤษคนนั้น ก็กระหวัดเข้ามาในความคิด ซายยกมือเลื่อนมาวางไว้บนหน้าอกข้างซ้าย ทำไมหัวใจเต้นเร็วจัง ซายบอกกับตัวเองไม่ได้ ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร

นายช่างแมทกลับมาถึงค่ายพัก กับภารกิจที่ลุล่วง ตอนนี้นายทหารหนุ่มจึงได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ไปรับเสบียงเต็มตัว เขานั่งลงบนแคร่นอนที่ทำขึ้นมาอย่างง่าย ๆ โดยมีฟูกบาง ๆ ปูเอาไว้เพิ่มความหรูหรายามมาทำภารกิจไกลบ้านเกิดเมืองนอนแบบนี้ นายทหารตักซุปที่น่าจะทำมาจากผักต้มอะไรสักอย่างเข้าปาก ถึงตอนนี้ เขาก็ไม่ค่อยได้สังเกตหรือวินิจฉัยกับอาหารที่ตักเข้าปากมากเท่ากับเมื่อตอนแรก ๆ ที่มาถึงค่ายนี้แล้ว

แมทตักซุปนั้นเขาปากอีกคำ ก่อนที่เจ้าของใบหน้าหวาน ๆ ตากลมโตนั้นจะวูบไหวเข้ามาในห้วงคำนึง และนั่นทำให้แมทยิ้มออกมา อยู่ ๆ ใจของเขาก็นึกถึงอีกฝ่าย อยู่ ๆ หนุ่มคนนั้นก็ทำให้ใจเขาหวั่นไหว แมทเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน เมื่อได้ยินเพื่อนพูดด้วยความแปลกใจว่า เขายิ้ม และที่สำคัญคือรอยยิ้มที่มีความสุข แมทผู้ไม่เคยยิ้ม เขาอยากจะโกหกตัวเองเหมือนที่พูดกับเพื่อน ว่าเขายิ้มเพราะคิดถึงสาว ๆ มากมาย ที่บ้าน ที่ต่างรอเขากลับไปหา และเลือกแต่งงานด้วย แต่ภาพในหัวของเขา กลับเป็นฮันนี่ น้ำผึ้งป่าแสนหวานคนนั้น

นายช่างหนุ่มตั้งหน้าตั้งตารอวันที่เขาจะไปรับเสบียงให้มาถึง แมทออกไปรอที่จุดนัดพบเดิมตั้งแต่เช้าตรู่ ข้อมูลที่ได้จากชายวัยกลางคน ซายจะผ่านมาตรงนี้เสมอ เพราะมันเป็นทางที่เขาไปเก็บน้ำผึ้ง แมทนั่งรออยู่นาน แต่แล้วก็มีเพียงชายวัยกลางคนที่ปรากฏตัวขึ้น เพื่อเอาเสบียงมาส่งให้

แมทสอดส่ายสายตามองหาใบหน้าที่เขาต้องการจะมาเจอ แต่ก็ไม่เห็น นายช่างหนุ่มรั้งรอจนชายวัยกลางคนเดินหายกลับเข้าไปในเขตชายแดน แต่ในขณะที่แมทจะตัดสินใจกลับ นายช่างหนุ่มก็เห็นซายเดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ ที่ซายนั้นแอบอยู่ เพราะลังเลที่จะเดินออกมาดีมั้ย แต่พอเห็นแมททำท่าจะขนของกลับ อยู่ ๆ ความรู้สึกในใจ ก็ผลักให้ซายเดินออกมาจนได้

“นึกว่าจะไม่ได้เจอกันแล้ว” แมทส่งภาษาออกไป ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า ทั้งสองคนไม่เข้าใจเลย ถึงสิ่งที่พูด แม้กระนั้น คำว่าคิดถึง แมทก็ยังเคอะเขิน เมื่อมาเจอหน้าซาย ทั้ง ๆ ที่ซ้อมเอาไว้เสียดิบดี พอถึงเวลาก็พูดไม่ออก ต่อให้ซายจะฟังไม่ออก นายช่างหนุ่มกลับเก้อเขิน ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเอง ว่าอะไรทำให้เขาเป็นแบบนี้ ยิ่งเห็นซายมองมาด้วยตากลมแป๋วนั้นด้วยแล้ว นายช่างแมทยิ่งสั่นสะท้านไปทั้งใจ

“นั่งก่อน” แมททำท่าบอกกับซาย ก่อนจะนั่งลงบนขอนไม้ ซายมองนายทหารร่างใหญ่นั่งจุ้มปุ้กลงตรงนั้น ก็ยิ้มออกมา นายช่างเห็นซายยิ้มก็แก้เขินด้วยการดึงมือซายให้นั่งลงข้าง ๆ เขา ก่อนจะตักผงสีน้ำตาลกลิ่นหอม ๆ ลงใส่ถ้วยสองใบ รินน้ำร้อนที่เตรียมใส่กระติกมา มันส่งกลิ่นหอมกรุ่น แมทยื่นถ้วยให้กับซายรับไป

“ไมโล” แมทจิ้มนิ้วไปที่ถ้วยนั้น ก่อนพูดย้ำอีกรอบ ซายพยักหน้าว่ารับรู้ ก่อนจะยกถ้วยนั้นขึ้นจิบ พลางทำหน้าเหยเก “มันขมหน่อยนะ ไม่มีน้ำตาล มันหายากมากจริง ๆ” นายทหารหนุ่มที่หวังสร้างความประทับใจ แลดูจะผิดหวัง เมื่อเห็นซายไม่ชอบสิ่งที่เพิ่งจิบไป ซายเห็นหน้าของแมท ที่ดูหงอย ๆ ก็หันไปหยิบน้ำผึ้งจากตะกร้าสะพายหลัง ส่งให้แมท

นายช่างหนุ่มยิ้ม ก่อนนำน้ำผึ้งอย่างดี มาหยดลงในถ้วยทั้งสอง แมทที่เตรียมการเอาไมโลจากเพื่อนทหารชาวออสเตรเลีย ที่พกติดตัวมาด้วยจากบ้าน กะเอามานั่งดื่มอุ่น ๆ กับซาย สร้างบรรยากาศอบอุ่นท่ามกลางหมอกหนา ที่ทำให้ทั่วทั้งบริเวณหนาวเหน็บ แต่ดันไม่ครบองค์ประกอบ น้ำตาลทรายที่ขาดแคลนหายาก ทำให้ต้องดื่มกันทั้ง ๆ ที่ไม่มีน้ำตาลใส่แบบนั้น

เริ่มต้นจากตรงนั้น จนกลายเป็นความผูกพัน แม้จะไม่ใช่รอบการส่งเสบียง แต่เมื่อมีโอกาส นายช่างหนุ่มชาวอังกฤษ ก็ลอบมาเจอกับซายทุกครั้ง แน่นอน เมื่อบ่อยครั้งเข้า ก็ย่อมต้องเป็นที่สังเกต และครั้งหลัง ๆ มา ข้ออ้างของแมทก็เริ่มจะไม่น่าเชื่อถือเข้าเรื่อย ๆ อีกทั้งเมื่อทางรถไฟเริ่มสร้างมากขึ้น ก็เริ่มมีความเข้มงวดจากฝ่ายทหารดินแดนอาทิตย์อุทัย เสบียงที่เคยส่งมาประจำ ก็เริ่มขาดแคลน

แม้แต่ชายวัยกลางคนผู้ส่งเสบียงกรัง ก็เริ่มถูกจับตามอง หนักเข้าก็มาส่งให้ไม่ได้ เลยกลายเป็นซายที่รับหน้าที่นี้แทน แต่เมื่อความลับ มันไม่มีในโลก ผู้คนก็เริ่มพูดกันปากต่อปาก ว่าด้าจก์ซายไม่ค่อยเอาน้ำผึ้งมาขายให้แล้ว แถมยังไม่มาขอแลก ขอซื้อข้าวสารเหมือนเคย แต่ดูไป ซายก็ยังมีข้าวสารกินไม่ขาด และนั่นทำให้ข้อสังเกตนี้ ล่วงรู้ไปถึงนายทหารหนุ่มไทย เอิงมองเห็นภาพทหารไทยคนนั้น มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับปราชญ์ เพื่อนสนิทของเขา ก็ยิ่งน่าตกใจเข้าไปใหญ่

ก่อนวันที่ซายจะเอาเสบียงไปส่ง เขากำลังเดินกลับมาที่บ้าน โชคดีที่เห็นว่าบ้านของตัวเองกำลังโดนรื้อ โดนล้อมไว้ด้วยทหารจำนวนหนึ่ง ซายตกใจ รีบบ่ายหน้ากลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง เพื่อหวังใจว่า จะไปเตือนให้นายช่างแมทรู้ตัว ซายรีบเดินไปยังจุดนัดหมายอย่างเร่งฝีเท้าเต็มกำลัง แม้จะล้มลุกคลุกคลานจนต้องเจ็บตัวอยู่หลายครั้ง เนื่องด้วยจากความเร่งรีบ แต่ก็ต้องไปให้ถึงที่หมายให้เร็วที่สุด

แต่พอไปถึงที่หมาย ซายเห็นแมทยืนอยู่กับทหารต่างชาติร่างสูงใหญ่อีกหลายคน ทั้งหมดหันมามองซายเป็นตาเดียวกัน ก่อนที่ทหารนายอื่นจะทำท่ารังเกียจแมท ตะโกนกล่าวหาว่าแมทเป็นพวกลักเพศ เพราะรู้แล้วว่า แมทใช้วิธีไหนถึงได้หาน้ำผึ้งมาให้ได้ แมทพูดปกป้องซาย ก่อนจะเข้ามายืนขวางเพื่อนทหารของเขา ที่เดินเข้ามาหาซาย

“พวกนายไม่เข้าใจ ซายไม่ผิด” แมทหันหน้ามามองซาย เขาตอบตัวเองได้แล้ว ว่ามันคือความรัก สิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจของเขา ความรู้สึกที่มีต่อซาย มันคือความรัก แต่ก่อนที่แมทจะได้พูดบอกอะไรกับซาย นายช่างก็เห็นซายใช้มือผลักเขา ดันเขาให้ไปเสียจากที่นี่ “อะไรซาย เธอทำอะไร เธอไล่ฉันทำไม” ซายใช้มือตีไปที่ต้นแขนของแมท เป็นเชิงให้เขารีบไปซะ ก่อนจะหันไปมองด้านหลังบ่อยครั้ง แมทมองตามไป ก่อนจะเห็นแสงไฟมาจากหลายทิศทาง จากแนวป่านั้น

“ไม่ ไม่ ฉันทิ้งเธอไว้แบบนี้ไม่ได้” แมทใช้สองมือประคองใบหน้าของซายเอาไว้ ก่อนจะก้มลงจูบซาย นายช่างบดเบียดริมฝีปากของตัวเองลงกับของซาย เมื่อเขาถอนจูบออก เขามองเห็นริ้วของหยาดน้ำตาใส ๆ เต้นอยู่ในดวงตาของซาย ซายใช้มือผลักแมทให้รีบไป เมื่อเสียงจากกองทหารด้านหลังแนวป่า ใกล้เข้ามาทุกที

“เราจะต้องได้เจอกันอีก และครั้งนั้น ฉันจะกอดเธอไว้แบบนี้ จะไม่ปล่อยเธออีก ฉันสัญญา” แมทกอดซายกับอกของเขาเอาไว้จนแน่น ก่อนจะจำใจปล่อยซายให้เป็นอิสระจากออ้อมกอดนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ แมทเห็นซายยิ้มให้เขา แม้ว่าริมฝีปากของซายจะสั่นระริก จากการพยายามกลั้นน้ำตา เมื่อต้องจากลานั้นเอาไว้

แมทรู้สึกเกลียดตัวเอง ที่ต้องตัดใจวิ่งจากมา โดยมีซายยืนมองนายทหารชาวอังกฤษคนนั้น วิ่งหายเข้าลับแนวต้นไม้หนาทึบนั้นไป ซายน้ำตาไหลลงมาอาบทั้งสองแก้ม ความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ ประดังประเดถาโถมเข้าใส่จนรับมือกับมันไม่ไหว ซายหันหลังกลับมา ก็เจอนายทหารไทยยืนรอเขาอยู่แล้ว

แมทนั่งอยู่บนหลังรถทหาร เขานั่งติดกับด้านหลังรถ เพื่อน ๆ ที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา รังเกียจตัวตนของแมท ถึงกับพากันนั่งให้ห่างเขามากที่สุด แมทมองขึ้นไปบนฟ้า ดวงดาวมากมายพร่างพราวอยู่บนนั้น แต่ดูเหมือนดวงดาวในคืนนี้จะพร่าเลือนไปหมด เมื่อน้ำตาของผู้ชายคนนี้ ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย มันเจ็บอยู่ในอก และยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น เมื่อไม่มีใครรอบข้างหยิบยื่นแม้แต่น้ำใจมาให้

ตอนนี้สถานการณ์กำลังตึงเครียด รถทหารมาส่งที่ชายแดน จากนี้จะเป็นเรื่องยากที่จะข้ามไปสู่ประเทศที่สาม ความโกลาหลเอาตัวรอด จนทำให้ใครฉวยโอกาสไหนได้ ก็ต้องทำ แมทเหลือตัวคนเดียว เขารอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเล ใช้เวลานานเป็นเดือน กว่าจะเดินทางมาจนถึงยุโรป และเมื่อเขาถูกเจ้าหน้าที่สอบถามถึงข้อมูลส่วนตัว

“ไมโล” แมทตอบเจ้าหน้าที่กลับไป ว่านั่นคือชื่อเขา “อเมริกัน” แมทตอบด้วยสำเนียงที่ราบเรียบที่สุด มันจะมีเรือจากที่นี่ แล่นไปอเมริกา เขาไม่คิดว่า เขาจะสามารถกลับไปเป็นแมทที่เมืองเดิม อาศัยอยู่ในชุมชนที่เขาจากมาได้อีกต่อไป เมื่อตัวตนของเขาได้ถูกเปิดเผยไปแล้ว และโชคคงเข้าข้างเขา เมื่อเอกสารต่าง ๆ ถูกเพิกเฉย จากเหตุผลว่าเอกสารของเขาถูกทำลายไปหมดแล้ว และเขาได้รับการอนุญาตให้ขึ้นเรือกลับบ้านได้

แมทมาถึงนิวยอร์คในอีกหนึ่งเดือนถัดมา เขามาเจอบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ชานเมืองอันเงียบสงบ อาศัยว่าเป็นทหารกลับมาจากสงคราม เขาเริ่มทำงานที่อู่ซ่อมรถ ตามความสามารถนายทหารช่างที่เคยเป็น แมทปรับสำเนียงการพูดให้กลายเป็นคนท้องถิ่น ซึ่งมันก็ใช้เวลาไม่นาน เขาก็กลมกลืนไปกับผู้คน มีผู้หญิงมากมายทอดสะพานให้เขา แต่แมทก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจใคร

ค่ำวันหนึ่ง เมื่อเขากลับมาจากที่ทำงาน แมทเดินชนเข้ากับชั้นวางของ จนกล่องเหล็กใบเล็ก ๆ ขึ้นสนิม ตกลงมาบนพื้น ฝาของมันเปิดออก ข้างในเป็นสิ่งของที่เขาเก็บเอาไว้ หลังจากมาถึงอเมริกา แมทหยิบมันขึ้นมาดู ไล่ไปทีละอย่าง เรื่องราวมากมายเริ่มไหลเข้าท่วมหัวใจของเขาอีกครั้ง จนสายตาของแมทมาหยุดเจอที่อยู่ในประเทศไทย ของชายวัยกลางคนคนนั้น แมทมือสั่น รีบหยิบกระดาษกับดินสอ มาเขียนจดหมายขึ้นทันที

แมทส่งจดหมายไปเมืองไทย สัปดาห์ละฉบับอยู่นานหลายปี แต่ไม่มีฉบับไหนที่ถูกตอบกลับมาเลย แต่แมทก็ยังคงเพียรเล่าเรื่องราวของเขาลงไปในจดหมายเหล่านั้น หวังใจว่ามันคงมีสักฉบับ ที่ได้ผ่านสายตาของซาย ชายหนุ่มผู้เป็นที่รักของเขา ที่เขาอยากจะมีโอกาสอีกสักครั้ง ได้พบ ได้กอด ได้สัมผัสตัว ได้จูบให้หายคิดถึง ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของเขาบนโลกใบนี้ จะสิ้นสุดลง

“เอิง ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรนะ” อันน์พยายามปลอบเอิงที่กำลังตัวสั่นเทิ้มไปกับเรื่องราว ที่มันพุ่งเข้าหาเหมือนสายน้ำที่ถาโถม อันน์มองหน้าฐานทัพ ที่เขาก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน แดนเดินมานั่งข้าง ๆ กับเอิง เขาพยักหน้าขออันน์ ก่อนจะค่อย ๆ สวมกอดเอิง ดึงตัวของอีกง่ายเบา ๆ ให้เข้ามาแนบชิดกับแผงอกกว้างของเขา

“ฮันนี่ ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน” เอิงเมื่อได้ยินแดนพูดออกมาแบบนั้น ก็เหมือนเขาโดนปลดปล่อยจากพันธนาการทั้งปวง เอิงปล่อยโฮออกมา สะอื้นไห้จนตัวโยน โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงโหยหาอ้อมกอดนี้ มันคือความอบอุ่นที่เหมือนกับห่มตัวของเขาเอาไว้ไม่พอ ใจของเขาตอนนี้ยิ่งราวกับว่า ได้รับการชดเชย ได้รับการปลอบประโลม

ประหนึ่งดาวศุกร์ ๖ เจ้าเรือนปัตนิ คู่ครอง กำลังตอบคำถามที่เขาเคยสงสัย ว่าเมื่อเจ้าเรือนปัตนิ มาอยู่ในเรือนปัตนิเสียเอง แล้วได้มาตรฐานดาวเป็นเกษตรที่แปลว่าหนักแน่น มั่นคง ที่ทำนายว่าจะได้คู่ชนิดบุพเพสันนิวาสนั้น มันเป็นไปได้อย่างไร เอิงซุกตัวเข้าหาอกอุ่น ๆ ของแดน ชายหนุ่มลูกครึ่งที่เขาเพิ่งเจอ แต่เป็นแมทไมโล ที่เขาเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน



****************************

https://www.youtube.com/watch?v=E6w6xcJyFIQ

เหม่อมองไกล ไปถึงดาว

ที่เคยจองเป็นดาวของเรา

ก็ยังคงอยู่ที่เดิมให้พบเจอ

อยู่ตรงนี้มองเห็นดาว

และดวงดาวคงมองเห็นเธอ

อย่างน้อยเราอยู่ใต้ดาวดวงเก่าเดียวกัน



หวังว่าเธอคงสุขดี

อยู่ตรงนั้นเจอสิ่งดีดี

ฉันคงมีเพียงสิ่งเดียวทุกวัน



มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง

อยู่ทุกครั้งที่มองดาว

มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง

เรื่องวันวานและฝันของเรา

มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง

และบ่อยครั้งก็ทำให้เหงา

คิดถึงเธอ....คิดถึงเธอ



หวังว่าเธอคงสุขดี

อยู่ตรงนั้นเจอสิ่งดีดี

ฉันคงมีเพียงสิ่งเดียวทุกวัน



มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง

อยู่ทุกครั้งที่มองดาว

มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง

เรื่องวันวานและฝันของเรา

มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง

และบ่อยครั้งก็ทำให้เหงา

คิดถึงเธอ....คิดถึงเธอ



เฝ้าแต่คิดถึง ได้แต่คิดถึง

สิ่งที่สองเราเคยมี

เฝ้าแต่คิดถึง ได้แต่คิดถึง

นึกทีไรก็ยิ้มทุกที



มีแต่คิดถึง มีแต่คิดถึง

อยากให้เธอได้อยู่ตรงนี้

คิดถึงเธอ....คิดถึงเธอ

คิดถึงเธอ....คิดถึงเธอ
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๐ มรณะ - มรณะ (สูญเสียเพื่อคงอยู่)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 20-04-2022 20:16:35
 :hao5: :hao7:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๑ กัมมะ - วินาศน์ (ลงมือทำสัญญาลับ)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 21-04-2022 19:17:18
๑๑.



กัมมะ – วินาศน์ (ลงมือทำสัญญาลับ)





“คุณคะ” คุณปริม ภรรยาชาวไทยเรียกให้คุณโทมัส สามีชาวอเมริกันของเธอให้หันมาดูรูปในกระดาษ ที่เธอถืออยู่ “มันอาจจะเป็นแค่เพื่อนเล่นในจินตนาการของเขาก็ได้ คุณอย่าคิดมากเลย” ถึงสามีพูดแบบนั้น คุณปริมก็ยังอดห่วงไม่ได้ “แต่ลูกเราเจ็ดขวบแล้วนะคะ มันไม่โตเกินกว่าจะมีเพื่อนเล่นที่ลูกสร้างขึ้นมาเองหรือคะ” รูปที่ลูกชายของเธอวาด คือรูปคนสองคน ผู้ชายทั้งคู่ ยืนจับมือกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

คุณโทมัสมองรูปวาดของลูกชายอีกครั้ง ก่อนจะดึงภรรยาเข้ามากอด แล้วบอกว่า เขาจะนัดจิตแพทย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องพัฒนาการของเด็ก ลองให้แดนไปพูดคุยกับจิตแพทย์ดู เผื่อว่ามันจะบอกอะไรพวกเขา หรือให้คำตอบอะไรบางอย่างได้ ภรรยาของเขาจะได้สบายใจขึ้นบ้าง คุณปริมพยักหน้าตอบรับวิธีของผู้เป็นสามี เธอเองก็หวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

“แดนนี่ บอกหมอได้มั้ย ว่านี่รูปใคร แดนวาดรูปใคร” จิตแพทย์เอ่ยถามเด็กชาย เมื่อถึงวันนัดคุยกันครั้งแรก “ซาย ด้าจก์ซาย” แดนที่ก้มลงดูรูปวาดของตัวเองในกระดาษแผ่นนั้น พูดขึ้นพร้อมยิ้มออกมาทันทีที่เห็น “แดน เธอหมายถึง ดาร์คไซด์” จิตแพทย์ถึงกับต้องถามซ้ำ เมื่อได้ยินแบบนั้น “โน้ว” แดนนี่รีบแย้งว่าไม่ใช่ “ไม่ใช่ดาร์คไซด์ฮะ ด้าจก์ซาย นั่นชื่อของเขา แต่ดาร์คไซด์ ก็คูลดีฮะ ไว้ตอนผมเจอเขา ผมจะบอกเขานะฮะ ขอบคุณฮะหมอ”

“แดนนี่ บอกหมออีกที ว่าเธอรู้จักซาย คนนี้งั้นหรือ” ทั้งจิตแพทย์และผู้เป็นพ่อและแม่ของแดนสบตากัน เมื่อกำลังรอคำตอบจากเด็กน้อย “ไอ นูว ฮิม” แดนตอบ สายตาที่แดนมองรูปนั้นลึกซึ้งเกินกว่าที่เด็กจะรู้สึกถึงความผูกพันต่อผลงานของตัวเอง แถมท่าทางของแดนยังดูเกินวัยของเขาไปมาก เหมือนผู้ใหญ่ที่พูดถึงใครสักคน ที่เก็บเอาไว้ในใจมานาน

“หมายความว่ายังไง เธอใช้รูปประโยคในอดีต เธอเคยรู้จักเขางั้นรึ” จิตแพทย์ชายถามย้ำกับเด็กชายอีกครั้ง “ใช่ฮะ เคย แต่ไม่ใช่ตอนนี้” แดนนี่ตอบออกไป คุณปริมมองหน้าคุณโทมัสที่กำลังบีบมือให้กำลังใจภรรยา แดนมองหน้าผู้ใหญ่ทั้งสามคน เหมือนไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องมาถามคำถามอะไรแบบนี้กับเขาด้วย

“คือ นอกจากเรื่องรูปที่เขาวาดแล้ว โดยทั่วไป ผมไม่เห็นถึงความผิดปกติอะไรนะครับ แดนดูเป็นเด็กผู้ชายร่าเริง พูดจาฉะฉาน ตอบโต้มีเหตุผลรู้เรื่อง แถมยังพูดสุภาพมาก ๆ ถ้าให้ผมแนะนำ เขาดูเหมาะกับทหารดีครับ” จิตแพทย์พูดกับคุณปริมและคุณโทมัส พร้อมทั้งแนะนำให้ทั้งคู่ลองสังเกตดูลูกชายไปก่อน มันอาจจะเป็นแค่การแสดงออกชั่วครั้งชั่วคราว แล้วเดี๋ยวมันก็หายไป

ซึ่งนั่นก็ดูจะจริง เพราะหลังจากนั้น แดนก็วาดรูปน้อยลง ความรูุ้สึกกังวลของคุณปริมเกี่ยวกับลูกชาย ก็ดูจะเบาใจลงได้ เธอเฝ้าดูลูกชายเติบโตอย่างที่คนเป็นแม่คนหนึ่งจะคาดหวัง จนกระทั่งปีที่แดนอายุครบสิบแปดปี เขาขอคุณปริม กลับมาเมืองไทยด้วย เพราะอยากตามมาเที่ยว จะได้มีรูปไว้ลงอวดเพื่อน ๆ ที่อเมริกา คุณปริมก็ไม่ได้ขัดข้อง เพราะอยากให้ลูกชายได้มาเรียนรู้อีกครึ่งหนึ่งของตัวตนของเขาด้วย

“แดน แดน เกิดอะไรขึ้น แดน บอกแม่ซิลูก” คืนนั้น หลังจากพาลูกชายกลับมาถึงเมืองไทยได้ยังไม่ถึงสัปดาห์ คุณปริมต้องรีบวิ่งเข้ามาในห้องลูกชาย เมื่อเธอได้ยินเสียงของแดนตะโกนโวยวายขึ้นมากลางดึก “มัม ไอ เล็ท ฮิม โก โนว ไฮ ชูดึ้นท์ ดัน แธ็ด” เสียงแดนพูดด้วยความเหนื่อยหอบ เหงื่อออกท่วมตัว จนเสื้อกล้ามใส่นอนสีเทาของเขาเปียกชุ่มไปหมด

“ผมปล่อยเขาไว้ตรงนั้น ผมทิ้งเขาไว้ แม่ครับ ผมไม่ควรทำแบบนั้น ผมควรจะอยู่กับเขาตรงนั้น ผมควรจะกอดเขาไว้” แดนพูดทั้งน้ำตา เขาดูสับสน เสียใจ เจ็บปวด และรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเอง คุณปริมกอดลูกชายเอาไว้ “ใครลูก แดนหมายถึงใคร” คุณปริมปลอบลูกชายของเธอที่กำลังเนื้อตัวสั่นเทา

“ซายครับแม่ ด้าจก์ซาย ผมทิ้งเขาไว้คนเดียว” แดนมองหน้าแม่ของเขาด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา คุณปริมอึ้งไปกับคำตอบของลูกชาย แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป “ไม่เป็นไรนะ แดน ไม่เป็นไรนะลูก” คุณปริมไม่อยากจะเชื่อว่า สิ่งที่เธอคิดว่ามันหายไปแล้ว กลับกลายเป็นว่า มันคือสิ่งที่ฝังใจแดนเสมอมา ยังคงอยู่ในจิตใต้สำนึกของลูกชายเธอมาตลอด

“ซายอยู่ไม่ไกล เขาอยู่ใกล้ ๆ ผม ผมรู้ ผมรู้ครับแม่” แดนมองออกไปที่นอกหน้าต่างโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่ไหนสักแห่ง แดนคิด เพราะความรู้สึกที่เขามี มันคือความใกล้ชิดที่แทบจะสัมผัสกลิ่นอายกันได้ ที่ไหนสักที่ในเมืองใหญ่มหานครนี้ คุณปริมกอดและลูบหัวลูกชายอย่างปลอบประโลม เธอรู้สึกได้จริง ๆ ว่านี่ไม่ใช่แค่การฝันร้าย กับท่าทางของแดนที่ไม่ได้กำลังแกล้งอำเธออยู่ แดนรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ

ทริปกลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยทริปนั้น ถูกหั่นให้สั้นลง หลังจากที่แดนฝันติด ๆ กันแบบนั้นอีกหลายคืน มันดูรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งแดนยังสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวจากความฝันเหล่านั้น ได้เพิ่มมากขึ้น เขาเอ่ยชื่อแมท ออกมาในคืนหนึ่ง แมทคนที่ทิ้งซายเอาไว้ คนที่ปล่อยให้ซายหลุดออกจากอ้อมกอดคนนั้น

“ผมไปเข้าห้องน้ำนะครับ” แดนหันมาบอกแม่ ขณะรอขึ้นเครื่องที่สนามบิน คุณปริมพยักหน้ารับ ก่อนมองตามลูกชายที่ตอนนี้ ดูไม่สดใสเอาเสียเลย คุณปริมก้มลงมองที่เก้าอี้ สมุดบันทึกของแดนที่เขาวางไว้ กำลังจะตก เธอเลื่อนมันเข้ามาด้านใน สมุดเล่มนั้นมีดินสอขั้นอยู่ คุณปริมหันไปมองทางห้องน้ำ กลัวว่าลูกชายจะออกมาเห็น ว่าเธอกำลังแอบดูของส่วนตัวของเขา

ก่อนจะเปิดมันออก มันคือภาพของชายหนุ่มผิวขาวในเครื่องแบบทหาร กับชายหนุ่มอีกคนในเสื้อผ้าชนพื้นเมืองในไทย ที่ชุดที่ใส่ ดูคุ้นตาคุณปริมพอสมควร ที่ด้านล่าง มีลายมือของแดนเขียนเอาไว้ว่า 'แมทกับซาย ปี 1945' เธอเอง ก็ไม่ได้เห็นแดน วาดรูปมานานหลายปีแล้ว คุณปริมวางสมุดบันทึกของแดนลงไว้ที่เดิม พลางนึกถึงธุระก่อนหน้านี้ ที่เธอบอกว่าต้องไปทำด่วน ก่อนจะมาสนามบินกับแดน

“คุณเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดมั้ยคะ” หมอดูถามคุณปริม ที่เธออดไม่ได้ ที่อยากจะหาคำตอบอะไรสักอย่าง มาอธิบายเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกับลูกชายของเธอ “บางคนจำเรื่องในอดีตของพวกเขาได้ แต่บางคนก็ไม่” คุณปริมได้ยินหมอดูพูดต่อ “ในดวงนี้บอกว่า เขามีดาวมฤตยู ๐ ยกเข้าเรือนมรณะ ดังนั้น ก็ไม่แปลกที่เขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับ ประสบการณ์แปลก ๆ เกี่ยวกับความฝัน เรื่องวิญญาณ เรื่องความเป็นความตาย ที่มันดูจริง จนเกือบจับต้องได้”

“แต่อย่าเพิ่งตกใจไปนะคะ ดาวบาปเคราะห์เดินในเรือนเสีย แม้จะแปลว่าทุกข์ ว่าอาเพศ แต่ท่านว่าเมื่อมาอยู่ในเรือนมรณะ ความหมายเหล่านั้นจะถูกทำลายลง ถือเป็นการให้คุณแก่ดวงชะตา บางทีมันอาจจะเป็นจังหวะเวลาของเขาพอดีก็ได้ ที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น ยิ่งถ้าเขาได้สัญญากันเอาไว้ และยึดคำสัญญานั้นด้วยจิตมุ่งมั่น ก็ยากนะคะ ที่จะหลบเลี่ยงกันไป มันคือชะตาลิขิตของเขา”

คุณปริมกลับมาอเมริกาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ เธอรักและเป็นห่วงลูกชายคนเดียวของเธออย่างสุดจิตสุดใจ เธอพร้อมที่จะเข้าใจลูกชาย ถ้าหากแม้ว่า สิ่งที่หมอดูพูดเป็นเรื่องแหกตากัน แล้วลงเอยว่า ลูกชายของเธอต่างหาก ที่กำลังมีปัญหา ไม่ใช่คำอธิบายอะไรง่าย ๆ ว่า เขากลับมาเกิดใหม่นั้น ยิ่งเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยแล้ว คุณปริมจะเอาไปคุยกับคุณโทมัส ผู้เป็นสามีได้ยังไงกัน

เมื่อแดนกับมาถึงอเมริกา เขาก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ไกลจากบ้านมากนัก พียงแค่อยู่ต่างเมืองกัน คุณโทมัสอยากให้แดนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่คุณโทมัสเป็นศิษย์เก่า แต่แดนปฏิเสธความต้องการของพ่อ ยืนยันว่าเขาจะเข้าเรียนที่ที่เขาเลือกเอาไว้ คุณโทมัสหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ได้ขอให้คุณปริมช่วยพูดกล่อมลูกให้ยอม แต่กระนั้นก็ไม่เป็นผล คุณโทมัสจึงต้องจำยอม และด้วยผลการเรียนของแดนอยู่ในระดับยอดเยี่ยม สี่ปีที่กำลังจะผ่านไป ก็ทำให้พ่อลูกพอจะลงรอยกันได้

“ที่นี่หรือลูก” คุณปริมที่ขับรถจากบ้านมาหาลูกชายที่มหาวิทยาลัย เนื่องจากเมื่อวันก่อน แดนโทรหาเธอแล้วบอกกับเธอว่ามีเรื่องด่วน สำคัญมาก อยากให้เธอช่วย คุณปริมได้ยินแบบนั้น ก็ไม่รอช้ารีบบึ่งรถมาหา ก่อนที่ลูกชายจะขอให้เธอขับพาข้ามรัฐ จากเพนน์ซิลเวเนีย จนพากันมาถึงที่นี่ โอลด์ บรูกวิลล์ รัฐนิวยอร์ก

“ครับ” แดนรับคำสั้น ๆ สายตาของเขามองออกไปที่บ้านหรูหรา เนื้อที่ขนาดใหญ่ด้านหน้า แถวนี้เป็นย่านชานเมืองของผู้มีฐานะดี บ้านส่วนใหญ่จะใหญ่โต สวยงาม มีเนื้อที่อาณาบริเวณกว้างขวาง คุณปริมมองตามสายตาของลูกชายออกไปที่นอกรถ บ้านหรูระดับนี้ ราคาเป็นหลักล้านเหรียญแน่นอน

ทั้งสองลงจากรถ แดนเดินมาที่หน้าบ้านหลังดังกล่าว เขาดูค่อนข้างประหม่า คุณปริมเดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ลูกชายของเธอ แดนเล่ารายละเอียดให้เธอฟังระหว่างทางที่ขับรถมาแล้ว มันฟังดูเหลือเชื่อ แต่แดนก็บอกกับเธอว่า เขาใช้เวลามากมายตามหาข้อพิสูจน์นี้ เพราะแดนเองก็รู้สึกว่า เขาเหมือนเป็นบ้าอยู่คนเดียว ที่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ แต่ยิ่งสืบ มันยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกอย่างมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังนี้

“มีอะไรให้ช่วยมั้ยคะ” เสียงผู้หญิงชาวเอเชียที่เปิดประตูออกมา ตะโกนถาม “ผมอยากสอบถามหน่อยครับ ว่าคุณบังเอิญรู้จักผู้ชายที่ชื่อ แมท มั้ยครับ” แดนถามกลับไป ก่อนจะได้ยินอีกฝ่ายถามกลับมาว่า “ใครนะคะ” หญิงเอเชียวัยเดียวกับแม่ของแดน กำลังเดินออกมาหาเขาที่ประตูรั้ว “มีอะไรกันคุณ” เสียงผู้ชายที่ตามออกมาจากภายในบ้าน ถามขึ้นเป็นภาษาไทย

“คนไทยหรือครับ” แดนรีบถามออกไป ด้วยภาษาไทยไม่ติดสำเนียงฝรั่งเลยสักนิด “ค่ะ” คำตอบนั้น ดูน่าแปลกใจน้อยกว่า การที่เจ้าของคำตอบ เห็นชายหนุ่มอเมริกัน หน้าตาดี รูปร่างสูงใหญ่ พูดไทยปร๋อแบบนี้ แถมยังยกมือไหว้เธออีกต่างหาก “สวัสดีค่ะ” คุณปริมกล่าวทักทาย พร้อมยกมือไหว้เจ้าของบ้านหลังนี้ ซึ่งทั้งหญิงชาย ที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้าน รับไหว้ตามประสาคนไทยด้วยกัน

“เมื่อกี้บอกว่า มาหาใครนะคะ” หญิงเจ้าของบ้านถามอีกครั้ง “แมท” แดนเอ่ยชื่อนั้นออกมาเบา ๆ ก่อนจะพูดอีกชื่อขึ้นมาแทน “ไมไล คนชื่อไมโลครับ” เจ้าของบ้านทั้งสองหันมามองหน้ากัน เมื่อได้ยินชื่อนั้น “ผมอยากทราบด้วยครับ ว่าจะหาบ้านหลังนี้ได้ที่ไหน” แดนพูดพลางหยิบรูปวาดบ้านไม้หลังเล็ก ๆ นั้นให้ทั้งคู่ดู

“คุณคะ” หญิงเจ้าของบ้านถึงกับหลุดอุทานออกมากับสามีของเธอ “วาดเองหรือคะ” เธอถามแดน เขาพยักหน้าแทนคำตอบ “เหมือนมากครับ” ชายเจ้าของบ้านเอ่ยชม “แต่ไปเห็นจากไหนมา เพราะคนรุ่น ๆ คุณ ไม่น่าจะมีใครได้เห็น หรือรู้ด้วยซ้ำว่า มีบ้านหลังนี้อยู่ เจ้าของเขาหวงมาก” ชายไทยเจ้าของบ้านที่แดนมาสอบถาม ทึ่งที่รายละเอียดในภาพนี้ ราวกับว่า คนวาดมานั่งอยู่ด้านหน้า แล้วบรรจงใส่ทุกริ้วรอยแตก รอยไม้ ลงไปอย่างตั้งใจ

“บ้านหลังนี้อยู่ที่ไหนครับ” แดนถามขึ้นแบบรู้สึกมีความหวัง “อยู่ที่หลังบ้าน” ชายไทยวัยกลางคนบอก “แต่หลังบ้านข้าง ๆ นะ” แดนหันไปมองตามทิศทางที่อีกฝ่ายว่ามา “ไมโล นั่นคุณรึ โอ้ว พระเจ้า ใช่คุณจริง ๆ ด้วย นี่คุณได้เจอกับฮันนี่หรือยัง บอกเขาด้วย ว่าฉันเองก็อยากพบกับเขา” เสียงของหญิงชราชาวอเมริกันดังมาจากทางด้านหลัง ที่แดนและแม่ของเขายืนอยู่

“นาน่า นั่นไม่ใช่ปู่ไมโลหรอกค่ะ ขอโทษทีนะคะ คุณย่าของฉันมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ มีเรื่องเดียวที่ย่ายังจำได้ ก็คือคุณปู่ค่ะ” หลานสาวของหญิงชราที่พยุงคุณย่าของเธอเอาไว้ กล่าวขอโทษทุกคนที่อยู่ตรงนั้น “แต่ใบหน้าของคุณ ไม่เหมือนเสียทีเดียว แต่ก็คล้ายคุณปู่มากทีเดียวนะคะ” คนพูดเองยังอดทึ่งไม่ได้ เพราะเหมือนเธอกำลังยืนพูดอยู่กับคุณปู่ ในช่วงวัยหนุ่ม แดนเดินขยับเข้าไปใกล้หญิงชราที่มองเขาแล้วยิ้มให้อย่างอบอุ่น

“ไมโล” หญิงชรายกมือที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา ขึ้นแนบกับแก้มของแดน ใบหน้าของเธออาบไปด้วยความสุข “เข้าบ้านกันเถอะ ฉันอยากจะถามถึงเรื่องฮันนี่มากมายทีเดียว” หลานสาวของหญิงชราบอกกับทุกคนว่าถ้าไม่รังเกียจ ก็ขอเชิญทุกคนเข้ามาในบ้าน อย่างน้อยเธอก็มั่นใจว่าแดนและคุณปริม ดูจะรู้จักกับเพื่อนบ้านของเธอ

“รูปคุณปู่ของฉันค่ะ” ในมืออันสั่นเทาของหญิงชรา ถือรูปของไมโลใบเดียวที่เธอเหลืออยู่อย่างทะนุถนอมไปพร้อม ๆ กับความทรงจำที่มีของเธอ คุณปริมเองยังตกใจเมื่อเห็นว่าไมโลนั้น คล้ายกับแดนมากทีเดียว “แต่น่าเสียดายค่ะ คุณปู่จากไปหลังจากแต่งงานกับย่าได้เพียงสองปี ฉันเลยได้แต่ฟังเรื่องของปู่จากที่ย่าเล่า” หลานสาวของหญิงชราบอกเล่าเรื่องราวในอดีต

“คุณใจดีกับฉันมากจริง ๆ ไมโล” หญิงชราพูดกับรูปถ่ายที่อยู่ในมือเธอ “คุณรับสมอ้างลูกในท้องของฉัน ทั้ง ๆ ที่คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น” น้ำตาของหญิงชราไหลลงมา เสียงพูดสั่นเครือเต็มไปด้วยความสะเทือนใจ “แต่ก็นะ ถ้าคุณสามารถอยู่กับคนที่คุณรักได้ คุณคงไม่ต้องจากไปแบบนั้น โอ้ว สิ่งที่พวกนั้นทำกับคุณ มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน” หญิงชรายกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า รูปและจดหมายเก่านั้น ตกลงบนพื้น

แดนหยิบรูปกับจดหมายนั้นขึ้นมา เขาค่อย ๆ เปิดมันออกอ่าน เนื้อความในจดหมาย ไมโลเขียนถึงซาย บอกกับซายว่า อยากอยู่กับซายมากแค่ไหน คิดถึงซายมากแค่ไหน และถ้าเป็นไปได้ เขาอยากแต่งงานกับผู้ชายคนเดียวที่เขารัก และอยู่กินด้วยกันอย่างคู่รักคนอื่น ๆ อย่างเปิดเผย

จดหมายฉบับสุดท้ายของไมโล ที่ไม่ได้ส่ง มีคนมาแอบอ่านจดหมายฉบับนี้เสียก่อน และนั่นก็คือเพื่อนร่วมงานที่อู่ซ่อมรถ เพื่อนที่ไมโลไว้ใจ เขาถูกทำร้ายอย่างทารุณจนเสียชีวิต คนพวกนั้นรอดพ้นความผิดที่ตัวเองก่อเอาไว้ เพียงเพราะผู้คนและสังคมในตอนนั้น ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องนี้ ร่างของไมโลไม่เคยถูกพบนับตั้งแต่วันนั้น ย่าของหญิงสาวที่รู้เรื่องไมโลกับซายมาโดยตลอด จึงต้องทนอยู่กับความเศร้ามาตลอดชีวิต

บ้านไม้หลังเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ข้างหลัง แดนก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน ภาพในวันนั้นพุ่งกลับมาทันทีที่เขาอยู่ภายในบ้าน ไมโลที่บาดเจ็บสาหัสและกำลังจะหมดแรง พยายามตะเกียกตะกายพาตัวเองออกจากบ้านหลังนี้ ในใจของเขาอยากจะขอโอกาสสักครั้ง เพื่อมีชีวิตอยู่เจอหน้าซาย ก่อนสิ้นใจ เขาถูกพวกมันลากเขากลับเข้าไป แล้วลงมือสังหารเขา จากความเกลียดชัง จากความไม่เข้าใจ จากสิ่งที่แตกต่างจากตัวเอง

ไมโลแตะนิ้วลงบนกล่องเหล็กเล็ก ๆ ขึ้นสนิมที่วางอยู่บนชั้นนั้น ก่อนจะตะโกนร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เขาทรุดตัวลงกับพื้น ร้องไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง คุณปริมเองก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ที่เห็นลูกชายเป็นแบบนี้ เธอสลดใจไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับไมโล ที่แดนเชื่อว่า คือตนเองเมื่อชาติที่แล้ว เพราะทุกอย่างมันคลิกกันไปหมด แถมแดนยังบอกรายละเอียดของเรื่องราวชีวิตของไมโล ให้หลานสาวของหญิงชราฟัง และนั่นทำให้เธอถึงกับต้องอ้าปากค้าง เพราะเรื่องเหล่านั้น เธอได้รับฟังมาจากย่าของเธอเช่นกัน

“ยังไง รู้จักกันแล้ว ก็แวะมาได้บ่อย ๆ นะคะ น้ายินดีต้อนรับแดน พี่ปริมด้วยนะคะ” หญิงชาวไทยเจ้าของบ้านกล่าวกับทั้งสองคน เมื่อแดนและแม่ขอตัวกลับก่อน “เห็นแดนแล้ว น้าก็คิดถึงลูกชายน้า ที่เมืองไทย รายนั้นนะ ชวนมาอยู่ด้วยกันที่นี่ก็ไม่ยอมมา ดื้อเหลือเกิน นี่ก็กำลังจะเรียนจบ อยากจะหาอะไรทำที่โน่น นี่ไง ลูกน้า ชื่อเอิง” หญิงเจ้าของบ้านโชว์รูปลูกชาย บนโทรศัพท์มือถือของเธอให้แดนดู

ภาพชายหนุ่มหน้าหวานในรูป ทำให้แดนถึงกับตาค้าง ใจเต้นระรัว นี่คือรูปของคนที่มักจะทาบขึ้นมาซ้อนกันพอดี กับใบหน้าของซาย ที่เขาเห็นในความฝันเสมอ แม้ทั้งสองจะหน้าตาไม่เหมือนกันเลย แต่ความที่โทนหน้านั้น มีความหวานเหมือนกัน แดนจำได้ติดตา และเมื่อได้เห็นรูปของเอิง ความรู้สึกที่ไมโลมีต่อซาย มันก็ถูกถ่ายเทคืนกลับมาให้แดน ด้วยความรู้สึกของเขากับเอิง ไม่ต่างกันเลย



***********************

https://www.youtube.com/watch?v=8FkGFLrMFDA

เวลาที่ล่วงเลยนั้นทำให้คนเปลี่ยนไป สิ่งหนึ่งในใจยังไงก็ไม่เปลี่ยน ก็คือความรักที่มีต่อเธอ จะมั่นคงอย่างนี้เหนือกาลเวลา มากยิ่งกว่าอะไร ต่อให้นานเพียงใดรักแท้ก็ยังคงเป็นรักแท้ ไม่มีวันจะแปรหรือน้อยลงไปตามเวลา ถึงแม้บางครั้งชีวิตต้องเจออะไรกระหน่ำ แต่ก็ไม่เคยทำให้รักเราเปลี่ยนแปลงไป คนเราถ้าคู่กันไม่ว่าอะไรเปลี่ยนไป สิ่งหนึ่งในใจยังไงก็ไม่เปลี่ยน ก็คือความรักที่มีต่อเธอ จะมั่นคงอย่างนี้เหนือกาลเวลา มากยิ่งกว่าอะไร ต่อให้นานเพียงใดรักแท้ก็ยังคงเป็นรักแท้ ไม่มีวันจะแปรหรือน้อยลงไปตามเวลา ถึงแม้บางครั้งชีวิตต้องเจออะไรกระหน่ำ แต่ก็ไม่เคยทำให้รักเราเปลี่ยนแปลงไป แม้จะต้องรอไม่รู้ว่านานเพียงใดก็จะไม่ท้อ เพียงมีเธอก็พร้อมสู้ต่อไป ทางจะไกลแค่ไหนก็อดทน เพื่อให้ถึงในวันหนึ่งที่มันเป็นของเรา ต่อให้นานเพียงใดรักแท้ก็ยังคงเป็นรักแท้ ไม่มีวันจะแปรหรือน้อยลงไปถ้ารักกันจริง ถึงแม้บางครั้งชีวิตต้องเจออะไรกระหน่ำ แต่ก็ไม่เคยทำให้รักเราเปลี่ยนแปลงไป ฉันรักเธออย่างไรก็รักไม่เปลี่ยนใจเลย จะหยุดใจลงเอยที่เธอคนเดียวจนตาย
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๑ กัมมะ - วินาศน์ (ลงมือทำสัญญาลับ)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 21-04-2022 21:01:57
 :z10: :katai4:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๒ ปัตนิ - ศุภะ (คู่ครองครองคู่)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 22-04-2022 19:11:19
๑๒.



ปัตนิ - ศุภะ (คู่ครองครองคู่)



“อ้าว ทำไมวันนี้ถึงได้กลับถึงบ้านเร็วนักล่ะลูก” ยายของเขาถามขึ้น เมื่อเห็นซื่อหนานเดินเข้าบ้านมา “เพื่อนมาส่งน่ะจ้ะยาย” ซื่อหนานตอบ ก่อนจะเดินไปหาหญิงชราที่นั่งบนแคร่ ที่อยู่ไม่ไกลจากประตูนัก “เพื่อนมาส่ง” ผู้เป็นยายนึกสงสัยกับคำตอบของหลายชาย

“เขานั่งแท็กซี่มาส่งจ้ะยาย” ซื่อหนานตอบไปตามความจริง ก่อนจะเห็นสีหน้าของยายเปลี่ยนไป หญิงชราเลื่อนตัวหันเข้าหาหลาน “ซื่อหนาน” เสียงเรียกของยายเปี่ยมไปด้วยความเมตตาเสมอ “ฟังนะยายลูก” หญิงชราเริ่มต้นพูดช้า ๆ “น้ำใจของเพื่อนเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเพื่อนมีน้ำใสใจจริงให้เรา แล้วเราจะรับเอาไว้ มันก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราเองก็อย่าลืมว่า เมื่อเรามีน้อยกว่าเขา เราต้องระวังตัวให้มากกว่าเขา” ซื่อหนานตั้งใจฟังที่ยายสอน

“เราต้องระวัง อย่าไปติดใจกับความมีมากกว่าของเพื่อน ทำตามที่เพื่อนทำไปเสียทุกเรื่อง เพราะมันจะเป็นที่เรา ที่ต้องเดือดร้อน เมื่อทำทุกอย่างไม่ได้เท่าเขา ยิ่งถ้าเขาทำเพื่อต้องการอะไรบางอย่าง ระวังไว้นะลูก ว่ามันอาจจะเกินกำลังที่เราจะตอบแทนน้ำใจคืนเขาได้” ธนภพที่แอบฟังอยู่ด้านนอกประตู เผยยิ้มแห้ง ๆ ออกมา เพราะรู้สึกเหมือนกำลังโดนผู้อาวุโสจับได้ถึงเจตนาแฝงที่มี

ใช่อย่างที่คุณยายพูดจริง ๆ วันนี้ตอนเลิกเรียน ฝนทำท่าจะตก และซื่อหนานก็ยืนยันว่าจะนั่งรถเมล์กลับ ธนภพก็ไม่รู้ว่าจะชักแม่น้ำทั้งห้ายังไงดี เพื่อให้ซื่อหนานยอมนั่งรถไปกับเขา เพราะเพิ่งเป็นเพื่อนกัน เข้าเรียนปีหนึ่งกันทั้งคู่ ก็เลยต้องโกหกว่า รถของเขาเสีย เอาไปซ่อมที่อู่รถ ไหน ๆ จะต้องเสียค่าแท็กซี่ไปรับรถแล้ว ก็เลยไปส่งซื่อหนานด้วยเลยแล้วกัน

ซื่อหนานลังเลอยู่นานกว่าจะตอบตกลง สุดท้ายแล้วฝนก็ไม่ตก แถมรถก็ไม่เสีย ดีนะ ที่ซื่อหนานยอมที่จะไม่เชื่อเขา เลิกยืนกรานว่า จะให้เขาไปรับรถก่อน ไม่อย่างนั้น เขาจะไปรับรถจากอู่ไหนกันได้เล่า เกือบโดนจับได้ว่าโกหกแล้ว กับการอยากรู้ว่า บ้านของอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน

“หนานขอโทษจ้ะยาย” ซื่อหนานเอนตัวเข้ากอดเอวของยายเอาไว้ “ต่อไปหนานจะระวังมากกว่านี้” ผู้เป็นยายลูบหัวลูบหางหลานชายอย่างที่เคยทำมา เพื่อบอกถึงความรักและความหวังดีกับหลานคนนี้เสมอ “แม่เราน่ะ ตั้งแต่ตอนท้องเรา ยายได้ยินแม่เขาพูดเสมอว่า แม่เขาอยากเลี้ยงเราให้ดี ตามคติสี่คุณธรรม” ยายนั้นเล่าให้ซื่อหนานฟัง เกี่ยวกับเรื่องนี้บ่อย ๆ

“ศีลธรรม ปิยวาจา อรรถจริยา และฝีมืองานบ้านการเรือน” ซื่อหนานทวนสิ่งที่แม่ของเขาฝากเอาไว้จนขึ้นใจ “ของเหล่านี้นะลูก จะทำให้ตัวเรามีวิธี มีลู่ทาง ในการใช้ชีวิตได้อย่างดี ใครเจอก็นึกรัก นึกเอ็นดู มีเมตตากับเรา ทำไว้ไม่เสียหลาย ความมีคุณค่าในตัวเองมันสำคัญ เรามีน้อยในวันนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะมีเพิ่มเติมในวันข้างหน้าไม่ได้ แค่อย่าให้อะไร มาทำให้คุณค่าในตัวของเราลดน้อยลงก็พอ” ธนภพพอจะเห็นภาพแล้วว่า ซื่อหนานได้รับการอบรมเลี้ยงดู และเติบโตมาในครอบครัวแบบไหน

“แล้วนี่ไปเรียนได้ไม่กี่วัน มีเพื่อนใหม่แล้วรึเนี่ย” ยายถามด้วยรอยยิ้ม รู้สึกยินดีที่หลานมีเพื่อนกับเขาบ้าง “แถมใจดีด้วย” ธนภพฉีกยิ้มเมื่อได้ยินผู้ใหญ่ชม ซื่อหนานคิดถึงตอนที่ภพเอ่ยทักในวันเปิดเทอม ที่เขาคงดูเงอะ ๆ งะ ๆ ไม่รู้ทิศรู้ทาง

ธนภพเอง ตอบไม่ได้ว่ามันเป็นรักแรกพบอย่างที่เขาว่ากันมั้ย เพียงแต่ ตอนที่เห็นรายชื่อนักศึกษาเข้าใหม่ ซื่อหนาน ชื่อนี้ทำให้เขาอยากรู้ว่าเป็นคนไหน และเมื่อเห็นหน้าแล้ว อยู่ ๆ เท้ามันก็ออกเดินนำไป และปากก็เอ่ยทักคำว่าสวัสดี ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้น เขาเขินมาก ว่าถ้าซื่อหนานจะจับน้ำเสียงที่สั่น ๆ ของเขาได้แล้วล่ะก็ คงจะรู้ว่า ใจของเขาตอนนั้น เต้นรัวมากยิ่งกว่า

“อีกหน่อย เราก็คงจะไปทำกับข้าวให้แฟนกิน” ผู้เป็นยายลูบหน้าหลานชาย ผู้อาวุโสเองก็หวังใจว่า ซื่อหนานของยาย จะเจอกับรักที่ดี ๆ ไม่เหมือนกับแม่ของเขา “หนานจะทำไข่พะโล้ให้ยายกินคนเดียว” ซื่อหนานพูดจบก็หอมแก้มยายฟอดใหญ่ “แก้มเหี่ยว ๆ ของยาย จะไปสู้อะไรใครเขาได้” ยายพูดหยอกซื่อหนาน ก่อนจะเห็นรอยยิ้มอันสดใสของหลานชายเผยออกมา

“เหี่ยว ๆ แบบนี้แหละ หอมที่สุดแล้ว” ซื่อหนานรักยายของเขามากที่สุด ยายคือดวงใจของเขา ถ้าไม่มียาย ที่แม้แต่สายเลือดก็ไม่ใช่ ชีวิตของเขาคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้ ซื่อหนานรักแม่ของเขา ถึงแม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้าแม่สักครั้ง แต่ยายจ๋าสอนเสมอ ให้รักและเคารพหญิงผู้ให้กำเนิดเสมอ ความรักจะนำเราไปในที่ที่ดี ยายสอนให้ซื่อหนานเชื่อแบบนั้น ธนภพอยู่ ๆ ก็เกิดอิจฉาผู้อาวุโสขึ้นมา กับการหอมแก้มของซื่อหนาน

“ไอ้ภพ นี่มึงตามอาหนานไปถึงบ้านเลยเหรอ ไอ้โรคจิต” หนึ่งในเพื่อนของภพตะโกนด่าขึ้นมา หลังจากที่ภพเล่าเรื่องมาถึงตรงนี้ “ก็กูไม่รู้ว่าจะทำยังไงนี่หว่า” ธนภพท้วง ทำหน้าสำนึกผิดไม่ทัน ที่โดนเพื่อนคนอื่น ร่วมรุมประณามด้วย “มึงก็บอกอาหนานไปว่า ขอไปส่งที่บ้านหน่อยคร้าบ อย่างนี้ไง” อีกคนทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ประหนึ่งเป็นธนภพเสียเอง

“ใครจะไปกล้าวะ ถ้ากูกล้าขนาดนั้น พวกมึงคิดว่า กูจะรอจนจะเรียนจบอย่างนี้เหรอวะ” ธนภพพูด เพื่อน ๆ ที่พากันยี้เขาก่อนหน้า กลับต้องยอมรรับว่า ที่เขาพูดมาก็มีเหตุผลพอรับฟังได้อยู่ “กูกลัวไปหมด กลัวพวกมึงไม่เข้าใจกู กลัวที่บ้านกูรับไม่ได้ และก็ที่สำคัญ กูกลัวอาหนานไม่รักกู” ธนภพจำได้ดีว่า ในเวลานั้น เขากังวลไปหมด กลัวว่าทุกอย่างที่เขาหวังเอาไว้ จะล้มเหลวพังทลายลงมาพร้อม ๆ กัน

“แต่ทำไม ในกลุ่มมีกันตั้งหลายคน แต่ไอ้เอ็มมันถึงรู้ก่อนพวกกูได้ล่ะ” เพื่อนอีกคนในกลุ่มถามขึ้น ทุกสายตาตอนนี้เลยเบนไปที่เจ้าของชื่อ “เพราะกูเห็นตัวอย่างมาก่อนไง กูเห็นพฤติกรรมไอ้ภพ ที่อะไร ๆ ก็อาหนาน กูก็เลยตัดสินใจถามมันไปตรง ๆ พวกมึง” เอ็มหยุดพูดนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปว่า

“เรื่องนี้มันใกล้ตัวกูมาก กูเห็นจากเคสพี่อันน์ พี่กูเอง กูรู้ดี ว่าพี่กูต้องผ่านอะไรบ้างด้วยตัวคนเดียว กว่าจะทำให้คนยอมรับ กูก็เลยไม่อยากให้ไอ้เพื่อนที่แสนดีอย่างไอ้ภพของพวกเราเนี่ย คิดว่าโลกนี้ไม่มีใครเข้าใจมัน” เอ็มอธิบายให้เพื่อนฟัง และเป็นที่เอ็มนี่เอง ที่ช่วยให้เพื่อนทุกคนในกลุ่มยอมรับเรื่องข้อดีข้อเสียของเพื่อน มองข้ามรสนิยมที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ที่จะคบกันเป็นเพื่อน

“ไอ้ภพ มึงแผนเยอะขนาดนี้ อย่าบอกนะ ว่าตอนปีสอง เรื่องจัดกลุ่มทำรายงาน ก็ฝีมือมึงอีก” เพื่อนทุกคนหันขวับกลับมามองธนภพอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ สามารถเบนเข็มไปทางเจ้าเอ็มได้แล้วแท้ ๆ เชียว “ที่อยู่ ๆ อาจารย์ห้องเรา ก็มาบอกว่า ต่อไปให้ไอ้ภพเป็นคนจัดกลุ่ม แบ่งกลุ่มให้กับเพื่อนในห้องอ้ะนะ” อีกคนก็เพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นได้เช่นกัน ธนภพได้แต่ยิ้มแหย ๆ ช่วงนี้ดวงเรื่องเพื่อนของเขาน่าจะแย่ เพราะไอ้พวกนี้มันจับผิดเขาได้เยอะเกินไปแล้ว

“กูว่านะ ตอนปีหนึ่งเทอมสองแน่ ๆ ล่ะ ที่มีวิชาเรียนรวม แล้วไอ้เด็กหน้าหล่อสถาปัตย์นั่น มันมาเรียนด้วย ใช่มั้ยมึง ไอ้ภพ ไหน มึงมีอะไรแก้ตัวมั้ย มึงว่ามา” ธนภพได้แต่ทำหน้ายิ้มแหย ๆ พูดไม่ออก คาบเรียนนั้น เขาจำได้ดี เขากำลังจะหันไปบอกซื่อหนานว่า รายงานวิชานี้ ซื่อหนานอยู่กับเขานะ

แต่เพียงเสี้ยววินาที ที่คิดจะทำนั้น สิ่งที่ธนภพเห็น คือไอ้หนุ่มถาปัตย์ เอามือมาจับแขนของซื่อหนาน แล้วพูดเสียเสียงดังว่า จองซื่อหนานแล้ว ธนภพโกรธควันแทบออกหู แต่ไม่รู้จะพูด ไม่รู้จะห้ามยังไงดี จะอ้างสิทธิ์อะไรไม่ให้ซื่อหนานคบไม่คบกับใคร แถมไอ้เด็กถาปัตย์อะไรนี่ ยังลากแขนซื่อหนานไปลงชื่อกับอาจารย์ที่หน้าห้อง เสียเรียบร้อยเสร็จสรรพ

เทอมนั้นทั้งเทอม ธนภพหงุดหงิดกับการเข้าเรียนวิชานี้เสมอ ยิ่งเห็นซื่อหนานให้ความสนิทสนม เป็นกันเองกับเพื่อนใหม่ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขาโมโห ยังดี ที่ไอ้เด็กนั่นอยู่ ๆ ก็ต้องย้ายที่เรียนกะทันหัน หลังจากนั้น ธนภพเลยไปขอพบอาจารย์ ว่าเขาจะขอจัดการเรื่องคู่และกลุ่มรายงานนี่เอง

“แม่คร้าบ ลูกแม่ร้ายมากคร้าบ” เอ็มตะโกนฟ้องคุณนุจรี ที่ก็ได้ฟังลูกชายกับเพื่อนคุยกัน “ผมไม่น่าช่วยมันคิดแผนดูตัวเล้ย” เอ็มส่ายหัวให้กับธนภพ เพื่อนทั้งกลุ่มหัวเราะชอบใจกันเสียงดัง คุณนุจรีมองเห็นมิตรภาพของเพื่อน ที่ส่งผ่านออกมาจากกลุ่มเพื่อนของลูกชาย เธอก็เบาใจลงไปได้มาก

สิ่งที่เธอเป็นกังวลมากที่สุด ในฐานะคนเป็นแม่ คือลูกชายของเธอจะถูกทำร้าย ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม ความไม่เข้าใจในคนอื่น ในสิ่งที่คนอื่นเป็น สามารถนำพาความคิดให้คนเราทำร้ายกันได้อย่างป่าเถื่อนโหดร้าย อีกอย่างหนึ่งนั้น หนึ่งหนุ่มที่อยู่กำลังง่วนอยู่ในครัวตอนนี้ คุณนุจรีเชื่อว่า นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสิ่งหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในชีวิตของธนภพ ทั้งกลุ่มนั้น เรียนจบกันหมด รับปริญญากันแล้ว พร้อมที่จะออกไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเป็นและต้องการ แตกต่างกันไป ความทรงจำในสมัยเรียน คือสิ่งที่เป็นฐานเอาไว้ให้เด็กเหล่านี้ระลึกถึง และรวมใจกันเป็นกลุ่มก้อน

“ภพครับ” ซื่อหนานที่เยี่ยมหน้าออกมาจากครัว เรียกแฟนของตัวเอง “จ๋า” ธนภพตอบรับเสียงหวาน “มาช่วยหนานในครัวแป๊บนึงสิครับ” ซื่อหนานพูดเสร็จก็ผลุบกลับเข้าครัวไป “จ๋า จ๋าว่ะ” เพื่อน ๆ ต่างทำหน้าไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน “ตรงตามตำราเป๊ะ ไอ้ภพกลัวเมีย” ธนภพหันมาชี้หน้าเพื่อนเรียงตัว ว่าเดี๋ยวเขาจะจัดการกับไอ้เพื่อนพวกนี้ เรียงตัว

“ไหน หนานจะให้ภพช่วยอะไร” ธนภพเดินมายืนชะโงกหน้าชะโงกตา อยู่ด้านหลังซื่อหนาน “ได้ยินว่า ภพแผนเยอะเลยนะครับ” ซื่อหนานที่หันหน้ามาจากแกง ที่เขากำลังทำอยู่ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ซวยล่ะ ธนภพรู้แล้วว่าซื่อหนานได้ยินเข้าแล้ว “พะโล้อาหนานเนี่ย หอมจังเลย” ธนภพทำเฉไฉ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าใกล้กับใบหน้าของซื่อหนาน พลางทำจมูกสูดความหอม ฟอดใหญ่หลา ๆ ครั้งติดกัน ก่อนจะเห็นซื่อหนานยิ้มออกมา เขารู้ดีว่า อาหนานของเขาโกรธเขาได้ไม่นานหรอก

“พะโล้แบบโบราณ ใส่สามเกลอ ไม่ใส่เครื่องยาจีน ไม่ใส่ซีอิ๊วหวาน ใช้น้ำตาลปึกเคี่ยวแทน อย่างที่ภพชอบไงครับ” ซื่อหนานบอกกับภพ “ชิมให้หน่อย” ซื่อหนานบอกกับธนภพ “ได้เหรอ ตอนนี้เลยเหรอ” ธนพทำสายตากรุ้มกริ่มใส่แฟนของตัวเอง “ชิมพะโล้ครับ” ซื่อหนานพูด พยายามซ่อนยิ้มแต่ก็ทำได้ไม่ได้นัก “ก็ยังดี” ธนภพทำท่าทะเล้นใส่คนรัก ก่อนจะชิมน้ำแกงโดยสบตากับคนทำไปด้วย

“อร่อยจัง” ธนภพไม่รู้ว่า ทำไมก่อนหน้านี้ การจ้องหน้าหรือสบตากับซื่อหนาน ถึงเป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด อย่าว่าแต่จะแอบแต๊ะอั๋ง อีกฝ่ายแบบนี้เลย ทั้ง ๆ ที่ความต้องการนั้นพลุ่งพล่าน แต่ก็ไม่กล้าล่วงเกินซื่อหนาน เขากลัวว่าจะเสียซื่อหนานไปตลอดกาล จนเมื่อมันคงมาถึงเวลาสุกงอม แบบที่ผู้เฒ่าผู้แก่ว่าไว้แต่เก่าก่อนกระมัง ทุกอย่างจึงทำให้เขากับคนรัก ตกล่องปล่องชิ้นกันได้โดยบริบูรณ์

“ยายขอฝากอาหนานกับภพด้วยนะลูก หนักนิดเบาหน่อย อภัยให้กัน อาหนานมันไม่มีใครที่ไหน หมดยายไป ก็จะเหลือแต่ภพละนะ อย่าทอดทิ้งหลานยายนะลูกนะ” วันที่ธนภพพาพ่อกับแม่ไปที่บ้านของซื่อหนาน เพื่อทำพิธียกน้ำชาให้กับคุณยาย “ผมสัญญาครับยาย ผมจะดูแลอาหนานเป็นอย่างดี ผมขอบคุณยายนะครับ ที่ไว้ใจผมให้ดูแลอาหนาน”

ภพส่งถ้วยน้ำชาให้ยาย ก่อนจะก้มลงกราบที่ตักของผู้อาวุโส เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับซื่อหนาน เขาดีใจที่มีวันนี้ วันที่เขาสามารถอยู่กับคนที่เขารักได้อย่างเปิดเผย โดยมีครอบครัวให้พร และมีเพื่อน ๆ ให้กำลังใจ และมีซื่อหนานเป็นพละกำลังให้เขาในทุก ๆ วัน

“โอ๊ย แม่ครับ ไอ้ภพมันใช้แรงงานพวกผมหนักมาก พวกผมต้องการค่าแรง แม่ต้องเลี้ยงข้าวพวกผมแล้วล่ะครับ” เสียงเพื่อน ๆ ของภพทำเนียนจะขอข้าวกินฟรี “ขนาดนั้นเลยเหรอ” คุณนุจรีพูดกลั้วหัวเราะ “เอ้า ๆ มา ๆ แม่เลี้ยงข้าวพวกเราเอง” คุณนุจรีเรียกเพื่อน ๆ ของลูกชายให้มานั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน

“พะโล้มาแล้ว” ซื่อหนานบอกกับเพื่อน ๆ ขณะวางชามพะโล้ลงบนโต๊ะ เพื่อนทั้งหมดเรียกหาข้าวสวยกัน เพราะว่าตอนนี้ท้องร้องเสียงดังโครมครามไปหมดแล้ว “มีน้ำพริกกะปิ ปลาทูกับชะอมทอด ผักสด ผักลวก” ซื่อหนานบอกกับทุกคน เมื่อธนภพวางกับข้าวเพิ่มเติมบนโต๊ะ “เต็มที่เว้ยพวกมึง กินไม่อิ่ม พวกมึงไม่ต้องมาร้านกูอีก” ธนภพเปิดความป๋าใส่เพื่อน

“ไอ้ภพ มึงพูดเหมือนไม่รู้จักเพื่อน ๆ มึง” เอ็มพูดก่อนจะส่งผักสดจิ้มน้ำพริกใส่เข้าปากเคี้ยวกร้วม ๆ “ไม่พอบอกเราได้นะ” ซื่อหนานบอกกับเพื่อน ๆ ซึ่งตอนนี้ดูจะไม่ฟังอะไรแล้ว “อาหนาน พักได้แล้ว” ธนภพพูดกับซื่อหนานอย่างอ่อนโยน พลางดึงตัวอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ ๆ “ไอ้ภพ ไอ้พ่อบ้านใจกล้า” เสียงเพื่อน ๆ เอ่ยปากแซวเมื่อเห็นธนภพทำหวานใส่แฟน

“วันนี้วันหยุดร้านกู พวกมึงยังมาใช้แฟนกูทำกับข้าวให้ ยังมาขอข้าวแม่กูแดกอีก พวกมึงอย่ามาแซวกูมาก เดี๋ยวกูก็เปลี่ยนใจซะเลย” ธนภพโวยวายด่าเพื่อน เสียงเฮฮาดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ซื่อหนานกลับเข้าไปในครัว เตรียมสำรับน้ำพริกและไข่พะโล้ เพื่อเอาไปให้ยายคุณนุจรีฝากส้มให้ซื่อหนานเอาไปให้ยายด้วย เพราะรู้ว่ายายชอบ

ตอนนี้ร้านอาหารของภพและซื่อหนาน กำลังดำเนินไปด้วยดี มีกำไรมากพอ จะต่อเติมร้านและถือโอกาสทำห้องให้ยายด้วย เพื่อให้ยายย้ายมาอยู่ด้วยกันที่นี่ ด้านหน้าก็เป็นร้านอาหาร มีเนื้อที่รับลูกค้ากว้างขวาง ส่วนด้านหลังก็เป็นที่อยู่อาศัย คุณนุจรีก็มาช่วยดูลูกค้าระหว่างวัน ส่วนคุณพ่อของธนภพ ผู้ออกทุนทำร้าน ก็ยกร้านนี้ให้ทั้งคู่ เป็นของขวัญแต่งงาน

เวลาเรือนปัตนิและเรือนศุภะมาครองกัน คนเราแต่งงานแล้วมักจะตั้งตัวได้ มีทรัพย์สินพอกพูน ได้คู่ชีวิตเป็นถิ่นเป็นฐาน มีชีวิตและฐานะมั่นคงแข็งแรง ยิ่งถ้าดาวศุกร์ ๖ ที่มีความหมายเกี่ยวกับความรักเป็นมหาอุจด้วยแล้ว เรื่องทรัพย์เรื่องรักย่อมมีอิทธิพลแก่คู่นั้น ๆ



*****************************

https://www.youtube.com/watch?v=qXji_FykSKc


เธอรู้ไหม ว่าเธอคือคนคนเดียวที่สำคัญ

เธอได้ทำให้ชีวิตฉันมีความหมาย

เธอรู้ไหม ว่าฉันมีคำคำหนึ่งในหัวใจ

เก็บเอาไว้ในใจเรื่อยมาไม่กล้าบอกเธอ

ฉันก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

เจอหน้าเธอทีไรมันพูดไม่ออกซักที

ตอนที่คิดในใจ มันง่ายกว่านี้

เป็นอย่างนี้ได้ยังไง

แค่คิดถึงคำนั้น ใจมันก็เต้นรัว

กลัวว่าเธอไม่คิดอย่างฉัน

ได้แต่เขียนเก็บเอาไว้ ใจความสำคัญ

รักแต่ไม่กล้าบอกว่ารัก

เธอรู้ไหม ฉันได้แต่คอยนับคืนนับวัน

อยากบอกความในใจของฉันให้เธอเข้าใจ

เธอรู้ไหม ฉันเตรียมถ้อยคำดีดีไว้มากมาย

แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงสักที

แค่คิดถึงคำนั้น ใจมันก็เต้นรัว

กลัวว่าเธอไม่คิดอย่างฉัน

ได้แต่เขียนเก็บเอาไว้ ใจความสำคัญ

รักแต่ไม่กล้าบอกว่ารัก

ได้แต่เขียนเป็นจดหมาย

เพราะรู้ว่าง่ายกว่า สบตาแล้วบอกว่ารัก
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๒ ปัตนิ - ศุภะ (คู่ครองครองคู่)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 22-04-2022 20:06:59
 :hao3: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๓ ตนุ - มรณะ (ตัวตนบนความเปราะบาง)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 23-04-2022 19:09:49

๑๓.



ตนุ - มรณะ (ตัวตนบนความเปราะบาง)





ประตูไม้นั้นถูกเท้ายันเอาไว้ ให้เปิดอ้าออก ก่อนจะมีเสียงจานสังกะสีตกลงบนพื้น ด้าจก์ซายลืมตาขึ้นจากแสงที่ลอดเข้ามาตามรอยแตกของไม้กระดาน เขาดันตัวขึ้นจากพื้น บริเวณที่ใช้นอน กะพริบตาอยู่หลายที เพื่อปรับสายตาให้มองเห็นภาพเบื้องหน้า เมื่อเวลาส่วนใหญ่ ซายต้องอยู่แต่ในความมืด จานสังกะสีที่ตกอยู่ตรงหน้า มีข้าวผสมน้ำเหลืออยู่ติดจานน้อยกว่าครึ่ง ที่เหลือกระเด็นตกอยู่รอบ ๆ

ซายใช้มือกวาดเศษข้าวบนพื้นขึ้นใส่จานให้ได้มากที่สุด ก่อนจะหยิบมันใส่เข้าปากรีบเคี้ยวกลืนลงคอ ซายกำลังหิวโซ เนื่องจากอาหารที่ให้ ไม่ได้มีเวลาแน่นอนตายตัว เมื่อไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะมีข้าวตกมาถึงท้องอีก การทำให้ท้องอิ่มจึงเป็นไปตามสัญชาตญาณ คนที่เอาอาหารมาโยนนั้น สบถหยาบคายอะไรบางอย่างใส่ซาย ก่อนจะเดินถือโซ่คล้องออกไปที่ด้านนอก

ที่หน้าประตูห้องขังเดี่ยวนั้น นายทหารหนุ่มไทยยืนมองเข้ามาอย่างเงียบ ๆ คนที่ถูกขังอยู่ข้างในเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรัง ร่างกายผ่ายผอมลงไปมาก จากเมื่อตอนที่ได้พบกันในป่าวันนั้น กับเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ซายเงยหน้าจากจานข้าว มองไปที่ประตู เขาเห็นนายทหารหนุ่มคนนั้น ในวันนั้น

แมทรู้สึกเกลียดตัวเอง ที่ต้องตัดใจวิ่งจากมา โดยมีซายยืนมองนายทหารชาวอังกฤษคนนั้น วิ่งหายเข้าลับแนวต้นไม้หนาทึบนั้นไป ซายน้ำตาไหลลงมาอาบทั้งสองแก้ม ความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ ประดังประเดถาโถมเข้าใส่จนรับมือกับมันไม่ไหว ซายหันหลังกลับมา ก็เจอนายทหารไทยยืนรอเขาอยู่แล้ว

ซายพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล แต่มันก็ทำไม่ได้ ในใจตอนนี้เจ็บไปหมด หัวสมองตื้อตัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาต่อจากนี้ นายทหารหนุ่มมองมาที่ซายด้วยใบหน้านิ่ง เรียบเฉย มีทหารแดนอาทิตย์อุทัยจำนวนมาก วิ่งตามกลุ่มทหารอังกฤษเข้าไปในป่าลึก ซายเห็นนายทหารญี่ปุ่นยศสูงกว่าคนหนึ่ง มาหยุดจ้องหน้านายทหารหนุ่มไทย ด้วยสายที่ไม่เป็นมิตรนัก

“เอาตัวไป” จนนายทหารไทยต้องออกคำสั่งทหารที่เขานำมา เข้าควบคุมตัวซาย ซายถูกผลักจนกระเด็นไปข้างหน้า ด้วยไม่ทันระวังตัว ขาทั้งสองจึงขัดกันเองจนล้มหน้าทิ่มลง ทหารต่างภาษาส่งเสียงด่าดังลั่น ก่อนจะใช้เท้ายันเข้าที่ท้องของซาย พลางทำท่าให้ซายลุกขึ้นโดยเร็ว นายทหารหนุ่มไทยมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาขบกราม กำหมัดแน่น

“ผู้กองภาคย์ หวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นนะ” เสียงนายทหารต่างชาติ พูดภาษาไทยด้วยสำเนียงแปร่ง ๆ “ครับท่าน” ภาคย์รับคำสั่ง ก่อนจะเห็นซายหยัดตัวขึ้นยืน แม้จะเจ็บจนจุกไปหมด หายใจแทบไม่ออก แต่ซายก็ฝืนเดินต่อไป ใบหน้ายังคงเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ผ้าที่ใช้โพกหัวคลายปมของมันจนหลุดลง เผยให้เห็นผมยาวดำขลับของซาย ที่ม้วนเป็นมวยผมไว้ด้านหลัง

“คนพวกนี้ ไม่มีเหตุผลให้กองทัพที่เกรียงไกรต้องปรานี มันจะต้องได้รับโทษอย่างสาสม” ผู้กองภาคย์รู้ดีว่า นี่เหมือนเป็นคำสั่งโดยตรงมาถึงเขา เมื่อพิจารณาแล้ว ตัวเล็กแบบนี้ จะอยู่รอดไปได้อีกสักกี่วัน กับวิธีปฏิบัติที่ป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรมที่ผู้กองเคยได้เห็นมา

เมื่อมาถึงค่าย ซายถูกโยนลงไปนอนกองกับพื้น ผ้กองภาคย์พูดทักท้วงว่า เมื่อเป็นคนพื้นที่ ก็ต้องให้ทางไทยเป็นผู้จัดการ แต่คำทักท้วงนั้นไม่เป็นผล ทหารเหล่านั้นพูดเป็นภาษาไทยด้วยความกระท่อนกระแท่น ให้ผู้กองภาคย์ไปเสียให้พ้น วิธีการจัดการคนอย่างซาย เป็นเรื่องของพวกเขาเอง โดยยกเอานายพล ที่ออกคำสั่งกับผู้กองภาคย์ก่อนหน้านี้ ขึ้นมาอ้าง ผู้กองภาคย์ทำได้แค่เพียงเดินออกมาจากที่ตรงนั้น

ซายลากเท้าที่มีโซ่ล่ามข้อเท้าเข้ามาใกล้ตัว เขานั่งอยู่ตรงนี้ตามลำพังมาครู่ใหญ่ ๆ จนได้ยินเสียงที่ด้านนอกห้อง มีทหารต่างชาติสามคนเดินเข้ามา ทั้งหมดหน้าแดงก่ำไปด้วยฤทธิ์เหล้าต้ม ทั้งหมดมองมาที่ซายด้วยสายตาแปลก ๆ ซายขยับตัวไปทางด้านหลัง แต่ก็ต้องพบว่า มันมีที่เหลืออยู่ไม่มาก และตอนนี้หลังของเขาชนเข้ากับผนังห้องแล้ว

หนึ่งในจำนวนนั้น เดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ซาย เขาขยับหนี ก่อนที่อีกคนจะเดินมาดึงตรวน แล้วลากซายให้ออกห่างจากผนัง ซายร้องออกมา ทั้งตกใจทั้งกลัว เมื่อตัวของเขาล้มลงนอนหงายกับพื้น มือใครอีกคนยื่นมาปลดมุ่นผมของเขาออก ผมของเขาแผ่สยายออก เสียงคำรามในลำคอ ที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ ดังขึ้นรอบ ๆ ตัวของซาย

ซายร้องออกมา พยายามขยับตัวหนี แต่มีสองมือมาจับไหล่ของเขากดลงกับพื้น อีกสองมือจับเข้าที่ข้อเท้าของเขา ซายส่งเสียงร้องสั้น ๆ ออกมา พยายามดิ้นรนให้ตัวเองหลุดออกจากการควบคุมนี้ แต่มันก็ดูจะไม่เป็นผล เสียงหัวเราะชอบใจผสมกับกลิ่นเหล้าและกลิ่นเหงื่อ ที่น่ารังเกียจ ดังอยู่ใกล้ที่ข้าง ๆ หู ซายเบี่ยงหน้าหลบ ก่อนจะมีมืออีกสองมือพยายามจะแก้ผ้าผูกเอวของเขาออก

ซายร้องออกมาจนสุดเสียง น้ำตาไหลพราก พยายามดิ้นจนสุดแรง เพื่อให้พ้นไปจากตรงนี้ แต่ก็เหมือนจะไม่มีใครหลงเหลืออยู่ ให้มาช่วยเขาได้แล้ว ในหัวมีแต่เสียงกรีดร้องว่าไม่เอา นี่มันไม่ใช่ความจริง กับการต้องถูกกระทำย่ำยีกันแบบนี้ ซายถูกเข่าของพวกนั้นกดหน้าเขาลงกับพื้น ข้อมือทั้งสองถูกรวบไปจับไว้ที่ด้านบนศีรษะ ผ้าที่ผูกเอวเอาไว้ กำลังคลายตัวเองออก น้ำตาของซายไหลออกมาเป็นสาย ภาพของนายทหารช่างแมทแล่นเข้ามาให้เห็นจากความทรงจำ

เสียงคลิกของการขึ้นไกปืน ที่ดังขึ้นด้านหลังทหารทั้งสามคน ที่ถูกฤทธิ์น้ำเมาทำให้คิดเลว ต้องหยุดสิ่งที่กำลังพยายามทำอยู่ ปากกระบอกปืนถูกกดลงไปที่หัวของหนึ่งในทหารนั้น ทหารที่แพ้ต่อด้านชั่วของตัวเองหันมามอง ผู้กองภาคย์พูดเตือนว่า ระยะแค่นี้ เขาไม่พลาดแน่ ๆ ทหารพวกนั้น มองไปเห็นทหารไทยอีกสองคน เล็งปืนพร้อม ก็จำต้องยอม ทั้งหมดยอมเดินออกไป แบบไม่โวยวายอะไร

ซายรีบรวบกางเกงที่หลุดลุ่ยของเขาขึ้นมาใส่จนเรียบร้อย ยกเข่าทั้งสองมากอดแนบตัวเองไว้ เหมือนเป็นที่พึ่งให้ได้โล่งใจ ว่าภัยอันตราย มันได้จากไปแล้ว ซายมองไปที่นายทหารหนุ่มไทย ด้วยสายตาขอบคุณ เป็นที่ผู้กองภาคย์ ที่รู้สึกสังหรณ์ใจ รู้สึกไม่ดีอย่างประหลาด จึงได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะเข้ายุติการกระทำของพวกทหารพวกนั้นได้ทัน แต่ผู้กองภาคย์ก็รู้ดี ว่าแค่นี้ยังไม่จบเรื่อง ซายอย่าเพิ่งรีบขอบคุณเขา เขาต้องทำให้เหตุมันเกิด จนเขามีอำนาจควบคุมสถานการณ์ได้

ผู้กองภาคย์กึ่งดึงกึ่งลากซายมาที่หน้าคุกขังเดี่ยว ก่อนจะประกาศให้รับรู้กันจนทั่วค่ายว่า ด้าจก์ซายจงใจทำร้ายเขา และนั่นเป็นความผิดร้ายแรงต่อนายทหารท้องถิ่น เขาจึงมีอำนาจของนายทหารบัญชาการ สั่งคุมขังผู้กระทำผิด จนกว่าจะสาสม ผู้กองภาคย์จำต้องจับตัวของซายโยนเข้าห้องขังไป เพื่อให้สมจริง ส่วนพวกทหารสามคนนั้น นายทหารหนุ่มไทยมั่นใจว่า พวกนั้นไม่กล้ารายงานนายพลของตัวเองอย่างแน่นอน กับสิ่งที่พวกมันตั้งใจจะทำ

เสียงโซ่ล็อกประตูจากด้านนอกเงียบเสียงลง ด้าจก์ซายกลับมาอยู่ในความมืดอีกครั้ง นานแค่ไหนแล้ว เขาเองก็จำไม่ได้ ที่ถูกขังเอาไว้ในนี้ แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะรอดจากน้ำมือทหารพวกนั้นได้ วิธีของผู้กองภาคย์ อย่างน้อยก็ช่วยให้ซาย ไม่เสี่ยงกับพวกเลวชาติชั่วนั่น พอได้กลับมาอยู่ในความมืด ความเงียบและวังเวงในจิตใจก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อไหร่กัน ที่ความทรมานอันยาวนานนี้ มันจะสิ้นสุดลงเสียที

ในคืนนั้น มีเสียงเอะอะด้านนอก ก่อนจะมีเสียงระเบิดลงที่ไม่ไกลกันนัก เสียงหวอแจ้งเหตุดังลั่นสนั่นไปหมด ซายได้ยินคนวิ่งไปวิ่งมาด้านนอก มันดูโกลาหลไปหมด เสียงระเบิดดังขึ้นอีกหลายลูก ก่อนที่บริเวณนั้นจะเงียบลงอีกครั้ง ซายไม่รู้ว่าจะทำยังไง ความเงียบในตอนนี้ น่ากลัวกว่าเสียงอึกทึกก่อนหน้านี้เสียอีก

“รีบออกมา เร็วเข้า” เสียงออกคำสั่ง พร้อม ๆ กับที่ประตูถูกเปิดออกอย่างแรง “เร็วเข้า” ผู้กองภาคย์ส่งเสียงออกไปอีกรอบ ซายยันตัวลุกขึ้น ความรู้สึกประปลกประเปลี้ย แต่ในใจกลับรู้สึกถึงความหวังอย่างประหลาด ผู้กองภาคย์เดินนำซายผ่านภาพสงครามอันน่าสะพรึงกลัว ไฟที่ไหม้อยู่ทั่วบริเวณ กลิ่นดินปืน กลิ่นน้ำมันคลุ้งอวลอยู่ในอากาศ

ผู้กองภาคย์ฉวยจังหวะ ที่ค่ายนี้โดนโจมตีทางอากาศ จนบรรดานายพลและเหล่าทหารของกองทัพต่างชาติอันเกรียงไกร พากันไปรวมพลกับอีกค่ายที่อยู่ไกลออกไป เขาจึงตัดสินใจรีบมาปล่อยให้ซายเป็นอิสระ

“ขึ้นรถ” ซายอ่านริมฝีปากของผู้กองภาคย์ “ขึ้นมาสิ รออะไร” ผู้กองภาคย์เสียงเข้มใส่ด้าจก์ซายที่กำลังงง ว่าผู้กองหนุ่มไทยจะพาเขาไปไหน พอซายขึ้นไปนั่งบนรถทหารลายพราง ผู้กองภาคย์ก็ออกรถไปในทันที ผู้กองขับรถลุยออกไปตามถนน สภาพดี ก่อนจะลัดเลาะเข้าสู่เส้นทางที่ต้องใช้ความชำนาญในการขับเป็นพิเศษ นายทหารหนุ่มไทยดับไฟหน้ารถลง ตอนนี้ในความมืดมิดของรัตติกาล มีเพียงเสียงเครื่องยนต์กับเสียงหัวใจเต้นแรงเท่านั้น ที่ซายได้ยิน

ด้าจก์ซายลืมตาตื่นขึ้น หลังจากหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แสงแรกของวันมองเห็นได้อยู่ลิบ ๆ ที่ขอบฟ้าไกล ซายยันกาย ผู้กองที่ขับรถมาตลอดทั้งคืน ดูอิดโรย ผู้กองภาคย์พารถลัดเลาะมาตามทางหินกรวดเล็ก ๆ จนโผล่ออกมาเห็นแม่น้ำด้านหน้า ผู้กองจอดรถไม่ไกลจากริมน้ำ เสียงเครื่องยนต์รถดับลง ผู้กองหนุ่มหันมามองซาย ซึ่งตอนนี้แววตามีแต่ความกังวลใจ ซายเห็นผู้กองลงจากรถแล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลัง

“ลงมา” ผู้กองหนุ่มบอกกับเขา “เอานี่ แล้วไปซะ” ผู้กองยื่นย่ามสะพายใบหนึ่งให้ ซายก้มดู ในนั้นมีเสบียงพอให้เขาได้ใช้ไปอีกหลายวัน ซายค่อย ๆ ก้าวลงจากรถ พอจะเข้าใจเจตนาของผู้กองภาคย์แล้วว่า ที่ขับรถมาไกลมากทั้งคืนนี้ เพราะอะไร ซายมองเห็นแพลอยอยู่ในน้ำ ด้านล่างนั้นมีคนรอที่จะช่วยพาเขาข้ามแม่น้ำไปฝั่งด้านโน้น

“แล้วก็นี่” ผู้กองภาคย์ยืนซองจดหมายปึกใหญ่ให้กับซาย เขารับมาถือไว้ในมือ ผู้กองภาคย์พยักหน้าให้ ซายเปิดซองหนึ่งขึ้นดู ด้านในมีรูปแนบอยู่ด้วย ซายหยิบรูปนั้นมาถือเอาไว้ในมือ น้ำตารื้นขึ้นจนล้นไหลอาบแก้ม ซายยกรูปของแมทพร้อมซองจดหมายเหล่านั้นขึ้นแนบเอาไว้ที่กลางอก ก่อนจะปล่อยเสียงสะอื้นไห้ออกมา

ความรู้สึกของซายในตอนนี้ มันมีทั้งความเสียใจ ความรู้สึกสุขใจ มีทุกข์ เกิดอิ่มเอม พร้อมอารมณ์หวาดหวั่น และดีใจไปกับอิสระที่ได้รับ อิสระที่จะโบยบินไป ได้รักใครสักคนสมดั่งใจ และที่สำคัญ ใครคนนั้นยังคิดถึง ไม่ได้ลืมกัน

“ฉันช่วยแกได้เท่านี้” ผู้กองภาคย์พูดกับซาย ก่อนจะไล่ให้ซายไปที่แพได้แล้ว ผู้กองหนุ่มไทยเดินกลับมานั่งบนรถ “ฉันอิจฉาความกล้าหาญของแกนะ” ภาพด้านหน้า ซายก้าวลงไปบนแพ ก่อนที่แพนั้นจะค่อย ๆ ถูกดันให้ลอยห่าง ไกลออกจากฝั่งไปเรื่อย ๆ

ลมเย็น ๆ พัดเข้ามากระทบใบหน้าของด้าจก์ซาย น้ำตาที่นองหน้าแห้งลง ซายหันกลับไปมองด้านหลังที่ฝั่งโน้น รถของผู้กองภาคย์ไม่อยู่แล้ว คนแพถ่อกลับไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อซายข้ามมาถึงอีกฝั่งหนึ่ง ผืนน้ำล้อแสงแดดระยิบระยับ เมื่อยามสายมาถึง ใบไม้ลู่ไปตามลม ความเงียบสงบโปรยตัวลงมาจนทั่วบริเวณ เมื่อที่ริมน้ำนั้น ว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของสักคน

ชื่อของด้าจก์ซาย คนที่เคยเก็บนำผึ้งป่าไปขาย ค่อย ๆ เลือนหายจากความทรงจำของผู้คน เป็นไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงเสมอ เหมือนกับว่าเขาไม่เคยมีตัวตนมาตั้งแต่แรก ไม่มีใครรู้ต้นกำเนิด ไม่มีใครรู้จุดลงท้าย วันเวลากลืนให้เขากลับไปเป็นส่วนหนึ่งของการลืม ลืมว่าครั้งหนึ่งเคยมีเขาอยู่

ยามที่เรือนตนุหรือเรือนตัวตน ตกมรณะ ความไร้ญาติขาดมิตร ชีวิตที่ไม่มีถิ่นกำเนิด จึงเป็นเรื่องให้พบเห็น เป็นเหตุให้ต้องหลบเร้น ซ่อนตัว โยกย้ายหายจาก และเลือนหายไปจากผู้คน ถ้าเขาจะยังมีตัวตนอยู่ที่ไหนสักแห่ง คงเป็นพื้นที่ในความทรงจำของคนที่ได้พบ ได้รัก ได้ชิดใกล้ เป็นที่ที่พิเศษ มีเพียงแต่เขาและคนที่เขารักเท่านั้น ที่จะรับรู้ได้

ผ่านวัน เป็นเดือน เคลื่อนปี คนที่รอมีภาพของคนที่จากไป ประทับแน่นอยู่ภายในใจ ไม่อาจลบเลือน การรอคอยที่แสนยาวนาน อ้อมอกอันอบอุ่นนั้น ไอรักแนบสนิทที่เคยสัมผัสผ่านกาย ไออุ่นที่ทำทำให้ความรู้สึกหวามไหว ล่องลอย เก็บภาพความทรงจำของใครคนนั้นไว้ ให้หัวใจบันทึกใครคนนั้นเอาไว้ ให้คงอยู่ตรงนี้ ไม่จางหาย

ค่ำคืนใต้พระจันทร์เพ็ญ แมทมองตามร่างเล็ก ๆ ของด้าจก์ซาย กำลังเดินไปที่ริมน้ำ แสงจันทร์นวลต้องผิวสีน้ำผึ้งที่เปลือยเปล่านั้น ซายหย่อนปลายเท้าด้านหนึ่งลงไปในน้ำ ก่อนที่จะปล่อยให้อีกข้างหนึ่งตามลงไป น้ำในคืนนี้ใสเย็น ซายเดินลึกลงไปในลำธาร จนระดับน้ำปริ่มพ้นขึ้นมาที่เหนือสะโพกเล็กน้อย

แมทปลดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายของตัวเองลง สาตาของเขาจับจ้องไม่ให้คลาด อยู่ที่ความงามด้านหน้า ที่ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ นายทหารหนุ่มชาวอังกฤษ พาร่างของตัวเองลงไปในน้ำ น้ำแม้จะเย็น แต่ความรู้สึกของเขาตอนนี้รุ่มร้อนดั่งไฟ นายช่างหนุ่มเดินตัดกระแสน้ำ มาจนทันคนตัวเล็กกว่าด้านหน้าเขา

แมทมองผมดำขลับที่ถูกรวบขึ้นไปมุ่นเป็นมวยผมไว้ด้านหลัง มีปอยผมเล็ก ๆ บางส่วนรุ่ยลงมา แมทวางมือของเขาลงบนไหล่ทั้งสองข้างของซาย เจ้าของไหล่ตัวสั่นหน่อย ๆ เป็นการปลอบประโลม แมทฝังจมูกลงที่ผมของซาย ดอมดมกลิ่นหอมที่เหมือนดอกไม้นั้น เจ้าของผมดำขลับหลับตา สูดลมหายใจเข้าจนลึก

แมทขยับตัวของเขาเข้าแนบชิดกับแผ่นหลังของซาย แมทเลื่อนใบหน้าของเขามาที่เรียวคอของอีกฝ่าย เขาหลับตาบรรจงแตะริมฝีปากลงไป แล้วเม้มขบริมฝีปากเบา ๆ ลงบนคอนั้น ลิ้มรสชาติรัญจวนใจ หอมหวานราวกับน้ำผึ้งแมทโอบแขนทั้งสองข้างรอบตัวของซาย เขารั้งเอวของซายให้ขยับแนบชิดไปกับลำตัวของเขา ร่างที่อยู่ด้านหน้าเขาผ่อนตัว ทิ้งน้ำหนักลงมาบนแผงอกของเขา

ด้าจก์ซายเอียงหน้าหันมาทางแมท นายช่างหนุ่มชาวอังกฤษโน้มใบหน้าเข้าหา อดไม่ได้ที่จะจุมพิตเบา ๆ ลงที่หน้าผากของอีกฝ่าย แมทปล่อยให้ความตื่นตัวของเขาบดเบียดเข้ากับสะโพกของซาย ทุกครั้งที่ซายขยับตัวสัมผัสความหนุ่มแน่นที่ชูชัน มันทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว แมทใช้มือซ้ายของเขาเข้าประคองด้านขวาลำคอของซาย ก่อนจะลากมือผ่านเนินอกของซาย ไล่เลื่อนลงมาถึงท้องน้อย และลึกล้ำลงไปสัมผัสที่ใต้น้ำนั้น

แมทกดจมูกของเขาลงเบา ๆ ที่ไหล่ของซาย ก่อนจะจูบไล่ลงมาจนถึงรอยปานสีแดงเรื่อ ยาวเป็นปื้นลากลงมาที่สะบักซ้าย พร้อม ๆ กับที่เขาเลื่อนมือของซายให้มาจับต้องความแข็งแกร่งของเขา ซายผ่อนลมหายใจออกมาหนัก ๆ ก่อนจะเลื่อนมือของตัวเอง ตามจังหวะการเลื่อนมือของแมทด้วยเช่นกัน

แมทจ้องมองใบหน้าที่แสดงออกถึงความถวิลหาของซาย ด้วยสายตาโลมเล้า ริมฝีปากของซายที่เผลอเผยอขึ้น ดูเย้ายวนในความรู้สึก เกินต้านทาน แมทกดริมฝีปากของเขาทาบทับกับซาย ชิมรสที่หวานกว่าน้ำผึ้งป่า ที่เขาเคยลิ้ม ผิวขาวของนายช่างแมทตัดกับผิวสีน้ำผึ้งของซาย เสียงลมหายใจหนักหน่วงจากทั้งสองคนดังขึ้น สอดรับประสานกัน

ภายใต้คืนเพ็ญ แสงจันทร์สีนวล อาบไปทั่วผิวน้ำ หิ่งห้อยนับร้อยขยับเปล่งแสงอวดสู้แสงจันทร์ เหนือทิวไม้แทนแสงดาว ประหนึ่งแสร้งว่า คือการอวดอ้าง สู้ไฟร้อนที่กำลังลุกโชนโหมกระพือของคนทั้งคู่นั้น

ความทรงจำที่ถูกนำมาฝากไว้ทางฟากแม่น้ำฝั่งนี้ ยังคงรอคอยใครคนนั้นให้กลับมาหา สัญญาที่ให้ไว้ ยังคงอ้อยอิ่งมองหาใครคนนั้น ตามคำสัญญา



ใครบางคนตั้งใจว่าจะมาเจอ และใครอีกคนรอคอยที่จะได้พบหน้าอีกสักครั้ง



************************

https://www.youtube.com/watch?v=M7ovvi6UdcI



ลมอ่อนพัดโชยมา น้ำตาก็ไหลริน เหลือเพียงกลิ่นหัวใจ คลุ้งไปกับความเหงา รักยังไม่จางไป ตรึงติดชิดดวงใจ ยังหอมรัญจวนชวนให้ฝัน เคยแอบแนบเคียงกาย อิงแอบ มิรู้คลาย ใต้เงาของแสงจันทร์ เย้ายวนไม่เลือนหาย ซ่อนเก็บไว้ข้างใน ตรงสุดลึกดวงใจ ถนอมเธออยู่ในนั้น คงไว้ได้แค่กลิ่นที่ไม่เคยเลือนลา ยังหอมดังวันเก่ายามเมื่อลมโชยมา ทิ้งไว้เพียงอดีตที่ไม่เคยหวนมา ซ่อนเธอไว้ในใจ เจ้าดอกไม้ซ่อนกลิ่น หอมบาดลึกเกินใคร หอมเกินหักห้ามใจ ทุกคราวต้องหวั่นไหว ร้อยเก็บเจ้ามาลัย ทัดเธอไว้ในใจ เพื่อคงกลิ่นหอมไว้อย่างนั้น เคยแอบแนบเคียงกาย ซ่อนเธอไว้ในใจ ทิ้งไว้เพียงอดีตที่ไม่เคยหวนมา ซ่อนเธอไว้ในใจ
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๓ ตนุ - มรณะ (ตัวตนบนความเปราะบาง)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 23-04-2022 19:25:33
 :z10: :n1:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๔ มรณะ - ปัตนิ (ลมหายใจของกันและกัน)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 24-04-2022 19:17:52
๑๔.



มรณะ – ปัตนิ (ลมหายใจของกันและกัน)





“ผมว่า ผมควรจะให้คุณกับลูก ได้พักผ่อนดีกว่า” ไมโลพูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ที่ประตูด้านหลังบ้าน หลังจากที่เขาเพิ่งช่วยเธอเก็บของที่ซื้อมาจากตลาด เข้าตู้เก็บจนเรียบร้อย “จริง ๆ คุณน่าจะย้ายมาอยู่ในบ้านกับพวกเรานะคะ” หญิงสาวพูดกับเขา เธอเคยให้เหตุผลว่า กระท่อมเล็ก ๆ ถัดไปไม่ไกลจากบ้านของเธอ ที่ไมโลอาศัยอยู่นั้น มันไม่ได้มีความสะดวกสบายอะไรเลย

“ผมอยากให้คุณและลูกได้มีความเป็นส่วนตัวมากกว่านะ” ไมโลปฏิเสธอย่างสุภาพ ซึ่งเขาก็รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ “คนท้องก็อยากจะมีพื้นที่มากมายไว้ทำธุระ ผมว่านะ” ไมโลยิ้มให้กับเธอ “อีกอย่าง ผมกับคุณเราไม่ได้เป็น” ไมโลไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องดี ที่เขาจะย้ายเข้ามาที่นี่ “คำตอบของคุณคงจะเปลี่ยนไป ถ้านี่เป็นลูกของคุณ” หญิงสาวรู้สึกน้อยใจ เมื่อความเป็นจริงนี้ มันช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน

“แคลร์ คือว่าผม” ความจริงที่ว่า คือไมโลเห็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหญิงสาว เขาจึงรับว่าเป็นพ่อขอเด็กในท้องให้เธอ แต่ความต้องการของแคลร์ที่มากไปกว่านี้ ไมโลไม่สามารถมอบให้เธอได้จริง ๆ “ฉันเข้าใจค่ะ ไมโล ฉันรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้” แคลร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเศร้า “คุณได้มอบหัวใจของคุณให้ใครบางคนไปแล้ว” ไมโลตวัดสายตาขึ้นมองแคลร์ ด้วยความหวั่นใจ

“คุณไม่ผิดหรอกค่ะ คุณควรได้รักคนที่หัวใจของคุณต้องการ” แคลร์ยิ้มให้กับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ที่แม้เธอจะคิดว่า เขาต้องเป็นพ่อได้อย่างดีเยี่ยม “ฉันแอบได้ยินคุณพูดถึงเขา” เธอสารภาพ “เขาคงน่ารักมากสินะคะ เขาถึงขโมยหัวใจของคุณไปได้นานแล้ว และคุณก็ยังซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวคุณเองกับเขา” แต่ไมโลคงเป็นคนรักของใครคนนั้นได้ดีเยี่ยมยิ่งกว่า

“ผมเสียใจ แคลร์” ไมโลพูดกับหญิงสาวด้วยความรู้สึกในใจ แคลร์เป็นผู้หญิงที่ดี เธอแค่เจอกับคนที่หลอกลวง จนเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมาเจอกับเรื่องแย่ ๆ ในชีวิต ไมโลได้ยินคำพูดของแคลร์แบบนั้น “ผมขอบคุณที่คุณไม่รังเกียจผม” ไมโลรู้สึกโล่งใจ ที่อย่างน้อย เขาก็ไม่รู้สึกเดียวดายนักบนโลกใบนี้ “ไม่เลยค่ะ” แคลร์ตอบ ยิ้มให้กับไมโล

“แต่ คุณสัญญากับฉันแล้วนะ ว่าจะช่วยเลี้ยงเจ้าตัวเล็กนี่” แคลร์พูด เรื่องลูก ก็พอจะทำให้เธอพอจะมีเสียงหัวเราะเกิดขึ้นในชีวิตได้บ้าง “ยินดีครับ คุณผู้หญิง” ไมโลเอง ก็ตั้งใจที่จะเลี้ยงเด็กที่กำลังจะเกิดคนนี้ ให้ดีที่สุด ให้เขาเข้มแข็งในตัวเอง เติบโตไปในทางที่สมควร แคลร์เองก็ใกล้คลอดแล้ว ไมโลอยากให้การคลอดเป็นไปด้วยดี และให้การช่วยเหลือดูแลหญิงสาว หลังจากที่เธอคลอด อย่างดีที่สุด

“สงสัยจะเป็นตัวแรคคูนเหมือนกับเมื่อคราวก่อน” เสียงของอะไรหล่นดังมาจากทางกระท่อมของไมโล เขาคิดว่า คงจะเป็นตัวอะไรสักอย่างมาคุ้ยหาอะไรกินอีกตามเคย “คุณไปดูเถอะค่ะ” แคลร์บอกกับชายหนุ่ม กล่าวราตรีสวัสดิ์ ก่อนที่เธอจะปิดประตูลง ไมโลกล่าวตอบราตรีสวัสดิ์เธอไป เขาตรวจดูให้มั่นใจว่า ประตูลงกลอนแน่นหนาดีแล้ว ก่อนจะหันหลัง เดินกลับไปที่กระท่อม ไมโลสังเกตเห็นประตูกระท่อมของเขาเปิดอยู่

หลังสงครามจบลง ผู้พันภาคย์ที่ไม่คิดว่าจะกลับมาที่นี่อีก กำลังนั่งเรือหางยาวเล็กในยามเช้า เพื่อข้ามฟากตรงไปยังอีกฝั่งแม่น้ำ เรือกำลังแล่นข้าใกล้ฝั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนหน้านี้สักเกือบสัปดาห์ นายทหารหนุ่มได้ตามหาคนคนหนึ่งจนเจอ คนที่ฝั่งโน้น ลืมไปแล้วว่าเคยมีตัวตนอยู่จริง เมื่อเวลาผ่านไป และนั่นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับทุกสิ่งบนโลกนี้ ผู้พันภาคย์ขึ้นจากเรือ ใกล้ ๆ กับคนที่ยืนรออยู่ มันน่าจะเป็นจุดเดียวกันกับที่คนคนนี้ ขึ้นจากแพในตอนนั้น เพียงแต่ตอนนี้ มันดูแต่งต่างไป

“่แกสบายดีนะ” ผู้พันหนุ่มมองดูคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งคนตัวเล็กเอง ก็แปลกตาไปจากครั้งนั้นที่ผู้พันได้เห็น อาจจะเป็นไปได้ว่า อีกฝ่ายไม่ได้ผ่ายผอมเท่ากับตอนที่ยังถูกคุมขังอยู่ ด้าจก์ซายในชุดชนเผ่า ผมดกดำถูกรวบขึ้นแล้วมุ่นเป็นมวยผมไว้ทางด้านหลัง โครงหน้าที่ดูหวานน่ามองนั้น ยังคงดูน่าทะนุถนอมอยู่เช่นเดิม ซายมองริมฝีปากของผู้พันภาคย์ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ เพื่อตอบคำถามนั้น

“ฉันดีใจนะ ที่แกไม่เป็นอะไร” ผู้พันภาคย์รู้สึกดีใจจริง ๆ ที่ซายยังมีชวิตปลอดภัยอยู่ แม้วาผู้พันหนุ่มจะสืบข่าวรู้มาว่า ด้าจก์ซายยังโดนคนอื่นรังแกอยู่เนือง ๆ ด้าจก์ซายยิ้มน้อย ๆ ให้กับผู้พัน เขายังระลึกอยู่เสมอ ถึงการช่วยเหลือจากผู้พันในครั้งนั้น ที่ทำให้เขารอดพ้นจากเรื่องราวร้าย ๆ เหล่านั้นมาได้ แม้ว่าหลังจากนั้น ซายต้องลำบากอยู่พักใหญ่ กว่าจะสามารถเอาตัวรอดมาจนตอนนี้

“ฉันมีของมาให้แกด้วย” ผู้พันภาคย์สังเกตเห็นแววตาของด้าจก์ซายได้ทันที จากที่ดูหม่นเศร้า กลับกลายมาโชติขึ้น เมื่อจำซองกระดาษที่ผู้พันหนุ่มเอาออกมาจากกระเป๋าได้ ว่ามันคืออะไร “มันมีที่ทิ้งช่วงไปบ้าง ฉันก็จนปัญญา ไม่รู้จะไปตามที่ไหนมาให้เหมือนกัน” ผู้พันภาคย์หมายถึงวันที่ในจดหมาย ที่บางฉบับนั้นน่าจะหายไประหว่างทาง ด้าจก์ซายส่ายหน้าแทนคำตอบว่า ไม่เป็นไร ผู้พันหนุ่มเห็นความสุขระยิบระยับในแววตาคู่นัั้น

“เอ้า รับไป” ด้าจก์ซายรับจดหมายปึกนั้นมาถือเอาไว้ ซายเผลอยิ้มกว้างออกมา ก้มมองจดหมายในมือด้วยความดีใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้พันภาคย์ ที่ผู้พันหนุ่มเองก็อดเผลอยิ้มตามไม่ได้ ลมโชยพัดมา ปอยผมเล็ก ๆ ข้างหูของซายรุ่ยลงมา ผู้พันภาคย์ใช้นิ้วทัดผมให้ ด้าจก์ซายตกใจ เขยื้อนหน้าหลบ แม้ว่าจะเป็นการขยับที่ไม่มาก ไม่ได้มาจากความรังเกียจ แต่ก็ทำให้ผู้พันภาคย์รู้สึกลึกเข้าไปในความรู้สึก

'ไม่เหมือนกันสินะ' คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในใจของผู้พันหนุ่ม ตั้งแต่วันนั้น ที่ผู้พันพาด้าจก์ซายมาที่แม่น้ำนี้ เขากลับไปพร้อมกับความรู้สึกประหลาดที่สลัดไม่หลุด ความรู้สึกชื่นชมถึงความกล้าหาญทางจิตใจของคนคนนี้ แต่นั่นมันไม่ใช่เหตุผลเดียว ที่ด้าจก์ซายยังติดอยู่ในใจมาโดยตลอด คนสองคนเป็นทหารเหมือนกัน สวมเครื่องแบบแทบไม่ต่างกัน คนหนึ่งที่เปิดเผยให้คนรับรู้ได้ คงเป็นได้แค่เพื่อน ส่วนอีกคนที่เก็บซ่อนเอาไว้จนลึกสุดใจ กลับเป็นได้มากกว่านั้นมากนัก

“แกจะให้ฉันอ่านให้ฟังสักฉบับมั้ย” ผู้พันภาคย์ชี้นิ้วไปที่จดหมายในมือด้าจก์ซาย ก่อนจะอาสาแปลเนื้อความในจดหมายเหล่านั้นให้ นั่นเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าความดีใจ ซายพยักหน้าถี่ หยิบซองจดหมายซองหนึ่งส่งให้ผู้พันหนุ่ม ดวงตาใสแป๋วจับจ้องไปที่ริมฝีปากของผู้พัน เพื่อรออ่านความ

“วันนี้ที่นี่หนาวมาก อากาศอาจจะเย็นมากกว่าน้ำในลำธารคืนนั้น แต่ฉันคงรู้สึกอบอุ่นมากกว่า เมื่อมีเธออยู่ด้วยกัน” ด้าจก์ซายหน้าแดงระเรื่อขึ้นมา เมื่อภาพความทรงจำกลับมาเด่นชัดในความรู้สึกอีกครั้ง “ผมกำลังทำงานให้มาก เร่งเก็บเงินให้เยอะ ผมอาจจะต้องการมัน เพื่อทำสัญญาของผมให้เกิดขึ้นจริง” ขอบตาของด้าจก์ซายรื้นชื้นขึ้นมากับข้อความประโยคนั้น

“ด้าจก์ซาย ชื่อของเธอแปลว่าฮันนี่ ฉันเรียกเธอว่าฮันนี่" ผู้พันภาคย์เริ่มเรียบเรียงความหมายจากเนื้อความในจดหมายนั้น "ฉันอยากให้มันง่ายสำหรับฉัน ที่จะบอกใครต่อใคร ว่าเธอคือมายฮันนี่คนเดียวเท่านั้น แต่ฉันก็อยากเรียกเธอเป็นภาษาไทยด้วย น้ำผึ้ง หรือเปล่า ใช่มั้ย หวังว่าฉันจะออกเสียงมันไม่เพี้ยนไปมากนัก เธอคือมายฮันนี่ เธอคือมายน้ำผึ้งที่เติมลงในไมโลขม ๆ” น้ำตาที่เอ่อ ไหลพ้นขอบตาของด้าจก์ซายลงมา

“สัญญาว่าฉันจะกลับมาหาเธอ” ผู้พันภาคย์เห็นด้าจก์ซายยิ้มออกมาทั้งน้ำตา การรอคอยใครสักคน มันคือความสุขที่ปนไปด้วยความเศร้า สุขที่ได้เฝ้ารอ แต่เศร้าเมื่อไม่รู้ว่า เมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึง สำหรับผู้พันหนุ่ม เขาคงจะต้องบอกให้ตัวเองเลิกรอ เมื่อเขาได้รับการเลื่อนยศ และมีคู่หมั้นคู่หมายที่กำลังจะแต่งงานกันในไม่ช้า การมาที่นี่ของเขา ด้วยจุดมุ่งหมายที่ว่า หากความหวังยังพอมีอยู่ เขาคิดที่จะคว้ามันเอาไว้ แต่มันคงดับลงแล้ว ความฝันนั้น

ไมโลเดินไปที่กระท่อมของเขา ประตูที่เขาจำได้ว่าปิดเอาไว้ ก่อนที่จะเดินไปที่บ้านของแคลร์ เปิดกว้างออก เสียงคนสองสามคนดังลอดออกมาจากกระท่อมของเขา ไมโลสาวเท้าเร็ว ๆ จนไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู มองเข้าไป ทั้งสามคนคือเพื่อนร่วมงานของเขาที่อู่ซ่อมรถ

“ฉันรักเธอ ฉันอยากจะไปหาเธอ ฉันอยากอยู่กับเธอ เราจะแต่งานอยู่กินกันอย่างเปิดเผย เหมือนคู่รักคนอื่น ๆ นี่แกเป็นพวกลักเพศน่าทุเรศอย่างงั้นรึ ถึงได้เขียนหาผู้ชายคนอื่น ด้วยข้อความที่น่าสะอิดสะเอียนแบบนี้” เสียงคนที่ในมือ กำลังถือจดหมายที่ไมโลยังเขียนค้างเอาไว้ ถามเขาเสียงดังเมื่อเห็นหน้าไมโล “วางจดหมายนั่นลงที่เดิม พวกแกไม่มีสิทธิ์อ่านจดหมายของฉัน” ไมโลสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด จดหมายที่เขาเขียนถึงด้าจก์ซาย คือวิธีเดียวที่ทำให้เขาเชื่อมั่นว่า เขาจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคนตัวเล็กคนนั้นได้

“ไอ้ตุ๊ดนี่มัน” ใครอีกคนที่เพิ่งยกขวดเบียร์กระดกเข้าปาก ด่าไมโลด้วยคำดูถูก “ฉันจะไม่บอกพวกแกซ้ำอีก วางจดหมายนั่นกลับไปที่เดิม เดี๋ยวนี้” ไมโลมองดูตามสัญชาตญาณทหาร กะคะเนคร่าว ๆ ว่า หากเขาต้องจัดการทั้งสามคนนี้ ในเวลาไล่เลี่ยกัน เขาจะต้องเริ่มจากคนไหนก่อน

“เฮ้ย ไอ้พวกดูดปี่กันเอง มันสั่งพวกเราว่ะ ไหนไอ้ตุ๊ด ไหนลองดูหน่อยซิ ว่าจะดูดได้ถึงใจขนาดไหน” คนที่สามเดินส่ายอาด ๆ ด้วยความเมาเข้าหาไมโล พร้อมทั้งพุ่งหมัดมาทางเขา ไมโลเบี่ยงตัวหลบ แล้วใช้มือผลักไอ้คนนี้ จนมันหน้าถลาไปชนเข้ากับผนังกระท่อมอย่างจัง มันร่วงลงไปกองกับพื้น เสียงมันร้องดังลั่นว่า ไมโลทำจมูกมันหัก และเลือดมันไหลทะลักออกมา

“เก่งนักนะ ไอ้ตุ๊ด” สองคนที่เหลือคำรามใส่ไมโล นายทหารช่างเก่าตั้งการ์ดขึ้นเตรียมพร้อม “อย่างแก ก็ไม่มีปัญญาทำให้แคลร์ท้องหรอก เพราะแกมันชอบหาอย่างอื่นยัดก้นกันเอง” ไอ้คนที่ถือจดหมายด่าทออย่างโกรธเกรี้ยว เสียงของไอ้คนจมูกหักยังร้องดังลั่นด้วยความเจ็บปวด ไมโลรู้แต่เพียงว่า คำด่า คำครหา สำหรับตัวเขานั้นไม่เป็นไร แต่เขาต้องปกป้องศักดิ์ศรีของด้าจก์ซายเอาไว้

แคลร์ที่กำลังจะล้มตัวลงนอน เธอคิดว่าเธอได้ยินเสียงคนหลายคน ดังมาจากทางหลังบ้าน หญิงสาวดันกายที่อุ้ยอ้ายของเธอขึ้นจากเตียงนอน แคลร์เงี่ยหูฟัง ตอนนี้เธอแน่ใจว่า สิ่งที่เธอได้ยิน คือเสียงคนทะเลาะกัน เสียงข้าวของหล่นดังลอยตามมา หญิงสาวรีบเดินมาที่ประตูด้านหลังบ้าน เสียงคนโหวกเหวกโวยวายดังมาจากกระท่อมของไมโล ทันทีที่เธอเปิดประตู เธอจำเสียงพูดบางเสียงนั้นได้ ว่าเป็นคนงานที่อู่ซ่อมรถ

“หยุดเถอะ ฉันไม่อยากที่จะสู้กับพวกแก ฉันขอแค่พวกแกอย่ามายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของฉัน ก็เป็นพอ” ไมโลโยนมีดพกนั้นทิ้ง หลังจากเพิ่งแย่งจากพวกมันมา ก่อนสวนหมัดเข้าหน้าหนึ่งในนั้น เพื่อหยุดมันไม่ให้คิดต่อสู้อีก ตะโกนบอกเพื่อเตือนสติมันทั้งสาม แต่ดูเหมือนพวกมันที่เมาเบียร์กรึ่มกันมา จะไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น ปกติพวกมันก็มานั่งกินเบียร์ที่กระท่อมของไมโลบ้าง เพียงแต่วันนี้ พวกมันมาโดยไม่บอกกล่าวเขาก่อน

ด้าจก์ซายโค้งขอบคุณผู้พันภาคย์ ก่อนจะส่งผู้พันหนุ่มลงเรือหางยาวเล็ก ข้ามกลับไปที่ฝั่งใหญ่ ก่อนจะเดินเลาะมาตามทางเดินเล็ก ๆ เพื่อกลับมาที่กระท่อมของเขา ซายหลุดยิ้มออกมาอีกครั้ง มันเป็นรอยยิ้มติด ๆ กัน ภายในวันเดียว ที่อาจจะนับรวมกันแล้ว มากกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมาของเขา สิ่งที่ผู้พันภาคย์นำมาให้เขาในวันนี้ มันทำให้เขารู้ว่า แมทยังไม่เคยลืมเขา นายทหารช่างชาวอังกฤษ ตัวสูงใหญ่ ผิวขาว ผู้ใจดีคนนั้น ยังจำสัญญาที่ให้กันไว้ได้ไม่ลืม

แคลร์แม้จะรู้สึกเจ็บที่ท้อง แต่เธอก็เร่งฝีเท้าเดินไปที่บ้านข้าง ๆ ระหว่างทางที่เดินไป เธอต้องหยุดเดินเป็นระยะ ก่อนผ่อนลมหายใจเข้าออก เพื่อคลายความเจ็บปวดนั้นลง ตอนนี้เธอเป็นกังวลและห่วงไมโลมาก ไม่รู้ว่าทั้งหมดมีเรื่องอะไรกัน ปกติไมโลไม่ใช่คนที่มีเรื่องมีราวอะไรกับใคร ออกจะเก็บตัวเสียด้วยซ้ำ แคลร์เดินมาถึงบ้านของเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เธอที่สุด หญิงสาวใช้กำปั้นทุบรัว ๆ ไปที่ประตู เธอตะโกนเสียงดัง เรียกให้เพื่อนบ้านตื่นขึ้น ก่อนจะเห็นแสงไฟด้านในบ้านสว่างขึ้น

ด้าจก์ซายเดินกลับมาถึงที่กระท่อม เขาตกใจที่เห็นประตูเปิดกว้างอยู่ ซายส่งเสียงร้องออกมาแบบลืมตัว รีบวิ่งเข้าไปในกระท่อม สิ่งของสมบัติที่มีอยู่น้อยชิ้นของเขา กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น มันไม่มีราคาค่างวดอะไร ไม่ได้เป็นที่ต้องการของคนที่เข้ามารื้อค้น สายตาของด้าจก์ซายสะดุดอยู่ที่มุมห้อง ฝากล่องไม้เล็ก ๆ ใบนั้นเปิดออก ซายถลาเข้าไปที่มุมห้อง ก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ มองหาสิ่งที่มีค่าที่สุดที่มี ที่เก็บมันเอาไว้ในนั้น

ไมโลร้องห้ามไอ้คนที่อ่านจดหมายของเขา เมื่อมันตะโกนเสียงดัง ร้องว่าจะจุดไฟกระท่อมนี้ให้สิ้นซาก มันโค่นชั้นวางของนั้นลงมา กล่องเหล็กเล็ก ๆ ขึ้นสนิม กระดอนลงมาบนพื้น ไมโลพุ่งตัวเข้าชนไอ้คนนี้ ก่อนที่มันจะทันได้ใช้เท้า กระทืบลงไปบนกล่องนั้น กระดาษจดหมายที่เขาเขียน ตกอยู่ไม่ไกลกัน

ไมโลล้มลงบนพื้น ตามแรงปะทะ ใจคิดว่า เขาต้องลุกขึ้นให้เร็วที่สุด สายตามองเห็นจดหมาย เขาถัดตัวไปบนพื้นคว้ามันเอาไว้ในมือ ตั้งใจจะหยิบกล่องใบนั้นมาด้วย แต่เขาก็ช้าไป เท้าไอ้จมูกหักเตะกล่องจนกระเด็น มันกรีดร้องใส่เขา ก่อนยกเท้าขึ้นสูง หมายจะกระทืบลงมาบนหัวของเขา ไมโลกลิ้งตัวหลบไปอีกทางได้ทัน หลังของเขาชนเข้ากับลังอะไรบางอย่าง

ไมโลดันตัวลุกขึ้น สายตามาปะทะเข้ากับไอ้คนแอบอ่านจดหมายของเขาเข้าพอดี มันที่ก้มหยิบสิ่งที่ตกลงมาจากลังนั่น พุ่งตัวเข้าหาไมโล อาการแปลบที่ท้องของไมโลพุ่งขึ้นในทันที เมื่อไขควงขนาดใหญ่ปักเข้าท้องเขาจนมิดด้าม มันดึงมือออก แล้วกระหน่ำแทงเขาไม่ยั้งจนไมโลทรุดลงคุกเข่ากับพื้น ไอ้จมูกหักกับอีกคนได้ที มันรัวต่อยเข้าที่หน้าของไมโลหลายหมัด ไอ้คนที่เมากว่าเพื่อนเตะเข้าที่หน้าของไมโลอย่างจัง ชายหนุ่มล้มลงไปนอนกองบนพื้น

ด้าจก์ซายวิ่งออกมาจากกระท่อม กวาดสายตาไปจนทั่วบริเวณ เผื่อว่าเขาจะเห็นใคร ที่เข้ามาในรื้อค้นข้าวของของเขา ซายส่งเสียงร้องสั้น ๆ ออกมา คนที่อยู่แถวนั้น มองเขาเหมือนเขาเป็นตัวประหลาด ด้าจก์ซายวิ่งไปที่กระท่อมหนึ่งที่อยู่ถัดไปไม่ไกล เจ้าของกระท่อมกำลังขยำกระดาษอะไรบางอย่าง เพื่อเป็นเชื้อไฟ ใช้จุดเพื่อหุงหาอาหาร

ด้าจก์ซายถลาเข้าไปที่หน้ากองไฟนั้น เขาเอื้อมมือเปล่าเข้าไปดึงกระดาษที่ไหม้ไปเกินกว่าครึ่งออกมาจากเปลวไฟ ซายร้องด้วยเสียงสั้น ๆ ออกมาดังลั่น เขารีบใช้มือปัดดับไฟบนกระดาษ น้ำตาแห่งความร้าวรานไหลนองหน้า เขาปาดน้ำตาบนหน้าของตัวเองอย่างลวก ๆ เพื่อให้น้ำตาชุดใหม่ไหลลงมาทาบทับของเก่าที่ยังไม่ทันจะแห้งดี

ด้าจก์ซายยกเอาจดหมายไหม้ไฟนั้นขึ้นทาบไว้กับอก เขาส่งเสียงร้องสั้น ๆ ดังขึ้นอีก ดังขึ้นอีก จนกลายเป็นเสียงโหยหวนของคนที่กำลังจะขาดใจ ซายที่ผมเผ้าหลุดรุ่ย นั่งจมกองน้ำตาอยู่อย่างนั้น สลับกับก้มมองจดหมายในมือของตัวเอง และอีกหลายฉบับ รวมกับรูปถ่ายทั้งหมด ที่เขาต้องนั่งมองดูความทรงจำอันมีค่าของตัวเอง ไหม้อยู่ในกองเพลิง เหมือนเป็นคำถาม ให้กับคนที่ทำกับเขาแบบนี้ ว่าทำไม ด้วยทั้งจดหมายและรูปถ่ายเหล่านี้ คือสิ่งพิสูจน์ยืนยันเดียว เกี่ยวกับคนที่เขารัก

'ยัวร์ ดิ แอร์ ไอ บรีธ' ไมโลที่นอนอยู่บนพื้น คิดถึงคนที่เป็นลมหายใจของเขา พยายามลากตัวเองไปด้านหน้า ด้วยความอ่อนกำลัง แรงของเขาที่จะหมดลงในไม่ช้า ในหัวของเขาตอนนี้ กำลังสั่งตัวเองว่า เขาจะต้องไปหาด้าจก์ซาย เขาขยับตัวเคลื่อนไปข้างหน้า ด้วยขาข้างขวาที่หมดความรู้สึกไปนานแล้ว เลือดกองใหญ่ไหลออกจากตัวเขา สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ประตูกระท่อม เขารู้แต่เพียงว่า เขาต้องออกไปจากที่ตรงนี้ สิ่งสุดท้ายที่เอาดวงจิตผูกติดเอาไว้

ไมโลขยับตัวจนใกล้ เกือบจะถึงประตู ด้วยแรงกำลังสุดท้ายที่มี ที่พอจะให้ร่างกายขยับตามที่ใจสั่งได้ แต่ร่างของเขาถูกดึงกลับเข้าไปด้านใน ก่อนที่ไอ้สามตัวนั้น จะลงมือรุมกระทืบเขาอีกครั้ง เสียงกระดูกซี่โครงหักดังลั่นขึ้น แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบงัน

แคลร์กรีดร้องขึ้นมาจนสุดเสียง เมื่อเธอเห็นสภาพอันน่าสังเวชใจของไมโล นอนอยู่บนพื้นกระท่อมนั้น เสียงหนึ่งในพวกที่รุมทำร้ายไมโล พูดขึ้นว่ามันตายแล้ว มันตายแล้วจริง ๆ หญิงสาวทำอะไรไม่ถูก เธอก้มลงมองที่เท้าของตัวเอง น้ำเมือกอะไรบางอย่าง ไหลนองจากหน้าขา เลอะตรงที่เธอยืนอยู่เต็มไปหมด

เพื่อนบ้านที่เธอไปเรียก เพิ่งเดินตามมาถึง ต่างพากันตกใจกับกองเลือดและร่างของไมโล แต่ไม่ยอมพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาสักคำ เพราะรู้ว่า สามคนนี้มีเส้นสายพอสมควร จากการทำเรื่องลับ ๆ ให้กับผู้มีอิทธิพล เพื่อนบ้านได้แต่บอกแคลร์ว่า เธอต้องรีบไปโรงพยาบาล และพวกเขาจะเป็นคนพาเธอไปเอง เพราะน้ำคร่ำเธอเพิ่งแตกเธอกำลังจะคลอดลูกในอีกไม่กี่นาทีนี้ และนั่นครั้งนั้น แคลร์ได้เห็นไมโลเป็นครั้งสุดท้าย

'ฉันรู้ว่าเธอไม่สามารถพูดบอกอะไรฉันได้ แต่หากปาฏิหาริย์มีจริง ถ้าเธอพูดได้ เธอจะพูดคำแรกให้ฉันฟังว่าอะไร เป็นชื่อของฉันดีมั้ย แมท มันคงทำให้ฉันมีความสุขกว่าผู้ชายคนไหน ๆ ในโลก เธอบอกรักฉันนะ พูดคำว่ารัก ฉันอยากได้ยินมัน ต่อให้โลกไม่ยุติธรรมกับเธอ แต่เชื่อฉันมั้ย ว่าวันหนึ่ง โลกใบเดิมใบนี้แหละ จะต้องยอมจำนนให้กับเธอ และวันนั้น มันจะเป็นวันของเรา' ข้อความที่ไหม้ไฟจากจดหมายฉบับนั้น ที่แมทเขียนถึงซาย

“ฮันนี่ ผมคิดถึงคุณ” เอิงเมื่อได้ยินแดนพูดออกมาแบบนั้น ก็เหมือนเขาโดนปลดปล่อยจากพันธนาการทั้งปวง เอิงปล่อยโฮออกมา สะอื้นไห้จนตัวโยน โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงโหยหาอ้อมกอดนี้ มันคือความอบอุ่นที่เหมือนกับห่มตัวของเขาเอาไว้ไม่พอ ใจของเขาตอนนี้ยิ่งราวกับว่า ได้รับการชดเชย ได้รับการปลอบประโลม

“ผมรู้ มันช่างยาวนานเหลือเกิน กับการรอคอย” แดนที่รับรู้ถึงแรงสะอื้นไห้จากคนในอ้อมกอดของเขา เขารู้เอิงที่ตอนนั้น ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดและความหวาดกลัวมากแค่ไหน “แต่ไม่เป็นไรแล้วนะ ผมอยู่กับคุณตรงนี้แล้ว สัญญาของเรา จำได้ใช่มั้ย”

ถ้าหากเอิงจะร้องไห้ แดนก็พร้อมจะให้เอิงได้ระบายความรู้สึกนั้นออกมา นานเท่าไหร่ก็ได้ จนกว่าเอิงจะรู้สึกดีขึ้น และปลอดภัยภายใต้อ้อมกอดของเขา แดนขยับตัวเข้ากอดเอิงจากทางด้านหลัง เขาสอดแขนสองข้างเข้ารวบเอวของเอิงเอาไว้ รั้งให้คนที่อยู่ด้านหน้า ต้องแนบตัวเข้ากับแผงอกกว้าง ๆ ของเขาอย่างจงใจ จะไม่ให้ขยับหนีไปไหนได้

“แมท” แดนได้ยินเองเรียกเรียกชื่อนั้นออกมาเบา ๆ มันเป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่เขาได้ยินชื่อนี้ ไม่ว่าจะจากปากของด้าจก์ซายหรือว่าเอิง ในใจของเขาตอนนี้เหมือนคนที่หลงทางอยู่กลางทะเลทรายมานาน และตอนนี้ ได้มาเจอโอเอซิสที่ชุ่มฉ่ำ เพื่อดับความกระหาย ความแห้งผาก ร้อนจนเป็นผุยผงนั้นแล้ว เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เอิงใส่ ขยับเลื่อนมาทางด้านหลัง เผยให้เห็นช่วงไหล่ด้านซ้ายของเขา แดนก้มลงจุมพิตเบา ๆ บนรอยแดงจาง ๆ เป็นทางนั้น มันยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า เขาได้กลับมาหาคนรักของเขา ให้เป็นลมหายใจของกันและกัน ตามที่เคยให้คำสัญญาไว้แล้ว

ดาวศุกร์ ๖ ที่เป็นตัวแทนเรื่องความรัก เมื่อเดินไปอยู่ในเรือน อริ วินาศน์ หรือมรณะ ความรักนั้นย่อมมีแต่อุปสรรคขัดขวาง ไม่ราบรื่น ประสบแต่ความผิดหวัง อกหักไม่ได้พบกับรักในอุดมคติ เกิดความวุ่นวายนานา มีทุกข์อันเนื่องมาจากความรัก เกิดการพลัดพรากจากกัน คนรักมาจากไป ทั้งจากเป็นและจากตาย มักตกเป็นหม้าย

ยิ่งหากว่าดาวศุกร์ ๖ มีความสัมพันธ์กับดาวบาปเคราะห์นั้นด้วยแล้ว เจ้าชะตาอายุจะสั้น ยิ่งเจ้าเรือนมรณะ ความสูญเสีย มาตกในเรือนปัตนิ คู่ครองด้วยแล้ว จึงมีเกณฑ์ ถูกลอบทำร้าย หรือถูกฆ่าตาย เกิดความสูญเสียกับคู่ครอง ดั่งโบราณท่านว่าไว้



*********************

https://www.youtube.com/watch?v=QRmiMkgYbL4

ไกลสุดฟ้า ก็ไม่สามารถกั้นเรา

แค่ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ

แต่การได้รักเธอ นั่นคือของสำคัญกว่า

และมันมีค่ามากเกินกว่าสิ่งไหนไหน

ฉันขอสัญญา จะจำทุกเรื่องราว

ไม่ว่าร้ายหรือดี สุขหรือทุกข์ใจ

ฉันจะทบทวน เรื่องราวของเธอตลอดไป

เผื่อวันสุดท้ายที่ฉันหายใจ จะได้ไม่ลืมเธอ

ปลายขอบฟ้า กับระเบียงที่เราเคย

นั่งมองท้องฟ้าด้วยกัน

ต้นไม้ต้นนั้น จะดูแลรักษามัน

แทนความคิดถึง เมื่อเธอไม่อยู่ตรงนี้

ฉันขอสัญญา จะจำทุกเรื่องราว

ไม่ว่าร้ายหรือดี สุขหรือทุกข์ใจ

ฉันจะทบทวน เรื่องราวของเธอตลอดไป

จะจำเธอไว้ และรักเธอไปอย่างนี้

โปรดจงมั่นใจ ฉันขอสัญญาจะจำทุกเรื่องราว

ไม่ว่าร้ายหรือดี สุขหรือทุกข์ใจ

ฉันจะทบทวน เรื่องราวของเธอตลอดไป

เผื่อวันสุดท้ายที่ฉันหายใจ จะได้ไม่ลืมเธอ

จะได้ไม่ลืมเธอ
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๔ มรณะ - ปัตนิ (ลมหายใจของกันและกัน)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-04-2022 19:34:57
 :hao5: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๕ วินาศน์ - ตนุ (เดียวดายกลางคลื่นลม)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 27-04-2022 20:41:49
๑๕.



วินาศน์ - ตนุ (เดียวดายกลางคลื่นลม)





อันน์รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย กับท่าทีของรุ่นน้องอย่างเอิง ที่ร้อยวันพันปี ไม่เคยเห็นจะมีท่าทีอะไรกับใคร ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องมีแฟนด้วยซ้ำ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มีคนเข้าหา เอิงไม่มีแม้แต่เก็บเอาไปกิ๊กกั๊กฝันหวาน แต่นี่ หนุ่มลูกครึ่งที่เพิ่งจะเคยเจอกัน เจ้ารุ่นน้องคนนี้ กลับยอมให้กอด ไม่มีขัดขืน แถมยังจะซุกตัวเข้าหาแผ่นอกเขาอีก ยังไม่นับเรื่องที่อยู่ ๆ เอิงก็ร้องไห้โฮออกมานะ

“เอิง แกโอเคนะ” อันน์ถามด้วยความเป็นห่วง นี่เป็นครั้งแรกด้วย ที่เธอเห็นเอิงแสดงความอ่อนไหวและอ่อนแอออกมาให้เห็น เอิงดันตัวเองผละออกจากอ้อมกอดอุ่นนั้น เขาผ่อนลมหายใจออกมา พยักหน้าเร็ว ๆ เป็นเชิงว่าเขาไม่เป็นไร “พี่ว่า แกไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่า อะไรเป็นอะไร ยังไง เดี๋ยวค่อยว่ากัน” อันน์บอกออกมา ฐานทัพเห็นด้วย บอกให้เอิงทำตามที่อันน์บอก

“ขอโทษนะครับ ผมขอเวลาสักครู่” เอิงหันไปสบตากับแดน ผู้เป็นเจ้าของอ้อมกอด ชายหนุ่มลูกครึ่งยิ้มให้เขา มองหน้าเอิงที่มีแต่คราบน้ำตา จมูกแดง เสียงพูดฟังดูอู้อี้ “ผมรออยู่ตรงนี้นะครับ” แดนบอกกับอีกฝ่าย เอิงพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกเดินออกจากห้องทำงานของอันน์ไป แดนละสายตาจากประตู หลังจากที่เอิงออกไปแล้ว ก่อนจะหันกลับมาเจอสายตาของอันน์และฐานทัพ ที่จ้องมาที่เขา พร้อมกับคำถามมากมายอยู่ในนั้น

“คุณแดนต้องมีคำอธิบายให้อันน์เข้าใจแล้วล่ะค่ะ ว่าทำไมอยู่ ๆ เอิงถึงได้เขื่อนแตก ร้องไห้ไม่หยุดขนาดนี้” อันนืยิงคำถามไปที่แดนทันที “ตั้งแต่รู้จักกันมา น้องของอันน์คนนี้ ไม่เคยเป็นแบบนี้ให้เห็น” อันน์ยืนยันหนักแน่นว่า เอิงไม่ใช่คนดราม่าโศกเศร้าอะไรแบบนี้

“คือ ผมพูดไป คงไม่มีใครเชื่อ ผมเองยังไม่อยากจะเชื่อเองเลยด้วยซ้ำ ถ้าผมไม่ได้ไปเจอมาด้วยตัวเอง” แดนคิดว่า ถ้าสิ่งที่เขาสืบค้น ตามหา รับรู้ ไม่ได้ไปเจอมาด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ มีใครมาเล่าให้ฟัง มันก็ยากที่จะเชื่อ “แถมเรื่องมันก็ยาวด้วย” แดนพูด แต่จากสายตาของอันน์ที่เขาเห็นนั้น เขาไม่คิดว่า พี่สาวของเอิงคนนี้จะยอมให้มันผ่านไปง่าย ๆ

“อันน์มีเวลาค่ะ เรื่องมันจะยาวแค่ไหน คุณแดนเริ่มเล่าได้เลยค่ะ ไม่งั้น อันน์ไม่ปล่อยให้คุณแดนออกจากห้องนี้ไปได้ง่าย ๆ นะคะ ใช่มั้ยคะ คุณทัพ อันน์มีเวลามากพอที่จะฟังเรื่อนี้ ใช่มั้ยคะ” อันน์หันไปถามฐานทัพ ชายหนุ่มได้ยินน้ำเสียงจริงจัง ท่าทีขึงขังจากอันน์แล้ว ฐานทัพก็ได้แต่ต้องยอมตามน้ำไป

“ยู’ ด เบทเทอร์ สตาร์ท ทอล์กิ้ง แมน” ฐานทัพส่งภาษาไปที่หนุ่มลูกครึ่ง ก่อนทำหน้าทำตาให้แดนรู้ว่า อย่าขัดอันน์ตอนนี้จะดีที่สุด “ชี’ ส สแกร์รี่” ฐานทัพพูดทีเล่นทีจริงกับแดน ก่อนจะเหลือบตาไปทางอันน์ ที่ทำตาเขียวใส่เขาอยู่ “เริ่มได้เลยค่ะ” อันน์เองนั้น อยากรู้เป็นที่สุด ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง ทำไมแดนกับเอิงถึงได้ดูมีความผูกพันกันมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ท่าทางของแดนที่อ่อนโยนกับเอิง และท่าทีโหยหาของเอิงที่มีต่อแดน

เอิงมองดูตัวเองในกระจก หยดน้ำเกาะพราวอยู่บนใบหน้า เขาหมุนปิดก๊อกน้ำในอ่างล้างหน้านั้น ทำจมูกฟุดฟิดไล่อาการคัดจมูกให้หายไป ในความรู้สึกตอนนี้ มีมวลอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอ้อยอิ่งอยู่ ไม่ยอมไปไหน ก้อนอารมณ์ของความเศร้า ความอาดูรต่อความสูญเสีย ภาพจากครั้งเมื่อหนหลัง ที่เข้ามาแจ่มชัดอยู่ในกระแสความทรงจำ มันยากที่จะสลัดให้หลุดได้ในตอนนี้

การปรากฏตัวของแดน หนุ่มลูกครึ่ง ทำให้เอิงทบทวนถึงพื้นดวงดาวของเขาเอง เอิงไม่ค่อยตรวจดูดวงชะตาของตัวเองบ่อยนัก เขาปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระจากสิ่งที่เขาศึกษามา มันมีดาวบางดวงที่บอกเขาถึงความหลัง เรื่องเก่า สิ่งที่เคยพบพาน แต่ความฝันซ้ำ ๆ ที่เกิดขึ้น ฝันเรื่องเดิม ๆ ที่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ก็มีแต่รอยน้ำตา มันทำให้เขากลัวที่จะล่วงรู้มัน ยิ่งพอได้เห็น ได้ศึกษาเคสต่าง ๆ จากคนอื่น ที่เขาทำนายให้ เอิงบอกกับตัวเองว่า สิ่งใดมันจะเกิด ก็ต้องเกิด

“นี่มันเหลือเชื่อมาก ๆ” อันน์รำพึงออกมา หลังจากที่แดนเล่าเรื่องคร่าว ๆ ให้ฟัง แต่อันน์รู้สึกได้ ว่าแดนเล่าเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกของคนที่ผ่านมันมาจริง ๆ มันมีอารมณ์ที่ทั้งคุกรุ่นความโกรธ มันอวลไปด้วยความโหยหาและต้องการ ทั้งยังมีความเศร้าสร้อยลอยปะปนอยู่ในกิริยาท่าทางของแดน ยิ่งน้ำเสียงของเขาสั่นเครือ เวลาพูดถึงเอิง เมื่อครั้งก่อนนั้น มันทำให้อันน์รู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย

“ซึ่งคุณก็กลับมาหาคุณเอิงจนเจอ อเมซิ่ง แมน” ฐานทัพนับถือใจของหนุ่มลูกครึ่งคนนี้จริง ๆ ที่สืบเสาะ ค้นหา เรื่องราว หลักฐาน รวมถึงคนที่เกี่ยวข้อง จนมีความแน่ชัดว่า อดีตได้ย้อนวนกลับมาใหม่ในปัจจุบัน มันเริ่มต้นจากฝันร้าย ที่มันมีผลต่อจิตใจ แต่แดนรวบรวมความกล้า จากที่คิดว่า อาจจะเป็นที่เขาที่เพี้ยนจนหลุดโลกไปเอง ตามหาคนที่หัวใจผูกพันกันจากชาติที่แล้ว พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง

“ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เอิงมันเคยเล่าให้ฟังเหมือนกันค่ะ ว่ามันฝันแปลก ๆ ซ้ำ ๆ ช่วงมันเรียนมัธยมปลาย มันบอกว่า ในฝันนั้นเหมือนจริงมาก ทุกอย่างเหมือนกำลังเกิดขึ้นในวินาทีนั้น แต่มันจะสะดุ้งตื่นขึ้น รู้สึกตัวว่ากำลังร้องไห้อยู่ แต่จำเรื่องที่เพิ่งฝันไปไม่ได้เลย ที่อันน์โทรคุยกับเอิงล่าสุด เอิงบอกว่า มันกลับมาฝันเรื่องเดิมนี้อีกครั้ง” อันน์ที่โทรไปหาเอิง เพราะต้องการให้รุ่นน้องคนนี้มาพบ เพื่อเซ็นสัญญาร่วมงานกัน

“มันก็แปลกดีนะคะ คือ อันน์น่ะเชื่อในความสามารถของน้องคนนี้เสมอ แต่วันนั้น อันน์ยกหูโทรหาเอิงแบบไม่ลังเลใจ ตัดตัวเลือกอื่นออกหมดเลย ขนาดคุณพฤกษ์เขาต้องการหาคนจากเอเจนซี่ เอิงก็ยังเป็นตัวเลือกเดียวของอันน์เท่านั้น” แดนได้รับรู้ว่า อันน์เป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยที่เอิงสนิทด้วย จนอันน์ดึงเอิงมาช่วยงานในครั้งนี้

“นี่คุณจะบอกว่า มันเป็นเพราะคุณหรอกหรือเนี่ย คุณแดนเขาถึงมีโอกาสได้มาเจอน้องคุณที่นี่” ฐานทัพไม่วายพูดเย้าอันน์ออกไป “หรือว่าไม่จริง” อันน์เถียงกลับฐานทัพที่ทำหน้าตาทะเล้นยียวนให้เห็น “การมีแฟนอยู่ใกล้ ๆ มันคงดีมากใช่มั้ยครับ” แดนถามทั้งสองคนออกไป ด้วยคำถามที่เขาอยากรู้ แต่ยังไม่เคยได้คำตอบ อันน์ได้ยินคำถามนั้น ถึงกับทำให้เธอไปไม่เป็น ฐานทัพจงใจทำท่ากลั้นขำให้อันน์เห็น จนอันน์เผลอตีแขนเขาเข้าให้ ซึ่งฐานทัพก็ยอมให้อันน์ตีเขา

“เอิง” เจ้าของชื่อเปิดประตูเดินกลับเข้ามา ได้ยินเสียงอันน์เรียกชื่อเขา “ไหวนะเรา” อันน์แสดงความเป็นห่วงรุ่นน้องคนสนิท “จะกลับไปพักก่อนก็ได้นะครับ ผมไม่ว่าอะไร” ฐานทัพเอ่ยปากอนุญาต เอิงส่ายหน้า ก่อนกล่าวปฏิเสธสุภาพ ก่อนจะหันมามองแดน ที่หนุ่มลูกครึ่งมองมาที่เอิงอยู่ก่อนแล้ว เมื่อสายตาของทั้งสองคนประสานกัน ความอาวรณ์อาลัยจากกาลก่อน ก็ดูจะโรยตัวลงมาอีกครั้ง

“ผมออกตามหาคุณ โดยเริ่มจากการตามหาเรื่องของผมเองก่อน ไม่สิ เรื่องของแมท อ้อ ไมโล ผมกับเขามีชื่อเยอะเกินไปหน่อย” แดนพูดขึ้น ยิ้ม พลางเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเอิง “จนผมเชื่อว่าผมคือเขาจริง ๆ เมื่อวันที่ผมเจอกับแคลร์ คนที่แมทอาศัยอยู่ด้วย” เสียงของแดนเครือ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแมทภายในกระท่อมเล็ก ๆ หลังนั้น

“แคลร์ ตอนนี้เธอเป็นคุณยายไปแล้ว เธอคือคนคนเดียวที่เหลืออยู่ ที่ผมพอจะตามหาได้ คนคนเดียวที่สามารถยืนยันว่า แมทเคยมีตัวตนจริง และมันลิ้งค์กลับมาถึงผมในตอนนี้” เอิงฟังที่แดนพูด ภาพที่เขาเห็นนั้น แดนมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับแมทมาก “แต่คุณไม่ต้องห่วงนะ แมทไม่เคยมีใครอีกเลย จนวันสุดท้ายในชีวิตของเขา” ภาพของแมทในวันนั้น แวบผ่านเข้ามาในห้วงคำนึงของแดน หนุ่มลูกครึ่งน้ำตารื้นขึ้นมา ตาแดงระเรื่อ ความเจ็บใจผุดขึ้นกลางอก

“ทุกคนคิดว่าผมเสียสติตั้งแต่เด็ก ผมเองก็ด้วย” แมทเล่าต่อ “พ่อกับแม่ของผม พาผมไปพบจิตแพทย์ที่ดีที่สุด เท่าที่พวกเขาจะหาได้ ผมรู้ว่าพวกเขารักผม แต่ ผมมายืนอยู่ที่นี่ตอนนี้ เพราะผมรู้ว่า คุณมีตัวตนจริง ๆ ด้าจก์ซาย” อารมณ์ที่อัดอยู่ในก้นบึ้งของความรู้สึกของแดน กำลังพรั่งพรูเผยตัวกันออกมา

“ไม่สิ ดาร์คไซด์” แดนเรียกเอิงด้วยชื่อที่จิตแพทย์ของเขาได้ยิน พลางหัวเราะเบา ๆ ออกมา “จิตแพทย์คิดว่าด้าจก์ซายเป็นเพียงเพื่อนในจินตนาการ ที่ผมสร้างขึ้นมาเอง เป็นเหมือนเงาดำที่ทาบทับความคิดของผมอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ความจริง เพราะผมรู้ว่าคุณคือเรื่องจริง ที่ผมต้องออกตามหา” แดนไม่พูดเปล่า เขาหยิบรูปที่เขาวาดตอนเป็นเด็กออกมาจากกระเป๋าเป้ ภาพของใครคนหนึ่งในชุดชนเผ่า ที่มีชื่อเขียนกำกับไว้ว่า 'ด้าจก์ซาย'

แมทตื่นนอนตั้งแต่ฟ้ายังมืดอยู่ ชายหนุ่มเด้งตัวลงจากเตียงนอนปูฟูกบาง ๆ นั้น เขาคิดที่จะทำเรื่องขอฟูกแบบนี้มาอีกหลังหนึ่ง หลังจากรู้มาว่า ด้าจก์ซายนอนบนพื้นไม้กระดานแข็ง ๆ มีเพียงหมอนแบน ๆ ใบหนึ่งรองหัว เพียงแต่ยังคิดหาเหตุผลบอกคนอื่นไม่ได้ ว่าจะแบกฟูกออกจากค่ายยังไง ด้าจก์ซายไม่เคยร้องขอหรือเรียกร้องอะไรจากเขา แต่เป็นที่แมทเอง ที่อยากทำให้ อยากอำนวยการอะไรก็ได้ ที่ทำให้ชีวิตของด้าจก์ซายสะดวกขึ้น

นายทหารช่างหนุ่มเตรียมกระติกใส่น้ำร้อนพร้อมแก้วสองใบ เตรียมผงไมโล เหมือนกับทุกครั้งที่เขาออกไปเจอด้าจก์ซาย ที่ตอนนี้เป็นคนรับหน้าที่เอาเสบียงมาส่งให้กับทางฐาน แมทจัดการเอาของทั้งหมดใส่เป้ทหาร แล้วรีบเดินมุ่งไปทางเดินเข้าป่า เขาอยากจะออกไปก่อนที่คนอื่น ๆ จะเริ่มกิจวัตรยามเช้า มันเป็นการดีที่จะไม่ต้องตอบคำถามอะไรใคร เพราะเมื่อตอนที่เขากลับค่ายมา ก็ถือว่า ภารกิจของเขาลุล่วงแล้ว

แมทมารอด้าจก์ซายที่เดิม ตรงจุดนัดพบประจำ อากาศยามเช้าเหน็บหนาว แต่สดชื่นอยู่ในที ยิ่งแมทรู้ว่า เขากำลังจะได้พบหน้าคนที่เขาคิดถึง เฝ้ารอโอกาสในวันรับเสบียง ที่เขาจะได้ออกมา โดยไม่ต้องหาคำโกหกหรือข้อแก้ตัวใด ๆ ในใจยิ่งลิงโลด มันแล่นนำหน้ามารอด้าจก์ซายก่อนหน้าที่แมทจะเดินมาถึงเสียอีก นายทหารช่างนั่งรอที่ตรงขอนไม้ใหญ่ มันหลบมุม เงียบสงบ และนั่งสบาย

แดนนั่งรออยู่ตรงนั้นพักใหญ่ ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาจากที่ไกล ๆ แดนหลบเข้าที่กำบัง ก่อนจะแอบดูต้นกำเนิดเสียงนั้น ว่ามาจากที่ใด เขาเฝ้ารอดู นิ่งเงียบ เสียงฝีเท้าดังมาไกล ๆ จากแนวชายป่าด้านที่ติดกับฝั่งชายแดนไทย แสงแรกของวันทำให้เห็นสภาพแวดล้อมชัดขึ้น ความมืดค่อย ๆ สลายตัวจากไป แมทมองไปทางเสียงนั้น ก่อนจะเห็นด้าจก์ซายเดินโผล่พ้นออกมาจากเงามืดต้นไม้

ด้าจก์ซายชะงักเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเดินออกมาจากพุ่มไม้ใหญ่ สายตาปรับภาพในความสลัวนั้น จนแน่ใจว่าเป็นนายทหารช่างหนุ่ม เขาจึงยิ้มออกมา แมทเดินเข้ามาหาด้าจก์ซาย ก่อนรีบรับเอาตะกร้าไม้สานลงจากบ่าของอีกฝ่าย มันหนักอึ้ง จนเขานึกสงสารและเห็นใจด้าจก์ซายที่ต้องแบกขึ้นหลัง เดินขึ้นเขา ผ่านป่ามาเป็นระยะทางไกลขนาดนี้

“เหนื่อยมั้ย” แมทสะกิดเบา ๆ ที่แขนของด้าจก์ซาย ก่อนถามออกไป เขารู้ว่าอีกฝ่ายต้องอ่านริมฝีปาก ถึงจะเข้าใจภาษาไทย แต่เขาเองที่พูดไทยไม่ได้ ก็ไม่รู้จะหาวิธีไหนที่จะสื่อสารกับด้าจก์ซายให้เข้ากันใจ ได้ดีกว่านี้ ด้าจก์ซายหันมามองที่ริมฝีปากของแมท มองดูสิ่งของที่อยู่รอบ ๆ ก่อนจะเอามือบีบที่ไหล่ของตัวเอง แมทพยักหน้า เพราะเขาคิดว่าด้าจก์ซายพยายามที่จะเข้าใจ ในสิ่งที่เขาถาม นายทหารช่างหนุ่มเห็นด้าจก์ซายส่ายหน้าแล้วยิ้มให้

“ขอโทษนะ ที่ให้แบกของหนัก ๆ มาแบบนี้” แมทยื่นมือไปจับมือของด้าจก์ซายเอาไว้ เจ้าของมือมองมาที่แมท ดวงตาใสแป๋ว หน้าหวาน ๆ นั้น มีหยาดเหงื่อเกาะพราวอยู่ แมทเอามือข้างที่เหลือ หยิบผ้าขนหนูขึ้นซับเหงื่อให้อีกฝ่าย ด้าจก์ซายก้มหน้าด้ววยความเขิน ก่อนจะดึงมือของตัวเองคืน แล้วรับผ้าขนหนูนั้น มาซับเหงื่อเอง

แมทเองตอนนี้ใจเต้นแรง หน้าหวาน ๆ ยิ้มอาย ๆ ของคนตรงหน้า ทำให้ความรู้สึกของเขาเตลิดเปิดเปิง ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว แล้วมาแข็งแรงอยู่ที่กึ่งกลางลำตัวของเขา จนแมทต้องพยายามข่มความต้องการทางกายนั้นลง ซึ่งมันยากมากสำหรับเขา กับการที่ต้องมาใกล้ชิดกับด้าจก์ซายแบบนี้

“ดื่มไมโลก่อน” แมทรีบเบี่ยงความคิดของตัวเอง เขายื่นถ้วยไมโลให้อีกฝ่าย ด้าจก์ซายเห็นแมทเติมน้ำผึ้งลงไปในถ้วย ก่อนส่งมาให้เขา ด้าจก์ซายแบ่งน้ำผึ้งที่หาได้มาให้กับแมท โดยเอาไปขายที่ตลาดน้อยลง แมทแบ่งข้าวสารคืนกลับไปให้ด้าจก์ซายด้วยเช่นกัน แมทรู้สึกแย่มาก ที่รู้ว่าด้าจก์ซายต้องอดอาหารอยู่เนือง ๆ ในช่วงที่น้ำผึ้งหายาก ส่วนของป่า ก็มีคนอื่นเอามาขายด้วยเช่นกัน หลาย ๆ ครั้ง ด้าจก์ซายต้องเข้าไปในป่าลึกขึ้น ๆ เพื่อหาของไปขาย

แมทมองด้าจก์ซายป่าไล่ความร้อน ไอร้อนที่ลอยฉุยอยู่เหนือปากถ้วย หวไปตามแรงลมหายใจนั้น แมทรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความคิดของเขาล่องลอยไปไกลถึงขนาดคิดว่า มันจะเป็นยังไง ถ้าหากว่าเขาสามารถพาด้าจก์ซาย กลับไปที่บ้านเกิดของเขาได้ มันคงจะดีไม่น้อย ชีวิตของเขาคงถูกเติมเต็ม เมื่อมีด้าจก์ซายเข้ามาร่วมแชร์ในทุก ๆ อย่างที่เขามี ชีวิต ความคิด ความรู้สึก รวมถึงเตียงนอนเดียวกันใต้ผ้าหุ่มอุ่น แมทคิด

“ด้าจก์ซาย” แมทแตะเบา ๆ ที่แขนของอีกฝ่าย เจ้าของชื่อหันมองมาที่เขา รับรู้ว่านายทหารช่างหนุ่มเอ่ยชื่อเขาออกมา “ฉันชื่อแมท ฉันเป็นทหารช่าง ฉันเป็นคนอังกฤษ บ้านเกิดของฉันไม่ไกลจากลอนดอนมากนัก บ้านฉันหลังเล็ก ๆ แยกออกมาจากหลังของพ่อแม่แล้ว ฉันอยากให้เราไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่นั่น นี่คือความฝันของฉัน เธอเข้าใจฉันมั้ย” ด้าจก์ซายเลื่อนสายตาจากริมฝีปากของแมท ขึ้นไปสบสายตา ที่ได้ยินน้ำเสียงที่จริงจังแต่เจือไปด้วยอารมณ์อ่อนไหวนั้น

แมทมองมาที่ด้าจก์ซาย เขาอยากให้อีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดมากกว่านี้ แต่มันดูจะเป็นไปไม่ได้เลย ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่เคยย่อท้อที่จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร เมื่ออุปสรรคใหญ่นี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ไขมัน ด้าจก์ซายมองใบหน้าของแมท ความรู้สึกนี้ มันบอกให้ด้าจก์ซายมองสำรวจใบหน้าของแมทให้ทั่ว

ด้าจก์ซายไล่สายตาจากผมสีน้ำตาลตัดสั้นเกรียนตามแบบฉบับของทหาร ไล่ลงมาที่คิ้วเข้ม ๆ เหนือดวงตาสีฟ้าอมเขียวคู่นั้น จมูกที่โด่งเป็นสันคม แก้มสองข้างที่มีกระจาง ๆ บนผิวที่ขาวนั้น ไรหนวดเขียวที่เพิ่งโกนมาได้ไม่กี่วัน กับริมฝีปากที่เข้ารูปรับกับคางที่ยาวลงมาได้รูป ด้าจก์ซายยกมือขึ้นแตะลงบนใบหน้าของแมท ปลายนิ้วไล่สัมผัสไปตามที่สายตามองเห็น เก็บภาพนั้น บันทึกลงไปในความทรงจำ โดยใช้หัวใจจดจำทุกอย่างเอาไว้ ด้วยว่าภาพจำนี้คือสิ่งล้ำค่าที่มีอยู่จริงในชีวิตของด้าจก์ซาย

แมทซึมซับความรู้สึกที่เขาได้รับจากสัมผัสที่อ่อนละมุนนั้น สายตาของแแมทมองตามสายตาของด้าจก์ซาย ที่มองมาที่ใบหน้าของเขา แมทมองเห็นแววตาอ่อนโยนนั้นชัดเจนออกมาจากด้าจก์ซาย นายทหารช่างหนุ่มนึกเขิน เมื่อรับรู้ได้ว่า ด้าจก์ซายเว้าวอนมองกระจาง ๆ ที่โหนกแก้มของเขา มันเป็นตำหนิที่เขาเคยนึกรังเกียจ แต่จุดด้อยที่เขาอยากจะลบมันทิ้งไป กลายมาเป็นจุดเด่นที่คนคนนี้ มองมันด้วยสายตารักใคร่

ตอนที่นิ้วเล็ก ๆ ของด้าจก์ซาย ระไล่ไปตามรอยเคราของเขา แมทควบคุมแก่นกลางลำตัวของเขาเอาไว้ไม่อยู่จริง ๆ มันชูชันขึ้นทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้จับต้องเพื่อเร้าอารมณ์ของเขา แต่แมทรู้สึกว่า มันช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนเย้ายวนและวาบหวามที่สุด ที่ชายหนุ่มแบบเขาเคยรู้สึกมา แมทกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก สิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัว ที่อยากจะทำกับด้าจก์ซาย มันจะทำให้เขาเป็นคนเลวมากมั้ย แมทได้แต่หักห้ามใจตัวเองเอาไว้อย่างที่สุด

“ถ้าฉันจะจูบเธอตอนนี้ เธออาจจะเกลียดฉันไปตลอด แต่ถ้าฉันไม่ทำ ฉันอาจจะพลาดโอกาสเดียวที่มีนี้ ตลอดไป” แมทพูดขึ้น ขยับตัวเข้าไปนั่งชิดกับด้าจก์ซาย มือหนึ่งหยิบถ้วยไมโลจากมือของด้าจก์ซายไปวางไว้ข้าง ๆ โดยที่สายตาของแมท ไม่ละจากใบหน้าของด้าจก์ซายเลย แมทใจเต้นแรง รู้สึกหายใจขัด เมื่อเขาบรรจงประทับริมฝีปากของตัวเอง ลงบนปากของด้าจก์ซาย นายทหารช่างหนุ่มสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่าย ก่อนจะขยับริมฝีปากของเขา เริ่มเม้มขบกับอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะเริ่มแรงขึ้นจากอารมณ์ความต้องการที่มันทะยานมากขึ้น

แมทบดริมฝีปากจูบด้าจก์ซาย อย่างคนกระหายน้ำ ความหอมหวานปานน้ำผึ้งที่เขาได้รับ มันทำให้เขาตักตวงจากคนตรงหน้าอย่างกลัวว่า เขาจะไม่ได้มีโอกาสแบบนี้อีก ด้าจก์ซายอยากจะขัดขืน แต่ร่างกายกลับอ่อนยวบ แรงต่อต้านแทบไม่มีเหลือ ความขัดแย้งนี้ ทำให้ด้าจก์ซายรู้สึกไม่เข้าใจตัวเอง เขาไม่เคยคิดที่จะทำอะไรแบบนี้กับใคร

ยิ่งตอนที่แมทแทรกลิ้นเข้ามาในโพรงปากของเขา ด้าจก์ซายรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของตัวเอง ทั้งลมหายใจที่หนักหน่วงขึ้น เมื่อแมทใช้ลิ้นทั้งดุน ทั้งดัน ทั้งฉกลิ้มเอาความโอชะนั้นตามอำเภอใจ แมทดึงเอาตัวของด้าจก์ซายเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา นายทหารช่างหนุ่มรู้ดีว่า ถ้าเขาไม่หยุดตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทุกอย่างจะเลยเถิดจนเกินการควบคุม และมันจะไม่มีวันถอยหลังกลับมาได้อีก

“ผมอยากบอกแทนแมทว่า เขาจำวันนั้นได้ดี ถึงสิ่งที่เขาได้สัญญาเอาไว้” แดนอยากจะให้ด้าจก์ซายที่เป็นเอิงในตอนนี้ รับรู้ว่า แมทเองต้องการที่จะทำสัญญานั้นให้สำเร็จมากแค่ไหน เอิงที่สัมผัสรับรู้ถึงชีวิตของด้าจก์ซายได้เป็นอย่างดี ชีวิตที่ไม่มีแมทอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว “ซายเขาเฝ้ารอให้แมทกลับมา” เอิงพูดขึ้น โดยมีความรู้สึกของด้าจก์ซาย อยู่ท่วมท้นข้างในใจ

“แต่แมทก็ไม่กลับมา” เอิงรู้ ว่าแดนพยายามอธิบายให้เขาฟังอยู่ ว่าแมทไม่ได้ต้องการจะผิดสัญญา แต่เอิงไม่สามารถตัดกระแสความเศร้าที่กำลังถาโถมเข้าหาเขาได้เลย มันเหมือนกับเมื่อเปิดประตูแห่งอารมณ์นี้แล้ว เอิงไม่สามารถปิดมันลงไปได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองเพียงลำพัง “นี่เป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ไมโล คือ ที่แมทเขียน แต่เขาไม่มีโอกาสได้ส่ง” แดนยื่นรูปในโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้เอิงดู เอิงอ่านเนื้อความในจดหมายนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง

“เขาอยากจะมาหาซาย เฝ้ารอวันแล้ววันเล่า” แดนเองก็รับกระแสความรู้สึกของแมทที่ยังคั่งค้างจากหนหลัง ได้เป็นอย่างดี โดยที่แดนอัดอั้นไม่น้อยไปกว่าเอิง เมื่อมันเหมือนกับว่า แดนและเอิงตอนนี้คือประตูอารมณ์ของทั้งแมทและด้าจก์ซาย ที่ถาโถมซัดเข้าหากัน เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่สามารถล่วงรู้ชีวิตของกันและกัน หลังจากที่ต้องแยกจากกันไปได้

“แมทถูกพวกมันรุมฆ่าตายในคืนวันเดียวกัน กับที่เขียนจดหมายฉบับนี้” แดนพูดขึ้น เอิงรู้สึกตกใจอย่างที่สุด ที่ได้ยินแบบนั้น น้ำตาของเอิงไหลลงมาเป็นทาง “ก่อนเขาจะสิ้นลม เขาพยายามจะคลานออกมาจากตรงนั้น เผื่อว่าเขายังจะมีโอกาสอีกสักครั้ง ครั้งสุดท้าย ที่จะได้มาเจอด้าจก์ซาย” เอิงตอนนี้รู้สึกเหมือนหัวใจของเขากำลังถูกมือใหญ่ ๆ บีบบิด จนมันผิดรูปผิดร่าง ความเกรี้ยวกราดจากอารมณ์ที่คงเหลือมาจากกาลก่อน พัดกระหน่ำใจของเขา

อันน์เบือนหน้าหันไปอีกทาง เมื่อรับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เธอรีบปาดเช็ดน้ำตาอย่างลวก ๆ ให้น้ำตาอุ่น ๆ นั้นหมดไป แต่มันกลับไหลกลับลงมาอีกอย่างต่อเนื่อง ฐานทัพที่รู้สึกเศร้าใจไปกับเรื่องราวนี้ หยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นให้กับอันน์ เขารู้ ว่าอันน์รู้สึกสะท้อนใจไปกับความไม่แฟร์ที่เกิดขึ้นกับแมทและด้าจก์ซาย จึงร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป แต่เป็นที่ฐานทัพเอง ที่ไม่อยากเห็นอันน์ต้องเสียน้ำตา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ๆ ก็ตาม อันน์รับผ้าเช็ดหน้ามาอย่างว่าง่าย

เมื่อดาวเจ้าเรือนวินาศน์ หรือเรือนอนาทรร้อนใจ มาตกในเรือนตนุ หรือเรือนตัวตน เจ้าชะตามักได้รับความยุ่งยาก ความลำบาก ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด มีอุปสรรคเข้ามา มีคนเกลียดชัง เจ้าชะตาอาจจะพิกลพิการ ชีวิตถูกจำกัดให้อยู่ในขอบเขต มีความลับบางอย่าง ที่ไม่สามารถเปิดเผยให้คนอื่นล่วงรู้ได้ เสียอะไรไปแล้ว บางทีก็ได้คืน แต่อาจจะได้คืนมาในรูปอื่น

ด้าจก์ซายใช้เชือกพันกล่องใบนั้นจนรออบ แล้วมัดมันเอาไว้เป็นเงื่อนตาย เพื่อไม่ให้ของข้างในกล่อง หลุดร่วงออกมา ด้าจก์ซายกอดกล่องใบนั้นจนแน่น สายตามองตรงไปข้างหน้า ออกวิ่งไปเรื่อย ๆ แม้ว่าใกล้จะหมดแรง พื้นโคลนลื่น ๆ ทำให้ด้าจก์ซายต้องล้มลงกับพื้นนับครั้งไม่ถ้วน ร่างกายไถลตกลงไปจากที่เดิม จนต้องตะเกียกตะกายยันตัวให้ลุกขึ้นมาได้ใหม่ น้ำตาที่ไหลลงมา ปล่อยให้มันไหลไป ภายในใจจดจำภาพใบหน้าของแมท นายทหารช่างชาวอังกฤษคนนั้น จากภาพจำเมื่อครั้งนั้น ที่ได้แตะนิ้วไล่สัมผัสใกล้ชิด ภาวนาอยู่ภายในใจ ว่าจะไม่ลืม ต่อให้กายต้องดับสลายลง ณ ตอนนี้



***************************

https://www.youtube.com/watch?v=yP1f93CFPm8

ที่สุดของความเสียใจ

คือตอนที่เสียเธอไป

มันคงเป็นความทุกข์ใจ

ที่สุดที่ฉันมี

แต่เมื่อเวลาพ้นผ่าน

ความสุขที่ฉันพอมี

มันคือเวลาที่ฉันได้คิดถึงเธอ

ไม่กลัวและไม่หวั่น

เรื่องร้ายร้ายใดใด

ไม่กลัวแม้โรคภัย

กลัวแค่ความจำลบหาย

หากมีปาฏิหารย์

ขอพรได้ครั้งสุดท้าย

ฉันขอแค่เพียงก่อนตาย

ฉันจำเธอได้ก็พอ

ได้กลับมานั่งทบทวน

เรื่องราวเหล่านั้นอีกที

เวลาดีดีช่วงที่มีเธอข้างกาย

ได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตา

เป็นสุขลึกลึกในใจ

และรู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทาง

จะได้เธอ คืนมา

ไม่กลัวและไม่หวั่น

เรื่องร้ายร้ายใดใด

ไม่กลัวแม้โรคภัย

กลัวแค่ความจำลบหาย

หากมีปาฏิหารย์

ขอพรได้ครั้งสุดท้าย

ฉันขอแค่เพียงก่อนตาย

ฉันจำเธอได้ก็พอ



หากมีปาฏิหารย์

ขอพรได้ครั้งสุดท้าย

ฉันขอแค่เพียงก่อนตาย

ฉันจำเธอได้ก็พอ

ที่สุดของความเสียใจ

คือตอนที่เสียเธอไป

มันคงเป็นความทุกข์ใจ

ที่สุดที่ฉันมี

แต่เมื่อเวลาพ้นผ่าน

ความสุขที่ฉันพอมี

มันคือเวลาที่ฉันได้คิดถึงเธอ

คือเวลาที่ดีที่สุดที่ฉันเคยมี
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๕ วินาศน์ - ตนุ (เดียวดายกลางคลื่นลม)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 27-04-2022 22:07:00
 :hao5: :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๖ ศุภะ - พันธุ (ถึงกาลกลับตาลปัตร)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 28-04-2022 18:52:43

๑๖.



ศุภะ – พันธุ (ถึงกาลกลับตาลปัตร)





“แกเข้าไปรอในห้องฉัน เดี๋ยวฉันโทรบอกน้องต้อนรับ ว่าให้เอาคีย์การ์ดสำรองให้แก แกจะได้ใช้ลิฟต์ได้ แต่รออยู่เฉย ๆ อย่าวุ่นวาย เข้าใจมั้ย ส่วนรหัสเข้าห้องเดี๋ยวฉันส่งข้อความไปให้” อันน์พูดจบก็กดวางสาย ก่อนจะเปิดแอปพลิเคชันแชทขึ้นมาพิมพ์รหัสคีย์แพดประตูห้องของเธอ ก่อนกดส่งไป อันน์หันไปสั่งงานกับผู้ช่วยหน้าห้อง แล้วก็รีบออกไปทันที

ฐานทัพที่เพิ่งกลับมาจากไปเข้าห้องน้ำ เดินกลับมาที่ห้องทำงานของอันน์ แต่ก็ไม่พบเจ้าตัวนั่งอยู่ เขามองหาอีกฝ่ายไปทั่วออฟฟิศ แต่ก็ไม่พบ สอบถามกับผู้ชายหน้าห้องของอันน์ ได้ความว่าเห็นอันน์รับโทรศัพท์ ก่อนจะสั่งงานไว้และรีบออกไป ฐานทัพมองดูนาฬิกาข้อมือ มันเลยเวลาเลิกงานมาพอสมควรแล้ว ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าอันน์รีบออกไปเจอใคร

อันน์เปิดประตูห้องเข้ามา เธอมองเห็นชายหนุ่มคนนั้น นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ เสียงประตูเปิดทำให้เขาหันกลับมามอง ก่อนจะเผยยิ้มเหงา ๆ ให้กับเจ้าของห้อง อันน์วางกระเป๋าสะพายและเอกสารลงบนโต๊ะไม้กลม เธอมองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างนั้น แล้วพลางนึกขำ กับท่าทางซึมกะทือ ไม่เหมือนคนเดิมที่เธอเคยเห็น ตั้งแต่รู้จักกันมา

“ซะหน่อยมั้ย” อันน์กล่าวกับชายหนุ่ม ขณะยกขวดวิสกี้เจียระไนขึ้นรินน้ำสีอำพันลงในแก้ว “ไม่ล่ะ เพิ่งสร่างเมาเนี่ย” ชายหนุ่มปฏิเสธคำชวน “แต่ฉันต้องขอสักหน่อย” อันน์ยกแก้วขึ้นจิบ ก่อนจะตัดสินใจกระดกเหล้าที่เหลือในแก้วลงคอไปพรวดเดียว แล้วจึงรินเติมแก้วใบนั้นใหม่อีกครั้ง

“วันนี้เจอมาหนักขนาดนั้นเลยหรือ” ชายหนุ่มที่เคยชินตา กับการกระดกเหล้าเพียว ๆ ของอันน์ ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ก็ยังอดเอ่ยปากถามไม่ได้ “ยิ่งกว่าสิแก” อันน์พูดขึ้น ก่อนจะไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟานุ่มตัวใหญ่ แล้วจึงสะบัดส้นสูงคู่แพงให้หลุดออก เธอเป่าลมออกจากปาก เหมือนจะระบายความเหนื่อยล้าในวันนี้ให้บรรเทาลง

“เอิงมันเป็นไงบ้าง” อันน์สบตาคนถาม ถอนหายใจอีกครั้ง “ฉันไม่เคยเห็นมันเซได้ขนาดนี้มาก่อน” อันน์ตอบไปตามความจริง “แก นี่มันไอ้เอิงนะ คนที่ไม่หวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น” พูดไป อันน์ก็ยิ่งนึกห่วงรุ่นน้อง “ปราชญ์ ตั้งแต่คบกันมันมา แกเคยเห็นมันร้องไห้ฟูมฟายบ้างมั้ยล่ะ” เจ้าของชื่อส่ายหน้าแทนคำตอบ

“แต่มันก็น่าเหลือเชื่อจริง ๆ นะเจ้” ปราชญ์ที่ได้ฟังเรื่องราวคร่าว ๆ จากอันน์ก่อนหน้านี้ ยังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน “ฝรั่งมันมั่วหรือเปล่า” ปราชญ์ถามแบบตั้งข้อสังเกต “มั่วไม่มั่ว คุณแดนก็ไปตามหาหลักฐานมาให้ดู แถมไอ้เอิงยังเล่าต่อเหตุการณ์กับคุณแดนเข้าได้อีก ถ้านี่ไม่ใช่เรื่องจริง สองคนนี้ก็เข้าขากัน จนเป็นตุเป็นตะกันเกินไปแล้วล่ะ คนมันไม่รู้จักกันมาก่อน” อันน์เองยังยอมจำนนกับข้อที่ว่านี้

“ตอนเรียนมันก็ไม่สนใจใครเลยจริง ๆ นั่นแหละ” ปราชญ์จำได้ดี ถึงเอิงที่นิ่งมากกับเรื่องความรัก “ขนาดมีหนุ่ม ๆ มากมายหลายคณะ เวียนมาขายขนมจีบมัน มันเคยมองใครซะที่ไหน” ปราชญ์ยังจำภาพหนุ่มหล่อหลายคน เดือนคณะ เดือนมหาวิทยาลัย เกือบทุกชั้นปี ที่ต้องหน้าม้านกลับไป เพราะอาการนิ่งเฉย ไม่หือไม่อือกับใครทั้งนั้นของเอิง

“นี่ถ้าไม่มีเรื่องนี้นะ ฉันจะให้มันไปบวชชีแล้วนะ” อันน์พูดติดตลก ปราชญ์พอจะเผยยิ้มออกมาได้ “แก ปราชญ์ ไอ้เอิงมันบอกอีกว่า มันเห็นคนที่หน้าตาเหมือนแก ในภาพอดีตของมันด้วยนะ” ปราชญ์ที่ได้ยินแบบนั้น ถึงกับขมวดคิ้วสงสัย “ผมเนี่ยนะ” ปราชญ์ชี้นิ้วที่ใบหน้าของเขาเอง “ก็มันบอกกับฉันแบบนั้น” อันน์ยืนยันถึงสิ่งที่เอิงพูดกับเธอ

“แถมมันยังบอกอีกว่า แกมีเลิฟ อินเทอเรสต์ เป็นคนที่มันเป็นเมื่อครั้งโน้นด้วยนะ” ปราชญ์ฟังแล้วคิดว่า นี่ต่างหากที่ไม่น่าเชื่อหูตัวเองมากที่สุด “โห เจ้ เจ้อันน์ก็รู้ ว่าเคยมีคนพยายามจับคู่ผมกับไอ้เอิง มันยังบอกเลย ว่าผมน่าขนลุกมากที่สุด ในบรรดาผู้ชายร้อยแปดที่มันโดนจับคู่ด้วย”

ปราชญ์ยังนึกขำเมื่อรู้ว่า มีคน 'จิ้น' เขากับเอิง ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า มีคนเห็นเขากับเอิงอยู่ด้วยกันเสมอ อันน์เองยังจินตนาการไม่ออก หากว่าเอิงตกลงคบกับปราชญ์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ปราชญ์ที่อันน์รู้จัก ไม่เคยมีใจว่อกแว่กไปจากคนของตัวเองเลย

“ว่าแต่ ยังไง แกน่ะ พอจะบอกอาการของแกให้ฉันฟังได้หรือยัง” อันน์ยิงคำถามใส่รุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย เธอสังเกตได้เลยว่า ใบหน้าของปราชญ์ดูหมอง ๆ ไปจากเดิม รุ่นน้องคนที่สองของเธอที่มีปัญหาพุ่งใส่ชีวิต “ปั๋นเงียบหายไปเลยว่ะเจ้ ผมไม่รู้จะไปตามหาที่ไหนแล้ว” ปราชญ์พูดระบายความอัดอั้นออกมา กับเวลาเป็นเดือน ๆ ที่เขาเที่ยวตามหาว่าปั๋นไปอยู่ที่ไหน

“ไปมันมาทุกที่ที่คิดออกแล้ว ก็ยังไม่มีเจอตัว แถมอาจารย์ที่ปรึกษาที่รู้ว่า ปั๋นเริ่มทำงานแล้ว ก็ไม่ยอมบอกผมอีก ว่าปั๋นไปทำงานที่ไหน แถมปั๋นก็ใจแข็งเกิน ไม่โทรหา ไม่ติดต่อผมกลับมาเลย” อารมณ์หงุดหงิดปนเศร้าส่งผ่านออกมากับน้ำเสียงของปราชญ์ “ปั๋นมันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนแล้วหรือ” อันน์ถามขึ้น เผื่อว่าปราชญ์จะหลงลืมใครไป

“ตั้งแต่แม่ของปั๋นเสีย ปั๋นก็มีแต่ผมนี่แหละ ที่เหมือนญาติคนสุดท้าย” ปราชญ์ตอบคำถามของอันน์ ตั้งแต่นั้นมา ปั๋นก็เหมือนคนไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีใครคิดอยากจะมาวุ่นวายด้วย “แล้วที่แกบอกว่า เอิงมันเคยดูให้ ว่าปั๋นมันมีดวงผู้ใหญ่ให้การอุปถัมภ์ แล้วอย่างนี้มันจะเป็นจริงไปได้ยังไงวะ” อันน์นึกสงสัย เพราะปกติ เอิงเวลาตรวจดวงให้ใคร มักไม่พลาด หรือผิดจากสิ่งที่เกิดขึ้นไปไกลนัก

นี่ก็อีกคน อันน์คิด ปราชญ์ที่เคยเป็นคนจัดแจงจัดการ อะไรได้ทุกอย่าง กลับต้องมาจนมุมกับ 'คนของผม' จนดูเหมือนจะหาทางออกไม่ได้ ดูไป อันน์ก็นึกเห็นใจปราชญ์อยู่ไม่น้อย แม้ว่าอันน์จะรู้ว่า ปราชญ์เอาแต่วิธีของตัวเองเท่านั้น เวลาที่อยู่กับปั๋น แต่เธอก็รู้ดีว่า ปราชญ์จริงจังและจริงใจกับเด็กคนนั้นมากขนาดไหน อันน์หมุนแก้วเหล้าในมือของตัวเองไปมาเบา ๆ พลางช่วยนึกความเป็นไปได้ในกรณีนี้

“ผู้ใหญ่อุปถัมภ์” อันน์พึมพำออกมา “หรือว่ามีเสี่ยรวย ๆ อุ้มหายไปแล้ววะ” อันน์พูดแหย่รุ่นน้อง เพราะรู้ว่าได้ผล “อีเจ้อันน์ อย่าร้าย” ปราชญ์หันขวับมาดุเจ้าของเพ้นท์เฮ้าส์ห้องนี้เข้าให้ ก็คงจะมีแต่อันน์นี่ล่ะมั้ง ที่ถึงยังไง ปราชญ์ก็โกรธไม่ลง แม้ว่าจะพูดจาไม่เข้าหูแบบนี้ก็ตาม

“อ้ะ ๆๆ เอาดี ๆ ก็ได้ คำว่าผู้ใหญ่เนี่ย มันก็ไม่จำกัดแค่ญาติของไอ้ปั๋นมันเท่านั้นนี่ ใครที่นึกเอ็นดู หรือสนิทกับมัน ก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ ใช่มั้ยล่ะ” อันน์ว่า ปราชญ์ต้องลองถอยออกมามองภาพกว้าง ๆ คนเรามันคงไม่ถึงกับอาภัพ จนไม่มีใครในชีวิตสักคนหรอก ปราชญ์ฟังแล้วนึกตามที่อันน์พูด ซึ่งเขาก็เห็นว่าเข้าเค้า จนปราชญ์นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“อีเจ้ ขอบคุณมาก เจ้อันน์ ขอบคุณมาก” ปราชญ์กระโดดพรวดมาหอมแก้มอันน์ฟอดใหญ่ อันน์ร้องว้ายตกใจ ที่อยู่ ๆ ปราชญ์ทำแบบนั้น “อะไรของแก อีปราชญ์ อีบ้า” อันน์ถามพลางเช็ดรอยหอมของปราชญ์ทิ้ง “นอกจากจะสวยแต่แรดแล้ว เจ้ยังฉลาดที่สุด นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน จะดูดปากเจ้ซักจ๊วบ แต่ เอาไว้ก่อน ติดไว้ก่อนจะเจ้ ผมไปก่อนล่ะ ผมรีบ” ปราชญ์ละล่ำละลักพูดด้วยความตื่นเต้น อันน์ที่บอกว่าเธอไม่ต้องการจูบอะไรนั่น ตะโกนถามไล่หลังปราชญ์ไป ว่าเขาจะไปไหน เสียงตอบกลับมาไกล ๆ ว่า 'เชียงราย'

ปราชญ์จับเครื่องบินเที่ยวเช้าสุด ในวันรุ่งขึ้น ทันทีที่เขาขับรถเช่าออกจากสนามบินแม่ฟ้าหลวง ปราชญ์ลดกระจกลง อากาศเย็นสบายพัดผ่านใบหน้าของเขา ปราชญ์รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันทีในรอบหลายเดือน เขาขับรถขึ้นดอยไปด้วยความหวังที่มีอยู่เต็มเปี่ยม เขามั่นใจว่า เขาจะต้องเจอปั๋น เมื่อเขาขับรถจนถึงที่หมาย กำลังใจของเขาหลั่งไหลเข้ามาเติมพลังกาย ปราชญ์รู้ว่าเขาคิดไม่ผิดอย่างแน่นอน

“คุณปั๋นดื่มกาแฟก่อน” ปั๋นหันมาตามคำชวนนั้น ก่อนจะยกมือไหว้ของคุณผู้มีวัยวุฒิมากกว่า ที่ยกกาแฟมาให้ “ไม่ต้องไหว้ป้าแล้วลูก” ผู้มีอายุอานามราวป้าเอ่ยห้าม เพราะถือว่าตอนนี้ กลายเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว “หอมอร่อยมากเลยครับ ป้านวลรู้ใจผมที่สุด” ปั๋นจิบกาแฟ ก่อนจะเอ่ยชมคุณป้าแม่บ้าน ที่ปั่นฝากท้องเอาไว้ด้วย ตั้งแต่ที่มาถึงที่นี่ใหม่ ๆ

“เดี๋ยวนี้ปั๋นมีคนที่รู้ใจมากกว่าพี่แล้วหรือครับ” ปั๋นหันไปมองตามเสียงที่ไม่ได้ยินมาหลายเดือนนั้น “คุณปราชญ์” ปั๋นตกใจที่เห็นปราชญ์มายืนอยู่ตรงหน้าเขา “กลับบ้านกับพี่” ปราชญ์เดินเข้าประชิดตัวปั๋น คว้าข้อมือของปั๋นให้เดินตาม “คุณปราชญ์ ผมไม่ไป” ปราชญ์หันมาส่งสายตาดุใส่ปั๋น ที่พยายามดึงข้อมือของตัวเองให้หลุดออกจากการเกาะกุมนั้น

“คุณคะ คุณจะทำอะไรคุณปั๋น” ป้านวลรีบเข้ามาห้ามชายหนุ่มผู้มาใหม่ “คุณเป็นอะไรกับคุณปั๋น ถึงได้มาบังคับกะเกณฑ์กันแบบนี้ ปล่อยคุณปั๋นเดียวนี้นะคะ” ป้านวลร้องห้าม เมื่อปราชญ์ดึงตัวปั๋นจนปลิวตามแรง ให้เดินตามเขากลับไปที่รถ เสียงเอะอะดังขึ้น ชายหนุ่มสองคนยื้อยุดกันไปมา ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมทำตามอีกฝ่าย “จะไปกับพี่ดี ๆ หรือจะให้พี่ประกาศให้ทุกคนรู้กันทั่ว ว่าพี่กับปั๋นเป็นอะไรกัน” ปราชญ์พูดขู่ปั๋น

“ตาปราชญ์ อย่าทำตัวรุ่มร่าม” เสียงของผู้อาวุโสดังขึ้น ดุและเฉียบขาด “คุณย่า” ปราชญ์หันไป ก็เจอกับเจ้าของเสียงออกคำสั่งนั้น “ปล่อยแขนเจ้าปั๋น” ปราชญ์ทำสีหน้าจะไม่ยอม “นี่ย่าสั่งเราอยู่นะ ปราชญ์” ชายหนุ่มจำใจต้องปล่อยมือจากปั๋น เจ้าของข้อมือพอหลุดจากอุ้งมือที่แข็งเหมือนเหล็กของปราชญ์ได้ ก็ขยับตัวห่างปราชญ์ออกมา ชายหนุ่มรีบเดินตาม หวังจะอยู่ใกล้กับอีกฝ่าย ไม่ให้คลาดสายตาไปไหนได้อีก

“ปราชญ์” เสียงเรียกปรามชายหนุ่มลงได้อีกครั้ง “ขึ้นมาบนเรือนนี่” ย่าของเขาสั่ง “แต่คุณย่าครับ ผมมีเรื่องต้องคุยกับปั๋น” ปราชญ์ให้เหตุผลกับย่าของเขา “ถ้าอย่างนั้น เธอและเจ้าปั๋น ขึ้นมาด้วยกันทั้งคู่ เดี๋ยวนี้” ปราชญ์รู้ว่าคุณย่าของเขาเป็นผู้หญิงดุ เฉียบขาด มาแต่ไหนแต่ไร ปั๋นรับคำผู้อาวุโส เดินน้ำหน้าขึ้นบันไดไป โดยมีปราชญ์เดินตาม บนเรือน ปราชญ์เห็นย่าของเขานั่งอยู่บนตั้งตัวใหญ่ ปั๋นทรุดตัวลงนั่งอยู่ฝั่งหนึ่ง

“เจ้าปราชญ์มานั่งฝั่งนี้” ปราชญ์ที่พุ่งตัวจะเข้าไปนั่งชิดติดกับปั๋น “มานี่” ถึงกับต้องเบรกตัวโก่ง เมื่อโดนย่าจับนั่งแยกห่างกัน ปราชญ์นั่งลงตรงข้ามกับปั๋น ห่างออกมาพอสมควร “คุณย่าครับ” ปราชญ์ประท้วงเสียงอ่อย ผู้มีอาวุโสกว่าส่ายหน้าด้วยอาการเหนื่อยใจ กับนิสัยแก้ไม่หายของหลายชาย ที่อยากจะเอาอะไร อยากจะได้อะไรแล้วล่ะก็ ต้องเอามาให้ได้ ปั๋นนั่งก้มหน้า แกล้งไม่สบตาปราชญ์ ที่มองเขาแบบไม่วางตา

“ปั๋น พี่คิดถึงปั๋นมาก ปั๋นคิดถึงบ้างมั้ย” ปราชญ์เอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม ก่อนจะได้ยินเสียงกระแอมในลำคอของคุณย่า ขัดจังหวะขึ้นมา “มีธุระอะไรถึงได้มาถึงที่นี่ได้ ตาปราชญ์ ร้อยวันพันปี ย่าชวนแล้วชวนอีก แกก็ไม่คิดจะมา” ปราชญ์ยิ้มแหย ๆ เมื่อได้ยินย่าถามคำถามนั้น เขาไม่มาที่นี่ เพราะไม่อยากอยู่ห่างจากปั๋น และตอนนั้นปั๋นปฏิเสธที่จะมาด้วย ถ้าปราชญ์จะมาหาย่า ก็ต้องมาคนเดียว

“ปั๋น แล้วนี่ ตาปราชญ์เขาคิดถึงเธอ ตามมาทวงเธอคืนจากฉัน ตกลง เธอเป็นอะไรกับหลานฉันแน่กันฮึ” คุณย่าหันมาถามปั๋นที่มีท่าทีอึกอักชัดเจน “พี่น้องกัน ต้องตามหวง ตามทวงคืนกันแบบนี้ด้วยรึ แปลก พิลึก” ปั๋นเงยหน้ามองไปทางปราชญ์ ทั้งสองคนสบตากัน ปั๋นส่ายหน้าห้าม จะไม่ให้ปราชญ์พูดอะไรออกไป แต่ปราชญ์คิดว่า มันถึงเวลาแล้ว ที่เขาต้องพูดความจริง

“ปั๋นเป็นแฟนผมครับ ผมกับปั๋น เราคบกันอยู่ครับ” ปราชญ์พูดตอบย่าออกไป ปั๋นหันไปทางผู้อาวุโส “ไม่ใช่นะครับ ไม่จริงครับคุณย่าท่าน คุณปราชญ์พูดแกล้งผมไปอย่างนั้นเอง คุณย่าท่าน อย่าเชื่อนะครับ ไม่ใช่ครับ” ก่อนจะละล่ำละลักพูดออกมา “เราสองคนมีอะไรกันแล้วครับ ผมเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เพราะผมคิดว่าในเมื่อเราเป็นคนรักกัน ผมกับปั๋นถ้าจะนอนด้วยกัน ก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน” ปราชญ์ยังยืนยันตามที่เขาพูด กับคำถามว่า ปั๋นเป็นอะไรกับเขา

“บัดสีจริง ๆ เด็กสมัยนี้” เสียงพูดของย่าขุ่น “แล้วนี่ ตัวก็ยอมให้เขารังแก จะปัดป้องขัดขืนสักหน่อยล่ะมีมั้ย” ย่าหันไปดุขึ้งเอากับปั๋น ที่ได้แต่ก้มหน้า ไม่กล้าพูดอะไรออกมา “เรื่องนี้ ก็ไม่ใช่ว่าย่าจะไม่รู้มาก่อนนะ ตาปราชญ์” หลานชายตัวดีของคุณย่า ถึงกับตกใจหูผึ่ง ที่ได้ยินย่าของเขาพูดแบบนั้น ผู้ที่คนงานโทรมารายงาน เมื่อตอนเห็นปั๋นเดินลงมาจากตึกกลาง ก็คือคุณย่านี่เอง

“แต่พ่อของแกรู้เรื่องได้ยังไง อันนั้น ย่าไม่เกี่ยวด้วย” ปราชญ์ฟังที่ย่าเขาพูด แล้วก็พอจะยิ้มออกมาได้ “แปลว่า คุณย่าทราบอยู่แล้ว เรื่องผมกับปั๋น ถ้าอย่างนั้น ผมขอพาปั๋นกลับกรุงเทพฯ วันนี้เลยนะครับ” ปราชญ์รีบขออนุญาตย่าของเขาทันที “มันก็คงจะง่ายแบบนั้นนะ ถ้าตอนนี้ เจ้าปั๋นไม่ได้เป็นคนของย่า” ปราชญ์อึกอักเมื่อย่าพูดแบบนั้น “แกคิดว่า ใครเป็นคนพาเจ้าปั๋นมาที่นี่กัน เจ้าปราชญ์” ย่าหันมาถามเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง วันที่ปั๋น ออกจากบ้านนั้นมา เด็กหลงทางคนนี้ ที่ร้องไห้เดินออกมาอย่างไร้จุดหมาย มีคุณย่าท่านคนนี้ ที่สั่งให้ปั๋นขึ้นรถมาด้วยกัน

“ที่ย่านิ่งดูดายมาตลอด ก็เพราะย่าคิดว่า พ่อแกจะไม่ถึงกับขับไล่ไสส่งกัน ถึงย่าจะเป็นแม่ของพ่อแก แต่เรื่องภายในบ้านของแก ย่าไม่เคยไปยุ่งด้วย” ย่าของเขาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “ไม่อย่างนั้น ย่าคงพูดเรื่องมรดกของย่าน้อย ที่ยกให้ปั๋นทั้งหมดไปนานแล้ว” ปราชญ์แปลกใจระคนดีใจกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับ “คุณย่าน้อยยกทุกอย่างให้กับปั๋น จริง ๆ หรือครับคุณย่า” ชายหนุ่มรู้ว่า ตอนที่ย่าน้อยยังอยู่ ย่าน้อยเอ็นดูแม่และปั๋นมาก คอยชวนให้ทั้งสองเดินไปหาท่านที่บ้านใน ที่อยู่อีกฟากกำแพงบ่อย ๆ

“ย่าน้อยกลัวว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดกับเจ้าปั๋นเข้าสักวัน ซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ จึงทำพินัยกรรมยกทุกอย่างให้” คุณย่าพูดก่อนจะถอนหายใจออกมา “แต่ย่าน้อยก็มาจากไปเสียก่อน” คุณย่าคิดถึงน้องสาวที่คลานตามกันออกมา “ทุกอย่างเลยถูกละเลยมาจนป่านนี้ ย่าทำผิดกับย่าน้อย แม่ของเจ้าปั๋น และก็เจ้านี่ด้วย” คุณย่าที่คอยดุด่าว่ากล่าวอยู่เสมอ แต่จิตใจของคุณย่า มีแต่ความหวังดีมอบให้ ปั๋นเองก็รู้ว่า คุณย่าท่านให้ความเมตตา ตัวเขาเองไม่คิดโทษผู้อาวุโสกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย

“เมื่อเจ้าปั๋นออกมาจากบ้านของพ่อแกโดยสมบูรณ์แล้ว ก็เท่ากับว่า เจ้าปั๋นมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ตามแต่ที่มันปรารถนา” คุณย่าพูดต่อ “เช่นเดียวกันกับที่ดินผืนนี้ ที่ย่าน้อยยกให้กับเจ้าปั๋นพร้อมรีสอร์ต ย่าที่เป็นเพียงผู้อยู่อาศัย จะไปสั่งให้เจ้าของเขาทำโน่น ไม่ทำนี่ มันก็กระไรอยู่ ดังนั้น เธอก็คิดตริตรองดูเอาก็แล้วกัน ว่าเธอจะคิดอ่านประการใดต่อไป เจ้าปั๋น” คนที่ถูกเรียกว่าเจ้าของที่ไม่อยากให้ผู้อาวุโสคิดแบบนั้น

“คุณย่าท่าน ผมไม่เคยคิดแบบนั้นนะครับ คุณย่าท่านไม่ได้อยู่ที่นี่ในฐานะผู้อาศัยนะครับ” ปั๋นพยายามอธิบายให้ย่าของปราชญ์เข้าใจ “คุณปราชญ์ครับ คุณปราชญ์กลับกรุงเทพฯไปเถอะครับ ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น ผมจะอยู่ที่นี่ คุณย่าท่านครับ ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ วันนี้เราวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องกันมามากพอแล้ว” ปั๋นยกมือไหว้คุณย่าของปราชญ์ ก่อนจะเดินลงเรือนมา ปราชญ์ไม่รอช้า รีบตามลงมาด้วย

“ใช่สิ เดี๋ยวนี้ ปั๋นไม่ต้องการพี่แล้วนี่” ปั๋นได้ยินปราชญ์พูดไล่หลังมา เขาหยุดแล้วหันกลับไปทางปราชญ์ “คุณปราชญ์ครับ การที่ผมมีอะไรมากขึ้นในชีวิต ไม่ได้หมายความว่า ความรู้สึกของผมจะเปลี่ยนไปทั้งหมดนะครับ ความคิดบางอย่างอาจจะใช่ แต่ความรู้สึกของผมยังเหมือนเดิม” ปราชญ์ประหลาดใจที่เห็นบางอย่างในตัวของปั๋นเปลี่ยนแปลงไป และสำหรับปราชญ์ มันดูน่าค้นหามากขึ้น

"ผมได้มาตั้งต้นที่นี่ เริ่มต้นนับหนึ่งด้วยตนเองที่นี่ โดยที่ผมไม่ต้องกังวลว่า จะมีใครมาไล่ผมให้ไปไหนอีก คุณปราชญ์ครับ ถ้าคุณปราชญ์จะเข้าใจ ผมต้องการมีที่มีทางเป็นของตัวเอง สร้างความภาคภูมิใจ สร้างสินทรัพย์ สร้างความมั่นคงให้กับตัวเอง โดยพึ่งพาคนอื่นให้น้อยลง คุณปราชญ์จะไม่ยินดีไปกับผมด้วยหรือครับ ว่าต่อไปผมไม่ต้องพึ่งคุณปราชญ์แล้ว ส่วนเงินสองแสนบาทนั้น คุณย่าท่านบังคับให้ผมโอนคืนไปแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” ปราชญ์ไม่เคยเห็นปั๋นในมุมนี้มาก่อนเลย และมันก็สร้างความประทับใจใหม่ให้กับเขา

“ผมน้า ๆ ป้า ๆ ที่นี่ที่ต้องดูแลพวกเขา มีคุณย่าท่านที่ผมต้องตอบแทนพระคุณ ผมจะอยู่ที่นี่ ส่วนคุณปราชญ์มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ คุณปราชญ์กลับไปทำในสิ่งที่คุณปราชญ์ต้องทำเถอะครับ” ปราชญ์ไม่นึกว่าวันหนึ่ง เขาจะต้องมาโดนปั๋นสั่งสอนเรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบแบบนี้ “สรุปคือ ปั๋นยังรักพี่เหมือนเดิมสินะ” ปราชญ์พูดจบก็ยิ้มกว้างออกมา

“มีตรงไหนที่ผมพูดแบบนั้นกัน คุณปราชญ์ฟังยังไง” ปราชญ์ไม่ได้ฟังที่ปั๋นประท้วงเสียด้วยซ้ำ กลับขยับตัวเดินเข้าไปหาปั๋น “ถ้างั้น พี่จะกลับไปเคลียร์ในส่วนของพี่ให้เสร็จสิ้น แล้วพี่จะกลับมาหาปั๋น พี่จะขอสมัครเป็นคนงานที่รีสอร์ตสักคน หวังว่าคุณเจ้าของจะไม่ใจร้าย ไล่ลูกนกลูกกาคนนี้ไปนะครับ” ปราชญ์พูดพลางทำสายตากรุ้มกริ่มใส่ปั๋น

“คุณปราชญ์มาอยู่ที่นี่ไม่ไหวหรอก มันลำบาก ที่ผมอยู่ที่นี่ได้ เพราะผมลำบากมาจนชินแล้ว” ปั๋นปรามอีกฝ่าย เพราะไม่อยากให้ปราชญ์ต้องมาลำบากด้วย “ทำไมจะอยู่ไม่ได้ ปั๋นอยู่ได้ พี่ก็อยู่ได้ เดี๋ยวพี่จะมาลำบากจนชิน เป็นเพื่อนปั๋น อีกอย่าง ย่าพี่ยังอยู่ได้ เพราะได้ปั๋นดูแล ขอบคุณนะครับ” ปราชญ์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ต่อให้หนีกันไปยังไง สุดท้ายเราสองคนก็กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันเหมือนเดิมอยู่ดี” ปราชญ์ไม่พูดเปล่า ยื่นหน้าเข้าใกล้ปั๋น และจังหวะที่ปั๋นเผลอ ปราชญ์ประกบริมฝีปากของเขาเข้ากับปั๋น ก่อนจะดึงตัวของปั๋นเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด

“คุณปราชญ์ อย่ามาขโมยคุณปั๋นไปจากพวกเรานะคะ” เสียงคนงานห้ามชายหนุ่มไม่ให้มาแย่งคุณปั๋นของพวกเขาไป “คุณปั่นอยู่ที่นี่กับพวกเรานะครับ อย่าไปหลงคารมป้อจายกรุงเทพฯ เน้อ” เสียงใครอีกคนโอดครวญ กลัวว่าปั๋นที่เป็นที่รักของคนงานที่นี่ จะปันใจให้ชายหนุ่มเมืองกรุง แล้วพากันจากที่แห่งนี้ไป

“ตาปราชญ์ เจ้าปั๋น” เสียงดุที่ลอยมานั้น ฟังดูก็รู้ว่า เดี๋ยวทั้งคู่จะต้องเจอดีแน่ ๆ “เพิ่งจะบอกไปหยก ๆ เจ้าปั๋น ว่าเธออย่ายอมง่าย ๆ นี่เข้าใจที่ฉันพูดสอนไปบ้างมั้ยเนี่ย” ปราชญ์ถอนจูบนั้นออก เสียงของคุณย่าทำให้เขารู้ว่า หลังจากนี้ เขาคงจะต้องโดนหยิกจนเนื้อเขียวเป็นแน่ แต่มันก็คุ้มอยู่นะ ที่เขาตามหาปั๋นจนเจอในวันนี้ “ยอมพี่แบบนี้น่ะ ดีแล้วนะครับ คนดี” ปราชญ์พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน โดยมีปั๋น ที่ยอมให้ปราชญ์กอดอยู่ในอ้อมแขนนั้น

ดาวพฤหัส ๕ เทพเจ้าแห่งคุณธรรม เมื่อมาสถิตในภพศุภะ ไม่ว่าพื้นเพเดิมจะลำบากยากจนหรือต่ำต้อยมาอย่างไรก็ตาม ก็มีเกณฑ์จะประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ อย่างคาดไม่ถึง วาสนาพุ่งขึ้น มีความสำเร็จและสมหวังตามที่ใจต้องการ เมื่อดาวเจ้าเรือนศุภะ ความเจริญก้าวหน้า มาตกในเรือนพันธุ ที่อยู่อาศัย มักจะมีผู้ใหญ่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาหารือในการสร้างฐานะ เจ้าชะตามักจะสนใจดูแลทุกข์สุขให้แก่ญาติมิตรของตนเอง นั่นแล



******************************

https://www.youtube.com/watch?v=qaJHGZ9RKZE

ทุกครั้งที่รู้ว่าดาวตก ทั้งโลกจะมองขึ้นฟ้า รอคอยอยากเห็นชั่วพริบตา ที่ดาวลงมาบนนั้น กี่สิบร้อยพันปีจะมีสักหนึ่งครั้ง มีแค่เสี้ยวนาทีที่เราจะเห็นมัน ทุกครั้งก็ได้ยินคนเล่า ถ้าเราลองอธิษฐาน ทันเวลาที่แสงดาวพาดผ่าน ทุกอย่างจะเป็นเรื่องจริง บันดาลทุกทุกสิ่งดังใจปรารถนา หากเมื่อถึงเวลาหลับตาและกลั้นใจ ทำให้ ในช่วงเวลาที่ดาวตก ฉันจึงไม่เคยได้ลืมตา มันกำลังภาวนาหลับตาลงเพื่ออธิษฐานให้เธอคืนกลับ เพราะเธอไม่กลับ ไม่กลับมา มันนานเกินไป รู้มั๊ย ในช่วงเวลาที่โลกหยุดดูดวงและดาวที่พาดผ่าน พันปีหรือนานแสนนาน กับการรอคอยจะได้เห็นมันอีกสักครั้ง มันก็ไม่สำคัญ เพราะสำหรับฉัน ดาวทุกดวงได้ดับไป ตั้งแต่เธอไม่กลับมา ทุกครั้งที่รู้ว่าดาวตก ถ้าหากเธอมองขึ้นฟ้า เธอจงโปรดรับรู้ไว้ว่ามีคนนึงเอ่ยชื่อเธอ กี่สิบร้อยพันปีก็รออยู่เสมอ ปรารถนาเพียงเธอ กลับมาเถอะ ได้มั๊ย want you back want you back want you come back to me want you back want you come back want you come back to me
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๖ ศุภะ - พันธุ (ถึงกาลกลับตาลปัตร)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 28-04-2022 19:36:03
 :impress2: :-[
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๗ ตนุ - ศุภะ (ความสุขอยู่ด้วยกัน)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 29-04-2022 19:01:13
๑๗. (๑)



ตนุ - ศุภะ (ความสุขอยู่ด้วยกัน)





“สวัสดีค่ะ วันนี้มาติดต่อเรื่องอะไรคะ” เจ้าหน้าที่สาวที่เคาน์เตอร์เอ่ยปากถามนนท์และอุ่น ที่ทั้งสองนั่งอยู่ที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “คือ อยากทำเรื่องเงินกู้” นนท์รู้สึกเริ่มต้นพูดเรื่องนี้ด้วยความประหม่า “เรื่องเงินกู้ซื้อคอนโดครับ เป็นคอนโดมือสอง” นนท์อธิบายให้เจ้าหน้าที่ท่านนั้นฟัง ในมือบีบซองเอกสารหนาปึ้กในมือจนแน่น อุ่นอยากบีบมือให้กำลังใจชายหนุ่มที่นั่งข้าง ๆ กัน แต่ก็ไม่กล้า

“ไม่สนใจเป็นคอนโดที่เพิ่งสร้างใหม่หรือคะ” เจ้าหน้าที่สาวยิงคำถาม นนท์หันไปสบตากับอุ่น ที่ยิ้มให้กับเขา เจ้าหน้าที่สังเกตเห็น ชายหนุ่มทั้งสองคนแสดงความอาทรต่อกัน “มันเป็นคอนโดที่เคยดูไว้นานแล้วน่ะครับ” นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลของพวกเขาทั้งคู่ แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือ ครอบครัวของหลิวต้องการเงินจากการขายบ้านหลังเดิมทั้งหมด เพราะกล่าวหาว่า นนท์เป็นรักร่วมเพศมาหลอกลวงลูกสาวของพวกเขาให้แต่งงานด้วย

“กู้คนเดียว” เจ้าหน้าที่ถามเหมือนหยั่งเชิงอะไรบางอย่าง “ถ้าเป็นไปได้ เราสองคนอยากกู้ร่วมครับ” อุ่นพูดเสริมขึ้น ก่อนจะเลื่อนซองเอกสารของตัวเองให้เจ้าหน้าที่สาว ซึ่งเธอเอาซองเอกสารทั้งของนนท์และอุ่นไปเปิดดูคร่าว ๆ “คนละนามสกุลกัน ถ้าจะกู้ร่วม ระบุความสัมพันธ์ว่าเป็นอะไรกันคะ” เจ้าหน้าที่เงยหน้าจากเอกสารขึ้นมาถาม นนท์กับอุ่นมองหน้ากัน อึกอักกับสิ่งที่ต้องตอบออกไป

“เป็นแฟนกันครับ” นนท์ทำหน้าที่ตอบคำถามนั้น เจ้าหน้าที่สาวชะงักนิดหนึ่ง มองหน้าของทั้งนนท์และอุ่นสลับกัน ก่อนจะหันไปมองห้องกระจกเล็ก ๆ ด้านหลังของเธอ ที่มีป้ายด้านหน้าระบุตำแหน่งผู้จัดการสาขา ผู้หญิงมีอายุสักหน่อย รูปร่างท้วม สวมแว่นตากรอบหนา แต่งหน้าเข้มสักหน่อย มองกลับมา เมื่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อพยักหน้าให้ ผู้จัดการท่านนั้นเดินมาที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่สาว

“กู้ร่วมค่ะ” เจ้าหน้าที่แจ้งกับผู้จัดการ ก่อนจะเล่ารายละเอียดทั้งหมดของนนท์และอุ่นให้ฟัง ผู้จัดการมองทั้งสองคนที่นั่งรอว่าผลจะเป็นอย่างไร “สลิปเงินเดือนดีทั้งคู่แบบนี้ ขาดเหลืออะไร แจ้งให้พี่ทราบนะคะ ยินดีให้บริการค่ะ” ผู้จัดการพูดจบก็พยักหน้าให้กับเจ้าหน้าที่สาวดำเนินการต่อ ที่ตอนนี้แทบจะซ่อนรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้ไม่ได้

“ทีนี้ เรามาคุยกันเรื่องตัวเลข ดีมั้ยคะ” คุณเจ้าหน้าที่บอกกับนนท์และอุ่น ที่ตอนนี้ทั้งสองเองก็ยิ้มให้แก่กัน นนท์เอื้อมมือไปจับมือของอุ่นที่อยู่บนโต๊ะ คุณเจ้าหน้าที่สาวเฉไฉว่ายกกล้องขึ้นถ่ายเอกสาร แต่ก็กดแชะภาพมือสองมือที่เกาะกุมกันอยู่ ก่อนที่เธอจะโพสต์ลงในแอพโซเชียล มีเดีย ลงข้อความไว้ว่า 'ความรัก อบอุ่น ขอบคุณที่เลือกใช้บริการกับธนาคารของเรานะคะ โปรคู่รักดีดี วันดีดี'





“เออ เดี๋ยวกูส่งไปให้ มึงสั่งเยอะ บิลนี้ กูไม่คิดค่าส่ง เออ อาหนานแถมน้ำพริกกะปิไปให้มึงแล้ว มึงอย่ากวนตีนมาก ไอ้เวร เออ รู้แล้ว ที่อยู่มึงไกลหน่อย กูขอ ไม่เกินเก้าโมงครึ่ง” ธนภพพูดตอบโต้กับเพื่อนสนิทผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ก่อนมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ “เงินมึงโอนเข้ามาแล้ว ขอบใจมากโว้ย ฝากสวัสดีแฟนมึงด้วย” ธนภพพูดจบก็กดวางสาย ก่อนที่เขาจะเช็กของจนครบแล้ว ก็ยื่นให้กับพนักงานส่งของ ก่อนกำชับว่า ให้ส่งถึงมือลูกค้าคนนี้ตามเวลานัด

“ภพครับ สายแล้ว รีบไปเถอะ เดี๋ยวหนานทำเอง” ซื่อหนานเองที่ตอนนี้ก็มือเป็นระวิง เตรียมออเดอร์อาหารให้ลูกค้า วันนี้ที่ร้านวุ่นแต่เช้า ทั้งลูกค้าที่แวะเข้ามานั่งทานข้าวในร้าน เด็ก ๆ ลูกจ้างในร้าน ก็ยุ่งกันหมด ส่วนที่สั่งออนไลน์เข้ามา รวมถึงทางโทรศัพท์ที่มียายจ๋าและคุณนุจรีช่วยรับลูกค้าไว้ให้ ก็มีเข้ามาตลอด “ร้านยังยุ่งอยู่เลย” ธนภพเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ ซื่อหนาน ที่มีเหงื่อพราวทั่วใบหน้า

“อยากตกงานหรือไง” ซื่อหนานทำเสียงดุ “ก็ดี จะได้อยู่กับอาหนานทั้งวัน” ธนภพพูดจบ ก็ขโมยหอมจากแก้มของซื่อหนานไปหนึ่งฟอด ก่อนจะเห็นซื่อหนานทำตาเขียวปั้ด “คร้าบ เข้าใจแล้วคร้าบ ไปแล้วคร้าบ” พอเห็นแบบนั้น ธนภพก็รีบยอมทำตามแต่โดยดี จริง ๆ เขาอยากจะลาออกมาอยู่ช่วยซื่อหนานที่ร้านเต็มตัว แต่ซื่อหนานบอกกับเขาว่า มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไป ที่จะให้ธนภพทิ้งงานที่เขารัก เพื่อมาทำตามความฝันของซื่อหนานเพียงคนเดียว

“เนี่ยนะ แม่พูด ยายจ๋าพูด เจ้าภพไม่เคยจะฟัง ไม่กระดิกตัวทำตาม แต่พออาหนานพูดเท่านั้นแหละ รีบเชียว” คุณนุจรีอดไม่ได้ ต้องขอพูดเรื่องนี้สักหน่อย “อย่างนี้ที่หนูได้ยินมา ว่าพี่ภพมีดวงกลัวเมีย ก็จริงน่ะสิคะ แม่นุจ” เสียงหนึ่งในเด็กคนงานร้านดังขึ้น “โอ๊ย อย่าให้แม่ต้องพูด” คุณนุจรีพูดตอบ ทั่วทั้งร้านที่ได้ยิน ต่างพากันยิ้ม ซื่อหนานที่ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดีแล้วกับเรื่องนี้ ได้แต่นิ่งเอาไว้ เพราะเดี๋ยวจะเข้าตัวอีก

“หนานไม่ช่วยภพเลย” ธนภพทำเสียงน้อยใจ เมื่อแฟนของตัวเองดูจะเอาตัวรอดกับเรื่องนี้ไปแต่ลำพัง “เดี๋ยวพอภพออกไป แต่หนานยังต้องอยู่ที่นี่ทั้งวัน ภพว่า หนานจะรอดไปได้มั้ย” ซื่อหนานบอก เป็นภพนั่นแหละที่ลอยตัว ทั้ง ๆ ที่ซื่อหนานไม่เคยดุอะไรแฟนของตัวเองเลย จะเอาที่ไหนมาว่าธนภพกลัวซื่อหนาน เอ๊ะ หรือว่า แล้วไอ้ที่ทำตาเขียวใส่ แล้วธนภพรีบยอมทำตามนี่ล่ะ นับด้วยมั้ย

“ภพไปออฟฟิศก่อนนะครับแม่” ธนภพกอดคุณนุจรี “ให้แม่รอกินข้าวเย็นมั้ย เย็นนี้พ่อจะแวะมาด้วย” คุณนุจรีบอกกับลูกชาย “ได้ครับแม่” ธนภพรับคำแม่ของเขา ก่อนจะหันไปทางผู้อาวุโสที่สุด “ยายจ๋า ผมไปทำงานนะครับ” ภพนั่งลงข้างๆ เก้าอี้ที่ยายของซื่อหนานนั่งอยู่ “ไหว้พระนะลูก ไปดีมาดีนะ” ยายเอ่ยอวยพรธนภพ ตบลงที่ไหล่ของชายหนุ่มเบา ๆ ธรภพยกมือไหว้ยายก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ซื่อหนานมานี่ลูก ภพมานี่” คุณนุจรีเรียกทั้งสองคนให้เดินเข้ามาหาเธอ ก่อนที่เธอจะกอดลูกชายทั้งสองคนของเธอพร้อมกัน “รักกันอย่างนี้ไปนาน ๆ นะ มันเป็นความสุขใจของแม่ที่ได้เห็น จำไว้นะลูก แม่ดีใจที่เราทั้งสองได้มาเจอกัน แม่รักเรานะ ภพ หนาน” คุณนุจรีน้ำเสียงสั่นเครือ แต่ในใจของเธอปลาบปลื้ม เมื่อเธอเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้ จับมือพาชีวิตคู่ก้าวหน้าไปด้วยกัน





“แล้วนี่พอเรียนจบแล้ว หนูจ๋าจะไปทำงานที่ไหน สมัครไว้บ้างหรือยังลูก” คุณอนงค์เอ่ยถามขึ้น เมื่อทั้งหมดออกมานั่งเล่นกันที่สวนหลังบ้าน อากาศในวันนี้ไม่ร้อนมาก ได้อาศัยร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่ กับลมที่พัดมาเรื่อย ๆ “หนูจ๋าไปสมัครไว้หลายที่เลยครับ คุณน้า” คนถูกถามพูดไปยิ้มไป กับบริษัทที่ตัวเองอยากไปทำงานด้วย คงมีเพียงแค่คันศรคนเดียวกระมัง ที่หน้าบูดหน้าเบี้ยว

“ทำต่อที่เดิมนี่ก็ได้ ไม่เห็นต้องเปลี่ยนที่เลย” คันศรบ่นอุบบ่นอิบ เพราะไม่อยากให้หนูจ๋าเลือกไปทำงานที่อื่น “พี่ว่านเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมจะขึ้นเงินเดือนให้ด้วย” พี่ว่านที่คันศรพูดถึง ก็คือเจ้าของออฟฟิศที่เขาไปหักคอ บอกให้รับหนูจ๋าเข้าทำงานเป็นพนักงานประจำ โดยพี่ว่านห้ามอิดออด “ใครเขาจะอยากอยู่ให้พี่ศรใช้งานกันล่ะ” ยัยศศิพูดขึ้น สายตายังอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์

“ทำไม มีพี่ใช้งานมันแย่ตรงไหน แล้วเขาก็เรียกว่าสอนงานต่างหาก ไม่ได้ใช้” คันศรเถียงน้องสาว ที่ชอบพูดชักใบให้เรือเสีย “หนูจ๋า อย่าไปฟังพี่ศรพูด มานี่ เดี๋ยวศศิจะแชร์โพสต์นี้ให้ สิบบริษัทน่าทำงาน เพราะผู้ชายดี” ศศิพูดเน้นเสียงตรงคำว่าผู้ชายดี หนูจ๋าฟังแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา “ยัยศศิ พี่หาพี่ชายมาให้อีกคน ไม่ใช่ให้แกมาเข้าพวกกันแบบนี้นะ หนูจ๋า หนูต้องเข้าข้างพี่สิ” คันศรอดไม่ได้ ที่จะท้วงแฟนของตัวเอง ก่อนที่ทั้งหมดจะได้ยินเสียงกระแอมกระไอดังมาจากคุณศรันย์ผู้เป็นพ่อ พร้อมกับการมองลอดแว่นนั้น

“ทั้งคู่นั่นแหละ ยัยศศิ หนูจ๋าด้วย มาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ ต้องเคารพกันด้วยความซื่อสัตย์ เข้าใจมั้ย” เสียงคุณศรันย์จริงจังกับเรื่องนี้ “พูดเล่นมันก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าทำจริง พ่อกับแม่จะเสียใจที่เห็นพวกเราทำตัวแบบนั้น แต่คนที่จะเสียใจมากที่สุด ก็คือเราสองคน ศร หนูจ๋า รักกันแล้ว เลือกกันและกันแล้ว ต้องซื่อตรงมั่นคงต่อกันนะลูก” คุณอนงค์ผู้เป็นแม่สอนลูก ๆ ทั้งสามคน ทั้งคันศร หนูจ๋า และศศิ รับคำที่แม่อบรมสั่งสอน

“เสียงกริ่งประตู ศรไปดูซิลูก” คุณอนงค์เอ่ยบอกกับลูกชาย “เดี๋ยวหนูจ๋าไปดูให้ครับ” หนูจ๋าขันอาสา “แม่วานทีลูก” คุณอนงค์พูด หนูจ๋าลุกเดินออกไปทางหน้าบ้าน ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง “สวัสดีค่ะคุณน้าศรันย์ คุณน้าอนงค์” เสียงคนที่เพิ่งมาใหม่ ยกมือไหว้พร้อมกล่าวทักทายผู้เป็นเจ้าของบ้าน

“นี่พี่หนูดี พี่สาวของหนูจ๋าเองครับ” หนูจ๋าแนะนำพี่สาวของตัวเองให้กับพ่อแม่ของคันศรได้รู้จัก “หนูซื้อพิซซ่ามาด้วย นี่ค่ะคุณน้า” หนูดีพูดขึ้น คันศรยื่นมือมารับไป “หอมมากเลยพี่หนูดี หิวแล้ว หิวแล้ว” คันศรร้องบอกทุกคน ก่อนที่เสี่ยงกริ่งหน้าบ้านจะดังขึ้นอีกครั้ง

“ส้มตำแน่เลย น้าสั่งส้มตำ ลาบ น้ำตก เอาไว้ เลี้ยงฉลองหนูจ๋าเรียนจบทั้งที ศศิลูก ไปดูให้แม่ที เงินแม่วางอยู่ในกล่องเก็บกุญแจนะลูก” คุณอนงค์พูดขึ้น ศศิลุกขึ้นก่อนรีบวิ่งไปรับของที่หน้าบ้าน “มา หนูดี มาลูก หนูจ๋า มา นั่ง ๆ ล้อมวงกัน มีทั้งฝรั่ง มีทั้งอีสาน มาลูก มาพ่อมา ศรน้ำแข็งมีพอใช่มั้ยครับ” คุณศศิเอ่ยชวนทุกคนให้ล้อมวงเข้ามากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน

“พ่อกับแม่บอกว่าเขาติดงาน มาไม่ได้” หนูดีพูดกับน้องชายของเธอ “ไม่อยากมานั่นแหละ” หนูจ๋าพูดขึ้น ใบหน้าเหงา ๆ ที่หลังจากที่เขาบอกว่าเป็นแฟนกับคันศร พ่อกับแม่ก็แสดงออกแบบนี้ “เอาน่า ฉันมาแล้ว” หนูจ๋ากระทุ้งศอกใส่แขนน้องชายของเธอเบา ๆ

“ขอบคุณนะ” หนูจ๋าพูดบอกกับพี่สาว “อย่ามาทำซึ้ง ก็ฉันเป็นพี่แกนี่” หนูดีพูด ก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปร่วมวงกินข้าว คันศรที่เห็นมีเพียงหนูดีที่มาตามคำเชิญ ก็เข้าใจได้ เขานั่งลงข้าง ๆ หนูจ๋า ก่อนพูดขอให้หนูจ๋ายิ้มให้เขาหน่อย หนูจ๋ารู้ว่าคันศรพยายามจะให้พลังใจด้านบวกกับเขา ซึ่งเขาต้องการมันอยู่พอดี เมื่อทั้งคู่อยู่ด้วยกันในตอนนี้ ที่ด้านนอกรั้วบ้านของคันศร รถแวนหรูคันใหญ่ที่จอดรออยู่นานแล้ว ออกรถแล่นจากไปอย่างเงียบ ๆ





การขับรถกลับไปที่สนามบิน อารมณ์มันช่างแตกต่างจากตอนขามาโดนสิ้นเชิง ปราชญ์ขับกลับมาแค่เพียงคนเดียว เหลือบมองไปตรงที่นั่งข้างคนขับ มันว่างเปล่า จากที่เขาคิดเอาไว้เมื่อตอนก่อนที่จะมาถึงว่า เขาจะพาปั๋นกลับไปกับเขาด้วย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ปั๋นยังคงยืนยันที่จะอยู่ที่นี่ต่อ และขอให้ปราชญ์กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี

ลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามาปะทะใบหน้าของเขา มันทำให้เขารู้สึกเย็นยะเยือก ไม่เพียงทางร่างกาย แต่มันทำให้เขาสั่นสะท้านไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ เสียงเพลงจากวิทยุหากเป็นเวลาปกติ มันคงจะฟังแล้วไพเราะ และน่ารื่นรมย์ แต่ในเวลานี้ ขณะนี้ นอกจากปราชญ์จะฟังแล้วไม่เกิดความไพเราะเลยสักนิด มันยังน่ารำคาญ และเนื้อหาของเพลง ก็ยิ่งฟังไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่

'อารมณ์คนพาล' ปราชญ์รู้สึกหงุดหงิด ที่อยู่ ๆ ตัวเขาเองกลับมีคำพูดนี้ผุดขึ้นมา เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ก็จะไม่ยอม ไม่พอใจ ไม่ให้คนอื่นได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ ด้วยเหตุผลที่ให้กับคนอื่นมาโดยตลอด ว่าวิธีของเขาคือทางเลือกที่ดีที่สุด คือสิ่งที่เหมาะสม ถูกต้องแล้ว และมันก็ใช้ได้ผลมาโดยตลอด ไม่ว่ากับใคร โดยเฉพาะกับ 'คนของผม' ที่ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากขัดใจเขา ยิ่งคิด เขายิ่งเจ็บแปลบในในใจ เมื่อเหลือบไปมองที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง

น้ำตาอุ่น ๆ ไหลลงมาจากสองตา ปราชญ์รีบเช็ดมันลวก ๆ กะพริบตาไล่ความอ่อนไหวนี้ออกไปให้พ้นขอบตาของเขา ลมเย็น ๆ จากภายนอกรถ พัดเข้ามา มันพัดมาที่ใบหน้าของเขา ย้ำกับเขาถึงหยาดน้ำตานั้น ว่ามันได้ไหลลงสองแก้มของเขาจริง ๆ เมื่อเขาขับรถมาได้เป็นชั่วโมงแล้ว แต่โทรศัพท์ของเขาก็ไม่มีเสียงเรียกเข้าจากคนที่เขาต้องการแต่อย่างใด

ปั๋นยังไม่โทรมาหาเขา ทำไมปั๋นไม่อยากรู้เชียวหรือ ว่าเขาขับรถถึงไหนแล้ว ไม่เป็นห่วงกันสักนิด มันก็ดีอยู่หรอก ที่ปราชญ์เห็นปั๋นโตเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุมาก แต่นั่น ก็ทำให้เขาตระหนักว่า เขาไม่ได้เป็นใหญ่ในชีวิตของอีกฝ่ายอีกต่อไป ปั๋นเลือกทางเดินของตัวเอง และมันไม่ใช่ทางเลือกที่เขาได้วางเอาไว้ สำหรับทั้งตัวของปราชญ์เอง และของปั๋น

ปราชญ์ส่งคืนรถยนต์เช่าให้กับพนักงาน เมื่อพนักงานตรวจสอบรถเรียบร้อยแล้ว ปราชญ์ก็ลากตัวเองไปที่เคาน์เตอร์ตรวจบัตรโดยสาร เขาหน้านิ่งมาก จนพนักงานถึงต้องสอบถามให้แน่ใจ ว่าเขาต้องการการช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมมั้ย ปราชญ์ส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ก็กล่าวขอบคุณกลับไป ตอนนี้ ใครก็ช่วยเหลืออะไรเขาไม่ได้ มีเพียงคนคนเดียวที่สามารถชุบหัวใจของเขาให้กลับมาเต้นแรงได้อีกครั้ง

ปราชญ์นั่งรอการประกาศเรียกขึ้นเครื่องด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว ผู้โดยสารคนอื่น ๆ รีบกรูกันไปต่อแถว แต่ปราชญ์ยังคงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ใช่ เขากำลังจะขึ้นเครื่องบิน ไฟลต์ที่กำลังจะพาเขากลับไปที่เดิม ที่ที่เขาจากมา โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กลับไปสู่ชีวิตเดิม ต่อให้ปั๋นจะไม่ได้พูดปฏิเสธเขากับความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่ปั๋นก็ไม่ได้ให้คำรับรองอะไร ว่าทุกอย่างนั้น ยังเหมือนเดิม

ปราชญ์ขยับตัวลุกขึ้น เมื่อมีประกาศเรียกขึ้นเครื่องครั้งสุดท้ายจากเจ้าหน้าที่ เขาเดินไปที่เคาน์เตอร์สแกนบัตรโดยสาร พนักงานที่เช็กอินให้เขา มาช่วยตรวจบัตรขึ้นเครื่องอยู่ตรงนั้นด้วย เธอเห็นปราชญ์ยังคงมีใบหน้าเหงา ๆ แสดงออกมา แต่ทันใดนั้น เสียงเรียกเข้าจากมือถือของเขาก็ดังขึ้น ปราชญ์ยกมันขึ้นดู ก่อนจะรีบกดรับสาย

“ปั๋น ปั๋น ปั๋นได้ยินมั้ย พี่กำลังจะขึ้นเครื่อง ปั๋น ปั๋นครับ ได้ยินพี่มั้ย” ปราชญ์รีบกรอกคำพูดลงไป ที่ปลายสาย ปั๋นถือโทรศัพท์แบนกับหู โดยมีคุณย่าท่านยืนอยู่ตรงหน้า “ปั๋น ปั๋นพูดกับพี่หน่อย” ปราชญ์พูดเสียงเว้าวอน “คุณปราชญ์เดินทางปลอดภัยนะครับ” ปั๋นตอบกลับไป ปราชญ์ยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

“ปั๋น เราสองคนยังเหมือนเดิมใช่มั้ย” คำถามนั้น เล็ดลอดผ่านออกมา ดังมากพอที่คุณย่าท่านจะได้ยิน “อย่าเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองต้องมานั่งเสียใจทีหลัง” คุณย่าท่านบอกกับปั๋น ปราชญ์ได้ยินเสียงของย่าดังเข้ามาในสาย ใจของเขาเต้นแรง รอคอยคำตอบ “เครื่องลงแล้ว คุณปราชญ์โทรมาบอกด้วยนะครับ” ปั๋นพูดตอบกลับไป “ครับ พี่จะโทรหาปั๋นนะ ปั๋นรอรับสายพี่ด้วยนะครับ ขอบคุณครับคุณย่า” ปราชญ์ลืมตัวจนเกือบตะโกนใส่โทรศัพท์

“ไม่ทุกข์ ไม่เคยคิดถึงย่า” เสียงบ่นของผู้อาวุโสดังมาให้ปราชญ์ได้ยิน ก่อนที่เขาจะวางหู “อารมณ์ดีแล้วหรือคะ” เสียงพนักงานท่านนั้นถามปราชญ์ “ครับ ดีแล้วครับ” ปราชญ์ตอบกลับเขิน ๆ เมื่อโดนพนักงานจับได้ว่าเขาอารมณ์ดีเพราะโทรศัพท์สายเมื่อครู่ “ที่นี่มีของสวย ๆ งาม ๆ ที่คนมาเห็นแล้ว ไม่อยากจากไปง่าย ๆ” พนักงานท่านนั้นพูดต่อ “ยังไง ไว้กลับมาอีกนะคะ” ปราชญ์เห็นด้วยกับคำพูดเป็นอย่างยิ่ง “ขึ้นเครื่องค่ะ” พนักงานกล่าวเตือน ปราชญ์พยักหน้ารับ ชูบัตรขึ้นเครื่องในมือ เป็นสัญญาว่า เขากลับมาอีกอย่างแน่นอน





ฐานทัพรู้สึกเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก ที่อยู่ ๆ เขาก็เห็นผู้ชายที่คุยอยู่กับอันน์ ลุกขึ้นพรวดพราดหอมแก้มอันน์แบบนั้น ไอ้เรื่องที่อันน์รีบกลับมาที่ห้อง โดยยอมให้ผู้ชายมานั่งรออยู่เป็นนานสองนานนี่ ก็ว่าน่าหงุดหงิดรำคาญใจแล้วนะ แต่ไอ้การที่จะมากอดจูบลูบคลำกัน อย่างนี้มันก็เกินไปหน่อยมั้ย

ฐานทัพรีบวิ่งออกจากห้อง เพื่อลงไปด้านหลัง โดยหวังว่าจะลงไปทันไอ้ผู้ชายคนนั้น ที่อยู่ ๆ ก็มาแสดงท่าทีสนิทสนมกันมาก ไม่พอ ยังจะจุ๊บแก้มคุณอันน์ของเขา ต่อหน้าต่อตา แบบนี้มันมาหยามกันถึงถิ่น มันต้องให้รู้บ้างแล้ว ว่าใครเป็นใคร ของแบบนี้ ถ้าจะหยามกัน ก็มาประกาศศึกตรง ๆ เลยดีกว่า

“คุณ หยุดก่อน คุณนั่นแหละ หยุดคุยกันก่อน” ฐานทัพที่วิ่งมาอย่างเร็วจนทัน กระหืดกระหอบ เรียกผู้ชายตัวการสร้างความโมโหโทโสนี้ “อะไรของคุณ” ปราชญ์หันมาเจอชายหนุ่มอีกคนในชุดสูท วิ่งหน้าตาตื่น เหงื่อท่วมตัวไปหมด มาโวยวายเรียกเขาให้หยุดคุยด้วย “แบบคุณ ผมไม่สนใจหรอกนะ” ถ้านี่คือการคิดจะอ่อยกัน ปราชญ์บอกได้เลยว่าเสียเวลา

“พูดอะไร เพ้อเจ้อ ผมสนใจคุณที่ไหน” แหม่ ไอ้มาดเข้มนี่ กวนบาทาใช้ได้ ฐานทัพมองปราชญ์ที่ดูดีไปหมด แล้วให้นึกหมั่นไส้ “คุณเป็นอะไรกับคุณอันน์” ฐานทัพยิงคำถามใส่โดยตรง “ผมกับเจ้อันน์” ปราชญ์นึกสงสัยว่า เขากับรุ่นพี่สมัยมหาวิทยาลัย มาเกี่ยวข้องอะไรด้วย

“ผมจะไม่ถามอะไรซ้ำ ๆ ตกลงคุณกับคุณอันน์ เป็นอะไรกัน” เมื่อถามออกไปแล้ว ไม่ว่าคำตอบนั้นจะถูกใจหรือไม่ ฐานทัพก็ต้องพร้อมยอมรับมัน “อ้อ ผมเข้าใจแล้ว คุณก็งานดีนี่” ปราชญ์ตบเบา ๆ เข้าที่ไหล่ของฐานทัพ เจ้าของไหล่ขยับหนี ไม่ค่อยชอบให้ผู้ชายที่ไหนมาแตะตัวของเขา

“สำหรับผม ผมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่อันน์ แต่สำหรับพี่อันน์ คุณต้องไปถามเขาเองแล้วล่ะ คุณนี่ทำให้ผมเสียเวลามากแล้ว ผมยิ่งรีบ ๆ อยู่ ไปคุยกันเอาเองแล้วกัน ผมไปล่ะ” ปราชญ์พูดจบก็ขึ้นรถขับออกไปในทันที ฐานทัพคิดว่าผู้ชายคนนี้ ไม่น่าจะหลอกอะไรเขา ฐานทัพจึงรีบกลับขึ้นไปที่เพ้นท์เฮ้าส์ของตัวเอง

'ที่รีบกลับ นัดกับใครไว้' ข้อความเด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของอันน์ เธอคิดในใจว่าอะไรของฐานทัพอีก 'มองมาทางห้องผม' อันน์อ่าน แล้วจึงหันออกมองไปที่นอกหน้าต่าง ฐานทัพยืนมองมาทางนี้ เขาถอดสูทตัวนอกออก เหลือเพียงเสื้อเชิ้ต ปลดเน็กไทลง กับกางเกงสแลคทำงาน

'ไม่ได้นัดใคร นั่นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย' ข้อความอันน์ส่งกลับมา ฐานทัพอ่าน แล้วส่งตอบกลับไปใหม่ 'แล้วทำไมยอมให้เขาหอมแก้ม' อันน์นึกแปลกใจ ว่าฐานทัพกลับมาถึงห้องนานแค่ไหนแล้ว ถึงได้เห็นเหตุการณ์ไปซะทุกอย่าง 'ไม่ได้ให้ มันเป็นอุบัติเหตุ คือ ไม่ได้ให้หอม' อันน์ไม่รู้จะอธิบายยังไง อยู่ ๆ ปราชญ์มันก็นึกเฮี้ยนอะไรของมันขึ้นมาก็ไม่รู้

“แน่นะ” เสียงของฐานทัพส่งมาตามสาย เมื่ออันน์กดรับสายของฐานทัพ “ถ้าพูดไม่ฟัง จะวางหูแล้วนะ” อันน์ไม่มีอะไรจะอธิบายแล้ว “เดี๋ยวก่อนสิครับ” ฐานทัพบอกให้อันน์รอก่อน สิ่งที่อันน์เห็นก็คือ ฐานทัพค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขา เผยให้เห็นแผงอกของคนออกกำลังกาย และกล้ามท้องแกร่ง ๆ ทั้งหกลูกของเขา

“มีอะไรจะส่งตอบกลับมามั้ย” ฐานทัพถามด้วยเสียงที่นุ่มนวล “มีสิ” อันน์ตอบกลับไป เธอกัดริมฝีปากล่างเบา ๆ มือเกาะกุมอยู่ที่กระดุมเสื้อผ้ามันที่สวมอยู่ “ดูนะ” เสียงอันน์ผ่านมาตามสาย ฐานทัพขยับตัวไปยืนจนเกือบชิดกระจก เขาเห็นอันน์ดันกระดุมเม็ดนั้นให้หลุดออก แล้วลากนิ้วถัดลงไปที่เม็ดด้านล่าง แต่ก่อนที่กระดุมเม็ดนั้นจะผึงออกจากรังดุม ฐานทัพก็เห็นผ้าม่านฝั่งห้องของอันน์ ค่อย ๆ เลื่อนปิดเข้าหากัน จนบังวิวแสนสวยจากห้องของเขาจนมิด

“ขี้โกงจัง” ฐานทัพพูด ได้ยินเสียงอันน์หัวเราะเบา ๆ ก่อนกดตัดสายไป ฐานทัพมองผ้าม่านอีกฝั่งอย่างเซ็ง ๆ ก่อนที่จะเห็นอันน์ยื่นเสื้อที่เธอใส่ในวันนี้ แทรกผ่านผ้าม่านออกมา แล้วก็ดึงมันผลุบหายกลับเข้าไปในห้อง อันน์ส่ายหน้าเร็ว ๆ กับตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมาทำอะไรแบบนี้ ฐานทัพเผลอเลียริมฝีปากของตัวเอง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา ด้วยความรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ

หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๗ ตนุ - ศุภะ (ความสุขอยู่ด้วยกัน)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 29-04-2022 19:02:32
๑๗. (๒)

แมทเดินออกจากบ้าน หลังจากที่แวะดูความเรียบร้อยให้แคลร์แล้ว เช้านี้อากาศหนาวมาก ชายหนุ่มกระชับเสื้อตัวนอกของเขาให้กระชับ ลมหนาวปีนี้มันรุนแรงกว่าทุกปี อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว และความเหน็บหนาวคงค้างอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวัน ยิ่งทำให้รู้สึกทรมานมากขึ้นกว่าเดิม วันนี้แมทออกจากบ้าน เช้ากว่าปกติ นอกจากที่ว่าอากาศหนาวเย็นแล้ว แต่แมทต้องการแวะที่ทำการไปรษณีย์ ที่อยู่ไกลออกไป ไม่ใช่อันที่อยู่ถัดไปเพียงไม่กี่ช่วงตึก เพราะเขาต้องการรักษาความเป็นส่วนตัวเอาไว้

แมทเดินมาถึงที่ทำการไปรษณีย์ที่ต้องการ เขาเดินเข้าไปด้านใน ช่วงเช้าแบบนี้ ยังไม่มีใครมาใช้บริการ แมทเอ่ยทักทายพนักงานที่พอจะคุ้นเคยกันอยู่ ก่อนจะยื่นซองจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ ดีหน่อย แมทคิด เจ้าหน้าที่ที่นี่ ไม่สอบถามอะไรเขาเรื่องส่งจดหมายไปเมืองไทยทุกสัปดาห์ แต่ชวนเขาคุยเรื่องสัพเพเหระแทน อย่างในวันนี้ ก็เรื่องอากาศที่หนาวกว่าทุก ๆ ปี

แมทยื่นค่าส่งจดหมายให้กับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะหยิบเอาใบเสร็จรับเงิน กล่าวขอบคุณ แล้วเดินออกมา แมทหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู แสงแดดเริ่มมีให้เห็น วันนี้ ในระหว่างวัน มันอาจจะอุ่นขึ้นบ้างก็ได้ แมทผ่อนลมหายใจออกมา ควันอากาศเย็นพุ่งเป็นทางยาว เขาเดินกลับไปจนถึงที่อู่ซ่อมรถที่เขาทำงานอยู่ แล้วเริ่มงานของเขาเงียบ ๆ อย่างน้อยในตอนกลางวัน เขาก็มีอะไรให้ทำ พอให้ตัวของเขายุ่งไปทั้งวัน

ด้าจก์ซายมาที่ตลาดแต่เช้า แต่จุดที่เขานั่งขายน้ำผึ้งและของป่าอื่น ๆ ที่หามาได้ ก็อยู่จนเกือบสุดทางด้านไกลของตลาด มีคนเดินมาจนถึงตรงนี้บางตา หรือกว่าจะมาถึง ก็ซื้อหาของอย่างเดียวกันไปแล้วตั้งแต่ต้นตลาด ยิ่งด้าจก์ซายไม่สามารถเรียกลูกค้าให้เข้ามาสนใจของที่เขาขาย ได้เหมือนกับคนอื่น ๆ มันก็ยิ่งเสียเปรียบ แม้ว่าจะพอมีโชคอยู่บ้างช่วงตลาดใกล้จะวาย หากว่ามีคนมาเหมาของที่เขาขายไปจนหมด

“น้ำผึ้งนี่เท่าไหร่” ใครบางคนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าที่เขาวางของขายกับพื้นดิน ด้าจก์ซายยกมือเป็นราคาให้คนถามรู้ “ตรงโน้นขายถูกกว่านี้อีก” ด้าจก์ซายอ่านริมฝีปากของคนซื้อ เขารู้ว่านั่นไม่จริง แต่ก็ยอมพยักหน้ายินยอมขายให้ในราคาที่ถูกเสนอมา แม้ว่ามันจะเป็นราคาที่ไม่สมเหตุสมผลกับเขาเลยสักนิด ด้าจก์ซายรับเงินมาถือไว้ ก่อนจะมองดูลูกค้า หิ้วน้ำผึ้งที่เขาเก็บมา เดินจากไป

ด้าจก์ซายมองเงินที่อยู่ในมือ ยังไงเสีย มันก็มากพอที่จะไปซื้อข้าวสารมาตุนเก็บเอาไว้ คิดมาถึงตรงนี้ ภาพของนายทหารช่างหนุ่มก็ผุดขึ้นมาในใจ ด้าจก์ซายไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย ว่าตอนนี้แมททำอะไรอยู่ เนื้อความในจดหมายนั้น มีเพียงไม่กี่ฉบับที่ด้าจก์ซายจดจำได้ ว่าแมทเขียนมาว่าอะไร แต่อีกหลายฉบับ ยังคงเป็นเพียงกระดาษที่มีลายมือของแมทเปื้อนอยู่เท่านั้น

ภายในกระท่อมเล็ก ๆ หลังนั้น ด้าจก์ซายทรุดตัวลงนั่งที่มุมห้อง เขาเปิดกล่องไม้ใบนั้นขึ้นมา ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งในนั้นออกมากางออกดู ตัวอักษรแปลกตาถูกเขียนเป็นทางยาวอยู่เต็มหน้ากระดาษ ทั้งสองด้าน ด้าจก์ซายพลิกมันดูกลับไปกลับมา เขายิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเจ้าของจดหมายเหล่านี้ ก่อนจะนึกแปลกใจ เมื่อเห็นหยดน้ำร่วงหล่นลงบนกระดาษที่ถืออยู่ในมือ คืนนี้ น้ำค้างคงลงเร็วกว่าทุกค่ำคืน

กว่าแมทจะมีเวลาส่วนตัวได้อีกครั้ง ก็ตกเย็นแล้ว หลังเลิกงานเขาแวะซื้อของจำเป็นมาให้แคลร์ ช่วยเธอเอาต้นไม้ลงดิน ก่อนจะเดินกลับมาที่กระท่อม แมทลงมือทำซุปอย่างง่าย ๆ เป็นอาหารมื้อเย็น เขาไม่ได้แบ่งอาหารเย็นมาจากแคลร์ เพราะตอนนี้หญิงสาวก็มีเงินเหลือเก็บไม่มากนัก

แมทตักซุปใส่ถ้วย ก่อนจะมานั่งลงที่พื้นกระท่อม เอาหลังพิงลังใบใหญ่ ที่เขาเอาไว้เก็บเครื่องมือช่าง พวกไขควงหรืออะไรทำนองนั้น เขาตักซุปใส่ปาก กับอาการหนาว ๆ ในค่ำคืนแบบนี้ มันไม่ใช่อาหารหรูหราอะไร แต่มันก็คงพอที่จะทำให้อุ่นท้องได้ แมทตักซุปเข้าปากอีกสองสามคำ ก่อนจะวางช้อนลง แมทชันเข่าขึ้น วางข้อศอกลงบนเข่านั้น อยู่ ๆ หัวหอมที่เขาใส่ลงไปในซุป ก็ฉุนขึ้นมาเสียเฉย ๆ แมทเอามือปิดตาของเอาไว้ น้ำอุ่น ๆ ที่ไหลลงจากตา มันยิ่งทำให้หัวใจของเขาเหน็บหนาวมากยิ่งขึ้น





แดนอาสามาส่งเอิงที่ห้อง ภายในรถแท็กซี่เงียบงัน มีเพียงเสียงเพลงในวิทยุคลอเบา ๆ เท่านั้น รถแล่นไปตามกระแสการจราจรของเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ รถแล่นผ่านสถานที่มากมาย ที่เป็นสิ่งแปลกตาของแดน แต่เมื่อรถแล่นผ่านที่ทำการไปรษณีย์ แดนรู้สึกตื้อขึ้นมาในใจอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์และความรู้สึกของแมทที่ยังคงติดค้างอยู่ในห้วงคำนึง ทำให้เป็นการยากเหลือเกินที่แดนจะสลัดให้หลุดได้

แดนหันไปมองเอิงที่นั่งเงียบมาตลอดทาง แม้ว่าแดนจะรู้สึกว่า มันไม่ค่อยแฟร์กับเขาเท่าไรนัก ที่เอิงยังคงยึดเอาก้อนความรู้สึกที่ว่า แมทไม่กลับมาตามสัญญาที่ให้ไว้ แต่แดนก็พยายามเข้าใจว่า นั่นเป็นมวลอารมณ์ที่ด้าจก์ซายทิ้งเอาไว้ ผ่านกาลเวลามา มันคือสิ่งที่ด้าจก์ซายเฝ้าวนเวียนถาม และตอนนี้มันถูกผ่องถ่ายมาไว้ในความรู้สึกของเอิงอย่างช่วยไม่ได้

รถแท็กซี่แล่นมาจอดที่หน้าตึกคอนโดสูงตระหง่าน เอิงหันมาบอกกับแดนว่าถึงที่หมายแล้ว แดนบอกให้คนขับแท็กซี่จอดรอก่อน เอิงเปิดประตูลงจากรถ แดนเปิดประตูลงมาตาม ก่อนจะเดินมาคว้าข้อมือของเอิงให้หยุด เอิงหันมามองที่หน้าแดน หนุ่มลูกครึ่งยังคงจับมือของเอิงเอาไว้ไม่ปล่อย แดนไม่ชอบอารมณ์ที่มันมัว ๆ แบบนี้เลย เอิงมองเห็นภาพใบหน้าของแมท ทาบซ้อนเข้ากับใบหน้าของแดน

“เธอนับนะ นี่ หนึ่ง สอง สาม” แมทพูดพลางหดนิ้วโป้งลง ตามด้วยนิ้วชี้ และนิ้วกลาง “อีกสามวัน เรามาเจอกันใหม่ ซาย วัน ทู ทรี” แมทพยายามอธิบายให้ซายเข้าใจว่า ให้อีกฝ่ายกลับมาเจอเขาที่เดิมตรงนี้ ในอีกสามวันจากนี้ “เข้าใจมั้ย” ซายมองแมทยิ้ม ๆ ก่อนจะนึกว่าเขาจะเปรียบเทียบยังไงดี พลันซายชี้นิ้วไปที่ดวงอาทิตย์ ก่อนจะหมุนนิ้วจนครบเป็นวงกลม แล้วส่งเสียงสั้น ๆ จากลำคอออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ทำซ้ำเดิมอีก เป็นครั้งที่สอง และเป็นครั้งที่สาม

“ใช่แล้ว” แมทร้องออกมาด้วยความดีใจ ที่ซายเข้าใจเขา “แต่ฉันยังไม่อยากกลับเลย” แมทอยากอยู่กับซายให้นานกว่านี้ แต่เขามีภารกิจช่วงหัวค่ำที่ค่าย แมทกุมข้อมือของซายเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แมทไม่ชอบอารมณ์ขมุกขมัว เวลาที่เขากับซายต้องแยกกันแบบนี้เลย “ฉันจะรีบมาเจอเธอ ฉันรับรอง” แมทให้คำมั่นกับซาย

“ผมจะไม่จากคุณไปไหน เอิง คุณเข้าใจใช่มั้ย” แดนบอกกับเอิง “มันจะไม่เป็นแบบเดิม ผมสัญญา” แดนพูด ก่อนที่เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาจะดังขึ้นเสียก่อน “แดน ยัวร์ มัม’ ส ไฟลต์ อิส คัมมิ่ง อิน, ไอ นี้ด ยู เฮียร์” เสียงของคุณโทมัสพูดกับลูกชายคนเดียวของเขา เที่ยวบินที่แม่ของแดนโดยสารมา จะถึงเมืองไทยในอีกไม่นานนี้ “โอเค แด๊ด แอม โกอิ้ง แอม โกอิ้ง” แดนตอบกลับพ่อของเขา ก่อนกดวางสาย โดยมีเอิงสบตานิ่ง ๆ กับเขา

ซายยืนมองแมทเดินหายเข้าไปในแนวชายป่า

เอิงยืนมองจนแท็กซี่ที่แดนนั่ง เคลื่อนตัวออกถนนใหญ่หายไป

เมื่อเจ้าเรือนตนุ เรือนตัวตน มาสถิตอยู่ที่เรือนศุภะ เรือนความสุข ความก้าวหน้า ด้านดีคืออนาคตมีความสำเร็จสูง มีการเดินทางไกล ต่างประเทศ การศึกษาดี มีญาณหยั่งรู้ ซื่อตรง ซื่อสัตย์ วาสนาดี แต่ในด้านเสีย เจ้าชะตามักคิดอะไรมากเกินกว่าความจริง บางอย่างคิดจะเลิกราเสียกลางคัน แถมไม่ค่อยยุติธรรมกับตัวเองสักเท่าไหร่



**************************

https://www.youtube.com/watch?v=v0UvOsCi8mc


ฉันไม่เคยรู้ คนที่สำคัญ นั้นมีค่าแค่ไหน

ฉันไม่เคยรู้ วันที่สวยงาม นั้นมีค่าเท่าไร

ไม่เคยรู้เวลาที่เรามีกัน นั้นดีเท่าไร

ไม่เคยรู้ว่าความคิดถึงมันทรมานแค่ไหน

ไม่เคย ไม่เคย ไม่เคย



เราจะคิดถึง คนที่สำคัญ เมื่อต้องจากกันไป

เราจะคิดถึง วันที่สวยงาม เมื่อเวลาผ่านไป

จะคิดถึงเวลาที่เรามีกัน เมื่อเธอต้องไป

และตอนนี้รู้ไหม ว่าฉันคิดถึงเธอมากแค่ไหน

ไม่เคย ไม่เคย จะลืม



ฉันไม่เคยรู้ คนที่สำคัญ นั้นมีค่าแค่ไหน

ฉันไม่เคยรู้ วันที่สวยงาม นั้นมีค่าเท่าไร

ไม่เคยรู้เวลาที่เรามีกัน นั้นดีเท่าไร

ไม่เคยรู้ว่าความคิดถึงมันทรมานแค่ไหน

ไม่เคย ไม่เคย ไม่เคย



เราจะคิดถึง คนที่สำคัญ เมื่อต้องจากกันไป

เราจะคิดถึง วันที่สวยงาม เมื่อเวลาผ่านไป

จะคิดถึงเวลาที่เรามีกัน เมื่อเธอต้องไป

และตอนนี้รู้ไหม ว่าฉันคิดถึงเธอมากแค่ไหน

ไม่เคย ไม่เคย จะลืม
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๗ ตนุ - ศุภะ (ความสุขอยู่ด้วยกัน)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-04-2022 20:03:10
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๘ ตนุ - มรณะ (จบที่คนคนที่จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 30-04-2022 19:02:39
๑๘.



ตนุ - มรณะ (จบที่คนคนที่จบ)





“ถ้าคุณโทมัสต้องการแบบนั้น ผมจัดการให้ได้ครับ” เอิงตอบรับคำขอ จากผู้ที่จะมาเป็นหุ้นส่วนคนใหม่ของบริษัท เอิงพยายามทำตัวให้สดชื่นเข้าไว้ เพราะอันน์อุตส่าห์ไว้ใจในตัวเขา ให้มารับหน้าที่ดูแลตามที่คุณโทมัสจะสั่งงาน อันน์ที่ยืนคุยอยู่ด้วยกัน เปิดแฟ้มรายละเอียดโครงการใหม่ที่ต้องการการร่วมทุนในทันที คุณโทมัสมีท่าทีสนใจโปรเจ็คนี้เช่นกัน

แดนเดินออกมาจากลิฟต์ หนุ่มลูกครึ่งมองเห็นพ่อยืนอยู่ไม่ไกลจากเอิง วันนี้แดนออกมาจากบ้านช้าสักหน่อย เพราะเขาดูแลคุณปริม แม่ของเขาที่เพิ่งเดินทางมาถึงไทยเมื่อคืนนี้ แดนเดินเข้ามารวมกลุ่ม มีฐานทัพเดินถือกาแฟควันลอยกรุ่นมาสองถ้วย ก่อนส่งถ้วยหนึ่งให้กับคุณโทมัส ชายชาวอเมริกันกล่าวขอบคุณ ว่าเป็นกาแฟดำถ้วยโปรดอย่างที่เขาชอบดื่มเลย

แดนยืนอยู่ตรงข้ามพ่อของตัวเอง คุณโทมัสเหลือบมองลูกชายเล็กน้อย ก่อนจะหันไปคุยกับอันน์และฐานทัพต่อ แดนมองไปที่เอิง แต่กลับชัดเจนว่า เอิงพยายามหลบสายตาจากเขา พยายามพุ่งความสนใจของตัวเองไปที่พ่อของเขา พูดขันอาสาว่าจะเป็นคนช่วยพ่อของเขาทำโน่นทำนี่ จงใจจะไม่ปล่อยให้ตัวเองมีเวลาว่างไปตลอดทั้งวัน

แดนไม่ชอบท่าทีแบบนี้ของเอิงเลย เพราะก่อนที่จะมาเมืองไทยครั้งนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังเอาไว้ รีแอคชั่นของเอิงผิดไปจากที่เขาคิด เขาคงต้องทำอะไรสักอย่าง พอดีเสียงลิฟต์ดังขึ้น ประตูลิฟต์เปิดออก คนในลิฟต์ก้าวออกมาจนหมด แดนเอื้อมมือไปคว้าแขนของเอิงได้ ก็พาวิ่งเข้าลิฟต์ไป

“แดน แกทำอะไรของแก” คุณโทมัสตะโกนถามเสียงดังลั่น “ผมมีเรื่องที่ต้องทำครับ พ่อก็รู็” แดตอบพ่อของเขากลับไป คุณโทมัสเห็นแดนจับมือกับเอิง “แต่นั่นมันผู้ช่วยของพ่อนะ” คุณโทมัสบอกให้แดนปล่อยให้เอิงออกจากลิฟต์มา “พ่อก็รู้นี่ครับ ว่าเขาไม่ใช่แค่ผู้ช่วยของผม พ่ออยากได้อะไร บอกคุณอันน์กับคุณฐานทัพเขาก็แล้วกัน” แดนพูดจบก็กดประตูลิฟต์ให้ปิด

“คุณแดน คุณจะพาผมไปไหน” เอิงหันไปถามแดน พยายามจะดึงมือของตัวเองให้เป็นอิสระจากการเกาะกุมนั้น แต่แดนไม่ยอมปล่อยมือออก ยืนนิ่งไม่พูดอะไร รอจนลิฟต์ลงมาจนถึงชั้นล่าง “ในข้อตกลง เอิง คุณต้องช่วยดูแลพลัสวันด้วย จำไม่ได้หรือครับ” แดนพูดยิ้ม ๆ “พ่อผมเขามีคนช่วยงานเขาเยอะอยู่แล้ว แต่ผมนี่สิ มีแต่คุณคนเดียวที่ช่วยผมได้ เอิง” แดนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ลักษณะท่าทางแบบนี้ ทำให้ใจของเองประหวัดคิดถึงใครคนนั้น

“วันนี้อากาศดีจัง” แมทร้องออกมาด้วยความดีใจ น้ำในลำธารใสแจ๋ว แดดอุ่น ๆ ส่องลงมากระทบกับผืนน้ำ แมทหันมาสะกิดซาย “เล่นน้ำกัน” แมทชวนคนตัวเล็กกว่า ก่อนจะลุกขึ้นจากผ้าที่ซายเอามารองนั่ง เพราะไม่อยากให้เครื่องแบบของแมทเปื้อน แมทหันหน้ามาทางซาย ก่อนที่จะถอดเสื้อยืดลายพรางออก เผยให้เห็นอกแน่น ๆ ในแบบของทหาร แมทปลดซิปกางเกง ก่อนจะดึงกางเกงทหารของเขาลงพรวดเดียวต่อหน้าซาย ที่เห็นภาพนั้นจนเต็มตา

“วู้ฮู้” แมทร้องตะโกนดีใจแบบที่เคยทำตอนเด็ก ๆ ก่อนวิ่งลงลำธารไป ซายที่รู้สึกเขิน แดงก่ำไล่จากแก้มไปจนถึงใบหู ค่อย ๆ หันกลับไปมอง แมทยืนอยู่ในลำธาร ระดับน้ำอยู่ในระดับเดียวกันกับน้าท้องของเขา นายทหารช่างหนุ่มวักน้ำเร็ว ๆ เข้าใส่ตัว น้ำเย็น ๆ ทำให้เขารู้สึกสดชื่น และยิ่งแมทได้เห็นซายยิ้มออกมา นั่นยิ่งทำให้เขาหัวใจพองโต อย่างน้อย กับช่วงเวลาที่ซายอยู่กับเขา ขอให้ซายได้ลืมความทุกข์ที่มีไปบ้าง ความสุขของแมทคือการที่ได้เห็นซายมีรอยยิ้ม

แมทเดินกลับขึ้นมาจากลำธาร เขานั่งลงถัดมาทางด้านหลังซาย ตัวเปลือยเปล่าของเขามีหยดน้ำเกาะพราวไปทั่ว ซายยื่นผ้าผืนเล็กให้แมท นายทหารช่างหนุ่มทำโวยวายว่า ตัวเขาออกจะใหญ่ ผ้าผืนแค่นี้จะไปเช็ดอะไรแห้งได้ ก่อนจะซุกผมเปียก ๆ ลงที่ซอกคอของซาย แล้วแกล้งสลัดน้ำออกจากผมสั้น ๆ เกรียน ๆ ของตัวเอง ซายหลุดหัวเราะออกมา หลับตา เอียงหน้าหนี

แมทหัวเราะตาม ก่อนจะเอาคางไปวางแหมะไว้บนไหล่ด้านซ้ายของซาย ทำให้เจ้าของไหล่เอียงหน้ากลับมามอง แมทขยับตัวขึ้นนั่ง เขาโอบแขนขวารอบไหล่ขวาของซาย เอามือขวานั้นมาจับที่ไหล่ซ้ายของซาย ท่อนแขนดันให้แผ่นหลังของซายแนบกับแผงอกเปลือยเปล่าของเขา แมทยื่นปลายจมูกเข้าซุกใกล้กับด้านหลังหูของซาย โดยที่ซาย ยกมือขวามาจับที่แขนของแมท ปล่อยให้นายทหารช่างหนุ่มคลอเคลียอยู่อย่างนั้น

รถมินิแวน แล่นออกจากสถานีขนส่งมาได้สักพัก เอิงที่เมื่อคืนแทบจะไม่ได้นอน พอโดนแอร์เย็น ๆ ในรถเล่นงานเข้า ก็ต้านทานความอ่อนล้าไม่ไหว จากที่คิดว่า เพียงอยากจะพักสายตาเท่านั้น เอิงก็จมดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา ตัวของเขาค่อย ๆ เลื่อนลงไปทางคนข้าง ๆ แดนเห็นแบบนั้น ก็นึกเอ็นดู เอิงพยายามจะต้านความอ่อนเพลียที่มี แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับมัน

แดนอ้อมแขนขวาของเขาไปโอบไหล่ขวาของเอิงเอาไว้ หนุ่มลูกครึ่งลังเลอยู่นิดหนึ่ง ก่อนจะเอามือขวามาจับไล่ซ้ายของเอิงเอาไว้ แล้วใช้ท่อนแขนดันให้หลังของเอิง เลื่อนมาทาบบนแผงอกกว้าง ๆ ของเขา แดนได้ยินเอิงพึมพำบางอย่างเบา ๆ ออกมา ก่อนที่แดนจะเห็นเอิงเอามือขวามาจับที่แขนของเขาเอาไว้ ก่อนจะพิงหัวซบลงมาที่ซอกคอของแดน ชายหนุ่มลูกครึ่งก้มหน้าลง กดปลายจมูกของเขาลงบนเรือนผมของคนในอ้อมกอด

ยิ่งได้สูดความหอมของแชมพูจากเส้นผมของเอิงเข้าไป กลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์ ทำให้ภาพในอดีตไหลย้อนกลับมาให้เห็น เหมือนคลื่นน้ำที่มีพลังมหาศาล เกินกว่าจะต้านทานได้ ภาพของแมทกับด้าจก์ซายผุดขึ้นในกระแสธารของการหวนคำนึง ความคิดถึงที่แมทมีต่อซาย ซัดกลับไปกลับมาในความรู้สึกของแดน การได้กอดเอิงเอาไว้ในอกแบบนี้ แดนรู้สึกได้ราวกับว่า ยิ่งทำให้แมท ยิ่งเรียกร้องความต้องการนี้ผ่านเขา มากขึ้น มากขึ้นทุกที

'คุณแดนต้องเข้าใจเอิงมันด้วยนะคะ เรื่องนี้มีผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกของมันมากจริง ๆ ' คำพูดของอันน์ที่ได้คุยกับแดนทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ ดังกลับเข้ามาให้แดนได้ยินในความคิดอีกครั้ง 'เอิงมันไม่ใช่คนพูดมาก แต่มันก็ไม่ใช่คนนิ่งเงียบจนน่าหงุดหงิดแบบนี้ อันน์รู้จักกับเอิงมานาน อยู่ ๆ มันเหมือนคนพูดไม่ได้ซะอย่างนั้น' นั่นสินะ แดนก็รู้สึก ตอนนี้เหมือนกับว่า ภาพของซาย ลักษณะของซายฉายออกมาให้เห็นผ่านตัวของเอิง ผ่านออกมาจากสีหน้าและแววตา

'คุณแดนคะ อันน์อยากจะพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งอันน์อาจจะพูดมากเกินสมควรไปก็ได้ คือ อันน์รู้สึกเหมือนเอิงมันรอคอยใครบางคนมาตลอด มันไม่เคยสนใจใครเลยก็จริง แต่เผื่อใจไว้สักหน่อยนะคะ อันน์ไม่รู้ว่า เอิงมันแค่รอคอยให้คำสัญญาถูกทำให้สมบูรณ์ หรือว่ามันเอง ก็รอคอยที่จะได้รักคุณแดนอีกครั้ง'

แดนขยับอ้อมแขนโอบกอดเอิงให้แน่นขึ้น คำเตือนด้วยความหวังดีของอันน์ ทำให้แดนมีก้อนแข็ง ๆ ดันขึ้นมาแน่นอยู่ที่หน้าอกของเขา แดนถามตัวเองว่า เขาจะสามารถปล่อยคนในอ้อมกอดนี้ไปได้อย่างไร รถมินิแวนแล่นผ่านสถานที่ต่าง ๆ มากมายสองข้างทาง เพื่อมุ่งสู่จุดหมาย ที่แดนหวังใจไว้ว่า อาจจะช่วยเขาค้นหาคำตอบของเรื่องนี้ให้เขาก็เป็นได้ สถานที่ใดจะดีไปกว่า ที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดนี้

รถมินิแวนแล่นมาจอดสุดสายที่สถานีขนส่งในตัวเมือง เอิงก้าวลงจากรถ รู้สึกเขินเมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเอง อยู่ในอ้อมกอดของแดน มองไปที่หนุ่มลูกครึ่งที่ยืนสูงเด่น ขยับหัวไหล่และแขนเหมือนไล่เหน็บที่เกาะจนทำให้แขนของเขาชาหนึบ ให้หายไป แดนหันมาเห็นสายตาเป็นกังวลปนความรู้สึกผิดของเอิงเข้าพอดี เขาเลยแกล้งชวนเอิงคุย เพื่อถามทางไปต่อ เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น เพราะมันเป็นความสุขของเขา ที่แดนได้ทำอะไรเพื่อเอิง

“เอ็งสองคน ขึ้นรถมาได้เลย” หลังจากสอบถามอยู่สักพัก ก็มีคุณลุงอาสาจะพาแดนกับเอิงไปยังสถานที่ที่ต้องการ ด้วยราคากันเอง ทั้งสองคนกระโดดขึ้นรถสองแถวสีแดงคันเก่าคันเก่งคันนั้น ก่อนที่คุณลุงจะพาพวกเขาออกสู่ถนนใหญ่ อากาศในวันนี้ ดีเหมือนกับวันนั้น แดนที่นั่งอยู่ท้ายรถ มองเอิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม หลับตาลง เงยหน้าขึ้นรับลมเย็น ๆ ที่พัดมา ในยามที่รถวิ่งผ่านไป

เอิงลืมตาขึ้น มองไปยังข้างทางที่รถสองแถวแล่นผ่าน รถสองแถวเลี้ยวไปทางซ้าย ในขณะเดียวกันกับที่สายตาของเอิงมองเห็นที่ตรงนั้น เขากลับหลังหันไปมอง โดยภาพที่เขามอง รถสองแถวกำลังแล่นพาตัวของเขาไกลออกมาเรื่อย ๆ ภาพยามอดีตผุดขึ้นกลางใจ ความรู้สึกต่าง ๆ ไหลวนเข้าสู่ห้วงคำนึง สถานที่ที่รถสองแถวแล่นไป เหมือนเคยเห็น เหมือนเคยรู้จักมันเป็นอย่างดี เหมือนได้สัมผัสกับมันมาช้านาน

แดนมองตามสายตาของเอิงไป สถานที่จอแจพลุกพล่าน เป็นตลาดขายสินค้าต่าง ๆ มันดูธรรมดา ที่ไหน ๆ ก็มี แต่แดนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน จากสายตาของเอิง ว่ามันคือสถานที่ที่กำลังพูดตอบโต้กลับมาที่ความรู้สึกของเอิง วิธีที่เอิงมองจับจ้องอยู่ที่เดิม จนรถสองแถวเคลื่อนตัวห่างออกมา จนทำให้มันลับหายจากสายตาไป แต่ความหมายของมันยังคงตราตรึงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง

“เอ้า ไอ้หนู ถึงแล้ว” เสียงคุณลุงคนขับรถตะโกนบอกมาจากหน้ารถ แดนลงจากรถก่อน จึงเดินไปทางด้านคนขับ เอิงลงจากรถตามมา “เท่าไหร่ครับลุง” แดนถาม ก่อนยื่นเงินให้ตามที่ตกลงกันไว้ “เอ็งนี่พูดไทยชัดแจ๋วเลย” คุณลุงรถสองแถวเอ่ยชม แดนยิ้มรับ ตอบกลับไปว่าเขามีแม่เป็นคนไทย

“ดี ๆ เออ แล้วเอ็งสองคนจะไปไหนกันต่อมั้ยล่ะ ลุงว่าจะกินข้าวสักหน่อย พวกเอ็งหาอะไรกินกันก่อนสิ กินเสร็จกลับมาเจอลุงที่นี่ พวกเอ็งจะไปที่ไหนต่อ ถ้าไม่ไกลมาก ลุงไม่คิดสตางค์” คุณลุงคนขับพูดด้วยหางเสียงเหน่อ ๆ ตามสไตล์คนท้องถิ่นที่นี่ และด้วยน้ำใจของคนท้องที่ ที่อยู่ ๆ ก็เกิดนึกเอ็นดูเด็กหนุ่มสองคนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน เหมือนเจอลูกหลานที่กลับมาบ้านเกิด

“ร้านนี้ก็ได้ คนมาถ่ายรูปกันเยอะ เข้าไปสั่งกาแฟกินสักแก้วสองแก้ว อิ่มแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน” คุณลุงคนขับรถสองแถวพูดจบ ก็เดินจากไป แดนหันมายิ้มกับเอิง “เชิญครับ” แดนผายมือให้เอิงเดินนำเข้าไป เอิงมองท่าทางของหนุ่มลูกครึ่งแล้วก็นึกขัน แต่ก็ยอมทำตาม แดนดีใจที่ได้เห็นแบบนั้น ทั้งสองคนเดินเข้าร้านมา มันเป็นร้านเล็ก ๆ ปลูกสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ด้านในทำเป็นระเบียงยางรับลม มองเฉียงไปทางด้านขวา เห็นวิวแม่น้ำใหญ่อยู่ไม่ไกล

“เครื่องดื่มร้อนหรือเย็นดีคะ” เจ้าของร้านเอ่ยถามลูกค้าสองคนแรกของวันนี้ “เอิงไปนั่งรอก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” แดนบอกกับเอิง เจ้าของร้านถึงกับเลิกคิ้ว เมื่อได้ยินแดนพูดภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ เอิงเดินมานั่งที่โต๊ะติดระเบียง มองไปยังเคาน์เตอร์ ที่แดนกำลังสั่งเครื่องดื่มให้ เอิงจึงมีโอกาสได้มองสังเกตแดน นอกจากความสูงของหนุ่มลูกครึ่งที่โดนเด่นแล้ว คงเป็นท่าทางที่เอาใจใส่นี่กระมัง ที่เป็นสิ่งที่แทรกเข้ามาเป็นภาพจำให้กับเอิง ตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน

“ไมโล” แมทจิ้มนิ้วไปที่ถ้วยนั้น ก่อนพูดย้ำอีกรอบ ซายพยักหน้าว่ารับรู้ ก่อนจะยกถ้วยนั้นขึ้นจิบ พลางทำหน้าเหยเก “มันขมหน่อยนะ ไม่มีน้ำตาล มันหายากมากจริง ๆ” นายทหารหนุ่มที่หวังสร้างความประทับใจ แลดูจะผิดหวัง เมื่อเห็นซายไม่ชอบสิ่งที่เพิ่งจิบไป ซายเห็นหน้าของแมท ที่ดูหงอย ๆ ก็หันไปหยิบน้ำผึ้งจากตะกร้าสะพายหลัง ส่งให้แมท

เอิงมองไปที่เครื่องดื่มที่แดนถือมาวางบนโต๊ะ เอิงมองตามแดนที่จัดการหยดน้ำผึ้งลงในถ้วยไมโลร้อน แดนใช้ช้อนคนให้น้ำผึ้งละลายเข้ากันดี แล้วยกเครื่องดื่มร้อน ควันลอยฉุยอยู่ที่เหนือปากถ้วย มาวางไว้ตรงหน้าเอิง เสียงแดนเอ่ยชวนให้เอิงรีบดื่ม เอิงมองเห็นภาพของแมทที่ภูมิใจนำเสนอ อยากให้เครื่องดื่มที่คิดว่าอีกฝ่ายจะชอบ ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด ก่อนที่เอิงจะเห็นแดน ยกแก้วไมโลนั้นขึ้นดื่ม

แดนมองตามมือของเอิง ที่หยดน้ำผึ้งเพิ่มลงในถ้วยของแดน หนุ่มลูกครึ่งใช้ช้อนคนถ้วยไมโลให้เข้ากันอีกครั้ง ก่อนจะยกมันขึ้นจิบใหม่ รสชาติของมันต่างจากก่อนหน้า รสชาติก่อนนี้คือสิ่งที่เขาชอบ แต่รสชาติไมโลที่แดนเพิ่งจิบไป ทำให้เขาจำได้ มันคือรสชาติที่ด้าจก์ซายยอมดื่มไมโลจนหมดถ้วย แดนจึงเลื่อนถ้วยไมโลตรงหน้าเขา ไปให้กับเอิง แล้วเลื่อนถ้วยของเอิงกลับมาหาเขา

“เอิงจำมันได้” แดนพูด ริมฝีปากของหนุ่มลูกครึ่งเผยยิ้มบาง ๆ ออกมา เอิงไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่ยกแก้วไมโลร้อนนั้นขึ้นจิบ แดนมองเห็นแล้วว่า สถานที่นี้มีผลกับเอิงอย่างมากมายจริง ๆ สายตาที่เอิงใช้มองกลับมาที่เขา มันทำให้เขาดีใจ สุขใจ และเต็มตื้นอยู่ในใจ โดยไม่ต้องมีบทสนทนาใด ๆ แต่ว่าเข้าใจ ทั้งสองคนนั่งจิบไมโลด้วยกัน จนหมดถ้วย

“เดี๋ยวลุงขอนึกก่อน มันคลับคล้ายคลับคลา พวกเอ็งขึ้นรถมาก่อน เดี๋ยวว่ากัน” คุณลุงขับรถสองแถม พยายามช่วยนึกสถานที่ที่ได้ยินจากแดนและเอิง “ขึ้นรถเลย ลุงว่าลุงรู้นะ ว่าที่ไหน แต่สภาพมันไม่น่าจะเหมือนเดิมอย่างที่เอ็งว่ามาแล้วล่ะ” แดนและเอิงขึ้นนั่งที่หลังรถสองแถว คุณลุงออกรถแล่นออกจากหน้าร้านกาแฟนั้นไป

“แม่ ลูกค้าเมื่อกี้ไปไหนแล้ว” เสียงถามกระหืดกระหอบ ตะโกนถามเจ้าของร้านกาแฟเล็ก ๆ นั้น “อะไรของแก โวยวายอะไร” ผู้เป็นแม่เอ็ดลูกสาวเข้าให้ เผื่อมีลูกค้านั่งอยู่ จะเสียมารยาท “ลูกค้าฝรั่งผู้ชายเมื่อกี้น่ะ คนที่แม่เพิ่งลงรูปเขาในเพจร้านน่ะ” เด็กสาวชี้ไปที่โต๊ะข้างระเบียง ที่ผู้เป็นแม่เพิ่งไปเก็บแก้วเครื่องดื่ม ก่อนจะเห็นลูกค้าคุยกับลุงคนขับรถสองแถว บอกจะไปไหนกันสักที่ ก่อนจะเห็นขึ้นรถกันไป

“ไปแล้วน่ะสิ ขึ้นสองแถวไปแล้ว” คำตอบของแม่ทำให้เด็กสาวถึงกับนั่งลงอย่างหมดแรง เธอมองไปที่รูปถ่ายเก่ามากใบหนึ่ง ที่แปะไว้ที่ผนังร้าน รูปที่เหมือนถูกไฟไหม้ไปบางส่วน รูปทหารหนุ่มฝรั่งในชุดเครื่องแบบทหารช่าง ที่เมื่อเด็กสาวเห็นใบหน้าของลูกค้าในเพจร้าน เธอถึงได้รีบวิ่งมาแทบไม่คิดชีวิต เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก ใจเต้นระรัวไปหมด กับใบหน้าของทหารหนุ่มกับลูกค้าคนนั้น

“ใช่ที่นี่มั้ยวะไอ้หนุ่ม” บ่ายแก่ตะวันคล้อยลงมากแล้ว ที่คุณลุงคนขับไม่แน่ใจ ว่าจะใช่ที่เดียวกันมั้ย “เอ็งลองเดินดูก็แล้วกัน เดี๋ยวข้านั่งรอพวกเอ็งตรงนี้ จะได้พาพวกเอ็งกลับ เย็น ๆ มันเรียกรถยาก” แดนกับเอิงกล่าวขอบคุณคุณลุง ก่อนจะเดินไปตามทางเดินเล็ก ๆ นั้น

แดนกับเอิงเดินข้างกันไป ทางเดินที่เป็นปูน กลายเป็นทางกรวดเหมือนกับที่เห็นได้ริมลำธาร ต้นไม้สูงต้นใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นบริเวณกว้าง ให้ร่มเงาของไม้ใหญ่ ลำธารที่ก่อนนี้คงจะกว้างและใหญ่ ผ่านเวลามา สายน้ำที่ไหลลงมาเอื่อย ๆ แต่น้ำยังคงใสเย็น อีกฝั่งขอลำธาร เล่ากันว่าในบางค่ำคืนพระจันทร์เพ็ญ จะมีหิ่งห้อยจำนวนมาก มาอวดแสงของตัวเองแข่งกับแสงจันทรา

เอิงถอดรองเท้า ก่อนจะหย่อนเท้าหนึ่งลงไปในลำธารเล็ก ๆ นั่น ความเย็นของน้ำนั้น วูบเอาภาพเคยเกิดขึ้นแล้วในวันวาน ย้อนคืนกลับมา มันมากมายจนเอิงอยากที่จะยกเท้าขึ้นจากน้ำ เอิงตัวสั่นเทาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แดนที่เห็นแบบนั้น เขาจึงดึงตัวของเอิงจนเท้าพ้นจากลำธารนั้น ร่างที่สั่นเทาของเอิง ค่อย ๆ ผ่อนลง ลมยามบ่ายพัดมา กิ่งไม้ใหญ่ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เมื่อไหวต้องลม

แมทใช้ลำตัวที่ใหญ่ของเขาบังสายฝนที่อยู่ ๆ ก็เทกระหน่ำลงมา ให้ซายไม่ต้องตัวเปียกปอน ทั้งสองคนยืนหลบอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้าน ให้ร่มเงาของไม้ใหญ่ ข้าง ๆ ลำธารกว้างนั้น แมทใช้เสื้อเครื่องแบบทหารของเขากั้นเหนือศีรษะของเขาไว้ ซายตัวสั่นอยู่ในอกของเขา แมทก้มลงจุมพิตเบา ๆ ลงบนหน้าผากของซาย แทนคำพูดว่าตราบใด ที่ทั้งสองคนยังอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่จะไม่เป็นไร

“เอิงตัวสูงขึ้นนะ” แดนพูดขึ้น เอิงที่เงยหน้าขึ้นมองหนุ่มลูกครึ่ง จากตำแหน่งที่แดนจำได้ เอิงต้องตัวเล็กกว่านี้ “แต่ว่าดีเลย เพราะทำแบบนี้ได้สะดวกดี” ละอองน้ำบาง ๆ คล้ายฝนโปรยตัวลงมา ล้อกับแดดยามบ่ายคล้อย ไปทั่วบริเวณ แดนบรรจงวางจูบเขาลงบนหน้าผากของเอิง ที่ทิ้งน้ำหนักตัวเข้าหารอยจูบนั้น ทุกอย่างรอบตัวสงบและโอบอุ้มความรู้สึกรัก ดื่มด่ำลึกลงไปในสถานที่แห่งนั้นในหัวใจ ที่เคยมืดมิดและหวาดกลัว





เหตุว่าเจ้าเรือนตนุ หรือตัวตน ไปตกอยู่เรือนมรณะ หรือเรือนแห่งการแปรสภาพ เจ้าชะตามักจะเกิดในที่หนึ่ง แต่ไปได้ดีในอีกที่หนึ่ง จะได้เดินทางไปในที่ ที่ไม่ค่อยมีใครได้ไป เป็นคนใจดีไม่เห็นแก่ตัว แต่อาจจะไม่ใช่คนรื่นเริง ตลกไม่เป็น แต่มักจะได้ผลดีจากคนที่จากไปแล้ว เผชิญเรื่องเร้นลับ หรือต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ต้องกันกับเรื่องราวผิดหวัง ดื้อรั้น และมีชีวิตราวกับว่าไร้ญาติและไม่มีใคร



**************************************

https://www.youtube.com/watch?v=TBTI7_90o8U

กาลครั้งหนึ่ง การพบใครคนหนึ่งทำให้ฉันสุขใจ กาลครั้งหนึ่ง ทุกช่วงเวลาเราเคยมีกันใกล้ ๆ แต่กาลครั้งหนึ่ง สุดท้ายไม่จบตรงชั่วนิรันดร์เสมอไป กาลครั้งหนึ่ง ชีวิตเลือกเส้นทางให้เรามีอันต้องไกล เรื่องราวของฉันเดินต่อไป จากตรงนั้น ไกลสุดไกล เหมือนจะไกลจนลืมว่าเคยเกิดสิ่งเหล่านี้ แต่ในวันที่ฝน ร่วงจากฟ้า วันที่มองหาใครก็ไม่มี วินาทีนั้นจะมีบางอย่างที่สำคัญ เกิดในใจฉัน กาลครั้งนั้นยังอบอุ่นในใจ รู้สึกทุกครั้งว่าเธอยังดูแลฉันใกล้ ๆ เหม่อมองฟ้าแล้วถอนหายใจ เหมือนเราได้พูดกัน ราวกับเธอนั้นไม่เคยจากไป ยังคงยืนส่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ในความทรงจำ (ในความทรงจำ) หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน กาลครั้งหนึ่ง ดีใจนะที่เราพบกัน เรื่องราวชีวิต เดินต่อไป จากตรงนั้น ไกลสุดไกล เหมือนจะไกลจนลืมว่าเคยเกิดสิ่งเหล่านั้น แต่ในคืนเหน็บหนาว เกินจะต้านทาน คืนที่ความเหงา เข้ามาฉับพลัน คืนนั้นจะมีความรู้สึกพิเศษและสำคัญ ปรากฎในใจฉัน กาลครั้งนั้นยังอบอุ่นในใจ รู้สึกทุกครั้งว่าเธอยังดูแลฉันใกล้ ๆ เหม่อมองฟ้าแล้วถอนหายใจ เหมือนเราได้พูดกัน ราวกับเธอนั้นไม่เคยจากไป ยังคงยืนส่งยิ้มให้กำลังใจอยู่ในความทรงจำ (ในความทรงจำ) หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน กาลครั้งหนึ่ง ดีใจนะที่เราพบกัน ฉันจะอยู่ โดยที่รู้ว่าทุกนาทีนั้นแสนพิเศษ ฉันจะทำ (ฉันจะทำ) ทุก ๆ สิ่ง (ทุก ๆ สิ่ง) ให้เธอภูมิใจเมื่อได้เห็น เธออยู่ตรงนั้นสบายดีไหม ฉันอยู่ตรงนี้เป็นเหมือนเดิม คิดถึงเธอทุกวัน (คิดถึงเธอทุกวัน) หากชีวิตนี้เร็วดั่งความฝัน กาลครั้งหนึ่ง สักวันเราคงได้พบกัน
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๘ ตนุ - มรณะ (จบที่คนคนที่จบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-04-2022 21:06:57
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๑๙ ตนุ - ตนุ (เหตุแห่งตนตนเป็นเหตุ)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 01-05-2022 18:51:42
๑๙.



ตนุ - ตนุ (เหตุแห่งตนตนเป็นเหตุ)





กล่องไม้ใบนั้น ที่ดูเหมือนไร้เจ้าของ มีเชือกผูกและมัดเอาไว้โดยรอบ มันตกอยู่บนพื้นดิน ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นโคลนไปแล้ว สายฝนที่ตกกระหน่ำ ซัดตัวเองลงสู่พื้นดิน ถาโถมเข้าใส่กล่องใบนั้น ดินโคลนไหลนองจนเปรอะเปื้อนกล่องไปทั้งใบ เสียงลมอื้ออึง หวีดเสียงร้องดังลั่นอย่างน่ากลัว ต้นไม่ใหญ่โอนไหวไปตามแรงลม ให้ดูเหมือนว่า ไม่มีอะไรสามารถต้านพลังอันรุนแรงนี้ไปได้

“เอิง พ่อกับแม่ยกหนูให้เป็นลูกของหลวงปู่นะลูกนะ” เอิงในวัยแบเบาะนอนลืมตาแป๋วอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ “อายุมั่นขวัญยืน เลี้ยงง่าย ๆ โตไวไวนะ” พระภิกษุสงฆ์ผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ผูกด้ายสายสิญจน์พร้อมให้พรเด็กชายตัวน้อย ดวงตาไร้เดียงสา มองสลับไปมากับใบหน้าของคนมากมาย ที่รายล้อมตัวอยู่ในขณะนี้ อย่างที่ไม่รู้ว่า ในอนาคตต่อไปนี้ จะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้าง

“เอิง น้องชวนใครคุยอยู่น่ะลูก” ผู้เป็นแม่เดินออกจากครัว เข้าไปหาลูกชายในวัยหกขวบ ที่เธอได้ยินเสียงของลูกชาย ทั้งพูดทั้งคุย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเหมือนกับกำลังสนุกเพลิดเพลินไปกับใครสักคน แต่พอเธอเดินเข้ามาที่กลางห้องนั่งเล่น เอิงนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว ในมือถือของเล่นที่ได้รับมานานแล้วในมือ “รอ” เด็กชายตัวน้อยพูดออกมา ผู้เป็นแม่ถามย้ำ ให้แน่ใจว่าเธอฟังไม่ผิด

“ใครให้น้องเอิง รออะไรลูก” เอิงก้มลงมองที่ของเล่นในมือตัวเอง “คุณตามา” เอิงบอกก่อนเงยหน้าขึ้นมองแม่ และนั่งทำให้เธอใจเต้นไม่เป็นส่ำ มองไปจนทั่วห้อง แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรที่ผิดปกติไป “คุณตามาหา มาเล่นกับเอิงหรือลูก” ถ้าเป็นพ่อของเธอแล้วนั้น เธอก็ลดทอนความหวาดหวั่นนั้นลง เพราะเธอรู้ดีว่า พ่อของเธอแม้จะจากไปแล้ว รักหลานคนเดียวคนนี้มากแค่ไหน และของเล่นในมือของเอิงในตอนนี้ ก็เป็นของขวัญวันเกิดที่คุณตาซื้อให้หลานชายตัวน้อย

“คุณตาให้น้องเอิงรอ หรือลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผู้เป็นพ่อของเอิงกลับบ้านมาพอดี “อะไรกันคุณ” ผู้เป็นพ่อถามขึ้น เมื่อเห็นภรรยามีสีหน้าตกอกตกใจ “คุณตาไปแล้ว” เอิงตอบแม่ของเขา “คุณตาไม่ได้ให้รอ” เอิงพูดก่อนจะหันหน้าไปทางประตูกระจกที่ถูกเลื่อนเปิดออก ทั้งที่ผู้เป็นแม่มั่นใจว่า เธอปิดและลงล็อกมันไว้แล้ว “คุณตาบอกว่าเอิงรอ เอิงรอเอง” ทั้งพ่อและแม่ของเอิง มองหน้ากัน สลับกับมองไปที่เด็กชาย ที่กำลังเล่นของเล่นเฉกเช่นเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป

เอิงในวัยสิบหกปี สะดุ้งเฮือกขึ้นมาจากความฝันนั้น นาฬิกาบอกเวลาตีสี่ครึ่ง เอิงเหงื่อกาฬแตก เหนื่อยหอบจากความรู้สึกที่ยังตกค้างจากความฝัน น้ำตาไหลนองหน้า ความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด ทั้งความเศร้า เสียใจ สุขอยู่ลึก ๆ แถมหวาดกลัว จับต้นชนปลายไม่ถูก แม้จะจดจำเรื่องราวในความฝันไม่ได้เลย แต่ในใจรู้ว่า มันเป็นเรื่องสำคัญเป็นเรื่องใหญ่ ที่มีผลกับชีวิตของเขามากเหลือเกิน

“คิดว่าน่าง้อตายห่าล่ะ เล่นตัวฉิบหาย” เสียงด่าของรุ่นพี่ผู้ชายปีสี่ดังให้ได้ยิน เมื่อรุ่นน้องปีสองอย่างเอิง บอกปฏิเสธคำขอของรุ่นพี่ ที่อยากจะคบหากับเอิง “อ้าวพี่ อย่าพูดเลว ๆ แบบนี้กับเพื่อนผม” ปราชญ์ลุกขึ้นจากม้านั่งใต้ตึกเรียน ทำท่าจะเดินเข้าใส่รุ่นพี่ “ปากดีนะมึง” รุ่นพี่ต่างคณะตะโกนใส่หน้าปราชญ์ “ได้ทุกเมื่อนะพี่ ตอนนี้เลยก็ได้” ปราชญ์ไม่ลดละ

“ทุกคนฟังเอาไว้ ไอ้รุ่นพี่ถ่อย ๆ นี่ มันมาเดินตามเพื่อนผมเองแท้ ๆ ไม่มีอะไรให้เขาชอบได้ ก็อย่าปากเสีย ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ จบ” ปราชญ์ตะโกนตามรุ่นพี่คนนั้น ที่รีบเดินจากไป “พอแล้วปราชญ์ ช่างเถอะ” เอิงดึงแขนให้ปราชญ์นั่งลงตามเดิม ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โต “ทุกทีสิน่า” ปราชญ์บ่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะถอนหายใจออกมา นอกจากตัวเขาเองที่ถูกจับคู่จิ้นกับเพื่อนสนิทอย่างเอิงแล้ว ปราชญ์ก็ไม่เคยเห็นเอิงยอมเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาใกล้ชิดเลยสักครั้ง

“คิดจะอยู่เป็นโสดว่างั้นเหอะ” ปราชญ์ถามเพื่อน พลางขมวดคิ้ว ซึ่งจริง ๆ เขาก็อยากได้คำตอบในเรื่องนี้จากเอิงเหมือนกัน “อยู่คนเดียวมันก็สบายดี ไม่ได้แย่สักหน่อย” เอิงพูด ก่อนจะเห็นภาพใบหน้าของใครบางคนที่เขาไม่รู้จัก ซ้อนทับเข้ากับใบหน้าของทหารฝรั่งจากในความฝัน จนเกือบจะพอดิบพอดีเป็นคนเดียวกัน “อยากให้เจ้อันน์แกมาได้ยินจัง ไอ้ประโยคเนี้ย” ปราชญ์ส่ายหน้าเอือม ก่อนทั้งสองคนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน เมื่อรู้ว่ารุ่นพี่คนสนิทจะไล่ให้เอิงไปบวชนุ่งขาวห่มขาว ให้รู้แล้วรู้รอดไป

กระท่อมหลังนั้นเงียบงัน ไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ มันเคยมีภาพของชายหนุ่มคนหนึ่ง ทำนั่นทำนี่ เสียงตอกค้อน เสียงเลื่อยไม้ กลิ่นสีที่เพิ่งทาใหม่ ๆ คือภาพการซ่อมแซมกระท่อมหลังนี้อยู่เป็นประจำ แต่มาวันนี้ ภาพเหล่านั้นได้หายไปแล้ว กระท่อมหลังนี้ถูกปิดตาย ให้รับรู้เพียงว่า เมื่อครั้งหนึ่งกระท่อมที่เคยมีชีวิตชีวา เคยอบอุ่น อยู่ที่ตรงนี้ แต่มันหลงเหลือไว้เพียงแต่ความเงียบเหงาเท่านั้น

“อิทส เอ เบบี้ บอย” คุณปริมน้ำตาไหลเมื่อรู้ว่าวินาทีนี้ คือเวลาที่เธอจะได้เห็นหน้าลูกชายขอเธอแล้ว การรอคอยสิ้นสุดลง หลังจากเก้าเดือนอันยาวนาน ที่คุณปริมเฝ้ารอวันนี้ให้มาถึง พยาบาลเอาลูกชายที่เพิ่งคลอด มาวางไว้ที่อกของเธอ “ลูกของเรา ปริม” คุณโทมัสจูบภรรยาของเขาด้วยความรัก “ไฮ แม่รักลูกนะ” คุณปริมเอ่ยคำทักทายเด็กชายที่เพิ่งลืมตาขึ้นมาดูโลก

“เรียกผมว่าแดนสิฮะ” แดนในวัยเจ็ดขวบประท้วงเสียงดัง “ทำไมล่ะลูก ไม่ชอบชื่อแรกที่พ่อกับแม่ตั้งให้เราหรือไง” คุณโทมัสไม่เข้าใจลูกชาย ที่ช่วงนี้ดูจะเฮี้ยวเหมือนไม่ใช่ตัวเอง “ไม่ใช่ไม่ชอบฮะ แต่ ผมชอบให้เรียกว่าแดนมากกว่า” แดนยืนยัน คุณโทมัสมองหน้าคุณปริมผู้เป็นภรรยา ก่อนจะยอมทำตามความต้องการของลูกชาย “โอเค แดน ต่อไปนี้ ลูกคือแดน หรือแดนนี่ ตกลงมั้ย” คุณโทมัสถาม ก่อนที่จะเห็นเด็กชายตัวน้อยที่มีชื่อแรก ชื่อกลาง และชื่อสกุล ว่า แมทธิว แดเนียล โรเบิร์ต พยักหน้ายินยอม

“เอาล่ะ ถึงแล้ว” แดนในวัยสิบเจ็ด ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง มันคือบ้านของเด็กสาวในวัยเดียวกันกับเขา แดนหันไปมองคนที่นั่งมาด้วย ที่ยังมีท่าทีจะขยับตัวลงจากรถ “ฉันยังไม่อยากเข้าบ้านเลย” เด็กสาวพูดขึ้น ก่อนจะปลดเสื้อคลุมบาง ๆ ของเธอไปด้านหลัง เผยให้เห็นไหล่เปลือยเปล่าของเธอ พร้อมเนินอกของสาววัยสะพรั่ง “ฉันอยากทำให้เธอ แดนนี่ ฉันชอบเธอ” เด็กสาวเอื้อมมือไปบีบที่ต้นขาของแดน

“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน” แดนขยับตัวหลบ “ทำไมล่ะ ฉันอยากทำให้เธอมีความสุขนะ” เด็กสาวถาม น้ำเสียงเหมือนคนรู้สึกเสียหน้า “หรือว่าเธอชอบผู้ชาย” แดนมองหน้าเด็กสาว เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น “ปากผู้ชายหรือผู้หญิง มันก็เหมือนกันนั่นแหละน่า” เด็กสาวยังไม่ละความพยายาม แดนเบี่ยงตัวหลบอีกครั้ง เพื่อบอกให้รู้ชัดเจนว่า เขาไม่ได้ต้องการทำสิ่งนี้ มันเป็นสถานการณ์น่ากระอักกระอ่วนใจสำหรับเขา ที่เห็นเพื่อนในวัยเด็กทำอะไรแบบนี้

“พ่อขอร้องให้ฉันขับรถมาส่งเธอที่บ้าน เพราะมันดึกแล้ว ฉันก็แค่ทำไปตามนั้น เพราะเราเป็นเพื่อนกัน ส่วนฉันจะชอบปากของใครทำให้ฉันมีความสุข ฉันคิดว่า ฉันไม่ได้ติดค้างคำอธิบายอะไรกับเธอทั้งนั้น” แดนพูดขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถฝั่งเด็กสาวให้เปิดออก “กู้ดไนท์” แดนสำทับให้เด็กสาวรู้ว่า ถึงเวลาที่เธอต้องลงจากรถแล้ว เด็กสาวก้าวลงไปด้วยความหงุดหงิด ก่อนกระแทกประตูรถกระบะตอนเดียวของแดน จนเกิดเสียงดังลั่น

แดนออกรถจากมา โดยไม่รอฟังคำสบถหยาบคาย ที่ดังออกมาจากปากของเด็กสาว ที่ด่าไล่หลังรถเขามา แดนหันไปมองเบาะด้านข้างคนขับ ก่อนจะยืนยันกับตัวเองว่า ถ้าความรู้สึกมันไม่ใช่ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็ได้ จะมาแทนที่ความรู้สึกนั้นของเขา เขารู้ตัวว่าเขาชอบไม่ชอบอะไร และในกรณีของเขา เรื่องราวมันซับซ้อนและละเอียดอ่อนต่อใจของเขามาก เกินกว่าที่คนที่ชอบอะไรแบบฉาบฉวย จะเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้

“มัม” แดนเรียกแม่ของเขา ขณะที่ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเครื่องบิน ที่ใกล้จะลงจอดที่เมืองไทย ในอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้านี้ คุณปริมหันมามองลูกชาย ที่ขอตามมาเที่ยวด้วย ก่อนที่เขาจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย “มีอะไรลูก” คุณปริมถาม “สำหรับคนไทย ถ้าเราได้พบเจอกับใครสักคน คือ” แดนพยายามนึกเรียบเรียงประโยค ให้มันฟังดูแล้ว เม้คเซ้นส์ ไม่ใช่แค่สำหรับแม่ของเขา แต่แน่นอน สำหรับตัวเขาเองด้วย

“คือ ต่อให้คนสองคนอยู่ไกลกันแค่ไหน ชีวิตแตกต่างกัน ไม่เหมือนกันเลยสักนิด แต่เขาสองคนก็ยังมาเจอกันได้ แบบ มารักกันได้อยู่ดี คนไทยคิดแบบนี้จริงมั้ยครับแม่” คุณปริมฟังที่ลูกชายถาม เธอคิดนิดหนึ่งก่อนตอบออกไปว่า “สำหรับเราคนไทยนะลูก มีสิ่งหนึ่ง ที่เราพูดกัน ว่าถ้าคนเรานั้นมีวาสนาต่อกัน อยู่กับคนละขอบจักรวาล ยังไงก็หากันจนเจอ” แดนคิดตามที่คุณปริมอธิบายให้เขาฟัง ภาพใบหน้าของใครคนหนึ่ง ซ้อนทับกับใบหน้าของคนตัวเล็กที่สวมชุดชนเผ่าแปลก ๆ นั้น แม้จะทาบทับกันไม่พอดี แต่ว่าเด่นชัดในความรู้สึก

“ซายอยู่ไม่ไกล เขาอยู่ใกล้ ๆ ผม ผมรู้ ผมรู้ครับแม่” แดนมองออกไปที่นอกหน้าต่างโรงแรมหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร ที่ไหนสักแห่ง แดนคิด เพราะความรู้สึกที่เขามี มันคือความใกล้ชิดที่แทบจะสัมผัสกลิ่นอายกันได้ ที่ไหนสักที่ในเมืองใหญ่มหานครนี้ คุณปริมกอดและลูบหัวลูกชายอย่างปลอบประโลม เธอรู้สึกได้จริง ๆ ว่านี่ไม่ใช่แค่การฝันร้าย กับท่าทางของแดนที่ไม่ได้กำลังแกล้งอำเธออยู่ แดนรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ

เอิงนอนหันข้าง น้ำตาไหลจากดวงตาข้างหนึ่ง ร่วงไหลผ่านสันจมูก ไปตกนองอยู่บนหมอนใบใหญ่ที่หนุนนอนอยู่ เด็กหนุ่มกดหน้าลงในหมอน ก่อนจะร้องไห้ออกมา โดยใช้มันปิดบังเสียงสะอื้นนั้น ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มันคือความรู้สึกโหยหา แต่เต็มไปด้วยความหวัง แม้ไม่รู้ว่า มันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ในห้วงความคิดนั้น เอิงได้ยินเสียงใครบางคนแว่วเข้ามาในโสตสัมผัส ใครอีกคนก็ฝันร้ายคล้าย ๆ กัน และไม่ต่างกันกับเอิง ที่รู้ว่า ต่างฝ่ายต่างอยู่ข้างนอกนั่น ที่ใดที่หนึ่งบนโลกใบนี้

ถึงเวลาที่แมทและหน่วยทหารของเขา จะเดินทางออกจากบ้านเกิด เพื่อมาประจำการในดินแดนที่เขาไม่รู้จัก ไม่มีความคุ้นเคยเลยสักนิด เก้าพันสี่ร้อยกว่ากิโลเมตร และนี่คือหนึ่งกิโลเมตรแรกที่เขาเริ่มต้น ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป เขารู้ ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แมทกระชับปืนยาวอาวุธข้างกาย มองไปเห็นเพื่อนทหารนายอื่น ๆ อีกหลายสิบคน ที่กำลังเดินทางจากทวีปหนึ่งมาอีกทวีปหนึ่ง

ด้าจก์ซายไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น มีทหารหน้าตาแปลกไป ชุดเครื่องแบบก็ไม่เคยเห็น แถมภาษาที่พูดก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่เห็นว่าทหารเหล่านั้น เริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคนก็ชอบพอที่จะทำการค้าการขายด้วย แต่ก็มีอีกหลายคนที่ต่อต้าน ทั้งเปิดเผยและปกปิด สำหรับเขาเอง ไม่ค่อยมีใครใส่ใจเท่าไหร่ มันทำให้เขาพอจะกลมกลืนไปกับสถานการณ์ได้ มีแต่ผู้ชายวัยกลางคนคนนั้น ที่ด้าจก์ซายเห็นเขาคุยว่า เข้าป่าไปส่งเสบียงให้ทหารฝรั่ง อะไรเนี่ยแหละ ด้าจก์ซายไม่ค่อยเข้าใจมันสักเท่าไหร่

“แดน ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน ทำไมทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงล่ะลูก” คุณปริมรีบกรอกเสียงพูดลงโทรศัพท์มือถือ เมื่อแดน ลูกชายของเธอยอมรับโทรศัพท์ “ผมปลอดภัยดีครับแม่ ตอนนี้เอิงอยู่กับผม ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีครับ แม่ ผมรับรอง” แดนตอบแม่ของเขาไป “แดน กลับมาเดี๋ยวนี้ นี่คือคำสั่ง” เสียงคุณโทมัส ผู้เป็นพ่อของแดน ดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์ “แม่ครับ ช่วยบอกพ่อด้วย ว่าผมมีเรื่องที่สำคัญกับผมมาก ต้องทำ” คุณปริมได้ยินน้ำเสียงที่จริงจังของลูกชาย

“แม่จำที่ผมเคยถามแม่ได้มั้ยครับ ว่าคนสองคนต่อให้ห่างกันไกลแค่ไหน หากมีวาสนาต่อกัน เขาจะมาเจอกันอยู่ดี” แดนถามคำถามนั้นกับผู้เป็นแม่ “มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ครับ” แดนพูด คุณปริมฟัง ที่แดนบอกกับเธอ “แม่ไปที่นิวยอร์กกับผม แม่เห็นในสิ่งเดียวกันกับผม แม่ครับ ผมต้องทำมันครับ” คุณปริมฟังลูกชายคนเดียวของเธอพูด เธอมองไปที่สามี ที่กำลังไม่สบอารมณ์

“มัม” แดนเรียกแม่ของเขา “พลี้ส” และขอร้องแม่ออกไป “ดูแลตัวเองดี ๆ นะ แดน เดินทางปลอดภัยครับ” คุณปริมบอกกับแดนไป ก่อนที่จะกดวางสาย คุณโทมัสทำหน้าไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าภรรยาจะใจอ่อน ยอมให้ลูกชายตัวดี รั้นไปทำเรื่องไม่เข้าท่าอีกจนได้ คุณปริมพยายามพูดให้คุณโทมัสใจเย็นลง ยังไงแดนก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณปริมขอให้สามีของเธอ รอดูลูกชายของพวกเขาไปก่อน

แดนวางสายจากแม่ของเขา มองเห็นเอิงที่ขึ้นไปนั่งอยู่หลังรถสองแถว มองมาที่เขา แดนยิ้มให้กับเอิง ที่ยิ้มน้อย ๆ ตอบ ชายหนุ่มลูกครึ่ง ตามมาขึ้นรถสองแถว คุณลุงคนขับ ค่อย ๆ เคลื่อนรถออกมาช้า ๆ ลมเย็นกับแสงแดดอัสดง สาดตัวไล่ตามรถสองแถวมา แดนกำลังชดเชยช่วงเวลาที่ขาดหายไปจากห้วงอดีต ความรู้สึกสงบกำลังโอบอุ้มหัวใจของเอิงอยู่ และเอิงมองเห็นใบหน้าของแดน ในแสงยามเย็นนั้น

เมื่อภพเรือนตนุ หรือเรือนแสดงความเป็นตัวตน เดินเข้าเรือนตนุเอง ถือว่าได้เกณฑ์เป็นเกษตร คือเข้มแข็ง มั่นคง มีอิสระทางจิตใจ มีพลังชีวิตที่จะฟันฝ่าผ่านอุปสรรคไปได้ ไม่ยอมให้ตัวเองอยู่ใต้อิทธิพล มีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่อาจจะยึดติด ไม่ปล่อยวางใด ๆ หากว่าการทะนงตนนั้น เจ้าชะตาอาจเกิดความผิดพลาด จากตัวเองเป็นประเด็นสำคัญ

แมทนั่งมองแผ่นกระดาษที่ใช้เขียนจดหมายอยู่เนิ่นนาน เช้าที่อากาศเหน็บหนาว เขาเขียนจดหมายฉบับนี้จนมาถึงบรรทัดท้าย ๆ มันเป็นประโยคเดียวกันกับอีกหลายฉบับก่อนหน้านี้ มันคือข้อความที่กลั่นออกมาจากจิตใจเขา แมทหมายความตามนั้นในทุก ๆ คำ ปากกาในมือของเขาสั่น เมื่อแมทร้องไห้ออกมาจนตัวโยน เพราะเขายังคงนั่งอยู่ตรงนี้ ที่เดิม ได้แต่เขียนจดหมายเหล่านี้ เพื่อที่จะรับรู้ว่า ไม่มีสิ่งไหนที่กำลังจะเข้าใกล้ความจริงเลย ทั้ง ๆ ที่เขาตั้งใจจะทำมันอย่างเต็มที่ ความรู้สึกปวดใจนี้ หนักอึ้งจนแมทแทบขาดใจ

ดึกมากแล้ว ด้าจก์ซายยังคงนอนไม่หลับ คืนนี้หนาวกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขานอนนิ่งอยู่แบบนี้มาเป็นชั่วโมง พยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็ไม่เป็นผล ใจมันไม่ยอมให้หลับ ดวงตาจึงพลอยปฏิเสธที่จะพาให้เขาดำดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา ความคิดถึงกำลังเข้าเล่นงานจิตใจที่อ่อนล้า อ่อนกำลังนั้น ข้อความในจดหมาย มีคนที่กำลังจะทำให้สัญญานั้นเป็นจริงขึ้นมา แล้วน้ำตาอุ่น ๆ ก็ไหลออกจากดวงตา มันเคลื่อนตัวผ่านสันจมูกนั้น ก่อนตกลงบนหมอนใบเล็กแบน ด้าจก์ซายกดหน้าลงบนหมอน ก่อนที่เสียงสะอื้นไห้จะดังแทรกความเงียบงันของค่ำคืนออกมาให้ได้ยิน



***************************************

https://www.youtube.com/watch?v=mSWNvFaYrXY


เธอเคยได้เห็นหรือเปล่าว่าความรักเป็นเช่นไร

ฉันไม่เห็นหรอก แต่ฉันก็รู้สึก

รู้ไหมว่าความคิดถึงมันหน้าตาเป็นเช่นไร

ฉันไม่รู้หรอก แต่ฉันก็รู้สึก

ไม่ต่างกัน กับใจฉันหรอก

สิ่งนั้นที่เธอสัมผัส

เราต่างรับรู้มันด้วยใจ

บางสิ่งเราอาจไม่เห็นมันด้วยตา

แต่เรารับรู้มันด้วยใจ

เราไม่ต่างกัน

ทุกครั้งที่เหงาแค่มีเธอก็ทำให้ชื่นใจ

และฉันมั่นใจ ว่าเธอก็รู้สึก

ไม่ต่างกัน กับใจฉันหรอก

สิ่งนั้นที่เธอสัมผัส

เราต่างรับรู้มันด้วยใจ

บางอย่างไม่อาจมองเห็นมันด้วยตา

แต่เราเรียนรู้มันด้วยใจ

เราไม่ต่างกัน

ลมเย็นที่เธอสัมผัส ไม่ต่างกับฉันเท่าไหร่

ไออุ่นยามเช้าของทุกวัน

ก็เหมือนว่ามันไม่ต่างกันกับใจฉันเลย

สิ่งนั้นที่เธอสัมผัส

เราต่างรับรู้มันด้วยใจ

บางอย่างไม่อาจมองเห็นมันด้วยตา

แต่เรารับรู้มันด้วยใจ

เราไม่ต่างกัน
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๐ มรณะ - มรณะ (ถึงยังที่ที่ไม่ถึง)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 03-05-2022 18:51:48
๒๐.



มรณะ – มรณะ (ถึงยังที่ที่ไม่ถึง)





“คืนนี้เอ็งสองคนพักที่นี่ก็แล้วกัน” คุณลุงขับรถสองแถวบอกกับแดนและเอิง “บ้านหลานข้าเอง มันอยู่กันหลายคนหน่อย แต่ห้องนอนเก่าข้า ไม่มีใครใช้ เอ็งสองคนเข้าไปนอนได้ ตามสบาย” คุณลุงคนขับพูด ก่อนหันไปบอกกับหลายสาวของตัวเอง ที่ยืนชะโงกมองไปที่หลังรถสองแถว ที่จอดอยู่ด้านนอกรั้ว “มัวแต่มองอะไรอยู่ ไป ไปหาเสื้อผ้ามาให้พี่เขาเปลี่ยนหน่อย เอาของพี่เอ็งมาก่อนก็ได้” คุณลุงพูดให้ฟังถึงหลานอีกคน ที่ตอนนี้ไปทำงานอยู่ภาคใต้

“นาน ๆ มันจะกลับมาที คืนนี้ใส่ชุดมันไปก่อน พรุ่งนี้เอ็งสองคนค่อยไปหาซื้อมาเปลี่ยน มาเที่ยวยังไง ไม่เตรียมอะไรมาเลย” คุณลุงคนขับบ่นแดนกับเอิง เหมือนที่แกบ่นลูกบ่นหลาน แดนกับเอิงยกมือไหว้ขอบคุณผู้สูงวัยกว่า แดนยื่นเงินให้กับคุณลุงคนขับอีกจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากค่ารถที่คุณลุงพาทั้งสองคน ไปตระเวนมาวันนี้

“ไม่เอา ๆ” คุณลุงปฏิเสธ พลางโบกไม้โบกมือห้าม ดุให้แดนเก็บเงินคืนไป “ส่วนพรุ่งนี้เอ็งจะไปที่ไหนกันต่อ ค่อยว่ากัน ข้าพอว่างช่วงเช้า ส่วนสาย ๆ ข้านัดกับลูกค้าเอาไว้ เอ็งค่อยหารถเหมา หรือเช่ารถเครื่องขี่เที่ยวกันเอง” คุณลุงพูดจบ หลานสาวของเธอก็ออกมาบอกว่า เธอเอาผ้าห่มกับชุดนอนไปไว้ในห้องนอนเก่าของลุงให้แล้ว ก่อนจะมองหน้าของแดนและเอิง ซ้ายทีขวาที แล้วผลุบหายเข้าบ้านไป

“ไป ๆ เอ็งเข้าบ้านกันไปได้แล้ว ไม่ต้องเกรงใจ อาบน้ำนอนให้สบาย เดี๋ยวข้ากลับก่อนแล้ว ตอนเช้าเอ็งโทรหาข้า ถ้าจะไปไหนเที่ยวกันต่อ ข้าไปล่ะ” คุณลุงขับรถสองแถว ปิดรั้วบ้าน ก่อนเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป “ห้องน้ำทางนั้น ส่วนห้องนอนทางนี้” หลานสาวที่ผลุบหายเข้ามาก่อนหน้า ชี้มือชี้ไม้บอกสองผู้มาเยือน แดนและเอิงกล่าวขอบคุณ หลานสาวคุณลุงมองตามทั้งสองคนเดินเข้าห้องนอนไป

ภายในห้องนอนเล็ก ๆ ห้องนั้น ดูเก่า แต่ยังคงรักษาความสะอาดไว้เป็นอย่างดี ด้านหนึ่งเป็นหน้าต่างสามบานเรียงกัน ติดมุ้งลวดเหล็กดัดกันยุงและแมลง เพื่อให้เปิดรับลมยามค่ำคืนได้ มีผ้าม่านถูก ๆ ปิดหน้าต่างเอาไว้เพียงสองบาน อีกบานหนึ่งเว้นไว้พอให้แสงจากด้านนอกลอดผ่านเข้ามา มีโซฟาสปริงตัวยาวสีแดง ที่พักแขนไม้บุนวม วางชิดริมหน้าต่าง เตียงนอนขนาดพอสำหรับคนเดียว วางอยู่กลางห้อง มีหลอดไฟนีออนให้แสงสว่างอยู่กลางห้อง

“เอิงอาบน้ำก่อนมั้ยครับ” แดนหันไปมองผ้าเช็ดตัวเก่าแต่ดูสะอาด และเสื้อกางเกงที่พับวางอยู่ด้วยกัน เอิงพยักหน้ารับ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าเอาไปเปลี่ยนด้วย เอิงสบตากับแดนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว รู้สึกขัดเขินกับสายตาที่แดนใช้ ชายหนุ่มลูกครึ่งหลุดยิ้มออกมา ก่อนจะมองอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไป ใจของแดนเต้นตึกตัก เมื่อคิดว่า นี่คือคืนแรกที่เขาได้อยู่กับเอิงสองต่อสอง แม้ว่า สภาพแวดล้อมมันไม่ได้เป็นใจนัก

แดนเข้าไปอาบน้ำต่อจากเอิง ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็กลับเข้าห้องมา เอิงหันไปเห็นชายหนุ่มลูกครึ่งตัวสูงใหญ่ ใส่กางเกงเลผูกเอวที่ขากางเกงคลุมไม่ถึงข้อขา ส่วนเสื้อนั้นตัวเล็กเกิน จนชายเสื้อรั้งสั้นเต่อ เอิงพยายามกลั้นขำ แดนยิ้มเขิน ๆ เมื่อเห็นเอิงหัวเราะ เป็นแบบนี้ แดนเลยถอดเสื้อออก เอิงหลบสายตาจากท่อนบนเปลือยเปล่าของหนุ่มลูกครึ่ง แดนพาดเสื้อไว้กับเชือกที่ผูกเป็นราวตากผ้าง่าย ๆ ในห้อง

“เอิงนอนบนเตียงนะครับ เดี๋ยวผมนอนบนโซฟานี่เอง” แดนพูดกับเอิง ก่อนที่จะนั่งลงบนโซฟาที่ยวบลงไป ตามความเก่า “สบายมากครับ ใกล้หน้าต่าง ลมพัดเย็นสบาย” แดนแสดงให้เอิงดูว่า โซฟามันก็ไม่ได้แย่อย่างที่เห็น เอิงกกล่าวขอบคุณแดน หนุ่มลูกครึ่งยิ้มให้ เอิงล้มตัวลงนอนบนเตียงขนาดเล็กนั้น ดึงผ้าห่มผืนบาง ๆ ขึ้นคลุมตัว แดนลุกเดินไปที่ประตูห้องนอน กดปิดแสงไฟที่กลางห้องนั้น

ห้องนอนมืดลง เสียงแดนกลับมาล้มตัวลงนอนที่โซฟา ที่ขยับตัวพลิกไปมาอยู่หลายที กว่าจะหามุมสบายได้ ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง แสงไฟราง ๆ ลอดเข้ามาจากหน้าต่างบานที่เปิดผ้าม่านไว้ เอิงมองฝ่าความมืดไปทางที่แดนนอนอยู่ แดนมองตอบกลับมาในความมืด ใจอยากจะกอดเอิงเอาไว้ให้อีกฝ่ายหลับใหล ลงในอ้อมกอดของเขา เช่นที่เขาได้รู้สึกในความฝัน เหมือนได้กอดใครคนหนึ่งเอาไว้จนแน่น ไม่ยอมปล่อย และจะไม่ปล่อยไปอีก

เอิงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่มันเหมือนว่าเขายังหลับอยู่ แต่บังคับให้ตัวเองลืมตาขึ้นไม่ได้ ภาพตรงหน้า ค่อย ๆ สว่างขึ้น จนเอิงรู้สึกว่า มันเหมือนเป็นสายตาของเขาเอง ที่มองเห็นภาพต่าง ๆ รอบตัว เอิงรู้สึกว่า มือของเขากำลังรวบผมยาวดำขลับราวเส้นไหมนั้น ขึ้นไปมุ่นมวยเอาไว้ ก่อนจะหันไปทางตะกร้าไม้ เขาหยิบมันขึ้นมาสะพายบนหลัง วันนี้เขาคิดว่า จะเข้าไปในป่าเร็วกว่าทุกวัน อากาศหนาวขึ้นมาก จนต้องกระชับชุดชาวเผ่าให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

“ไม่ต้องกลัว เจ้านี่มันชื่อด้าจก์ซาย แปลว่าน้ำผึ้ง แต่คนเรียกมันสั้น ๆ ว่าซาย แปลว่าผึ้ง” อยู่ ๆ เอิงก็ได้ยินเสียงใครบางคนพูด ภาพตัดมาอีกครั้ง เขาก็เห็นว่าตัวเองมาอยู่ในป่าแล้ว ภาพดูคุ้นตา ทางเดินที่เคยเดินจนนับครั้งไม่ถ้วน “่ต่อให้มันได้ยินอะไร มันก็เอาไปบอกใครต่อไม่ได้ มันพูดไม่ได้ หรือมันไม่ยอมพูดก็ไม่รู้ ชื่อของมันจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไร คนเขาเห็นว่ามันเก็บน้ำผึ้ง เก็บของจากในป่าไปขาย เขาก็เลยเรียกมันด้าจก์ซาย ง่ายหน่อยก็ซายนี่แหละ”

ชายวัยกลางคนที่ทำตัวเป็นนายหน้าหาเสบียงกรังให้กับนายทหารชาวอังกฤษ พูดเล่าเรื่องให้นายทหารสบายใจ ว่าการพบปะกันคราวนี้ แต่มาเจอด้าจก์ซายด้วยนั้น จะไม่นำภัยมาให้อย่างแน่นอน เสียงที่เอิงได้ยิน ฟังดูคุ้นหูเสียเหลือเกิน เหมือนเพิ่งได้ยินมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ เอิงมองไม่เห็นหน้าเจ้าของเสียง แต่ภาพที่ซ้อนเข้ามา เอิงเห็นคุณลุงคนขับรถสองแถว ตอนที่ชวนเขาและแดนขึ้นรถ

“ไมโล” เอิงมองเห็นแมทยิ้มให้ ชี้นิ้วไปที่ถ้วยเครื่องดื่มนั้น ก่อนที่ภาพจะต้ดฉับลง รอบตัวของเอิงมีแต่ภาพสีดำ ทุกอย่างนิ่ง เงียบ อยู่ในความมืดสนิท “ไม่ ไม่ ฉันทิ้งเธอไว้แบบนี้ไม่ได้” ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป จนมีแต่ความโกลาหล “เราจะต้องได้เจอกันอีก และครั้งนั้น ฉันจะกอดเธอไว้แบบนี้ จะไม่ปล่อยเธออีก ฉันสัญญา” เอิงรู้สึกดีใจที่ได้ยินประโยคนั้น แต่ เขากลับใช้มือดัน ดัน แล้วก็ดันจนสุดแรง เพื่อให้แมทรีบหนีไป

“เอิง ผมอยู่นี่แล้ว” เอิงพยายามจะพูดไล่ แต่ก็ไม่มีเสียงใด ๆ หลุดออกจากปากเขาออกมา อย่างที่ต้องการ ในใจตะโกนจนสุดเสียงบอกให้แมทรีบไปเสียจากตรงนี้ “เอิงผมอยู่กับคุณตรงนี้แล้ว” แดนที่กอดเอิงเอาไว้กับอก เมื่อเขาได้ยินเอิงที่ยังคงหลับอยู่ ส่งเสียงอึกอัก ๆ อยู่ในลำคอ มือผลักอะไรบางอย่างในความมืด อยู่ ๆ เอิงก็รู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างประหลาด ค่อย ๆ โอบล้อมรอบตัวของเขาเอาไว้

ความอบอุ่นนั้น รู้สึกได้ว่ามันค่อย ๆ กอดเขามาจากใครบางคนที่อยู่ด้านหลัง เอิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังหันหน้าไปหา ความสงบ สบาย และปลอดภัยนั้น แดนใช้อ้อมแขนของเขาช้อนตัวของเอิงให้พลิกกลับมาซุกตัวในแผงอกกว้าง ๆ ของเขา เอิงผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ และดูสงบลง สองมือที่กำแน่นเมื่อสักครู่ ยอมผ่อนและคลายออก ก่อนวางลงบนอกข้างซ้ายของแดน เสียงหัวใจเต้นแรงของแดน ดังส่งเสียงผ่านมือของเอิง

“ไม่เป็นไรแล้วครับ” แดนพูดปลอบประโลม เอิงขยับตัวเข้าหาแดน จนทั้งสองคนแนบชิด “คุณกำลังจะทำให้ผมยั้งตัวเองไว้ไม่ไหวอีกต่อไป” ภาพที่แล่นอยู่ในหัวของแดน ที่มันรีเพลย์ซ้ำไปซ้ำมา กำลังทำให้หนุ่มลูกครึ่งแก่นกายตื่นตัว ภาพของแมท ที่จ้องมองใบหน้าที่แสดงออกถึงความถวิลหาของซาย ด้วยสายตาโลมเล้า ริมฝีปากของซายที่เผลอเผยอขึ้น ดูเย้ายวนในความรู้สึก เกินต้านทาน แมทกดริมฝีปากของเขาทาบทับกับซาย ชิมรสที่หวานกว่าน้ำผึ้งป่า ที่เขาเคยลิ้ม ผิวขาวของนายช่างแมทตัดกับผิวสีน้ำผึ้งของซาย เสียงลมหายใจหนักหน่วงจากทั้งสองคนดังขึ้น สอดรับประสานกัน

“ไง เอ็งสองคน เมื่อคืนนอนหลับสบายมั้ย” คุณลุงคนขับรถสองแถว ถามแดนและเอิง เมื่อมารับทั้งสองคนที่หน้าบ้าน “เอ็งดูท่าจะหลับสบายกว่าเจ้าลูกครึ่งนั่นนะ” แดนทำหน้ายิ้ม ๆ กับคำทักทายของคุณลุง เอิงทำหน้าไม่ถูก เมื่อโดนทักโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่รู้จะตอบยังไง ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง ไม่รู้จะพูดให้ฟังดูไม่ได้ตั้งใจยังไง

“คือผม มันก็ แบบว่า” เอิงไปไม่เป็น เมื่อนึกถึงตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แล้วพบว่า ตัวเองอยู่ในอ้อมกอดของแดนอีกแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น มือของเขาทาบไปบนความแข็งแกร่งยามเช้าของหนุ่มลูกครึ่งแบบเต็ม ๆ มือ “เอ็งสองคนดูแฮปปี้ ก็ดีแล้ว เมื่อคืนจะทำอะไรกัน ก็เรื่องของเอ็งสองคนเถอะ เตียงมันเล็ก ก็ต้องนอนเบียดกัน ข้าเข้าใจ” เสียงพูดของคุณลุง ฟังคลับคล้ายคลับคลา ว่าเหมือนกับชายวัยกลางคนที่แว่วมาในฝันของเอิงเมื่อคืนนี้

แต่พอคุณลุงมาพูดแซวแบบนี้ เอิงดันจำได้ถึงขนาดและความอุ่นมือที่จับต้องได้ เมื่อเช้านี้ แดนได้แต่ยักไหล่ บอกว่าเรื่องนี้ เขาไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นไปเอง ยิ่งมีคนที่ชอบมาให้นอนกอดแบบนี้ด้วย มันยิ่งห้ามไม่อยู่ และที่เขามานอนกอดเอิงไว้ทั้งคืนนั้น ก็เป็นเพราะว่า เอิงละเมอเมื่อคืนนี้ และสิ่งที่ทำแล้วได้ผล เอิงสงบลงและอาการละเมอนั้นหายไป ก็คือการที่แดนกอดเอิงเอาไว้แน่น ๆ ให้เอิงได้ซุกตัวไว้กับแผงอกอุ่น ๆ ของแดน

“แล้วเช้านี้ พวกเอ็งอยากจะไปที่ไหนกันมั้ยล่ะ เดี๋ยวข้าพาไป” คุณลุงคนขับรถสองแถวถามขึ้น ขณะยื่นถุงใส่ปาท่องโก๋ร้อน ๆ ให้กับเอิง แดนสบตากับเอิง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “มีครับคุณลุง ผมสองคนอยากไปที่นี่” แดนยกโทรศัพท์มือถือให้คุณลุงดูรูป “เด็กหนุ่ม ๆ อย่างเอ็งสองคนเนี่ยนะ อยากไปที่นี่” คุณลุงคนขับรถสองแถวแปลกใจ “เออ ๆ เอา ๆ กินรองท้องซะก่อน เจ้านี้เขาอร่อย กินเสร็จแล้วเดี๋ยวข้าพาไป” แต่พอเห็นแดนกับเอิงบอกว่าอยากไปที่นี่ ก็ตอบตกลง

แดนกับเอิงเดินจากจุดที่จอดรถสองแถว คุณลุงคนขับบอกให้เขาทั้งสองคนเดินไปตามทางเดินข้าง ๆ นี้ ทางเข้าอยู่ติดกับถนนใหญ่ ที่ประตูทางเข้า มีรายชื่อมากมายสลักไว้ที่ผนังรอบด้าน พร้อมทั้งประวัติและเรื่องราว เล่าถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น กับผู้ที่ได้พักกายลงชั่วนิรันดร์ ณ สถานที่แห่งนี้ แดนเดินตามเอิงเข้าไปด้านใน มีคนงานกำลังดูแลสถานที่จากด้านไกล แสงแดดยามเช้าตกต้องลงมาที่สนามหญ้าสีเขียว รายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่ออกดอกสีสันสวยงาม

“เขาไม่ได้อยู่ในรายชื่อของทหารที่นี่” แดนพูดขึ้น เอิงมองไปที่ที่พักสุดท้ายของทหารสัมพันธมิตรจากสงครามในครั้งนั้น ในใจของเอิงเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ผมสืบค้นไป ไม่มีรายชื่อของเขาถูกบันทึกเอาไว้ที่ไหนเลย” แดนกวาดตามองไปที่สุสานเบื้องหน้า “เหมือนเขาถูกลบออกจากประวัติศาสตร์ ราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน” เอิงสบตากับแดน ที่ตอนนี้สีหน้าและแววตาของแดน เจือไปด้วยความเจ็บปวดและโศกเศร้า

“ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด อาจจะเป็นเพราะเขาเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ยอมใช้ชื่อเดิม เพราะไม่อยากให้คนแปลกหน้า รู้ว่าเขาเป็นใคร” แดนพูดด้วยความรู้สึกคับแค้นอยู่ในใจ “หรืออาจจะเป็นเพราะว่า เขาไม่อยากให้คนที่เคยรู้จัก รู้ว่าเขารักใคร” เอิงเห็นแดนพยายามเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เพื่อให้น้ำตาที่รื้นขึ้นมาที่ขอบตา ไหลย้อนกลับลงไปดังเดิม

“สำหรับเขาแล้ว มันเจ็บปวดเกินจะพูดออกมาให้เข้าใจได้ เขาไม่เคยอายที่ได้รัก แต่เขากลัว กลัวว่าคนพวกนั้นจะทำร้ายคนที่เขารัก” เอิงสบสายตากับแดน แววตาของแดนกักเก็บความเสียใจชอกช้ำนั้นเอาไว้ไม่อยู่ “คนพวกนั้นพยายามบอกว่า ความรักของเขามันผิด และพรากโอกาสเดียวของเขาไป ที่จะพิสูจน์ให้ทั้งโลกเห็นว่า ขอเพียงแค่เขาได้อิสระที่จะรัก เขาจะรักให้ดีที่สุด และปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนที่เขารัก” น้ำเสียงที่ร้าวรานใจของแดน ทำให้เอิงรู้สึกสะเทือนใจ มวลก้อนความโกรธเกรี้ยวที่เอิงสัมผัสได้นั้น ไม่แน่ชัดนักว่ามันคือของแดนเอง หรือว่าเป็นของแมท

วินาทีที่แดนรับรู้ในวันนั้น ว่าแมทจากโลกนี้ไปอย่างไร ทำให้แดนระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ที่เขารู้สึกมันมากมาย เขาโกรธจนไม่รู้ว่าจะจัดการกับอารมณ์ในตอนนั้นอย่างไรดี แต่เขาโชคดีที่คุณปริมแม่ของเขา อยู่ด้วยในช่วงเวลานั้น และการได้รู้ว่า คุณน้าผู้หญิงและผู้ชาย เพื่อนบ้านของคุณย่าแคลร์ คือพ่อแม่ของคนที่เขากลับมา ฝันเห็น และตามหา

ระหว่างนั่งรถสองแถวมา แดนดูเงียบลง แม้ว่า เขายังมีรอยยิ้มให้กับเอิงเสมอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับแมท ในช่วงวินาทีสุดท้ายของชีวิต มันมีผลกับจิตใจของแดนมากจริง ๆ โดยเฉพาะกับความคิดของเขาในเรื่องโอกาสในชีวิต ความมั่นคงของจิตใจ มันเหมือนเป็นแรงขับให้กับแดน ที่จะไม่หยุด ที่จะไม่ถอย ที่จะไม่ยกเลิกความตั้งใจ

“พวกเอ็งมีเบอร์มือถือลุงแล้ว มีอะไรโทรมาได้เลย เดี๋ยวลุงจัดการให้” ลุงคนขับรถสองแถวทิ้งท้ายคำพูดนั้นไว้กับแดนและเอิง ก่อนที่แกจะขับรถสองแถวคู่ชีพของแกจากไป การถูกชะตาของคนเรา หลาย ๆ ครั้ง มันก็ไม่รู้จะหาคำอะไรมาอธิบาย กับคนที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แต่ก็รู้สึกเหมือนญาติ เหมือนเคยพบกันมาก่อน เหมือนเคยติดค้างกัน เมื่อได้มีวาสนามาเจอกัน ก็ชดเชย ชดใช้ กลับคืนให้แก่กัน

“งั้นเราตั้งต้นจากตรงนี้แล้วกัน” แดนชี้นิ้วไปที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ นั้น หลังจากที่ขอให้ลุงคนขับสองแถว พามาหย่อนพวกเขาไว้ตรงนี้ “หิวแล้วเหมือนกัน” เอิงตอบกลับแดน รู้สึกท้องจะร้องขึ้นมาในทันที แดนยิ้ม ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย ร้านเดิมจากเมื่อวานร้านนี้ก็ไม่แย่ เมื่อวานเขาเห็นมีเมนูอาหารด้วย ฝากท้องไว้กับร้านนี้ก็แล้วกัน

“นังเตย ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย หน้าแกนี่ไล่ลูกค้าฉันหายหมดแล้ว” ผู้เป็นแม่หันมาโวยใส่ เมื่อเห็นลูกสาวทำหน้าบึ้งหน้าบูด อยู่เป็นนานสองนานแล้ว “นั่น ลูกค้าเข้าร้านแล้ว ไปเตย ไปรับออเดอร์” เด็กสาวที่หน้าหงิกหน้างอ ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเสียไม่ได้

“อ้าว คุณสองคนที่มาเมื่อวานนี่ เชิญค่ะ เชิญ วันนี้รับอะไรดีคะ” หญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของร้าน จำแดนและเอิงได้ในทันที เด็กสาวที่ได้ยินแม่พูดแบบนั้น มองไปที่แดนและเอิง ถึงกับเลิ่กลั่ก วิ่งหาเล่มเมนู ก่อนจะเดินตามไปที่โต๊ะริมระเบียง เตยหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะที่แดนและเอิงเดินไปนั่ง เธอมองหน้าแดนแล้วก็ให้ตกใจกว่าเดิม รูปที่เธอเห็นแม่โพสต์ในเพจร้าน ว่าเหมือนแล้ว ตัวจริงนี่ ยิ่งกว่าเหมือนอีก

เตยรับออเดอร์จากแดนและเอิง สายตาของเด็กสาว ลอบสังเกตหน้าของแดน ก่อนจะหันไปมองรูปถ่ายไหม้ไฟ รูปของทหารหนุ่ม ที่แปะไว้บนผนังร้านด้านในนั่น เตยขนลุกเกรียวไปหมด มันแทบจะเป็นคนคนเดียวกันเลยต่างหาก เด็กสาวพูดกับตัวเอง ก่อนจะมาจัดการรออาหารที่สองหนุ่มสั่ง ที่น่าตกใจคือ พี่หนุ่มฝรั่งนี่ พูดภาษาไทยได้สำเนียงเป๊ะมาก ส่วนพี่คนไทยคนนั้น เตยว่า แวบแรกที่เตยเห็น พี่เขาผมยาวแล้วม้วนมวยผมไว้นี่นา แต่ทำไม

“แม่น้ำหรือครับ” แดนถามขึ้น ก่อนจะตักอาหารเข้าปาก “ครับ เป็นแม่น้ำ กว้างสักหน่อย” เตยที่โดนแม่หยิกแขนไปหลายที เพราะเสียมารยาทแอบฟังลูกค้าคุยกัน ยังไม่ลดละความพยายามเงี่ยหู จนได้ยินทั้งสองหนุ่มพูดเกี่ยวกับแม่น้ำ “พี่ ๆ จะไปเที่ยวแม่น้ำกันหรือคะ” เตยที่เนียนเอาน้ำเปล่ามาเสิร์ฟ เอ่ยปากถาม “ครับ แถวนี้มีแม่น้ำอื่นอีกมั้ยครับ” แดนถามเด็กสาวที่เดินเข้ามาคุยด้วย เมื่อเอิงบอกว่า แม่น้ำที่มองเห็นไกล ๆ จากที่ร้านนี้ ไม่ใช่แม่น้ำที่ต้องการไป

“มันก็มีแควใหญ่ แควน้อยนะพี่” เตยตอบคำถามนั้น พลางนึกว่ามีแม่น้ำอะไรอีกบ้าง “มีที่เป็นสะพานไม้ด้วยมั้ยครับ” เอิงถามเด็กสาว ที่มองหน้าสวย ๆ ตาแป๋ว ๆ ของอีกฝ่าย “สะพานหรือคะ” เตยขมวดคิ้ว “ก็มีที่เป็นทางรถไฟข้ามแม่น้ำ แต่มันเป็นเหล็กด้วยนะพี่ ไม่ได้มีแค่ไม้” เตยให้ข้อมูลกับแดนและเอิง “มันเป็นสะพานไม้ทั้งอันเลย” แดนบอกตามที่เอิงเล่ารายละเอียดให้เขาฟัง เพราะสำหรับแดน ที่เห็นภาพของแมทในอดีต ไม่เคยเห็นภาพแม่น้ำ หรือสะพาน ตามที่เอิงว่ามา

“เดี๋ยวนะพี่” เตยพูดก่อนที่จะวิ่งเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ ก่อนจะกลับมาโดยมีแท็บเล็ตในมือ เด็กสาวกรอกคีย์เวิร์ด เพื่อค้นหารูปในอินเทอร์เน็ต เธอมองสลับไปมาระหว่างแดนและเอิง ก่อนจะหันรูปให้ทั้งคู่ดู “สะพานนี้ ใช่มั้ยพี่” แดนหันไปมองเอิง ที่พยักหน้าตอบว่าใช่ ซึ่งเอิงดูตกใจไม่น้อยที่ได้เห็นรูปนั้น มันคือสะพานที่ช่วงหลัง ๆ มานี้ ตอนท้าย ๆ ความฝัน ก่อนที่เอิงจะตื่นขึ้น มันแวบเข้ามาให้เขาเห็นอยู่บ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ เอิงไม่เคยเห็นมันจากภาพในอดีตมาก่อน

เมื่อดาวเจ้าเรือนมรณะ เดินมาตกอยู่ในภพเรือนมรณะเองนั้น จะมีมาตรฐานดาวเป็นเกษตร ท่านให้ถือว่า ความเศร้าโศกเสียใจจะมีขึ้นในถิ่นกำเนิด ต้องย้ายถิ่นฐาน แล้วจึงจะดีขึ้น เพราะความตายดังกล่าว ได้ตายไปแล้ว หากเมื่อเรือนร้ายเดินเข้าสู่เรือนร้ายเอง ด้านดีท่านว่า จะได้รับประโยชน์จากผู้ที่จากไปแล้ว เจ้าชะตาจะสนใจชีวิตข้างหน้าในอนาคต เกี่ยวข้องทางโหราศาสตร์ วิญญาณนำทาง มีเกณฑ์เดินทางไปในที่ต่างแดน ต่างประเทศ

“ถ้าพี่อยากไป เดี๋ยวหนูจัดให้” เตยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่” เตยพูด ก่อนจะลุกเดินไปที่ผนังร้านด้านใน ดึงเอารูปใบหนึ่งติดมือมาด้วย เตยเดินกลับมาหาแดนและเอิง สองหนุ่มมองไปที่เตยด้วยความสงสัย “พี่สองคนต้องบอกหนูมาก่อน ว่า” เตยวางรูปถ่ายที่ถูกไฟไหม้นั้นลงบนโต๊ะ “พี่สองคน เกี่ยวข้องอะไรกับคนในรูปนี้หรือเปล่า โดยเฉพาะพี่” เตยจ้องไปที่แดน ซึ่งทั้งเอิงและชายหนุ่มลูกครึ่ง ต่างตกใจที่ได้เห็นภาพของแมทในชุดเครื่องแบบทหาร มาอยู่ในร้านอาหารแห่งนี้



****************************

https://www.youtube.com/watch?v=ULQVcDUJjvM

เธอคือทุกสิ่ง ในความจริงในความฝัน คือทุกอย่างเหมือนใจต้องการ เธอเป็นนิทานที่ฉันอ่าน ก่อนหลับตาและนอนฝัน เธอคือหัวใจ ไม่ว่าใครไม่อาจเทียมเทียบเท่าเธอ ช่างโชคดีที่เจอได้ตกหลุมรักเธอ ได้มีเธอเคียงข้างกัน คงจะมีเพียงทำให้โลกนั้นหยุดหมุน เพียงเธอสบตาฉัน คงจะมีเพียงเธอที่หยุดหัวใจของฉันไว้ตรงนี­้ ตรงที่เธอ เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่ต้องการ ฉันจะทำทุกทุกทางด้วยวิญญาณและหัวใจ นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใ­ด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว เธอคือรักจริง ฉันยอมทิ้งทุกทุกอย่างเพียงเพื่อเธอ ดั่งฟ้าให้มาเจอให้เธอคู่กับฉัน ให้เราได้เดินเคียงข้างกันนับจากนี้ เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอ เพียงเธอที่รอ ฉันจะขอภาวนาต่อหน้าฟ้าอันแสนไกล นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเป็นเมื่อไรสถานใ­ด เกิดชาติไหนฉันมีเธอ มีเธอเพียง คนเดียว จะทุกข์หรือยามที่เธอนั้นสุขใจ ยามป่วยไข้หรือสุขกายสบายดี ฉันอยู่ตรงนี้และจะมีแต่เธอทุกวินาที จะอยู่ใกล้ไม่ห่างไกล จะเคียงชิดไม่ห่างไป ไม่ไปไหน
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๐ มรณะ - มรณะ (ถึงยังที่ที่ไม่ถึง)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 03-05-2022 20:34:56
 :katai1: :katai3:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๑ วินาศน์ - วินาศน์ (คุณในความรักความรักในคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 04-05-2022 18:58:50
๒๑.



วินาศน์ - วินาศน์ (คุณในความรักความรักในคุณ)





“เราเองก็อยากรู้เหมือนกัน” แดนให้คำตอบกลาง ๆ ไปแบบนั้น ด้วยยังคงลังเล ว่าเขายังไม่ควรบอกอะไรเด็กสาวที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก แม้เตยจะไม่ค่อยพอใจกับคำตอบ ที่ไม่ได้อะไร จากชายหนุ่มลูกครึ่งพูดไทยชัดคนนี้นัก แต่คำตอบของแดน ก็ทำให้เตยรู้ว่า มันมีเรื่องราวอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นจริง ที่เชื่อมโยงทหารหนุ่มในรูป กับคนทั้งสองคนนี้ เข้าไว้ด้วยกัน

“พี่สองคนก็เลยมาตามสืบเรื่องนี้ที่นี่” เตยถามออกไป “หนูหมายถึง มาที่ร้านของแม่หนู” แดนกับเอิงมองหน้ากัน ก่อนที่เอิงจะพูดขึ้นว่า “เราตั้งใจมาที่จังหวัดนี้จริง” แดนพยักหน้าเสริมสิ่งที่เอิงพูด “แต่เรื่องร้านนี้ เรื่องรูปถ่าย เป็นเรื่องบังเอิญที่เราไม่ได้คาดคิด” แดนบอกกับเด็กสาวไปตามจริง “และอาจจะรวมถึงคุณลุงคนขับรถสองแถว ที่ใจดีกับเรามาก ๆ นั่นด้วย” แดนพูดต่อ เพราะพอมาคิดดูแล้ว มันก็ให้บังเอิญจนเกินไป ที่คุณลุงคนขับพาเขาสองคนมาส่งที่หน้าร้านนี้ยังไม่พอ ยังคะยั้นคะยอให้เข้ามาในร้านอีก

“ซึ่งพี่สองคนก็กลับมาร้านแม่หนูอีก เป็นครั้งที่สอง” เตยพูด พลางทำท่าครุ่นคิด “เมื่อวานหนูวิ่งมาแทบหัวคะมำ แต่ไม่ทันเจอพี่สองคน” เตยพูดย้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ “แต่วันนี้ อยู่ ๆ พี่ก็พอกันโผล่มา แบบ” เตยพยายามหาคำพูดที่จะอธิบายเรื่องนี้ “บังเอิญที่สุด” เตยพูดออกไป แต่ก็ยังคิดว่าไม่ใช่ มันต้องมีอะไรมากไปกว่านั้น

“หรือเราต้องมาเจอกันอยู่แล้ว” เตยพูด บอกกับแดนและเอิงว่า “มันต้องถูกกำหนดเอาไว้แล้วต่างหาก ชะตาชีวิตของหนูถูกกำหนดเอาไว้ ให้มาช่วยพวกพี่ ไขความลับนี้” แววตาของเตยแวววาวขึ้นมาทันที ที่นึกขึ้นมาแบบนี้ แดนกับเอิงสบตากัน เป็นเชิงชั่งใจ ว่าจะยังไงต่อดีกับเด็กสาวคนนี้ “หนูว่านะ ถ้าจะไปที่สะพานนั่นน่ะ” เตยพูด ก่อนจะชะโงกดู ให้แน่ใจว่าแม่ของเธอ จะไม่ได้ยินเรื่องนี้

“เดี๋ยวหนูพาพวกพี่ไปเอง พี่สองคนกินข้าวให้เสร็จ แล้วเดี๋ยวพี่ไปรอหนูอยู่ที่โรงแรมนี้” เตยพิมพ์ชื่อโรงแรมลงบนแท็บเล็ต “เดี๋ยวหนูตามไปคุยรายละเอียด เพื่อนหนูที่ทำงานอยู่ที่นั่น เดี๋ยวหนูโทรไปให้มันรอรับพี่สองคน” เตยทำเสียงกระซิบกระซาบ ประหนึ่งกำลังแสดงบทเป็นสายลับสาว ด้วยความที่เธอเองก็อยากรู้เรื่องราวทั้งหมด ความเป็นมาเป็นไป ที่อยู่ ๆ คนในรูปถ่ายที่แปะไว้บนผนังร้านมานานวัน ไม่มีใครรู้ชื่อเสียงเรียงนาม จู่ ๆ วันหนึ่ง ก็กลายเป็นคนที่มีคนมาตามหาซะอย่างนั้น

“วันหลังมาอุดหนุนใหม่นะคะ” แม่ของเตยกล่าวขอบคุณ พลางเชิญชวนให้ทั้งแดนและเอิงกลับมาอีกครั้ง “ขอบคุณนะคะ” เตยพูดเสริม “แม่ เดี๋ยวหนูเรียกรถให้พี่เขาดีกว่า พี่จะไปโรงแรมนี้ใช่มั้ยคะ” เตยขยิบตาส่งซิกแนล ก่อนจะรีบวิ่งออกไปเรียกรถสองแถวที่ด้านหน้าร้าน แดนกับเอิงที่ปรึกษากันก่อนหน้านี้ ก็ได้ข้อสรุปว่า จะลองทำตามเตยดู ถ้าดูแล้วไม่น่าจะเวิร์ค ค่อยหาทางเลี่ยงเอา เด็กสาวแม้จะดูไฮเปอร์ไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นพิษเป็นภัยอะไรกับใคร

อีกอย่าง ทั้งคู่ก็รู้ว่า เตยเป็นใคร รู้จักร้านของแม่เด็กสาวอีก ก็ดูจะคลายความกังวลลงไปได้ แถมรูปของแมท ยังมาอยู่ที่ร้านแม่ของเตย ถ้าจะให้เดา มันต้องมีความเกี่ยวข้องกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และดูเหมือนเตยเอง ต้องการจะรู้มานานแล้วด้วย ว่าทหารหนุ่มในชุดเครื่องแบบ ในรูปที่โดนไฟเผาใบนี้เป็นใคร ยิ่งได้ฟังแดนและเอิงพูดถึงความบังเอิญต่าง ๆ นานา จนพาทั้งสองคนมาถึงร้านนี้ได้ เตยยิ่งอยากรู้มากขึ้นไปอีก

รถสองแถวพาแดนและเอิงมาจอดที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง มันอยู่ไม่ไกลแม่น้ำสายหลักในเมือง มันเป็นโรงแรมที่ดูดีมากโรงแรมหนึ่ง แดนและเอิงเดินเข้าไปด้านใน ภายในล็อบบี้ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ ดูย้อนเวลาไปในอดีต มีพนักงานฟร้อนท์กล่าวทักทายพวกเขา ก่อนจะมีเด็กหนุ่มอีกคน เดินออกมาจากด้านหลัง ก่อนพยักหน้าให้กับแดนและเอิง เหมือนรู้และคอยคนทั้งคู่อยู่แล้ว

“ห้องพักจะอยู่แยกเป็นส่วนตัวไปด้านนอกนะครับ เป็นห้องที่เราเพิ่งตกแต่งใหม่ มองวิวแม่น้ำเห็นทั้งโค้งน้ำฝั่งนั้น และฝั่งสะพานทางรถไฟ” แดนและเอิงเดินตามพนักงานชาย ที่คาดว่าจะเป็นเพื่อนของเตย ตัดเทอร์เรซไปทางด้านซ้าย ก่อนจะเดินมาจนเจอประตูไม้แบบลงสลักจากด้านใน

เมื่อผลักประตูนั้นเข้าไป ก็เจอห้องที่ตกแต่งด้วยไม้สีน้ำตาลแก่ มีเตียงขนาดดับเบิ้ล ปูด้วยเครื่องนอนสีขาวสะอาด สองเตียงวางอยู่คู่กัน ปลายเท้าหันไปทางประตูกระจก มีม่านที่สามารถดึงลงมากั้นเป็นมุ้งได้ เหน็บอยู่ด้านข้างทั้งสองเตียง มองผ่านประตูกระจกออกไป เป็นภาพวิวแม่น้ำ ที่แสงแดดยามเย็นระยิบระยับไปทั่วทั้งผิวน้ำ

“เชิญพักผ่อนก่อนนะครับ ถ้าเตยมาถึงแล้ว เดี๋ยวผมมาเรียก” เด็กหนุ่มพูดกับแดน ก่อนจะหันหลังเดินไปทางประตูห้อง เขามองไปที่แดนที่มองมาทางเขา ก่อนจะเหลือบไปเห็นเอิงที่ยืนอยู่ตรงประตูกระจกถัดไปทางด้านขวา นั่นทำให้เขาตกใจจนต้องชะงักไปนิดหนึ่ง เพราะเขาคิดว่าเขาอาจจะตาฝาด มองภาพผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เด็กหนุ่มเก็บความรู้สึกสงสัยแกมประหลาดใจนั้นเอาไว้ ก่อนปิดประตูตามหลัง แล้วเดินกลับไปที่ด้านหน้าโรงแรม

“วิวสวยจัง ว่ามั้ยครับเอิง” แดนเดินมาหยุดมองวิวด้านนอก ที่อีกมุมถัดมาทางซ้าย เจ้าของชื่อที่ถูกถาม มองไปทางคนต้นเสียง แดนมองแล้วยิ้มมาทางเอิง เขาพยักหน้าเห็นด้วยกับหนุ่มลูกครึ่ง ก่อนยิ้มตอบกลับแดนไป ชายหนุ่มลูกครึ่งรู้สึกดีใจ ที่เขาได้มีเวลาเป็นส่วนตัวกับเอิงช่วงเย็นนี้ ทั้งสองคนพักผ่อนอยู่ในห้อง สักพักใหญ่ เด็กหนุ่มเพื่อนของเตย ถึงเดินมาเคาะประตู แจ้งให้แดนและเอิงรู้ว่า เตยมาถึงแล้ว

“แกต้องเป็นคนช่วยพวกฉัน” เตยเปิดประโยคสนทนา เด็กสาวชี้นิ้วรวมสามคน เธอ เอิง และแดน เป็นพวกฉัน โดยหันไปบอกกับเพื่อนของตัวเอง ด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ “แกจะบ้าเหรอ ขับรถสองร้อยกว่ากิโลเลยนะเว้ย” คนถูกบังคับโวยวายออกมา ก่อนจะลดเสียงลง แล้วพูดต่อไปว่า “สะพานนั่นมันไกลมาก แล้วฉันก็ต้องทำงาน จะขับรถไปให้แกได้ยังไง” เตยมองหน้าเพื่อนแบบผู้เหนือกว่า แล้วพูดกับเพื่อนกลับไปว่า

“บูม แกไปคิดหาวิธีมา เพราะถ้าแกไม่ทำ แกคิดถึงค่าข้าวที่แกติดแม่ฉันไว้ให้ดี ถ้าต่อจากนี้ เวลาแกเงินช็อต ๆ แกจะไป เซ็น จ่าย จบ ที่ไหนได้ ฮึ” เตยยกคำขู่เรื่องนี้ขึ้นมาอ้าง เพราะรู้ดี ว่าช่วงนี้เพื่อนเธอคนนี้กำลังขัดสนอยู่ บูมทำหน้าเซ็ง ที่อยากจะเถียง อยากจะปฏิเสธ แต่เขาก็ดันเดือดร้อนจริง ๆ ก่อนจะมองไปที่แดนกับเอิง แล้วคิดถึงเรื่องของคนทั้งคู่ที่เตยเล่าให้ฟัง ก่อนหน้านี้

“สองร้อยกิโลเมตรเลยนะแก ไอ้เตย” บูมทำเสียงพ้อ เมื่อคิดถึงระยะทางที่ไกลขนาดนั้น ในการขับรถไปให้ถึง “อืม” เตยยืนยันกับเพื่อน “แถมขับขึ้นเขาด้วยนะ” บูมแค่คิดก็ท้อแล้ว “อืม” เตยยังยืนยันตามเดิม “เพื่อนบูมเก่งจะตาย ทำได้แน่นอน ไปหาวิธีมา” เตยทำเสียงโฮกฮากใส่อีกฝ่าย เพราะรู้ว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า แดนกับเอิงยิ้มให้กำลังใจบูม เพราะพอทั้งคู่รู้ว่า ระยะทางจากตรงนี้ ยาวไปจนถึงจุดหมายไกลขนาดนั้น ก็นึกขอบคุณเด็กหนุ่มคนนี้ คนที่จะมาเป็นเพื่อนร่วมทริปมาก ๆ

“พรุ่งนี้ เราออกจากที่นี่ไม่เกินแปดโมงเช้า อากาศกำลังดี ไม่ร้อน ขับรถไปเรื่อย ๆ แวะบ้าง ขับบ้าง เดี๋ยวก็ถึง ใกล้แค่นี้” เตยหันมาโฆษณาปุบปับทริปของเธอกับแดนและเอิง โดยมีบูมส่ายหัวดิก ไม่รู้สึกอินไปกับเตยด้วย “ส่วนแก ไอ้บูม ไปจัดการทำยังไงก็ได้ ให้ทริปนี้เกิดขึ้น โดยที่แกเป็นคนขับ เพราะแกรู้เส้นทาง และเคยขับรถขึ้นไปที่นั่นมาแล้ว เข้าใจ๊ เลิกการประชุมได้” เตยพูดจบ ก็ยิ้มหวานให้กับทุกคน ก่อนจะให้ทุกคนแยกย้ายกันไปนอนพัก เพื่อพรุ่งนี้จะได้ตื่นมาแบบสดชื่น พร้อมรับกับทริปที่แสนพิเศษนี้

“เจ้าเตยนี่ก็เฮี้ยวดีนะ” แดนที่กำลังเดินช้า ๆ ข้าง ๆ เอิง ขากลับมาจากมินิสโตร์ ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม พูดอย่างนึกขันเด็กสาว เอิงหัวเราะเบา ๆ ไปกับแดนด้วย “ส่วนเจ้าบูมก็ต้องตามใจจนได้” แดนยังจำหน้าเซ็ง ๆ ของเด็กหนุ่มได้ “ให้ผมช่วยถือของนะ” เอิงยื่นมือออกไป ขอแบ่งข้าวของ เสื้อผ้า ของใช้จำเป็น พะรุงพะรังในมือของแดนมาถือ

“ไม่เป็นไร” แดนพูด “ผมตัวใหญ่กว่าเอิง ผมถือเอง เอิงตัวเล็กกว่าผม เอิงแค่เดินอยู่ข้าง ๆ ผมอย่างนี้ก็พอ” แดนพูดจบก็ยิ้มเขินไปกับคำพูดของตัวเอง พอดีกับที่เอิงแกว่งแขนชนเข้ากับมือข้างที่เหลือของแดน ชายหนุ่มลูกครึ่งเลยใช้จังหวะนั้น กุมมือของเอิงเอาไว้ “ได้มั้ย” แดนถาม เป็นเชิงขอเอิงก่อน เจ้าของมือพยักหน้าอนุญาต แต่เตือนให้ปล่อยเมื่อถึงหน้าโรงแรม เพราะเดี๋ยวคนอื่นจะเห็น แดนรับคำ ได้เดินจับมือกับเอิง ถึงแค่หน้าล็อบบี้ก็ยังดี บางอย่างค่อยเป็นค่อยไป แดนคิด มันก็ไม่เสียหายอะไร

ค่ำนั้น ทั้งคู่ออกมาทานมื้อค่ำกันที่ร้านอาหารของโรงแรม ที่ทำเป็นระเบียงดูวิวแม่น้ำ แดนสั่งอาหารไทยแบบดั้งเดิมมาหลายอย่าง ที่ไม่สามารถหากินรสชาตินี้ได้ที่เมืองที่เขาอาศัยอยู่ แดนจะขอให้คุณปริมแม่ของเขาทำให้กิน หลายเมนู เครื่องปรุง สมุนไพร ก็ไม่ครบสูตร รสชาติออกมาจึงได้แค่พอกล้อมแกล้ม ไม่จัดจ้านเหมือนเมนูเดียวกัน ที่ได้กินที่เมืองไทย

เอิงนึกเอ็นดูหนุ่มลูกครึ่ง ที่กินมื้อเย็นมื้อนี้อย่างเอร็ดอร่อย กวาดเกลี้ยงไปเสียทุกจาน ทั้งบรรยากาศสบาย ๆ ลมเย็น ๆ พัดมาริมแม่น้ำ ผนวกกับอาหารอร่อยถูกปาก พนักงานของทางห้องอาหาร ยังแอบดีใจ ภูมิใจ และอบอุ่นใจ เมื่อเห็นหนุ่มฝรั่งเติมข้าวอยู่หลายจาน ทั้งสองคน นั่งชมบรรยากาศยามค่ำต่ออีกเล็กน้อย ด้วยเครื่องดื่มแนะนำของทางโรงแรม ก่อนจะกล่าวลาน้อง ๆ พนักงาน เพื่อกลับเข้าห้องพัก โดยมีพนักงานสาว ๆ หลายคนแอบกรี๊ดกร๊าด และเขินแทน เมื่อรู้ว่า ผู้ชายหน้าตาดีสองคน เข้าพักห้องสวีทด้วยกัน

เอิงออกมาจากห้องน้ำ กลิ่นชาวเวอร์เจลหอมละมุนนั้น ทำให้แดนถึงกับต้องชะโงกมอง เอิงเห็นสายตาของแดนที่มองมา แล้วก็รู้สึกเขินอยู่ในที เขาเดินมาที่เตียงฝั่งของตัวเอง มองเห็นแดนนอนสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มอยู่ก่อนแล้ว หนุ่มลูกครึ่ง คืนนี้ยอมใส่เสื้อนอน เป็นเสื้อกล้ามคอลึกที่เพิ่งไปหาซื้อมาจากมินิสโตร์เมื่อตอนเย็น แดนนอนหันข้างมาทางเตียงฝั่งของเอิง หนุ่มลูกครึ่งมองเอิงทาครีมที่ผิวเพลิน ๆ จนได้ยินเอิงบอกว่า จะปิดไฟแล้ว

ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง มีเพียงแสงไฟสลัวจากด้านนอกที่ลอดเข้ามา ประตูกระจกถูกเลื่อนเปิด รับลมเย็น ๆ ในยามค่ำ พัดผ่านเข้ามา แดนฟังเสียงหัวใจของตัวเองเต้น เขานอนมองไปทางเอิง ที่อีกฝ่ายอยู่ถัดจากเขาไปเพียงแค่เอื้อมถึง เอิงหลับตาลง เพื่อจะหลบเข้าสู่ความหลับใหล แดนปิดเปลือกตาลง ข่มใจ อากาศเย็นสบายในค่ำคืนนี้ นำพาทั้งคู่เข้าสู่ภวังค์ โดยมีเสียงฟ้าครืนฝน ดังมาจากที่ไกล ๆ

แมทพาซายเข้าหลบฝนอยู่ในเพิ่งง่าย ๆ ที่เขาทำขึ้น สายฝนโปรยปรายลงมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว อย่างน้อยภายในนี้ เขาทั้งสองคนก็ไม่ต้องเปียกฝน แมทถอดเสื้อยืดทหารที่เปียกฝนออก ก่อนเอามันไปพาดเอาไว้ที่เชือกขึงหน้าเพิ่งไม้ ซายนั่งกอดอก ตัวสั่น ด้วยความหนาวจากน้ำฝน แมทสะกิดที่แขนของซาย ก่อนจะทำท่าให้ซายถอดเสื้อที่เปียกออก ซายลังเล แมทจึงเอาเสื้อนอกของเครื่องแบบทหารขึ้นชู ให้ซายใส่มันแทนเสื้อที่เปียก

ซายเอียงตัวไปด้านข้าง ก่อนจะถอดเสื้อออก แมทมองเห็นแผ่นหลังผิวสีน้ำผึ้งนั้น ก็ทำเส ไม่มอง ก่อนจะต้องเหลือบสายตากลับมาที่เดิม ซายหันหน้ามามองทางแมท นายทหารช่างหนุ่มสบตากับซาย เขาค่อย ๆ วางคลุมเสื้อเครื่องแบบของเขาลงบนไหล่ของซาย ตัวของซายสั่น แมทรู้สึกได้ นายช่างหนุ่มจับไหล่ทั้งสองข้างของซายเอาไว้เบา ๆ เจ้าของไหล่หันหน้ากลับไป แต่ไม่ได้ขยับตัวหนี แมทคิดกลับไปกลับมาอยู่ในหัว ก่อนจะเลื่อนตัวเข้าหาซาย

ซายรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของแมท ที่ต้นคอ ก่อนจะรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มนวลจากริมฝีปากของแมท ที่วางลงมา ซายหลับตาลง ผ่อนลมหายใจออกมา แมมเลื่อนริมฝีปากไล่แตะบนคอระหงนั้น รับรู้ถึงลมหายใจที่ขาดเป็นห้วง ๆ ของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะเลื่อนริมฝีปากของเขาขึ้นทาบ และบรรจงจูบที่ด้านหลังหูของซาย จนเจ้าตัวหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆ อย่างเผลอตัว

เอิงผ่อนลมหายใจออกมา เอียงหน้าของเขาเข้าหาหมอนที่หนุนอยู่ ความรู้สึกเหมือนกำลังลอยเคลิ้ม ซายเม้มริมฝีปากของตัวเอง เมื่อแมทซุกไซ้จมูกโด่ง ๆ นั้นเข้ารุกไล่ลำคอและข้างหูของซาย อย่างซุกซน ราวกับว่า ที่ตรงนั้น คือศูนย์ความหอมที่ไม่มีที่ใดในโลกอีกแล้ว คิ้วของแดนขมวดขึ้น ริมฝีปากของเขาเผยอขึ้น และปิดลง ราวกับว่า กำลังได้ชิมของอร่อย อันโอชะลิ้นอยู่ตรงหน้า

แมทดึงตัวของซายให้หันกลับมาทางเขา สายตาของแมทโลมเลียร่างกายของซาย จากลำคอ ไล่ลงมาที่อกที่มีกล้ามบาง ๆ นั้น ก่อนที่แมทจะใช้ปลายลิ้นแตะลงที่ติ่งเม็ดจิ๋วบนเนินอกของซาย เจ้าของสั่นสะท้านไปทั้งร่าง และมันทำให้แมทได้ใจ เขาแตะปลายลิ้นอุ่นและเปียกชุ่มลงบนติ่งเม็ดอีกข้าง สายตาเงยขึ้นมองไปที่ใบหน้าของซาย ที่กำลังมองสิ่งที่แมททำ

ซายขยับตัวตามมือของแมท ที่ประคองอยู่ที่เอว เลื่อนตามจนมาพักตัวอยู่ที่ตักของแมท มือของเอิงที่กำอยู่ตรงคอเสื้อนอน กระตุก จนกระดุมเม็ดบนหลุดออก เอิงหลับตาแน่น ก่อนผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง ด้วยอาการหวามไหว แมทใช้เท้าดันให้กางเกงเครื่องแบบและชั้นในของเขาหลุดออกจากปลายเท้าไป เผยให้เห็นถึงความแข็งเขื่อง ที่พาดยาวขึ้นมา อยู่บนหน้าท้องของเขา แดนส่งเสียงครางเบา ๆ ออกมาอย่างเผลอตัว เขาขมวดคิ้วสลับกับคลายมันออก พลางขยับบั้นเอว เหมือนให้สิ่งที่อยู่ใต้ผ้าห่มนั้น มีที่ว่างมากพอ ให้กับการขยายตัวที่ได้เกิดขึ้น

แมทสอดมือทั้งสองข้างเข้าระหว่างหลังผิวสีน้ำผึ้งของซาย กับเสื้อเครื่องแบบของเขา เสื้อที่คลุมไหล่ของซายอยู่ ถูกปลดลงไปกองอยู่ที่ด้านหลังซาย แมทก้มลงมองไปที่ความนูนบนกางเกงผ้าของซาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย โดยมือของแมทค่อย ๆ คลายเชือกผูกเอวนั้นออก ผ้าที่ถูกทบกันไว้แยกออกจากกัน ก่อนที่จะหล่นลงไปอยู่บนหน้าขาของซาย แมทยิ้มให้แบบปลอบประโลม เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกประหม่า และเขินอาย

เอิงกำผ้าห่มเอาไว้ในมือจนแน่น เมื่อความรู้สึกมันบอกว่า เหมือนใครบางคน แตะต้องส่วนสำคัญที่แข็งขืนนั้น อย่างเบามือ แดนขยับเลื่อนมือที่อยู่ใต้ผ้าห่มลงไปจนถึงกลางลำตัว เมื่อแมทยกมือขึ้นแตะน้ำลายบนปลายลิ้นของเขา ก่อนลดมือลงไปป้ายน้ำลายลื่น ๆ นั้นบนปลายความแข็งแกร่งของเขา ซายขยับตัวโหย่งขึ้น แม้ว่าแมทจะบอกว่า ถ้าหากซายไม่พร้อม ก่อนที่แมทจะรู้สึกถึงความคับแน่นนั้น ค่อย ๆ เคลื่อนผ่าน ความยาวทั้งหมดที่ชูชันรอนั้น

แดนหงายหน้าของเขาขึ้น เอวของเขาดันขึ้นแนบกับผ้าห่มผืนหนานั้น เอิงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง หลับตาแน่น ปลายเท้าทั้งสองงุ้มจิกลง แมทประคองตัวของซายเอาไว้นิ่ง ๆ รอให้อีกฝ่ายคลายเจ็บจากความตึงคับนั้น มือทั้งสองข้างของซายบีบกล้ามแขนของแมทเอาไว้จนแน่น แมทสบตากับซาย นายช่างทหารหนุ่มรอจนอีกฝ่ายพร้อม ซายก้มลงจูบริมฝีปากของแมทเบา ๆ แมทพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะขยับตัวของเขาเข้าหาซาย จากเนิบช้า จนค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้น

หากว่าดาวเจ้าเรือนวินาศน์ สถิตอยู่ในเรือนวินาศน์ด้วยแล้วนั้น เจ้าชะตาถูกกำหนดไว้ให้เป็นผู้มีญาณหยั่งรู้พิเศษในตัว กับศาสตร์ลี้ลับ โหราศาสตร์ เป็นผู้ที่ไวต่อการสัมผัสรับรู้ กับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาสู่กระแสจิต ยิ่งหากว่ามีดาวศุกร์ ๖ มีอาทิตย์ ๑ เข้าไปอยู่ ก็จะยิ่งทวีแรงกามราคะ กามารมณ์เป็นราคะจริต หากว่ามีดาวจันทร์ ๒ เข้าร่วม ถือว่าจันทร์เป็นอารมณ์ ความนึกคิดใฝ่ฝัน มารวมกับศุกร์ ๖ ที่หมายถึงความรัก จึงได้อารมณ์ที่ครุ่นคิดความใคร่ ไม่แปลกอะไร

เอิงส่ายหน้าซ้ายขวา สองมือที่กำผ้าห่มเอาไว้ บิดผ้าในมือจนแน่น แดนเงยหน้าเป่าปาก รู้สึกถึงช่องทางแคบที่ก่อนหน้านี้แน่นตึง กลายมาเป็นกระชับ อุ่น และรู้สึกดี แมทคิดว่าอีกไม่นานต่อจากนี้ เขากำลังจะระเบิดทุกหยาดหยดเข้าไปในตัวของซาย แมทเร่งความเร็ว เมื่อซายเปิดรับเขาเข้าไปทั้งความยาวที่เขามี แมทซุกหน้าเข้าที่ลำคอของซาย เมื่อกระแทกกระทั้นครั้งท้าย ๆ นั้น กำลังจะส่งให้เขาถึงจุด ก่อนที่แมทจะรู้สึกถึงความอุ่นจากซาย ที่ออกมาเปื้อนบนกล้ามท้องของแมท และนั่นทำให้แมทรั้งตัวเองเอาไว้ต่อไปไม่ไหว แมทกดตัวเข้าหาซาย แล้วปล่อยให้ทุกอย่างไหลพุ่งเข้าไปด้านใน ก่อนที่เขาจะบดริมฝีปากเข้ากับซาย อย่างเร่าร้อนในอารมณ์

เสียงฟ้าครืน ๆ อยู่ไม่ไกล ก่อนที่ฝนจะโปรยปรายลงมา เอิงเผลอร้องออกมาในลำคอ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลง แดนคลายคิ้วขมวดนั้นลง ความเปียกนั้นไหลนองภายใต้กางเกงนอนที่เขาใส่ เสียงฝนดังกระทบสายน้ำด้านนอก ฟังดูดังว่า สายฝนขับกล่อมให้รัตติกาลนี้ เป็นค่ำคืนแห่งความชิดใกล้ของหัวใจที่มีจิตผูกพัน



************************************

https://www.youtube.com/watch?v=D2S9ZOcovUg


Baby

Since the first day that I met you

You changed my whole life

You make the world so much more beautiful

And now I wanna sing a song for you

It’ s a song that I dedicate to you, alright

Because it's talking about you and me, baby

Now listen

(วันแรกตั้งแต่เพียงพิศ

ชีวิตเปลี่ยนไปใฝ่หา

โลกใบเดิมกลับดูงามตา

ฉันหาเพลงทำนองร้องดู

เพลงเพื่อตัวเธอฝากให้

ถ้อยวจีฟังอาจคุ้นหู

เล่าเรื่องเธอฉันพรั่งพรู

เคียงคู่เธอลองตั้งใจฟัง)



ฉันรู้ ฉันรู้

ตั้งแต่วันที่ฉันนั้นมีโอกาสได้ใกล้เธอ

หัวใจฉันเองก็รู้ดี

เธอคือคนนั้น

คนที่ฉันไม่เคยคิดฝันว่ามี

แล้วเธอ

แล้วเธอก็ยืนอยู่ตรงนี้

แม้ว่าการตัดสินใจ

ของฉันจะผิดพลาดมากสักเพียงไหน

ก็ไม่อาจเปลี่ยนหัวใจไปจากนี้

หยุดไม่ได้แล้วทุกอย่าง

ใจของฉันนั้นรักเธอ

ตั้งแต่เราได้พบหน้า

สบสายตากันและกัน

ห้ามไม่ได้แล้วหัวใจ

จะไม่ยอมปล่อยเธอให้ไปจากฉัน

แม้ต้องเจ็บสักเท่าไหร่

แม้จะต้องแลกกับสิ่งไหนไม่สำคัญ



แม้ว่าการตัดสินใจ

ของฉันจะผิดพลาดมากสักเพียงไหน

ก็ไม่อาจเปลี่ยนหัวใจไปจากนี้

หยุดไม่ได้แล้วทุกอย่าง

ใจของฉันนั้นรักเธอ

ตั้งแต่เราได้พบหน้า

สบสายตากันและกัน

ห้ามไม่ได้แล้วหัวใจ

จะไม่ยอมปล่อยเธอให้ไปจากฉัน

แม้ต้องเจ็บสักเท่าไหร่

แม้จะต้องแลกกับสิ่งไหน

แม้ต้องเจ็บสักเท่าไหร่

ฉันยอม ยอม

ฉันยอม ฉันยอม

ฉันยอม

ฉันยอม
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๑ วินาศน์ - วินาศน์ (คุณในความรักความรักในคุณ)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 04-05-2022 19:22:59
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๒ ปัตนิ - มรณะ (คู่ให้เคียงคอยคอยให้เคียงคู่)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 05-05-2022 19:38:28
๒๒.



ปัตนิ - มรณะ (คู่ให้เคียงคอยคอยให้เคียงคู่)





“สายมากแล้ว บูมมันมัวทำอะไรอยู่เนี่ย” เตยบ่นไม่หยุด เมื่อเวลานัดล่วงไปมากกว่าที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ล้อรถก็ยังไม่หมุนเสียที “หนูอุตส่าห์แพลนเอาไว้หมดแล้ว ว่าวันนี้เราจะทำอะไร ยังไงกันบ้าง” เตยบ่นให้กับแดนและเอิงที่นั่งคอยมาพักใหญ่ ๆ ได้ฟัง เตยนึกหงุดหงิดเพื่อน แต่ทำยังไงได้ ทั้งหมดนี่ ต้องพึ่งพาคนขับรถพาไปนี่นา “แล้วนี่ พี่สองคน เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย” เตยถามสองหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“ห้องใหม่เขาสวยดีนะพี่ หนูหักคอไอ้บูมให้ลดค่าห้องครึ่งราคาให้พวกพี่ ห้องก็น่านอน แถมถ้าได้มาพักกับคนที่ถูกใจอีกด้วยนะ โห นอนยาวไม่อยากจะตื่น” เตยชวนแดนและเอิงคุยไปเรื่อยเปื่อย ไม่ทันได้สังเกตท่าทางของทั้งสองคน ที่พอเตยถามขึ้นมา ก็พากันนึกถึงเมื่อเช้านี้ ตอนที่ตื่นนอนขึ้นมา

เอิงลืมตาขึ้นมา เสียงเม็ดฝนกระทบลงบนหลังคาไม้ด้านนอก ขาดช่วงไปสักพักแล้ว เขาดันตัวลุกขึ้นนั่ง ก้มหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง พร้อมกันถามตัวเองดังลั่นในความคิดว่า เมื่อคืนนี้ฝันบ้าอะไรเนี่ย แถมความรู้สึกที่ได้สัมผัส รู้สึก ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ฝัน ตอนนี้ก็ยังคงอ้อยอิ่งอยู่อีก เอิงลุกขึ้นจากเตียง แล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำไป โดยไม่กล้าหันไปมองทางแดน ที่ยังนอนอยู่ กลัวว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว เขาจะทำหน้าไม่ถูก

แดนแอบหรี่ตามองอีกฝ่าย เมื่อเห็นเอิงเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว ชายหนุ่มลูกครึ่งถึงได้ลืมตาขึ้นมา แดนเลิกกางเกงนอนขึ้น ก่อนเอานิ้วแตะลงไปบนความตึงเหนียวผิวเหนือไรขนนั้น เขาคิดว่ามันไมน่าจะใช่ แต่พอยื่นนิ้วเข้าใกล้จมูก ชายหนุ่มลูกครึ่ง บอกได้ในทันทีว่า ชัดเลย แถมเนืองนองขนาดนี้ แสดงว่าปลดปล่อยเต็มแม็กซ์ ไม่มีกั๊กไว้สักนิดเลยสิเรา แดนชะโงกหน้ามองไปที่ประตูห้องน้ำ ก่อนจะส่ายหน้าให้ตัวเอง ดีนะ ที่เอิงไม่เห็น มันยังไม่ถึงเวลาที่จะให้เอิงได้เห็น แต่พอคิดว่า จะให้เอิงเห็น ให้เอิงได้จับ ไอ้เราก็จะปึ๋งปั๋งขึ้นมาซะอีก ก็แหม แดนนี่รู้สึกว่า เมื่อคืนมันเป็นฝันดีจะตายไป

“พี่สองคนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เตยมองหน้าแดนกับเอิงสลับกัน “ดูเลิ่กลั่ก” เตยหรี่ตามองทั้งคู่ “หรือว่าหนูคิดไปเอง” ก่อนจะก้มลงมองแผนการเดินทางบนแท็บเล็ตของตัวเองต่อ เอิงหันไปมองแดน ที่หนุ่มลูกครึ่งเอามือถูกต้นคอ พร้อมทำหน้ากลั้นยิ้ม เอิงนั้นรู้สึกใบหน้าร้อนผะผ่าว พยายามจะทำหน้านิ่ง ๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขา มันปฏิเสธไม่ออกจริง ๆ

เอิงออกมาจากห้องน้ำ แดนขยับตัวลงจากเตียงนอน เขาเอาผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนใหญ่ มาถือเอาไว้ตรงกลางลำตัว ก่อนจะกล่าวทักทายยามเช้ากับเอิง แล้วหัวเราะแหะ ๆ ค่อย ๆ เดินเลี่ยงไปทางห้องน้ำ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของครีมทาผิวที่เอิงใช้ มันดันกระตุ้นให้ส่วนของร่างกายเขาผงกหงึกหงัก ชายหนุ่มลูกครึ่งรีบปิดแล้วลงกลอนประตูห้องน้ำ

แดนพาดผ้าขนหนูไว้ที่ราว ก้มลงมองที่ด้านล่างของตัวเอง กับกางเกงนอนที่นูนโป่ง หนุ่มลูกครึ่งยกนิ้วโป้งให้กับเจ้าสิ่งนั้น ก่อนจะมองเห็นชั้นในสีขาว ที่เอิงเอาไปแอบตากอยู่ใต้อ่างล้างหน้า แดนนิ่งไปนิดหนึ่ง พลางคิด ตอนเอิงอยู่ในห้องน้ำ เขาได้ยินเสียงดรายเออร์เป่าผมดังขึ้นในห้องน้ำ อยู่นานสองนาน แต่ตอนเอิงออกมาจากห้องน้ำ ผมของเอิงยังดูเปียกอยู่เลย งั้นก็แสดงว่า ที่เอิงพยายามเป่าให้แห้ง ก็คือชั้นในที่เพิ่งเอามาซักนี้ หรือว่า แดนยิ้มกว้างออกมา หรือว่า สิ่งเดียวกันจะเกิดขึ้นกับเอิงเมื่อคืนนี้ ด้วยเช่นกัน

เช้าวันนี้ จึงเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ของเอิง ที่ในชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้ใกล้ชิดใครแบบนี้เลย ไม่แม้แต่กับปราชญ์ ที่เป็นเพื่อนสนิท แต่มันก็น่าประหลาด ตั้งแต่ขามาที่นี่กับแดน เอิงมองไปที่ชายหนุ่มลูกครึ่งคนนี้ ความรู้สึกที่มีอยู่ในใจ มันบอกกับเอิงว่า เมื่อเขามีแดนอยู่ใกล้ ๆ เอิงรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เหมือนเขาสามารถวางใจในเรื่องต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย หากมีแดนอยู่ข้าง ๆ เอิงสามารถพักใจของเขาไว้ที่แดนได้อย่างเต็มที่

“บูม แกพาลูกค้าไปทัวร์ ต้องขับรถด้วยความระมัดระวังนะ ความปลอดภัยมาก่อน เพราะนี่คือลูกค้าวีไอพีของทางโรงแรม เป็นเกสท์ห้องสวีทของเรา ดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด” ่ผู้จัดการโรงแรมเดินมากำชับกับเด็กหนุ่ม ที่หาทางออกด้วยการ ให้ทั้งสองคนซื้อแพ็คเกจเพิ่มกับทางโรงแรม ที่มาพร้อมกับห้องพัก แต่เนื่องจากลูกค้ามาถึงโรงแรมช้า จึงต้องเลื่อนทริปมาเป็นวันนี้

“คุณลูกค้าเชิญครับ” ผู้จัดการกล่าวเชิญแดน “เชิญครับ” ก่อนหันมาทางเอิง “เดินทางปลอดภัยนะครับ เที่ยวให้สนุก ขอบพระคุณที่ใช้บริการกับเรานะครับ” แม้ว่าผู้จัดการจะตงิด ๆ ที่ได้เห็นเตยนั่งอยู่ด้วย ที่ตอนนี้เด็กสาวที่เห็นผู้จัดการเดินมา ก็รีบเผ่นแน่บ คว้าเอากระเป๋า ข้าวของ สัมภาระของแดนและเอิงไปรออยู่ที่รถยนต์ที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ แต่โดยมารยาทแล้ว ต่อหน้าลูกค้า ผู้จัดการก็ได้แต่เงียบเอาไว้ เดี๋ยวรอให้บูมกลับมาก่อน จะต้องทำการซักไซ้ไล่เลียง ถึงความเป็นมาเป็นไปสักหน่อยแล้ว

“ใครจะไปนึกล่ะเนอะ ว่าอยู่ ๆ คนที่ไม่รู้จักกันเลย ไม่คิดว่าจะได้มาเจอกัน กลับมาร่วมทริปพิเศษเฉพาะกิจกันแบบนี้” บูมขับรถพาทุกคนออกจากในเมืองมาได้สักพัก เตยเป็นคนชวนทุกคนคุย เพื่อให้บรรยากาศไม่เงียบเหงา เนื่องจากทุกคน “หนูว่านะ อิทส เม้นท์ ทู บี” เตยที่นั่งข้างคนขับ ชะโงกหน้ามาส่งสำเนียงโชว์หนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน แดนที่นั่งอยู่เบาะด้านหลังกับเอิง หลุดหัวเราะให้กับท่าทางสุดมั่นของเด็กสาว

“สำเนียงหนู กินขาดเนาะพี่เอิง ลูกครึ่งยังอายเล้ย คิดดู” เตยหันหน้ามาพยักพเยิดกับเอิง ที่นั่งอยู่ด้านหลังบูม ที่เป็นคนขับ เอิงยิ้มตอบเตย ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะทัวร์ในวันนี้ “แล้วนี่แกบอกแม่เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย ว่ามากับฉันเนี่ย เตย” บูมถามเพื่อนแบบตายังคงมองไปที่ถนนด้านหน้า “ยัง” เตยตอบแบบไม่สะทกสะท้านอะไร “เอ๊า” บูมร้องออกมา เมื่อได้ยินเตยพูดแบบนั้น รถส่ายเล็กน้อย แต่บูมยังควบคุมรถได้เป็นอย่างดี แดนกับเอิงที่นั่งอยู่ด้านหลัง เกิดอาการใจหายเล็กน้อย

“เฮ้ย ขับรถดี ๆ สิ ไอ้บูม” เตยหันไปต่อว่าเพื่อน “แล้วแกจะตกใจอะไรเนี่ย แกก็รู้ ว่าถ้าฉันบอกแม่ แล้วฉันจะได้มาด้วยมั้ยล่ะ เอาน่า กลับถึงบ้าน แล้วเดี๋ยวค่อยบอก” เตยสรุปให้ “ไม่ได้” บูมค้าน “ยังไงพอไปถึงข้างบนแล้ว แกต้องโทรบอกแม่แกทันที” เตยทำหน้าเอือม แต่รู้ว่า ถ้าเถียงอะไรบูมอีก เดี๋ยวเรื่องจะไม่ยอมจบง่าย ๆ เตยจึงรับคำเพื่อให้ตัวเองรอดไปก่อน

“แล้วพี่เอิงล่ะ ที่พี่ฝันเห็น มีสะพานนี้อย่างเดียวเลยหรือคะ” เตยหันมาถาม เอิงมองไปทางผู้ถาม ก่อนจะตอบว่า “จริง ๆ พี่เห็นสะพานนี้ทีหลัง เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนนี่เอง” แดนมองไปที่เอิง มันเหมือนกับว่า เมื่อชีวิตของเขาและเอิงเริ่มเคลื่อนเข้ามาบรรจบกัน อะไรหลาย ๆ อย่าง ที่เขาทั้งสองไม่เคยรู้ หรือจำความฝันไม่ได้ เริ่มเผยรายละเอียดออกมามากยิ่งขึ้น และยิ่งพอแดนและเอิงได้มาใกล้ชิดกัน มันเหมือนถูกกระตุ้นด้วยพลังงานอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะสองคืนที่ผ่านมา ในพื้นที่แห่งนี้

“ที่พี่ฝันเห็นมาตลอด ตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่น” บูมชำเลืองมองเอิงผ่านทางกระจกมองหลัง “คือแม่น้ำ” นี่คือภาพจากความฝัน ที่เอิงเห็นบ่อยที่สุด จนจำมันได้ติดตา ส่วนสะพานไม้นี้นั้น เอิงฝันเห็นมันเมื่อไม่นานมานี้ “โห ฝันแต่ที่เดิม ๆ มาเป็นปี ๆ เลยหรือพี่เอิง” เตยพูด พลางนึกว่า เมื่อคืนเธอฝันเรื่องอะไร สัปดาห์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว มันไม่ซ้ำกันสักเรื่อง

“ถ้าอย่างนั้น มันก็เป็นไปได้สูงน่ะสิ ที่หนูสองคน” เตยพูดขึ้น ก่อนเว้นช่วงนิดหนึ่ง บูมคอยฟังว่าเพื่อนจะพูดอะไร “หนูสองคน ก็เคยเกี่ยวพันกับพวกพี่ ตั้งแต่เมื่อตอนนั้น” เตยตั้งข้อสังเกต เอิงพยักหน้า ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ก็เป็นไปได้” เตยยิ้มพอใจกับคำตอบ บูมส่ายหน้าน้อย ๆ “แต่ก็เป็นไปได้ ที่ว่าเรากำลังสร้างกรรมใหม่ด้วยกันในตอนนี้ โดยที่เราไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกันมาก่อนเลยสักนิดเดียว” คำพูดของเอิงนี้ ทำให้เตยยู่หน้า แล้วบอกว่า ทฤษฎีของเธอก่อนหน้านี้ ฟังดูโอเคกว่า

“เวอร์ชันพี่เอิง ทำร้ายจินตนาการหนูมาก ๆ เลย” เตยประกาศไม่รับรองสมมุติฐานที่เอิงว่าไว้ ทั้งหมดพากันหัวเราะแม้แต่บูมเอง ยังอดขำไปกับความช่างฝันช่างเพ้อของเพื่อนไม่ได้ “แม่ผมเคยบอกว่า คนเรา ได้มีโอกาสมาเจอกัน จนได้รู้จักกัน ได้ร่วมกันทำอะไรสักอย่าง ถือว่าเรามีวาสนาต่อกัน” แดนนึกถึงคำพูดของแม่ที่เคยบอกกับเขาขึ้นมาได้

“ส่วนคนเรา หากกลับมาพบกันอีกครั้ง แล้วได้ใช้ชีวิตร่วมกันอีก ก็ถือเป็นบุพเพสันนิวาส” แดนพูดจบ ก็หันไปสบตากับเอิง ที่มองมาทางเขาอยู่ก่อนแล้ว “โรแมนติกสุด ๆ ไปเลยพี่แดน” เตยตะโกนออกมาลั่นรถ จนบูมต้องหันมาว่าปรามเพื่อน “ให้มันน้อย ๆ หน่อย ไอ้เตย แกทำพี่สองคนเขาตกใจหมดแล้ว” บูมพูด พลางเร่งความเร็วแซงรถคันข้างหน้า ก่อนจะเบี่ยงเข้าซ้ายอีกครั้ง

“ก็มันจริงนี่นา” เตยพูด ก่อนเหลียวหน้ามาทางแดนและเอิงที่เบาะหลัง กับแดนน่ะ เธอพอจะเดาได้ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับทหารในรูป ส่วนเอิงนี่สิ เป็นอะไร เกี่ยวข้องกันยังไง หรือว่า วินาทีนั้น เตยก็นึกถึงของบางอย่างขึ้นมาได้ ซึ่งเตยเคยเห็น แต่ลืมไปเสียสนิทเลย เตยหยิบโทรศัพท์มือถือ มาเปิดค้นหารูปในแกลเลอรี่ ในโฟลเดอร์ที่เธอเซฟเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองบูม ที่นึกสงสัยเหมือนกัน ว่าเตยอยู่ ๆ ก็เงียบไป แต่ยังไม่ทันที่บูมจะได้ถามอะไรเตย

“ข้างหน้าเป็นด่านความมั่นคง” บูมบอกทุกคนในรถ พร้อมแตะเบรก ค่อย ๆ ชะลอความเร็วลง จนเข้าไปต่อท้ายรถสองสามคันข้างหน้า “เป็นจุดตรวจของทหารนะครับ เพราะที่ที่เราจะไป เป็นพื้นที่ติดชายแดน ที่มีแม่น้ำสามสายไหลมาเจอกัน เลยมีการสร้างสะพานเพื่อไว้ใช้ข้ามไปมาหาสู่กัน ชื่อแม่น้ำที่แบ่งอำเภอนี้ออกเป็นสองส่วน แปลเป็นภาษาถิ่นของชาวบ้านที่นี่ว่า” บูมให้ข้อมูลของปลายทางที่กำลังเดินทางไป แต่ยังไม่ทันที่จะพูดต่อ

“ฝั่งโน้น” เอิงก็พูดจบประโยคให้ “ครับ ฝั่งโน้น” บูมมองเอิงผ่านกระจกมองหลัง ก็พอดีกับที่รถของเขาเคลื่อนมาอยู่ตรงเจ้าหน้าที่ทหารพอดี “สวัสดีครับ รถโรงแรมในเมือง กำลังจะเดินทางไปไหนกันครับนี่” เจ้าหน้าที่ทหาร ถามขึ้น เมื่อบูมกดลดกระจกฝั่งที่เตยนั่งลง “ผมจะพาลูกค้าที่โรงแรมขึ้นไปดูสะพานหน่อยน่ะครับพี่” บูมตอบกลับไป “คันนี้ เช็กดูให้ดี ดูซิ มีทหารใส่เครื่องแบบกับชาวเผ่ามัดผมนั่งมา ดูคันนี้” เสียงเจ้าหน้าที่อีกคนดังมาจากทางด้านหลัง

“ไม่มี มีที่ไหน” ทหารเจ้าหน้าที่คนแรกมองเข้ามาในรถ ก่อนจะตะโกนบอกเพื่อนไป เจ้าหน้าที่ที่ตะโกนให้ตรวจ เดินมาดูเอง “อ้าว” แต่ก็ต้องแปลกใจ ที่ในรถไม่มีคนที่เพิ่งสังเกตเห็น ตอนรถคันนี้จอดอยู่สองสามคันถัดไปในแถวตรวจ “ยังไง ขออนุญาตตรวจบัตรประชาชนหน่อยนะครับ” เจ้าหน้าที่ร้องขอ ทั้งหมดหยิบบัตรออกมาให้เจ้าหน้าที่ทหารดู “อ้าวฝรั่งนี่” แดนชูหนังสือเดินทางอเมริกันให้เจ้าหน้าที่ดู

“ลูกครึ่งครับ” แดนบอกกับเจ้าหน้าที่ “พูดไทยชัดแจ๋วเลย ดี ๆ” เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนพูด พากันหัวเราะด้วยความประหลาดใจ “โอเคครับ ขับรถดี ๆ นะน้อง เดินทางถึงที่หมายด้วยความปลอดภัย โชคดีครับ” ทหารทั้งสองนาย ทำความเคารพขอบคุณสำหรับความร่วมมือ ก่อนโบกสัญญาณมือ ให้บูมเอารถออกจากจุดตรวจ เจ้าหน้าที่ทหารหันไปคุยกัน ว่าแปลก เพราะที่เขาเห็นที่เบาะหลัง คือทหารที่ดูเหมือนชาวต่างชาติ ในชุดเครื่องแบบทหาร และคนผมยาว แต่มัดมวยผม หน้าหวาน ๆ ในชุดชนเผ่า แต่กลับกลายเป็นแค่ลูกครึ่งอเมริกันกับคนไทยที่นั่งอยู่

“เอิงจำเส้นตรงนี้ได้บ้างมั้ยครับ” แดนถามขึ้น เมื่อทั้งหมดออกมาจากด่านตรวจได้สักพัก บูมมองแดนกับเอิงจากกระจกมองหลัง เอิงส่ายหน้า เขาจำได้ลาง ๆ ว่า เขาหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน “มารู้ตัวอีกที ตอนฟ้าใกล้สาง ก็เห็นแม่น้ำอยู่ตรงหน้าแล้ว” เอิงเห็นภาพในความฝันแบบนั้น “แล้วพี่แดนล่ะคะ จำอะไรส่วนนี้ได้บ้างมั้ย” เตยเอ่ยปากถาม ด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่นิ่งมากกว่าเมื่อครู่

“ไม่มีครับ” แดนตอบ ก่อนจะหันมามองเอิง เขาจำภาพครั้งหลังได้ เมื่อตอนที่อยู่ในเมือง หลาย ๆ อย่างมันกลับเข้ามาหาเขา จนแทบจะตั้งตัวไม่ติด แต่ตอนนี้ เขากำลังจะเดินทางไปยังสถานที่ ที่อยู่ในความทรงจำของคนที่รอคอย เอิงได้ยินเตยถามคำถามแดนอีกสองสามอย่าง จู่ ๆ ความรู้สึกนี้ ก็แล่นเข้ามาในใจ เอิงหันไปมองแดน จ้องที่ใบหน้าของแดน บอกว่า นี่คือแดน สิ่งที่เอิงสัมผัสได้จนล้นออกมาจากความรู้สึก เมื่อสักครู่นี้ มันกำลังค่อย ๆ เลือนหายไป

“จอด” เอิงเอามือไปจับที่เบาะคนขับ “จอดก่อน” เตยหันมาทางเอิง เพราะไม่มั่นใจว่าได้ยินที่เอิงพูดถูกต้องมั้ย “พี่เอิง” เตยเรียกชื่อคนที่ตอนนี้ น้ำตารื้นขึ้นขอบตาจนเห็นได้ชัด “บูมจอดก่อน จอดรถ จอด จอดเดี๋ยวนี้” เอิงพูดเสียงดังจนเกือบจะตะคอกใส่ บูมชะลอรถ ก่อนจะเลี้ยวเข้าจอดจนพ้นการจราจรบนถนน “เอิง” แดนร้องดังลั่น เมื่อเห็นเอิงเปิดประตูรถ แล้วเดินกลับไปทางที่รถเพิ่งพาพวกเขามา

“เอิง จะไปไหน” แดนวิ่งมาจนทัน คว้าแขนเอิงเอาไว้ “เราต้องกลับไป” แดนเห็นน้ำตาของเอิง ใกล้จะเอ่อล้นขอบตาลงมาเต็มที “ทำไมล่ะเอิง” แดนถาม ไม่เข้าใจว่าอยู่ดี ๆ ทำไมเอิงถึงเป็นแบบนี้ “ทำไมผมถึงไม่รู้สึกถึงเขาเลย” เอิงพูดออกมา “คุณคือแดน” เอิงพูด ก่อนน้ำตาที่เก็บกักเอาไว้ไม่ไหวแล้ว จะร่วงหล่นลงมา “เราต้องกลับไป ตอนนี้ผมไม่รู้สึกถึงแมทเลย” เอิงพูดออกมา เมื่อความรู้สึกที่เคยอวลคลุ้งของนายทหารช่างหนุ่ม ได้หายไปจนสิ้น

“ผมอยู่ตรงนี้ไงเอิง” แดนตัดพ้อ เมื่อรู้ว่า คนที่เอิงสัมผัสถึงคือแมท “คุณไม่เข้าใจ” เอิงที่อยู่ ๆ ก็ถูกความเศร้าสุดแสนประมาณจู่โจมเข้าหา รู้สึกรวดร้าวไปหมดทั้งใจ “ว่าความเดียวดายมันทรมานแค่ไหน” เอิงร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น “เอิง ผมพยายามแล้ว” แดนพูด “เขาพยายามทำในทุกทางที่เขาทำได้แล้ว” แดนขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันนูน ความเจ็บปวดจากการได้รับรู้ ถึงโอกาสที่โดนพรากไป ทำให้แดนทรมานใจไม่น้อย

“การที่ต้องเฝ้ารอ เฝ้ารอโดยไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ รอคอยให้เขามาหา กลับมาทำตามสัญญานั้นสักที” แดนดึงตัวของเอิงเข้ามากอด เอิงสะอื้นไห้อยู่กับอกของแดน บูมมองทั้งสองคนจากกระจกมองหลัง “แก” เตยปาดน้ำตา เช็ดน้ำมูก “แกดูนี่” ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มือถือให้เพื่อนดู รูปที่เธอถ่ายเก็บเอาไว้ “เฮ้ย” บูมร้องออกมา เมื่อได้เห็น “สองคนนี้เหรอ” บูมมองทั้งสองคนกำลังเดินกลับมาที่รถ “แกก็ได้ยินที่พี่ทหารสองคนนั้นพูดแล้วนี่” เตยพยักหน้า เธอคิดว่าเธอแน่ใจ

“เราไปกันต่อนะครับ” บูมถามขึ้น เมื่อทุกคนเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว “ครับ” แดนเป็นคนตอบรับ เด็กหนุ่มพยักหน้าก่อนค่อย ๆ ขับรถออกมา ส่วนเตยที่ก่อนหน้านี้ชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่หยุด เมื่อหันไปเห็นเอิงนั่งมองออกไปด้านหน้าตัวรถ แต่มีน้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย ก็รู้สึกสะเทือนใจ สงสารและเห็นใจ ถ้านี่คือสองคนนั้นโดยไม่ผิดตัวแน่ แดนมองไปทางเอิง เขาเอื้อมมือไปให้เอิงจับ แต่เอิงก็ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น แดนกำมือที่หงายรอนั้นจนแน่น แน่นจนความรู้สึกเจ็บนั้นแล่นเข้าไปปวดอยู่ในใจ

“ลูกค้าขอค้างคืนที่นี่ ครับ ลูกค้าเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ครับผู้จัดการ ใช่ครับ” บูมโทรแจ้งทางโรงแรมว่ามีการเปลี่ยนแปลงทริปนิดหน่อย ซึ่งทางโรงแรมไม่มีปัญหาอะไร ให้ทำตามที่ลูกค้าต้องการได้เลย บูมวางสายจากผู้จัดการ ก่อนจะหันมาพูดกับแดน “ที่นี่ห้องมันเหลือว่างห้องเดียว พี่แดนกับพี่เอิง พักที่นี่แล้วกันครับ เดี๋ยวผมกับเตยไปพักโรงแรมถัดไปไม่ไกลนี่เอง” บูมพูดบอกกับแดน ซึ่งในระยะทางที่เหลือ ที่ขับรถกันมาจนถึงที่นี่ ทั้งคันมีแต่ความเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไรกันเลยตลอดทาง

“ขอบใจนะ เอานี่ไว้ ขาดเหลืออะไรบอกพี่” แดนยื่นเงินสดจำนวนหนึ่งให้บูม เด็กหนุ่มจะไม่รับไว้ แต่แดนยืนยัน “ขอบคุณครับ พี่แดนมีเบอร์โทรผมแล้ว มีอะไรโทรเรียกผมได้นะครับ” บูมยกมือไหว้ของคุณแดน ชายหนุ่มลูกครึ่งพยักหน้ารับ “ไปได้แล้ว พี่แดนให้เงินมาพอค่าห้องของแก กับของฉันแล้ว เกินพอด้วย” บูมบอกให้เตยที่ยังไม่อยากแยกตัวออกไป เดินตามเขามา “มีอะไรเรียกหนูกับบูมได้ตลอดเลยนะพี่”

แดนกล่าวขอบคุณทั้งสองคนเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแพติดริมน้ำ ภายในห้องสลัว แดนเอื้อมือจะไปกดเปิดสวิตช์ไฟ แต่ยังไม่ทันได้ทำ หนุ่มลูกครึ่งมองออกไปด้านนอกระเบียง ที่ทำออกจากห้องนอนยื่นไปในน้ำ เอิงยืนพิงอยู่ที่ขอบราวกั้น แดนกำลังจะเดินตามออกไป เขามองเห็นกระดาษใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ที่มีข้อความอะไรบางอย่างเขียนอยู่ เขาหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนจะมองไปที่เอิงอีกครั้ง แล้วเดินตามออกไปที่ด้านนอกระเบียง แดนเรียกชื่อเอิงเบา ๆ

“ซายกับผมไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง” เอิงพูดออกมา สายตาของเขาจับจ้องไปที่สะพานไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก ที่ทอดยาวจากฝั่งนี้ไปฝั่งโน้น เหนือแม่น้ำที่ไหลเอื่อย ๆ “ผมมีทุกอย่างที่เขาไม่มี” อากาศยามเย็นวันนี้ สลัวด้วยเมฆฝนที่กำลังตั้งเค้า “ซายมีอะไรมากมายที่อยากจะบอก” เอิงพูดต่อ ในใจของเขาตอนนี้ มีสายธารของความเศร้าโศกไหลผ่าน “แต่เขาไม่เคยได้พูดมันออกมา” แดนมองไปที่เอิง เขาปล่อยให้เอิงพูดออกมา มองกระดาษที่เอิงเขียนข้อความลงไป ที่เขาถืออยู่ในมือแผ่นนั้น


You might already know, all these things

Though there were no words being said

You may have realized from what had been going on

In those days we were together

“ไม่เคยมีใครเข้าใจเขา” เอิงปล่อยให้น้ำตาของเขาไหลลงมาเป็นสาย “แต่เมื่อพอวันหนึ่ง มีคนคนหนึ่งแคร์มากพอที่จะฟัง ทั้ง ๆ ที่เขาพูดมันออกมาไม่ได้” เอิงหันมามองแดนด้วยน้ำตานองหน้า “แคร์มากพอที่จะให้ใจกับเขา ที่จะให้ความรักกับเขา แต่ดูสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเขาสิ” เอิงรู้สึกเจ็บอึ้งอยู่ในอก อาการน้อยใจ เสียใจ เศร้าใจ ไหลวนปั่นป่วนไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย


Our old days remained only in our dreams

Existed just in time of days gone by

You may now perceive the facts, regardless of the length of time

It’ s not too long for my heart’ s reminiscence

เรือนมรณะ ความหมายหลักคือ ตาย สาบสูญ การสูญเสีย การจากลา การพลัดพราก ความตกต่ำ เสื่อมถอยลง ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง จุดอ่อนและความเปราะบางของเจ้าชะตา คือเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว เรื่องร้าย ข่าวร้าย การโยกย้ายถิ่นฐาน ไปอยู่ในที่ลึกลับ เมื่อดาวเข้าเรือนปัตนิมาอยู่ในเรือนมรณะ ท่านว่า เจ้าชะตาโชคไม่ดี ไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก แม้นว่าเจ้าชะตาจะมีคู่เป็นคนต่างถิ่นต่างแดน ก็ต้องเป็นไปอย่างปกปิดลึกลับ การได้เสียกันอย่างมิอาจเปิดเผยให้ใครล่วงรู้ นั่นอาจจะต้องสูญเสียหรือจากลากับคู่ครอง ก่อนวัยอันควร

“ซายเขาได้แต่รอ ซายเขาทำได้แค่เพียงรอให้แมทกลับมา” เอิงพยายามพูดออกมา ทั้งที่ความสะเทือนใจกำลังเล่นงานเขาอย่างหนัก แดนที่จุกอยู่ในอกไม่แพ้กัน ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเอิง ที่เหมือนยิ่งเช็ด ก็ยิ่งไหลออกมามากกว่าเดิม “ผมรู้ เอิง ผมรู้” แดนกอดเอิงเอาไว้จนแน่น เอิงปล่อยให้สิ่งที่กำลังรู้สึกในใจ ได้พรั่งพรูออกมา มันคือความเข้มแข็งที่ต้องฝืนทำ ในยามที่ร่างกายและจิตใจอ่อนแอที่สุด ที่เอิงรู้สึกและสัมผัสมันได้ผ่านด้าจก์ซาย

*****************************

แปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

Lyrics translation into English by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=qnGTC8EUUes


เธอคงพอรู้ ในสิ่งเหล่านี้

You might already know, all these things

โดยไม่มีถ้อยคำบอกไว้

Though there were no words being said

เธอคงพอรู้ จากทุกความเป็นไป

You may have realized from what had been going on

ในวันที่สองเราใกล้กัน

In those days we were together



แม้ในวันนั้น ยั่งยืนเพียงฝัน

Our old days remained only in our dreams

เป็นแค่เพียงเมื่อวานผ่านไป

Existed just in time of days gone by

เธอคงพอรู้ ไม่ว่านานเพียงใด

You may now perceive the facts, regardless of the length of time

ไม่นานเกินไปให้ใจฉันจำ

It’ s not too long for my heart’ s reminiscence



จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เมื่อครั้งมีเธอ

Will have it stored in my heart, days I spent with you

และฉันรู้สึก ครั้งนี้ยังไง

How much I do feel with its presence

ให้เป็นความคิดถึง แม้นานเท่าไร

Let it be missed despite of imperishable time

เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ

You’ll stay on my mind and stay true in my memory



จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เพราะฉันไม่อาจ

I’ll keep it alive in my heart, because it’ s way beyond my powers

ฝืนย้อนคืนวัน ให้หวนได้ใหม่

To bring back all previous days and make them again real

ทำได้เพียงคิดถึง นับจากนี้ไป

Missing it so from now on is what I am able to do

เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ

You’ll live in my heart, you’ re the truth imprinted in my memory



จะเก็บมันเอาไว้

I’ll keep it linger for a lifetime



จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เมื่อครั้งมีเธอ

Will have it stored in my heart, days I had with you

และฉันรู้สึก ครั้งนี้ยังไง

How I feel about it right at this very moment

ให้เป็นความคิดถึง แม้นานเท่าไร

Let it be missed despite of eternal time

เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ

You’ll stay on my mind and stay real in my fondling memory


จะเก็บมันเอาไว้

I’ll keep it all survive


จะเก็บมันเอาไว้

I’ll have you; my memory abide
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๒ ปัตนิ - มรณะ (คู่ให้เคียงคอยคอยให้เคียงคู่)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 05-05-2022 21:44:24
 :hao5: :katai1:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๓ ตนุ - ตนุ (ตัวฉันที่เป็นเป็นที่ตัวฉัน)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 06-05-2022 20:11:45
๒๓.





ตนุ - ตนุ (ตัวฉันที่เป็นเป็นที่ตัวฉัน)





“ทีนี้แกเชื่อฉันหรือยังบูม” เตยนั่งลงที่ม้าหินอ่อน ด้านหน้าห้องพักชั้นล่าง ที่เป็นตึกสองชั้น เรียงเป็นรูปตัวแอล “ก็มันน่าเหลือเชื่อจะตาย” บูมตอบ พลางนั่งลงตรงข้ามกับเตย “ใครได้ยินเรื่องแบบนี้ครั้งแรก ก็ต้องคิดแหละ ว่ามันไม่น่าจะเป็นจริงได้” บูมให้เหตุผล ก่อนยกขวดน้ำอัดลมขึ้นดื่ม “แต่มันก็เป็นไปแล้ว มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ” เตยย้ำกับเพื่อน ชูรูปบนหน้าจอมือถือให้บูมดู

“จดหมายพวกนี้เป็นเรื่องจริง” เตยมองดูรูปที่เธอถ่ายมาจากจดหมายฉบับจริงเหล่านั้น “ตอนนั้นแกบอกว่าฉันเพ้อไปเอง จินตนาการล้ำล้นจนเพี้ยน” เตยพูดค่อนขอดบูม ก่อนค้อนขวับเข้าให้ “แกก็ต้องคิดด้วย มันมีแต่ข้อความในจดหมาย มีแค่ชื่อคนเขียนโดด ๆ ลงท้ายเอาไว้ ซองจดหมายให้สืบหาข้อมูลจากที่อยู่ อะไรก็ไม่มี ฉันก็ต้องขอเดาว่า ไม่ใช่เรื่องจริงไว้ก่อนนั่นแหละ” บูมอธิบายให้เพื่อนฟัง ถึงหลักการการวิเคราะห์ของเขา

“ฉันน่าจะหยิบจดหมายจริง ๆ มาด้วย” เตยบ่น นึกเสียดายที่วันนั้น ตอนเจอจดหมายพวกนี้ เธอแค่ถ่ายรูปมันมา แล้วเก็บจดหมายกลับไปที่เดิม “แกไปเจอจดหมายพวกนี้ที่ไหนนะ” บูมถามเตย เพื่อรื้อฟื้นความจำอีกครั้ง “หลังชั้นวางเอกสารเก่าของคุณทวดเล็กน่ะ”

เตยที่วันนั้น นึกยังไม่ไม่รู้ เด็กสาวเข้าไปในห้องที่เคยเป็นห้องนอนเก่าของคุณทวดเล็ก น้องชายของคุณตาของเธอ ที่เธอไม่เคยมีโอกาสได้พบ ก่อนที่เด็กสาวจะเดินดูนั่นดูนี่ แล้วข้อศอกไปชนกับชั้นวาง จนมีกล่องไม้เก่า ๆ ใบหนึ่งร่วงลงมา เตยก้มมอง ก่อนหยิบมันขึ้นมาดู

“ฉันอ่านเองตอนแรก ก็ไม่แน่ใจว่าจะแปลถูกต้องมั้ย จะเอาไปให้ใครก็อ่านก็ไม่กล้า” เตยเล่าย้อนไปถึงตอนที่เธออ่านจดหมายพวกนี้ใหม่ ๆ “จนนึกถึงแกนั่นแหละ” เตยมองหน้าบูมที่ยกขวดน้ำขึ้นจิบ “ฉันเลยโดนเอ็ดตะโรเข้าให้ ตอนที่แกขอให้ฉันเอาจดหมายไปให้ทวดช่วยดูให้” บูมนึกแล้วก็ยังเข็ดไม่หาย ด้วยความที่ว่าคุณทวดของเขานั้น ทั้งดุ ทั้งเข้มงวดมาก

“ก็ฉันเห็นว่า คุณทวดเคยเป็นคู่หมั้นของคุณทวดเล็ก ตั้งแต่สมัยยังสาว คุณทวดเลยอาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้นี่” เตยทำหน้ารู้สึกผิด เพราะรู้ถึงกิตติศัพท์ความดุและโหดของคุณทวดของบูมดี โดยที่เตยว่าไว้นั้น ทวดของเขาเคยแต่งงานกับคุณทวดเล็ก ก่อนที่ทั้งสองท่านจะเลิกรากันไป หลังจากนั้นเพียงไม่นาน จะพูดว่าเตยกับบูมเป็นญาติกันก็ไม่ใช่ เพราะไม่ได้เกี่ยวดองอะไรกันทางสายเลือด แต่ก็ถือว่า สองครอบครัวนี้ยังคงญาติดีกัน ไม่ได้ตัดรอนกันไปแต่อย่างใด

“ทวดบอกว่าที่แกแปลน่ะ ไม่ผิด แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวกับคุณทวดเล็กด้วย” บูมบอกตามที่ทวดของเขาว่าไว้ “แกโอเคหรือไง ถ้าเหตุผลเรื่องการเลิกกันของคุณทวดเล็กกับทวดของฉัน จะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้ง” บูมถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง เตยมองหน้าบูมที่กำลังพูดอยู่ “ทวดฉันเป็นคนอายุยืน แต่ก็ไม่มากพอ ที่จะอยู่รอฟังเรื่องพวกนี้หรอกนะ” บูมเอง ก็นึกถึงทวดของเขา ที่จากไปเมื่อหลายปีก่อน

“แกก็เคยได้ยินมา เหมือนกันกับที่ฉันได้ยินนี่ ข่าวลือที่ว่า ทวดของฉันขอหย่ากับคุณทวดเล็ก เพราะอะไร” เตยถอนหายใจออกมา “อืม” ก่อนจะพยักหน้าตอบเพื่อนว่าเธอรู้ และมันคงจะเป็นสิ่งที่แย่มาก หากว่าคุณทวดเล็กที่จากไปนานแล้ว จะถูกพูดถึงในทางเสียหาย โดยที่ท่านไม่สามารถกลับมา ปกป้องชื่อเสียงของตัวเอง หรือพูดแก้ต่างเรื่องราวของคุณทวดเล็กได้ และยิ่งคุณทวดเล็กสมัยหนุ่ม ๆ ก่อนที่ท่านจะสิ้น ท่านเคยเป็นนายทหารด้วยแล้ว เตยเองไม่อยากจะเป็นลูกหลานที่มาทำร้ายคุณทวดเล็กเสียเอง

“ยิ่งวันนี้มาได้ยินพี่ทหารที่ด่านพูดแล้วด้วยนะ” เตยนึกถึงขึ้นมา ก็ทำให้ต้องมองไปรอบ ๆ แบบหวาดระแวง “เออ อันนี้น่าขนลุกจริง หลอนเลย” บูมเห็นด้วยกับเตยในเรื่องนี้ “ตอนฉันเจอพี่เอิงที่ร้าน ฉันก็เห็นเหมือนกัน ฉันเห็นพี่เอิงคือผู้ชายหน้าหวาน ๆ ม้วนมวยผมไว้ด้านหลัง ใส่ชุดชนเผ่า” เตยบอกกับบูมกับสิ่งที่เธอเห็น

“แต่ภาพนั้นก็แวบเดียวนะ มองอีกที ก็คือพี่เอิงนี่แหละ ผมสั้น ๆ แค่หน้าหวาน ๆ คล้ายกัน” เตยเล่าลักษณะความแตกต่างที่เธอสังเกตเห็น “ที่โรงแรม ตอนฉันเดินไปส่งพี่แดนกับพี่เอิงที่ห้อง ฉันก็เห็น” บูมเล่าสิ่งที่เขาเจอมา “แต่มันก็แวบเดียวอย่างที่แกว่านั่นแหละ แต่ฉันยืนยันว่าฉันเห็น อย่างที่แกเห็นเลย เตย” บูมที่ตอนแรกคิดว่า เขาตาฝาดไปเองต้องมายอมรับว่า มันไม่น่าเป็นแค่เรื่องที่เขาคิดไปเอง

“ยิ่งตอนที่พี่เอิงลงไปจากรถ ฉันได้ยินที่พี่เอิงเถียงกับพี่แดนว่า คนชื่อซายเขารออยู่ คนอื่นไม่รู้ แต่ซายรู้ คนอื่นลืมกันไปหมดแล้ว แต่ซายยังไม่ลืม” บูมฟังที่เตยว่ามา เขาเองก็ได้ยินเอิงพูดคล้าย ๆ กันนี้ “มันมาเหมือนกับชื่อในจดหมายพอดิบพอดี” เตยยกโทรศัพท์มือถือชูขึ้น “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ” บูมพูดออกมาแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่อะไรมันจะลงล็อกเป๊ะ ๆ ได้ขนาดนี้

“ที่พี่เอิงพูดไว้ คงจริงสินะ ถ้าไม่เคยร่วมกรรมกันมาก่อน ก็มาร่วมสร้างกันตอนนี้นี่แหละ” บูมนึกขันกับดวงชะตาชีวิตอะไรนี่ “แกกับฉัน อาจจะไม่ได้สร้างกรรมกับเขา” เตยพูดขึ้น “แต่เคยได้ยินมั้ย ว่ากรรมมันตกถึงลูกถึงหลานได้” บูมมองหน้าเตย แล้วถอนหายใจออกมา “นั่นแหละ เรื่องจดหมาย คุณทวดเล็กของฉัน คุณทวดของแก แกกับฉันก็เลยมาอยู่ตรงนี้กับเขาด้วยไง” เตยพูด แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ที่เธอและบูมจะหันหลังกลับ

กะรัตมองดูนายทหารคู่หมั้นหนุ่มของเธอ ที่นั่งสนใจแต่กระดาษภาษาอังกฤษนั้น จนเธอนึกอยากจะลุกเดินออกไปจากโต๊ะรับประทานอาหารนี้ เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป ผู้พันภาคย์คู่หมั้นคู่หมายของเธอ สนใจกองกระดาษพวกนี้มากเป็นพิเศษ แม้แต่ตอนที่กำลังมาดินเนอร์กับเธอแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พันหนุ่มดูจะวุ่นวายทั้งเรื่องถามหาจดหมายจากต่างประเทศ นั่งอ่าน นั่งจับใจความ ให้ความสำคัญกับมันมาก แถมไม่ให้ใครทั้งนั้น ได้แตะต้อง หรือเห็นข้อความในนั้นเลย

“ถ้าคุณพี่ไม่พร้อมที่จะออกมากับน้อง ให้กะรัตกลับก่อนก็ได้นะคะ” หญิงสาวหยัดหลังขึ้นนั่งตัวตรง คอตั้งระหง เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย อย่างคนถือดี ผู้พันภาคย์เงยหน้าจากจดหมายในมือ เขาเห็นสีหน้าของคู่หมั้นคนสวย ที่แสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ได้พยายามที่จะปกปิดมันเอาไว้แต่อย่างใด

“พี่ขอโทษกะรัตด้วย งานราชการด่วน หวังว่าน้องคงเข้าใจ เอาไว้พี่จะหาเวลาชดเชยให้วันหลัง กะรัตคิดว่ายังไง” ผู้พันหนุ่มเก็บจดหมายที่ถือในมือเข้าซองเอกสารราชการ โดยมีสายตาของกะรัตมองตามจดหมายฉบับนั้น “ก็ถ้าเป็นงานราชการจริง อย่างที่พี่ภาคย์ว่า กะรัตก็ไม่ว่ากระไรหรอกค่ะ” กะรัตจงใจใช้น้ำเสียงที่เธอมั่นใจว่า ผู้พันหนุ่มต้องรู้สึกกับสิ่งที่เธอพูด

“ยังไง กะรัตหวังว่า พี่ภาคย์คงไม่ถึงกับเอางานราชการนี่ ไปทำในวันแต่งงานของเราด้วยหรอกนะคะ” หญิงสาวรู้ตัวดีว่า ช่วงหลัง ๆ มานี้ อารมณ์เสียง่าย ๆ กับเรื่องของภาคย์ “กะรัตของตัวนะคะ รู้สึกเพลีย อยากพักผ่อน” กะรัตพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้านอาหารนั้นไปทันที ผู้พันภาคย์มองตามหญิงสาว ใช่สิ งานแต่งงานของเขากับกะรัต จะมีขึ้นในอีกสองวันนี้ ที่พอใกล้วันงานขนาดนี้แล้ว ผู้พันภาคย์ ยิ่งไม่อยากให้มันมาถึง นายทหารหนุ่มดึงจดหมายฉบับนั้นออกมาอีกครั้ง เขาได้แต่นึกถึงใบหน้าของคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยจดหมายนี้

'ไม่เหมือนกันสินะ' คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในใจของผู้พันหนุ่ม ตั้งแต่วันนั้น ที่ผู้พันพาด้าจก์ซายมาที่แม่น้ำนี้ เขากลับไปพร้อมกับความรู้สึกประหลาดที่สลัดไม่หลุด ความรู้สึกชื่นชมถึงความกล้าหาญทางจิตใจของคนคนนี้ แต่นั่นมันไม่ใช่เหตุผลเดียว ที่ด้าจก์ซายยังติดอยู่ในใจมาโดยตลอด คนสองคนเป็นทหารเหมือนกัน สวมเครื่องแบบแทบไม่ต่างกัน คนหนึ่งที่เปิดเผยให้คนรับรู้ได้ คงเป็นได้แค่เพื่อน ส่วนอีกคนที่เก็บซ่อนเอาไว้จนลึกสุดใจ กลับเป็นได้มากกว่านั้นมากนัก

“แกจะให้ฉันอ่านให้ฟังสักฉบับมั้ย” ผู้พันภาคย์ชี้นิ้วไปที่จดหมายในมือด้าจก์ซาย ก่อนจะอาสาแปลเนื้อความในจดหมายเหล่านั้นให้ นั่นเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าความดีใจ ซายพยักหน้าถี่ หยิบซองจดหมายซองหนึ่งส่งให้ผู้พันหนุ่ม ดวงตาใสแป๋วจับจ้องไปที่ริมฝีปากของผู้พัน เพื่อรออ่านความ

กะรัต หญิงสาวผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา แอบมองท่าทีของผู้พันภาคย์ที่เป็นสามีของเธอ มีต่อชายหนุ่มในชุดชนเผ่านั้น แล้วเธอต้องรู้สึกเจ็บข้างในใจ กะรัตรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว มันเต้นยิบ ๆ ไปด้วยความรู้สึกโมโห โกรธเกรี้ยว และน้อยใจไปในคราวเดียวกัน นี่หรอกหรือ งานราชการด่วน ที่ผู้เป็นสามีบอกว่าต้องเดินทางมาด่วน มานั่งอ่านจดหมายให้กับผู้ชายอีกคนฟัง แถมยังแสดงท่าทางอาทร จนเกินกว่าที่ผู้ชายสองคนจะทำให้กัน นี่ถ้าเธอไม่จ้างให้คนรถขับตามมา เธอคงไม่รู้เลย ว่าผู้พันภาคย์มาทำอะไรกันแน่

กะรัตใช้เวลาคิดใคร่ครวญอยู่นานหลายเดือน หลังจากวันที่เธอได้เห็นว่า ผู้พันภาคย์ไปทำอะไรที่ข้างบนนั่น หญิงสาวลอบสังเกต เธอเห็นมีจดหมายส่งมาถึงอีกสองสามฉบับ แล้วก็เงียบหายไปเลย ผู้พันภาคย์ดูร้อนรน แต่ไม่น่าจะใช่เพราะว่า ไม่มีจดหมายมาส่งอีก แต่ดูราวกับว่า ผู้พันหนุ่มนั้นเป็นห่วงใครบางคนข้างบนโน้นมากกว่า เพราะไอ้การกระสับกระส่าย ไม่พูดไม่คุย และไม่แม้แต่จะแตะต้องตัวของเธอเลย กะรัตผู้ที่เป็นภรรยาสาวสวยแบบนี้

“พี่ต้องไปราชการ สักสองวันนะ” ผู้พันภาคย์บอกกับภรรยา โดยที่ผู้พันหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกร้อนรนผิดปกติ ได้แต่เฝ้าคิดถึงซายอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับเขา และคิดกับเจ้าของจดหมายนั่นแบบไหน แต่ภายในใจมันก็คอยแต่เรียกร้องให้เขา อยากไปหา ไปให้เห็นหน้า ให้รู้ว่าด้าจก์ซายสบายดี เท่านั้นก็พอ

“น้องเองก็กำลังคิดอยู่เชียว ว่าช่วงนี้คุณพี่ดูจะห่างหายจากการไปราชการ” กะรัตพูดพลางยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ “ครั้งนี้ น้องขออนุญาตตามไปด้วยนะคะ” ผู้พันภาคย์ได้ยินแบบนั้น กำลังจะเอ่ยปากห้าม “คุณนายผู้พันบ้านอื่น ๆ คงจะดีใจ หากว่าน้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาลงมาบ้าง เห็นว่าผ้าทอ เครื่องเงิน ของป่าของหายาก คงน่าตื่นตาตื่นใจดี” กะรัตไม่รอฟังคำพูดห้ามปรามจากผู้พันหนุ่ม

“น้ำผึ้งป่า เห็นเขาว่ากัน ว่าข้างบนนั้น มีน้ำผึ้งป่าคุณภาพเป็นเลิศ คุณพี่คงต้องช่วยน้องถือลงมาฝากบรรดาคุณนายเหล่านี้ให้ทั่วทุกบ้านแล้วล่ะค่ะ” กะรัตพูดกลั้วหัวเราะ ก่อนจะลุกเดินไปพร้อมกับถ้วยชาในมือ ผู้พันภาคย์ลอบถอนหายใจ กำลังคิดทบทวนถึงสิ่งที่กะรัตพูดออกมา มันฟังดูมีความนัยอะไรบางอย่าง ผู้พันภาคย์อยากจะปฏิเสธ แต่ก็ไม่อยากให้เป็นชนวนให้เขากับกะรัตทะเลาะกันอีก

“พี่ภาคย์คิดว่าน้องจะเหมือนผู้หญิงคนอื่นทั่วไป ที่ต้องลงไปเกาะขาผัว งอนง้ออย่างนั้นหรือคะ” พอกะรัตกลับถังบ้าน หลังจากลงมาจากข้างบนนั้น หญิงสาวก็เปิดฉากพูดกับผู้พันภาคย์ในทันที “อ้อ ไม่ใช่สิ กะรัตคนนี้ จะไปเหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ได้ยังไงกัน ในเมื่อผัวของคนอื่นเขาปันใจให้ผู้หญิง ไม่ใช่ ไม่ใช่” กะรัตอยากจะพูดมันออกมา แต่เธอก็รู้สึกกระดากใจ เกินกว่าจะให้คำคำนั้นหลุดออกมาจากปากของเธอ ผู้พันภาคย์ได้แต่ยืนนิ่ง ๆ ให้กะรัตบริภาษ

“กะรัตต้องการหย่า” กะรัตพูดออกมาด้วยใจที่ปวดร้าว ต่อให้เธอจะถูกเพื่อน ๆ ขนาดนามว่า เป็นผู้หญิงประหลาด เป็นหญิงที่ดูจะไม่ง้อชาย กระด้างกับเรื่องหญิงต้องตามหลังชาย แต่เธอก็เป็นของเธอแบบนี้ เมื่อเธอได้ค้นพบความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ด้วยแล้วแบบนี้ “กะรัตแน่ใจนะ” ผู้พันหนุ่มถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขา

“พี่ภาคย์ไม่จำเป็นต้องถามกะรัตซ้ำหรอกค่ะ” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น ตามนิสัยหยิ่งทระนงของตัวเอง “หรือพี่ภาคย์อยากเห็นกะรัตลงไปตบตีแย่งชิง กรีดร้อง อย่างที่เมียที่ดี ที่หวงผัวตัวเอง ควรทำล่ะคะ” กะรัตกลั้นน้ำตาเอาไว้ ทำเสียงให้ไม่สั่น เธอมองหน้าผู้พันภาคย์ตรง ๆ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่การกระทำของเขาที่ต้องหลบซ่อนตัวนี่ต่างหาก ที่ทำให้เขาดูเลว

“ถ้าวันหนึ่งวันใด พี่ภาคย์เจอคนในแบบที่พี่ภาคย์มองหา” อยู่ ๆ กะรัตก็มีความรู้สึกเห็นใจผู้ชายอย่างภาคย์ขึ้นมา มันเป็นจุดเล็ก ๆ ในใจของเธอ “น้องขออวยพรให้พี่ภาคย์” น่าประหลาดใจ ที่ผู้พันภาคย์ไม่ได้ยินน้ำเสียงประชดประชันในประโยคนั้นของกะรัต หญิงสาวเอง ก็รู้สึกแปลกใจ ที่เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ความรู้สึกที่อยากเห็นคนที่เธอรักมีความสุข ในแบบที่เขาต้องการ แม้ว่าความสุขนั้น อาจจะไม่ใช่การใช้ชีวิตอยู่กับเธอ

เมื่อดาวเจ้าเรือนตนุ มาอยู่ในเรือนตนุเอง ท่านให้มาตรฐานดาวเป็นเกษตร หมายถึง หนักแน่น มั่นคง เจ้าชะตามีอิสระทางความคิดและจิตใจ นึกคิดสิ่งใด มีความคล่องตัว ไม่ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของดาวดวงใด มีหนทางของความรู้สึกนึกคิด มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนตัดสินใจ มักจะต้องพึ่งพาตัวเอง ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้น ตนเองนั่นแหละ ที่เป็นผู้กระทำ

“แม่เล่าให้ฟังว่า คุณทวดเล็กไม่ได้แต่งงานอีก” เตยพูดขึ้น ในขณะกำลังใช้กุญแจไขประตูเข้าห้อง “คุณทวดเล็กเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม” เตยมองมือของบูม ที่กำลังไขประตูห้องพักที่อยู่ติดกัน “ส่วนทวดฉันแต่งงานใหม่ ถึงได้มีฉันเป็นหลานมาเป็นเพื่อนแกนี่ไง” บูมพูดพลางยักไหล่ขึ้น “ถ้าเรื่องที่เขาพูดกันเป็นจริง ฉันนึกสงสารและเห็นใจคุณทวดเล็กมาก ๆ เลยนะ” เตยนึกย้อนไปในสมัยนั้น เพราะถ้าเป็นเธอ เตยจะทำยังไง

“อะไร ๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว” บูมพูดขึ้น เขาเข้าใจ ว่าเตยต้องการจะบอกอะไร “คุณทวดเล็กมองหาความรัก แต่ดันมองหาความรักนั้นผิดคน ทั้ง ๆ ที่คำว่า ภาคย์ แปลว่า โชคดี แท้ ๆ” บูมได้ยินมาเช่นกัน เรื่องที่คุณทวดเล็กถูกผู้ชายหลอกให้รักจนหัวปักหัวปำ แล้วปอกลอกจนหมดตัว สุดท้ายคุณทวดเล็กก็จากไปอย่างน่าเวทนา

“แต่ฉันเชื่อ ว่าพี่แดนกับพี่เอิง ต้องไม่เป็นแบบนั้น” เตยพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ บูมพยักหน้าให้เตย “พรุ่งนี้เจอกัน” ก่อนที่ทั้งสองต่างแยกย้ายกันเข้าห้องไป และหวังว่า พรุ่งนี้มันจะเป็นวันดี ๆ บนโลกที่ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ใบนี้

***************************

https://www.youtube.com/watch?v=WizItOis0Xw

วันที่ฟ้าดูไม่ค่อยเป็นใจ

อาจทำให้ใครบางคนนึกหวั่น

หวาดกลัวว่าความรักไม่มีจริง

ความรักมันก็เลยยิ่งห่างไกลออกไป



ลองเปิดตามองท้องฟ้าดูใหม่

ลืมและลบความกลัวที่เคยมีออกไป

เธอนั้นจะเข้าใจความรักที่ดีดีมีอยู่จริง

เธอเชื่อมั้ย



ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน

เธออาจได้เจอกับคนที่เธอไม่คาดฝัน

เค้าอาจมายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วบอกรักเธอ

เหมือนดังในความฝัน

เธออาจได้เจอกับคนของเธอเข้าสักวัน

คนที่ทำให้ใจไม่หนาวสั่น

อย่างกับฉันที่ยังคอยบอกตัวเองอยู่ทุกวัน

ว่าฉันจะได้เจอ



ลองเปิดตามองท้องฟ้าดูใหม่

ลืมและลบความกลัวที่เคยมีออกไป

เธอนั้นจะเข้าใจความรักที่ดีดีมีอยู่จริง

เธอเชื่อมั้ย



ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน

เธออาจได้เจอกับคนที่เธอไม่คาดฝัน

เค้าอาจมายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วบอกรักเธอ

เหมือนดังในความฝัน

เธออาจได้เจอกับคนของเธอเข้าสักวัน

คนที่ทำให้ใจไม่หนาวสั่น

อย่างกับฉันที่ยังคอยบอกตัวเองอยู่ทุกวัน

ว่าฉันจะได้เจอ



เธอเคยลองถามตัวเองดูมั้ย

ว่าหนึ่งชีวิตต้องการอะไร

แล้วถ้าสิ่งนั้นมันอยู่ห่างไกล

เธอจะลองเชื่ออย่างฉันมั้ย



ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับฉัน

เธออาจได้เจอกับคนที่เธอไม่คาดฝัน

เค้าอาจมายืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้วบอกรักเธอ

เหมือนดังในความฝัน

เธออาจได้เจอกับคนของเธอเข้าสักวัน

คนที่ทำให้ใจไม่หนาวสั่น

อย่างกับฉันที่ยังคอยบอกตัวเองอยู่ทุกวัน

ว่าฉันจะได้เจอ

ว่าฉันจะได้เจอ

ว่าฉันจะได้เจอ



ว่าฉันจะได้เจอ
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๓ ตนุ - ตนุ (ตัวฉันที่เป็นเป็นที่ตัวฉัน)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-05-2022 20:44:10
 :monkeysad: :m15:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๔ ปัตนิ - ปัตนิ (ที่รักคนเดียวคนเดียวที่รัก)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 07-05-2022 19:10:13
๒๔.



ปัตนิ - ปัตนิ (ที่รักคนเดียวคนเดียวที่รัก)





ด้าจก์ซายส่งเสียงสะอื้น ร้องไห้จนตัวโยน ความคิดถึงทำให้สองเท้าพาเขามาหยุดยืนอยู่ที่ริมแม่น้ำนี้ ดวงตาที่เปียกปอนไปด้วยหยดน้ำตา มองฝ่าความพร่าเลือนไปที่ริมน้ำฝั่งตรงข้าม ด้วยใจที่หวังว่า จะมีใบหน้าที่คุ้นเคยนั่งอยู่ในเรือ แล่นมาที่ฝั่งฟากนี้ เพื่อพาเอาจดหมายสักฉบับมายื่นให้ ด้วยว่าอย่างน้อย จดหมายที่ห่างหายไปนานหลายเดือน มันเพียงแค่สูญหายไประหว่างทาง ไม่ได้เกิดจากที่คนเคยให้คำสัญญานั้น ล้มเลิกความตั้งใจเดิมไปแล้ว

เอิงผ่อนลมหายใจออกมา เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้น เขารู้สึกได้ถึงหมอนที่เปียกชื้นจากรอยน้ำตา ที่ไหลลงอาบแก้ม ความฝันครั้งนี้ เอิงรู้สึกถึงอารมณ์และความรู้สึกของซายได้ชัดเจน ความเหงา เสียใจ โหยหา มันรุนแรงกว่าทุกครั้งที่เองเคยรับรู้ ในใจของเขารับเอาก้อนมวลความเจ็บปวด ที่หลงเหลืออยู่นี้มาแบกไว้อ่างเลี่ยงไม่ได้

ก่อนหน้านี้ เมื่อตื่นจากความฝันแล้ว เอิงจะค่อยๆรู้สึกดีขึ้น ความรู้สึกติดค้างจากความฝัน จะค่อย ๆ หายไปเอิงภายในเวลาไม่นาน แต่วันนี้มันดูไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์บาง ๆ ที่อ้อยอิ่ง ทิ้งตัวไหลวนเป็นกลุ่มหมอกแค่นั้น แต่มันเหมือนกับควันหนาทึบ ที่คลุมหัวใจของเอิงเอาไว้ มันอึดอัด ไม่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก

“ฝันหรือครับ” แดนถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายที่นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน สะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมน้ำตา “ครับ” เอิงตอบรับคำเบา ๆ ก่อนจะใช้หลังมือ เช็ดคราบน้ำตาให้หายไป “ผมปลุกคุณหรือเปล่า” เอิงเอียงหน้ามองไปที่แดน “ไม่เป็นไรครับ ผมตื่นแล้ว” ชายหนุ่มลูกครึ่งยิ้มให้ รู้ดี ว่าเอิงไม่ได้ตั้งใจ เพราะตอนที่แดนฝันถึงเรื่องราวเมื่อก่อน มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความควบคุมจริง ๆ เพียงแต่ เมื่อคืนนี้ เขาไม่ได้ฝันอะไรเลย มันคือคืนที่เขาหลับสนิทมากคืนหนึ่งทีเดียว

“ตอนที่คุณฝัน” เอิงเอ่ยถามแดน “คุณฝันถึงซายเขาบ่อยมั้ย” แดนสบตากับเอิง แสงไฟสีส้มนวลส่องมาจากโคมไฟตัวเล็ก ๆ มุมห้อง ที่เปิดทิ้งไว้ “ช่วงแรก ๆ” แดนตอบ เขาเคยฝันถึงซายตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก “ผมบอกแล้วไง ผมมีเพื่อนเป็นดาร์ก ไซด์” เอิงยิ้มออกมากับคำพูดของแดน “ทุกคนคิดว่าผมเป็นเด็กมีปัญหา เขาคงคิดว่าผมบ้า” แดนจำได้ถึงเรื่องที่ทุกคนวิตกกังวล เมื่อได้เห็นภาพวาดของเขา

“แต่” แดนหยุดพูดนิดหนึ่ง มองหน้าของเอิงด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อผมได้มาเจอคุณจริง ๆ เอิง ผมก็ได้แน่ใจ ว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง” แดนใช้นิ้วเช็ดน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่ให้กับเอิง สัมผัสจากมือของแดนช่างอบอุ่น และทำให้เอิงรู้สึกปลอดภัย “พอมาช่วงหลัง ผมจะจำเรื่องเกี่ยวกับแมทได้มากกว่า” แดนรู้ว่า เขารู้สึกปวดร้าวมากแค่ไหน วินาทีที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในกระท่อมของแมท ที่อยู่ด้านหลังบ้านของคุณย่าแคลร์ เมื่อได้รู้ถึงสิ่งเกิดขึ้นกับแมท ในคืนอันแสนโหดร้ายนั้น

“แมทเขาพยายามแล้วจริง ๆ” แดนรู้สึกแค้นใจที่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า ทำใจยอมรับชะตากรรมของแมท แล้วหาทางตามหาเอิงให้เจอ เพื่อทำสัญญานั้นของแมทให้เป็นจริง เอิงยกมือขึ้นจับมือของแมท แนบลงใบหน้าของเขา หากว่าสัมผัสที่นุ่มนวลนี้ จะสามารถช่วยรักษาใจให้กับซายขึ้นมาได้บ้าง “ยกโทษให้เขาได้มั้ย” แดนถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มีน้ำตาใส ๆ คลอหน่วย เอิงหลับตาลง พร้อมส่งน้ำตาอุ่น ๆ ไหลลงมาจากขอบตาทั้งสอง

“ยกโทษให้เขาเถอะนะ” เอิงได้ยินเสียงของแดน ก่อนจะรู้สึกถึงจูบแผ่วเบาบนหน้าผากของเขา แดนเลื่อนตัวเข้าหาเอิง ก่อนจะดึงตัวของอีกฝ่ายเข้ามากอดเอาไว้ “ที่ทำตามสัญญานั้นไม่ได้” แดนถามคำถามเดิมซ้ำ ว่ายกโทษให้เขาได้มั้ย “จะไม่ขอแก้ตัวอะไรทั้งนั้น” แดนกอดเอิงเอาไว้ให้แน่นขึ้น เอิงสะอื้นไห้ ซุกตัวเข้าหาอกอุ่น ๆ ของแดน “ขอร้องล่ะ อย่าโกรธกันอีกเลย” แดนปล่อยให้น้ำตาของเขาเอง ไหลลงมาเช่นกัน

ฟ้าเริ่มสางแล้ว เริ่มมองเห็นแสงเรื่อ ๆ มาจากขอบฟ้า เหนือผิวน้ำหมอกหนาวโรยตัวลงปกคลุมทั่วทั้งแม่น้ำ บูมกับเตยมารออยู่ที่สะพานไม้อยู่ก่อนแล้ว หลังจากโทรหาแดน บูมนัดแนะให้มาเจอกันตรงไหน ในฐานะที่เป็นคนเดียวในกลุ่มที่เคยมาที่นี่แล้ว แถวศาลาเชิงสะพานฝั่งนี้ เริ่มมีนักท่องเที่ยวยืนออกันหนาตาขึ้น ต่างพากันตื่นแต่เช้า เพื่อมารับลมหนาวและสูดอากาศบริสุทธิ์สดชื่น

“หนาวสุด ๆ ไปเลยเสื้อนี้ก็บางเกิน” เตยยืนกอดอกแน่น มองค้อนบูม ที่เพื่อนไม่เตือนให้เอากางเกงขายาวมาด้วย แล้วเธอเองก็เตรียมมาแต่กางเกงขาสั้น บูมยืนขำเพื่อน ที่ขยับแข้งขยับขา ทำตัวให้อบอุ่นขึ้นเพื่อไล่ความหนาว “ผมติดมาแค่แจ็กเกตตัวเดียว เอิงใส่ไว้นะ” แดนถอดเสื้อมาคลุมไหล่ให้กับเอิง โดยความอุ่นจากร่างกายของแดน ยังคงหลงเหลือติดเสื้ออยู่ และเอิงรู้สึกได้

“มันหนาว แดนใส่เถอะ” เอิงขยับจะส่งเสื้อคืนให้เจ้าของ “ผมไม่หนาวหรอก เอิงไม่เห็นกล้ามผมหรือไง” แดนพูด ก่อนจะบอกให้เอิงจับกล้ามแขนเขาดูก็ได้ เอิงได้แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน “ใส่ซะ เร็ว” แดนบังคับให้เอิงใส่แจ็กเกตของเขาจนได้ “โอ๊ย บูม แกรีบมาถ่ายรูปให้ฉันเลย ฉันตาร้อน ฉันต้องรีบรักษา” เตยที่ยืนมองสองหนุ่มอยู่นาน ทนเห็นภาพอะไรหวาน ๆ ไม่ได้อีกต่อไป รีบดึงให้บูมเดินตามเธอไป

“เชิญครับ” แดนผายมือให้เอิงเดินนำเขาไปก่อน เอิงมองไปด้านหน้า สะพานไม้ความยาวเกือบเก้าร้อยเมตร ทอดตัวจากฝั่งนี้ไปจนถึงฝั่งโน้น สองข้างสะพานมีเสาไฟให้ความสว่างไปตลอดทาง เอิงขยับเท้าก้าวข้ามไม้กั้น ก่อนยย่างก้าวแรกนั้นลงบนสะพาน เขาเริ่มรู้สึกว่าที่หน้าอกอัดแน่นไปด้วยก้อนความรู้สึก เมื่อยิ่งเดินลึกเข้าไปในสะพาน ภาพในวันนั้น ก็แล่นเข้ามาในความคิด ให้เอิงได้เห็นอีกครั้ง

ลมเย็น ๆ พัดเข้ามากระทบใบหน้าของด้าจก์ซาย น้ำตาที่นองหน้าแห้งลง ซายหันกลับไปมองด้านหลังที่ฝั่งโน้น รถของผู้กองภาคย์ไม่อยู่แล้ว คนแพถ่อกลับไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อซายข้ามมาถึงอีกฝั่งหนึ่ง ผืนน้ำล้อแสงแดดระยิบระยับ เมื่อยามสายมาถึง ใบไม้ลู่ไปตามลม ความเงียบสงบโปรยตัวลงมาจนทั่วบริเวณ เมื่อที่ริมน้ำนั้น ว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของสักคน

เอิงเดินมาหยุดบนสะพาน ที่อยู่เกือบจะถึงอีกฝั่ง ความรู้สึกมันบอกเขาว่า นี่คือจุดเดียวกันกับที่ซายเคยมา ลมเย็น ๆ พัดเข้ากระทบใบหน้าของเอิง ในใจของเอิงรับรู้ถึงความเงียบงันและว่างเปล่าของเช้าวันนั้น ที่ซายรู้สึก ใบไม้ที่ลู่ไปตามลม แสงแดดเริ่มส่องมาทำให้ทั่วบริเวณเริ่มกระจ่างชัดขึ้น ความเงียบที่เอิงได้ยินเมื่อสักครู่ ถูกแทรกด้วยเสียงจ้อกแจ้กของบรรดาเหล่านักท่องเที่ยว จุดที่เอิงยืนอยู่บนสะพาน เกือบถึงริมน้ำนั้น เอิงหันกลับไปมองด้านหลังที่ฝั่งโน้น

เอิงเห็นแดนยืนยิ้มให้เขาอยู่ไม่ไกล มันไม่ได้ว่างเปล่า ไม่ได้ไร้วี่แววใครสักคน แต่มันกลับมีใบหน้าที่คุ้นเคย ยืนมองมาที่เขา หนุ่มลูกครึ่งเห็นเอิงมองมา เลยเดินเข้ามาหา แก้มของแดนเป็นสีแดงระเรื่อจากลมหนาวที่พัดมากระทบ เอิงเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่สูงกว่า แดนเลิกคิ้วขึ้นเชิงถามอีกฝ่าย เอิงส่ายหน้าว่าไม่มีอะไร ความรู้สึกในใจเหมือนกำลังเรียนรู้กับความรู้สึกนี้ ว่าเขาไม่ได้เดียวดาย ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่กลับมาใครอีกคน ที่อยู่ใกล้ ๆ มันเหมือนกับมีแสงไฟสว่าง ส่องเข้ามาในกลุ่มควันหนาทึบที่เกาะกุมหัวใจของเขาอยู่ก่อนหน้านี้ เหมือนมันมีคำเฉลย มีคำตอบกับสิ่งที่รอคอยมาโดยตลอด

บูมเรียกให้ เตย เอิงและแดนมายืนเรียงกัน ในแถวทั้งสองข้างถนน เพื่อรอใส่บาตรยามเช้าด้วยกัน ทั้งหมดช่วยกันอุดหนุนชุดทำบุญจากชาวบ้าน แถวพระและเณรเดินมารับบาตร ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ตื่นแต่เช้าเพื่อมาร่วมกันสืบสานประเพณีเก่าแก่ของที่นี่ ภาพรอยยิ้มของคนในชุมชน ทำให้การเริ่มต้นวันใหม่ในวันนี้ ดูสดใส พร้อมด้วยบรรยากาศหนาว ๆ รวมทั้งวิวสวย ๆ ในยามเช้าเป็นภาพพื้นหลัง

“เตย แกมาช่วยฉันยกหน่อย” บูมบอกกับเพื่อนให้เดินมาช่วยยกถาดอาหารเช้า เมื่อเขาได้ยินเสียงเรียกเลขโต๊ะดังมาจากหน้าร้าน “มาแล้ว มาแล้ว” ไม่นานนัก บูมก็เดินกลับมาพร้อมกับโจ๊กหมูสับสูตรท้องถิ่นสี่ถ้วย มีไอร้อนลอยอยู่เหนือถ้วยนั้น “นี่ด้วย กาแฟร้อนแบบโบราณ นมข้นนอนก้น กับปาท่องโก๋ยักษ์” เตยวางถาดเมนูเครื่องดื่มทีเด็ด ที่ทางพี่เจ้าของร้านแนะนำมา

“เข้ากับบรรยากาศมาก ๆ ลุยเลย” เตยส่งช้อนให้กับทุกคน ก็ถึงเวลาอร่อยแล้ว “ปาท่องโก๋กับโจ๊ก ก็ดี๊ดี พี่เอิง” เตยแนะนำ ก่อนส่งจานใส่ปาท่องโก๋ให้กับเอิง “อืม อร่อยจริง ๆ ด้วย” เอิงที่หยิบปาท่องโก๋ไปจิ้มกินกับโจ๊กบอกทุกคน “ให้ผมลองมั่ง” แดนยื่นหน้าเข้าใกล้เอิง กก่อนจะพยักหน้าให้เอิงเอาปาท่องโก๋ทอดกรอบ ๆ จิ้มโจ๊กในชาม ป้อนเขาบ้าง

เอิงจิ้มปาท่องโก๋ในมือกับโจ๊ก ก่อนส่งให้แดน หนุ่มลูกครึ่งจับมือของเอิงเอาไว้ แล้วป้อนมันเข้าปากไป แดนเคี้ยวอย่างมีความสุข เพราะมันก็อร่อยจริง ๆ เตยใช้ข้อศอกแตะแขนบูมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ให้ดูผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งโต๊ะตรงข้าม เขาดูแลกัน บูมมองดูแดน ที่และดูเป็นตัวของตัวเองมากกว่าที่บูมเห็นตอนเจอกันในเมือง ส่วนเอิง ดูผ่อนคลายลงกว่าเดิม ที่มีแดนอยู่ใกล้ ๆ

“เหลือปาท่องโก๋ไว้จิ้มกับนมข้น กับกาแฟโบราณบ้างนะคะ” เตยอดไม่ได้ที่จะแซวออกไป แดนก้มลงตักโจ๊กในชามของตัวเองเข้าปาก แต่สายตาก็ยังจับจ้องอยู่ที่เอิง ที่ตอนนี้ไม่เข้าใจว่า เขาเขินที่ได้ยินเตยพูดแซว หรือเขินกับสายตาของแดนที่ใช้มองมากันแน่ เตยเห็นแดนและเอิงดูพูดคุยกันดีในเช้านี้ ก็รู้สึกดีใจไปด้วย เธออยากให้แดนและเอิงไม่ว่าจะต้องเจอะเจออะไรต่อจากนี้ ผ่านทุกอย่างไปได้ด้วยดี

“หนูอยากถ่ายรูปเพิ่ม วิวแม่น้ำบนสะพานกำลังสวยเลย บูม ถ่ายรูปให้เราหน่อย” เตยบอกกับทุกคนเมื่อทานมื้อเช้ามื้อใหญ่เสร็จแล้ว “งั้นเดี๋ยวพี่เดินดูอะไรแถวนี้” เอิงบอก แดนพยักหน้าตามใจเอิง “งั้นอีกซักชั่วโมง เรามาเจอกันที่หน้าร้านโจ๊กนี้ โอเคนะคะ” เตยพูดจบ ก็ดึงมือบูมให้เดินตามไป โดยบูมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อให้สองหนุ่มเห็น เมื่อได้ยินคำว่า ถ่ายรูป จากปากของเตย แดนและเอิงหัวเราะตามบูมไป

“แล้วเราจะไปไหนกันดี” แดนหันมาถามกับเอิง คนถูกถามหยุดนิดหนึ่ง หันไปมองถนนที่ถอดยาวขึ้นเนินไป ความรู้สึกอะไรบางอย่าง “เราเดินไปทางนั้นกันมั้ยครับ” บอกให้เอิงอยากจะเดินตรงไปทางนั้น ทั้งสองคนค่อย ๆ เดินไปพร้อม ๆ กัน สองข้างทางเป็นร้านค้าของชาวบ้าน ฝั่งนี้เป็นฝั่งตรงข้ามกับฝั่งไทย ชาวบ้านที่นี่เรียกกันแบบนี้ ความหลากหลายของสามเชื้อชาติ ที่อยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนาน นับร้อยปี โดยตอนนี้มีสะพานเชื่อมทั้งหมดเข้าด้วยกัน

เอิงเดินมาเรื่อย ๆ แดนลอบสังเกตเห็นเอิงเหมือนกับมองหาอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่สามารถระบุเจาะจงลงไปได้ว่า มันคือตรงไหนกันแน่ ทางที่ทั้งสองเดินไป เป็นถนนที่คนที่นี่ใช้สัญจร ทุกอย่างดูแปลกตาจากที่เอิงเคยเห็นในภาพความฝัน ความรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้น ถูกผลักให้เดินตามหา

ภาพกระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ เก่า ๆ ถูกฉายซ้ำ วนเวียนอยู่ภายในหัวของเอิง มันวูบไปวูบมา เหมือนพยายามจี้ให้เอิงหาให้เจอ แต่ทุกอย่างแทบไม่เหลือเค้าเดิมอีกแล้ว อะไรก็ตามที่พยายามบังคับ เร่งให้เอิงหามันให้เจอ เหมือนจะมาจากพลังบางอย่าง ที่เอิงเพิ่งจะเคยได้สัมผัส มันเหมือนเป็นอารมณ์ที่หลงเหลือ ตกค้างอยู่ในกาลเวลา แม้จะผ่านมานานเท่าไร แต่มันก็ยังคงไหลเวียนอยู่

“จะไปไหนกันล่ะโยม” เอิงและเดินกันมาไกลพอสมควร จนรู้สึกตัวอีกที ก็เหมือนเข้ามาในเขตบริเวณวัด เอิงนั่งคุกเข่าลงต่อหน้าพระสงฆ์รูปนั้น แดนทำตาม “ผมเดินหาที่ที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ครับหลวงพ่อ” เอิงพนมมือขึ้น ก่อนตอบกลับพระรูปนั้น ที่กำลังกวาดลานวัดอยู่ “ที่ที่โยมมองหา มันยังมีอยู่ใช่มั้ย” คำถามของหลวงพ่อ ทำให้เอิงตอบกลับไปว่าเขาไม่แน่ใจ

“ก็ยากเสียแล้วล่ะ เมื่อโยมตามหาสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริง” หลวงพ่อพูดกับเอิงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “มันมีบางคน ที่เขาอยากให้ผมหาที่แห่งนี้ให้เจอ” เอิงก็ไม่รู้จะอธิบายกับหลวงพ่อยังไงดี “แล้วคนอีกคน เขาอยากให้โยมเจอที่แห่งนั้นไปทำไม” คำถามของหลวงพ่อ ทำให้เอิงเองก็ไม่มีคำตอบใด ๆ ให้ หลวงพ่อมองไปที่ซิปกระเป๋าเสื้อแจ็กเกต ที่เอิงสวมอยู่

“โยมมากันไกลเหลือเกิน” หลวงพ่อพูดขึ้น น้ำเสียงและแววตาของท่านอ่อนโยน “บางทีคนเรา ก็กำหนดทุกข์ให้ตัวเอง” หลวงพ่อมองมาที่แดนและเอิง “โยมอีกคน เขามีผลกับความคิดของโยม แล้วโยมล่ะ มีผลกับการตัดสินใจของตัวโยมเองบ้างมั้ย” หลวงพ่อถามคำถามที่ทำให้เอิงนึกทบทวนตัวเอง “ถ้าโยมคนนั้นเขาไม่หยุด อาจจะต้องเป็นที่โยมเองเสียแล้วล่ะ”

” ใช่มั้ยโยม” หลวงพ่อพูด มองไปที่แดน ชายหนุ่มลูกครึ่งนึกสงสัย ว่าหลวงพ่อหมายความว่าอย่างไร “เมื่อยังจำได้ มันก็จึงยุ่งและวุ่นวายนักแล” หลวงพ่อกล่าวต่อ “โยมพอใจแล้วกับสิ่งที่โยมเพียรกลับมาตามหา” แดนฟังคำที่หลวงพ่อพูด “ส่วนโยมล่ะ ทรมานนะกับการรอ” หลวงพ่อหันมาถามคำถามกับเอิง “โยมทั้งคู่” หลวงพ่อจับไม้กวาดในมือ กวาดใบไม้ที่ร่วงอยู่ที่พื้น “มีโอกาสได้กลับมา แล้วได้เป็นตัวเอง หรือเป็นใครกัน” เอิงและแดนมองดูหลวงพ่อที่ยังคงกวาดพื้น และใบไม้ก็ยังคงร่วงลงมาให้ท่านต้องกวาดใหม่อีกครั้ง

“โยมเห็นกันแล้วใช่มั้ย” หลวงพ่อพูด มีรอยยิ้มแห่งความเมตตา เจืออยู่ที่ดวงตาและใบหน้าของท่าน “จิตที่สื่อถึงกัน นับว่าเป็นวาสนา เป็นบุพเพสันนิวาสคู่กัน สิ่งที่ผูกเงื่อนไขไว้ นับเป็นวิบาก ยุติลงได้ก็สุข ถือครองเอาไว้ก็ทุกข์ โยมจะตามหามันต่อก็สุดแท้แต่โยมเถอะ” เอิงได้ฟังคำพระ ก็ทำให้ใจพอนิ่งลงมาบ้าง แม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็พอรับทราบว่า หลวงพ่อท่านกำลังพูดสื่ออะไรบางอย่างแก่เขา

เอิงกับแดนกราบลาหลวงพ่อ ก่อนจะเดินออกมา เพื่อย้อนกลับไปทางเดิม เอิงคิดถึงคำพูดของหลวงพ่อ ก่อนจะหันกลับไปมอง เอิงเห็นหลวงพ่อยืนนิ่ง ในมือถือไม้กวาดทางมะพร้าวในมือ มองมาทางเขา แดนเองก็หันกลับไปมอง ก่อนจะถามเอิงว่า มีอะไรหรือเปล่า เอิงหันมาพูดกับแดนว่า ไม่มีอะไร ก่อนที่ทั้งคู่จะหันกลับไปมองที่ลานกว้างนั้น แต่กลับไม่เห็นหลวงพ่อแล้ว มีเพียงพระพุทธรูปเก่า ตั้งประดิษฐานเอาไว้ที่ตรงกลางแจ้งเท่านั้น

ทั้งสองคนเดินกลับมาที่สะพานไม้อีกครั้ง เตยวิ่งเข้ามาหาเอิง แล้วบอกให้เขาถอดแจ็กเกตออกไปฝากไว้ที่แดน ก่อนจะดึงมือให้เอิงตามเธอเข้าไปในร้านหนึ่ง เอิงพยายามปฏิเสธ แต่เตยทั้งคะยั้นคะยอม ทั้งยืนยันว่า ไหน ๆ ก็มาทั้งที ก่อนจะบอกกับพี่เจ้าของร้าน ว่าเอิงตกลง พี่เจ้าของร้านบอกกับเอิงว่า ไม่ต้องอาย จะทำให้สุดความสามารถเลย ก่อนจะดันตัวให้เอิงตามเข้าไปที่ด้านในของร้าน แดนชะโงกมองตามเข้ามา ก็เห็นเตยยกนิ้วทำท่าโอเคให้แดนเห็น

“เอิง ตอนนี้อยู่ที่ไหนลูก” เสียงตอบกลับมาทางโทรศัพท์มือถือ ถามเอิงที่ยังอยู่ในห้องเล็ก ๆ หลังร้านแห่งนี้ เขาตอบกลับปลายสายไป ก่อนจะพูดต่อว่า “เอิงคิดถึงแม่” น้ำเสียงนั้น ส่งความรู้สึกไปให้จนล้น “คิดถึง ก็มาหาแม่สิลูก นานแล้วนะ ตั้งแต่เอิงมาครั้งที่แล้ว” แม่ของเอิงพูดตอบกลับมา “มันมีหลายเรื่องเลยช่วงนี้” เอิงบอกแม่กลับไป “แม่ครับ” เอิงชั่งใจ ว่าจะบอกแม่ไปเลยดีมั้ย

“อะไรลูก” เสียงของแม่ช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้เสมอ “เอิงเจอเขาแล้ว” เอิงตัดสินใจพูดบอกไม่ไป “จริงหรือลูก” ผู้เป็นแม่นั้น รอฟังจากลูกชายของเธออยู่เหมือนกัน ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่ “ชอบเขาเข้าแล้วสิ” เสียงของแม่หยอกเอินมาตามสาย “แม่” เอิงเผลอหลุดยิ้มออกมา “แล้วเขาดีกับลูกของแม่มั้ย” ผู้เป็นแม่ถามกลับมาด้วยคำถามที่สำคัญสำหรับตัวเธอ

“เขาดีกับเอิงมากเลยครับ” เอิงตอบแม่ของเขา “งั้น เอิงก็พาเขามาหาป๊ากับแม่สิ พามาให้ป๊ากับแม่รู้จักเขา แบบที่เอิงรู้จักเขา แบบที่เอิงชอบเขา” แม่ของเอิงบอกกับเอิงกลับมา “ป๊าอาจไม่ชอบเขา” เอิงบอกออกไป “ป๊าเราก็หวงเราไปเรื่อยนั่นแหละ” แม่ของเอิงพูด ก่อนเอิงจะได้ยินแม่ตะโกนบอกป๊าว่า เอิงจะพาแฟนมาเจอ แล้วได้ยินป๊าตอบกลับมาว่า ไม่อยากเจอ

“มากันเถอะ มาได้เลย” แม่พูดกลั้วขำ เอิงบอกรักแม่ของเขา ก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ เพราะที่นั่นเป็นช่วงเวลากลางคืน การไม่ได้อยู่กับบุพการีตั้งแต่เด็กของเอิง ไม่ได้ทำให้เอิงสนิทกับป๊าและแม่น้อยลงเลย มันกลับทำให้ทั้งสามคน รักและเข้าใจกันมากขึ้นอย่างน่าประหลาด เอิงเป่าลมออกจากปาก ก้มลงมองดูตัวเอง ก่อนยืนขึ้น เอามือจับลูกบิดเปิดประตูออก แล้วก้าวเดินออกมา

“มัน แอม โอเค” แดนพูดสายกับแม่ของเขา ที่โทรหาเขาด้วยความเป็นห่วง “บอกพ่อด้วยว่า ผมแน่ใจในสิ่งที่ผมทำ แล้วเราพูดเรื่องนี้กันหลายรอบแล้ว” แดนคิดว่าเขาได้บอกกับพ่อเคลียร์แล้วในทุกประเด็น “แม่ครับ ผมไม่คิดเปลี่ยนใจ” แดนพูดบอกแม่ของเขา ก่อนจะนิ่ง ตาค้างมองไปที่เอิง ที่เดินกำลังออกมาจากร้าน “พ่อกับแม่ต้องเชื่อผมแล้วล่ะ ผมหาเขาจนเจอ แน่นอนแล้ว” แดนพูดจบก็กดวางสายลง

แดนแทบหยุดหายใจ เมื่อเห็นเอิงในชุดพื้นเมือง หนุ่มลูกครึ่งรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน เหมือนเขาตกอยู่ในภวังค์ แต่ว่า นี่คือเอิงจริง ๆ ที่หลายคนที่ยืนอยู่แถวนั้น ยังชี้ชวนให้มองมาที่เอิง เตยบอกกับแดนว่า ให้ไปถ่ายรูปกับที่สะพานไม้ แดนที่เดินคู่กันไปกับเอิง หันมามองเอิงบ่อย ๆ แล้วก็ยิ้มเขิน พร้อมเดินเอามือลูบต้นคอไปด้วย เตยเดินนำมาจนถึงที่กลางสะพาน ก่อนจะบอกให้บูมถ่ายภาพให้

“พี่แดนมาถ่ายรูปด้วยสิคะ เร็ว ๆ เอาแจ็กเกตมาไว้ที่หนูก่อน” เตยดันให้แดนไปยืนคู่กันกับเอิง โดยที่เตยกำกับภาพให้ทั้งคู่ เตยเอาดอกไม้ปักช่อยาว ให้เอิงถือไว้ด้วย บูมทำการกดชัตเตอร์ให้ทั้งสองคน เตยที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แอบส่องดูรูปในหน้าจอกล้องถ่ายรูปของบูม ก่อนที่เธอจะก้มลงมองที่แจ็กเกต ที่เห็นแดนใส่มาตั้งแต่อยู่ในเมือง มันมีมุมกระดาษยื่นออกมาจากกระเป๋าซิปนั้น

เตยหลบมาทางด้านหลังบูม เธอดึงเอากระดาษแผ่นนั้นมาคลี่ออกดู ก่อนจะรู้สึกอึ้ง เมื่อรูปที่บูมถ่าย เมื่อเทียบกับภาพวาดแผ่นนี้ของแดนแล้ว คนในรูป กับ คนในภาพวาด ลักษณะเหมือนกันจนแยกแทบไม่ออก เตยสะกิดบูมให้ดูภาพวาดนั้น ที่ในภาพวาด มีชื่อเขียนกำกับเอาไว้ ว่า แมทและซาย ปี 1945 บูมที่เห็นแบบนั้นยังถึงกับต้องอึ้ง แทบพูดไม่ออก เตยมองไปที่แดนและเอิง สีหน้า แววตา ท่าทาง นี่คือ คนหนึ่งที่ตามหา อีกคนที่เฝ้ารอ ที่เขาได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง อย่างแน่นอน

แดนที่แม้จะไม่ได้อยู่ในชุดเครื่องแบบทหารอย่างในภาพวาด แต่ใบหน้าของชายหนุ่มลูกครึ่ง ก็ละม้ายคล้ายกับหารหนุ่มในรูปวาด ไม่ผิดเพี้ยน ส่วนเอิงที่อยู่ในชุดพื้นเมือง แม้ว่าจะหน้าตาแตกต่างจากคนในรูป แต่องค์ประกอบชุด ลักษณะท่าทางการยืน องศามือที่ใช้จับช่อดอกไม้ บอกได้ว่า มันไม่ได้ต่างกันเลย แถมช่อดอกไม้ในภาพวาด ที่เป็นดอกสีเข้มอยู่ด้านบนสุด แซมด้วยสีขาวไล่ลงมา มันก็เหมือนกันพอดิบพอดี จนเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่น่าเชื่ออย่างที่สุด

เมื่อดาวเจ้าเรือนปัตนิ โคจรมาอยู่ในเรือนปัตนิเองแล้ว หากเป็นคู่กัน ก็ถือว่าเป็นคู่แท้ คู่บุญคู่วาสนา เป็นคู่ซื่อสัตย์ต่อกัน จะได้คู่ชนิดคู่บุพเพสันนิวาส อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า แต่งงานแล้วมีชีวิตและฐานะมั่นคง เพราะได้มาตรฐานดาวเป็นเกษตราธิบดี เว้นแต่ดาวปัตนินั้นเป็นดาวเสาร์ ๗ ราหู ๘ หรือศุกร์ ๖ นั่นท่านว่าเป็นพินทุบาทว์ ดวงแตก จะเป็นปัญหา ในเรื่องคู่

คุณปริมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นดู มีข้อความทางโปรแกรมแชทจากแดน ลูกชายของเธอส่งมาให้ คุณปริมกดเปิดมันขึ้นมาดู แล้วก็ต้องรีบเดินไปหาคุณโทมัสผู้เป็นสามี เธอยื่นโทรศัพท์ให้กับคุณโทมัสดู ผู้เป็นสามีมองรูปถ่ายของแดน กับหนุ่มไทยอีกคนในชุดพื้นเมือง แล้วก็ยักไหล่ ไม่ได้รู้สึกอะไร

คุณปริมทำสายตาดุใส่สามี ก่อนจะเปิดภาพที่เธอเก็บเอาไว้ในไอแพด เปิดคู่กัน เปรียบเทียบให้คุณโทมัสดู รูปวาดของแดน ที่วาดไว้ตอนที่มาเมืองไทยกับเธอเมื่อหลายปีก่อน และแดนเอามันติดตัวไว้ตลอด ในช่วงหลายปีหลังมานี้ มันช่างเหมือนกับรูปถ่าย ที่เพิ่งถ่ายในวันนี้ ของแดนกับเอิงแทบไม่มีผิดเพี้ยน แทบจะในทุกรายละเอียด ไม่แม้แต่ช่อดอกไม้ในมือของทั้งสองคน ซึ่งคุณโทมัสเอง ยังไม่กล้าที่จะปฏิเสธความจริงที่ได้เห็นกับตาของตัวเอง

“เราได้เจอกันแล้วนะ” แดนพูดกับเอิง สบตากับอีกฝ่ายเนิ่นนาน แววตาส่งผ่านความคิดถึง ความอ่อนโยน และความทรงจำที่มีให้กับอีกฝ่าย “แค่รอให้กลับมา” เอิงตอบกลับแดนไป ในดวงตาของแดนนั้น เองสัมผัสได้ถึงใครคนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้น “ไม่ต้องรออีกต่อไปแล้ว” แดนรู้สึกว่า มันคุ้มค่าที่สุดแล้ว กับสิ่งที่เขาตามหา “มันช่างยาวนานเหลือเกิน” เอิงพูดตอบกลับไป ความรู้สึกยินดีระคนไปกับความรู้สึกใจหาย มันเหมือนกับความรู้สึกที่หนักอึ้งที่แบกมันเอาไว้ มาอย่างยาวนาน กำลังจะถูกปลดเปลื้องลง



****************************

คำแปลเนื้อเพลงภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=rNQ45n7mJD4


หากโลกนี้ยังคงเป็นไปเหมือนเดิม

If the world only leads a pretty mundane life

อาจไม่พบความจริงข้างในหัวใจ

There’ s not a chance for me to figure this out

อาจไม่รู้ใจตัวเองว่าเหงาว่าเดียวดาย

I won’ t get to see how alone and lonely I am

และไม่คิดจะถามหัวใจสักครั้ง

Never dare to ask my own heart even once



แต่โลกนี้ก็พาให้เราพบเจอ

Yet this very same world has brought you to me

และให้ฉันเข้าใจตัวเองสักที

Now I get to understand what I’ m made of

ว่าที่แท้ในหัวใจ เงียบเหงาทุกนาที

Deep in my heart, it’ s empty all along

อยู่เพื่อรอจะเจอกับเธอมานาน

Been waiting for you to shine the light on me



เดินทางข้ามผ่านเวลาและเธอคือคำตอบ

Taking the journey through time to find you’ re an answer to it

ว่าเธอคนเดียวอยู่ในหัวใจ

And it’ s only you living in my heart



ต่อให้กาลเวลาจะหมุนเวียนไปสักเพียงใด

Though time will always change, and nothing stops it

รอนานแค่ไหนฉันยังมีเธอ

The longer I wait, the more I find you my grace

แต่หนึ่งดวงใจที่ฉันมี เก็บมานานเพิ่งค้นเจอ

With my very own heart, keeping it through this expedition

ว่าเก็บเอาไว้ให้เธอผู้เดียว

It’ s been saved solely for you



กว่าจะรู้ความจริงข้างในหัวใจ

Until I realized the truth lies within my heart

ก็ต้องใช้เวลามากมายเหลือเกิน

So much time has already been wasted

กว่าจะพบเจอทางออก ก็หลงทางไปไกล

I’ ve got really lost, before I could stumble upon my way out

เพิ่งเข้าใจว่าเราไม่ไกลกันเลย

Now you see, we’ ve crossed paths with each other for all this time



เดินทางข้ามผ่านเวลาและเธอคือคำตอบ

Taking the journey through time, and you’ re the reason for it

ว่าเธอคนเดียวอยู่ในหัวใจ

There’ s only you deep down in my heart



ต่อให้กาลเวลาจะหมุนเวียนไปสักเพียงใด

Though time will always change, nothing stops it

รอนานแค่ไหนฉันยังมีเธอ

The longer I wait, the more I find you my grace

แต่หนึ่งดวงใจที่ฉันมี เก็บมานานเพิ่งค้นเจอ

With my very own heart, keeping it through this expedition

ว่าเก็บเอาไว้ให้เธอผู้เดียว

It’ s been saved solely for you



เดินทางข้ามผ่านเวลาและเธอคือคำตอบ

Taking the journey through time, and you’ re the reason for it

ว่าเธอคนเดียวอยู่ในหัวใจ

There’ s only you deep down in my heart



ต่อให้กาลเวลาจะหมุนเวียนไปสักเพียงใด

Even though the time changes endlessly

รอนานแค่ไหนฉันยังมีเธอ

The long wait is over, I finally have you

แต่หนึ่งดวงใจที่ฉันมี เก็บมานานเพิ่งค้นเจอ

With this one heart of mine, keeping it to see that

ว่าเก็บเอาไว้ให้เธอผู้เดียว

It only belongs to you
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๔ ปัตนิ - ปัตนิ (ที่รักคนเดียวคนเดียวที่รัก)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-05-2022 19:50:35
 :n1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๕ สหัสชะ - มรณะ (วันเก่าจากเกลอเกลอจากวันเก่า)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 08-05-2022 18:52:26
๒๕.



สหัสชะ – มรณะ (วันเก่าจากเกลอเกลอจากวันเก่า)





“อากาศดี ๆ ยามเย็นแบบนี้ แสงกำลังสวยเลย ผมแนะนำว่า เราไปล่องเรือกันดีกว่า” บูมแนะนำกิจกรรมให้กับชาวคณะ ด้วยวลีฮิตประจำทริปนี้ว่า “ไหน ๆ เราก็มาแล้ว” บูมทำการเชิญชวนแดนและเอิง “และไหน ๆ ผมก็ต้องอยู่ดูแลแขกวีไอพีของโรงแรม ที่จ่ายเพิ่มไม่อั้นแบบพี่สองคนต่อ พวกเราไปกันเลยดีกว่า” บูมออกเดินนำ โดยมีเตยที่เพิ่งโดนแม่สวดจนยับเดินตาม เมื่อเด็กสาวเพิ่งบอกกับแม่ว่า ขึ้นมาข้างบนนี้กับบูม เตยต้องรีบกดสายทิ้ง เมื่อได้ยินแม่คาดโทษเอาไว้ว่า กลับถึงบ้านเมื่อไหร่ แม่จะเล่นงานทั้งเตยและบูมให้หนักอย่างแน่นอน

“นี่แม่แกว่ายังไงบ้างเนี่ย” บูมที่ติดต่อคนเรือได้ หันมาถามเพื่อน เมื่อทั้งหมดเดินตามกันลงบันไดปูนเล็ก ๆ เพื่อเดินต่อไปบนแพ ที่มีเรือหางยาวเล็กจอดเรียงรายอยู่ “ก็ไม่ว่าอะไร แค่บอกอย่าลืมของฝาก” เตยพูดแบบไม่มองหน้าบูม “เรือลำไหนคะพี่” ก่อนจะถามหากับคนขับกึ่งไกด์นำเที่ยว “เร็ว ๆ รีบลงมากัน” เตยลงไปนั่งรออยู่บนเรือเรียบร้อย บูมมองเพื่อนด้วยความรู้สึก ไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเตยสักเท่าไหร่

“ว่าไง” เอิงที่เดินตามบูมมา กดรับวิดีโอคอล เมื่อเห็นว่าใครโทรมา “เฮ้ย เป็นยังไงบ้าง แล้วอยู่ที่ไหนวะ” ปราชญ์ถามเพื่อน ดีใจที่เพื่อนรับสายเขา “ฉันโอเค” เอิงตอบเพื่อนไป ก่อนบอกว่าเขาอยู่ที่ไหน “โห ไปซะไกลเลยแก” เอิงยิ้มให้ปราชญ์แทนคำตอบ แดนที่เดินรั้งท้ายสุด เหลือบมองที่หน้าจอโทรศัพท์ มองเห็นชายหนุ่มหน้าตาคมคาย หล่อเหลา ที่แดนเห็นแล้ว ทำให้นึกว่า เขาเคยเจอคนในกล้องมาก่อน

“ฝรั่งหล่อนี่หว่า” ปราชญ์เห็นแดนแวบหนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มลูกครึ่งจะทำหน้างอ ก้าวเข้าไปนั่งในเรือ จนเรือโคลง “ดี ๆ พี่แดน ดี ๆ” บูมกับเตยสังเกตเห็นแดนเป็นแบบนั้น ก็แอบสบตากัน ก่อนจะกลั้นหัวเราะว่าเพิ่งเคยเห็นฝรั่งหึง “แกโทรมามีอะไรหรือเปล่าเนี่ย” เอิงเลี่ยงถามปราชญ์กลับไป มองไปทางแดนที่ทำหน้าตึงใส่ “ก็แค่เช็กดู ว่าแกยังโอเคดีอยู่หรือเปล่า” ปราชญ์นึกขำเอิง ไอ้อาการเลี่ยงตอบคำถามนี่ เอิงเพิ่งเคยทำให้เขาเห็นนี่แหละ เอิงตอบว่าเขาไม่เป็นไร ปราชญ์บอกว่า ถ้ากลับมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ให้โทรหาเขาด้วย ก่อนกดวางสายไป

เอิงลงมาในเรือ บูมขยับย้ายที่ ไปนั่งทางด้านท้ายเรือกับเตย แดนบอกให้เอิงขยับมานั่งใกล้เขา เอิงทำตาม แดนแอบยิ้ม แต่ก็ยังเคือง ๆ ที่เห็นเอิงคุยกับผู้ชายคนนั้นแบบสนิทสนมเป็นพิเศษ เรือแล่นออกจากแพ คนขับพาทั้งหมดชมวิวสองข้างทาง รวมถึงวัดกลางน้ำ ที่เมื่อเวลาระดับน้ำลดลงในฤดูแล้ง จะสามารถเดินมาเที่ยวชมได้ คนขับเรือให้ข้อมูลรายละเอียด รวมทั้งประวัติของสถานที่ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะขับพาทั้งหมดเลยต่อไปอีกนิด

“ด้านบนเป็นวัดเก่าแก่ของที่นี่ เดินต่อไปอีกนิด ขึ้นไปไหว้พระได้นะครับ” คนเรือบอกกับทั้งสี่คน ให้ขึ้นไปสักการะพระพุทธรูปในพระอุโบสถด้านบนได้ บูมและเตยเดินนำขึ้นไปก่อน แดนและเอิงเดินรั้งท้าย มีเด็ก ๆ ท้องถิ่นเอาดอกไม้และธูปเทียนมาเสนอ หารายได้เป็นค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ แดนหยิบช่อดอกไม้ยื่นให้กับเอิง เขารับมาถือเอาไว้ ดอกไม้ประดับช่อ มีดอกไม้สีแดงสดที่ด้านบนสุด มีดอกไม้สีขาวเล็ก ๆ ไล่ก้านลงมา พันเอาไว้กับธูปและเทียน

แดนหยิบอีกช่อหนึ่งให้กับตัวเอง ก่อนยื่นเงินค่าดอกไม้ให้กับน้องผู้หญิงที่หันไปหัวเราะเขิน ๆ กับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อเห็นหนุ่มฝรั่งตัวสูงใหญ่ มาเป็นลูกค้า เอิงยิ้มให้กับภาพที่เห็น ก่อนจะเดินขึ้นไปตามเนิน แดนเดินขึ้นไปบนเนินดิน ที่เหมือนกับเป็นที่พักขา หนุ่มลูกครึ่งหันมายื่นมือให้ เอิงกล่าวขอบคุณเบา ๆ เอื้อมมือไปจับมือของแดน ให้หนุ่มลูกครึ่งช่วยดึงตัวให้เขาเดินขึ้นไปจนถึงด้านบน

พระอุโบสถหลังเก่า ที่เหลือเพียงกำแพงล้อมรอบสี่ด้าน มองผ่านเข้าประตูไป องค์พระตั้งอยู่ตรงกลาง ประตูที่อยู่ตรงข้ามกัน มีแสงแดดรอน ๆ ยามเย็นส่องผ่านเข้ามา เป็นภาพที่ทำให้ใจสงบได้อย่างน่าประหลาด เอิงเดินเข้าไปด้านใน แดนเดินตาม เอิงบอกให้แดนแยกเอาธูปและเทียนออกมาจุด แดนทำตาม เขาบอกกับเอิงว่า แม่เคยพาเขาไปทำบุญที่วัดไทยใกล้กับรัฐที่เขาอาศัยอยู่ ชายหนุ่มลูกครึ่งดีใจ ที่เขาได้มาไหว้พระกับเอิงในครั้งนี้ ก่อนนั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ กับเอิง

“ผมเคยเห็นในฝัน ซายมาไหว้พระแบบนี้” เอิงบอกกับแดน เขาเงยหน้ามองไปที่พระพักตร์ขององค์พระพุทธรูป “ที่นี่หรือครับ” แดนถาม เอิงส่ายหน้าบอกว่าไม่ใช่ที่นี่ “ซายมากับแมทหรือเปล่าครับ” แดนถามขึ้น เมื่อทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน ต่อหน้าองค์พระประธาน เอิงสบตากับแดน มันคงจะดีมาก ๆ หากว่า ซายเคยได้มาทำบุญกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับแมท แบบนี้

“ผู้กองภาคย์ต้องการอะไร บอกกระผมมาได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมใช้ให้ไอ้พวกนี้ มันวิ่งไปหาซื้อมาให้” ชายวัยกลางคน ดูประจบประแจงผู้กองหนุ่ม ที่เพิ่งย้ายมาประจำการที่นี่ได้ไม่นาน “ผมอยากเดินดูให้ทั่วก่อน ตลาดที่นี่ดูคึกคักดีนะ” ผู้กองหนุ่มเห็นพ่อค้าแม่ค้ามากมาย หาบของมาขายกันหนาตา “เชิญครับผู้กอง” ภาคย์เดินไปบนถนนดิน ที่สองข้าง มีร้านรวงมากมายมาตั้งขาย

“ในใจชิ้นไหน อย่างไร บอกกระผมนะครับ กระผมจะต่อรองราคาให้เอง” ชายวัยกลางคนยังไม่ลดละความพยายาม ในการตีสนิทกับผู้กองหนุ่มที่เพิ่งมาใหม่ ภาคย์เดินดูของต่อไป พยายามจะทิ้งระยะห่าง แต่ชายวัยกลางคน ก็ดูจะไม่เปิดโอกาสให้ภาคย์สบช่องนั้น “ถ้าผู้กองอยากได้น้ำผึ้งป่าชั้นดี ต้องมาเร็วหน่อยครับ ถ้ามาสายป่านนี้ ไอ้นี่มันขายหมดซะก่อน”

“คนอยากได้น้ำผึ้งที่มันไปหามากันทั้งนั้น” ชายวัยกลางคนบอกกับผู้กองหนุ่ม เมื่อเห็นเขาหยุดยืนมองไปทางคนตัวเล็ก ๆ ในชุดชนเผ่าที่ดูสะดุดตา แปลกไปจากคนอื่นคนนั้น ภาคย์มองดูเด็กหนุ่มที่ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่พราวหน้า ก่อนจะแกะผ้าที่โพกหัวนั้นลง ภาคย์จ้องภาพที่เห็นนั้นไม่กะพริบตา ผมยาวดำขลับถูกมุ่นเป็นมวยเอาไว้ที่ด้านหลัง พอไม่มีผ้าโพกซ่อนเรือนผมสวยเงางาม ราวเส้นไหมนั้นแล้ว ใบหน้าของเจ้าตัว ดูหวานเกินน้ำผึ้งที่สรรหามาขายเสียอีก

“คิดจะสนใจมัน” เสียงพูดของชายวัยกลางคน ดึงให้ผู้กองหนุ่มกลับมาจากภาพความงามที่ได้เห็น “มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ มันเป็นลูกเต้าใคร ญาติใคร ก็ไม่รู้แจ้ง เหมือนมันหลุดออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ก็ไม่ปาน” ผู้กองภาคย์ฟังที่ชายวัยกลางคนเล่าไป สายตาก็ยังคอยเหลือบมองไปทางเจ้าของใบหน้าหวานนั้น

“ที่สำคัญ มันพูดไม่ได้ ถามมัน มันก็บอกไม่ได้ เขียนไม่เป็น ชื่อจะเรียกก็ไม่มี คนเขาเห็นมันเป็นชนเผ่า เก็บน้ำผึ้งป่าอย่างดีมาขาย เขาเลยเรียกมันด้าจก์ซาย ที่แปลว่าน้ำผึ้ง” ผู้กองภาคย์มองดูนิ้วเล็กเรียวของด้าจก์ซาย เก็บข้าวของลงใส่ตะกร้า ก่อนจะแบกตะกร้านั้นขึ้นหลังอย่างคล่องแคล่ว ผู้กองหนุ่มที่มองดูอีกฝ่ายแบบไม่ละสายตา กำลังหาเหตุผลให้ตัวเอง ว่าที่เขาใจเต้นแรงไม่หยุดแบบนี้ เขาแค่นึกเอ็นดูด้าจก์ซายเท่านั้น

ผู้กองภาคย์มาถึงที่วัดก็เริ่มค่ำแล้ว พอมาถึง ชาวบ้านก็ชวนให้ผู้กองหนุ่มร่วมกันก่อเจดีย์ทราย เนื่องในวันปีใหม่ไทยทั้งที เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและได้กุศลอานิสงส์ผลบุญต่อไป ผู้กองหนุ่มรู้สึกยินดี ที่ชาวบ้านที่นี่ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี มอบความอบอุ่นและเป็นมิตรให้กับข้าราชการทหารอย่างเขา เหมือนเป็นลูกเป็นหลานคนหนึ่ง ไม่รังเกียจรังงอน ว่าเขาถูกย้ายมาจากส่วนกลาง

“ผู้กองอย่าลืมขึ้นไปกราบพระประธานในโบสถ์ก่อนนะครับ” เสียงผู้นำชุมชนบอกกับผู้กองหนุ่ม ภาคย์ตอบรับคำ ก่อนจะเดินขึ้นไปที่พระอุโบสถ ที่ตอนนี้ไม่มีคนเลย เพราะกำลังง่วนกับการขนทรายเข้าวัดกันหมด ภาคย์เดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูโบสถ์ ด้านในนั้น ด้าจก์ซายนั่งพับเพียบพนมมืออยู่ต่อหน้าองค์พระ สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของพระพุทธรูป

ผู้กองภาคย์ยืนมองภาพที่เขาคิดว่า น่าประทับใจนั้นอยู่เงียบ ๆ ภาคย์มองดูด้าจก์ซายก้มลงกราบพระ เขาอยากจะเดินเข้าไปนั่งลงใกล้ ๆ แต่ก็ไม่กล้า เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะทำตัวอย่างไร ทำหน้าแบบไหน จะเริ่มต้นพูดกับอีกฝ่ายว่าอะไร คิดได้แค่นั้น อยู่ ๆ แขนของผู้กองหนุ่ม ก็ไปสัมผัสเข้ากับประตูโบสถ์ ทำให้ลั่นดาลไม้ขยับ เกิดเสียงดังขึ้น ผู้กองภาคย์ดึงตัวหลบมาด้านนอก

ด้าจก์ซายหันมามอง แต่ก็ไม่เห็นใครที่หน้าประตู เขาลุกขึ้นยืน ก่อนเดินออกจากโบสถ์ ที่ด้านล่างคนคลาคล่ำไปหมด เพราะต่างพากันมาขนทรายเข้าวัด ด้าจก์ซายเดินเบี่ยงหลบมาทางด้านข้าง ก่อนไหลตามคนที่มากันอย่างหนาแน่น ผู้กองภาคย์ที่ถูกคนดันจากอีกทาง เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของด้าจก์ซาย ผู้กองหนุ่มอยู่ใกล้กับเจ้าของเรือนผมดำขลับนั้นแค่คืบ ในใจนึกอยากสัมผัสมความนุ่มสลวยนั้น

“ผู้กองภาคย์คะ เชิญทางนี้ค่ะ” เสียงหญิงสาวในกลุ่มผู้หญิงอีกสามสี่คนเรียกชื่อเขา ผู้กองหนุ่มต้องจำใจหยุดเดิน สายตามองเห็นด้าจก์ซายเดินเลี่ยงออกจากกลุ่มคน เดินหายออกไปทางประตูด้านข้างของวัด “เรียนเชิญทางนี้ค่ะ ผู้กอง” เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีก ผู้กองภาคย์หันไปมอง “นี่กะรัต เพื่อนของดิฉันเองค่ะผู้กอง กะรัต นี่ผู้กองภาคย์ เพิ่งย้ายมาประจำการที่นี่” ผู้กองภาคย์ยกมือขึ้นรับไหว้ กะรัต หญิงสาวที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมในทุกด้าน

แมทรู้สึกเกลียดตัวเอง ที่ต้องตัดใจวิ่งจากมา โดยมีซายยืนมองนายทหารชาวอังกฤษคนนั้น วิ่งหายเข้าลับแนวต้นไม้หนาทึบนั้นไป ซายน้ำตาไหลลงมาอาบทั้งสองแก้ม ความรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ ประดังประเดถาโถมเข้าใส่จนรับมือกับมันไม่ไหว ซายหันหลังกลับมา ก็เจอนายทหารไทยยืนรอเขาอยู่แล้ว

ผู้กองภาคย์ได้รับคำตอบของการภาวนาของเขา เมื่อเขาภาวนาว่า ขออย่าให้เป็นด้าจก์ซายเลย เพราะรู้สึกตกใจและเป็นห่วงอีกฝ่ายเหลือเกิน ตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้ไปค้นกระท่อมของด้าจก์ซาย ภาพที่อยู่ตรงเบื้องหน้าเขานี้ กำลังทำให้ผู้กองหนุ่มไทยรวดร้าวไม่น้อย เมื่อเขารู้ดีว่า เขาทำอะไรเพื่อช่วยเหลือคนที่ยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อหน้าเขาไม่ได้เลย และยิ่งเห็นความทารุณ รอคอยด้าจก์ซายอยู่ด้วยนั้น เขาจะทำอย่างไรดี

ที่หน้าประตูห้องขังเดี่ยวนั้น นายทหารหนุ่มไทยยืนมองเข้ามาอย่างเงียบ ๆ คนที่ถูกขังอยู่ข้างในเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรัง ร่างกายผ่ายผอมลงไปมาก จากเมื่อตอนที่ได้พบกันในป่าวันนั้น กับเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ซายเงยหน้าจากจานข้าว มองไปที่ประตู เขาเห็นนายทหารหนุ่มคนนั้น ในวันนั้น

ผู้กองภาคย์ใช้ความพยายามสะกดใจของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ที่จะหักห้ามความต้องการของตัวเอง ไม่ให้เขาโผเข้าไปกอดคนในห้องขังนั้น ยิ่งเขาเห็นด้าจก์ซายเงยขึ้นมามองเขา ภาพที่ผู้กองหนุ่มจำได้จากเมื่อตอนแอบมองอีกฝ่ายครั้งแรกที่ตลาด และภาพที่เขายืนดูด้าจก์ซายไหว้พระ มันสูญสลายหายไปจนหมดสิ้น ผู้กองหนุ่มสะเทือนใจกับสภาพร่างกายที่เห็นของอีกฝ่ายอย่างที่สุด

“แกได้ยินฉันมั้ย” ผู้กองภาคย์เดินกลับมาที่ห้องขังนั้นอีกครั้ง เขานั่งลงตรงรอยแยกของไม้ ที่พอจะมองลอดผ่านเห็นกันได้ ซายค่อย ๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนแนบใบหน้าลงบนแผ่นไม้ สายตามองสบกับผู้กองภาคย์ที่นั่งอยู่ด้านนอก “ฉันจะหาทางพาแกออกไป” ผู้กองภาคย์พูดออกมา น้ำเสียงสั่นเครือ ด้าจก์ซายมองริมฝีปากขอองผู้กองหนุ่ม

“แกฟังฉันนะ แกฟังฉันให้ดี ๆ ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้แกเป็นอะไรไป แกเชื่อฉันนะ แกต้องเชื่อฉันนะ” ด้าจก์ซายน้ำตาไหลลงมา เมื่อเห็นผู้กองภาคย์ใช้ลอดผ่านรอยแตกนั้นเข้ามา แล้วบีบแผ่นไม้นั้นจนแน่น น้ำเสียงของนายหทารหนุ่มไทย ให้คำมั่นกับด้าจก์ซาย

ลมเย็น ๆ พัดเข้ามากระทบใบหน้าของด้าจก์ซาย น้ำตาที่นองหน้าแห้งลง ซายหันกลับไปมองด้านหลังที่ฝั่งโน้น รถของผู้กองภาคย์ไม่อยู่แล้ว คนแพถ่อกลับไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อซายข้ามมาถึงอีกฝั่งหนึ่ง ผืนน้ำล้อแสงแดดระยิบระยับ เมื่อยามสายมาถึง ใบไม้ลู่ไปตามลม ความเงียบสงบโปรยตัวลงมาจนทั่วบริเวณ เมื่อที่ริมน้ำนั้น ว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของสักคน

ผู้กองภาคย์ขับรถออกจากริมฝั่งแม่น้ำ ด้วยความรู้สึกที่เหมมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป และอะไรบางอย่างนั้นสำคัญกับความรู้สึกของเขามาก สิ่งสำคัญที่เขาต้องพยายามทำเป็นไม่ใส่ใจ ไม่ได้อยากได้ ไม่ได้ต้องการเอามาครอบครอง ทั้ง ๆ ที่ใจมันตะโกนก้อง บอกกับตัวเองว่าความเป็นจริงนั้น มันเป็นเช่นไร ผู้กองภาคย์เหยียบเบรกรถแบบกะทันหัน จนรถปัดส่ายไปด้านข้างก่อนหยุดลง ผู้กองหนุ่มทุบมองมือของเขาลงบนพวงมาลัยรถอย่างเกรี้ยวกราด น้ำตาของนายทหารหนุ่มไหลลงอาบหน้า ถ้าหากว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เขาขอเพียงสิทธิ์ที่จะเลือกทำตามใจตัวเองได้ แค่นั้น

“สัญญาว่าฉันจะกลับมาหาเธอ” ผู้พันภาคย์เห็นด้าจก์ซายยิ้มออกมาทั้งน้ำตา การรอคอยใครสักคน มันคือความสุขที่ปนไปด้วยความเศร้า สุขที่ได้เฝ้ารอ แต่เศร้าเมื่อไม่รู้ว่า เมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึง สำหรับผู้พันหนุ่ม เขาคงจะต้องบอกให้ตัวเองเลิกรอ เมื่อเขาได้รับการเลื่อนยศ และมีคู่หมั้นคู่หมายที่กำลังจะแต่งงานกันในไม่ช้า การมาที่นี่ของเขา ด้วยจุดมุ่งหมายที่ว่า หากความหวังยังพอมีอยู่ เขาคิดที่จะคว้ามันเอาไว้ แต่มันคงดับลงแล้ว ความฝันนั้น

ผู้พันภาคย์ที่ได้อ่านประโยคในจดหมายของทหารอังกฤษคนนี้ ทำให้เขาต้องเจ็บแปลบขึ้นมาในใจ 'สัญญาว่าฉันจะกลับมาหาเธอ' ประโยคนี้สะท้อนอยู่ในความรู้สึกของผู้พันหนุ่ม เขาเอง ที่เคยบอกว่า จะไม่กลับมาอีก จะไม่กลับมาเจอคนคนนี้อีก แต่ก็กลืนน้ำลายตัวเองกลับมา โดยหวังว่า บางอย่างอาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่สุดท้ายแล้ว การกลับมาของเขา ก็เพื่อตอกย้ำคำตอบเดิม ว่าเขาคงเป็นได้แค่เพื่อน เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

ซายคิดถึงที่ผู้พันภาคย์จะทัดปอยผมข้างหูให้กับเขา แม้จะรู้สึกว่า ตัวเองไม่น่าจะหลบตัวแบบนั้น แต่ซายก็รู้ดีว่า เขาไม่สามารถให้ผู้พันหนุ่มทำแบบนั้นได้ ซายรู้สึกขอบคุณ และระลึกถึงบุญคุณของผู้พันภาคย์ ที่ได้ช่วยเหลือเขามาโดยตลอดเสมอ แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ ซายไม่สามารถแบ่งความรู้สึกในหัวใจของเขา ไปให้ผู้พันภาคย์ หรือใครได้อีกแล้ว

วันแรกของการเปิดเรียนของชีวิตนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยของเอิง ทำให้เขาประหม่าอยู่บ้าง แต่พอเอิงมาถึงที่คณะ ก็เริ่มเห็นเพื่อนในเอกเดียวกัน และเพื่อนร่วมคณะในภาควิชาอื่น ๆ ทยอยมากันเรื่อย ๆ เสียงจ้อกแจ้กจอแจเป็นนกกระจอกแตกรังก็ตามมาในไม่ช้า เอิงผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ได้หลายคน สิ่งที่เขากังวลก่อนหน้านี้ มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด

“ชื่ออะไรเนี่ยเรา” เสียงทักดังขึ้นจากเด็กหนุ่มหน้าตาคมคาย “หน้าคุ้นจัง” ตามมาด้วยประโยคถัดมา ก่อนที่จะขัดสมาธินั่งจุ้มปุ๊ก ลงตรงหน้าเอิง “หน้าคุ้นมาก เหมือนเคยเจอกันมาก่อน” เอิงกะพริบตาถี่ ๆ มองคนที่เพิ่งมาถึง “ไม่ได้จีบ แต่มันคุ้นจริง เดินเลี้ยวเข้ามาเมื่อกี้ เห็นเธอเด่นมาก่อนใครเลย” คนที่เพิ่งมาใหม่อธิบาย ยังคงเห็นเอิงทำหน้างง ๆ อยู่

“ไม่ต้องห่วง เรามีแฟนแล้ว น่ารักด้วย เดี๋ยวเอาไว้จะแนะนำให้รู้จัก” คำอธิบายทำให้เอิงพอจะยิ้มออกมาบ้าง “เราชื่อปราชญ์ แปลว่าคนฉลาดมาก” ปราชญ์แนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ “เราชื่อเอิง” พูดจบก็ขมวดคิ้ว “ไม่รู้แปลว่าอะไร” พูดจบเอิงก็หัวเราะออกมา แอบประหลาดใจอยู่ในที ที่รู้สึกสบายใจที่จะพูดเล่นกับคนคนนี้ “แล้วมีแฟนหรือยังล่ะ” ปราชญ์ถามเพื่อนใหม่ไปตรง ๆ

“ไม่มี” เอิงส่ายหัวพร้อมคำตอบ “ไม่มี คือ ตอนนี้ไม่มี หรือไม่เคยมีเลย” อยู่ ๆ ปราชญ์ก็นึกอยากถามเอิงด้วยคำถามนั้นขึ้นมา “ไม่เคยมี” เอิงตอบออกไป ปราชญ์มองหน้าเพื่อนใหม่ของเขา พยักหน้าช้า ๆ “ชอบผู้ชายแบบไหน” เอิงรู้สึกทึ่งกับความตรงไปตรงมาของปราชญ์ “แฟนเราก็ผู้ชาย ไม่เห็นแปลกตรงไหน เราไม่เคยคิดที่จะปกปิด เราแค่มีสิทธิ์ที่จะเลือกทำตามใจตัวเอง ชอบใครมันก็เรื่องของเรา” เอิงฟังปราชญ์พูด เด็กหนุ่มที่เปิดเผยและดูจริงใจ

“เสียงเอิงฟังดูเพราะดีนะ เพิ่งเคยได้ยินคนเสียงแบบนี้” ปราชญ์นึกแปลกใจ ที่เอิงพูดได้ ก็ต้องพูดได้สิ ปราชญ์ตลกไปกับความคิดของตัวเอง “เราว่า ต่อไปเอิงกับเรา เป็นเพื่อนสนิทกันแน่นอน” เอิงยิ้มให้กับปราชญ์ ผู้ซึ่งทำให้เอิงรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า เกลอสนิท ที่ผูกพันกันมานานแสนนาน ผู้มาพร้อมกับความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้น

“ถ้าไม่ได้เขาช่วยในวันนั้น ซายคงจะแย่กว่าที่เป็น” เอิงพูดกับแดน เมื่อทั้งสองเดินกลับลงมาจากพระอุโบสถด้านบน เตยและบูมลงไปนั่งรอในเรือแล้ว “เขาได้ช่วยเหลือซายเอาไว้มากมาย” แดนพอจะจำได้แล้ว จากความฝันที่มี เขาฝันถึงตอนที่แดนทิ้งซายเอาไว้ที่ชายป่า เพื่อหนีจากการจับกุม ภาพของนายทหารหนุ่มไทย ที่แมทมองเห็นกำลังวิ่งเข้ามา หน้าตาละม้ายคล้ายกับหนุ่มหน้าตาคมเข้ม ที่เพิ่งวิดีโอ คอล มาหาเอิง

“ปราชญ์เป็นเพื่อนที่ดีมาก” เอิงพอจะเดาได้ ว่าที่แดนหน้ามุ่ย หงุดหงิดนั้น เป็นเพราะอะไร “ผมกับปราชญ์เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และเราเป็นได้มากที่สุดแค่นั้น” เอิงพูด แดนทำสีหน้าและสายตาสำนึกผิด “ผมก็หวงของผม” แดนบ่นออกมาเบา ๆ เอิงมองหนุ่มลูกครึ่งแล้วก็ให้นึกเอ็นดู ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปที่เรือ เตยบ่นว่าหิวแล้ว เสียงบูมแนะนำให้ไปเดินหาอะไรกินที่ถนนคนเดินในตลาดท่ารถตู้ แดนกับเอิงตอบตกลง ก่อนที่คนเรือจะพาทั้งหมดกลับไปส่งที่สะพานไม้

ซายพาแมทเดินเลาะลึกเข้ามาในป่า จากตรงที่เป็นลำธาร แมทเพิ่งจะเคยเข้ามาในแถบนี้ แต่ดูแล้ว ซายนั้นชำนิชำนาญเส้นทาง พาเดินมาอย่างคล่องแคล่ว แมทมองตรงเข้าไป เขาเห็นเหมือนสถานที่ร้างอะไรสักอย่าง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ซายหันไปมองแมท ยิ้มให้นายทหารช่างหนุ่ม ก่อนเดินพานำเข้าไปด้านใน ภายในอุโบสถเก่า มีต้นไม้แลถเถาวัลย์ขึ้นอันกันแน่น มีเพียงแสงลอดผ่านลงมาจากช่องว่างของกำแพงโบราณกับรากอากาศของไม้เหล่านี้ ที่เหมือนขึ้นคลุมปกปักรักษา องค์พระประธาน จากแดด จากลมฝนนั้น

ซายคุกเข่าลงตรงหน้าองค์พระ เงยหน้ามองแมทที่กำลังมองสำรวจสถานที่แห่งนี้ด้วยความทึ่ง ก่อนจะก้มลงมามอง เห็นซายมองอยู่ แมทเลยทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้าง ๆ ซาย ซายยื่นดอกไม้ปักช่อที่มีดอกไม้สีแดงสดด้านบน และมีดอกสีขาวเล็ก ๆ แซมลงมาบนก้าน ให้กับแมท ก่อนจะก้มลงกราบพระ และเอาดอกไม้ถวายพระให้แมทดู นายทหารช่างหนุ่มทำตาม แม้จะดูเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็เห็นซายที่มองเขาด้วยดวงตาใสแป๋ว แล้วยิ้มให้ แมทเอื้อมมือเอาปอยผมข้างหู ที่ตกลงมา ทัดกลับไปอย่างเดิม พลางนึกดีใจ ที่ได้มาไหว้พระกับซายในครั้งนี้

เมื่อดาวเจ้าเรือนสหัสชะ หรือเรือนเพื่อนฝูง คนใกล้ชิด เดินมาตกอยู่ในเรือนมรณะ ท่านว่าเจ้าชะตาอาจจะเป็นคนอาภัพ มีเพื่อนแต่อาจจะต้องตายจากกัน แต่หากได้คบกันแล้ว มักจะเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ที่คบกันได้ยืดยาว จะคอยช่วยเหลือกันอยู่ลับ ๆ แม้จะนับได้ว่ามีอยู่กันไม่กี่คนก็ตาม สหัสชะ มีความหมายว่า เพื่อน มรณะ แปลความหมายได้อีกอย่างว่า นาน เมื่อมารวมกัน ก็หมายถึง เพื่อนเก่า

ผู้พันภาคย์ถือแก้วเหล้าไว้ในมือ ใบหน้ากรึ่มด้วยฤทธิ์สุราของเขา บ่งบอกว่าผู้พันหนุ่ม นั่งดื่มมามากพอสมควรแล้ว ผู้พันหนุ่มเงยหน้า เอาศีรษะพิงกับผนังห้อง แค่นเสียงหัวเราะออกมา หัวเราะให้กับอะไรบางอย่าง ที่เขาคิดว่ามันตลกสิ้นดี ผู้พันภาคย์กระดกเหล้าก้นแก้วนั้นเข้าปากอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลง พยายามห้ามไม่ให้สองตาของเขา ต้องเปื้อนไปด้วยน้ำตา ก่อนที่ผู้พันหนุ่มจะรู้ว่า ตัวเองพ่ายแพ้ เมื่อไม่อาจจะกลั้นความรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดที่มีนั้นได้อีกต่อไป

*****************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=2uiDlmegj9E

อยากบอกว่าพอจะรู้ กับสิ่งที่มีให้ฉัน

I’ ve known it, those feelings you have for me

และอยากจะบอกว่าฉันก็ยังซึ้งใจ

I won’ t lie that I am so grateful for

แต่วันที่เรานั้นพบกัน เป็นวันที่สายไป

But the day we’ ve met was a little too late

เธอรู้ใช่ไหม ฉันรักเขาก่อนพบเธอ

You know I’ m already falling for him, don’ t you?



ไม่อาจจะรักเธอ แต่จะไม่ลืมเลือน

Can’ t fall in love with you, but I won’ t forget this

ที่ฉันได้เจอเธอ ได้พบกัน

That you and I did find each other



จะจดจำเธอไว้ในลมหายใจ

I’ ll recognize you in the air I breathe

จะจดจำเธอไว้จนนานเท่านาน

You’ re forever for me to reminisce

ขอบคุณใจดีดีของเธอ

I’ m thankful for the kind heart of yours

ขอบคุณรักที่เธอให้กัน

I appreciate the love you’ ve given me

อยากบอกเธอสักคำ

If I can say this to you

ว่าฉันจะจำเธอไม่ลืม

I will always remember you



ส่วนหนึ่งข้างในชีวิต ส่วนหนึ่งข้างในความฝัน

This one part of my life, a portion from my dream

ส่วนหนึ่งในความทรงจำจะเป็นของเธอ

That batch in my memory belongs to you

และส่วนหนึ่งในห้องหัวใจ ที่ไม่อาจให้เธอ

It’ s sadden for me to say, I can’ t give you all my heart

แต่จะมีเธออยู่ข้างในเสมอไป

But there’ s a place in my heart always reserved for you there



ไม่อาจจะรักเธอ แต่จะไม่ลืมเลือน

Can’ t fall in love with you, but I’ ll remember it

ว่าครั้งหนึ่งมีเธอ ที่รักกัน

That you and I did come upon this moment



จะจดจำเธอไว้ในลมหายใจ

I’ ll recognize you in the air I breathe

จะจดจำเธอไว้จนนานเท่านาน

You’ re forever for me to reminisce

ก่อนที่เราจะไกลแสนไกล

Before we have to stay so far away

ก่อนที่เราจะไม่พบกัน

Before life separates us completely

อยากบอกไว้สักคำ

I’ d like to say this word to you

ว่าฉันจะจำเธอไม่ลืม

That you’ ll always be on my mind



ไม่อาจจะรักเธอ แต่จะไม่ลืมเลือน

Can’ t really make you feel my love, yet I’ ll think of you dearly

ว่าครั้งหนึ่งมีเธอ ที่รักกัน

The time that I had you loving me







จะจดจำเธอไว้ในลมหายใจ

You’ ll live in the air I take

จะจดจำเธอไว้จนนานเท่านาน

For as long as the time will last

ก่อนที่เราจะไกลแสนไกล

Before we stay a whole world away

ก่อนที่เราจะไม่พบกัน

Before life does keep us apart

อยากบอกไว้สักคำ

Let me say this once

ว่าฉันจะจำเธอไม่ลืม

That you’ ll stay forevermore on my mind
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๕ สหัสชะ - มรณะ (วันเก่าจากเกลอเกลอจากวันเก่า)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 08-05-2022 19:27:29
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๖ ปัตนิ - มรณะ (อยู่ต่อเพื่อจากลาลาจากเพื่ออยู่ต่อไป)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 10-05-2022 19:22:07
๒๖.



มรณะ – ปัตนิ (อยู่ต่อเพื่อจากลาลาจากเพื่ออยู่ต่อไป)





เสียงฟ้าร้องครืนดังมาแต่ไกล แดนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เขาลืมตามองไปข้าง ๆ กาย บนแขนขวาของเขาที่พาดไป ตอนนี้ปราศจากร่างของใครอีกคนที่เขาสวมกอดเข้านอน แดนดันตัวขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน สายตามองหาอีกฝ่ายไปจนรอบห้อง แต่ก็ไม่พบ หนุ่มลูกครึ่งชะโงกเลยไปทางห้องน้ำที่ประตูแง้มเปิดอยู่ แสงไฟสีส้มจากด้านในลอดผ่านออกมา แดนลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินตรงไป เขาเคาะประตูห้องน้ำ เอ่ยเรียกชื่อคนด้านใน ไม่มีเสียงตอบกลับออกมา

แดนผลักประตูให้เปิดกว้างออก ห้องน้ำว่างเปล่า แดนหันขวับไปทางประตูอีกบาน ที่เปิดออกไปที่ระเบียง แดนสาวเท้าไปเปิดประตูนั้นออกดู ระเบียงที่ทำเป็นชานยื่นไปเหนือน้ำ ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แดนกลับเข้ามาด้านในห้อง นาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือบอกเวลาว่าจวนจะเช้าแล้ว แต่บรรยากาศรอบข้างยังมืดกว่าที่ควรจะเป็น แดนเริ่มวิตก เมื่อเอิงไม่ได้อยู่ในห้อง ชายหนุ่มคว้ากางเกงขายาวมาสวมทับบ็อกเซอร์ใส่นอน คว้ากุญแจห้องได้ ก็เอาเสื้อยืดมาสวมขณะเปิดประตูห้องออกไป

เสียงฟ้าร้องครืนดังมาแต่ไกล เอิงแหงนดูฟ้าด้านบน แสงฟ้าแลบเห็นมาจากอีกขอบฟ้าด้านหนึ่ง ลมเย็นพัดมาจนเขาต้องลู่ไหล่ ก่อนจะมองตรงไปที่อีกด้านหนึ่งของสะพานไม้ ฝั่งโน้นและดูทึมมัว จากหมอกจาง ๆ ที่โรยตัวอยู่ โคมไฟที่ติดอยู่ตลอดสองข้างสะพาน บ่งบอกให้รู้ว่า มีเอิงเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่อยู่บนสะพานนี้ ละอองน้ำตกลงมาโดนที่หลังมือของเอิง เขายกมือทั้งสองหงายขึ้น เอิงมองดูละอองฝนตกลงบนมือ จนเริ่มเปียก นึกถึงภาพที่เห็นในความฝัน ที่ตัวเขากำลังมองมือทั้งสอง เต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน

ผู้พันภาคย์ถือแก้วเหล้าไว้ในมือ ใบหน้าของเขาบ่งบอกว่า เขานั่งดื่มมามากพอสมควรแล้ว ผู้พันหนุ่มเงยหน้า เอาศีรษะพิงกับผนังห้อง แค่นเสียงหัวเราะออกมา หัวเราะให้กับอะไรบางอย่าง ที่เขาคิดว่ามันตลกสิ้นดี ผู้พันภาคย์กระดกเหล้าก้นแก้วนั้นเข้าปากอีกครั้ง ก่อนจะหลับตาลง พยายามห้ามไม่ให้สองตาของเขา ต้องเปื้อนไปด้วยน้ำตา ก่อนที่ผู้พันหนุ่มจะรู้ว่า ตัวเองพ่ายแพ้ เมื่อไม่อาจจะกลั้นความรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดที่มีนั้นได้อีกต่อไป

“แกคิดว่า แกกินเหล้าแล้วแกจะได้อะไรขึ้นมา” ผู้พันหนุ่มมองตามแก้วเหล้าที่ถูกดึงออกจากมือไป ก่อนจะมองใบหน้าของเจ้าของเสียงนั้น ผ่านหยาดน้ำที่ค้างอยู่ที่ขอบตา ผู้พันภาคย์ยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะคว้าแก้วอีกใบ ที่กลิ้งอยู่บนพื้นใกล้ ๆ นั้น ขึ้นรินเหล้าใส่ลงไป “พ่อคิดว่าผมยังต้องทำอะไรอีกหรือครับ” ผู้พันหนุ่มกระดกเหล้าแก้วนั้นลงคอรวดเดียวจนหมด

“ก็ทำอะไรก็ได้ ที่เป็นการแก้ปัญหาไง ทั้งเรื่องกะรัตเมียแก ทั้งเรื่องข่าวลือบ้า ๆ นั่น” ผู้พันภาคย์มองหน้าผู้เป็นบิดา ก่อนจะหลับตา ยิ้มให้ แล้วส่ายหน้าช้า ๆ “ข่าวลืออะไรหรือครับ” ผู้พันภาคย์ถาม พร้อมลืมตาขึ้นมองพ่อของเขา เพื่อต้องการคำตอบ “แกจะยังมาถามฉันอีกหรือ ก็ไอ้ที่ใครต่อใคร เที่ยวลือกันไปทั่ว ว่าแกถูกผู้ชายหลอกสูบเงิน เพราะแกมีพฤติกรรม กินนอนกับไอ้ผู้ชายนั่น แกทำเรื่องทุเรศ ๆ กับมันน่ะ” เสียงพ่อของผู้พันหนุ่ม รังเกียจที่จะพูดออกมา

“พ่อ” ผู้พันภาคย์หัวเราะออกมาอย่างนึกขัน เมื่อได้ยินพ่อของเขาพูดออกมาแบบนั้น “แม้แต่มือ ผมก็ยังไม่ได้จับ ปอยผมของเขา ผมยังไม่เคยได้สัมผัสเลยครับ กับผม เขาหวงตัวจะตาย ผมจะไปทำอะไรอย่างที่ผมอยากทำพรรค์นั้นตอนไหนกัน กับคนที่ผมอยากเรื่องอย่าว่าด้วย ผมยังไม่มีปัญญาทำให้มันเป็นจริง ผมยังหาทางทำให้เขาตอบรับผม ชอบผมขึ้นมาบ้าง ยังไม่มีเลย” ผู้พันภาคย์กัดริมฝีปาก ยิ้มหัวเราะ ขอบตารื้นชื้นไปด้วยน้ำตา

“นี่ตกลงมันเป็นเรื่องจริงรึ เจ้าภาคย์ แกทำเรื่องอัปรีย์นี้จริง ๆ อย่างที่เขาโจษจันกันไปทั่วรึไง แกคิดบ้างมั้ย ว่าต่อไปคนเขาจะพูดถึงแก พูดถึงฉัน พูดถึงครอบครัวเราว่ายังไง สนุกปากกันล่ะทีนี้ ผู้พันภาคย์คบชายชู้ ถูกปอกลอกเอาเงินจนหมดตัว เพราะทำเรื่องโสโครก ๆ ด้วยกัน”

“ครับ” ผู้พันหนุ่มพูดขึ้น หลังจากนิ่งไปสักพัก หลังจากได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นพ่อของเขาพูด “ต่อไปคนเขาคงพูดถึงผมแบบนั้น ไปอีกนานนับหลายปี แต่พ่อครับ ผมห้ามพวกเขาไม่ได้หรอก” ผู้พันภาคย์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ก็ถ้า แม้แต่พ่อของผม ยังเชื่อในสิ่งที่คนเขาพูดกัน แล้วก็พูดในสิ่งที่คนเขาลืมกันแบบนี้” ผู้พันหนุ่มยิ้มออกมาทั้งน้ำตา แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากความขมขื่นในจิตใจของเขา “ชีวิตผมก็คงตกต่ำถึงขีดสุดแล้วจริง ๆ นั่นแหละ คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้วล่ะครับพ่อ” น้ำตาที่เอ่ออยู่ที่ขอบตาของผู้พันหนุ่ม ล้นออกมา ด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างสุดประมาณ

แดนกระหืดกระหอบวิ่งมาจนถึงที่สะพานไม้ อะไรบางอย่างในความรู้สึกของเขา บอกว่าเอิงต้องมาที่สะพานนี้ แต่เมื่อมาถึง ไม่มีใครสักคนอยู่ตรงนั้น เอิงไม่ได้อยู่ตรงนั้น หนุ่มลูกครึ่ง มองตรงไปที่อีกฝั่งสะพาน หมอกจาง ๆ โรยตัวอยู่ฝั่งโน้น มันทึมในความรู้สึก แสงฟ้าแลบแปลบปลาบมาจากขอบฟ้าไกล ละอองฝนเริ่มลงเม็ด ลมเย็นจัดพัดมา จนแดนรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว แถมด้วยความรู้สึกเศร้าแปลก ๆ ที่มันเกาะกินความรู้สึกของเขา

เสียงฟ้าร้องครืนดังมาแต่ไกล ผู้พันภาคย์ขับรถมาจนใกล้จะถึงชายฝั่งแม่น้ำ แสงฟ้าแลบมองเห็นได้จากขอบฟ้าไกล เสียงฟ้าร้องปลุกให้กะรัตตื่นขึ้นมา ลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง หญิงสาวที่ไม่สนใจฟังคำทัดทานจากผู้เป็นสามี ยืนยันคำเดิม ว่าเธอจะมากับผู้พันภาคย์ด้วย แม้ว่า ผู้พันหนุ่มจะเตือนว่า สภาพอากาศในวันนี้ อาจจะเลวร้ายได้ทุกเมื่อ แต่กะรัตก็ไม่สามารถที่จะ ทนรออยู่ที่บ้าน แล้วคิดไปว่า ภาคย์ขึ้นมาบนนี้ แล้วทำอะไรเมื่ออยู่กันสองต่อสอง กับคนขายน้ำผึ้งป่านั่น

อากาศเริ่มขมุกขมัวมากกว่าเดิม เมื่อภาคย์มาถึงที่ริมแม่น้ำ คนเรือหางยาว บอกกับผู้พันภาคย์และกะรัตว่า ถ้าจะข้ามไปฝั่งโน้น ควรรีบไปรับกลับจะดีกว่า ผู้พันหนุ่มหันมาทางหญิงสาว อยากจะบอกให้กะรัตเปลี่ยนใจ แต่เธอก็ไม่รอให้เขาพูดอะไร ลงไปนั่งในเรือเป็นที่เรียบร้อย ผู้พันภาคย์ตามลงไป ก่อนพยักหน้าบอกกับคนเรือให้รีบออกเรือ ละอองฝนเริ่มหยดตัวลงมา ลมเย็นจัดพัดมาจนเรือหางยาวเล็กนั้นวูบไหว

ด้าจก์ซายส่งเสียงสะอื้น ร้องไห้จนตัวโยน ความคิดถึงทำให้สองเท้าพาเขามาหยุดยืนอยู่ที่ริมแม่น้ำนี้ ดวงตาที่เปียกปอนไปด้วยหยดน้ำตา มองฝ่าความพร่าเลือนไปที่ริมน้ำฝั่งตรงข้าม ด้วยใจที่หวังว่า จะมีใบหน้าที่คุ้นเคยนั่งอยู่ในเรือ แล่นมาที่ฝั่งฟากนี้ เพื่อพาเอาจดหมายสักฉบับมายื่นให้ ด้วยว่าอย่างน้อย จดหมายที่ห่างหายไปนานหลายเดือน มันเพียงแค่สูญหายไประหว่างทาง ไม่ได้เกิดจากที่คนเคยให้คำสัญญานั้น ล้มเลิกความตั้งใจเดิมไปแล้ว

เอิงเดินข้ามสะพานไม้ มาจนถึงฝั่งแม่น้ำด้านนี้ ความรู้สึกเหมือนกับได้ยินเสียงสะอื้นไห้ ดังขึ้นในห้วงคำนึง เสียงนั้นอัดแน่นไปด้วยความโหยหา เต็มไปด้วยความผิดหวัง น้อยใจ ขุ่นข้อง ความเศร้าเสียใจที่มีพุ่งขึ้นในใจของเอิงมากขึ้น ๆ ทุกที เอิงก้าวขาเดินต่อไป เขารู้แต่เพียงว่าต้องไปต่อ ลมเย็นจัดพัดมาอีกรอบ ฝนเม็ดหนาเริ่มตกลงมา มือไม้ของเอิงเย็นจนชาไปหมด ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว ด้วยความกลัวระคนความสะเทือนใจ

ซายแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า เสียงฟ้าครืนดังลั่นไปทั่ว เขารีบสาวเท้าเดินกลับบ้านให้เร็วขึ้น มองเห็นจากที่ไกล ๆ สายฝนเริ่มกระหน่ำตกลงมา ไล่มาทางเขา อยู่ ๆ ลมก็พัดแรงขึ้น จนสิ่งต่าง ๆ รอบข้างเริ่มพัดปลิวจนดูโกลาหล ซายรีบออกวิ่งไปบนทางเดินดินเล็ก ๆ ที่ตอนนี้กลายเป็นดินโคลนเปียกและลื่นไปหมด ซายเริ่มมองเห็นความผิดปกติ น้ำจำนวนมาก กำลังไหลลงมาจากที่สูง

เรือหางยาวเล็กที่กำลังพาผู้พันภาคย์และกะรัตข้ามไปยังอีกฝั่งแม่น้ำ แล่นมาได้ครึ่งทาง ฝนเริ่มร่วงหล่นลงมาจนเป็นสายฝนหนา คนเรือตะโกนแข่งกับสายฝน ถามผู้พันภาคย์ว่าจะเอายังไง จะให้ไปต่อ หรือว่าจะให้เขาวกหัวเรือกลับ ผู้พันภาคย์จะโกนตอบไปว่า ให้ไปถึงฝั่งนั้นให้เร็วที่สุด กะรัตเริ่มกลัว กรีดร้องขึ้นมาดังลั่น เมื่อคนเรือเร่งความเร็ว จนท้องเรือกระแทกกับคลื่นน้ำที่เกิดจากลมที่พัดหนักขึ้น

ซายกลับมาจนถึงกระท่อม เนื้อตัวเปียกโชก เขามองไม่เห็นใครแถวนั้นแล้ว ชาวบ้านแถวนั้นหายไปจนหมด ตอนนี้ ฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลมพัดเร็วและแรง จนตอนนี้ ซายยืนต้านลมแทบจะไม่ไหว ซายเริ่มรู้สึกกลัว เขามองฝ่าสายฝนที่ตอนนี้กระหน่ำลงมา เหมือนเป็นกำแพงหนา ซายเห็นหลังของใครไว ๆ วิ่งขึ้นไปบนทางลาดชันที่อยู่ไม่ไกล ซายรีบวิ่งเข้าไปในกระท่อม ตรงไปที่มุมห้อง เขาหยิบกล่องไม้ขึ้นมา ก่อนจะหยิบเอากระดาษจดหมายของสำคัญที่สุดในชีวิตทั้งหมดของเขา ยัดใส่ลงไป

ซายมองไปรอบ ๆ เจอเชือกเส้นหนึ่ง เขารีบเอามันมามัดกล่องนั้นให้แน่นที่สุด เท่าที่จะทำได้ เขาจับของหลาย ๆ อย่างโยนเข้าใส่ตะกร้า ก่อนจะแบกมันขึ้นหลัง คว้ากล่องไม้นั้นได้ ก็รีบวิ่งออกมาจากกระท่อมนั้น ลมพัดแรงจนแทบทำให้ซายล้มลง ซายเอื้อมมือไปคว้าขอบประตูไว้ได้ทัน เสี้ยนไม้ขนาดใหญ่ แทงเข้าใต้เล็บจนมันเผยอเบี้ยวออกเนื้อ ซายเอามืออีกข้างบีบมันเอาไว้

ความเจ็บแล่นมาที่นิ้วนางข้างซ้าย มันปวดตุบ แต่เมื่อซายเห็นทางน้ำจากบนเขา ที่เริ่มกว้างขึ้น ใหญ่ขึ้น และน้ำนั้น ไหลลงมาแรงขึ้นทุกที ซายต้องลืมความเจ็บแค่นั้นเอาไว้ก่อน เขารีบวิ่งขึ้นไปบนที่สูง สู้กับแรงลมที่พัดต้านอยู่ตลอด ซายวิ่งขึ้นเขา แต่วิ่งบนทางดินที่ขนานไปกับทางน้ำ เมื่อเห็นว่า น้ำเริ่มพาเอาเศษซากอะไรต่อมิอะไรต่าง ๆ ลงมาพร้อมกับมันด้วย

“ซาย” ผู้พันภาคย์ตัวเปียกโชก วิ่งมาจนถึงกระท่อมหลังเล็กหลังนั้นของด้าจก์ซาย “ซาย ซาย” เขาตะโกนเรียกหาเจ้าของชื่อ ท่ามกลางเสียงลมและฝนที่อื้ออึงไปหมด “พี่ภาคย์ พี่ภาคย์” เสียงกะรัตเรียกชื่อผู้พันหนุ่ม “ซาย ซาย” ผู้พันหนุ่มเรียกชื่อนั้นจุดสุดเสียง หวังว่าจะได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย “เรากลับกันเถอะ กะรัตกลัว” เสียงกรีดร้องของหญิงสาว ทำให้ผู้พันภาคย์หันไปมอง

“กะรัตไปรอพี่ที่เรือก่อน พี่จะหาซายให้เจอ แล้วพี่จะพาเขาไปลงเจอกะรัตที่นั่น” ผู้พันภาคย์พูดจบ ก็หันหน้า วิ่งขึ้นไปบนทางขึ้นเขา “พี่ภาคย์ อย่าไป กะรัตกลัว กะรัตเป็นเมียพี่ ช่วยกะรัตก่อนสิ พี่ภาคย์กลับมา พี่ภาคย์กลับมาเดี๋ยวนี้นะ” เสียงตะโกนของกะรัตละลายหายไปกับเสียงฟ้าเสียงฝน ผู้พันภาคย์รีบวิ่งขึ้นไปตามทางลาดนั้น สายตามองหาซายฝ่าลมและฝนอันรุนแรงนั้น

ซายรู้สึกเจ็บแปลบที่ชายโครง เมื่อเขาเหยียบลงไปบนโคลน แล้วลื่นล้มลงฟาดเข้ากับก้อนหิน น้ำตาไหลลงมาจากความเจ็บปวดนั้น ผสานไปกับเม็ดฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสาย ซายค่อย ๆ ปลดตะกร้าสะพายหลังนั้นออก มือที่มีเลือดไหลออกมาจากเล็บนั้น รู้สึกชา ด้วยสายฝนอันเย็นยะเยือก ซายถือกล่องไม้นั้นเอาไว้ด้วยมือที่สั่นเทา รู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่หายใจเข้า ซายใบหน้าเหยเก เมื่อพยายามหยัดตัวให้ยืนขึ้น

ซายมองหาทางที่พอจะเดินได้ ความหนาวเย็นกำลังทำให้ซายสั่นเทาไปทั้งร่างกาย ก่อนที่เขาจะรวบรวมพละกำลังที่ยังพอมี ค่อย ๆ ก้าวเท้า ก้าวที่หนึ่ง อีกครั้ง ก้าวที่สอง เพื่อพาตัวเองเดินขึ้นเขาไป พร้อมกับต้องต่อสู้กับความเจ็บปวดที่กำลังรู้สึกว่า มันสาหัสมากขึ้นเรื่อย ๆ ซายลื่นล้มลงอีกครั้ง บนดินโคลน กล่องไม้กระเด็นจากมือ ตกอยู่บนโคลน ภาพใบหน้าเจ้าของจดหมาย แวบผ่านเข้ามาในสมอง ซายบอกตัวเองว่า เขาต้องไปต่อ มีชีวิตอยู่ เพื่อว่าสักวัน สัญญานั้น จะมาถึง

“ซาย ด้าจก์ซาย” ผู้พันภาคย์ตะโกนเรียกชื่อนั้น แบบไม่หยุดหย่อน สู้กับเสียงลมเสียงฝนที่อึงอลไปทั่วบริเวณ ก่อนที่ผู้พันหนุ่มจะได้ยินเหมือนอะไรหนัก ๆ กำลังเคลื่อนตัวลงมาจากภูเขา ผู้พันภาคย์รีบพาตัวเองออกจากทางน้ำอย่างรวดเร็ว เบี่ยงตัวเองหลบไปให้ไกลจากตรงนั้นให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เพราะคิดว่า ปริมาณน้ำที่มากขนาดนี้ ต้นน้ำแม้จะมาก คงอุ้มน้ำฝนมหาศาลที่ตกลงมาในคราวเดียวกันนี้ไม่ไหวแน่นอน

ด้าจก์ซายใช้เชือกพันกล่องใบนั้นจนรออบ แล้วมัดมันเอาไว้เป็นเงื่อนตาย เพื่อไม่ให้ของข้างในกล่อง หลุดร่วงออกมา ด้าจก์ซายกอดกล่องใบนั้นจนแน่น สายตาของเขามองตรงไปข้างหน้า ออกวิ่งไปเรื่อย ๆ แม้ว่าใกล้จะหมดแรง พื้นโคลนลื่น ๆ ทำให้ด้าจก์ซายต้องล้มลงกับพื้นนับครั้งไม่ถ้วน ร่างกายไถลตกลงไปจากที่เดิม จนต้องตะเกียกตะกายยันตัวให้ลุกขึ้นมาได้ใหม่ น้ำตาที่ไหลลงมา ปล่อยให้มันไหลไป ภายในใจจดจำภาพใบหน้าของแมท นายทหารช่างชาวอังกฤษคนนั้น จากภาพจำเมื่อครั้งนั้น ที่ได้แตะนิ้วไล่สัมผัสใกล้ชิด ภาวนาอยู่ภายในใจ ว่าจะไม่ลืม ต่อให้กายต้องดับสลายลง ณ ตอนนี้

ด้าจก์ซายขยับตัวออกจากทางน้ำ ก่อนจะเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย ที่พลังน้ำพัดพามันลงมา แสงจากฟ้าผ่าสว่างวาบขึ้นมา ก่อนจะได้ยินเสียงดังกัมปนาท ลั่นไปทั้งป่า พร้อมกับเสียงเปรี๊ยะของทั้งท่อนไม้ใหญ่ ที่พุ่งลงมาตามแรงน้ำ และกระดูกขาข้างขวา ดังลั่นเข้าหูของซาย ก่อนที่ซายจะกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด สายตาที่พร่าเลือน คล้ายว่าสติกำลังจะหลุดลอย ก่อนมองเห็นมือที่ใช้กุมขาที่หักนั้น มีเลือดอยู่แดงฉาน

เอิงที่เดินไปตามถนนขึ้นเขา ไม่รู้ว่ามาไกลขนาดไหน พลันเสียงฟ้าผ่า พร้อมแสงไฟสีขาวสาดเข้าใส่ใบหน้าเขา และอยู่ ๆ ความเจ็บปวดอย่างเหลือแสนก็พุ่งขึ้นที่ขาขวา เอิงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะทรุดลงกองกับพื้น รู้ตัวอีกที เขาก็ถูกรวบตัวเอาไว้ เสียงบีบแตรจากรถที่วิ่งลงเขามาด้วยความเร็ว ดังลั่นสนั่นถนนไปหมด แดนที่เห็นเอิงกำลังเดินเข้าหารถกระบะคันนั้น พุ่งตัวเข้าไปดึงอีกฝ่าย จนพ้นมาอย่างหวุดหวิด

กล่องไม้ใบนั้น ที่ดูเหมือนไร้เจ้าของ มีเชือกผูกและมัดเอาไว้โดยรอบ มันตกอยู่บนพื้นดิน ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นโคลนไปแล้ว สายฝนที่ตกกระหน่ำ ซัดตัวเองลงสู่พื้นดิน ถาโถมเข้าใส่กล่องใบนั้น ดินโคลนไหลนองจนเปรอะเปื้อนไปทั้งกล่อง เสียงลมอื้ออึง หวีดเสียงร้องดังลั่นอย่างน่ากลัว ต้นไม่ใหญ่โอนไหวไปตามแรงลม ให้ดูเหมือนว่า ไม่มีอะไรสามารถต้านพลังอันรุนแรงนี้ไปได้

ผู้พันภาคย์ทรุดตัวลงที่ข้าง ๆ กล่องไม้นั้น เขาหยิบมันขึ้นมาถือเอาไว้ มืออันสั่นเทา แกะเชือกที่พันเอาไว้ออก ด้านใน ผู้พันหนุ่มเห็นกระดาษจดหมายเหล่านั้น ที่เขาเป็นคนเอามาให้ ผู้พันภาคย์มองหาคนใบหน้าหวาน ๆ คนนั้น มองหาคนมุ่นมวยผมที่ดำขลับราวเส้นไหมคนนั้น แต่มันไม่มีวี่แววใด ๆ ซายไม่มีทางทิ้งกล่องไม้เอาไว้แบบนี้แน่นอน ผู้พันภาคย์ตะโกนเรียกชื่อของซายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น ทั้งน้ำตา

“เอิง เอิง” แดนพยุงตัวของอีกฝ่าย ที่นั่งทรุดอยู่ข้างทาง เรียกให้อีกฝ่ายที่เหมือนอยู่ในภวังค์ ให้ได้สติ “ต้องไป ต้องเดินไปต่อ ไปอีก” เอิงพึมพำออกมา แบบจับความอะไรไม่ได้ “เอิง หมายความว่ายังไง คุณจะไปไหน” แดนมองดูเอิงที่สายตามองแต่ทางขึ้นเขาตรงหน้า พยายามจะลุกเดินไปให้ได้ “เอิง คุณไม่ไปไหนทั้งนั้น” แดนกอดเอิงเอาไว้จนแน่น อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นตอนนี้ ทำให้เขากลัวขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

“พอแล้ว” แดนที่กอดเอิงจนแน่น พูดขึ้น “ซาย พอแล้ว” เสียงร้องไห้โหของเอิง ทำให้แดนดึงตัวออก เอาสองมือประคองใบหน้าของเอิงไว้ ก่อนพูดออกมาว่า “ซาย แมทเขาไม่อยู่แล้ว” เสียงร้องจากลำคอของเอิง ที่มองริมฝีปากของแดนพูด เสียงนั้นปริ่มว่าจะขาดใจ “ผมรู้ ว่ามันฟังดูใจร้าย” แดนพยายามกลืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ที่คอนั้น ลงไปได้อย่างยากลำบาก

“แต่ผมคือแดน ตอนนี้ผมคือแดนแล้ว” แดนพูดกับเอิงที่ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เอิงนั้น ไม่รู้ว่าทำไม แต่เอิงรับรู้ในสิ่งที่ แดนพูด จากการอ่านปากของหนุ่มลูกครึ่ง ไม่ใช่จากการได้ยิน “แมทเขาจากไปนานแล้ว” แดนพยายามอย่างหนัก กลั้นเสียงสะอื้นไห้ของตัวเองเช่นกัน “เขาขอโทษ ขอโทษจริง ๆ” แดนรู้สึกผิดมาก ๆ ในหัวใจของเขาเองรู้ว่า การยึดติดกับสิ่งที่ต้องการมากที่สุดในชีวิตเป็นอย่างไร ด้าจก์ซายเองก็คงไม่ต่างจากเขา ที่ว่าความต้องการสุดท้ายในชีวิต ยังคงอยู่เช่นเดิม แม้ผ่านกาลเวลามานานเท่าไร

“ซาย ผมขอร้อง คืนเอิงให้กับผมเถอะนะ ผมจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีเอิง ซาย เหมือนที่คุณอยู่ไม่ได้ ที่ไม่มีแมท” แดนดึงซายเข้ามากอดอีกครั้ง “คืนเอิงให้ผมเถอะนะ ผมขอร้อง พอแล้วซาย พอแล้ว ผมขอร้อง” แดนรับรู้ถึงเอิงที่ร้องไห้ออกมา ด้วยความโศกเศร้าอย่างเหลือคณานับ แดนได้แต่กอดเอิงนิ่ง ๆ เอาไว้อย่างนั้น

กะรัตนั่งเงียบไม่พูดจา ตลอดทางที่นั่งมาในรถนถึงบ้าน ใจของเธอเหมือนแตกสลาย แม้ว่ามันยังคงเต้นอยู่ เมื่อเธอคิดถึงสภาพของเธอ นั่งรอสามีของตัวเอง ไปตามหาผู้ชายอีกคน ทิ้งเธอเอาไว้เดียวดาย ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก พายุลมแรง แถมเมื่อฝนซาเม็ดลง แล้วผู้พันภาคย์กลับลงมาจนถึงริมแม่น้ำ สามีของเธอ ไม่ปริปากถามหรือแสดงอาการห่วงใยใด ๆ เธอเลยสักคำ เขาสั่งให้คนเรือพากลับมาฝั่งนี้ โดยที่นั่งมองแต่ไอ้กล่องไม้อะไรนั่น ไม่วางตา

“กะรัตต้องการหย่า” กะรัตพูดออกมาด้วยใจที่ปวดร้าว ต่อให้เธอจะถูกเพื่อน ๆ ขนานนามว่า เป็นผู้หญิงประหลาด เป็นหญิงที่ดูจะไม่ง้อชาย กระด้างกับเรื่องหญิงต้องตามหลังชาย แต่เธอก็เป็นของเธอแบบนี้ เมื่อเธอได้ค้นพบความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ด้วยแล้วแบบนี้ “กะรัตแน่ใจนะ” ผู้พันหนุ่มถามออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเขา

“พี่ภาคย์ไม่จำเป็นต้องถามกะรัตซ้ำหรอกค่ะ” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น ตามนิสัยหยิ่งทระนงของตัวเอง “หรือพี่ภาคย์อยากเห็นกะรัตลงไปตบตีแย่งชิง กรีดร้อง อย่างที่เมียที่ดี ที่หวงผัวตัวเอง ควรทำล่ะคะ” กะรัตกลั้นน้ำตาเอาไว้ ทำเสียงให้ไม่สั่น เธอมองหน้าผู้พันภาคย์ตรง ๆ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แต่การกระทำของเขาที่ต้องหลบซ่อนตัวนี่ต่างหาก ที่ทำให้เขาดูเลว

“ถ้าวันหนึ่งวันใด พี่ภาคย์เจอคนในแบบที่พี่ภาคย์มองหา” อยู่ ๆ กะรัตก็มีความรู้สึกเห็นใจผู้ชายอย่างภาคย์ขึ้นมา มันเป็นจุดเล็ก ๆ ในใจของเธอ “น้องขออวยพรให้พี่ภาคย์” น่าประหลาดใจ ที่ผู้พันภาคย์ไม่ได้ยินน้ำเสียงประชดประชันในประโยคนั้นของกะรัต หญิงสาวเอง ก็รู้สึกแปลกใจ ที่เธอรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ความรู้สึกที่อยากเห็นคนที่เธอรักมีความสุข ในแบบที่เขาต้องการ แม้ว่าความสุขนั้น อาจจะไม่ใช่การใช้ชีวิตอยู่กับเธอ

เมื่อดาวเจ้าเรือนปัตนิ มาอยู่ในภพเรือนมรณะ คู่ครองทำให้เจ้าชะตาต้องโศกเศร้าเสียใจ ทำให้ชีวิตเลวลง เมื่อว่ารู้ตัว ก็ไม่ควรแต่งงานกับคนนั้น เพราะมันคือการจากเป็น แม้ว่าจะไม่จากตาย ดวงชะตามักต้องเลิกรากันก่อนวัยอันควร ชีวิตครอบครัวไม่ราบรื่น สูญเสียคู่ไป ได้กับคนที่ทำให้ผิดหวัง แม้คู่กันแล้วก็ต้องจากกันไป อยู่ไปก็รังแต่เป็นชีวิตสมรสที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์

“แดน” หนุ่มลูกครึ่งเจ้าของชื่อ ได้ยินเอิงเรียกชื่อเขา เมื่ออีกฝ่ายดูว่าจะเริ่มสงบจิตใจลงได้แล้ว แดนมองหน้ากับเอิง สบตากับคนที่ร้องไห้จนตาบวมไปหมด “ผมรู้ ผมเข้าใจ” สายฝนซาเม็ดลง แสงแดดที่เริ่มทาบทออยู่บนฟ้า หลังจากฝนที่เพิ่งตกหนัก “ผมก็แย่ รู้สึกเสียศูนย์ไปเหมือนกัน ตอนที่รู้ว่า แมทเขาตายยังไง” แดนบอกกับเอิงถึงวันนั้น วันที่เขาไปกระท่อมของแมทในนิวยอร์ก

“ซายเขา” แววตาของเอิงแสดงออกมาถึงความเห็นใจระคนเสียใจ “ไม่เป็นไร ผมไม่อยากรู้ เอิงไม่จำเป็นต้องบอกผม” แดนรีบบอกกับเอิง หนุ่มลูกครึ่ง อยากให้ความสูญเสียนี้ เป็นเพียงแค่ความหลัง ยังไงเสีย เอิงอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว นั่นสำคัญสำหรับเขามากที่สุด เอิงสบตากับแดน สิ่งที่เกิดขึ้นเช้านี้มันเป็นภาพฝันที่เหมือนจริงมาก ที่มันคาบเกี่ยวกันทางความรู้สึกของทั้งซายและเอิง

ฝนเริ่มจะขาดเม็ดลงแล้ว ซากสิ่งของที่ถูกน้ำพัดพามาลงมาด้วยจากเขาด้านบน กองสุมกันระเกะระกะไปทั่ว ที่ที่เคยมีกระท่อมหลังเล็ก ๆ นั้นตั้งอยู่ มาตอนนี้มันได้หักพังลง เหลือเพียงเศษซากเท่านั้น ทั่วทั้งบริเวณนั้นเงียบกริบ เงียบเชียบจับจิตจับใจ ลมยังคงพัดผ่านมา ใบไม้บนต้นที่ยังคงแข็งแกร่ง หยัดยืนอยู่ต้านแรงมหาศาลของน้ำได้ ก็พัดไหวไปตามแรงลม ผ้าโพกหัวสีดำ ที่ลอยไปเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้เล็ก ๆ นั้น ปลิวไหวไปตามแรงลมที่พัดมา และเมื่อผ้าผืนนั้น ต้องแรงลมอยู่เพียงไม่นาน มันก็หลุดออกจากกิ่งไม้ ก่อนลอยหายไปตามสายลม

*****************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=0phB79n7tBU


ฉันเริ่มจะใจหาย เมื่อมองฟ้าไกล

I feel so frightened looking in the sky

ฟ้าใกล้จะรุ่งสาง เริ่มมีแสงรำไร

It’ s the break of dawn, light begins to appear

รู้ว่าใกล้เวลา จากกันแสนไกล

The time is coming, we’ re soon to end this

หัวใจเริ่มสลาย แต่จะทำเช่นไร

It’ s heart-wrenching, but what can we really do?



อยากจะร้องไห้

Tears are rolling down my face

อยากให้เวลาเดินช้าช้า

Wishing time passed more slowly

ขอเวลาสักหน่อย

Need some more time given

อยากมองหน้ากัน

Looking you right in the face

อยากหยุดวันเวลานี้ไว้

Wish I could make the time stand still

นานเท่านาน ก่อนจะต้องไป

For all the time, until agreed to go our separate ways



ขอเพียงให้เวลา พูดจาสักคำ

Little time we spare, pour out our souls

แล้วจะจดจะจำ จากวันนี้จนตาย

All will be remembered until the day we die

รู้ว่าใกล้เวลา จากกันแสนไกล

Knowing time is up, we must bid us both a farewell

หัวใจเริ่มสลาย แต่ก็คงต้องไป

Heart shattered into pieces, yet we must still go



อยากจะร้องไห้

Tears are rolling down my face

อยากให้เวลาเดินช้าช้า

Wishing time passed more slowly

ขอเวลาสักหน่อย

Need some more time given

อยากมองหน้ากัน

Looking you right in the face

อยากหยุดวันเวลานี้ไว้

Wishing I could make the time stand still

นานเท่านาน ก่อนจากกัน

For all the time, before we walk away from here



สิ่งที่ใจรู้ดี

What’ s running through my mind

ฉันเองไม่เคยมีใคร

I have never had anyone

รักได้อย่างนี้เช่นเธอ

To love like I’ ve known it with you

รักอยู่เต็มดวงใจ

Loving you with the whole heart of mine



อยากจะร้องไห้

Letting these tears come out of my eyes

อยากให้เวลาเดินช้าช้า

Wish I knew how to slow down the pain

ขอเวลาสักหน่อย

Some more time, please I beg of you

อยากมองหน้ากัน

Looking you right in the eye

อยากหยุดวันเวลานี้ไว้

Wish I had powers to stop the time

นานเท่านาน ก่อนจะต้องไป

With much time, until we’ re saying our goodbye
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๖ ปัตนิ - มรณะ (อยู่ต่อเพื่อจากลาลาจากเพื่ออยู่ต่อไป)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 10-05-2022 21:08:39
 :jul1: :haun4:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๗ เพื่อนดีต่อกันไม่ทำร้ายเพื่อนร้ายต่อกันไม่ทำดี
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 12-05-2022 19:19:08
๒๗.



สหัชชะ – พันธุ (เพื่อนดีไม่ทำร้ายต่อกันเพื่อนร้ายต่อกันไม่ทำดี)





เช้านี้เอิงกับแดน ชวนเตยและบูมมาทำบุญที่วัด เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางกลับลงไปในเมือง เอิงก้มลงกราบท่านเจ้าอาวาส รู้สึกสบายใจขึ้นจากเมื่อวานมาก และเมื่อคืนก็เป็นคืนแรกในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ที่เขาไม่ได้ฝันถึงซาย ความหนักอึ้งในหัวใจเหมือนได้รับการลดทอนให้เบาบางลง เหมือนอากาศในเช้าวันนี้ ที่แจ่มใสผิดกับเมื่อวาน เหมือนเป็นฟ้าที่สว่างหลังเมฆฝนอย่างชัดเจน

“เมื่อวันก่อน ผมเดินผ่านมาจนถึงที่ลานวัด ติดถนนรอบหนึ่งแล้ว ได้เจอหลวงพ่อรูปหนึ่ง ยืนกวาดลานวัดอยู่ ท่านได้ช่วยพูดเตือนสติพวกผม วันนี้พวกเราจะเดินทางกลับกันแล้ว เลยอยากจะขออนุญาตท่านเจ้าอาวาส ขอกราบลาหลวงพ่อรูปนั้นด้วย จะได้มั้ยครับ” เอิงพนมมือกล่าวกับท่านเจ้าอาวาส ท่านหยุดนิ่งนิดหนึ่ง ก่อนที่จะกล่าวตอบกลับเอิงมาว่า

“วัดนี้เป็นเพียงวัดเล็ก ๆ มีอาตมาเป็นเจ้าอาวาส และก็พระใหม่สองรูป จำวัดอยู่ที่นี่ และก็เจ้าสองคนนี้” ท่านเจ้าอาวาสหันไปทางเด็กผู้ชายวันมัธยมปลายสองคน ที่อยู่ช่วยเหลือท่านเจ้าอาวาส เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ “หลวงพ่อรูปอื่น ไม่มีแล้วล่ะโยม” ท่านเจ้าอาวาสพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่ผมสองคนเจอกับหลวงพ่อจริง ๆ นะครับ ยังได้พูดกับท่านด้วย” แดนยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้น เตยกับบูมสบตากัน ก่อนขยับเข้ามาชิดขึ้นอีกหน่อย

“บางครั้ง จิตเราก็ปรุงแต่งอะไรขึ้นมา โดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว” ท่านยิ้มให้กับแดนและเอิง “การเจอกับใครสักคน ก็ถือว่าเป็นผู้ต้องวาสนากัน บางทีเราอาจจะไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น” ท่านเจ้าอาวาส ท่านมอบความเมตตาสอนธรรมะให้กับทั้งคู่ เอิงกับแดนรู้สึกว่า ท่านรู้อะไรบางอย่าง แต่ท่านไม่พูดออกมาตรง ๆ

“ของบางอย่างมันเป็นอจินไตยนะโยม หากโยมรู้แล้วติดกับดัก มันก็เกิดทุกข์ หากโยมปล่อยมันไป จิตใจของโยมก็เบาสบาย แต่หากโยมติดสัญญา พระท่านเรียกว่ามนสัญญา สิ่งที่ทรงจำทางใจ เวทนานั่นจึงทำให้โยมเกิดสัมผัสรู้สึกทางใจ” เจ้าอาวาสท่านพูดจบ ก็อวยพรให้ทั้งสี่คน เดินทางปลอดภัย ทั้งหมดจึงก้มกราบนมัสการลา ก่อนจะเดินออกมาจากศาลาหลังเล็ก ๆ นั้น

เอิงคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น การได้เดินทางขึ้นมาที่นี่ เหมือนเขาได้กลับมารับรู้ความทรงของซาย เรื่องราวของซายที่เกิดขึ้นที่นี่ เมื่อไม่มีแมทแล้ว อารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิดทั้งหมดของซาย ก่อนที่จะจากไป เกิดขึ้นที่นี่ สิ่งที่สื่อสารมาถึงเขา มันจึงรุนแรงมากกว่าทุกครั้ง ราวกับว่า ซายได้รอคอยให้ความรู้สึกและความคิดสุดท้ายของเขา ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการเช่นกัน

“พระท่านพูดว่า ไม่ให้เรารู้อะไรในสิ่งที่จะทำให้เราเกิดทุกข์” เตยที่ขยับมาเดินคู่กับเอิงพูดขึ้น “หนูว่าจะถามพี่เอิงอยู่เชียว ว่า” เตยลังเลที่จะถาม แม้ว่าใจจะอยากรู้มากจริง ๆ เอิงรู้ว่าเตยอยากจะถามเขาเรื่องอะไร เขาชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนพูดกับเตยว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น มันก็จบลงไปนานแล้ว พี่ก็ได้มายืนอยู่ตรงนี้” เอิงมองไปที่แดน ที่เดินคุยอยู่กับบูม การไม่รู้กับรู้อดีต มันทำให้รู้สึกหนักใจต่างกันไปคนละทางมากจริง ๆ

“เตย” เอิงเรียกชื่อเด็กสาว ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปว่า “เท่าที่พี่รู้ ผู้พันภาคย์เป็นคนดีมากนะ” เตยสบตากับเอิง เมื่อได้ยินบอกออกมาแบบนั้น “อะไรที่เตยได้ยินมาเกี่ยวกับผู้พัน อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายหรืออะไรแย่ ๆ แบบนั้นเลย” เอิงยิ้มให้กำลังใจกับเตย “หนูก็ว่าแบบนั้นแหละพี่เอิง ว่าคุณทวดเล็กของหนู ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว” เตยยิ้มออกมา แม้ว่ามันจะเป็นยิ้มเหงา ๆ ก็ตาม

กะรัตเดินทางกลับมาที่ตัวจังหวัดอีกครั้ง ตอนนี้เธอแต่งงานใหม่แล้ว กับเจ้าของโรงงานที่รักและเอาใจใส่ดูแลเธออย่างดี กะรัตตัดสินใจเลือกผู้ชายที่รักเธอมาเป็นคู่ด้วย ที่เธอกลับมาคราวนี้ ก็คิดว่าจะมาจัดการทรัพย์สินทั้งหมด ก่อนจะลงหลักปักฐานตามสามีของเธอที่เมืองหลวง แม้ว่าเธอจะรู้สึกครึ่ง ๆ อยู่ในใจก็ตาม เมื่อนึกถึงการจะจากที่แห่งนี้ไปโดยถาวร และจะไม่หวนกลับมาอีก

“ก็ใช่น่ะสิเธอ บ้านหลังนั้นแทบจะเป็นบ้านร้าง ปล่อยหญ้าขึ้นยาวเป็นพงนกดงหนู ตกดึกก็กลายร่าง เป็นบ้านผีสิงก็ไม่ปาน ก็ตั้งแต่ผู้พันภาคย์ลาออกจากราชการ” กะรัตที่เดินเลือกซื้อของอยู่ บังเอิญได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนคุยกัน “พอไม่ได้เป็นนายทหารแล้ว รายได้ก็ขาด เงินทองที่สะสมเอาไว้ก็ร่อยหรอ ร่างกายก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ เขาว่ากัน ว่าผู้พันแกป่วยหนักเลยนะ จากที่หล่อหน้าตาดี ตอนนี้โทรมจนดูไม่ได้”

“แกติดเหล้าอย่างหนัก แถมครอบครัวก็ไม่มีใครเอา บ้านนั่นก็แย่งกันจะเอาของแกไปขาย แถมยังจะเรื่องที่คนเขาซุบซิบกันอีก ว่าแกโดนผู้ชายปอกลอกจนหมด เนี่ยแหละ ดันหาความรักจากคนผิด จากผู้ชายด้วยกัน ชีวิตก็ตกต่ำน่ะสิ เธอว่ามั้ย” กะรัตอยากจะเดินเข้าไปต่อว่าต่อขานผู้หญิงสองคนนั้น แต่เธอก็ยั้งใจเอาไว้ ก่อนจะเดินไปหาซื้ออาหารดี ๆ บำรุงกำลังจนเต็มมือเต็มไม้

“บ้านหลังนี้รึคุณ” ผู้เป็นสามีถามกับภรรยา เมื่อเขาจอดรถที่หน้ารั้วบ้านหลังหนึ่ง ที่ตอนนี้ดูทรุดโทรมเพราะขาดการดูแลรักษา มันดูรกร้าง หญ้าขึ้นจนสูงชัน กะรัตพยักหน้ารับคำผู้เป็นสามี ก่อนจะหยิบอาหารอย่างดีที่ซื้อมาลงจากรถ กะรัตมองดูสภาพบ้านที่ครั้งหนึ่ง เธอเคยอยู่ที่นี่ มันเคยถูกใช้เป็นเรือนหอ กับผู้ชายที่เธอเคยรัก หญิงสาวเดินไปที่หน้ารั้วบ้าน กะรัตไม่เคยเห็นผู้ชายที่เป็นเจ้าของบ้าน ปล่อยให้บ้านสกปรกรกรุงรังมาแบบนี้ก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าวันนั้น มันเปลี่ยนชีวิตของผู้ชายคนนี้อย่างพลิกฝ่ามือ

กะรัตเรียกชื่อเจ้าของบ้านอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ภายในบ้าน ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ กะรัตรู้สึกใจหายไม่น้อย ที่เรื่องราวมันกลายมาเป็นแบบนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว แต่กะรัตก็ยังคิดถึงและปรารถนาดีกับอีกฝ่ายอยู่เสมอ เกือบปีที่ห่างหายกันไป เธอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ดูเหมือนว่า ผู้พันหนุ่มคนนี้ จะไม่สามารถพาตัวเองเดินออกจากความจริงอันโหดร้ายนั้นได้ กะรัตแขวนอาหารเหล่านั้นเอาไว้บนรั้ว เธอตะโกนบอกคนที่อยู่ในบ้านก่อนจะลากลับ ว่าเธอจะเอาอาหารมาฝากใหม่

กะรัตขอร้องสามีให้พาเธอมาที่บ้านหลังนี้อีกในวันรุ่งขึ้น อาหารที่เธอฝากไว้เมื่อวาน หายไปจากรั้ว มีโน้ตขอบใจสั้น ๆ เขียนด้วยลายมือที่แม้จะดูโรยแรง แต่เธอจำได้ดี กะรัตน้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตา ก่อนจะยิ้มออกมา เธอวางอาหารที่นำมาในวันนี้ไว้ที่เดิม ตะโกนบอกว่า พรุ่งนี้เธอจะมาใหม่ ก่อนจะเดินกลับมาที่รถ สามีถามเธอว่า ทำไมถึงไม่เข้าไปหาในบ้าน แต่กะรัตคิดว่า อยากจะรอให้ผู้พันภาคย์พร้อมที่จะเจอเธอจะดีกว่า

กะรัตกลับมาอีกในวันรุ่งขึ้น แต่วันนี้ อาหารที่เธอนำมาเมื่อวาน ยังอยู่ที่เดิม เธอตะโกนเรียกชื่อผู้พันหนุ่ม บอกว่าให้ดูแลตัวเองให้ดี ๆ เธอนำอาหารมาให้อีก วันนี้มีแต่ของที่ผู้พันชอบทั้งนั้น แล้วพรุ่งนี้ เธอจะกลับมาใหม่ ซึ่งในวันรุ่งขึ้น อาหารที่กะรัตเอามาฝาก ก็ยังอยู่ที่เดิม กะรัตใจเสีย รีบติดต่อไปทางนายตำรวจที่รู้จักกัน เจ้าหน้าที่เข้าไปในบ้านของผู้พันภาคย์

กะรัตกับสามียืนรออยู่ด้านนอกรั้ว ก่อนที่นายตำรวจท่านนั้นจะเดินออกมา มองที่กะรัตแล้วก้มหน้าลง กะรัตยกมือขึ้นปิดปาก กลั้นเสียงร้องไม่ให้ดังออกมา แต่แล้วเธอก็กลั้นความเสียใจนั้นเก็บเอาไว้ไม่ไหว กะรัตปล่อยน้ำตาแห่งความเสียใจ ให้ไหลลงอาบแก้ม ด้วยความรู้สึกผูกพัน ว่าเมื่อครั้งหนึ่ง ผู้พันภาคย์ก็เคยดูแลเอาใจใส่เธออย่างดีที่สุดที่เขาจะทำได้

สามีของกะรัตเอามือแตะที่ไหล่ของผู้เป็นภรรยา พูดปลอบประโลมจิตใจของกะรัตด้วยความเข้าใจ กะรัตจับมือของเขาบีบจนแน่น รู้สึกขอบคุณน้ำใจของผู้เป็นสามี ว่าน้ำตาที่เธอมีให้กับผู้พันภาคย์ในวันนี้ มันมาจากมิตรภาพทางใจ คือความบริสุทธิ์ห่วงใยที่มีให้กัน ภาพสุดท้ายของผู้พันภาคย์ที่กะรัตเก็บไว้ในใจ จะเป็นภาพที่สวยงามเสมอไป

บูมขับรถพาทุกคนออกมาได้สักพัก เพื่อกลับลงไปที่ตัวจังหวัด เขามองเห็นเตยนิ่งเงียบไปตั้งแต่ขึ้นรถมา เตยนั่งมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ในใจของเธอรู้สึกเศร้าไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เธอก็ได้รับความรู้สึกภูมิใจกลับเข้ามาแทนที่ เมื่อคุณทวดเล็กของเธอ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ขี้ปากชาวบ้านพูดกัน เตยปล่อยให้น้ำตาไหลลงมา แม้เธอจะไม่เคยได้เจอคุณทวดภาคย์ แต่เธอจะคิดถึงทวดเล็กด้วยใจอภิรมย์นับจากนี้

เตยหันมามองบูม เด็กหนุ่มใช้มือตบที่ไหล่ของเตยเบา ๆ อย่างเข้าใจ จะด้วยกรรมใดที่เคยมีร่วมกันมาก็ตาม แต่เป็นที่ทวดกะรัตของบูม บ้านที่เคยเป็นของคุณทวดเล็ก ได้ถูกส่งมอบคืนกลับมาเป็นของครอบครัวเธออีกครั้ง แม่เคยเล่าให้เตยฟังว่า ทวดของบูมเคยคิดจะลงไปอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ ปรับเปลี่ยนย้ายครอบครัวกลับมาอยู่ที่นี่ต่อไป จนมีบูมเกิดมาเป็นเหลนแบบนี้

กะรัตยืนอยู่ที่ประตูห้อง เธอเก็บทุกอย่างคงเอาไว้ให้เหมือนเดิมมากที่สุด ให้ห้องนี้ยังคงเป็นของพี่ภาคย์ ทุกอย่างที่เป็นของที่ผู้พันหนุ่มรัก หรือเป็นของส่วนตัว กะรัตให้คนเอามาเก็บรักษาเอาไว้ในห้องนี้ จัดเก็บ ดูแลเป็นอย่างดี หลังจากที่เธอซื้อบ้านหลังนี้เอาไว้ เมื่อมันเริ่มเปลี่ยนมือมาหลายครั้ง หลังจากที่ภาคย์เสียชีวิตไปแล้ว และมีข่าวว่า เจ้าของคนเดิม จะทุบบ้านหลังนี้ทิ้ง กะรัตดึงประตูไม้นั้นปิดลง ความทรงจำของเธอที่มีเกี่ยวกับภาคย์ จะมีเพียงสิ่งดี ๆ ที่เก็บไว้คิดถึงกันตลอดไป นับจากนี้

ผู้พันภาคย์กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ด้วยความรู้สึกอ่อนแรงเต็มทน ลมหายใจของผู้พันหนุ่มเป็นจังหวะเข้าออกช้า ๆ ร่างกายที่ซูบผอม ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง จนจำแทบไม่ได้ แต่ในความรู้สึกนั้น ผู้พันภาคย์คิดว่าความเบาสบายนี้ กำลังดึงให้เขาเดินตามไปช้า ๆ ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยซายเอาไว้ได้ ที่ติดอยู่ในใจ เหมือนถูกผ่อนแรงลง ในขณะที่จิตของเขา ถูกหย่อนลงไปในการระลึกว่าครั้งหนึ่ง เคยได้เป็นเพื่อนกัน ที่ริมฝีปากของผู้พันภาคย์มีรอยยิ้ม ลมหายใจถูกดันออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับสนิทลง

บูมจอดรถพักเมื่อเดินทางลงมาได้เกินครึ่งทาง เขาแวะเข้าที่จุดพักใกล้กับน้ำตก ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ใกล้กับทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ ทั้งหมดลงมาจากรถ มีร้านอาหารให้เลือกเรียงราวยาวไปหมด เตยชวนทุกคนกินร้านอาหารตามสั่ง ก่อนจะเดินนำเข้าไปนั่งในร้าน เอิงสั่งน้ำอัดลมเย็น ๆ มาให้ เมื่อแดนร้องขอ หนุ่มลูกครึ่งต้องต่อสู้อย่างหนักกับแสงแดดที่แรงในวันนี้

“ดีขึ้นมั้ย” เอิงถาม เมื่อเห็นแดนดื่มน้ำอัดลมนั้นรวดเดียวจนหมดแก้ว “เบรน ฟรี้ซ” แดนทำหน้าตาเหยเก เมื่อโดนความเย็นเล่นงานเข้าให้ด้วย แต่ก็ยังยิ้มออกมาได้ ก่อนจะเทน้ำอัดลมสีดำลงไปเพิ่มในแก้วใส่น้ำแข็ง เตยกับบูมหัวเราะออกมาได้ หลังจากที่ทั้งคู่เงียบกันมาตลอดทาง ผิดกับเมื่อตอนขามาโดยสิ้นเชิง อาหารที่สั่งไป เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ ทั้งหมดใช้เวลาไม่นานนัก ในจัดการกับเมนูในจานตรงหน้า เอิงจ่ายค่าเสียหายในมื้อนี้ เตยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ บูมบอกจะเดินไปดูขนมขบเคี้ยวจากร้านสะดวกซื้อที่อยู่ไม่ไกล

เอิงกับแดน เดินดูของอยู่ในร้าน แถว ๆ ที่รถจอดอยู่ มันเป็นร้านของฝาก มีทั้งของกิน ของกระจุกกระจิก และของงานฝีมือ แดนเดินตามเอิงที่กำลังสำรวจของขายในร้าน เจ้าของร้านกล่าวเชื้อเชิญ ต้อนรับให้เข้ามาเลือกชมดูก่อน เอิงเดินมาหยุดอยู่ที่มุมของทำมือ ที่ชั้นกระจกตรงหน้านั้น มีตุ๊กตาตัวจิ๋ววางอยู่ ตุ๊กตาทำจากผ้า อยู่ในชุดพื้นเมืองสีดำ บนหัวโพกผ้าเอาไว้ เห็นผมมุ่นมวยอยู่ข้างใต้ ในมือมีดอกไม้ถืออยู่ แดนมองตุ๊กตาในมือเอิง พยักหน้าก่อนจะยิ้มให้ เมื่อเอิงหันมามองเขา

“เอิงว่า ซายเขาเคยขอพรอะไรบ้างมั้ย” แดนเอ่ยถามขึ้น เมื่อทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านของฝาก เอิงสบตากับแดน ภาพของซายที่นั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป เข้ามาให้เอิงเห็น “แล้วแมทล่ะ” เอิงถามแดนกลับไปด้วยคำถามเดียวกัน แดนยิ้มกว้าง พยักหน้า ก่อนจะตอบว่า “เคยสิ” แดนยังจำภาพในวันนั้นได้ดี ภาพของแมทและซายที่หน้าองค์พระประธานในป่าลึกนั้น

ซายคุกเข่าลงตรงหน้าองค์พระ เงยหน้ามองแมทที่กำลังมองสำรวจสถานที่แห่งนี้ด้วยความทึ่ง ก่อนจะก้มลงมามอง เห็นซายมองอยู่ แมทเลยทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้าง ๆ ซาย ซายยื่นดอกไม้ปักช่อที่มีดอกไม้สีแดงสดด้านบน และมีดอกสีขาวเล็ก ๆ แซมลงมาบนก้าน ให้กับแมท ก่อนจะก้มลงกราบพระ และเอาดอกไม้ถวายพระให้แมทดู นายทหารช่างหนุ่มทำตาม แม้จะดูเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็เห็นซายที่มองเขาด้วยดวงตาใสแป๋ว แล้วยิ้มให้ แมทเอื้อมมือเอาปอยผมข้างหู ที่ตกลงมา ทัดกลับไปอย่างเดิม พลางนึกดีใจ ที่ได้มาไหว้พระกับซายในครั้งนี้

“ผมไม่รู้ธรรมเนียมคนไทย ว่าเขาทำกันยังไง พูดคุยสื่อสารกับท่านยังไง” แมทพนมมือตามอย่างที่เห็นจากซาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับองค์พระประธาน ซายมองไปที่แมท ที่กำลังพูดกับพระ “แต่ผม” แมทพูด หันมาสบตากับซาย ที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว “อยากให้ท่านอวยพรเราสองคน” น้ำเสียงที่อ่อนโยนของแมท แม้จะเอ่ยด้วยภาษาต่างประเทศที่ซายไม่รู้จัก แต่นั่นมันก็ทำให้ซายรู้สึกอบอุ่นใจ

“ผมจะรัก อยากดูแลซายให้ดี” ด้าจก์ซายได้ยินชื่อของเขาถูกเรียกจากปากของแมท ก็มีหยดน้ำตาก็ไหลลงมาบนแก้มของเขา “ผมจะทะนุถนอมเขา และรักเขาคนเดียว เหมือนคู่ผัวตัวเมียคู่อื่น ๆ” แมทยิ้มให้กับคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา “ทิล เดธ ดู อัส พาร์ท” แมทพูดประโยคนั้นออกมาจากหัวใจ “ขอให้ท่านอวยพรให้พวกเราโชคดี” แมทพูดจบ ก็หันมาทางซาย ที่โผเข้ากอดนายทหารช่างหนุ่ม แมทกอดตอบซายที่กำลังกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

บูมขับรถลับเข้าเขตตัวเมืองจังหวัด เตยส่งเสียงบิดขี้เกียจ จากการนั่งรถมาระยะไกล เอิงก้มลงมองตุ๊กตาตัวจิ๋วที่อยู่ในมือ พื้นที่ที่แมทและซายได้เจอกัน และกลายเป็นเรื่องจริงของกันและกัน ก่อนที่ทั้งสองคน จะกลายเป็นความทรงจำที่เพรียกหา เอิงหันมาทางแดน ก่อนจะเอาหน้าผากพิงไปที่หัวไหล่ของหนุ่มลูกครึ่ง แดนหันมามองเอิงที่แสดงออกกับเขามากขึ้น เอิงเงยหน้าขึ้นสบตากับแดนที่มองอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่เอิงจะหลับตาลง เมื่อแดนก้มลงหอมที่หน้าผากของเอิง

ซายนั่งอยู่ในพระอุโบสถเพียงลำพัง เขามองไปที่องค์พระประธาน ใบหน้าของท่านเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แววตาของท่านมองลงมาด้วยความเมตตา ซายไม่รู้ว่า คนอื่น ๆ เขาขอพรจากพระว่าอย่างไรกันบ้าง คนอื่นที่มีชีวิตสมบูรณ์กว่า ทั้งทางร่างกายและจิตใจ กับวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีไทยเช่นนี้ เขาควรจะขอสิ่งใดบ้างไหม ด้านนอกมีคนมาก่อพระเจดีย์ทรายกันมากมาย แต่ซายนั่งอยู่ในนี้เงียบ ๆ เพียงผู้เดียว

เมื่อเข้าเรือนสหัชชะ ที่แปลว่า เพื่อนฝูง คนรอบข้าง หรือแปลว่า สังคมที่เจ้าชะตาอาศัยอยู่ก็ได้ เดินมาอยู่ในเรือนพันธุ ที่แปลว่าถิ่นที่อยู่ สถานที่พำนัก เรือนพักกายและใจ พี่น้องเพื่อนฝูงของเจ้าชะตานั้น ล้วนเป็นผู้มีหลักฐานสามารถพึ่งพา คบค้าสมาคมได้ โดยเป็นกลุ่มคนที่มีเจตนารมณ์ดีกันทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ว่า เจ้าเรือนสหัชชะเป็นกาลกิณี ก็จะนำความวิบัติมาสู่เจ้าชะตา ทำให้วงศาคณาญาติปั่นป่วน แตกแยก ไม่ปรองดองกัน ถึงขั้นเดือดร้อนเรื่องที่อยู่ที่กิน พี่น้อง เพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน สร้างความเดือดร้อนให้ในชีวิต

“ผมไม่ได้ทำนะผู้กอง” เสียงละล่ำละลักแก้ตัวเป็นพัลวัน ดังออกมาจากชายวัยกลางคนคนนั้น “ผู้กองภาคย์ต้องเชื่อผมนะ ผมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้จริง ๆ” ผู้กองภาคย์ยืนมองชายไทยวัยกลางคน ที่มีคนรายงานว่า เห็นเข้าออกแนวชายป่าบ่อยจนผิดสังเกต ชายคนนี้พูดอ้อนวอนผู้กองหนุ่มชาวไทย ให้เชื่อและปล่อยเขาไป เพราะเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับการกระทำต่อต้านกองทัพผู้เกรียงไกรนี้

“แต่ผมบอกผู้กองได้นะ ว่าใครทำ” ชายวัยกลางคนที่โดนทหารจากแดนอาทิตย์อุทัย จับกดเอาไว้กับพื้นบอกว่าเขาจะยอมเปิดปาก เพื่อแลกกับอิสรภาพ “ไอ้ซาย ไอ้ด้าจก์ซาย คนเก็บน้ำผึ้งป่าขาย มันนั่นแหละที่เป็นสาย คอยส่งเสบียงให้กับหน่วยทหารช่างอังกฤษ” ผู้กองภาคย์ตกใจจนหน้าถอดสี เมื่อได้ยินชายวัยกลางคนเอ่ยชื่อนั้นออกมา ในใจของผู้กองภาคย์ได้แต่ภาวนา ให้เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องจริง

แมทล้มตัวลงบนฟูกบาง ๆ บนเตียงนอนของเขา นายททารช่างหนุ่มยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เมื่อวันนี้เขาได้ขอพรจากพระ ให้เขาและซายครองรักกันยืนยาว นายทหารหนุ่มคิดว่า เขาเป็นคนที่โชคดีที่สุด แม้แต่เชื่อของเขา แมทธิว ยังมีคำแปลว่า กิ๊ฟท์ ออฟ ก็อด หรือของขวัญจากพระเจ้าเลย คืนวันนับต่อแต่นี้ไป แมทเชื่อว่า มันจะต้องดีวันดีคืน และมันจะมีวันหนึ่ง ด้วยความรักที่มีให้แก่กัน เขากับซายจะได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย และทุก ๆ คนในสังคมจะเข้าใจพวกเขา วันนี้แมทกลับมาที่หน่วยล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นไปมาก เพื่อน ๆ ในค่ายของเขา จับกลุ่มคุยกัน ถึงพฤติกรรมของนายทหารช่างชาวอังกฤษคนนี้

************************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=rXtxmVVS0dc


เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง

Like soaking rains to alleviate drought

เหมือนเห็นสายรุ้งขึ้นกลางแจ้ง

Like a rainbow formed in the sky in broad daylight

เหมือนลมหนาวเดือนเมษา

Like a cold winter day in the middle of summer

เหมือนว่าใจอ่อนล้ากลับแข็งแกร่ง

Like a weary heart is now strong and back on track


เหมือนคนกำลังมีรัก

Like someone falls head over heels

เหมือนคนหลงทางพบคนรู้จัก

Like you’ re left stranded then seeing a familiar face

เหมือนเจอของสำคัญที่หล่นหาย

Like a lost soul has been found

เหมือนร้ายนั้นกลายเป็นดีมาก

Like worse becomes better, literally

เหมือนที่ฉันนั้นได้มาพบกับเธอ

Like you and I are engaging in this moment

ชีวิตฉันจึงได้เจอ

My life has been made an offer


แต่ไม่รู้จะขอบคุณ

I can’ t thank you enough

ไม่รู้ทำอย่างไร

What else can I do?

ไม่รู้ว่าสิ่งไหนจะยิ่งใหญ่ควรค่าพอ

This grandeur makes the proposal handsomely splendid

ที่ฉันได้จากเธอ

What I am getting from you

ได้รักโดยไม่ต้องขอ

This love you have made it known for

ได้รู้โดยไม่ต้องรอ

Have earned it without a holdback

ว่ารักคืออะไร

It’ s what love is made for


โอ้ เธอ

Oh, well dear

ทำให้ฉันรู้จัก

Without you, I wouldn't have known it

ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขใด

Wholeheartedly, an unconditional love

ได้มามีเธอนั้นเป็นคนให้

You’ re the one to do me a solid

หัวใจอยากให้เธอรู้

Telling me how to best heart you


แต่ไม่รู้จะขอบคุณ

I can’ t thank you enough

ไม่รู้ทำอย่างไร

What more can I do?

ไม่รู้ว่าสิ่งไหนจะยิ่งใหญ่ควรค่าพอ

This title is majestic, all changes made to it is worthwhile

ที่ฉันได้จากเธอ

The things I am getting from you

ได้รักโดยไม่ต้องขอ

This love you have made it known for

ได้รู้โดยไม่ต้องรอ

Have earned it without a holdback

ว่ารักคืออะไร

To realize what love really is


ว่ารักคืออะไร

This love is why we’ re here for


ได้รู้โดยไม่ต้องรอ

Comprehends all without being delayed

ว่ารักคืออะไร

We’ re shaping our hearts towards love
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๗ เพื่อนดีต่อกันไม่ทำร้ายเพื่อนร้ายต่อกันไม่ทำดี
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 12-05-2022 20:12:37
 :hao7: :hao5:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๘ กฎุมพะ - มรณะ นี่มันที่เป็นปัญหาปัญหาเป็นที่มันนี่
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 15-05-2022 18:13:08
๒๘.



กฎุมพะ – มรณะ (นี่มันที่เป็นปัญหาปัญหาเป็นที่มันนี่)





“ตกลงนี่เราเสียเงินจ้างคน สนุก ๆ เพื่อให้มาเที่ยวเล่นหรือคะ” ลลินพูด ชำเลืองหางตาไปมองที่อันน์ “ดีจัง ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งเที่ยว เผลอ ๆ จะได้ทั้งผู้ชาย ยิงปืนนัดเดียวได้นกไปทั้งฝูง” ลลินแค่นลมหายใจอย่างดูแคลน “แต่ไม่ได้งาน” ลลินกระแทกเสียงลงที่ท้ายประโยค ก่อนเบะปากใส่อันน์อย่างจงใจ อันน์พยายามข่มความรู้สึกที่กำลังคุกรุ่น ไม่ให้ปะทุขึ้นมา เพราะมันไม่เป็นผลดีอะไรกับใครทั้งสิ้น

“ในสัญญาระบุไว้ว่า เอิงได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลคุณโทมัส” อันน์อธิบายข้อเท็จจริงที่มี ลลินได้ยินแบบนั้น ก็รีบชี้ชวนให้คนอื่น เห็นว่าเอิงกำลังละเมิดสัญญาว่าจ้าง “โดยรวมไปถึง 'พลัสวัน' ด้วย ซึ่งคุณโทมัสได้แจ้งกับทางเราเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า คือคุณแมทธิว แดเนียล โรเบิร์ต ลูกชายคนเดียวของคุณโทมัสเอง” อันน์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่จริงจัง อันน์นั้นขึ้นชื่อเรื่องความรอบคอบ และได้รับความไว้วางใจมาแต่ไหนแต่ไร

“กรุณามีความรู้ความเข้าใจ ก่อนมีความคิดเห็น จะเป็นการดีต่อตัวคุณเองนะคะ” อันน์หันไปพูดกับลลินโดยตรง ก่อนที่จะวางสัญญาว่าจ้างนั้นลงบนโต๊ะห้องประชุม “อีกอย่าง คุณแดนก็เป็นคนดึงตัวเอิงไปจากตรงนั้น คุณโทมัสก็เป็นพยานให้ได้” ฐานทัพพยักหน้ายืนยัน คำพูดของอันน์ เพราะเขาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย พฤกษ์ที่ยืนฟังการสนทนานี้อยู่ด้วย ได้เอ่ยขึ้น

“แต่ตอนนี้ปัญหาหลักมันไม่ได้อยู่ที่ว่า ใครพาใครไปไหน แต่มันคือการที่คุณโทมัส จะทบทวนและเลื่อนการลงทุนกับเราออกไป อย่างไม่มีกำหนด” พฤกษ์น้ำเสียงเครียด เพราะคุณโทมัสถือว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่มาก ที่ถ้าปล่อยให้หลุดมือไป จะเป็นความสูญเสียใหญ่หลวงของบริษัท “ผมต้องขอโทษที่ต้องพูดแบบนี้ แต่คุณโทมัสเป็นคนพูดออกมาเอง ว่าเขาไม่พอใจที่เอิง คนที่คุณอันน์เสนอหน้าที่ให้ จะมาทำให้เรื่องมันวุ่นวายแบบนี้”

“ถ้าคุณโทมัสถอนการลงทุน ยังไงเรื่องนี้ มันก็ต้องมีคนรับผิดชอบ” พฤกษ์พูด แม้ว่าเขาจะไม่อยากพูดมันออกไปก็ตาม เขามองไปที่อันน์ ซึ่งพอจะเข้าใจ ว่าพฤกษ์หมายความว่ายังไง “เดี๋ยวนะ” ฐานทัพที่ได้ยินพฤกษ์พูดแบบนั้น กล่าวท้วงขึ้นมา “นี่พี่พฤกษ์หมายถึง พี่กำลังโทษคุณอันน์หรือครับ ทั้งหมดนี้ พี่ว่าเป็นความผิดของคุณอันน์ งั้นหรือครับ มันไม่แฟร์เลยนะครับ” ฐานทัพไม่พอใจกับคำพูดของพฤกษ์เป็นอย่างมาก

“แต่นี่เรากำลังพูดถึงจำนวนเงินเป็นร้อยล้านเลยนะ ไอ้ทัพ” พฤกษ์เตือนให้น้องชายอย่างฐานทัพได้ฟัง “แล้วยังไง ในเมื่อผมเป็นคนหาคอนแท็คนี้มา แล้วดีลมันก็ยังไม่ได้ล่ม ผมคิดว่า ผมยังสามารถโน้มน้าวคุณโทมัสให้เปลี่ยนใจได้อยู่” ฐานทัพจ้องหน้าพี่ชายของเขาเขม็ง “คุณทัพรู้จักกับคุณโทมัสอยู่แล้วหรือคะ” ลลินตกใจแกมประทับใจในตัวของฐานทัพอยู่ไม่น้อย อันน์มองไปที่ฐานทัพ ชายหนุ่มไม่เคยบอกเธอในเรื่องนี้

“คือผม” ฐานทัพมองเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของอันน์ที่มองเขา “อ๋อ” พฤกษ์ลากเสียงยาว หัวเราะออกมาแบบหยัน ๆ อยู่ในที “นี่แกกะจะใช้วิธีนี้ ทำให้ใครบางคนประทับใจ ว่างั้นเถอะ” พฤกษ์พูดพลางมองไปที่ฐานทัพและอันน์สลับกัน “แกเอาลูกค้าดีลใหญ่มาประเคนให้ถึงโต๊ะ ให้หาคนมาดูแล แล้วก็ได้ความดีความชอบไปแบบง่าย ๆ ไม่สนเลยว่าใครจะมองว่า คุณอันน์ได้ผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ โดยไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรมาก” พฤกษ์ได้จังหวะสวนกลับน้องชายอย่างฐานทัพกลับไป

“มันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่นะครับคุณอันน์ ทั้งหมดมันเป็นเรื่องบังเอิญ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณแดนกับคุณเอิงเขารู้จักกัน ไม่ใช่ คือสองคนนั้นไม่ได้รู้จักกัน แต่เขาคุ้นเคยกัน คือ มันไม่ใช่แบบนั้นนะครับคุณอันน์” ฐานทัพพยายามอธิบาย แต่สีหน้าของอันน์ บ่งบอกเลยว่า เธอรู้สึกเสียหน้ามาก ที่โดนกล่าวหา “เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว คนเราก็ทำได้ทุกอย่างเลยนะคะ จริงมั้ยคะ คุณอันน์” ลลินพูดพลางยิ้มให้ ด้วยความสะใจ อันน์รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ ว่าแท้ที่จริงแล้ว โปรเจ็กต์นี้ ไม่ได้สำเร็จด้วยความสามารถของเธอ

คุณโทมัสถอดแว่นสายตา โยนมันลงไปบนกองเอกสารบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะใช้นิ้วนวดที่หว่างคิ้ว เพื่อคลายความเหนื่อยล้า คุณปริมผู้เป็นภรรยา เดินเข้ามาพร้อมกับแก้วมัคในมือ คุณโทมัสกล่าวขอบคุณ เมื่อคุณปริมวางแก้วเครื่องดื่มร้อนลงบนโต๊ะ คุณโทมัสดึงมือของภรรยาขึ้นมาจูบ คุณปริมกอดคุณโทมัสแน่น ๆ ทีหนึ่ง เพื่อให้กำลังใจ ทั้งคู่ได้ยินเสียงประตูบ้านถูกเปิดและปิดลง ได้ยินเสียงเรียกหาจากใครบางคน

“มัม” แดนเปิดประตูบ้าน เดินเข้ามา หย่อนเป้สะพายหลังลงบนโซฟารับแขก ก่อนเรียกหาแม่ของเขา มีเสียงตอบรับมาจากห้องทำงาน ว่าคุณปริมและคุณโทมัสอยู่ในนั้น “ลูกมาแล้ว คุยกันดี ๆ นะคะ” คุณปริมพูดขึ้น เมื่อแดนเดินเข้ามาในห้อง “และฉันหมายถึงทั้งคู่นะ ทั้งพ่อและลูก” คุณปริมหอมแก้มลูกชาย พูดแสดงการคาดโทษกับสองหนุ่มพ่อลูก ก่อนเธอจะเดินออกจากห้องทำงานนั้นไป ทิ้งให้คุณโทมัสและแดน คุยกันตามลำพัง

“กลับบ้านได้เสียทีนะ” คุณโทมัสเปิดประโยคพูดกับลูกชายคนเดียวของเขา ก่อนจะสวมแว่นกลับไป “นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำไมผมถึงไม่ค่อยอยากกลับมาบ้าน” แดนพูดน้ำเสียงเรียบ แต่แดกดันอยู่ในที “แดเนียล” คุณโทมัสมองลอดแว่นมาที่แดน รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจกับลูกชายคนนี้อยู่ไม่น้อย “แม่เพิ่งบอกให้พูดกันดี ๆ ถ้างั้นผมจะเชื่อแม่” แดนพูดกับพ่อของเขา

“พ่ออยากให้ผมช่วยงานของพ่อ” แดนมองหน้าผู้เป็นพ่อ ด้วยสีหน้าจริงจัง คุณโทมัสพยักหน้าน้อย ๆ แบบรอฟังว่าแดนจะพูดอะไรต่อ “ถ้างั้น นี่ครับ” แดนวางนามบัตรที่ทำจากวัสดุอย่างดี สีดำ ลงบนกองเอกสารของคุณโทมัส ผู้เป็นเจ้าของห้องทำงานมองไปที่นามบัตรนั้น ก่อนเงยกลับขึ้นมาที่ลูกชายของเขา “ถ้าพ่อจัดการดีลกับคนคนนี้ได้ ผมจะมาช่วยงานพ่อ และจะไปช่วยพ่อดูแลการลงทุนที่เมืองไทยด้วยอีกแรง” แดนยื่นข้อเสนอให้กับบิดาของตัวเอง

“เมืองไทย” คุณโทมัสหยิบนามบัตรขึ้นมาดู “ใช่ครับ เขาเป็นคนไทย แต่กำลังรุ่งอยู่ที่นิวยอร์ก” แดนให้ข้อมูลเจ้าของนามบัตรกับคุณโทมัส “คนนี้ของจริง ผมว่า พ่อจะไม่ผิดหวัง” แดนให้ความเชื่อมั่นกับผู้เป็นพ่อ “นี่คือที่ฉันรู้มาจากแม่ของแก ว่าแกไปขลุกตัวอยู่ที่นิวยอร์กเป็นนานสองนาน คือเรื่องนี้เองหรือ” คุณโทมัสพูด พลางเคาะนามบัตรลงบนโต๊ะทำงาน แดนยักไหล่ ไม่ได้ตอบอะไร แต่ความสนใจของคุณโทมัสก็ปกปิดเอาไว้ไม่มิด

ฐานทัพรอพบกับผู้ที่จะมาลงทุนในบริษัทของเขา เพียงไม่นานนัก คุณโทมัสก็มาถึง ทั้งสองพูดคุยกันในรายละเอียดของการลงทุน โดยคุณโทมัสได้ทราบว่า ฐานทัพมาเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา ก่อนจะดังเป็นพลุแตกในวงการนักลงทุน รวมทั้งการที่เขาทำเงินมหาศาลจากตลาดหุ้นและตลาดทุน นักลงทุนมากมาย ขอบทวิเคราะห์การลงทุนจากเขา แต่ฐานทัพไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นิวยอร์ก เขากำลังจะกลับเมืองไทย และกำลังมองหาผู้ร่วมลงทุน ไปขยายกิจการเดิมของที่บ้าน ให้ดีขึ้น

“เจอกันที่เมืองไทยนะครับ” ฐานทัพยินดีที่คุณโทมัสสนใจที่จะร่วมลงทุนด้วยกันกับเขา “แล้วพบกันครับ” คุณโทมัสกล่าวตอบรับคำเชิญของฐานทัพ ให้ไปดูการดำเนินงานของบริษัท ช่องทางการลงทุน รวมถึงพื้นฐานเดิมของบริษัท บวกกับฐานะทางการเงินของฐานทัพ ทำให้คุณโทมัสสนใจและมั่นใจว่า ธุรกิจจะดำเนินไปได้ดี รวมทั้งคุณโทมัสเอง จะได้แดน ลูกชายของเขา มาช่วยสานต่อธุรกิจด้วย อีกอย่างเมืองไทยก็เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของคุณปริม ภรรยาของเขา การหาลู่ทางมาลงทุนที่นี่ ก็ถือว่าลงตัว

ฐานทัพกดโทรศัพท์หาอันน์จนเขาลืมไปแล้วว่ากี่สาย ตั้งแต่วันนั้น อันน์ก็ไม่รับสายเขาอีก แถมยังประกาศลาออก เพื่อเป็นการรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นอีกด้วย ฐานทัพจะทัดทานคัดค้านอย่างไร ก็ไม่เป็นผล แถมอันน์ยังพูดใส่หน้าเขาอีก ว่าไม่ต้องมายุ่ง ไม่ให้เขาเข้ามาข้องแวะ ยุ่งเกี่ยวอะไรกับเธออีก ฐานทัพกดโทรหาอันน์อีกครั้ง แต่ก็ต้องอ่อนใจ กับความใจแข็ง เงียบหายไปเสียเฉย ๆ ของอีกฝ่าย

“คุณอันน์ ผมไม่มีเจตนาจะทำแบบนั้นจริง ๆ นะครับ คุณอันน์ต้องเชื่อผมนะ” ฐานทัพส่งข้อความเสียงไปอีกครั้ง มันเป็นอีกหนึ่งข้อความ ที่เขาส่งซ้ำไปอีก เพื่อเพิ่มปริมาณข้อความในลิสต์ที่ไม่ได้อ่านให้ยาวขึ้น ชายหนุ่มถอนหายใจออกมายาวพรืด เมื่อยังไม่มีการตอบกลับจากอีกฝ่าย แม้ว่าจากข้อความล่าสุดที่ส่งไปนั้น มาจนถึงตอนนี้ ก็นับเป็นชั่วโมงแล้ว

“เลิกโทรมาได้แล้ว” อันน์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แต่หน้าจอแสดงเป็นชื่อคนอื่น ไม่ใช่ฐานทัพ ความรู้สึกประหลาด ๆ เกิดขึ้นในใจ เมื่อเธอเห็นว่า ฐานทัพหายไปนานเป็นชั่วโมงแล้ว “อืม ว่าไง” อันน์กรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ “อยู่ อยู่ห้องนี่แหละ” ก่อนจะตอบคำถามที่ปลายสายถามมา “อ้าว” อันน์แปลกใจกับอีกฝ่าย “ขึ้นมาสิ” เธอพูดตอบตกลงกับคนที่ปลายสาย รอเพียงครู่เดียว เสียงกดรหัสที่ประตูห้องสวีทของเธอก็ดังขึ้น

“โห ทำไมอยู่ห้องมืด ๆ แบบนี้ล่ะ” ไม่พูดเปล่า คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา กดที่รีโมทให้ผ้าม่านเปิดออก “อย่าเปิด” อันน์ร้องบอก แต่เด็กหนุ่มไม่ฟังคำทัดทานนั้น “แล้วอะไรเนี่ย สภาพดูไม่ได้เลย ได้อาบน้ำมั่งมั้ยเนี่ย” อันน์ใช้มือบังที่ร่องอกของเธอ ก่อนที่จะลุกเดินไปที่ห้องนอน สวมเสื้อคลุมทัพชุดนอนบางเบานั้น “เอ็ม ถ้าแกจะมาบ่นฉันแบบนี้ ฉันไม่น่าบอกแกว่าอยู่ห้องเลย” ก่อนอันน์จะออกมาบ่นน้องชายของเธอ ที่บ่นเธออีกที

“ก็พี่อันน์ทำตัวอะไรของพี่เนี่ย คุณรองประธาน” เอ็มถามพี่สุดที่รักของตัวเอง อันน์ทำหน้าล้อเลียนสิ่งที่เอ็มพูด ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เอ็มยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะตะโกนถามออกไป “กินก๋วยเตี๋ยวเรือมั้ย ซื้อมา แต่ไม่รู้ว่าอร่อยหรือเปล่านะ” ถามเสร็จก็ลุกขึ้นไปหยิบชามออกมาจากตู้ “กิน” อันน์ที่เพิ่งแปรงฟังเสร็จ เดินออกมาบอกกับน้องชายตัวดีของเธอ

“นี่แกเลี้ยงฉันหรือเนี่ย” อันน์ถาม ควันหอม ๆ จากน้ำซุปลอยขึ้นเตะจมูก “เอ็มเรียนจบ ทำงานแล้วนะพี่อันน์” คำพูดของเอ็มเตือนอันน์อีกครั้งว่า น้องชายของเธอ โตขึ้นมากแล้วจริง ๆ “เอ้า” น้องชายคนเดียวของเธอ ยื่นชามก๋วยเตี๋ยวให้กับผู้เป็นพี่ “โน่น ซองเครื่องปรุง” อันน์ควานหาในถุงใบใหญ่ จัดแจงปรุงเสร็จ ก็คีบก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก “ดีอ้ะ” อันน์เอ่ยปากชม

“ร้านไหน จดชื่อร้านไว้ให้ด้วยนะ” อันน์คีบลูกชิ้นเอ็นเนื้อเข้าปาก “หิว หิว” เอ็มแซวพี่ของตัวเอง อันน์ที่คีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปาก ย่นจมูกใส่ “ไม่ได้ไปทำงานมากี่วันแล้วเนี่ย” เอ็มที่จัดการก๋วยเตี๋ยวในชามของตัวเองเช่นกัน ถามขึ้น “ข่าวไวเหลือเกินนะ” อันน์คิดว่า เป็นปราชญ์แน่ ๆ ที่บอกกับเอ็ม “พี่อันน์ช่วยเตือนเอ็มด้วยนะ ว่าตอนเอ็มอายุเท่าพี่ ช่วยห้ามที อย่าให้เอ็มทำตัวเป็นเด็ก” อันน์มองน้องชาย เอ็มยักไหล่ ไม่คิดว่าเขาพูดอะไรผิด

“แกเป็นน้องฉันนะ” อันน์พูด ก่อนลุกเดินไปที่ตู้เย็นไซด์บายไซด์ ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมแก้วน้ำสองใบ เธอวางใบหนึ่งไว้ข้างหน้าเอ็ม พอน้องชายจะหยิบ เธอก็เลื่อนแก้วมันออกไปอีก ก่อนจะกลับมานั่งยิ้ม แล้วกินก๋วยเตี๋ยวต่อ “ห้าขวบ” เอ็มค่อนเข้าให้ แต่ก็เป็นพี่คนนี้ ที่คลานตามกันมาของเอ็มนี่แหละ ที่เป็นคนส่งเขาเรียนจนจบ และเป็นพี่ที่แสนดีของเขามาโดนตลอด

“แล้วผู้ชายคนนั้น ยังไง” เอ็มถามพี่ของเขา เมื่อจัดการก๋วยเตี๋ยวในชามจนหมด “ผู้ชายไหน” อันน์ลุกขึ้นยืน เอาชามของเอ็มมาซ้อนกับของเธอ “เจ้าของบริษัทใหม่ ที่เข้ามาเทคโอเวอร์น่ะ” เอ็มพูด ก่อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม “อีปราชญ์เนี่ยนะ ให้รู้อะไรไม่ได้เลยจริง ๆ เชียว” อันน์โวยวายถึงเพื่อนรุ่นน้อง ก่อนเทสิ่งที่อยู่ในชามลงในเครื่องกำจัดเศษอาหาร ก่อนจะเอาชามใส่เครื่องล้าง

“เป็นแฟนกันแล้ว” เอ็มถามแบบหยั่งเชิง “เปล่าสักหน่อย” อันน์ปฏิเสธ เดินไปที่โซฟาตัวยาว มองออกไปที่นอกหน้าต่าง ห้องพักเพนท์เฮ้าส์ของฐานทัพ ดูเงียบเชียบไม่มีคนอยู่ “เท่าที่ผมฟัง ๆ ดู ผมว่าเขาชอบพี่นะ” เอ็มพูดในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ที่ว่า เวลาเขาจะจีบใครสักคน อยากได้ใครมาเป็นแฟน เขาก็ทำไม่ต่างจากนี้สักเท่าไหร่นักหรอก

“แถมเขาน่าจะชอบพี่มาตั้งนานแล้วนะ” ตามที่ปราชญ์เล่ามา เอ็มจึงได้รู้ว่า ฐานทัพอายุน้อยกว่าอันน์ น่าจะรุ่นเดียวกับเขา นี่อาจจะเป็นข้อเสียเปรียบของฐานทัพ ที่อันน์ พี่ของเขา มักจะมองหาคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า จากการที่เธอไม่ได้รับความอบอุ่นจากผู้เป็นพ่อตั้งแต่ในวัยเด็ก อันน์เงียบ ไม่ได้พูดอะไรในกรณีนี้ เอ็มเชื่อ ว่าอันน์ก็รู้เรื่องนี้ดี “ตอนที่เอ็มเป็นเด็ก พี่อันน์เกลียดอะไรที่เอ็มทำมากที่สุด” เอ็มถามพี่ของเขา อันน์รู้สึกว่า เอ็มเวอร์ชันผู้ใหญ่นี่ ทำให้รู้สึกว่า เธอทำตัวแย่หลายครั้งแล้ว

“พูดแล้วไม่ฟังใช่มั้ย” เอ็มถามพี่ของเขา อันน์พยักหน้าแทนคำตอบ “พี่ก็ลองฟังเขาดูก่อน ว่าเขามีอะไรจะพูด เห็นด้วยไม่เห็นด้วย จะทำตามไม่ทำตาม ก็ค่อยว่ากัน” เอ็มพูดพลางหยิบเอากระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง “เอ็มมีเพื่อนผู้ชายอยู่คนหนึ่ง มันเพิ่งเปิดร้านอาหารกับแแฟนมัน ผู้ชายเหมือนกัน มันกังวลมากเลยนะ ตอนไปขอจากยายของแฟน สัญญาว่าจะดูแลหลานเขาให้ดีที่สุด”

“ในใจมันก็กลัวแหละ กลัวว่าจะทำได้ไม่ดีอย่างปากว่า อย่างที่รับปากกับยายเขาอะไว้” เอ็มพูดมองหน้าพี่ของเขาตรง ๆ “แต่มันบอกว่า การได้โอกาสจากแฟนของมัน มีคุณค่ามากที่สุด เพราะนั่นคือโอกาสที่มันจะพิสูจน์ให้แฟนมันเห็นว่า ตัวของมัน สมควรได้รับความไว้วางใจจากแฟนของมัน จากยายจริง ๆ แต่ถ้าไม่มีโอกาสนี้จากแฟน มันก็คงไม่ได้ทำสิ่งดี ๆ ให้แฟนมันเห็นเลย ทั้งชีวิต” เอ็มเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง

“พี่อันน์ มันจะมีผู้ชายสักกี่คน ที่จะกล้าบอกกับทุกคนว่า เขาชอบสาวสอง อยากเป็นแฟนกับผู้หญิงข้ามเพศ โดยที่ไม่สน ว่าใครจะคิดยังไง แถมยังหล่อ รวย แต่จะใหญ่ด้วยมั้ย อันนั้นเอ็มไม่รู้ พี่อันน์ต้องเปิดเช็กของเอาเอง” อันน์ที่เดินมาส่งน้องชายที่หน้าประตู ตีแขนเอ็มเข้าให้ ก่อนที่สองพี่น้องจะหลุดหัวเราะออกมาทั้งคู่ “ไปก่อนนะ ไว้วันหลังจะมาฟังความคืบหน้า” เอ็มบอกกับอันน์ ก่อนจะออกจากเพนท์เฮ้าส์ไป

อันน์คิดกลับไปกลับมาในหัว กับสิ่งที่เอ็มพูดกับเธอ มีเสียงข้อความเข้า ดังขึ้นมาในโทรศัพท์มือถือของอันน์ เธอเดินไปเปิดดู มันมีข้อความที่เธออ่านแล้วก็ต้องตกใจ เป็นข้อความในห้องแชทของพนักงานที่บริษัท ว่าฐานทัพยอมจ่ายเงินค่าเสียหายให้กับคุณโทมัส จำนวนหลักร้อยล้าน แถมอาจจะต้องยอมขายเพนท์เฮ้าส์ เพื่อเอาเงินมาพยุงสภาพคล่องให้กับทางบริษัทอีกด้วย เพื่อไม่ให้อันน์ต้องเดือดร้อน รับผิดชอบในเรื่องนี้ โดยที่พฤกษ์อาจจะทำการฟ้องร้องฐานทัพ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมอีกต่างหาก

“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย” อันน์ไม่อยากจะเชื่อ ว่าฐานทัพจะยอมทำอะไรแบบนี้ จะมายอมเดือดร้อนเพราะเธอทำไมกัน เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น อันน์เดินไปที่หน้าห้อง คิดว่าเอ็มคงลืมของไว้ แต่ก็ต้องชะงักมือเอาไว้ ไม่ให้ปลดล็อกประตู เพราะเอ็มรู้รหัสประตูห้องของเธอ “ผมเองครับ คุณอันน์” เสียงของฐานทัพ ดังผ่านประตูเข้ามา อันน์นึกสงสัยว่าชายหนุ่มขึ้นมาข้างบนนี้ได้ยังไง ก่อนจะมีข้อความจากเอ็มส่งมาว่า 'อย่าทะเลาะกันล่ะ' อันคิดว่าจะจัดการเอ็ม เมื่อเจอหน้ากันครั้งต่อไป

“ผมอยากคุยกับคุณอันน์” ฐานทัพพูดขึ้น อันน์หยุดนิ่งและฟัง “ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายคุณอันน์เลย ผมพบคุณโทมัสที่นิวยอร์ก ก่อนผมจะกลับมาเมืองไทย ในความคิดของผมคือ ชวนเขามาลงทุนกับบริษัทจริง ๆ ส่วนเรื่องของแดนกับเอิง ผมไม่รู้จริง ๆ ไม่คิดว่า มันจะทำให้ดูว่า ผมหาประโยชน์มาให้คุณอันน์ หรือทำให้คุณอันน์ประทับใจในตัวผม ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมอยากให้คุณอันน์มองเห็นตัวตนจริง ๆ ของผม ชอบในสิ่งที่ผมเป็น หรือรักในหัวใจของผม มากกว่าไอ้การเป็นผู้บริหารบริษัทอะไรนี่” อันน์หยุดฟังที่ฐานทัพร่ายยาวมานี้

“คุณอันน์ได้ยินผมใช่มั้ยครับ” ฐานทัพที่รู้ว่าอันน์อยู่ในห้อง แต่ไม่รู้เลย ว่าอันน์จะได้ยิน หรือได้ฟังสิ่งที่เขาพูดบ้างไหม เขาจะมีโอกาสที่ทำให้อันน์ได้เห็นในสิ่งที่เขาทำ ได้รับในสิ่งที่เขารู้สึกจากใจบ้างมั้ย ที่ด้านหลังประตูนั้น มีแต่ความเงียบเชียบ ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา และนั่นทำให้ใจของฐานทัพเงียบงันไม่ต่างกัน ชายหนุ่มเพียงแค่ต้องการให้อันน์รับฟังเขาเท่านั้น

เมื่อดาวเจ้าเรือนกฎุมพะ หรือเรือนการเงิน มาตกอยู่ในเรือนมรณะ มันมีเกณฑ์ที่เจ้าชะตา จะต้องสูญเสียเงินจำนวนมาก แถมยังอาจจะมีเรื่องที่พี่น้อง โกงกันในเรื่องทรัพย์สินหรือมรดกอีกด้วย จึงพึงระวังคดีความทางแพ่งเอาไว้ให้ดี เจ้าชะตามักมีคนมาช่วยใช้เงิน ระวังจะถูกโกงหนี้สูญ รายจ่ายก้อนใหญ่กว่ารายรับที่เข้ามา การเงินเกิดเรื่องวิบัติเสียหาย เงินที่เคยมีอาจจะร่อยหรอหรือถูกขโมยไป

ฐานทัพกำลังจะหันหลังกลับ เสียงปลดล็อกประตูดิจิตอลด้านหลังของเขา ดังขึ้น ฐานทัพหันไปมอง ก่อนจะเดินเข้าไปที่ประตู เอื้อมมือจับลูกบิด ขยับเปิดมัน ประตูห้องเพนท์เฮ้าส์เปิดออก ฐานทัพก้าวเท้าเข้าไปในนั้น อันน์ที่ยืนอยู่หลังประตู ก้าวเท้าถอยหลังมาหนึ่งก้าว ฐานทัพหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอันน์ ประตูห้องงับปิดลง เสียงล็อกอัตโนมัติดังขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้น ที่ฐานทัพยืนสบตากับอันน์อยู่ตรงนั้น

*********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=UBaUxoizsuY

โปรดทบทวน โปรดเห็นใจ

Weigh your decision, please be kind

หากเยื่อใยเธอนั้นยังมีให้กัน

If our bond is still there somewhere

อย่าลิดรอนความสัมพันธ์

Depriving us of our tie

หลบหน้ากันอย่างนี้มันได้อะไร

Every dodge, what good does that do?


อย่าบอกฉันว่าให้ไป

Don’t you say you want me to leave

อย่าผลักไสได้หรือเปล่า

Don’t you just shut me out

ความรักระหว่างเรา

The story of love between us

นั้นยังไม่ถึงคราวต้องเดินจากกัน

It’s not the time to come to an end


ให้ตัวฉันได้พิสูจน์

Let me prove I’m not wrong

ให้เข้าใจว่าฉันนั้นรักเธอเท่าไหร่

You’ll see how much love I’ve given you

อย่าใจร้ายเกินไปนะเธอ

Please stop this brutal punishment


ไม่เข้าใจ เหตุผลใด

Can’t cope with it, incomprehensible

ทำให้เธอต้องเฉยและชาอย่างนี้

That makes you give me the cold shoulder

อย่าเงียบไป บอกฉันที

Come out from a hideout, and say something

หากไม่ดีก็พร้อมจะแก้ตัว

I’m bad, so you help me make myself a better man


อย่าบอกฉันว่าให้ไป

Don’t you say you want me to leave

อย่าผลักไสได้หรือเปล่า

Don’t you just shut me out

ความรักระหว่างเรา

The story of love between us

นั้นยังไม่ถึงคราวต้องเดินจากกัน

It’s not the time to come to an end


ให้ตัวฉันได้พิสูจน์

Let me prove I’m not wrong

ให้เข้าใจว่าฉันนั้นรักเธอเท่าไหร่

You’ll see how much love I’ve given you

อย่าใจร้ายเกินไปนะเธอ

Please stop this brutal punishment


อย่าบอกฉันว่าให้ไป

Don’t you let go of me

อย่าผลักไสได้หรือเปล่า

Don’t you push me away

ความรักระหว่างเรานั้น

This story of your heart and mine

ยังไม่ถึงคราวต้องเดินจากกัน

Must not divide them into two


ให้ตัวฉันได้พิสูจน์

I did wrong, I stand corrected

ให้เข้าใจว่าฉันนั้นรักเธอเท่าไหร่

But give me a chance to love you right

อย่าใจร้ายเกินไปนะเธอ

Leave mean and petty satire behind


ยังไม่พร้อมทำใจ

Never ready to get over you

อย่าใจร้ายเกินไปนะเธอ

Turn it from vicious to vanilla, won’t you
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๘ กฎุมพะ – มรณะ (นี่มันที่เป็นปัญหาปัญหาเป็นที่มันนี่)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 15-05-2022 18:28:22
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๙ ศุภะ - ตนุ (คนที่รักมีความสุขคนที่สุขมีความรัก)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 17-05-2022 20:08:58
๒๙.



ศุภะ – ตนุ (คนที่รักมีความสุขคนที่สุขมีความรัก)



“พี่เอิง อย่าลืมเตยนะ” เด็กสาวพูดกับอีกฝ่าย เมื่อถึงเวลาต้องบอกลากัน “ไว้คราวหน้า พี่มาเที่ยวใหม่” เอิงยิ้มให้กับเพื่อนรุ่นน้องที่โชคชะตา ได้พาให้มารู้จักกันคนนี้ “แวะมาได้ตลอดเลยนะพี่ หนูพร้อมพาเที่ยวเสมอ” เตยพูด ก่อนจะได้ยินเสียงกระแอมจากผู้เป็นแม่ ดังให้ได้ยิน เด็กสาวทำสีหน้าทะเล้น เพราะเพิ่งจะโดนผู้เป็นแม่สวดหนัก เนื่องจากไปไหนมาไหนไม่ยอมบอก แถมแม่ของเตยยังกลัวว่า ลูกสาวจะมาทำให้เอิงและแดนต้องลำบาก

“แม่หยิกเนื้อหนูแทบหลุด” เตยทำย่นคอ สีหน้าสยดสยอง พูดพลางเดินออกมาจากร้านพร้อมเอิง “แต่หนูก็ดีใจนะ ที่ได้ขึ้นไปที่นั่นกับพี่ทั้งสองคน ถ้าพลาดทริปนี้ หนูเสียใจแย่” เตยพูดออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ ภายในใจ “พี่ขอบคุณเรามากนะ” เอิงบอกกับเตย “ฝากบอกบูมด้วย แล้วพี่จะมาเยี่ยมอีก” เอิงฝากคำขอบคุณไปถึงเด็กหนุ่ม ที่ทำหน้าที่เป็นไกด์ได้อย่างดีเยี่ยม เตยพยักหน้ายิ้มให้ ก่อนจะยื่นกระเป๋าผ้า ที่ถือไว้ในมือ ให้กับเอิง

“ตอนแรก หนูกะว่า หนูจะเอามันไปลงในอินเทอร์เน็ต” เตยพูด เมื่อเอิงรับมันไปเปิดดู เอิงเงยหน้าขึ้นมองเตย เด็กหญิงยิ้มให้ ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า “แต่ มันคงจะแย่มากทีเดียว ถ้ามีคนเอาเรื่องราวของเขาสองคนไปบิดเบือน แต่งเติม หรือว่าร้าย แบบที่เกิดขึ้นกับคุณทวดเล็ก” เตยคิดว่า มันไม่ยุติธรรมเลย กับสิ่งที่พวกเขาทั้งสามคน ซาย แมท และภาคย์ ต้องเจอ ในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ กับการกระทำที่พวกเขาตัดสินใจลงไป แล้วจะมีใครก็ตาม ที่ไม่ได้ผ่านเรื่องราวนั้น ๆ มาตัดสินพวกเขา

“ขอบคุณนะ” เอิงบอกกับเตย ยิ้มให้ ก่อนที่ทั้งสองจะสวมกอดกัน “ไม่เอาสิ พี่เอิงจะทำให้หนูร้องไห้แบบนี้ ไม่ได้นะ ไปได้แล้ว” เตยรีบเช็ดน้ำตาที่เอ่อขึ้นขอบตา ก่อนจะรีบบอกให้เอิงขึ้นไปบนรถสองแถว ที่มาจอดรออยู่ โดยมีแดน นั่งรออยู่แล้วบนรถ “พี่แดน ดูแลพี่เอิงให้ดีนะคะ แล้วมาเที่ยวบ้านหนูอีกนะ” เตยตะโกนบอกหนุ่มลูกครึ่ง แดนพยักหน้ารับ เมื่อรถสองแถวค่อย ๆ เคลื่อนออกตัวไป เอิงโบกมือให้กับเด็กสาวที่กระโดดหย็องแหย็ง ตะโกนร่ำลา โบกไม้โบกมือให้พวกเขา

รถวิ่งออกมาไกลแล้ว แดนกับเอิงนั่งอยู่บนเบาะรถสองแถว ฝั่งตรงข้ามกัน ทั้งคู่สบตากัน ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากหลายวันที่ผ่านมา ที่เดินทางมาถึงที่นี่ ทุกอย่างและดูผ่อนคลายลง ก้อนมวลความรู้สึกที่เคยหนักอึ้ง เหมือนเป็นม่านหมอกในความรู้สึก มีแสงสว่างส่องเข้ามา ทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายรู้สึกได้ดีขึ้น ไม่ได้อึมครึม ทุกอย่างดูอึดอัดไปเสียหมดเหมือนก่อนหน้านี้

แดนนั่งมองเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ที่นั่งอยู่ตรงข้ามอีกฝั่งของโต๊ะ เธอเป็นคนหน้าตาสวย รูปร่างดี คุณสมบัติเพียบพร้อม ที่เด็กหนุ่มในโรงเรียน ต่างก็อยากที่จะมาออกเดตด้วย เธอกำลังเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวของเธอให้แดนฟัง เขาฟังมันไม่ได้ศัพท์สักเท่าไหร่ เพราะเหมือนกับว่า เขาไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอพูดแต่อย่างใด แดนบอกกับตัวเองได้เลยว่า เขาเห็นริมฝีปากของเธอขยับ แต่เขาไม่รู้เลยว่าเธอพูดว่าอะไร

“นี่ฉันพูดมากไปหรือเปล่านี่ ฉันคงพูดเรื่องของตัวเองมากจนเกินไป ทำไมเธอไม่ลองเล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังบ้างล่ะ แดน” เด็กหนุ่มเหมือนหลุดออกจากความคิดของตัวเอง เมื่อเด็กสาวเอามือมาวางทาบบนมือของเขา “เอิ่ม” แดนคิด ว่าเขาควรจะพูดอะไรออกไปดี “คือ เธอเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดมั้ย” แดนถามออกไป เด็กสาวดูอึ้งไปกับคำถามที่ได้ยิน ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

“มันเป็นอะไรที่ฉันคิดว่าโง่เง่าที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาเลย เธอไม่คิดว่ามันบ้าสิ้นดีหรือไง ไอเดียของการกลับมาเกิดใหม่เป็นใครอีกคนก็ไม่รู้ นี่อย่าบอกนะ ว่าเธอเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย ฮอลลีวูดต้องการตัวเธอแล้วล่ะ” เด็กสาวหัวเราะจนแทบน้ำตาไหล แดนผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะยิ้มให้กับตัวเอง “ฉันว่า มันไม่เวิร์คหรอก เธอกับฉัน เอาเป็นว่า มันเป็นความผิดของฉันเองก็แล้วกัน ยังไง ฉันขอเสียมารยาท ไม่ไปส่งเธอที่บ้านนะ มันยังไม่เย็นด้วยซ้ำ” แดนลุกขึ้นจากโต๊ะ วางเงินค่าอาหาร แล้วถามตัวเองด้วยความประหลาดใจ ว่าสิ่งที่พ่อของเขาขอร้องให้แดนทำ ยังไงมันก็ไม่ได้ผล

เอิงมาถึงโรงเรียนเช้านี้ เด็กนักเรียนหลายคนดูตื่นเต้นกับเทศกาลแห่งความรักนี้ ต่างตระเตรียมของขวัญ ดอกไม้ ช็อกโกแลต มาให้กับคนที่ตัวเองรัก แอบมีใจ หรือหมายปองเอาไว้ สำหรับเอิง มันไม่ได้แตกต่างอะไรจากวันอื่น ๆ เอิงไม่รู้สึกว่าเขาต้องหาสิ่งของเหล่านี้ให้ใคร เพราะตั้งแต่ตอนที่เอิงเป็นเด็กแล้ว หากว่าสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่เอิงรอคอย เอิงก็จะปฏิเสธออกไปตรง ๆ

“เอิง ใครไม่รู้ เอาดอกไม้กับช็อกโกแลตมาใส่ลิ้นชักใต้โต๊ะแกด้วยล่ะ” เสียงเพื่อนร่วมห้องตะโกนบอกเอิง ทันทีที่เห็นเขาเดินเข้าห้องเรียนมา เอิงนั่งลงที่โต๊ะเรียน ใต้ลิ้นชัก มีดอกกุหลาบสีแดงสดดอกใหญ่ ผูกริบบิ้นสีชมพูที่ก้าน หนึ่งดอกวางอยู่ กับช็อกโกแลตราคาแพงกล่องใหญ่ บนกล่องมีการ์ดใบเล็ก ๆ เขียนเอาไว้ว่า จะรอคำตอบขอเป็นแฟน ให้เอิงไปเจอที่สนามฟุตบอลตอนเย็นหลังเลิกเรียน

“อีตุ๊ดเอิง” ข้อความนั้นเขียนอยู่บนกระดานดำและที่โต๊ะเรียนของเอิง ในเช้าวันรุ่งขึ้น ที่เอิงมาถึงโรงเรียน เมื่อวานตอนเย็น เอิงกลับบ้านตามปกติ ไม่ได้ไปตามนัดที่เขาอ่านในการ์ดนั้น เพื่อน ๆ ในห้องสืบสาวความเป็นมาเป็นไปจากเอิง ก่อนจะพูดปลอบใจเขา และช่วยกันลบข้อความพวกนั้นออก เอิงเลี่ยงที่จะไม่บอกแม่ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อแม่โทรหาเขาตอนช่วงเที่ยง เพราะเขาไม่อยากให้แม่ต้องเป็นห่วง ยิ่งต้องอยู่ไกลกันแบบนี้

“ขอบคุณครับคุณลุง” แดนลงจากรถ ก่อนเดินไปทางด้านคนขับ เมื่อรถสองแถวพาแดนและเอิงมาส่งที่สถานีขนส่งประจำจังหวัด คุณลุงคนขับเปิดประตูลงมา “ขอบคุณมากนะครับคุณลุง ที่ช่วยดูแลเราสองคน” เอิงยกมือไหว้ผู้อาวุโส แดนทำตาม ก่อนจะยื่นเงินค่ารถให้ มันมากกว่าปกติที่คุณลุงเคยได้รับ ผู้สูงวัยกว่าปฏิเสธ บอกว่าจำนวนเงินมันมากเกินไป แต่แดนยืนยันว่าเขาอยากให้คุณลุงคนขับรถมันไว้

“ขอบใจเอ็งสองคนมาก” คุณลุงมองแดนและเอิงอย่างเอ็นดู อะไรบางอย่างภายในใจ ทำให้คุณลุงคนขับรถสองแถว รู้สึกผิดกับผู้ชายสองคนนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แต่กลับรู้สึกผูกพัน แต่ในความรู้สึกที่นึกรักเหมือนลูกเหมือนหลานนั้น ก็มีความรู้สึกเหมือนติดค้างหนี้กันอยู่ จนคุณลุงเอง ต้องการที่จะดูแลทั้งสองคนให้เป็นอย่างดี หากว่าทำอะไรให้ได้ ก็ยินดีที่จะทำให้ คุณลุงรับเงินจากแดนมาใส่กระเป๋าเสื้อ เดินกลับไปที่รถ ก่อนจะเดินกลับมาหาทั้งสองคนอีกครั้ง

“ข้ารู้สึกแปลก ๆ ยังไงบอกไม่ถูก เมื่อเจอเอ็งสองคน ไม่รู้ว่าข้าเคยไปทำผิดอะไรกับพวกเอ็งเอาไว้ มันหน่วง ๆ มันอึน ๆ แบบดีใจนะที่ได้เจอพวกเอ็ง แต่ก็เหมือนข้าเคยทำร้ายเอ็งสองคนมาก่อน โดยเฉพาะเอ็ง ไอ้หนู” คุณลุงคนขับหันมาพูดกับเอิง “มันบอกไม่ถูกเว้ย กับเอ็ง ไอ้หนู ข้ารู้สึกผิดมาก ๆ ยังไง ถ้าข้าหรือว่าคนนครอบครัวของข้า เคยทำผิดกับเอ็งเอาไว้ ข้าขอโทษด้วยจริง ๆ” คุณลุงคนขับพูดกับเอิง ก่อนจะเอามือมาตบเบา ๆ ลงที่บ่าของเขา

“ไม่เป็นไรครับคุณลุง” เอิงยิ้มอย่างจริงใจให้กับผู้สูงวัยกว่า ภาพในอดีตย้อนกลับมาอีกครั้ง กับชายวัยกลางคนที่ซัดทอดซายให้กับผู้กองภาคย์ในวันนั้น “คุณลุงไม่ได้เป็นคนทำอะไรผิด เราไม่มีอะไรติดค้างกันนะครับ” เอิงบอกกับคุณลุงคนขับรถออกไป “และหากว่าจะมีใครที่เคยทำอะไรไว้กับผม หรือกับผมจากครั้งในอดีต คนก่อนหน้านี้” คุณลุงนิ่งฟังที่เอิงพูด “ผมรู้ ว่าเขาก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร เขาไม่ได้ยึดอดีตที่มันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” คุณลุงคนขับพยักหน้ารับ พูดขอบใจเอิงอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปขึ้นรถ “พวกเอ็งว่าง ๆ ก็มาเที่ยวหาข้าอีกนะ วันนี้เอ็งกลับบ้านกันดี ๆ โชคดีเว้ย” คุณลุงคนขับรถสองแถว พูดทิ้งท้าย ก่อนจะขับรถจากไป

แดนกับเอิงเดินไปซื้อตั๋วมินิบัส เพื่อเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ หลังจากที่เขาทั้งสองคน มาที่นี่เพื่อค้นหาเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนในที่สุด นำพาให้เขาทั้งสองคนมาพบกัน ทั้งคู่นั่งรออยู่บนรถมินิบัสปรับอากาศเพียงไม่นาน พนักงานขับรถก็พารถออกจากสถานี เอิงที่นั่งด้านใน เมื่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง สายตาของเขาค่อย ๆ ทิ้งภาพสองข้างทางนั้นเอาไว้เบื้องหลัง โดยที่เอิงรับรู้ถึงไออุ่นจากตัวของแดนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน และมือของทั้งคู่ที่เกาะกุมกันและกันอยู่

เด็กหนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน แตะเหรียญโดยสารเข้ามาในสถานีรถไฟใต้ดิน เขารีบออกมาจากโรงแรมที่พัก เมื่อแม่ของเขาโทรมาขอให้ไปช่วยถือของใช้ ที่ซื้อจากซูเปอร์ มาร์เก็ต เขาตามแม่มาเที่ยวเมืองไทยด้วย ก่อนที่จะกลับไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เอิงวิ่งเข้ามาภายในสถานีรถไฟใต้ดิน ทันก่อนที่ฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมา เด็กหนุ่มไทยแตะบัตรโดยสารเข้าไปในสถานี วันนี้ผู้โดยสารค่อนข้างหน้าตา เอิงเดินใช้บันไดเลื่อนลงไปที่ชั้นชานชาลา ก่อนจะเลี้ยวเดินไปยืนรอทางขวา เด็กหนุ่มลูกครึ่งคนนั้น กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดลงมาที่ชานชาลา ก่อนจะเดินเลี้ยวไปยืนรอทางซ้าย

ขบวนรถไฟเข้าเทียบสถานี ก่อนที่ประตูจะเปิดออก เพื่อให้ผู้โดยสารด้านในออกจากขบวน แดนก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านในรถ ผู้โดยสารทยอยเดินตามเข้ามา เด็กหนุ่มเดินลึกเข้าไปยืนอยู่ตรงช่วงรอยต่อของขบวน เอิงเดินตามผู้โดยสารที่อยู่ด้านหน้าเขาเข้าไปในบวนรถ ก่อนที่รถไฟจะเคลื่อนขบวนออก มีแรงเหวี่ยงของตัวรถเล็กน้อย ทำให้เอิงเดินไปหยุดพิงอยู่บริเวณรอยต่อของขบวน เขาพิงหลังกับผนังตัวรถเอาไว้

แดนเอาหูฟังขึ้นสวม กดฟังเพลงแบบที่เขาชอบ จากโทรศัพท์มือถือ สถานีที่เขาต้องการ อยู่ไกลจากโรงแรมที่พักไปหลายสถานีสักหน่อย เด็กหนุ่มลูกครึ่ง คอยมองที่หน้าจอดิจิตอลบ่อยครั้ง เพื่อคอยดูชื่อของปลายทางที่แม่ของเขาส่งมาในข้อความ เอิงต้องการนั่งรถไฟใต้ดินไปไม่กี่สถานี จริง ๆ หากเป็นรถไฟลอยฟ้า จะใกล้ที่พักของเขามากกว่า แต่ฝนตกแบบนี้ เอิงเลยเลือกมาที่นี่แทน เพราะไม่อยากจะตัวเปียกปอนไปซะก่อน เดี๋ยวออกจากรถไฟใต้ดิน ถ้าฝนซา ค่อย ๆ เดินกลับไปคอนโด ก็ไม่เท่าไหร่

เสียงประกาศให้เตรียมตัวก่อนถึงสถานีถัดไป แดนเหลือบสายตามองไปที่หน้าจอ ตัววิ่งภาษาอังกฤษบอกว่า ยังไม่ใช่สถานีที่เขาจะลง เสียงวิ่งของรถไฟ บอกว่ากำลังจะลดความเร็วเข้าสู่สถานี เอิงขยับตัว เพื่อจะขอทางลง ผู้โดยสารด้านหน้าดึงของพะรุงพะรังที่ถือมาขวางหน้าเอิง เด็กหนุ่มไทยขยับเท้าก้าวไปข้างหลัง เพื่อให้คนข้างหน้านั้น มีที่ว่างมากพอที่จะดึงข้าวของที่ถืออยู่ตามหลังไป

“ขอโทษครับ” เอิงกล่าวขอโทษคนที่เขาเพิ่งเอาหลังไปชนค่อนข้างแรง เอิงหันไปดู ก็เห็นเป็นเด็กหนุ่มต่างชาติตัวสูงใหญ่คนหนึ่ง สวมหูฟังแบบครอบหู เอิงกล่าวขอโทษออกไป แต่เด็กชาวต่างชาติ ไม่ได้หันมา เอิงรีบเดินตามผู้โดยสารคนอื่นออกไป เสียงเตือนว่าประตูกำลังจะปิด อยู่ ๆ แดนก็นึกอยากจะรู้ว่า ใครที่เพิ่งชนหลังเขาเข้าอย่างจังเมื่อสักครู่ เด็กหนุ่มลูกครึ่งหันไป ประตูรถไฟฟ้าปิดลง เขาเห็นหลังใครบางคนไว ๆ เอิงออกมายืนที่นอกขบวนรถ รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวออกไป เอิงรู้สึกแปลกใจ ที่เขามองตามขบวนรถนั้นไป ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดที่จะสนใจ ทำอะไรแบบนี้มาก่อน

เอิงแตะบัตรโดยสารที่ประตูทางออก เสียงเตือนว่า มีอะไรบางอย่างผิดปกติ เมื่อประตูกั้นไม่เปิดออก เอิงลองอยู่สองสามรอบ แต่ประตูก็ไม่ยอมเปิด จึงเดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่ห้องจำหน่ายตั๋ว เจ้าหน้าที่รับบัตรจากเอิงไปตรวจสอบให้ แดนที่แทรกตัวลงจากรถไฟฟ้า เมื่อถึงสถานีถัดไป วิ่งข้ามแพลตฟอร์ม พุ่งตัวเข้าไปในขบวนฝั่งตรงข้ามได้ทันเวลา เด็กหนุ่มลูกครึ่งนั่งรถไฟย้อนกลับไปสถานีเมื่อครู่นี้ ใจของเขาสั่งให้เขาทำอะไรบ้า ๆ นี้ เอิงยืนรอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบบัตรโดยสารให้ ก่อนจะรู้ว่าตัวเอง มองไปทางบันไดเลื่อนขึ้นแบบไม่วางตา อะไรบางอย่างดึงดูสายตาของเขาเอาไว้ตรงนั้น เหมือนกับว่า ในอีกไม่กี่วินาทีที่กำลังจะถึงนี้ จะมีใครบางคน คนที่เอิงรอมานาน ขึ้นมากับบันไดเลื่อนนั้น

“ผู้โดยสารคะ” เสียงเรียกของเจ้าหน้าที่ดังขึ้น และดังซ้ำอยู่สองสามรอบ ก่อนที่เอิงจะรู้สึกตัว “ลองแตะบัตรดูอีกครั้งนะคะ” เอิงรับบัตรมาจากเจ้าหน้าที่ เขาค่อย ๆ เดินเข้าใกล้ประตูทางออก ก่อนจะหยุดยืน หันหน้าไปมองทางบันไดเลื่อนนั้นอีกครั้ง แดนยืนรออยู่ที่ประตูรถไฟฟ้า เขาเร่งให้มันเปิดออก เมื่อขบวนรถไฟหยุดจอด เมื่อประตูเปิด เขาเดินออกจากขบวนรถ ก่อนจะมาหยุดชะงักยืนอยู่ที่หน้าบันไดเลื่อน เด็กหนุ่มกำลังคิดว่า ถ้าเขาก้าวขึ้นไปบนบันไดเลื่อนนั้นแล้ว เขาจะเจอกับใคร และถ้าเขาพบกับคนคนนั้น เขาจะทำยังไงต่อไป

คุณปริมมองสามีที่เพิ่งกลับมาถึงห้องพัก สีหน้าของคุณโทมัสดูเคร่งเครียด เมื่อลูกชายคนเดียวของเขา ยังไม่ติดต่อกลับมาแบบที่รับปากเอาไว้ คุณปริมเดินเอาของที่ซื้อมาไปวางไว้บนโต๊ะ คุณโทมัสมองไปที่ภรรยา เขานึกขุ่นใจกับคุณปริม เมื่อเห็นเธอดูจะนิ่ง ไม่ร้อนใจเหมือนกับที่คุณโทมัสเป็นอยู่ในตอนนี้ คุณโทมัสขยับจะพูดอะไรออกไปอยู่หลายที แต่ก็ไม่พูด คุณปริมเห็นแบบนั้น จึงชิงพูดขึ้นมาก่อนเสียเอง

“คุณมีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่าคะ” คุณปริมถามสามีออกไป “มันบอกว่า จะโทรกลับมาวันนี้ นี่ยังไม่เห็นมันเลย” คุณโทมัสเปิดประเด็น เรื่องที่ลูกชายยังไม่โทรหา “ใจเย็น ๆ ก่อนสิคะคุณมันยังไม่หมดวันเลย” คุณปริมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “คุณก็ใจเย็นเกินไป” คุณโทมัสพูดติภรรยาของเขา “คุณตามใจมันจนเคยตัว” คุณโทมัสรู้ว่าภรรยาของเขารักลูกมาก แต่ในเรื่องนี้คุณโทมัสไม่เห็นด้วย

“คุณคะ” คุณปริมพยายามพูดด้วยอารมณ์นิ่ง ๆ “ฉันไม่ได้ตามใจลูกอย่างที่คุณว่านะคะ และถ้าคุณจะหมายถึงเรื่องที่แดนเป็น และเขากำลังตามหาสิ่งที่เขาเชื่อว่ามันเป็นจริง ฉันบอกคุณได้เลย ว่าฉันได้ไปเห็นมันมากับตา พร้อมกับลูก” คุณปริมที่ไปเจอกับแดนที่นิวยอร์ก ยังจำได้ดีถึงเหตุการณ์ในวันนั้น เรื่องที่ไม่น่าเชื่อ ได้เกิดขึ้นต่อหน้าคุณปริม เรื่องราวที่มันร้อยเรียงกัน จนพอเหมาะพอเจาะ เกินกว่าที่จะเป็นการจัดฉากใด ๆ

“ผมรู้ ว่าคุณไปนิวยอร์กกับเจ้าแดนมา แต่ผมไม่นึกว่า คุณจะเห็นดีไปกับมันด้วย” คุณโทมัสทราบเรื่องที่คุณปริมไปหาลูก แต่ก็คิดแค่ว่า มันเป็นการที่แม่ไม่อยากขัดลูกก็เท่านั้น “ถ้าคุณอยู่ในเหตุการณ์เหมือนกับที่ฉันอยู่ คุณจะไม่พูดแบบนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องแค่ว่าฉันตามใจลูก แต่นี่คือสิ่งที่ฉัน ที่เป็นแม่ของแดนทำ เพื่อพยายามเข้าใจความคิดของลูก รับรู้ถึงหัวใจและความรู้สึกของเขา” คุณปริมพูดด้วยความรู้สึกของคนเป็นแม่

“ฉันคิดว่า คุณต้องพยายามมองเขาเสียใหม่นะคะ” คุณปริมพูดต่อ “เรื่องที่คุณจะถอนการลงทุน หรืออะไรกับธุรกิจ อันนั้นฉันไม่ขอก้าวก่าย แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของแดนนี่ แล้วคุณคิดว่า ฉันจะต่อต้านเขาเพียงเพราะว่า คุณไม่ชอบใจในการตัดสินใจของเขา ฉันขอบอกคุณเอาไว้ตอนนี้เลยนะ คุณโทมัส คุณคิดผิด” คุณโทมัสถึงกับหยุดนิ่ง กับสิ่งที่เพิ่งได้ยินภรรยาของเขาพูดออกมา

“ฉันทนเห็นแดเนียลเจ็บปวดแบบนั้นไม่ได้อีก” ภาพของแดนที่ทรุดตัวลง แล้วร้องไห้ออกมาอย่างเกรี้ยวกราดในวันนั้น คุณปริมยังจำมันได้ติดตา “ถ้าคุณจะไม่ยอมรับลูกชายคนเดียวของเรา ฉันก็จะไม่ว่าอะไรคุณหรอกนะคะ” คุณปริมพูดออกมา อย่างคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว “แต่คุณคงต้องกลับอเมริกาไป โดยไม่มีฉันกับลูกไปด้วย” คุณโทมัสถึงกับส่ายหน้า บอกว่านั่นเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้ “ชีวิตที่เหลือของฉันตอนนี้ คืออยู่เพื่อเห็นความสุขของลูก” คุณปริมตัดสินใจแล้ว ว่าหัวใจของแดนสำคัญที่สุดสำหรับเธอ

เมื่อดาวเจ้าเรือนศุภะ ที่เป็นเรือนเกี่ยวกับความเจริญก้าวหน้า ความสุขที่มี รวมถึงการดำเนินชีวิต มาสถิตอยู่ในเรือนตนุ ซึ่งเป็นเรือนของตัวตนนั้น เจ้าชะตามีเกณฑ์จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน ซึ่งจะสามารถสร้างฐานะได้ด้วยตัวเอง โดยที่มีความคุ้นเคยกับชาวต่างชาติ มีโอกาสจะประสบความสำเร็จ กลายเป็นเจ้าของกิจการใหญ่

มีผู้อุปการะให้ความค้ำจุนช่วยเหลือ จนมีสินทรัพย์เป็นหลักเป็นฐาน ผู้ใหญ่ให้ความรักใคร่เอ็นดู ประสบความสำเร็จในแดนไกลต่างถิ่น เหมือนมีพระมาโปรด โชคดีเมื่อยู่ต่างถิ่น และมีความสุขเมื่ออยู่ในบ้านของตน ข้อเสียนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่เจ้าตัว จะไม่ได้อยู่ในถิ่นกำเนิด มักจะต้องจากถิ่นฐาน ต้องเดินทางไป ๆ มา ๆ อยู่เป็นประจำ

“พ่อครับ แม่ครับ” คุณโทมัสและคุณปริมหันไปทางเสียงเรียกนั้น ก่อนจะเห็นแดนยืนจับมือกับเอิง ที่ตอนนี้ เอิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยความตื่นเต้น เมื่อแดนบอกกับเอิงว่า เขาจะพาเอิงมาพบกับพ่อและแม่ เอิงมือสั่น แดนรู้สึกได้ เขาจึงกระชับมือของเขาให้จับมือของเอิงเอาไว้ให้แน่นและมั่นคงขึ้น “ผมเจอคนที่ผมตามหาแล้ว” แดนบอกออกไป “คนที่ผมเคยได้แต่วาดรูปเขาจากความฝัน คนที่ผมฝันถึงเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่ผมยังเด็ก”

“พ่อครับ แม่ครับ เขามีตัวตนอยู่จริง” แดนพูดด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาเลือกแล้ว ว่านี่คือชีวิตของเขาที่จะใช้เดินต่อจากนี้ไป “ผมกับเอิงเคยมีชีวิตอยู่ในอดีต ก่อนที่เราจะกลับมาเกิดใหม่ และพบกันอีกครั้งในชาตินี้” คุณโทมัสมองมาที่แดนและเอิง เขารู้ได้ในทันที และยากที่จะปฏิเสธ ว่าเขาเคยเห็นคนคู่หนึ่ง ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันนี้ในรูปวาดของแดน “ผมเคยสัญญาว่าผมจะกลับมาหาเขาอีกครั้ง” แดนพูดก่อนหันมาสบตากับเอิง

“และผมก็ทำตามสัญญานั้น” แดนพูดก่อนจะหันไปทางพ่อและแม่ “ส่วนเขา เฝ้ารอให้ผมกลับมาหา” แดนบีบมือของเอิง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่า ไม่มีอะไรต้องกังวลใจหรือกลัวแต่อย่างใด “และเขาก็ยืนอยู่กับผมในตอนนี้” แดนรู้ว่า มันจะไม่เหมือนวันที่เขาขึ้นบันไดเลื่อนมา แล้วไม่เห็นใครเลย ที่หน้าประตูทางออกสถานีเหมือนอย่างในวันนั้น

คุณปริมยิ้มให้กับแดนและเอิง สิ่งที่เธอได้ยินจากปากของลูกชาย เธอรู้ว่า แดนพูดมันออกมาจากส่วนลึกที่อยู่ในใจเขา “ผมไม่อยากจะพูดว่า ผมไม่แคร์ ถ้าจะมีใครไม่เชื่อเราสองคน เพราะผมรักพ่อกับแม่มาก แต่ถ้าโลกนี้จะไม่มีใครเข้าใจเราสองคนเลย เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับเราในอดีต” แดนพูดพร้อมสบตากับพ่อของเขา

“ผมก็หวังว่า จะมีพ่อกับแม่ ที่เข้าใจเรา” แดนพูดจบ เขาและเอิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เพื่อหยุดรอฟังคำตอบ

*********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=s8oCmxoY6Ow


สิ่งที่ฉันหวัง สิ่งที่ฉันคอย

What I’ m dreaming of, things my heart desires

อาจดูเหมือนเลื่อนลอย

As if being under the delusion

เกือบจะฝันไป

Away with daydreaming

มองหาคนคนหนึ่ง

Searching for the one

ที่ไม่รู้เป็นใคร

It’ s still the unknown

และไม่รู้เมื่อไหร่

Not knowing when

จะพบคนผู้นั้น

To meet whom I am longing for


ส่วนชีวิตฉัน บอกเลยว่ามี

In my life, there were some of them

เจอะคนที่แสนดี

Meeting those who were very nice

อยู่ทุกทุกวัน

Almost every day

เพียงแค่ไม่มีใคร

Just because no one

ที่จะฝันตรงกัน

Cares to share the same dream

แต่ว่าฉันมั่นใจ

But I am certain

จะพบในไม่ช้า

That won’ t be long now


อาจบางทีในเมืองกว้างใหญ่

Maybe this city is too vast

หมอกและควันช่วยกันพรางตา

Fog and smoke get in our eyes

มีขอบรั้วขอบกำแพงสร้างมา

Edges and walls built and all

ตึกระฟ้าคอยบังเราอยู่

Skyscrapers mark the boundary of our vision


แต่เราก็หากันจนเจอ

Yet, we have found ourselves standing here

มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา

It’ s been ages to have been waiting for you

รู้สึกไหมว่าชีวิตคุ้มค่า

Do you feel it that this life is now precious?

เมื่อมีใครสักคนข้างกาย

The minute you have someone right beside you


เกิดมาเพื่อหาใครคนหนึ่ง

Born into this life to await the one

เป็นคนที่ฟ้าสร้างมาตรงใจ

Who is a godsend that fits my heart

เราต่างรู้โลกมันแสนกว้างใหญ่

The world is so wide obviously

แต่มันคงไม่ยากเกินไป

But that won’ t be much of a problem

ที่ฉันจะพบเธอ

For me to find you


อาจมีสักครั้ง

There will be time

ที่เราสองคน

That the two of us

ผ่านทางที่วกวน

Must go through rough roads

อยู่ใกล้ใกล้กัน

Closer than we think

ใบไม้เพียงใบหนึ่ง

There’ s this one leaf

หล่นตอนที่เดินผ่าน

Falling down as we stroll

ฉันคงจะมองมัน

Should I look right over there

เมื่อเธอเดินผ่านมา

The moment you come this way


อาจบางทีในเมืองกว้างใหญ่

In this huge city we’ re living in

หมอกและควันช่วยกันพรางตา

Fog and smoke make the feature inexplicit

มีขอบรั้วขอบกำแพงสร้างมา

Beams and walls and before

ตึกระฟ้าคอยบังเราอยู่

The high-rises get in our ways


แต่เราก็หากันจนเจอ

But now you are here with me

มันนานแค่ไหนที่คอยเธอมา

It’ s been awfully long waiting for you

รู้สึกไหมว่าชีวิตคุ้มค่า

Can you see that this life is a worthy cause?

เมื่อมีใครสักคนข้างกาย

To have someone like you in it


เกิดมาเพื่อหาใครคนหนึ่ง

Born into this world to be with the only one

เป็นคนที่ฟ้าสร้างมาตรงใจ

Who is God’ s creation, and is larger than life

เราต่างรู้ โลกมันแสนกว้างใหญ่

We both know we’ re in this eminent world

แต่มันคงไม่ยากเกินไป

That says it is still relatively effortless

ที่ฉันจะพบเธอ

For me to find you
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๒๙ ศุภะ - ตนุ (คนที่รักมีความสุขคนที่สุขมีความรัก)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 17-05-2022 21:02:43
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๐ พันธุ - มรณะ (บ้านคือวิมานของเรา)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 18-05-2022 21:21:19
๓๐.



พันธุ - มรณะ (บ้านคือวิมานของเรา)





“วันนี้กลับถึงห้องไวจัง” นนท์ทักคนรักของเขา ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา เมื่อเห็นอุ่นยืนทำอะไรง่วนอยู่ในครัวเล็ก ๆ นั้น “เสร็จจากงานที่โรงพยาบาล อุ่นไม่มีเคสคนไข้ตามบ้านน่ะครับ รู้สึกเพลีย ๆ เลยอยากกลับห้อง นี่ก็แวะซูเปอร์ มาร์เก็ต ซื้อของมาตุนเอาไว้ แต่ยังไม่ได้เก็บให้เข้าที่เลย” อุ่นเล่าให้คนรักของตัวเองฟัง นนท์เปิดตู้เย็น รินน้ำใส่แก้ว ฟังที่อุ่นพูด ก่อนยกน้ำขึ้นดื่ม มองไปที่อุ่นที่กำลังขมีขมันทำครัวอยู่

“มือเย็น อุ่นทำอะไรให้นนท์กินบ้างครับ” นนท์เดินเข้าไปโอบตัวของอุ่นจากทางด้านหลัง “ระวังมีดบาดครับนนท์” อุ่นร้องเตือน แต่นนท์ไม่สนใจ เขากอดเอวของอุ่นเอาไว้ คางเกยไว้ที่บ่าของคนรัก มองดูมือของอุ่นที่หั่นผลไม้หลากชนิดเป็นชิ้นเต๋าเล็ก ๆ “ตอนไปซูเปอร์ เห็นผลไม้หลายอย่างลดราคาพอดี เลยอยากทำฟรุตสลัดให้นนท์ลองชิม ร้อน ๆ แบบนี้ แก้กระหายได้ดี” นนท์มองดูผลไม้ที่หั่นแล้วหลากสีสัน อยู่ในโถแก้วใบใหญ่

“สีสวยน่ากินจัง” นนท์พูด ก่อนจะเหลือบตามองไปที่เจ้าของเอว “น่ากินไปหมด” นนท์พูดย้ำ เมื่อเห็นอุ่นที่ได้ยินที่เขาพูด แต่ทำเป็นนิ่ง “ส่วนมื้อเย็น อุ่นซื้อเนื้อบดมา ว่าจะทำผัดกะเพราพริกแห้ง เห็นมีคนบ่นว่าอยากกินมาหลายวันแล้ว” อุ่นหลบสายตาของนนท์ มาโฟกัสอยู่ที่ผลไม้ที่กำลังหั่นอยู่ “นนท์กินหมดแหละ” นนท์พูดบอกกับอุ่น “ฟรุตสลัดก็กิน” นนท์ใช้ปลายจมูกไล้ไปที่ต้นคอของอุ่น

“กะเพราเนื้อก็กิน” นนท์พูดก่อนจูบลงที่ด้านหลังหูของอุ่น “แล้วก็ นนท์จะกินอุ่นด้วย” พูดจบ นนท์ก็จูบที่ริมฝีปากของอุ่น ก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปค้นหาความหอมหวานในโพรงปากของอุ่น นนท์ ขบ เม้ม บดริมฝีปากของเขาเข้ากับอุ่น “พอก่อน” อุ่นที่เริ่มหายใจแรง บอกให้นนท์หยุดเอาไว้ก่อน “กลับมาเหนื่อย ๆ อาบน้ำก่อนมั้ย” อุ่นถามขึ้น นนท์สบตากับอุ่นเป็นเชิงชั่งใจ

“ก็ได้ครับ อุ่นจะได้เตรียมตัวด้วย” นนท์จุ๊บปากของเขากับอุ่นอีกครั้ง ก่อนจะเดินผิวปากเดินเข้าห้องนอนไป อุ่นมองตามนนท์ไป ก่อนจะยิ้มอาย ๆ ตั้งแต่เขากับนนท์ได้มีโอกาสกลับมาเป็นแฟนกันอีกครั้ง ชีวิตที่เคยเงียบเหงาและเดียวดายของอุ่น ก็เหมือนกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง จากที่การกลับมาถึงห้อง คือการกลับมาจมจ่อมอยู่กับตัวเอง อุ่นเคยมีแต่งานและความเหาเป็นเพื่อนแท้เท่านั้น

ห้องชุดคอนโดห้องนี้ ที่กลายร่างจากความฝันมาเป็นความจริง คืออีกหนึ่งสิ่ง ที่ทำให้ชีวิตของอุ่นเปลี่ยนไป จากวันที่ไปธนาคารด้วยกับนนท์ในวันนั้น จนวันที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ มันเหมือนฝันไป แต่เขาก็ได้ยืนเคียงข้างกับนนท์จริง ๆ แม้ว่า ก่อนหน้านี้ จะต้องผ่านเรื่องราวที่ทรมานใจกันมา นนท์นั้นแสดงให้อุ่นเห็นว่า เขาจริงจังและตั้งใจมาก ๆ ที่จะมีอุ่นอยู่ในชีวิต และจะไม่ยอมให้อะไรมาทำให้ทั้งคู่ ต้องแยกทางกันอีก

อุ่นออกมาจากห้องน้ำ ละอองน้ำยังพราวอยู่บนใบหน้าของเขา อุ่นหยิบเอาเสื้อคลุมอาบน้ำนั้น มาสวมทับร่างกายที่เปลือยเปล่าเอาไว้ เสียงของนนท์เรียกหาตัวเขามาจากห้องด้านนอก อุ่นเยี่ยมหน้าออกไปมอง เห็นนนท์ที่นุ่งกางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว ยืนพิงอยู่ที่ขอบโต๊ะทานข้าว กำลังมองมาที่เขา นนท์เรียกอุ่นอีกครั้งให้เดินไปหา อุ่นเดินไปตามคำเรียกนั้น นนท์หยิบเอาชิ้นผลไม้โยนเข้าใส่ปาก มองตามอุ่นเหมือนไม่อยากให้คลาดสายตา

“อุ่นยังไม่ได้เอามาผสมกันเลย” อุ่นพูด ก่อนที่สองมือของเขา ที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบโถแก้วใบใหญ่นั้น จะถูกมือของนนท์รวบเอาไว้เสียก่อน นนท์ดึงตัวของอุ่นให้เข้ามายืนชิดกับเขา ตาของนนท์สบกับอุ่น โดยมือของเขาค่อย ๆ คลายสายรัดเสื้อคลุมจากเอวของอุ่น สาบเสื้อคลุมแยกออกจากกัน นนท์มองตามลงไป ก่อนจะใช้มือเคล้าคลึงที่กึ่งกลางลำตัวของอุ่น อุ่นร้องเบา ๆ ในลำคอ เมื่อส่วนของร่างกายถูกสัมผัสจากมือของนนท์ จับต้อง

“อุ่นจับของนนท์ด้วยสิ” นนท์ไม่พูดเปล่า ดึงมือของอุ่นไปที่แก่นกายของเขา ที่นนท์ดึงออกมาข้างขากางเกง นนท์เป่าลมหายใจออกจากปาก เมื่อมือของอุ่นจับไปที่ความแข็งแกร่งนั้น แล้วขยับมือรูดขึ้นลงช้า ๆ นนท์มองตามมือของอุ่นที่เลื่อนอยู่นั้น ก่อนดันเอวของเขาให้สวนจังหวะมือของอุ่น นนท์หายใจแรงขึ้น ส่วนอุ่นนั้น ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้น จากเลือดที่สูบฉีดตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน

นนท์ใช้มือดันเสื้อคลุมอาบน้ำของอุ่น ให้หลุดลงไปกองที่พื้น เขามองสำรวจเรือนร่างของอุ่น คนที่เขาปรารถนาจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยตลอดไป นนท์สังเกตเห็นส่วนของอุ่นแข็งขันขึ้น เขาจึงดันตัวขึ้นจากขอบโต๊ะทานข้าว แล้วจับตัวของอุ่นยกขึ้นนั่งบนโต๊ะ นนท์ไล้นิ้วไปบนส่วนปลายของอุ่นที่น้ำใส ๆ นั้น เริ่มดันตัวออกมา มันลื่นติดปลายนิ้วของนนท์ไปทั่วทั้งบริเวณที่นนท์ลากนิ้วผ่านไป นนท์เห็นอุ่นเม้มริมฝีปากเข้าหากัน สะดุ้งตัวเล็กน้อย ไปตามแรงไล้นิ้วของเขา ก่อนที่อุ่นจะต้องบีบแขนของนนท์จนแน่น เมื่อนนท์ก้มลงครอบปากไปตามความยาวทั้งหมดที่อุ่นมี

อุ่นสุดลมเข้าปาก ก่อนจะต้องผ่อนลมหายใจนั้นออกมา เมื่อนนท์ขยับปากของเขาขึ้นลงจนมันฉ่ำเยิ้มไปทั้งขนาด นนท์ยอมรับว่า ขนาดของอุ่นทำให้เขาตื่นเต้นมากจริง ๆ เขาชอบที่ได้เห็นอุ่น ฝ่ายรับของเขามีความเขื่องสีขาวอมชมพูแบบนี้ นนท์รูดเม้มริมฝีปากของเขาที่ส่วนหัวนั้น เขาไม่เลื่อนดึงส่วนหนังหุ้มลง มันทำให้น้ำใส ๆ ที่แสดงถึงความพร้อมที่จะเสพสุขของร่างกายผู้ชาย เคลื่อนตัวลงมาที่แก่นกาย ให้นนท์ได้ตวัดลิ้นลากเอาน้ำใสนั้น ขึ้นไปที่ส่วนปลาย แล้วรูดรั้งให้ส่วนหุ้มหนังนั้นเปิดออก และดันตัวลงมาที่คอหยักตามแรงลิ้นของเขา

นนท์ขยับตัวยืนขึ้น เมื่ออุ่นให้สัญญาณว่า ถ้าขืนนนท์ทำแบบนั้นต่อไป เกมนี้มันจะจบลงในไม่ช้า อุ่นเคลื่อนตัวลงจากโต๊ะทานข้าว ก่อนจะค่อย ๆ ย่อตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้น อุ่นมองเห็นความชูชันของนนท์ ที่เด่นชัดอยู่ตรงหน้า นนท์ใช้มือประคองใต้คางของอุ่น ก่อนจะไกด์นำทางให้ริมฝีปากของอุ่นมาชนเข้ากับส่วนปลายที่บานเป็นเงี่ยงรออยู่แล้ว อุ่นเงยหน้าขึ้นสบตากับนนท์ จูบเบา ๆ ที่ปลายแท่งทวน สัมผัสถึงน้ำหล่อลื่น ที่ละเลงตัวอยู่ทั่ว รสชาติปะแล่มนั้น รับรู้ได้ทันทีที่อุ่นใช้ลิ้นไล้เล็มไปจนทั่ว

นนท์สูดปากออกมาเบา ๆ เมื่อได้รู้สึกถึงความซ่านทรวงนั้น ก่อนที่เขาจะไกด์ให้อุ่น รับเอาความยาวทั้งหมดนั้น เข้าสู่โพรงปาก นนท์ให้อุ่นดูดเล็มความแข็งแกร่งของเขาสักพัก ก่อนที่เขาจะขยับเอวเข้าออก จากช้าเป็นเร็ว จนเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของอุ่นเริ่มติดขัด เขาจึงผ่อนแรงนั้นลง อุ่นถอนปากออกจากความอวบ ชูชัน และแข็งขันนั้น ส่วนปลายแดงของลำยาวสีเข้ม พักอยู่บนริมฝีปากของเขา เส้นเลือดที่ปูดโปนไปตลอดทั้งลำของนนท์ ฝ่ายรุกของเขา เพิ่มการกระตุ้นเร้าอารมณ์ให้อุ่น

นนท์ดึงตัวให้อุ่นยืนขึ้น ก่อนจะบดริมฝีปากเข้ากับอุ่น กลิ่นและรสชาติของผลไม้ที่นนท์กินไปก่อนหน้านี้ อวลอยู่ในปาก เคล้ากับกลิ่นของความเป็นชายจากกันและกัน ที่เป็นตัวการทำให้ชายทั้งสอง ตื่นตัวอย่างเต็มที่ อุ่นนอนลงบนโต๊ะอีกครั้ง โดยที่มีนนท์จับขาทั้งสองข้างของอุ่นยกตั้งขึ้น และนั่นทำให้ช่องทางชมพูระเรื่อของอุ่นเผยขึ้น นนท์รู้สึกได้ถึงน้ำหล่อลื่นของเขาดันตัวออกมาเพิ่ม เมื่อได้เห็นภาพที่เร้าอารมณ์แบบนั้น

“ผลเลือดของเราออกมาแล้วนะครับ” เสียงของนนท์กระเส่า เต็มไปด้วยความต้องการ “เราไม่ต้องใช้แล้วนะ” นนท์บอกกับอุ่น “ไม่ใช้ได้มั้ย” นนท์ถามอุ่นก่อน หากว่าอุ่นจะยังไม่พร้อม ถ้านนท์จะรุกล้ำเข้าไปในตัวของอุ่น โดยไม่มีอะไรกางกั้น อุ่นสบตากับนนท์ ก่อนจะพยักหน้ายินยอม นนท์ก้มลงรูดปากกับแก่นกลางตัวของนนท์อีกครั้ง แล้วจึงค่อย ๆ เลื่อนลิ้นลงสัมผัสช่องทางของอุ่น เขาโลมเลียเลาะเล็ม จนอุ่นต้องส่งเสียงออกมาด้วยความพึงพอใจ

จนเมื่อนนท์เห็นว่า อุ่นพร้อมแล้ว เขาจึงป้ายเจลหล่อลื่นเข้าที่ช่องทางนั้น ก่อนจะใช้นิ้วนำทางมันเข้าไปด้านใน เพื่อให้อุ่นเตรียมพร้อมที่จะรับการรุกล้ำนี้ นนท์สังเกตเห็นแก่นกายของอุ่นชูชันแข็ง ไม่อ่อนลง ก็เอาเจลมาป้ายทาที่แท่งทวนของเขาจนมากพอ แล้วจึงจับให้อุ่นกึ่งนั่งกึ่งนอน ให้อุ่นใช้สองมือโอบรอบคอของเขาไว้ ก่อนนนท์จะประกบปากกับอุ่น แลกลิ้น เมื่อเขาดันตัวเข้าหาอุ่น ที่โหย่งตัวหนีและมีเสียงร้องในลำคอดังให้ได้ยิน

อุ่นเกร็งตัว นนท์รั้งอุ่นให้อยู่นิ่ง ๆ อุ่นกำลังปรับร่างกายอยู่ นนท์จึงแช่ความยาวที่เข้าไปเพียงครึ่งเดียวเอาไว้ก่อน นนท์เทเจลที่มือ ก่อนเขาจะขยับมือนั้น ขึ้นลงที่ความแข็งขันของอุ่น จนอุ่นมีทีท่าว่าจะผ่อนคลายลง นนท์จึงค่อย ๆ เข้าขยับตัวเข้าออก เข้าออก เมื่อไม่รู้สึกว่า ช่องทางของอุ่นต่อต้านความแข็งขันของเขาอีกต่อไป นนท์ก็เร่งความเร็ว รัวบั้นท้ายของเขาไปตามความรู้สึก โดยมีอุ่นขยับตัวสวนช่องทางนั้น เข้าหานนท์อย่างเร่าร้อน

“มาแล้ว มาแล้ว” หญิงสาววางถาดใส่เครื่องดื่มลงตรงกลางวงเพื่อน ๆ ที่นั่งรออยู่ กลุ่มเพื่อนผู้หญิงสามคน เลือกที่นั่งติดกับกระจกบานใหญ่ของร้าน มองออกไปเห็นด้านนอกได้ชัดแจ๋ว สามสาวแจกเครื่องดื่มตามที่แต่ละคนสั่ง ก่อนจะผลัดกันยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเครื่องดื่มหน้าตาดี ในแก้วทรงสวยเหล่านั้น เพื่อทำการเช็กอินร้าน ลงรูปในโลกโซเชียล มีเดีย แล้วจึงยกเครื่องดื่มนั้นขึ้นจิบอย่างมีความสุข ทั้งหมดคุยเรื่องสัพเพเหระ ที่ทั้งสามมักจะรวมตัวกันหลังเลิกงาน

“นี่พวกแก ดูผู้ชายเซอร์ ๆ ติ๊สท์ ๆ คนนั้นสิ” หนึ่งในสามสาวบอกให้เพื่อนอีกสองคน มองตามผ่านกระจกใส ออกไปที่นอกร้าน “อุ๊ยหล่ออ้ะ” คนหนึ่งพูดขึ้น เธอว่า ผู้ชายสไตล์แบบนี้หน้าตาดีเข้าขั้น “แอบถ่ายรูปไว้ดีมั้ย” อีกคนหนึ่งสองจิตสองใจ หยั่งเชิงถามเพื่อน “เดี๋ยวสิพวกแก ที่ฉันเรียกให้ดูเนี่ย เพื่อจะบอกว่า ฉันเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น นานแล้ว เหมือนจะมารอใคร” สาวคนแรกที่ชี้ชวนให้เพื่อนดูพูดขึ้น

“มารอแฟนซะล่ะมั้ง” หนึ่งในนั้นเสริม สามสาวมองหน้ากัน ก่อนจะเริ่มถกว่า หนุ่มหล่อมาดเซอร์คนนี้ มารอแฟนจริงหรือเปล่า และแฟนของเขาน่าจะเป็นใคร “ผู้ชายแน่นอน” คนที่เป็นคนยกเครื่องดื่มมาให้เพื่อนยืนยัน “จ้ะ แม่สาววาย” อีกสองคนแซวเพื่อน ที่เป็นคนดูซีรี่ส์ผู้ชายรักกันอย่างติดหนึบ เป็นแฟนตัวยงอย่างเหนียวแน่น “แต่ถ้าเป็นแบบที่เธอบอกจริง ๆ แล้วเป็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ แบบ ไฮ้ท์ ดิฟเฟอเร้นท์ ชัดเจน ก็ฟินดีอยู่นะ” หนึ่งในนั้นพูดไปทำท่าเขินไป

“แบบหน้าผากสูงแค่คางเค้า แล้วเค้าต้องก้มมาจุ๊บแบบนั้น ใช่มั้ย” อีกคนหนึ่งเลยพลอยเสริมไปด้วย ทำให้ทั้งหมดคิกคัก กรี๊ดกร๊าดกัน จนต้องเตือนกันเอง เพราะเดี๋ยวจะเสียงดังเกินไปจนรบกวนลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้าน “เอาเป็นว่า ให้เขาชอบผู้ชายก่อนดีกว่า” ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างดึงสติให้กัน “ถ้ามายืนรอยาย รอแม่ล่ะ จบเลยนะ” อีกคนพูดกลั้วหัวเราะ สองคนที่เหลือทำท่าจะทุบเพื่อน ที่พูดสลายเรื่องราวในมโนภาพ แต่ก่อนจะได้พูดอะไรกันต่อ ทั้งหมดก็รีบตีแขนกันและกัน ให้ดูภาพตรงหน้านั้น

“รอนานมั้ย” หนูจ๋าที่เดินลงมาจากตึกสำนักงาน ถามขึ้น เมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า “นานมาก หนูจ๋าต้องโดนพี่ทำโทษ” คันศรแกล้งทำหน้ามุ่ย คาดโทษแฟนของตัวเอง ที่ปล่อยให้เขายืนรออยู่เป็นนานสองนาน “อะไรอ้ะ หนูจ๋าก็ลงมาตามเวลาที่นัดกัน พี่ศรอยากมาก่อนเวลาเอง” เสียงกระเง้ากระงอดนั้น ทำให้คันศรที่อยากจะทำเข้ม กะจะวางมาดแฟนหนุ่มผู้ขึงขังและออกคำสั่ง กลับต้องเป็นฝ่ายอ่อนลง และกลายเป็นฝ่ายที่ต้องยอม

“พี่ล้อเล่นนะครับ” คันศรพูดเสียงอ่อนโยน ก่อนจะเอามือยกขึ้นขยี้ผมของหนูจ๋าเบา ๆ อย่างรักใคร่และเอ็นดู หนูจ๋าที่ทำท่าจะโกรธ งอนแฟนหนุ่ม ก็ต้องหลุดยิ้มออกมาเสียอย่างนั้น “ไม่ได้โกรธจริงนี่ หลอกพี่หรือครับ” คันศรพูด เมื่อเห็นหนูจ๋ายิ้ม “ท่าจะอยู่กับยัยศศิมากไปแล้ว” คันศรคิดว่า เดี๋ยวนี้ที่หนูจ๋าเริ่มจะแสบมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องได้รับอิทธิพลมาจากน้องสาวของเขาแน่ ๆ

“ไป กลับบ้านกันเถอะ แม่รอกินข้าว” คันศรบอกกับแฟนของตัวเอง ก่อนยื่นมือให้หนูจ๋าจับ หนูจ๋าเขินคนที่เดินผ่านไปผ่านมา เลยจับที่ข้อมือของคันศรแทน “ต่อไปพี่อนุญาตให้หนูจับมือเท่านั้นนะ ข้อมือไม่นับ” คันศรยอมผ่อนผันให้หนูจ๋าแค่ช่วงแรกนี้เท่านั้น หนูจ๋าฟังที่คันศรพูด ก็ได้แต่ก้มหน้าเดินงุด ๆ ตามอีกฝ่ายไป ส่วนสามสาวในร้านกาแฟนั้น กรี๊ดกร๊าดชอบใจกันตั้งแต่เห็นช็อตขยี้ผมแล้ว

“กลับมาแล้วครับ” คันศรร้องบอก เมื่อเขาเปิดประตูบ้าน เดินนำหนูจ๋าเข้าบ้านมา “จะไปอาบน้ำกันก่อน หรือจะกินข้าวเย็นกันเลย” คุณอนงค์ถามทั้งสองคน เมื่อเห็นว่าเพิ่งจะกลับถึงบ้านกันมา “หนูหิวแล้ว” เสียงยัยศศิดังลงมาจากชั้นสองของบ้าน “น้องแกบ่นว่าหิวตั้งแต่ถึงบ้าน” ผู้เป็นแม่รายงานเรื่องน้องสาวให้พี่ชายฟัง “หนูจ๋า วันนี้มีหนังใหม่ลงสตรีม เดี๋ยวมาดูด้วยกันที่ห้องศศินะ” น้องสาวของคันศรลงมาจากข้างบน ก็รีบชวนแฟนพี่ชายให้ไปดูหนังเป็นเพื่อนกัน

“แฟนผมครับ ขอโทษ ผมไม่อนุมัติ ห้องผมก็มีดู” คันศรปฏิเสธแทนหนูจ๋า เพราะแน่ใจแล้วว่า ยัยศศินี่แหละ ที่เป็นคนป้อนข้อมูลความลับต่าง ๆ ของเขา ตั้งแต่เด็กให้หนูจ๋าได้รู้ “อยู่ห้องพี่ศร ก็ได้ดูแต่บอลนั่นแหละ ไม่รู้จะมีสตรีมมิ่งไว้ทำไม เปลืองเงินเปล่า ๆ” หนูจ๋าได้แต่อยู่ตรงกลาง ระหว่างศึกของสองพี่น้อง “ไป ๆ แยกกันไปก่อน อย่ามายืนเถียงกันอยู่ หนูจ๋าลูก แล้วพี่หนูดีล่ะ” แม่ไล่ให้คันศรกับศศิแยกกันไป ก่อนจะถามถึงพี่สาวของหนูจ๋า พอดีกับที่กริ่งหน้าบ้านดังขึ้น

“น่าจะเป็นพี่หนูดี เดี๋ยวหนูจ๋าออกไปดูให้นะครับ” หนูจ๋าเดินออกไปที่หน้าประตูรั้ว คันศรทำท่าจะเขกกะโหลกน้องสาว ยัยศศิรีบวิ่งไปหาพ่อ และฟ้องว่าคันศรจะแกล้งเธอ คุณศรัณย์มองลอดแว่นด้วยสายตาตำหนิ ก่อนจะดุทั้งสองพี่น้องว่า “เจ้าศรถ้ายังไม่ไปอาบน้ำอาบท่า ก็ช่วยแม่เขาจัดโต๊ะอาหารเข้า ศศิด้วย โตแล้วทะเลาะกันอย่างกับเด็ก” คันศรกับศศิย่นจมูก เบ้ปากใส่กัน ก่อนจะเดินไปช่วยแม่ยกสำรับกับข้าว อย่างว่าง่าย

“สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่” หนูดียกมือไหว้คุณอนงค์และคุณศรัณย์ ผู้อาวุโสกว่าทั้งสองยกมือรับไหว้ “หนูแวะซื้อขาหมูเจ้าอร่อยมาด้วยค่ะ” หนูดียื่นกับข้าวให้กับศศิที่เข้ามารับไปจัดใส่จาน “ศศิกำลังอยากกินอยู่พอดีเลยค่ะ พี่หนูดี” หนูดียิ้มให้กับศศิ ต่างฝ่ายต่างเป็นพี่สาวและน้องสาวที่ไม่เคยมีของกันและกัน เลยดูจะเข้าใจหัวอกลูกสาวกันได้ดีเป็นพิเศษ หนูจ๋าเดินตามหนูดีเข้ามาเงียบ ๆ

“ให้เวลาเขาหน่อยแล้วกัน” หนูดีรู้ว่า ทำไมน้องชายของเธอถึงทำหน้าหงอยแบบนั้น “หรือว่าจะต้องให้เวลาพ่อกับแม่แบบนี้ ไปจนกว่าจะจากกัน” หนูจ๋าพูดด้วยเสียงเศร้า ๆ หนูดีโอบไหล่ของน้องเอาไว้ เพื่อให้กำลังใจ คันศรมองไปที่แฟนของเขา มองเห็นสายตาของหนูจ๋า ที่มองมายังคุณอนงค์และคุณศรันย์ ที่หนูจ่าเคยพูดกับคันศรเอาไว้ว่า พ่อและแม่ของคันศร ไม่เพียงแต่จะต้อนรับหนูจ๋าเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัว ในฐานะแฟนของลูกชายแล้ว ยังมีน้ำใจเผื่อแผ่ความรักความเอ็นดู มาถึงพี่หนูดี พี่สาวของหนูจ๋าอีกด้วย เสมือนว่า หนูดีเองก็เป็นลูกสาวอีกคนหนึ่งของทั้งสองท่าน

เมื่อดาวเจ้าเรือนพันธุ ที่แปลว่า ที่ติดเนื่องกัน นั่นหมายถึง ที่อยู่อาศัย บ้าน ที่ดิน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง มาตกในเรือนมรณะ ที่มีความหมายถึง การเปลี่ยนแปลงสภาพ สูญเสียหรือแปรเปลี่ยนไป อาจจะรวมถึงการสิ้นสุดของโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งเครื่องหมายทางเพศ

เจ้าชะตาจึงมีเกณฑ์ที่จะได้อาศัยอยู่ในบ้านที่ไม่ใช่ของตัวเอง มีใครบางคนในครอบครัว ที่อาจจะต้องห่างเหินกันไป อาจจะหมายถึงว่า เจ้าชะตานั้น มีพี่น้องไม่มากนัก จะสร้างหรือหาทางลงหลักปักฐาน คงจะต้องทำมันด้วยตัวเอง เรื่องราวที่ได้ผ่านไปแล้วนั้น อาจจะไม่เป็นไปตามที่หวังเอาไว้ อาจจะมีการโยกย้าย การเกิดขึ้นอย่างลึกลับ แต่มันไม่น่ายินดี ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของตัวเจ้าชะตาเอง

“แกรู้อะไรมั้ย” หนูดีเอ่ยขึ้นกับหนูจ๋า ทำให้น้องชายมองสบตากับพี่สาว “ทายซิ ว่าใครมาส่งพี่ที่บ้านนี้” หนูดีพูด เลิกคิ้วเป็นเชิงให้หนูจ๋าหาคำตอบ “และฉันไม่ได้โกหกแกนะ หนูจ๋า” หนูดีบอกกับน้องชายออกไป “ฉันพูดจริง ๆ” หนูจ๋าพอที่จะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง กับสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อแม่

“ก็ถือว่า มีพัฒนาการอยู่นะ อาจจะช้าหน่อย แต่ก็ไม่ได้ปิดตายเหมือนก่อนหน้านี้” หนูดีพูด ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะอาหาร เมื่อคุณอนงค์เรียกให้ทุกคนไปนั่งทานข้าวด้วยกัน คันศรเดินไปหาหนูจ๋า ยิ้มให้กับแฟนของตัวเอง ก่อนยื่นมือออกไป หนูจ๋ายิ้มตอบกลับมาให้คันศร จับมือของคันศร แล้วเดินมานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวของเขา

******************************

คำแปลเนื้อเพลงภาษษอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=3GuvVQKV77s


จะเป็นดาวดวงใดที่ปลายฟ้า

None of twinkling stars upon the night sky

จะเป็นรุ้งเส้นใดที่ทอดมา

Not even the brightest rainbows after the rain

จะเป็นใครคนใดก็ไม่เข้าตา

No one else out there catches my eye

ไม่สวยงามได้อย่างเธอ

You’re the most beautiful man to me


จะเป็นเพื่อนใกล้ชิดสนิทเพียงไร

There are these closet friends of mine

จะเป็นใครคนใดที่เคยพบเจอ

And all the people I have ever known

ไม่มีใครเข้าใจฉันเหมือนเธอ ไม่มี

That it’s you who totally understand me


จะเป็นใครคนใดเมื่อก่อนนั้น

Not with someone I might have been with

ที่บอกกับฉันว่ารักกันมากมาย

Though once said I was the love of theirs

แต่ละคนเข้ามาก็เลยพ้นไป

They’ve come then gone like all seasons

ไม่รักฉันจริงสักคน

They were not in love with me for sure


อยู่บนโลกที่แสนกว้างใหญ่เกินไป

The expansive interpretation of this world

เหนื่อยใจจนมันเกือบจะไม่ทน

Had my very own heart extremely worn out

แต่ฉันก็ยังได้พบคนอย่างเธอ

Though luck was on my side that I have you with me


หมื่นแสนล้านนาทีต่อไปนี้

Countless of the time from now

ขอใช้มันไปกับเธอ

That will be spent with you

อยากมีวันเวลาที่สวยงามดั่งความฝันที่เคยละเมอ

Our days to come will be beautiful as I am imagining it


แสนล้านนาทีต่อไปนี้ ไม่มีใครเทียมเท่าเธอ

With time remaining here, no one can compare with you

จะบอกให้คนทั้งโลกได้รู้ว่า

I’ll have this world known this very thing

หนึ่งชีวิตฉันยกให้เธอ

That my life belongs to you

ทั้งหัวใจ

With all of my heart


จะไม่มีคืนใดที่เหน็บหนาว

There will be no cold shivering nights left

หากว่าสองเราอิงมาซบกัน

As we’re sharing the warmth that put our hearts at ease

จะไม่มีวันใดที่เลยพ้นผ่าน

Not even one single day will pass

โดยไร้ซึ่งในความหมาย

Without the meaning of our life


จะไม่เหลือพื้นที่สักเศษมุมเดียว

All places and squares will be fully taken

เมื่อเราประคองเกี่ยวโยงหัวใจ

When our hearts connecting all the dots

สุดท้ายชีวิตฉันรักได้แต่เธอ

The big picture is you and I are falling in love


หมื่นแสนล้านนาทีต่อไปนี้

The rest of time in my life from now

ขอใช้มันไปกับเธอ

I’ll spend it with you

อยากมีวันเวลาที่สวยงามดั่งความฝันที่เคยละเมอ

The wonderful days to come will be like in all my dreams

แสนล้านนาทีต่อไปนี้ ไม่มีใครเทียมเท่าเธอ

This minute and the time after, only you are real

จะบอกให้คนทั้งโลกได้รู้ว่า

This world must really know that

หนึ่งชีวิตฉันยกให้เธอ ทั้งหัวใจ

This one life of mine is yours, all of me


แสนล้านนาทีต่อไปนี้

All of my time left

ขอใช้มันไปกับเธอ

I’ll stay with you in each day

อยากมีวันเวลาที่สวยงามดั่งความฝันที่เคยละเมอ

The dreams I dream are beautiful having you in single one of them


แสนล้านนาทีต่อไปนี้

The time of my life from here

ไม่มีใครเทียมเท่าเธอ

You’re the only one I really care

จะบอกให้คนทั้งโลกได้รู้ว่า

I’ll say this and it will be just this, period

หนึ่งชีวิตฉันยกให้เธอ

That I am yours

ทั้งหัวใจ

With all of my heart and soul
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๐ พันธุ - มรณะ (บ้านคือวิมานของเรา)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 18-05-2022 22:25:56
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๑ มรณะ - พันธุ (ทุกที่ที่มีเธอ)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 20-05-2022 21:45:37
๓๑. (๑)



มรณะ – พันธุ (ทุกที่ที่มีเธอ)





“คิดถึงจังเลยครับ” ปั๋นได้ยินเสียงจากปลายสายบอกกับเขา ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน คุณย่าท่านที่นั่งอยู่บนตั่งใกล้ ๆ กำลังช่วยคนงานจัดแจกันดอกไม้ เหลือบมองไปที่ปั๋น ท่านไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีรอยยิ้มบาง ๆ ให้เห็น เพราะผู้สูงวัย พอจะทราบว่าเป็นใคร ที่เพียรโทรมาหาได้ตลอด ทั้งเช้า สาย บ่าย ค่ำ “เดี๋ยวผมต้องไปช่วยพี่ ๆ ที่หน้าฟร้อนท์แล้วครับ” ปั๋นเลี่ยงบอกกับคนที่ปลายสายไปแบบนั้น

“ปั๋นไม่คิดจะบอกคิดถึงพี่กลับบ้างเลยหรือไง” ปราชญ์ทำเสียงบ่นน้อยใจ เมื่อแผนตะล่อมของเขา ที่อยากได้ยินคำพูดหวาน ๆ จากอีกฝ่าย ไม่ได้ผล “ใจแข็งจัง” ปราชญ์ทำเสียงกระเง้ากระงอด แต่ก็พอจะนึกสีหน้าของปั๋นออก ว่าคงจะกังวลว่า เขาจะโกรธจริง ๆ “คุณปราชญ์ เราเพิ่งเจอกันไปสัปดาห์ที่แล้วเองนะครับ” ปั๋นเตือนความจำคนที่อยู่ปลายสาย

“ก็มันคิดถึงอีกแล้วนี่ หนึ่งสัปดาห์เต็ม ๆ แล้วนะปั๋น” ปราชญ์เทียวบินขึ้นลงกรุงเทพฯ กับเชียงรายมาหลายสัปดาห์แล้ว “จริง ๆ คุณปราชญ์ไม่ต้องมาทุกสัปดาห์ก็ได้นะครับ มันหมดเปลืองเปล่า ๆ” ปั๋นบอกกับปราชญ์ไป ด้วยเห็นว่า ไหนปราชญ์จะต้องจ่ายค่าเครื่องบิน แล้วยังจะค่าเช่ารถจากสนามบินมาถึงที่รีสอร์ตนี่อีก

“มันไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรเลยปั๋น พี่เต็มใจที่จะไปหาปั๋นทุกสัปดาห์ หรือบ่อยกว่านั้น ถ้าพี่ทำได้” ปราชญ์บอกกับปั๋นถึงความตั้งใจของเขาที่มี “พี่ไม่ยอมอีกแล้วนะ การไม่มีปั๋นในชีวิต มันแย่ที่สุดเลยรู้มั้ย ที่ตื่นนอนขึ้นมา แล้วต้องเห็นเตียงมันว่าง ๆ ไม่มีปั๋นอย่างเมื่อก่อน” ปั๋นรู้สึกดี เมื่อเดี๋ยวนี้ ปราชญ์ดูอ่อนโยนขึ้น และใช้คำพูดที่ไม่หักหาญน้ำใจออกคำสั่งกับเขาเหมือนเมื่อก่อน

“อีกอย่าง พี่ก็อยากดูแลคุณย่าด้วย พี่รู้ พี่ละเลยท่านมานาน เหมือนที่พี่ละเลยความรู้สึกของปั๋น” ปราชญ์รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย ที่ตลอดเวลามานี้ เขาแทบไม่ได้รู้เลย ว่าคุณย่าของเขามีความเป็นอยู่อย่างไร แต่ก็ยังพอเบาใจ ที่ตอนนี้ คุณย่ามีปั๋นคอยดูแลเป็นอย่างดี “เมื่อกี้คุณปราชญ์พูดว่าอะไรนะครับ” ปั๋นถามอีกฝ่ายซ้ำ ปราชญ์ได้ยิน เลยพูดซ้ำอีกที ให้ปั๋นได้ยินช้า ๆ ชัด ๆ

“พี่บอกว่า ที่พี่ขึ้นไปที่เชียงรายบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่อยากไปเจอปั๋น แต่พี่ต้องการจะมีโอกาสได้ดูแลคุณย่าของพี่ด้วย” คุณย่าท่านค้อนขวับเข้าให้ เมื่อปั๋นเปิดลำโพงโทรศัพท์มือถือ ให้ท่านได้ยินสิ่งที่หลายชายตัวดีของท่านพูดออกมา แต่ก็ไม่วาย ที่คุณย่าท่านจะยิ้มออกมาด้วยความปลื้มใจ

“ผมต้องวางสายแล้วนะครับ คุณปราชญ์ พี่ ๆ เขารออยู่” ปั๋นเตือนปราชญ์ออกไป ชายหนุ่มที่ปลายสาย ทำเสียงงอแง แต่ก็ยอมวางสายไปแต่โดยดี ปั๋นเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง ก่อนจะได้ยินเสียงคุณย่าท่านพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวนี้ เธอใช้ฉันเป็นเครื่องมือแล้วสินะ” คุณย่าท่านพูด พลางกวักมือเรียกคนงาน ให้มายกแจกันดอกไม้ที่จัดเสร็จแล้วไป ปั๋นได้ยินผู้อาวุโสกล่าวเชิงติ เชิงหยอก ก็ต้องรีบบอกว่า มันไม่ใช่แบบนั้น

“คือ ไม่ใช่นะครับ ปั๋นไม่ได้ใช้คุณย่าท่านเป็นเครื่องมือ เพียงแต่ ปั๋นอยากให้คุณย่าท่านได้ยินสิ่งดี ๆ ที่คุณปราชญ์พูดไว้น่ะครับ” ปั๋นพูดจบ คุณย่าท่านก็ทำถอนหายใจ แต่ที่ริมฝีปากของท่าน ก็ยังแต้มรอยยิ้มจาง ๆ เอาไว้ “เอาเถอะ เธอมีอะไรก็ไปทำซะไป” คุณย่าท่านพูดขึ้น “ไม่ต้องห่วงฉันมากนักหรอก เธอก็ให้แม่นวลนี่ มาอยู่คุมฉันแจอยู่แล้วนี่ ฉันจะกระดิกกระเดี้ยวตัวทำอะไร แม่นวลนี่ก็รายงานเธอซะหมด”

ป้านวลกับปั๋นแอบสบตากัน แล้วยิ้ม เมื่อถูกย่าท่านจับได้ เพราะปั๋นห่วงคุณย่าท่าน ที่อายุมากแล้ว เลยให้ป้านวลมาคอยอยู่เป็นเพื่อน ช่วยหยิบจับทำอะไรตามแต่คุณย่าท่านจะสั่ง ซึ่งป้านวลเองก็เต็มใจ แม้จะโดนดุ โดนค่อนขอดอยู่ประจำ แต่ทุกคนที่นี่ต่างรู้กันดีว่า คุณย่าท่านอาจจะปากร้าย แต่ท่านก็ใจดี และยุติธรรมกับทุกคน

“ตอนเที่ยง ผมจะให้ที่ครัวเขาจัดสำรับมาเร็วกว่าเดิมนิดหนึ่งนะครับ พอดีวันนี้มีแขกที่มาพัก ขอจองห้องอาหารหลังบ่ายโมง” ปั๋นเรียนให้คุณย่าท่านทราบ ก่อนจะถัดตัวมาที่ตั่ง เพื่อยกแจกกันดอกไม้ที่เหลือออกไป “ขอบใจเธอมากนะ” คุณย่าท่านเอื้อมมือมาแตะที่แก้มของปั๋น น้ำเสียงของท่านอ่อนโยน แววตาของท่านแสดงออกถึงความเอ็นดูปั๋นไม่แตกต่างจากหลานของท่านเอง

ปั๋นวางแจกกันดอกไม้ลง ก่อนจะเอามือประคองมือของคุณย่าท่านเอาไว้กับแก้มของเขาจนแนบแน่น คุณย่าท่านเป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่คนสุดท้าย ที่ปั๋นเหลืออยู่ กับคุณย่าน้อย ที่รักและปรารถนาดีกับปั๋นมาตั้งแต่จำความได้ ปั๋นไม่มีโอกาสได้ตอบแทนพระคุณท่าน ดังนั้น อะไรที่ปั๋นทำเพื่อคุณย่าท่านได้ หรือสิ่งที่คุณย่าท่านต้องการ ปั๋นจะไม่ลังเลที่จะทำมันเลย

ปราชญ์วางสายจากปั๋นด้วยรอยยิ้ม ชีวิตของเขาดูจะมีหวังและเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ เขาจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ทุกอย่าง แต่อย่างน้อย ปราชญ์ก็รู้ว่า ข้างหน้าต่อจากนี้ไป เขาต้องทำอะไรบ้าง มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายที่รอคอยและต้องการ

“นี่มันคงทำทุกหนทาง เพื่อที่จะกลับมาหาแกให้ได้สินะ เจ้าปราชญ์” คุณชัยวัฒน์ที่ได้ยินการสนทนาของลูกชายตัวเอง กล่าวขึ้นอย่างหัวเสีย ปราชญ์เงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ รอยยิ้มที่เปื้อนใบหน้าของเขาอยู่เมื่อครู่ หายไปในทันที “ผมต่างหากครับ คุณพ่อ ที่ตามหาปั๋นจนเจอ แล้วอ้อนวอนขอให้เขากลับเข้ามาอยู่ในชีวิตของผมอีกครั้ง” ปราชญ์บอกพ่อของเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“ฉันกันแกให้ออกห่างจากมัน เพื่อแกจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่แกกลับทุรนทุราย ดิ้นรนกลับไปหามัน อยากจะกลับไปตกนรกร่วมไปกับมัน” ปราชญ์พยายามข่มใจ เก็บความรู้สึก เมื่อได้ยินผู้เป็นพ่อ พูดถึงคนรักของเขาแบบนั้น “พ่อครับ นี่พ่อกำลังเข้าใจผิดนะครับ” ปราชญ์ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว กับอคติที่พ่อของเขามีกับปั๋น “ตอนนี้ปั๋นเขามีชีวิตที่ดีครับ ดีมากซะด้วย ดีมาก ๆ โดยที่ไม่ต้องมีผม” ปราชญ์รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ เมื่อต้องพูดออกไปแบบนั้น

“ผมนี่สิ ที่เหมือนกำลังตกนรก เมื่อไม่มีเขา” ปราชญ์รู้สึกแบบนั้น เมื่อความจริงที่เป็นอยู่ในตอนนี้ กำลังสอนเขาว่า ไม่มีอะไรสักอย่างในชีวิต ที่จะเป็นไปตามที่ใจเขาต้องการ มันไม่ใช่สิ่งเสมอไปในชีวิต “ตอนนี้เขามีรีสอร์ต มีธุรกิจที่ทำเงินให้กับเขาเป็นกอบเป็นกำ เพราะอะไรรู้มั้ยครับพ่อ ก็เพราะว่าสิ่งที่เขาเป็นเนี่ยแหละครับ ลูกค้าของเขามองเห็นคุณค่าในตัวปั๋น เขาก็แห่กันมาพักจนรีสอร์ตแทบแตก” ปราชญ์ยังมีเรื่องให้ต้องกังวลเกี่ยวกับปั๋นอีกหนึ่งเรื่อง

“ลูกค้าทั้งไทย ทั้งเทศ หล่อกว่าผม ฐานะดีกว่าผม ประสบความสำเร็จมากกว่าผมหลายร้อยเท่า แข่งกันมาขายขนมจีบให้กับปั๋น พ่อยังคิดว่า ผมยังเป็นคนคุมเกมอยู่หรือครับ ผิดถนัดครับ” นี่คืออีกเหตุผลหนึ่ง ว่าทำไมปราชญ์ถึงต้องยอมเหนื่อย เทียวขึ้นเทียวลงไปหาปั๋น “พอโลกเปิดหนทางให้กับเขา ตัวเลือกดี ๆ ดีกว่าผม ก็พาเหรดกันมาไม่ขาดสาย ผมไม่ใช่ตัวเลือกเดียวของเขา เหมือนตอนที่ผมบังคับเขาได้ที่บ้านแล้วนะครับ”

“แต่มันเป็นพวกลักเพศ” คุณชัยวัฒน์ตวาดใส่ปราชญ์ดังลั่น ปราชญ์มองพ่อของเขาด้วยหัวใจที่ร้าวราน “ลูกของพ่อก็ไม่ต่างกับเขาครับ” คำพูดที่ทำร้ายความรู้สึกที่ออกมาจากบิดาของเขา ทำให้ปราชญ์น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตา คุณชัยวัฒน์ชะงัก เมื่อได้ยินลูกชายพูดออกมาแบบนั้น “ผมถึงต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้มั่นใจว่า ผมจะเป็นคนที่ถูกเลือก” ปราชญ์บอกกับตัวเองเอาไว้แล้วว่า เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ปั๋นหลุดมือไปเป็นของคนอื่นอย่างแน่นอน

“อีกอย่าง พ่อเคยคิดจะบอกดผมสักคำมั้ยครับเรื่องมรดกของย่าน้อย ว่าย่าน้อยยกทุกอย่างให้กับปั๋น” คุณชัยวัฒน์หลบตา เมื่อได้ยินลูกชายของตัวเองถามคำถามนั้นออกมา เพราะรู้ตัวว่า เขาเองต้องการจะปิดบังความจริงนี้เอาไว้ เพื่อให้สมบัติที่เป็นที่ดินแปลงใหญ่ มูลค่ามหาศาลถูกถ่ายโอนไปให้กับเจ้าเด็กนั่น “มันเป็นของน้องสาวย่าแก มันควรจะเป็นของแก” คุณชัยวัฒน์ต้องการให้ที่ดินของน้าสาว ตกเป็นของปราชญ์

“ย่าน้อยมองออกทะลุปรุโปร่งจริง ๆ” ปราชญ์เองก็ไม่อยากจะเชื่อ ว่าพ่อบังเกิดเกล้าของเขา จะเป็นคนแบบนี้ “พ่อจะเอาสมบัติของย่าน้อย แต่ตอนที่ย่าน้อยอยู่บ้านใน แค่ถัดกำแพงบ้านเราไป พ่อเคยไปเยี่ยมเยียนดูแลย่าน้อยบ้างมั้ยครับ” ปราชญ์ถามด้วยความรู้สึกเสียใจ “ก็ฉันมีงานต้องทำ มีแกให้ต้องเลี้ยงดู” คุณชัยวัฒน์แก้ตัวออกมา

“ถ้าอย่างนั้น ผมมีพ่อดูแลแล้ว ย่าน้อยยกมรดกให้ปั๋น ที่ไม่มีใครคิดจะดูแล มาดูดำดูดีเลย ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง ก็ถูกต้องเหมาะสมแล้วนี่ครับ” ปราชญ์นึกสงสารปั๋นจับใจ กับช่วงเวลาที่ปั๋นต้องกัดฟันทน เพื่อให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นไปให้ได้ ปั๋นในเวลานั้นไม่มีใครเลยจริง ๆ

“อ้อ แล้วคุณย่าก็บอกกับผมมาแล้วนะครับ ว่าบ้านในนั้น ย่าน้อยก็ยกให้ปั๋น อย่าให้ถึงกับต้องโดนคดียักยอกนะครับพ่อ คืนให้เขาไปซะ” ปราชญ์ยังไม่อยากเห็นพ่อของเขาต้องลำบาก มามีคดีความต้องติดคุกตอนแก่ “ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อแก เจ้าปราชญ์” คุณชัยวัฒน์พูดบอกกับลูกชาย ด้วยความสัตย์จริง เขารักลูกชายของตัวเองมาก แต่กับปั๋น คุณชัยวัฒน์ไม่ต้องการลูกที่ติดภรรยาใหม่เลยสักนิด

“เป้าหมายของผมใกล้จะเป็นความจริงแล้วอย่างหนึ่ง คือ หนี้ที่บริษัทของพ่อก่อเอาไว้ ถูกชำระจนเกือบหมดแล้ว” ปราชญ์พยายามรวบรวมสติ และเลือกใช้น้ำเสียงที่เหมาะสม เพราะอย่างน้อย คุณชัยวัฒน์ก็คือพ่อของเขา “ถ้าพ่อไม่พอใจในสิ่งที่ผมเป็น ก็ไล่ผมออกซะครับ ผมจะได้ไปตามทางของผม นี่ผมติดหนี้บุญคุณปั๋นเขาอีกอย่างนะครับ ที่เขาดูแลคุณย่า”

“ใช่ครับ แม่ของพ่อ ปั๋นเขาดูแลเป็นอย่างดี โดยไม่รังเกียจสักนิด ว่าคุณย่าคือแม่ของคนที่ไล่เขาออกจากบ้าน อย่างหมูอย่างหมา แถมดูถูกเขาสารพัด เงินสองแสนที่พ่อใช้ฟาดหัวเขาไป คุณย่าให้ปั๋นโอนเงินคืนให้แล้วนะครับ ป่านนี้ พ่อก็คงจะทราบแล้ว ยังไงผมขอตัวทำงานก่อนนะครับ พรุ่งนี้เช้าผมมีไฟลต์แต่เช้า ผมจะไปหาคนรักของผม”

“ก็อย่างที่ผมบอกนะครับ ถ้าพ่อคิดว่าสิ่งที่ผมทำ เป็นการขัดคำสั่ง ขัดใจพ่อแล้วล่ะก็ พ่อไล่ผมออกได้ทุกเมื่อ” คุณชัยวัฒน์มองหน้าลูกชาย แต่ก็พูดอะไรไม่ออก “แต่ถ้าพ่อต้องการให้ผมช่วยปลดหนี้ให้บริษัท ซึ่งผมมีหน้าที่ช่วยพ่อแค่เรื่องนี้เท่านั้น แล้วละก็” ปราชญ์เน้นย้ำในสิ่งที่เขาจะทำและไม่ทำ

“ให้ผมทำงานของผมให้เสร็จ และร่วมยินดีกับความสำเร็จของผมก็พอ” ปราชญ์พูดจบ ก็ลงมือจดจ่ออยู่กับกองเอกสารโปรเจ็กต์ใหม่ตรงหน้า ไม่ได้สนใจผู้เป็นพ่อ ที่เปิดประตูเดินออกจากห้องทำงานของลูกชายไปเงียบ ๆ คุณชัยวัฒน์ถอนหายใจออกมา เมื่อรู้สึกตัวแล้วว่า ทุก ๆ คนที่เคยอยู่ในชีวิตของเขา ได้พากันออกไปจากตัวเขา ไกลได้เท่าไหร่ยิ่งดี
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๑ มรณะ - พันธุ (ทุกที่ที่มีเธอ)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 20-05-2022 21:46:59
๓๑. (๒)


ธนภพกับซื่อหนานมาถึงที่รูฟท็อป บาร์ อันหรูหราบนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่งในตัวเมือง พนักงานกล่าวต้อนรับด้วยชื่อของทั้งสองคน ก่อนจะเดินนำไปที่โต๊ะที่ได้จองเอาไว้ มันเป็นโต๊ะที่สามารถชมวิวเมืองหลวง โดยเห็นทัศนียภาพยามพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าได้เป็นมุมกว้าง แต่ก็เป็นส่วนตัวมากพอ สำหรับค่ำคืนอันพิเศษนี้

“ขอบคุณนะครับภพ ที่พาหนานมา” ซื่อหนานที่ยกกล้องมือถือขึ้นถ่ายรูปวิว รวมถึงบรรยากาศของรูฟท็อป บาร์ มุมนั้น มุมนี้ บอกกับธนภพด้วยรอยยิ้ม ดีใจที่ธนภพเลือกร้านนี้ “ภพบอกแล้ว ว่าอาหนานต้องชอบ” ธนภพนึกเอ็นดูสีหน้าและแววตาของคนรัก ที่ซื่อหนานไม่สามารถซ่อนอาการของเด็กชายซื่อหนาน ที่อยู่ในตัวเอาไว้ได้

แต่กว่าที่ซื่อหนานจะยอมมากับเขาได้ ธนภพต้องทั้งหว่านล้อม ต้องตะล่อมกันอยู่นาน เหตุว่า ซื่อหนานไม่อยากให้เขาสิ้นเปลือง แล้วอีกอย่าง อาหนานไม่อยากปิดร้านในวันรุ่งขึ้น เพราะเสียดายรายได้ แต่ก็ได้คุณนุจรี แม่ของธนภพที่ช่วยพูดให้ ว่าเมื่อวันหยุดยาวที่เพิ่งผ่านมา ร้านไม่ได้ปิด ทำให้ลูกค้าแน่นขนัดตลอดลองวีคเอนด์ ทุกคนเหนื่อยกันมากในวันนั้น วิ่งวุ่นดูแลลูกค้าจนขาแทบขวิด ก็ถือซะว่า ให้พนักงานได้หยุดพักย้อนหลังแล้วกัน

“ไปเถอะลูก อาหนาน ไปพักผ่อน ทำอะไรเพื่อตัวเองซะบ้าง” คุณนุจรีพูด พลางลูบหน้าลูบตาแฟนของลูกชาย ซึ่งก็คืออีกคนของเธอ “เรื่องร้านนี่ เดี๋ยวก็ปิดประตู ล็อกให้ดี ส่วนยายเดี๋ยวแม่ดูให้เอง คืนนี้แม่พายายไปนอนที่บ้านด้วย โน่น พ่อเจ้าภพเขาคิดถึง บ่นว่าอยากจะเจอยายอยู่พอดี” คุณนุจรีเล่าเรื่องสามีของเธอ อยากจะเจอยายของซื่อหนาน สองคนนี้เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะผู้อาวุโส ทำให้พ่อของธนภพคิดถึงแม่ของเขาที่ล่วงลับไปแล้ว

“ไปกับภพเถอะอาหนาน ไม่ต้องห่วงยาย มีแม่นุจดูแลยายทั้งคน” ยายของซื่อหนานบอกกับหลานชาย ธนภพยิ้มให้กับซื่อหนานแบบเป็นต่อ เมื่อทั้งแม่และยายเข้าข้างเขา “ตั้งแต่แต่งกัน ก็ยังไม่ได้ไปฮันนีมูนกันเลย ถือซะว่า ไปซ้อม ๆ กันก่อน ไว้เวลาไปจริง จะได้ไม่เขิน” คุณนุจรีพูดแซวซื่อหนาน ที่ตอนนี้เขินจนไม่รู้จะทำหน้ายังไงดี

“แม่นุจ” ซื่อหนานอยากจะพูดประท้วง ธนภพหัวเราะเสียงดังชอบใจ แม้แต่ยายเองก็ยังหัวเราะตาม “ยายจ๋า ยายต้องเข้าข้างหนานสิ” ซื่อหนานกอดเอวยายจากด้านหลัง ก่อนจะยู่หน้าให้กับธนภพ “อีกอย่าง ภพได้เลื่อนตำแหน่ง ได้ปรับเงินเดือน อาหนานไปฉลองกับภพหน่อยนะครับ”

ธนภพยื่นมือออกไปให้ซื่อหนานจับ ยายตบมือเบา ๆ ลงบนแขนของซื่อหนาน บอกให้หลายชายไปร่วมแสดงความยินดีกับคนรัก ซื่อหนานยื่นมือไปจับมือธนภพ คุณนุจรีและยายต่างชื่นใจ กับภาพที่ได้เห็นทั้งลูกชายและหลานชาย มีความสุข

“ยังไงขวดแรกนี้ ออน เดอะ เฮาส์นะคะ” ผู้จัดการรูฟท็อป บาร์ เป็นผู้ที่เดินเอาเครื่องดื่มมาบริการเองถึงโต๊ะ “ถือเป็นอภินันทนาการจากทางร้าน” เธอให้ธรภพและซื่อหนานดูฉลากที่ขวดแชมเปญในมือ ก่อนจะเปิดขวดและรินใส่แก้วให้กับทั้งคู่ “ยินดีด้วยนะคะกับคู่แต่งงานใหม่ และการเลื่อนตำแหน่งของคุณผู้ชายด้วย” ผู้จัดการสาวผู้ทะมัดทะแมงกล่าวแสดงความยินดีกับทั้งคู่

“ขอบคุณมากนะครับ” ซื่อหนานค้อมศีรษะกล่าวขอบคุณผู้จัดการร้าน ธนภพยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณกลับไป “ยินดีค่ะ เชิญตามสบายนะคะ ขาดเหลืออะไร เรียกได้เต็มที่เลย” เธอพูดจบ ก่อนจะขอตัวไปบริการแขกท่านอื่นต่อ ซื่อหนานเคอะ ๆ เขิน ๆ ด้วยว่า ไม่เคยมาสถานที่อะไรแบบนี้มาก่อน ซื่อหนานรู้ว่านี่มันเป็นเรื่องธรรมดาของธนภพ แต่ตอนที่เรียนนั้น ธนภพเป็นสุภาพบุรุษมาก เขาไม่เคยชวนซื่อหนานมาเที่ยวกลางคืนเลยสักครั้ง

“เอ้าดื่ม” ธนภพยกแก้วขึ้นชน ซื่อหนานทำตาม ก่อนจิบแชมเปญแก้วแรกในชีวิตเข้าปาก “หืม อร่อยดี เหมือนน้ำผลไม้เลย แต่ซ่า ๆ เหมือนใส่โซดา” ซื่อหนานทำตาโต พูดบอกกับธนภพ “อาหนาน ภพเตือนไว้ก่อน มันเมาง่ายนะ” ธนภพทั้งขำทั้งเอ็นดูกับความสดใสและใสซื่อของซื่อหนาน “ไม่กี่แก้วเอง ไม่เป็นไรหรอก” ซื่อหนานทิ้งท้ายเอาไว้แบบนั้นในชั่วโมงนี้

“ภพ ทำไมหนานรู้สึกว่า แก้มมันตึง ๆ น่วม ๆ ไปหมด” ซื่อหนานไม่พูดเปล่า แต่เอาข้อนิ้วทั้งสองมือ กดลงบนบริเวณโหนกแก้มของตัวเอง “อาหนาน เมาแล้วนะ” ธนภพอดยิ้มไม่ได้ ที่แฟนของเขาที่จากขวดแรก เป็นขวดที่สอง และกำลังจะขึ้นขวดที่สาม กระดกแชมเปญลงคอเหมือนเป็นน้ำเปล่า

“ยังไม่เมาซักหน่อย” ซื่อหนานตอบกลับ ก่อนจะยิ้มออกมาเขิน ๆ ธนภพที่เพิ่งเคยเห็นคนรักของเขาเมาเป็นครั้งแรก ก็ให้สนใจว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป “เมาไม่ได้เหรอ” ซื่อหนานทำท่างอน เสียงพูดเริ่มอ้อแอ้มากขึ้น “ถ้าอาหนานเมาตอนอยู่กับภพ ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ” ธนภพนั้น ตราบใดที่ซื่อหนานอยู่กับเขา “ภพดูแลอาหนานเอง” ธนภพที่ดื่มไปเพียงไม่กี่แก้นึกเอ็นดูอาการเมาของแฟนตัวเอง

“งั้นก็ชน” ซื่อหนานยกแก้วขึ้นนำ ธนภพทำตาม จิบแชมเปญในแก้ว ก่อนจะยกกล้องในโทรศัพท์มือถือขึ้นถ่ายรูปอาหนาน แล้วส่งไปให้แม่ของเขา คุณนุจรี เปิดรูปที่ธนภพ ลูกชายส่งมาให้ดูทางโปรแกรมแชท “อาหนานเมา” คุณนุจรีเดินเอามือถือไปให้ยายของอาหนานดู “แก้มแดงไปหมดเลย” คุณนุจรีพูดกลั้วหัวเราะ

“ตายแล้ว อาหนานมันไม่เคยเมามาก่อนเลย” ยายของซื่อหนานพูดด้วยความเป็นห่วงหลานชาย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณยาย อยู่กับตาภพ คนนั้นไม่ยอมปล่อยให้อาหนานเป็นอะไรแน่นอน” คุณนุจรีให้ความเชื่อมั่นกับยาย “ปล่อยให้เด็ก ๆ เขาสนุกกันไป ส่วนเรา มาจิบชาร้อน ๆ หอม ๆ กันดีกว่าครับคุณยาย ผมเพิ่งได้มาจากเมืองนอก ตอนแวะพักรอต่อเครื่องกลับมาไทย” สามีของคุณนุจรี ชวนผู้สูงวัย ให้มาจิบชาด้วยกัน

“ไหวมั้ย อาหนาน” ธนภพโอบตัวของซื่อหนานเอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายโถมน้ำหนักตัวมาทางเขา ซื่อหนานเงยหน้าขึ้นสบตากับธนภพ ใบหน้าแดงเพราะฤทธิ์แชมเปญ กับสายตาที่ดูยั่วยวน ที่ซื่อหนานมองมาที่เขา ทำให้ธนภพในเต้นแรง “เรากลับห้องพักโรงแรมเลยดีกว่า” ธนภพพูดขึ้น ก่อนกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอ เมื่อซื่อหนานที่ไม่ได้พูดอะไร กลับยื่นหน้าเข้าหาเขา ก่อนจะจูบที่ริมฝีปากของธนภพ

“กลับห้องเลย กลับห้องกันเลยเถอะ” ธนภพรีบกดลิฟต์เพื่อลงไปยังชั้นที่พักของเขา ตลอดทางในลิฟต์นั้น ยิ่งทำให้ธนภพมือไม้สั่น เมื่อซื่อหนาน เดี๋ยวก็ซบที่แผงอกของเขา เดี๋ยวก็หอมเข้าที่แก้ม เดี๋ยวก็จูบปากเขาอยู่อย่างนั้น พอประตูลิฟต์เปิดชั้นที่ต้องการ ธนภพก็เดินโอบเอวซื่อหนานไปที่ห้องพัก เมื่อถึงที่หน้าประตู ซื่อหนานเอาหลังพิงประตูห้องเอาไว้ ก่อนสบตากับธนภพตรง ๆ

“ตอนเราเข้าห้องไปแล้ว” ซื่อหนานพูด ก่อนจะวางมือทั้งสองข้าง ไว้บนกล้ามอกของธนภพ “เราจะทำกันหรือเปล่า” ธนภพเห็นภาพตรงหน้า ที่ซื่อหนานของเขาพูดจบ ปากก็เผยอขึ้นหน่อย ๆ เหมือนรอให้เขาพุ่งเข้าใส่ก็ไม่ปาน “หนานยังต้องถามอีกเหรอ” ธนภพพูด เอาแขนข้างหนึ่งโอบหลังของซื่อหนานไว้ ส่วนมืออีกข้าง แตะคีย์การ์ดเพื่อเปิดประตูห้อง

“ทำก็ทำ” ซื่อหนานพูด ก่อนจะกลับหลังหัน ดันประตูเปิดเข้าไปในห้อง ธนภพไล่สายตามองคนรักของเขา ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า ก่อนจะเห็นซื่อหนานเอี้ยวตัวหันกลับมามองที่เขา ทำให้ธนภพปิดประตูตามหลัง ล็อกห้อง แล้วเดินเข้าไปหาซื่อหนาน ธนภพโอบกอดซื่อหนานจากด้านหลัง ทำให้หว่างขาของเขาเบียดแนบเข้ากับบั้นท้ายของซื่อหนาน อะไรบางอย่างที่แข็งขันของธนภพ พร้อมทำหน้าที่แล้ว

“หนานอาบน้ำก่อน” ซื่อหนานบอก ธนภพพยักหน้าไว ๆ ซื่อหนานเดินเข้าไปในห้องน้ำ ไม่นานก็ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวชาวเวอร์ เฮ้ด ไหลลงกระทบพื้น พร้อมกลิ่นสะอาด ๆ ของชาวเวอร์ เจล ลอยออกมากระทบจมูก ธนภพรีบถอดเสื้อและกางเกงออก ก่อนจะหันไปมองตัวเองในกระจก เขาอยู่ในกางเกงชั้นในแบบบรีฟสีขาว ที่ด้านในมีอาวุธพอเหมาะพอเจาะกับการใช้งานดุดันแข็งขันอยู่

ซื่อหนานเดินออกมาจากกห้องน้ำ โดยมีผ้าขนหนูพันรอบเอวออกมาแค่ผืนเดียว ธนภพแทบจะแทบจะรอไม่ไหว เขารีบเข้าไปในห้องน้ำ จัดการอาบน้ำ ถูให้ทุกซอกทุกมุมสะอาด เขารู้ดีว่า ส่วนไหนของเขาที่กระตุ้นอารมณ์คนรักได้เป็นอย่างดี เขาก็บรรจงฟอกชาวเวอร์ เจลจนฟองฟอดตรงส่วนนั้น นานเป็นพิเศษ เพราะซื่อหนานจะต้องเล่นกับตรงนั้นของเขา นานเป็นพิเศษเช่นกัน

“หนาน” ธนภพที่ใช้ผ้าเช็ดตัว เช็ดผม เช็ดตัวแบบลวก ๆ แบบหยดน้ำยังเกาะตัวอยู่ ยังไม่แห้งดี เดินออกจากห้องน้ำมาเรียกชื่อคนที่เข้าไปซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น หอมกรุ่นและขาวสะอาด บนเตียงนอนแบบคิงไซซ์นั้นแล้ว “อาหนาน” ธนภพเดินไปที่เตียง ก้มลงมองซื่อหนาน ลองฟังเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอนั้น

“อ้าว” ก่อนจะเห็นว่า ซื่อหนานหลับไปเสียแล้ว และไม่ได้หลับแบบที่เขาเห็นตอนอยู่ที่บ้าน ตอนเวลาธนภพ เดินแก้ผ้าโทง ๆ ออกมาจากห้องน้ำ แล้วเห็นซื่อหนานรีบหลับตาลง แล้วแอบหรี่ตามอง ว่าธนภพจะยังคงโทง ๆ เดินขึ้นเตียงนอน หรือจะไปหยิบเอากางเกงบ็อกเซอร์ ที่ซื่อหนานวางเตรียมไว้ให้มาใส่

“ปกติถ้าภพโทง ๆ แบบนี้ มันต้องได้สิ อาหนาน” ธนภพบ่นกระปอดกระแปดอยู่คนเดียว โดยที่อาหนานที่นอนอยู่ข้าง ๆ เขา หลับสบายใจไปแล้ว ธนภพจำใจปิดไฟที่หัวเตียง แล้วซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ธนภพโอบแขนรอบตัวซื่อหนาน เจ้าตัวคนที่โดนโอบพลิกกลับมาตามแรงหมุนของแขนธนภพ โดยที่ธนภพ เอื้อมมือไปจับส่วนกลางลำตัวของตัวเองที่ยังแข็งขันอยู่ แต่พอจับไปที่ซื่อหนาน รายนั้นหลับปุ๋ยไปแล้วจริง ๆ

ธนภพทำใจ และจำใจเข้านอนไปทั้งอย่างนั้น จนรุ่งเช้า เขาลืมตาขึ้นในความมืด นาฬิกาที่บนโต๊ะข้างหัวเตียง บอกว่าอีกสิบนาทีจะหกโมงเช้า ธนภพโอบแขนไปทางซื่อหนาน ก่อนจะควานมือลงไป แล้วพบว่า ซื่อหนานมีอาการไม่ต่างกับเขาในตอนเช้า ธนภพเอื้อมมือกดเปิดไฟหัวเตียง ก่อนจะเห็นตาคู่แป๋วมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“ของภพก็พร้อมแต่เช้าเหมือนกัน” ธนภพพูดยิ้ม ๆ ซื่อหนานแอบยิ้มโดยเอาผ้าห่มมาปิดไว้ครึ่งหน้า “จริง ๆ ภพพร้อมตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว แต่มีใครบางคน เมาแล้วยั่วภพจนแข็งไปหมด แล้วหลับทิ้งกันได้” ธนภพทำเสียงเหมือนต้องการจะเอาผิดคนที่แกล้งเขาเมื่อคืนนี้ ซื่อหนานบอกว่า ธนภพห้ามถือสาคนเมา

“ต่อไปไม่ให้ไปเมาที่ไหนแล้วนะ” ธนภพพูดจริงจัง เพราะเขาเห็นกับตา เจอกับตัวเอง ซื่อหนานตอนเมานี่ยั่วยวนเป็นบ้า ต่อให้เป็นผู้ชายที่เคลมว่าตัวเองชอบผู้หญิงก็เถอะ เจอสายตา เจอสีหน้าแบบที่ซื่อหนานทำกับเขาเมื่อคืนนี้ ต้องมีหวั่นไหวกันบ้างล่ะ “เมากับภพได้เท่านั้น และก็ทำแบบนี้กับภพได้คนเดียว เข้าใจมั้ย” ธนภพพูดก่อนจะดึงผ้าห่มที่ปิดหน้าซื่อหนานอยู่ลง ซื่อหนานทำแก้มป่อง ก่อนจะพยักหน้าสัญญา

“ภพขอนะ” ธนภพเอื้อมมือไปลูบที่บั้นท้ายของคนรัก แล้วจับมือของซื่อหนานมาที่หว่างขาของเขา “อื้อ” เสียงของซื่อหนานตกใจ ที่มือสัมผัสน้ำใส ๆ ที่ด้านปลายเป็นจำนวนมาก “ก็อั้นไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี่นา” ธนภพเลิกผ้าห่มขึ้น ก่อนจะรั้งให้ปลายทั้งหมด โผล่พ้นส่วนหนังหุ้มออกมา “แต่มันไม่มีเจลนะ” ซื่อหนานเตือนธนภพ “โอ๊ย ไม่สิ” ธนภพร้องออกมาเสียงหลง

“ภพอุตส่าห์กลั้นใจ ไม่ใช้มือจัดการตัวเองเมื่อคืน ไม่เอาแล้ว คราวหลังไม่มาโรงแรมแบบนี้แล้ว ลืมหมดอุปกรณ์สำคัญ” ธนภพโอดครวญ “แล้วทำยังไงดี” ธนภพชี้ให้ซื่อหนานดูที่กึ่งกลางลำตัวของเขา ที่มันไม่มีทีท่า ว่าจะอ่อนตัวลงไปง่าย ๆ “ใช้แชมพูมั้ย” ธนภพพูดขึ้น ซื่อหนานส่ายหน้าปฏิเสธ ซึ่งธนภพก็เข้าใจและเห็นใจคนรักของเขา ว่ามันทำให้ซื่อหนานรู้สึกแสบ แทนที่จะรู้สึกดี

เมื่อดาวเจ้าเรือนมรณะ ที่เป็นเจ้าเรือนแห่งความสูญเสีย การเสียเพื่อจะเริ่มต้นใหม่ มาตกอยู่ที่เรือนพันธุ หรือเรือนแห่งที่อยู่ บ้าน แหล่งอาศัย ด้านดี เจ้าชะตามีมรดกเป็นอสังหาริมทรัพย์ ตกเป็นทรัพย์สินของเจ้าชะตาเอง ตอนเยาว์วัยสักหน่อย อาจจะต้องย้ายบ้าน ย้ายถิ่นฐานอยู่บ่อยครั้ง แต่พอโตขึ้น มีโชคจากสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้ เช่นมรดกของผู้วายชนม์ที่อาจจะเกี่ยวข้องเป็นญาติสนิทกับบิดาของตน ญาติที่มีก็มั่งคั่งมั่นคง มีคู่ครองมอบทรัพย์สินให้เมื่อแก่ตัว

ด้านร้าย เจ้าชะตาอาจจะเป็นลูกกำพร้า สูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่ตอนเด็ก อาจจะด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ เสียชีวิตในถิ่นเกิด อาจเป็นไปได้ว่า เสียชีวิตในบ้านพักอาศัยของตัวเอง อาจจะสูญเสียทรัพย์สินเช่นบ้านไป หรืออาจจะแปลได้ว่า เจ้าชะตาเป็นคนไร้ญาติ อาจจะต้องย้ายที่อยู่บ่อย ๆ

ภายในห้องโรงแรมนั้น เสียงหอบหายใจหนัก ๆ ของชายหนุ่มสองคน ดังสอดประสานกัน เมื่อทั้งคู่พลอดรักกันด้วยความเสน่หา เนื้อที่แนบเนื้อ กายที่รุ่มร้อน สัมผัสที่ทำให้เร่าร้อนไปตลอดสรรพางค์กาย แม้ไม่มีการสอดใส่ใด ๆ แต่ทั้งสองคนก็ปลดปล่อยอารมณ์ และอุ่นรักให้ต่างฝ่ายได้ดูดดื่มกันและกัน

***********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=QjHaMG4xHQg


หากลมพัด ไม่ปลิวปลิดใบไม้ไหว

When the wind blew, and the leaf stayed intact

เธอนั้นเพียงเดินผ่านไป

You just went the other way

อาจเป็นเสี้ยวนาทีที่

It could have been that split second

ฉันและเธอคลาดกัน

You and I would have missed



หากดอกไม้ ผลิบานอย่างไรสีสัน

When flowers blossomed without colorful scenery

ไม่งดงามพอให้ฉัน

It wouldn’t be attractive enough for me

หยุดและพบเธอในตอนนั้น

To pause and notice that you were there

วันนี้จะเป็นอย่างไร

What might have happened to us then?



ก่อนว่ารักมีเพียงความฝัน

I used to think that love existed in dreams

กลับได้พบเมื่อเธอเข้ามา

Soon realized it was not when you came along

จับมือเธอ ซบลงตรงข้างกัน

Holding hands, laying my head upon your shoulder

ขออยู่อย่างนั้นเหมือนเวลาไม่หมุนไป

And stay there as if time would never change



จะไม่ทิ้งเธอไปจากฉัน

Not a chance I’ll leave you

จากวันนี้จนนานแค่ไหน

For as long as the time lasts

จะขอ แค่มีเธอข้างกาย

I’ll have you by my side

โชคดีแค่ไหนเมื่อหมดใจที่ฉันมี

I am the luckiest guy on earth whose heart

ได้พบเธอ

Is connected with yours



เมื่อลมหนาว ปกคลุมเส้นทางทุกสาย

When cold winter breeze was covering the avenue

ถ้ารถขบวนสุดท้าย

And that last train ride

หยุดและรับเธอไปห่าง

Stopped and took you away

ก็ไม่อาจได้พบกัน

We might have lost our chance forever



ถ้าบนฟ้า มืดมนไม่มีแสงจันทร์

If in the sky, no moon that shined at night

เพียงก้าวเดียวที่ผ่านฉัน

One step passed me by

เธอไม่แหงนขึ้นมองบนนั้น

You didn’t look up and see

คงไม่มีวันได้เจอ

We couldn’t have been together



ก่อนว่ารักมีเพียงความฝัน

I used to think that love existed in dreams

กลับได้พบเมื่อเธอเข้ามา

Soon realized it was not when you came along

จับมือเธอ ซบลงตรงข้างกัน

Holding hands, laying my head upon your shoulder

ขออยู่อย่างนั้นเหมือนเวลาไม่หมุนไป

And stay there as if time would never change



จะไม่ทิ้งเธอไปจากฉัน

Not a chance I’ll leave you

จากวันนี้จนนานแค่ไหน

For as long as the time lasts

จะขอ แค่มีเธอข้างกาย

I’ll have you by my side

โชคดีแค่ไหนเมื่อหมดใจที่ฉันมี

I am the luckiest guy on earth whose heart

ได้พบเธอ

Is connected with yours



เฝ้ารอเพื่อได้พบเธอทั้งชีวิตนี้

Been longing for you my whole life

รู้ทุกนาทีฉันมีแค่เธอ

Know that every minute in my life is yours

เมื่อฉันได้รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีไว้เพื่อใคร

I’ve got this figured out my future is with you

เหนื่อยเพียงใดพร้อมจะเจอ

May be super hard yet I’m ready

ขอแค่มีเธอและฉัน

To be there, you and me

จากตรงนี้

From now on



ก่อนว่ารักมีเพียงความฝัน

I used to think that love existed in dreams

กลับได้พบเมื่อเธอเข้ามา

Soon realized it was not when you came along

จับมือเธอ ซบลงตรงข้างกัน

Holding hands, laying my head upon your shoulder

ขออยู่อย่างนั้นเหมือนเวลาไม่หมุนไป

And stay there as if time would never change



จะไม่ทิ้งเธอไปจากฉัน

Not a chance I’ll leave you

จากวันนี้จนนานแค่ไหน

For as long as the time lasts

จะขอ แค่มีเธอข้างกาย

I’ll have you by my side

โชคดีแค่ไหนเมื่อหมดใจที่ฉันมี

I am the luckiest guy on earth with loving heart



ก่อนว่ารักมีเพียงความฝัน

I thought love would only be real in dreams

ซบลงตรงข้างกัน

Snuggling up against your body

ขออยู่อย่างนั้นเหมือนเวลาไม่หมุนไป

As if the time would stand still



จะไม่ทิ้งเธอไปจากฉัน

I wouldn’t ever leave you

จากวันนี้จนนานแค่ไหน

For as long as I live

จะขอ แค่มีเธอข้างกาย

I’ll have you right next to me

โชคดีแค่ไหนเมื่อหมดใจที่ฉันมี

How lucky I am to learn that my heart

ได้พบเธอ

Has found yours
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๑ มรณะ - พันธุ (ทุกที่ที่มีเธอ)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 20-05-2022 22:59:00
 :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๒ ลาภะ - ลาภะ (หากว่าความรักบังเกิด)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 24-05-2022 19:07:10

๓๒.



ลาภะ – ลาภะ (หากว่าความรักนั้นบังเกิด)





ฐานทัพยืนมองสถานที่นี้ด้วยความหวัง ทุกอย่างที่เขาเตรียมไว้ ได้ถูกตกแต่ง จัดวางอย่างที่ชายหนุ่มต้องการ วันนี้ตั้งแต่เช้า ฐานทัพมาคอยคุมงาน ให้เป็นไปตามแผนที่เขาวางเอาไว้ เขาอยากให้ทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดี และเสร็จทันเวลานัดหมาย ซึ่งเป็นช่วงหัวค่ำของวันนี้

ฐานทัพขอร้องให้คนงานทุกคนเร่งมือ เพื่อให้ทุกอย่างลงตัว ภายในกำหนดเวลา แต่เขากำชับให้ทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ เรียบร้อย และสมบูรณ์ที่สุด ให้ใกล้เคียงกับภาพความคิดที่เขาเห็นได้มากที่สุด สถานที่นี้จึงถูกดำเนินการด้วยคนงานนับสิบคน และทุกอย่างก็ดูเป็นไปด้วยดี

ลมทะเลเย็น ๆ โชยมา พอทำให้ฐานทัพได้ผ่อนคลายอารมณ์ลงมาได้บ้าง เขาพยายามขจัดความขุ่นมัว ความคิดที่คอยแต่จะพาเขาให้เขวไปจากความเชื่อมั่นที่เขามีตั้งแต่แรก ชายหนุ่มบอกกับตัวเองว่า สิ่งที่เขาตัดสินใจทำอยู่นี้ คือสิ่งที่เขาเลือกที่จะทำ และมันก็ดีแล้ว ที่เขาตัดสินใจแบบนี้

ลลินมองอันน์หัวจดเท้า ด้วยสายตาของคนที่รู้สึกดูถูกกันอย่างเปิดเผย หญิงสาวสะใจมากที่ได้เห็นอันน์อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ มันดีมาก ๆ ลลินบอกกับตัวเอง เธอรอคอยที่จะได้เห็นความย่อยยับอับจน หาหนทางไปไม่ได้ ของอีกฝ่ายมาโดยตลอด ยิ่งได้มาเห็นกับตา รับรู้กับตัวแบบนี้ มันยิ่งสร้างความสุขให้เธออีกเป็นร้อยเท่าพันทวี

“ไปแล้วก็ให้ไปลับ ไม่ใช่ว่า ผ่านไปไม่กี่วัน จะได้เห็นท่านรองประธาน ซมซานกลับมาฟูมฟาย อ้อนวอนขอกลับมาที่นี่อีกนะคะ” ลลินที่ยืนดูอันน์กำลังเก็บข้าวของส่วนตัว พูดขึ้น ขณะที่สั่งให้พนักงานที่เคยเป็นหน้าห้องของอันน์ เปิดประตูห้องทำงานค้างเอาไว้ เพื่อให้ทุกคนได้เป็นพยานร่วมกัน

ด้วยเหตุผลที่ว่า ลลินกลัวว่าอันน์จะหยิบข้าวของเครื่องใช้ สมบัติของบริษัทติดไม้ติดมือไปด้วย อันน์พยายามไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เธอได้ยิน ยิ่งในช่วงเวลาเช้า ๆ แบบนี้ด้วยแล้ว เธอได้แต่พยายามแผ่เมตตาให้ แม้ดูไปแล้ว ลลินไม่ยินดีรับส่วนกุศลผลบุญใด ๆ ให้เข้าสู่ชีวิตทั้งสิ้น ยังคงทำหน้าตายียวน สลับกับสะใจอยู่ในทีแบบนั้น

“คุณอันน์ ไม่ต้องไปก็ได้นะครับ” พฤกษ์เดินมาที่ห้องทำงาน ที่กำลังจะเป็นอดีตห้องทำงานของอันน์ “ลองคิดทบทวนอีกสักครั้งดีมั้ยครับ” พฤกษ์นั้นเสียดายฝีมือการทำงานของอันน์เป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลาที่มีโอกาสร่วมงานกันมา อันน์คือบุคคลที่มีคุณค่าต่อองค์กรเป็นอย่างมาก “พฤกษ์จะไปพูดจารั้งคุณอันน์เขาไว้ทำไมคะ” ลลินรู้สึกขัดใจที่พฤกษ์เข้ามาพูดแบบนั้น

“เขาเป็นคนตัดสินใจจะไปเอง ก็ปล่อยเขาไปให้สมใจสิคะ เกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา เขาจะพูดได้ว่าเขาไม่เกี่ยว ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย เหมือนที่โยนความผิดให้กับคุณทัพอยู่คนเดียว แต่ตัวเองทำเป็นมีสปิริตสูงส่ง ลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อเรื่องราวและปัญหาทั้งหมด เสียสละมากจริง ๆ ค่ะ”

ลลินรู้สึกสะอิดสะเอียนกับเรื่องอะไรแบบนี้ พูดถึงฐานทัพแล้วก็ยิ่งเสียดาย ผู้ชายที่เพียบพร้อมไปเสียทุกด้านแบบนั้น คิดยังไง ถึงได้มาวอแวกับผู้หญิงข้ามเพศอย่างอันน์ ถ้าชอบแบบนี้ ชอบผู้หญิงแบบเธอก็ได้ ลลินคิด เพราะถ้าฐานทัพเล่นด้วย เธอคิดว่า เธอก็พร้อมจะตีจากพฤกษ์ได้ไม่ยาก

อันน์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นี่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ คำพูดของลลินคงทำให้อารมณ์ของอันน์เต้นไปตามคำพูดที่ยั่วโมโหแบบนั้น เธอคงต้องคิดหาคำพูดมาตอกกลับผู้หญิงคนนี้ให้เจ็บแสบไปถึงทรวง แต่ตอนนี้ อันน์บอกกับตัวเองว่า แค่กลอกตาใส่ ยังเสียเวลาชีวิตของเธอมากเกินพอเสียด้วยซ้ำ ถ้าจะต้องต่อปากต่อคำกับลลิน

“ลิน คุณพูดเยอะเกินไปแล้ว” พฤกษ์ส่งเสียงห้ามปรามหญิงสาว เขาส่ายหัวให้กับความไม่เลิกไม่ราของลลิน “คุณอันน์อย่าถือสากับคำพูดพวกนี้เลยนะครับ” พฤกษ์พยายามพูดให้อันน์ ไม่ต้องไปสนใจสิ่งที่ลลินพูดออกมา อันน์มองหน้าพฤกษ์และลลินไปมา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บของต่อ

“ทำไมพฤกษ์ว่าลินแบบนั้นล่ะคะ ก็ลินพูดจริงนี่ ก็คุณอันน์น่ะ” ลลินพยายามจะต่อความยาวสาวความยืด “พอได้แล้วลิน คุณนี่พูดมากจริง ๆ จนทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงไปกว่าเดิม” พฤกษ์พูดด้วยความรู้สึกรำคาญผู้หญิงคนนี้ “คุณอันน์ครับ เรื่องจดหมายลาออก” พฤกษ์นั้นกำลังคิดว่า การเสียมือดีอย่างอันน์ ที่ช่วยงานเขาได้สารพัดไป มันไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน

“ถึงทางบอร์ดผู้บริหารจะยินยอมอนุมัติ แต่ผมสามารถแก้ไขมันได้อยู่นะครับ ขอแค่คุณอันน์บอกผมมาคำเดียว ว่าคุณอันน์จะอยู่ต่อ รับรองครับ เรื่องทุกอย่างไม่มีปัญหาแน่นอนครับ” อันน์จ้องเข้าไปในดวงตาของพฤกษ์ พลางถามตัวเองว่า นึกยังไงที่ก่อนหน้านี้ ถึงเคยรู้สึกหลงใหลได้ปลื้มไปกับผู้ชายคนนี้ และนั่นมันนานมากจริง ๆ นานตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

“อันน์ตัดสินใจแล้วค่ะ” พูดจบ เธอก็ยกกล่องของใช้ส่วนตัวขึ้นมาถือไว้ในมือ “ขอบคุณในความหวังดีนะคะ คุณพฤกษ์” อันน์ยิ้มให้กับพฤกษ์ ที่กำลังทำหน้าเครียด ที่การพูดอ้อนวอนของเขา ดูท่าว่าจะไม่ได้ผล “แต่อันน์ตัดสินใจแล้ว” และนี่คือนิสัยของอันน์ ที่พฤกษ์เห็นมานานหลายปี ความเด็ดเดี่ยว ความเป็นผู้นำ และการยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง แม้ว่ามันแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย ในชีวิตการทำงานที่ผ่านมาของอันน์

“ยังไง ลองใช้ชีวิตแบบมีความสุขบ้างนะคะ อย่าเอาแต่มองในส่วนที่คนอื่นมี แต่ตัวเองขาด ความสุขคือสิ่งที่คุณมีในวันนี้ อย่ามัวแต่ทุกข์กับการที่อันน์ จะเป็นหรือไม่เป็นอะไรเลยค่ะ อันน์เห็นแล้วเหนื่อยแทน ลองทำตัวเป็นดอกบัวที่โผล่พ้นขึ้นมาบานรัวแสงแดด อยู่เหนือน้ำบ้างนะคะ ลองดูค่ะ”

อันน์พูดจบ อยู่ ๆ ก็หัวเราะออกมา แต่เธอไม่ได้ขำลลินที่ตอนนี้ กำลังทำหน้าบอกบุญไม่รับ แต่อยู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องตลกที่เอิง เพื่อนรุ่นน้อง เคยเล่าให้ฟังต่างหาก เธอเดินไปกดลิฟต์ ก่อนเดินเข้าไปในนั้น แล้วคิดว่า มิตรภาพของเธอและเพื่อน มันช่วยให้เธอรู้ว่า ชีวิตยังพอมีหวัง การเดินออกจากที่คุ้นเคย อาจจะทำให้ใจประหวั่นพรั่นพรึงอยู่บ้าง แต่มันจะเป็นการก้าวออกเดินครั้งสำคัญของชีวิตอันน์แน่นอน

“นี่พฤกษ์ได้ยินแล้วใช่มั้ยคะ ได้ยินกับหูแล้วนะ ว่ามันร้ายกาจอย่างที่ลินบอกกับพฤกษ์ตั้งหลายครั้งมั้ย ดูสิ มันด่าลิน ว่าลินเป็นบัวใต้โคลน คือบัวที่เป็นอาหารของเต่าของปลา มันกล้าดียังไง ถึงมาพูดแบบนี้ใส่หน้าลิน แถมต่อหน้าพฤกษ์ด้วย สำคัญตนมากถึงขนาดนี้ ปล่อยมันไปนั่นแหละดีแล้ว บริษัทของเราจะได้เจริญรุ่งเรือง ลินอายเขาจะตาย ที่มีกะเทยมาเป็นหนึ่งในทีมผู้บริหารที่นี่” พฤกษ์ได้ยินที่ลลินพล่ามออกมา จนเขาเหลืออดกับเสียงฉอด ๆ ของหญิงสาว

“ลิน นั่น โต๊ะทำงานของคุณอันน์” พฤกษ์ชี้ไปที่โต๊ะทำงานของท่านรองประธาน “ตอนนี้มันว่างแล้ว ไหน ไป นั่ง ไปสิ” พฤกษ์ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มดันหลังของลลินให้เดินไปนั่งที่เก้าอี้ทำงานเบาะหนังทรงสูงนั้น ลลินงงว่าพฤกษ์กำลังจะทำอะไร เธอเดินแถ่ด ๆ ไปตามแรงมือของพฤกษ์ที่ดันตัวเธอ ก่อนจะโดนกดไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้นั่น

“เอ้านี่ โปรเจ็กต์นี้ทางบริษัทเราอยากได้งานนี้ เมื่อลินเก่งนัก เก่งกว่าคุณอันน์อย่างปากว่า เอาเลยครับ พฤกษ์ยกตำแหน่งนี้ให้ลิน” ลินเงยหน้าจากกองเอกสารที่เธออ่านไม่เข้าใจพวกนี้ขึ้นมองพฤกษ์ “เอาสิครับ ลงมือเลย มัวรออะไรอยู่ โปรเจ็กต์นี้มูลค่าสูง แต่ก็ยังน้อยกว่าโครงการที่คุณอันน์ทำสำเร็จมานับไม่ถ้วน ลินลงมือเลยครับ ทำให้พฤกษ์เห็นอย่างปากว่าได้บ้าง” พฤกษ์พูดจบ ก็เดินหัวเสียออกจากห้องนั้นไป ทิ้งให้ลลินส่งเสียงกรี๊ดไล่หลังชายหนุ่มไป อย่างไม่เกรงใจใครทั้งนั้น



ฐานทัพมองดูนาฬิกา มันใกล้เวลาที่เขาขอให้อันน์มาพบเขาที่นี่แล้ว คืนนั้น ในคืนที่เขาเข้าไปในห้องของอันน์ มันถือว่า เป็นคืนที่เขาได้เปิดใจกับอันน์ ฐานทัพได้พูดทุกอย่างที่เขาคิด ทุกความรู้สึกที่เขามีต่ออันน์ออกไป อันน์คือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา และฐานทัพสามารถเดินจากทุกอย่างออกมา โดยไม่นึกเสียดายมันทีหลัง

“ผมจะรอคุณอันน์อยู่ที่นั่น ผมอยากให้คุณอันน์มาหาผม มาเจอผมในฐานะคนรัก ถ้าคุณอันน์รู้สึกว่า คุณอันน์พอจะรับรักผู้ชายอย่างผม และให้ผมได้ทำทุกอย่างที่ผมทำได้ เพื่อคุณอันน์ ได้มั้ยครับ” ฐานทัพพูดบอกกับอีกฝ่ายไปแบบนี้ อันน์ไม่ได้ตอบอะไรเขากลับ เมื่อตอนที่ฐานทัพเดินออกจากห้องเพ้นท์เฮ้าส์ของอันน์

ความมืดเริ่มโปรยตัวลงมา แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ลมทะเลโชยมาเป็นระยะ ๆ เสียงคลื่นซัดเข้าชายหาดดังมาให้ได้ยิน ไฟประดับถูกเปิดขึ้น มันดูเหมือนแสงดาวที่ลงมาระยิบระยับบนพื้นโลก ฐานทัพในชุดทักซิโด้ที่ทำให้เขาดูหล่อ สง่า สมาร์ตอย่างแทบไร้ที่ติ ยืนรอคนที่เขารักอยู่ตรงนั้น สายตาของชายหนุ่ม จับจ้องไปที่ทางเดินตรงมาที่ลานกว้างข้างชายหาดนี้

ใจของฐานทัพเต้นรัว มันใกล้ถึงเวลาที่เขาบอกกับอันน์เอาไว้ ยิ่งเวลาขมวดขึ้นเท่าไหร่ ใจของเขายิ่งสั่น ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความหวังที่มีอย่างเปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจ การเดินทางอันยาวนานของการแอบรักคนคนหนึ่ง มันใกล้เข้ามาที่จะถึงบนสรุปแล้ว ฐานทัพคิดถึงวินาทีแรกที่เขาเจอกับอันน์ และการที่อันน์ได้เข้ามานั่งในหัวใจของเขาแทบจะในทันที

ฐานทัพเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของอันน์ ต่อให้อีกฝ่ายจะดูเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่อันน์ก็ยังเป็นอันน์คนเดิมสำหรับเขา เป็นพี่อันน์ที่ฐานทัพตั้งแต่ยังเป็นวัยหนุ่มน้อย กับการคิดไม่ซื่อ คิดที่จะทำเรื่องลามกด้วย เรื่องคนรักกันเขาทำกัน จนฮอร์โมนวัยหนุ่มของเขาเริ่มเข้าที่เข้าทาง และฐานทัพคิดกับอันน์มากกว่านั้น เขาคิดถึงเรื่องอนาคตที่เขาอยากจะมีร่วมกับอันน์ หากว่าอันน์เอง ก็คิดอยากจะใช้ชีวิตร่วมหัวจมท้ายไปกับผู้ชายอย่างเขา

อีกไม่กี่นาที เข็มนาฬิกาจะบอกว่าถึงเวลาที่เขานัดกับอันน์เอาไว้แล้ว แต่ตอนนี้ ยังไม่เห็นวี่แวว ว่าอันน์จะมาถึงตามที่เขาขออีกฝ่ายเอาไว้ ฐานทัพเริ่มรู้สึกโหวง ๆ ข้างในอก เมื่อความคิดลบกำลังส่งเสียงกรอกใส่หัวเขาว่า อันน์ไม่มาแล้วแน่ ๆ ไม่มีทางที่คนอย่างอันน์จะมาอยู่กับคนอย่างเขา มันจะเป็นไปได้อย่างไร เขาเป็นใครกัน ที่อันน์จะมาสนใจไยดี และนั่นก็มาพอ ที่จะทำให้ฐานทัพใจเสีย

เข็มวินาที เดินเข้าหาเลขสิบสองบนหน้าปัดนาฬิกา นับถอยหลังไปเรื่อย ๆ หัวใจของฐานทัพแทบหยุดเต้น เมื่อเข็มวินาทีนั้น แตะลงที่สองวินาทีสุดท้าย และมันก็เดินเลยผ่านไป อย่างที่ว่ากันไว้ ว่าเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ตอนนี้มันเลยเวลานัดของเขากับอันน์แล้ว ฐานทัพหัวเราะออกมาเบา ๆ เหมือนกับจะเยาะเย้ยตัวเอง ที่หวังสูงเกินตัว

ฐานทัพมองไปตรงทางเดินที่เขาคาดว่าจะมองเห็นอันน์เดินเข้ามาก่อนหน้านี้ แต่มันยังคงไร้การเคลื่อนไหว และมันคงไม่ต่างอะไรกับหัวใจของเขาในตอนนี้ ที่มันดูชา ๆ หนึบ ๆ กับการที่ไม่เห็นอันน์ เดินเข้ามาหาเขา อย่างที่ใจของเขาจินตนาการและวาดฝันเอาไว้ ฐานทัพยกมือขึ้นชี้ไปทางซ้ายมือ เป็นสัญญาณบอกกับทีมงาน ไฟประดับด้านนั้น ดับลง ฐานทัพถอนลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะชี้ไปทางขวามือ ไฟประดับด้านนั้นดับลง

คงเหลือแต่ไฟที่ส่องจากทางเดิน ตรงมาที่ชายหนุ่มยืนอยู่เป็นดวงสุดท้าย ฐานทัพมองไปตรงนั้นอีกครั้ง เขาอยากมองมันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะสั่งให้คนงานดับมันลง ไฟสปอตไลต์ดวงนั้น ก็ดับลง ทุกอย่างรอบตัวของฐานทัพตกอยู่ในความมืด ชายหนุ่มกำลังจะขยับตัว จากที่ยืนพิงรั้วไม้ที่กั้นระหว่างลานกว้างนี้กับชายหาด

เสียงรองเท้าส้นสูงเดินกระทบทางเดินที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่ ดังขึ้นในความเงียบนั้น เสียงฝีเท้าเดินใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อย ๆ ฐานทัพจ้องตาไม่กะพริบไปที่ทางเดินด้านหน้า ที่เขาเฝ้ามองมันมาตลอด ไฟดวงเล็ก ๆ ที่พันเอาไว้ตลอดทางเดิน เริ่มติดขึ้นทีละส่วน เสียงเดินนั้นใกล้เข้ามา ฐานทัพใจเต้นแรง เฝ้ารอคอย

อันน์เดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่นั้น ไฟด้านข้าง ค่อย ๆ เปิดติดขึ้นเมื่อเธอเดินใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ จนอันน์ที่อยู่ในชุดราตรียาวสีแดงเพลิง เดินพ้นออกมาจากทางเดินนั้น ฐานทัพเผยรอยยิ้มออกมาอย่างคนที่ดีใจ เหมือนคนที่เพิ่งได้รับของขวัญล้ำค่าที่สุดในชีวิต เขามองดูอันน์ด้วยความตะลึง อันน์สวยในสายตาของฐานทัพเสมอ

“ขี้ใจน้อยจัง” อันน์พูดขึ้น เมื่อเดินมาหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากฐานทัพ ที่ชายหนุ่มยืนพิงราวกั้นนั้นอยู่ “ปิดไฟมืดเชียว น้อยใจอะไรหรือเปล่าเนี่ย” อันน์พูดแบบไม่มองหน้าฐานทัพ ที่กำลังรู้สึกว่า เขานั้นได้ตกเป็นเบี้ยล่างเสียแล้ว “ผู้ชายก็เสียใจเป็นนะครับ” อันน์เหลือบมองฐานทัพ ชายหนุ่มในค่ำคืนนี้ อันน์ต้องยอมรับว่า ฐานทัพหล่อมากจริง ๆ

“คุณอันน์เลยเวลานัด” ฐานทัพท้วงบอก อันน์หันมามองทางชายหนุ่ม “ก็คุณบอกให้ฉันแต่งตัวให้สวยที่สุด” อันน์พูด พลางนึกเขินประโยคที่พูดออกไปของตัวเอง ฐานทัพมองดูอันน์ คืนนี้อีกฝ่ายทำให้ฐานทัพจิตใจพองโต เพราะอันน์ดูโดดเด่นมากจริง ๆ ในชุดราตรียาวสีแดงเพลิงชุดนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว อันน์มาถึงก่อนเวลานัดด้วยซ้ำไป ถ้าไม่เพียงแต่ว่า



“เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งจอด วนรถกลับไปก่อน วนไปก่อนค่ะ” อันน์ที่ใจเต้นไม่เป็นส่ำบอกคนรถลิมูซีน ที่ฐานทัพเตรียมเอาไว้รับอันน์ ให้ออกรถจากตรงนั้นไปก่อน “โอเคมั้ยพี่อันน์” เสียงพูดผ่านลำโพงโทรศัพท์ในวิดีโอ คอลนั้น ดังผ่านออกมา “ให้ฉันทำใจก่อน” อันน์บอกกับคนที่ปลายสาย ที่อยู่เป็นเพื่อนเธอ มากว่าชั่วโมงแล้ว “เอิง มันจะดีเหรอ” อันน์ถามเอิงที่อยู่ในสาย

“ดีสิพี่อันน์ คุณฐานทัพเขารอพี่อยู่นะ ไปหาเขาเถอะ” เอิงบอกกับรุ่นพี่ออกไป ก่อนจะเห็นสีหน้าของความกังวลแสดงออกมาจากใบหน้าของอันน์ อย่างเห็นได้ชัด “ฉันกลัว” อันน์บอกออกไปตามตรง ที่อยู่ ๆ ความกลัวนี้ได้พุ่งเข้ามาในความรู้สึก เธอไม่ได้กลัวว่า ฐานทัพจะเป็นคนไม่ดี หรือไม่ได้รักไม่ได้ชอบเธอจริง แต่มันเป็นความกลัวที่ว่า เธอเองต่างหาก ที่อาจจะทำให้ฐานทัพผิดหวัง

“อีเจ้ อย่าป๊อด” เสียงของปราชญ์ดังขึ้น หลังจากทั้งสามคนรวมสาย แล้วเขาต้องไปช่วยปั๋นรับรองแขกกลุ่มใหญ่ ที่มาเข้าพักที่รีสอร์ต “อีปราชญ์ ปากดีนักนะ” อันน์แหวใส่เพื่อนรุ่นน้องกลับไป ก่อนจะได้ยินปราชญ์ส่งเสียงหัวเราะชอบใจ “ทีชวนผู้ชายคนนี้เข้าห้องน่ะ ไม่เห็นจะกลัว” ปราชญ์ค่อนขอดเพื่อนรุ่นพี่เข้าให้

“ฉันไม่น่าเล่าอะไรให้แกฟังเลยจริง ๆ นะ ไอ้ปราชญ์” สรุปแล้ว อันน์ก็พลาด เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ปราชญ์ฟังอยู่เรื่อย ไม่เว้นแม้แต่ความลับสุดยอดแบบนี้ “ไป” เสียปราชญ์ไล่อันน์ “ไปมีผัวได้แล้ว อีเจ้ อย่ามางอแงอะไรไม่เข้าท่า” ปราชญ์รู้สึกสนุก ที่ได้พูดแหย่รุ่นพี่คนนี้ โดยมีเอิงเป็นลูกคู่ หัวเราะคิกคักอยู่ในสายด้วย

“เอิง เดี๋ยวก่อน อย่าให้ฉันเริ่มเรื่องแกบ้างนะ” อันน์ว่าเอิงเข้าให้ ที่เห็นเอิงหัวเราะคิกคักชอบใจ กับคำพูดของปราชญ์ “นี่แก ปราชญ์ ไม่เอาสิ อย่าว่าพี่อันน์มาก” เอิงหันไปทำดุใส่เพื่อนสนิท อันน์ส่ายหน้าเมื่อสีหน้าของเอิงไม่ได้จริงจังในการว่าปราชญ์เลยสักนิด โดยมีแดนที่พูดบอกกับเอิงว่า อย่าใจร้ายกับเขาเหมือนที่อันน์ทำกับฐานทัพ

“พอกัน พอกันหมด ทั้งพี่กู เพื่อนกู” ปราชญ์รู้สึกเพลียใจกบการที่รุ่นพี่และเพื่อนสนิทของเขาแอบไปมีคู่กันหมด แต่ก็รู้สึกยินดี ที่ทุกคนดูจะเติบโตขึ้น ตามวันและเวลาที่สมควร เพราะเมื่อชีวิตเดินมาจนถึงห้วงเวลาที่ต่างก็พร้อมที่จะสร้างครอบครัว ก็จงปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามครรลองของมัน



“คืนนี้คุณอันน์สวยมากนะครับ” ฐานทัพเอ่ยปากชม ใบหน้า ทรงผม เรือนร่างที่เผยสัดส่วนของอันน์ ซึ่งนั้นเย้ายวนใจฐานทัพเป็นอย่างมาก คำชมของชายหนุ่ม ดึงเเอาความคิดของอันน์ให้กลับมาจากเรื่องของเพื่อนรุ่นน้องสองคนนั้น “ขอบคุณค่ะ” และครั้งนี้ อันน์รู้สึกดี ที่ได้ยินฐานทัพเอ่ยชมเธอ

“คุณอันน์ใส่น้ำหอมที่ผมชอบมาด้วย” ฐานทัพได้กลิ่นน้ำหอมที่เขาบอกกับอันน์ในคืนนั้น ว่าหากอันน์ตัดสินใจมากหาเขาในวันนี้ ก็ขอให้อันน์ใส่น้ำหอมกลิ่นนี้มาด้วย เพราะฐานทัพคิดว่ามันเข้ากันอันน์มากที่สุด และฐานทัพจะถือว่า อันน์ยอมตกลงเป็นแฟนกับเขา โดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ๆ อันน์รู้สึกใจเต้นรัว เธอไม่เคยรู้สึกเขิน จนทำตัวไม่ถูกแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกนี้ เพิ่งเคยเกิดขึ้นตอนนี้ที่อยู่กับฐานทัพ มันไม่เคยเกิดขึ้นแบบนี้เลย ตอนอยู่กับพฤกษ์

“ตกลงคุณเลือกที่นี่หรือคะ” อันน์หันไปมองโรงแรมที่ติดกับชายหาด ที่ต่อไปฐานทัพตัดสินใจจะลงทุนทำธุรกิจนี้ “ใช่ครับ ลองวัดดวงดู” ฐานทัพตอบ ก่อนจะพูดต่ออีกว่า “ก็ต้องขอขอบคุณปราชญ์ ที่หาโรงแรมให้” ฐานทัพเห็นแล้วว่า คนรอบตัวของอันน์นั้น มีแต่คนที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน กลุ่มเพื่อนเล็ก ๆ แค่สามคน เอิง อันน์ และปราชญ์ ไม่เคยสักครั้งที่จะทอดทิ้งกัน ในยามที่เดือดร้อน

“ปราชญ์มันทำเรียล เอสเตท อยู่แล้ว มันเก่งมากนะ ที่หาทำเลและราคาได้ดีมาก” อันน์เห็นโรงแรมสวย ทำเลดี และมีฐานลูกค้าเดิมเหนียวแน่นแห่งนี้แล้ว ก็รู้สึกว่า ก้าวต่อไปมันคงไม่ยากนักสำหรับเธอและฐานทัพ ที่จะช่วยกันประคับประคองกันไป “ยังไง เดี๋ยวฉันช่วยลงทุนอีกแรงนะคะ” อันน์บอกกับฐานทัพ เพราะรู้ดี ว่าชายหนุ่มต้องใช้เงินลงทุนอีกเยอะ ยิ่งต้องเสียเงินค่าปรับให้กับคุณโทมัสไปมหาศาลแบบนั้นด้วยแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร เมื่อเช้าผมเซ็นเช็คให้ปราชญ์ไปแล้ว ค่าซื้อโรงแรมนี้ เรื่องโฉนดที่ดินไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” อันน์ได้ยินแบบนั้นแล้วก็ให้สงสัย “เดี๋ยวนะคะ คุณเพิ่งจะจ่ายเงินคุณโทมัสไป ต้องขายห้องเพนท์เฮ้าส์ ต้องกวาดเงินจนหมดบัญชี เพื่อใช้หนี้กับบริษัท แล้วคุณจะจ่ายค่าที่ ค่าอะไรนี่ได้ยังไงคนเดียว” อันน์ถาม ก่อนจะเห็นฐานทัพอึกอัก ๆ

“คือ” ฐานทัพหัวเราะแหะ ๆ ก่อนจะตอบออกไปว่า “ไอ้เงินพวกนั้น ผมเอามาจากที่ผมเล่นหุ้นเอาไว้ตอนอยู่นิวยอร์ก และมันก็เหลือเฟือ เกินพอที่จะจ่าย” ฐานทัพเริ่มเห็นแววตาที่ดูโหดของอันน์ เมื่อรู้แล้วว่า มีอะไรควรบอกอีกฝ่ายไปให้หมด “ส่วนเพนท์เฮาส์ ผมไม่ได้อยากอยู่อยู่แล้ว เพราะคิดว่า ผมจะหาบ้านดี ๆ เนื้อที่กว้าง ๆ อยู่กับคุณอันน์ ผมเลยขายต่อให้ฝรั่งไป ก็ได้กำไรดีอยู่”



เมื่อดาวเจ้าเรือนลาภะ ที่เป็นเรือนแห่งความหมายของโชค ลาภผล ความโชคดี ความสำเร็จต่าง ๆ เดินมาตกอยู่ใในเรือนลาภะนั้นเอง ก็เสมือนกับได้กลับบ้าน มีมาตรฐานดาวเป็นเกษตร ที่แปลว่า ความหนักแน่น สมบูรณ์ เจ้าชะตาถือว่าเป็นคนที่มีโชคลาภเข้ามาไม่ขาด เป็นคนที่มีเพื่อนฝูงมาก และล้วนแต่เป็นคนที่ดี

เพื่อนฝูงต่างให้การสนับสนุนเจ้าชะตาอย่างเต็มที่ การงานเหมาะแก่การเป็นผู้ลงทุน และจะเป็นผู้ที่มีรายได้สูงมากเข้ามา เป็นผู้รู้จักนำผลประโยชน์ ผลกำไรที่มี ไปลงทุนเพื่อหมุนเวียนในการลงทุน ให้กิจการงอกเงย มีลาภผลก้อนใหญ่และการงานชิ้นใหม่ที่มั่นคงต่อไป



“แล้วปล่อยให้อันน์เป็นห่วงคุณอยู่ได้ตั้งนาน” อันน์พูดเสียงงอน ๆ ก่อนทำท่าจะเดินหนีไป ฐานทัพรีบคว้าเอวของอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้ได้ก่อน “ไม่โกรธผมนะครับคุณอันน์ ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ฐานทัพทำเสียงออดอ้อน “ผมดีใจนะครับ ที่คุณได้ยินคุณอันน์พูดว่า คุณอันน์ห่วงผม” กลิ่นน้ำหอมจากตัวของอันน์ก็ช่างเย้ายวนเขาเสียเหลือเกิน เขานึกถึงคืนนั้น คืนที่เขาได้ทำเรื่องลามกกับอันน์ไปแล้วสมใจ แล้วคืนนี้ล่ะ ฐานทัพคิดว่า เขาไม่น่าพลาด อันน์ไม่รอดเงื้อมมือเขาไปได้หรอก

“นี่คุณรวย มีเงินมากขนาดนี้จริงหรือคะ” อันน์เอียงหน้าหันไปถามฐานทัพที่กอดเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง “จริง” ฐานทัพพยักหน้าตอบ “แล้วมีอะไรที่คุณยังไม่ได้บอกอันน์อีกมั้ย” มาถึงตรงนี้ ฐานทัพคิดว่า เขาควรจะพูดออกไปเลยดีมั้ยว่า ยังไงซะบริษัทของพฤกษ์ก็ต้องกลับมาตกเป็นของเขาอยู่ดี เพราะเขาให้พ่อของเขาถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเอาไว้ แต่คิดดูอีกที เก็บเอาไว้เป็นเซอร์ไพรซ์ของขวัญวันแต่งงานของเขากับอันน์ จะดีมั้ยนะ

*********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=HYHDWQ_pw14

มันคงเป็นความรัก

This has to be love

ที่ทำให้ตัวฉัน ยังยืนอยู่ตรงนี้

Therefore, I am still standing here

มันคงเป็นความรัก

This must be called love

ที่ทำให้ใจฉัน ไม่ยอมหยุดเสียที

That makes my heart keep going, and never stops


แม้ว่าเหมือนไม่มีโอกาส

Though, it seems I’m out of luck

แม้ว่าฉันต้องพลาดไปอีกสักที

Chances I am probably missing out

แต่ว่าความรัก ก็ยังขอให้ฉันทำแบบนี้

But this love, I’m pushing myself to the limits


ที่จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ

I’m giving my all until you’ll embrace it

บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม

Say I love you till you say `I do`

เธอคือความสุขของฉัน

You’re the source of my happiness

ถ้าเธอไม่รับมัน ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม

If you still say no, tomorrow I’ll come back and start it all over again


หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ

In the end, you won’t change your mind

ไม่เป็นไร ใจฉันก็ไม่ยอม (เปลี่ยนใจ)

That’s alright, my heart won’t change either

ก็ต่อให้ฉันหยุดหัวใจ

In case I tell my heart to say no

คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน

That has to be after the world stops spinning round and round


มันคงเป็นความรัก

This must be this thing called love

ที่เปลี่ยนคำว่าชีวิต เลยฟังดูมีความหมาย

Alters my life, now that it sounds so promising

มันคงเป็นความรัก

This has gotta be real love

ที่เปลี่ยนคำว่าชีวิต เลยฟังดูมีความหมาย
Alters my life, now that it sounds so promising
มันคงเป็นความรัก
This has gotta be real love
ที่ทำให้การรอคอย เป็นเรื่องง่ายดาย
That I have a long wait made so simple and easy

แม้ว่าเหมือนไม่มีโอกาส

Though, it seems I’m out of luck

แม้ว่าฉันต้องพลาดไปอีกสักที

Chances I am probably missing out

แต่ว่าการรอคอยนี้ก็คุ้ม เพราะมีเธอเป็นจุดหมาย
And me waiting for you is so worthy ‘cause you’re there at my destination


ที่จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ

I’m giving my all until you’ll embrace it

บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม

Say I love you till you say `I do`

เธอคือความสุขของฉัน

You’re the source of my happiness

ถ้าเธอไม่รับมัน ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม

If you still say no, tomorrow I’ll come back and start it all over again


หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ

In the end, you won’t change your mind

ไม่เป็นไร ใจฉันก็ไม่ยอม (เปลี่ยนใจ)

That’s alright, my heart won’t change either

ก็ต่อให้ฉันหยุดหัวใจ

In case I tell my heart to say no

คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน

That has to be after the world stops spinning round and round


ในวันที่เธอนั้นไม่มีใคร

The day you find there’s no one being around

ในวันที่โลกนี้ทิ้งเธอไป

The day that the whole world has left you behind

ในวันนั้นหันมามองเถอะ

That very same day, please turn around and you’ll see

ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้

I will be right here waiting for you


และจะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ

I’ll giving you my best until you’re satisfied

บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม

I’ll say I love you until you do know I do

เธอคือความสุขของฉัน

You’re my true happiness

ถ้าเธอไม่รับมัน

You may deny it

ให้ฉันเริ่มต้นอีกกี่ครั้งก็พร้อม

I won’t accept it and ready to fight for you


หากสุดท้าย เธอไม่เปลี่ยนใจ

At the end of the day, you’re still not mine

ไม่เป็นไร ใจฉันก็ไม่ยอม (เปลี่ยนใจ)

That’s okay ‘cause nothing’s gonna change my mind

ต่อให้ฉันหยุดหัวใจ

To stop this very heart of mine

เธอรอให้ฉันหันหลังเดินลับหายไป

You might wonder if I would walk away from all of this

ได้ยินไหม

Do listen to me now

คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน

That will occur on the day the earth stands still


มันคงเป็นความรัก

It must be called love, you and me
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๒ ลาภะ - ลาภะ (หากว่าความรักนั้นบังเกิด)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-05-2022 19:32:04
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๓ ศุภะ - ปัตนิ (เสมอด้วยดวงใจ)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 27-05-2022 19:38:47
๓๓.



ศุภะ – ปัตนิ (เสมอด้วยดวงใจ)





“ยังไง ถ้าพี่มีงานด่วนจริง ๆ แกก็ช่วยพี่หน่อยแล้วกัน” พี่ว่านพูดกับเอิง เข้าใจที่เอิงจะขอหยุดช่วยงานแปลเอกสารชั่วคราว “จริง ๆ ก็เคยให้เด็กในสำนักงานมันแปลให้ แต่ก็ไม่ค่อยไหว มันแปลไม่ครบไม่ถ้วน ไม่ถูกใจเหมือนแกทำให้ เจ้าเอิง” พี่ว่านไว้เนื้อเชื่อใจความสามารถของเอิง มาตั้งแต่ได้ลองทดสอบฝีมือกัน สมัยที่เอิงกำลังจะจบมหาวิทยาลัย

“ได้ครับพี่” เอิงตอบกลับพี่ว่านไป “เอิงขอโทษอีกทีนะพี่ว่าน” เอิงยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า “เฮ้ย ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก” พี่ว่านรีบโบกไม้โบกมือห้ามเอิง “แล้วนี่จะไปไหนกันต่อ กับพ่อหนุ่มสูงยาวเข่าดีนั่น” พี่ว่านชะโงกมองหนุ่มต่างชาติที่นั่งรออยู่ที่โซฟาด้านนอก ที่เห็นแอบมองมาหาเองเป็นระยะ ๆ อดไม่ได้ที่จะพูดแซวออกไป

“วันนี้ก็คงแล้วแต่เขาล่ะครับ” เอิงตอบ ก่อนจะหันไปเห็นแดนที่รอสบตาเขาอยู่ก่อนแล้ว เอิงร่ำลาพี่ว่าน แล้วจึงเดินออกมาหาหนุ่มลูกครึ่งที่ส่วนรับรองแขกของสำนักพิมพ์ แดนลุกขึ้นจากโซฟา ยิ้มให้กับอีกฝ่ายที่เดินออกมาสมทบ “ทุกอย่างโอเคดีนะครับ” แดนถาม หนุ่มลูกครึ่งขอตามมาเป็นเพื่อนเอิง เมื่อรู้ว่า เอิงจะเอาต้นฉบับเอกสารที่แปล มาส่งให้กับพี่ว่าน

“เรียบร้อยครับ” เอิงพยักหน้าให้กับแดน “ขอบคุณที่มาเป็นเพื่อนเอิงนะครับ” หลายวันที่ผ่านมานี้ แดนอยู่กับเอิงตลอด คอยช่วยนั่นช่วยนี่ คอยหาเรื่องมาพูดคุย ให้เอิงรับรู้ว่า เอิงไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป และคนที่เอิงรอคอยมาโดยตลอด เขามาอยู่กับเอิงที่นี่แล้ว และไม่มีอะไรต้องกลัวอีกต่อไป “ด้วยความยินดีครับ” แดนตอบกลับไป ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินออกจากสำนักงานของพี่ว่าน

แดดยามสายที่เริ่มร้อนขึ้น เอิงเห็นคอเสื้อยืดคอวีสีเทาที่แดนใส่ ตอนนี้ชุ่มด้วยเหงื่อ ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งแดง แดนเช็ดเหงื่อที่แขนเสื้ออยู่บ่อยครั้ง เอิงรู้สึกสงสารและเห็นใจแดน ก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าไปในร้านกาแฟตรงหัวมุมถนน แดนเผลอยิ้มออกมา เมื่อเดินตามเอิงเข้าไป ความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ ทำให้แดนรู้สึกผ่อนคลาย ชายหนุ่มเดินตามเอิงไปที่เคาน์เตอร์สั่งเครื่องดื่ม

ทั้งสองสั่งเครื่องดื่มที่ต้องการ เอิงแตะบัตรจ่ายเงินแบบคอนแท็คเลส พนักงานแจ้งให้ทราบว่า เดี๋ยวจะนำเครื่องดื่มไปเสิร์ฟที่โต๊ะ แดนและเอิงตอบขอบคุณพนักงานร้าน ก่อนจะเดินไปหาที่นั่ง แดนเดินไปที่โต๊ะสำหรับสองคน ที่มุมด้านในสุดของร้าน ติดกับหน้าต่างกระจกบานใหญ่ มองสามารถมองออกไปด้านนอก เห็นการจราจรในท้องถนนของมหานครกรุงเทพฯ ได้

แดนชวนเอิงคุยนั่นคุยนี่ ระหว่างที่รอเครื่องดื่ม เขาเห็นโต๊ะถัดไปไม่ไกล หนุ่มสาวสองคนนั้นสั่งสลัดกับอาหารทานเล่นสองสามอย่าง เลยถามเอิงว่าเขากินอะไรกันน่าอร่อย เอิงเลยนึกสนุก บอกกับแดนว่า งั้นให้สั่งเลียนแบบ ลองสั่งมาชิมดู ไม่นานนักพนักงานก็ยกเครื่องดื่มมาให้ เอิงสอบถามว่า โต๊ะถัดไปสั่งเมนูอะไรบ้าง พนักงานเลยเอาสมุดเมนูเล่มโต มาเปิดให้ดูภาพไปด้วย ก่อนที่แดนจะสั่งสองในสี่อย่างมาทาน

แดนรู้สึกดีมาก ๆ ที่หลังจากกลับมากรุงเทพฯ เขาได้เห็นเอิงในแบบที่เป็นเอิงจริง ๆ อย่างที่อันน์เคยบอกไว้ เอิงไม่ใช่คนเงียบไม่พูดไม่จา จากที่ตอนขึ้นไปที่สะพานนั่น เอิงพูดแทบนับคำได้ ความรู้สึกเหมือนว่า เอิงมีเงาของใครอีกคนทาบทับไว้ตลอดเวลา ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นเงาจากอดีตของซาย ที่ทำให้เอิงไม่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งแดนก็เข้าใจได้ เพราะตอนที่เขาได้รับอิทธิพลจากความทรงจำของแมท เขาเองก็ดูไม่ใช่ตัวเองสักเท่าไรนัก

แดนกับเอิงนั่งดื่มเครื่องดื่มกันไป คุยกันไป เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาหารของที่นี่รสชาติดีเยี่ยม ทั้งสองคนดีใจที่ลองสั่งมา โดยที่แดนจัดการอาหารจานใหญ่สุดนั้นให้หมดจนได้ ทั้งคู่หัวเราะให้กัน แดนใช้มือตบเบา ๆ ที่ท้องของเขา พูดขึ้นว่า ถ้าอยู่เมืองไทย กล้ามท้องเขาต้องหายสูญสลายไปอย่างแน่นอน เอิงบอกว่า ไม่เป็นไร อ้วน ๆ กลม ๆ ก็น่ารักดี

“เกือบบ่ายสองแล้ว” เอิงดูนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ แดนสบตากับเอิง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ยังไม่อยากกลับเลย” หนุ่มลูกครึ่งทำตาละห้อย เอิงมองดูแล้วก็ให้นึกขำ แต่วันนี้เขาได้ตั้งใจเอาไว้แล้ว ว่าจะตามใจแดน ที่ด้านนอกหน้าต่าง มีเด็กนักเรียนตัวน้อยทั้งชายและหญิง เดินต่อแถวยาว ตามคุณครูไป เอิงถึงนึกขึ้นได้ ว่าที่ฝั่งตรงข้าม มีศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาตั้งอยู่

เอิงพาแดนเดินบนสกายวอล์ก ข้ามไปที่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะซื้อบัตรเข้าชมนิทรรศการ และบัตรเข้าชมท้องฟ้าจำลอง พี่พนักงานทักว่า รอบบรรยายภาษาอังกฤษของท้องฟ้าจำลอง มีเฉพาะรอบสิบโมงวันอังคารเท่านั้น แดนจึงได้โชว์สกิลพูดภาษาไทยให้พี่ ๆ แถวนั้นฟัง จนฮือฮากันใหญ่ ว่าแดนพูดภาษาไทยได้ชัดเจนมาก หนุ่มลูกครึ่งถึงกับรู้สึกยืด ภูมิใจไปกับคำชมนั้น จนเอิงเห็นแล้วน่าหมั่นไส้

ยังพอเหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมง กว่าที่รอบของท้องฟ้าจำลองที่ซื้อบัตรเข้าชมไว้จะเริ่มขึ้น ทั้งสองเดินเข้าไปชมด้านในของนิทรรศการถาวร ซึ่งมีความน่าสนใจมากมายให้เลือกชม แดนกับเอิงรู้สึกเหมือนกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ได้อ่านความรู้ที่ครั้งหนึ่งเคยจำได้ แต่ตอนนี้หลงลืมไปแล้ว ทั้งสองผลัดกันหยอกอีกฝ่าย เมื่อเล่นเกมทางวิทยาศาสตร์แล้วแพ้ หรือตอบคำถามของเด็กประถมที่ควรจะรู้ไม่ได้

“ไม่ได้ทำอะไรสนุก ๆ แบบนี้มานานแล้ว” แดนที่นั่งลงพักเหนื่อย ยกขวดน้ำดื่มขึ้นจิบ “ได้กลับไปเป็นเด็ก ๆ อีกครั้งก็ดีเหมือนกันนะ” เอิงเสริม เห็นด้วยว่า สถานที่แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในความทรงจำในวัยเยาว์ ที่เอิงห่างหายจากมันมานาน ทั้งสองคนนั่งรอเพื่อเข้าชมท้องฟ้าจำลอง ก่อนจะเห็นเด็ก ๆ วัยประถมต้น เดินออกมาจากโดม เมื่อชมการแสดงจบแล้ว คุณครูผู้นำทีมเด็ก ๆ เรียกทุกคนให้มารวมตัวกัน โดยอยู่ไม่ไกลจากเอิงและแดนนัก

“ดูท่าจะแสบ ๆ กันทั้งนั้น” แดนมองไปที่เด็ก ๆ แล้วก็นึกถึงตอนเขาเป็นเด็ก คงจะไม่ต่างกันมากนัก “เลี้ยงเด็กสักคน มันยากจริง ๆ นะ” แดนหันไปพูดกระซิบกระซาบกับเอิง หนุ่มลูกครึ่งสบตามองอีกฝ่าย “แต่ตอนทำก็น่าสนุกดีอยู่” ก่อนที่เอิงจะเห็นสายตากรุ้มกริ่มมาจากแดน “แดน เดี๋ยวเด็กได้ยิน” เอิงปรามหนุ่มลูกครึ่ง ที่หัวเราะชอบใจออกมา

“พี่คนนี้หน้าแดง” เด็กผู้ชายตัวน้อยคนหนึ่ง ชี้นิ้วมาที่เอิง ที่ยิ่งหน้าแดงเพิ่มขึ้นอีก เมื่อถูกเด็กตัวน้อยแซว แถมยังเสียงดัง จนเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ หันมามองที่แดนและเอิงเป็นตาเดียวกัน “พี่เขาคงเขิน” ยัยเด็กผู้หญิงฟันหน้าหลอสองสี่หน้าอีกคน เปิดประเด็นได้อย่างแก่แดดแก่ลมเกินวัย เอิงนึกโทษอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีที่เข้าถึงเด็ก ก่อนวัยอันควร

“แล้วทำไมพี่เขาต้องเขินด้วย” หนุ่มน้อยอีกคนถามออกมาจากความไร้เดียงสา “พี่สองคนเขาเป็นผู้ชาย แม่เราบอกว่า ผู้ชายเป็นแฟนกัน ก็ต้องเขินกัน เพราะแม่ก็เขิน” ยัยเด็กฟันหลอสองสี่หน้าเลคเชอร์เพื่อน ๆ “แล้วเธอรู้ได้ยังไง” เด็กผู้ชายจ้ำม่ำที่มีกระติกน้ำทรงยาวคล้องคออยู่ถามเพื่อน

“ก็แม่เราเป็นสาววาย เราได้ยินแม่พูด แม่ลงเรือตลอดเลย ชิป แม่บอก แม่ชิป” ยัยฟันหลอสองสี่หน้าตั้งตนเป็นโปรเฟสเซอร์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ทั้งหมดเลยพยักหน้าเออออตาม ๆ กัน ก่อนที่ทั้งหมด จะเดินตามคุณครูที่มาเช็กชื่อและเรียกไปขึ้นรถ ทิ้งให้เอิงนั่งหน้าแดงเพราะเขินและแดนที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความชอบอกชอบใจ

“ตรงนั้น เธอเห็นมั้ย นั่นหมู่ดาวหมีใหญ่ มันเรียกว่า เออร์ซ่า เมเจอร์” แมทชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า ให้ซายดู ท่ามกลางความมืดมิดในป่า มีเพียงแสงดาวบนฟากฟ้า และแสงจากกองไฟเล็ก ๆ เท่านั้นที่ให้แสงสว่าง “คืนนี้เห็นชัดดีจัง” ลมหนาวโชยมา ทำให้แมทขยับตัวเข้าใกล้ซายมากขึ้น ก่อนจะโอบอีกฝ่ายเอาไว้ ดึงหลังของซายให้มานั่งแนบชิด รับไออุ่นจากแผงอกของเขา

“เธอรู้ใช่มั้ย หมี บิ๊กแบร์” แมทถามซาย ซึ่งซายทำหน้างง แมทจึงพยายามทำท่าทาง ชี้นิ้วไปที่ตัวเขาเอง ก่อนจะกางมือทั้งสองข้างออก ให้เป็นเหมือนอุ้งเท้าหมี ก่อนจะทำหน้าบิดเบี้ยว อ้าปากคำรามออกมา พอแมทลืมตาขึ้นมา ก็เห็นซายหัวเราะออกมาอยู่ก่อนแล้ว “ทำไม ฉันทำไม่เหมือนหรือไง ฉันนี่แหละ เป็นแบร์ตัวบิ๊ก ๆ หมีตัวใหญ่อุ่น ๆ ให้เธอเท่านั้น” แมทพูดจบ ก็เอาผ้าห่มผืนหนา ที่เขาพกติดตัวมาจากค่าย ห่มคลุมตัวทั้งซายและเขาใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

“ที่สว่างที่สุด นั่นเรียกว่าอัลอิออธ” แมทกระซิบบอกซายที่ข้างหู ซายรู้สึกว่าเขาอบอุ่นทั้งกายและใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “และเลยขึ้นไปนั่น คือดาวเหนือ เรียกว่า โพลาริส” แม้ว่าซายจะไม่เข้าใจว่าแมทพูดว่าอะไรบ้าง แต่ก็พอจะเดาได้ ว่าแมทชี้ชวนให้แหงนมองฟ้า เพื่อดูดาวที่สวยงามนั้นด้วยกัน แมทกระชับอ้อมกอดของเขาให้แน่นขึ้น ซายซุกหน้าเข้ากับแผงอกของแมท มันคือช่วงเวลาที่ทั้งสองคนได้เก็บเกี่ยวความรู้สึกที่ดีต่อกันไว้ ให้จดจำไปอีกนานเท่านาน

“7 ดวงดาวหลักในกลุ่มดาวหมีใหญ่ ประกอบไปด้วยอัลอิออธ ที่เป็นดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุด ในกลุ่มดาวหมีใหญ่ หรือที่คนไทยรู้จักกันดี ในชื่อของกลุ่มดาวจระเข้ ซึ่งเป็นกลุ่มดาวที่พบเห็นได้ง่ายที่สุดในบรรดากลุ่มดาวสากล เนื่องจากมีขนาดใหญ่ที่สุด ในกลุ่มดาวทางฝั่งฟ้าซีกเหนือ และใหญ่เป็นอันดับที่สาม ของกลุ่มดาวทั้งหมดบนฟากฟ้า” เสียงบรรยายในท้องฟ้าจำลอง อธิบายภาพกลุ่มดาวเหล่านั้น

เอิงนั่งดูพลางนึกย้อนกลับไปถึงช่วงที่เขาเป็นเด็กประถม ก่อนที่ภาพจากเมื่อครั้งอดีตภพ จะแวบผ่านเข้ามาให้เห็น เอิงหันไปมองที่นั่งทางซ้ายของเขา แดนเอนตัวลงกับพนักเก้าอี้อย่างเต็มที่ ผสานกับแอร์เย็น ๆ เสียงบรรยายที่ฟังรื่นหู หนุ่มลูกครึ่งเอนศีรษะมาทางเอิง ก่อนจะพักมันลงบนไหล่ของเอิง เสียงกรนเบา ๆ นั้นทำให้เอิงนึกขำ แต่ก็เข้าใจ เพราะแดนนั้น ดูแลเอิงไม่ห่างมาตลอดหลายวันมานี้



คุณโทมัสเปิดดูรูปจำนวนมากที่ส่งมาให้เขาทางโทรศัพท์มือถือ รูปทั้งหมดเป็นรูปของแดนและเอิง เริ่มจากที่ทั้งสองคนแวะไปที่สำนักพิมพ์ ตามมาด้วยรูปที่ร้านคาเฟ่นั้น ที่รูปส่วนใหญ่คือรูปที่แสดงว่าทั้งสองคน กำลังใช้เวลาดี ๆ ร่วมกัน คุณโทมัสมองดูรอยยิ้มของแดน ลูกชายคนเดียวของเขา ที่ลอยเด่นออกมาจากรูปถ่ายเหล่านั้น

แดนที่ทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะ แม้ว่าจะเป็นรูปที่แดนกำลังมองเอิงทำอะไรอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มเหล่านั้น เปื้อนใบหน้าของแดนอยู่เสมอ และยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่คุณโทมัสเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ แววตาของแดน แววตาของความสุข ของคนที่พบเจอคนที่รัก ได้เห็นคนรักอยู่ตรงหน้า ได้ทำอะไรร่วมกัน แม้มันจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างรูปที่แดนยิ้มอย่างมีความสุข ที่เห็นเอิงเติมน้ำผึ้งลงในถ้วยไมโลร้อน คุณโทมัสไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่า ลูกชายของเขากำลังสุขใจ เต็มอิ่มกับจิตใจที่ถูกเติมเต็มไปด้วยความรัก

ภาพหนึ่งที่ถูกส่งมา ตอนที่ทั้งสองคนอยู่ที่ท้องฟ้าจำลองด้วยกัน คุณโทมัสมองเห็นความสดใสในตัวของเอิง ถูกถ่ายทอดออกมาให้เห็นเช่นกัน ผิดกับท่าทางของเอิง เมื่อวันที่เจอกันที่บริษัทของฐานทัพ ที่ตอนนั้น เอิงดูเหมือนจะมีอะไรที่หนักอึ้งอยู่ในใจ แต่พูดบอกใครไม่ได้ เอิงในวันนั้นเหมือนกับมีม่านหมอกอะไรบางอย่างปกคลุมเอาไว้ แต่กับที่ท้องฟ้าจำลอง กับแดน ภาพของชายหนุ่มสองคน นั่งมองตากัน คุณโทมัสรับรู้ได้ ว่าทั้งแดนและเอิง ต่างมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน

“นี่คุณถึงกับต้องจ้างคนตามถ่ายรูปลูกกับแฟนของเขาเลยหรือคะ” คุณปริมตกใจที่เห็นคุณโทมัส ผู้เป็นสามีกำลังเลื่อนรูปถ่ายของแดนและเอิงบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขา ถึงกับต้องพูดขึ้นด้วยความรู้สึกไม่พอใจ ระคนเสียใจที่คนเป็นพ่อที่ดีอย่างคุณโทมัส จะทำอะไรแบบนี้กับลูก

“ปริม ไม่ใช่นะ คุณปริม มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด” คุณโทมัสที่ไม่ทันได้ระวังตัว ไม่ทันได้ยินว่าคุณปริมกลับมาจากข้างนอกแล้ว จะมาเห็นรูปถ่ายเหล่านี้ “นี่มันไม่เป็นการละเมิดเรื่องส่วนตัวของลูกมากไปหน่อยหรือคะ” คุณปริมพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ เธอเองก็กำลังสับสนภายในจิตใจ กับเรื่องที่เธอคิดหนัก หากว่าเธอต้องตัดสินใจเลือกขึ้นมาจริง ๆ

“ไปกันใหญ่แล้ว ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรอย่างนั้น คุณปริม ฟังผมพูดก่อน” คุณโทมัสพยายามอธิบายและอยากให้คุณปริมผู้เป็นภรรยารับฟังเขาสักนิด “นี่ถ้าไม่ติดว่า คุณเป็นพ่อของแดนนี่ ฉันจะแจ้งตำรวจจับคุณเสียตอนนี้เลย” คุณปริมไม่ชอบใจอย่างมาก ที่คุณโทมัสจะมาตามถ่ายรูปลูกชาย เพื่อให้รู้ความเป็นไปในชีวิตของแดนนี่ทุกฝีก้าว ตามสืบเรื่องคนรักของลูกชายอย่างนี้

“คุณปริม” คุณโทมัสถึงกับอ้าปากค้าง “ฉันพูดจริงนะคะ ฉันไม่ชอบสิ่งที่คุณทำอยู่นี่เลย” คุณปริมจะว่าผิดหวังก็ไม่ผิด แม้ว่าเธอจะรู้ดี ว่าคุณโทมัสรักลูกชายมากแค่ไหน แต่วิธีนี้มันผิด และเธอยอมไม่ได้ ที่จะเห็นผู้เป็นสามีใช้แนวทางแบบนี้ เพื่อควบคุมตัวแดนนี่ให้ทำตามที่คุณโทมัสต้องการ

“คุณปริม มันไม่ใช่อย่างที่คุณพูดเลย คือ ผมยอมรับว่าจ้างคนไปถ่ายรูปแดนกับเอิงจริง แต่ ผมสั่งยกเลิกไม่ทัน ภาพมันก็ถูกส่งมาแล้ว ผมก็ต้องเลยตามเลย และถึงผมจะได้รูปพวกนี้มา แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะเอาไปทำอะไรนะ” คุณโทมัสพูดกับคุณปริมด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “แน่นะคะ” คุณปริมถามเพื่อให้คุณโทมัสยืนยันในคำตอบอีกครั้ง

“ผมเห็นเขาสองคน เวลาอยู่ด้วยกันแล้วล่ะ” คุณโทมัสตอบออกไป สบตากับภรรยาที่อยู่กินกันมาอย่างยาวนาน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาอย่างคุณปริม สาวไทยผู้รักครอบครัวเหนือสิ่งอื่นใด เธอรักและเคารพในตัวสามี และรักลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างแดนนี่ด้วยชีวิต คุณโทมัสรู้ดี ว่าคุณปริมนั้นยิ่งกว่านางสิงห์ที่หวงลูกน้อยเสียอีก คุณปริมพร้อมที่จะทำทุกทาง เพื่อปกป้องลูกชายของเธอ

“แดนนี่หรือลูก” คุณโทมัสเห็นคุณปริมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นพูด เมื่อมีเสียงเรียกเข้า ขัดจังหวะบทสนทนาของเขากับภรรยา และรับรู้ว่า เป็นแดนที่โทรมาหาแม่ “ครับแม่” แดนนี่พูดตอบกลับแม่ของเขาไป “คืนนี้ผมค้างที่คอนโดของเอิงนะครับ” แดนพูดบอก ว่าเขาขอค้างกับเอิง “เอิงเขาต้องโอเคนะลูก แดนต้องเป็นสุภาพบุรุษ เข้าใจที่แม่พูดใช่มั้ย” คุณปริมเตือนลูกชายให้ปฏิบัติตัวต่อเอิงให้ดี

“ครับแม่ ผมสัญญา” แดนให้สัญญากับแม่ของเขา “แต่ผมรบกวนแม่อย่างหนึ่งได้มั้ยครับ” แดนถามแม่ของเขา คุณปริมตอบว่าได้ ให้แดนบอกเธอมาได้เลย “รบกวนแม่ช่วยบอกกับพ่อด้วยนะครับ ว่าขอให้เอ็นจอยกับรูปสวย ๆ ของผมกับเอิงในวันนี้” คุณปริมถอนหายใจออกมาดัง ๆ เพื่อให้คุณโทมัสได้ยิน

“แดนนี่รู้ ว่าคุณส่งคนไปตามถ่ายรูปพวกเขาสองคน” คุณปริมบอกกับคุณโทมัส ในขณะที่แดนยยังคงอยู่ในสาย คุณโทมัสที่โดนจับได้ ต้องยอมจำนน “แดนนี่ พ่อไม่ได้ตั้งใจ พ่อจะไม่ใช้รูปพวกนั้นทำอะไร พ่อสัญญากับแม่เขาแล้ว แม่เป็นพยานให้พ่อได้ แดน ไอ แอม ซอรี่ ซัน” คุณโทมัสพูดเสียงให้ดังมากพอ เพื่อแดนที่อยู่ปลายสายจะได้ยิน “แต๊งส์ แด๊ด” แดนกล่าวขอบคุณพ่อของเขา ก่อนจะพูดอะไรอีกเล็กน้อยกับคุณปริม แล้วจึงวางสายไป



เมื่อดาวเจ้าเรือนศุภะ หรือเรือนแห่งความดีงาม การดำเนินชีวิต ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต มาตกในเรือนปัตนิ หรือเรือนของคู่ครอง คู่ค้า คู่สัญญา จะทำให้เจ้าชะตามีโอกาสที่จะแต่งงานอยู่เมืองนอก ได้คู่ครองเป็นผู้ที่มีหลักฐานมั่นคง เป็นเจ้าของกิจการ หรือได้คู่ครองในต่างถิ่น ความสำเร็จที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน ร่วมหัวจมท้ายก็ว่า

แต่เมื่อมีดี ย่อมมีเสีย เป็นของคู่กัน เจ้าชะตาอาจจะมีเกณฑ์มีศัตรูอย่างเปิดเผย เมื่อไปอยู่ต่างถิ่นต่างแดน ศัตรูอาจจะมาจากคนละประเทศกัน มีการเดินทางไกลไปในที่ที่ไม่คุ้นเคย เกี่ยวข้องกับการทำศึกสงคราม อาจจะเสียทรัพย์ เสียชีวิตจากการปล้นชิง หรือความบาดหมาง แม้จะพยายามหลบลี้หนีหน้า แต่ไม่อาจจะพ้นไปจากเจ้ากรรมนายเวรนั้น



ใต้ดวงดาวอันพร่างพรายนั้น แมทล้มตัวลงนอน โดยมีซายอยู่ในอ้อมแขนของเขา นายทหารช่างหนุ่มโอบกอดกระชับร่างเล็ก ๆ นั้นให้อิงแอบแนบชิดกับตัวของเขาให้มากที่สุด ให้ไออุ่นจากร่างกายของเขา ทำให้ซายได้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ ๆ ซายกอดแมทเอาไว้จนแน่น ทุกนาทีที่ได้อยู่ใกล้กับแมท ทำให้ซายรู้สึกว่าชีวิตของเขาไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก หมดหวังอีกต่อไป มันคือช่วงเวลาอันแสนวิเศษที่เขาอยากจะยื้อเอาไว้ ให้นานที่สุด เท่าที่จะทำได้



แดนนอนลืมตาในความมืดอยู่นานแล้ว ตั้งแต่ที่เขาเห็นเอิงปิดไฟที่หัวเตียงลง แดนที่สองจิตสองใจ ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นก่อน ด้วยว่ารับปากกับแม่เอาไว้ กำลังมีเทพและมารเถียงกันอยู่ในความคิด ก่อนที่แดนจะรับรู้ว่า เอิงแตะมือลงบนหลังมือของเขาอย่างแผ่วเบา แดนขยับตัวไปทางเอิง ถามออกไปด้วยน้ำเสียงกล้า ๆ กลัว ๆ จนเมื่อเอิงแตะริมฝีปากเข้ากับแดนเบา ๆ ความกังวลทุกอย่างจึงคลายลง

แดนจึงเริ่มต้นทำตามสิ่งที่หัวใจเขาเรียกร้อง ความตื่นเต้น ความรู้สึกหวามไหวในอก ความต้องการทางกาย ความรู้สึกในจิตใจที่ปฏิพัทธ์ต่อกัน ทำให้แดนเริ่มตักตวงเอาความหอมหวานจากอีกฝ่าย โดยไม่รีรออีกต่อไป เอิงยินยอมให้แดน นำเขาไปสู่ความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสจากใครมาก่อน ความโหยหาที่มีในหัวใจ ทำให้ความเร่าร้อนทางกายได้ปะทุขึ้น ค่ำคืนที่แดนและเอิงต่างเป็นของกันและกันโดนสมบูรณ์

*********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=PiiNH6-Ac3w

ในเมืองเล็กเล็กที่มีผู้คนอยู่มากมาย

This small city filled with many people

จะมีบ้างไหมสักคนที่มองมาหาฉัน

Will there be any one looking for me?

คล้ายโลกนี้ไม่มีใครอยู่

As if no one else is left

มีฉันคนเดียวที่ต้องคู่

It’s just only me up for grabs

อยากอยู่ด้วยกันนับวันจากนี้ไป

Then we will now live happily ever after


ในเมืองเล็กเล็กที่มีผู้คนอยู่รอบกาย

This tiny city surrounded by lots of people

จะมีบ้างไหมสักคนที่ทำให้เรื่องร้าย

Will there be the one making bad stuff disappeared

ฉันกลายเป็นเรื่องที่ยิ้มได้

I am that person bringing all smiles

ได้คิดและเริ่มชีวิตใหม่

Reckoning and reviving a new beginning

สบตาทีไรสดใสได้ทุกที

Looking into each other’s bright eyes


อยากมีไว้ ใครสักคนที่ยืนข้างข้างกัน

I’ll have one, someone to be side by side

อยากจะมีเวลาดีดีกับคนนั้น

Cherishing the good times with that only one


อยากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว

I wish I could fall for someone really hard

อยากทิ้งทั้งตัวและหัวใจ

Both of myself and then my heart

กับใครสักคนหนึ่ง คงต้องมีอยู่

With someone, somebody out there

แต่ก็ไม่รู้จะได้เจอกันจากมุมไหน

Yet, still don’t know where to start to look for


หากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว

If I definitely would fall head over heels

จะไม่มามัวยืนมองให้เสียเวลา

Will never waste my time just looking at you

จะดึงเธอเข้ามากอด และทิ้งตัวลงที่ตัก

You’ll be wrapped in my arms, I’ll sink myself into your lap

และจะหยุดพักหัวใจของฉันไว้

My heart says I can now rest my case

ที่ไหล่ข้างซ้ายของเธอตลอดไป

On your left shoulder where I belong


ในมุมลึกลึกทุกคนก็มีความต้องการ

Deep down in the corner of our desires

ยังคงค้นหาและรอปล่อยใจดวงเล็กเล็ก

Keep searching for to set our breakable heart free

ให้ไม่ต้องเหงาเหมือนเมื่อวาน

So, today the loneliness is no longer there

จับมือกันเดินอยู่ในบ้าน

Holding hands though we’re in our own home

มี ส.ค.ส.ให้กันได้ทุกปี

Say, the Hallmark moments are reserved every year


อยากมีไว้ ใครสักคนที่ยืนข้างข้างกัน

I’ll get one, someone to have and to hold

อยากจะมีเวลาดีดีกับคนนั้น

Adoring the memorable times with the one and only


อยากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว

I wish I could fall for someone really hard

อยากทิ้งทั้งตัวและหัวใจ

Both of myself and then my heart

กับใครสักคนหนึ่ง คงต้องมีอยู่

With someone, somebody out there

แต่ก็ไม่รู้จะได้เจอกันจากมุมไหน

Yet, still don’t know where to start to look for


หากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว

If I definitely would fall head over heels

จะไม่มามัวยืนมองให้เสียเวลา

Will never waste my time just looking at you

จะดึงเธอเข้ามากอด และทิ้งตัวลงที่ตัก

You’ll be wrapped in my arms, I’ll sink myself into your lap

และจะหยุดพักหัวใจของฉันไว้

My heart says I can now rest my case


ทุกวันยังคอยมอง ทุกคืนยังคอยลุ้น

Every day I am waiting for, every night I am hoping that

ว่าจะมีใครสักคนที่เข้ามาหนุนนอนที่ใจ

There’s someone to come looking for my warmth at night

ของฉันที่เหงาจะตาย

This loneliness is killing me softly


อยากตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัว

I say I’d lounge away the remainder of my days

อยากทิ้งทั้งตัวและหัวใจ

Leave myself and my whole heart

กับใครสักคนหนึ่ง คงต้องมีอยู่

With someone, that someone must be out there

แต่ก็ไม่รู้จะได้เจอกันจากมุมไหน

We’ll have to see the right perfect place to look for


หากตกอยู่ในสภาวะ ทิ้งตัว

If I am able to be kicking back, freewheeling

จะไม่มามัวยืนมองให้เสียเวลา

I’ll make every second count

จะดึงเธอเข้ามากอด และทิ้งตัวลงที่ตัก

You’ll be in my arms, my head is cradled on your lap

และจะหยุดพักหัวใจของฉันไว้

My heart can say it’s already back home


ที่ไหล่ข้างซ้ายของเธอตลอดไป

Laying my head upon your left shoulder forever there

จะมีไหมใคร ให้ฉันได้ทิ้งตัว

Can it be you for me to fall for?

ทิ้งตัวลงที่ตัก พักใจเอาไว้

That I can be vulnerable, you’re my security blanket


หยุดทั้งหัวใจ

My heart is here with you

อยากทิ้งตัว

Free fall
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๓ ศุภะ - ปัตนิ (เสมอด้วยดวงใจ)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 27-05-2022 21:27:00
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๔ วินาศน์ - ปัตนิ (ในวันที่เราได้พบกัน)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 29-05-2022 19:16:28
๓๔.



วินาศน์ - ปัตนิ (ในวันที่เราได้พบกัน)





“อยู่ไหนกันแล้วแก” เอิงได้ยินอันน์ถาม ทันทีที่เขารับสายวิดีโอ คอลนั้น “อยู่ฮาเนดะ กำลังจะขึ้นเครื่องแล้ว” อันน์พยักหน้ารับรู้ “แดนล่ะ” เจ้าของชื่อโผล่หน้าเข้ากล้อง เมื่อได้ยินอันน์เรียกชื่อเขา เอิงยิ้มให้กับรุ่นพี่คนสนิท “โอเค ถึงที่โน่นแล้ว ส่งข้อความบอกพี่ด้วยนะ อ้อ ไอ้ปราชญ์ฝากบอกว่า ขอโทษที่ไปส่งที่สุวรรณภูมิไม่ได้” อันน์บอกกับเอิง “ติดเมีย” เอิงหัวเราะออกมาเบา ๆ เมื่อเห็นสีหน้าเหม็นความรักจากอันน์

“ดูแลตัวเองด้วยนะ” อันน์บอกกับเพื่อนรุ่นน้องของเธอ “แดน” หนุ่มลูกครึ่งชะโงกหน้ากลับเข้ากล้องอีกครั้ง “ฝากน้องพี่ด้วยนะคะ” แดนพยักหน้ารับคำ “ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจะดูแลเอิงเป็นอย่างดี” เสียงประกาศขึ้นเครื่องของผู้โดยสารเฟิร์สคลาสดังขึ้น “ไปลูก แดน เอิง” คุณปริมเรียกชายหนุ่มทั้งสองคน โดยมีคุณโทมัสเดินนำหน้าไปเป็นคนแรก

“เอิงขึ้นเครื่องก่อนนะครับพี่อันน์” เอิงบอกกับปลายสายที่เมืองไทย “เดินทางปลอดภัยค่ะ คิดถึงแล้วนะ” อันน์บอกกับเอิง ยิ้มให้ แล้วจึงจะวางสายไป ก่อนที่เขาและแดนจะเดินตามแม่และพ่อของหนุ่มลูกครึ่งไป ทั้งสี่คนเก็บสัมภาระไว้บนที่เก็บของด้านบน ก่อนจะนั่งประจำที่นั่งสองคู่ตรงกลาง โดยคุณโทมัสและคุณปริมนั่งอยู่ด้านหน้าแดนและเอิง พนักงานเข้ามาแนะนำตัว และเริ่มการบริการ เพียงไม่นาน เมื่อทุกอย่างพร้อม เครื่องบินก็ทะยานขึ้นสู่ฟ้า

หลังจากการบริการอาหารบนเครื่องเสร็จ ไฟบนเครื่องบินก็ถูกปิดลง เพื่อให้ผู้โดยสารได้พักผ่อน ม่านหน้าต่างของผู้โดยสารที่นั่งเดี่ยวในชั้นเฟิร์ส คลาส ถูกกดปิดลง ภายในเคบิ้นสลัวลง แดนเปิดไฟที่อยู่ด้านหลังเบาะที่นั่ง เพื่ออ่านหนังสือที่เขาอ่านค้างอยู่ ชายหนุ่มลูกครึ่งถามเอิงที่นั่งติดกับเขา ว่าเอิงต้องการอะไรเพิ่มมั้ย เอิงส่ายหน้าปฏิเสธ บอกว่า เขาขอพักสายตาสักหน่อย แดนพยักหน้ารับรู้ ก้มลงหอมที่หน้าผากเอิง แล้วดึงผ้าห่มให้เอิง คลุมจนถึงหน้าอก



ซายนั่งมองแมทที่กำลังซ่อมตะกร้าสะพายหลังให้เขา วันก่อนนั้น แมทเห็นว่าตะกร้าใบนี้ มันดูง่อนแง่นเต็มทน วันนี้ายช่างหนุ่มจึงติดเอาเครื่องมือช่างมาด้วย แมทลงมือทำมันอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหันมาสบตากับซายเป็นระยะ ๆ เพื่อเสพสายตาของซาย ที่แสดงให้เขาเห็นถึงความภูมิใจนั้น แมทพอจะเดาได้ ว่าตะกร้าใบนี้ คือสิ่งสำคัญมากในชีวิตของซาย มันคือเครื่องมือดำรงชีพ ซายดีใจและนึกขอบคุณแมท ที่เห็นคุณค่าและให้ความสำคัญกับเขามากจริง ๆ

“ลองสะพายดูสิ” แมทพูดขึ้น หลังจากที่เขาซ่อนมันจนเสร็จ และลองทำสอบว่า มันแข็งแรง ไม่โยกคลอนจนแทบจะหลุดออกจากกัน อย่างที่เขาเห็นซายพยายามเกร็งกำลังแขน ใช้เชือกดึงเพื่อรวบซี่ไม้ของตะกร้านั้น รั้งของทุกอย่างในนั้น ไม่ให้ร่วงหล่นลงมา แมทเห็นแบบนั้น ก็ให้นึกเห็นใจและสงสาร ซายเอาเสบียงมาส่งให้เขา โดยที่ไม่ปริปากบ่นสักคำ แมทรู้สึกทึ่ง เพราะเขาเองรู้ดีว่า ของทั้งหมดนั้นหนักมากขนาดไหน เมื่อเขาต้องขนมันกลับไปที่ค่ายคนเดียว

“ดีใช่มั้ย” แมทยิ้มตามซาย ที่ยิ้มกว้าง เมื่อเอาตะกร้านั้นขึ้นสะพายบนไหล่ ซายปลดตะกร้านั้นลงมาดู ซายหยิบมันหมุนมองไปตามร่องที่เคยแตก ไม้ที่เคยผุ ตะกร้าที่เคยจะพังมิพังแหล่ แต่ตอนนี้มันแข็งแรง พร้อมใช้งานอีกครั้ง แมทมองเห็นใบหน้าที่ถูกแต้มไปด้วยความสุขนั้นด้วยหัวใจที่พองโต มันคือความอิ่มเอมใจของผู้ชายคนหนึ่ง ที่สามารถทำให้คนที่เขารักมีความสุขได้ นายทหารช่างแมทนึกภาพในจินตนาการไว้ หากว่าเขาจะสามารถพาซายไปอยู่กับเขาที่ฟาร์ม ที่บ้านเกิด เขามีอีกหลายอย่างที่จะทำให้ซายได้

“อะไร” แมทตกใจ เมื่ออยู่ ๆ ก็เห็นซายวางตะกร้านั้นลงบนพื้น ก่อนจะเห็นซายเข้ามากอดเขาเอาไว้ “ฉันรักเธอนะ” แมทดึงตัวของซายออก เชยคางให้ซายขึ้นมามองหน้าเขา “ฉันรักเธอ” แมทพูดบอกกับคนในอ้อมแขนของเขา ถึงความรู้สึกที่นายทหารช่างคนนี้มี แมทมองเห็นสายตาของซายที่ใช้มองเขา เขาไม่ได้ยินเสียงของซายบอกรักเขาตอบกลับมา แต่ด้าจก์ซายกอดเขาไว้จนแน่นอีกครั้ง จนความรู้สึกของคนตัวเล็ก ๆ ที่มีต่อบิ๊กแบร์ ส่งผ่านเข้าไปให้หัวใจของหมีใหญ่คนนี้ ได้รู้สึกเช่นกัน



“เอิง” แดนเรียกชื่อของเอิง เมื่อได้ยินเสียงหอบหายใจของเอิงดังขึ้น กับท่าทางผวาตื่นขึ้นมานั้น เอิงลืมตาขึ้นมอง พร้อมกับเครื่องบินที่สั่นวูบลง จากการตกหลุมอากาศ เสียงประกาศจากกัปตันให้ผู้โดยสารรัดเข็มขัด เพื่อความปลอดภัย ก่อนจะเห็นพนักงานต้อนรับเริ่มทำการเตรียมตัว ก่อนนำเครื่องลงจอดที่สนามบิน

“โอเคมั้ย” แดนถามเมื่อเขายื่นน้ำให้เอิงจิบ เอิงพยักหน้าบอกว่าเขาไม่เป็นไร “รู้สึกหรือครับ” แดนถามเอิงที่กำลังเช็ดม่ายน้ำตาที่พราวอยู่เต็มแผงขนตา “ครับ” เอิงตอบยืนยันกับแดน “แมท” แดนเดาออกมา เอิงส่ายหน้า “ซาย” ยิ่งเดินทางเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้นเท่าไหร่ เอิงก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ของซาย ที่ทวีคูณมากขึ้นและมากขึ้นทุกที ความโหยหาของคนที่เฝ้ารอคอยใครสักคนมาเนิ่นนาน ที่เอิงเคยรู้สึก ได้กลับเข้ามาในใจเอิงอีกครั้ง

ใช้เวลาไม่นานมากนัก ทั้งสี่คนก็ออกมาด้านนอก คุณโทมัสใช้บริการส่งกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดไปที่บ้านพัก ก่อนที่จะมารับรถยนต์ ขับไปยังที่หมายสุดท้ายในวันนี้ กับการเดินทางอันยาวนานจากไทย เพื่อมาถึงที่นี่ แดนรับหน้าที่ขับรถ โดยมีเอิงนั่งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ คุณโทมัสกับคุณปริมนั่งอยู่ที่เบาะหลัง จากสนามบินเจเอฟเค แดนตั้งจีพีเอสไปยังที่หมาย ที่ไม่ไกลจากสนามบินมากนัก

เวลาบ่ายกว่า ๆ แดนออกจากสนามบินมาได้สักพัก ก่อนขับรถตรงไปตามถนนอินเตอร์เสตท ไอ495 เพื่อตรงไปยังจุดหมาย เอิงยิ่งรับรู้ถึงความรู้สึกที่ท่วมท้น บางครั้งก็เหมือนกับว่า เขากำลังอิ่มเอมอยู่ แต่แล้วในอีกไม่กี่นาทีถัดมา เอิงก็รู้สึกถึงก้อนมวลความเศร้า ที่เหมือนกับเป็นเมฆฝนดำทะมึน ลอยอยู่ด้านบน และมันพร้อมจะปล่อยให้ฝนห่าใหญ่ตกลงมา และให้ลมพายุพัดกระหน่ำให้ใจร้าวรานย่ำแย่ลงได้ในทันที

ขับรถมาได้ราว ๆ หนึ่งชั่วโมง เอิงก็ต้องแปลกใจ เมื่อรถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังที่เอิงคุ้นตา เอิงหันไปมองแดน เห็นชายหนุ่มลูกครึ่งพยักหน้าให้ ก่อนชวนเอิงให้ลงจากรถ คุณปริมแตะมือลงบนแขนของคุณโทมัส ก่อนจะบอกกับเขาว่า ที่นี่คือที่ที่เธอได้พบเจอเรื่องราวมากมาย เมื่อครั้งที่คุณปริมมากับแดน คุณปริมและคุณโทมัส ลงจากรถตามมา

“เอิง” เจ้าของบ้านที่เดินออกมาดู เมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ขับมาจอดที่หน้าบ้าน เรียกชื่อลูกชายของเธอด้วยความประหลาดใจ “แม่ครับ” เอิงเดินเข้าไปยกมือไหว้มารดา ก่อนจะสวมกอดด้วยความคิดถึง “ไม่บอกแม่ว่าจะมาวันนี้” ผู้เป็นแม่ทราบว่า ลูกชายของเธอจะมาหา แต่เอิงบอกว่าจะขอทำธุระก่อนสักสองสามวัน “เอิงก็ไม่รู้ว่า จากสนามบินจะตรงมาที่นี่เหมือนกัน” เอิงก็แปลกใจไม่น้อยเช่นกัน

“แล้ว ทำไมเอิงมากับแดนได้ล่ะ” แม่ของเอิงเห็นแดน ที่เดินเข้ามาหาพลางยกมือไหว้ “สวัสดีครับคุณน้า” แดนกล่าวทักทายแม่ของเอิงอย่างคนรู้จัก เอิงมองแดนที่ทำหน้ายิ้ม ๆ แต่ไม่ยอมไขความกระจ่างอะไรให้ “พี่ปริมสวัสดีค่ะ” คุณปริมเดินเข้ามาทักทายแม่ของเอิง ยิ่งทำให้เอิงงงมากขึ้นไปอีก คุณปริมแนะนำคุณโทมัสให้แม่ของเอิงรู้จัก “มาเจอกันพร้อมหน้าสักที” คุณปริมพูดขึ้น ทักทายกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

“ขาดแต่คุณพ่อเจ้าเอิงค่ะ พ่อเข้าไปทำธุระในเมืองลูก กลับมาตอนค่ำ ๆ” แม่ของเอิงบอกกับลูกชาย “เข้าไปในบ้านกันก่อนค่ะ มากันเหนื่อย ๆ ดื่มน้ำดื่มท่ากันก่อน” เจ้าของบ้านสวยหลังงามเชื้อเชิญให้ทุกคนเข้าไปในบ้าน คุณโทมัสทราบจากคุณปริมว่า ผู้หญิงเอเชียเจ้าของบ้านหลังนี้คือ แม่ของเอิง ที่พ่อของเอิงพาย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้นานแล้ว “ผมขออนุญาตคุณน้า พาเอิงไปเจอคนสำคัญคนหนึ่งก่อนนะครับ” แดนบอกกับผู้อาวุโสกว่า และคุณโทมัสก็ได้รับรู้ว่า ความบังเอิญอีกอย่างคือ บ้านหลังที่อยู่ติดกันนี่เอง

เสียงกริ่งทำให้หลานสาวเจ้าของบ้านเปิดประตูออกมา เธอจำแดนได้ในทันที ก่อนจะเชิญให้เปิดประตูรั้วเดินเข้าไป แดนกล่าวทักทาย ก่อนจะถามถึงหญิงชราผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้น หลานสาวเธอเล่าว่า สองสามวันก่อนหน้านี้ หญิงชราไม่ค่อยสบายและดูอิดโรย แต่มาเช้านี้ กลับดูสดใส กินอาหารได้ พูดคุยได้ อย่างน่าประหลาดใจ ราวกับรู้ว่า จะมีแขกมาเยี่ยมเยียนสร้างความเซอร์ไพรส์

คุณย่าแคลร์นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกบุนวมตัวโปรด หญิงชราเอ่ยถามหลานสาวที่ออกไปเปิดประตู ว่ามีใครมา ก่อนที่สายตาฝ้าฟางของหญิงชรา จะปรับให้พอจะชัดขึ้นรับกับใบหน้าของชายหนุ่มสองคน ที่เดินตรงเข้ามาหาเธอ ก่อนที่ทั้งสองคน จะคุกเข่านั่งลงที่ข้าง ๆ เก้าอี้โยกนั้น แดนและเอิงเห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าคุณย่าแคลร์

“โอ้ว ไมโล คุณนั่นเอง นี่ฉันยังคิดอยู่เลยนะคะ ว่าจะชวนคุณทำซุปหัวหอมเมนูเก่งฉกาจของคุณอยู่พอดี” แดนยิ้มให้กับคุณย่าแคลร์ คุณย่านั้นรู้สึกปีติยินดี ที่เธอได้เห็นหน้าเพื่อนบ้านคนโปรดของเธออีกครั้ง “นานแล้วสินะ” ในห้วงคำนึงของคุณย่าแคลร์ มันช่างนานแสนนาน ภาพในวันวานที่หวนคืน ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ

“แคลร์ คุณดูทีสิ ว่าผมพาใครมาด้วย” แดนพูดกับหญิงชรา คุณย่าแคลร์หันมามองใบหน้าของคนที่มากับไมโล เพื่อนบ้านของเธอ หญิงชราสะอื้นออกมา เมื่อได้เห็นเอิง “ฮันนี่” คุณย่าแคลร์กล่าวออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจ “เธอคือซายสินะ ต้องใช่แน่ ๆ โอ ฮันนี่ ด้าจ์ซาย เธอมาอยู่ที่นี่กับไมโลแล้ว” มือที่เหี่ยวย่นไปตามวัยของหญิงชรา แตะที่ใบหน้าของเอิงอย่างเอ็นดู

“คุณทำได้แล้วนะไมโล ฉันยินดีกับคุณด้วยจริง ๆ คุณต้องทนทรมานเฝ้ารอเวลานี้มานานเท่าไหร่กันแล้วนะ ฉันดีใจกับคุณเหลือเกิน” คุณย่าแคลร์แตะมือของเธอลงบนมือของแดน หญิงชราบีบมือของหนุ่มลูกครึ่ง ด้วยมือที่สั่นเทาไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ และเป็นสุขไปกับไมโล เพื่อนบ้านที่แสนประเสริฐของเธอ

“ซาย เธอจะไปดูบ้านใหม่ของเธอเสียเลยมั้ย ไมโล คุณน่าพาซายไปดูบ้านของคุณเสียตอนนี้ เขาต้องตื่นเต้นไปกับห้องหับที่คุณตระเตรียมไว้รอเขานานนับปีนี่แน่ ๆ” เอิงรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่จริงใจของคุณย่าแคลร์ ความทรงจำที่หญิงชราจำได้ แม้ว่าเธอจะมีอาการอัลไซเมอร์ เธอก็จำได้ดี ถึงสิ่งที่ไมโลเฝ้ารอคอย และต้องการมากที่สุดในชีวิต นั่นคือการที่ซาย มาอยู่กับเขาที่ตรงนี้

เอิงอธิบายความรู้สึกที่เขามีออกมาตอนนี้ไม่ถูก ครึ่งหนึ่งก็แสนจะอบอุ่นใจ ที่ได้ยินหญิงชราพูดถึงไมโลออกมาด้วยคำพูดเหล่านั้น แต่อีกครึ่งหนึ่ง และเป็นครึ่งนี้นี่เอง ที่ทั้งหน่วงและหนักอึ้งอยู่ในหัวใจ หลานสาวของคุณย่าแคลร์เองยังพูดขึ้นมาว่า คุณย่าของเธอแสดงออกถึงอารมณ์ ทั้งรักและผูกพันกับคุณปู่ไมโลมาก และยังเคยเล่าถึงใครอีกคน คนที่มีความหมายต่อคุณปู่ไมโลมากที่สุดในโลก ด้วยใจเฝ้าอาทร

แดนเดินนำเอิงมาที่กระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังบ้านของคุณย่าแคลร์ เมื่อบ้านหลังนั้นปรากฏต่อสายตาของเอิง ก้อนแข็งด้วยมวลอารมณ์ ก็แล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่หน้าอกของเขา แดนไขกุญแจเปิดประตูกระท่อมนั้นออก ไอความรู้สึกจากครั้งอดีต พุ่งออกมามากระทบเข้ากับความรู้สึกของเอิงอย่างจัง

“ทุกอย่างยังคงเก็บเอาไว้เหมือนเดิม ตั้งแต่ตอนที่แมทเขายังอยู่ที่นี่” แดนบอกกับเอิง ที่เดินมาหยุดยืนอยู่ที่ประตูบ้าน แสงจากด้านนอกส่องเข้าไปด้านใน ความสลัวของด้านในจากการถูกปิดเก็บรักษาเอาไว้ เหมือนรู้ว่า วินาทีสำคัญนั้นมาถึง ก็ต่างพากันเริ่มทำให้เห็นว่า เรื่องราวในอดีต ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพื่อเล่าถึงสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ เพื่อให้เรื่องราวนั้นสมบูรณ์

แสงไฟจากโคมเล็ก ๆ ถูกเปิดขึ้น ความอบอุ่นของแสงสีส้มนั้น กระทบเข้ากับตัวกระท่อมที่เป็นไม้ และมันกำลังเริ่มบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ออกมาให้ได้ยิน เอิงเดินเข้าไปด้านใน โต๊ะเขียนหนังสือยังคงตั้งอยู่ เหมือนครั้งที่ไมโลเฝ้าเพียรเขียนจดหมายส่งไปให้ซาย ภาพของแมทนั่งอยู่ที่โต๊ะและเก้าอี้ไม้ชุดนี้ ฉายวูบไหวกลับมาให้เอิงได้เห็น เอิงมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนในจิตใจ

“ซาย” เอิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ “แมทเขารอเธอเสมอเช่นกันนะ” เหมือนสายตาของเอิง จะถูกแทนที่ด้วยเจ้าของแววตาแป๋วคู่นั้น เอิงยื่นมือไปวางบนโต๊ะตัวนั้น ราวกับว่า ซายได้แตะมือลงไปบนนั้นเช่นกัน อิงรับรู้ถึงความแปลกประหลาดนี้ เมื่อรู้สึกราวกับว่า ซายผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อรับรู้ว่า แมทของเขานั้นอยู่ที่ตรงนี้ ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ หลังนี้

ซายมองเห็นกล่องเหล็กบนชั้นวางของ เขาหยิบมันมาเปิดออกดู สิ่งที่ซายเห็นในนั้น ทำให้เขายิ้มออกมาได้ รูปถ่ายของแมท ร่างจดหมายที่ถูกเขียนขึ้น แต่มันไม่ดีพอ ไม่ตรงกับใจของแมท ถูกพับเก็บใส่เอาไว้ในนี้ ภาพของแมทพยายามปกป้องกล่องเหล็กใบนี้ ไม่ให้โดนทำลาย ผุดขึ้นมาให้เห็น ซ้อนเข้ากับภาพของซาย ที่ปกป้องกล่องไม้เอาไว้ด้วยหัวใจ ทั้งสองคนเก็บเอาจดหมายที่เป็นของรักของหวงไว้ในกล่องคนละใบ แต่มันได้เชื่อมเข้าหากันจากคนละซีกโลก

เอิงหันกลับไปมองทางประตูกระท่อม แดนยืนอยู่ตรงนั้น สายตาของเอิงแทนสายตาของซาย ซายยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อได้เห็นแมทยืนรอเขาอยู่ ซายขยับเดินไปที่ประตู แต่เท้าก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อภาพของแมทที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดฉายขึ้นมาให้เห็น เสมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่ต่อหน้า เอิงเหมือนตัวเองเริ่มจะหายใจติดขัด เมื่อรับรู้ถึงอารมณ์จากอดีตของซาย ที่กำลังโหยไห้อย่างคนรวดร้าวในจิตใจ

ซายทรุดตัวลงกับพื้น ตรงบริเวณเดียวกันกับที่แมทสิ้นใจในคืนวิปโยคนั้น น้ำตาของเอิงไหลลงมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อความอ่อนไหวนั้น มันมาจากก้อนอารมณ์ของซาย ที่ร้องไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ แมทไม่เคยลืมคำพูดที่ได้ให้ไว้ ห้วงอารมณ์ของซาย ที่เคยติดค้างอยู่ในใจว่า แมททอดทิ้งคำสัญญา ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า แมทได้ทำดีที่สุดแล้ว ซายได้รับรู้แล้ว ว่าแมทยังคงรักเขาอยู่ไม่รู้คลาย แดนเดินเข้ามากอดเอิงเอาไว้จนแน่น พูดปลอบเอิงว่า เขาอยู่ตรงนี้กับเอิงแล้ว มันจะไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมอีก เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้น มันไม่มีทางจะทำร้ายเขาทั้งสองคนได้อีก



ไม่ไกลมากนับจากบ้านของคุณย่าแคลร์ แมทขับรถพาเอิงมาตามเส้นทางที่หลานสาวของคุณย่าให้ไว้ เอิงมองออกไปที่สถานที่นั้น ก่อนจะเปิดประตูก้าวลงจากรถ แดนดับเครื่องยนต์ ก่อนเดินตามลงไป เอิงดันประตูรั้วเตี้ย ๆ นั้นให้เปิดออก พื้นหญ้าสีเขียวทอดยาวไปจนสุดแนวต้นไม้ ของป่าด้านใน แดดยามเย็นทอดลงมา มีเพียงความเงียบสงบทั่วทั้งบริเวณ

ป้ายหินสลักชื่อเอาไว้อย่างชัดเจน “แมทธิว เฟรดเดอริก ไมโล เทนเนอร์' พร้อมข้อความบนเฮ้ดสโตนเขียนเอาไว้ว่า “ด้วยความรักและคิดถึง เพื่อนที่แสนดี และผู้ที่รักเดียวใจเดียว โดยปราศจากเงื่อนไข” แดนและเอิงเดินมาที่หลุมฝังศพของแมท ที่คุณย่าแคลร์ทำให้ แม้ว่าไม่มีใครค้นหาร่างของแมทพบ แต่คุณย่าแคลร์คิดว่า แมทควรจะได้หลับพักผ่อนให้สบาย โดยที่คุณย่าใช้ชื่อจริงของนายทหารช่างชาวอังกฤษผู้นี้ สลักลงบนป้ายหิน เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

เอิงนั่งลงที่หน้าหลุมฝังศพของแมท เอามือปัดใบไม้ที่ร่วงลงมา มีช่อดอกไม้ใหม่ ๆ วางอยู่ และมันคงจะเป็นของคุณย่าแคลร์ ที่ให้หลานสาวของเธอ มาดูแลอยู่เป็นประจำ แดนย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ เอิง เขาวางรูปที่เคยวาดเอาไว้ โดยแดนเอารูปนี้ไปใส่กรอบอย่างดี ไว้ข้าง ๆ ป้ายหินนั้น มันเป็นรูปของทหารหนุ่มคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบเต็มยศ ยืนเคียงข้างกับผู้ชายในชุดชนเผ่าดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มุ่นมวยผม และถือดอกไม้ช่อนั้นอยู่ในมือ มีข้อความเขียนด้วยลายมือว่า แมทและฮันนี่ของเขา, ด้าจก์ซาย

“ในที่สุด เขาก็ได้กลับมาพบกันอย่างที่ตั้งใจไว้” ลมเย็น ๆ พัดมาเบา ๆ มาเมื่อเอิงพูดจบ ราวกับว่าแมทและซายตอบรับคำพูดของเอิงว่าเป็นจริงตามนัั้น “จะไม่มีอะไรมาพรากเขาทั้งสองคนจากกันได้อีก” แดนพูดออกมา รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เอิงยิ้มให้กับแดน ภายในใจของเอิง รับรู้ได้ว่า แมทและซายได้อยู่ด้วยกัน ดังคำสัญญาที่เคยมอบไว้และรอคอยนั้นแล้ว



เมื่อดาวเจ้าเรือนวินาศน์ ตัวแทนของความสูญเสีย เรื่องร้ายและเศร้าใจ รวมถึงการจบลงของเรื่องราวหนึ่ง เพื่อให้เรื่องราวใหม่ได้เกิดขึ้นต่อไป เดินมาตกอยู่ในเรือนปัตนิ ที่เป็นเรือนของคู่ครอง คู่คิด ข้อเสียย่อมมีเกิดขึ้น หากว่าเจ้าชะตาต้องร้างคู่ตุนาหงัน จะเป็นเหตุให้ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่อยากจะมีคู่ใหม่ ปฏิเสธที่จะคบหากับใคร เฝ้ารอแต่คนที่จากไป

แต่ด้านดีก็มีเช่นเดียวกับทุกอย่างบนโลกใบนี้ ที่มีทั้งร้ายและดีปะปนกัน เจ้าชะตาจะมีคู่ครองเป็นคนต่างชาติ ได้คนดีมีสติปัญญา ฉลาดมีไหวพริบมาเป็นคนรัก ชีวิตอาจจะได้ไปอยู่ที่ต่างประเทศ ดวงชะตาเมื่อเจออุปสรรคหรือศัตรูมาคิดร้าย จะมีชัยเหนือสิ่งเหล่านั้น



แมทหันมามองที่ประตูกระท่อม ซายยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูนั้น รอยยิ้มของซายสดใสและเปี่ยมไปด้วยความสุข แมทอ้าแขนออก ก่อนจะเห็นซายก้าวเท้าเข้ามาในกระท่อม เดินตรงมาหาเขา แมทรวบตัวอุ้มซายเอาไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะกอดอีกฝ่ายเอาไว้จนแน่น ด้วยความคิดถึงที่ไม่อาจจะบรรยายได้ ซายหัวเราะออกมาเสียงดัง มันนเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูไพเราะเมื่อได้ยิน และมอบความสุขให้กับทั้งแมทและตัวของซายเอง

“เราเจอกันแล้วนะ” แมทบอกกับซาย โดยที่ซายพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา ทั้งสองจ้องหน้ากัน สบตาแสดงความรู้สึกว่าคิดถึงกันมากเพียงใด ผ่านแววตาที่มีนั้น “ฉันรอคอยวันนี้มานานแสนนาน” แมทบอกกับซาย คนรักของเขาออกไป ก่อนจะดึงตัวของซายเข้ามากอดอีกครั้ง

“ฉันก็รักนายช่างแมทนะ” เสียงกระซิบบอกรักที่ข้างหู ที่แมทได้ยินมันตอบคำถามของเขา ที่เคยถามซายเอาไว้ในจดหมายที่เขียนส่งไปว่า ถ้าซายพูดบอกเขาได้ คำพูดใดจะเป็นคำแรกที่ซายพูดกับเขา “เพราะจัง” แมทรู้สึกถึงทั้งเสียงพูดและคำที่ซายเอื้อนเอ่ยออกมา นายทหารช่างน้ำตาไหลออกมา กับโลกที่เป็นของเขาและซายโดยแท้ ความรู้สึกของแมทที่มีต่อซาย ได้ถูกตอบรับและพูดให้แมทได้ยิน จากปากของซายได้ดั่งใจปรารถนา



คืนนั้นคุณย่าแคลร์ ท่านได้พูดกับหลานสาวก่อนที่จะเข้านอนว่า คุณย่าแคลร์ ท่านได้อยู่ทำภารกิจที่ติดค้างอยู่ในใจ สำเร็จเรียบร้อยลงแล้ว และในค่ำคืนเดียวกันนั้น คุณย่าแคลร์หลับไปด้วยรอยยิ้ม และได้จากทุกคนไปด้วยอาการสงบ

************************************

แปลคำร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=WJuKfKCHrzU

ไม่รู้ว่านานเท่าไร

Not knowing how long it has been

ที่ฉันและเธอห่างไกลตั้งแต่วันนั้น

Since that day you and I parted ways

อยากขอแค่เพียงสักวัน

Wish it could be some day

ให้เราได้มาพบกันเหมือนวันเก่า

For us to come taking a walk down this memory lane


แม้ไม่อาจเป็นดั่งใจ

Though it’s not going our way

ที่ต้องการ เราต่างรู้

As needed, we both know

คงไม่นานเกินเฝ้ารอ

Still, our time’s soon to be had

จะจำไว้เสมอ

Forever remember this


เมื่อใดที่สายลมพัด

When the wind gently breezes

ดั่งมีความรักมาช่วยปลอบความเหงาใจ

Love here is to ease this loneliness

ไม่ว่าตัวเธออยู่ไหน

Wherever you now are

ลมจะเป็นเหมือนใจที่ห่วงใยกัน

Wind weaves our hearts in caring bond

เพราะรักแท้ก็เป็นเหมือนลมที่โอบกอดฉัน

‘Cause true love caresses me with tender air

แม้มองไม่เห็นแต่ฉันรู้สึกถึงเธอ

Invisible, yet I can feel there’s you


แค่นึกว่าได้เจอกัน

Imagine we’re here together

หรือว่าพบในฝันฉันก็สุขใจเหลือเกิน

Even in our dreams, it makes me feel so blessed

ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอ

And as matter of fact

จะเป็นแบบเดิมและคิดถึงกันหรือเปล่า

I’m wondering if you’re the same thinking about us?


แม้ไม่อาจเป็นดั่งใจ

Apparently, it’s not going our way

ที่ต้องการ เราต่างรู้

As asked for, we both know

คงไม่นานเกินเฝ้ารอ

Still, our time’s soon to be had

จะจำไว้เสมอ

Do remind ourselves this


เมื่อใดที่สายลมพัด

When the air tenderly moves

ดั่งมีความรักมาช่วยปลอบความเหงาใจ

Love is to soothe the pain of this loneliness

ไม่ว่าตัวเธออยู่ไหน

No matter where you are now

ลมจะเป็นเหมือนใจที่ห่วงใยกัน

Wind weaves our hearts in loving bond

เพราะรักแท้ก็เป็นเหมือนลมที่โอบกอดฉัน

‘Cause real love fondles with delicate wind

แม้มองไม่เห็นแต่ฉันรู้สึกถึงเธอ

Imperceptible, yet I can sense there’s you


ลมจะพัดมาจากทิศใดก็ตาม

Any direction the wind should come its way

สายลมเป็นดั่งสายใย

Breeze intertwines strands of love

เชื่อมใจเราไว้ไม่ขาด

Unites and holds us tight

ให้เราผูกพันแม้ต้องห่างไกล

We’re all connected though we’re a world apart


ไม่ว่าตัวเธออยู่ไหน

Doesn’t matter where you will be

ลมจะเป็นเหมือนใจที่ห่วงใยกัน

The wind will look out for and take care of us

เพราะรักแท้ก็เป็นเหมือนลมที่โอบกอดฉัน

Genuine love is the wind that’s embracing me

แม้มองไม่เห็นแต่ฉันรู้สึกถึงเธอ

Can’t actually see it, but that really is you


แม้มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้เสมอ

May not see it, your heart still always reaches mine
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๔ วินาศน์ - ปัตนิ (ในวันที่เราได้พบกัน)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 29-05-2022 19:34:40
 :hao5: :sad4:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๕ ปัตนิ-ศุภะ (คนที่มีฉันในความฝันคนในฝันของฉันที่มี)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 01-06-2022 19:25:07
๓๕.





ปัตนิ - ศุภะ (คนที่มีฉันในความฝันคนในฝันของฉันที่มี)





คุณโทมัสค่อย ๆ ดันประตูห้องนอนให้แง้มเปิดออก ด้วยกลัวว่าจะเกิดเสียงดัง และทำให้คนที่กำลังนอนหลับอยู่ในนั้น ต้องตื่นขึ้น คุณปริมมองตามสามีเข้าไปด้านในห้อง แสงจากด้านนอกทำให้เห็นชายหนุ่มสองคนหลับใหลอยู่ด้วยกันบนเตียงนอนนั้น คุณโทมัสเดินเข้าไปหยุดอยู่ที่ด้านข้างเตียง คุณปริมยืนมองสามีอยู่ด้านนอก

แดเนียล ลูกชายของคุณโทมัสกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ชายหนุ่มหลับโดยเอาหลังพิงกับหัวเตียงเอาไว้ โดยมีเอิงนอนหลับอยู่ในอ้อมแขน ใบหน้าซบกับแผงอกที่เปลือยเปล่าของหนุ่มลูกครึ่ง คุณโทมัสสะกิดแขนลูกชายเบา ๆ อยู่หลายที แดนสะดุ้งตื่นขึ้น รู้สึกตกใจเล็กน้อย ที่เห็นประตูห้องเปิดอยู่ ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปด้านข้างที่เอิงนอนอยู่ เพื่อเอาตัวของเขาเองบังร่างของเอิงเอาไว้

“แดน ชู่ว์ ไม่มีอะไร นี่พ่อเอง” คุณโทมัสรีบพูดบอกลูกชาย เมื่อเห็นแดนแสดงท่าทางปกป้องเอิงเต็มที่ “ลงมานอนดี ๆ” คุณโทมัสบอกให้ลูกชาย ขยับตัวลงมาหนุนหมอน แดนทำตามโดยที่ไม่ยอมปล่อยให้เอิงหลุดออกจากอ้อมแขน “ฝันดีนะลูก” คุณปริมเดินเข้ามาหอมที่หน้าผากลูกชาย “ครับแม่” แดนรับคำเบา ๆ เอิงทำท่าขยับตัว คุณโทมัสจึงตบมือลงบนแผงอกแดนเบา ๆ เป็นเชิงบอกว่า ให้ลูกชายนอนหลับต่อ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปที่ประตูห้อง

แดนดึงเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวของเอิงเอาไว้ เอิงที่เหนื่อยจากการเดินทาง เพราะไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนไกล ๆ แบบนี้สักเท่าไหร่ และยังต้องพบกับเรื่องราวที่สะเทือนอารมณ์ในวันนี้ ซุกตัวเข้าหาแดน คุณปริมแตะมือลงบนไหล่ของคุณโทมัสเบา ๆ ก่อนที่ผู้เป็นสามีจะปิดประตูอย่างเบามือตามหลัง ทั้งสองคน เดินลงไปที่ชั้นล่าง ตอนนี้คุณศรุตและคุณอร พ่อและแม่ของเอิงนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก เจ้าของบ้านเอ่ยเชิญให้พ่อและแม่ของแดน มานั่งคุยกันที่โซฟา

“หลับกันแล้วทั้งคู่เลย” คุณปริมเอ่ยบอกกับคุณอร “บินจากฝั่งบ้านเรามาที่นี่ ร่างกายก็ปรับเวลาง่ายหน่อย ไม่เหมือนตอนเราบินกลับบ้าน” คุณศรุตเอ่ยขึ้น คุณปริมพยักหน้าเห็นด้วย “ปริมเอง บินกลับไปไทยหนนี้ กว่าจะนอนหลับได้ เล่นเอาเกือบแย่” คุณปริมเองตอนนี้ก็รู้สึกเหนื่อย ๆ เช่นกัน ทีแรกคุณโทมัสขึ้นไปที่ห้องนอนของเอิง ก็เพื่อที่จะชวนลูกชายให้กลับบ้านด้วยกัน

“คงต้องรบกวนน้องอร ฝากลูกชายไว้ให้นอนค้างที่นี่ด้วยสักคืน” คุณปริมเอ่ยขออนุญาตเจ้าของบ้านแทนลูกชาย “ไม่ได้รบกวนอะไรเลยค่ะ พี่ปริม” คุณอรรีบพูดตอบกลับไปว่า ไม่ถือเป็นเรื่องลำบากหรือรบกวนอะไรเลย “พี่ปริมกับคุณโทมัส ก็ค้างด้วยกันเสียที่นี่แหละค่ะ” เพราะกว่าจะขับรถกลับไปจนถึงบ้านที่เพนซิลเวเนีย ก็คงค่ำมืดพอดี

“พี่ปริมไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะ” ห้องเกสต์รูมนั้นอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของเอิง คุณศรุตทำเอาไว้ เผื่อว่าวันหนึ่ง เอิงจะพาคนที่คุณศรุตรู้ ว่าลูกชายได้เฝ้ารอมาตั้งแต่เด็ก มาเที่ยวที่บ้าน และพอวันนั้นมาถึงจริง ๆ ห้องเกสต์จะได้รับรอง พ่อและแม่ของคนคนนั้นแทนเสียนี่ “ขอบคุณมากนะครับ” คุณโทมัสกล่าวขอบคุณสองสามีภรรยาเจ้าของบ้าน ที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อกับเขาและคุณปริม ทั้ง ๆ ที่เพิ่งได้พบกัน

“อรกับพ่อของเอิง เคยเจอพี่ปริมแล้ว วันนี้ก็ดีใจนะคะ ที่ได้เจอคุณโทมัสสักที” พ่อและแม่ของเอิงสบตากัน เพราะพอจะรู้คร่าว ๆ จากเอิง ลูกชายของทั้งคู่มาบ้าง ว่าคุณโทมัสอาจจะไม่ปลื้มกับความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ระหว่างเอิงกับแดน คุณศรุตที่ปกติหวงลูกมาก เพราะไม่อยากให้เอิงเสียใจกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ “มันคงจะทำความเข้าใจยากอยู่สักหน่อย” คุณศรุตสบตากับคุณอร ผู้เป็นภรรยา ก่อนจะเริ่มเอ่ยออกมา

“แต่ผมก็ปล่อยให้ลูกเลือกทางเดินของเขาเอง” คุณโทมัสสบตากับคุณศรุต ในฐานะผู้เป็นพ่อคนเหมือนกัน “ผมก็แค่กังวลใจ” คุณโทมัสพูดขึ้น “คุณทั้งสอง โปรดอย่าเข้าใจ ว่าผมมีความคิดหรือรู้สึกรังเกียจอะไรเอิง ลูกของพวกคุณ เพียงแต่” คุณโทมัสยอมรับว่า มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา กับการเชื่อคอนเซ็ปต์ของการกลับชาติมาเกิด มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อ และห่างไกลจากวัฒนธรรมของตัวเองเป็นอย่างมาก

“คุณสองคน รับมือกับสิ่งที่เอิงบอกกับคุณด้วยวิธีไหน” คุณโทมัสถามคุณศรุตและคุณอร “สำหรับเราสองคน การเป็นคนเอเชีย ไม่สิ การเป็นคนไทย การนับถือศาสนาพุทธช่วยเราในเรื่องนี้ได้มาก” คุณอรพูดขึ้น นึกย้อนไปตั้งแต่ที่เอิงคลอดออกมา เพราะตั้งแต่วันนั้น การเลี้ยงดูเอิงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลาย ๆ คนแม้แต่ตากับยายของเอิง แรก ๆ ยังเคยตำหนิคุณอรเลย เพราะกลัวว่าเธอนั้น จะงมงายเกินไป

“ยิ่งเราได้ดูลูกโตขึ้น เราได้เห็นเรื่องราวของเขามากขึ้น ได้ฟังในสิ่งที่เขาพยายามจะบอกเราเยอะขึ้น ตั้งใจฟังเขาดี ๆ เรายิ่งเชื่อในสิ่งที่เขาพูด” คุณอรยังจำได้ดี ถึงสิ่งแปลก ๆ มากมาย ที่เกิดขึ้นรอบตัวเธอ ในบ้านของเธอ ตั้งแต่เอิงยังเป็นเด็ก “อย่างแรกเลย ผมต้องบอกตัวเองก่อน ว่าผมไม่เชื่อว่าลูกของผมบ้า หรือเสียสติ ไม่มีอะไรผิดปรกติ สำหรับลูกของผม” คุณศรุตบอกกับคุณโทมัส ว่าระหว่างทาง เรื่องที่เอิงพูดทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เริ่มมีเค้าความจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ผมส่งลูกผมไปพบจิตแพทย์รักษาเด็ก” คุณโทมัสพูดออกมาแบบนึกละอาย เมื่อครั้งที่เขาพาแดนไปหาหมอ เพราะกลัวว่าลูกของเขาจะเพี้ยน เมื่อลูกชายวาดรูปเพื่อนในจินตนาการ 'ด้าจก์ซาย' บ่อยจนน่ากังวล คุณปริมบีบมือให้กำลังใจผู้เป็นสามีอย่างเข้าใจ สิ่งที่คุณโทมัสทำนั้น เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ว่าคุณโทมัสนั้นเอง ก็เป็นห่วงแดนมากขนาดไหน คุณศรุตกับคุณอรเข้าใจถึงความต่างทางวัฒนธรรมนี้

“ไม่นึกว่า ดาร์คไซด์ที่แดนชอบใจนักหนา จะมีตัวตนจริง ๆ และผมก็มานั่งอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของเขา” คุณโทมัสที่เคยคิดว่า มันเป็นแค่ช่วงหนึ่งของเด็กในช่วงวัยนั้น ไม่นึกว่าแดเนียล ลูกชายจะคิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด และแน่นอน คนที่แดนจะหันไปหา และพึ่งพาได้ ก็มีเพียงคนเดียวเท่านั้น คือคุณปริม ภรรยาของเขานั่นเอง เพราะคุณปริมนั้นใกล้ชิดและรับฟังในสิ่งที่แดนพูด มากกว่าเขา ที่ง่วนอยู่กับงาน อยู่กับธุรกิจของครอบครัว

“ตอนนั้นปริมกลับไทย แดนเรียนจบไฮสคูลพอดี เขาตามกลับไปเที่ยวด้วย ครั้งนั้นเป็นครั้งที่ทำให้ปริมทั้งกลัว และทั้งเห็นใจลูก” คุณปริมจำคืนที่แดนตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้ายนั้นได้ดี “แม้แดนเขาจะมีพูดจาหยอกล้ออยู่บ้าง แต่ปริมรู้ดีว่า ลูกของปริมไม่ใช่คนพูดจาโกหก และมันก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่แดนจะทำแบบนั้น” คุณปริมเล่าให้ทุกคนตรงนั้นฟัง ถึงคำพูดที่แดนพูดกับเธอ

“และตามประสาเราคนไทยนะคะ รุ่งขึ้นปริมไปหาหมอดูเลยค่ะ แม้ว่าจะเปลี่ยนตั๋วกลับมานี่ในวันเดียวกันนั้น” ทุกคนหัวเราะออกมาคืนใหญ่ คุณโทมัสเองก็ด้วย เขาเพิ่งเคยได้ยินภรรยาเล่าเรื่องนี้เป็นครั้งแรก “คำถามของหมอดูในวันนั้น ว่าปริมเชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิดมั้ย ตอนแรกปริมก็กลัวเหมือนอย่างที่คุณโทมัสกลัว” คุณปริมพูดอย่างหัวอกของคนเป็นแม่ ที่ไม่อยากเห็นลูกของตัวเองเจ็บป่วยหรือเป็นอะไรไป

“จนได้มาเห็นภาพวาดของแดนภาพนี้” คุณปริมโชว์รูปที่เธอถ่ายเอาไว้ให้คุณศรุตและคุณอรดู 'แมทและซาย' ก่อนจะเลื่อนให้เจ้าของบ้านทั้งสองคน ได้ดูรูปคู่ที่เอิงและแดนถ่ายด้วยกันที่บนสะพานนั้น คุณศรุตกับคุณอรถึงกับพากันร้องอุทานออกมา ว่าสองภาพนี้มีความคล้ายคลึงกันมากอย่างเหลือเชื่อ ถ้ามองเผิน ๆ ก็จะคิดว่า ทั้งสี่คนนี้ เป็นคนคู่เดียวกันทั้งสองรูป

“ผมก็ต้องกลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง เมื่อได้เห็นรูปสองรูปนี้” คุณโทมัสบอกกับคุณศรุตและคุณอร “ผมไม่รู้เลย ว่าตอนแดนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เขามาสืบเรื่องของแมทธิวที่นิวยอร์กบ่อยมาก เขาใช้เวลาสี่ปี ค้นหาหลักฐาน รวบรวมข้อมูลจนแน่ใจ ว่าแมทธิวคือตัวเขาเองเมื่อชาติที่แล้ว หวังว่าผมจะใช้คำพูดอธิบายเรื่องราวนี้ ได้อย่างถูกต้องและเข้าใจได้” คุณโทมัสกล่าวออกตัว เพราะเขาเพิ่งจะทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ เมื่อไม่นานมานี้

“ผมคงมีแต่คุณปริม ที่ต้องขอบคุณ ที่ทำให้ลูกรู้ว่า เขาไม่ได้บ้าและไม่ได้อยู่เดียวดายบนโลกใบนี้ โลกที่น้อยคนนักจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องเผชิญอยู่” คุณโทมัสจับมือของคุณปริมขึ้นมาจูบ แทนการกล่าวขอบคุณ ที่คุณปริมรักแดเนียล โดยปราศจากเงื่อนไข และก็เป็นเพราะคุณปริมนี่แหละ ที่ยืนกรานว่าจะอยู่เคียงข้างลูกชาย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นั่นเป็นอีกหนึ่งในเหตุผล ที่ทำให้คุณโทมัสเริ่มพิจารณาเรื่องนี้ด้วยหัวใจมากขึ้น

“ยิ่งปริมได้มาเจอเรื่องราวที่บ้านของคุณย่าแคลร์ด้วยตัวเอง จากครั้งที่แล้ว ที่ปริมตามลูกมาที่นี่” คุณอรพยักหน้ารับทราบ กับเรื่องราวที่ทำให้เธอได้เจอกับคุณปริมและแดเนียลครั้งแรก “ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะ มันเหมือนกับว่าทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว “อยู่ ๆ แดนก็ขับรถพาปริมมาเจอว่า ที่อยู่เดิมของแมท คือกระท่อมหลังเล็ก ๆ หลังบ้านของคุณย่าแคลร์ ได้เจอรูปถ่ายยืนยัน ว่าหน้าตาของแดนกับแมทธิว เหมือนกันราวกับแกะ ละม้ายคล้ายคลึง พิมพ์เดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ”

“และได้มารู้ว่า เพื่อนบ้านของคุณย่าแคลร์ ที่แท้ ก็คือพ่อและแม่ของเอิง ที่คือ ด้าจก์ซาย คนรักของแมทเมื่อในอดีต” คุณปริมยังจำได้ ที่คุณอรให้แดนดูรูปของเอิง ตอนที่เข้าไปร่ำลาว่า จะขับรถกลับกันแล้ว “ที่สำคัญ” คุณปริมพูดต่อ “การที่ปริมได้เห็นแดนเขาร้องไห้อย่างคนจะขาดใจ เมื่อรับรู้ว่า แมทธิวเสียชีวิตจากความเกลียดชัง จนไม่สามารถทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ได้ ปริมเองพูดไม่ออก สงสารลูกมาก จนปริมบอกกับตัวเองเลยว่า ปริมไม่สามารถทนเห็นลูกเสียใจแบบนั้นได้อีก”

“แดนถึงได้ยอมที่จะมาช่วยงานผม เพราะผมให้เขาไปเมืองไทยด้วยสินะ” คุณโทมัสจึงถึงบางอ้อ ว่าทำไมแดนที่หัวรั้นกับเขาเรื่องธุรกิจของครอบครัว ถึงได้โอนอ่อนผ่อนตามเขาขึ้นมาเสียง่าย ๆ และนี่ก็คงมีคุณปริมช่วยซัพพอร์ตอยู่ลับ ๆ นั่นเอง “ลูกมาพูดขอฉันไว้ค่ะ” คุณปริมยอมสารภาพความจริง คุณโทมัสเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่า ถ้าเป็นเรื่องลูก นางสิงห์อย่างคุณปริม ยอมหักแต่ไม่ยอมงออย่างแน่นอน และถ้าคุณโทมัสยังจะยืนยันคำพูดเดิม เขาคงเหลือตัวคนเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย

“ผมน่าจะเฉลียวใจตั้งแต่ตอนที่ลูกมาบอกว่า เขาคือแดเนียล ไม่ใช่แมทธิวแล้ว” คุณโทมัสพูดขึ้น ทำให้คุณศรุตและคุณอรมองหน้ากัน นึกสงสัยว่า ทำไมแดนถึงพูดแบบนั้น “ผมตั้งชื่อแรกให้เขาว่า แมทธิว ซึ่งเป็นชื่อของคุณทวดเขา” คุณโทมัสไขความกระจ่าง “แดเนียลเป็นชื่อกลาง ซึ่งวันหนึ่งตอนเขายังเป็นเด็ก เขาเดินมาบอกผมว่า เขาไม่ใช่แมทธิว ยังไงก็ไม่ยอมเป็น แต่เขาคือแดน จะเรียกเขาว่าแดนนี่ แดเนียล ยังไงก็ได้ แต่เขาคือแดน และเขาจะเป็นแดนต่อจากนี้ไป”

ทั้งสี่คน คุณศรุต คุณอร คุณปริม รวมถึงคุณโทมัส ต่างยอมรับกันแล้วว่า แดนนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะตามหา อีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเขาให้เจอ แม้ว่าจะรู้ ว่าตัวเองเป็นใครในอดีต แต่ก็จะเป็นตัวของตัวเองในชาติภพนี้ โดยที่ยังคงความรู้สึกเดิมของตัวเองเอาไว้ ว่าจะกลับมาหาคนที่ตัวเองรักจนสุดหัวใจ จะไม่เปลี่ยนใจไปไหน แม้ว่าจะมีทั้งผู้หญิงหรือผู้ชายเข้ามาในชีวิต ตามประสาคนที่รูปร่างหน้าตาดีมากคนหนึ่งก็ตาม

“เอิงพูดบอกกับอรว่า เขาเฝ้ารอใครคนหนึ่ง เพราะก่อนหน้า ใครคนนั้นได้ให้สัญญากับเขาเอาไว้ ว่าจะกลับมา และคนในอดีตชาติ ก็ยึดคำสัญญานั้นเอาไว้ด้วยใจยึดมั่นถือมั่น ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปจากนั้น ไม่หวั่นไหว แม้ว่าจะมีคนเข้าหาอยู่ไม่น้อย อรได้รับรู้เรื่องที่มีคนมาชอบลูกอยู่เนือง ๆ แต่อรไม่เคยเห็นลูกเปิดใจหรือข้องแวะกับใคร” ทั้งสี่ท่าน คนเป็นพ่อเป็นแม่คน พอรู้รายละเอียด เรื่องราวความเป็นไปเป็นมาของทั้งแดนและเอิงมากขึ้น ว่าเหตุใด ลูกชายของทั้งสองบ้าน ถึงได้รู้สึกรักกันอย่างมากมาย

แม้ว่าจะมาจากคนละฟากฟ้า ไม่เคยเจอะเจอกันมาก่อน แต่ความคุ้นเคย ความผูกพัน และความโหยหากันและกัน ที่มีอยู่เดิม แม้จะผ่านกาลเวลายาวนาน ก็ทำให้ทั้งสองคนยังคงความรู้สึกเหล่านั้นไว้ เหมือนว่าทุกอย่าง เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน เขาทั้งสองคน ไม่ได้จากหรือว่าพรากกันไปไหน

“จริง ๆ เอิงก็ดูดวงเป็นคะ ดูแม่นเสียด้วย” คุณอรพูดขึ้น “แต่เขาไม่ค่อยชอบดูให้ตัวเองเท่าไรนัก เขาจะรู้แค่ดวงดาวพื้นฐานตอนเกิดของเขาเองเท่านั้น” คุณอรเคยถามเอิงว่า ทำไมลูกชายถึงไม่ดูให้รู้ไปเลยว่า เรื่องราวในอดีตเป็นจริงมั้ย และเอิงจะเจอกับใครคนนั้นเมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไร ให้รู้กันไปเลย “เอิงเขาตอบกับอรว่า ถ้าใครคนนั้น เป็นคนรักษาสัญญาจริง วันหนึ่ง เขาก็คงจะตามหาเอิงอย่างที่เขาได้รับปากไว้ ทั้งสองคนก็คงได้พบกัน” คุณอรบอกเล่าถึงความคิดของเอิง ลูกชายสุดที่รักของเธอ

“เขาสองคนต้องการอยู่ด้วยกันจริง ๆ” คุณศรุตที่ทั้งหวงทั้งห่วงลูกชายคนเดียวคนนี้ ตอนแรกก็คิดจะปกป้องลูกให้ถึงที่สุด ด้วยกลัวว่า หากมีใครรู้เรื่องนี้ขึ้นมา แล้วคิดจะมาแอบอ้างหลอกลวง แต่สุดท้ายแล้ว ก็ต้องยอมเชื่อใจและมั่นใจในตัวลูกว่า เอิงนั้นจะรับรู้ได้เอง ว่าคนที่เข้ามา คือคนคนนั้น ที่เขาเฝ้ารอจริง ๆ หรือเปล่า เพราะเอิงเคยบอกกับพ่อองเขาเอาไว้แล้วว่า ถ้าไม่ใช่ เอิงจะไม่รู้สึกอะไรด้วยเลย ไม่เลยสักนิดเดียว

“คุณโทมัสคงพอจะสบายใจขึ้นแล้วนะครับ” คุณศรุตพูดกับคุณโทมัส ที่ดูจะผ่อนคลายมากขึ้นแล้วในตอนนี้ “ว่าลูกของเราทั้งสองบ้าน ไม่ได้คิดกันไปเอง เรื่องราวของเขามีที่มาที่ไป มีหลักฐานให้เราได้เห็น ถึงความรักที่พวกเขามีให้กัน แม้ว่าจะกลับมาเกิดใหม่ จนเป็นคนละคนไปแล้วก็ตาม “ส่วนเรื่องที่เขาเป็นผู้ชายกันทั้งคู่” คุณศรุตพูดในฐานะของคนที่ชอบเพศตรงข้าม และเหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะของคนที่เป็นพ่อ ที่สร้างชีวิตของเอิงขึ้นมา

“มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ถ้าคนบนโลกนี้ ไร้ซึ่งความเกลียดชัง ในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ หรือกับความแตกต่างที่ผู้อื่นนั้นเป็น ตั้งแต่ในครั้งอดีต หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้เราคงไม่ต้องมานั่งกังวล พูดหาทางออก เคลียร์ใจกัน เรื่องที่ว่าลูกของเรา จะรักคนเพศอะไร จนหลาย ๆ บ้าน ละเลยไปจนถึงขั้นที่ว่า ขอให้เขารักคนที่เพศถูกใจเรา แต่ความดีเลวในตัว เรากลับไม่สนใจ”

“ผมเข้าใจแล้วครับ” คุณโทมัสที่ได้นั่งฟังสิ่งที่คุณศรุตพูดออกมาอย่างตั้งใจ “ผมเองก็คงจะเสียใจมาก หากต้องกลายเป็นคนที่ทำให้ลูกชายของผมต้องผิดหวังเสียใจ หรือมีชีวิตที่ต้องอยู่กับสิ่งที่เขาไม่มีความสุขแบบนั้น” คุณโทมัสรับรู้ได้ว่า บ้านของเอิงนั้น ทั้งพ่อและแม่ คือคุณศรุตและคุณอร ได้เลี้ยงดูลูกชายของพวกเขามาเป็นอย่างดี การที่แดนจะได้ใช้ชีวิตกับคนที่ดี ย่อมต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดี

เมื่อดาวเจ้าเรือนปัตนิ หรือเรือนคู่ครองคนรัก เดินเข้ามาอยู่ในเรือนศุภะ หรือเรือนแห่งการดำเนินชีวิต ความเป็นไปภายในบ้าน ความสงบเรียบร้อย รวมถึงความเคารพเชื่อถือ นั่นทำให้เจ้าชะตาได้คู่ครองเป็นผู้มีหลักฐาน หากแต่งงานกันไปแล้วก็จะตั้งตัวได้ คนที่เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนม ก็จะมีเมตตากรุณาปรารถนาดีต่อกัน พร้อมที่จะช่วยเหลือกันได้ อาจจะได้แต่งงานกับคนต่างชาติต่างภาษา หรือไปแต่งงานกันในต่างประเทศ มีคู่แล้ว อาจจะต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศไกลจากบ้านเกิดมาก ๆ

แดนที่ได้ยินพ่อของเขาพูดแบบนั้น ก็รู้สึกดีใจ หนุ่มลูกครึ่งยืนแอบฟังเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งสี่ท่านคุยกัน สิ่งที่เขาหวังมากที่สุดจากพ่อ ไม่ใช่ธุรกิจที่กำลังทำเงิน ไม่ใช่เงินทองที่พ่อของเขามีอยู่มากมาย แต่เป็นความเข้าใจ ที่แดนเองเคยคิดว่า พ่อของเขาไม่มีวันที่จะมองเขามีเอิงเป็นคู่ชีวิต ด้วยสายตาเดียวกันกับ คู่รักชายหญิงอื่น ๆ แต่มาในวันนี้ ด้วยความช่วยเหลือของคุณปริมแม่ของเขา รวมทั้งความรักและความเมตตาที่คุณศรุตและคุณอรมีให้กับเอิง จนมันได้เผื่อแผ่มาถึงเขาด้วย ทำให้ปมปัญหาเรื่องนี้ ได้ถูกคลี่คลายลง

แดนเดินกลับไปที่ห้องนอน เขาปิดประตูลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะแทรกตัวเข้าใต้ผ้าห่ม แล้วดึงเอิงที่กำลังหลับสบายเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน เอิงขยับตัว ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย แดนกระซิบที่ข้างหูว่า เป็นเขาเอง แล้วบอกให้เอิงนอนต่อ เอิงจับมือของแดนไปแนบเอาไว้กับอก แดนซุกหน้าเข้าที่ซอกคอของเอิง ก่อนจะจูบลงไปเบา ๆ ที่ต้นคอนั้น แดนรู้สึกสบายใจ ที่ได้เอิงมาอยู่ในอ้อมกอดอุ่น ๆ นี้แล้ว ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร เขารู้ ว่าเขากับเอิงก็พร้อมจะเผชิญมันไปด้วยกัน



“โอ๊ย ๆๆ อีซี่ อีซี่” นายช่างแมทร้องเสียงหลง เมื่อซายใช้ไม้ปลายแหลม สะกิดเอาเหล็กในของผึ้งออกจนหมด นายช่างหนุ่มเอง ก็เพิ่งเคยเห็นซายทำหน้าจริงจัง สงสายตาดุมาให้ หลังจากที่แมทนั้นรั้น ที่จะตามซายมาเก็บน้ำผึ้งด้วย ทั้ง ๆ ที่ซายได้พยายามห้ามนายช่างเอาไว้แล้ว “ก็ฉันเป็นห่วงเธอ” แมทพูดเสียงโอดครวญ เมื่อเห็นว่า ซายนั้นมีท่าทางโกรธเขาจริง ๆ

“แต่พูดก็พูดเถอะ” แมทพูดพลางมองซาย ที่กำลังหยดน้ำผึ้งหยดเล็ก ๆ ลงบนรอยต่อยนั้น แล้วแตะมันเบา ๆ ให้ทั่ว “ซาย เธอเป็นคนไปเก็บน้ำผึ้งจากพวกมันแท้ ๆ แต่ทำไมเธอถึงไม่โดนพวกมันต่อยล่ะ ทำไมมันถึงได้เป็นฉันไปได้” ซายมองริมฝีปากของแมท ไม่รู้ว่านายทหารช่างพูดว่าอะไร แต่จับจากท่าทางและสีหน้า น่าจะบ่นเรื่องที่เขาไม่โดนผึ้งต่อยนี่แหละ

“โอ๊ย ๆๆ” นายช่างแมทร้องเสียงหลง เมื่อซายกดนิ้วลงไปบนบริเวณที่แมทโดนผึ้งต่อย ก่อนจะหันไปเอามีดพก ปอกผิวของว่านหางจระเข้ออก “ใจร้ายที่สุด” แมททำหน้าเหมือนเด็กจะร้องไห้ ซายพยายามกลั้นขำ แต่ก็หลุดยิ้มออกมาจนได้ “ฉันก็ไม่ได้หมายความว่า จะให้ผึ้งต่อยเธอสักกหน่อย แต่ว่าฉันเนี่ยบิ๊กแบร์ จำไม่ได้หรือไง” แมทไม่พูดเปล่าทำเสียงหมีคำรามให้ซายดู้วย “จะมาเจ็บตัวเพราะผึ้งตัวเล็ก ๆ มันเท่เสียที่ไหนกัน” แมทไม่คิดว่า ซายก็ไม่ได้รู้สึกว่า จะต้องกลัวหมีใหญ่อย่างเขานะ อุตส่าห์เล่าเรื่องดาวหมีใหญ่ให้ฟังแล้วแท้ ๆ

“ตกลงน้ำผึ้งนี่ ก็สารพัดประโยชน์ดีแฮะ” แมทรู้สึกทึ่ง ที่น้ำผึ้งป่านี้ ใช้แทนน้ำตาลชงไมโลดื่มได้อร่อย แถมยังใช้รักษาพิษจากเหล็กในของตัวผึ้งเองได้อีกด้วย ซายเอาเนื้อเจลของว่านหางจระเข้วางลงบนรอยต่อยนั้น ก่อนจะสังเกตดูการหายใจของพ่อหมีใหญ่คนนี้ ว่าดูแล้วไม่ได้แพ้พิษเหล็กในของผึ้งแต่อย่างใด

“หมีก็ต้องกินน้ำผึ้ง ชื่อของเธอแปลว่าน้ำผึ้ง งั้นฉันว่าฉันกิน” แมทมองไปที่ใบหน้าของซายแล้วก็รู้สึกเขิน ๆ ซายเองก็เหมือนจะทำหน้าไม่ถูก เมื่อนายช่างแมท ทำหน้ากรุ้มกริ่มใส่ แมทยื่นมือออกไป ก่อนจะจับปอยผมนั้น ทัดหูให้กับซาย ทั้งสองคนได้แต่สบตากันไปมา ก่อนที่แมทจะขยับเข้าไปนั่งจนชิดกับอีกฝ่าย ซายเก็บน้ำผึ้งและมีดพกลงตะกร้า แมทเห็นว่าซายไม่ได้ขยับตัวหนี ก็เอาแขนโอบเอวของซายเอาไว้ “อยู่กันแบบนี้สักพักละกันนะ” แมทพูดขึ้น ก่อนที่แมทจะเห็นซายยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่คนธรรมดาอย่างเขา ดีใจอย่างที่สุด ที่โชคดีได้มันมาครอง



เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของแดน เอิงยิ้มออกมาจับมือของแดนมาเกาะกุมไว้แนบแน่นที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา ด้วยความรู้สึกปลอดภัย และเป็นสุข ชีวิตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป ขอเพียงแค่มีกันและกันอยู่อย่างนี้

******************************

แปลคำร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=ngnHVwtGSUo

ซ่อนตัวเองมานานเท่าไร จะไปกลัวทำไมความรัก

Been hiding in the shadow, scared of all love and whatnot

สิ่งที่เธอไม่เคยรู้จักเลยสักครั้ง

The thing that you’ve never had a chance getting to know it

หากเธอลองมองมาให้ดี ฉันมีเธอในใจเท่านั้น

If you fairly take a look at it, I have only you in my heart

แค่เพียงเธอเข้ามาใกล้กันก็จะเข้าใจ

Come closer and then you will too understand


อาจไม่ดีราวกับเจ้าชาย อาจไม่คล้ายกับคนในฝัน

I may not be that Prince Charming, I cannot be the guy of your dream

แต่ก็พร้อมร้อนหนาวแทนเธอได้เสมอ

But I’m more than ready to go through your ups and downs

จะกุมมือเวลาร้องไห้ เช็ดน้ำตานี้ให้กับเธอ

Holding your hands when you cry, and wiping all tears for you

อยู่ปลอบใจไม่ยอมห่างไกลให้เธอได้รู้

Giving you all comforts you need, staying with you

รักแท้ยังมีอยู่จริง

So, you know true love exists


หนึ่งดวงใจของฉันอาจดูว่าไม่เท่าไร

My very own heart may not seem really that much

ถึงแม้ว่ามันไม่ยิ่งใหญ่พอก็เชื่อในรัก

It may not be so grand yet strongly believing in love

หนึ่งดวงใจดวงเดียวจากฉัน ขอทำให้เธอรู้จัก

This very heart of mine will have you come experience

เพียงเธอจะเชื่อเหมือนกันกับฉัน

All you need to do is to have faith like I do

รักแท้ยังมีอยู่จริง

Real love is really with us


คิมิโนะ ริโซโนะ โอโตโคะ จะไน่เคโด

อาจจะไม่ใช่ผู้ชายในจินตนาการของเธอ

I know I am not exactly the man you’re imagining

คิมิโนะ โคโตโวะ มิมะโมรุ

ผมก็จะปกป้องดูแลคุณ

But I will protect you and take care of you

คนนะ โบกุ เดโมะ ดะเรนิโมะ มะเคไน่

ถึงจะเป็นเพียงตัวผมอันต่ำต้อย แต่ก็ไม่แพ้ใคร

I may be just a normal simple guy yet I’ll be the best of me for you

ซุตโตะ โซบะนิอิรุโย อาอิ กะ อารุคาระ

จะขอเคียงข้างเธอตลอดไป เพราะว่ามีรักแท้อยู่

To have and to hold always and forever, ‘cause this thing between us is true love


อาจไม่ดีราวกับเจ้าชาย อาจไม่คล้ายกับคนในฝัน

I may not be that Prince Charming, I cannot be the guy of your dream

แต่ก็พร้อมร้อนหนาวแทนเธอได้เสมอ

But I’m more than ready to go through your ups and downs

จะกุมมือเวลาร้องไห้ เช็ดน้ำตานี้ให้กับเธอ

Holding your hands when you cry, and wiping all tears for you

อยู่ปลอบใจไม่ยอมห่างไกลให้เธอได้รู้

Giving you all comforts you need, staying with you

รักแท้ยังมีอยู่จริง

So, you know true love exists


หนึ่งดวงใจของฉันอาจดูว่าไม่เท่าไร

My very own heart may not seem really that much

ถึงแม้ว่ามันไม่ยิ่งใหญ่พอก็เชื่อในรัก

It may not be so grand yet strongly believing in love

หนึ่งดวงใจดวงเดียวจากฉัน ขอทำให้เธอรู้จัก

This very heart of mine will have you come experience

เพียงเธอจะเชื่อเหมือนกันกับฉัน

All you need to do is to have faith like I do

รักแท้ยังมีอยู่จริง

Real love is unquestionably with us


รักแท้ยังมีอยู่จริง

True love does really exist
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๕ ปัตนิ-ศุภะ (คนที่มีฉันในความฝันคนในฝันของฉันที่มี)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 01-06-2022 20:49:16
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๖ มรณะ - มรณะ (ถึงเธอที่เป็นดวงใจ)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 04-06-2022 18:41:19
๓๖.



มรณะ – มรณะ (ถึงเธอที่เป็นดวงใจ)





แดนและเอิงกล่าวแสดงความเสียใจกับหลานของคุณย่าแคลร์ กับการจากไปอย่างสงบของท่าน ทั้งสองคนได้รับเชิญไปในวันฝังอัฐิของท่านที่สุสาน หลานของคุณย่าแคลร์บอกกับแดนและเอิงว่า จริง ๆ แล้ว คุณย่าของเธอบอกกับเธอด้วยปากเปล่าอยู่หลายครั้ง ว่าอยากให้จัดงานศพของคุณย่าแคลร์อย่างเรียบง่ายที่สุด โดยให้ทำการเผาศพของท่าน แล้วเอาเถ้ากระดูกใส่ลงในโกศ แล้วนำไปฝังไว้เคียงข้างกับคุณปู่ไมโล

แต่สุดท้ายแล้ว ญาติทางฝั่งของพ่อของเธอจริง ๆ ที่หลายปีให้หลัง เพิ่งติดต่อกลับมาและไปมาหาสู่กันอีกครั้ง ปฏิเสธสิ่งที่เธอบอกกับพวกเขา และต้องการให้ฝังร่างของคุณย่า เอาไว้ที่สุสานที่ครอบครัวฝั่งนั้น เป็นผู้เลือก หลายของคุณย่าแคลร์คนนี้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่เป็นผม แม้จะบอกว่า นี่มันคำสั่งเสียจากคุณย่า เธอก็ไม่สามารถทัดทานใด ๆ ได้ จึงต้องปล่อยให้จัดการธุระงานศพของคุณย่าแคลร์ไปตามนั้น

ที่สุสาน มีผู้คนมากมายมาร่วมพิธี แดนและเอิงเลือกที่จะยืนอยู่ห่างออกมา ไม่ได้เข้าไปใกล้มากนัก และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลมาจากการที่มีทนายคนหนึ่ง มาตามหาคุณย่า เนื่องจากเมื่อนานมาแล้วคุณปู่ไมโลได้ทำประกันชีวิตเอาไว้ และยกผลประโยชน์ทั้งหมด ให้กับคนที่ชื่อว่า 'ด้าจก์ซาย' แต่หากว่า หลังจากที่คุณปู่ไมโลได้จากไปแล้ว แต่ไม่สามารถตามหา 'ด้าจก์ซาย' ให้พบได้ ก็ขอให้ผลประโยชน์นั้น ตกแก่คุณย่าแคลร์ เทนเนอร์

“มันคงจะไม่เป็นปัญหาอะไรเลยค่ะ” หลานของคุณย่าแคลร์พูดกับแดนและเอิง “ถ้าในพินัยกรรมของคุณย่า ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่า ผลประโยชน์ใด ๆ รวมถึงทรัพย์สิน ที่เป็นชื่อของคุณปู่ไมโล หรือได้รับตกทอดมาจากคุณปู่ คุณย่าระบุเอาไว้ชัดเจนเลยว่า ขอยกให้กับเด็กหนุ่มชาวไทย ที่อยู่บ้านข้าง ๆ” หลานสาวของคุณย่าแคลร์ บอกใบ้เป็นนัย ๆ ว่าทำไมญาติทางฝั่งพ่อของเธอนั้น ถึงไม่พอใจนัก ที่ได้เห็นแดนและเอิงมาที่นี่

“เคสนี้ตกค้างมาหลายปีมาก” ทางทนายคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามารับหน้าที่ ได้ตรวจเจอเคสตกสำรวจ ที่ได้มีการปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับคุณปู่ไมโลในตอนนั้น ทำให้เคสนี้ไม่ได้รับการจัดการใด ๆ จนคุณทนายเข้ามาสะสางงานเก่าเก็บ และเจอเคสนี้เข้า จึงเริ่มติดตามหาคุณย่าแคลร์ เทนเนอร์ ซึ่งกว่าจะเจอตัว ก็ต้องติดต่อไปอย่างถูกชื่อแต่ผิดคนอยู่นาน จากการที่ในรัฐนี้เพียงรัฐเดียว มีคนชื่อเดียวกันกับคุณย่าแคลร์เยอะมากจริง ๆ

“ฉันยืนยันกับคุณทนายไปแล้วนะคะ ถ้าใครสักคนจะสมควรได้รับสิ่งที่คุณปู่ไมโลเตรียมเอาไว้ให้ ก็ต้องเป็นคุณเท่านั้น” หลานสาวของคุณย่าแคลร์จับมือของเอิงเอาไว้ “ฉันในฐานะที่ดูแลคุณย่าแคลร์มาโดยตลอด ได้ยินคุณย่าเล่าเรื่องในสมัยเก่านับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับคุณปู่ไมโลและคนคนเดียว ที่อยู่ในหัวใจของคุณปู่เสมอมา”

“ฉันฟังเรื่องราวเหล่านี้จากปากของคุณย่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากที่คิดว่า คงเป็นเพียงแค่อาการหลงลืมของคนแก่ ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงจังอะไร จนคุณสองคนเข้ามาทำให้เรื่องราวนี้ มันมาชีวิตขึ้นมาจริง ๆ ฉันไม่กล้าที่จะกล่าวอ้าง เอาของที่ไม่ใช่ของตัวเองมาหรอกค่ะ อีกอย่าง ฉันไม่อยากให้ครอบครัวของฉันกลายเป็นพวกหัวขโมยเช่นกัน ยิ่งได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณปู่ไมโลด้วยแล้ว ฉันเสียใจมากจริง ๆ”

“ติดอยู่อย่างเดียวค่ะ บ้านหลังใหญ่เป็นชื่อของคุณย่าแคลร์ ส่วนกระท่อมหลังเล็กของคุณปู่ไมโล อยู่ในบริเวณบ้าน คงยากหน่อย ไม่อย่างนั้น ก็คงต้องฟ้องร้องกัน ซึ่งฉันคงเบื่อหน่ายที่ต้องเห็นเพื่อนบ้านมีคดีความกัน” หลานสาวของคุณย่าแคลร์นั้น รู้ดีว่าพ่อและแม่ของเอิง เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันเสมอมา “ถ้าพวกเขายอมขายบ้านของคุณย่าแคลร์ ผมยินดีที่จะซื้อต่อ”

แดนบอกกับคุณย่าแคลร์ เอิงมองเห็นความจริงจังนั้น ออกมาจากแววตาของแดน และแดนรู้ว่า คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะครอบครัวทางฝั่งพ่อของหลานสาวคุณย่าแคลร์ ที่เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการเรื่องงานศพคุณย่า ก็เพราะเดือดร้อนเรื่องเงินอยู่แล้ว ถึงได้ดูหิวโหยกับสมบัติของคุณย่าแคลร์กันขนาดนั้น ซึ่งแดนได้โทรปรึกษาเรื่องนี้กับคุณโทมัส ผู้เป็นพ่อของเขา และคุณโทมัสรับปากว่าจะช่วยให้แดนได้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้

“แต่ผมคงต้องอนุญาตไปเก็บข้าวของในกระท่อมนั้นก่อน ถ้าคุณไม่ว่าอะไร” แดนกล่าวกับหลานสาวของคุณย่าแคลร์ ทางนั้นยินดีตามที่แดนขอ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เอิงยกมือไหว้ ก่อนจะกล่าวขอบคุณเช่นกัน หลานสาวของคุณย่าแคลร์ดึงเอิงเข้าไปสวมกอด “ถ้าเป็นฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีเหมือนกัน” เอิงเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น มันเป็นชีวิตที่ยากมากจริง ๆ กับสิ่งที่ซายต้องเผชิญ รวมทั้งแมท ที่ไม่สามารถเป็นตัวตนของตัวเองได้จริง



แดนและเอิงขอตัวจากพิธีตรงนั้น ก่อนจะขับรถออกมาจากสุสานที่อยู่ในแถบควีนส์ ในนิวยอร์ก แดนถือโอกาสขับรถผ่านเข้าไปในแมนฮัตตัน เพื่อซื้อของบางอย่าง โดยถือโอกาสขับรถพาเอิงชมเมืองไปในตัว เมืองใหญ่ที่มีความหลากหลายอย่างนิวยอร์ก ต่อให้เคยมาแล้วหลายครั้ง ก็ยังคงรู้สึกตื่นตาตื่นใจมากอยู่ดี เมืองที่มีผู้คนมากมาย คลาคล่ำไปด้วยความแตกต่างกันในเกือบทุกรูปแบบ

สองข้างถนนที่แดนและเอิงขับรถผ่านมา หลาย ๆ สถานที่ประดับธงสีรุ้งเอาไว้ กับงานพาเหรดประจำปีที่กำลังจะมาถึง ในช่วงปลายเดือน สถานที่หลาย ๆ แห่งมีกิจกรรมหลากหลาย ให้ผู้ที่สนใจได้มาเข้าร่วม แดนบอกว่าช่วงกลางเดือน เขาจะชวนเอิงกลับเข้ามาในตัวแมนฮัตตันอีกครั้ง เพราะเขาอยากจะชวนเอิงไปงานดนตรีที่สวนแวกเนอร์ ปาร์ค ที่แดนเคยมากับเพื่อน ๆ ที่มหาวิทยาลัยเมื่อปีก่อน

มันเป็นงานเทศกาลดนตรี ที่ทุกคนจะได้รับหูฟังแบบไร้สาย โดยที่ผู้ร่วมงานสามารถเลือกปรับไปรับฟังดนตรีสด ๆ จากดีเจได้สามช่อง กับแนวดนตรีที่แตกต่างกันไป โดยเลือกปรับความดังของหูฟังได้ตามชอบ ไม่ต้องตะโกนคุยแข่งกันให้เจ็บคอ และไม่ต้องกลับบ้านไปด้วยอาการมีเสียงวิ้ง ๆ ในหู จากการที่ถูกเสียงแผดจากลำโพงสาดเข้าใส่อยู่ตลอดเวลา

เอิงยิ้มตอบตกลง ในขณะที่แดนกำลังจะเลี้ยวรถออกจากเมืองไป มองเห็นป้ายขนาดใหญ่ เขียนด้วยตัวหนังสือชัดเจนว่า “Who You Love. Happy Pride Month.” แดนเอื้อมมือมาจับมือของเอิงเพื่อดึงไปหอม หนุ่มลูกครึ่งรู้ด้วยหัวใจ ว่าเขารักใคร แดนได้ตัดสินใจเลือกที่จะใช้ชีวิตของเขากับเอิง ด้วยความรักที่ถูกถ่ายทอดมาจากแมท และในตอนนี้มันเป็นความรักของเขาจริง ๆ เอิงขอบคุณแดน ที่รักษาคำมั่นสัญญานั้น ด้วยการตามหากันจนเจอ

แดนใช้เวลาขับรถประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็กลับมาถึงบ้าน เอิงรถจากรถ ช่วยแดนเอาของเข้าไปเก็บในบ้าน กล่าวทักพ่อและแม่ของทั้งคู่ ก่อนที่แดนจะบอกพ่อของเขาว่า อยากให้คุณโทมัสจัดการดีลบ้านของคคุณย่าแคลร์ได้เลย แล้วเดี๋ยวเขาจะอธิบายเรื่องที่เอิงได้รับเงินก้อนหนึ่งจากพินัยกรรมของคุณย่าแคลร์อีกครั้งหนึ่ง โดยหลังจากนี้ทนายความจะติดต่อมา เพื่อจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย

คุณศรุตกับคุณอรดูเป็นกังวล เพราะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันกับคุณย่าแคลร์มานาน แต่คุณปริมพูดว่า ไม่ต้องห่วง เธอรู้จักทนายเก่ง ๆ เยอะ หากว่าจำเป็นต้องใช้ทนายจริง ๆ แต่คุณโทมัสยืนยันว่า ทุกอย่างไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ยังไงเสีย คุณโทมัสก็กว้างขวางในแวดวงเรียล เอสเตท อยู่แล้ว เรื่องนี้ไม่ยากเกินความสามารถไปได้ ขอให้คุณศรุตและคุณอรสบายใจได้



แดนเปิดประตูกระท่อมหลังเล็กนั้นเข้าไป ก่อนจะกดสวิตช์โคมไฟสีเหลืองนวล เอิงเดินตามหนุ่งลูกครึ่งมาหยุดยืนอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้น ความรู้สึกของเขาในครั้งนี้ แตกต่างจากเมื่อครั้งที่แล้ว ที่ได้เข้ามาในกระท่อมหลังนี้เป็นครั้งแรก และมันเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน ที่เขาได้เห็นภาพของแมทในความคิด โดยที่ซายไม่ได้อยู่ตรงนั้นกับแมท มันเหมือนกับว่า พลังงานบางอย่าง ตั้งใจทำให้เอิงได้เห็นภาพเหล่านั้นของแมท แม้ว่าจะไม่ได้เห็นผ่านภาพความทรงจำของซายเหมือนเคย

“เราเก็บสิ่งที่สำคัญ ๆ ที่เกี่ยวกับตัวของแมทและซายก็พอ” แดนพูดบอกกับเอิง และสิ่งนั้นก็คงจะเป็นกล่องเหล็ก จดหมาย และบันทึกต่าง ๆ ที่เขียนด้วยลายมือของแมท รวมทั้งเอกสารต่าง ๆ ที่ยืนยันว่า แมทเคยมีตัวตนอยู่จริง ๆ บนโลกใบนี้ จะเสียดายก็แต่ที่ว่า แดนและเอิงไม่สามารถสืบค้นหลักฐาน การมีตัวตนอยู่ของด้าจก์ซายได้เลย ผู้คนที่เคยรู้จักและเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับซายได้ ก็ล้มหายตายจากกันไปแล้ว

“ถ้าซายอยู่กับฉันที่นี่ตอนนี้ ฉันคงจะกลายเป็นผู้ชายธรรมดา ที่มีคนรักที่พิเศษที่สุดในโลก” แดนอ่านข้อความในบันทึกของแมท ที่เขาเจอ เอิงมองสมุดเล่มนั้นในมือของแดน “แต่ฉันทำได้แค่เพียงเฝ้ารอ วันหนึ่งวันใดที่ผมจะสามารถทำมันได้สำเร็จ แต่ในวันนี้ ฉันอยู่ที่นี่ตามลำพัง ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ นี้ ด้วยหัวใจที่แตกสลาย”

เอิงเห็นใจแมทอย่างที่สุด ยิ่งได้มาเห็นเห็นภาพวาระสุดท้ายของแมท ที่แสนจะโหดเหี้ยมและร้ายกาจ ที่มนุษย์จะพึงกระทำต่อกันนั่นแล้ว มันยิ่งทำให้เขารู้เลยว่า ในเวลานี้ แดนและเอิงนั้นโชคดีแค่ไหน ที่ได้รักกันในยามที่โลกเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว

“เอิงดูนี่สิ” แดนที่เปิดไล่บันทึกของแมทไปเรื่อย ๆ ก่อนจะเจอข้อความหนึ่งที่มันสะดุดใจเขา หนุ่มลูกครึ่งเปิดสมุดบันทึกหน้านั้นค้างเอาไว้ มันเป็นลายมือของแมท ที่เขียนชื่อของซายเป็นภาษาอังกฤษ แล้วตามด้วยนามสกุลของแมท 'ซาย เทนเนอร์' และที่ข้าง ๆ กัน มีรูปหน้ายิ้ม ที่น่าจะแทนใบหน้าของแมทเอง รวมทั้งความรู้สึกของเจ้าตัว

“เอิง อยากใช้นามสกุลผมมั้ย” แดนถามขึ้น ก่อนที่อยู่ ๆ ก็รู้สึกเขินขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนเอิงสังเกตเห็นได้ชัดว่า ใบหูของแดนนั้น ตอนนี้แดงแจ๋ขึ้นมาอย่างฉับพลัน “อยากใช้นามสกุลโรเบิร์ตร่วมกับผมมั้ย” ยิ่งถามแดนก็ยิ่งรู้สึกเขิน มันคงดีมากจริง ๆ ถ้าเอิงตอบตกลง คิดขึ้นมาแบบนั้น แดนก็รู้สึกวูบวาบในความรู้สึกเหมือนกัน หากว่าเอิงไม่ได้เห็นพ้องไปกับเขาด้วยในเรื่องนี้

“ยังไม่ต้องรีบตอบก็ได้ เอาไปคิดดูก่อน” เอิงได้ยินแดนพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน้อยใจเล็ก ๆ ที่เอิงไม่ได้ให้คำตอบที่หนุ่มลูกครึ่งพอใจ ในทันที “ยังไม่ได้ปฏิเสธสักหน่อย” เอิงพูดขึ้นมา ก่อนจะหยิบของที่ต้องการเก็บจริง ๆ ใส่ลงในกล่องกระดาษ “แต่อยู่ ๆ จะไปใช้นามสกุลคนอื่น โดยที่ไม่มีเหตุผลรองรับ มันก็คงไม่ได้ ใช่มั้ยล่ะ” เอิงเองก็ไม่รู้จะพูดออกไปยังไง เพื่อไม่ให้ตัวเองดูเสียเปรียบหนุ่มลูกครึ่งมากนัก แดนขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่ได้ยินเอิงพูดแบบนั้น ก่อนจะค่อย ๆ ยิ้มออกมา

“โอ้ว โอเค” แดนเผยยิ้มออกมา “เข้าใจแล้ว” ก่อนจะบอกเอิงไปแบบนั้น เอิงเห็นท่าทีของแดนเปลี่ยนไปทันทีทันใด หนุ่มลูกครึ่ง เก็บของที่ต้องการด้วยท่าทางที่ดูอารมณ์ดีขึ้น อย่างเห็นได้ชัด แถมยังผิวปากเป็นทำนองเพลง ก่อนจะหันมามองหน้าเอิง ยิ้มกว้างและผิวปากเก็บของต่อไป ส่วนในหัวของเขา ก็เริ่มพูดกับตัวเองว่า อย่างแรกที่เขาต้องการ ก็ต้องเริ่มจากแหวนก่อนสินะ

ถ้าจะไปซื้อแหวนตามร้าน เขาจะดูยังไง ว่ามันเหมาะไม่เหมาะกับเอิง เจ้าของชื่อตกใจ ที่อยู่ ๆ หนุ่มลูกครึ่งก็หันมาหรี่ตาลง มองหน้าเขา ก่อนจะกลับไปเก็บของต่อ ด้วยท่าทีอารมณ์ดีนั้น ใช่สิ แดนหลบซ่อนท่าทางลิงโลดนั้นไว้ไม่อยู่จริง ๆ ถามแม่ดีกว่า แม่ต้องให้คำแนะนำดี ๆ กับเขาได้ จะถามคุณอรแม่ของเอิง เดี๋ยวจะรู้ตัวซะก่อน แล้วต้องใช้เงินเท่าไหร่เนี่ย จะต้องซื้อบ้านคุณย่าแคลร์ด้วย ไหนจะแหวนอีก

แดนคำนวณตัวเลขในหัว คิดถึงเงินที่เขาทำได้มหาศาล จากการซื้อหุ้นตามคำแนะนำของฐานทัพ เมื่อครั้งที่หนุ่มไทยคนนั้นยังอยู่ที่นิวยอร์ก ก็ทำให้แดนอุ่นใจว่า นอกจากจะได้บ้าน ที่อาจจะเอามารีโนเวทเป็นเรือนหอแล้ว ยังได้แหวนแต่งงานมาจับจองเอิงเอาไว้ก่อนได้อีก แค่คิด แดนก็ยิ้มแก้มแทบปริแล้ว เอิงได้แต่เดินตามหนุ่มลูกครึ่งออกจากกระท่อมหลังเล็กนั้น โดยฟังแดนผิวปากเพลงโปรดไปตลอดทาง

คุณโทมัสและคุณปริม เห็นลูกชายเดินผิวปากเข้ามา ก็ต้องหันมามองหน้ากัน แดเนียลผู้ที่แสนจะอารมณ์ดี กลับมาแล้ว เอิงที่เดินตามเข้ามาในบ้าน เห็นพ่อและแม่ของแดนมองมาที่เขา คุณโทมัสกับคุณปริม พอจะมองออกและเข้าใจแล้วว่า สาเหตุของอาการอารมณ์ดีมีความสุขของลูกชายของพวกเขา มาจากไหน และก็คงไม่พ้นหนุ่มไทยคนนี้ เอิงยิ้มให้กับพ่อและแม่ของแดน ก่อนจะเดินตามแดนขึ้นไปที่ห้องนอนบนชั้นสอง



“เพิ่งกลับมาถึงไม่กี่วันนี้เอง ได้สิ ใช่แฟนน่ะสิ เป็นแฟนกันแล้ว แน่นอน มาด้วยอยู่แล้ว เฮ้ นี่คือแดเนียลนะ พวกนายก็น่าจะรู้จักฉันดี” เอิงได้ยินแดนพูดภาษาอังกฤษตอบโต้กับหลายคนที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขา ที่มีการรวมสายวิดีโอ คอลเข้ามา เสียงจากลำโพงโทรศัพท์ยิงคำถามมากมายมาที่แดน เกือบทั้งหมดเป็นเสียงของกลุ่มก๊วนเพื่อนผู้ชาย

“ฉันอยู่ที่บ้านพ่อแม่ของเขา ในนิวยอร์ก เขาชื่อเอิง โอเค นั่นไม่ใช่การออกเสียงชื่อเขาที่ถูกต้อง ไว้ฉันจะสอนพวกนายอีกทีดีกว่า โอเค เขามาแล้ว ฉันต้องวางสายแล้ว แป๊บเดียวนะ แน่นอน หวงสิ ฉันต้องใช้เวลานานมากขนาดไหน กว่าจะได้เจอกับเขา” แดนหันกล้องมาทางเอิง และเพียงแวบเดียว ก็หันกลับไป เสียงเพื่อน ๆ โวยวายกันใหญ่ว่าแดนขี้งก มีแฟนหน้าตาน่ารัก แล้วหวงไม่ให้เพื่อนได้คุยด้วย

“พวกนายจะได้เจอเขาที่งานในสวนแวกเนอร์ ปาร์ค แล้วเจอกัน” แดนโบกมือบ๊ายบายกับเพื่อน ๆ ที่ต่างก็บอกว่า อดใจที่จะเจอกับแดนและเอิงไม่ไหวแล้ว “ผมขอโทษที ที่เสียมารยาท พวกนั้นมันอยากเห็นเอิง ไม่งั้นมันคงโทรมาก่อกวนเราทั้งคืน” เอิงบอกกับแดนว่าไม่เป็นไร

“ตอนอยู่ที่ไทย แดนได้รู้จักกับเพื่อนสนิทของเอิงแล้ว ก็ให้เอิงลองรู้จักกับเพื่อนของแดนบ้าง” แดนพูดขอบคุณเอิงที่เข้าใจ ก่อนจะจูบลงที่ริมฝีปากของเอิงเบา ๆ “ก็รู้สึกดีที่ได้ทำ” คำตอบของแดน เมื่อเอิงถาม ว่าทำไมแดนถึงชอบจูบเขาจัง “จูบอีกนะ” แดนพูด ก่อนจะบรรจงจูบเอิงอีกครั้ง แต่คราวนี้ เป็นจูบที่อ่อนหวานและวาบไหวในความรู้สึก เป็นจูบจากความรู้สึกที่กลั่นออกมาจากจิตใจ และต้องการให้อีกฝ่าย รับรู้มันด้วยหัวใจเช่นกัน



เมื่อดาวเจ้าเรือนมรณะ หรือเรือนแห่งความสูญเสีย การแตกหักทำลาย การแปรสภาพไป รวมทั้งยังมีความหมายถึง พินัยกรรม มรดกตกทอด ได้เช่นกัน เมื่อมาตกอยู่ในเรือนมรณะเสียเอง ย่อมได้เกณฑ์เป็นดาวเกษตร เจ้าชะตาจะได้รับประโยชน์จากผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือได้มรดกจากคู่ หากว่าการย้ายถิ่นฐานจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี คู่ครองเป็นผู้มีฐานะดี

เจ้าชะตาเอง เป็นผู้มีความสนใจในเรื่องราวที่ลี้ลับต่าง ๆ เช่น โหราศาสตร์ จิตศาสตร์ หรือเกี่ยวข้องกับวิญญาณ มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศด้วยเหตุผลหลากหลาย ด้านเสีย เจ้าชะตาอาจจะเสียชีวิตในต่างแดน แต่โดยพื้นฐาน เป็นคนยืน หากถึงคราวต้องเสียชีวิต จะจากไปด้วยอาการสงบ และหากว่าคู่ครองจากไป ก็จะทำให้คู่ได้รับทรัพย์สมบัติและร่ำรวย



ซายมองดูรอยที่แมท โดนผึ้งต่อย ตอนนี้มันยุบลงแล้ว หลังจากที่ต้องเห็นนายช่างหนุ่มออดอ้อน ขอให้ซายดูแลเขาอย่างดี อย่าให้ห่างไปไหน หากว่ารอยบวมนั้น มันยังไม่หายดี แมทออกจะเซ็ง ๆ เมื่อน้ำผึ้งและว่านหางจระเข้ที่ซายเอามาทาให้ ได้ผลชะงัด จนตอนนี้มันเหลือแค่รอยจุดสีแดงเล็ก ๆ เท่านั้น และนั่นหมายถึง เขาหายดีแล้ว ซึ่งนายช่างแมทก็หมดข้ออ้าง ขอให้ซายมาเป็นพยาบาลส่วนตัว

“ต้องกลับแล้วหรือเนี่ย” แมทพูดขึ้น ซายเงยหน้ามองดูที่ยอดไม้ แสงแดดคล้อยไปด้านหลังทิวไม้ บรรยากาศรอบข้างเริ่มสลัวลงแล้ว “ไป กลับก็กลับ” นายช่างแมทดันตัวลุกขึ้นจากพื้นตามซาย ที่ลุกขึ้นเอาตะกร้าไม้ยกขึ้นแบกสะพายหลัง แดนเคยบอกซายว่า ให้เขาแบกตะกร้านั้นให้ เพราะนายช่างหนุ่มอยากจะช่วย ไม่ให้ซายต้องแบกของอะไรหนัก ๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอม

แดนออกเดินนำหน้าซายมาจนถึงธารน้ำ ที่ขวางหน้าพวกเขาอยู่ แดนจึงถือโอกาสหันมาบอกกับซายว่า ให้ซายขึ้นขี่หลังของเขา เพื่อข้ามลำธารนั้นไป แม้ว่าซายจะเคยเดินข้ามลำธารนี้บ่อย ๆ ลำพัง แต่แดนก็ยืนกราน จนซายต้องยอมขึ้นขี่หลังของแมท นายช่างหนุ่มหมีใหญ่บอกให้ผู้โดยสารน้ำผึ้งป่าที่อยู่บนหลังให้เกาะให้ดี ก่อนที่แมทจะเห็นมือทั้งสองข้างของซายมาจับกระชับกันแน่นอยู่ด้านหน้าของเขา

ที่นิ้วนางข้างซ้ายของซาย มีแหวนใบไม้ถักสวมอยู่ แมทยิ้มเมื่อมองเห็นมัน แหวนวงนั้นที่แมททำให้ มันเริ่มที่จะหลุดลุ่ยไปบางส่วน แต่ซายก็ยังคงใส่มันติดนิ้วของเขาอยู่ มันคงจะดีนะ แมทบอกตัวเอง หากว่าวันหนึ่งเขาจะมีแหวนจริง ๆ สักวงมาสวมที่นิ้วข้างนี้ให้กับซาย เพื่อให้ความรักของเขาที่มีต่อซาย เป็นทางการอย่างสมบูรณ์

แมทเดินพาซายข้ามลำธารมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมให้ซายลงเดินเอง ซายกระชับอ้อมกอดของตัวเอง แนบแก้มเข้ากับใบหน้าของแมท เคราเขียวครึ้มของนายช่างใหญ่ที่เพิ่งโกนใหม่ ๆ ทำให้เขารู้สึกจักจี้อยู่บ้าง แต่มันเป็นความรู้สึกที่แสนดี เมื่อแมทหันมาสบตากับซาย จูบเบา ๆ ลงที่ริมฝีปากของซาย ก่อนจะยิ้มออกมา กับช่วงเวลาที่แสนวิเศษนี้ ที่ทั้งคู่ได้ใช้มันอยู่ด้วยกัน

***************************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=HNmfn8yCcSY

อาจเคย ไม่เข้าใจเหมือนกัน

There were times that I didn’t totally get it

ว่าทำไมถึงเลือกเธอ ในหัวใจ

Why my heart says it is you

อาจเคย ได้เจอคนมากมาย

There were many people I have met

แต่สุดท้ายก็เป็นเธอ ที่คู่กัน

But still, you are now here with me



รัก ไม่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ

Love, nothing’s coincident about it

รัก เชื่อมใจไว้ด้วยกัน

Love, it has us come together

มีเพียงแต่ใจที่รู้

Only my heart knows

ใครคือผู้อยู่ในฝัน

Who stays in there all along

เธอคือคนนั้นที่ฉันรอ

You’re the one I’m longing for



ก็เพราะใจมันขอ เพราะใจเรียกร้อง

Because it is my heart doing what it takes

เกิดมาเพื่อเป็นของเธอเสมอไป

I was born to be yours as always



ก็เพราะใจของฉัน ไม่เคยหวั่นไหว

Because it is my heart that is certain

อย่างไรก็ยังมั่นใจว่าใช่เธอ

It speaks the truth that it is really you



ไม่มีเหตุผลที่มากมาย

Don’t need many reasons to explain

แค่ใจฉันรักเธอ

I am truly in love with you



หนึ่งคน ที่ยืนเคียงข้างกัน

The one who is right beside me

ช่วงเวลาที่เป็นสุข หรือทุกข์ใจ

Ours, we stick to it, for better or worse

หนึ่งคน ที่ยังคงเข้าใจ

The one who always understands

ก็คงไม่ใช่ใครอื่น เรารู้กัน

We both know that it cannot be anyone else



รัก ไม่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ

Love, nothing’s coincident about it

รัก เชื่อมใจไว้ด้วยกัน

Love, it has us come together

มีเพียงแต่ใจที่รู้

Only my heart knows

ใครคือผู้อยู่ในฝัน

Who stays in there all along

เธอคือคนนั้นที่ฉันรอ

You’re the one I’m longing for



ก็เพราะใจมันขอ เพราะใจเรียกร้อง

Because it is my heart doing what it takes

เกิดมาเพื่อเป็นของเธอเสมอไป

I was born to be yours as always



ก็เพราะใจของฉัน ไม่เคยหวั่นไหว

Because it is my heart that is certain

อย่างไรก็ยังมั่นใจว่าใช่เธอ

It speaks the truth that it is really you



Tum Aur Hum Aab Sath Rahe Hein

Isika Tha Mukhe Intzar

เธอคือคนที่ฉันเฝ้ารอมานาน

You’re the one I’ ve been waiting for

และเราก็ได้เจอกัน

Now, you’re here with me



Tum Aur Hum Aab Sath Rahe Hein

Isika Tha Mukhe Intzar

เธอคือคนที่ฉันเฝ้ารอมานาน

You’re the one coming out of my dream

และเราก็ได้เจอกัน

We’ve finally been together



ไม่มีเหตุผลที่มากมาย

It is a no – brainer

แค่ใจฉันรักเธอ

I do really love you, babe
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๖ มรณะ - มรณะ (ถึงเธอที่เป็นดวงใจ)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 04-06-2022 19:51:34
 :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๗ พันธุ - ตนุ (อยากให้รู้ว่ารักเธอ)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 08-06-2022 19:54:53
๓๗.



พันธุ - ตนุ (อยากให้รู้ว่ารักเธอ)





“หนูจ๋าเมื่อยแล้ว” หนูดีฟังน้องชายตัวน้อยของเะอบ่นออกมานับครั้งไม่ถ้วน “เดินอีกนิดเดียว ก็ถึงบ้านเราแล้วนะ” เสียงใส ๆ ของคนเป็นพี่สาว ที่กำลังพาน้องชายกลับบ้าน หลังจากเลิกเรียน พูดขึ้นเพื่อให้กำลังใจน้องที่เริ่มโยเยและงอแงถี่ขึ้น “แต่หนูจ๋าไม่อยากเดินแล้วนี่” เสียงนั้นเถียงออกมา มันสั่นเครือเพราะไม่อยากทำตามที่พี่สาวบอก แถมยังไม่เห็นวี่แววว่าจะถึงบ้านเสียที ทั้ง ๆ ที่เดินมาตั้งไกลแล้ว

“อดทนหน่อยสิหนูจ๋า เนี่ย จะถึงอยู่แล้ว” พี่สาวคนโตอย่างหนูดี ยังไม่ยอมละความพยายาม เธอทั้งปลอบ ทั้งสร้างแรงใจให้กับน้องชาย “แต่หนูจ๋ากลัวหมา” เสียงพูดของน้องชายทำเอาหนูดี ที่หวั่นใจอยู่ก่อนแล้ว มีท่าทีลังเลขึ้นมา เมื่อคิดถึงบ้านหลังนั้นที่ยังไงก็ต้องเดินผ่าน มันมีสุนัขสีดำตัวใหญ่ ที่ชอบส่งเสียงเห่ากระโชกเสียงดัง เวลามีใครเดินผ่านหน้าบ้าน ฟังดูน่ากลัวมาก ๆ สำหรับพี่น้องทั้งสองคนนี้

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องกลัวนะ มีพี่อยู่ทั้งคน” หนูดีบอกกับน้องชายของเธอ ก่อนจะจับมือน้องเอาไว้จนแน่น หนูจ๋าพยักหน้าให้พี่สาว แล้วเดินตามหลังหนูดีไป โดยที่หนูดีเลือกเดินกั้นกลางระหว่างหนูจ๋ากับบ้านหลังนั้น เพื่อเธอจะได้ปกป้องน้องเอาไว้ได้ หากว่าสุนัขตัวนั้นกระโจนออกมาจากรั้ว หนูดีเดินจูงมือน้องกลับบ้าน สายตาก็มองจับจ้องไปที่บ้านหลังนั้น ที่ขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

หนูดีหัวเราะออกมาเบา ๆ กับการที่หนูจ๋าน้องชายของเธอทำเล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้ ที่บังคับปิดตาเธอ ก่อนจะพามานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อหนูจ๋าบอกว่า จะมาหาพี่สาวที่คอนโดเล็ก ๆ ของหนูดี หนูจ๋าร้องโวยวายเสียงดัง ว่าหนูดีทำหรี่ตาขึ้นมาแอบมอง จนหนูดีที่ทำหลับตาจนแน่น ได้ยินเสียงหนูจ๋ากึ่งพูดกึ่งหัวเราะออกมาเช่นกัน สองพี่น้องต่างพากันพยายามกลั้นขำ กับการทำเซอร์ไพรส์ในครั้งนี้

“ฉันลืมตาได้หรือยังเนี่ย” หนูดีถามน้องชายออกไป “เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน” หนูจ๋าร้องห้ามพี่สาว เมื่อเขากำลังวางกล้องกำมะหยี่สีแดงลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง ด้านหน้าของหนูดี “เยอะมากแกเนี่ย” หนูจ๋าทำบุ้ยบ้ายใส่พี่สาว เมื่อโดนค่อนแคะ แต่ก็บอกพี่สาวออกมา เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว

“เปิดตาได้” เสียงของหนูจ๋าทำให้หนูดีเองก็รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะมองเห็นต่างหูเพชรเม็ดเล็ก ๆ คู่หนึ่ง วางอยู่ตรงหน้า “ชอบมั้ย” เสียงหนูจ๋าถามขึ้น ด้วยความตื่นเต้นและคาดหวังผสมกัน “สวยมากเลยแก” หนูดีบอกกับน้องชาย ก่อนจะหยิบกล่องกำมะหยี่ใบนั้นมาถือเอาไว้ในมือ มองต่างหูคู่นั้นด้วยความปลื้มใจ “พี่หนูดี” พี่สาวหันหน้าไปมองทางน้องชาย

“หนูจ๋ายังไม่เคยได้พูดขอโทษเลย” หนูดีมองเห็นสีหน้าและแววตาที่รู้สึกผิดของหนูจ๋า “เรื่องวันนั้น” หนูจ๋าก้มลงใช้แขนโอบไหล่พี่สาวเอาไว้จากทางด้านหลัง “ขอโทษนะ” เสียงของหนูจ๋าสั่นเครือ “เจ็บมากมั้ย” หนูดีได้ยินเสียงน้องชายสูดน้ำมูก และนั่นก็จะทำให้เธอต้องร้องตาม ทั้ง ๆ ที่เรื่องนั้นมันก็นานมากแล้ว วันที่เธอเดินจูงมือน้องชายกลับบ้าน แล้วลงเอยด้วยการที่หนูดีถูกพ่อแม่ตี

“อะไรของแกเนี่ย ไอ้เด็กบ้า” น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาของหนูจ๋า วันนั้นสุนัขตัวใหญ่กระโจนออกมานอกรั้วบ้านจริง ๆ และเป็นที่หนูดี บอกให้หนูจ๋ารีบวิ่งหนีไป ส่วนตัวเธอ ที่ไม่ได้ตัวใหญ่ไปกว่าน้องชายแต่อย่างใด แต่ในฐานะพี่สาว เธอต้องปกป้องน้องของเธอให้ได้ โชคดีที่สุนัขตัวนั้นขย้ำเข้าที่เป้หลังของหนูดี เป้ใบโปรดของหนูดี ที่มีเพชรเม็ดสวยประดับที่ตรงที่เปิด ถูกเจ้าหมาตัวนั้นงับเอาไปฟัดจนกระจุย

หนูดีนั้น มีเพียงรอยฟกช้ำเท่านั้น ไม่ได้โดนคมเขี้ยวของสุนัข แต่เธอโดนทำโทษเพราะพาน้องเดินกลับบ้าน ทั้ง ๆ ที่ต้องนั่งรถเข้ามา หนูดียอมรับผิด ไม่บอกพ่อกับแม่ว่า เป็นที่หนูจ๋าเองที่รั้นเอากระเป๋าคล้องคอที่มีเงินค่ารถอยู่ในนั้นไปถือเอาไว้เอง แล้วทำหาย ตอนที่ร้องจะกินไอศกรีมหลอดสีสวยแสนอร่อยหน้าโรงเรียน จนหนูดีต้องหาทางพาน้องกลับบ้านให้ได้ จนเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น

“เค้ารักพี่นะ” หนูจ๋าบอกกับพี่สาวออกไป เพราะมีเพียงแต่หนูดีเท่านั้น ที่อยู่กับเขามาตลอด ตั้งแต่เด็กจนโต “เด็กขี้แยเอ๊ย” หนูดีว่าน้องชาย ก่อนจะเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเอง รวมทั้งเรื่องที่หนูดียืนเคียงข้างน้องชาย เมื่อหนูจ๋าบอกกับพ่อและแม่ว่า เขาคบอยู่กับคันศรและจะย้ายไปอยู่ด้วยกัน หนูจ๋าคงมีแต่พี่สาวอย่างหนูดีเท่านั้น ที่ยอมรับและให้การสนับสนุน หนูจ๋ากอดพี่สาวจนแน่น เขารักพี่สาวคนนี้มากมายนัก และก็รู้ว่าหนูดีก็รักน้องชายของเธอที่สุดเช่นกัน



หญิงสูงวัยเดินเข้าไปตามเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้น เด็กชายตัวน้อยนั่งกอดเข่าอยู่ในมุมมืดของห้องครัว หญิงสูงวัยรู้ได้ทันทีว่า เด็กชายตัวน้อยคนนี้ คงโดนเพื่อนในละแวกบ้านแกล้งมาอีกตามเคย สิ่งที่ทำได้ คือเข้ามานั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพัง หญิงสูงวัยเรียกชื่อของเด็กชายตัวน้อยด้วยเสียงอ่อนโยน ก่อนจะเดินไปผลักหน้าต่างที่ด้านหลังครัวให้เปิดออก แสงจากภายนอกสาดเข้ามาด้านใน ซื่อหนานกำลังเช็ดน้ำตาป้อย ๆ รับคำเรียกหาของผู้เป็นยาย

“ไปนั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น ออกมาหายายนี่มา” ยายมองเห็นหลานชายร้องไห้จนตาบวม ก็ได้แต่รู้สึกสงสาร นี่คงจะโดนล้อว่าเป็นลูกเจ๊กแม่จีนมาอีกตามเคย “มานั่งนี่ ช่วยยายเตรียมทำกับข้าวเย็นดีกว่า” ผู้เป็นยายพยายามจะให้หลานชาย ลืมเรื่องที่ทำให้ต้องรู้สึกเสียใจนั้น แม่ว่าจะเป็นชั่วครั้งชั่วคราว ชั่วครู่ชั่วยาม ก็ยังดี เพราะอย่างน้อย หลานชายตัวน้อย จะได้มีใจที่คลายทุกข์ลงบ้าง

ซื่อหนานนั่งลงบนพื้น ก่อนจะรับเอากะละมังสีเงินบุบเบี้ยวจากมือยายมาวาง แล้วจึงเริ่มปลิดขั้วของมะเขือพวงในถุงพลาสติกเล็ก ๆ นั้น หญิงชรายิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นเด็กชายทำมันได้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยความที่เธอไม่มีวิชาความรู้อะไรจะสอนให้กับหลานชาย จึงทำได้แค่เพียงถ่ายทอดความรู้จากการลงมือทำให้กับซื่อหนาน สิ่งที่เธอรู้ สิ่งที่เธอปฏิบัติมันซ้ำ ๆ มาเป็นระยะเวลายาวนาน หากว่านั่นจะเป็นประโยชน์ต่อไปในภายภาคหน้า ให้หลานของเธอได้เก็บเกี่ยวเอาไปใช้ เธอก็ยินดี

“แม่ของเราชอบกินนะ มะเขือพวงเนี่ย” ยายพูดบอกกับเด็กชายซื่อหนาน เด็กชายที่ได้ยินยายเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับแม่ของเขา ก็เงยหน้าขึ้นมอง แววตาเป็นประกายขึ้นมาในทันที “ยายตำน้ำพริกกะปิทีไร เมื่อก่อนแม่เราก็จะขอให้ยายบุบมะเขือพวงลงไปด้วยเยอะ ๆ” ซื่อหนานมองผักพื้นบ้านคู่ครัวไทย ที่ดูไม่ได้มีความสำคัญใด ๆ ที่ถืออยู่ในมือ ผักที่ดูจะเป็นส่วนเกินในอาหารหลากหลายชนิด ผักที่คนรังแต่จะเขี่ยเอาไว้ที่ข้างจาน

“แม่เราเขาบอกว่ามะเขือพวงน่ะกินดี มันเป็นยา” ซื่อหนานฟังยายของเขาเล่าเรื่องไป มือก็เด็กมะเขือพวงไป ผู้เป็นยายเห็นสีหน้าและแววตาของหลานเปลี่ยนจากอมทุกข์ มามีสีของความสุขได้ ก็รู้สึกดีใจ “คนเขาก็เอาดอกมะเขือไปไหว้ขอบคุณครูกัน” ผู้เป็นยายพูดต่อ “เขาถือว่า ดอกมะเขือแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน เพราะดอกมะเขือมันจะโน้มน้ำหนักที่มันมี ให้คล้อยต่ำเสมอ ไม่ได้มีโอกาสชูดอกอวดให้ใครเห็น”

“ของที่มาจากดิน พอเราล้างน้ำให้มันสะอาด มันก็น่ากินนะ” ซื่อหนานมองยายหยิบเอากะละมังที่เขาเด็ดมะเขือพวงใส่ได้พอสมควร เอาไปกลั้ว ๆ ล้างกับน้ำ ก่อนจะเอามาวางลงบนแคร่ ซื่อหนานขยับเข้าไปนั่งใกล้ ๆ กับยาย เมื่อยายเริ่มลงมือตำน้ำพริกกะปิ เพื่อเป็นอาหารมื้อเย็นของวัน “จากดอกไม้ที่ดูไม่มีค่า ไม่มีความสำคัญอะไร” ผู้เป็นยายยิ้ม เมื่อซื่อหนานหยิบเอามะเขือพวงหยิบใส่ครกให้ เมื่อถึงเวลา

“มะเขือพวงมีเมล็ดมาก ตกลงไปบนดินตรงไหน มันก็งอกขึ้นมาได้ทุกที่” ผู้เป็นยายพูดต่อ หลานชายฟังตามที่ยายของเขาพูด “ของบางอย่าง มันไม่มีใครเห็นคุณค่าทันทีหรอกลูก ถ้ามันยังไม่ถึงเวลา” ซื่อหนานเงยหน้าขึ้นสบตากับยาย “เรายังเด็ก เราอาจจะยังไม่เข้าใจที่ยายพูดทั้งหมดในวันนี้ แต่จำไว้นะซื่อหนาน จำไว้ว่าแม่ของเรา แม้เขาจะเป็นคนจีน ก็ไม่ได้เสียหายอะไร คนจีนโดยกำเนิดอย่างแม่ของเรา ยังชอบน้ำพริกกะปิบุบมะเขือพวงอย่างไทย ๆ ได้เลย เพราะว่าถ้าคนเราลองเห็นคุณค่าของอะไรอย่างแท้จริงแล้ว เขาก็จะเห็นคุณค่าของมันเสมอ ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม”

ซื่อหนานผูกผ้าพันคอถักให้กับยายของเขา เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น ปีนี้อากาศยามเช้าทางภาคอีสาน กลับมาหนาวเย็นอีกครั้ง ซื่อหนานเลยเตรียมอุปกรณ์กันหนาวมาให้ยายของเขามากกว่าพร้อม ผู้เป็นยายยิ้มให้กับหลานชาย บอกขอบใจหลานชายที่พามาเที่ยวยังสถานที่ที่หญิงชราอยากมาเที่ยวตั้งแต่สมัยยังเป็นสาว แต่ไม่เคยมีโอกาส แต่เมื่อซื่อหนานมีโอกาส เขาก็ไม่ลังเลที่จะพายายของเขามา

ซื่อหนานยังคงจำเรื่องที่ยายเล่าให้เขาฟังได้ดี ตอนนี้เขาเข้าใจในสิ่งที่ยายพยายามจะสอนเขาแล้ว คุณค่าของมะเขือพวงในแกงต่าง ๆ ไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด แม้ว่าน้อยคนนัก จะตักมันเข้าปาก เพียงแค่มันไม่เป็นที่นิยม ใช่ว่าประโยชน์ของมันจะเลือนหายไปแต่อย่างใด ต้นกำเนิดตัวดอกที่อ่อนน้อม กลายมาเป็นมะเขือที่เป็นยาสมุนไพรในครัวอาหารไทย ไม่ว่าจะไปในที่แห่งไหน คุณค่าที่เกิดขึ้นแล้วในตัวนั้น จะติดตามซื่อหนานไปในทุกที่ โดยไม่สนว่า เขาจะมีต้นกำเนิดมาจากที่ใด



ปั๋นพยายามกลั้นน้ำตาไม่ไหวไหลลงมา แต่มันก็สุดที่จะกลั้นเอาไว้ได้ เขาได้แต่ปล่อยให้น้ำตาใส ๆ นั้นร่วงหล่นลงมา ราวกับทำนบเขื่อนได้พังทลายลงมา ปั๋นสูญเสียแม่ไปอย่างไม่มีวันกลับมา และรับรู้ว่า ชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปตลอดกาลต่อจากนี้ เริ่มต้นจากการที่เขาต้องเก็บข้าวของออกจากตึกใหญ่ ลงไปอยู่ที่เรือนเล็กที่อยู่ด้านหลังเรือนคนรับใช้ โดยที่น้ำไฟก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ใช้วันไหน

และตอนนี้ ปั๋นก็รู้แล้วว่า ถ้าหากเขาต้องการที่จะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย เขาคงต้องหาทางดิ้นรนเอาเอง เพราะทางคุณชัยวัฒน์ พ่อของปราชญ์ ได้พูดเกริ่นมาแล้ว ว่าคงให้ปั๋นอยู่เกาะครอบครัวของเขาและบ้านหลังนี้ต่อ ได้แค่เพียงการเป็นคนนอก การที่คุณชัยวัฒน์ คุณท่านของบ้าน อนุญาตให้อยู่ที่เรือนเล็กด้านหลังบ้านก็ถือว่าใจบุญสุนทานมากพอแล้ว กับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องดองกันเป็นญาติ

“จิตใจมันทำด้วยอะไรกัน ถึงได้ย่ำยีเด็กคนหนึ่งได้ลงคอ ทันทีที่แม่ของมันไม่อยู่แล้ว” คุณย่าน้อยรู้สึกใจหายไม่พอ ที่แม่ของเจ้าปั๋นมาด่วนจากไป ก็ต้องมารู้สึกเวทนาเด็กใฝ่ดีคนหนึ่ง ที่ชีวิตก็ช่างเล่นตลกได้อย่างแสนโหดร้าย “นี่ขนาดฉันเป็นแม่มัน ฉันยังทัดทานอะไรมันไม่ได้มากเลย” คุณย่าท่านได้แต่นึกปลง ที่คุณชัยวัฒน์ลูกชายของเธอ ทั้ง ๆ ที่รับเอาแม่ของปั๋นเข้ามาอยู่ร่วมบ้านด้วยแท้ ๆ แต่ไม่เคยสักครั้ง ที่จะนึกต้อนรับปั๋นเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว

“เราจะทำอะไรได้บ้างคะพี่ใหญ่” คุณย่าน้อยที่เอ็นดูปั๋นตั้งแต่แรกเห็น ยิ่งปั๋นเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เรียกใช้ให้ช่วยหยิบจับสิ่งใด ก็ไม่เคยอิดออดเกี่ยงงอน คุณย่าน้อยยิ่งรักและต้องการจะปกป้องปั๋น ติดแต่ว่า แม่ของปั๋นว่าตามแต่ที่คุณชัยวัฒน์จะบอกมา ด้วยว่าอย่างน้อย ปั๋นจะได้เรียนสูง ๆ และมีที่อยู่ที่กิน พอออกมาในรูปแบบนั้น คุณย่าน้อยก็พูดอะไรมากไม่ได้ แม้แต่จะขอร้องให้แม่ของปั๋นยอมให้ปั๋นมาอยู่ในความดูแลของบ้านใน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ

“ปั๋นมันก็ตามแม่ของมัน ทะนง หยิ่ง อยากจะทำอะไร ๆ ด้วยตัวเอง” คุณย่าท่านพอจะมองนิสัยจริง ๆ ของปั๋นออก “ก็จะไปว่าอะไรเด็กมันได้ล่ะนะ มันก็อยากจะมีอะไรเป็นของตัวเองจนเต็มแก่แล้ว ถึงขนาดยอมหลอกแม่ว่าต้องเรียนเพิ่มหลังโรงเรียนเลิก แต่ที่ไหนได้ แอบไปทำงานพิเศษเพื่อเก็บเงินพาแม่และตัวเองไปให้พ้นจากบ้านหลังนั้นเสียที” คุณย่าท่านรู้ความเคลื่อนไหวของปั๋นดี ผ่านทางคนรับใช้ที่ตึกหน้า แต่เป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงกันมา

“น้องมีเงินสดไม่มากมายอะไร แต่น้องต้องการจะช่วยให้เด็กมันไม่ต้องระหกระเหินไปไหน พี่ใหญ่เข้าใจน้องใช่มั้ยคะ” คุณย่าน้อยเอ่ยถามผู้เป็นพี่สาวออกไป คุณย่าท่านพยักหน้าพลางถอนหายใจออกมา “พี่เข้าใจเธอนะ แม่น้อย” คุณย่าท่านบอกกับน้องสาวของท่าน “แล้วนี่ต่อไป เจ้าปราชญ์หลานชายตัวดี จะก่อปัญหาอะไรตามมาอีก ก็ไม่รู้” คุณย่าทั้งสองมองเห็นปัญหาในภายภาคหน้าได้เลยตั้งแต่ตอนนี้

ปั๋นก้มลงกราบรูปของคุณย่าน้อย ด้วยความระลึกถึงและรู้คุณของคุณย่าที่ทำให้เขา วันนี้ปั๋นตั้งใจทำบุญให้กับคุณย่าน้อยและแม่ของเขาเอง เพราะหากไม่มีท่านทั้งสอง ปั๋นก็ไม่รู้ว่า ชีวิตตอนนี้จะเป็นอย่างไร ต้องเผชิญกับอะไรอยู่ หรือจะไปเป็นตายร้ายดีที่ไหน การได้มาอยู่ที่นี่ ปั๋นรู้ตัวดีเสมอว่า เหมือนได้มาพึ่งใบบุญของคุณย่าน้อย ที่ยกผืนดินแห่งนี้ รวมทั้งรีสอร์ตให้กับเขา ได้มีที่ทางอยู่อาศัย และมีลู่ทางทำกิน

“ขอบใจนะปั๋น ถ้าแม่เราและย่าน้อยรับรู้ได้ เขาทั้งสองคนต้องดีใจ” ปั๋นหันไปทางคุณย่าท่าน ก่อนจะเดินเข่าไปนั่งที่ข้าง ๆ ตั่งที่ท่านนั่งอยู่ “คุณย่าน้อยเมตตาต่อผมมาก ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ผมต่างหากที่ต้องตอบแทนคุณย่าน้อยให้มาก แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำ” คุณย่าท่านรู้ดี ว่าปั๋นเป็นคนที่มีความคิดดีมาตั้งแต่เด็ก จนมาถึงตอนนี้ แม้ว่าระหว่างทาง จะถูกลูกชายของท่านรังแก และแม้แต่หลานชายของท่านเองก็ด้วย

“แต่ว่าวันนี้ เธอจะบังคับอะไรฉันอีกล่ะ” คุณย่าท่านพูดขึ้น เมื่อเห็นป้านวลเดินยกสำรับมื้อเย็นขึ้นมาที่บนเรือน ปั๋นแอบสบตากับป้านวลแล้วพากันยิ้ม เมื่อรู้ดีว่า คงจะถูกคุณย่าท่านดุเอาอย่างเคย ที่เดี๋ยวนี้ปั๋นปรับเปลี่ยนอาหารบางอย่างให้สอดคล้องกับคำแนะนำของคุณหมอ คุณย่าท่านมองเห็นปั๋นกับป้านวลพากันอมยิ้ม ก็ได้แต่ส่ายหน้า ท่านก็บ่นไปแบบนั้นเอง แต่ก็เข้าใจว่าปั๋นหวังดีกับเธอ

“เป็นคำสั่งของคุณหมอน่ะครับ มีอาหารที่ลดเกลือกับไขมันลง แต่ผมบอกให้ทางครัวไทยเขาทำให้รสชาติยังดีคงเดิม ตามที่คุณย่าทานชอบ” ปั๋นบอกออกไป คุณย่าท่านพยักหน้ารับทราบ เพราะเพิ่งไปตรวจสุขภาพประจำปีมา และก็เป็นไปตามอายุที่เพิ่มมากขึ้นของท่าน ที่จะต้องระมัดระวังเรื่องอาหารการกินมากขึ้น

“นอกจากฉันจะได้เธอมาเป็นหลานชายของฉันเต็มตัวแล้ว เธอยังพาเจ้าหลานชายตัวดีของฉัน ให้กลับมาหาฉันได้อีกนะ” คุณย่าท่านพูดกับปั๋นด้วยความรักจากหัวใจของท่าน เพราะรู้ดีว่า คนที่กำลังวิ่งวุ่นต้อนรับแขกของรีสอร์ตอยู่ในตอนนี้ เพื่อพยายามจะเอาชนะใจเจ้าปั๋นของคุณย่าท่านให้ได้ ก็คือปราชญ์นั่นเอง



นนท์ดันรถเข็นช็อปปิ้งซูเปอร์มาเกตไปตามชั้นวางของต่าง ๆ เพื่อหยิบของต่าง ๆ ที่อยู่ในลิสต์ให้ครบ ข้าวของมากมายรวมกันอยู่ในรถเข็นนั้นเกือบจะล้น มีอยู่หลายครั้งที่นนท์ต้องวิดีโอ คอล กลับไปหาอุ่น เพื่อถามให้แน่ใจว่าเป็นของชิ้นไหนกันแน่ หรือหลายครั้งที่แบรนด์เดียวกัน แต่มีรุ่นหรือสีหลากหลายให้เลือก นนท์ที่เลือกซื้อของไม่เก่งนัก เลยต้องการความแน่ใจ และอุ่นก็ให้คำตอบเขาได้ดีเสมอ

นนท์จัดการจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ มีสินค้าบางรายการที่เขาไม่ได้หยิบเอาของแถมมาด้วย แต่พนักงานก็เตือนให้เขาทราบ ก่อนจะเดินไปหยิบของที่เขาลืมหยิบมาให้จนครบ นนท์กล่าวขอบคุณพนักงานท่านนั้น ก่อนจะพูดว่า ดีนะที่ช่วยเตือนเขาเอาไว้ ไม่อย่างนั้น เขาคงโดนแฟนบ่นหูชาแน่ ๆ

พนักงานสาวพลางยิ้มหัวเราะไปด้วยกับเขา ก่อนจะพูดว่า แฟนของเธอก็โดนเธอบ่นเรื่องนี้ประจำ ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น พนักงานท่านนั้นยังช่วยบอกวิธีใช้สินค้าบางชิ้น ที่เธอมองออกเลยว่า นนท์น่าจะเป็นมือใหม่อย่างแน่นอน ชายหนุ่มถึงกับต้องค้อมศีรษะกล่าวขอบคุณในความกรุณาของเธอทีเดียว

นนท์ขับรถออกจากลานจอดรถซูเปอร์มาเกตนั้น ก่อนจะแวะกลางทางเพื่อซื้ออาหารเย็นสำหรับเขาและอุ่น เพราะนนท์เชื่อว่า วันนี้อุ่นจะต้องหมดแรงแน่นอน กับภารกิจสำคัญที่พวกเขาเพิ่งเริ่มต้นมันอย่างเต็มตัว แต่ก็เป็นหน้าที่ที่พวกเขาเต็มใจ นนท์สั่งอาหารมากกว่าปกติเล็กน้อย เพราะคาดว่า อุ่นน่าจะไม่ได้กินอาหารเต็มที่นัก แม้ว่าแฟนของเขาจะเป็นนักโภชนาการก็ตาม เพราะอีกฝ่ายคงจะยุ่ง จนหัวหมุนทั้งวันแน่นอน

“อ้าว ยังไม่ยอมนอนอีกหรือนั่นน่ะ” นนท์เอ่ยถาม เมื่อเขาเปิดประตูอ้าค้างไว้ เพื่อขนของเข้าห้อง ซึ่งคอนโดที่เคยมีพื้นที่ว่างเหลือเฟือ ตอนนี้ถูกจับจองจนเกือบเต็มพื้นที่ใช้สอย อุ่นส่ายหน้าแทนคำตอบ นนท์มองดูใบหน้าที่มันย่องของอุ่นแล้วก็ให้นึกเอ็นดู ความเหนื่อยฉายออกมาทางใบหน้าของอุ่น แต่แววตาและรอยยิ้มกลับบอกว่า อุ่นมีความสุขมากเหลือเกิน

“กินหรือยัง” นนท์ถาม พลางทยอยขนของที่เอามาวางรวมกันอยู่หน้าห้อง เข้ามาทีละอย่าง “แล้ว” อุ่นตอบ “เรอหรือยัง” นนท์ถามต่อ พลางหยิบของต่าง ๆ เข้ามาวางในห้อง “แล้ว” อุ่นตอบเหมือนเดิมอีกครั้ง นนท์ที่ขนของชุดสุดท้ายเข้ามาในห้องเสร็จ ก็ปิดประตูตามหลัง ก่อนจะเดินเข้ามาหาอุ่น ที่เดินวนกลับไปกลับมาตามพื้นที่ว่างภายในห้องนั้น

“กินนมแล้ว เรอแล้ว อ๊อกนมออกมาแล้ว แต่ทำไมยังไม่ยอมหลับอีกล่ะครับ ยัยหนูของป๊า” นนท์ก้มลงหอมแก้มเด็กทารกวัยแบเบาะที่อยู่ในอ้อมแขนของอุ่น “วางลงนอนในเปลก็ร้องใช่มั้ยเนี่ย” นนท์ถาม เพราะเห็นอุ่นเดินอุ้มยัยหนูที่มองตามเขาด้วยดวงตาบริสุทธิ์ใสแป๋ว “อย่าได้คิดเชียว” อุ่นตอบกลับ แต่ก็รู้สึกเป็นสุขใจ ที่มียัยหนูของเขานอนพาดอยู่บนอกแบบนี้

ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากอุ่นได้เจอกับเคสหนึ่งของโรงพยาบาล ที่คุณแม่วัยใส ไม่สามารถจะเลี้ยงดูลูกที่เพิ่งคลอดได้ และกำลังจะหาทางออกด้วยการทิ้งลูกเอาไว้ที่โรงพยาบาล ส่วนตัวเองก็จะหนีหายไปเลย แบบไม่บอกกล่าวใคร เพราะตัวเธอเองนั้น ก็ถูกพ่อเด็กวัยใกล้เคียงกันทอดทิ้งเช่นกัน อุ่นได้ปรึกษากับพี่ ๆ ผู้ใหญ่หลายคนในโรงพยาบาล ว่าถ้าหากเขาจะรับเด็กคนนี้ไว้ดูแล ทุกคนจะมีความเห็นว่าอย่างไร

หลังจากที่อุ่นคุยกับนนท์ทั้งคืนในคืนนั้น ทั้งสองคนก็ตกลงว่า ถ้าทุกคนไม่ขัดข้อง และแม่ของเด็กไม่รังเกียจ ว่าลูกสาวที่เพิ่งคลอด จะมีพ่อสองคนรับดูแล นนท์กับอุ่นก็พร้อมที่จะทำหน้าที่นี้ ให้ดีที่สุด ด้วยเหตุว่า นนท์ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง พร้อมทั้งเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว สามารถชดเชยรายได้ของอุ่น หากว่าช่วงนี้อุ่นต้องทิ้งรายได้ที่เขาเคยมีไปก่อน ส่วนอุ่นก็พร้อมจะสละเวลาอยู่บ้าน เพื่อดูแลยัยหนูให้ได้เต็มที่มากที่สุด

เมื่อกระบวนการทางกฎหมายลงตัว และเด็กน้อยได้ดื่มนมจากอกอุ่นของแม่ ครบตามที่คุณหมอต้องการแล้ว นนท์และอุ่นก็รับยัยหนูมาอยู่กับพวกเขาในทันที อุ่นบอกกับเด็กสาวว่า เธอจะเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดยัยหนูตลอดไป ขอให้เชื่อใจว่า เขาจะเล่าเรื่องแม่ให้ยัยหนูฟังแน่นอน เมื่อยัยหนูโตขึ้น และยินดีเสมอ หากว่าเธออยากจะกลับมาเยี่ยมลูก นนท์และอุ่นจะไม่กีดกันอย่างแน่นอน

“หนูขอบคุณนะพี่ แค่หนูรู้ว่า เขาได้อยู่กับพี่สองคน แล้วเขาได้รับความรักที่ดี ที่พวกพี่ให้เขาได้ หนูก็ดีใจแล้ว” เด็กสาวบอกกับอุ่นและนนท์ ว่าเธอนั้นเชื่อใจและไว้ใจอุ่นและนนท์ ตามคำรับรองจากบุคลากรในโรงพยาบาล ที่รู้จักกับอุ่นดี ว่าเขาเป็นคนน่ารักและนิสัยดีมาก ๆ คนหนึ่ง ส่วนทางนนท์ ก็มีหน้าที่การงานดีมาก มีรายได้ที่มั่นคง มีเงินเก็บที่สามารถเลี้ยงดูยัยหนูได้ โดยไม่กระทบการที่ทั้งคู่ยังผ่อนคอนโดนี้อยู่



เมื่อดาวเจ้าเรือนพันธุ ที่แปลว่า ที่เกี่ยวเนื่องกัน ติดกันอยู่ เช่นบ้าน ที่ดิน พ่อแม่ ญาติพี่น้อง มาอยู่ในเรือนตนุ ที่แปลว่า ตัวตนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า การประพฤติปฏิบัติตน รวมถึงที่อยู่อาศัย เจ้าชะตามีเกณฑ์จะได้รับมรดกทรัพย์สมบัติตกทอดจากบรรพบุรุษ โชคดีเกี่ยวกับที่ดิน เรื่องบ้าน แหล่งที่อยู่อาศัย หรืออาจจะถ่ายทอดนิสัย ความนึกคิด มาจากญาติเหล่านั้น

ต่อไปจะได้เป็นคหบดี มีความสามารถตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ต่อไปมีที่มีทาง มีบ้านะเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็หามาได้เอง มีเจ้านาย ผู้บังคับบัญชา หรือผู้หลักผู้ใหญ่ให้ความเมตตา ให้ความอุปการะช่วยเหลือเจ้าชะตา ด้านเสียอาจจะเป็นไปได้ว่า เจ้าชะตาคิดมากเรื่องตั้งรกรากถิ่นฐานจนเกินไป งานและภาระของคู่ครอง อาจจะนำมาซึ่งความเหนื่อยกาย หรือเจ้าชะตาอาจจะมีญาติโกโหติกา มาขออาศัยอยู่ด้วยก็ได้เช่นกัน



นนท์ให้อุ่นได้พัก กินข้าวเย็น แล้วไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน โดยที่เขาจะรับช่วงต่อดูยัยหนูให้เอง อุ่นใช้เวลาทำธุระต่าง ๆ ไม่นาน ก็เดินออกมาที่ห้องรับแขก ภาพที่เห็นคือยัยหนูหลับปุ๋ยอยู่บนไหล่ของนนท์ ที่เจ้าของไหล่เอง ก็เคลิ้มหลับไปบนโซฟานั้นเช่นกัน อุ่นเดินมาแตะแขนของนนท์เบา ๆ นนท์ลืมตาตื่นขึ้น งัวเงียเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นอุ้มยัยหนูไปใส่เปลที่วางอยู่ข้างเตียงนอนของพวกเขา

นนท์รู้เลยว่าอุ่นเหนื่อยมากแค่ไหนในวันนี้ ที่ต้องดูแลเด็กอ่อนทั้งวัน เขาหอมที่หน้าผากของอุ่น เมื่อทั้งสองคนล้มตัวลงนอน ภารกิจนี้ยังคงอีกยาวนาน และนี่คือชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขา ที่ทั้งคู่จะต้องเลี้ยงดูให้หนึ่งชีวิตได้เติบโตไปในทางที่ดี ทำทุกอย่างเพื่อให้ยัยหนูได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด ที่พวกเขาจะหามาให้ได้ โดยไม่อายใครว่า ยัยหนูมีพ่อสองคนนี้ที่รักเธอจนสุดหัวใจ และให้ยัยหนูได้ภาคภูมิใจในครอบครัวของพวกเขา

**********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

Ebglish Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=DFLHfxk7ytA


อยากบอกเธอเหลือเกิน

I would really like to say

อยากให้เธอได้ฟัง

I want you to hear this

อยากตอบแทนเธอด้วยคำหนึ่งคำ

With one word that will be given to you

คำที่ไม่เคยพูดจากปาก

The word I have never spoken it

บอกใครทั้งนั้น

Not to anyone else

คำที่คู่ควรที่สุด

The word that too deserves you

กับคนดีเช่นเธอ

To the best person there is like you


อยากขอบคุณเหลือเกิน

I would love really to thank you

กับความดีของเธอ

All the good things you’ve done for me

กับชีวิตนี้ที่เธอให้ไว้

And this life of mine you’re providing


ชีวิตที่เคยไม่มีค่า

Life that didn’t seem worth a thing

ก็กลับมีความหมาย

You turned it around now it’ s so meaningful

ชีวิตที่ยืนขึ้นใหม่

My new life that now I can breathe

ได้ด้วยมือของเธอ

And that’s all because of you


ฉันรู้ฉันซึ้งฉันอุ่นใจ

I know, I’m grateful and that warms my heart

มีเธอประคองป้องกัน

You’re always there having me protected

เธอทำให้ด้วยใจทุกอย่าง

This is so heartfelt you’re offering me

ไม่หวังให้ตอบแทนให้เธอ

Nothing you ever need me to give you back


ฉันรู้ฉันซึ้งฉันห่วงใย

I know, I’m touched and it shows that I care

จะมีอะไรมาทดแทน

Nothing means so much more

มีแค่เพียงคำที่บอก

This is what I’m gonna say

ว่ารักเธอจริงจริง

I do really love you


อยากขอบคุณเหลือเกิน

I wanna say that I’m thankful

กับความดีของเธอ

All the good things I’ve got from you

กับชีวิตนี้ที่เธอให้ไว้

This life you created for me


ชีวิตที่เคยไม่มีค่า

Life that didn’t seem worth a thing

ก็กลับมีความหมาย

You turned it around now it’s so meaningful

ชีวิตที่ยืนขึ้นใหม่

My new life that now I can breathe

ได้ด้วยมือของเธอ

And that’s all because of you


ชีวิตที่เคยไม่มีค่า

The life of mine no one ever noticed

ก็กลับมีความหมาย

Now full of significance

ชีวิตที่ยืนขึ้นใหม่

Life that I can stand on my own

ได้ด้วยมือของเธอ

Fulfilled with your power and strength


ฉันรู้ฉันซึ้งฉันอุ่นใจ

I know, I’m grateful and that warms my heart

มีเธอประคองป้องกัน

You’re always there having me protected

เธอทำให้ด้วยใจทุกอย่าง

This is so heartfelt you’re offering me

ไม่หวังให้ตอบแทนให้เธอ

Nothing you ever need me to give you back


ฉันรู้ฉันซึ้งฉันห่วงใย

I know, I’m touched and it proves that I care

จะมีอะไรมาทดแทน

Nothing means so much more

มีแค่เพียงคำที่บอก

This is what I’m gonna say now

ว่ารักเธอจริงจริง

I do really love you
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๗ พันธุ - ตนุ (อยากให้รู้ว่ารักเธอ)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 08-06-2022 20:19:08
 :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๘ กฎุมภะ - ตนุ (หากว่ารักเป็นได้ดั่งใจ)
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 11-06-2022 18:53:43
๓๘.



กฎุมภะ – ตนุ (หากว่ารักเป็นได้ดั่งใจ)





“โอเคจ้ะ ได้ ๆ พี่ขอบใจมากนะ ปั๋นช่วยพี่ได้มหาศาลเลย แล้วเดี๋ยวพี่เตรียมเอกสารครบ พี่ให้ปั๋นช่วยตรวจให้พี่อีกที ได้ค่ะ ขอบคุณนะ” ฐานทัพมองแฟนของเขาคุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ อันน์กดวางสายโทรศัพท์ ก็เห็นฐานทัพเดินมาพอดี “ปั๋นเนี่ยเขาเก่งมากจริง ๆ นะคะ ช่วยแนะนำเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เราได้เยอะเลย” อันน์เอ่ยชมเจ้าของรีสอร์ตที่เชียงรายกับฐานทัพ

“เก่งถึงขนาดที่ว่า ไม่เคยทำรีสอร์ต ไม่เคยบริหารงานแบบนี้มาก่อน แต่สามารถเรียนรู้ได้เร็ว บริหารการเงิน บริหารแรงคน บริหารทุกสิ่งอย่างออกมาได้เป็นอย่างดี” ฐานทัพชอบมองเวลาอันน์เวลาดีใจ จนลืมตัวพูดนั่นพูดนี่ออกมา โดยที่เขาไม่ต้องชวนพูดชวนคุย อย่างแต่ก่อน มันคงเป็นเพราะว่า อันน์นั้นคุ้นเคยกับการมีฐานทัพเป็นคู่คิดแล้วกระมัง กับความเชื่อใจในความรู้สึกที่ฐานทัพมีให้กับเธอ

“คุณมองอันน์แบบนั้นอีกแล้วนะ” อันน์รู้สึกเขินทุกครั้ง ที่เห็นสายตาชื่นชมและเอ็นดูแบบนั้นจากฐานทัพ “ก็แฟนผมพูดเก่งขึ้นเยอะ ไม่ถามคำตอบคำ อย่างตอนที่โดนผมตามจีบใหม่ ๆ ผมก็ต้องชื่นใจเป็นธรรมดา” ฐานทัพยิ้มกว้าง เมื่อเห็นอันน์ขมวดคิ้ว ทำหน้าไม่พอใจขึ้นมา แต่นั่นก็เป็นเพราะเจ้าตัวต้องการแก้เขินต่างหากล่ะ “ถ้าคุณอันน์จะชม ก็ต้องชมปราชญ์ด้วย” ฐานทัพนึกถึงชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคมคายคนนั้น

“เป็นเพราะเขาแนะนำที่โรงแรมนี้เลยนะ มันถึงได้ตกมาเป็นของเรา” ฐานทัพกล่าวชมรุ่นน้องคนสนิทอีกคนของอันน์ “จริงสินะ” อันน์เองก็ได้พูดขอบคุณปราชญ์ไปแล้ว จากครั้งก่อนที่ได้วิดีโอ คอลคุยกัน “แต่มันเป็นของเราที่ไหน ของคุณต่างหาก” อันน์รีบพูดแก้ประโยคของฐานทัพ “แน่ะ พูดแบบนี้อีกแล้วนะ” ฐานทัพดึงตัวของอันน์เข้ามาใกล้ “น่าตีจริง ๆ เลย คุณอันน์เนี่ย” ฐานทัพไม่ได้ตีอันน์แต่อย่างใด แต่กลับก้มลงหอมแก้มของอีกฝ่ายแทน

“อุ๊ย นี่เพ็ญเข้ามาขัดจังหวะเวลาสวีทใช่มั้ยคะ” เสียงผู้ช่วยสาวผู้ขยันขันแข็งของโรงแรมแห่งนี้ ดังขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้า “คือว่า เพ็ญก็มีความสุข ทำงานได้แฮปปี้ตลอดทั้งวันล่ะนะคะ ที่ได้เห็นบอสขาของเพ็ญ หวานให้กัน” ว่าที่รองผู้จัดการโรงแรมอย่างเพ็ญ ต้องขอหยุดความหวานของเจ้าของโรงแรมทั้งสองไว้สักนิด “ช่วยเพ็ญเลือกก่อนค่ะ อันไหนดีคะ” ฐานทัพชี้นิ้วมาที่อันน์ เพ็ญก็ขยับตัวเลือกของเนื้อผ้าขนหนูที่จะใช้บริการแขกผู้เข้าพัก มาให้อันน์ดู

“ถ้าทาร์เก็ตหลักของเราเป็นคู่รักหนุ่มสาว อายุรุ่น ๆ เดียวกันกับเพ็ญ” อันน์พูดถามความเห็นจากผู้ช่วยของเธอ “เพ็ญอยากใช้แบบไหนมากกว่ากัน” เพ็ญมองดูตัวเลือกสุดท้ายสองแบบที่ถืออยู่ในมือ ก่อนจะเลือกอันหนึ่งขึ้นมา แล้วได้เห็นอันน์ยิ้มในทันที “เทสต์ดีมากเลยเพ็ญ” อันน์เอ่ยชมอย่างจริงใจ เพราะเธอเองก็คิดว่า มันดูน่าใช้มาก ๆ เช่นกัน

ตัวเลือกนี้ อาจจะติดหรูหรานิดหนึ่ง แต่ก็เพื่อเป็นการทำให้แขกผู้เข้าพัก รู้สึกเหมือนถูกเอาใจ ทั้งการเอาใจใส่ดูแลและการถูกสปอยล์เวลามาพักผ่อนหาความสุขให้ชีวิต ไปในทางคราวเดียวกัน อีกอย่าง ลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ ก็น่าจะชอบใจกับผลิตภัณฑ์ที่ทางโรงแรมเลือกใช้เช่นกัน เรียกได้ว่า สามารถคงลูกค้ากลุ่มหลักเอาไว้ได้ และไม่ทิ้งลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ เช่นกัน และนี่เป็นคำแนะนำที่อันน์คิดว่าเยี่ยมยอดมาก ที่ได้รับมาจากปั๋น

“ด้านนอกเสียงดังโวยวายอะไรกัน” ฐานทัพได้ยินเสียงโหวกเหวกดังเข้ามาถึงด้านในนี้ “เดี๋ยวเพ็ญออกไปดูให้ค่ะบอส” เพ็ญพูดจบก็วิ่งตื๋อออกไป ก่อนจะกระหืดกระหอบกลับมา “ใครก็ไม่รู้ค่ะ กำลังโวยวาย ดุพนักงานของเราใหญ่เลยค่ะ” เพ็ญรายงานให้กับฐานทัพและอันน์ทราบ เสียงโทรศัพท์มือถือของฐานทัพดังขึ้น ปลายสายเป็นคู่ค้าคนสำคัญของทางโรงแรม อันน์เลยบอกให้ฐานทัพคุยโทรศัพท์ก่อน แล้วเธอจะออกไปดูข้างนอกให้เอง

“ปกติถ้าบอสมีแขกมาขอพบ บอสจะแจ้งไว้ก่อนทุกครั้ง แต่ถ้าไม่ได้แจ้งเอาไว้ พวกหนูให้เข้าไปด้านในไม่ได้จริง ๆ ครับ” พนักงานด้านหน้าพูดกับผู้มาเยือน ที่ไม่พอใจที่พนักงานไม่ยอมให้เขาเข้าไปด้านในโรงแรม “ก็ไปบอกบอสของพวกคุณสิ ว่าผมเป็นใคร ผมเป็นพี่ชายของเจ้าของโรงแรมนี่ แค่นี้เจ้าทัพก็ต้องยอมให้ผมเจออยู่แล้ว นี่ถ้าเป็นลูกน้องผมนะ พวกคุณตกงานกันทั้งหมด ไม่รอดแน่” อันน์เดินออกมาพอดีกับได้ยินประโยคนั้น

“อันน์ขอความกรุณาเถอะค่ะคุณพฤกษ์ อย่าโวยวายใส่น้อง ๆ ของอันน์แบบนี้เลยค่ะ” อันน์พยักหน้าให้กับน้อง ๆ พนักงานหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ว่าไม่เป็นไรแล้ว เดี๋ยวเธอจัดการเอง น้อง ๆ พนักงานพากันเลี่ยงหลบไปยืนที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ “พวกเขาก็แค่ทำตามคำสั่ง คุณพฤกษ์ก็น่าจะทราบดีอยู่แล้ว ว่าทัพเขานิสัยแบบไหน ว่าถ้าเป็นคำสั่ง สั่งไปแล้ว ยังไงคนเป็นลูกน้องของเขา ก็ต้องทำตาม” อันน์ไม่ลังเลที่จะพูดปกป้องคนในปกครองของเธอ

“อีกอย่าง ที่นี่ไม่ใช่บริษัท ที่คุณพฤกษ์อาจจะชินกับการวางอำนาจกับใครต่อใคร ที่นี่เราอยู่กันแบบครอบครัว อย่าพูดจาข่มใครเลย มันดูไม่ดีจริง ๆ” อันน์ไม่คิดว่า การที่พฤกษ์พูดจาแบบนี้กับคนนอกอำนาจของเขา จะเป็นเรื่องที่สมควรทำ “นี่คุณอันน์พูดเหมือนไม่รู้ว่า ใครเป็นเจ้าของบริษัทนั้นกันแน่ ผมหรือว่าพ่อของไอ้ทัพ” อันน์มีสีหน้าที่ประหลาดใจเป็นอย่างมากที่ได้ยินพฤกษ์พูดเช่นนั้น

“นี่คุณอันน์ไม่รู้จริง ๆ ด้วย” พฤกษ์แค่นเสียงหัวเราะออกมา ว่าน้องชายของเขาอย่างฐานทัพ ได้กันอันน์ออกจากเรื่องนี้ได้โดยสมบูรณ์ จะได้พ้นจากคำครหาที่เกิดขึ้น “ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกตรงเผง ก็ต้องพูดว่า บริษัทมันเป็นของไอ้ทัพแต่เพียงผู้เดียว” พฤกษ์พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด ที่สุดท้ายแล้ว คนที่ได้ครอบครองไปเสียทุกอย่างกลับกลายเป็นฐานทัพ ไม่ใช่เขา

“พ่อผมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ถ้าพี่พฤกษ์มีอะไรข้องใจ ผมว่า พี่พฤกษ์ควรกลับไปคุยกับบรรดาผู้ถือหุ้นทั้งหลายจะดีกว่านะครับ” ฐานทัพที่เดินตามอันน์ออกมา หลังจากตกลงดีลกับคู่ค้ารายสำคัญของโรงแรมได้สำเร็จ และได้ยินการสนทนาทั้งหมดนี้พูดขึ้น พฤกษ์มองน้องชายของเขาด้วยแววตาที่แข็งกร้าว แต่ปะปนไปด้วยความเจ็บใจ เสียใจ และผิดหวัง

“พ่อแกจะเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน ถ้าไม่ใช่แค่ ไอ้ทัพ ที่กว้านซื้อหุ้นของบริษัทไว้ทั้งหมด” น้ำเสียงของพฤกษ์นั้นหาเรื่องอีกฝ่ายอย่างชัดเจน “แกไม่สะดุ้งสะเทือนเลยด้วยซ้ำ ที่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับคุณโทมัส ไหนยังจะเงินที่มาซื้อที่ เทคโอเว่อร์โรงแรมนี้อีก แกทำแบบนี้กันฉันทำไมวะ แกแย่งบริษัทที่ควรจะเป็นของฉันไปหน้าตาเฉย แกไม่ทำเกินไปหน่อยหรือ ไอ้ทัพ” อันน์เพิ่งเคยเห็นด้านอ่อนแอของพฤกษ์เป็นครั้งแรก

“แกเอาบริษัทนี้ไปจากฉัน แกมั่นใจสิท่า ว่าฉันจะไม่เหลืออะไรเลย” บริษัทคือสิ่งเดียว และสิ่งสุดท้าย ที่พอจะให้พฤกษ์เชิดหน้าชูตาอยู่ในวงสังคมได้ “ถ้าพี่พฤกษ์อยากได้บริษัทนี้มากขนาดนั้น พี่ก็แค่หาเงินมาซื้อหุ้นไปจากพ่อของผม” ฐานทัพเสนอทางออกให้กับพี่ชายของเขา พฤกษ์ถึงกับจ้องหน้าฐานทัพเขม็ง เมื่อได้ยินลูกพี่ลูกน้องของเขาพูดออกมาแบบนั้น

“แกก็รู้ ว่าบ้านฉันใกล้จะล้มละลายอยู่แล้ว การเสียลูกค้ารายใหญ่อย่างคุณโทมัสไป และยังจะเรื่องที่พ่อของแกถือหุ้นใหญ่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไอ้กระดูกชิ้นเล็ก ๆ ที่แกยังให้ฉันอยู่ในตำแหน่งประธานบริษัทเนี่ย แกคิดว่ามันจะพอให้ฉันยาไส้หรือไง ไหนจะพ่อแม่ฉัน ไหนจะหนี้สินพะรุงพะรังที่ใช้เท่าไหร่ มันก็ไม่มีหมด ไม่ลดน้อยลงสักที” ฐานทัพรู้พฤติกรรมของครอบครัวพฤกษ์ดี ที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหราตลอดเวลา แม้ว่าจะรู้ตัวว่า อยู่ในสถานการณ์ที่การเงินง่อนแง่นเต็มที ก็ยังจมกันไม่ลง

“พี่พฤกษ์ก็รู้ดี ว่าผมทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผมไม่ได้โกงอะไรใครมา ส่วนเรื่องหนี้สินของครอบครัวพี่ ผมเคยช่วยพี่ไปเยอะแล้ว และผมคงจะช่วยได้แค่นั้น” อันน์ที่เคยรู้สึกว่า ฐานทัพเป็นคนที่เด็ดขาดเรื่องธุรกิจและผลประโยชน์ แต่มาตอนนี้ เธอได้รับรู้มุมอ่อนโยนของชายหนุ่ม ว่าเขาไม่ได้ใจร้ายกับครอบครัวและญาติของเขาขนาดนั้น ยิ่งได้เห็นพฤกษ์พูดต่อแบบนี้ด้วย

“เรื่องที่แกให้เงินฉันไปจ่ายหนี้ นั่นฉันรู้ แต่เรื่องบริษัท มันก็อีกเรื่องหนึ่ง แกจะได้ทุกอย่าง แย่งของของฉันไปทั้งหมดแบบนี้ ไม่ได้นะไอ้ทัพ” พฤกษ์ขึ้นเสียงเมื่อมองเห็นภาพของฐานทัพและอันน์อยู่เคียงข้างกันต่อหน้าต่อตาเขา “คุณอันน์นี่ก็เหมือนกัน แกรู้ว่าคุณอันน์ชอบฉัน แกก็หาทางทำทุกอย่างเพื่อที่จะแย่งคุณอันน์ไป แกทำสำเร็จแล้วนี่ คุณอันน์ก็อีก อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนใจไปชอบไอ้เด็กเมื่อวานซืนนี่ได้หน้าตาเฉย เพราะว่ามันรวยใช่มั้ยล่ะ” พฤกษ์ตะโกนแหกปากดังลั่น

“พี่พฤกษ์ ผมขอให้พี่ให้เกียรติว่าที่ภรรยาของผมด้วย และผมจะไม่เตือนพี่อีกเป็นครั้งที่สองนะ” ยังไม่ทันที่อันน์จะได้พูดตอบโต้อะไรออกไป ฐานทัพก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และหมายความตามที่พูดออกไปทุกคำ เขารู้สึกโกรธอย่างที่สุด ที่พฤกษ์อยู่ ๆ จะมากล่าวหาอันน์แบบนั้น “พี่กับคุณอันน์ไม่ได้เป็นอะไรกัน ก่อนหน้านี้ คุณอันน์จะปลื้มพี่พฤกษ์ นั่นไม่ใช่ความผิดของคุณอันน์” ฐานทัพหันไปสบตากับอันน์ “มันเป็นเรื่องก่อนหน้าที่ผมจะจริงจังกับคุณอันน์”

“พี่พฤกษ์ พี่ต่างหากที่ไม่ชัดเจนเอง ว่าพี่จะเอายังไง พี่เลือกที่จะกั๊กทุกทางตามนิสัยแย่ ๆ ของพี่ ห่วงว่าสังคมจะซุบซิบ พี่ก็ดึงอีกคนเอาไว้ แต่พอรู้ว่าคนเขาชอบ พี่ก็หยอดให้ความหวังอีกคนไปวัน ๆ มันใช้ได้หรือวะ” พฤกษ์ได้ยินที่ฐานทัพด่าเขา ก็พอจะมองเห็น ว่าฐานทัพนั้นไม่หวั่นไหวไปกับคำคน เรื่องที่เขาชอบผู้หญิงข้ามเพศอย่างอันน์ และที่สำคัญ ฐานทัพชอบอันน์มาตั้งแต่อันน์ยังไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว

“ผมรักคุณอันน์ ผมก็บอกคุณอันน์ไปตรง ๆ และผมก็พร้อมที่จะปกป้องคนที่ผมรัก ก็แค่นั้น” อันน์รู้แล้ว ว่าเธอเลือกคนไม่ผิด ผู้ชายน้อยคนเหลือเกิน ที่จะเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองที่มีได้เหมือนกับฐานทัพ เพ็ญและบรรดาน้อง ๆ พนักงาน ต่างปลื้มปริ่มที่เห็นนายทัพของพวกเขา ออกโรงปกป้องนายหญิงแบบนั้น ทุกคนรู้สึกดีใจ ที่ได้มาทำงานให้กับเจ้านายที่พร้อมจะดูแลพวกเขาอย่างดีแบบนี้

“แกเปลี่ยนไปมากไอ้ทัพ” พฤกษ์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “แกไม่ใช่ไอ้เด็กขี้แพ้ ที่ได้แต่ขี้ขลาดแอบชอบใครก็ไม่กล้าพูด และเป็นได้แต่ลูกไล่ให้ฉันเหมือนเมื่อก่อนแล้วสินะ” อันน์นั้นใช้เวลาทำงานอยู่กับเขามานานเป็นปี ๆ พฤกษ์เพิ่งรู้สึกถึงความจริงในข้อนี้ แต่เขาไม่สามารถที่จะฝ่าด่านความคิดของตัวเองได้ เรื่องอันน์ไม่ใช่ผู้หญิงแต่กำเนิด ทั้ง ๆ ที่พฤกษ์เองก็มีใจให้กับอันน์ไม่น้อย

“สวัสดีครับ” เสียงโทรศัพท์มือถือของพฤกษ์ดังขึ้น พอจะเป็นระฆังช่วยเบรกอารมณ์ของทุกคนให้เบาลง เมื่อพฤกษ์ยกมือถือขึ้นมากดรับสาย พฤกษ์ปรับน้ำเสียงพูดออกไป “นี่ถ้าไม่ใช้เบอร์อื่นโทรมา พฤกษ์ก็จะไม่รับสายลินใช่มั้ยคะ” เสียงลลินหวีดมาตามสาย มันดังมากพอที่จะทำให้ฐานทัพและอันน์พอจะรู้ว่า เป็นใครที่โทรมา “อะไรของคุณอีกเนี่ย ผมติดธุระสำคัญอยู่ แค่นี้นะ” พฤกษ์พยายามพูดตัดบท

“ธุระสำคัญ ธุระสำคัญอะไร ลินรู้นะว่าพฤกษ์ตามไปง้อนังนั่นถึงหัวหินน่ะ” ลลินรับไม่ได้อย่างที่สุด ที่นอกจากอันน์ได้ตกลงคบหากับฐานทัพอย่างจริงจัง ฐานทัพผู้ที่ลลินรู้ความจริงแล้ว ว่าเป็นคนที่เพียบพร้อมในทุกด้าน มากกว่าพฤกษ์มากมายนัก แต่มาตอนนี้พฤกษ์ก็ยังจะแสดงออกว่าชอบอันน์เหมือนกันอีก และยังจะเพียรพยายามไปตามอันน์ ให้กลับมาทำงานที่บริษัทตามเดิม เพราะลลินไม่มีทางที่จะทำงานในตำแหน่งที่เคยเป็นของอันน์ให้มีประสิทธิภาพสูงได้ ความสามารถของลลินเท่ากับศูนย์ เมื่อเทียบกับอันน์ ลลินลมออกหูทันที ที่ได้รู้สิ่งที่พฤกษ์พูดกับบรรดาผู้ถือหุ้นไปแบบนั้น

“มันไม่ใช่แค่เรื่องงานเท่านั้นอย่างแน่นอน ใช่มั้ยพฤกษ์ นี่คุณชอบกะเทยหรือไง คุณบ้าไปแล้วหรือ พฤกษ์คุณจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ลินจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถ้าคนอื่นเขารู้เรื่อง งามหน้าล่ะ ว่าที่คู่หมั้นของไฮโซลลิน มีเพศสภาพเป็นผู้ชายที่ชอบกินกะเทย” พฤกษ์กดตัดสายของลลินทิ้ง เขาคิดว่า เขาฟังผู้หญิงคนนั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว กับคำพูดแต่ละอย่างที่รังแต่จะทำให้เขาจิตตกไปมากกว่าเดิน

“พี่พฤกษ์กลับไปแก้ปัญหาที่พี่ผูกเอาไว้เถอะครับ” ฐานทัพบอกกับพี่ชายของเขา “ตอนนี้ผมมีชีวิตที่นี่กับคุณอันน์ เรามีความสุขกันดีตามอัตภาพ ถ้าพี่จะร่วมอวยพรยินดีให้กับชีวิตคู่ของเราสองคน ผมก็ขอบคุณพี่มาก แต่ถ้าพี่ไม่คิดจะทำแบบนั้น หรือทำแบบนั้นไม่ลง ผมว่า ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพี่นะครับ ขอให้เราใช้ชีวิตสงบ ๆ ในแบบของเราจะดีกว่า” ฐานทัพพูดจบ ก็คว้ามือของอันน์มาจับไว้ บรรดาพนักงานพากันรีบยกกล้องมือถือขึ้นมาถ่ายช็อตโมเม้นต์นั้นเก็บเอาไว้

เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่ด้านหน้าทางเข้าโรงแรม เสียงล้อบดกับถนน บ่งบอกถึงอารมณ์ขุ่นมัวของผู้ขับได้เป็นอย่างดี พฤกษ์ถึงกับแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า เมื่อเห็นว่าใครนั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัยคนขับ เขารีบเดินไปที่รถยนต์ที่เขาเช่าขับมาจากสนามบิน ลลินเปิดประตูลงมาคว้าแขนของพฤกษ์เอาไว้ ก่อนจะพ่นคำผรุสวาจามากมายใส่พฤกษ์ ฐานทัพเห็นพี่ชายของเขาพยายามไม่ตอบโต้ อย่างน้อยข้อดีของผู้ชายครอบครัวของเขาทั้งสอง คือไม่ทำร้ายผู้หญิง

พฤกษ์เดินหนีลลิน ที่พยายามฉุดกระชากพฤกษ์เอาไว้ เพื่อให้หยุดคุยกับเธอให้รู้เรื่อง แต่พฤกษ์ได้แต่บอกหญิงสาวกลับไปว่า การตามเขามาถึงที่นี่ไม่ช่วยอะไร และถ้าจะคุยกับเขาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ให้เอาไว้คุยกันวันหลัง แต่ลลินก็ยังคงกรี๊ด จะคุยให้ได้ในตอนนี้ หญิงสาวตะโกนถามพฤกษ์เรื่องพิธีหมั้นระหว่างเธอกับพฤกษ์ ที่ผู้ใหญ่ของทั้งสองบ้านได้ตกลงกันเอาไว้แล้ว

“ยังคิดที่จะหมั้นอะไรอีก” พฤกษ์เหนื่อยหน่ายกับลลินเป็นที่สุด “อ้าว ทำไมพฤกษ์พูดแบบนี้ล่ะคะ ก็ต้องจัดงานหมั้นก่อนสิ แล้วค่อยถึงพิธีแต่งงานของเรา ไม่ได้นะคะ ลินบอกใครต่อใครเขาไปหมดจนทั่วแล้ว ว่าเราสองคนกำลังจะแต่งงานกัน พฤกษ์ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับลินนะ” ลลินทำเสียงบังคับพฤกษ์ แบบทุกครั้งที่เธอทำแล้วได้ผลเสมอมา “ได้ แต่งก็แต่ง แต่พอแต่งแล้ว ก็ช่วยกันหาเงินมาใช้หนี้ให้ผมด้วยนะ” ลลินถึงกับอึ้ง เมื่อได้ยินแบบนั้น

“หนี้ หนี้อะไรกัน หนี้ใครที่ไหน” ลลินกำลังสงสัยว่า พฤกษ์กำลังพูดเรื่องอะไร “ใช่” พฤกษ์กุมมือของลลินขึ้นมาไว้ที่หน้าอกของเขา ทำตาหวาน และเสียงออดอ้อน “แต่งงานเสร็จ ลินเตรียมโอนเงินมาให้ผมซักห้าสิบล้านก็พอ บ้านผมกำลังจะถูกยึด ครอบครัวผมกำลังจะล้มละลาย บริษัทก็ไม่ใช่ของผมอีกต่อไป ยังจะแต่งอยู่อีกมั้ย ยังจะเอาผมทำผัวอยู่อีกมั้ย ลิน ฮะ”

พูดจบพฤกษ์ก็เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ก่อนจะบึ่งรถทะยานออกไป ลลินพอตั้งสติได้ ก็เรียกพฤกษ์ให้รอเธอด้วย ก่อนจะเชิดหน้าใส่อันน์ เดินไปขึ้นรถแล้วขับตามพฤกษ์ออกไปทันที ทิ้งให้เพ็ญและพนักงานทุกคน มองหน้ากันไปมา หลังจากได้รับชมซีนอันระทึกใจ ฉากใหญ่ผ่านพ้นไป อันน์ลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นึกเห็นใจพฤกษ์อยู่ไม่น้อย แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะช่วยอะไรเขาได้ ฐานทัพบอกให้ทุกคนกลับไปทำงาน เพื่อให้ทันวันเปิดโรงแรม ก่อนจะจูงมืออันน์ ว่าที่เจ้าสาวของเขาเข้าไปด้านในของโรงแรม

พฤกษ์เหยียบคันเร่งรถยนต์ เพื่อเพิ่มความเร็ว เมื่อเห็นว่าลลินขับรถไล่ตามเขามาจนกระชั้นชิด ลลินตะโกนด่าทอพฤกษ์ดังลั่นไปหมด เมื่อเห็นรถของชายหนุ่ม ขยับหนีห่างรถของเธออย่างจงใจ เธอจะไม่มีวันยอมให้อันน์ได้ดีเกินหน้าเกินตาเธอไปได้ ดังนั้น ลลินจึงเหยียบคันเร่ง ขับรถตามพฤกษ์จนต้องปาดซ้ายป่ายขวา ขับรถฉวัดเฉวียนไปมาอย่างน่าหวาดเสียว จนมีเสียงบีบแตรจากรถคันอื่น ๆ ที่ใช้ถนนร่วมด้วย ดังไล่หลังมา



เมื่อดาวกฎุมภะ หรือดาวที่แปลว่า สมบัติ หมายถึงทรัพย์สินเงินทอง หรือเรียกได้ว่าเป็นศูนย์พาหะ คือทำให้เกิดกำลัง ว่าเมื่อมีเงินทองมาก ก็มีกำลังในการทำสิ่งต่าง ๆ มาก เดินมาตกอยู่ในเรือนตนุ ที่แปลว่า ตัวตน คือความประพฤติ จริต กิริยา สภาพความเป็นอยู่ เจ้าชะตาจึงหาเงินเก่ง มีอุดมการณ์ในชีวิต ถือเป็นผู้มีโชคดีเรื่องการเงินและรายได้ แสวงหาทรัพย์จากธุรกิจการเงินได้เรื่อย ๆ ตลอดเวลา

ทั้งที่เป็นรายได้อันเกิดจากการลงทุน หรือรายได้ที่เกิดจากตัวเอง โดยมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เงินนั้นมักเดินทางเข้ามาสู่ตัวอย่างง่ายดาย หากว่าด้านเสียนั้นจะพึงมี ก็คือการที่เจ้าชะตาจะเป็นคนหน้าเงิน เหมือนมีแต่เรื่องเงินอยู่ในความคิด มีนิสัยงกเงินเห็นแก่ได้ พูดได้ว่ามีความโลภเป็นนิสัย ไม่เกี่ยงวิธีดีหรือชั่วในการหาเงิน บุญบาปดีร้ายอย่างไร ไม่สนใจทั้งนั้น



มีสี่แยกไฟแดงอยู่ข้างหน้า ไฟสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง พฤกษ์เร่งความเร็วเพื่อให้พ้นไปจากแยกนั้น และหวังว่า รถของลลินจะติดไฟแดงอยู่ด้านหลัง รถของพฤกษ์พุ่งทะยานผ่านไปได้ แต่ลลินที่ขับเร่งตาม ไม่โชคดีอย่างนั้น มีรถกระบะวิ่งพุ่งชนท้ายรถของเธอจนปัดไปด้านข้าง เศษชิ้นส่วนจากรถทั้งสองคัน กระเด็นกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นถนน

พฤกษ์ตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากกระจกมองหลัง เขารีบหันหัวรถกลับมาที่สี่แยก ก่อนจะเปิดประตูลงมา แล้ววิ่งไปที่รถของลลิน ญิงสาวดูมึนงงกับสถานการณ์ แต่ยังพอมีสติอยู่ พฤกษ์ออกแรงดึงประตูข้างคนขับให้เปิดออก ลลินปลดเข็มขัดนิรภัย ก้าวลงจากรถ แต่ก็ร่วงลงมานั่งที่พื้น กลิ่นน้ำมันคลุ้งไปหมด พฤกษ์บอกให้ลลินขยับออกจากตัวรถ เธอหันไปมองเห็นหน้าพฤกษ์พอดี

“พฤกษ์คุณทำแบบนี้กับลินได้ยังไง” ลลินที่ในความคิดยังคงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่เธอสู้อะไรอันน์ไม่ได้เลย ใช้มือของเะอตบตีพฤกษ์ ที่ลากเธอออกมาให้ไกลจากซากรถยนต์นั้น “อะไรของคุณอีกเนี่ย ผมกำลังช่วยคุณอยู่นะ” พฤกษ์เองก็ชักจะเหลืออดกับลลินเช่นกัน “คุณไม่มีเงิน คุณมันจน แล้วมาหลอกให้ลินเสียเวลาอยู่กับคุณตั้งนานสองนาน แล้วนี่ แถมยังจะตัวลินอีก ที่เสียให้กับคุณ” เมื่อคิดได้อย่างนั้น ลลินรู้สึกตัวแล้ว ว่าเธอพลาดเป็นอย่างมาก

“เรื่องนั้น คุณยอมให้ผมเองนะ” พฤกษ์พูดขึ้น ในคืนที่ลลินให้ท่าเขา ก่อนที่ทุกอย่างจะไปจบลงที่โรงแรม “ก็ลินคิดว่ามันจะคุ้มไง เสียตัว แต่ก็แลกมาซึ่งการได้สมบัติทุกอย่างของคุณ” พฤกษ์ส่ายหน้าให้กับความคิดของลลิน “งั้นคุณก็ช่วยเหลือตัวเองละกัน ผมไม่คิดว่า การช่วยคุณมันจะคุ้มค่าอะไร รู้อย่างนี้ ยอมให้คนเรียกว่าผัวกะเทยซะยังจะดีกว่าอีก ผมไปล่ะ” พฤกษ์เดินกลับไปขึ้นรถของตัวเอง ก่อนขับจากไป ทิ้งให้ลลินตะโกนด่าสาปส่งเขาอยู่ที่แยกไฟแดงนั้น

**********************************

คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch?v=oucZHDHOI9c


อาจจะเจอเวลาที่ดี และบางคราวก็มีน้ำตา

There will be good times, then some times are tearful

มีเรื่องราวมากมายเข้ามา จนยืนไม่ไหว

Things turned up all at once, brought you to your knees

อาจจะทำให้ร้อนรน อาจจะทำให้อุ่นหัวใจ

They may be troubling you, or else giving your heart all the warmth

ไม่ว่าเกิดอะไรก็ยอม จะรับมัน

Whatever that is, we’ll do accept it


รัก แม้จะเป็นอย่างไร

Love, can’t say what it’ll be

แต่ความรัก ก็ไม่เคยไปไหน

So, love is here to stay


ทำไมยังรัก ทั้งที่มันเจ็บ

Why we still love when it hurts our soul?

ทำไมยังยิ้ม ทั้งที่ใจสลาย

Why we still smile when it breaks our heart?

ก็เพราะรักไม่เคยจะโหดร้าย

Love may not itself be cruel

แค่ความรักมันมีทางของมัน

There’s the way that love directs us all


เมื่อยังมีรัก ก็ยังมีหวัง

When it’s love, there comes hope

แค่เพียงฟังเสียงหัวใจเท่านั้น

Listen to the way our heart beating

ไม่มีใครกำหนดมัน

No one can ever predict the way

แค่ปล่อยให้รักพาไป

Love will lead you there

รักมันกำหนดตัวเอง

Love says what it really is


อาจจะเคยผิดหวังมานาน

We may have faced only disappointment

อาจจะเคยเจ็บช้ำเพียงใด

We may have had only misfortune

แค่เปิดโอกาสให้ใจได้รัก อีกสักครั้ง

This time we’ll give us one more chance to love

ไม่ว่าเจอกับเรื่องใด

Whatever comes our way

เหนื่อยเท่าไรก็พร้อมจะทน

We’ll be worn out then take it

แค่ได้เจอกับรักแท้จริง สักหนก็พอ

To personally see what true love looks like, just once


รัก แม้จะเป็นอย่างไร

Love, can’t say what it’ll be

ก็แค่ได้รัก ก็คุ้มถ้าต้องเสียใจ

A chance to love, it will be worth the pain


ทำไมยังรัก ทั้งที่มันเจ็บ

Why we still love when it hurts our soul?

ทำไมยังยิ้ม ทั้งที่ใจสลาย

Why we still smile when it breaks our heart?

ก็เพราะรักไม่เคยจะโหดร้าย

Love may not itself be cruel

แค่ความรักมันมีทางของมัน

There’s the way that love directs us all


เมื่อยังมีรัก ก็ยังมีหวัง

When it’s love, there comes hope

แค่เพียงฟังเสียงหัวใจเท่านั้น

Listen to the way our heart beating

ไม่มีใครกำหนดมัน

No one can ever predict the way

แค่ปล่อยให้รักพาไป

Love will lead you there

รักมันกำหนดตัวเอง

Love says what it really is


ทำไมยังรัก ทั้งที่มันเจ็บ

Life brings love, and love brings hurt

ทำไมยังยิ้ม ทั้งที่ใจสลาย

It puts a smile on our face, while our heart’s shattered

ก็เพราะรักไม่เคยจะโหดร้าย

Can we really blame love a culprit?

แค่ความรักมันมีทางของมัน

Or we get caught in the game blindfolded?


เมื่อยังมีรัก ก็ยังมีหวัง

All the love gives us hope

แค่เพียงฟังเสียงหัวใจเท่านั้น

Keep tracking love to skip the heartbeat

ไม่มีใครกำหนดมัน

No one dictates it

แค่ปล่อยให้รักพาไป

Just let love lead the way

รักมันกำหนดตัวเอง

Love commands itself


รักมันกำหนด ตัวเอง

Love is simply the boss, indeed
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๘ กฎุมภะ - ตนุ (หากว่ารักเป็นได้ดั่งใจ)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 11-06-2022 19:34:42
 :z3: :z2:
หัวข้อ: Re: เรือนรัก; ทักษา บทที่ ๓๙ ที่สุดปลายขอบฟ้า
เริ่มหัวข้อโดย: KADUMPA ที่ 31-10-2022 16:28:18
๓๙.



ที่สุดปลายขอบฟ้า





“แด๊ด เดี๋ยวจอดส่งพวกเราลงตรงนี้ก็ได้ครับ” แดนบอกกับพ่อของเขา ที่อาสาขับรถมาส่งที่ทางใต้ของเกาะแมนฮัตตัน คุณโทมัสจอดรถเลยพิพิธภัณฑ์ชาวยิวไปเล็กน้อย “ไม่ครับ คืนนี้พวกเราจะพักที่โรงแรม พ่อไม่ต้องเป็นห่วง บอกแม่ด้วยว่าเราสองคนจะกลับไปกินมื้อค่ำที่บ้านด้วย ในเย็นวันพรุ่งนี้” แดนบอกกับพ่อของเขาขณะลงจากรถ และเขาคิดว่าจำเป็นมาก ถ้าทำให้แม่ของเขาสบายใจ รวมถึงพ่อและแม่ของเอิงด้วยเช่นกัน

“แต๊งส์ครับ มิสเตอร์โรเบิร์ต” เอิงกล่าวขอบคุณ คุณโทมัส ก่อนจะต้องเรียกคุณโรเบิร์ตใหม่ด้วยคำที่ถูกต้อง “ขอบคุณครับแด๊ด” คุณโทมัสพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มรับ ก่อนจะออกรถจากไป แดนมองเอิงด้วยความเอ็นดู หัวใจของเขาพองโตจนรู้สึกคับแน่นหน้าอกไปหมด ด้วยเหตุผลที่ว่า หนึ่งเอิงยืนอยู่ตรงหน้าเขา อยู่ด้วยกันกับเขาในเวลานี้ และสองคือ พ่อและแม่ของเขาอ้าแขนต้อนรับเอิงมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้ว

“พร้อมจะเจอพวกเพี้ยน เพื่อนของผมหรือยัง” แดนถามเอิง ก่อนจะเห็นเอิงยิ้มกว้างให้เขาแทนคำตอบ “พวกมันใจจดใจจ่อที่จะเจอคนที่ผมเฝ้ารอมาตลอดคนนี้แล้ว” เอิงรู้แล้วว่า เวลาแดนทำท่าทางกรุ้มกริ่มกับเขา สายตาที่แสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาของหนุ่มลูกครึ่งคนนี้ มันทำให้เขาใจสั่น รู้สึกเคอะเขินได้ทุกที

“ตอนนั้น ซายเขาต้องเจอกับอะไรแบบนี้ด้วยใช่มั้ยเนี่ย” เอิงกระเซ้าแดน หนุ่มลูกขึ้นได้ยินแบบนั้น ก็หัวเราะออกมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ผมว่า ก็ไม่น่าจะต่างกันมากนะ” แดนตอบกลับไป พลางนึกว่า แมทคงได้ทิ้งลีลาการจีบคู่ให้กับเขาเอาไว้บ้าง ไม่มากก็น้อย ยังไงเสีย เขาก็มีไม้เด็ดมัดใจเอิง กับไมโลแก้วอุ่น ๆ เอาไว้ดื่มด้วยกันไป คุยกันไปแล้วแน่นอน

แดนเดินพาเอิงมาที่ประตูทางเข้าของสวนสาธารณะแห่งนี้ ตัวทางเข้าก่อด้วยอิฐแดงขึ้นเป็นลักษณะของโคลอสเซียม มีบันไดทางขึ้นอยู่ทั้งซ้ายขวา ตรงกลางเป็นทางเข้าหลัก มีประติมากรรมตั้งแสดงอยู่ด้านหน้า ด้านในเป็นสนามหญ้าสีเขียวขนาดใหญ่ มีคนมานั่งเล่นและปิกนิกกันได้ มองเลยถัดเข้าไปอีกจนสุดสายตาด้านหน้านั้น เป็นทางเดินฮาร์เบอร์ยาวขนานไปกับฝั่งแม่น้ำ

“จริง ๆ เดือนตุลาคมปีนี้ พวกเขามีแพลนจะทุบสวนแห่งนี้ทิ้ง แล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่ ด้วยเหตุผลเรื่องไคลเมต เชนจ์ น้ำจะท่วมสวน” แดนบอกเล่าถึงเรื่องความตั้งใจที่เมืองนี้ จะบูรณะสวนแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ “แต่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนี้มานาน บนตึกสูงระฟ้าพวกนั้น” แดนชี้นิ้วไปที่ตึกสูงเสียดฟ้าที่ยืนตระหง่านเป็นฉากหลังให้กับสวน

“พวกเขาประท้วง ว่ามันจะออกจะเกินไปหน่อย และฟังดูไม่ค่อยเป็นมิตรทางความรู้สึก เรื่องที่จะทำลายสิ่งที่ดีลงไป ด้วยเหตุผลที่ว่า จะสร้างสิ่งที่คิดเอาเองว่าดีกว่า” เอิงฟังที่แดนเล่า พลางกวาดสายตาไปรอบ ๆ สวนสวยแห่งนี้ “ตอนนี้แผนที่จะทุบทิ้งจึงปรับเป็นว่า จะทำคันกั้นน้ำและปลูกต้นไม้เป็นร้อย ๆ ต้น เพิ่มเติมแทน” ลมเย็น ๆ จากอ่าวพัดมาปะทะตัวของเอิง ให้รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก

“มันคงจะดีไม่น้อย หากว่าตอนนั้น แมทและซายเขาสามารถพูดอะไรได้ดั่งใจ อย่างที่ผู้คนในตอนนี้ทำได้” เอิงสบตากับแดน สีหน้าและแววตาของแดนที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแมท ทำให้ชายหนุ่มลูกครึ่งต้องเป่าลมออกจากปาก เพื่อระบายความรู้สึกตื้อตันภายในจิตใจนั้นออกมา เอิงมองตามสายตาของแดน ที่มองเลยไกลออกไปในอ่าวเบื้องหน้านั้น

“อิสระที่จะรักกับใครก็ได้ โดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะยอมรับไม่ยอมรับ อีกหน่อยโลกของเรามันคงจะเป็นไปแบบนั้นได้” ที่ตรงนั้น ไกลออกไป ทั้งสองคนมองไปที่เทพีเสรีภาพตั้งตระหง่านอยู่บนเกาะลิเบอร์ตี้ ชื่อเกาะที่แปลว่า หลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวง เสรีภาพที่ทำให้ใจไม่ถูกดึงรั้งไว้ด้วยอคติหรือความไม่เข้าใจทุก ๆ อย่าง

“พวกเขาทำดีที่สุด เท่าที่พวกเขาจะทำได้แล้ว” เอิงพูดขึ้น แดนหันกลับมามองใบหน้าของเอิง “เพียงแต่สถานการณ์ สถานที่ การติดต่อสื่อสาร ระยะทางระหว่างกัน มันไม่เอื้ออำนวยให้พวกเขารับรู้หัวใจของกันและกันได้เลย” เอิงยังรู้สึกถึงความรู้สึกที่ด้าจก์ซายมี กับความทรมานใจของคนที่ได้แต่เฝ้ารอ รอโดยไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ที่การรอคอยนั้น มันจะสิ้นสุดลง

หากว่าในตอนนั้น แมทสามารถกลับมาหาด้าจก์ซายได้ดั่งใจนึก และด้าจก์ซายก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเป็นไป สิ่งที่เกิดขึ้นกับแมท ความทุกข์ทรมานในใจคงไม่มากมายจนล้นหัวใจขนาดนั้น แม้แต่ในวันที่ทั้งสองคนจากโลกนี้ไป ก็ไม่มีโอกาสได้เจอะเจอ พูดคุยทำความเข้าใจถึงเหตุจำเป็นในชีวิตของกันและกัน ว่าอะไรที่กั้นกลางความรักของพวกเขาเอาไว้

“เอิง” แดนเรียกชื่อของอีกฝ่าย “เอิงเห็นรูปปั้นอันนั้นมั้ย” แดนพูดพลางออกเดินนำไปทางรูปปั้นที่เขากำลังพูดถึง ในสวนแห่งนี้ มีรูปปั้นหนึ่งที่ชื่อว่า Ape & Cat (At the Dance) ตั้งอยู่ มันเป็นรูปปั้นของลิงและแมว ที่กำลังเต้นรำอยู่ในงานเลี้ยง โดยทั้งสองโอบกอดแนบชิดซึ่งกันและกัน

“มีคนตีความรูปปั้นนี้ไปในหลายความหมาย” แดนพูดขึ้น เมื่อทั้งสองมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าของงานปั้นชิ้นนี้ เอิงมองไปที่รูปปั้นนั้น “สัตว์สองชนิดที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งนิสัยใจคอและเผ่าพันธุ์” แดนพยักหน้าเบา ๆ พลางฟังที่เอิงกำลังพูดออกมา “แต่กลับมาใกล้ชิดกัน ดูรักและทะนุถนอมซึ่งกันและกัน” นี่คือความรู้สึกที่เอิงได้รับจากการได้เห็นผลงานของศิลปินที่สรรค์สร้างงานชิ้นนี้

“เอิงลองมาดูรูปปั้นนี้อีกที ตรงมุมนี้สิ” แดนดึงมือของเอิง ให้มายืนที่อีกด้านหนึ่งของรูปปั้น “เอิงรู้สึกยังไงครับ ทีนี้” เอิงมองไปที่รูปปั้นเดียวกันนั้น “เหมือนทั้งสองกำลังบอกลากันและกัน” ความรู้สึกเศร้านี้ อยู่ ๆ เอิงก็รับรู้ขึ้นมาได้จากมุมที่มองไปยังรูปปั้นที่เปลี่ยนไป

“เหมือนคนปั้นจงใจทำให้สีหน้าของทั้งลิงและแมวเปลี่ยนไป เมื่อแสงที่มาตกกระทบไม่เหมือนเดิม” แดนพูดอธิบายให้เอิงได้ฟัง “สิ่งที่ผมรู้สึกจากรูปปั้นนี้คือ ความรู้สึกลึก ๆ ในใจ ที่คนเราไม่สามารถบอกออกมาให้คนอื่นได้เข้าใจ หากว่าเขาเหล่านั้น ไม่ได้มายืนอยู่ในจุดที่เรารู้สึกจริง ๆ ไม่ได้มาเห็นกับตาว่าเราต้องผ่านอะไรบ้าง จนเขานึกเอาเองว่า เรายังรู้สึกดีอยู่ เรายังโอเคอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับพวกเขา”

คำพูดของแดน ทำให้เอิงนึกไปถึงสิ่งที่แมทและซายต้องเผชิญ สิ่งที่ต้องซ่อนเร้น ความเป็นจริงที่ถูกปิดบัง และเมื่อคนบนโลกใบนี้รับรู้ถึงความรู้สึกของคนทั้งคู่ กลับกลายเป็นว่า นอกจากพวกเขาจะสูญเสียคนรอบข้างไปทั้งหมดแล้ว เขายังต้องสูญเสียกันและกันไปอย่างน่าเศร้าใจ

“แต่ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันตรงนี้อีกครั้ง” เอิงพูดพลางยิ้มน้อย ๆ กับแววตาอบอุ่นหัวใจที่แดนส่งผ่านมาให้ “สิ่งที่เหลือเชื่อได้เกิดขึ้นกับเรา” แดนยืนยันตามที่เขาพูดด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มที่ยากจะบรรยาย ใครจะนึก ใครจะไปเชื่อ ว่าการจากกันในครั้งนั้นของแมทและซาย จะทำให้ความทรงจำของทั้งสองคน หวนกลับมาใหม่ ในวันที่ทั้งสองนั้น กลายมาเป็นแดนและเอิงแบบนี้

“งานดนตรีเริ่มแล้ว” แดนเอ่ยขึ้น ก่อนจะยื่นมือให้เอิงจับ เจ้าของมือทำหน้ายิ้ม ๆ เมื่อเห็นเอิงมีท่าทางเขินอยู่ไม่น้อย ที่จะเดินจับมือ แสดงความรักกันอย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องหลบซ่อนว่าพวกเขานั้นเป็นอะไรกัน “เราไปกันเถอะ” เอิงเอื้อมมือออกไปจับมือของแดนเอาไว้ แดนกระชับมือของเขาเข้ากับมือของเอิงจนแน่น ก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินไปด้วยกัน เป็นอีกหนึ่งคู่รักธรรมดาทั่วไปในสวนสาธารณะนั้น ที่ออกมาเพลิดเพลินกับงานดนตรีและศิลปะที่อยู่รายล้อมตัว

หิมะหยุดตกไปได้สักพัก เช้าในฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกวันนี้ ไมโลเดินผ่านทางเดินเล็ก ๆ ที่ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนไปหมด จนมาหยุดอยู่ที่บึงน้ำภายในสวน ด้านหน้าของอดีตนายทหารเก่า คือศาลาไม้เล็ก ๆ ริมน้ำ มีที่นั่งด้านข้างพอให้คนสักสามสี่คนได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ

บรรยากาศที่เงียบสงบ น้ำในบึงยังคงใสแจ๋ว สะท้อนภาพของเมฆที่จับตัวเป็นก้อนถี่ ๆ อยู่ด้านบน ไมโลทรุดตัวลงนั่งตรงด้านหนึ่งของที่นั่งในศาลา แต่อีกไม่นาน เมื่อความหนาวเย็นทวีคูณเพิ่มขึ้น ไมโลคิดกับตัวเอง น้ำในบึงทั้งบึงแห่งนี้ ก็จะกลายเป็นหิมะไปทั้งหมด โดยที่ต้นไม้ที่ผลัดใบทิ้งจนหมด

จะเหลือเพียงแต่กิ่งก้านที่มีหิมะร่วงหล่นลงมาเป็นใบแทนอยู่เต็มต้น ยืนต้นรายล้อมอยู่ทั่วทั้งบึง ตอนนี้ที่จะมี ก็เพียงต้นไม้เล็ก ๆ ริมน้ำที่ยังพอเหลือใบเรียวยาวสีเขียวแซมให้เห็นอยู่เป็นระยะ แต่อีกไม่นานความสดใสที่เห็น ก็จะกลายสภาพเหี่ยวเฉาไปเช่นกัน

ไมโลดึงเอากระดาษแผ่นเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งออกจากเสื้อโค้ทตัวยาวที่เขาสวมอยู่ มันเป็นภาพวาดลายเส้นดินสอ ที่เขาขอให้นักวาดรูปที่นั่งรับวาดภาพเหมือนอยู่ข้างทาง วาดให้เขา นักวาดรูปนั้นใช้เวลาอยู่นานกว่าจะวาดรูปนี้ออกมาจนเสร็จ เพราะไมโลให้ต้นฉบับคนในรูปจากความทรงจำที่เขาเก็บไว้

รอยยิ้มแต้มที่ริมฝีปากของไมโล เมื่อเขาได้ดูภาพวาดบนกระดาษที่เขาถืออยู่ในมือ เขานึกถึงใบหน้าอันอ่อนโยนและดวงตาที่สดใสของซาย มุ่นมวยผมที่มีช่อผมรุ่ยร่ายลงมา ทำให้เขานึกอยากจะก้มฝังจมูกลงดอมดมมันอีกครั้ง 'อยากกอดแน่น ๆ ' มันคือเสียงเรียกร้องจากหัวใจของไมโล ที่เขาอยากจะดึงตัวของซายเข้ามากอดอีกสักครั้ง ให้หายคิดถึง

แต่เมื่อเขารู้ตัว กับความจริงที่เป็นอยู่ ฉับพลันน้ำตาอุ่นร้อนก็เอ่อขึ้นมาที่ขอบตา ระยะทางระหว่างกันทำให้ก้อนสะอื้นแข็ง ๆ แล่นขึ้นมาจุกที่คอหอย 'ไมโลนายจะทำยังไงให้ความต้องการของนายเป็นความจริง' แค่เพียงเท่านั้น น้ำตาของอดีตนายทหารช่างหนุ่มก็พร่างพรูลงมา ก่อนที่ไมโลจะกลั้นเสียงสะอื้นไห้เอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

แดนเดินพาเอิงผ่านบึงน้ำใหญ่ ที่มีศาลาไม้ริมน้ำตั้งอยู่ ต้นไม้ยืนต้นมากมายเรียงตัวรายล้อมบึงน้ำเอาไว้ ต้นหญ้าน้ำแซมตัวเป็นระยะ ๆ ที่ริมน้ำนั้น มันแทรกตัวอวดใบเรียวสีเขียวอยู่ทั่ว ลมโชยพัดมา ทำให้มันลู่ไปตามแรงลม น้ำใสในบึงพัดเป็นระลอกพลิ้ว บรรยากาศนั้นร่มรื่น ชวนให้พักผ่อนหย่อนใจ

“มีบ่าวสาวหลายคู่นิยมมาจัดงานแต่งงานกันตรงนี้” แดนชี้นิ้วไปที่ศาลาไม้ที่มีที่นั่งอยู่สองด้านซ้ายขวา มันตั้งอยู่ริมน้ำ โดยให้บึงน้ำเป็นฉากหลังพิธีให้ “บาทหลวงจะยืนอยู่ตรงกลาง และคนสองคนก็จะยืนกันคนละข้างแบบนี้” แดนจัดแจงให้เขายืนอยู่ตรงข้ามกับเอิง

“แล้วพวกเขาต่างก็แลกแหวนแต่งงาน” เสียงพูดของแดนนั้นจริงจังขึ้นมาในทันใด “พร้อมกับพูดคำว่าไอดู” เอิงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่มีของแดน มันพรั่งพรูออกมาทั้งจากน้ำเสียง ท่าทาง และแววตาของชายหนุ่ม “แมทเขาเคยที่นี่ใช่มั้ย” เอิงเอ่ยถามหนุ่มลูกครึ่งไทย – อเมริกันออกไป แดนหลับตาพยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ ก่อนจะเอียงแก้มเข้าหามือของเอิงที่ยื่นมาแตะที่ใบหน้าของเขา

“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว” แดนลืมตาขึ้น เสียงพูดอันอ่อนโยนและปลอบประโลมใจของเอิง ทำให้แดนดีใจอย่างไม่รู้ว่าเขาจะอธิบายมันออกมาว่าอย่างไรดี ความสุขที่ได้เห็นเอิงยืนอยู่ตรงหน้าเมื่อเขาลืมตาขึ้น ความยินดีที่ได้เอิงกลับคืนมา แม้ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง และนี่มันไม่ใช่ชีวิตที่แล้วของพวกเขาก็ตาม

“โย่ว แมน” เอิงนึกขำที่เห็นอีกด้านหนึ่งของหนุ่มอเมริกัน เมื่อเวลาที่เขารับโทรศัพท์เพื่อน แดนนึกเสียดายอยู่เหมือนกัน ที่ต้องรับสายเรียกเข้าของเพื่อน ก่อนจะได้สร้างซีนโรแมนติก ดึงเอิงเข้ามากอดแน่น ๆ ในอ้อมแขน “โอเค ซี ยู กายส์ อิน ทเว้นทิ่” แดนกดวางสายเมื่อพูดจบ

“พวกเพื่อน ๆ ของผมจะมาถึงในอีกยี่สิบนาที พวกมันให้เราไปนั่งฟังเพลงรอกันก่อนได้เลย” แดนบอกให้เอิงรู้ ทั้งสองเลยเดินตรงไปที่งาน ที่ไม่ไกลจากศาลาริมน้ำนั้นมากนัก เมื่อเดินไปถึง มีคนอื่น ๆ มาจับจองที่นั่งอยู่แล้วพอสมควร แดนเดินไปยื่นตั๋วที่เขาจองเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อรับหูฟังมายื่นให้กับเอิง พร้อมสอนวิธีเปลี่ยนช่องถ่ายทอดสด เพื่อเปลี่ยนแนวเพลงอื่น ๆ ที่ต้องการฟัง

“แบบนี้ก็ดีนะ ฟังเพลงดัง ๆ แสบแก้วหูได้ โดยไม่หนวกหูคนอื่น” เอิงพูด ก่อนครอบหูฟังลง แล้วโยกหัวไปมาให้เข้ากับจังหวะเพลงร็อกที่กำลังเล่นอยู่ แดนหัวเราะชอบใจกับท่าทางของเอิง จนเขาต้องเปลี่ยนช่องเพลงตามอีกฝ่าย แล้วก็ต้องทำหน้าเหวอ เมื่อได้ยินเพลงร็อกหนัก ๆ กำลังแผดเสียงอย่างเร้าใจ

แดนกับเอิงกำลังฟังเพลงในหูฟัง ก่อนที่แดนจะสังเกตเห็นมีบางคนเริ่มวิ่งผ่านด้านหลังเขาไป ชายหนุ่มมองตาม กลุ่มชายหญิงสองสามคนพูดคุยอะไรกันบางอย่าง ก่อนจะรีบเดินไปอีกทางของสวน โทรศัพท์ของแดนที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาดังขึ้นอีกครั้ง และดับลง ก่อนที่มันจะดังขึ้นถี่ ๆ ราวกับว่าคนที่โทรมามีเรื่องด่วน และต้องการให้แดนรับสายเดี๋ยวนี้

แดนหันมองไปทางที่มาจากด้านหน้าของสวนสาธารณะ ก่อนจะเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ เหมือนกับว่าเขาหนีอะไรบางอย่างอยู่ แล้วทันใดนั้น ผู้ชายคนนั้นก็ล้มลงไปนอนกองอยู่ที่พื้น ก่อนที่แดนจะเห็นผู้หญิงอีกคนทำท่ากรีดร้อง วิ่งมาทางนี้เช่นกัน แล้วเธอคนนั้นก็ล้มลงไปแน่นิ่งอยู่ที่พื้น แดนรีบประมวลผลกับสิ่งที่เขาเพิ่งเห็น ก่อนจะตกใจรีบคว้ามือของเอิงในทันที

“กราดยิง” แดนถอดหูฟังของตัวเองและของเอิงออก “เราต้องรีบออกไปจากที่นี่” แดนบอกกับเอิง ก่อนจะตะโกนอย่างเดียวกันบอกผู้คนตรงนั้น แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครได้ยิน เนื่องจากทุกคนครอบหูฟังเอาไว้ “เอิงมากับผม” เอิงที่ตกใจไปกับสิ่งที่แมทพูด แต่ก็รีบรวบรวมสติ ลุกขึ้นวิ่งไปกับแมท ตรงไปยังบูธดีเจที่อยู่ใกล้ที่สุด แดนรีบบอกสิ่งที่เขาคิดว่าเกิดขึ้นกับดีเจ และให้ดีเจรีบประกาศออกหูฟังให้ทุกคนได้รับรู้

“เอิงหลบ” ทันใดนั้น เสียงปืนดังขึ้นถี่ ๆ หลายนัด แดนรับเอาตัวของเขาบังเอิงเอาไว้ โดยผลักเอิงให้เข้าไปที่ด้านหลังของบูธดีเจ โดยที่ดีเจอเอง พอได้ยินเสียงปืนแบบนั้น จากตอนแรกที่ไม่เชื่อ ก็รีบประกาศออกไมค์ผ่านหูฟังของผู้เข้าร่วมงานเทศกาลดนตรีในทันที คราวนี้ ฝูงชนพากันแตกตื่น ฮือกันวิ่งหนีกันอลหม่าน

“เราอยู่ที่นี่ไม่ได้” แดนบอกกับเอิง ในขณะที่ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกจากที่ไกล ๆ เอิงพยักหน้าแทนคำตอบ ความกลัวทำให้เอิงหายใจเร็วและแรง แดนก้มลงจูบลงที่ปากของเอิงเพื่อให้เจ้าตัวหายกลัว ก่อนที่เขาจะจับมือเอิงเอาไว้จนแน่น “อย่าปล่อยมือจากผมเป็นอันขาด” แดนออกคำสั่ง ก่อนจะพาเอิงวิ่งออกจากที่ด้านหลังบูธดีเจนั้น โดยก้มตัวลงต่ำให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นเป้าชัดเจน

ทั้งสองคนวิ่งตรงไปที่พุ่มไม่ใหญ่ อ้อมไปทางประตูทางเข้าด้านหน้าที่พวกเขาเข้ามาในตอนแรก แดนประเมินจากเสียงปืน ที่ดังขึ้นเข้าไปใกล้กับลานนั่งฟังดนตรี ที่เขาสองคนเพิ่งวิ่งมาจากตรงนั้น เอิงตัวสั่นเทาไปหมดด้วยความกลัว จากตอนที่วิ่งมานั้น เขาเห็นมีคนมากมายหลายคน ที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น แดนรีบบอกให้เอิงรู้ว่า พวกเขาทั้งสองคนจะไม่เป็นอะไร

ปืนเงียบเสียงลงไปได้สักพัก แดนจึงค่อย ๆ ชะโงกหน้าออกจากพุ่มไม้ใหญ่นั้น เพื่อดูเหตุการณ์ด้านนอกที่เกิดขึ้น ทุกอย่างดูเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดไหวติง แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกพรั่นพรึงก็คือ มีร่างคนจำนวนไม่น้อย นอนอยู่บนพื้น ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่า คนเหล่านั้นยังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่

“เราจะวิ่งเลาะริมรั้วนี้ไปจนถึงทางออกประตูใหญ่ เราจะปลอดภัยที่นั่น เมื่อได้ออกไปจากสวนนี้แล้ว” แดนพูดกับเอิง ก่อนจะบีบมือของเอิงจนแน่น เพื่อเป็นการบอกว่า พวกเขาทั้งสองคนจะไม่เป็นไร เอิงพยายามรวบรวมสติ นี่เป็นเหตุการณ์ระทึกขวัญมากที่สุดที่ได้เคยเจอมา แต่เอิงก็เชื่อในตัวของแดน ว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร

“วิ่งให้เร็วที่สุด อย่าหยุด จนกว่าเราจะออกไปจากประตูรั้วนั้นได้” แดนพูดย้ำกับเอิงอีกครั้ง ก่อนจะรอจังหวะเหมาะ ๆ เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรเคลื่อนไว้ที่ด้านนอกนั่นแล้ว “ไป เอิง วิ่ง” แดนฉุดมือของเอิงให้วิ่งตาม ทั้งสองวิ่งจนเต็มฝีเท้า ประตูด้านหน้าสวนทั้งที่อยู่ในระยะที่ไม่ไกลจากตรงพุ่มไม้ที่ทั้งสองแอบซ่อนตัวอยู่ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ในความรู้สึก มันช่างไกลแสนไกล ทำให้ใจกลัวจนเจ็บปวดหนึบไปหมด

“เอิง วิ่ง เร็ว อย่าหันกลับไปมอง” แดนตะโกนขึ้น ร้องบอกเอิง เมื่ออยู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ วิ่งไล่ตามทั้งคู่มาจากด้านหลัง “แดน ผมวิ่งไม่ไหวแล้ว” เอิงร้องบอกกับแดน เมื่อเห็นว่าประตูรั้วนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แต่ขาของเขากลับหมดแรงไปเสียดื้อ ๆ

“เราหยุดไม่ได้” แดนร้องบอกอีกครั้ง ก่อนหันไปมองทางด้านหลัง เขาเห็นใครบางคนสวมหมวกไอ้โม่ง ถือปืนยาวไรเฟิล วิ่งตามมา ก่อนที่เสียงปืนหลายนัดจะดังขึ้น แดนคว้าตัวของเอิงเอาไว้ ก่อนจะล้มลงบนพื้นดิน กลิ้งไปหลบอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่

“เอิง เอิง เป็นอะไรมั้ย” แดนร้องถามด้วยความตกใจกลัว รีบสำรวจเอิงว่า บาดเจ็บที่ตรงไหนหรือเปล่า ก่อนจะเห็นเอิงส่ายหน้าถี่ ๆ บอกว่าเขาไม่เป็นอะไร “เหลืออีกนิดเดียว ไม่ไกลแล้ว” เอิงมองตามแดนไป ประตูทางออกด้านหน้า อยู่ไกลออกไปเพียงอีกไม่กี่เมตรเท่านั้น

แดนพยักหน้าให้กับเอิง เป็นสัญญาณว่า พวกเขาทั้งสองคนต้องไปกันต่อแล้ว ไม่มีเวลาแล้ว ก่อนจะดันตัวลุกขึ้น เอิงทำตาม ทั้งสองกำลังจะออกวิ่งอีกครั้ง แดนก็รู้สึกได้ว่า เอิงคว้าเสื้อของเขาจากทางด้านหลัง แดนรีบหันมามอง ก่อนจะต้องรีบคว้าตัวของเอิงเอาไว้ เมื่อเห็นว่าเอิงทรุดตัวลงกับพื้น

“เอิง ไม่นะ ไม่นะ” มือของแดนที่คว้าเข้ารับด้านหลังของเอิงไว้ รู้สึกได้ทันทีถึงของเหลวอุ่นที่ไหลออกมาแดงฉานจากหลังของเอิง “โน โน โน โน” แดนร้องตะโกนอย่างคนเสียสติ เมื่อเห็นเลือดของเอิงเต็มไปหมด ก่อนที่เสียงปืนอีกหลายนัดจะดังขึ้น แต่ครั้งนี้ เป็นเสียงปืนจากตำรวจ ที่ตัดสินใจยิงเพื่อปลิดชีพมือปืนสองคน คนหนึ่งวิ่งไล่ตามแดนและเอิงมา ส่วนอีกคนรอซุ่มดักยิงใครก็ตามที่คิดจะเข้าหรือออกสวนสาธารณะแห่งนี้

“เอิงอยู่กับผมก่อน ไม่นะ อย่าหลับ เอิง เอิง อยู่กับผม อยู่กับผม เมดิค เมดิค มีคนโดนยืนตรงนี้ เมดิค” แดนตะโกนเรียกหาหน่วยพยาบาลดังลั่น ตำรวจที่เห็นเหตุการณ์อยู่ตรงนั้น รีบวอเรียกหน่วยพยาบาลให้รีบเข้ามาช่วยเหลือคนเจ็บโดยเร็วที่สุด

“ไม่เป็นไรนะ” เสียงพูดของเอิงอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด เอิงรู้สึกหมดแรง เมื่อพยายามจะยกมือขึ้นแตะแก้มของแดน “เอิง อยู่กับผม อยู่กับผมก่อน รถพยาบาลกำลังมาแล้ว หมอกำลังมาแล้ว เอิงต้องไม่เป็นอะไร” แดนพูดด้วยอาการปากคอสั่นไปหมด มันคืออาการของคนที่กำลังเผชิญกับความกลัวที่สุดในชีวิต ที่มันอาจจะเป็นการกลัวการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง

“เอิงรักแดนนะ” เสียงพูดของเอิงเบาลง ลมหายใจเริ่มแผ่วตาม “เอิงอย่าหลับ เอิงอยู่กับผมก่อน ไม่นะ ลืมตาขึ้นมามองผมก่อน เอิงอย่าทิ้งผมไว้คนเดียวแบบนี้ เอิงเข้มแข็งเอาไว้ เมดิค เมดิค” แดนแผดตะโกนเรียกหน่วยฉุกเฉินที่ยังมาไม่ถึงจนสุดเสียง ตำรวจหลายนายที่ยืนอยู่ตรงนั้น ต่างพากันเบือนหน้านี้ไปทางอื่น ด้วยความรู้สึกสลดหดหู่ ที่กำลังเห็นผู้ชายคนหนึ่งเรียกคนรักของเขา ไม่ให้จากไป

“เอิงอย่าทิ้งผมไป อย่าทิ้งผมเอาไว้ ได้โปรด ได้โปรด โอ้ พระเจ้า โน โน โน” แดนกรีดร้องทั้งน้ำตา เมื่อเห็นเอิงปิดเปลือกตาลง ไม่ใช่สิ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ แดนร้องตะโกนเรียกชื่อของเอิงด้วยน้ำเสียงของคนแทบจะขาดใจตามไป ที่แดนต้องการกอดเอิงเอาไว้แน่น ๆ มันไม่ใช่การกอดของการจากลาแบบนี้

“เอิง อยู่กับผมก่อน โอ ก็อด โน ก็อด โน ลืมตามองผมก่อน พลี้ส ฮันนี่” แดนก้มลงจูบที่หน้าผากของเอิง ก่อนจะคว้าร่างของเอิง เข้ามากอดเอาไว้กับอก เสียงร่ำไห้ของเขาทำให้ทั่วทั้งบริเวณนั้นเต็มไปด้วยความเศร้า เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังแว่วใกล้เข้ามา

“ไอ เลิฟ ยู มาย เลิฟ” น้ำตาของแดนพรั่งพรู เขามองออกไปที่ด้านนอกของประตูสวนสาธารณะ แสงไฟฉุกเฉินจากรถพยาบาลวิ่งเข้ามาหยุดจอดอยู่ตรงนั้น ด้วยดวงตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตาของแดน เขามองเห็นป้ายที่แขวนเอาไว้ที่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ฝั่งตรงข้ามถนน

มันเขียนเอาไว้ว่า 'What Hate Can Do' สิ่งที่ความเกลียดชังทิ้งเอาไว้



**********************************



คำแปลเนื้อร้องภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

English Lyrics Translation by KADUMPA

https://www.youtube.com/watch? v=hsRK0kfVzUA


ฉันยังเป็นคนที่รักเธอหมดใจ

I’m the guy who loves you with no questions asked

ฉันยังได้แต่คิดถึงเธอเรื่อยไป

My heart goes out to you as always

ฉันยังดูรูปถ่ายที่เราชิดใกล้อยู่ทุกวัน

I still look at our photos, how close we were back in the day


ฉันยังรอคอยให้เธอนั้นกลับมา

I’ve been waiting for your return

ฉันยังกาปฏิทินทุกคืนวัน

Marked on calendar each day’s gone by

เพราะคำเดียวระยะทางที่มาขวางกั้นเราไว้

The distance between us is the real culprit, obviously


ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

I can’t help but wonder

อยู่ตรงนั้นเธอเป็นอย่างไรก็ไม่รู้

Keep thinking how you are over there

ฝากเพลงนี้ให้ไปถามเธอดู

This is the song sent your way

อยากจะรู้ในความเป็นไป

It says how much I care about you


เธอยังคิดถึงฉันทุกนาทีรึเปล่า

Do you still miss me with all minutes they are?

เธอยังจำเรื่องเราในวันวานได้หรือไม่

Do you still remember those days we had before?

เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว

Am I the only one you love? Are you still waiting for me?

เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม

Is everything still just the way they are?

ช่วยบอกให้รู้ที

Please let me know


ฉันกลัวใครทำให้เธอนั้นเปลี่ยนไป

I’m afraid there will be someone come change your mind

ฉันกลัวสิ่งที่ไม่แน่นอนมากมาย

I’m frightened with the uncertainty in the world

ฉันกลัวคำว่าเสียใจ เธอรอฉันได้ใช่ไหม

I’m scared of the word sorrow, will you please wait for me, my love?


ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

I can’t help but wonder

อยู่ตรงนั้นเธอเป็นอย่างไรก็ไม่รู้

Keep thinking how you are over there

ฝากเพลงนี้ให้ไปถามเธอดู

This is the song sent your way

อยากจะรู้ในความเป็นไป

It says how much I care about you


เธอยังคิดถึงฉันทุกนาทีรึเปล่า

Do you still miss me with all minutes they are?

เธอยังจำเรื่องเราในวันวานได้หรือไม่

Do you still remember those days we had before?

เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว

Am I the only one you love? Are you still waiting for me?

เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม

Is everything still the same?


เธอยังคิดถึงฉันทุกเวลาอยู่หรือเปล่า

Do you still miss me all the time there is?

เธอยังดูรูปเราใบเดิมเดิมอยู่หรือไม่

Do you still love the way we look in our old photos?

เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว

Your heart still belongs to me? I am the man of your dream?

เธอยังรักกันเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม

Your love is that same love since we left

ช่วยบอกให้รู้ที

Please comfort my soul


ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

I am here with all these questions

อยู่ตรงนั้นเธอเป็นอย่างไรก็ไม่รู้

Don’t really know how well you are there

ฝากเพลงนี้ให้ไปถามเธอดู

Think of this song for you to say

อยากจะรู้ในความเป็นไป

I wish you tell me how things really are


เธอยังคิดถึงฉันทุกนาทีรึเปล่า

Every minute, is it still me with you?

เธอยังจำเรื่องเราในวันวานได้หรือไม่

All the things we’ve had, do they still count?

เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว

Am I the one in your heart, still the only one you need?

เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม

Everything remains unchanged, don’t they?


เธอยังคิดถึงฉันทุกเวลาอยู่รึเปล่า

Am I the one in your heart?

เธอยังดูรูปเราใบเดิมเดิม อยู่หรือไม่

You’re still fond of our old photos?

เธอยังมีใจให้ฉันคนเดียว ยังรอฉันแค่คนเดียว

You’re still head over heel, and that’s me you feel

เธอยังรักกันเหมือนเดิมอยู่ใช่ไหม

Our love is the same though we are apart


ช่วยบอกให้รู้ที

Please tell me so, honey