ตอนที่ 13 เป็นไงเป็นกัน
งานเลี้ยงสังสรรค์ของนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ที่จัดขึ้นเพื่อให้นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งที่กำลังปรับตัวให้เข้ากับการเรียนที่เข้มข้นได้ผ่อนคลายความเครียดก่อนจะถึงวันสอบวัดปลายภาคเรียนแรก อีกทั้งเป็นการเปิดสังคมของนักศึกษาที่นอกจากเพื่อนร่วมคณะแล้วก็คงจะมีแต่ตำราเรียนที่เป็นคนคุ้นเคยให้กว้างมากขึ้น จึงเป็นที่มาให้นักศึกษาสามารถเชิญคนอื่นมาร่วมงานได้อีกหนึ่งคน
แม้ว่าที่ผ่านมา บุคคลทั้งหลายที่เหล่านักศึกษา ชวนมาร่วมงานจะมีทั้งพี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อน หรือคนรักที่หลายคนมักจะชวนมาด้วยนั้น ทำให้เกิดการเข้าใจกันไปผิดๆว่า งานนี้เป็นงานเปิดตัวคนที่นักศึกษาแพทย์กำลังคบหาดูใจกัน ซึ่งก็คงจะเป็นกรณีเดียวกันกับการถือหมอนงานบวชนั่นเอง
แต่สำหรับงานปีนี้คนที่วีรมาตุจะชวนไปด้วยนั้น เริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว
“เฮ้อ...”
(เอ้า พรือหล่าวนิ พอกูเปิดกล้องแล้วมึงก็มาเฮือกๆใส่ เป็นอะไรของมึง) เสียงของหนุ่มผิวเข้มส่งผ่านเครื่องโทรศัพท์ไปยังหนุ่มตี๋ผิวขาวที่มีชื่อเล่นเดียวกันกับเขา
“เซ็ง” ศศิทัศน์ตอบเพียงสั้นพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์
(เซ็งเรื่องอะไรวะ) วิธูพยายามเข้าใจอาการของอีกฝ่าย
“หลายเรื่อง”
(ไอ้ที่หลายเรื่องน่ะมันเรื่องไหนบ้าง ว่ามา) วิธูแสดงท่าทางว่าเขากำลังรอฟังอย่างใจเย็น
“ทั้งเรื่องไอ้วีร์ เรื่องเฮีย ข่าวลือทั้งหลายแหล่ ไม่รู้จะอะไรกันนักหนา” ศศิทัศน์ก็ยังไม่คลายความบึ้งตึงไปจากใบหน้าของเขา
(พวกขี้เสือก อย่าไปเอาอะไรมาก ปวดหัวเปล่าๆ)
“แล้วไปขุดเรื่องพี่มึงขึ้นมาได้ไงก็ไม่รู้”
(อันนั้น เพื่อนกูเองแหล่ะ) วิธูสารภาพหน้าตาเฉย
ศศิทัศน์ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที หมายกำลังจะคาดโทษไปแล้วแต่วิธูก็อธิบายเพิ่มเติมเสียก่อน
(กูไปถามมันมาแล้ว มันไม่ได้ตั้งใจ มันบอกว่ามันส่องโน้นนี่นั่นไปเรื่อยแล้วก็เจอเรื่องของไอ้วีร์กับเฮียมึง มันก็เลยสงสัยแล้วโพสถามลงไปว่ามีแฟนใหม่แล้วเหรอ จากนั้นก็มีคนอินบ๊อกซ์มาหามันเต็มเลย มันไม่ได้ตอบทุกคนหรอก มีบางคนที่มันเข้าไปเห็นโปรไฟล์แล้วว่าอยู่โรงเรียนมึงก็เลยตอบไปสองสามคน ประมาณนั้น)
“แล้วไง... แล้วเพื่อนมึงก็เลยสร้างเรื่องอาถรรพ์อะไรนั้นขึ้นมาเหรอวะ”
(โอ้ย... ไม่ใช่ เรื่องนั้นน่ะเก่าตั้งนานแล้ว พี่กูออกตัวปิดข่าวเองไปเรียบร้อยแล้ว กูก็ไม่คิดนะว่าใครจะหยิบมาเล่นอีก ส่วนเพื่อนกูที่ว่าเนี่ยก็สนิทกับไอ้วีร์นั่นแหล่ะ มันโทรไปเคลียร์กับไอ้วีร์เรียบร้อยแล้ว)
“ไม่รู้เว้ย” ศศิทัศน์ยังรู้สึกขัดใจอยู่อย่างเดิม
(แล้วนี่ได้คุยกับมันแล้วยัง ว่าจะไปงานมั้ย)
“ยัง เห็นเฮียบอกว่ามันติดงาน แต่กูว่าข้ออ้าง กูสงสัยว่ามันไปรู้เรื่องได้ไงวะ ไอ้วีร์ไม่เล่นทวิตไม่ใช่เหรอ”
(มันบอกเหรอ) วิธูถาม
“ใช่ มันบอกเองว่ามันไม่มีแอคทวิตแอคเฟซ มีแต่ไลน์กับไอจี” ศศิทัศน์ทำท่านึกตามไปด้วยว่ามีอะไรเพิ่มเติมอีก
(ก็ไม่ผิด... แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เล่น)
ศศิทัศน์วางใจไปได้เพียงไม่นาน คำตอบของวิธูทำให้เขาสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
(มันเคยมีทวิตเตอร์แต่ลบไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะส่องไม่ได้ ใช่มั้ย)
“แสดงว่ามันก็รู้เรื่องทั้งหมดใช่มั้ย” ศศิทัศน์ถามให้แน่ใจ
(ไม่แน่ อาจจะ)
ศศิทัศน์ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง
(ยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอวะ เห็นยังเฮ้อๆ ไม่หยุด)
“ไม่อะ มีแค่นั้นแหละ”
(นึกว่าจะเครียดเรื่องมีคนมาทาบทามเฮียมึงไปแสดงซีรี่ส์ซะอีก)
ศศิทัศน์ส่งเสียงคำรามในทันที
“เรื่องนั้น อย่าเอามาพูดให้เป็นเสนียดหูกูเลย” สีหน้าของศศิทัศน์แสดงออกชัดเจนว่าไม่เอาด้วยอย่างแน่นอน
(ทำไมวะ เป็นนักแสดงไม่เห็นจะเสียหายอะไร) วิธูถามด้วยความสงสัย
“อย่ามา กูแอบไปดูไอ้ที่ผู้จัดค่ายนั้นโพสไว้แล้ว” ศศิทัศน์ส่ายหน้ารัวๆอย่างสะอิดสะเอียน “แม่ง มันไม่ได้อย่างแรง มีที่ไหนวะบอกจะถ่ายทำซีรี่ส์ออกมาเป็นสามเวอร์ชั่น อันแรกไว้ออกทีวี แล้วก็มีไดเร็กเตอร์คัตเพิ่มฉากไว้ขึ้นออนไลน์ แล้วยังมีซูปเปอร์อันคัตพิเศษเด็ดสุดๆไว้ปล่อยทาง อลฟ.”
(ห๊ะ เดี๋ยวนี้มันต้องอะไรถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ)
“บอกว่าอะไรนะ
เพื่อให้เนื่อหาครบถ้วนตามในนิยาย เห็นมีคนกรี๊ดกร๊าดเต็มฟีดบอกทำเลยๆ เห๊อะ สงสัยเอาส้นตีนคิด”
(แล้วไอ้นักร้องรุ่นพี่อะไรของมึงนั่นยอมเหรอวะ)
“ไม่รู้เว้ย แต่สำหรับเฮีย ไม่ได้เด็ดขาด ห้าม!”
วิธูหัวเราะท่าทางควันออกหูของศศิทัศน์ เหมือนกำลังมองตัวเองเมื่อหลายปีก่อนเวลาที่มีใครพยายามเข้ามาแทรกระหว่างพี่ชายและเพื่อนสนิทของเขา
(เออ ช่างเขาเหอะ เฮียมึงยังไงก็ไม่เอาอยู่แล้วนิ) ศศิทัศน์ก็พยักหน้ารับ (อ้อ... แล้วก็ ไอ้พวกแฝดมันบอกมึงรึยังว่าเดี๋ยวปีใหม่กูจะขึ้นไป อีดำมันจะไปด้วย แต่อย่าเพิ่งไปบอกไอ้วีร์นะ)
“ยังเลย กะจะมาเซอร์ไพรซ์มันเออ”
(ใช่ จะพาอีดำไปเซอร์ไพรซ์มัน)
“โอเค งั้นไว้ค่อยว่ากัน”
ศศิทัศน์บอกลาวิธูแล้วก็ปิดโทรศัพท์ สองนิ้วมือยกขึ้นบีบนวดสันจมูกเผื่อว่ามันจะช่วยให้เขาลดความกังวลลงไปได้บ้าง หากว่าความลี้ลับเหนือธรรมชาติอย่างอาถรรพ์มีอยู่จริง เขาก็อยากจะให้ตัวเองมีเวทย์มนต์เพียงแค่ดีดนิ้วแล้วทุกอย่างก็คลี่คลายไปหมดเสียจริงๆ
*****
หลังเลิกเรียนวันนี้ วีร์ไม่ได้มีงานชมรมที่ต้องไปจัดการแต่ก็ไม่ได้อยู่เล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆหรือติววิชาเรียนก่อนสอบกลางภาคเรียน เพราะว่าได้รับโทรศัพท์ด่วนหลังเลิกเรียนในทันที ทำให้ต้องมาเดินอุ้มเด็กตัวน้อยๆในห้างสรรพสินค้าและมีผ้าอ้อมพาดบ่ารองเอาไว้กันเปื้อน ระหว่างที่พ่อและแม่ของเด็กไปเดินเลือกของใช้จำเป็นอยู่
“ไงมึง มาทำอะไรอยู่นี่วะ”
เสียงเรียกทำให้วีร์หันมา ก็พบกับชัชวาลเดินตัวเปล่าอยู่คนเดียว
“อ้าวเฮียชัช สวัสดีครับ” วีร์ยกมือขึ้นทักทายรุ่นพี่เท่าที่เขาทำได้ในขณะที่ต้องประคองเด็กเล็กไปด้วย
“แล้วนี่ น้องธรรึเปล่าเอ่ย” ชัชวาลเอี้ยวตัวมองเด็กเล็ก วีร์เองก็พยายามจับมือธรทักทายแต่เด็กน้อยกลับเบือนหน้าไปอีกทาง “กี่เดือนแล้วเนี่ย”
“จะห้าเดือนแล้วครับ”
“แป๊บๆก็โตขนาดนี้แล้วนะ” ชัชวาลยังคงพยายามเรียกความสนใจจากเด็กน้อยแต่ก็ยังไม่สำเร็จ
“เฮียมาคนเดียวเหรอครับ” วีร์ส่ายสายตามองไปรอบๆ
“มาคนเดียว เบื่อๆขี้เกียจอ่านหนังสือ ก็เลยออกมาเดินเล่น”
“ถ้าอย่างเฮียชัชขี้เกียจ คนอื่นๆคงสันหลังยาวเป็นกิโลแล้วมั้งครับ”
“ไม่ขนาดมั้ง คนเรามันก็ต้องมีบางโมเมนต์กันบ้าง” ชัชวาลเริ่มถอดใจที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรธรก็ไม่สนใจเขาอยู่ดี จึงย้ายความสนใจมาที่คนพี่แทน “แล้วนี่ สรุปว่ามึงจะไปงานรึเปล่า”
“เอ่อ ก็…ยังไม่แน่ครับ” วีร์ชะงักไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะโดนถามเรื่องนี้ แล้วก็เสมองไปทางอื่น ชัชวาลเองก็พอจะสังเกตอาการได้
“วีร์ กูถามจริงๆนะ ติดธุระจริงๆหรือว่าอย่างอื่น”
วีร์เองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไรดี ธุระที่ว่านั้นเป็นเรื่องของชมรมถ่ายรูปที่ใครก็ไปทำแทนได้ อาจารย์พิจิตราก็บอกเพียงแค่ขอความช่วยเลือกจากคนที่ว่างอยู่ ไม่ได้บังคับให้ใครต้องไปทำ วีร์จึงถือโอกาสรับงานนั้นไว้เพราะเห็นว่าตรงกับวันจัดงานของคณะแพทยศาสตร์พอดี
“งั้นกูถามใหม่ ทำไมถึงไม่อยากไปงาน” ชัชวาลถามแล้วเว้นจังหวะรอฟังคำตอบ แต่ดูท่าทางของวีร์ที่ยังอ้ำอึ้งอยู่ ชัชวาลจะเลือกที่จะพูดต่อแทน “มึงน่าจะได้ไปเห็นไอ้วีช่วงนี้นะว่ามันเป็นยังไงบ้าง”
“ทำไมเหรอครับ เฮียเป็นไงเหรอครับ” คำพูดของชัชวาลทำให้วีร์นึกเป็นกังวลขึ้นมาอยู่ไม่น้อย
“ดูทำหน้าเข้า เป็นห่วงมันก็ยอมรับมาเหอะ” ชัชวาลลอบหัวเราะเบาๆก่อนที่จะพูดต่อ “ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอก ประมาณว่า... ทุกวันนี้มันจะทำอะไรแต่อย่างก็มองแล้วมองอีก จะหยิบจะจับ จะเดินจะเหินไปไหนก็ระวังไปซะหมด กลัวว่าจะเป็นอะไรขึ้นมา บางทีกูก็คิดว่า เยอะไปมั้งมึง แต่มันบอกว่าก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”
วีร์เอาคำบอกเล่านั้นมาคิดและพอจะเข้าใจว่าทำไมวีรมาตุถึงระมัดระวังตัวขนาดนั้น
“มันก็กลัวว่าใครต่อใครจะหาเรื่องมาว่ามึงได้ไง”
วีร์มองตอบกลับชัชวาลอย่างเข้าใจ แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะต้องทำอะไร
“เห็นเฮียวีส่งผลที่วัดน้ำหนัก ส่วนสูง ความดันมาให้อยู่เรื่อยๆ”
“มันส่งไปให้มึงดูด้วยเหรอ... อันนั้นน่ะ อาจารย์หมอสั่งให้ทำทุกวัน ตรวจวัดร่างกายตัวเองแล้วก็บันทึกไว้ สิ้นเดือนต้องทำสรุปส่งด้วย อาจารย์เขาบอกว่าก่อนจะไปรักษาให้คนอื่นก็ต้องรักษาตัวเองให้ดีก่อน แล้วก่อนที่จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องรู้จักสภาพร่างกายของตัวเองซะก่อนแล้วค่อยมาวินิจฉัยอาการ พวกผู้หญิงนะกรี๊ดลั่นห้องที่ต้องมาชั่งน้ำหนักทุกวัน” ชัชวาลส่งเสียงหัวเราะออกมาจนธรหันหน้ามาดูครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับไปตามเดิม
“แล้วถ้าน้ำหนักเกิน ความดันเกิน ต้องทำอะไรรึเปล่าครับ”
“อาจารย์บอกว่าก็แล้วแต่เลย ให้ตัดสินใจเอาเอง ต่อไปที่จะไปบอกคนไข้ว่าจะต้องทำตัวอะไรยังไงบ้าง ตอนนี้ก็ลองฝึกบอกตัวเองไปพลางๆก่อน แล้วดูว่าสำเร็จมั้ย” ชัชวาลยังคงคอยสังเกตท่าทางของวีร์อยู่เนืองๆ “ไอ้วีมันก็ออกไปวิ่งออกกำลังกายตามปกติของมัน อย่างกูเนี่ยยังฉุดตัวเองออกไปไม่ได้สักที”
วีร์ยังคงครุ่นคิดจากสิ่งที่ได้ฟัง ตัวเขาเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องคำสาปอาถรรพ์ที่ใครต่อใครบอกว่าติดตัวเขามา เพียงแต่เขาไม่ชอบเป็นหัวข้อสนทนาจากคนที่เขาไม่รู้จัก นอกเสียจากว่าเขาไม่เห็นหรือไม่ได้ยินก็แล้วกันไป แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะแอบเข้าไปอ่านดู
“เรื่องงานน่ะ ถ้าไม่อยากไปจริงๆก็บอกมันไปตรงๆมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร มึงไม่ไปมันก็แค่ไปคนเดียว กูยังไปคนเดียวเลย ไม่รู้จะชวนใครไป”
วีร์ก็พยักหน้ารับ
“อย่าไปคิดมาก” ชัชวาลย้ำอีกครั้งให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องได้สบายใจ “คำพูดคนอื่นน่ะ อย่าไปอ่านไปฟังเยอะ เขาถือแค่ว่าเขามีสิทธิ์จะพูดอยากจะเขียนอะไรก็ได้ตามใจเขา แต่ถ้ามึงเห็นแล้วไม่โอเคจริงๆ ลองบอกไอ้พวกแฝดส่งทนายของเครือล้ำเลิศมาช่วยสักทีก็ดีเหมือนกันนะ เผื่อว่าบางคนมันจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองด้วย แต่ถ้ารับไม่ไหวก็ควรจะอยู่เงียบๆไปตั้งแต่แรก”
วีร์รู้สึกเหมือนจะโล่งใจได้ขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังมีเรื่องกังวลเหลืออยู่บ้าง ในขณะที่กำลังรอคอยผู้ใหญ่ทั้งสองเสร็จธุระ สองมือยังคงอุ้มเด็กน้อยประคองไว้ ความคิดก็กำลังล่องลอยไปเรื่อยๆ
“ไอ้วีร์”
เสียงเรียกดังมาแต่ไกลจนวีร์ต้องหันมองตาม ก็ไม่คิดว่จะได้พบกับเพื่อนตี๋ของเขาที่ไม่ได้มาแค่คนเดียว ยังมีศุภกรและมะลิวัลย์ที่เดินตามมาไม่ห่าง และซิ่งฮวาที่อยู่รั้งท้ายโดยมีวีรมาตุเดินตามมาด้วยกัน
“นึกว่ากลับบ้าน เห็นรีบออกมา” ศศิทัศน์ตรงเข้ามาทักทายเด็กน้อยทันทีเดินมาถึง “อ้าวเฮียชัช มาด้วยเหรอครับ”
“มาเดินเล่นน่ะ” ชัชวาลมองเลยไปถึงศุภกรและมะลิวัลย์ “ป๊ากับม้า สวัสดีครับ”
ผู้ใหญ่ทั้งสองก็รับไหว้เป็นอย่างดี ในเมื่อชัชวาลเอ่ยปากไปแล้ว ผู้เยาว์อย่างวีร์จะไม่ยกมือขึ้นทักทายเลยก็คงจะผิดมารยาท ส่วนผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่รับไหว้ชัชวาลแล้วจะไม่รับไหว้วีร์ก็จะดูผิดวิสัยไปหน่อย โดยเฉพาะศุภกร
“อาม่า สวัสดีครับ” ชัชวาลเดินอ้อมไปทักทายหญิงสูงวัย
“มาด้วยรึ อาคุณชัช”
“วันนี้ไม่มีใครอยู่หอเลยครับ ก็เลยออกมาเดินเล่นพักสมองครับอาม่า”
“ไม่รู้ว่าว่าง ไม่งั้นจะได้ให้อาตั้วตี๋ชวนมาด้วยกันแต่แรก งั้นเดี๋ยวไปกินด้วยกันเลย ไหนๆก็มาแล้ว” ซิ่งฮวาชวนชัชวาลไปร่วมอาหาร
“ไม่ดีกว่าครับ นี่ก็เดินไปด้วยแวะกินโน้นกินนี่ไปด้วยอิ่มแล้วครับ เดี๋ยวก็ว่าจะกลับแล้ว แต่บังเอิญเจอน้องซะก่อน”
ซิ่งฮวามองตามชัชวาลไป ก็ไปเจอกับเด็กหนุ่มที่กำลังอุ้มเด็กน้อยอยู่
“อาคุณวีร์ แล้วอาตี๋น้อยนี่ใครเหรอ” ซิ่งฮวาเดินไปหาเด็กน้อยที่กำลังพิจารณาคนแปลกหน้ากลุ่มนี้อยู่
“น้องธรครับอาม่า” วีร์ตอบกลับหญิงสูงวัย
“ไอ้หยา... อีโตขนาดนี้แล้วเหรอ” ซิ่งฮวาทำหน้าทำตาหยอกล้อกับเด็กน้อย
“จะห้าเดือนแล้วครับ”
“แล้วนี่มึงมาอยู่กับน้องธรที่นี่ได้ไงวะ” ศศิทัศน์ถามและมองดูรอบๆ
“โน้นไง” วีร์บุ้ยหน้าไปอีกทางให้ศศิทัศน์หันมองตาม ก็เห็นธีร์และวนกรเดินถือของพะรุงพะรังตรงมาหาพวกเขา “หมดห้างแล้วยัง”
“ก็ของจำเป็นทั้งนั้นแหละ” ธีร์ตอบกลับน้ำเสียงปนความหมั่นไส้เล็กๆ แล้วทั้งธีร์และวนกรก็หันไปทักทายผู้อาวุโสกว่าทั้งสามคน
“มาซื้อของกันเหรอ รีบกลับรึเปล่า” ซิ่งฮวาถามคู่สามีภรรยา
“ก็กำลังคิดว่าเดี๋ยวเอาของไปเก็บที่รถก่อนแล้วค่อยไปหาอะไรกินก่อนกลับค่ะ อาม่า” วนกรตอบกลับแทนคนในครอบครัว
“เหรอ... อามะลิ ลื้อโทรไปถามที่ร้านให้หน่อยว่าเพิ่มอีกสามที่ได้มั้ย แล้วก็มีเด็กด้วยอีกคน” ซิ่งฮวาหันไปบอกลูกสะใภ้ของเธอ แม้ว่าศุภกรได้ยินแล้วจะกระตุกไปบ้างแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ดีอยู่ กำลังคิดที่จะออกปากแย้งแต่มะลิวัลย์ฉวยโอกาสรับคำแม่สามีเสียก่อน
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ อาม่า หนูเกรงจะไปรบกวนเปล่าๆ”
“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง นานๆทีน่ะ”
จากที่เดิมที่ตั้งใจจะปฏิเสธจนกลับต้องมายอมรับคำเชิญ มีหลายคนที่รู้สึกลำบากใจไม่น้อย แต่คงจะไม่ใช่ศศิทัศน์ที่กำลังหน้าบานกว่าใคร
“เรียบร้อยแล้วค่ะม้า เพิ่มที่ได้อีก” มะลิวัลย์บอกแม่สามีทันทีที่กดวางโทรศัพท์
“ดีเลย งั้นเดี่ยวก็เดินไปด้วยกันเลยนะ” ซิ่งฮวาเอ่ยปากชวนทุกคน รวมไปถึงชัชวาลที่ตอบปฏิเสธไปก่อนหน้านี้ “อาชัช ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ”
“แน่ครับ เดี๋ยวผมก็กลับแล้วครับ งั้นผมลาตรงนี้เลยนะครับ” ชัชวาลยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ทุกคน แล้วก็ลาวีรมาตุเป็นคนสุดท้ายก่อนที่จะแยกตัวออกไป “ไปก่อนนะมึง”
วีรมาตุก็พยักหน้ารับ
“งั้นเดี๋ยวหนูขอเอาของไปเก็บไว้ที่รถก่อนนะคะเดี๋ยวตามไป” วนกรและธีร์ขอปลีกตัวแยกไปก่อน
“ผมช่วยครับ” ศศิทัศน์รีบเสนอตัวช่วยแบ่งถือของมาจากคู่สามีภรรยา “เดี๋ยวจะได้เดินไปที่ร้านด้วยกันถูก”
เมื่อตกลงกันได้แล้ว ธีร์ วนกร และศศิทัศน์จึงแยกตัวออกไป ศุภกรและมะลิวัลย์ก็เดินนำคนที่เหลือไปที่ร้านอาหารที่จองไว้ ซิ่งฮวาเดินตามไปพร้อมกับพยายามคุยกับเด็กน้อยที่ยังคงซบบ่าของวีร์ โดยมีวีรมาตุเดินตามรั้งท้าย
ศุภกรลอบหันมามองเป็นครั้งคราวแล้วก็หันกลับไปทอดถอนใจ จนมะลิวัลย์ก็รู้สึกเอ็นดูกับท่าทางเหล่านั้น
“ป๊า มีอะไรเหรอ”
“เปล่า” ศุภกรตอบกลับสั้นๆ แต่ก็ทำให้มะลิวัลย์อมยิ้มได้
“แค่ไปกินข้าวเองป๊า ไม่ใช่มาดูตัวกันสักหน่อย”
“ดูตัวอะไรละ พ่อแม่เขาไม่ได้มาด้วยกันสักหน่อย” ศุภกรยังคงรักษาท่าทางไว้เหมือนเดิม
“ทำไม ถ้าพ่อแม่เขามาด้วย ป๊าจะยอมออกหน้าสู่ขอเหรอ” ศุภกรไม่ได้พูดตอบกลับมะลิวัลย์แต่ก็เหล่ตามามองขวาง “ม้าล้อเล่น น้องเขาอยู่แค่ ม.5 เอง ลูกเรายังไม่รีบขนาดนั้นหรอก”
ท่าทางของศุภกรที่แสดงออกมาทำให้มะลิวัลย์สอดนิ้วมือไปกุมมือของอีกฝ่ายไว้
“อะอะ ม้าไม่เล่นแล้ว สรุปว่าป๊าเป็นอะไร”
ศุภกรหันไปชำเลืองกลุ่มคนด้านหลังอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะตอบ
“ถ้าในอนาคตพวกเขาจะสร้างครอบครัวได้แบบนี้จริงๆก็ดีสินะ”
มะลิวัลย์จึงหันไปมองบ้าง ก็เห็นวีรมาตุที่กำลังเดินประกบอยู่ข้างๆมองดูวีร์ที่กำลังช่วยซิ่งฮวาสื่อสารกับธร แล้วเธอก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะหันกลับมาหาสามีของเธอ
“ป๊ายอมรับภาพที่เห็นว่าเป็นเหมือนเรื่องปกติทั่วไปได้แล้วใช่มั้ย”
ศุภกรไม่ได้พูดตอบยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ มะลิวัลย์จึงตบบ่าของสามีเธอเบาๆ
“ก็ไม่แน่หรอกป๊า เทคโนโลยีมันพัฒนาไปทุกวัน ใครจะรู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง อาจจะมีคนคิดวิธีให้ผู้ชายสองคนมีลูกด้วยกันได้ ม้าเพิ่งจะเห็นในข่าวเมื่อวาน” อย่างหลังนี่มะลิวัลย์ทำเป็นแอบกระซิบกับศุภกร แล้วจึงกลับมาพูดปกติตามเดิม “ดูอย่างสมัยเราเด็กๆสิกว่าจะได้เจอกันต้องแอบเขียนจดหมายน้อยฝากคนโน้นคนนี้ไปให้ ผ่านมาไม่กี่สิบปีแล้วเดี๋ยวนี้เป็นไงละ นั่งอยู่ตรงหน้ากันเห็นๆแต่ไม่รู้ว่ากำลังก้มหน้าคุยอะไรกับใครอยู่ในโทรศัพท์”
ศุภกรก็ลอบยิ้มมุมปากนึกเห็นด้วยกับสิ่งที่มะลิวัลย์บอก โดยเฉพาะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขวไปมาภายในห้างสรรพสินค้าต่างก็มีโทรศัพท์อยู่ในมือเสมือนเป็นอวัยวะที่สามสิบสาม หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปเร็วมากในชั่วอายุเขาและไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลอีกแค่ไหนในอนาคต
“ใครจะไปคิดว่าคนรุ่นเราที่ตอนเด็กๆต้องจุดเตาถ่านหุงหาอาหาร แล้วนี่เรายังไม่ทันจะเกษียณอายุทำงาน อะไรๆก็ทำได้ในมือถือทั้งหมด”
“ใช่ ต้องขอบคุณคนที่ช่วยกันพัฒนาเทคโนโลยีให้เจริญรุดหน้ามาถึงขนาดนี้ มือถือเครื่องเดียวทำได้ทุกอย่าง ไม่แน่นะต่อไปเราไม่จำเป็นต้องมี สส. เลยก็ได้ ทุกอย่างให้ทุกคนตัดสินใจโดยตรงได้ทั้งหมด ม้าเห็นที่ตี๋ใหญ่ลงคะแนนของมหาวิทยาลัยเขาอยู่ทุกสัปดาห์น่ะ” มะลิวัลย์อธิบายเพิ่มเติม
“อันนั้นน่ะมันเฉพาะภายในมหาวิทยาลัยมันก็ได้อยู่หรอก อย่างมากก็แค่สามสี่หมื่นคน แต่ขึ้นมาระดับประเทศมันฝันเฟื่องแล้วม้า ใครจะไปยอมเสียอำนาจในมือตัวเอง”
“ก็ต้องรอดูกันไปว่าระหว่างระบบผู้แทนหายไป กับผู้ชายสองคนมีลูกกันเองได้ อันนั้นจะเกิดก่อนกัน”
*****
มื้ออาหารระหว่างสองครอบครัวผ่านไปอย่างชื่นมื่น แม้จะมีความอลหม่านไปบ้างเล็กน้อย เนื่องจากเด็กชายธรที่เริ่มคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าจึงขอร่วมวงสนทนาด้วยการส่งเสียงอ้อแอ้ดังไปทั่วร้าน ซึ่งก็สร้างความสนุกสนานครื้นเครงให้กับทุกคน
“ขอบคุณนะคะ แต่เกรงใจที่จ่ายค่าอาหารให้ด้วย” วนกรกล่าวขอบคุณซิ่งฮวาและครอบครัว
“คนกันเองน่ะ ไม่เป็นไรหรอก” ซิ่งฮวาโบกไม้โบกมือบอกปัด
“งั้นคราวหน้าพวกหนูขอเป็นฝ่ายเลี้ยงตอบแทนก็แล้วกันนะคะ” วนกรจึงเสนอวิธีใหม่ขึ้นมาแทน
“พูดแล้วนะ” ซิ่งฮวามองกลับด้วยสายตาวิบวับแวววาว
“ได้ค่ะ” วนกรรับคำอย่างหนักแน่น
“เดี๋ยวไว้ค่อยให้อาตั้วตี๋ไปนัดกับอาคุณวีร์ก็แล้วกันนะ” ซิ่งฮวาพอใจกับคำตอบรับจนยิ้มหน้าบาน
“ให้เพื่อนเขาไปคุยกันเองไม่ดีกว่าเหรอม้า” ศุภกรแทรกถามขึ้นมาด้วยความสงสัยอย่างแท้จริง เพราะคิดว่าเพื่อนห้องเรียนเดียวกันน่าจะคุยกันได้รวดเร็วกว่านักเรียนกับนักศึกษามหาวิทยาลัย
เสียงฮึดฮัดไม่พอใจแต่แสดงออกไม่ได้มากนักของซิ่งฮวา ทำเอาศุภกรรู้สึกแปลกใจว่าเขาทำผิดอะไร ร้อยถึงมะลิวัลย์ต้องรีบเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยหาเวลาว่างตรงกันนะคะ”
ผู้ใหญ่ว่ามาผู้น้อยก็เลยว่าตาม แม้ว่าจะไม่ได้รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะแต่ก็ให้เข้าใจได้ว่าไม่ได้ปฏิเสธ
“งั้นเดี๋ยวกลับกันเลยมั้ยคะป๊า อาม่า ดูน้องธรสิตาปรือแล้ว จะได้กลับไปพักผ่อนด้วย” มะลิวัลย์ชี้ชวนให้ทุกคนหันไปดูเด็กชายธรที่กำลังซบไหล่ของวีร์อยู่
“อะอะ ก็ได้” ซิ่งฮวาเดินเข้าไปใกล้ๆเด็กตัวน้อย “แข็งแรงๆ โตไวๆนะ” อวยพรแล้วก็ลูบผมของเด็กชายเบาๆ
แล้วต่างฝ่ายก็ออกตัวลา แยกย้ายกันไปแต่ละครอบครัว
“เสียดายนะ” หญิงสูงวัยพึมพำออกมาระหว่างที่เดินไป
“อะไรเหรอครับอาม่า” ศศิทัศน์ถาม
“ก็อาคุณวีร์เขามากับที่บ้าน ไม่งั้นจะได้ให้อาตั๊วตี๋ขับรถไปส่งได้” ซิ่งฮวาแสดงสีหน้าออกมาว่าเสียดายจริงๆ
“ม้า!” ศุภกรร้องอุทายออกมา
“ทำไม ก็ขืนรอให้พวกลื้อสองคนจัดการกันเอง อาคุณวีร์ก็หลุดมือไปเป็นหลานเขยคนอื่นอะสิ”
ศุภกรหน้าเหวอขึ้นมาในทันทีเพราะไม่คิดว่าแม่ของเขาจะมีความคิดแบบนั้นมาก่อน ในขณะที่สองแม่ลูกอย่างมะลิวัลย์และศศิทัศน์ต่างก็พยายามอมยิ้มไว้ไม่ให้หัวเราะเสียงดังออกมา ส่วนวีรมาตุนั้นเริ่มทำตัวไม่ถูก เขาควรจะดีใจใช่หรือไม่ที่รู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดของครอบครัวเห็นดีงามกับความรักของเขา
“ดูทำหน้าเข้า” ซิ่งฮวามองดูศุภกร “ทำไม คิดว่าอั๊วเป็นพวกหัวโบราณรึยังไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับม้า” ศุภกรรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ถ้าอาตั๊วตี๋พลาดจากอาคุณวีร์เพราะลื้อนะ ลื้อจะโดนไม่ใช่น้อย” ซิ่งฮวาชี้หน้าคาดโทษลูกชายของเธอ
“อั๊วยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะม้า”
“ไม่รู้ละ” ซิ่งฮวาว่าเลยก็จับแขนวีรมาตุออกเดินนำทุกคนไป ไม่ได้รอฟังแก้ตัวอะไรจากศุภกรอีก โดยมีศศิทัศน์เดินตามไปติดๆช่วยพูดผสมโรงเออออออกรสออกชาติ เพราะว่านี้เป็นครั้งแรกสำหรับตัวเขาเช่นกันที่ได้รู้ว่ามีคนอื่นในครอบครัวที่สนับสนุนความรักของพี่ชายเพื่อนของเขานอกจากมะลิวัลย์ผู้เป็นมารดา
มะลิวัลย์ตบบ่าสามีของเธอเบาๆเป็นการให้กำลังใจ แล้วก็ชวนกันเดินตามคนอื่นๆไปที่ลานจอดรถยนต์
*****
(รูปภาพ)
ศศิทัศน์ ราวัณ: มื้อนี้อิ่มมาก
ไมตรีจิต นิยมทอง: นี่มันครบองค์ประชุมเลยนะเว้ยเห้ย
พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล: อะไรกัน เกิดอะไรขึ้น ทำไมกูตกข่าว
คุณกร ศุขเจริญชัย: หลานกูน่ารักจริง หรือใครจะเถียง ใช่มั้ย
@วีรมาตุ ราวัณชัชวาล เก่งการเรือน: มีคนหน้าบานจนหุบไม่ได้ สงสัยว่าหนังสือไม่ต้องได้อ่านหนังสือแล้วคืนนี้
มีมี่ มิมีใคร เอามาแล้วจ้า: อร๊ายยยย คอนเฟิร์มแล้วใช่มั้ยค้า
.....
หลังจากที่จัดการภารกิจประจำวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งทิ้งขยะ ให้อาหารสุนัขทั้งสองตัว รดน้ำต้นไม้ ปิดบ้านปิดไฟชั้นล่างและขึ้นบ้านไปอาบน้ำแต่งชุดนอนแล้ว เสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้นตอนที่วีร์กำลังจะปิดไฟนอน ทำให้ต้องหยิบแว่นขึ้นมาสวมใส่ และเสียบหูฟังไร้สายไว้ที่หูทั้งสองข้าง ก่อนที่จะเลื่อนหน้าจอรับการสนทนาผ่านวิดีโอ
“มีไร คอลมาป่านนี้” วีร์มองดูเด็กหนุ่มผิวเข้มที่อยู่ในชุดประจำตัวเตรียมนอนไม่ต่างไปจากเขาเท่าไรนัก
(ม้าย โทรมาเฉยๆ)
วีร์ส่งสายตาเขม็งกลับไปหาวิธู
(ไซ ง่วงแล้วเออ)
“ม้าย แล้วตกลงมีอะไร”
(ก็... เห็นรูปที่ไอ้ต่ายลงในเฟชมันแล้วม้าย) วิธูถามถึงภาพถ่ายรวมทุกคนระหว่างสองครอบครัวที่เพิ่งจะไปรับประทานอาหารร่วมกันมา
“เห็นแล้ว มันมาถามก่อนเอาไปโพสลงแล้ว”
วิธูทำปากบึนพร้อมกับพยักหน้ารับรู้
“ไซอะ มีอะไร”
(ม้าย ถามไปงั้นแหละ ก็นึกว่าเขานัดดูตัวกัน) วิธูพยายามกลั้นหัวเราะหลังจากที่พูดจบ
“ดูตัวอะไร แค่บังเอิญเจอ แล้วอาม่าก็ชวนไปกินข้าวด้วยกัน”
วิธูยิ้มตอบอย่างรู้ทันว่าวีร์แกล้งตอบกลบเกลื่อนอาการเขิน
(แล้ว... จะไปงานมั้ยนิ)
“งานอะไร” วีร์ถามกลับเพราะตามหัวข้อที่เปลี่ยนไปไม่ทันจริงๆ
(ก็ Med Party ไง จะไปมั้ย)
วีร์ถอนหายใจก่อนที่จะตอบ
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
(แล้วไซถึงไม่ไป) วิธูพอใจกับคำตอบของวีร์ที่ดูมีแนวโน้มไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ เพราะวีร์ไม่ได้ปฏิเสธอย่างจริงจัง แต่มีท่าทีลังเล ส่วนสาเหตุที่ทำให้วีร์ตัดสินใจไม่ได้นั้น วิธูยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก
ส่วนวีร์ก็พยายามหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่เหมือนกัน
(มึงไม่บอก งั้นกูลองถามนะ จริงๆมึงว่างใช่มั้ย)
“ก็... มั้ง” วีร์ตอบสั้นๆ
(งั้น... จริงๆมึงอยากไปงานใช่มั้ย)
“ก็... คงอยากมั้ง” วีร์หยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
(จริงๆมึงรักเฮียแล้วใช่มั้ย)
“ก็... งั้นมั้ง” ปากขยับตอบไปโดยอัตโนมัติ แต่แล้วเจ้าตัวก็ชะงักไป “เห้ย ไม่ใช่”
(ไม่ทันแล้วมึง เต็มสองรูหูเลย)
วีร์เม้มปากเข้าหากัน มองดูวิธูหันข้างทั้งซ้ายและขวาให้เห็นใบหูทั้งสองข้าง
(รักแล้วไงวะ ไม่เห็นเป็นไรเลย)
วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไรไป ความรู้สึกดีๆที่มีให้เด็กหนุ่มรุ่นพี่นั้นเขายอมรับว่ามีจริง แต่ส่วนที่ว่ามีมากขนาดไหนนั้น เขายังไม่แน่ใจตัวเองนัก
(งั้นระหว่าง จากคำบอกเล่าของชาวโซเชียล ว่า...) วิธูกระดิกนิ้วทั้งสองข้างเป็นฟันกระต่ายเน้นย้ำว่าต่อจากนี้ไม่ใช่คำพูดของเขาเอง (...มึงมีอาถรรพ์ติดตัวทำผัวตายทุกคน กับมึงใจง่ายแฟนเก่าไปไม่ทันไรก็มีแฟนใหม่แล้ว มึง... ไม่ชอบอันไหนสุด...)
วิธูนิ่งเงียบรอฟังคำตอบจากวีร์ที่ดูสีหน้าหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด
(หรือว่าทั้งคู่)
วิธูคิดว่าเขาเจอต้นตอของปัญหาในตอนนี้แล้วจากอาการของวีร์ที่แสดงออกมา
“เรื่องคำสาปอาถรรพ์ กูไม่คิดว่ามีจริง”
(แต่มึงเริ่มคิด) วิธูพูดขัดวีร์ขึ้นมา ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธ (ถ้าไอ้การแค่มึงชอบพี่กูแล้วทำให้พี่กูเป็นอะไรจริงๆ พี่กูคงไปตั้งแต่ก่อนจะได้แชมป์เยาวชนชายเดี่ยวแล้วมั้ง ไม่อยู่ยาวมาเป็นปีๆ ไอ้คนอื่นที่ไม่รู้จริงก็พูดไปเรื่อย)
“แต่เรื่องที่...”
[อ่านต่อด้านล่าง]