ReLove2: (ir)Replaceable Love - รัก...แทนกัน(ไม่)ได้ ... (14 ก.ค. 66)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ReLove2: (ir)Replaceable Love - รัก...แทนกัน(ไม่)ได้ ... (14 ก.ค. 66)  (อ่าน 8931 ครั้ง)

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
     แม้ว่าจะเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก่อนสอบกลางภาคเรียน แต่การจะไปหมกหมุ่นอยู่กับตำราเรียนเพียงเดียวก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก เหล่าผองเพื่อนจึงแบ่งเวลามาทำกิจกรรมสันทนาการที่สนามบาสเก็ตบอลกัน แต่ละคนคอยผลัดเปลี่ยนคนลงเล่นและคนออกมานั่งพักเป็นทีมๆไป

      “ต่าย โทรศัพท์มึงดัง” เสียงร้องบอกจากเพื่อนคนหนึ่งที่กำลังนั่งพักอยู่ ศศิทัศน์ก็ขอเปลี่ยนตัวออกมารับสาย

      “เฮียว่าไง” ศศิทัศน์กำลังตั้งใจฟังเสียงของปลายสาย ในขณะที่สายตาของเขาหันไปมองดูเพื่อนสนิทที่นั่งไปไกลกันนักและกำลังสนใจอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ “อั๊วอยู่ตรงสนามบาส... ลื้อจะมาเหรอ” ศศิทัศน์ถามด้วยระกังเสียงที่ดังขึ้น “อยู่ๆ อยู่ด้วยกันนี่แหล่ะ” แล้วศศิทัศน์ก็พยักหน้ารับไปด้วย “ได้... ได้... ได้... ได้ครับเฮีย เดี๋ยวเจอกัน”

      “เฮียวีแวะมาโรงเรียนเหรอ” พระยศถามเมื่อเห็นว่าศศิทัศน์คุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว

      “ใช่”

      “ก็นึกว่าวันนี้เฮียไม่ว่างซะอีก” พระยศนึกสงสัยเพราะอีกฝ่ายบอกไว้แต่แรกว่าวันนี้ไม่สะดวกมาติวหนังสือให้พวกน้องๆได้

      “นั่นดิ” ศศิทัศน์ก็พลอยสงสัยไปด้วยคน

      “เอ้อ... เดี๋ยวกูมานะ” วีร์รีบลุกขึ้นยืนแล้วก็ก้าวเดินออกไปจากสนามบาสเก็ตบอล

      “เดี๋ยว ไปไหนวะ” ศศิทัศน์ร้องห้ามไว้ซะก่อน

      “ไปห้องชมรม โดนเรียกตัวด่วน เดี๋ยวมา” วีร์ไม่ได้รอคำตอบรับ เขาเดินออกไปทันที

      “งานด่วนอะไรของมันวะ” ศศิทัศน์ขมวดคิ้วมองตามจนวีร์ลับสายตาไปจากมุมตึก แต่ไม่นานนักก็มีมือมาสะกิดไหล่ของเขา “อ้าว! เฮีย ไหนว่าวันนี้ไม่ว่างไง”

      “ก็ไม่ว่าง เดี๋ยวก็ต้องกลับไปทำงานต่อ”

      “แล้ว... ลื้อมาไมอะ” ศศิทัศน์เริ่มสงสัยพี่ชายของเขาขึ้นมาอีกคน

      “แล้วเพื่อนลือไปไหน” วีรมาตุไม่ได้ตอบคำถาม แต่ถามกลับพร้อมกับมองดูไปรอบๆแล้วยังไม่เห็นคนที่ต้องการจะเจอ ศศิทัศน์เองก็มองตามอย่างรู้ทัน

      “ว่าที่พี่เขยอั๊วเพิ่งจะไปห้องชมรมเมื่อกี้ เดี๋ยวมันก็กลับมา”

     วีรมาตุหันกลับมาหาน้องชายของเขา เพราะสะดุดกับตำแหน่งที่เพิ่งจะได้ยินแต่ก็พยักหน้ารับรู้

      “สรุปลื้อมาทำอะไร มีธุระแต่อุตส่าห์ถ่อมาถึงโรงเรียน”

     ศศิทัศน์ถามพร้อมกับส่งสายตาแซวพี่ชายไปด้วย

      “ก็งาน Med Party ปีนี้เขาอยากจะย้อนวัยเรียนกัน ก็เลยนัดว่าให้ใส่ชุดนักเรียนไปงานกัน นี่อั๊วก็งานจะแวะไปเอาชุดที่บ้าน เพราะวันอื่นคงจะยุ่งไม่มีเวลาไปเอา นี่ก็เลยมาหาลื้อด้วยเผื่อว่าจะให้ไปส่งที่บ้าน”

      “อืม... ก็ได้นะ นี่ก็เย็นแล้วด้วย กลับเลยก็ได้” ศศิทัศน์ดูเวลาจากโทรศัพท์ แล้วก็แอบชำเลืองตาขึ้นมองพี่ชายของเขา แล้วก็นึกยิ้มขึ้นมา “แต่เดี๋ยวรอไอ้วีร์ก่อนนะ เผื่อว่ามันจะอยากกลับด้วยกัน”

     วีรมาตุนึกหมั่นไส้น้องชายของเขาที่มารู้ทันความคิดไปซะทุกอย่าง

      “ก็ต้องรอน่ะสิ จะได้บอกให้น้องวีร์เตรียมชุดไปด้วย”

      “ต้องลงลื้อชวนไอ้วีร์ไปงานจริงๆเหรอ”

      “ก็เพื่อนลื้อรับปากไว้แล้ว”

     วีรมาตุยืนดูเด็กรุ่นน้องเล่นบาสเก็ตบอลกัน แม้ว่าจะถูกเอ่ยปากชวนเล่นแต่เขาก็ปฏิเสธไป เพราะในใจกำลังจดจ่ออยู่กับการรอ แต่เวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนในความคิดจะเดินกลับมาเสียที

      “เพื่อนลื้อไปนานแล้วนะ” วีรมาตุหันไปถามศศิทัศน์

      “นั่นสิ” ศศิทัศน์เองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน “คงมีธุระด่วนจริงๆ แต่เดี๋ยวก็คงจะมา เนี่ยเป๋มันยัง... อ้าวเห้ย เป๋ของไอ้วีร์ไปไหนแล้ววะ” ศศิทัศน์ถามเพื่อนๆในบริเวณนั้น แต่ละคนก็สอบถามกันว่ามีใครเห็นบ้าง

      “เป๋ที่วางอยู่ตรงนั้นน่ะเหรอ” ใครคนหนึ่งถาม ศศิทัศน์ก็ตอบกลับว่าใช่ “เห็นเดวิดมันหยิบไปเมื่อกี้”

      “มันหยิบผิดเหรอ” ศศิทัศน์ถามให้แน่ใจ

      “ไม่นะ เห็นมันหยิบไปสองใบ” เพื่อนคนเดิมตอบ

      “ไอ้วีร์โทรมาหามันว่าให้หยิบเป๋ไปให้มันด้วย” มีเพื่อนอีกคนบอก

     สองพี่น้องต่างก็มองหน้ากัน ต่างคนก็เริ่มงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

      “หรือว่าไอ้วีร์มันจะเอาของในเป๋มันรึเปล่า” พระยศเสนอความเห็น แต่ศศิทัศน์ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ วีร์สามารถโทรมาหาตัวเขา หรือไม่ก็พระยศก็ได้เหมือนกัน

      “ลื้อบอกว่าน้องวีร์ไปที่ห้องชมรมใช่มั้ย” วีรมาตุถาม ศศิทัศน์เองก็พยักหน้ายืนยัน เมื่อได้รับคำตอบแล้ววีรมาตุก็มุ่งหน้าไปที่ห้องชมรมถ่ายรูปทันที

     แม้ว่าห้องชมรมถ่ายรูปจะเป็นหนึ่งไม่กี่ชมรมที่มักจะมีคนอยู่จนถึงเวลาใกล้ค่ำ แต่กลับไม่ใช่วันนี้ ประตูห้องชมรมถูกล็อคปิดสนิทและไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ในละแวกนั้นเลยสักคน วีรมาตุลองโทรผ่านแอพลิเคชั่นไลน์ก็แล้ว ลองผ่านเบอร์โทรศัพท์ก็แล้ว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อกับวีร์ได้  วีรมาตุตัดสินใจเดินกลับไปที่สนามบาส แต่ระหว่างนั้นก็พบกับเด็กหนุ่มตาน้ำข้าวแต่พูดไทยชัดยิ่งกว่าคนไทย

      “เดวิด”

      “พี่วี สวัสดีครับ” เดวิดทักทายรุ่นพี่กลับ

      “พี่ถามอะไรหน่อย เมื่อกี้เราหยิบเป้ของวีร์มาใช่มั้ย”

      “ใช่ครับ ทำไมเหรอครับ”

      “แล้วตอนนี้วีร์อยู่ที่ไหน” วีรมาตุถามต่อด้วยความใจร้อน

      “เห็นเดินไปทางลานจอดรถ น่าจะกลับบ้านแล้วมั้งครับ”

      “ขอบใจมาก” วีรมาตุรีบวิ่งไปยังลานจอดรถโดยทันที และเป็นไปตามที่เขาคิด วีร์ไม่ได้อยู่ที่ลานจอดรถแล้ว วีรมาตุพยายามคิดในแง่ดีไว้ก่อนว่าวีร์อาจจะมีธุระด่วนจริงๆก็ได้ ไม่ได้มีเหตุอื่นใด


*****


     แสงไฟส่องสว่างตลอดข้างทางเดินในหมู่บ้าน แม้ว่าท้องฟ้าจะยังคงมองเห็นแสงสีส้มฉายอยู่บ้าง แต่ก็คงจะจางหายไปในอีกไม่ช้าและความมืดก็จะเข้าปกคลุมไปทั่ว วีร์เดินผ่านบ้านของแพรพรรณที่ปิดประตูมิดชิดแล้วแต่ก็ยังเห็นแสงไฟที่ส่องผ่านผ้าม่านตามบานหน้าต่างอยู่ เรื่อยไปจนถึงบ้านของเขาเอง

     เสียงจังหวะฝีเท้าที่คุ้นเคยเรียกความสนใจของสุนัขตัวใหญ่ขนสั้นทั้งสีน้ำตาลอ่อนและสีดำวิ่งมาเกาะกำแพง หางที่แกว่งไปมาอย่างรวดเร็วและเสียงร้องครางแสดงความดีใจที่เจ้านายของพวกมันกลับมาแล้ว พอดีกับที่ธีร์เดินออกมาหน้ารั้วเพื่อเอาถุงขยะมาทิ้งก่อนถึงเวลารถขยะมาเก็บไป

      “กลับมาซะมืดเชียว ไปไหนมาละ” ธีร์เอ่ยทักเมื่อหันมาเห็นวีร์เดินมาถึงประตูรั้วพอดี

      “มีธุระด่วนนิดหน่อย” วีร์ตอบแล้วก็เดินเข้าไปข้างในบ้าน ทั้งสองมือต่างก็จับปลอกคอของสุนัขทั้งสองตัวไว้ไม่ให้พวกมันหลุดวิ่งออกไปข้างนอกได้

      “แล้วโทรไปก็ไม่รับ เนี่ยเฮียวีเขามารอตั้งนานแล้วนะ”

     วีร์ชะงักไป จะหันมาถามธีร์ให้แน่ใจก็ไปสังเกตเห็นรถยนต์ของวีรมาตุที่จอดอยู่หน้าบ้านฝั่งตรงข้าม เลยเป็นสาเหตุให้เขาไม่ได้เฉลียวใจมาก่อน แล้วบุคคลที่สามที่ว่ามานั้นก็เดินออกมา มือของวีร์ที่ไม่ได้ออกแรงกำปลอกคอไว้แล้วทำให้สุนัขทั้งสองตัวหลุดรีบวิ่งเข้าไปหาผู้มาใหม่แทน

     ทั้งวีร์และวีรมาตุต่างก็มองตากันแต่ไม่ได้เอ่ยคำใด

      “งั้น พี่เข้าบ้านก่อนนะ” ธีร์มองดูอาการของทั้งสองคนแล้วก็คิดว่าควรปล่อยให้ทั้งคู่จัดการกันเอง เพราะเขาก็ไม่ได้รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ต้าวและเติบต่างก็เดินตามธีร์ไปด้วยเนื่องจากพวกมันไม่ได้รับความสนใจจากเจ้านายน้อยทั้งสองคนแล้ว

      “เฮีย... มานานแล้วยังครับ” วีร์ทำลายความเงียบขึ้นมา เพราะจะให้ยืนเงียบๆต่อไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา

      “ก็สักพักแล้วครับ มาเล่นกับน้องธร... แล้วน้องวีร์ไปไหนมาเหรอครับ  เฮียแวะไปที่โรงเรียนไม่เจอ” วีรมาตุแสดงท่าทีปกติ ถามด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่พยายามคาดคั้น แม้ว่าใจจริงอยากถามอะไรที่มากไปกว่านี้ก็ตาม

      “วีร์ไป... ช่วยอาจารย์แป้งมาครับ” ถึงแม้ว่าคำตอบจะดูน่าเชื่อ แต่จังหวะการพูดนั้นทำให้ดูน่าสงสัย

      “เหรอครับ อาจารย์แป้งให้ช่วยอะไรเหรอครับ”

      “ก็รูปถ่ายตอนปิดเทอม อาจารย์ให้คะแนนแล้วก็เลือกรูปไปแสดงที่แกลลอรี่ของเพื่อนอาจารย์พิชิตครับ”

     วีรมาตุได้ยินคำอธิบายเพิ่มเติมแล้วก็พนักหน้ารับรู้ เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย เพราะดูเหมือนว่าวีร์จะติดธุระจริงๆ

      “แล้ว... เฮียมีอะไรด่วนเหรอครับ ถึงมารอที่บ้านวีร์”

      “ก็เฮียโทรหาน้องวีร์แล้วไม่ติด โทรไลน์ก็ไม่ติด ก็เลยลองแวะมาดูที่บ้าน”

      “อ๋อ... ของวีร์แบตหมดครับ” วีร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาให้ดูว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ “แล้ว... ตกลงว่าเฮียมีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่าครับ”

      “คือว่าเพื่อนๆที่คณะเขาตกลงกันว่างาน Med Party จะจัดเป็นธีมชุดนักเรียน เฮียก็เลยจะมาบอกให้น้องวีร์เตรียมชุดไว้ก่อนครับ”

      “แค่นั้นเหรอครับ” วีร์ถาม

      “ครับ” วีรมาตุตอบสั้นๆ แล้วก็ฉุกคิดได้ขึ้นมาตอนนั้นว่าอันที่จริงเขาแค่ส่งข้อความมาบอกก็ได้ แต่คงเป็นเพราะอะไรหลายอย่างเมื่อตอนช่วงเย็นทำให้เขาคิดมากกไปเอง ถึงได้บุกมาที่บ้านของวีร์เช่นนี้

      “เรื่องงาน...” วีร์เม้มปากและมีสีหน้าที่ไม่ค่อยสบายใจมากนัก

      “ทำไมเหรอครับ” วีรมาตุเริ่มกลับมารู้สึกแปลกๆอีกรั้ง เมื่อเห็นอาการของวีร์

      “คือว่า... วีร์อาจจะไปด้วยไม่ได้แล้วนะครับ”

     วีรมาตุนิ่งเงียบไป อะไรหลายๆที่กวนใจเขาก่อนหน้านี้เริ่มหมุนวนกลับมาอีกครั้ง

      “น้องวีร์ติดอะไรเหรอครับ”

      “วีร์อาจจะต้องไปช่วยงานอาจารย์พิชิต เวลามันยังไม่แน่ ก็เลย...”

      “ไม่เป็นไรครับ” วีรมาตุรีบตอบกลับในทันทีพร้อมกับรอยยิ้ม “เดี๋ยวไว้ใกล้ถึงวันงานน้องวีร์ค่อยยืนยันเวลาอีกทีก็ได้ครับ”

      “แต่วีร์กลัวเฮียจะเสียโอกาส ถ้าวีร์เกิดไปไม่ได้ขึ้นมา” วีร์พยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายคล้อยตาม

      “ก็ไม่เป็นไรครับ ตัวงานไม่ได้กำหนดตายตัวสักหน่อยว่าเฮียต้องพาใครไป ยังไงเฮียก็สแตนด์บายไว้ที่น้องวีร์ ถ้าน้องวีร์ติดธุระจริงๆ เฮียก็แค่ไปคนเดียว เท่านั้นเอง” วีรมาตุก็พยายามให้อีกฝ่ายสบายใจ ในเวลาเดียวกันก็พยายามให้ตัวเขาเองไม่คิดมากเกินไป

      “แต่วีร์ว่า...”

      “ไม่เป็นไรครับ เอาตามนี้ก็แล้วกัน”

     แม้ว่าวีรมาตุจะหว่านล้อมหาเหตุผลว่าเขารอคำตอบของเด็กหนุ่มได้ แต่อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีลำบากใจ คอยหลบสายตาของเขา เสมือนว่าได้ตัดสินใจไปแล้วเพียงแต่ยังไม่เอ่ยปากออกมา

      “น้องวีร์”

     วีร์เงยหน้าขึ้นมอง แววตาที่ใครต่อใครมักจะบอกว่าดุดันไม่ต่างจากฤทธิกร แต่ในเวลานี้วีรมาตุมองเห็นแต่ความกังวล

      “น้องวีร์ ไม่ได้กำลังหลบหน้าเฮียใช่มั้ยครับ” วีรมาตุตัดสินใจถามความรู้สึกแรกที่วิ่งเข้ามาตอนที่เขารู้ว่าวีร์ไม่อยู่ที่โรงเรียนแล้ว หรือบางทีเขาไม่ควรไปสนใจว่าโลกโซเชียลพูดถึงอะไรเกี่ยวกับเขาและเด็กหนุ่มบ้างตั้งแต่แรก เขาจะได้ไม่มารู้สึกกังวลใจอะไรแบบนี้

     วีรมาตุเอื้อมมือไปจับมือของวีร์ขึ้นมาข้างหนึ่ง

      “ถ้าน้องวีร์ไม่สบายใจอะไร บอกเฮียได้นะครับ”

     วีรมาตุรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจและจริงใจ มองดูเด็กหนุ่มที่ย้ายสายตาไปทางอื่น ไหล่ที่ยกตัวขึ้นค้างไว้ครู่หนึ่งแล้วผ่อนลง

      “น้องวีร์”

     วีรมาตุเอ่ยเรียกชื่ออีกครั้ง แต่อีกฝ่ายเพียงแค่หันกลับมาแล้วพยายามดึงมือขอเขาออก

      “วีร์ว่าวีร์เข้าบ้านก่อนดีกว่า เฮียจะได้กลับไปพักผ่อนด้วย”

      “น้องวีร์ครับ เฮียพูดจริงๆนะ น้องวีร์บอกเฮียได้ทุกอย่าง”

     วีร์พยักหน้าสองสามครั้งแล้วก็หันกลับเดินเข้าไปข้างในบ้าน วีรมาตุก็ได้แค่มองตามและรู้สึกอึดอัดใจว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้มาก เขาไม่อยากให้พวกเขาทั้งสองคนตกมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไปเนิ่นนาน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป


*****


yobortsa:
ว่างเมื่อไหร่ ไปสืบให้หน่อยนะว่าต้นตอมาจากไหน
วิธู:
กำลังพยายามอยู่
yobortsa:
ได้เรื่องแล้วส่งข่าวมาด้วย
วิธู:
ไม่ต้องห่วง เชื่อมือได้


*****


Ending music inspired by A1The Things We Never Did



[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 13 เป็นไงเป็นกัน


งานเลี้ยงสังสรรค์ของนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ที่จัดขึ้นเพื่อให้นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งที่กำลังปรับตัวให้เข้ากับการเรียนที่เข้มข้นได้ผ่อนคลายความเครียดก่อนจะถึงวันสอบวัดปลายภาคเรียนแรก อีกทั้งเป็นการเปิดสังคมของนักศึกษาที่นอกจากเพื่อนร่วมคณะแล้วก็คงจะมีแต่ตำราเรียนที่เป็นคนคุ้นเคยให้กว้างมากขึ้น จึงเป็นที่มาให้นักศึกษาสามารถเชิญคนอื่นมาร่วมงานได้อีกหนึ่งคน

แม้ว่าที่ผ่านมา บุคคลทั้งหลายที่เหล่านักศึกษา ชวนมาร่วมงานจะมีทั้งพี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อน หรือคนรักที่หลายคนมักจะชวนมาด้วยนั้น ทำให้เกิดการเข้าใจกันไปผิดๆว่า งานนี้เป็นงานเปิดตัวคนที่นักศึกษาแพทย์กำลังคบหาดูใจกัน ซึ่งก็คงจะเป็นกรณีเดียวกันกับการถือหมอนงานบวชนั่นเอง

แต่สำหรับงานปีนี้คนที่วีรมาตุจะชวนไปด้วยนั้น เริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว

“เฮ้อ...”

(เอ้า พรือหล่าวนิ พอกูเปิดกล้องแล้วมึงก็มาเฮือกๆใส่ เป็นอะไรของมึง) เสียงของหนุ่มผิวเข้มส่งผ่านเครื่องโทรศัพท์ไปยังหนุ่มตี๋ผิวขาวที่มีชื่อเล่นเดียวกันกับเขา

“เซ็ง” ศศิทัศน์ตอบเพียงสั้นพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์

(เซ็งเรื่องอะไรวะ) วิธูพยายามเข้าใจอาการของอีกฝ่าย

“หลายเรื่อง”

(ไอ้ที่หลายเรื่องน่ะมันเรื่องไหนบ้าง ว่ามา) วิธูแสดงท่าทางว่าเขากำลังรอฟังอย่างใจเย็น

“ทั้งเรื่องไอ้วีร์ เรื่องเฮีย ข่าวลือทั้งหลายแหล่ ไม่รู้จะอะไรกันนักหนา” ศศิทัศน์ก็ยังไม่คลายความบึ้งตึงไปจากใบหน้าของเขา

(พวกขี้เสือก อย่าไปเอาอะไรมาก ปวดหัวเปล่าๆ)

“แล้วไปขุดเรื่องพี่มึงขึ้นมาได้ไงก็ไม่รู้”

(อันนั้น เพื่อนกูเองแหล่ะ) วิธูสารภาพหน้าตาเฉย

ศศิทัศน์ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที หมายกำลังจะคาดโทษไปแล้วแต่วิธูก็อธิบายเพิ่มเติมเสียก่อน

(กูไปถามมันมาแล้ว มันไม่ได้ตั้งใจ มันบอกว่ามันส่องโน้นนี่นั่นไปเรื่อยแล้วก็เจอเรื่องของไอ้วีร์กับเฮียมึง มันก็เลยสงสัยแล้วโพสถามลงไปว่ามีแฟนใหม่แล้วเหรอ จากนั้นก็มีคนอินบ๊อกซ์มาหามันเต็มเลย มันไม่ได้ตอบทุกคนหรอก มีบางคนที่มันเข้าไปเห็นโปรไฟล์แล้วว่าอยู่โรงเรียนมึงก็เลยตอบไปสองสามคน ประมาณนั้น)

“แล้วไง... แล้วเพื่อนมึงก็เลยสร้างเรื่องอาถรรพ์อะไรนั้นขึ้นมาเหรอวะ”

(โอ้ย... ไม่ใช่ เรื่องนั้นน่ะเก่าตั้งนานแล้ว พี่กูออกตัวปิดข่าวเองไปเรียบร้อยแล้ว กูก็ไม่คิดนะว่าใครจะหยิบมาเล่นอีก ส่วนเพื่อนกูที่ว่าเนี่ยก็สนิทกับไอ้วีร์นั่นแหล่ะ มันโทรไปเคลียร์กับไอ้วีร์เรียบร้อยแล้ว)

“ไม่รู้เว้ย” ศศิทัศน์ยังรู้สึกขัดใจอยู่อย่างเดิม

(แล้วนี่ได้คุยกับมันแล้วยัง ว่าจะไปงานมั้ย)

“ยัง เห็นเฮียบอกว่ามันติดงาน แต่กูว่าข้ออ้าง กูสงสัยว่ามันไปรู้เรื่องได้ไงวะ ไอ้วีร์ไม่เล่นทวิตไม่ใช่เหรอ”

(มันบอกเหรอ) วิธูถาม

“ใช่ มันบอกเองว่ามันไม่มีแอคทวิตแอคเฟซ มีแต่ไลน์กับไอจี” ศศิทัศน์ทำท่านึกตามไปด้วยว่ามีอะไรเพิ่มเติมอีก

(ก็ไม่ผิด... แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เล่น)

ศศิทัศน์วางใจไปได้เพียงไม่นาน คำตอบของวิธูทำให้เขาสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง

(มันเคยมีทวิตเตอร์แต่ลบไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะส่องไม่ได้ ใช่มั้ย)

“แสดงว่ามันก็รู้เรื่องทั้งหมดใช่มั้ย” ศศิทัศน์ถามให้แน่ใจ

(ไม่แน่ อาจจะ)

ศศิทัศน์ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง

(ยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอวะ เห็นยังเฮ้อๆ ไม่หยุด)

“ไม่อะ มีแค่นั้นแหละ”

(นึกว่าจะเครียดเรื่องมีคนมาทาบทามเฮียมึงไปแสดงซีรี่ส์ซะอีก)

ศศิทัศน์ส่งเสียงคำรามในทันที

“เรื่องนั้น อย่าเอามาพูดให้เป็นเสนียดหูกูเลย” สีหน้าของศศิทัศน์แสดงออกชัดเจนว่าไม่เอาด้วยอย่างแน่นอน

(ทำไมวะ เป็นนักแสดงไม่เห็นจะเสียหายอะไร) วิธูถามด้วยความสงสัย

“อย่ามา กูแอบไปดูไอ้ที่ผู้จัดค่ายนั้นโพสไว้แล้ว” ศศิทัศน์ส่ายหน้ารัวๆอย่างสะอิดสะเอียน “แม่ง มันไม่ได้อย่างแรง มีที่ไหนวะบอกจะถ่ายทำซีรี่ส์ออกมาเป็นสามเวอร์ชั่น อันแรกไว้ออกทีวี แล้วก็มีไดเร็กเตอร์คัตเพิ่มฉากไว้ขึ้นออนไลน์ แล้วยังมีซูปเปอร์อันคัตพิเศษเด็ดสุดๆไว้ปล่อยทาง อลฟ.”

(ห๊ะ เดี๋ยวนี้มันต้องอะไรถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ)

“บอกว่าอะไรนะ เพื่อให้เนื่อหาครบถ้วนตามในนิยาย เห็นมีคนกรี๊ดกร๊าดเต็มฟีดบอกทำเลยๆ เห๊อะ สงสัยเอาส้นตีนคิด”

(แล้วไอ้นักร้องรุ่นพี่อะไรของมึงนั่นยอมเหรอวะ)

“ไม่รู้เว้ย แต่สำหรับเฮีย ไม่ได้เด็ดขาด ห้าม!”

วิธูหัวเราะท่าทางควันออกหูของศศิทัศน์ เหมือนกำลังมองตัวเองเมื่อหลายปีก่อนเวลาที่มีใครพยายามเข้ามาแทรกระหว่างพี่ชายและเพื่อนสนิทของเขา

(เออ ช่างเขาเหอะ เฮียมึงยังไงก็ไม่เอาอยู่แล้วนิ) ศศิทัศน์ก็พยักหน้ารับ (อ้อ... แล้วก็ ไอ้พวกแฝดมันบอกมึงรึยังว่าเดี๋ยวปีใหม่กูจะขึ้นไป อีดำมันจะไปด้วย แต่อย่าเพิ่งไปบอกไอ้วีร์นะ)

“ยังเลย กะจะมาเซอร์ไพรซ์มันเออ”

(ใช่ จะพาอีดำไปเซอร์ไพรซ์มัน)

“โอเค งั้นไว้ค่อยว่ากัน”

ศศิทัศน์บอกลาวิธูแล้วก็ปิดโทรศัพท์ สองนิ้วมือยกขึ้นบีบนวดสันจมูกเผื่อว่ามันจะช่วยให้เขาลดความกังวลลงไปได้บ้าง หากว่าความลี้ลับเหนือธรรมชาติอย่างอาถรรพ์มีอยู่จริง เขาก็อยากจะให้ตัวเองมีเวทย์มนต์เพียงแค่ดีดนิ้วแล้วทุกอย่างก็คลี่คลายไปหมดเสียจริงๆ


*****


หลังเลิกเรียนวันนี้ วีร์ไม่ได้มีงานชมรมที่ต้องไปจัดการแต่ก็ไม่ได้อยู่เล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆหรือติววิชาเรียนก่อนสอบกลางภาคเรียน เพราะว่าได้รับโทรศัพท์ด่วนหลังเลิกเรียนในทันที ทำให้ต้องมาเดินอุ้มเด็กตัวน้อยๆในห้างสรรพสินค้าและมีผ้าอ้อมพาดบ่ารองเอาไว้กันเปื้อน ระหว่างที่พ่อและแม่ของเด็กไปเดินเลือกของใช้จำเป็นอยู่

“ไงมึง มาทำอะไรอยู่นี่วะ”

เสียงเรียกทำให้วีร์หันมา ก็พบกับชัชวาลเดินตัวเปล่าอยู่คนเดียว

“อ้าวเฮียชัช สวัสดีครับ” วีร์ยกมือขึ้นทักทายรุ่นพี่เท่าที่เขาทำได้ในขณะที่ต้องประคองเด็กเล็กไปด้วย

“แล้วนี่ น้องธรรึเปล่าเอ่ย” ชัชวาลเอี้ยวตัวมองเด็กเล็ก วีร์เองก็พยายามจับมือธรทักทายแต่เด็กน้อยกลับเบือนหน้าไปอีกทาง “กี่เดือนแล้วเนี่ย”

“จะห้าเดือนแล้วครับ”

“แป๊บๆก็โตขนาดนี้แล้วนะ” ชัชวาลยังคงพยายามเรียกความสนใจจากเด็กน้อยแต่ก็ยังไม่สำเร็จ

“เฮียมาคนเดียวเหรอครับ” วีร์ส่ายสายตามองไปรอบๆ

“มาคนเดียว เบื่อๆขี้เกียจอ่านหนังสือ ก็เลยออกมาเดินเล่น”

“ถ้าอย่างเฮียชัชขี้เกียจ คนอื่นๆคงสันหลังยาวเป็นกิโลแล้วมั้งครับ”

“ไม่ขนาดมั้ง คนเรามันก็ต้องมีบางโมเมนต์กันบ้าง” ชัชวาลเริ่มถอดใจที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรธรก็ไม่สนใจเขาอยู่ดี จึงย้ายความสนใจมาที่คนพี่แทน “แล้วนี่ สรุปว่ามึงจะไปงานรึเปล่า”

“เอ่อ ก็…ยังไม่แน่ครับ” วีร์ชะงักไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะโดนถามเรื่องนี้ แล้วก็เสมองไปทางอื่น ชัชวาลเองก็พอจะสังเกตอาการได้

“วีร์ กูถามจริงๆนะ ติดธุระจริงๆหรือว่าอย่างอื่น”

วีร์เองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไรดี ธุระที่ว่านั้นเป็นเรื่องของชมรมถ่ายรูปที่ใครก็ไปทำแทนได้ อาจารย์พิจิตราก็บอกเพียงแค่ขอความช่วยเลือกจากคนที่ว่างอยู่ ไม่ได้บังคับให้ใครต้องไปทำ วีร์จึงถือโอกาสรับงานนั้นไว้เพราะเห็นว่าตรงกับวันจัดงานของคณะแพทยศาสตร์พอดี

“งั้นกูถามใหม่ ทำไมถึงไม่อยากไปงาน” ชัชวาลถามแล้วเว้นจังหวะรอฟังคำตอบ แต่ดูท่าทางของวีร์ที่ยังอ้ำอึ้งอยู่ ชัชวาลจะเลือกที่จะพูดต่อแทน “มึงน่าจะได้ไปเห็นไอ้วีช่วงนี้นะว่ามันเป็นยังไงบ้าง”

“ทำไมเหรอครับ เฮียเป็นไงเหรอครับ” คำพูดของชัชวาลทำให้วีร์นึกเป็นกังวลขึ้นมาอยู่ไม่น้อย

“ดูทำหน้าเข้า เป็นห่วงมันก็ยอมรับมาเหอะ” ชัชวาลลอบหัวเราะเบาๆก่อนที่จะพูดต่อ “ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอก ประมาณว่า... ทุกวันนี้มันจะทำอะไรแต่อย่างก็มองแล้วมองอีก จะหยิบจะจับ จะเดินจะเหินไปไหนก็ระวังไปซะหมด กลัวว่าจะเป็นอะไรขึ้นมา บางทีกูก็คิดว่า เยอะไปมั้งมึง แต่มันบอกว่าก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”

วีร์เอาคำบอกเล่านั้นมาคิดและพอจะเข้าใจว่าทำไมวีรมาตุถึงระมัดระวังตัวขนาดนั้น

“มันก็กลัวว่าใครต่อใครจะหาเรื่องมาว่ามึงได้ไง”

วีร์มองตอบกลับชัชวาลอย่างเข้าใจ แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะต้องทำอะไร

“เห็นเฮียวีส่งผลที่วัดน้ำหนัก ส่วนสูง ความดันมาให้อยู่เรื่อยๆ”

“มันส่งไปให้มึงดูด้วยเหรอ... อันนั้นน่ะ อาจารย์หมอสั่งให้ทำทุกวัน ตรวจวัดร่างกายตัวเองแล้วก็บันทึกไว้ สิ้นเดือนต้องทำสรุปส่งด้วย อาจารย์เขาบอกว่าก่อนจะไปรักษาให้คนอื่นก็ต้องรักษาตัวเองให้ดีก่อน แล้วก่อนที่จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องรู้จักสภาพร่างกายของตัวเองซะก่อนแล้วค่อยมาวินิจฉัยอาการ พวกผู้หญิงนะกรี๊ดลั่นห้องที่ต้องมาชั่งน้ำหนักทุกวัน” ชัชวาลส่งเสียงหัวเราะออกมาจนธรหันหน้ามาดูครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับไปตามเดิม

“แล้วถ้าน้ำหนักเกิน ความดันเกิน ต้องทำอะไรรึเปล่าครับ”

“อาจารย์บอกว่าก็แล้วแต่เลย ให้ตัดสินใจเอาเอง ต่อไปที่จะไปบอกคนไข้ว่าจะต้องทำตัวอะไรยังไงบ้าง ตอนนี้ก็ลองฝึกบอกตัวเองไปพลางๆก่อน แล้วดูว่าสำเร็จมั้ย” ชัชวาลยังคงคอยสังเกตท่าทางของวีร์อยู่เนืองๆ “ไอ้วีมันก็ออกไปวิ่งออกกำลังกายตามปกติของมัน อย่างกูเนี่ยยังฉุดตัวเองออกไปไม่ได้สักที”

วีร์ยังคงครุ่นคิดจากสิ่งที่ได้ฟัง ตัวเขาเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องคำสาปอาถรรพ์ที่ใครต่อใครบอกว่าติดตัวเขามา เพียงแต่เขาไม่ชอบเป็นหัวข้อสนทนาจากคนที่เขาไม่รู้จัก นอกเสียจากว่าเขาไม่เห็นหรือไม่ได้ยินก็แล้วกันไป แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะแอบเข้าไปอ่านดู

“เรื่องงานน่ะ ถ้าไม่อยากไปจริงๆก็บอกมันไปตรงๆมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร มึงไม่ไปมันก็แค่ไปคนเดียว กูยังไปคนเดียวเลย ไม่รู้จะชวนใครไป”

วีร์ก็พยักหน้ารับ

“อย่าไปคิดมาก” ชัชวาลย้ำอีกครั้งให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องได้สบายใจ “คำพูดคนอื่นน่ะ อย่าไปอ่านไปฟังเยอะ เขาถือแค่ว่าเขามีสิทธิ์จะพูดอยากจะเขียนอะไรก็ได้ตามใจเขา แต่ถ้ามึงเห็นแล้วไม่โอเคจริงๆ ลองบอกไอ้พวกแฝดส่งทนายของเครือล้ำเลิศมาช่วยสักทีก็ดีเหมือนกันนะ เผื่อว่าบางคนมันจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองด้วย แต่ถ้ารับไม่ไหวก็ควรจะอยู่เงียบๆไปตั้งแต่แรก”

วีร์รู้สึกเหมือนจะโล่งใจได้ขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังมีเรื่องกังวลเหลืออยู่บ้าง ในขณะที่กำลังรอคอยผู้ใหญ่ทั้งสองเสร็จธุระ สองมือยังคงอุ้มเด็กน้อยประคองไว้ ความคิดก็กำลังล่องลอยไปเรื่อยๆ

“ไอ้วีร์”

เสียงเรียกดังมาแต่ไกลจนวีร์ต้องหันมองตาม ก็ไม่คิดว่จะได้พบกับเพื่อนตี๋ของเขาที่ไม่ได้มาแค่คนเดียว ยังมีศุภกรและมะลิวัลย์ที่เดินตามมาไม่ห่าง และซิ่งฮวาที่อยู่รั้งท้ายโดยมีวีรมาตุเดินตามมาด้วยกัน

“นึกว่ากลับบ้าน เห็นรีบออกมา” ศศิทัศน์ตรงเข้ามาทักทายเด็กน้อยทันทีเดินมาถึง “อ้าวเฮียชัช มาด้วยเหรอครับ”

“มาเดินเล่นน่ะ” ชัชวาลมองเลยไปถึงศุภกรและมะลิวัลย์ “ป๊ากับม้า สวัสดีครับ”

ผู้ใหญ่ทั้งสองก็รับไหว้เป็นอย่างดี ในเมื่อชัชวาลเอ่ยปากไปแล้ว ผู้เยาว์อย่างวีร์จะไม่ยกมือขึ้นทักทายเลยก็คงจะผิดมารยาท ส่วนผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่รับไหว้ชัชวาลแล้วจะไม่รับไหว้วีร์ก็จะดูผิดวิสัยไปหน่อย โดยเฉพาะศุภกร

“อาม่า สวัสดีครับ” ชัชวาลเดินอ้อมไปทักทายหญิงสูงวัย

“มาด้วยรึ อาคุณชัช”

“วันนี้ไม่มีใครอยู่หอเลยครับ ก็เลยออกมาเดินเล่นพักสมองครับอาม่า”

“ไม่รู้ว่าว่าง ไม่งั้นจะได้ให้อาตั้วตี๋ชวนมาด้วยกันแต่แรก งั้นเดี๋ยวไปกินด้วยกันเลย ไหนๆก็มาแล้ว” ซิ่งฮวาชวนชัชวาลไปร่วมอาหาร

“ไม่ดีกว่าครับ นี่ก็เดินไปด้วยแวะกินโน้นกินนี่ไปด้วยอิ่มแล้วครับ เดี๋ยวก็ว่าจะกลับแล้ว แต่บังเอิญเจอน้องซะก่อน”

ซิ่งฮวามองตามชัชวาลไป ก็ไปเจอกับเด็กหนุ่มที่กำลังอุ้มเด็กน้อยอยู่

“อาคุณวีร์ แล้วอาตี๋น้อยนี่ใครเหรอ” ซิ่งฮวาเดินไปหาเด็กน้อยที่กำลังพิจารณาคนแปลกหน้ากลุ่มนี้อยู่

“น้องธรครับอาม่า” วีร์ตอบกลับหญิงสูงวัย

“ไอ้หยา... อีโตขนาดนี้แล้วเหรอ” ซิ่งฮวาทำหน้าทำตาหยอกล้อกับเด็กน้อย

“จะห้าเดือนแล้วครับ”

“แล้วนี่มึงมาอยู่กับน้องธรที่นี่ได้ไงวะ” ศศิทัศน์ถามและมองดูรอบๆ

“โน้นไง” วีร์บุ้ยหน้าไปอีกทางให้ศศิทัศน์หันมองตาม ก็เห็นธีร์และวนกรเดินถือของพะรุงพะรังตรงมาหาพวกเขา “หมดห้างแล้วยัง”

“ก็ของจำเป็นทั้งนั้นแหละ” ธีร์ตอบกลับน้ำเสียงปนความหมั่นไส้เล็กๆ แล้วทั้งธีร์และวนกรก็หันไปทักทายผู้อาวุโสกว่าทั้งสามคน

“มาซื้อของกันเหรอ รีบกลับรึเปล่า” ซิ่งฮวาถามคู่สามีภรรยา

“ก็กำลังคิดว่าเดี๋ยวเอาของไปเก็บที่รถก่อนแล้วค่อยไปหาอะไรกินก่อนกลับค่ะ อาม่า” วนกรตอบกลับแทนคนในครอบครัว

“เหรอ... อามะลิ ลื้อโทรไปถามที่ร้านให้หน่อยว่าเพิ่มอีกสามที่ได้มั้ย แล้วก็มีเด็กด้วยอีกคน” ซิ่งฮวาหันไปบอกลูกสะใภ้ของเธอ แม้ว่าศุภกรได้ยินแล้วจะกระตุกไปบ้างแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ดีอยู่ กำลังคิดที่จะออกปากแย้งแต่มะลิวัลย์ฉวยโอกาสรับคำแม่สามีเสียก่อน

“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ อาม่า หนูเกรงจะไปรบกวนเปล่าๆ”

“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง นานๆทีน่ะ”

จากที่เดิมที่ตั้งใจจะปฏิเสธจนกลับต้องมายอมรับคำเชิญ มีหลายคนที่รู้สึกลำบากใจไม่น้อย แต่คงจะไม่ใช่ศศิทัศน์ที่กำลังหน้าบานกว่าใคร

“เรียบร้อยแล้วค่ะม้า เพิ่มที่ได้อีก” มะลิวัลย์บอกแม่สามีทันทีที่กดวางโทรศัพท์

“ดีเลย งั้นเดี่ยวก็เดินไปด้วยกันเลยนะ” ซิ่งฮวาเอ่ยปากชวนทุกคน รวมไปถึงชัชวาลที่ตอบปฏิเสธไปก่อนหน้านี้ “อาชัช ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ”

“แน่ครับ เดี๋ยวผมก็กลับแล้วครับ งั้นผมลาตรงนี้เลยนะครับ” ชัชวาลยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ทุกคน แล้วก็ลาวีรมาตุเป็นคนสุดท้ายก่อนที่จะแยกตัวออกไป “ไปก่อนนะมึง”

วีรมาตุก็พยักหน้ารับ

“งั้นเดี๋ยวหนูขอเอาของไปเก็บไว้ที่รถก่อนนะคะเดี๋ยวตามไป” วนกรและธีร์ขอปลีกตัวแยกไปก่อน

“ผมช่วยครับ” ศศิทัศน์รีบเสนอตัวช่วยแบ่งถือของมาจากคู่สามีภรรยา “เดี๋ยวจะได้เดินไปที่ร้านด้วยกันถูก”

เมื่อตกลงกันได้แล้ว ธีร์ วนกร และศศิทัศน์จึงแยกตัวออกไป ศุภกรและมะลิวัลย์ก็เดินนำคนที่เหลือไปที่ร้านอาหารที่จองไว้ ซิ่งฮวาเดินตามไปพร้อมกับพยายามคุยกับเด็กน้อยที่ยังคงซบบ่าของวีร์ โดยมีวีรมาตุเดินตามรั้งท้าย

ศุภกรลอบหันมามองเป็นครั้งคราวแล้วก็หันกลับไปทอดถอนใจ จนมะลิวัลย์ก็รู้สึกเอ็นดูกับท่าทางเหล่านั้น

“ป๊า มีอะไรเหรอ”

“เปล่า” ศุภกรตอบกลับสั้นๆ แต่ก็ทำให้มะลิวัลย์อมยิ้มได้

“แค่ไปกินข้าวเองป๊า ไม่ใช่มาดูตัวกันสักหน่อย”

“ดูตัวอะไรละ พ่อแม่เขาไม่ได้มาด้วยกันสักหน่อย” ศุภกรยังคงรักษาท่าทางไว้เหมือนเดิม

“ทำไม ถ้าพ่อแม่เขามาด้วย ป๊าจะยอมออกหน้าสู่ขอเหรอ” ศุภกรไม่ได้พูดตอบกลับมะลิวัลย์แต่ก็เหล่ตามามองขวาง “ม้าล้อเล่น น้องเขาอยู่แค่ ม.5 เอง ลูกเรายังไม่รีบขนาดนั้นหรอก”

ท่าทางของศุภกรที่แสดงออกมาทำให้มะลิวัลย์สอดนิ้วมือไปกุมมือของอีกฝ่ายไว้

“อะอะ ม้าไม่เล่นแล้ว สรุปว่าป๊าเป็นอะไร”

ศุภกรหันไปชำเลืองกลุ่มคนด้านหลังอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะตอบ

“ถ้าในอนาคตพวกเขาจะสร้างครอบครัวได้แบบนี้จริงๆก็ดีสินะ”

มะลิวัลย์จึงหันไปมองบ้าง ก็เห็นวีรมาตุที่กำลังเดินประกบอยู่ข้างๆมองดูวีร์ที่กำลังช่วยซิ่งฮวาสื่อสารกับธร แล้วเธอก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะหันกลับมาหาสามีของเธอ

“ป๊ายอมรับภาพที่เห็นว่าเป็นเหมือนเรื่องปกติทั่วไปได้แล้วใช่มั้ย”

ศุภกรไม่ได้พูดตอบยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ มะลิวัลย์จึงตบบ่าของสามีเธอเบาๆ

“ก็ไม่แน่หรอกป๊า เทคโนโลยีมันพัฒนาไปทุกวัน ใครจะรู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง อาจจะมีคนคิดวิธีให้ผู้ชายสองคนมีลูกด้วยกันได้ ม้าเพิ่งจะเห็นในข่าวเมื่อวาน” อย่างหลังนี่มะลิวัลย์ทำเป็นแอบกระซิบกับศุภกร แล้วจึงกลับมาพูดปกติตามเดิม “ดูอย่างสมัยเราเด็กๆสิกว่าจะได้เจอกันต้องแอบเขียนจดหมายน้อยฝากคนโน้นคนนี้ไปให้ ผ่านมาไม่กี่สิบปีแล้วเดี๋ยวนี้เป็นไงละ นั่งอยู่ตรงหน้ากันเห็นๆแต่ไม่รู้ว่ากำลังก้มหน้าคุยอะไรกับใครอยู่ในโทรศัพท์”

ศุภกรก็ลอบยิ้มมุมปากนึกเห็นด้วยกับสิ่งที่มะลิวัลย์บอก โดยเฉพาะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขวไปมาภายในห้างสรรพสินค้าต่างก็มีโทรศัพท์อยู่ในมือเสมือนเป็นอวัยวะที่สามสิบสาม หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปเร็วมากในชั่วอายุเขาและไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลอีกแค่ไหนในอนาคต

“ใครจะไปคิดว่าคนรุ่นเราที่ตอนเด็กๆต้องจุดเตาถ่านหุงหาอาหาร แล้วนี่เรายังไม่ทันจะเกษียณอายุทำงาน อะไรๆก็ทำได้ในมือถือทั้งหมด”

“ใช่ ต้องขอบคุณคนที่ช่วยกันพัฒนาเทคโนโลยีให้เจริญรุดหน้ามาถึงขนาดนี้ มือถือเครื่องเดียวทำได้ทุกอย่าง ไม่แน่นะต่อไปเราไม่จำเป็นต้องมี สส. เลยก็ได้ ทุกอย่างให้ทุกคนตัดสินใจโดยตรงได้ทั้งหมด ม้าเห็นที่ตี๋ใหญ่ลงคะแนนของมหาวิทยาลัยเขาอยู่ทุกสัปดาห์น่ะ” มะลิวัลย์อธิบายเพิ่มเติม

“อันนั้นน่ะมันเฉพาะภายในมหาวิทยาลัยมันก็ได้อยู่หรอก อย่างมากก็แค่สามสี่หมื่นคน แต่ขึ้นมาระดับประเทศมันฝันเฟื่องแล้วม้า ใครจะไปยอมเสียอำนาจในมือตัวเอง”

“ก็ต้องรอดูกันไปว่าระหว่างระบบผู้แทนหายไป กับผู้ชายสองคนมีลูกกันเองได้ อันนั้นจะเกิดก่อนกัน”


*****


มื้ออาหารระหว่างสองครอบครัวผ่านไปอย่างชื่นมื่น แม้จะมีความอลหม่านไปบ้างเล็กน้อย เนื่องจากเด็กชายธรที่เริ่มคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าจึงขอร่วมวงสนทนาด้วยการส่งเสียงอ้อแอ้ดังไปทั่วร้าน ซึ่งก็สร้างความสนุกสนานครื้นเครงให้กับทุกคน

“ขอบคุณนะคะ แต่เกรงใจที่จ่ายค่าอาหารให้ด้วย” วนกรกล่าวขอบคุณซิ่งฮวาและครอบครัว

“คนกันเองน่ะ ไม่เป็นไรหรอก” ซิ่งฮวาโบกไม้โบกมือบอกปัด

“งั้นคราวหน้าพวกหนูขอเป็นฝ่ายเลี้ยงตอบแทนก็แล้วกันนะคะ” วนกรจึงเสนอวิธีใหม่ขึ้นมาแทน

“พูดแล้วนะ” ซิ่งฮวามองกลับด้วยสายตาวิบวับแวววาว

“ได้ค่ะ” วนกรรับคำอย่างหนักแน่น

“เดี๋ยวไว้ค่อยให้อาตั้วตี๋ไปนัดกับอาคุณวีร์ก็แล้วกันนะ” ซิ่งฮวาพอใจกับคำตอบรับจนยิ้มหน้าบาน

“ให้เพื่อนเขาไปคุยกันเองไม่ดีกว่าเหรอม้า” ศุภกรแทรกถามขึ้นมาด้วยความสงสัยอย่างแท้จริง เพราะคิดว่าเพื่อนห้องเรียนเดียวกันน่าจะคุยกันได้รวดเร็วกว่านักเรียนกับนักศึกษามหาวิทยาลัย

เสียงฮึดฮัดไม่พอใจแต่แสดงออกไม่ได้มากนักของซิ่งฮวา ทำเอาศุภกรรู้สึกแปลกใจว่าเขาทำผิดอะไร ร้อยถึงมะลิวัลย์ต้องรีบเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยหาเวลาว่างตรงกันนะคะ”

ผู้ใหญ่ว่ามาผู้น้อยก็เลยว่าตาม แม้ว่าจะไม่ได้รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะแต่ก็ให้เข้าใจได้ว่าไม่ได้ปฏิเสธ

“งั้นเดี๋ยวกลับกันเลยมั้ยคะป๊า อาม่า ดูน้องธรสิตาปรือแล้ว จะได้กลับไปพักผ่อนด้วย” มะลิวัลย์ชี้ชวนให้ทุกคนหันไปดูเด็กชายธรที่กำลังซบไหล่ของวีร์อยู่

“อะอะ ก็ได้” ซิ่งฮวาเดินเข้าไปใกล้ๆเด็กตัวน้อย “แข็งแรงๆ โตไวๆนะ” อวยพรแล้วก็ลูบผมของเด็กชายเบาๆ

แล้วต่างฝ่ายก็ออกตัวลา แยกย้ายกันไปแต่ละครอบครัว

“เสียดายนะ” หญิงสูงวัยพึมพำออกมาระหว่างที่เดินไป

“อะไรเหรอครับอาม่า” ศศิทัศน์ถาม

“ก็อาคุณวีร์เขามากับที่บ้าน ไม่งั้นจะได้ให้อาตั๊วตี๋ขับรถไปส่งได้” ซิ่งฮวาแสดงสีหน้าออกมาว่าเสียดายจริงๆ

“ม้า!” ศุภกรร้องอุทายออกมา

“ทำไม ก็ขืนรอให้พวกลื้อสองคนจัดการกันเอง อาคุณวีร์ก็หลุดมือไปเป็นหลานเขยคนอื่นอะสิ”

ศุภกรหน้าเหวอขึ้นมาในทันทีเพราะไม่คิดว่าแม่ของเขาจะมีความคิดแบบนั้นมาก่อน ในขณะที่สองแม่ลูกอย่างมะลิวัลย์และศศิทัศน์ต่างก็พยายามอมยิ้มไว้ไม่ให้หัวเราะเสียงดังออกมา ส่วนวีรมาตุนั้นเริ่มทำตัวไม่ถูก เขาควรจะดีใจใช่หรือไม่ที่รู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดของครอบครัวเห็นดีงามกับความรักของเขา

“ดูทำหน้าเข้า” ซิ่งฮวามองดูศุภกร “ทำไม คิดว่าอั๊วเป็นพวกหัวโบราณรึยังไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับม้า” ศุภกรรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ถ้าอาตั๊วตี๋พลาดจากอาคุณวีร์เพราะลื้อนะ ลื้อจะโดนไม่ใช่น้อย” ซิ่งฮวาชี้หน้าคาดโทษลูกชายของเธอ

“อั๊วยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะม้า”

“ไม่รู้ละ” ซิ่งฮวาว่าเลยก็จับแขนวีรมาตุออกเดินนำทุกคนไป ไม่ได้รอฟังแก้ตัวอะไรจากศุภกรอีก โดยมีศศิทัศน์เดินตามไปติดๆช่วยพูดผสมโรงเออออออกรสออกชาติ เพราะว่านี้เป็นครั้งแรกสำหรับตัวเขาเช่นกันที่ได้รู้ว่ามีคนอื่นในครอบครัวที่สนับสนุนความรักของพี่ชายเพื่อนของเขานอกจากมะลิวัลย์ผู้เป็นมารดา

มะลิวัลย์ตบบ่าสามีของเธอเบาๆเป็นการให้กำลังใจ แล้วก็ชวนกันเดินตามคนอื่นๆไปที่ลานจอดรถยนต์


*****


(รูปภาพ)
ศศิทัศน์ ราวัณ: มื้อนี้อิ่มมาก
ไมตรีจิต นิยมทอง: นี่มันครบองค์ประชุมเลยนะเว้ยเห้ย
พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล: อะไรกัน เกิดอะไรขึ้น ทำไมกูตกข่าว
คุณกร ศุขเจริญชัย: หลานกูน่ารักจริง หรือใครจะเถียง ใช่มั้ย @วีรมาตุ ราวัณ
ชัชวาล เก่งการเรือน: มีคนหน้าบานจนหุบไม่ได้ สงสัยว่าหนังสือไม่ต้องได้อ่านหนังสือแล้วคืนนี้
มีมี่ มิมีใคร เอามาแล้วจ้า: อร๊ายยยย คอนเฟิร์มแล้วใช่มั้ยค้า


.....


หลังจากที่จัดการภารกิจประจำวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งทิ้งขยะ ให้อาหารสุนัขทั้งสองตัว รดน้ำต้นไม้ ปิดบ้านปิดไฟชั้นล่างและขึ้นบ้านไปอาบน้ำแต่งชุดนอนแล้ว เสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้นตอนที่วีร์กำลังจะปิดไฟนอน ทำให้ต้องหยิบแว่นขึ้นมาสวมใส่ และเสียบหูฟังไร้สายไว้ที่หูทั้งสองข้าง ก่อนที่จะเลื่อนหน้าจอรับการสนทนาผ่านวิดีโอ

“มีไร คอลมาป่านนี้” วีร์มองดูเด็กหนุ่มผิวเข้มที่อยู่ในชุดประจำตัวเตรียมนอนไม่ต่างไปจากเขาเท่าไรนัก

(ม้าย โทรมาเฉยๆ)

วีร์ส่งสายตาเขม็งกลับไปหาวิธู

(ไซ ง่วงแล้วเออ)

“ม้าย แล้วตกลงมีอะไร”

(ก็... เห็นรูปที่ไอ้ต่ายลงในเฟชมันแล้วม้าย) วิธูถามถึงภาพถ่ายรวมทุกคนระหว่างสองครอบครัวที่เพิ่งจะไปรับประทานอาหารร่วมกันมา

“เห็นแล้ว มันมาถามก่อนเอาไปโพสลงแล้ว”

วิธูทำปากบึนพร้อมกับพยักหน้ารับรู้

“ไซอะ มีอะไร”

(ม้าย ถามไปงั้นแหละ ก็นึกว่าเขานัดดูตัวกัน) วิธูพยายามกลั้นหัวเราะหลังจากที่พูดจบ

“ดูตัวอะไร แค่บังเอิญเจอ แล้วอาม่าก็ชวนไปกินข้าวด้วยกัน”

วิธูยิ้มตอบอย่างรู้ทันว่าวีร์แกล้งตอบกลบเกลื่อนอาการเขิน

(แล้ว... จะไปงานมั้ยนิ)

“งานอะไร” วีร์ถามกลับเพราะตามหัวข้อที่เปลี่ยนไปไม่ทันจริงๆ

(ก็ Med Party ไง จะไปมั้ย)

วีร์ถอนหายใจก่อนที่จะตอบ

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

(แล้วไซถึงไม่ไป) วิธูพอใจกับคำตอบของวีร์ที่ดูมีแนวโน้มไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ เพราะวีร์ไม่ได้ปฏิเสธอย่างจริงจัง แต่มีท่าทีลังเล ส่วนสาเหตุที่ทำให้วีร์ตัดสินใจไม่ได้นั้น วิธูยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก

ส่วนวีร์ก็พยายามหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่เหมือนกัน

(มึงไม่บอก งั้นกูลองถามนะ จริงๆมึงว่างใช่มั้ย)

“ก็... มั้ง” วีร์ตอบสั้นๆ

(งั้น... จริงๆมึงอยากไปงานใช่มั้ย)

“ก็... คงอยากมั้ง” วีร์หยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

(จริงๆมึงรักเฮียแล้วใช่มั้ย)

“ก็... งั้นมั้ง” ปากขยับตอบไปโดยอัตโนมัติ แต่แล้วเจ้าตัวก็ชะงักไป “เห้ย ไม่ใช่”

(ไม่ทันแล้วมึง เต็มสองรูหูเลย)

วีร์เม้มปากเข้าหากัน มองดูวิธูหันข้างทั้งซ้ายและขวาให้เห็นใบหูทั้งสองข้าง

(รักแล้วไงวะ ไม่เห็นเป็นไรเลย)

วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไรไป ความรู้สึกดีๆที่มีให้เด็กหนุ่มรุ่นพี่นั้นเขายอมรับว่ามีจริง แต่ส่วนที่ว่ามีมากขนาดไหนนั้น เขายังไม่แน่ใจตัวเองนัก

(งั้นระหว่าง จากคำบอกเล่าของชาวโซเชียล ว่า...) วิธูกระดิกนิ้วทั้งสองข้างเป็นฟันกระต่ายเน้นย้ำว่าต่อจากนี้ไม่ใช่คำพูดของเขาเอง (...มึงมีอาถรรพ์ติดตัวทำผัวตายทุกคน กับมึงใจง่ายแฟนเก่าไปไม่ทันไรก็มีแฟนใหม่แล้ว มึง... ไม่ชอบอันไหนสุด...)

วิธูนิ่งเงียบรอฟังคำตอบจากวีร์ที่ดูสีหน้าหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด

(หรือว่าทั้งคู่)

วิธูคิดว่าเขาเจอต้นตอของปัญหาในตอนนี้แล้วจากอาการของวีร์ที่แสดงออกมา

“เรื่องคำสาปอาถรรพ์ กูไม่คิดว่ามีจริง”

(แต่มึงเริ่มคิด) วิธูพูดขัดวีร์ขึ้นมา ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธ (ถ้าไอ้การแค่มึงชอบพี่กูแล้วทำให้พี่กูเป็นอะไรจริงๆ พี่กูคงไปตั้งแต่ก่อนจะได้แชมป์เยาวชนชายเดี่ยวแล้วมั้ง ไม่อยู่ยาวมาเป็นปีๆ ไอ้คนอื่นที่ไม่รู้จริงก็พูดไปเรื่อย)

“แต่เรื่องที่...”


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
(พ่อแม่กูไม่มีปัญหา กูก็ไม่มีปัญหา มีแต่จะเป็นห่วงมึงกันทั้งนั้นว่ามึงจะคิดเองเออเองจนปิดตัวเองไป แล้วก็ไม่ใช่ว่ามึงแอบไปคบซ้อนตั้งแต่พี่กูยังอยู่ซะเมื่อไหร่ แล้วก็นะ ทำอย่างกะให้มึงอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตแล้วพี่กูจะฟื้นขึ้นมาได้งั้นแหละ เห๊อะ ไร้สาระ)

ข้อความต่างๆนานาที่เคยผ่านตาวีร์ไป กลับเข้ามาวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาอีกครั้ง ถึงจะเคยบอกใครต่อใครไปว่าเขาเป็นคนที่ไม่ได้สนใจในโลกของสื่อสังคมออนไลน์มากนัก แต่บางทีมันก็กระทบตัวเขาอีกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

(เอาตะ แล้วแต่มึง จะไปไม่ไป)

วีร์พยักหน้าตอบรับ แล้วก็หัวศีรษะขวับไปด้านข้างอย่างกะทันหัน

“เดี๋ยวกูมาแป๊บ”

แล้ววีร์ก็หายไปจากหน้าจอโทรศัพท์ ปล่อยให้วิธูมองดูสภาพภายในห้องนอนของวีร์ที่ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นมากนัก โดยเฉพาะซองกีตาร์ที่เขารู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมันเป็นกีตาร์ของวีรดนย์ที่เขาเป็นคนเอาไปให้วีร์เองกับมือ

ไม่นานนักวีร์ก็กลับมา

(มีไรวะ)

“ลงไปดูไอ้ต้าวไอ้เติบ เพิ่งมีคนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่แล้วเขาชอบปล่อยหมาออกมากลางดึก ไอ้สองตัวนั้นก็เลยอยากจะออกไปบ้าง”

(ออกไปฟัดกันละไม่ว่า)

“นั่นแหละ แล้วมึงมีอะไรอีกมั้ย ไม่งั้นกูจะไปนอนแล้ว” วีร์เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาแล้ว

(ม้าย)

“งั้น...”

(เออนี่...) วิธูพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน (กีตาร์น่ะ ตั้งไว้เฉยๆทำไม หยิบมาเล่นบ้างตะ)

“แล้วกูเล่นเป็นซะที่ไหน”

(ก็เบ๋อมีคนเล่นเป็นแล้วเต็มใจจะสอนให้อยู่ไม่ใช่เออ)

วีร์มองกลับด้วยหางตาอย่างรู้ทันว่าวิธูหมายถึงใคร

“แล้วจะเก็บไว้พิจารณา”

วิธูยิ้มตอบกลับ ก่อนที่ต่างฝ่ายจะบอกลาไปนอน


*****


ช่วงเย็นวันศุกร์เป็นวันที่ทุกคนจัดให้ว่างตรงกันไว้ เพราะวีรมาตุรับปากว่าจะเข้ามาช่วยเก็บตกเนื้อหาบางวิชาก่อนสอบกลางภาคเรียนให้ เนื่องจากสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป วีรมาตุเองก็เริ่มเข้าช่วงสอบปลายภาคเรียนของเขาเองแล้วเหมือนกัน

“พอจะเข้าใจที่เฮียอธิบายนะ” วีรมาตุถามน้องๆที่นั่งรอบๆม้าหิน

คนอื่นๆนั้นเข้าใจดี คงเหลือสองหนุ่มฝาแฝดที่ยังผูกคิ้วเข้าหากันอยู่

“กิ่งกับก้านยังไม่เข้าใจตรงไหนเหรอ”

“ตรงนี้” “ตรงนี้” “ตรงนี้” “แล้วก็ตรงนี้” “ใช่ แล้วก็ตรงนี้ด้วย” นพชัยและชัยทิศช่วยกันชี้จุดที่พวกเขายังไม่เข้าใจอยู่

“คือทั้งหมดเลยว่างั้น” สุรศักดิ์หันไปมองเพื่อนทั้งสอง

“แหม ทำยังกะมึงเข้าใจหมดแล้วอย่างนั้นแหละ” “มันก็คือๆกันแหละวะ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเฮียสรุปย่อให้อีกรอบแล้วจดตามที่เฮียบอกเลยก็แล้วกัน แล้วค่อยกลับไปอ่านทวนซ้ำ โอเคมั้ยครับ” วีรมาตุรีบแยกทัพก่อนที่จะเปิดศึกรบกันเสียก่อน

“งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อน้ำก่อนก็แล้วกันครับ” พระยศลุกขึ้นออกไปจากโต๊ะเพราะเห็นว่าเป็นเนื้อหาที่เขาเข้าใจแล้ว และรู้สึกหิวน้ำขึ้นมา

“เดี๋ยวกูไปด้วย” วีร์เองก็ลุกขึ้นเดินตามพระยศไป

วีรมาตุลอบมองตามในขณะที่กำลังอธิบายสรุปย่อให้สองหนุ่มแฝดและสรุศักดิ์จดตาม ศศิทัศน์เองก็พอจะสังเกตุเห็นได้ และพยายามคิดหาหนทางว่าควรจะทำอย่างไรดีกับงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ที่วีร์ยังไม่ตอบตกลงว่าจะไป แม้ว่าทางฝ่ายวิธูเองก็รับปากแล้วว่าจะช่วยเป็นธุระให้ด้วยอีกคนก็ตาม แต่กระนั้นเวลาเหลือแค่เพียงวันพรุ่งนี้แล้วเท่านั้น

“เฮีย” เสียงเรียกของสุรศักดิ์ทำให้วีรมาตุหยุดชะงักขณะกำลังอธิบาย โดยเข้าใจไปเองว่าสุรศักดิ์ต้องการจะถามถึงเนื้อหาวิชา “ไอ้วีร์มันยังไม่บอกเหรอครับว่าจะไปหรือไม่ไป”

“ก็... ยังเลยครับ”

“แต่งานมันวันพรุ่งนี้แล้วไม่ใช่เหรอครับ” สรุศักดิ์ถามอีกครั้ง

วีรมาตุไม่ได้ตอบกลับ ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ

“เดี๋ยวมันกลับมาก็ลองถามมันดูสิวะ” “จะได้รู้สักทีว่าจะเอายังไง”

“โนๆๆ ห้ามถามมันเด็ดขาด” ศศิทัศน์รีบแย้งสองหนุ่มแฝดในทันที “ไอ้ต่ายบอกว่าอย่าไปเซ้าซี้เรื่องนี้มันมากนัก แทนที่จะช่วยผลักให้มันตัดสินใจไปงาน จะกลายเป็นว่าดันไปอีกทางแทนซะงั้น”

“อันที่จริงน้องวีร์จะไปหรือไม่ไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ มันไม่ใช่วันสุดท้ายของชีวิตสักหน่อย” วีรมาตุพูดอย่างที่เขาคิดจริงๆ แม้บางส่วนจะคิดว่าถ้าวีร์ไปด้วยได้ก็คงจะดีไม่น้อย

“ฉะนั้นก็อย่าได้พูดอะไรกับมันก็แล้วกัน” ศศิทัศน์มองนพชัยและชัยทิศอย่างคาดโทษ

“รวมถึงเรื่องของไอ้ต่ายด้วยใช่มั้ย” หนึ่งในฝาแฝดถาม แต่ยังไม่ใครทันได้ตอบ เพราะทั้งพระยศและวีร์ก็เดินกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่าในมือคนละขวด และยังมีเผื่อสำหรับคนอื่นๆด้วย

“เรื่องไอ้ตี๋เล็กมันทำไมวะ” วีร์ถามสองหนุ่มแฝด

“ไม่ใช่ไอ้เชี่ยนี้” “หมายถึงไอ้ต่ายเพื่อนเก่ามึงโน้น”

วีร์ขมวดคิ้วมองเพื่อนๆของเขาด้วยความสงสัย โดยสองหนุ่มฝาแฝดที่เม้มริมฝีปากปิดสนิท

“ไอ้ต่ายมันทำไมวะ”

“เปล่า ไม่มีอะไร” “ใช่ ไม่มีอะไรเลย”

ท่าทางการปฏิเสธอันมีพิรุธที่มักพบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันทำไมสมัยนี้แล้วถึงยังทำกันอีก

“ถ้าเรื่องไอ้ต่าย กูรู้ตั้งนานแล้ว” วีร์สะบัดมือเล็กน้อยพอจะให้รู้ว่าไม่จำเป็นต้องมาปิดบังเขาอีกต่อไป

“มึงรู้แล้วเหรอว่าไอ้ต่ายมันขึ้นมาตอนวันปีใหม่” หนึ่งในฝาแฝดพูดโพล่งออกมา

“ใช่”

“แล้วมันก็จะพาแฟนมันขึ้นมาด้วย” ฝาแฝดอีกคนพูดต่อ

“อีดำน่ะเหรอ... ก็... ใช่ กูรู้อยู่แล้ว”

ศศิทัศน์ถึงกับกุมขมับ ส่วนพระยศก็รู้สึกหน่ายใจขึ้นมา ต่างก็ไม่คิดว่าคู่หูแฝดนรกจะตกหลุมพลางง่ายๆเช่นนี้

“ความแตกก็เพราะพวกมึงนี่แหล่ะ” แม้แต่สุรศักดิ์เองก็ยังดูท่าทางของวีร์ออก

“เอ้า สรุปว่ามึงไม่รู้มาก่อนเหรอวะ” “นี่มึงหลอกถามพวกกูเหรอ”

“พวกมึงพูดออกมาเองนะ กูยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย” วีร์ยักไหล่ปิดท้าย

“งั้น ไหนๆความลับก็แตกแล้ว ฉลองปีใหม่ปีนี้ทำอะไรกันดี” “จริงๆรอบกองไฟเหมือนเดิมก็ดีอยู่นะ แต่เผื่อว่าเพิ่ลๆอย่างได้อะไรใหม่ๆ”

“เอาไว้สอบกลางภาคเสร็จก่อนค่อยคิดก็ได้” พระยศดักทางฝันของสองหนุ่มไว้เสียก่อน

“ว่าแต่ปีนี้เฮียหมูเขาจะงานวันเกิดมั้ยครับเฮีย” “นั่นสิ จะได้วางโปรแกรมถูก” สองหนุ่มฝาแฝดหันไปถามวีรมาตุ

“รู้สึกว่าจะไม่นะ เหมือนได้ยินว่าพวกวิทย์กีฬาเขามีงานภายในอะไรกันนี่แหล่ะ”

“งั้นก็ดี จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาอยู่” สุรศักดิ์พูดลอยๆออกมา ถึงแม้ว่าในตอนนี้คุณกรไม่ใช่คู่แข่งเรื่องความรักของเขาอีกต่อไป แต่ความรู้สึกเก่าๆก็ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง

“งั้น วันนี้พอแค่นี้มั้ยหรือมีใครสงสัยอะไรอีก เดี๋ยวเฮียวีจะไม่ว่างแล้ว” พระยศหันไปถามเพื่อนๆทุกคนซึ่งก็ไม่มีใครเห็นแย้งอะไร

“โอเค งั้นเฮียครับ ขอบคุณมากครับที่มาช่วยติวให้” สุรศักดิ์กล่าวขอบคุณวีรมาตุเป็นคนแรก

“ใช่ครับเฮีย ขอบคุณที่มาช่วยติวนะครับ” “ผลบุญครั้งนี้ขอให้เฮียสมหวังในวันพรุ่งนี้นะครับ”

ศศิทัศน์รีบยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากคู่แฝดทันควัน ทั้งที่บอกไว้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอย่าหยิบยกเรื่องงานวันพรุ่งนี้ขึ้นมาต่อหน้าวีร์ ทั้งสองคนก็รับลูกแสดงท่าทางหงายหลังเกินจริงจนแทบจะพลัดตกเก้าอี้ไปจริงๆ

“ไปๆ แยกกันพวกมึง”


*****


เมื่อแดดร่มลมตก เหล่านักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่หนึ่งที่อยู่ในชุดนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายก็เริ่มทยอยกันมายังอาคารเอนกประสงค์ที่ภายในถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโถงกว้าง ด้านหนึ่งเป็นเวทีขนาดย่อมพร้อมกับเครื่องดนตรี และมีพื้นทีว่างหน้าเวทีเหลือไว้พอประมาณ ถัดไปเป็นโต๊ะอาหารที่จัดไว้พอดีกับจำนวนคน โต๊ะอาหารจัดวางไว้ด้านข้างมีตั้งแต่ของคาวของหวานและเครื่องดื่ม

กิจกรรมภายในงานนอกจากการแสดงที่นักศึกษาแพทย์บางคนอาสาจัดซ้อมมาเองแล้ว ก็ยังมีศิลปินและวงดนตรีที่ติดต่อให้มาเล่นในงานเป็นการเฉพาะ

วีรมาตุในชุดนักเรียนตรงตามระเบียบ เสื้อโปโลสีขาวปกเสื้อสีน้ำเงินขลิบลายเส้นสีขาวสองเส้นและกางเกงขาสั้นสีกรมท่า กำลังเดินเลือกอาหารอยู่กับชัชวาลตามประสาคนที่มางานเพียงลำพัง ไม่ได้ชวนใครมาด้วยกันอย่างเช่นคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์ปัจจุบันแล้วก็ตาม แต่เพื่อนๆร่วมสถาบันที่เข้าคณะแพทยศาสตร์มาด้วยกันต่างรวมตัวร่างหนังสือส่งกลับไปที่โรงเรียนเก่าเพื่อขออนุญาตแต่งชุดนักเรียนเป็นกรณีพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ

“อาหารจัดเต็มดีว่ะ” ชัชวาลดูตื่นตาไปรายการอาหารหลากหลายชนิด

“คือกะจะให้กินแบบไม่ต้องห่วงโซเดียมน้ำตาลไขมันที่ต้องวัดรอบหน้ากันเลย”

“มึงก็ซีเรียสเกินไป นานๆทีจะเป็นอะไรวะ ชีวิตน่ะตึงไปก็ไม่ดีหรอก มีหย่อนบ้างก็ได้” ชัชวาลพูดในเชิงหยอกเอิน

“สาธุครับหลวงเพื่อน แต่กูยังไม่อยากเพิ่มความเสี่ยงอะไรตอนนี้โดยไม่จำเป็น” วีรมาตุพยายามเลือกดูอาหารที่ไปในแนวทางสายสุขภาพ

“น้องมันยังไม่คิดมากเรื่องนั้นเลย มึงก็เพลาๆลงบ้างก็ได้”

“ถ้าทำแล้วมันตัดเรื่องไหนออกไปได้บ้าง กูก็จะทำ” วีรมาตุแสดงความตั้งใจของเขาอย่างหนักแน่น

“ทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีอะไรเข้ามากล้ำกลายมึงได้แล้วมั้ง ก็เห็นอยู่สบายดีมาได้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ กูว่าเรื่องอาถรรพ์อะไรนั้นมันไม่มีจริงหรอกว่ะ”

“ไม่หรือไม่มีกูก็ไม่ได้สนใจ แค่ไม่มีใครหยิบมาใส่ร้ายน้องก็พอ”

“เอาเหอะ แล้วแต่มึงสบายใจเลยก็แล้วกัน” ชัชวาลตัดบทและหันไปเลือกอาหารต่อ

บรรยากาศภายในเริ่มสนุกสนานครื้นเครง เหมือนว่าทุกคนนั้นก็อยากจะปลดปล่อยความเครียดที่สะสมมาตลอดตั้งแต่ก่อนเปิดภาคเรียนปกติอยู่แล้ว จึงถือโอกาสนี้ผ่อนคลายเต็มที่

“วี”

เสียงหนึ่งเรียกชื่อดังมาจากด้านหลัง จนเจ้าตัวต้องหันกลับมาแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดจะเจอคนตรงหน้าภายในงานนี้

“พี่ชีซ่าร์... มาได้ไงเหรอครับ” วีรมาตุพยายามคิดถามที่เสียมารยาทน้อยที่สุดภายในช่วงเวลาอันสั้น

“เขาติดต่อพี่มาร้องเพลง วีไม่รู้เหรอ” นักร้องหนุ่มชี้นิ้วโป้งไปทางเวที ที่ตกแต่งด้วยป้ายชื่อศิลปินอยู่ด้วย วีรมาตุและชัชวาลหันไปมองตามก็เห็นเป็นเช่นนั้น แล้วก็ได้แต่หันกลับมามองหน้าถามกันว่าทำไมต่างก็ไม่สังเกตเห็นมาก่อน

“ไม่รู้เลยครับ”

“ทำไมเหรอ หรือถ้ารู้แล้วจะไม่มารึไง” นักร้องหนุ่มแกล้งถามทีเล่นทีจริง

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับพี่” วีรมาตุรีบปฏิเสธทันที... ตามมารยาท เพราะอันที่จริงเขาก็มีความคิดนั้นผุดขึ้นมาอยู่เหมือนกัน

“พี่ล้อเล่น” นักร้องหนุ่มเฉลยยิ้มให้ “แล้วนี้มาคนเดียวเหรอ ทำไมถึงอยู่กันเองแค่สองคน”

“ครับ ไม่รู้จะชวนใครมาก็เลยชวนกันมาเองซะเลย” ชัชวาลเป็นคนตอบเมื่อความกระอักกระอ่วนที่จะตอบของเพื่อนสนิท

“เหรอ เสียดายจัง ไม่งั้นพี่จะได้ใส่ชุดนักเรียนมาด้วยคน... งั้นเอางี้ ถ้าใครถามก็บอกว่าชวนพี่มาด้วยก็ได้” ฝ่ายนักร้องหนุ่มยังคงมองอย่างมีเลศนัย

“เอ่อ... อันที่จริงแล้วผม...”

“เฮียครับ... รอนานมั้ย”

ทั้งสามหนุ่มหันไปตามเสียงที่ดังแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นต้นตอของเสียงที่ว่าเป็นใคร ฝ่ายนักร้องที่ฝืนยิ้นต่อไปได้อีกสักพักก็กลับมามีสีหน้าปกติ ชัชวาลที่รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็กลับอมยิ้มแล้วก็พยายามทำตัวปกติ ส่วนวีรมาตุนั้นกำลังรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว หัวใจเริ่มเต้นรัวมากกว่าเดิม มุมปากทั้งสองข้างที่ถูกยกขึ้นอัตโนมัติเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสนั้นส่งมาให้เขา

วีร์ที่แต่งชุดนักเรียนมาเรียบร้อย กำลังยืนยิ้มให้กับวีรมาตุ แล้วก็เริ่มเอียงคอมองและโบกไม้โบกมือ ยังดีที่เห็นว่าดวงตาของวีรมาตุยังกระพริบอยู่ ไม่เช่นนั้นก็อาจจะคิดว่าเด็กหนุ่มรุ่นพี่หมดสติไปเสียแล้ว

“โอ้ย!” วีรมาตุร้องเสียงหลงขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“สติกลับมาแล้วเหรอมึง” ชัชวาลลอบหยิกลำตัวของเพื่อนสนิทให้รู้สึกตัว

“เฮียตักอะไรไปกินรึยัง” วีร์ถามพร้อมกับมองดูรอบๆโต๊ะอาหาร

“มันกำลังเล็งอยู่ว่าจะเอาอะไรดี ไม่มัน ไม่ทอด หวานเกินก็ไม่เอา เค็มเกินก็ไม่ได้” ชัชวาลตอบให้แทนคนที่กำลังยิ้มไม่หุบจนถึงตอนนี้

“แต่ว่าดูแต่ละอย่างแล้วไม่น่าจะผ่านเกณฑ์เลยนะครับ” วีร์สอดส่ายสายตาไปทั่วก่อนที่จะหันกลับมาแล้วจับมือข้างหนึ่งของวีรมาตุ “เฮียชัช เดี๋ยวไปนั่งโต๊ะไหนเหรอครับ”

“โต๊ะ? อ๋อ.. ทางโน้น” ชัชวาลกำลังอึ้งกับภาพตรงหน้า แต่ก็บอกทิศทางให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องได้รู้

“งั้นเดี๋ยวตามไปครับ” ว่าแล้ววีร์ก็ลากวีรมาตุเดินไปด้วยกัน

“พี่ซีซ่าร์ เดี๋ยวผมกลับไปที่โต๊ะก่อนนะครับ” ชัชวาลบอกลาแล้วแยกตัวออกมา คงเหลือแต่นักร้องหนุ่มรุ่นพี่ยืนอยู่เพียงลำพัง


*****


วีร์เดินไปเลือกเครื่องดื่มของตัวเองและของวีรมาตุที่โดนบังคับให้ถือจานอาหารทั้งสองใบล่วงหน้าไปรอที่โต๊ะก่อน เมื่อได้น้ำที่ต้องการแล้ว วีร์ก็กำลังจะเดินกลับจะไปที่โต๊ะ แต่เมื่อหันมาก็เจอกับนักร้องหนุ่มรุ่นพี่เข้าเสียก่อน

อาจจะเป็นโชคดีที่วีร์ดึงแก้วน้ำทั้งสองใบเข้าประชิดตัวไว้ตามสัญชาติญาณ จึงไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น วีร์ยิ้มให้กับคนตรงหน้าแล้วก็ปลีกตัวเดินออกมาในทันที

เมื่อมาถึงที่โต๊ะอาหารที่วีรมาตุและชัชวาลนั่งรออยู่ วีร์ยื่นแก้วน้ำให้วีรมาตุแล้วก็นั่งลงที่นั่งว่างข้างๆ โดยไม่ลืมยิ้มทักทายให้กับเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นๆด้วย

“แล้วเฮียไมค์ไปไหนเหรอครับ” วีร์แอบกระซิบถามวีรมาตุ

“นั่นสิ ตั้งแต่กลับมาก็ที่โต๊ะไม่เห็นแล้วเหมือนกันครับ” วีรมาตุหันไปรอบๆห้องจัดเลี้ยง

“ถามถึงไมค์เหรอ” หญิงสาวเพื่อนร่วมโต๊ะเอ่ยปากถาม ก่อนที่จะทำท่าป้องปากด้วยมือข้างเดียว “รถไฟชนกัน”

ทั้งชัชวาลและวีรมาตุมองตอบกลับอย่างไม่เชื่อที่ได้ยิน

“พากันออกไปเคลียร์ข้างนอกอยู่ พี่ก็ไม่รู้เหมือนว่าจะกลับมาสภาพไหน”

“เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนม.ปลายแล้วครับ” ชัชวาลตอบ

หญิงสาวมองวีร์อย่างสนใจอยากจะรู้จักจนวีรมาตุสังเกตเห็น

“พี่ฝนครับ นี่น้องวีร์ครับ” วีรมาตุแนะนำเด็กหนุ่มให้เพื่อนรั่วมคณะได้รู้จัก “น้องวีร์ นี่พี่ฝน”

วีร์ยกมือไหว้ อีกฝ่ายก็รับไหว้เป็นอย่างดี

“พี่ฝนเขาเรียบจนผู้ช่วยพยาบาลมาก่อนแล้วก็ไปทำงานอยู่สักพัก ปีนี้มาสมัครเรียนพร้อมกัน ทำงานกลุ่มด้วยกันบ่อยๆ เก่งอย่างนี้เลย” วีรมาตุยกนิ้วโป้งขึ้นยืนยันความสามารถของหญิงสาว

“แหมน้องวีก็ชมเกินไป ไม่ขนาดนั้นหรอก” หญิงสาวแสดงอาหารเขินอายพอเป็นพิธี “แต่นี้ ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปอีกนะ”

วีร์ยิ้มตอบรับคำชมและสายตาที่ส่งมาให้จากหญิงสาว

“นี้ถ้าไม่ติดว่าพี่แต่งงานแล้วนะ ฮึ่ม”

“น้อยๆหน่อยแม่ ลูกสองแล้วด้วยนะ อย่าลืม” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างแปะมือลงบนมือของหญิงสาวเบาๆ จนหญิงสาวทำเป็นค้อนใส่

“แต่บอกตรงๆนะ แอบใจเสียตอนแรกที่รู้ว่าน้องวีมาคนเดียวแล้วต้องมาเจอกับ...” หญิงสาวบุ้ยหน้าไปทางเวทีที่ตอนนี้กำลังมีการแสดงจากนักร้องชื่อดัง “แต่พอพี่เห็นน้องมานะ.... เห้อ โล่ง”

วีร์มองตอบกลับอย่างไม่แน่ว่าควรจะแสดงออกอย่างไรดี

“แฟนพี่เขาเป็นสาววายน่ะ” ชายหนุ่มข้างๆเฉยความสงสัยให้กับวีร์ “แถมชอบเปิดรูปให้ลูกๆดูด้วย สงสัยว่าจะได้สาววายเพิ่มมาอีกสองคนในอนาคต”

“เสียใจด้วยนะคะ แต่เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะคะ”

“จะเปลี่ยนก็เพราะแม่สอบติดหมอนี่แหละ โปรเจ็กคนที่สามเลยต้องเลื่อนไปก่อน”

หญิงสาวก็ตีแขนชายหนุ่มเบาๆ เพราะรู้สึกเขินอายขึ้นมาที่อีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเพื่อนรุ่นน้องที่ร่วมโต๊ะอาหารกัน


*****


ตลอดสองสามชั่วโมงภายในงานมีความสนุกสนานครื้นเครงหมุนเวียนพลักเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา สร้างบรรยากาศคลายความตึงเครียดให้กับเหล่านักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ที่กำลังจะต้องเผชิญกับการสอบวัดปลายภาคอันหฤโหดครั้งแรกในชีวิตมหาวิทยาลัย

บรรยากาศภายนอกนั้น ท้องฟ้าเริ่มมืดไปทั่ว มีแสงไฟข้างทางไปตลอดแนวถนนส่องสว่างอยู่ ยิ่งเดินไกลออกมาเรื่อยๆก็ได้ยินเสียงรถราชัดเจนขึ้น

“น้องวีร์ไม่เปลี่ยนใจให้เฮียขับไปส่งที่บ้านเหรอครับ”

วีร์และวีรมาตุเดินออกมาจากอารเอนกประสงค์ไปยังประตูมทาวิทยาลัย เพื่อที่วีร์จะขึ้นรถสองแถวกลับบ้านเอง

“ไม่เป็นไรครับ เฮียจะได้ไปพักผ่อนด้วย เทียวไปเทียวมาเวลารถติดแบบนี้ กว่าเฮียจะกลับถึงหอพักคงอีกนาน”

วีรมาตุนึกเสียดายอยู่บ้าง แต่การที่วีร์ยอมมาร่วมงานกับเขาด้วยในวันนี้ก็เกินจากสิ่งที่เขาคาดไว้มากแล้ว ไม่ว่าเพราะสาเหตุใดที่ทำให้วีร์ตัดสินใจมา เขารู้สึกยินดีทั้งหมด

“แต่ยังไงซะ เฮียขอบคุณน้องวีร์จริงๆนะครับ ที่ยอมมางานด้วย”

“ครับ เฮียพูดหลายรอบจนวีร์จำได้แล้วครับ” วีร์ยิ้มตอบกลับ

ทั้งคู่เดินไปตามทางอย่างไม่รีบร้อนอะไร อาจจะมีใครบางคนอยากจะถ่วงช่วงเวลานี้ให้ไหลไปอย่างช้าๆที่สุดเท่าที่จะทำได้

“อ่า... น้องวีร์เตรียมตัวสอบไปถึงไหนแล้วครับ” วีรมาตุเปลี่ยนเรื่องคุย

“มันต้องพร้อมแล้วละครับ ของวีร์เริ่มสอบวันอังคารนี้แล้ว”

“ดีแล้วครับ แต่ถ้าไม่เข้าใจอะไรตรงไหน คอลมาหาเฮียได้ตลอดเลยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ เกรงใจ เดี๋ยวเฮียก็ต้องสอบปลายภาคแล้วเหมือนกัน”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ คอลมาได้เลย” วีรมาตุยืนยันคำตอบอย่างหนักแน่น

“ครับ” วีร์ตอบพร้อมกับยิ้มให้

แล้วทั้งคู่ก็เดินกันเงียบๆต่อไป เมื่อพิจารณาดูแล้ว ทางเท้าข้างถนนและเด็กสองคนในชุดนักเรียนในบรรยากาศยามเย็นใกล้ค่ำ ก็หวนให้คิดถึงตอนเดินกลับหลังเลิกเรียนอยู่ไม่น้อย

“ป่านนี้น้องธรจะหลับแล้วยังครับ” วีรมาตุพยายามหาเรื่องมาชวนคุย

“น่าจะยังเล่นเสนุกอยู่มั้งครับ วันนี้ตากับยายเขามาเยี่ยมกัน เวลาคนมาที่บ้านเยอะๆ ธรไม่ค่อยจะยอมนอนหรอกครับ แล้วเดี๋ยวกลางดึกก็จะงอแงไม่อยากนอนอีก”

“ดีนะครับ น้องธรเข้ากับคนได้ง่าย”

“เดี๋ยวพอเริ่มจะเดินได้ คงจะวุ่นกว่านี้แน่นอน”

วีรมาตุและวีร์หัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกัน ต่างก็พอจะนึกภาพออกว่าจะเป็นอย่างไร แล้วทั้งคู้ก็เดินไปต่ออย่างเงียบๆซึมซับกับบรยากาศในรั้วมหาวิทยาลัย

“เฮียครับ แล้วถ้าเกิดว่าวีร์ไม่มางานจริงๆ เฮียจะทำยังไงเหรอครับ” วีร์ถามทำลายความเงียบขึ้นมา

“เฮียก็... แค่มาคนเดียว แบบไอ้ชัชไงครับ”

“เหรอครับ”

“ทำไมเหรอครับ” วีรมาตุหันมาถาม

“เปล่าครับ ก็แค่... เดี๋ยวมันจะหมดเทอมหนึ่งแล้วนะครับ”

วีรมาตุขมวดคิ้วเข้ามากันเล็กน้อย ความพยายามของสมองในการเชื่อมโยงกำลังทำงานอยู่ ส่วนวีร์ก็ลอบมองวีรมาตุว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีอย่างไร

“เฮียครับ” วีร์เรียกอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่ายังไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา “ช่วงหลังปีใหม่ เฮียว่างรึเปล่าครับ”

“อืม... พอสอบปลายภาคเสร็จแล้วก็ปิดเทอมประมาณเดือนนึง แต่ว่างจริงๆก็ประมาณสองสัปดาห์ครับ น้องวีร์ถามทำไมเหรอ” วีรมาตุหันมามองวีร์ด้วยสายตาที่ไร้เดียงสาในความคิดของวีร์

“ก็... วีร์มีกีตาร์อยู่ที่บ้าน จะตั้งไว้อยู่เฉยๆมันก็เสียดายของ”

วีรมาตุพอจะนึกออกว่าวีร์หมายถึงกีตาร์ตัวไหน และเจ้าของเดิมนั้นเป็นใคร

“วีร์ก็เลย... อยากจะลองฝึกเล่นดู เฮีย... พอจะสอนให้ได้มั้ยครับ”

“อ๋อ ได้ครับ” วีรมาตุตอบรับ แล้วก็เหมือนว่าจะนึกอะไรบ้างอย่างออกขึ้นมา “อันที่จริงเฮียเคยทำคลิปสอนเล่นกีตาร์ไว้ตอนที่ทำงานให้ชมรมนะครับ เดี๋ยวเฮียลองไปหาดูว่ายังอยู่รึเปล่า แล้วเดี๋ยวเฮียเอามาให้น้องวีร์นะครับ”

วีร์ได้ยินแล้วก็ลอบถอนหายใจเบาๆ

“แล้วถ้าวีร์ฝึกจากคลิป เราจะได้ใช้เวลาด้วยกันเหรอครับ”

วีรมาตุหันมามองวีร์ด้วยดวงตาใสแป๋ว เหมือนว่ากำลังใช้ความคิดแต่ความเป็นจริงกลับโล่งโจ้งไปทั่วทั้งสมอง ประสิทธิภาพในการประมวลผลกำลังลดต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

“เฮียมาเป็นคนสอนวีร์เองให้ได้รึเปล่าครับ”

โหมดการทำงานยังไม่กลับมาเป็นปกติ เพราะเจ้าตัวยังไม่ใจว่าตัวเองได้ยินถูกต้อง

“เฮียครับ ได้รึเปล่าครับ” วีร์ต้องถามอีกครั้ง

“อ๋อ... เอ่อ... ครับ หลังปีใหม่ ว่างครับ ได้ครับ” วีรมาตุรีบตอบรับจนพูดตะกุกตะกัก

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ” วีร์อดนึกขำไปด้วยไม่ได้

แล้วทั้งคู่ก็เดินต่อไปตามทาง วีร์ที่พยายามทำสีหน้าปกติและกลั้นยิ้มไว้ ส่วนวีรมาตุเริ่มจากคิ้วที่ขมวดติดกันก็ค่อยๆคลายออก ดวงตาเริ่มเปิดกว้างขึ้น หัวใจเริ่มเต้นแรง แล้วขาก็หยุดนิ่งไม่ก้าวต่อ จนวีร์ต้องหยุดเดินตามและหันมามอง

“น้องวีร์หมายถึงว่า...”

“ครับ?”

“เราสองคน...”

“ครับ”

“...” มีคำนับร้อยนับพันพรั่งพรูเข้ามาใสนความคิดของวีรมาตุ แต่ก็ไม่มีคำไหนหลุดออกจากปากมาได้

“ก็ลองดูกันสักตั้งไม่เสียหายอะไร” แม้ภายนอกแสดงออกปกติ แต่วีร์เองก็รู้สึกหวั่นไหวอยู่ภายในไม่น้อย ความคิดของคนอื่นยังแวะเวียนเข้ามาอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าไม่ลองก้าวออกไปดูก่อนก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร จะเป็นจริงอย่างที่เขาว่ากันหรือไม่

วีรมาตุถามกลับด้วยสายตา วีร์ก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มและพยักหน้ารับ

สอนเล่นกีตาร์ให้ ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน หาแฟนให้ได้ก่อนจบเทอมหนึ่ง

วีรมาตุยิ้มปากกว้าง แววตาเป็นประกาย สองกำปั้นยกขึ้นสูงอย่างผู้ชนะ แล้วก็จับไหล่ทั้งสองวีร์ของวีร์ไว้มั่น

“จริงๆนะครับ น้องวีร์ไม่ได้หลอกเฮียนะครับ”

สายตาของวีรมาตุจ้องทะลุทะลวงเข้าในนัยน์ตาของวีร์

“จริงครับ” วีร์ตอบยืนยัน

วีรมาตุชูมือขึ้นอีกครั้ง ร้องส่งเสียงดังด้วยความดีใจ ร่างกายเริ่มหยุดนิ่งไม่ได้เพราะความตื้นเต้น วีรมาตุกระโดดไปทั่ว ก่อนที่จะกลับมากอดวีร์ไว้เต็มอ้อมแขน แล้วก็ออกไปวิ่งกระโดดๆไม่หยุด แล้วก็กลับมาจับมือวีร์ไว้ทั้งสองข้างพร้อมกับชวนกระโดดไปด้วยกัน

วีรมาตุยังไม่สามารถระงับความดีใจของตัวเองที่กำลังพลุ่งพล่านไว้ได้ เขาผละมือจากวีร์แล้วก็กระโดดโลดเต้นไปทั่วอีกครั้ง

วีร์ยืนมองด้วยความดีใจและแปลกใจที่ได้เห็นหนุ่มรุ่นพี่ในอาการแบบนี้ วีรมาตุที่สุภาพเรียบร้อยและดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุอยู่ตลอดเวลาก็มีมุมแบบนี้อยู่เหมือนกัน และอาจจะเรียกได้นี้นี่เป็นครั้งแรกที่วีร์เห็นคนที่ดีใจมากๆจนกระโดดตัวลอย

และนั่นคือภาพสุดท้ายที่วีร์จำได้ในวันนั้น


*****

วิธู:
ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้วนะ
ผลเป็นไงบอกด้วย

วิธู:
อยู่ป่ะเนี่ย ทำไมเงียบ

วิธู:
ไมไม่รับโทรสับวะ


*****


Ending music inspired by Ewan McGregor & Nichole KidmanCome What May


[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 14 ความฝัน


ภาพจากในงาน Med Party ถูกส่งผ่านสื่อสังคมออนไลน์ไปมากมาย ทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว และมีการส่งต่อกระจายไปเพิ่มเติมอีกนับไม่ถ้วน ยังไม่นับเรื่องเล่าจากหลายปากที่บอกต่อกับเป็นทอดๆมา มีการแต่งเพิ่มเสริมสีสันกันบ้าง เพื่อจะตอกย้ำความคิดเดิมๆที่ว่างานนี้เป็นงานที่ใช้เปิดตัวบุคคลในดวงใจของเหล่านักศึกษาคณะแพทยศาสตร์

วีร์พยายามลืมตาขึ้นมอง เขารู้สึกไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงต้องใช้ความพยายามมากขนาดนี้ เหมือนว่าร่างกายไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรเลย

“วีร์ รู้สึกตัวแล้วเหรอ”

แม้ว่าจะลืมตาขึ้นมองได้ไม่ชัด แต่เสียงที่ได้ยินนั้นวีร์มั่นใจว่าเป็นเสียงของธีร์อย่างแน่นอน

“เดี๋ยวพี่เรียก พยาบาลก่อนนะ”

ตามมาด้วยเสียงของวนกร ที่ดังมาจากอีกฝั่งหนึ่ง วีร์พยายามทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สายตาที่พร่ามัวเริ่มมองเห็นชัดขึ้น แต่ก็ชัดเท่าที่คนสายตาสั้นจะมองเห็นได้ วีร์จึงพยายามหันมองรอบๆ ภายในห้องสีขาวที่เขาไม่คิดว่าจะเป็นห้องนอนของเขา

“อย่างเพิ่งขยับตัวนะ นอนเฉยๆก่อน หิวน้ำมั้ย”

เสียงของธีร์ถามมาเป็นระยะ วีร์ยังคงพยายามเพ่งตามอง เขาสูดหายใจเข้าออกอยู่หลายรอบ จนรู้สึกเหมือนร่างกายจะมีกำลังขึ้นมาบ้าง ทันทีที่เริ่มปรับสายตาตัวเองได้ก็มีเจ้าหน้าที่มากหน้าหลายตาเดินเข้ามาภายในห้อง

“เดี๋ยวขอเชิญผู้ปกครองไปรอข้างนอกก่อนนะคะ ขอให้คุณหมอตรวจอาการเบื้องต้นก่อนค่ะ”

ธีร์และวนกรรับคำแล้วเดินออกไปจากห้องพัก ทั้งคู่ต่างมีท่าทางกระวนกระวายเป็นห่วงคนที่นอนอยู่ข้างใน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ธีร์ใช้โอกาสนี้ส่งข่าวไปให้ยุทธและนุชทราบ และบอกให้วนกรส่งข่าวให้กับฤทธิกรและนวลจันทร์ด้วยเช่นกัน

ไม่นานนักพยาบาลก็เดินออกมาเชิญให้ธีร์และวนกรกลับเข้าไปในห้องได้

ม่านถูกดึงเปิดออกทำให้เห็นวีร์กำลังนั่งพิงเตียงผู้ป่วยที่ถูกปรับยกขึ้นมา แพทย์เจ้าของคนไข้กำลังยืนคุยต่อเนื่องอยู่ แล้วก็หันมาหาธีร์และวนกรเมื่อเห็นทั้งสองคนเดินมาอยู่ที่ข้างๆเตียงผู้ป่วย

“เท่าที่หมอตรวจเบื้องต้นแล้ว ไม่มีอาการน่าห่วงอะไรนะคะ การตอบสนองของร่างกายเป็นปกติดีหมด แต่ว่าถ้าอยากจะให้มั่นใจจริงๆ หมอส่งไปทำสแกนให้ได้ คุณพ่อคุณแม่ว่ายังไงคะ”

ธีร์หันไปถามวีร์ด้วยสายตา

“จำเป็นต้องสแกนมั้ยครับ”

“ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ค่ะ แต่คนไข้มีปฏิกิริยาตอบสนองปกติดีทุกอย่าง”

“งั้นก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องก็ได้” วีร์เป็นคนตอบเอง

อันที่จริงธีร์และวนกรอยากจะคัดค้านแต่ก็เห็นตามนั้นไปด้วย

“งั้นหมออยากจะขอรอดูอาการอีกหนึ่งคืนนะคะ ถ้าไม่มีอะไรก็กลับบ้านวันจันทร์ได้เลย แล้วก็หลังจากนี้ถ้ามีอาการอะไรผิดปกติ หูตาพร่ามัว ปวดศีรษะ นิ้วมือเท้าชาหรือขยับไม่ได้ ก็กลับมาที่โรงพยาบาลทันทีเลยนะคะ”

“ได้ครับ ขอบคุณครับหมอ”

แพทย์สาวและทีมพยาบาลจึงขอตัวออกจากห้องพักไป

“หิวมั้ย อยากกินอะไรรึเปล่า” ธีร์ถามด้วยวามเป็นห่วง ซึ่งวีร์ก็ส่ายหน้าตอบกลับแล้วก็หันมองดูรอบๆห้อง “ยังจำได้ใช่มั้ยว่าเราต้องระมัดระวังตัวเอง อย่าให้เป็นอะไรจนต้องเลือดตกยางออกเป็นอันขาด เดี๋ยวจะลำบาก”

วีร์พยักหน้าตอบรับ

“ทำไมเหรอพี่ธีร์” วนกรถามด้วยความสงสัย ทั้งคำพูดและท่าทางของธีร์ที่แสดงออกว่าเป็นกังวล

“วีร์เขาเลือดกรุ๊ปเอเนกาทีฟ”

“แสดงว่าที่พี่ธีร์ให้ตรวจหมู่เลือกธรไว้แต่แรกนั่นก็...” วนกรเพิ่งจะเข้าใจว่าทำไมในวันที่เธอคลอดลูกชายคนเล็ก ธีร์ย้ำกับเจ้าหน้าที่ให้ตรวจหมู่เลือดของธรอย่างละเอียดอยู่หลายครั้ง

“ใช่ ดีนะว่าของธรเป็นเอพอสซิทีฟ โล่งใจไปหน่อย ก็เหลือคนพี่นี่แหละ เป็นอะไรขึ้นมาจะหาเลือดลำบาก”

“วีร์มาอยู่โรงพยาบาลได้ยังไง”

ธีร์และวนกรย้ายความสนใจกลับไปหาลูกชายคนโตของพวกเขา

“วีร์นึกอะไรออกมั้ยว่าเมื่อวานไปทำอะไรมาบ้าง” วนกรเดินเข้าไปใกล้ๆวีร์มากขึ้น

วีร์พยายามไล่ลำดับเหตุการณ์ที่เขานึกออก

“ก็ตอนสายๆวีร์ออกไปแกลลอรี่ แล้ววีร์ก็กลับไปบ้านเปลี่ยนชุดแล้ววีร์ก็ไปมหาวิทยาลัย แล้วพองานใกล้เลิกวีร์ก็กลับ...”

“ยังไงต่อ จำได้รึเปล่า” ธีร์ถามเมื่อเห็นว่าวีร์ไม่ได้พูดต่อ เอาแต่นิ่งเงียบคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน

วีร์ไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้คือ เขาตอบรับการยกระดับความสัมพันธ์ของเขาและวีรมาตุ ทำให้วีรมาตุดีใจอย่างมากจนกระโดดวิ่งเต้นไปทั่ว วีร์พยายามนึกถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้นว่าเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่าจะทบทวนความจำมากเท่าไหร่ ภาพที่ยังติดอยู่ในความทรงจำคือวีรมาตุกระโดดตัวลอยขึ้นสูง แล้วก็มีแสงวาบวิ่งผ่านตาเขาไป

วีร์เริ่มหายใจถี่ขึ้น มือทั้งสองข้างเริ่มสั่นเล็กน้อย ความรู้สึกวาบไปทั้งตัวเริ่มทำให้เขาว้าวุ้นใจ

“วีร์ใจเย็นๆ พยายามหายใจเข้าออกช้าๆ” ธีร์สังเกตเห็นอาการของวีร์จึงรีบเข้าไปบอกวีร์มีสติตั้งรับไว้ก่อน “ไม่ต้องรีบคิดอะไรมาก”

วีร์พยายามทำตามที่บอก แต่ความในใจเริ่มเป็นห่วงวีรมาตุขึ้นมา

“พี่ธีร์พี่วา แล้วเฮียวีละ”

ธีร์และวนกรต่างก็หันมามองตาขอความเห็นจากอีกฝ่ายว่าควรบอกเด็กหนุ่มอย่างไรดี

“เฮียวีเขาก็อยู่ที่นี่แหละ อยู่อีกห้องนึง” ในที่สุดธีร์ก็ตัดสินใจเป็นคนพูดเอง

“เฮียเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” วีร์มองธีร์และวนกรสลับไปมาอย่างกระวนกระวายใจ

“ใจเย็นๆก่อนนะ วีเขาอยู่ในมือหมอแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ” วนกรพยายามบอกอย่างใจเย็น แต่นั้นก็ทำให้วีร์ตื่นตระหนกมากไปกว่าเดิม พยายามลงจากเตียงผู้ป่วย

“เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งขยับตัว” ธีร์รับร้องห้ามไว้ แต่วีร์ก็ไม่ยอมฟัง ไม่ว่าทั้งสองคนจะห้ามอย่างไรวีร์จะลงจากเตียงให้ได้ จนธีร์ต้องพูดเสียงแข็งขึ้นมา “วีร์! ถ้าพี่วีรู้ว่าวีร์ไม่ดูแลตัวเองแบบนี้ พี่เขาจะคิดยังไง”

วีร์หยุดชะงักในทันที  วีร์รู้ดีว่าคนที่ธีร์หมายถึงนั้นคือคนที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว แต่ก็ยังคงมีอิทธิพลต่อวีร์เสมอ

“รอก่อน พี่ไม่ได้ห้ามไม่ให้ไป เดี๋ยวพี่ไปขอรถเข็นมาให้” ธีร์พูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลง

เมื่อแน่ใจแล้วว่าวีร์สงบลง ธีร์ก็ดินออกไปจากห้องพัก คงเหลือวนกรที่เดินเข้าไปใกล้วีร์แล้วโอบกอดเด็กหนุ่มไว้ ถึงแม้ว่าจะอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาอยู่เกือบครบปี แต่วนกรยังไม่กล้าอ้างตัวว่าเธอรู้จักกับเด็กหนุ่มดีพอที่จะสามารถพูดอะไรได้ในสถานการณ์แบบนี้ แต่อย่างน้อยพยายามแสดงออกถึงความห่วงใยของเธอให้กับเด็กหนุ่มได้รับรู้

ไม่นานนักธีร์ก็กลับมาพร้อมกับรถเข็นนั่ง ที่มีเสาสำหรับแขวนขวดน้ำเกลือไว้พร้อม ทั้งวนกรและธีร์ต่างก็ช่วยวีร์ขยับตัวจากเตียงลงมานั่งที่รถเข็น ย้ายขวดน้ำเกลือมาแขวนที่ใหม่ สุดท้ายธีร์เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบของด้านในออกมา นั่นคือแว่นสายตาของวีร์

“ไม่ได้เอาคอนแทคเลนส์มา ถึงจะเอามา หมอคงไม่อยากให้ใช้ตอนนี้” ธีร์ยื่นแว่นให้กับวีร์

วีร์รับแว่นมาวางไว้บนตักโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ธีร์จึงเข็นรถออกไปโดยมีวนกรเปิดประตูอ้ารอไว้ก่อนแล้ว ทั้งสามคนเคลื่อนตัวผ่านประตูหอผู้ป่วยเด็กและเยาวชน โดยที่ไม่ลืมแจ้งเจ้าหน้าที่ด้านหน้าให้รู้ถึงจุดหมายที่พวกเขากำลังจะไป หากมีอะไรฉุกเฉินจะได้ตามตัวได้ทันท่วงที


*****


เด็กหนุ่มสี่ห้าคนกำลังนั่งรวมตัวกันอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย พยายามคุยกันเสียงเบาๆเพื่อไม่ให้รบกวนญาติของผู้ป่วยคนอื่นๆ และเมื่อใครคนหนึ่งในกลุ่มเห็นธีร์และวนกรเข็นรถเข็นที่วีร์นั่งอยู่เลี้ยวเข้ามา ก็เริ่มสะกิดบอกให้คนอื่นๆได้รับรู้ไปด้วย

“อยู่กับเพื่อนไปนะ เดี๋ยวพี่กับวาไปหาที่นั่งแถวๆนี้แหละ มีอะไรก็เรียกนะ” ธีร์บอกกับวีร์และเด็กๆคนอื่นๆ ก่อนที่จะแยกตัวออกไปกับวนกร

เหล่าเพื่อนเริ่มขยับปรับเปลี่ยนที่นั่งมาใกล้วีร์มากขึ้น

“เป็นไงบ้างวะมึง โอเคมั้ย” สุรศักดิ์ถามเป็นคนแรก ด้วยสภาพของวีร์ที่เห็นด้วยตาตัวเองเป็นครั้งแรกหลังจากที่รู้ข่าว ชุดสีขาวผู้ป่วยใน สายน้ำเกลือที่ยังเสียบคาไว้อยู่ และผ้าพันแผลรอบศีรษะ

วีร์แค่พยักหน้าตอบรับ เขาเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีนับตั้งแต่ธีร์และวนกรไม่ได้เข็นรถไปยังหอผู้ป่วยปกติ แต่พาเขามาทางหอผู้ป่วยวิกฤติแทน

“ดีแล้วที่มึงไม่ได้เป็นอะไรมากไปอีกคน” พระยศขยับตัวมายืนอยู่ใกล้ๆ

“แล้ว... เฮียเป็นไงบ้าง” วีร์พยายามพูดให้เต็มเสียงเต็มคำ อยากรู้ว่าตอนนี้วีรมาตุเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่อยากได้ยินคำตอบในเวลาเดียวกัน

“ตอนนี้ทรงๆอยู่” ศศิทัศน์ตอบสั้นๆแล้วบุ้ยหน้าไปทางเตียงผู้ป่วยที่อยู่ด้านในห้อง

วีร์หันไปมองตามสายตาของศศิทัศน์ ภาพเหตุการณ์เก่าๆย้อนกลับเข้ามาในความคิดของเขา ที่นั่งบริเวณเดิม เตียงผู้ป่วยเดิม แต่คนที่กำลังนอนอยู่นั่นเปลี่ยนไป วีร์หยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวมใส่ ทำให้ภาพที่กำลังทับซ้อนกันนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น

แต่ทว่าอุปกรณ์ตรวจวัดสัญญาณชีพต่างๆที่รายล้อมรอบตัววีรมาตุทุกทิศทาง เฝือกพยุงคอ เฝือกแขนและเท้าข้างหนึ่ง รวมถึงเครื่องช่วยหายใจ สายน้ำเกลือ ทำให้วีร์สับสนมากยิ่งขึ้นว่าเหตุการณ์เมื่อวานนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมวีรมาตุถึงมาอยู่ในสภาพนี้ได้

ท่าทางของวีร์ทำให้เพื่อนๆต่างก็มองหน้าปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี

“วีร์” เสียงเรียกของศศิทัศน์ทำให้วีร์ได้สติกลับมาแล้วหันมามอง “มึงโอเคนะ”

วีร์พยายามจะตอบว่าเขาสบายดี แต่ก็พูดออกมาได้ไม่เต็มคำนัก

“เฮีย... ทำไมเฮีย... ถึงได้...”

“มึงจำอะไรได้บ้าง” พระยศถาม

วีร์หันมาหาพระยศก่อนที่จะเปลี่ยนสายตาไปทางอื่น พยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

“กูกำลังเดินออกไปประตูหน้าม.กับเฮีย แล้วก็... คุยไปด้วย... แล้วกูก็... ตอบตกลงที่จะลองคบกับ... เฮีย” วีร์ชำเลืองมองดูศศิทัศน์ครู่หนึ่ง “แล้วเฮียก็... วิ่งกระโดดๆไปทั่ว... ดีใจจนกระโดดตัวลอย แล้วกูก็...”

“อ๋อ กูเข้าใจแล้ว มิน่าละ... ถึงว่าทำไมเฮียดูดีใจผิดปกติขนาดนั้น” ศศิทัศน์พูดแล้วก็ถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะอธิบายต่อเมื่อเห็นสายตามที่ส่งมาถามจากวีร์ “ตำรวจเอาภาพจากกล้องวงจรปิดแถวนั้นมาให้ดูว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นมึงกับเฮียเดินออกมาด้วยกัน แล้วก็เป็นอย่างที่มึงว่า แล้วก็...”

ศศิทัศน์เองก็ไม่อยากจะพูดถึงภาพที่เขาเห็น ไม่อยากจะนึกถึง ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวอะไรอีกต่อไปได้ยิ่งดี แต่คดีความยังคงต้องดำเนินต่อไป

“ทำไม เกิดอะไรขึ้นกันแน่” วีรยังคงกล้าๆกลัวๆ แต่ก็อยากจะรู้เรื่องราวว่าเป็นอย่างไร

เพื่อนๆเหมือนต่างก็เกี่ยงกันว่าใครควรจะเป็นคนบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด

“คืองี้ เท่าที่กูเห็นนะ” สุรศักดิ์อาสาเป็นคนบอกเอง “ตอนที่เฮียกำลังวิ่งพ่านไปทั่ว มีจังหวะที่เฮียกระโดดลงไปบนถนน แล้วก็มีรถขับผ่านมาพอดี ก็เลย...” สุรศักดิ์แสดงท่าทางจากมือแทนคำพูดว่า

“แล้วมึงยืนค้างนิ่งอยู่แป๊บนึง แล้วก็ล้มหงายหลังลงไปทั้งตัวเลย” พระยศพูดเสริมต่อจากสุรศักดิ์

วีร์ลองลำดับเหตุการณ์จากสิ่งที่ได้ยิน แต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่ามีรถยนต์เข้ามาในตอนไหน นอกเสียจากแสงวาบที่ผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว

“แล้วเฮียจะเป็นอะไรมั้ย”

“ตอนนี้รอดูอาการไปก่อน หมอเองก็ยังบอกไม่ได้” พระยศเป็นคนตอบ เพราะดูท่าทางของศศิทัศน์แล้วก็ไม่ต่างไปจากวีร์เท่าไหร่นัก

“แต่พวกมึงก็อย่าเพิ่งคิดมาก หมอดูแลอย่างใกล้ชิด ยังไงเฮียต้องหายดีแน่ๆ” สุรศักดิ์พูดให้กำลังใจด้วยอีกคน

วีร์พยายามหายใจเข้าลึกๆ มือทั้งสองข้างกำที่เท้าแขนของรถเข็นนั่ง

“แล้วมะรืนนี้มึงจะไปสอบไหวมั้ย” พระยศถามวีร์และหยุดรอจังหวะวีร์ตอบ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา “ถ้าไม่ไหว ก็ให้พี่ธีร์กับพี่วาขอใบรับรองแพทย์ไว้ไปยื่นขอสอบทีหลังก็ได้”

วีร์พยักหน้าตอบรับ แต่สายตาของเขายังคงมองตรงไปที่เตียงผู้ป่วยวิกฤติด้านใน ทำให้ไม่ได้สังเกตเห็นอาการสะกิดกันไปมาระหว่างเพื่อนๆ โดยเฉพาะสองหนุ่มฝาแฝดที่กำลังเกี่ยงกันอยู่

“เอ่อ ไอ้วีร์...” นพชัยพยายามปัดมือคู่แฝดของเขากำลังให้กำลังใจอยู่ใกล้ๆให้เขาถามคำถามที่เพื่อนๆทุกคนอยากรู้คำตอบ “... คือ... ไอ้ก้านมีเรื่องอยากจะถาม”

วีร์หันมาหานพชัย แล้วก็หันไปมองชัยทิศที่กำลังจะกินเลือดกินเนื้อพี่น้องร่วมท้องเดียวกันมาอยู่

“ก็ได้วะ... คือว่า พวกกูสงสัยกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว...” ในตอนนี้ไม่ว่าชัยทิศจะหันหาใครก็ต่างถูกคะยั้นคะยอให้เป็นคนออกหน้าถาม “...ว่า คืองี้ ตอนที่พวกกูจะเข้าไปเยี่ยมมึงตั้งแต่เมื่อวาน แต่เขาไม่ให้เข้าเพราะมึงยังเป็นเยาวชน ขนาดพวกกูพยายามใช้เส้นแล้วนะ เขาก็ไม่ให้เข้า... แล้วที่นี้นะ พวกกูก็เลยถามว่าเขาติดต่อใครไปรึยัง เจ้าหน้าที่หน้าห้องก็เลยบอกว่าพ่อกับแม่มึงอยู่ข้างในแล้ว พวกกูก็เลยโล่งใจ...” ชัยทิศแสดงท่าทางประกอบคำพูดไปด้วย “...แล้วพวกกูก็สงสัยกันว่าเพิ่งเกิดเรื่องไปไม่นาน ทำไมพ่อแม่มึงขึ้นมาเร็วจัง... แล้วตอนนั้นนะ... พวกกูก็เห็นพี่ธีร์เดินออกมาพอดี ก็เลยถามอาการมึงจากพี่ธีร์... แล้วหลังจากที่แยกกัน พวกกูเลยคิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าคนที่อยู่ในห้องคือพ่อกับแม่มึง แล้วพี่ธีร์เดินออกมา..”

“สรุปว่ามึงกับพี่ธีร์เป็นอะไรกันแน่” นพชัยถามสรุปปิดท้ายหลังจากที่รอคู่แฝดของเขาร่ายยาวกว่าจะเข้าคำถามจริงๆเสียที จากนั้นทั้งตัวเขาและคนอื่นๆที่เหลือก็นิ่งเงียบรอฟังคำตอบจากวีร์

วีร์กวาดตามองสายตาแต่ละคู่ที่กำลังจ้องมาที่เขา อย่างอยากรู้อยากเห็น อย่างอยากจะคาดคั้น อย่างเข้าใจว่าเขาพร้อมเมื่อไหร่ก็จะบอก ปะปนกันไป

“กูก็ไม่รู้นะว่าเมื่อวานในห้องมีใครอยู่บ้าง แต่ตอนกูตื่นมาเมื่อกี้ก็มีแค่พี่ธีร์กับพี่วาเท่านั้น” เพื่อนๆยังคงมองมาที่วีร์เป็นจุดสนใจเดียวอย่างเดิม วีร์ขยับแว่นสายตาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดต่อ “ในห้องก็คงมีแต่พ่อกับแม่กูอยู่”

เด็กหนุ่มต่างก็พยักหน้ารับรู้ ก่อนที่ชะงักแล้วกันมามองกันอย่างสงสัย

“เดี๋ยวนะ พ่อกับแม่เหรอ” สุรศักดิ์ถาม

วีร์พยักหน้าตอบรับ

“พ่อคือพี่ธีร์ ส่วนแม่... คือพี่วาเหรอวะ” สุรศักดิ์ถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ ซึ่งวีร์ก็พยักหน้ารับอย่างเดิม

“หมายถึงว่าพ่อของมึงจริงๆก็คือพี่ธีร์” พระยศพยายามทำความเข้าใจ วีร์ก็ยังคงตอบด้วยการพยักหน้า “อันนั้นพวกกูพอจะเข้าใจได้ เพราะสงสัยกันอยู่นานแล้วว่าทำไมเป็นพี่น้องกันแต่อายุห่างกันเยอะนัก ส่วนพี่วาจดทะเบียนกับพี่ธีร์ก็เลยเป็นแม่มึงไปด้วยใช่มั้ย”

วีร์ชั่งใจอยู่ว่าควรจะอธิบายให้ชัดเจนไปเลยดีหรือไม่ เพราะอย่างไรเขาก็ยืนยันว่าธีร์คือพ่อแท้ๆของเขาไปแล้ว

“เอาเป็นว่า ธรกับกูมีพ่อแม่คนเดียวกัน” วีร์รอดูปฏิกิริยาของแต่ละคน “ทีเหลือกูว่าพวกมึงปะติดปะต่อกันได้เอง”

หลายคนเข้าใจได้ในทันที และพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมวีร์ถึงไม่ได้บอกใครต่อใครตั้งแต่แรก

“งั้นแสดงว่า เฮียหมูก็คือน้าของมึงอะสิ” หนึ่งในคู่แฝดพูดโพล่งออกมาดังไปทั่วบริเวณ


*****


สิ่งที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายต้องทำในตอนนี้คือการไปสอบกลางภาคเรียนให้เสร็จสิ้นเรียบร้อย ส่วนในตอนเย็นก็กลับมานั่งเฝ้าหน้าหอพักผู้ป่วยวิกฤติ หรือในวันไหนที่ไม่มีการสอบก็จะหอบเอาหหนังสือมานั่งอ่านไปด้วยตั้งแต่เช้าจนหมดเวลาเยี่ยม

สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยนั้น แม้ว่าจะไม่ค่อยมีจิตใจอยู่กับการสอบปลายภาคเท่าไหร่นัก แต่ก็ต้องพยายามทำให้ผ่านไปให้ได้ เพราะไม่มีใครได้รับสิทธิพิเศษนอกจากคนที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง

แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร แผนการสำหรับวันส่งท้ายปีในปีนี้ ก็ต้องยกเลิกไปทั้งหมด เพราะต่างก็ลุ้นและเป็นกังวลใจที่อาการของวีรมาตุยังไม่ดีขึ้น ยังคงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่เหมือนเดิม

“นี่พวกมึง ได้คุยกับทนายบ้างมั้ยว่าไปถึงไหนแล้ว” ชัชวาลถามไปทางนพชัยและชัยทิศที่ได้ไปขอร้องคุณย่าใหญ่ของพวกเขาให้ช่วยส่งนักกฎหมายมาช่วยจัดการเรื่องทางคดีให้

“คิดว่าคงจะฟ้องเรื่องขับรถเร็วกับประมาทครับเฮียชัช” “เรื่องตั้งใจขับชนคงตัดออกไปแล้ว”

“แหงละ ใครที่ไหนวะจะโง่เอาหลักฐานมาแก้ต่างว่าตัวเองกำลังโทรศัพท์ตอนขับรถอยู่ เลยมองไม่เห็น เหยียบเบรกไม่ทัน ไม่ได้ตั้งใจชน คนดีซะเหลือเกิน” ไมตรีจิตพูดอย่างมีอารมณ์ฉุนเฉียว

“ดีจริง คงไม่ให้ผู้จัดการส่วนตัวออกหน้าว่าเป็นคนขับตอนแรกมั้งครับ ถ้าไม่มีคลิปเห็นหน้าชัดๆว่าเป็นคนขับเองตอนนี้ก็คงไม่ยอมรับมั้ง” สุรศักดิ์พูดด้วยอารมณ์โมโหเช่นกัน

ไมตรีจิตชำเลืองมองวีร์และศศิทัศน์ที่นั่งห่างออกไป ก่อนที่จะป้องปากกระซิบกระซาบไม่ให้ทั้งสองคนนั้นได้ยิน

“พวกมึงเห็นในนกฟ้าปะ เม้ากันสนั่นว่าหึงโหดโดนแย่งแฟนเลยตั้งใจชนทิ้งแม่งเลย กูไม่ได้ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น”

“เว่อร์แล้วไอ้ไมค์” ชัชวาลป้องปรามเพื่อนสนิทของเขา แล้วก็หันไปหาพวกรุ่นน้อง “พวกมึงก็คอยๆดูเพื่อนมึงด้วย อย่าให้เข้าไปอ่านในโซเชียลอะไรตอนนี้นะ เดี๋ยวจะเฟลกันเปล่าๆ”

“ได้ครับเฮีย เดี๋ยวผมคอยดูให้” พระยศออกปากรับคำ

“เพื่อนมึงก็จริงๆเลยนะ อะไรจะบังเอิญซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดนี้” ไมตรีจิตพึมพำ

“มันไม่มีหรอกนะเรื่องความบังเอิญ มันก็แค่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพราะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันก็แค่เกิดขึ้นมา ก็เท่านั้น” ชัชวาลพูดแย้ง

“สาธุครับหลวงเพื่อน” ไมตรีจิตยกมือไหว้ไปด้วย

“กูพูดผิดตรงไหน” ชัชวาลมองกลับอย่างท้าทายให้อีกฝ่ายเสนอความเห็นต่างออกมาเต็มที่ได้เลย

“ไม่ผิดเลยครับหลวงเพื่อน หลวงเพื่อนจะบวชอีกสักรอบมั้ยครับ จะได้บรรลุชั้นธรรมแล้วมาอธิบายให้เพื่อนๆเข้าใจด้วย”

ชัชวาลมองตอบกลับด้วยหางตาจนไมตรีจิตยอมถอยไปเอง

“แล้วมึงบอกไอ้พร้อมแล้วยังวะ” ไมตรีจิตจึงเปลี่ยนเรื่องคุย

“เห็นมันบอกว่าเพิ่งสอบเสร็จ เดี๋ยวมันจะมา”

“มันโอเคแล้วเหรอวะ” ไมตรีจิตถามไปถึงพร้อมสรรพ

“กูก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แค่บอกมันว่า มึงหยุดร้องได้แล้ว เพื่อนมึงยังไม่ตาย”

“มันก็เป็นห่วงของมันนั่นแหละว่ะ ไปเรียนอยู่ตั้งไกล ไม่ได้เจอกันบ่อยๆเหมือนเมื่อก่อน” พูดแล้วไมตรีก็ถอนหายใจ “นี่ไอ้หมูกลับจากค่ายมาถึงพรุ่งนี้ใช่มั้ย”

“ใช่ พวกวิทย์กีฬาน่ากลับจะมาถึงเที่ยงๆพรุ่งนี้”

ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรต่อไป ผู้ใหญ่ทั้งสามคน ซิ่งฮวา ศุภกร และมะลิวัลย์ก็เดินตรงมาที่พวกเขานั่งอยู่ เด็กหนุ่มทั้งหลายก็ยกมือไหว้ทักทาย ซิ่งฮวารับไหว้แล้วก็เดินไปหาวีร์และศศิทัศน์ เด็กหนุ่มทั้งสองลุกขึ้นเว้นที่นั่งว่างให้หญิงสูงวัย ซิ่งฮวาเลือกนั่งระหว่างกลางหลายชายทั้งสองคน เธอกุมมือวีร์ไว้ข้างหนึ่งกุมมือศศิทัศน์ไว้อีกข้างหนึ่ง แล้วทั้งสามคนก็นั่งมองดูวีรมาตุอย่างกังวลใจ

ศุภกรมองดูแล้วก็นึกเป็นห่วง ห่วงทั้งคนข้างในที่ยังไม่ได้สติ ห่วงทั้งคนข้างนอกที่อายุไม่น้อยแล้ว

“กิ่งกับก้าน ม้ากับป๊าฝากขอบคุณคุณย่าให้ด้วยนะที่ส่งคุณทนายมาช่วยเรื่องคดีให้” มะลิวัลย์หันไปคุยกับนพชัยและชัยทิศ

“ไม่เป็นไรครับม้า เรื่องเล็กน้อย” “เรื่องแค่นี้ไม่เป็นปัญหาเลยครับ”

“ส่วนเรื่องค่าทนายเดี๋ยวม้ากับป๊าค่อยเข้าไปคุยเองทีหลังนะ”

“อ๋อ เรื่องค่าทนายไม่ต้องครับ คุณทนายบอกว่าจะจัดการเรื่องฟ้องแพ่งให้ด้วยครับ” “แล้วเดี๋ยวได้ค่าเสียหายมาเมื่อไหร่ค่อยหักค่าทนายออกก็ได้ครับ”

“เอาอย่างนั้นเหรอ แล้วถ้าฟ้องแพ่งไม่ได้ละ” ศุภกรเป็นคนถาม

“ถ้าฟ้องแพ่งไม่ได้ ก็ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยครับ” “แต่คุณทนายรับประกันว่าฟ้องได้ครับ”

ทั้งศุภกรและมะลิวัลย์ต่างก็ไม่ได้ติดใจอะไรใจเรื่องของคดี เพราะอันที่จริงแล้วไม่ว่าผลของคดีจะออกมาเป็นอย่างไร ถ้ามันไม่ทำให้ลูกชายคนโตของพวกกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับพวกเขา จากนั้นศุภกรและมะลิวัลย์เดินไปหาที่นั่งว่างรอเวลาที่จะสามารถเข้าไปเยี่ยมลูกชายคนโตข้างในห้องผู้ป่วยวิกฤติได้


*****


เกือบสองสัปดาห์ผ่านไปแล้วนับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น อาการของวีรมาตุยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ถึงแม้ว่าแพทย์ผู้ดูแลจะบอกว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มดีขึ้นและการผ่าตัดผ่านไปได้ด้วยดี แต่ยังคงไม่ได้สติและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่เหมือนเดิม

สำหรับคนอื่นๆนั้น เหตุการณ์เดิมๆยังคงดำเนินต่อไป เช้าไปโรงเรียน เลิกเรียนเสร็จแล้วก็มานั่งรออยู่หน้าหอผู้ป่วย ระหว่างวันก็จะมีเพื่อนๆทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นพี่และรุ่นน้อง เข้ามาถามไถ่อาการของวีรมาตุ ถ้าเป็นคนที่สนิทกันก็แค่ถามพอจะรู้อาการแล้วอวยพรให้หายเร็ววันแล้วจากไป แต่คนที่ไม่สนิทกันก็จะเผลอหลุดปากไปถึงเรื่องราวที่พูดคุยกันในโลกสื่อสังคมออนไลน์อยู่บ้าง

คนที่รับหน้าเสื่อตอบคำถามเป็นส่วนใหญ่จะเป็นคู่แฝดนพชัยและชัยทิศ ทั้งเรื่องอาการของวีรมาตุและความคืบหน้าของคดี

“ปีนี้พวกมึงจะลงกีฬาอะไรมั้ย” สุรศักดิ์ถามเพื่อนๆทุกคนขณะที่นั่งรวมตัวอยู่หน้าห้องผู้ป่วย

“ปีนี้พวกกูอยู่เฉยๆ” “เหมือนทุกๆปี เชียร์อย่างเดียว”

“แบบนั้นไม่ต้องตอบก็ได้มั้ง” สุรศักดิ์เหล่ตามองคู่แฝด “ไอ้วีร์ มึงอะ”

วีร์หันไปมองก่อนที่จะตอบ

“ไม่รู้เหมือนกัน ตามไปเชียร์เฉยๆเหมือนพวกแฝดมั้ง”

“มึงน่าจะลงเทนนิสดูนะ” สุรศักดิ์สนับสนุนเพราะอยากเห็นฝีมือจริงๆของวีร์หลังจากที่เคยได้ยินกิตติศัพท์มา แต่วีร์ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ของกูอาจจะลงวิ่ง เห็นว่ามีคนสนใจฮาล์ฟมาราธอนกันเยอะ โรงเรียนอาจจะจัดให้” พระยศตอบโดยไม่รอให้โดนถาม

“ไอ้ต่าย มึงเอาไง” สุรศักดิ์ถามเพื่อนคนสุดท้าย

“กู... ยังไม่แน่” คำตอบของศศิทัศน์พอจะเข้าใจได้ว่าทำไม ด้วยความกังวลถึงอาการของวีรมาตุ ทำให้ยังไม่อยากทำอะไรที่มากไปกว่าที่จำเป็นต้องทำในตอนนี้

“ว่าแต่ ทำไมกีฬาสีปีนี้ถึงมาจัดหลังปีใหม่ ปีที่แล้วจัดก่อนสอบกลางภาคไม่ใช่เหรอวะ” วีร์ถาม

“ก็ปีที่แล้วมันมีกีฬาประเพณีไง ก็เลยเลื่อนไปจัดก่อน” สุรศักดิ์ตอบข้อสงสัย

“กีฬาประเพณีอะไรวะ” วีร์ยังคงไม่เข้าใจ ทำให้เพื่อนหลายคนมองมาที่เขาอย่างแปลกใจ

“ก็ปีแล้วตอนช่วงที่แฟนเก่ามึง...ไอ้นี้พอดี เลิกเรียนปุ๊บมึงก็ออกมาปั๊บเลย มึงก็เลยไม่รู้” พระยศอธิบายให้วีร์ได้เข้าใจ วีร์ก็พยักหน้าเหมือนจะรับรู้ “กีฬาประเพณีจัดแข่งระหว่างสี่โรงเรียน มีโรงเรียนเรา โรงเรียนหญิงล้วนที่หนูเล็กเรียนอยู่ แล้วก็มีวิทยาลัยเทคนิคอาซีวะ แล้วก็โรงเรียนชายล้วนอีกที่นึง แข่งทุกสองปี เวียนเจ้าภาพเอา ปีหน้าไปจัดที่โรงเรียนชายล้วน”

“ดูเหมือนงานใหญ่นะ ทำไมกูถึงไม่รู้ได้วะ”

“งานมันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมาย จัดแข่งไม่กี่ชนิดกีฬาแล้วแต่จะตกลงกัน อย่างมากก็สี่ห้าชนิด” สุระศักดิ์ตอบ

“จุดประสงค์มันก็สานสัมพันธ์นักเรียนของสี่สถาบันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าไม่ได้มานั่งไซโคโน้นนี่นั่นว่าสี่โรงเรียนจะมารู้จักสนิทสนมกันไว้ ใครไม่อยากยุ่งอะไรกับใครก็ไม่เป็นไร ใครอยากรู้จักใครมีคอนเน็กชั่นไว้บ้างก็ตัดสินใจเอาเอง โรงเรียนแค่เปิดประตูสร้างโอกาสให้ มึงอยากจะคว้าไว้มั้ยนั้นเรื่องของมึง” พระยศอธิบายเพิ่มเติม

วีร์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

เด็กหนุ่มหลายคนก็หันความสนใจกลับไปยังโทรศัพท์ของตัวเอง เรื่องราวในโลกโซเชียลตนนนี้แทบจะไม่มีใครพูดถึงข่าวลือที่เกี่ยวข้องกับวีรมาตุทั้งทางตรงและทางอ้อม หลังจากที่ทีมทนายความจากเครือล้ำเลิศได้สื่อสารออกไปว่าได้ดำเนินการเก็บหลักฐานทุกข้อความที่เกี่ยวคดีที่ไม่เป็นความจริง ร่วมถึงเรื่องที่ทำให้เกิดวามเสียหายกับผู้ประสบเหตุและผู้ใกล้ชิด แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อออกไปแต่ก็สามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงทุกข่าวลือที่เกี่ยวกับวีร์ เพื่อเตรียมฟ้องหากว่ายังไม่หยุดการกระทำ ทำให้เรื่องเงียบไปในทันที เหลือแต่การพูดคุยที่เกี่ยวกับคดีความโดยตรงเท่านั้น

“อ้าวเฮ้ย! เพื่อนมึงมา” สุรศักดิ์ร้องเสียงหลง แต่ก็พยายามคงระดับเสียงไม่ให้ดังรบกวนคนอื่นๆ แล้วก็สะกิดวีร์ให้หันไปมองเด็กหนุ่มผิวเข้มที่กำลังเดินจรงมาหาพวกเขา

“มาพรือหล่าวนิมึ้ง” วีร์มองดูวิธูด้วยความแปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายมาอยู่ที่นี่ได้

วิธูใช้นิ้วกดลงไปที่หน้าผากของวีร์แล้วผลักไปเบาๆ

“โทซับมึ้งซู่นเออ” วิธูนั่งลงข้างๆวีร์

“นี้อะ” วีร์หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงให้วิธูดู อีกฝ่ายก็ดึงโทรศัพท์ออกจากมือของวีร์ แล้วก็จัดการเปิดดูเหมือนเป็นเครื่องของตัวเอง แล้วก็ยื่นกลับไปให้วีร์

“มีแล้วไม่ใช้ จะมีไว้ทำเปรตอะไรวะ”

วีร์รับโทรศัพท์ของตัวเองคืนมาก็เห็นว่าหน้าจอกำลังแสดงแอพลิเคชั่นไลน์ที่หน้าสนทนากับวิธู ที่หลายคนเห็นก็คงจะบอกว่าแชทหนักซ้าย และในตอนนี้ทุกข้อความที่วิธูส่งมาคงจะขึ้นว่าอ่านแล้วทั้งหมด

มีตั้งแต่ข้อความทักทายทั่วไป ถามสารทุกข์สุกดิบถามข่าว ไลน์คอลที่ไม่ได้รับ รวมถึงข้อความสุดท้ายที่บอกว่ากำลังจะขึ้นมาหา

“แล้วมึงขึ้นมาไซ ช่วงนี้โรงเรียนหยุดเออ”

วิธูกรอกตาพร้อมกับพ่นลมหายใจ

“กูลาหยุด” วิธูตอบสั้นๆ

“ไซวะ”



[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
แววตาที่วิธูมองเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่วีร์เองก็ไม่ได้เอะใจอะไรมากนักในตอนนั้น

“โรงพยาบาลโทรไปแจ้งว่าเขาตรวจสอบเสร็จแล้ว ให้ขึ้นมารับศพพี่เขาได้เลย”

ไม่เฉพาะวีร์ที่รู้สึกชะงักไป แต่รวมไปถึงเพื่อนคนอื่นๆด้วย

“อ้าว ชันสูตรเสร็จแล้วเหรอ ไอ้บิ๊ก แม่มึงบอกอะไรบ้างมั้ย” สุรศักดิ์หันไปถามพระยศ

“แม่กูไม่ใช่หมอชันสูตร” พระยศส่ายหน้าก่อนที่จะตอบ

วีร์นั่งนิ่งเงียบไปตั้งแต่ที่รู้ข่าว ถึงแม้ว่าเวลาที่ผ่านไปเกือบปีจะทำให้ทำใจได้บ้างแล้วแต่ก็ยังคงรู้สึกสะท้อนลึกๆในใจอยู่

“แล้วนี่มึงมากี่วัน จะกลับไปวันไหน” สุรศักดิ์เป็นคนถาม

“วันนี้ขึ้นมาทำเรื่องเอกสาร เดี๋ยวก็ลงไปพรุ่งนี้แต่หัวรุ่งจะได้ไปถึงบ่ายๆ เตรียมรถขนกับนิมนต์พระมาเรียบร้อยแล้วด้วย” วิธูมองดูและสังเกตอาการของวีร์ขณะที่กำลังพูดไปด้วย “ไปถึงแล้วก็สวดอธิธรรมตอนเย็น แล้วรุ่งขึ้นก็เผาเลย”

วีร์ยังคงนิ่งเงียบอยู่อย่างเดิม ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน

“มึงจะลงไปด้วยกันเลยมั้ย” ในที่สุดวิธูก็ถามวีร์ เพราะคาดว่ายังไงวีร์ก็ต้องไปร่วมงานด้วยอยู่แล้ว แต่ว่าจะไปอย่างไรนั้นต้องให้เจ้าตัวตัดสินใจเอง

ตัวของวีร์เองนั้นอยากจะไปด้วยอยู่แล้ว แต่ใจก็ยังเป็นห่วงคนที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่ ไม่อยากจะทิ้งห่างไปไกลในช่วงนี้ วีร์เงยหน้ามองไปยังเตียงผู้ป่วย ขณะที่ในใจกำลังสู้รบตบตีกับสองทางเลือก

“วีร์ มึงลงไปก่อนก็ได้ ไปจัดการงานแฟนเก่ามึงให้เสร็จเรียบร้อยก่อน เฮียไม่เป็นอะไรหรอก มึงไม่ต้องห่วง มีหมอดูแลอยู่ใกล้ชิด” วีร์หันมาตามเสียงของศศิทัศน์ก่อนที่จะหันกลับไปมองวีรมาตุที่ยังคงรายล้อมไปด้วยเครื่องช่วยชีวิตทั้งหลายอยู่เหมือนเดิม “ถ้ามีอะไร เดี๋ยวกูรีบโทรไปบอกมึงเอง... ให้มึงรับโทรศัพท์ก็แล้วกัน” ศศิทัศน์พูดติดตลกในช่วงท้ายหวังให้บรรยากาศกลับมาดีขึ้น ซึ่งก็สร้างรอยยิ้มเล็กๆให้หลายๆคน

“เอาไงมึง” วิธูถามอีกครั้ง

“เดี๋ยวกูโทรไปบอกพี่ธ๊ร์ก่อน” วีร์พยักหน้ารับก่อนที่จะตอบ “พี่ธ๊ร์รู้เรื่องแล้วยัง”

“บอกพี่ธีร์แล้ว พี่ธีร์ให้มาถามมึงเองว่าจะเอายังไง”

“แล้วต่อเช้ามึงจะออกกี่โมง”

“เช้าเลย หกโมง”

วีร์มีสีหน้าครุ่นคิด

“เดี๋ยวให้พ่อไปรับมึงที่บ้านก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาโรงพยาบาล”

“อืม” วีร์ตอบสั้นๆ “แล้วนี่พ่อกับแม่ไปไหนวะ” วีร์มองดูรอบๆก็ไม่เห็นว่าทั้งวิรัชและจิรัสย์จะอยู่บริเวณนี้

“ไปติดต่อทำเรื่องเอกสารอยู่ กูแวะมาหามึงที่นี่ก่อน”

ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจได้แล้ว แต่วีร์ก็ยังคงลังเลอยู่บ้าง

“ก็... วันนี้กลับไปจัดกระเป๋าไว้เลย” วิธูตบบ่าวีร์เบาๆ

“ไม่ต้องอะ ของที่โน้นก็มีครบอยู่แล้ว”

“แล้วแต่มึงละกัน” วิธูพูดกับวีร์แล้วก็หันไปมองคนป่วยที่กำลังนอนอยู่ เขาก็ไม่คิดว่ารูปการณ์จะออกมาเป็นเช่นนี้ ย้อนให้นึกไปถึงพี่ชายของเขาเอง แม้ว่าในตอนนั้นจะไม่ได้มีอาการหนักเท่ากับวีรมาตุ แต่ก็เกิดขึ้นหลังจากที่เพื่อนของเขาตอบตกลงเปลี่ยนระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเช่นกัน

เรื่องบังเอิญ นั่นคือสิ่งที่วิธูบอกกับตัวเอง


*****


การเดินทางกำลังจะสิ้นสุดลง ทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกใบนี้ต่างก็ไม่อาจหนีพ้นชะตานี้ไปได้ ไม่ว่าจะจากไปด้วยความปิติเตรียมตัวพร้อมอย่างดี หรือเต็มไปด้วยความห่วงหาอาวรณ์ที่ยึดเหนี่ยวรั้งไว้สุดกำลังจนนาทีสุดท้ายก็ตาม

รถของวีร์และคณะเลี้ยวเข้ามาในวัดที่ได้ติดต่อไว้ ตามติดมาด้วยรถคันยาวที่ถูกปรับเปลี่ยนรูปร่างเพื่อให้สามารถบรรทุกบ้านหลังสุดท้ายของผู้วายชนม์ได้ คนขับรถเลี้ยวรถกลับปรับทิศทางใหม่เพื่อถอยหลังตรงเข้าไปยังศาลาที่มีผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตาที่ต้องการมาร่วมพิธีมารออยู่กันมากมาย

เมื่อทุกคนพร้อมประจำที่แล้ว จึงได้เปิดประตูท้ายรถออก วีร์และวิธูรับกระถางธูปและตะเกียงน้ำมันออกมาถือไว้ พระที่นิมนต์ให้เดินทางไปด้วยกันเดินลงมาจากหน้ารถแล้วมาแตะที่โลงศพพร้อมกับสวดพึมพำบางอย่าง

“เอาละ พร้อมแล้วยกได้เลย” พระหันไปบอกกับทุกคน

เหล่าบรรดาญาติสนิทมิตรสหายต่างอาสาคนละไม้คนละมือช่วยกันย้ายโลงศพสีขาวจากรถขนไปไว้ด้านในศาลา

“หั่วไป่ไน่นิ” “ปาโด่” “ขอยๆ วังมือกั๋นนะ”

จนในที่สุดโลงศพก็ถูกตั้งอยู่บนแท่นภายในศาลา ดอกไม้ที่จัดเตรียมไว้พร้อมแล้วถูกนำมาจัดเรียงอย่างง่ายๆ วีร์และวิธูนำกระถางธูปและตะเกียงน้ำมันไปวางไว้ที่โต๊ะเล็กๆด้านหน้า วิรัชส่งรูปของวีรดนย์ให้กับคนจัดดอกไม้นำไปวางไว้ที่แท่นข้างโลงศพ

“ต่าย วีร์ มาลูก ไปกินอะไรก่อน เดี๋ยวจะได้เริ่มสวด” จิรัสย์เรียกเด็กหนุ่มทั้งสองคนให้เดินไปด้วยกัน

พื้นที่อีกฝั่งหนึ่งของศาลาจัดวางโต๊ะจำนวนมาก ผู้คนมากหน้าหลายตานั่งรวมกลุ่มกับคนที่รู้จักกันกำลังรับประทานอาหารชุดใหญ่ที่เจ้าภาพได้จัดเตรียมไว้ วิรัชและจิรัสย์เดินทักทายไปตลอดทาง วีร์แวะพูดคุยกับเพื่อนเก่าของเขาเองและเพื่อนๆของวีรดนย์ด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะเดินไปนั่งโต๊ะเดียวกับวิรัชและจิรัสย์ไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“วีร์” เสียงเรียกของเด็กสาวหน้าคมผิวเข้มที่เดินร่วมโต๊ะและนั่งลงข้างๆวีร์ แทนที่จะเป็นข้างแฟนหนุ่มอย่างวิธู แต่ก็ยังคงรักษามารยาทที่ดีเอ่ยคำทักทายผู้อาวุโส “พ่อแม่ สวัสดีค่ะ”

วิรัชและจิรัสย์ก็รับไหว้เป็นอย่างดี

“กินไรยัง” วีร์แถมแพรไหม

“ยัง ชั้นรอเธอมาถึงก่อนค่อยกิน”

วิธูได้ยินแล้วก็จัดวางจานซ้อนส้อมอีกหนึ่งชุดให้กับแฟนสาวของเขา

“คนมาเยอะเหมือนกันนะ” วีร์มองดูรอบๆศาลาเห็นคนมากมาย

“ก็ส่งข่าวผ่านทางไลน์กลุ่ม เฟชบุ๊ค ไม่เกินวันก็รู้เรื่องแล้ว เธอก็รู้จักเล่นบ้างตะ”

แน่นอนว่าคำตอบที่ได้รับคือสายตาที่บ่งบอกชัดเจนว่า ‘ไม่เล่น ใครจะทำไม’ จนคนถามล่าถอยแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

“แล้วนี่พ่อแม่เธอจะมามั้ย”

“เห็นว่าจะตรงมาที่วัดเลย” วีร์ดูเวลาจากโทรศัพท์ของเขาเอง “เดี๋ยวก็คงจะถึงแล้วมั้ง”

“รีบกินตะ จะได้ไปเตรียมของอีก” วิธูแอบกระซิบบอกเพื่อนทั้งสองคน ซึ่งก็ได้รับสายตาคมๆทั้งสองคู่ตอบกลับมา แต่กระนั้นทั้งสองคนก็หันไปลงมือกับมื้ออาหารเย็น เพราะที่วิธูพูดไว้นั้นไม่ผิด มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องไปตระเตรียมให้เรียบร้อยก่อนที่จะเริ่มพิธีสวดอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับเป็นคืนวันสุดท้าย


*****


การสวดอภิธรรมในเย็นวันนั้นเป็นไปตามขั้นตอนปกติ แต่ด้วยเพราะมีผู้มาร่วมงานจำนวนมากทั้งญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมรุ่นและต่างรุ่น รวมไปถึงคนรู้จักมักคุ้นที่ไปมาหาสู่กันหรือที่ทำงานด้วยกัน ทำให้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำตั้งแต่ก่อนเริ่มพิธีไปจนเสร็จสิ้น

หลังจากพิธีสวดเสร็จแล้ว ยังคงมีคนร่วมงานอยู่ประปรายซึ่งส่วนมากจะเป็นที่คนที่สนิทสนมกัน ทั้งกลุ่มผู้ใหญ่ และกลุ่มเด็กๆ

“ต้องอยู่เฝ้าศพมั้ย” วีร์ถามวิธู โดยที่แพรไหมก็ยังคงนั่งอยู่ด้วยกันภายในงาน

“ไม่ต้อง เดี๋ยวคนกลับหมดแล้ว ก็เปลี่ยนธูปเทียนใหม่แล้วปิดประตูศาลาล็อคได้เลย แล้วค่อยมาดูแต่หัวรุ่งต่อเช้าอีกที” วิธูมองดูแพรไหมที่เริ่มตาปรือแล้ว “อีล๊อบเริ่นมั้ยนิ”

แต่แพรไหมส่ายหน้าตอบปฏิเสธแล้วก็พิงศีรษะซบลงบนไหล่ของวีร์

“อีอ้วน แล้วมึงอีหลบต่อใดนิ” เพื่อนเก่าของวีร์ที่นั่งอยู่ด้วยกันถาม ถึงเสียงจะเป็นภาษาถิ่นภาคกลาง แต่ไม่ละทิ้งศัพท์และสำเนียงถิ่นฐานบ้านเกิด

“ก็... ลอยอังคารเสร็จก็กลับเลย” วีร์ตอบเด็กหนุ่มผิวเข้มรูปร่างกำยำล่ำสันขัดกับท่าทางที่แสดงออกเกินหญิง

“นึกว่าจะอยู่นานสักหน่อย”

“ได้พรือหล่าว มันต้องกลับไปเรียน” วิธูเป็นคนตอบ

“แล้วอย่างนี้ มึงจะหลบมาเรียนนี่มั้ย”

“คงไม่แล้วมั้ง” วีร์ตอบสั้นๆ

อีกฝ่ายมีท่าทีกำลังชั่งใจว่าจะถามสิ่งที่อยากรู้หรือไม่ จนเพื่อนๆเริ่มสังเกตเห็น

“เป็นไรนิ อีพริก”

“พริ้งค่า พริ้ง เรียกให้ถูกด้วย” ชายหนุ่มแต่ใจหญิงรีบร้องค้านในทันที

“ชื่อบนสังเวียนยังใช้ พริกแข้งทอง อยู่ไม่ใช่เออ” วีร์พูดถึงชื่อที่อีกฝ่ายยังคงใช้เวลาขึ้นชกเวทีมวยไทย ที่วีร์เห็นแล้วก็ไม่คิดจะขึ้นไปรับคมแข้งคมศอกของอีกฝ่ายเป็นอันขาด

“ก็ถ้าพ่อกูไม่ขอไว้นะ... ป่านนี้กูไปทำนมเสร็จแล้วค่ะ”

“พ่อหรือผัวเอาให้แน่ๆ แล้วก็นะ มึงยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่มีใครผ่าให้มึง” วีร์ตอบกลับ

“ทั้งพ่อ ทั้งผัว นั่นแหละค่ะ” เมื่อพูดจบแล้วก็จัดท่าทางของตัวเองใหม่ ยืดหลังตรงและเชิดหน้าชูตาอย่างภูมิใจ

“ก็นึกว่าผัวมึงจะหนีกลับเยอรมันไปแล้วซะอีก”

“เฮอะๆๆๆ ผัวกูผัวรักผัวหลง นอกจากจะไม่กลับแล้ว ยังชวนเพื่อนๆมาอยู่ด้วย แล้วแต่ละคนนะ... หืมมม...” ทั้งสีหน้าและท่าทางแสดงอออกมาอย่างชัดเจน

“อ้อร้อจริงๆ ผัวมึงรู้มั้ยว่ามึงอยากได้เพื่อนผัวด้วยนิ”

“อย่า... อย่ามา... กูไม่เคยบอกว่ากูอยากได้คนอื่น แค่ผัวกูคนเดียวก็พอแล้ว ทั้งใหญ่ ทั้งยาว ขาว อวบ...”

“ขา ใช่มั้ย”

“ค..ยค่ะ” แม้ว่าจะไม่ออกเสียงชัดๆ แต่รูปปากนั้นชัดเจน “เดี๋ยวสิคะ อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง”

วีร์ได้แต่มองกลับไปว่าเขาไปเปลี่ยนเรื่องที่คุยตอนไหน

“กูอยากรู้เรื่องเฮียวีว่าเป็นไงบ้าง ถามได้ปะ” เมื่อถามออกไปแล้วก็นั่งนิ่งรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

วีร์สูดลมหายใจเข้าแล้วก็พ่นออกมาก่อนที่จะตอบ

“ก็ทรงๆ รอดูอาการไปเรื่อยๆ”

อีกฝ่ายเอื้อมมือมาสัมผัสวีร์อย่างให้กำลังใจ ไม่ได้ถามต่ออะไร ในตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของวีร์ก็ดังขึ้น ดังจนแพรไหมเองก็ลุกขึ้นมานั่งตรงปกติ

“ว่าไงมึง” วีร์ปัดเลื่อนหน้าจอรับการสนทนาผ่านวิดีโอ

(ตอนนี้มึงอยู่ไหนวะ) ศศิทัศน์ถามกลับมา

“ยังอยู่ที่วัด อีกสักพักก็กลับแล้ว” วีร์มองดูภาพจากอีกฝั่งที่ดูเหมือนว่าศศิทัศน์กำลังเดินไปไหนสักที่หนึ่ง

(ยุ่งอยู่รึเปล่า)

“ไม่ ไม่ได้ทำอะไรแล้ว มีอะไรวะ”

(แป๊บนะ) ศศิทัศน์ยังคงเคลื่อนที่อยู่ สายตามองไปที่อื่นที่ไม่ใช่หน้าจอโทรศัพท์ (ยังเข้าไปได้อีกใช่มั้ยครับ) แม้ว่าจะได้ยินไม่ชัด แต่มีเสียงตอบกลับมาพอจะเข้าใจได้ว่ายังสามารถเข้าไปได้ จึงเห็นภาพเบื้องหลังของศศิทัศน์ที่เคลื่อนไหวอยู่ ก่อนที่จะมีการขยับกล้องที่ดูเหมือนกำลังหมุนเปลี่ยนทิศทาง แล้วภาพหน้าจอก็นิ่ง (แป๊บนะ)

ศศิทัศน์ขยับโทรศัพท์ให้ได้มุมภาพตามที่เข้าต้องการ แล้วเขาก็ยิ้มออกมา

วีร์รอดูตั้งแต่เห็นภาพหมุนวนจนเกือบจะรู้สึกจะตาลาย แต่แล้วเมื่อภาพหยุดนิ่งแล้วเห็นศศิทัศน์ยิ้มออกมา วีร์ย้ายจุดสนใจไปอีกครึ่งหน้าจอที่เหลืออยู่ จากใบหน้าปกติเปลี่ยนเป็นสีหน้าตกใจแล้วก็เผยรอยยิ้มตามมา แม้ว่าจะยังคงใส่ท่อช่วยหายใจไว้อยู่รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่แปลกใจนั้นก็คือ ดวงตาของวีรมาตุกำลังเปิดอยู่

“เฮียฟื้นแล้วเหรอ”

น้ำเสียงของวีร์เรียกความสนใจจากทุกคนที่โต๊ะนั้นให้ลุกขึ้นมาดูโทรศัพท์ด้วยกัน

“เฮียฟื้นตั้งแต่เมื่อไหร่” วีร์ถามไปอีกครั้ง

(ช่วงเย็นนี้เอง) ศศิทัศน์ตอบกลับมาอย่างดีใจ

“เฮียครับ เฮียเป็นยังไง” วีร์ถามกลับไปอย่างร้อนใจ แต่ก็ดีใจไปพร้อมกัน

(เฮียยังบอกเองไม่ได้ เฮียยังเพลียๆเพราะฤทธิ์ยาอยู่) ศศิทัศน์เป็นคนตอบ

“ไม่เป็นไร แค่เฮียรู้สึกตัวได้ก็ดีแล้ว” วีร์รู้สึกตื่นเต้นจนเริ่มทำอะไรไม่ถูก เพราะนี้นับว่าเป็นข่าวดีมากๆที่เขากำลังรออยู่ แม้ว่าจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้อยู่รอด้วยตัวเอง “เฮียครับ อีกสองวันวีร์ก็กลับแล้วนะครับ เฮียหายไวๆนะครับ”

(เฮียกระพริบตาตอบแล้ว เห็นมั้ยมึง)

“เห็นๆ”

(โอเค แป๊บนะ)

ภาพหน้าจอเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ในตอนนี้กลับมาเห็นศศิทัศน์เต็มหน้าจอจนไม่เห็นวีรมาตุแล้ว จนดูเหมือนว่าศศิทัศน์เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยมาอยู่ด้านนอกแล้ว

(หมอบอกว่ายังต้องดูอาการอย่างใกล้ชิด แต่ยังไงเฮียรู้สึกแล้วก็สบายใจไปได้เปราะนึง หวังว่าเฮียจะฟื้นตัวเต็มที่เร็วๆนี้)

“ดีเลยมึง แล้วตอนนี้มีอะไรต้องทำเพิ่มมั้ย”

(ก็อืม... หมอขอดูตรวจละเอียดก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที แล้วนี่มึงจะกลับมาเมื่อไหร่)

“พรุ่งนี้วันเผา มะรืนก็ไปลอยอังคารเสร็จกูก็กลับเลย คงไปถึงค่ำๆ”

(โอเค ได้ๆ งั้นไว้เจอกันมึง)

ต่างฝ่ายต่างก็ล่ำลากันแล้วก็กดปิดโทรศัพท์ไป

“อารมณ์ปลี่ยนเชียวนะ” เพื่อนๆแยกกลับไปนั่งที่เดิมก่อนหน้า

“เฮียวีฟื้นมาก็ดีแล้ว จะได้หมดกังวลไปเรื่องนึง” แพรไหมพูดอย่างรู้ใจวีร์ว่าคิดอะไรอยู่

“มันก็ใช่ แต่อาการเฮียหนักอยู่เหมือนกัน อยากให้หายเร็วๆ”

“ค่า... รอไปออกเดตอยู่ละสิ อ้อร้อเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” หนุ่มนักมวยที่มีจริตจะก้านแบบจัดเต็ม

วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไรนอกจากฉีกยิ้มให้ แล้วก็หันไปสนใจข้อความสนทนาของกลุ่มเพื่อนที่เขาเพิ่งจะได้เข้าไปอ่านครั้งแรกในวันนี้ ซึ่งถ้าหากได้เปิดดูอยู่เรื่อยๆก็คงจะทราบเรื่องที่วีรมาตุเริ่มรู้สึกตัวเร็วกว่านี้


*****


พิธีการสวดมาติกาบังสุกุลเริ่มขึ้นช่วงสาย ต่อด้วยการเทศนาหนึ่งกัณฑ์จากพระครูอาจารย์ที่ได้นิมนต์มา แล้วจึงเข้าสู่พิธีการไว้อาลัยให้แต่ผู้วายชนม์ จนกระทั่งวางดอกไม้จันทน์เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเคลื่อนย้ายโลงศพจากศาลาไปยังเมรุเผาศพ

วิรัช จิรัสย์ วิธู และวีร์ คือคนกลุ่มสุดท้ายที่ยืนรายล้อมโลงศพบนเมรุเพื่อขั้นตอนสุดท้าย มองดูสัปเหร่อเปิดฝาโลงออก ภายในนั้นเป็นศพของวีรดนย์ที่ห่อผ้าไว้มิดชิดตามที่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแจ้งไว้ให้ทราบล่วงหน้าตามความต้องการของวิรัชและจิรัสย์ที่อยากให้จดจำภาพดีๆของวีรดนย์เป็นภาพสุดท้าย มีข้าวของบางอย่างของผู้ตายถูกใส่เพิ่มลงไปข้างใน โดยเชื่อว่าจะได้นำติดตัวไปใช้ในโลกหน้า รวมถึงเทดอกไม้จันทน์ทั้งหมดลงไปด้วย

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว สัปเหร่อเลื่อนโลงศพเข้าไปข้างในเตาเผา พระอาจารย์สวดบริกรรมคาถาและจุดไฟดอกไม้จันทน์ช่อสุดท้ายแล้วโยนลงไปข้างในโลงศพ จากนั้นสัปเหร่อก็เริ่มโหมไฟให้แรงขึ้นทันที

อ๊ะ เผาเลยเหรอ

คำพูดผุดขึ้นมาในใจของวีร์ มีความรู้สึกโหว่งเหวงขึ้นมาทันใด เพราะคิดว่ายังมีขั้นตอนอะไรเพิ่มเติมอีก และนี่เป็นการยืนยันความจริงที่ว่า ถึงเวลาที่เขาและวีรดนย์ต้องจากลากันจริงๆแล้ว

วีร์เม้มริมฝีปากมองดูทีลุกโชนอยู่ชั่วครู่ก่อนที่สัปเหร่อจะปิดฝาเตาเผา

“เดี๋ยวจะมาดับธาตุเย็นนี้เลยใช่มั้ย”

“ครับ หลวงพี่” วิรัชตอบกลับพระอาจารย์

“จะได้ให้เขาเตรียมไว้ให้ โยมก็หาอะไรมาใส่ไว้ด้วยนะ” เมื่อพระอาจารย์กล่าวเสร็จก็หันเดินลงไปจากเมรุ

ส่วนคนอื่นนอกจากสัปเหร่อที่ยังต้องควบคุมไฟก็เดินตามพระอาจารย์ลงไปด้วย วีร์หันกลับไปมองประตูเตาเผาอีกครั้งก่อนที่จะตามลงไปเป็นคนสุดท้าย


*****


วิรัช จิรัสย์ วิธูและวีร์ เดินทางมาถึงท่าเรือตั้งแต่เช้าพร้อมกับกล่องขนาดใหญ่ที่บรรจุอิฐิธาตุของวีรดนย์ แล้วจึงขึ้นเรือที่ได้ติดต่อไว้เพื่อออกไปกลางท้องทะเล จนเรือแล่นออกห่างจากฝั่งประมาณยี่สิบนาที ผู้บังคับเรือก็ดับเครื่องยนต์ลง ทั้งสี่คนจึงเตรียมพร้อมในขั้นตอนสุดท้าย

วิรัชโปรยเหรียญไปทั่วบริเวณ เชื่อว่าเป็นการขอซื้อที่ทางไว้ให้กับผู้ตาย ส่วนจิรัสย์โปรยดอกไม้เพื่อขอขมาและบูชาสิ่งศักดิ์เพื่อขอให้ช่วยปกปักดูแลให้ปลอดภัย จากนั้นวิธูและวีร์ช่วยกันเทอัฐิธาตุของวีรดนย์ลงไปในทะเลเพื่อส่งส่วนที่เหลืออยู่คืนกลับสู่ธรรมชาติ

เสร็จเรียบร้อยแล้วคนขับก็บังคับเรือหันกลับเข้าสู่ฝั่ง จุดที่ดอกไม้และและเศษขี้เถ้าลอยอยู่นั้นห่างไกลออกไปเรื่อยๆ วีร์ด้แต่มองดูอย่างไม่ละสายตา

สุดท้ายแล้ว ชีวิตคนเราก็เท่านี้

จากนั้นวิรัชมาส่งวีร์ที่สถานีขนส่งทันเวลาเที่ยวรถที่วีร์จะต้องกลับไปแบบฉิวเฉียด มีเวลาร่ำลากันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ทุกคนก็เข้าใจเป็นอย่างดี ต่างก็บอกให้วีร์รีบขึ้นรถไปเลย แล้วก็โบกมือลาส่งผ่านหน้าต่างรถโดยสารแทน เพราะนี้ไม่ใช่โอกาสที่จะเจอกันเป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย

คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องดิ้นรนกันต่อไป


*****


จากช่วงกลางวันที่อากาศร้อนอบอ้าวตลอดเส้นทาง แม้ว่าภายในรถโดยสารจะมีเครื่องปรับอากาศแต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงไอร้อนผ่านกระจกหน้าต่าง จนถึงเวลาใกล้พลบค่ำที่อากาศเริ่มเย็นช่วงทิ้งท้ายหน้าหนาว และอาจจะเป็นเพราะไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอที่ร่วมเป็นอีกสาเหตุหนึ่งทำให้วีร์รู้สึกเหมือนตัวเองจะมีไข้เล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่ทนได้

“หิวรึเปล่า” ธีร์ถามเมื่อทั้งสองคนได้เจอหน้ากัน วีร์ส่ายหน้าเบาๆเพราะรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะมึนศีรษะมากขึ้น “เป็นอะไรเนี่ย ไม่สบายเหรอ”

“นิดหน่อย”

“เดี๋ยวก็กินข้าวกินยา แล้วก็นอนพัก”

วีร์พยักหน้าตอบกลับ แล้วก็เดินตามธีร์ไปที่ลานจอดรถ ทั้งคู่ขึ้นรถยนต์และคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยเตรียมพร้อมออกเดินทางได้

“จะแวะไปโรงพยาบาลก่อน หรือจะกลับบ้านเลย” ธีร์ถามทันทีที่เขาขับรถออกไป เพื่อที่จะได้วางแผนเส้นทางถูก

วีร์มองดูเวลาจากโทรศัพท์ของเขาก่อนที่จะตอบ

“กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก็น่าจะเลยเวลาเยี่ยมแล้วมั้ง ค่อยไปพรุ่งนี้เช้าก็ได้”

“ก็แล้วแต่นะ แต่พี่ขับไปให้ได้” ธีร์ยังคงเปิดทางเลือกให้วีร์อยู่

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวค่อยโทรบอกไอ้ตี๋เล็ก”

“งั้นก็นอนพักไป เดี๋ยวถึงบ้านแล้วจะปลุก” ธีร์มองดูท่าทางของวีร์แล้วก็ไม่ได้ต่อความอะไรอีก

วีร์พยักหน้าแล้วก็พิงศีรษะไปก่อนที่จะหลับตาลง ความรู้สึกบีบรัดเป็นจังหวะตามการเต้นของหัวใจตรงที่ขมับเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ วีร์พยายามหายใจเข้าออกลึกๆช้าๆ พยายามตัดทุกความคิดออกไปทั้งหมดเพื่อจะได้งีบหลับไปนานเท่าที่การจราจรในช่วงนี้จะให้เขาได้ก่อนที่จะถึงบ้าน


*****


วีร์เดินทางมาถึงโรงพยาบาลแต่เช้าไปตามเส้นทางที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี แวะทักทายกับพยาบาลบางคนที่เขาเคยพบหน้ากันเป็นประจำ แล้วจากนั้นก็เดินตรงไปที่ยังเป้าหมายและคนที่เขาอยากจะเจอมากที่สุดในตอนนี้

วีร์เปิดประตูเดินเข้าไปข้างในห้องพักผู้ป่วย โดยคาดหวังว่าจะเห็นอย่างน้อยที่สุดก็คือศศิทัศน์และวีรมาตุเอง แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ผ้าห่มกองอยู่ที่ปลายเตียงแต่กลับไม่มีใครนอนอยู่บนเตียง วีร์นึกสงสัยว่าเขาเดินเข้ามาผิดห้องหรือเปล่า จึงเดินกลับไปที่หน้าประตูห้องอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

หมายเลขห้องเป็นไปตามที่เขารู้มา และป้ายชื่อก็บอกชัดเจน

ห้อง 1009 นายวีรมาตุ ราวัณ

วีร์จึงเดินกลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง มองดูรอบๆห้องก็เห็นว่าจะมีข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัววางอยู่บ้าง วีร์เดินไปหยิบผ้าห่มที่กองอยู่ขึ้นมาสะบัดแล้วพับไว้ที่ปลายเตียงให้เรียบร้อย แล้วก็หันไปเก็บแก้วน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่ค่อนแก้ว กำลังจะเอาไปล้างที่อ่างล้างจาน ประตูห้องน้ำที่อยู่ติดกับประตูห้องก็เปิดออกมา

ร่างสูงขาวของหนุ่มหน้าตี๋เดินออกมาในชุดลำลองทั่วไป วีร์หันไปมองดูด้วยความแปลกใจระคนความดีใจ อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้เขาก่อนที่จะโยนเสื้อผ้าผู้ป่วยที่เพิ่งจะไปเปลี่ยนมาลงไปในตระกร้าที่ทางโรงพยาบาลจัดเตรียมไว้ให้

“เฮีย” วีร์ส่งเสียงเรียกพร้อมกับมองดูวีรมาตุตั้งแต่ปลายผมจรดปลายเท้า

ชายหนุ่มไม่ได้ตอบกลับอะไร เพียงแค่ยิ้มให้แล้วก็เดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบกระเป๋าใบย่อมขึ้นมา แล้วจึงค่อยๆหยิบของใช้ส่วนตัวใส่ลงไปที่ละอย่าง

“เฮีย... เฮียไม่เป็นอะไรแล้วเหรอครับ”

วีรมาตุยิ้มให้ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำ แล้วหยิบแปรงสีฟัน หลอดยาสีฟัน ขวดยาสระผมมาใส่ลงในกระเป๋า

“เฮ้อ... วีร์ก็เป็นห่วงอยู่ว่าเฮียจะเป็นอะไรมาก เฮียหายดีแบบนี้ก็ดีแล้วครับ” วีร์รู้สึกโล่งใจไปมากที่เห็นวีรมาตุกลับมามีอาการปกติ “อ้อ... เดี๋ยวเฮียต้องไปทำเรื่องขอสอบปลายภาคอีกใช่มั้ยครับ คนอื่นๆเขาสอบกันไปหมดแล้ว เหลือเฮียอยู่คนเดียว”

วีรมาตุยิ้มให้ก่อนที่จะเดินไปเก็บกระเป๋าและโทรศัพท์ที่วางอยู่ที่ข้างเตียงนอน และยังมีปากกา สมุดจด และหนังสือสองสามเล่ม เอาใส่ลงไปในกระเป๋าไว้ด้วยกัน

“เฮียจะเอาของกินกลับไปหมดเลยรึเปล่าครับ” วีร์เห็นวีรมาตุเก็บข้าวของเครื่องใช้จนเกือบหมดแล้วจึงหันดูรอบๆห้องว่าจะช่วยอะไรได้อีกบ้าง ก็หันไปเห็นกระเช้าของเยี่ยมผู้ป่วยวางอยู่ บางอันก็แกะออกแล้ว บางอันก็ยังอยู่ในสภาพเดิม “แต่วีร์ว่ามันก็เยอะเหมือนกันนะ”

วีร์หันมารอคำตอบ วีรมาตุก็ยิ้มให้กับพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนที่เขาจะเดินออกไปที่ระเบียงห้องเพื่อเก็บผ้าขนหนูที่ตากไว้

“อ้อ เฮีย... แล้วเดี๋ยวใครมารับเหรอครับ ป๊าว่างรึเปล่า ให้วีร์โทรเรียกพี่ธีร์ให้เอามั้ยครับ”

วีรมาตุพับผ้าขนหนูใส่ลงไปในกระเป๋าแล้วจึงรูดซิปปิดให้เรียบร้อย จากนั้นก็คล้องสายสะพายไว้ที่บ่าของตัวเอง แล้วจึงหันมาหาวีร์พร้อมกับรอบยิ้ม

“น้องวีร์ครับ เฮียไปแล้วนะ”

“ครับ แล้วเดี๋ยวใครจะมารับเหรอครับ” วีร์ถามอีกครั้ง เพราะยังไม่เห็นว่าจะมีใครมาเลยสักคนไม่ว่าจะเป็นศุภกรหรือศศิทัศน์ก็ตาม

“เฮียไม่อยู่แล้ว น้องวีร์ดูแลตัวเองดีๆนะครับ” ใบหน้าของวีรมาตุยังคงมีรอยยิ้มให้เห็นอยู่

วีร์ชะงักไปเล็กน้อย และเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมา

“เฮียจะไปไหนเหรอครับ”

วีรมาตุยกมือขึ้นลูบศีรษะของวีร์ด้วยความเอ็นดู

“สักวันหนึ่ง เราคงจะได้เจอกันอีกนะ” วีรยิ้มให้อีกครั้งแล้วก็หันหลังเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย

“เฮีย... เฮียครับ... เฮีย...”


*****


วีร์ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองยังคงอยู่ในรถยนต์ของธีร์ดังเดิม บรรยากาศยังคงมืดครึ้มมีเพียงแสงไฟจากรถยนต์และไฟถนนส่องสว่างให้อยู่ วีร์หันไปมองดูธีร์ที่กำลังจดจ่ออยู่กับสัญญาณไฟจราจร แล้วก็หันกลับไปมองอีกฝั่งที่มีรถจักรยานยนต์ขับแทรกไปตามช่องว่างที่มีอยู่ไปเรื่อยๆ

วีร์พยายามมองดูรอบๆว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนแล้ว พร้อมกันนั้นก็พยายามสูดหายใจลึกๆเพื่อคลายความรู้สึกสั่นไหวทั้งทางกายและทางใจ พยายามทำความเข้าใจตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่วีร์ต้องการจะทำในทันที

“พี่ธีร์ แวะไปโรงพยาบาลก่อนได้มั้ย”

ธีร์หันมาเห็นท่าทางตื่นตระหนกของวีร์ก็นึกแปลกใจ

“ก็ได้นะ ไปเลี้ยวตรงแยกหน้าแล้ววนกลับไปที่โรงพยาบาลได้อยู่”

“งั้นแวะไปโรงพยาบาลก่อนครับ”

ธีร์ไม่ได้ถามอะไรวีร์ต่อ กอปรกับสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี ธีร์จึงออกรถไปตามเส้นทางใหม่จากที่แผนเดิมที่วางไว้ตามความต้องการของผู้ร่วมเดินทาง



[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
รถยนต์ยังไม่ทันได้จอดสนิท วีร์ก็รีบเปิดประตูลงไปจากรถ แล้วก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านหน้าห้องฉุกเฉินไปยังลิฟท์โดยสาร ใช้เวลารออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นว่าลิฟท์ตัวไหนจะลงมาเสียที ในใจเริ่มรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้น วีร์จึงตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้บันไดแทน

ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นผลจากอาการไข้ที่มีอยู่เดิม หรือความรู้สึกวูบไหวที่กำลังก่อตัวมากขึ้น หรือจะเป็นเพราะต้องออกกำลังวิ่งขึ้นบันไดมาถึงสองชั้น ทำให้หัวใจที่เดิมเต้นแรงอยู่ก่อนแล้ว ก็เริ่มจะสั่นรัวมากขึ้นไปอีก

ที่เห็นอยู่ตรงหน้าไกลๆนั้นคือหอพักผู้ป่วยวิกฤติในช่วงที่ใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว ซึ่งยังคงมีผู้คนรออยู่บ้างประปราย วีร์พยายามปรับการหายใจให้กลับมาเป็นปกติในขณะที่เดินไป ในใจก็นึกภาวนาอย่าให้เกิดอะไรขึ้น ในตอนนั้นปลายหางตาก็เห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่อีกฝากฝั่งของตึก คนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว

วีร์รีบหันไปมองแต่ก็ไม่พบอะไร วีร์มองดูรอบๆอีกครั้งให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง แต่ก็ไม่พบอะไรอีก จึงหันกลับและเดินต่อไป

อย่าเพิ่งมาเอาเฮียวีไปนะ พี่วี

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆประตูทางเข้าหอผู้ป่วยวิกฤติ ก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่อยู่ ความคิดยังคงโลดแล่นไปต่างๆนานา ทั้งในทางดีและในทางร้าย แม้ว่าบรรยาการโดยรอบก็เป็นปกติเหมือนทุกๆวัน เว้นเพียงแต่ว่าวีร์เห็นศศิทัศน์เดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วย

ใบหน้าของศศิทัศน์ก้มลงมองพื้น สองมือกำหมัดแน่น และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นวีร์กำลังเดินมาพอดี จึงรีบวิ่งโผเข้าไปกอดคอไว้แน่น ไม่นานนักเสียงสะอื้นและเสียงครวญครางกค่อยๆดังออกมา

“เฮียไม่อยู่แล้ว”

เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง สายตาที่ทอดออกไปนั้นไม่ได้มองเห็นอะไร ไม่ว่าใครต่อใครมาพูดอะไรก็ได้ยินเป็นเสียงก้องฟังไม่รู้เรื่อง และต่อให้ศศิทัศน์กอดคอเขาแน่นขนาดไหนก็ไม่รู้สึกหนักอะไร

กำลังฝันอยู่

คำอธิบายเดียวที่บอกกับตัวเองในตอนนี้ กลไกการปกป้องความรู้สึกเจ็บปวดเริ่มทำงาน เริ่มสร้างสภาพการณ์ให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการและหวังว่ามันจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา อย่างน้อยก็ขอประวิงเวลาไปจนกว่าเขาจะทำใจยอมรับความเป็นจริงได้

แต่ไม่ใช่ตอนนี้


*****



[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 15 การเต้นรำครั้งสุดท้าย


วิธู:
ไอดีไลน์อันนี้คงไม่ต้องใช้แล้วสินะ


*****


เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นกฎธรรมชาติที่ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ล้วนอยู่ภายใต้กฎนี้ ไม่มีทางหนีพ้น ไม่มีอะไรจะช่วยให้ฝืนชะตานี้ไปได้ สิ่งที่เราจะทำได้มีเพียงเข้าใจและยอมรับว่ามันเป็นเช่นนั้นแล

เช้าวันใหม่อันสดใสที่เป็นวันพักผ่อนของใครหลายคน แต่ไม่ใช่กับครอบครัวราวัณที่วิ่งวุ่นกันตลอดทั้งคืนต่อเนื่องมาถึงช่วงกลางวัน  แม้ความเศร้าโศกเสียใจจะมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ต้องคอยจัดเตรียมหลายสิ่งหลายอย่าง ทั้งเรื่องเอกสารเพื่อไปติดต่อกับหน่วยราชการและวัด ทั้งติดต่อร้านค้า ร้านดอกไม้ ร้านโลงศพ สำหรับเครื่องใช้ต่างๆในพิธีการบำเพ็ญกุศล

และเมื่อกำหนดวันและเวลาโดยคร่าวได้แล้ว ก็เริ่มส่งข่าวผ่านไปทางญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงให้ทราบโดยทั่วกัน ความสะดวกสบายของโลกเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้ข่าวกระจายไปได้อย่างรวดเร็ว จึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รู้จักมักคุ้นกันเดินทางมาร่วมรดน้ำศพในช่วงบ่ายวันนั้นจนเต็มศาลา

เนื่องด้วยอุบัติเหตุของวีรมาตุนั้นเกี่ยวข้องกับนักร้องหนุ่มชื่อดัง เมื่อผู้เสียหายเสียชีวิตลงแล้ว โทษของคดีก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ทำให้มีสื่อสารมวลชนจำนวนมากเข้ามาทำข่าว แต่ก็ถูกรับหน้าโดยทีมทนายจากเครือล้ำเลิศที่มาเตรียมพร้อมทันทีตั้งแต่ทราบเรื่อง กันไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปรบกวนความเป็นส่วนตัวของญาติผู้เสียชีวิต รวมถึงส่งสารย้ำว่ายังคงตามเก็บข้อความต่างๆในโลกสื่อสารสังคมออนไลน์อยู่เหมือนเดิม หากมีใครสร้างความเสียหายขึ้นมาก็พร้อมจะดำเนินคดีได้ทันที

พวงหรีดดอกไม้เริ่มหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย จนเจ้าภาพงานต้องรีบบอกข่าวของดรับพวงหรีดและซองทำบุญ แต่หากว่าใครต้องการร่วมอุทิศบุญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์ ก็ขอให้บริจาคไปยังมูลนิธิโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยที่วีรมาตุกำลังศึกษาอยู่แทน เพื่อยังประโยชน์แก่ผู้อื่นต่อไป

ชัชวาล ไมตรีจิต พร้อมสรรพ และคุณกร อยู่ร่วมงานตั้งแต่ช่วงบ่ายก่อนรดน้ำศพจนถึงช่วงเย็น รวมไปถึงเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆด้วยเช่นกัน ทั้งหมดไม่มีใครคิดว่าเพื่อนของเขาจะจากไปเร็วเช่นนี้

“ไง เพื่อนมึงเป็นไงบ้าง” ชัชวาลและกลุ่มเพื่อนของเขาเดินเข้าไปถามเด็กหนุ่มรุ่นน้อง

“ดูเหมือนปกตินะเฮียชัช ทำโน้นทำนี้ปกติ” สุรศักดิ์บุ้ยหน้าไปทางศศิทัศน์และวีร์ที่กำลังยืนคุยอยู่กับศุภกรและมะลิวัลย์ “แต่แววตาพวกมันยังดูไม่โอเคเท่าไหร่”

“คอยๆดูพวกมันด้วย ให้มันนั่งพักหาอะไรกินบ้าง งานยังอีกหลายวัน”

“แล้วเรื่องคดีเป็นยังไงบ้าง” ไมตรีจิตหันไปถามนพชัยและชัยทิศ

“พวกผมยังไม่ได้ไปคุยกับคุณทนายเลยเฮีย” “แต่ได้ยินมาคร่าวๆก็คงจะเปลี่ยนข้อหาใหม่”

“ก็น่าอยู่หรอก แต่ได้ข่าวว่าทางโน้นมีแบ็คใหญ่โตหนุนหลังอยู่ ว่าไม่ได้” ไมตรีจิตยังคงเอาเรื่องในโลกสื่อสังคมออนไลน์มานินทาต่อไม่เลิก

“ถ้าเป็นสมัยก่อนที่ดารานักร้องทำคนตายอาจจะรอดได้ แล้วเดี๋ยวนี้คงไม่แล้วมั้งเฮีย นอกจากจะเผ่นหนีออกนอกประเทศไปซะก่อน” พระยศแสดงความคิดเห็น

”ก็ไม่แน่หรอก ในเมื่อไม่ใช้ไพ่หลบหนี แต่หงายไพ่สารภาพหมดเปลือกแล้วก็ให้ความร่วมมือการสืบสวนเป็นอย่างดี แล้วก็ยังยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้เต็มจำนวน เพื่อหวังขอลดหย่อนโทษก็ได้” ไมตรีจิตยังคงวิเคราะห์ต่อไป

“ก็อาจจะสองปีเป็นอย่างต่ำแหละเฮีย” พระยศคาดคะเนผลคำตัดสิน

“ยังไงก็ได้ติดคุกแน่ๆว่างั้น” ไมตรีจิตถามย้ำอีกครั้ง พระยศก็พยักหน้ารับว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น “ดี!”

“ไปเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรกับเขานักวะมึง” ชัชวาลมองดูไมตรีจิตอย่างเข้าใจแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของอีกฝ่ายมากนัก

“หลวงเพื่อนปล่อยวางได้ก็ดีแล้วครับ ส่วนโยมเพื่อนคนนี้ยังตัดโลภะโทสะโมหะไม่ขาด ขอติดไว้ก่อน”

“เออ เรื่องของมึง”

ในตอนนั้นเองที่ศศิทัศน์และวีร์เดินมารวมกลุ่มกับทุกคน แต่ละคนจึงปรับเปลี่ยนท่าทางและเรื่องที่พูดคุยกัน

“เฮีย เดี๋ยวพวกเฮียอยู่ฟังสวดด้วยใช่มั้ยครับ” ศศิทัศน์พวกหนุ่มรุ่นพี่

“ใช่ อยู่กันหมดนี้แหละ คนอื่นๆด้วย” ไมตรีจิตตอบ

“งั้นเดี๋ยวต้องไปขอเก้าอี้ของวัดเพิ่ม คิดว่าคงจะไม่พอ” ศศิทัศน์หันมาคุยกับวีร์

“เดี๋ยวค่อยทำ พวกมึงกินอะไรรึยัง” ชัชวาลถามทั้งสองคน ซึ่งก็ส่ายหน้าตอบกันทั้งคู่ “งั้นก็นั่งลง แล้วกินอะไรก่อน” ทั้งสองมีท่าทีจะคัดค้านแต่ชัชวาลก็ยังยืนยันคำพูดเดิม

“กินอะไรก่อน เดี๋ยวพวกกูไปช่วยด้วยอีกแรง” ไมตรีจิตออกปากอีกคน

“พวกมึงไปหยิบข้าวมาให้เพื่อนมึงไป” ชัชวาลหันไปบอกเด็กรุ่นน้องที่เหลือ

“เอามาเผื่อทุกคนเลยมั้ยเฮีย” สุรศักดิ์ลุกขึ้นยืนแล้วก็นับจำนวนคน

“ได้ เอามาเลย”

สุรศักดิ์จึงลากนพชัยและชัยทิศเดินไปหยิบข้าวกล่องและน้ำดื่มด้วยกัน

“มึง เดี๋ยวพี่วาเอาธรมาด้วยรึเปล่า” คุณกรถามวีร์ตอนที่ทุกคนพากันจับจองที่นั่งกันแล้ว

“ก็มาด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ ตากับยายเขาก็มา”

“อ้าวเหรอ เห็นบอกอยู่ว่าค่อยมาวันหลัง” คุณกรมีสีหน้าแปลกใจ

“สงสัยตอนแรกที่จะมารดน้ำศพ จะมากันแค่สองคน ฝากธรไปกับตากับยาย แล้วก็เปลี่ยนใจมาตอนสวดเย็นแทน ก็เลยจะมากันหมดวันนี้เลย” วีร์รับข้าวและน้ำที่เพื่อนๆไปหยิบมาให้ แต่เมื่อแกะออกดูแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอยากอาหารสักเท่าไหร่ และศศิทัศน์เองก็มีท่าทีที่ไม่ต่างกันมากนัก

“กิน กินให้เสร็จ เดี๋ยวจะได้ไปช่วยกันจัดเก้าอี้” ชัชวาลบอกย้ำทั้งสองคนอีกครั้ง

“แล้วนี่ ตอนเผาเสร็จแล้วจะจัดการยังไงต่อ” ไมตรีจิตถามศศิทัศน์

“เห็นป๊ากับม้าบอกว่าจะเอากระดูกไปเก็บไว้ที่ฮวงซุ้ยตระกูล ส่วนที่เหลือจะเอาไปลอยที่ปากแม่น้ำ”

“กระดูกเก็บไว้ตอนวันเช็งเม้งอะนะ” ศศิทัศน์พยักหน้าตอบไมตรีจิต “จะไปวันไหนก็บอกพวกกูด้วยก็แล้วกัน”

“เช็งเม้งมันเรื่องของคนในครอบครัวเขา มึงจะไปเกี่ยวอะไรด้วยวะ ไว้รอครบร้อยวันก่อนค่อยมาทำบุญกัน” ชัชวาลดักคำพูดของไมตรีจิต
“อ้าวเหรอ นึกว่าคนอื่นไปได้”
“ไม่มีใครห้าม แต่เขาไม่ไปกัน ถ้าไอ้วีร์ไปก็อีกเรื่องนึง”
เมื่อถูกเอ่ยชื่อถึง วีร์ก็เงยหน้าขึ้นมองรอบๆ ก็เห็นสายตาหลายคู่มองมาที่เขา
“ยังไงมันก็ต้องไปอยู่แล้ว” ไม่ใช่ใครอื่นได้นอกจากศศิทัศน์ที่เป็นคนตอบ ส่วนคนอื่นๆนั้นก็ไม่ได้เห็นแย้งหรือแซวอะไรขึ้นมา จากนั้นหัวข้อในวงสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องทั่วๆไป
“เฮ้ยๆๆ” ไมตรีจิตร้องดังขึ้นมาเรียกความสนใจจากทุกๆคน แล้วเจ้าตัวก็ทั้งบุ้ยหน้าทั้งเลิกคิ้วให้ทุกคนหันไปมองตามเขา “ดูโน้น”
ตั้งแต่บริเวณประตูหน้าวัดนั้นมีกลุ่มคนรวมตัวกันอยู่ คนที่อยู่วงรอบนอกต่างก็แบกกล้องวิดีโอ เครื่องเล็กบ้าง เครื่องใหญ่บ้าง ส่วนคนวงในใกล้ชิดนั้นต่างก็ถือไมโครโฟนจ่อไปที่จุดเดียวกัน ทั้งกลุ่มก้อนนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวมาที่ศาลาที่ตั้งศพของวีรมาตุ แต่แล้วก็ถูกแนวกั้นของทีมทนายที่ย้ำไม่ให้บรรดานักข่าวเข้ามาภายในบริเวณศาลาได้ จึงต้องหยุดไว้เหลือเพียงบุคลลไม่กี่คนที่เดินหลุดอออกมา
แม้ว่าจะสวมหมวกและแว่นสีดำปิดบังไว้ แต่ก็ยังดูออกได้ชัดเจนว่าเป็นนักร้องดาวรุ่งที่เคยมีการพูดถึงว่ากำลังจะรับบทนำในละครชุดแนวใหม่สุดล้ำแห่งวงการ ซึ่งต้องหยุดชะงักไปเสียก่อนเพราะเรื่องคดีความของว่าที่นักแสดงนำ
หลังจากฝ่าวงล้อมของนักข่าวมาได้ หนึ่งในทีมงานที่มาด้วยกันกับนักร้องหนุ่มได้พูดคุยกับทนายจากเครือล้ำเลิศ แล้วทั้งหมดพากันไปพบวิรัชและจิรัสย์ พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นักร้องหนุ่มจะไปเคารพศพ แล้วจึงมาบอกลาคู่สามีภรรยาก่อนที่จะรีบกลับออกไปจากงาน โดยที่ไม่ได้หยุดให้สัมภาษณ์ใดๆแก่สื่อมวลชน
“โธ่เอ้ย นึกว่าจะอยู่ต่ออีกหน่อย รีบกลับซะแล้ว” ไมตจรีจิตมีน้ำเสียงและท่าทางเยาะเย้ย
“เพลาๆลงบ้างมึง เขามาก็ดีแล้ว” ชัชวาลปรามเพื่อนของเขาไว้
“มาเพื่อเอาไปใช้ลดหย่อนโทษละไม่ว่า ใครๆก็ดูออกกันทั้งนั้นละวะ” ไมตรีจิตยังมีอารมณ์ต่อเนื่องอยู่ “อย่างน้อย เดี๋ยวตอนไปรับทราบข้อกล่าวหาใหม่ คงได้นอนคุกสักสองวันก่อนแน่ๆ”
“กูว่าไม่ ทนายฝั่งเขาคงเตรียมหลักทรัพย์ไว้ยื่นประกันตัวทันทีอยู่แล้ว” พร้อมสรรพยังคงมองดูกลุ่มนักข่าวที่กำลังถูกบอกให้ถอนแนวทำข่าวให้ไกลออกไปจากบริเวณศาลาหลังจากที่ใช้โอกาสกรูตามนักร้องหนุ่มเข้ามา แล้วไม่ยอมถอยกลับไป พรอ้มสรรพหันกลับมาเห็นสีหน้าไมตรีจิตที่กำลังจ้องเขาอยู่ “ข่าวก็ประโคมกันแทบทุกช่อง มึงไม่ได้ดูรึไงวะ”

“ไม่อะ เดี๋ยวนี้กูขี้เกียจเปิดทีวีดูข่าว ช่องไหนๆก็เป็นเหมือนกันหมด เสียเวลาไปกับเล่าย้อนเนื้อข่าวไปแล้วครึ่งนึงกว่าจะเข้าเนื้อข่าวใหม่ที่อยู่จริงๆนิดเดียว แล้วก็ยังมีความเห็นส่วนตัวนักข่าวที่กูไม่ได้อยากรู้เลย กูแค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นไม่ได้อยากฟังว่านักข่าวคิดยังไง กูคิดเองเป็น” ไมตรีจิตยักไหล่ปิดท้าย ก่อนที่จะหันไปมองชัชวาลและพร้อมสรรพอย่างท้าทายกลับ เพราะทั้งคู่กำลังมองเขาพิจารณาตั้งแต่ปลายเส้นผมจรดปลายเท้า


*****


วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันจะรู้ตัว การบำเพ็ญกุศลศพ การฌาปณกิจ การบรรจุกระดูกไว้ในฮวงซุ้ย และสุดท้ายการลอยอังคารก็เสร็จสิ้น ก็เหลือคนเป็นที่ยังต้องใช้ชีวิตกันต่อไปจนกว่าเวลาของตัวเองจะมาถึง

ศุภกร มะลิวัลย์ และศศิทัศน์ไปเก็บของใช้ต่างๆของวีรมาตุออกมาจากหอพักนักศึกษาแพทย์ โดยมีชัชวาลและไมตรีจิตคอยช่วยอีกแรง ส่วนรถยนต์ที่วีรมาตุใช้อยู่ประจำนั้นก็เอามาเก็บไว้ที่บ้านก่อน รอจนกว่าศศิทัศน์สามารถสอบได้ใบขับขี่ได้เมื่อไหร่ก็ค่อยยกให้ใช้ต่อไป

ส่วนเรื่องของคดีความก็ให้เป็นหน้าที่ของทีมทนายจาเครือล้ำเลิศจัดการดูแลให้ทั้งหมดต่อไป

ในระหว่างที่นักศึกษามหาวิทยาลัยยังเหลือเวลาให้พักต่ออีกหน่อยก่อนที่จะเปิดภาคเรียนใหม่ เหล่านักเรียนก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตในโรงเรียนตามเดิม วีร์ต้องรีบตามเก็บงานในช่วงที่เขาขาดเรียนไปตั้งแต่งานฌาปนกิจของวีรดนย์ต่อเนื่องมาถึงวีรมาตุ แม้ว่าครูอาจารย์จะเข้าใจเรื่องราวแต่ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองก็ยังคงต้องรักษาไว้

วีร์ส่งงานชิ้นสุดท้ายที่เร่งทำตั้งแต่เช้าจนเย็น และรีบเอาไปวางไว้บนโต๊ะอาจารย์ทันตามเวลาที่กำหนด ทำให้เขาส่งงานครบเท่ากับเพื่อนร่วมชั้น จึงหมดเรื่องกังวลไปหนึ่งอย่าง

“น้องครับ”

เสียงเรียกที่ดังลอยมาที่ไม่ได้เจาะจงบุคคลใดในตอนที่วีร์กำลังจะเดินออกจากตึกเรียน กำลังคิดจะแวะไปที่ห้องชมรมก่อนที่จะกลับบ้าน จึงเดินต่อไปโดยที่ไม่ได้สนใจ

“น้องวีร์ครับ”

วีร์หยุดเดินและหันไปมองตามทิศทางของเสียงก็เห็นนักร้องหนุ่มที่มาในชุดธรรมดาพร้อมกับแว่นตาดำและสวมหมวกขอทานสีเข้มโทนเดียวกับเสื้อผ้า ที่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เดาออกว่าเป็นใคร วีร์หันมองดูรอบๆซึ่งก็ไม่เหลือใครมากแล้วในเวลาเช่นนี้ และนึกสงสัยว่าบุคคลตรงหน้ามีจุดประสงค์ใดและบังเอิญเจอกันหรือว่าตั้งใจ

“มีอะไรรึเปล่าครับ” วีร์ถามกลับโดยรักษาระยะห่างและคงไว้ซึ่งมารยาทไปพร้อมกัน

“ว่างรึเปล่า” ชายหนุ่มถาม และดูเหมือนว่าเขาจะเดาท่าทางของวีร์ออก “พี่ตั้งใจมาหาเรานั่นแหล่ะ พี่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย ตอนมาถึงเห็นเรารีบเดินมาที่ตึกเลยเดินตามมา แล้วก็รออยู่ข้างล่าง”

วีร์มองดูชายหนุ่มอย่างพิจารณาอีกครั้งแล้วก็หันมองรอบๆ พอจะเห็นว่ามีคนเริ่มสังเกตพวกเขาแล้ว วีร์จึงหันกลับมามองชายหนุ่มอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจ


*****


เป็นไปอย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้ว่าในเวลานี้ไม่มีใครอยู่ที่ห้องชมรมถ่ายรูป วีร์ไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปข้างใน แล้วจึงเปิดไฟเปิดพัดลมก่อนที่จะเอากระเป๋าเป้ไปวางที่ที่โต๊ะประจำของตัวเองซึ่งมีเอกสารบางอย่างวางไว้อยู่ วีร์หยิบขึ้นมาดูแล้วก็วางเอกสารบางแผ่นไว้ที่เดิมส่วนที่เหลือก็บรรจุลงไปในแฟ้มในกระเป๋าเป้ของเขา

นักร้องหนุ่มเดินตามวีร์เข้ามาภายในห้องชมรมและมองดูรอบๆห้อง ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่หลายอย่างก็เปลี่ยนไปพอสมควร

“พี่มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ”

นักร้องหนุ่มหันมาหาวีร์ที่กำลังนั่งอยู่บนขอบโต๊ะ มือทั้งสองข้างเกี่ยวกระเป๋ากางเกงไว้ มีสีหน้าและท่าทางดูเป็นปกติ

“เรื่องอุบัติเหตุ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

วีร์รับฟังแต่ไม่ได้พูดหรือมีอาการอะไรแสดงตอบกลับ เขาแค่รอฟังเท่านั้นว่านักร้องหนุ่มมีจุดประสงค์อะไร

“ก็เป็นไปอย่างที่พี่ให้การกับตำรวจ พี่ประมาทเองที่ขับรถไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย แล้วก็ขับเร็วด้วย ไม่อย่างนั้นพี่คงจะเหยียบเบรกได้ทัน อันนี้คือเรื่องจริง พี่ยอมรับผิดทั้งหมด”

วีร์พยักหน้ารับรู้ แต่ก็ยังคงไม่ตอบโต้อะไรกลับไป ฝ่ายนักร้องหนุ่มต่างหากที่ดูมีท่าทางกังวลใจอยู่ไม่น้อย

“น้องคงจะได้ยินข่าวลือมาบ้างใช่มั้ย”

“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เพราะว่าผมไม่ค่อยจะสนใจเรื่องพวกนั้นสักเท่าไหร่” วีร์ตัดสินใจพูดเมื่อเห็นว่าฝ่ายนักร้องไม่ได้พูดต่อ เหมือนจะรอให้เขาตอบกลับก่อน

“เรื่องซีรี่ส์น่ะ” นักร้องหนุ่มเฉลยก่อนที่จะพูดต่อไปเพราะวีร์แค่พยักหน้าตอบกลับเฉยๆ “มันก็มีจริงบ้างลือบ้าง ตอนที่พี่รับงานก็พอจะรู้ว่าเนื้อหาในนิยายแรงพอสมควร และพี่ก็คุยกับผู้ใหญ่ไปแล้วว่าพี่เต็มที่ได้แค่ไหน ซึ่งก็ตกลงกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่ฝ่ายโน้นเขาเล่นใช้วิธีโยนหินถามทางสร้างกระแสซีรี่ส์สามเวอร์ชั่นออกมา แล้วมีคนตอบรับดีก็เลย... แต่พี่คิดว่าคงจะไม่เป็นอะไรเพราะว่าคงทำในไทยไม่ได้ ไปๆมาๆเขาไปจับมือร่วมทุนกับค่ายต่างชาติผลิตแทน”

นักร้องหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่จะพูดต่อ   

“วันนั้น ผู้ใหญ่โทรมาบอกว่าค่ายต่างชาติตอบตกลงแล้ว แล้วก็เลือกตัวนักแสดงแล้ว ให้พี่เขาไปดูอีกที พี่ก็เลยตั้งใจจะรีบกลับกรุงเทพฯไปคุยกับทางผู้ใหญ่ใหม่ แต่ก็...เกิดเรื่องซะก่อน”

วีร์แค่รับฟังเรื่องราวเฉยๆ ไม่ได้ตัดสินใจจะเชื่อหรือพยายามจะทำความเข้าใจ เพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวมันเกี่ยวข้องกับตัวเขาเองเฉพาะส่วนที่เกิดอุบัติเหตุเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นเขาไม่ได้สนใจ

“แล้ว... มีอะไรอีกรึเปล่าครับ” วีร์ถามทำลายความเงียบเพราะต่างฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

นักร้องหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง

“ตอนนี้ก็อยู่ที่กระบวนการทางกฎหมายจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ พี่ก็ทำใจยอมรับแล้วละว่าคงจะต้องเข้าไปอยู่ในคุก กว่าจะได้ออกมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

บรรยากาศในห้องชมรมถ่ายรูปก็กลับมาเงียบลงอีกครั้ง วีร์ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมาพูดเรื่องนี้กับเขาทำไม เพราะมันไม่ได้ช่วยให้เปลี่ยนแปลงรูปคดีได้

“ขอโทษนะ ถ้ามันจะฟังดูแล้วทำให้ไม่สบายใจ พี่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พี่ก็ดีใจที่เกิดเรื่องขึ้น” วีร์ขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อได้ยิน “บอกตรงๆ ถึงตอนนี้พี่ไม่รู้ว่าถ้าได้ไปคุยกับผู้ใหญ่ในค่ายแล้วจะถอนตัวออกมายังไง ตอนแรกพี่คิดจะชวนวีเขาไปแคสงานดูเผื่อว่าจะได้ อย่างน้อยถ้าเล่นกับคนที่ไว้ใจน่าจะรู้สึกสบายใจขึ้น”

วีร์ไม่ได้อยากจะนึกภาพตาม แต่ถ้าวีรมาตุตกลงไปรับงานแสดงแล้วต้องถ่ายทำเวอร์ชั่นสุดพิเศษเหล่านั้น และวีร์คิดว่าเขาพอจะรู้จักวีรมาตุดีพอสมควรที่เป็นคนปฏิเสธใครไม่ค่อยจะเป็น และถ้านักหนุ่มได้พูดคุยและอธิบายเรื่องราวตามที่เขาเพิ่งจะได้ยินมาให้กับวีรมาตุ เจ้าตัวคงจะตกลงเป็นแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว...

“ไม่ใช่อย่างที่คิดนะ” นักหนุ่มรีบออกปากอย่างหนักแน่นเมื่อแววตาของวีร์ที่เปลี่ยนไป “พี่ไม่ได้หวังอะไรแบบนั้น พี่ไม่ได้คิดอะไรกับวีแบบนั้น พี่แค่ชื่นชมวีว่าเขาเป็นรุ่นน้องที่มีความสามารถหลายอย่าง พี่ไม่เคยคิดอะไรกับวีมากไปกว่านั้นจริงๆ”

สายตาของวีร์ดูอ่อนลงแต่ก็ยังมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา   

“พี่ว่าพี่กลับก่อนดีกว่า พี่ไม่รบกวนเราแล้ว” นักร้องหนุ่มยืดตัวขึ้นตรงเหมือนว่าน้ำหนักที่เคยกดทับอยู่ได้จางหายไปแล้ว “พี่ขอโทษอีกครั้ง แล้วพี่ก็อยากจะบอกว่าพี่เสียใจจริงๆ”

วีร์พยักหน้าตอบรับ แล้วก็มองดูนักร้องหนุ่มเดินออกจากห้องชมรมถ่ายรูปไปเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้จะพูดตอบกลับอะไร เขาไม่ได้รู้สึกคิดแค้นอะไรในใจต่ออีกฝ่ายแล้ว เพราะเข้าใจดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้ผิดแค่ฝ่ายเดียว และต่างฝ่ายต่างก็สูญเสียกันไปคนละอย่าง และต่างก็มีชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไปตามทางของตัวเอง


*****


ชีวิตของเหล่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเข้าสู่ปีสุดท้าย หลายคนเริ่มมุ่งมั่นตั้งใจเตรียมตัวเพื่อสอบเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังทำตัวสบายๆจนกว่าจะถึงเวลาจวนตัวจริงๆ แต่คงไม่ใช่กับพระยศและศศิทัศน์ที่ตั้งใจจะสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ด้วยกันจึงให้เวลากับการเรียนเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่นพชัยและชัยทิศที่ถูกคาดโทษจากทางบ้านให้จำเป็นต้องขยันมากขึ้น

แต่กระนั้น เรื่องกิจกรรมนอกเวลาเรียนก็ยังคงไม่ละทิ้งไปไหน จากเดิมที่กรรณิการ์หมายมั้นปั้นมือว่าจะให้วีร์สืบทอดตำแหน่งประธานชมรมถ่ายรูป แต่วีร์ก็ตอบปฏิเสธไปเพราะได้ตอบตกลงตามคำขอของศศิทัศน์ไว้ก่อนที่ต้องการย้ายกลับไปอยู่ชมรมดนตรีในฐานะประธานชมรมอย่างพี่ชายของเขาเคยเป็น และชวนให้วีร์มาเป็นผู้ช่วยงานในตำแหน่งเลขานุการชมรม ส่วนชมรมหมากรุกที่มีผลงานไม่น้อยในปีที่ผ่านมานั้นก็ได้เพื่อนร่วมรุ่นรับเป็นประธานชมรมให้ พร้อมยังคงผลักดันให้เสริมศักดิ์รั้งตำแหน่งเลขานุการชมรมดังเดิม

ทางด้านสุรศักดิ์เองก็ก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมฟุตบอลของโรงเรียน นำพาเพื่อนๆและน้องๆฝึกซ้อมเพื่อร่วมการแข่งขันในหลายรายการ

“นี่มึงจะไม่เรียนต่อจริงๆเหรอวะ” ศศิทัศน์ถามสุรศักดิ์ที่เดินออกมาข้างสนามและหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม

“ก็ใช่ ทำไมวะ”

“มึงแน่ใจแล้วเหรอวะ จริงๆมึงเอาพอร์ตเรื่องกีฬาไปยื่นก็ได้นะเว้ย แบบเฮียหมูอะ” ศศิทัศน์ยังคงถามต่อ

“ไม่อะ ทำไมกูต้องไปเสียเวลาอีกสี่ปีเพื่อจะออกมาขายข้าวแกงด้วยวะ” สุรศักดิ์อธิบายเหตุผลของเขา

“มึงคิดดีแล้วเหรอวะ” ศศิทัศน์ยังคงพยายามโน้มน้าวเพื่อนของขาให้เปลี่ยนใจ

“เอาน่ะ ไอ้ตี๋เล็ก กูว่ามันคิดมาหลายตลบแล้วก่อนจะติดสินใจ” วีร์ตบบ่าศศิทัศน์เบาๆ

“แต่...” ศศิทัศน์จะร้องค้านแต่พระยศก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“แต่ละคนก็มีทางถนัดของตัวเองไม่เหมือนกัน ไอ้ใหญ่มันพบทางของมันแล้ว มึงไม่ต้องห่วงมันหรอก”

“นั่นแหละ กูก็แค่อยากจะช่วยพ่อแม่ให้สบายตัวเร็วขึ้น ทำงานหนักมาหลายปี แล้วยังไงกูก็คิดจะทำร้านต่ออยู่แล้ว จะไปเสียเวลาทำไมอีกตั้งสี่ปีกับความรู้ที่ไม่ได้เอามาใช้อะไรเลย เพื่อ...”

เพื่อนๆหลายคนฟังสุรศักดิ์อย่างตั้งใจและพยายามเข้าใจเหตุผลส่วนตัวของเขา

“แล้วก็นะ กูก็ใช่ว่าจะหัวดีเหมือนพวกมึง เรียนเพิ่มไปก็เท่านั้น จริงมั้ย เผลอๆกูเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำไปแล้วกว่าพวกมึงจะเรียนจบกัน” สุรศักดิ์ส่ายตามองเพื่อนๆแต่ละคน “ยกเว้นไอ้พวกแฝด”

“แล้วพ่อแม่มึงว่าไง” ศศิทัศน์ถามต่อด้วยท่าทีที่อ่อนลง

“ก็ไม่ว่าไง ก็แบบพวกมึงอะถามว่ากูคิดดีแล้วนะ แล้วก็ให้บอกแผนให้ฟังว่าจะทำอะไรยังไงต่อ กูก็บอกว่ากูอยากออกมาทำงานเลย หาเงินให้พ่อแม่ใช้กับส่งน้องๆเรียนดีกว่า ประมาณนั้น”

“แล้วน้องๆมึงอะ” ศศิทัศน์ถามต่อเนื่อง

“หึๆ หนูเล็กได้ยินแล้วก็บอกว่าเดี๋ยวเอามั้ง พอจบม.ต้นแล้วหนูเล็กจะไปเรียนโรงเรียนสอนทำเบเกอรี่ เห็นว่าเรียนจบแล้วได้วุฒิปวช.ด้วย เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย เหลือให้กลางเรียนต่อไปคนเดียว กลางมันหัวดีกว่าใครเพื่อน”

“หนูเล็กใจเด็ดวะ” “สุดยอด” พวกคู่แฝดนึกชื่นชมเด็กสาวตัวน้อยที่พวกเขาคุ้นเคยกันมาหลายปี

“แล้วพ่อแม่โอเคเหรอวะ” ศศิทัศน์ถามอย่างสงสัย เพราะรู้ว่าหนูเล็กคือแก้วตาดวงใจของทุกคนในบ้าน

“ยิ่งกว่าโอเคอีก เนี่ยเพิ่งจะไปกู้เงินมาซื้อห้องแถวที่ติดกันเพิ่ม รอเอาไว้ทำร้านขนมให้หนูเล็ก” สุกศักดิ์กรอกตามองเมื่อพูดจบ

“พ่อกับแม่ไปติดต่อขอซื้อแล้วเหรอวะ” พระยศเป็นคนถามบ้าง

“เรียบร้อยแล้ว กูกับน้องๆก็แบบ นี่เอาจริงเหรอ แบบเพิ่งคุยกันไปไม่กี่วันเอง”

เด็กหนุ่มหลายคนรู้สึกทึ่งไปไม่น้อยกับการตัดสินใจอย่างเด็กขาดของทุกคนในครอบครัวของสุรศักดิ์

“ถ้ากูเป็นไอ้กลางนะ กูคงเครียด” ศศิทัศน์ส่ายหน้าเบาๆ

“ก็ลองถามมันดูดิ มันเดินมาโน้นแล้ว” พระยศบุ้ยหน้าบอกให้เพื่อนๆหันไปมองตาม

เสริมศักดิ์ที่รู้สึกลังเลที่จะเดินเข้ามาหาในตอนแรก แต่ในเมื่อกลุ่มเพื่อนๆของพี่ชายของเขาต่างก็เห็นเขาแล้ว จึงตัดสินใจเดินมา

“มีอะไรวะกลาง” สุรศักดิ์ถามน้องชายที่เดินถือกระดาษในมือมาด้วย

“ก็กะว่าจะมาขอให้พี่วีร์ช่วยเรื่องขอสปอนเซอร์” เสริมศักดิ์ตอบพร้อมกับยื่นเอกสารส่งให้วีร์ดู

“ขอไปทำไมวะ ปีนี้ทำอะไรเพิ่มเหรอ” ศศิทัศน์ยื่นหน้าไปดูเอกสารในมือของวีร์ด้วย

“จริงๆเพราะผลงานพี่ต่ายเลย ปีนี้เลยมีคนมาเข้าชมรมเยอะขึ้น อุปกรณ์มันเลยไม่พอ แล้วก็ไม่ได้ทำงบเตรียมไว้ก่อน ถ้าไปขอเอาตอนนี้ก็คิดว่าคงอีกนานกว่าจะได้ เลยคิดกันว่าจะไปขอสปอนเซอร์จัดซื้อเอาแทน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าชมรมถ่ายรูปติดต่องานข้างนอกเยอะอยู่ ชมรมดนตรีก็ด้วย ก็เลยเอามาให้พี่วีร์ช่วยดีกว่า”

วีร์อ่านดูเอกสารที่เสริมศักดิ์ร่างไว้คร่าวๆ แล้วก็เริ่มคิดหาทางออกไปด้วย

“จริงๆ ขอไปทางเครือล้ำเลิศก็ได้มั้ง เนี่ยร้านเครื่องเขียนในห้างฯน่าจะมีครบทั้งหมดตามในรายการเลย” วีร์ว่าแล้วก็ยื่นเอกสารให้กับนพชัยและชัยทิศดู

“แล้วพวกกูจะรู้มั้ยคร๊าบ” “ห้างฯเป็นของบ้านใหญ่เขาดูแล บ้านกูไม่เกี่ยว” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ทั้งสองคนก็รับเอกสารจากวีร์มาดู

“แต่ก็ไปคุยให้น้องมันได้ไม่ใช่รึไง” วีร์ถามลูกหลานเครือล้ำเลิศทั้งสองคน

ทั้งนพชัยและชัยทิศมองดูเอกสาร แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองวีร์ แล้วก็กัมลงมองเอกสารอีกครั้ง แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเสริมศักดิ์ แล้วสุดท้ายก็หันมามองกันเอง

“เดี๋ยวพวกกูลองไปคุยกับคุณย่าใหญ่ให้ว่าจะช่วยอะไรให้ได้บ้าง” “แต่ไม่รับประกันนะจ๊ะน้องกลางว่าจะได้”

“แค่นั้นก็ดีแล้วครับพี่กิ่งพี่ก้าน” เสริมศักดิ์ยิ้มดีใจที่ดูเหมือนปัญหาของเขาจะถูกคลี่คลายลงได้แล้ว

“แล้วนี้เดี๋ยวไปทำอะไรต่อ” วีร์หันไปถามเสริมศักดิ์

“เดี๋ยวก็กลับบ้านเลยครับ”

“บ้านก็อยู่หน้าโรงเรียน จะรีบกลับไปไหนวะ” ศศิทัศน์ถาม

“ก็ช่วงนี้พี่ใหญ่ซ้อมทีมถึงค่ำ ผมเลยต้องรีบกลับไปช่วยพ่อกับแม่แทน เนี่ย ป่านนี้แม่คงออกไปรับหนูเล็กแล้ว” เสริมศักดิ์มองดูเวลาจากโทรศัพท์

“เฮ้อ บ้านนี้มีแต่คนขยัน” “ไม่เหมือนบ้านเราเน๊อะ”

“รู้ตัวกันดีนิพวกมึง” สุรศักดิ์ยกขวดน้ำขึ้นดื่มอีกครั้ง ก่อนที่จะหันไปคุยกับน้องชาย “วันนี้คงอยู่ไม่นาน อีกสักครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้ว”

“ได้ครับพี่ใหญ่ งั้นเดี๋ยวกลางกลับไปช่วยพ่อก่อน”

สองพี่น้องคุยตกลงกันเสร็จสรรพ ก็เตรียมตัวแยกย้ายไปทำธุระของแต่ละคน

“เดี๋ยวกลางเดินออกไปเลยใช่มั้ย” วีร์ก็หยิบกระเป๋ของตัวเองขึ้นมาสะพาย

“ครับพี่วีร์”

“งั้นเดี๋ยวพี่เดินออกไปด้วย”

“ลื้อจะกลับแล้วเหรอ” ศศิทัศน์ถามเลขานุการชมรมดนตรีคนใหม่

“อั้วมีน้องต้องกลับไปช่วยเลี้ยง แล้วก็มีหมาต้องกลับไปดูแล นะจ๊ะไอ้ตี๋เล็ก” วีร์ดีดหน้าผากศศิทัศน์เบาๆ

“แต่ละคนมีธุระต้องไปทำกันทั้งนั้น” ศศิทัศน์ถูหน้าผากของตัวเองไปพลางบ่นกะปอดกะแปดไปด้วย

“ท่านประธานก็อย่ามัวแต่นั่งว่างอยู่ รีวิวแผนงานที่กูส่งไปด้วย ประชุมคราวหน้าจะได้กำหนดเนื้องานถูก”

“ได้ครับเฮีย”


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ช่วงสุดท้ายของชีวิตนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ ความเข้มข้นของการเตรียมเข้าสอบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยก็มากขึ้นตามไปด้วย แต่ก็ไม่กับทุกคน มีหลายคนที่เลือกสอบโดยมหาวิทยาลัยจัดเองก่อนและสอบผ่านได้แล้ว บางคนก็เลือกยื่นประวัติพร้อมส่งบทความ หรือบางคนก็รอข้อสอบวัดผลกลางไปเลยทีเดียวก็มี

“อิจฉาคนได้ที่เรียนแล้วว่ะ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดลอยๆขึ้นมา แต่ในกลุ่มเพื่อนๆก็พอจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงใคร

“เน๊อะ มีเวลาสบายใจมานั่งอ่านนิยายชิวๆได้” เด็กหนุ่มอีกคนพูดเสริม คราวนี้เจาะจงตัวบุคคลมากขึ้น เพราะว่ามีอยู่เพียงคนเดียวที่กำลังถือหนังสือเล่มหนาที่ไม่ใช่ตำราเรียน

“ก็แล้วไงวะ ยังไงก็ต้องเรียนจบม.หกให้ได้ก่อนเหมือนกันอยู่ดี ไม่มีวุฒิเอาไปให้เขา เขาจะรับกูมั้ย” เดวิด หนุ่มลูกครึ่งที่วีร์ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่นัก เพราะว่าอยู่คนละแผนการเรียน แต่เป็นเพื่อนเก่าสมัยมัธยมศึกษาตอนต้นกับเพื่อนคนอื่นๆ จึงได้พบปะกันบ้างเป็นครั้งคราว

“แต่มึงจะยังจะมีจิตใจมานั่งอ่านนิยายเล่นต่อหน้าเพื่อนๆได้” ศศิทัศน์ชะเง้อมองดูเนื้อหาที่เด็กหนุ่มกำลังอ่านอยู่ “เรื่องอะไรวะ”

“สลับเลือดมังกร” เดวิดพลิกหน้าปกให้ศศิทัศน์ดู ถึงแม้ว่าหน้าตาออกฝรั่งแต่ชอบอ่านนิยายจีน

“เอ้า เปลี่ยนเรื่องแล้วเหรอวะ วันก่อนกูเห็นมึงอ่านเรื่องอะไรอยู่นะ... หงส์ร่ายมนต์อะไรนี่แหละ”

“เรื่องนั้นกูอ่านจบไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วมึง”

“อ้าวเหรอ แล้วนี่ก็จะจบอีกเล่มแล้วเหรอ” ศศิทัศน์มองดูความหนาของหน้าหนังสือส่วนที่เหลือซึ่งค่อนจะบางมากแล้ว “เป็นไงบ้างวะ สนุกมั้ย เพื่อกูไปอ่านมั้ง”

“ก็พอได้อยู่ แต่ว่าพล๊อตเดิมๆ พระเอกถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เด็กๆไม่รู้ชาติกำเนิดตัวเอง โตมาไปเจอนางเอกเป็นศิษย์เอกพรรคใหญ่ มีหัวหน้าพรรคที่วันๆประกาศตัวเองเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่าเป็นพรรคฝ่ายธรรมะ มีหน้าที่ต้องปราบมารกำจัดพรรคปีศาจก็เลยขัดขวางมาตลอด แล้วเนี่ยเพิ่งจะถึงตอนที่ความจริงเปิดเผยว่าหัวหน้าพรรคฝ่ายธรรมะที่จริงแอบฝึกวิชาที่ตัวเองพูดพร่ำว่าเป็นวิชามาร ตอนนี้เลยกำลังน้ำลายท่วมปาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่”

“แล้วสรุปว่าสนุกมั้ย” ศศิทัศน์ถามสั้นอีกครั้ง

“ก็พอได้ พระเอกไม่ได้เก่งเวอร์เหมือนเรื่องอื่นๆ พออ่านได้เรื่อยๆ”

“กูอยากมีเวลามานั่งอ่านอะไรชิวๆแบบนี้บ้าง” เด็กหนุ่มคนเดิมพูดขึ้นมาอีก

“ของมึงไม่ได้เหรอไอ้ฟ่าง” ศศิทัศน์หันไปถาม

“ได้แล้วกูจะมานั่งบ่นอยู่เหรอวะ เนี่ยเดี๋ยวกูจะลองโควต้ารอบสองดู ของมึงกับได้บิ๊กผ่านกันแล้วนิ”

“ผ่านแล้ว” พระยศตอบ

“กูกับไอ้บิ๊กก็เลยจะไปเรียนที่เดียวกัน” ศศิทัศน์ย้ำคำตอบ

“โอ้ย ก็เรียนกันแถวนี้ พูดเหมือนอย่างจะไปเรียนที่อื่น”   

“ก็เฮียกูสอบเข้าได้ที่นี่ กูก็เลยเข้าที่นี่ด้วย เป็นตัวแทนไปเรียนแทนเฮีย”

เมื่อพูดถึงวีรมาตุขึ้นมา รุ่นพี่ที่เป็นที่เคารพรักของหลายๆคน ต่างก็นึกสะท้อนใจกับอุบัติเหตุที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมา ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านเกือบครบรอบปีแล้วก็ตาม และจนถึงตอนนี้เรื่องคดีความก็ยังไม่สิ้นสุด

“เอาน่ะ พวกมึง กูยังไม่คิดมากเลย” ศศิทัศน์เห็นบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป เลยพยายามดึงความรู้สึกๆดีกลับมาในวงสนทนา

หลายคนจึงเริ่มเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปเรื่องอื่นต่อ แต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่มีท่าทางอ้ำอึ้งเหมือนจะพยายามพูดอะไรแต่ก็ยั้งปากของตัวเองไว้ก่อนอยู่หลายครั้ง

“มึงเป็นอะไรวะไอ้ฟ่าง ยึกยักอยู่นั่นแหละ” ศศิทัศน์ถามเพื่อนของเขา

“กูไม่แน่ใจว่ากูควรถามมั้ย”

“ถามอะไรวะ” ศศิทัศน์ถามด้วยความสงสัย

“เอ่อ...” เด็กหนุ่มมองไปที่วีร์และมีท่าทางลังเลอยู่

“มึงจะถามอะไรก็ถามมา ได้ไม่ได้เดี๋ยวกูบอกมึงเอง” วีร์เปิดทางให้อีกฝ่ายได้พูดออกมา

“เอ่อ... คืออันนี้มีคนฝากมาถามนะ เขาอยากรู้... ว่ามึง... คบใครอยู่มั้ยตอนนี้”

ในตอนนี้เสมือนว่าทุกคนในกลุ่มนั้นต่างก็เงียบเสียงกันเหมือนนัดกันมา แล้วจุดสนใจของทุกคนก็ย้ายมาที่จุดเดียวกัน ยกเว้นศศิทัศน์ที่กำลังจ้องมองคนถามอยู่

“เฮ้ยมึง กูไม่ได้อะไรนะ” เด็กหนุ่มรีบแก้ตัวเป็นพัลวันกลัวว่าศศิทัศน์จะเข้าใจผิด “มีคนเขาฝากถามมา เห็นว่ากูมาคุยกับพวกมึงอยู่บ่อยๆ สงสัยนึกว่ากูสนิทกับไอ้วีร์ด้วย กูบอกไปแล้วว่าถามให้ได้แต่ไม่รับประกันคำตอบว่าจะได้ แล้วกูก็บอกมันแล้วว่าอย่าคาดหวังมากนะเพราะแฟนเก่าไอ้วีร์ก็เป็นเฮียมึงด้วย อาจจะไม่ควรถามอะไรตอนนี้”

“เรื่องเฮีย กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” ศศิทัศน์ตอบคลายความกังวลของอีกฝ่าย “กูแค่สงสัยว่า... มีคนฝากมึงมาถาม... หรือว่ามึงอยากถามเอง”

“เฮ้ย ไม่ใช่” เด็กหนุ่มร้องเสียงดังปฏิเสธ “ไม่ใช่ๆ กูยังเล่มทีมเดียวกับมึง เป็นคนอื่นจริงๆฝากถาม” แล้วเขาก็หันมองวีร์เพื่อรอคำตอบ ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ก็ตาม

“ถามน่ะถามได้ ส่วนคำตอบน่ะ... ไม่มี กูไม่ได้คบใครอยู่”

“หมายถึงว่าเขามาจีบมึงได้ใช่มั้ย” เด็กหนุ่มพูดอย่างมีความหวังจนศศิทัศน์มองไม่วางตา “ไม่ใช่กู” เด็กหนุ่มย้ำกับศศิทัศน์อีกครั้ง

“แล้วกูห้ามได้มั้ย” วีร์ถามกลับ

“ความรู้สึกคน มึงห้ามไม่ได้ แต่การกระทำ มึงห้ามได้”

วีร์ทำท่าทางเหมือนกำลังคิดทบทวนคำถาม แต่ความเป็นจริงเขาได้คำตอบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ตอนนี้กูขออยู่เฉยๆจะดีกว่า”

“โอเค ได้ เดี๋ยวกูไปบอกเขาให้” เด็กหนุ่มพยักหน้ายอมรับคำตอบ “แสดงว่าพี่คนที่มึงไปซ้อมเทนนิสด้วยบ่อยๆก็ไม่ใช่ ใช่มั้ย”

วีร์ขมวดคิ้วมองอย่างแปลกใจ ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องเขาเยอะอยู่เหมือนกัน

“กูว่า มึงกับได้ตี๋เล็ก เอาไปมัดรวมกันได้เลยว่ะ”

“ฮาย กูเลิกคิดเรื่องพี่เพชรไปตั้งนานแล้ว มึงเอาอะไรมาพูด” ศศิทัศน์รีบบอกปัดในทันที เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนที่รู้เรื่องวีรกรรมที่ผ่านมาของศศิทัศน์เป็นอย่างดี

“งั้น เรื่องที่สอง” เด็กหนุ่มคนเดิมถามอีกครั้ง

“มึงเรื่องเยอะเหมือนกันนะ” ศศิทัศน์แอบแซวเพื่อนไปหนึ่งยก

“เอาน่ะ คือว่าเขากำลังหาคนไปแข่งกีฬาประเพณีอยู่ มึงคงจะได้ยินมาบ้างใช่มั้ย”

วีร์พยักหน้ารับรู้ แต่ไม่ได้พูดอะไร

“คือที่ผ่านมาโรงเรียนเราได้แชมป์เทนนิสติดต่อกันหลายสมัยไง แล้วคือพี่ที่เขาเคยลงแข่งเรียนจบไปตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้วก็ได้ข่าวว่าตัวแทนโรงเรียนชายล้วนปีนี้เก่งมาก ที่นี้โรงเรียนก็เลยกำลังมองหาคนลงแข่งอยู่ใช่มั้ย”

“แล้วยังไงวะ” ศศิทัศน์มองอีกฝ่ายอย่างสงสัยว่าคนชมรมเทนนิสที่น่าจะรู้เรื่องดีกว่าพวกเขา จะมาถามพวกเขาทำไม

“กูก็เลยอยากจะมาทาบทามมึงไปลงคัดตัวเพราะได้ข่าวมาว่ามึงเล่นเก่งมาก มึงจะลองดูมั้ย” เด็กหนุ่มรอฟังคำตอบจากวีร์อย่างใจจดใจจ่อ

“มึงไปได้ข่าวมากจากไหนวะ ขนาดพวกกูยังไม่เคยเห็นไอ้วีร์เล่นเทนนิสเลย” ศศิทัศน์ถามเด็กหนุ่ม

“เอาน่ะ กูมีสายของกูก็แล้วกัน” ศศิทัศน์ได้ยินคำตอบแล้วก็ยังคงจ้องมองไม่ลดละ “ก็... ตอนที่มีข่าวลือที่ไอ้วีร์กิ๊กอยู่กับพี่ที่มันไปตีเทนนิสด้วยกันไง กูก็เลยรู้”

ศศิทัศน์พยักหน้ารับรู้แต่ก็ยังคงสงสัย

“สรุปแล้วมึงว่าไง” เด็กหนุ่มหันมาถามวีร์

“กูปฏิเสธได้มั้ย” วีร์ถามกลับไป

“กูก็คิดแล้วว่ามึงจะมาแนวนี้ แต่กูอยากให้มึงไปลองดูจริงๆนะเว้ย กูไม่อยากให้โรงเรียนเราพลาดแชมป์ปีนี้ไป อุตส่าห์ได้ติดมาตั้งหลายสมัย”

“กีฬามีแพ้มีชนะ ผลัดกันได้ จะยึดติดไปทำไมว่าต้องเป็นเราได้เท่านั้น” พระยศออกความเห็น

“ก็ถ้าไม่ได้จริงๆมันก็ไม่อะไรหรอกว่ะ แต่มันเสียดาย” แล้วเด็กหนุ่มก็หันกลับไปหาวีร์ “ไม่ได้จริงๆเหรอมึง”

“กูไปช่วยซ้อมให้ได้ แต่กูไม่ลงแข่งนะ”

“ปกติมันคิดค่าซ้อมนะเว้ย จะบอกไว้ก่อน” ศศิทัศน์โอ้อวดคุณสมบัติของเพื่อนสนิท

เด็กหนุ่มคิดทบทวนในใจว่าจะยอมรับข้อเสนอหรือไม่ แต่อย่างน้อยถ้าวีร์ตกลงยอมไปร่วมฝึกซ้อม ก็ไม่แน่ว่าอาจจะยังพอมีโอกาสโน้มน้าวได้อีก จึงได้ตอบตกลงกันไป


*****


สัปดาห์สุดท้ายก่อนการสอบปลายภาคเรียนก็มาถึง สัญญาณบ่งบอกช่วงเวลาของความสนุกสนานแบบเด็กๆใกล้สิ้นสุดลง แม้ว่าในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้าหลายคนจะพยายามขวยขวายหาความเป็นเด็กอีกครั้ง ทั้งทางร่างกายและจิตใจก็ตาม

และเมื่อมีพบก็ต้องมีจาก เส้นทางเดินชีวิตของแต่ละคนกำลังเริ่มเบี่ยงห่างออกจากกัน อาจจะกลับมาได้พบเจอกันอีกบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็จะไม่มีอะไรเหมือนกับช่วงชีวิตวัยมัธยมอีกแล้ว

เด็กนักเรียนหลายคนจับกลุ่มทบทวนวิชาเพื่อนเตรียมสอบวัดผล แม้แต่คนที่ได้ที่เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม เพราะอย่างไรเสียก็ต้องมีวุฒิการศึกษาไปยื่นอยู่ดี จึงไม่สามารถละทิ้งไปได้ในทันที

“เออ พวกมึง พวกไอ้ฟ่างชวนไปฉลองหลังสอบเสร็จ พวกมึงจะไปกันมั้ย” ศศิทัศน์ถามขึ้นมาหลังจากที่ใช้เวลาติววิชาเรียนมาพอสมควรและต่างคนก็พร้อมกลับบ้านกันแล้ว

“ไปฉลองที่ไหนวะ” สุรศักดิ์ถาม

“ยังไม่แน่ เพราะว่าจะดูคนก่อนว่าจะไปกันเท่าไหร่” ศศิทัศน์พูดไปพลางเก็บเอกสารและหนังสือไปพลาง

“จะไปวันสอบเสร็จเลยเหรอวะ” พระยศเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังส่งข้อความพูดคุยกับเด็กสาวรุ่นน้องที่เจอกันเป็นประจำ

“ไม่ๆ สอบเสร็จก่อนแล้วค่อยไปอีกวันนึง” ศศิทัศน์มองดูเพื่อนๆแต่ละกำลังคิด “ตกลงจะไปกันไหม”

แต่ละคนหันไปมองกันและกันว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี

“จริงๆมันก็ได้อยู่หรอก แต่มันก็อยู่ที่ว่าจะนัดกันเวลาไหน” สุรศักดิ์คิดถึงว่าเขาจะสามารถปลีกเวลาออกมาโดยที่ไม่ทำให้ที่ร้านยุ่งวุ่นวายได้หรือไม่

“เห็นบอกว่าน่าจะเย็นๆ แต่ไม่กลับดึกแน่นอน” ศศิทัศน์นึกทบทวนตามที่เขาได้ยินมา

“เย็นๆจะไปไหนกันวะ เจอกันบ่ายๆไม่ได้รึไง” สุรศักดิ์เริ่มจะเห็นแย้ง

“กูคิดแบบนั้น แต่ไอ้ฟ่างมันว่า ถ้าไปบ่ายแล้วติดพันกลับเย็นกลับค่ำ มึงจะไม่สนุกเพราะไปกังวลเรื่องร้าน แต่ไปกันเย็นๆก่อนค่ำ คนที่ร้านน่าจะซาแล้ว ใช่มั้ย”

สุรศักดิ์คิดตามและพยักหน้ารับ

“นั่นแหล่ะ มึงคิดว่าไง” ศศิทัศน์ถามความเห็น

“กูว่าแบบนั้นไม่เรียกว่าเย็นแล้วมั้ง น่าจะเรียกว่าออกค่ำเลยมากกว่า กว่าจะรอให้ที่ร้านไอ้ใหญ่คนน้อยอีก” พระยศบอก

“สรุปเอาไงอะ” ศศิทัศน์หันมองรอบๆ

“กูยังไงก็ได้” วีร์ยักไหล่ตอบ

“พวกกูได้ ไม่มีปัญหา” “ถ้าจะไปกันจริง กูจะได้บอกคนรถไว้ก่อน” นพชัยและชัยทิศก็ไม่มีปัญหาอะไร

“แล้วแต่พวกมึง กูไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว” พระยศก็ไม่มีข้อขัดข้องอะไร

ตอนนี้ก็เหลือแต่สุรศักดิ์เพียงคนเดียวที่ยังไม่ติดสินใจ

“ถ้าจะไปก็ไปกันหมดนี่แหละ”

คำตอบของสุรศักดิ์สร้างรอยยิ้มให้กับเพื่อนๆ เพราะถือเป็นโอกาสที่นัดรวมกันโดยที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียนในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา

“โอเค เดี๋ยวกูไปบอกไอ้ฟ่างว่าพวกเราจะไป” ศศิทัศน์สรุปปิดท้ายเมื่อตกลงกันได้แล้ว


*****


ยามโพล้เพล้ที่ดวงไฟตามท้องถนนเริ่มทำงาน ท้องฟ้ายังคงฉายไปด้วยแสงสีส้มอมแดงแม้ว่าจะเริ่มถูกไล่ต้อนจากความมืดมิดมาทุกขณะ มีผู้คนสัญจรผ่านไปมาอยู่เรื่อยๆไม่หนาตาสักเท่าไหร่ แต่สำหรับในย่านร้านค้าแบบนี้ถือว่ายังคงหลับใหลรอเวลาตื่น

เด็กหนุ่มทั้งหกคนที่แต่งตัวตามสบาย เสื้อยืดบ้าง เสื้อเชิ้ตบ้าง ขาสั้นบ้าง ขายาวบ้าง เดินลงมาจากรถมินิแวนสีขาวที่วาววับอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มองดูสภาพโดยรอบให้แน่ใจว่ามากันถูกตามที่นัดหมายไว้

“คุณกิ่งคุณก้านครับ เดี๋ยวผมไปหาที่จอดรถก่อน ถ้ามีอะไรก็โทรเรียกได้เลยนะครับ”

นพชัยและชัยทิศพยักหน้ารับคำคนขับรถที่มาส่งพวกเขาก่อนที่จะเดินไปรวมตัวกับเพื่อนๆ

“มึงแน่ใจนะว่าไอ้ฟ่างนัดมาแถวนี้” สุรศักดิ์ก้มลงมองเสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็หันไปถามศศิทัศน์

“ใช่ มันบอกว่ามาถึงแล้วให้เดินตรงเข้าไปเลย ร้านอยู่ทางซ้ายชื่อว่า ‘Bottoms Up!’ ป้ายสีน้ำเงิน” ศศิทัศน์เปิดอ่านข้อความจากแอพลิเคชั่นไลน์

“แค่ชื่อร้านก็รู้แล้วว่าประมาณไหน” พระยศกำลังคิดว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิดที่ตกลงมาด้วยกัน

“แต่มาตอนนี้จะมีอะไรวะ คนยังไม่ออกจากบ้านกันเลย” สุรศักดิ์พูดในขณะที่เดินตามเพื่อนๆไป

ย่านการค้าที่เต็มไปด้วยร้านผับบาร์คาราโอเกะในเวลานี้ยังไม่มีผู้คนมากนัก นอกจากร้านที่ติดถนนใหญ่ที่เปิดตั้งแต่ช่วงบ่ายให้นั่งเล่นสบายๆแล้ว ร้านด้านในบางร้านกำลังเริ่มจัดหน้าร้านเตรียมพร้อมรับลูกค้าที่จะมากันช่วงค่ำกว่านี้ ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งมีผู้คนบางตาในเวลานี้

“นั่นไง เห็นแล้ว” ศศิทัศน์ร้องบอกเพื่อนๆแล้วก็รีบเดินตรงไปที่จุดหมาย เมื่อถึงหน้าร้านศศิทัศน์พยายามมองดูด้านในว่าจะเจอเพื่อนของเขาหรือไม่ ก่อนที่จะติดสินใจโทรศัพท์ไป

“เอาไงมึง ถอยมั้ย” พระยศแอบคุยเบาๆกับสุรศักดิ์กันสองคน

“เอาเหอะ ไหนๆมาแล้ว อย่าให้พ่อมึงรู้ก็แล้วกัน” สุรศักดิ์ก็แอบกระซิบตอบ

“ไปมึง พวกมันนั่งกันอยู่ข้างใน” ศศิทัศน์นำทางทุกคนเข้าไปข้างในร้าน


*****


“มาเลย นั่งๆ” เด็กหนุ่มเชื้อเชิญกลุ่มที่มาใหม่ให้มารวมตัวกันที่โต๊ะที่คนนั่งอยู่แล้วสี่ห้าคน

“นี่พวกเราเข้ามาในร้านแบบนี้ได้จริงๆเหรอวะ แต่ละคนอายุถึงกันทั้งนั้น” สุรศักดิ์เอ่ยปากถามทันทีที่นั่งลง

“เอาน่ะ อย่าคิดมากมึง ใช่ว่าจะอยู่กันนาน กูถึงบอกให้มากันตอนนี้ไงยังไม่ค่อยมีคน จะได้กลับออกไปก่อนคนแน่นร้าน อีกอย่างนี่เป็นร้านลูกพี่ลูกน้องกูเอง มึงไม่ต้องห่วง” เด็กหนุ่มยื่นกระดาษแข็งแผ่นยาวให้เพื่อนๆที่มาใหม่ “อันนี้เผื่อว่าอยากลองอะไรพิเศษ แต่กูจัดชุดเด็ดไว้ให้พวกมึงครบทุกคนแล้ว”

“แล้วใครออกตังค์วะ” ศศิทัศน์ถามก่อนที่จะก้มลงดูรายการ

“ออนเฮาส์เว้ย พี่กูอนุญาตแล้ว” เด็กหนุ่มพูดอย่างโอ้อวดออกหน้าออกตา

“พี่มึงนี่ใจปั้มจริงๆเลยว่ะ” สุรศักดิ์ดูรายการแล้วก็วางลงไม่ได้สั่งอะไร

“นานๆที แต่แบบนาน...นทีจริงๆ แต่ถ้าจะสั่งเพิ่มก็ออกตังค์เองนะเว้ย เดี๋ยวกูไปบอกพี่กูก่อนว่าให้ยกมาเลย” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ปลีกไปข้างในร้าน

บรรยากาศภายในร้านถึงแม้ว่าจะยังมีลูกค้าไม่มาก แต่ทางร้านก็บริการครบทุกอย่างเหมือนปกติ แสงสี เครื่องดื่ม รวมถึงดนตรีที่กำลังเล่นเพลงตามรายการอยู่ แต่ก็มีวงดนตรีที่กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์อยู่บนเวทีเล็กๆ เมื่อสังเกตดูสมาชิกวงแล้วว่าน่าจะมีอายุไล่เลี่ยกับพวกเขา

“มาแล้วๆๆ” เด็กหนุ่มถือถาดที่แก้วใบเล็กๆหลายใบยกมาที่โต๊ะ นำหน้าพนักงานอีกสองสามคนที่ถือจานอาหารเดินตามด้วย “กับแกล้ม แล้วก็ จุ๊ๆ” เด็กหนุ่มยกนิ้วขึ้นแนบริมฝีปาก “ลืมบอกว่าอย่าเสียงดังทำตัวเป็นจุดเด่น แล้วก็ยกซดคนละช๊อต โอเค้”

แต่ละคนก็มองหน้ากันไปมาว่าจะเอาอย่างไร ก็ไม่ถึงว่าทุกคนก็ไม่เคยดื่มมาก่อน เพียงแต่ไม่ได้มานั่งอยู่ในร้านแบบนี้เท่านั้นเอง เมื่อมีคนนำคนอื่นๆก็ยกแก้วตาม คนที่เคยลองก็พอจะประมาณอาการไว้ได้ แต่คนที่ไม่เคยลองก็มีสีหน้าเหยเกพอสมควร

“อันนี้เรียกแค่เริ่มเหรอมึง” มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งถาม

“จิ๊บๆ มีเด็ดกว่านี้อีก”

เมื่อวงดนตรีเริ่มเล่นเพลงสดก็สร้างบรรยากาศความสนุกมากขึ้นพอสมควร ส่วนวงสนทนาก็ต้องพูดคุยกันด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมแข่งกับเสียงดนตรี

“ร้านพี่มึงจ้างเด็กมาเล่นวงได้ด้วยเหรอวะ” ศศิทัศน์ถามเพื่อนของเขา

“ก็ช่วงหัวค่ำเท่านั้นแหละ ให้วงเด็กมัธยมมาหารายได้ แต่ก็ได้ถึงแค่สองทุ่ม” เด็กหนุ่มตอบไปพลางหยิบกับแกล้มมากินไปพลาง

“ทำไมไม่เห็นชมรมดนตรีโรงเรียนเรามาเล่นอะไรแบบนี้บ้างวะ” สุรศักดิ์ถาม

“มาในนามชมรมน่ะไม่มีหรอกแต่ที่ไปกันเองมีมั้ยกูก็ไม่รู้ เพราะปกติงานจ้างอื่นทั่วไปก็มีมาเรื่อยๆอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยเฮียเป็นประธานโน้นแหละ” ศศิทัศน์เขี่ยแก้วช๊อตเล่นไปด้วย “ถ้าตอนนี้ก็ถามไอ้วีร์ดูดิ มันเป็นคนจัดการ กูแค่เซ็นชื่ออย่างเดียว”

“หึ ไม่รู้กูคิดผิดมั้ยที่มาเป็นเลขาชมรมให้มึง” วีร์ไม่ได้ต้องการจะบ่น เพราะรู้ดีว่าศศิทัศน์เองก็หัวหมุนกับการติดต่องานทั้งภายในและภายนอกโรงเรียนไม่น้อยไปกว่าเขาสักเท่าไหร่ ก็แค่พูดทีเล่นทีจริงตอบกลับไปเท่านั้นเอง

“ไม่น่าเชื่อเน๊อะ ผ่านไปปีนึงแล้ว” “เฮียไม่อยู่แล้ว ก็เคว้งเหมือนกัน” “ใช่ เมื่อก่อนเวลามีเรื่องอะไร ก็ไปปรึกษาเอียได้ตลอด”

แม้ว่าเสียงเพลงจะดังสนุกสนานอยู่ แต่บรรยากาศรอบโต๊ะก็ดูหมองไปลงไม่น้อย

“เห้ย พวกถึงจะดึงอารมณ์เพื่อ... มาสนุกฉลองเรียนจบกันเว้ย” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ไอ้ฟ่าง มึงไปเอาชุดมั้ยมาเลยไป”

“ได้ๆ รอแป๊บ”

นพชัยและชัยทิศต่างก็ขอโทษขอโพยกันไป

‘ใครต้องการจะขอเพลงอะไร เขียนส่งขึ้นมาบนเวทีได้เลยนะครับ ถ้าร้องได้ก็จะร้องให้ฟังนะครับ ต่อไปเป็นเพลงของ...’

“เออ วีร์” วีร์หันไปหาต้นเสียงจากเด็กหนุ่มลูกครึ่ง แล้วก็เลิกคิ้วขึ้นในเชิงถาม “มึงติดโควต้าแล้วใช่ปะ”
“ใช่” วีร์ตอบสั้นๆ

“ได้ที่ไหนวะ” เดวิดถามต่อ

“ที่เดียวกับมึง” วีร์เห็นสีหน้าที่สงสัยของอักฝ่ายจึงได้พูดต่อไปอีก “คนละคณะ แต่ม.เดียวกัน”

“อ๋อ กูก็สงสัยอยู่ว่ามึงจะเรียนต่อที่นี่ หรือว่าย้ายกลับ”

“กูอยู่ที่นี่แหละ พี่กูเขาก็ตั้งหลักปักฐานที่นี่แล้ว ขี้เกียจจะย้ายอีก”

เดวิดพยักหน้ารับรู้

“มึงอยากรู้ทำไมวะ” ศศิทัศน์หรี่ตามองด้วยความสงสัย

“เพื่อนกัน ถามได้มั้ยละวะ” ศศิทัศน์ยังคงจ้องมองเขาอยู่ เดวิดจึงต้องพูดยอมรับ “มีคนฝากมาถาม”

“ใครวะ” “คนเดียวกับที่เคยฝากไอ้ฟ่างมาถามรึเปล่าวะ”

“เออ... คนเดียวกันนั่นแหละ” เดวิดมีท่าทางไม่อยากจะบอกในตอนแรก

“มันเป็นใครวะ มาแอบชอบเพื่อนกูแต่ไม่ยอมเปิดเผยตัว” “นั่นสิ น่าสงสัยเป็นที่สุด อย่าให้พวกกูสืบได้นะ”

“พวกมึงไม่รู้อะไร ที่จริงไอ้วีร์มันฮ๊อตตั้งแต่ย้ายมาใหม่ๆแล้ว” เด็กหนุ่มถือถาดแก้วช๊อตชุดใหม่มาที่โต๊ะพอดี “แต่เฮียมึงเล่นเปิดตัวแรงขนาดนั้น แล้วใครจะไปกล้าสู้ละวะ ระดับเฮียสูงขนาดนั้น” เด็กหนุ่มวางแก้วช๊อตตรงหน้าศศิทัศน์ “นี่ดีนะ ที่มีข่าวลือว่ามันมีดวงชาตรีพิฆาต ไม่งั้นอาจจะเยอะกว่านี้ก็ได้”

“มันเป็นเรื่องดีใช่มั้ย” วีร์ฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินมาสักเท่าไหร่ เขาไม่เห็นจะรู้สึกเลยว่ามีใครมาชื่นชมอะไรในตัวเขาขนาดนั้นอย่างที่เพื่อนของเขาบอก และที่สำคัญตัวเขายังไม่เชื่อคำสาปอาถรรพ์ที่ใครๆพูดกัน แม้ว่าทั้งวีรดนย์และวีรมาตุล้วนจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม

“มึงไม่เห็นเหรอว่ามีคนตามไปเชียร์มึงแข่งเทนนิlเยอะขนาดไหน”

วีร์พยายามนึกย้อนไปตอนที่เขาตกลงเป็นตัวแทนโรงเรียนแข่งขันกีฬาเทนนิสในกีฬาประเพณีระหว่างสี่สถาบัน เนื่องจากนักกีฬาคนเดิมที่วางไว้นั้นเกิดอุบัติเหตุระหว่างฝึกซ้อม ไม่สามาถลงแข่งได้ ทั้งเพื่อนทั้งครูอาจารย์ที่ควบคุมการฝึกต่างก็ช่วยกันโน้มน้าวจนวีร์ยอมตกลงในที่สุด

“แล้วก็นะ ตอนจบเกมขนาดคู่แข่งยังเดินข้ามคอร์ทมาหาถึงที่เลยไม่ใช่รึไง แล้วได้ยินว่ามันมาถามมึงว่า ‘นายๆ ถามไรหน่อย นายมีแฟนแล้วยัง’ จำไม่ได้เหรอ พูดเสร็จเสียงคนกรี๊ดดังลั่นสนามเลย”

“มึงก็เลยสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นเลยใช่มั้ย คิดว่าไอ้วีร์มีแฟนใหม่แล้ว” ศศิทัศน์หรี่ตามอง

“ใช่ เพื่อนกูเครียดจนอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลยเนี่ย”

“ใครวะ” ศศิทัศน์รีบเอ่ยปากถาม

“ก็ไอ้... นั่นแน่ อย่ามาหลอกถามกูซะให้ยาก”

‘You used to say that everyday. We will always be this way…’

“ไอ้วีร์”

วีร์หันหน้ามาหาศศิทัศน์ที่กำลังมองเขาอย่างสงสัย หลังจากที่เขาหันไปทางเวทีทันทีที่เสียงร้องเริ่มขึ้นก่อนหน้านี้ เพลงที่เขาไม่ได้เปิดฟังมาสักพักใหญ่แล้ว จนได้ยินเสียงเรียกของศศิทัศน์ดังเข้ามา

“เป็นไรวะ เรียกไม่ตอบ”

“เปล่า ไม่มีอะไร” วีร์ยิ้มให้เพื่อยืนยันคำตอบ แล้วก็หันไปตั้งใจฟังเพลง จนศศิทัศน์หันไปฟังตาม

“มึงชอบเพลงนี้เหรอ” วีร์มองหน้าเขาอย่างสงสัย ทำให้ศศิทัศน์ถามอีกครั้งเพราะนึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินคำถาม

“ก็... ไม่เชิงหรอก มีเรื่องราวให้นึกถึงนิดหน่อย”

“เหรอ...” ศศิทัศน์หันกลับไปมองที่เวที แล้วก็หันกลับมา “กูเคยเห็นเฮียฝึกเล่นเพลงนี้อยู่ แต่ไม่เคยเห็นจะเอาไปเล่นที่ไหน ไม่รู้ฝึกเล่นไปทำไม”

“เฮียเคยลองเล่นเพลงนี้เหรอ” วีร์ถามย้ำให้แน่ใจ

“ใช่ รู้สึกว่าจะช่วงก่อนปีใหม่ปีก่อนโน้น นึกว่าเฮียจะเอาไปเล่นที่ไหน แต่ก็ไม่เคยได้ยิน”

วีร์ก็ไม่แน่ใจว่าเหตุผลที่วีรมาตุเลือกฝึกซ้อมเพลงนี้คืออะไร มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ แต่อย่างไรเสียก็ไม่มีใครสามารถมาไขความกระจ่างนี้ได้อีกแล้ว

“เอา มาๆๆ พร้อมกันนะ ช๊อตนี้สำหรับชีวิตวัยเรียนที่สิ้นสุดลงแล้ว”

“โนๆ ยกเว้นไอ้ใหญ่ที่เสือกชิงโตเป็นผู้ใหญ่ก่อนใครเพื่อน พวกมึงยังต้องผจญภัยต่ออีกหลายปี” ศศิทัศน์เห็นแย้ง

“โดยเฉพาะมึงกับไอ้บิ๊กไง หกปีเป็นอย่างต่ำ”

“พวกมึงคร๊าบ มาฉลองคร๊าบ ไม่ได้ไม่เครียด” “ไม่อาวไม่พูด โชนอย่างเดียว อ้าว โชน....”

วีร์เห็นเพื่อนๆยกแก้วชดจนหมดทีเดียว ก็ต้องทำตามอย่างสียไม่ได้ ส่วนในใจก็คิดว่าเขาจะไม่ได้มานั่งทำอะไรแบบนี้บ่อยๆ เพราะไม่ใช่ทางของตัวเองสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าคนต้นคิดยังมีอะไรเหลือยกมาบริการพวกเขาอีก และตัวเขาเองก็เริ่มจะรู้สึกมึนๆแล้วเหมือนกัน แต่เพื่อนๆของเขายังสนุกกันจึงไม่อยากทำลายบรรยากาศ

แต่ในบางครั้งเขาก็คิดว่าเขาควรจะหาอะไรแปลกใหม่ลองทำดูบ้าง เปิดมุมมองด้านใหม่ๆให้กับชีวิต แต่อย่างน้อยไม่ใช่กับเรื่องหัวใจ แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากแล้วกับบาดแผลสองครั้งที่ผ่านมาแต่มันก็ยังไม่จางหายไปไหน ถึงใคต่อใครจะบอกกันมาว่าเมื่อเป็นครั้งที่สามแล้วจะโชคดี เขาก็ยังไม่อยากจะเปิดใจอะไรในตอนนี้  ขอรับผิดชอบการเรียนให้เสร็จสิ้นทุกระดับชั้นก่อนจนสามารถออกไปรับผิดชอบชีวิตของตัวเองให้ได้ก่อน อาจจะหันกลับมาเปิดใจใหม่อีกครั้งก็เป็นได้

เสียงเพลงจากวงดนตรีสดภายในร้านดังต่อเนื่องมาเรื่อยจนใกล้เวลาสิ้นสุดของวง นักร้องนำก็สุ่มเลือกเพลงที่คนส่งคำขอไปเพื่อเล่นเป็นเพลงสุดท้าย ก่อนจะจากลาและรอวันกลับมาพบกันใหม่ในโอกาสต่อไป

เหมือนกันกับชีวิตคนเราทุกคน


*****


Ending music inspired by The DriftersSave the Last Dance for Me


ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
บทส่งท้าย


ยิ่งดึกคนยิ่งคึกคักมากขึ้น นั่นก็หมายถึงเวลาที่วีร์และผองเพื่อนจะต้องปลีกตัวออกไปจากร้านก่อนที่จะมีลูกค้ามามากไปกว่านี้และมีคนสังเกตุเห็นกลุ่มเด็กที่อายุไม่ถึงเข้ามาในร้านได้ ซึ่งนั่นจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับทางร้านและตัวพวกเด็กหนุ่มเองด้วย

เด็กหนุ่มบางคนฟุบลงกับโต๊ะ บางคนยังพูดคุยกันสนุกสนาน บางคนออกไปเต้นหน้าเวที บางคนก็นั่งอยู่เฉยๆอย่างเช่นวีร์

“กูว่ากูจะลองไปสอบชิงทุนดู เผื่อว่าจะได้แบบรุ่นพี่เรามั้ง” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมา

“ถ้ามึงมีปัญญาเท่าพวกพี่เขา มึงก็ลองดูดิ” เพื่อนคนหนึ่งตอบกลับ

“เอ้า ไม่แน่ คะแนนกูพอได้อยู่”

“ถ้าแค่พอได้ ไม่ไหวมั้งมึง มันต้องมากกว่านั้น”

“ปีนี้มีทุนอะไรวะ” ข้าวฟ่างถามเพื่อนทั้งสองคนที่กำลังคุยกันอยู่

“เห็นว่ามีทุนใหม่ ทุนศึกษาเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ แต่กูเสียดายปีนี้เขาไม่เปิดทุนอวกาศศึกษาอีก”

“เรียนเอาไปทำอะไรวะ” สุรศักดิ์ถามด้วยความสงสัย

“ก็มหา’ลัยเขาอยากเปิดภาควิชาใหม่ของคณะวิทยาฯ ก็เลยกำลังสร้างบุคลากรขึ้นมาเอง ก่อนหน้านี้ก็มีหลายทุนอยู่นะ เรียนจบสี่ปีแล้วก็ยังช่วยติดต่อส่งไปฝึกงานแล้วกลับมาทำวิจัยกับมหา’ลัยต่อ แล้วก็ทำแผนเตรียมเปิดภาควิชา”

“ไม่ กูหมายถึงว่าเรียนเรื่องพลังงานนิวเคลียร์เอาไปทำอะไรวะ ใช่ว่าบ้านเราจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซะเมื่อไหร่” สุรศักดิ์ยังคงไม่เข้าใจ

“ตอนนี้ไม่ แต่ต่อไปไม่แน่ กว่าจะไปถึงตอนนั้นก็มีคนพร้อมไปทำงานรออยู่แล้วไง”

“แล้วมึงคิดว่าคนไทยจะไว้ใจให้คนไทยกันเองไปคุมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปะละ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าเป็นยังไง แล้วถ้าบึ้มขึ้นมาทีนึงละก็ เละไปหลายสิบปีเลยนะเว้ย” ข้าวฟ่าง

“คิดอะไรมากวะ ถ้าลองว่ามึงไว้ใจปล่อยให้คนไทยเลือกผู้แทนกันเองได้ เรื่องอื่นก็แค่ขี้เล็บตีน จิ๊บๆ”

เด็กหนุ่มหลายคนต่างพากันหันไปมองหนุ่มลูกครึ่งกันเป็นตาเดียว แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วยกัน โดยที่คิดถามกันไปมาอยู่ในใจว่า ไว้ใจรึเปล่าละ

“ไอ้พวกแฝดไปไหนวะ หน้าเวทีก็ไม่เห็น” สุรศักดิ์หันมองดูรอบๆร้าน

“เมื่อกี้พวกมันเดินมาบอกว่าจะไปห้องน้ำ” ศศิทัศน์กำลังเขี่ยเศษกับแกล้มที่ยังเหลืออยู่ในจาน “ไอ้ฟ่าง ยังมีอะไรต่ออีกมั้ยวะ”

“ทำไม มึงจะต่อเหรอ” เด็กหนุ่มถาม ศศิทัศน์ก็ส่ายหน้าตอบกลับ เขาจึงหันไปถามคนอื่นๆ “มีใครเอาอะไรอีกมั้ย” เพื่อนๆต่างก็ส่ายหน้ากันหมดทุกคน “งั้นเดี๋ยวกูไปบอกพี่กูก่อน แล้วเดี๋ยวออกกันเลย”

เสียงเพลงในร้านชวนให้โยกตัวไปตามจังหวะ ระหว่างที่รอเพื่อนกลับมากันนั้น เด็กหนุ่มบางคนก็ลุกขึ้นเต้นอยู่ที่บริเวณโต๊ะของพวกเขา ไม่ได้ไปไหนไกล ยกเว้นก็แต่วีร์ที่นั่งหลับตานิ่งอยู่

“ไอ้วีร์”

วีร์พยายามลืมตาขึ้นมองว่าใครเป็นคนเรียกเขา

“ไหวมั้ยมึง”

วีร์ยังคงไม่แน่ใจว่าเป็นใคร แต่เขาก็พยักหน้ารับว่ายังไหวอยู่ แค่รู้สึกมึนศีรษะนิดหน่อยเท่านั้น

“ไอ้วีร์ ลืมตาดูสิมึง”

วีร์รู้สึกได้ว่ามีสองมือประคองใบหน้าของเขาเงยขึ้น พยามยามยกเปลือกขึ้นก็เห็นใบหน้าของศศิทัศน์จ่ออยู่ใกล้ๆ

“โอเคนะมึง” ศศิทัศน์ถามอีกครั้ง วีร์เองก็พยักใบหน้าที่ยังถูกประคองไว้อยู่

“สงสัยจะไม่รอด” เดวิดยิ้มให้เมื่อเห็นวีร์ฉีกยิ้มโดยที่ตายังคงปิดอยู่

“เดี๋ยวก็ช่วยแบกมันออกไปก็แล้วกัน” พระยศลุกขึ้นมายืนข้างๆวีร์

เสียงในร้านเริ่มดังขึ้นเมื่อถึงเวลาที่ดีเจคนดังของร้านเดินขึ้นบนเวที เตรียมตัวรับหน้าที่สร้างความสนุกให้กับลูกค้าในค่ำคืนนี้ต่อไป แม้ว่าโต๊ะที่พวกเขานั่งกันอยู่จะหลบมุมอยู่ด้านในสุดของร้าน แต่ก็ยังเห็นบรรยากาศโดยทั่วชัดเจนดี หลายคนเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็คิดว่า ไว้โอกาสหน้าที่พวกเขาสารมารถแสดงบัตรประชาชนแล้วเดินเข้ามากันได้เองแบบไม่ต้องกังวลอะไร ก็คงจะสนุกไม่น้อย

“ไอ้เหี้ย! ลุกเลยพวกมึง” ข้าวฟ่างรีบวิ่งกลับมาที่โต๊ะด้วยท่าทางและสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด

“เป็นเหี้ยอะไรของมึง” เด็กหนุ่มคนหนึ่งถามในขณะที่ตัวเองถูกเพื่อนดึงให้ลุกขึ้นจากโต๊ะ

“พ่อมาสิมึง รีบเลยพวกมึง ลุกๆ ออกหลังร้าน”

“พ่อใครวะ” เดวิดถาม

“พ่อมึงอะ” ข้าวฟ่างตอบเดวิด แต่หันหน้าตรงไปยังพระยศ

“พ่อกู?” พระยศถามกลับ แล้วก็ช่วยศศิทัศน์ประคองวีร์ออกไปจากจุดเกิดเหตุ

“เออ พ่อมึง แต่งตัวมาเต็มยศเลย เร็ว! เดี๋ยวร้านพี่กูโดนปิด”

ได้ยินดังนั้น เด็กหนุ่มทุกคนก็รู้แล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ต่างรีบพากันเดินไปทางด้านหลังของร้านตามคำชี้แนะโดยเร็วที่สุด เมื่อแง้มประตูด้านหลังออกแล้วไม่พบใคร จึงเร่งรีบออกตัวไปและจัดแจงแยกย้ายไปคนละทางไม่ให้เป็นกลุ่มใหญ่ที่สังเกตุได้โดยง่าย

พระยศและศศิทัศน์ประคองวีร์มาใต้ต้นไม้ข้างถนนโดยมีสุรศักดิ์เดินตามมาติดๆ วีร์เอามือค้ำต้นไม้พยุงตัวให้ยืนได้ หลังจากที่ผ่านสถานการณ์มาอย่างเร่งรีบมาก็รู้สึกเหมือนจะมีสติมากขึ้นว่าเดิม

“เฮ้ย ไอ้พวกแฝดไปไหนวะ” สุรศักดิ์หันมองรอบตัว

“เอ้า ไม่ได้มากับมึงเหรอ” ศศิทัศน์หันไปถามแล้วก็ช่วยกันมอง

“หรือพวกมันยังอยู่ในร้านวะ” พระยศออกความเห็นที่น่าจะเป็นไปได้

“ห่าแล้ว ถ้ามันโดนจับนี่ข่าวดังเลยนะเว้ย ทายาทเครือล้ำเลิศอายุไม่ถึงแต่เข้าร้านเหล้า” สุรศักดิ์เริ่มวิตกกังวล “ไปช่วยกันตามหาก่อนดีกว่ามึง”

พระยศเห็นด้วยและรีบเดินกลับไปที่ร้านกับสุรศักดิ์ เหลือศศิทัศน์ทิ้งไว้กับวีร์

“มึง ไหวมั้ย” ศศิทัศน์ถามวีร์ ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้า “งั้นกูไปตามไอ้พวกแฝดกับไอ้ใหญ่ไอ้บิ๊กนะ” วีร์ก็พยักหน้าอีกครั้ง ศศิทัศน์ยังคงลังเลอยู่แต่ก็ตัดสินใจไปช่วยสุรศักดิ์และพระยศออกตามหาเพื่อนคู่แฝด

วีร์ที่เริ่มมีสติขึ้นมาบ้าง พยายามสูดหายใจลึกๆ เผื่อว่าความคลุมเครือในหัวสมองจะจางหายไป เขาทำอยู่อย่างนั้นหลายรอบแล้วก็ค่อยๆลืมตามขึ้นมองว่าตัวเขาเองกำลังอยู่ที่ไหน เขาคิดว่านี่คงจะเป็นถนนอีกเส้นหนึ่งที่ขนานกับถนนย่านการค้า จึงไม่ค่อยมีคนผ่านไปมามากนัก

มองไปทางปลายถนนฝั่งหนึ่ง ก็เห็นรถยนต์ขับผ่านไปมารวมถึงแสงไฟสีน้ำเงินและสีแดงที่สลับวิบวับกันไป เมื่อหันมามองอีกปลายด้านหนึ่งของถนนนั้นก็เงียบปกติ มีคนเดินกันอยู่บ้าง มีรถยนต์จอดเรียงราย มีเสาไฟส่องสว่างตามแนวถนน และมีคนยืนอยู่ใต้แสงไฟนั้น

วีร์กระพริบตาสองสามครั้งให้แน่ใจ แล้วพยายามเพ่งตามองอีกครั้ง ดูให้แน่ใจว่าเขามองไม่ผิด

ฝันอยู่รึเปล่า

วีร์ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นภาพแบบนี้ แต่คนที่กำลังยืนอยู่ใต้แสงไฟนั้น ไม่ผิดไปจากความคิดเขาแน่นอน และครั้งนี้เขาคนนั้นก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงยืนอยู่

ความฝันใช่มั้ย

ก่อนที่สมองจะได้ประมวลตามความสามารถที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ สองเท้าก็ก้าวเดินตรงไปที่ชายหนุ่มคนนั้นเสียแล้ว ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆ ในความคิดของวีร์ยิ่งบอกว่า ใช่ ไม่ผิดแน่ ถ้าหากว่าภาพตรงหน้าเป็นของจริงก็ต้องจับต้องได้

ชายหนุ่มสะดุ้งตัวและชะงักเมื่อหันมาเจอว่าใครจับแขนเขาอยู่ เด็กหนุ่มกำลังมองเขาตั้งแต่ปลายผมลงไปถึงปลายเท้า สองมือของเขาก็บีบจับตั้งแต่หัวไหล่ไปจนข้อมือ จับแล้วจับอีก ดูแล้วดูอีก แล้วสายตาคู่นั้นก็มองเงยขึ้นมาจ้องตาของเขา

“พี่วี”

ชายหนุ่มกดปิดโทรศัพท์ แล้วก็พยายามจับตัววีร์ออก

“น้องครับ พี่ว่า...”

“พี่วี พี่กลับมาหาวีร์แล้วใช่มั้ย” วีร์พูดด้วยน้ำเสียงที่กำลังตื่นเต้น ดีใจ น้อยใจ และประหลาดใจไปพร้อมกัน เขาไม่รู้ว่ามีเหตุผลได้ทำให้คนตรงหน้ามายืนอยู่ที่นี้ได้ เขานึกว่ามันเป็นเพียงความฝันหรือไม่ก็ภาพหลอนสายตา แต่เขาสามารถจับตัวของอีกฝ่ายได้แน่นเต็มมือ แสดงว่ามันคือเรื่องจริง

“น้องครับ พี่คิดว่า...”

วีร์ดึงตัวชายหนุ่มเข้าสวมกอด ใบหน้าซุกลงตรงบ่าข้างหนึ่ง ความอุ่นจากร่างกายของอีกฝ่ายทำให้วีร์มั่นใจแน่นอนแล้วว่านี่ไม่ใช่ความฝัน นี่คือเรื่องจริง

“พี่ว่าน้องกำลังเข้าใจผิดนะครับ”

“พี่วี” วีร์รีบพูดแย้งแล้วเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม ไม่ว่าจะดูอย่างไรวีร์เห็นว่าเขามองไม่ผิด “พี่กลับมาหาวีร์แล้วจริงๆ”

“เอ่อ คือ...” ชายหนุ่มพยายามแกะตัววีร์ออกแต่ก็ถูกอ้อมแขนของเด็กหนุ่มโอบกลับแน่นกว่าเดิม

“พี่อย่าจากวีร์ไปอีกนะ พี่อยู่กับวีร์นะ”

ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรดี ยังพยายามจะแกะตัวเด็กหนุ่มตรงหน้าออกเพื่อว่าจะได้พูดคุยกันดีๆ แต่ในความคิดของวีร์นั้นกลับเข้าใจว่าชายหนุ่มกำลังหนีจากเขาไปอีกแล้ว

ความมึนงงจากแอลกอฮอล์ ความสับสนจากเรื่อราวในอดีตที่ผ่านมา ความจริงจากภาพตรงหน้า ทำให้วีร์ไม่สามารถคิดอะไรได้อย่างชัดแจ้ง ตอนนี้เขาคิดแค่ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้คนที่เขาคิดถึงหายไป พยายามหาเหตุผลที่จะรั้งตัวไว้ให้ได้ ส่วนชายหนุ่มตรงหน้าก็ยังพยายามฝืนตัวเองออกจากตัวเขาอยู่

ไวกว่าความคิด สองมือยกขึ้นประคองชายหนุ่มตรงหน้า สองปลายเท้าเขย่งเพื่อยกตัวให้สูงขึ้นจนได้ระดับ ริมปีฝากที่ไม่มีใครอื่นเคยได้สัมผัส ก็ประกบเข้ากับริมฝีปากของชายหนุ่มร่างสูง

ใช่ ต้องวิธีนี่แหละ ที่จะรั้งไว้อยู่


*****


Ending music inspired by Adam RickittEverything My Heart Desires




*****


ขอขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ยังคงติดตามเรื่องราวมาจนถึงตอนนี้ แล้วพบกันใหม่อีกครั้งในภาคจบของชุด ReLove และที่สำคัญที่สุดคือพระเอกตัวจริงของน้องวีร์


Reinterpreted Love
รัก...ความหมายใหม่


#VVGo4Launch


ออฟไลน์ evanescence_69

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
รอภาค3ต่อ ครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด