สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓  (อ่าน 11607 ครั้ง)

ออฟไลน์ ก่อนเหมันต์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๒ ◆ ๑๓/๕/๖๒
«ตอบ #60 เมื่อ21-07-2019 18:13:45 »

... บทที่ ๒๓



เวลาหนึ่งวันในโลกนี้เท่ากับหนึ่งปีในโลกปัจจุบัน ผมใช้เวลาไปกับการตามหาไข่หงส์หม้าย 14 วันเต็มๆ นั่นหมายความว่าที่โลกนั้นก็คงจะผ่านไปสิบสี่ปีแล้ว ร่างของพนรัญชน์เองก็คงจะสูญสลายไปแล้วเช่นกัน

ไม่ใช่หรอกครับ ผมวางแผนมาดีแล้ว นี่แหละข้อดีของการเดินทางด้วยเครื่องบิน เพราะการวาร์ปข้ามมิติไปมาของเที่ยวบินทำให้เราสามารถกลับมาที่โลกนี้อิงตามการเดินของเวลาในโลกนี้ได้ เช่น เราใช้เวลาอยู่ที่หิมพานต์ 14 วัน นั่งเครื่องกลับมาที่นี่ก็ยังคงหมายความว่าเวลาผ่านไปแค่ 14 เท่ากัน มันอาจจะฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่ก็นั่นล่ะครับ หลังจากที่รู้แล้วว่าหิมพานต์มีอยู่จริง ยังมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีก



ผมบินกลับมาที่โลกนี้อีกครั้งพร้อมกับไข่นางหงส์หม้าย เมื่อมาถึง สิ่งแรกที่ผมต้องการเห็นมากที่สุดคือใบหน้าของคนที่รอความช่วยเหลือจากผม

พนรัญชน์ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขายังคงเหมือนกับคนที่นอนหลับไปแค่นั้น หากแต่ดูไร้ชีวิตชีวาอย่างสิ้นเชิง ข้างล่างมีนิลนอนเฝ้าอยู่ ผมถามเอกกรณ์ได้ความว่ามันไม่ยอมห่างร่างพนรัญชน์ไปไหนเลยนับจากวันที่ผมก้าวขาออกจากที่นี่ไป

ไข่นางหงส์หม้ายใบเท่าสองอุ้งมือโอบ แต่พอหากจะนำไปใช้งานจริงกลับขยายใหญ่จนพอจะเอาร่างของพนรัญชน์ไปนอนขดไว้ข้างในได้พอดิบพอดี ภาพที่ผมเคยจับเขายัดเขาไว้ในกรงทองหวนกลับมา หากแต่จุดประสงค์มันต่างกันแล้ว

ทันทีที่เอาร่างไร้วิญญาณไปใส่ไว้ สีผิวจากที่เคยขาวซีดก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ร่างกายที่เคยไร้กลิ่นใด บัดนี้กลับมาอบอวลอยู่ในจมูกผมอีกครั้ง เหมือนมีแสงแห่งความหวังส่องประกายชัดเจนขึ้นที่ตรงหน้าผม



พรุ่งนี้ผมจะกลับไปที่หิมพานต์อีกครั้ง เวลาไม่คอยท่า ผมต้องทำทุกอย่างให้ไวที่สุด

คืนนี้ผมหอบหมอนหอบผ้าห่มมานอนอยู่บนโซฟาข้างๆ เตียงที่ใช้ตั้งไข่ แสงจันทร์ส่องผ่านหลังคาโดมกระจกลงมา ทำให้ดูเหมือนกับว่าเปลือกไข่กำลังเรืองแสงในความมืดยังไงยังงั้น

นิลมันดูไม่ค่อยตื่นเต้นกับผมสักเท่าไหร่นับจากที่กลับมาจากหิมพานต์ ซึ่งต่างจากปกติที่แค่ผมออกจากบ้านไปไม่กี่ชั่วโมง กลับมาเป็นต้องเจอมันปืนป่ายจนแทบยืนไม่อยู่ มันนอนเอาคางเกยขานิ่งๆ อยู่ตรงนั้น กระดิกหางเล็กน้อยเมื่อเห็นผมมา

“นิล” ผมเรียก มันทำแค่ส่ายหางถูกับพื้นไปมาสองสามครั้ง บ่งบอกว่ารับรู้แล้ว

ไม่รู้ว่าอะไรทำให้มันเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นเพราะพนรัญชน์ นั่นยิ่งน่าแปลกใจ เพราะเพิ่งเจอกันได้ไม่กี่ครั้งเอง

ถ้าบอกว่างอนผมก็ไม่น่าใช่ เพราะผมเคยไปต่างประเทศเป็นเดือน กลับมามันก็ยังตื่นเต้นกับการกลับมาของผมเหมือนเดิม





สถานีต่อไปยอดเขาพระสุเมรุ ที่อยู่ของพระสวรรคาธิบดีหรือ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ก่อนจะขึ้นไปที่ดาวดึงส์ได้ ต้องมาที่จาตุรมหาราชิกาก่อน ซึ่งเป็นเหมือนด่านหลักด่านเดียวที่จะขึ้นไปบนนั้นได้ แม้เป็นเชื้อสายเหล่าเทพเทวดา ก็ต้องมาที่นี่ก่อนขึ้นไปที่นั่นทุกครั้ง

ผมใช้เวลานานโขกว่าจะบุกบั่นมาถึงที่นี่ได้ เพียงเพื่อพบกับคำว่า

“อมมนุษย์เช่นท่านจะขึ้นไปที่นั่นทำไมกัน”

ผมมองหน้าคนธรรพ์วัยกลางคนที่มองลอดแว่นมา

คนธรรพ์ก็ได้ชื่อว่าเป็นอมนุษย์จำพวกหนึ่ง จะชั้นสูงหรือต่ำก็อมนุษย์เหมือนกันวันยังค่ำ ผมไม่ค่อยชอบสายตาที่เขาใช้มองผมและมาเหยียดผมว่าเป็นอมนุษย์เลย มีคำเป็นหมื่นล้านที่จะเลือกมาพูด

“ผมมีธุระจำเป็นที่ต้องพบองค์ท่าน”

“องค์อินทร์ไม่ได้มีเวลามาสะสางธุระให้ใครต่อใครหรอกนะ ใครมีปัญหาก็วิ่งหน้าตั้งมาเข้าเฝ้า มาร้อยให้พบร้อย อย่างนี้ท้าวท่านได้ปวดหัวตายกันพอดี”

“ผมต้องขึ้นไปที่นั่น ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากท่านโดยตรง เพียงแค่ต้องการของบางสิ่ง ขอแค่ให้ผมได้ขึ้นไปก่อน”

“อะไร”

ผมชักจะเริ่มจะหมดความอดทน

ผมหันหน้าไปทางอื่นเพื่อสงบสติพร้อมกับถอนหายใจ แล้วหันมามองหน้าคนธรรพ์สูงวัยตรงหน้า

ผมโชคร้ายที่มาเจอคนเฝ้าด่านเป็นคนธรรพ์ พวกกุมภันฑ์หรือนาคยังจะเป็นมิตรเสียกว่าอีก

“แล้วผมต้องทำยังไง”

“มันเรื่องของท่าน ถามข้า ข้าคงบอกได้แค่ว่า ไม่ให้ขึ้นไป” พูดจบเขาก็พับหนังสือเดินทางผมแล้วยื่นกลับมาให้อย่างไม่ใยดี

“ผมขอคุยกับคนอื่นได้ไหม”

“ไม่ได้” ท่าทีขึงขังตรงหน้าทำให้ผมอยากจะกดหัวคนธรรพ์แก่ตรงหน้าลงจูบโต๊ะเสียจริงๆ

ผมจ้องตอบคนที่เอามือประสานกันวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า นิ้วชี้สองข้างแตะกันเหมือนรอดูทีท่าว่าผมจะเอาไงต่อ “เอางี้ อยากได้เท่าไหร่ ให้ท่านสุขสบายทั้งชาตินี้โดยไม่ต้องทำงานผมก็ทำได้”

เขานิ่งลงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น สีหน้ายั่วยวนกวนอารมณ์เมื่อกี้เป็นขรึมลง สองนิ้วชี้ที่แตะกันเข้าๆ ออกๆ ก็หยุดนิ่งลง

ผมถูกโยนออกมาจากห้องนั้นโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชาวคนธรรพ์สองสามคนที่ร่างโตพอๆ กับพวกยักษ์ วริทธิ์ที่รออยู่นอกห้องรีบวิ่งมาประคองผมลุกขึ้น

“เป็นไงบ้างท่าน”

วริทธิ์ถามผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“มันไม่ให้ขึ้น”

“พวกคนธรรพ์นี่มันคนธรรพ์จริงๆ”

จะขึ้นไปที่นั่นได้ไม่ใช่การล่องหนหายตัว แต่จะขึ้นไปผ่านลิฟต์แก้วเท่านั้น ไม่ว่าจากนี่ไปยอดเขาพระสุเมรุจะไกลสักแค่ไหน ลิฟต์แก้วใช้เวลาเพียงแค่อึดใจเท่านั้น แต่ทางเดียวที่จะขึ้นลิฟต์แก้วนั้นได้ ต้องผ่านคนเฝ้าด่านเข้าไปก่อน

ลำพังพวกคนธรรพ์ผมไม่กลัว พลังอำนาจพวกนั้นสู้อะไรผมไม่ได้หรอก จะบุกไปขึ้นลิฟต์เสียตอนนี้ก็ได้ แต่ผมเป็นอมนุษย์มีกายหยาบ จะขึ้นไปได้ต้องอาศัยคนเฝ้าด่านหรือคนที่อยู่บนนั้นพาขึ้นไปเท่านั้น

วริทธิ์พาผมออกมานั่งพักอยู่ตรงหน้าสำนักงานคนเฝ้าด่าน มันหายไปสักพักก่อนจะกลับมาพร้อมกับน้ำขวดหนึ่งเอมายื่นให้ผม

“แล้วงี้ท่านจะเอาไงต่อ”

ผมเปิดขวดน้ำยกขึ้นกระดกสองสามอึกแล้วยื่นคืนให้เอาไปดื่มบ้าง

“ถ้ากูยอมไม่ขึ้นไปที่นั่น ก็เท่ากับว่ากูยอมปล่อยเขาไป” ผมยกแขนขึ้นปาดน้ำที่เปียกริมฝีปากอยู่ออกแล้วลุกพรวดขึ้น

“เขาที่ว่าวริทธิ์ชักอยากจะเห็นหน้า”

“สักวันมึงจะได้เห็น”

ในเมื่อขอดีๆ ไมให้ ก็คงต้องใช้ไม้สกปรก

การปลอมตัวขึ้นไปบนสวรรค์ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่ผมไม่มีทางเลือก

“แล้วผมล่ะท่าน”

“รอที่นี่”

ผมลักพาตัวเทวดาองค์หนึ่งมา แล้วใช้มนต์ตรึงไว้ในที่พักของวริทธิ์ จากนั้นก็จำแลงกายเป็นเทวดาองค์นั้นแทน ผมยึดหนังสือเดินทางและเอกสารทุกอย่างมาหมด แล้วให้วริทธิ์เฝ้าไว้จนกว่าผมจะกลับมา

บนนั้นจะเป็นอย่างไรผมไม่สน ขอแค่ให้ได้ขึ้นไปก่อน

ลิฟต์แก้วเปิดออก หมูมวลเทวดาน้อยใหญ่ต่างก็เดินเรียงรายออกไปเพื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ผมพยายามทำตัวให้มีพิรุธน้อยที่สุด

“ข้าได้กลิ่นพวกที่มีกายหยาบ” ทันใดนั้นก็มีเสียงใครบางคนดังแว่วมา ผมลอบมองไป เห็นเทวดาหนุ่มองค์หนึ่งที่รับหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกำลังมองมาทางผมพอดี จึงรีบหลบตา

“ข้าก็เช่นกัน” เสียงนั้นเริ่มฟังดูไม่สู้ดี

ผมทำเป็นมองไปเนียนๆ อีกครั้ง หากเกิดอะไรขึ้นจะได้หาทางหนีทีไล่ พวกนั้นกำลังมองซ้ายมองขวาเหมือนกำลังมองหาสิ่งที่กำลังพูดถึง

“ตรงนั้น” เทวดาองค์หนึ่งชี้นิ้วมาที่ผม

นั่นยังไง เห็นท่าไม่ดี ผมจึงออกวิ่งฝ่าฝูงชนที่คับคั่งตรงนั้นมาอย่างไม่คิดชีวิต

“เจ้าเองน่ะรึ ที่ทำให้อาสน์เรากระด้างดังศิลา” เสียงกังวานดังก้องโถงหนึ่งในเวชยันตปราสาท เหมือนภาพเดิมๆ มันกลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง

ผมเองก็หน่อเชื้อกษัตริย์ แต่ต้องคุกเข่าอยู่ต่อหน้าผู้มีอำนาจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยอมลดศักดิ์ศรีไม่รู้จักอีกกี่ครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะพนรัญชน์ ผมคงไม่ยอมขนาดนี้

ผมถูกมัดไว้ให้นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแท่นทิพย์บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ที่ผู้ปกครองแห่งสองสวรรค์ใช้เป็นที่ประทับ ‘พระอินทร์’ คนที่ผมอยากพบมากที่สุดในตอนนี้ ไม่ว่าสถานการณ์ข้างหน้าจะเลวร้ายแค่ไหน อย่างน้อยผมก็ทำตามแผนที่วางไว้สำเร็จ

“ข้าได้ยินมาว่า นกการวิกจะพลอดรักกันกับคู่แท้บนกิ่งปาริชาติที่องค์ท่านปลูกไว้กลางนันทอุทยานของท่าน หากคู่ตายไปมันก็จะกลับมาหลั่งน้ำตาไว้ในกลีบดอกปาริชาติต้นนั้น”

“แล้วท่านจะเอาน้ำตาการวิกไปเพื่อสิ่งใดกัน”

ผมรู้ว่าพระอินทร์จะรู้ได้ทุกอย่างเพียงแค่ใช้เนตรทิพย์เพียงชั่วขณะ แต่ที่ถามออกมา ผมรู้ว่าท่านตั้งใจจะให้เทวดาน้อยใหญ่องค์อื่นๆ ที่อยู่บนนี้ได้รับรู้ด้วย

“ก็คงเพื่อมาณพน้อยนามว่าพนรัญชน์กระหมั่งท่าน” ผมหันไปมองยังที่มาของเสียง เทวดาหนุ่มองค์หนึ่งประทับอยู่บนอาสน์ที่ลดหลั่นลงมาจากพระอินทร์

เพทาย อมรินทร์พงศ์ หนึ่งในกลุ่มแก๊งอริของพนรัญชน์ ไม่ยักรู้ว่าเป็นเทวดาที่อาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ด้วย

“แค่อมนุษย์ตนหนึ่งที่หลงอยู่ในกามารมณ์” ผมหันไปยังอีกด้านหนึ่ง

ธเนศ รามาพงศ์ ยักคิ้วให้ผม ผมรู้จักพวกเด็กเหลือขอเหล่านี้ดี หลังจากที่ต้องไปช่วยพนรัญชน์จากเงื้อมมือของพวกมันหลายครั้ง

พวกนี้ไม่น่าเกิดเป็นเทวดาได้ ซ้ำร้ายเป็นถึงหลานพระอินทร์

“อย่างน้อยเขาก็คือแขกที่เราควรจะแสดงมารยาทที่ดีตอบนะหลานข้า”

คนที่มีอำนาจที่สุดบนนี้ยกมือขึ้นปราม ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็นและกังวาน หากแต่ผมฟังยังไงก็จับไม่ได้ถึงความจริงใจ

ส่วนไอ้เทวดาเหลือขอสองตัวนั่น ต่อให้ผมอยากตบกบาลมันสักเท่าไหร่ก็ต้องกัดฟันข่มไว้ แล้วเล่าประสงค์ของตัวเองให้ท่านธิบดีแห่งดาวดึงส์ได้ฟัง

ผมมองท่านลูบเคราแพะของท่านอยู่นาน หลังจากที่ฟังผมบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างไป “พวกพรานอย่างนั้นรึ”

“ใช่แล้วท่าน”

“เราเองก็ไม่ได้ติดตามข่าวคราวพวกนี้มานานแล้ว”

“รู้มาว่า คนใกล้ชิดของหลานท่านทั้งสองก็คือหนึ่งในนั้น ควรหรือไม่ที่เป็นถึงเทวดา แต่กลับไปรวมหัวจับกลุ่มกับพวกพรานเป็นอันธพาลสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านอยู่ไม่ได้ขาด”

ผมได้โอกาส อัดไอ้สองตัวนั้นคืน ถึงกับทำหน้าเลิ่กลั่ก ไปไม่เป็น

คนเป็นปู่ได้ยินแบบนั้นถึงกับคอแห้ง หน้าเหรอหรา ขอโทษ ไม่คิดว่าด่าหลานจะสะเทือนไปถึงปู่

“เอาไว้เราจะพิจารณาดูเรื่องนี้อีกที ส่วนเรื่องน้ำตาการวิกในสวน เราอนุญาต”

แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“แต่...” “ให้กันฟรีๆ ก็ดูเหมือนจะง่ายไป”

“ท่านต้องการสิ่งใดก็ย่อมได้ เพื่อแลกกับชีวิตเขาผู้นั้น”

“ท่านแน่ใจหรือ”

ท่านเป็นถึงเจ้าฟ้าผู้ปกครองสวรรค์สองชั้น คงไม่โหดร้ายใจดำหรอก ผมพยักหน้า ก่อนจะเห็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจเผยออกที่มุมปากของสองคนนั้น

“ข้าขอแบ่งความรักสักเล็กน้อยที่เจ้ามีต่อมาณพน้อยผู้นั้น”

เอาอีกแล้ว คนพวกนี้จะเล่นเกมอะไรกับผม อย่างอื่นมีให้เป็นร้อยเป็นพันอย่าง ทำไมถึงอยากจะได้แค่ความรักที่ผมมีต่อพนรัญชน์

“เพียงแค่ครึ่งของครึ่งหนึ่งเท่านั้น”

หากยอมให้พระอินทร์แบ่งความรักผมไปอีก ก็เท่ากับว่าผมเหลือความรักที่มีต่อพนรัญชน์อยู่แค่ครึ่งเดียวจากความรักที่เคยทีต่อเขาทั้งหมด

ผมทำได้แค่ถอนหายใจอย่างปลงตก

เอาเถอะ สิ่งที่ผมต้องการตอนนี้คือต่อชีวิตของไอ้เด็กที่นอนเป็นผักอยู่นั่น ความรักที่ผมมีต่อเขาจะหลงเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน สำคัญอะไรกัน หากพนรัญชน์สามารถฟื้นจากความตายได้เพราะผม นั่นก็เป็นตัวแทนของความรักที่ผมมอบให้เขาทั้งหมดแล้ว

ผมนั่งจ้องขวดแก้วเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วโป้งที่ถือไว้ในมืออยู่อย่างนั้น ข้างในบรรจุของเหลวระยิบระยับไว้ ก่อนจะเอามันไปเก็บไว้ในตู้เซฟภายในห้องของคอนโดผม แล้วร่ายมนต์ผนึกมันไว้อีกที ซ้ำด้วยมนต์พรางตาอีกชั้นหนึ่ง

ยังเหลือของสำคัญอีกสองสิ่งที่ผมต้องตามหามาให้ได้ ของสองสิ่งที่ทำให้ผมสังหรณ์ใจอะไรพิกลๆ



โปรดติดตามตอนต่อไปเร็วๆ นี้



◆ ◆ ◆ ◆ ◆

ขอโทษที่หายไปนานจ้า อย่าเพิ่งสาปส่งคนเขียนน้าาาาา เค๊ายุ่งจริงๆ

ฝาก #สาปกินรา ด้วยนะจ๊ะ ตอนนี้ก็ครึ่งเรื่องกว่าๆ แล้ว

แค่มีคนเม้นกำลังใจก็มาเต็มแล้ววว


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๓ ◆ ๒๑/๗/๖๒
«ตอบ #61 เมื่อ21-07-2019 23:26:56 »

 :pig4:
 :L2: :3123: :L1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๓ ◆ ๒๑/๗/๖๒
«ตอบ #62 เมื่อ22-07-2019 01:53:56 »

สาปกินรา แต่ถ้าอัพช้าๆก็จะสาปคนแต่งละจ้า 555
 แซวเล่นนะ อิอิ :hao7:

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๓ ◆ ๒๑/๗/๖๒
«ตอบ #63 เมื่อ28-07-2019 13:31:33 »

คิดถึงคนเขียนแล้ว :ling1:

ออฟไลน์ BitterCucumber

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๓ ◆ ๒๑/๗/๖๒
«ตอบ #64 เมื่อ12-08-2019 16:40:37 »

กว่าจะหาไอเทมได้จนครบ ไม่ใช่ว่าตอนนั้นไม่เหลือความรักให้ป่าแล้วนะ :hao4: กลั๊วกลัว :hao5:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๓ ◆ ๒๑/๗/๖๒
«ตอบ #65 เมื่อ11-09-2019 00:41:53 »

ยังรออยู่นะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๓ ◆ ๒๑/๗/๖๒
«ตอบ #66 เมื่อ03-03-2020 01:10:07 »

ยังรออยู่เหมือนเดิมนะ

ออฟไลน์ ก่อนเหมันต์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๓ ◆ ๒๑/๗/๖๒
«ตอบ #67 เมื่อ19-04-2020 20:36:27 »

... บทที่ ๒๔



   สถานีต่อไป เชิงเขาไกรลาส

   ก็ตามชื่อ โคตรไกลลลลลลลลล แต่ไม่ลาดนะ ชันมากด้วย มนุษย์ธรรมดาก็คงไปไม่ถึง


   ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวละครหนึ่งในเกม ที่ไล่ทำเควสไปเรื่อยๆ ซึ่งก็นับว่ามาได้เกินครึ่งทางแล้ว เพียงแต่สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันเกินจะคาดเดามากกว่าในเกมที่ได้ถูกตั้งระบบไว้หมดแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ก็แค่เข้าอินเตอร์เน็ตหาไกด์ไลน์ในการเล่นก็แค่นั้น แต่นี่ไม่ใช่

   อย่างที่บอกว่าผมมีลางสังหรณ์ใจอะไรแปลกๆ ตั้งแต่ลงมาจากดาวดึงส์แล้วล่ะ แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มาขนาดนี้แล้วมีอะไรจะต้องเสียอีก

   
   เชิงเขาไกรลาส คือที่อยู่ของบรรดากินราทั้งหลายรวมถึงพนรัญชน์ในชาติก่อนด้วย ซึ่งถูกปกครองโดยเทวกินราวงศ์ ซึ่งถือเป็นตระกูลที่อยู่สูงที่สุดของเหล่ากินรา และเป็นตระกูลชั้นปกครองที่สืบเชื้อสายมาช้านาน

   ที่นี่นับว่ายังสมบูรณ์มากเพราะอยู่ติดกับหิมพานต์ชั้นใน มีสระอโนดาตเป็นเสมือนหัวใจที่คอยหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งต่างๆ

   การจะเข้าถิ่นคนครึ่งนกได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เมืองกินราซ่อนตัวอยู่ในที่ๆ คนทั่วไปไม่อาจะรับรู้หรือมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันถูกห้อมล้อมไว้ด้วยม่านของมนต์พรางตาชั้นสูงที่ยากจะทำลาย แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับผม เพียงแค่ต้องหาลู่ทางสักหน่อย


   คืนนี้เป็นคืนที่สองที่ผมหลบซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ กับอโนดาต เพื่อดักรอกินราลงมาเล่นน้ำ

   คืนนี้ท้องฟ้าแจ่มใส มีเมฆบางๆ ปกคลุมบางส่วนของดวงจันทร์เหมือนกับผืนม่านบางพลิ้วไสวที่ไม่อาจป้องกันแสงสีนวลให้ส่องสว่างลงมายังผืนโลกได้

   ลมเย็นพัดพาให้เหล่าแมกไม้พลิ้วไหวอยู่ในความมืดของป่าทึบ แสงจันทร์นวลกระทบกับคลื่นน้ำเป็นประกายระยิบระยับ บรรยากาศชวนให้หลับใหล แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะทำได้ในตอนนี้ เพราะเวลานั้นร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ จึงได้แต่ภาวนาว่าให้มีกินราสักตนแอบลงมาเล่นน้ำเสียที

   และแล้วก็เหมือนคำภาวนาจะเป็นผล เสียงจิ้งหรีดเรไรถูกแทรกทับด้วยเสียงปีกของสัตว์ที่บินได้ขนาดใหญ่กำลังกระพือถลาลมอยู่กลางอากาศต่ำลงมาเรื่อยๆ ผมมองฝ่าแสงจันทร์ออกไป เห็นกินรีน้อยสองตนกำลังไล่หยอกล้อกันเล่นลงมาที่อโนดาต
 
   กินรากับกินนรน้อยสองตนถอดปีกถอดหางแล้วลงเล่นน้ำอย่างสบายอุราทันที ผิวพรรณของทั้งสองที่ต้องแสงจันทร์ส่องสว่างเหมือนไข่มุก

   ถึงเวลาที่ผมจะต้องสวมบทเป็นพรานบุญ

   ผมเป่าลมออกจากปากเบาๆ ก่อนที่เถาวัลย์ข้างตัวผมสองเส้นจะค่อยๆ เลื้อยคืบคลานออกไป ว่ากันว่ากินรานั้นหูดีมาก แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่มีแผนสำรองเสียเมื่อไหร่ ในเมื่อโอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะต้องรัดกุมอย่างถึงที่สุด เพราะถ้าหากพลาดครั้งนี้อาจจะไม่มีโอกาสอีกเลย ถ้ากินราน้อยสองตัวนี้หลุดรอดไปได้ เรื่องถึงหูผู้ปกครองพงศ์พันธุ์ก็คงไม่มีกินราตนไหนได้ลงมาที่อโนดาตอีกนานแสนนาน ผมก็คงต้องหาทางเข้าไปในนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งโอกาสเป็นไปได้แทบจะเท่ากับศูนย์

   เสียงแห่งความตกอกตกใจตะเบ็งขึ้นยังอีกฟากหนึ่งของอโนดาต กินราน้อยสองตัวกระโจนเข้าหาฝั่งหมายจะติดปีกติดหางบินหนีเมื่อรู้ว่ามีภัย

   ไร้ปีกไร้หางก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น เรื่องนี้ผมรู้ดีจากประสบการณ์ตรง

   เด็กน้อยทั้งสองกลับต้องผงะเมื่อรู้ว่าที่ๆ เคยวางปีกและหางนั้นว่างเปล่า พร้อมกันนั้นก็มีร่างปริศนาโผล่มาจากความมืด ในมือถือสิ่งที่ทั้งคู่กำลังมองหา สองเด็กน้อยเมื่อรู้ว่าไม่ทันการเสียแล้วก็ได้แต่ตะเกียกตะกายหมายจะวิ่งเข้าป่าไป แต่ก็ถูกเถาวัลย์ที่เคลื่อนไหวดุจมีชีวิตเข้ารัดกายไว้จนไม่อาจขยับกายต่อไปได้


   “รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวร้ายในวรรณคดียังไงก็ไม่รู้” วริทธิ์เอ่ยขึ้น

   “เราทำเพราะความจำเป็น และไม่ได้จะเอาชีวิตใคร”

   “จะพยายามคิดแบบนั้น”

   “พวกท่านต้องการสิ่งใด” เด็กชายที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มถามขึ้นสีหน้าตระหนก ขณะที่เด็กหญิงข้างๆ ร้องไห้น้ำตานองหน้าพยายามขยับเข้าหาคนข้างๆ

   “เราไม่น่าหนีลงมาเลย” เสียงสะอึกสะเอื้อนเอ่ยสำนึกผิด

   “ข้าต้องการให้พวกเจ้านำทางไปที่เมืองกินรา”

   “ที่นั่นห้ามมนุษย์ใจบาปเข้าไป”

   “อุแหม่ไอ้เด็กนี่ เผาแม่งไปพร้อมกับปีกซะดีมั้ง”

   “ใจเย็น” ผมยกมือปรามมันไว้ เข้าใจว่าใครก็ตามที่อยู่ดีๆ ก็ถูกรุกรานโดยคนแปลกหน้าก็คงไม่มามัวพูดดีอยู่หรอก

   “ข้ามีเหตุจำเป็น ต้องช่วยเหลือชีวิตคน”

   “กินรานครไม่ได้มีมนต์ชุบชีวิตใครหรอกนะ มีแต่พวกทหารที่คอยจะเด็ดหัวพวกท่านอยู่”

   เริ่มจะเห็นด้วยกับวริทธิ์ พูดดีด้วยเห็นท่าจะยืดเยื้อเสียเวลา

   “ก่อไฟ” ผมสั่ง

   ไม่นานนักแสงไฟก็ลุกโชนขึ้นท่ามกลางความมืด วริทธิ์ยื่นปีกกับหางสีขาวสะอาดตาไปเหนือเปลวไฟ

   “เลือกเอาจะกลายเป็นขี้เถ้าอยู่ตรงนี้หรือกลับไปมีชีวิตปกติที่เมืองนกของพวกเจ้า ข้าแค่ต้องการความช่วยเหลือก็เท่านั้น”

   พูดดีๆ ไม่ชอบ เด็กมันชอบให้ขู่

   กินรีน้อยมองเปลวไฟที่โชติช่วงด้วยน้ำตาคลอหน่วย

   “พี่ ทำตามที่พวกเขาบอกเถอะ ข้าไม่อยากตาย” ดูเหมือนว่าเสียงเว้าวอนของเธอจะเปลี่ยนนัยน์ตาที่แข็งกร้าวนั้นให้อ่อนลงได้

   กินนรหนุ่มน้อยถอนหายใจ “เอาเถอะ ข้าจะช่วยก็ได้ แต่...”

   ผมทำเป็นเอามือป้องหูรอฟัง

   “ข้ากับน้องไม่อยากเป็นขี้เถ้า”

   ก็แค่นั้น

   ผมแอบสบตากับวริทธิ์ด้วยความโล่งใจ

   
   ถึงผมจะมีอำนาจและพลังเหนือมนุษย์มากเพียงไหน ก็ใช่ว่าจะทำอะไรตามใจไปเสียทุกอย่างได้ในที่แห่งนี้ ที่ๆ บางอย่างอยู่ในการปกครองของพระอินทร์

   รวมถึงเมืองกินราด้วย

   วริทธิ์คืนปีกกับหางให้ลูกกินรีทั้งสอง แต่ผมก็เสกบ่วงทิพย์คล้องคอพวกเขาไว้ “หากตุกติก หัวพวกเจ้าหลุดออกจากบ่าแน่ แล้วอย่าหาว่าไม่เตือน”

   ทันทีที่สวมปีกกับหางได้ แสงสว่างเรืองรองก็แผ่รังสีออกจากกายของคนครึ่งนกทั้งสอง ก่อนพวกเขาจะยื่นมือมาจับผมกับวริทธิ์ไว้ ทันใดนั้นตัวผมก็รู้สึกเบาเหมือนนุ่นที่พร้อมจะถูกพัดพาไปตามกระแสลมได้ทุกเมื่อ

   ตัวของผมแหวกผ่านกลุ่มเมฆขึ้นมาเป็นเวลาเดียวกับที่อรุณกำลังทอแสง กินราทั้งสองพาผมมาที่ชะง่อนผาเหนือกลุ่มเมฆ ไม่คาดคิดว่าจะมีหน้าผาหินอยู่สูงถึงเพียงนี้ ถัดเข้าไปเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านขยายสาขาบดบังสิ่งที่อยู่เบื้องหลังไว้ประหนึ่งปราการเมือง

   “เอาไงต่อ” วริทธิ์ถามขึ้นขณะแหงนมองขึ้นไป

   “ต้นหว้าใหญ่แห่งนี้คือประตูสู่เมืองของเรา” กินรีหนุ่มเอื้อนเอ่ย

   “ต้นหว้านั้นเปรียบเสมือนแหล่งพลังงานของม่านพรางตาที่บดบังกินรานครไว้” กินรีน้อยเสริม

   “แล้วจะผ่านเข้าไปยังไง” ผมถาม

   ยังไม่ทันจะได้คำตอบสายตาผมก็มองเห็นวัตถุแหลมคมวาววับพุ่งเข้ามาใกล้ ผมคว้าตัวไอ้วริทธิ์หลบจากลูกธนูได้อย่างหวุดหวิด

   “ทหารกินนร!”

   กินรีน้อยตะโกนขึ้น ก่อนที่คนเป็นพี่จะคว้าแขนเธอแล้วถลาปีกบินทะลุกิ่งก้านสาขาต้นไม้ใหญ่นั้นเข้าไป และใช่แล้วล่ะ บ่วงที่คอของพวกนั้นสลายลงในพริบตาที่โดนม่านพรางตา

   ผมคิดไว้อยู่แล้วล่ะ ว่าพลังของผมอาจจะสู้กับพลังป้องกันเมืองนี้ไม่ได้ ไม่งั้นคงไม่อยู่รอดอย่างสงบสุขมาจนถึงทุกวันนี้ ผมคว้าตัววริทธิ์หลบลูกธนูนับร้อยนับพันที่กำลังพุ่งมาเป็นพัลวัน

   ถ้าไม่มีพลังแล้วล่ะก็ คงพรุนเป็นเป้านิ่งอยู่ตรงนี้

   “เด็กแสบพวกนั้นมันหักหลังเรา” วริทธิ์ร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว

   “มาได้เท่านี้ก็โอเคแล้ว” ผมมองขึ้นไปเห็นลูกธนูชุดใหม่กำลังพุ่งลงมาเหมือนห่าฝน จึงกางมือข้างหนึ่งออก ม่านพลังสีส้มเหมือนร่างแหขยายออกพอดิบพอดี ก่อนลูกธนูเหล่านั้นจะร่วงกราวลง

   “พวกข้ามาดี ขอร้องล่ะ” ผมตัดสินใจตะโกนออกไป เห็นทหารกินนรตนหนึ่งบินออกมาปรากฏตัว

   พวกนั้นผิวสีน้ำผึ้งแต่เปล่งประกายงดงาม สวมอาภรณ์น้อยชิ้น ปกปิดเพียงท่อนล่าง สีสันลวดลายแปลกตา ปีกสีส้มแซมดำ มีเครื่องประดับทั้งที่หัว แขนและขาเป็นสีทองแต่ไม่ใช่โลหะ ผมยาวแข็งจับเป็นแท่งประดับประดาด้วยพวงดอกไม้ป่า สร้อยคอและสังวาลเป็นลูกปัดหินหลากสีสัน ถือคันศรสีเงินแวววาว พร้อมทุกเมื่อที่จะปิดชีพผู้ที่มารุกล้ำ

   “เจ้าทำร้ายคนของเราแล้วยังจะกล้าบอกว่ามาดี”

   “ข้ามีเหตุจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น”

   “การรุกล้ำของท่านสิจำเป็นสำหรับเราที่ต้องปกป้องคนของเรา”

   พูดจบกินนรหนุ่มตนนั้นก็ง้างคันศรทันที พร้อมกันด้วยทหารกินนรตนอื่นที่บินเรียงหน้ากระดานอยู่ก็ทำเฉกเช่นเดียวกัน
   หากเป็นเช่นนี้พลังของผมเอาไม่อยู่แน่ แต่ยังไงผมก็ไม่อาจถอย ตายเป็นตาย

   ในเมื่อใช้สันติวิธีดูจะไม่ได้ผล ผมคงต้องสู้กลับบ้างแล้วล่ะ

   ผมใช้พลังอีกครั้งเพื่อตีลูกธนูจากพวกทหารกินราให้กลับไปยังเจ้าของมัน พวกที่ไม่ทันได้ระวังตัวก็ร่วงลงสู่พื้นตามคาด
   “พวกเจ้าบีบให้ข้าไม่มีทางเลือก” ผมเสกปืนไฟขึ้นมาสองอัน อันหนึ่งโยนให้วริทธิ์

   แต่ยังไม่ทันที่สงครามขนาดย่อมจะปะทุ ก็มีเสียงของใครบางคนดังก้องปรามขึ้น

   กินนรหนุ่มรูปงามผิวกายเรืองเรืองราวไข่มุก สวมอาภรณ์และเครื่องประดับที่แตกต่างจากกินนรที่ปรากฏกายออกมาก่อนหน้า


   “กชอินทร์!”


   ผมพอจะรู้กลิ่นว่ากชอินทร์ไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเทวกินรา...

   

   “พ่อข้าไม่อยู่หรอก”

   “องค์ราชากินนรจะกลับเมื่อไหร่”   

   “ตลอดกาล”

   “หมายความว่าไง”

   “ท่านถูกขับออกจากวงศ์เรา และตอนนี้ก็สิ้นอายุขัยไปแล้ว”

   ผมหันไปมองหน้าวริทธิ์ นั่นหมายความว่าเมืองกินราไม่มีคนปกครองมานานเท่าไหร่แล้ว

   “แล้วใครปกครองกินรา”

   “ไม่มี”

   “ข้าไม่เข้าใจ”

   “อันที่จริงข้านี่แหละคือราชากินราคนต่อไป แต่ข้ายังไม่ต้องการตำแหน่งนั้น เข้าเรื่องดีกว่า ท่านบุกมาที่นี่แล้วฆ่าคนของข้าเพื่ออะไร”

   “นี่ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ เป็นเพื่อนกันประสาอะไร”

   “ชะตามนุษย์คือสิ่งที่เราไม่อาจยุ่งเกี่ยว”

   “ดีเนาะ พนรัญชน์มาได้ยินเข้าคงดีใจน่าดู จะยังไงก็เถอะ อย่างน้อยเขาก็เคยเป็นเผ่าพันธุ์ท่านเมื่อชาติที่แล้ว”

   “แล้วท่านจะให้ข้าทำยังไง”

   ชาวหิมพานต์ลือกันว่ากินนรนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากรูปกายที่งดงาม เห็นท่าจะจริง ไอ้สมองกลวง


.....................



[กชอินทร์]

   ผมรู้ทุกอย่างแหละ รู้แม้กระทั่งว่าพนรัญชน์คือลูกชายแท้ๆ ของพ่อผม ซึ่งต่างกับผมที่ถูกเก็บมาเลี้ยงโดยราชินี

   ผมรู้มาจากปากแม่ว่า พ่อที่เป็นราชาเพียงหนึ่งเดียวของเหล่ากินรานั้นได้แอบไปสมสู่กับมนุษย์และสร้างครอบครัวที่นั่น แม่ของผมที่ไม่อาจมีทายาททางสายเลือดได้จึงแอบเก็บผมมาเลี้ยงเพื่อคานอำนาจไว้ในมือให้ได้ เมื่อเรื่องแดงขึ้นมาพ่อก็ถูกขับออกจากวงศ์และโทษเดียวของความผิดนี้คือการประทานยาพิษ ซึ่งเขาก็ยอมทำ การกระทำนั้นยิ่งตอกย้ำว่าผมกับแม่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขาเลย จนต่อมาท่านแม่ก็ตรอมใจตาย

   ผมแค้นครอบครัวนั้นมาก แม่ลูกที่ย่ำยีชีวิตผมและแม่จนไม่เหลือศักดิ์ศรี เลยไปยังโลกนั้นเพื่อทำอะไรบางอย่าง แต่พอผมได้เห็นหน้าน้องชายต่างสายเลือดครั้งแรก ผมกลับทำไม่ลง เขาไม่รู้เรื่องอะไร หนำซ้ำไปๆ มาๆ ผมดันไปคิดไม่ซื่อกับมันอีกต่างหาก
   นั่นเป็นเหตุผลที่ผมยังไม่ขึ้นนั่งบัลลังก์กินรา เพราะหวังไว้ว่าวันหนึ่งจะได้อยู่กินกับมันในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
   
   ตั้งแต่พนรัญชน์ถูกทำร้ายโดยพรานหิมพานต์ ผมก็พยายามหาหนทางมาตลอดว่าจะช่วยมันยังไงดี ถึงได้มาที่นี่ เพราะไม่มีอะไรที่โลกมนุษย์ที่จะคืนชีวิตให้คนที่ถูกทำร้ายโดยพวกที่อยู่ที่นี่ได้

   แต่เดชาธรก็นำหน้าผมอยู่หนึ่งก้าวเสมอ และตอนนี้เขาก็รู้แล้วด้วยว่าสิ่งที่จะคืนชีวิตให้พนรัญชน์ได้มีอะไรบ้าง ในขณะที่ผมยังคงงมเข็มในมหาสมุทร


   “ข้าต้องการสายรุ้งจากเชิงเขาไกรลาส ได้ยินมาว่าสายรุ้งที่นั่นจะเก็บมาได้ต้องใช้ผอบของราชากินรา”

   “ได้” ผมพูดขึ้น

   เดชาธรดูแปลกใจในคำตอบตกลงแสนง่ายดายของผม เห็นเขาหน้าชื้นขึ้นมาผมกลับยิ่งเจ็บใจ

   “แลกกับความรักที่ท่านมีต่อมานพนรัญชน์ครึ่งของครึ่งหนึ่ง”

   สีหน้าของเดชาธรเปลี่ยนไปในทันที

   “พวกนี้มันมีปัญหาอะไรกับความรักของท่านนักหนาวะ” ผมได้ยินเสียงคนที่มากับเขาพึมพำ “ไหนๆ ก็ผ่านม่านบ้านั้นเข้ามาแล้ว บุกไปเอาเองเลยไหมท่าน”

   “ที่นั่นมีเหล่ามยุระคนธรรพ์เฝ้าอยู่ พวกนั้นสามารถกล่อมให้คนหลับและฆ่าทิ้งได้ เราจะเอาสายรุ้งมาได้ ต้องได้ความช่วยเหลือจากกินราเท่านั้น”

   “ฉลาด” เดชาธรไม่ธรรมดาจริงๆ สมแล้วที่อยู่คงกระพันมาถึงขนาดนี้


   “ข้ายอม” เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ


   หึ ได้ข่าวว่าความรักนั้นถูกแบ่งไปจะหมดแล้วนี่ ไม่รู้ว่าต้องตามหาของวิเศษอีกมากแค่ไหนถึงจะครบตามกำหนด หากมีคนต้องการความรักอีกล่ะก็ คงหมดไม่เหลืออะไร นั่นแหละ ตามแผนของผม



... โปรดติดตามตอนต่อไป ...

ออฟไลน์ pepperpro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓
«ตอบ #68 เมื่อ19-04-2020 20:45:08 »

 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

กลับมาต่อแล้ว ดีใจมากๆเลยครับ มาต่อเรื่อยๆนะครับ อย่าทิ้งไปนานอีกนะครับ

ออฟไลน์ BitterCucumber

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓
«ตอบ #69 เมื่อ19-04-2020 21:50:24 »

กชอินทร์เป็นกินนรเร๊อะะะะะ :a5:  นึกว่าเป็นเพื่อนที่แอบชอบป่าเฉยๆ ละขอแบ่งความรักก็เพื่อจะเอาไปใช้กับป่า? 

ความรักของลุงเดชที่มีให้ป่าน่าจะมีเยอะมากๆๆๆๆ เพราะโดนแบ่งไปตั้งเยอะแล้วก็ยังมีความรู้สึกเหลืออยู่มากพอที่จะยอมบุกป่าฝ่าดงไปเอาของวิเศษมาช่วยป่า :sad4: ฮืออ น้องต้องรอดเด้อ

// คิดถึงคุณก่อนเหมันต์มากเลย เห็นกระทู้อัพเลยรีบมาอ่าน ยินดีที่กลับมาค่า :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓
« ตอบ #69 เมื่อ: 19-04-2020 21:50:24 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ งงปะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓
«ตอบ #70 เมื่อ20-04-2020 05:39:28 »

อินไปแล้ว เหลือวินสินะ จะเป็นตัวอะไร
ก็ว่าละสองคนนี้เพื่อนซี้แปลกๆ
อ่านเรื่องนี้ทำให้คิดถึงเรื่องอีกเรื่องนึงเลยปลุกความทรงจำ แต่พระเอกเป็นยักษ์
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3066
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓
«ตอบ #71 เมื่อ20-04-2020 09:29:45 »

ดีใจมาอัพต่อแล้ววววว

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓
«ตอบ #72 เมื่อ21-04-2020 20:06:54 »

อ๊ะ ดีใจที่มาต่อนะคะ เหมือนเราเคยอ่านแต่ลืม เดี๋ยวต้องกลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่แรก

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1087
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓
«ตอบ #73 เมื่อ22-04-2020 14:04:20 »

กลับย้อนไปอ่านใหม่ลืมเนื้อหาแล้วขอบคุณที่มาต่อค่ะ :pig4: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ j4c9y

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2820
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +178/-7
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓
«ตอบ #74 เมื่อ12-01-2021 21:54:16 »

ไม่มาต่อเลยยยย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2019
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓
«ตอบ #75 เมื่อ01-10-2021 07:41:48 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ NRedu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: สาปกินรา ◆ บทที่ ๒๔ ◆ ๑๙/๔/๖๓
«ตอบ #76 เมื่อ11-07-2023 15:38:06 »

กลับมาเถิดดด

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด