... บทที่ ๒๔ สถานีต่อไป เชิงเขาไกรลาส
ก็ตามชื่อ โคตรไกลลลลลลลลล แต่ไม่ลาดนะ ชันมากด้วย มนุษย์ธรรมดาก็คงไปไม่ถึง
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวละครหนึ่งในเกม ที่ไล่ทำเควสไปเรื่อยๆ ซึ่งก็นับว่ามาได้เกินครึ่งทางแล้ว เพียงแต่สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันเกินจะคาดเดามากกว่าในเกมที่ได้ถูกตั้งระบบไว้หมดแล้ว ไม่ไหวจริงๆ ก็แค่เข้าอินเตอร์เน็ตหาไกด์ไลน์ในการเล่นก็แค่นั้น แต่นี่ไม่ใช่
อย่างที่บอกว่าผมมีลางสังหรณ์ใจอะไรแปลกๆ ตั้งแต่ลงมาจากดาวดึงส์แล้วล่ะ แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด มาขนาดนี้แล้วมีอะไรจะต้องเสียอีก
เชิงเขาไกรลาส คือที่อยู่ของบรรดากินราทั้งหลายรวมถึงพนรัญชน์ในชาติก่อนด้วย ซึ่งถูกปกครองโดยเทวกินราวงศ์ ซึ่งถือเป็นตระกูลที่อยู่สูงที่สุดของเหล่ากินรา และเป็นตระกูลชั้นปกครองที่สืบเชื้อสายมาช้านาน
ที่นี่นับว่ายังสมบูรณ์มากเพราะอยู่ติดกับหิมพานต์ชั้นใน มีสระอโนดาตเป็นเสมือนหัวใจที่คอยหล่อเลี้ยงสรรพสิ่งต่างๆ
การจะเข้าถิ่นคนครึ่งนกได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เมืองกินราซ่อนตัวอยู่ในที่ๆ คนทั่วไปไม่อาจะรับรู้หรือมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันถูกห้อมล้อมไว้ด้วยม่านของมนต์พรางตาชั้นสูงที่ยากจะทำลาย แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินไปสำหรับผม เพียงแค่ต้องหาลู่ทางสักหน่อย
คืนนี้เป็นคืนที่สองที่ผมหลบซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ กับอโนดาต เพื่อดักรอกินราลงมาเล่นน้ำ
คืนนี้ท้องฟ้าแจ่มใส มีเมฆบางๆ ปกคลุมบางส่วนของดวงจันทร์เหมือนกับผืนม่านบางพลิ้วไสวที่ไม่อาจป้องกันแสงสีนวลให้ส่องสว่างลงมายังผืนโลกได้
ลมเย็นพัดพาให้เหล่าแมกไม้พลิ้วไหวอยู่ในความมืดของป่าทึบ แสงจันทร์นวลกระทบกับคลื่นน้ำเป็นประกายระยิบระยับ บรรยากาศชวนให้หลับใหล แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมจะทำได้ในตอนนี้ เพราะเวลานั้นร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ จึงได้แต่ภาวนาว่าให้มีกินราสักตนแอบลงมาเล่นน้ำเสียที
และแล้วก็เหมือนคำภาวนาจะเป็นผล เสียงจิ้งหรีดเรไรถูกแทรกทับด้วยเสียงปีกของสัตว์ที่บินได้ขนาดใหญ่กำลังกระพือถลาลมอยู่กลางอากาศต่ำลงมาเรื่อยๆ ผมมองฝ่าแสงจันทร์ออกไป เห็นกินรีน้อยสองตนกำลังไล่หยอกล้อกันเล่นลงมาที่อโนดาต
กินรากับกินนรน้อยสองตนถอดปีกถอดหางแล้วลงเล่นน้ำอย่างสบายอุราทันที ผิวพรรณของทั้งสองที่ต้องแสงจันทร์ส่องสว่างเหมือนไข่มุก
ถึงเวลาที่ผมจะต้องสวมบทเป็นพรานบุญ
ผมเป่าลมออกจากปากเบาๆ ก่อนที่เถาวัลย์ข้างตัวผมสองเส้นจะค่อยๆ เลื้อยคืบคลานออกไป ว่ากันว่ากินรานั้นหูดีมาก แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่มีแผนสำรองเสียเมื่อไหร่ ในเมื่อโอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะต้องรัดกุมอย่างถึงที่สุด เพราะถ้าหากพลาดครั้งนี้อาจจะไม่มีโอกาสอีกเลย ถ้ากินราน้อยสองตัวนี้หลุดรอดไปได้ เรื่องถึงหูผู้ปกครองพงศ์พันธุ์ก็คงไม่มีกินราตนไหนได้ลงมาที่อโนดาตอีกนานแสนนาน ผมก็คงต้องหาทางเข้าไปในนั้นด้วยตัวเอง ซึ่งโอกาสเป็นไปได้แทบจะเท่ากับศูนย์
เสียงแห่งความตกอกตกใจตะเบ็งขึ้นยังอีกฟากหนึ่งของอโนดาต กินราน้อยสองตัวกระโจนเข้าหาฝั่งหมายจะติดปีกติดหางบินหนีเมื่อรู้ว่ามีภัย
ไร้ปีกไร้หางก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น เรื่องนี้ผมรู้ดีจากประสบการณ์ตรง
เด็กน้อยทั้งสองกลับต้องผงะเมื่อรู้ว่าที่ๆ เคยวางปีกและหางนั้นว่างเปล่า พร้อมกันนั้นก็มีร่างปริศนาโผล่มาจากความมืด ในมือถือสิ่งที่ทั้งคู่กำลังมองหา สองเด็กน้อยเมื่อรู้ว่าไม่ทันการเสียแล้วก็ได้แต่ตะเกียกตะกายหมายจะวิ่งเข้าป่าไป แต่ก็ถูกเถาวัลย์ที่เคลื่อนไหวดุจมีชีวิตเข้ารัดกายไว้จนไม่อาจขยับกายต่อไปได้
“รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวร้ายในวรรณคดียังไงก็ไม่รู้” วริทธิ์เอ่ยขึ้น
“เราทำเพราะความจำเป็น และไม่ได้จะเอาชีวิตใคร”
“จะพยายามคิดแบบนั้น”
“พวกท่านต้องการสิ่งใด” เด็กชายที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มถามขึ้นสีหน้าตระหนก ขณะที่เด็กหญิงข้างๆ ร้องไห้น้ำตานองหน้าพยายามขยับเข้าหาคนข้างๆ
“เราไม่น่าหนีลงมาเลย” เสียงสะอึกสะเอื้อนเอ่ยสำนึกผิด
“ข้าต้องการให้พวกเจ้านำทางไปที่เมืองกินรา”
“ที่นั่นห้ามมนุษย์ใจบาปเข้าไป”
“อุแหม่ไอ้เด็กนี่ เผาแม่งไปพร้อมกับปีกซะดีมั้ง”
“ใจเย็น” ผมยกมือปรามมันไว้ เข้าใจว่าใครก็ตามที่อยู่ดีๆ ก็ถูกรุกรานโดยคนแปลกหน้าก็คงไม่มามัวพูดดีอยู่หรอก
“ข้ามีเหตุจำเป็น ต้องช่วยเหลือชีวิตคน”
“กินรานครไม่ได้มีมนต์ชุบชีวิตใครหรอกนะ มีแต่พวกทหารที่คอยจะเด็ดหัวพวกท่านอยู่”
เริ่มจะเห็นด้วยกับวริทธิ์ พูดดีด้วยเห็นท่าจะยืดเยื้อเสียเวลา
“ก่อไฟ” ผมสั่ง
ไม่นานนักแสงไฟก็ลุกโชนขึ้นท่ามกลางความมืด วริทธิ์ยื่นปีกกับหางสีขาวสะอาดตาไปเหนือเปลวไฟ
“เลือกเอาจะกลายเป็นขี้เถ้าอยู่ตรงนี้หรือกลับไปมีชีวิตปกติที่เมืองนกของพวกเจ้า ข้าแค่ต้องการความช่วยเหลือก็เท่านั้น”
พูดดีๆ ไม่ชอบ เด็กมันชอบให้ขู่
กินรีน้อยมองเปลวไฟที่โชติช่วงด้วยน้ำตาคลอหน่วย
“พี่ ทำตามที่พวกเขาบอกเถอะ ข้าไม่อยากตาย” ดูเหมือนว่าเสียงเว้าวอนของเธอจะเปลี่ยนนัยน์ตาที่แข็งกร้าวนั้นให้อ่อนลงได้
กินนรหนุ่มน้อยถอนหายใจ “เอาเถอะ ข้าจะช่วยก็ได้ แต่...”
ผมทำเป็นเอามือป้องหูรอฟัง
“ข้ากับน้องไม่อยากเป็นขี้เถ้า”
ก็แค่นั้น
ผมแอบสบตากับวริทธิ์ด้วยความโล่งใจ
ถึงผมจะมีอำนาจและพลังเหนือมนุษย์มากเพียงไหน ก็ใช่ว่าจะทำอะไรตามใจไปเสียทุกอย่างได้ในที่แห่งนี้ ที่ๆ บางอย่างอยู่ในการปกครองของพระอินทร์
รวมถึงเมืองกินราด้วย
วริทธิ์คืนปีกกับหางให้ลูกกินรีทั้งสอง แต่ผมก็เสกบ่วงทิพย์คล้องคอพวกเขาไว้ “หากตุกติก หัวพวกเจ้าหลุดออกจากบ่าแน่ แล้วอย่าหาว่าไม่เตือน”
ทันทีที่สวมปีกกับหางได้ แสงสว่างเรืองรองก็แผ่รังสีออกจากกายของคนครึ่งนกทั้งสอง ก่อนพวกเขาจะยื่นมือมาจับผมกับวริทธิ์ไว้ ทันใดนั้นตัวผมก็รู้สึกเบาเหมือนนุ่นที่พร้อมจะถูกพัดพาไปตามกระแสลมได้ทุกเมื่อ
ตัวของผมแหวกผ่านกลุ่มเมฆขึ้นมาเป็นเวลาเดียวกับที่อรุณกำลังทอแสง กินราทั้งสองพาผมมาที่ชะง่อนผาเหนือกลุ่มเมฆ ไม่คาดคิดว่าจะมีหน้าผาหินอยู่สูงถึงเพียงนี้ ถัดเข้าไปเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านขยายสาขาบดบังสิ่งที่อยู่เบื้องหลังไว้ประหนึ่งปราการเมือง
“เอาไงต่อ” วริทธิ์ถามขึ้นขณะแหงนมองขึ้นไป
“ต้นหว้าใหญ่แห่งนี้คือประตูสู่เมืองของเรา” กินรีหนุ่มเอื้อนเอ่ย
“ต้นหว้านั้นเปรียบเสมือนแหล่งพลังงานของม่านพรางตาที่บดบังกินรานครไว้” กินรีน้อยเสริม
“แล้วจะผ่านเข้าไปยังไง” ผมถาม
ยังไม่ทันจะได้คำตอบสายตาผมก็มองเห็นวัตถุแหลมคมวาววับพุ่งเข้ามาใกล้ ผมคว้าตัวไอ้วริทธิ์หลบจากลูกธนูได้อย่างหวุดหวิด
“ทหารกินนร!”
กินรีน้อยตะโกนขึ้น ก่อนที่คนเป็นพี่จะคว้าแขนเธอแล้วถลาปีกบินทะลุกิ่งก้านสาขาต้นไม้ใหญ่นั้นเข้าไป และใช่แล้วล่ะ บ่วงที่คอของพวกนั้นสลายลงในพริบตาที่โดนม่านพรางตา
ผมคิดไว้อยู่แล้วล่ะ ว่าพลังของผมอาจจะสู้กับพลังป้องกันเมืองนี้ไม่ได้ ไม่งั้นคงไม่อยู่รอดอย่างสงบสุขมาจนถึงทุกวันนี้ ผมคว้าตัววริทธิ์หลบลูกธนูนับร้อยนับพันที่กำลังพุ่งมาเป็นพัลวัน
ถ้าไม่มีพลังแล้วล่ะก็ คงพรุนเป็นเป้านิ่งอยู่ตรงนี้
“เด็กแสบพวกนั้นมันหักหลังเรา” วริทธิ์ร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“มาได้เท่านี้ก็โอเคแล้ว” ผมมองขึ้นไปเห็นลูกธนูชุดใหม่กำลังพุ่งลงมาเหมือนห่าฝน จึงกางมือข้างหนึ่งออก ม่านพลังสีส้มเหมือนร่างแหขยายออกพอดิบพอดี ก่อนลูกธนูเหล่านั้นจะร่วงกราวลง
“พวกข้ามาดี ขอร้องล่ะ” ผมตัดสินใจตะโกนออกไป เห็นทหารกินนรตนหนึ่งบินออกมาปรากฏตัว
พวกนั้นผิวสีน้ำผึ้งแต่เปล่งประกายงดงาม สวมอาภรณ์น้อยชิ้น ปกปิดเพียงท่อนล่าง สีสันลวดลายแปลกตา ปีกสีส้มแซมดำ มีเครื่องประดับทั้งที่หัว แขนและขาเป็นสีทองแต่ไม่ใช่โลหะ ผมยาวแข็งจับเป็นแท่งประดับประดาด้วยพวงดอกไม้ป่า สร้อยคอและสังวาลเป็นลูกปัดหินหลากสีสัน ถือคันศรสีเงินแวววาว พร้อมทุกเมื่อที่จะปิดชีพผู้ที่มารุกล้ำ
“เจ้าทำร้ายคนของเราแล้วยังจะกล้าบอกว่ามาดี”
“ข้ามีเหตุจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น”
“การรุกล้ำของท่านสิจำเป็นสำหรับเราที่ต้องปกป้องคนของเรา”
พูดจบกินนรหนุ่มตนนั้นก็ง้างคันศรทันที พร้อมกันด้วยทหารกินนรตนอื่นที่บินเรียงหน้ากระดานอยู่ก็ทำเฉกเช่นเดียวกัน
หากเป็นเช่นนี้พลังของผมเอาไม่อยู่แน่ แต่ยังไงผมก็ไม่อาจถอย ตายเป็นตาย
ในเมื่อใช้สันติวิธีดูจะไม่ได้ผล ผมคงต้องสู้กลับบ้างแล้วล่ะ
ผมใช้พลังอีกครั้งเพื่อตีลูกธนูจากพวกทหารกินราให้กลับไปยังเจ้าของมัน พวกที่ไม่ทันได้ระวังตัวก็ร่วงลงสู่พื้นตามคาด
“พวกเจ้าบีบให้ข้าไม่มีทางเลือก” ผมเสกปืนไฟขึ้นมาสองอัน อันหนึ่งโยนให้วริทธิ์
แต่ยังไม่ทันที่สงครามขนาดย่อมจะปะทุ ก็มีเสียงของใครบางคนดังก้องปรามขึ้น
กินนรหนุ่มรูปงามผิวกายเรืองเรืองราวไข่มุก สวมอาภรณ์และเครื่องประดับที่แตกต่างจากกินนรที่ปรากฏกายออกมาก่อนหน้า
“กชอินทร์!”
ผมพอจะรู้กลิ่นว่ากชอินทร์ไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเทวกินรา...
“พ่อข้าไม่อยู่หรอก”
“องค์ราชากินนรจะกลับเมื่อไหร่”
“ตลอดกาล”
“หมายความว่าไง”
“ท่านถูกขับออกจากวงศ์เรา และตอนนี้ก็สิ้นอายุขัยไปแล้ว”
ผมหันไปมองหน้าวริทธิ์ นั่นหมายความว่าเมืองกินราไม่มีคนปกครองมานานเท่าไหร่แล้ว
“แล้วใครปกครองกินรา”
“ไม่มี”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“อันที่จริงข้านี่แหละคือราชากินราคนต่อไป แต่ข้ายังไม่ต้องการตำแหน่งนั้น เข้าเรื่องดีกว่า ท่านบุกมาที่นี่แล้วฆ่าคนของข้าเพื่ออะไร”
“นี่ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ เป็นเพื่อนกันประสาอะไร”
“ชะตามนุษย์คือสิ่งที่เราไม่อาจยุ่งเกี่ยว”
“ดีเนาะ พนรัญชน์มาได้ยินเข้าคงดีใจน่าดู จะยังไงก็เถอะ อย่างน้อยเขาก็เคยเป็นเผ่าพันธุ์ท่านเมื่อชาติที่แล้ว”
“แล้วท่านจะให้ข้าทำยังไง”
ชาวหิมพานต์ลือกันว่ากินนรนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากรูปกายที่งดงาม เห็นท่าจะจริง ไอ้สมองกลวง
.....................
[กชอินทร์] ผมรู้ทุกอย่างแหละ รู้แม้กระทั่งว่าพนรัญชน์คือลูกชายแท้ๆ ของพ่อผม ซึ่งต่างกับผมที่ถูกเก็บมาเลี้ยงโดยราชินี
ผมรู้มาจากปากแม่ว่า พ่อที่เป็นราชาเพียงหนึ่งเดียวของเหล่ากินรานั้นได้แอบไปสมสู่กับมนุษย์และสร้างครอบครัวที่นั่น แม่ของผมที่ไม่อาจมีทายาททางสายเลือดได้จึงแอบเก็บผมมาเลี้ยงเพื่อคานอำนาจไว้ในมือให้ได้ เมื่อเรื่องแดงขึ้นมาพ่อก็ถูกขับออกจากวงศ์และโทษเดียวของความผิดนี้คือการประทานยาพิษ ซึ่งเขาก็ยอมทำ การกระทำนั้นยิ่งตอกย้ำว่าผมกับแม่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเขาเลย จนต่อมาท่านแม่ก็ตรอมใจตาย
ผมแค้นครอบครัวนั้นมาก แม่ลูกที่ย่ำยีชีวิตผมและแม่จนไม่เหลือศักดิ์ศรี เลยไปยังโลกนั้นเพื่อทำอะไรบางอย่าง แต่พอผมได้เห็นหน้าน้องชายต่างสายเลือดครั้งแรก ผมกลับทำไม่ลง เขาไม่รู้เรื่องอะไร หนำซ้ำไปๆ มาๆ ผมดันไปคิดไม่ซื่อกับมันอีกต่างหาก
นั่นเป็นเหตุผลที่ผมยังไม่ขึ้นนั่งบัลลังก์กินรา เพราะหวังไว้ว่าวันหนึ่งจะได้อยู่กินกับมันในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
ตั้งแต่พนรัญชน์ถูกทำร้ายโดยพรานหิมพานต์ ผมก็พยายามหาหนทางมาตลอดว่าจะช่วยมันยังไงดี ถึงได้มาที่นี่ เพราะไม่มีอะไรที่โลกมนุษย์ที่จะคืนชีวิตให้คนที่ถูกทำร้ายโดยพวกที่อยู่ที่นี่ได้
แต่เดชาธรก็นำหน้าผมอยู่หนึ่งก้าวเสมอ และตอนนี้เขาก็รู้แล้วด้วยว่าสิ่งที่จะคืนชีวิตให้พนรัญชน์ได้มีอะไรบ้าง ในขณะที่ผมยังคงงมเข็มในมหาสมุทร
“ข้าต้องการสายรุ้งจากเชิงเขาไกรลาส ได้ยินมาว่าสายรุ้งที่นั่นจะเก็บมาได้ต้องใช้ผอบของราชากินรา”
“ได้” ผมพูดขึ้น
เดชาธรดูแปลกใจในคำตอบตกลงแสนง่ายดายของผม เห็นเขาหน้าชื้นขึ้นมาผมกลับยิ่งเจ็บใจ
“แลกกับความรักที่ท่านมีต่อมานพนรัญชน์ครึ่งของครึ่งหนึ่ง”
สีหน้าของเดชาธรเปลี่ยนไปในทันที
“พวกนี้มันมีปัญหาอะไรกับความรักของท่านนักหนาวะ” ผมได้ยินเสียงคนที่มากับเขาพึมพำ “ไหนๆ ก็ผ่านม่านบ้านั้นเข้ามาแล้ว บุกไปเอาเองเลยไหมท่าน”
“ที่นั่นมีเหล่ามยุระคนธรรพ์เฝ้าอยู่ พวกนั้นสามารถกล่อมให้คนหลับและฆ่าทิ้งได้ เราจะเอาสายรุ้งมาได้ ต้องได้ความช่วยเหลือจากกินราเท่านั้น”
“ฉลาด” เดชาธรไม่ธรรมดาจริงๆ สมแล้วที่อยู่คงกระพันมาถึงขนาดนี้
“ข้ายอม” เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
หึ ได้ข่าวว่าความรักนั้นถูกแบ่งไปจะหมดแล้วนี่ ไม่รู้ว่าต้องตามหาของวิเศษอีกมากแค่ไหนถึงจะครบตามกำหนด หากมีคนต้องการความรักอีกล่ะก็ คงหมดไม่เหลืออะไร นั่นแหละ ตามแผนของผม
... โปรดติดตามตอนต่อไป ...