ReLove2: (ir)Replaceable Love - รัก...แทนกัน(ไม่)ได้ .. (ตอนที่ 13 - 26 มีค. 66)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ReLove2: (ir)Replaceable Love - รัก...แทนกัน(ไม่)ได้ .. (ตอนที่ 13 - 26 มีค. 66)  (อ่าน 2234 ครั้ง)

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
     แม้ว่าจะเหลือเวลาอีกสองสัปดาห์ก่อนสอบกลางภาคเรียน แต่การจะไปหมกหมุ่นอยู่กับตำราเรียนเพียงเดียวก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก เหล่าผองเพื่อนจึงแบ่งเวลามาทำกิจกรรมสันทนาการที่สนามบาสเก็ตบอลกัน แต่ละคนคอยผลัดเปลี่ยนคนลงเล่นและคนออกมานั่งพักเป็นทีมๆไป

      “ต่าย โทรศัพท์มึงดัง” เสียงร้องบอกจากเพื่อนคนหนึ่งที่กำลังนั่งพักอยู่ ศศิทัศน์ก็ขอเปลี่ยนตัวออกมารับสาย

      “เฮียว่าไง” ศศิทัศน์กำลังตั้งใจฟังเสียงของปลายสาย ในขณะที่สายตาของเขาหันไปมองดูเพื่อนสนิทที่นั่งไปไกลกันนักและกำลังสนใจอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ “อั๊วอยู่ตรงสนามบาส... ลื้อจะมาเหรอ” ศศิทัศน์ถามด้วยระกังเสียงที่ดังขึ้น “อยู่ๆ อยู่ด้วยกันนี่แหล่ะ” แล้วศศิทัศน์ก็พยักหน้ารับไปด้วย “ได้... ได้... ได้... ได้ครับเฮีย เดี๋ยวเจอกัน”

      “เฮียวีแวะมาโรงเรียนเหรอ” พระยศถามเมื่อเห็นว่าศศิทัศน์คุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว

      “ใช่”

      “ก็นึกว่าวันนี้เฮียไม่ว่างซะอีก” พระยศนึกสงสัยเพราะอีกฝ่ายบอกไว้แต่แรกว่าวันนี้ไม่สะดวกมาติวหนังสือให้พวกน้องๆได้

      “นั่นดิ” ศศิทัศน์ก็พลอยสงสัยไปด้วยคน

      “เอ้อ... เดี๋ยวกูมานะ” วีร์รีบลุกขึ้นยืนแล้วก็ก้าวเดินออกไปจากสนามบาสเก็ตบอล

      “เดี๋ยว ไปไหนวะ” ศศิทัศน์ร้องห้ามไว้ซะก่อน

      “ไปห้องชมรม โดนเรียกตัวด่วน เดี๋ยวมา” วีร์ไม่ได้รอคำตอบรับ เขาเดินออกไปทันที

      “งานด่วนอะไรของมันวะ” ศศิทัศน์ขมวดคิ้วมองตามจนวีร์ลับสายตาไปจากมุมตึก แต่ไม่นานนักก็มีมือมาสะกิดไหล่ของเขา “อ้าว! เฮีย ไหนว่าวันนี้ไม่ว่างไง”

      “ก็ไม่ว่าง เดี๋ยวก็ต้องกลับไปทำงานต่อ”

      “แล้ว... ลื้อมาไมอะ” ศศิทัศน์เริ่มสงสัยพี่ชายของเขาขึ้นมาอีกคน

      “แล้วเพื่อนลือไปไหน” วีรมาตุไม่ได้ตอบคำถาม แต่ถามกลับพร้อมกับมองดูไปรอบๆแล้วยังไม่เห็นคนที่ต้องการจะเจอ ศศิทัศน์เองก็มองตามอย่างรู้ทัน

      “ว่าที่พี่เขยอั๊วเพิ่งจะไปห้องชมรมเมื่อกี้ เดี๋ยวมันก็กลับมา”

     วีรมาตุหันกลับมาหาน้องชายของเขา เพราะสะดุดกับตำแหน่งที่เพิ่งจะได้ยินแต่ก็พยักหน้ารับรู้

      “สรุปลื้อมาทำอะไร มีธุระแต่อุตส่าห์ถ่อมาถึงโรงเรียน”

     ศศิทัศน์ถามพร้อมกับส่งสายตาแซวพี่ชายไปด้วย

      “ก็งาน Med Party ปีนี้เขาอยากจะย้อนวัยเรียนกัน ก็เลยนัดว่าให้ใส่ชุดนักเรียนไปงานกัน นี่อั๊วก็งานจะแวะไปเอาชุดที่บ้าน เพราะวันอื่นคงจะยุ่งไม่มีเวลาไปเอา นี่ก็เลยมาหาลื้อด้วยเผื่อว่าจะให้ไปส่งที่บ้าน”

      “อืม... ก็ได้นะ นี่ก็เย็นแล้วด้วย กลับเลยก็ได้” ศศิทัศน์ดูเวลาจากโทรศัพท์ แล้วก็แอบชำเลืองตาขึ้นมองพี่ชายของเขา แล้วก็นึกยิ้มขึ้นมา “แต่เดี๋ยวรอไอ้วีร์ก่อนนะ เผื่อว่ามันจะอยากกลับด้วยกัน”

     วีรมาตุนึกหมั่นไส้น้องชายของเขาที่มารู้ทันความคิดไปซะทุกอย่าง

      “ก็ต้องรอน่ะสิ จะได้บอกให้น้องวีร์เตรียมชุดไปด้วย”

      “ต้องลงลื้อชวนไอ้วีร์ไปงานจริงๆเหรอ”

      “ก็เพื่อนลื้อรับปากไว้แล้ว”

     วีรมาตุยืนดูเด็กรุ่นน้องเล่นบาสเก็ตบอลกัน แม้ว่าจะถูกเอ่ยปากชวนเล่นแต่เขาก็ปฏิเสธไป เพราะในใจกำลังจดจ่ออยู่กับการรอ แต่เวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนในความคิดจะเดินกลับมาเสียที

      “เพื่อนลื้อไปนานแล้วนะ” วีรมาตุหันไปถามศศิทัศน์

      “นั่นสิ” ศศิทัศน์เองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน “คงมีธุระด่วนจริงๆ แต่เดี๋ยวก็คงจะมา เนี่ยเป๋มันยัง... อ้าวเห้ย เป๋ของไอ้วีร์ไปไหนแล้ววะ” ศศิทัศน์ถามเพื่อนๆในบริเวณนั้น แต่ละคนก็สอบถามกันว่ามีใครเห็นบ้าง

      “เป๋ที่วางอยู่ตรงนั้นน่ะเหรอ” ใครคนหนึ่งถาม ศศิทัศน์ก็ตอบกลับว่าใช่ “เห็นเดวิดมันหยิบไปเมื่อกี้”

      “มันหยิบผิดเหรอ” ศศิทัศน์ถามให้แน่ใจ

      “ไม่นะ เห็นมันหยิบไปสองใบ” เพื่อนคนเดิมตอบ

      “ไอ้วีร์โทรมาหามันว่าให้หยิบเป๋ไปให้มันด้วย” มีเพื่อนอีกคนบอก

     สองพี่น้องต่างก็มองหน้ากัน ต่างคนก็เริ่มงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

      “หรือว่าไอ้วีร์มันจะเอาของในเป๋มันรึเปล่า” พระยศเสนอความเห็น แต่ศศิทัศน์ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ วีร์สามารถโทรมาหาตัวเขา หรือไม่ก็พระยศก็ได้เหมือนกัน

      “ลื้อบอกว่าน้องวีร์ไปที่ห้องชมรมใช่มั้ย” วีรมาตุถาม ศศิทัศน์เองก็พยักหน้ายืนยัน เมื่อได้รับคำตอบแล้ววีรมาตุก็มุ่งหน้าไปที่ห้องชมรมถ่ายรูปทันที

     แม้ว่าห้องชมรมถ่ายรูปจะเป็นหนึ่งไม่กี่ชมรมที่มักจะมีคนอยู่จนถึงเวลาใกล้ค่ำ แต่กลับไม่ใช่วันนี้ ประตูห้องชมรมถูกล็อคปิดสนิทและไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ในละแวกนั้นเลยสักคน วีรมาตุลองโทรผ่านแอพลิเคชั่นไลน์ก็แล้ว ลองผ่านเบอร์โทรศัพท์ก็แล้ว แต่ก็ไม่สามารถติดต่อกับวีร์ได้  วีรมาตุตัดสินใจเดินกลับไปที่สนามบาส แต่ระหว่างนั้นก็พบกับเด็กหนุ่มตาน้ำข้าวแต่พูดไทยชัดยิ่งกว่าคนไทย

      “เดวิด”

      “พี่วี สวัสดีครับ” เดวิดทักทายรุ่นพี่กลับ

      “พี่ถามอะไรหน่อย เมื่อกี้เราหยิบเป้ของวีร์มาใช่มั้ย”

      “ใช่ครับ ทำไมเหรอครับ”

      “แล้วตอนนี้วีร์อยู่ที่ไหน” วีรมาตุถามต่อด้วยความใจร้อน

      “เห็นเดินไปทางลานจอดรถ น่าจะกลับบ้านแล้วมั้งครับ”

      “ขอบใจมาก” วีรมาตุรีบวิ่งไปยังลานจอดรถโดยทันที และเป็นไปตามที่เขาคิด วีร์ไม่ได้อยู่ที่ลานจอดรถแล้ว วีรมาตุพยายามคิดในแง่ดีไว้ก่อนว่าวีร์อาจจะมีธุระด่วนจริงๆก็ได้ ไม่ได้มีเหตุอื่นใด


*****


     แสงไฟส่องสว่างตลอดข้างทางเดินในหมู่บ้าน แม้ว่าท้องฟ้าจะยังคงมองเห็นแสงสีส้มฉายอยู่บ้าง แต่ก็คงจะจางหายไปในอีกไม่ช้าและความมืดก็จะเข้าปกคลุมไปทั่ว วีร์เดินผ่านบ้านของแพรพรรณที่ปิดประตูมิดชิดแล้วแต่ก็ยังเห็นแสงไฟที่ส่องผ่านผ้าม่านตามบานหน้าต่างอยู่ เรื่อยไปจนถึงบ้านของเขาเอง

     เสียงจังหวะฝีเท้าที่คุ้นเคยเรียกความสนใจของสุนัขตัวใหญ่ขนสั้นทั้งสีน้ำตาลอ่อนและสีดำวิ่งมาเกาะกำแพง หางที่แกว่งไปมาอย่างรวดเร็วและเสียงร้องครางแสดงความดีใจที่เจ้านายของพวกมันกลับมาแล้ว พอดีกับที่ธีร์เดินออกมาหน้ารั้วเพื่อเอาถุงขยะมาทิ้งก่อนถึงเวลารถขยะมาเก็บไป

      “กลับมาซะมืดเชียว ไปไหนมาละ” ธีร์เอ่ยทักเมื่อหันมาเห็นวีร์เดินมาถึงประตูรั้วพอดี

      “มีธุระด่วนนิดหน่อย” วีร์ตอบแล้วก็เดินเข้าไปข้างในบ้าน ทั้งสองมือต่างก็จับปลอกคอของสุนัขทั้งสองตัวไว้ไม่ให้พวกมันหลุดวิ่งออกไปข้างนอกได้

      “แล้วโทรไปก็ไม่รับ เนี่ยเฮียวีเขามารอตั้งนานแล้วนะ”

     วีร์ชะงักไป จะหันมาถามธีร์ให้แน่ใจก็ไปสังเกตเห็นรถยนต์ของวีรมาตุที่จอดอยู่หน้าบ้านฝั่งตรงข้าม เลยเป็นสาเหตุให้เขาไม่ได้เฉลียวใจมาก่อน แล้วบุคคลที่สามที่ว่ามานั้นก็เดินออกมา มือของวีร์ที่ไม่ได้ออกแรงกำปลอกคอไว้แล้วทำให้สุนัขทั้งสองตัวหลุดรีบวิ่งเข้าไปหาผู้มาใหม่แทน

     ทั้งวีร์และวีรมาตุต่างก็มองตากันแต่ไม่ได้เอ่ยคำใด

      “งั้น พี่เข้าบ้านก่อนนะ” ธีร์มองดูอาการของทั้งสองคนแล้วก็คิดว่าควรปล่อยให้ทั้งคู่จัดการกันเอง เพราะเขาก็ไม่ได้รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น ต้าวและเติบต่างก็เดินตามธีร์ไปด้วยเนื่องจากพวกมันไม่ได้รับความสนใจจากเจ้านายน้อยทั้งสองคนแล้ว

      “เฮีย... มานานแล้วยังครับ” วีร์ทำลายความเงียบขึ้นมา เพราะจะให้ยืนเงียบๆต่อไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา

      “ก็สักพักแล้วครับ มาเล่นกับน้องธร... แล้วน้องวีร์ไปไหนมาเหรอครับ  เฮียแวะไปที่โรงเรียนไม่เจอ” วีรมาตุแสดงท่าทีปกติ ถามด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่พยายามคาดคั้น แม้ว่าใจจริงอยากถามอะไรที่มากไปกว่านี้ก็ตาม

      “วีร์ไป... ช่วยอาจารย์แป้งมาครับ” ถึงแม้ว่าคำตอบจะดูน่าเชื่อ แต่จังหวะการพูดนั้นทำให้ดูน่าสงสัย

      “เหรอครับ อาจารย์แป้งให้ช่วยอะไรเหรอครับ”

      “ก็รูปถ่ายตอนปิดเทอม อาจารย์ให้คะแนนแล้วก็เลือกรูปไปแสดงที่แกลลอรี่ของเพื่อนอาจารย์พิชิตครับ”

     วีรมาตุได้ยินคำอธิบายเพิ่มเติมแล้วก็พนักหน้ารับรู้ เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย เพราะดูเหมือนว่าวีร์จะติดธุระจริงๆ

      “แล้ว... เฮียมีอะไรด่วนเหรอครับ ถึงมารอที่บ้านวีร์”

      “ก็เฮียโทรหาน้องวีร์แล้วไม่ติด โทรไลน์ก็ไม่ติด ก็เลยลองแวะมาดูที่บ้าน”

      “อ๋อ... ของวีร์แบตหมดครับ” วีร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาให้ดูว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ “แล้ว... ตกลงว่าเฮียมีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่าครับ”

      “คือว่าเพื่อนๆที่คณะเขาตกลงกันว่างาน Med Party จะจัดเป็นธีมชุดนักเรียน เฮียก็เลยจะมาบอกให้น้องวีร์เตรียมชุดไว้ก่อนครับ”

      “แค่นั้นเหรอครับ” วีร์ถาม

      “ครับ” วีรมาตุตอบสั้นๆ แล้วก็ฉุกคิดได้ขึ้นมาตอนนั้นว่าอันที่จริงเขาแค่ส่งข้อความมาบอกก็ได้ แต่คงเป็นเพราะอะไรหลายอย่างเมื่อตอนช่วงเย็นทำให้เขาคิดมากกไปเอง ถึงได้บุกมาที่บ้านของวีร์เช่นนี้

      “เรื่องงาน...” วีร์เม้มปากและมีสีหน้าที่ไม่ค่อยสบายใจมากนัก

      “ทำไมเหรอครับ” วีรมาตุเริ่มกลับมารู้สึกแปลกๆอีกรั้ง เมื่อเห็นอาการของวีร์

      “คือว่า... วีร์อาจจะไปด้วยไม่ได้แล้วนะครับ”

     วีรมาตุนิ่งเงียบไป อะไรหลายๆที่กวนใจเขาก่อนหน้านี้เริ่มหมุนวนกลับมาอีกครั้ง

      “น้องวีร์ติดอะไรเหรอครับ”

      “วีร์อาจจะต้องไปช่วยงานอาจารย์พิชิต เวลามันยังไม่แน่ ก็เลย...”

      “ไม่เป็นไรครับ” วีรมาตุรีบตอบกลับในทันทีพร้อมกับรอยยิ้ม “เดี๋ยวไว้ใกล้ถึงวันงานน้องวีร์ค่อยยืนยันเวลาอีกทีก็ได้ครับ”

      “แต่วีร์กลัวเฮียจะเสียโอกาส ถ้าวีร์เกิดไปไม่ได้ขึ้นมา” วีร์พยายามโน้มน้าวให้อีกฝ่ายคล้อยตาม

      “ก็ไม่เป็นไรครับ ตัวงานไม่ได้กำหนดตายตัวสักหน่อยว่าเฮียต้องพาใครไป ยังไงเฮียก็สแตนด์บายไว้ที่น้องวีร์ ถ้าน้องวีร์ติดธุระจริงๆ เฮียก็แค่ไปคนเดียว เท่านั้นเอง” วีรมาตุก็พยายามให้อีกฝ่ายสบายใจ ในเวลาเดียวกันก็พยายามให้ตัวเขาเองไม่คิดมากเกินไป

      “แต่วีร์ว่า...”

      “ไม่เป็นไรครับ เอาตามนี้ก็แล้วกัน”

     แม้ว่าวีรมาตุจะหว่านล้อมหาเหตุผลว่าเขารอคำตอบของเด็กหนุ่มได้ แต่อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีลำบากใจ คอยหลบสายตาของเขา เสมือนว่าได้ตัดสินใจไปแล้วเพียงแต่ยังไม่เอ่ยปากออกมา

      “น้องวีร์”

     วีร์เงยหน้าขึ้นมอง แววตาที่ใครต่อใครมักจะบอกว่าดุดันไม่ต่างจากฤทธิกร แต่ในเวลานี้วีรมาตุมองเห็นแต่ความกังวล

      “น้องวีร์ ไม่ได้กำลังหลบหน้าเฮียใช่มั้ยครับ” วีรมาตุตัดสินใจถามความรู้สึกแรกที่วิ่งเข้ามาตอนที่เขารู้ว่าวีร์ไม่อยู่ที่โรงเรียนแล้ว หรือบางทีเขาไม่ควรไปสนใจว่าโลกโซเชียลพูดถึงอะไรเกี่ยวกับเขาและเด็กหนุ่มบ้างตั้งแต่แรก เขาจะได้ไม่มารู้สึกกังวลใจอะไรแบบนี้

     วีรมาตุเอื้อมมือไปจับมือของวีร์ขึ้นมาข้างหนึ่ง

      “ถ้าน้องวีร์ไม่สบายใจอะไร บอกเฮียได้นะครับ”

     วีรมาตุรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจและจริงใจ มองดูเด็กหนุ่มที่ย้ายสายตาไปทางอื่น ไหล่ที่ยกตัวขึ้นค้างไว้ครู่หนึ่งแล้วผ่อนลง

      “น้องวีร์”

     วีรมาตุเอ่ยเรียกชื่ออีกครั้ง แต่อีกฝ่ายเพียงแค่หันกลับมาแล้วพยายามดึงมือขอเขาออก

      “วีร์ว่าวีร์เข้าบ้านก่อนดีกว่า เฮียจะได้กลับไปพักผ่อนด้วย”

      “น้องวีร์ครับ เฮียพูดจริงๆนะ น้องวีร์บอกเฮียได้ทุกอย่าง”

     วีร์พยักหน้าสองสามครั้งแล้วก็หันกลับเดินเข้าไปข้างในบ้าน วีรมาตุก็ได้แค่มองตามและรู้สึกอึดอัดใจว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้มาก เขาไม่อยากให้พวกเขาทั้งสองคนตกมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไปเนิ่นนาน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป


*****


yobortsa:
ว่างเมื่อไหร่ ไปสืบให้หน่อยนะว่าต้นตอมาจากไหน
วิธู:
กำลังพยายามอยู่
yobortsa:
ได้เรื่องแล้วส่งข่าวมาด้วย
วิธู:
ไม่ต้องห่วง เชื่อมือได้


*****


Ending music inspired by A1The Things We Never Did



[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 13 เป็นไงเป็นกัน


งานเลี้ยงสังสรรค์ของนักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ที่จัดขึ้นเพื่อให้นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งที่กำลังปรับตัวให้เข้ากับการเรียนที่เข้มข้นได้ผ่อนคลายความเครียดก่อนจะถึงวันสอบวัดปลายภาคเรียนแรก อีกทั้งเป็นการเปิดสังคมของนักศึกษาที่นอกจากเพื่อนร่วมคณะแล้วก็คงจะมีแต่ตำราเรียนที่เป็นคนคุ้นเคยให้กว้างมากขึ้น จึงเป็นที่มาให้นักศึกษาสามารถเชิญคนอื่นมาร่วมงานได้อีกหนึ่งคน

แม้ว่าที่ผ่านมา บุคคลทั้งหลายที่เหล่านักศึกษา ชวนมาร่วมงานจะมีทั้งพี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อน หรือคนรักที่หลายคนมักจะชวนมาด้วยนั้น ทำให้เกิดการเข้าใจกันไปผิดๆว่า งานนี้เป็นงานเปิดตัวคนที่นักศึกษาแพทย์กำลังคบหาดูใจกัน ซึ่งก็คงจะเป็นกรณีเดียวกันกับการถือหมอนงานบวชนั่นเอง

แต่สำหรับงานปีนี้คนที่วีรมาตุจะชวนไปด้วยนั้น เริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว

“เฮ้อ...”

(เอ้า พรือหล่าวนิ พอกูเปิดกล้องแล้วมึงก็มาเฮือกๆใส่ เป็นอะไรของมึง) เสียงของหนุ่มผิวเข้มส่งผ่านเครื่องโทรศัพท์ไปยังหนุ่มตี๋ผิวขาวที่มีชื่อเล่นเดียวกันกับเขา

“เซ็ง” ศศิทัศน์ตอบเพียงสั้นพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์

(เซ็งเรื่องอะไรวะ) วิธูพยายามเข้าใจอาการของอีกฝ่าย

“หลายเรื่อง”

(ไอ้ที่หลายเรื่องน่ะมันเรื่องไหนบ้าง ว่ามา) วิธูแสดงท่าทางว่าเขากำลังรอฟังอย่างใจเย็น

“ทั้งเรื่องไอ้วีร์ เรื่องเฮีย ข่าวลือทั้งหลายแหล่ ไม่รู้จะอะไรกันนักหนา” ศศิทัศน์ก็ยังไม่คลายความบึ้งตึงไปจากใบหน้าของเขา

(พวกขี้เสือก อย่าไปเอาอะไรมาก ปวดหัวเปล่าๆ)

“แล้วไปขุดเรื่องพี่มึงขึ้นมาได้ไงก็ไม่รู้”

(อันนั้น เพื่อนกูเองแหล่ะ) วิธูสารภาพหน้าตาเฉย

ศศิทัศน์ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที หมายกำลังจะคาดโทษไปแล้วแต่วิธูก็อธิบายเพิ่มเติมเสียก่อน

(กูไปถามมันมาแล้ว มันไม่ได้ตั้งใจ มันบอกว่ามันส่องโน้นนี่นั่นไปเรื่อยแล้วก็เจอเรื่องของไอ้วีร์กับเฮียมึง มันก็เลยสงสัยแล้วโพสถามลงไปว่ามีแฟนใหม่แล้วเหรอ จากนั้นก็มีคนอินบ๊อกซ์มาหามันเต็มเลย มันไม่ได้ตอบทุกคนหรอก มีบางคนที่มันเข้าไปเห็นโปรไฟล์แล้วว่าอยู่โรงเรียนมึงก็เลยตอบไปสองสามคน ประมาณนั้น)

“แล้วไง... แล้วเพื่อนมึงก็เลยสร้างเรื่องอาถรรพ์อะไรนั้นขึ้นมาเหรอวะ”

(โอ้ย... ไม่ใช่ เรื่องนั้นน่ะเก่าตั้งนานแล้ว พี่กูออกตัวปิดข่าวเองไปเรียบร้อยแล้ว กูก็ไม่คิดนะว่าใครจะหยิบมาเล่นอีก ส่วนเพื่อนกูที่ว่าเนี่ยก็สนิทกับไอ้วีร์นั่นแหล่ะ มันโทรไปเคลียร์กับไอ้วีร์เรียบร้อยแล้ว)

“ไม่รู้เว้ย” ศศิทัศน์ยังรู้สึกขัดใจอยู่อย่างเดิม

(แล้วนี่ได้คุยกับมันแล้วยัง ว่าจะไปงานมั้ย)

“ยัง เห็นเฮียบอกว่ามันติดงาน แต่กูว่าข้ออ้าง กูสงสัยว่ามันไปรู้เรื่องได้ไงวะ ไอ้วีร์ไม่เล่นทวิตไม่ใช่เหรอ”

(มันบอกเหรอ) วิธูถาม

“ใช่ มันบอกเองว่ามันไม่มีแอคทวิตแอคเฟซ มีแต่ไลน์กับไอจี” ศศิทัศน์ทำท่านึกตามไปด้วยว่ามีอะไรเพิ่มเติมอีก

(ก็ไม่ผิด... แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เล่น)

ศศิทัศน์วางใจไปได้เพียงไม่นาน คำตอบของวิธูทำให้เขาสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง

(มันเคยมีทวิตเตอร์แต่ลบไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะส่องไม่ได้ ใช่มั้ย)

“แสดงว่ามันก็รู้เรื่องทั้งหมดใช่มั้ย” ศศิทัศน์ถามให้แน่ใจ

(ไม่แน่ อาจจะ)

ศศิทัศน์ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วก็อีกครั้ง

(ยังมีเรื่องอื่นอีกเหรอวะ เห็นยังเฮ้อๆ ไม่หยุด)

“ไม่อะ มีแค่นั้นแหละ”

(นึกว่าจะเครียดเรื่องมีคนมาทาบทามเฮียมึงไปแสดงซีรี่ส์ซะอีก)

ศศิทัศน์ส่งเสียงคำรามในทันที

“เรื่องนั้น อย่าเอามาพูดให้เป็นเสนียดหูกูเลย” สีหน้าของศศิทัศน์แสดงออกชัดเจนว่าไม่เอาด้วยอย่างแน่นอน

(ทำไมวะ เป็นนักแสดงไม่เห็นจะเสียหายอะไร) วิธูถามด้วยความสงสัย

“อย่ามา กูแอบไปดูไอ้ที่ผู้จัดค่ายนั้นโพสไว้แล้ว” ศศิทัศน์ส่ายหน้ารัวๆอย่างสะอิดสะเอียน “แม่ง มันไม่ได้อย่างแรง มีที่ไหนวะบอกจะถ่ายทำซีรี่ส์ออกมาเป็นสามเวอร์ชั่น อันแรกไว้ออกทีวี แล้วก็มีไดเร็กเตอร์คัตเพิ่มฉากไว้ขึ้นออนไลน์ แล้วยังมีซูปเปอร์อันคัตพิเศษเด็ดสุดๆไว้ปล่อยทาง อลฟ.”

(ห๊ะ เดี๋ยวนี้มันต้องอะไรถึงขนาดนั้นเลยเหรอวะ)

“บอกว่าอะไรนะ เพื่อให้เนื่อหาครบถ้วนตามในนิยาย เห็นมีคนกรี๊ดกร๊าดเต็มฟีดบอกทำเลยๆ เห๊อะ สงสัยเอาส้นตีนคิด”

(แล้วไอ้นักร้องรุ่นพี่อะไรของมึงนั่นยอมเหรอวะ)

“ไม่รู้เว้ย แต่สำหรับเฮีย ไม่ได้เด็ดขาด ห้าม!”

วิธูหัวเราะท่าทางควันออกหูของศศิทัศน์ เหมือนกำลังมองตัวเองเมื่อหลายปีก่อนเวลาที่มีใครพยายามเข้ามาแทรกระหว่างพี่ชายและเพื่อนสนิทของเขา

(เออ ช่างเขาเหอะ เฮียมึงยังไงก็ไม่เอาอยู่แล้วนิ) ศศิทัศน์ก็พยักหน้ารับ (อ้อ... แล้วก็ ไอ้พวกแฝดมันบอกมึงรึยังว่าเดี๋ยวปีใหม่กูจะขึ้นไป อีดำมันจะไปด้วย แต่อย่าเพิ่งไปบอกไอ้วีร์นะ)

“ยังเลย กะจะมาเซอร์ไพรซ์มันเออ”

(ใช่ จะพาอีดำไปเซอร์ไพรซ์มัน)

“โอเค งั้นไว้ค่อยว่ากัน”

ศศิทัศน์บอกลาวิธูแล้วก็ปิดโทรศัพท์ สองนิ้วมือยกขึ้นบีบนวดสันจมูกเผื่อว่ามันจะช่วยให้เขาลดความกังวลลงไปได้บ้าง หากว่าความลี้ลับเหนือธรรมชาติอย่างอาถรรพ์มีอยู่จริง เขาก็อยากจะให้ตัวเองมีเวทย์มนต์เพียงแค่ดีดนิ้วแล้วทุกอย่างก็คลี่คลายไปหมดเสียจริงๆ


*****


หลังเลิกเรียนวันนี้ วีร์ไม่ได้มีงานชมรมที่ต้องไปจัดการแต่ก็ไม่ได้อยู่เล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆหรือติววิชาเรียนก่อนสอบกลางภาคเรียน เพราะว่าได้รับโทรศัพท์ด่วนหลังเลิกเรียนในทันที ทำให้ต้องมาเดินอุ้มเด็กตัวน้อยๆในห้างสรรพสินค้าและมีผ้าอ้อมพาดบ่ารองเอาไว้กันเปื้อน ระหว่างที่พ่อและแม่ของเด็กไปเดินเลือกของใช้จำเป็นอยู่

“ไงมึง มาทำอะไรอยู่นี่วะ”

เสียงเรียกทำให้วีร์หันมา ก็พบกับชัชวาลเดินตัวเปล่าอยู่คนเดียว

“อ้าวเฮียชัช สวัสดีครับ” วีร์ยกมือขึ้นทักทายรุ่นพี่เท่าที่เขาทำได้ในขณะที่ต้องประคองเด็กเล็กไปด้วย

“แล้วนี่ น้องธรรึเปล่าเอ่ย” ชัชวาลเอี้ยวตัวมองเด็กเล็ก วีร์เองก็พยายามจับมือธรทักทายแต่เด็กน้อยกลับเบือนหน้าไปอีกทาง “กี่เดือนแล้วเนี่ย”

“จะห้าเดือนแล้วครับ”

“แป๊บๆก็โตขนาดนี้แล้วนะ” ชัชวาลยังคงพยายามเรียกความสนใจจากเด็กน้อยแต่ก็ยังไม่สำเร็จ

“เฮียมาคนเดียวเหรอครับ” วีร์ส่ายสายตามองไปรอบๆ

“มาคนเดียว เบื่อๆขี้เกียจอ่านหนังสือ ก็เลยออกมาเดินเล่น”

“ถ้าอย่างเฮียชัชขี้เกียจ คนอื่นๆคงสันหลังยาวเป็นกิโลแล้วมั้งครับ”

“ไม่ขนาดมั้ง คนเรามันก็ต้องมีบางโมเมนต์กันบ้าง” ชัชวาลเริ่มถอดใจที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรธรก็ไม่สนใจเขาอยู่ดี จึงย้ายความสนใจมาที่คนพี่แทน “แล้วนี่ สรุปว่ามึงจะไปงานรึเปล่า”

“เอ่อ ก็…ยังไม่แน่ครับ” วีร์ชะงักไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าจะโดนถามเรื่องนี้ แล้วก็เสมองไปทางอื่น ชัชวาลเองก็พอจะสังเกตอาการได้

“วีร์ กูถามจริงๆนะ ติดธุระจริงๆหรือว่าอย่างอื่น”

วีร์เองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไรดี ธุระที่ว่านั้นเป็นเรื่องของชมรมถ่ายรูปที่ใครก็ไปทำแทนได้ อาจารย์พิจิตราก็บอกเพียงแค่ขอความช่วยเลือกจากคนที่ว่างอยู่ ไม่ได้บังคับให้ใครต้องไปทำ วีร์จึงถือโอกาสรับงานนั้นไว้เพราะเห็นว่าตรงกับวันจัดงานของคณะแพทยศาสตร์พอดี

“งั้นกูถามใหม่ ทำไมถึงไม่อยากไปงาน” ชัชวาลถามแล้วเว้นจังหวะรอฟังคำตอบ แต่ดูท่าทางของวีร์ที่ยังอ้ำอึ้งอยู่ ชัชวาลจะเลือกที่จะพูดต่อแทน “มึงน่าจะได้ไปเห็นไอ้วีช่วงนี้นะว่ามันเป็นยังไงบ้าง”

“ทำไมเหรอครับ เฮียเป็นไงเหรอครับ” คำพูดของชัชวาลทำให้วีร์นึกเป็นกังวลขึ้นมาอยู่ไม่น้อย

“ดูทำหน้าเข้า เป็นห่วงมันก็ยอมรับมาเหอะ” ชัชวาลลอบหัวเราะเบาๆก่อนที่จะพูดต่อ “ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอก ประมาณว่า... ทุกวันนี้มันจะทำอะไรแต่อย่างก็มองแล้วมองอีก จะหยิบจะจับ จะเดินจะเหินไปไหนก็ระวังไปซะหมด กลัวว่าจะเป็นอะไรขึ้นมา บางทีกูก็คิดว่า เยอะไปมั้งมึง แต่มันบอกว่าก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร”

วีร์เอาคำบอกเล่านั้นมาคิดและพอจะเข้าใจว่าทำไมวีรมาตุถึงระมัดระวังตัวขนาดนั้น

“มันก็กลัวว่าใครต่อใครจะหาเรื่องมาว่ามึงได้ไง”

วีร์มองตอบกลับชัชวาลอย่างเข้าใจ แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะต้องทำอะไร

“เห็นเฮียวีส่งผลที่วัดน้ำหนัก ส่วนสูง ความดันมาให้อยู่เรื่อยๆ”

“มันส่งไปให้มึงดูด้วยเหรอ... อันนั้นน่ะ อาจารย์หมอสั่งให้ทำทุกวัน ตรวจวัดร่างกายตัวเองแล้วก็บันทึกไว้ สิ้นเดือนต้องทำสรุปส่งด้วย อาจารย์เขาบอกว่าก่อนจะไปรักษาให้คนอื่นก็ต้องรักษาตัวเองให้ดีก่อน แล้วก่อนที่จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องรู้จักสภาพร่างกายของตัวเองซะก่อนแล้วค่อยมาวินิจฉัยอาการ พวกผู้หญิงนะกรี๊ดลั่นห้องที่ต้องมาชั่งน้ำหนักทุกวัน” ชัชวาลส่งเสียงหัวเราะออกมาจนธรหันหน้ามาดูครู่หนึ่งก่อนที่จะหันกลับไปตามเดิม

“แล้วถ้าน้ำหนักเกิน ความดันเกิน ต้องทำอะไรรึเปล่าครับ”

“อาจารย์บอกว่าก็แล้วแต่เลย ให้ตัดสินใจเอาเอง ต่อไปที่จะไปบอกคนไข้ว่าจะต้องทำตัวอะไรยังไงบ้าง ตอนนี้ก็ลองฝึกบอกตัวเองไปพลางๆก่อน แล้วดูว่าสำเร็จมั้ย” ชัชวาลยังคงคอยสังเกตท่าทางของวีร์อยู่เนืองๆ “ไอ้วีมันก็ออกไปวิ่งออกกำลังกายตามปกติของมัน อย่างกูเนี่ยยังฉุดตัวเองออกไปไม่ได้สักที”

วีร์ยังคงครุ่นคิดจากสิ่งที่ได้ฟัง ตัวเขาเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องคำสาปอาถรรพ์ที่ใครต่อใครบอกว่าติดตัวเขามา เพียงแต่เขาไม่ชอบเป็นหัวข้อสนทนาจากคนที่เขาไม่รู้จัก นอกเสียจากว่าเขาไม่เห็นหรือไม่ได้ยินก็แล้วกันไป แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะแอบเข้าไปอ่านดู

“เรื่องงานน่ะ ถ้าไม่อยากไปจริงๆก็บอกมันไปตรงๆมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร มึงไม่ไปมันก็แค่ไปคนเดียว กูยังไปคนเดียวเลย ไม่รู้จะชวนใครไป”

วีร์ก็พยักหน้ารับ

“อย่าไปคิดมาก” ชัชวาลย้ำอีกครั้งให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องได้สบายใจ “คำพูดคนอื่นน่ะ อย่าไปอ่านไปฟังเยอะ เขาถือแค่ว่าเขามีสิทธิ์จะพูดอยากจะเขียนอะไรก็ได้ตามใจเขา แต่ถ้ามึงเห็นแล้วไม่โอเคจริงๆ ลองบอกไอ้พวกแฝดส่งทนายของเครือล้ำเลิศมาช่วยสักทีก็ดีเหมือนกันนะ เผื่อว่าบางคนมันจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองด้วย แต่ถ้ารับไม่ไหวก็ควรจะอยู่เงียบๆไปตั้งแต่แรก”

วีร์รู้สึกเหมือนจะโล่งใจได้ขึ้นมาหน่อยแต่ก็ยังมีเรื่องกังวลเหลืออยู่บ้าง ในขณะที่กำลังรอคอยผู้ใหญ่ทั้งสองเสร็จธุระ สองมือยังคงอุ้มเด็กน้อยประคองไว้ ความคิดก็กำลังล่องลอยไปเรื่อยๆ

“ไอ้วีร์”

เสียงเรียกดังมาแต่ไกลจนวีร์ต้องหันมองตาม ก็ไม่คิดว่จะได้พบกับเพื่อนตี๋ของเขาที่ไม่ได้มาแค่คนเดียว ยังมีศุภกรและมะลิวัลย์ที่เดินตามมาไม่ห่าง และซิ่งฮวาที่อยู่รั้งท้ายโดยมีวีรมาตุเดินตามมาด้วยกัน

“นึกว่ากลับบ้าน เห็นรีบออกมา” ศศิทัศน์ตรงเข้ามาทักทายเด็กน้อยทันทีเดินมาถึง “อ้าวเฮียชัช มาด้วยเหรอครับ”

“มาเดินเล่นน่ะ” ชัชวาลมองเลยไปถึงศุภกรและมะลิวัลย์ “ป๊ากับม้า สวัสดีครับ”

ผู้ใหญ่ทั้งสองก็รับไหว้เป็นอย่างดี ในเมื่อชัชวาลเอ่ยปากไปแล้ว ผู้เยาว์อย่างวีร์จะไม่ยกมือขึ้นทักทายเลยก็คงจะผิดมารยาท ส่วนผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่รับไหว้ชัชวาลแล้วจะไม่รับไหว้วีร์ก็จะดูผิดวิสัยไปหน่อย โดยเฉพาะศุภกร

“อาม่า สวัสดีครับ” ชัชวาลเดินอ้อมไปทักทายหญิงสูงวัย

“มาด้วยรึ อาคุณชัช”

“วันนี้ไม่มีใครอยู่หอเลยครับ ก็เลยออกมาเดินเล่นพักสมองครับอาม่า”

“ไม่รู้ว่าว่าง ไม่งั้นจะได้ให้อาตั้วตี๋ชวนมาด้วยกันแต่แรก งั้นเดี๋ยวไปกินด้วยกันเลย ไหนๆก็มาแล้ว” ซิ่งฮวาชวนชัชวาลไปร่วมอาหาร

“ไม่ดีกว่าครับ นี่ก็เดินไปด้วยแวะกินโน้นกินนี่ไปด้วยอิ่มแล้วครับ เดี๋ยวก็ว่าจะกลับแล้ว แต่บังเอิญเจอน้องซะก่อน”

ซิ่งฮวามองตามชัชวาลไป ก็ไปเจอกับเด็กหนุ่มที่กำลังอุ้มเด็กน้อยอยู่

“อาคุณวีร์ แล้วอาตี๋น้อยนี่ใครเหรอ” ซิ่งฮวาเดินไปหาเด็กน้อยที่กำลังพิจารณาคนแปลกหน้ากลุ่มนี้อยู่

“น้องธรครับอาม่า” วีร์ตอบกลับหญิงสูงวัย

“ไอ้หยา... อีโตขนาดนี้แล้วเหรอ” ซิ่งฮวาทำหน้าทำตาหยอกล้อกับเด็กน้อย

“จะห้าเดือนแล้วครับ”

“แล้วนี่มึงมาอยู่กับน้องธรที่นี่ได้ไงวะ” ศศิทัศน์ถามและมองดูรอบๆ

“โน้นไง” วีร์บุ้ยหน้าไปอีกทางให้ศศิทัศน์หันมองตาม ก็เห็นธีร์และวนกรเดินถือของพะรุงพะรังตรงมาหาพวกเขา “หมดห้างแล้วยัง”

“ก็ของจำเป็นทั้งนั้นแหละ” ธีร์ตอบกลับน้ำเสียงปนความหมั่นไส้เล็กๆ แล้วทั้งธีร์และวนกรก็หันไปทักทายผู้อาวุโสกว่าทั้งสามคน

“มาซื้อของกันเหรอ รีบกลับรึเปล่า” ซิ่งฮวาถามคู่สามีภรรยา

“ก็กำลังคิดว่าเดี๋ยวเอาของไปเก็บที่รถก่อนแล้วค่อยไปหาอะไรกินก่อนกลับค่ะ อาม่า” วนกรตอบกลับแทนคนในครอบครัว

“เหรอ... อามะลิ ลื้อโทรไปถามที่ร้านให้หน่อยว่าเพิ่มอีกสามที่ได้มั้ย แล้วก็มีเด็กด้วยอีกคน” ซิ่งฮวาหันไปบอกลูกสะใภ้ของเธอ แม้ว่าศุภกรได้ยินแล้วจะกระตุกไปบ้างแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ดีอยู่ กำลังคิดที่จะออกปากแย้งแต่มะลิวัลย์ฉวยโอกาสรับคำแม่สามีเสียก่อน

“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ อาม่า หนูเกรงจะไปรบกวนเปล่าๆ”

“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง นานๆทีน่ะ”

จากที่เดิมที่ตั้งใจจะปฏิเสธจนกลับต้องมายอมรับคำเชิญ มีหลายคนที่รู้สึกลำบากใจไม่น้อย แต่คงจะไม่ใช่ศศิทัศน์ที่กำลังหน้าบานกว่าใคร

“เรียบร้อยแล้วค่ะม้า เพิ่มที่ได้อีก” มะลิวัลย์บอกแม่สามีทันทีที่กดวางโทรศัพท์

“ดีเลย งั้นเดี่ยวก็เดินไปด้วยกันเลยนะ” ซิ่งฮวาเอ่ยปากชวนทุกคน รวมไปถึงชัชวาลที่ตอบปฏิเสธไปก่อนหน้านี้ “อาชัช ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ”

“แน่ครับ เดี๋ยวผมก็กลับแล้วครับ งั้นผมลาตรงนี้เลยนะครับ” ชัชวาลยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ทุกคน แล้วก็ลาวีรมาตุเป็นคนสุดท้ายก่อนที่จะแยกตัวออกไป “ไปก่อนนะมึง”

วีรมาตุก็พยักหน้ารับ

“งั้นเดี๋ยวหนูขอเอาของไปเก็บไว้ที่รถก่อนนะคะเดี๋ยวตามไป” วนกรและธีร์ขอปลีกตัวแยกไปก่อน

“ผมช่วยครับ” ศศิทัศน์รีบเสนอตัวช่วยแบ่งถือของมาจากคู่สามีภรรยา “เดี๋ยวจะได้เดินไปที่ร้านด้วยกันถูก”

เมื่อตกลงกันได้แล้ว ธีร์ วนกร และศศิทัศน์จึงแยกตัวออกไป ศุภกรและมะลิวัลย์ก็เดินนำคนที่เหลือไปที่ร้านอาหารที่จองไว้ ซิ่งฮวาเดินตามไปพร้อมกับพยายามคุยกับเด็กน้อยที่ยังคงซบบ่าของวีร์ โดยมีวีรมาตุเดินตามรั้งท้าย

ศุภกรลอบหันมามองเป็นครั้งคราวแล้วก็หันกลับไปทอดถอนใจ จนมะลิวัลย์ก็รู้สึกเอ็นดูกับท่าทางเหล่านั้น

“ป๊า มีอะไรเหรอ”

“เปล่า” ศุภกรตอบกลับสั้นๆ แต่ก็ทำให้มะลิวัลย์อมยิ้มได้

“แค่ไปกินข้าวเองป๊า ไม่ใช่มาดูตัวกันสักหน่อย”

“ดูตัวอะไรละ พ่อแม่เขาไม่ได้มาด้วยกันสักหน่อย” ศุภกรยังคงรักษาท่าทางไว้เหมือนเดิม

“ทำไม ถ้าพ่อแม่เขามาด้วย ป๊าจะยอมออกหน้าสู่ขอเหรอ” ศุภกรไม่ได้พูดตอบกลับมะลิวัลย์แต่ก็เหล่ตามามองขวาง “ม้าล้อเล่น น้องเขาอยู่แค่ ม.5 เอง ลูกเรายังไม่รีบขนาดนั้นหรอก”

ท่าทางของศุภกรที่แสดงออกมาทำให้มะลิวัลย์สอดนิ้วมือไปกุมมือของอีกฝ่ายไว้

“อะอะ ม้าไม่เล่นแล้ว สรุปว่าป๊าเป็นอะไร”

ศุภกรหันไปชำเลืองกลุ่มคนด้านหลังอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะตอบ

“ถ้าในอนาคตพวกเขาจะสร้างครอบครัวได้แบบนี้จริงๆก็ดีสินะ”

มะลิวัลย์จึงหันไปมองบ้าง ก็เห็นวีรมาตุที่กำลังเดินประกบอยู่ข้างๆมองดูวีร์ที่กำลังช่วยซิ่งฮวาสื่อสารกับธร แล้วเธอก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะหันกลับมาหาสามีของเธอ

“ป๊ายอมรับภาพที่เห็นว่าเป็นเหมือนเรื่องปกติทั่วไปได้แล้วใช่มั้ย”

ศุภกรไม่ได้พูดตอบยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ มะลิวัลย์จึงตบบ่าของสามีเธอเบาๆ

“ก็ไม่แน่หรอกป๊า เทคโนโลยีมันพัฒนาไปทุกวัน ใครจะรู้ว่าต่อไปจะเป็นยังไง อาจจะมีคนคิดวิธีให้ผู้ชายสองคนมีลูกด้วยกันได้ ม้าเพิ่งจะเห็นในข่าวเมื่อวาน” อย่างหลังนี่มะลิวัลย์ทำเป็นแอบกระซิบกับศุภกร แล้วจึงกลับมาพูดปกติตามเดิม “ดูอย่างสมัยเราเด็กๆสิกว่าจะได้เจอกันต้องแอบเขียนจดหมายน้อยฝากคนโน้นคนนี้ไปให้ ผ่านมาไม่กี่สิบปีแล้วเดี๋ยวนี้เป็นไงละ นั่งอยู่ตรงหน้ากันเห็นๆแต่ไม่รู้ว่ากำลังก้มหน้าคุยอะไรกับใครอยู่ในโทรศัพท์”

ศุภกรก็ลอบยิ้มมุมปากนึกเห็นด้วยกับสิ่งที่มะลิวัลย์บอก โดยเฉพาะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขวไปมาภายในห้างสรรพสินค้าต่างก็มีโทรศัพท์อยู่ในมือเสมือนเป็นอวัยวะที่สามสิบสาม หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปเร็วมากในชั่วอายุเขาและไม่รู้ว่าจะไปได้ไกลอีกแค่ไหนในอนาคต

“ใครจะไปคิดว่าคนรุ่นเราที่ตอนเด็กๆต้องจุดเตาถ่านหุงหาอาหาร แล้วนี่เรายังไม่ทันจะเกษียณอายุทำงาน อะไรๆก็ทำได้ในมือถือทั้งหมด”

“ใช่ ต้องขอบคุณคนที่ช่วยกันพัฒนาเทคโนโลยีให้เจริญรุดหน้ามาถึงขนาดนี้ มือถือเครื่องเดียวทำได้ทุกอย่าง ไม่แน่นะต่อไปเราไม่จำเป็นต้องมี สส. เลยก็ได้ ทุกอย่างให้ทุกคนตัดสินใจโดยตรงได้ทั้งหมด ม้าเห็นที่ตี๋ใหญ่ลงคะแนนของมหาวิทยาลัยเขาอยู่ทุกสัปดาห์น่ะ” มะลิวัลย์อธิบายเพิ่มเติม

“อันนั้นน่ะมันเฉพาะภายในมหาวิทยาลัยมันก็ได้อยู่หรอก อย่างมากก็แค่สามสี่หมื่นคน แต่ขึ้นมาระดับประเทศมันฝันเฟื่องแล้วม้า ใครจะไปยอมเสียอำนาจในมือตัวเอง”

“ก็ต้องรอดูกันไปว่าระหว่างระบบผู้แทนหายไป กับผู้ชายสองคนมีลูกกันเองได้ อันนั้นจะเกิดก่อนกัน”


*****


มื้ออาหารระหว่างสองครอบครัวผ่านไปอย่างชื่นมื่น แม้จะมีความอลหม่านไปบ้างเล็กน้อย เนื่องจากเด็กชายธรที่เริ่มคุ้นเคยกับคนแปลกหน้าจึงขอร่วมวงสนทนาด้วยการส่งเสียงอ้อแอ้ดังไปทั่วร้าน ซึ่งก็สร้างความสนุกสนานครื้นเครงให้กับทุกคน

“ขอบคุณนะคะ แต่เกรงใจที่จ่ายค่าอาหารให้ด้วย” วนกรกล่าวขอบคุณซิ่งฮวาและครอบครัว

“คนกันเองน่ะ ไม่เป็นไรหรอก” ซิ่งฮวาโบกไม้โบกมือบอกปัด

“งั้นคราวหน้าพวกหนูขอเป็นฝ่ายเลี้ยงตอบแทนก็แล้วกันนะคะ” วนกรจึงเสนอวิธีใหม่ขึ้นมาแทน

“พูดแล้วนะ” ซิ่งฮวามองกลับด้วยสายตาวิบวับแวววาว

“ได้ค่ะ” วนกรรับคำอย่างหนักแน่น

“เดี๋ยวไว้ค่อยให้อาตั้วตี๋ไปนัดกับอาคุณวีร์ก็แล้วกันนะ” ซิ่งฮวาพอใจกับคำตอบรับจนยิ้มหน้าบาน

“ให้เพื่อนเขาไปคุยกันเองไม่ดีกว่าเหรอม้า” ศุภกรแทรกถามขึ้นมาด้วยความสงสัยอย่างแท้จริง เพราะคิดว่าเพื่อนห้องเรียนเดียวกันน่าจะคุยกันได้รวดเร็วกว่านักเรียนกับนักศึกษามหาวิทยาลัย

เสียงฮึดฮัดไม่พอใจแต่แสดงออกไม่ได้มากนักของซิ่งฮวา ทำเอาศุภกรรู้สึกแปลกใจว่าเขาทำผิดอะไร ร้อยถึงมะลิวัลย์ต้องรีบเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวค่อยหาเวลาว่างตรงกันนะคะ”

ผู้ใหญ่ว่ามาผู้น้อยก็เลยว่าตาม แม้ว่าจะไม่ได้รับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะแต่ก็ให้เข้าใจได้ว่าไม่ได้ปฏิเสธ

“งั้นเดี๋ยวกลับกันเลยมั้ยคะป๊า อาม่า ดูน้องธรสิตาปรือแล้ว จะได้กลับไปพักผ่อนด้วย” มะลิวัลย์ชี้ชวนให้ทุกคนหันไปดูเด็กชายธรที่กำลังซบไหล่ของวีร์อยู่

“อะอะ ก็ได้” ซิ่งฮวาเดินเข้าไปใกล้ๆเด็กตัวน้อย “แข็งแรงๆ โตไวๆนะ” อวยพรแล้วก็ลูบผมของเด็กชายเบาๆ

แล้วต่างฝ่ายก็ออกตัวลา แยกย้ายกันไปแต่ละครอบครัว

“เสียดายนะ” หญิงสูงวัยพึมพำออกมาระหว่างที่เดินไป

“อะไรเหรอครับอาม่า” ศศิทัศน์ถาม

“ก็อาคุณวีร์เขามากับที่บ้าน ไม่งั้นจะได้ให้อาตั๊วตี๋ขับรถไปส่งได้” ซิ่งฮวาแสดงสีหน้าออกมาว่าเสียดายจริงๆ

“ม้า!” ศุภกรร้องอุทายออกมา

“ทำไม ก็ขืนรอให้พวกลื้อสองคนจัดการกันเอง อาคุณวีร์ก็หลุดมือไปเป็นหลานเขยคนอื่นอะสิ”

ศุภกรหน้าเหวอขึ้นมาในทันทีเพราะไม่คิดว่าแม่ของเขาจะมีความคิดแบบนั้นมาก่อน ในขณะที่สองแม่ลูกอย่างมะลิวัลย์และศศิทัศน์ต่างก็พยายามอมยิ้มไว้ไม่ให้หัวเราะเสียงดังออกมา ส่วนวีรมาตุนั้นเริ่มทำตัวไม่ถูก เขาควรจะดีใจใช่หรือไม่ที่รู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดของครอบครัวเห็นดีงามกับความรักของเขา

“ดูทำหน้าเข้า” ซิ่งฮวามองดูศุภกร “ทำไม คิดว่าอั๊วเป็นพวกหัวโบราณรึยังไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับม้า” ศุภกรรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

“ถ้าอาตั๊วตี๋พลาดจากอาคุณวีร์เพราะลื้อนะ ลื้อจะโดนไม่ใช่น้อย” ซิ่งฮวาชี้หน้าคาดโทษลูกชายของเธอ

“อั๊วยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะม้า”

“ไม่รู้ละ” ซิ่งฮวาว่าเลยก็จับแขนวีรมาตุออกเดินนำทุกคนไป ไม่ได้รอฟังแก้ตัวอะไรจากศุภกรอีก โดยมีศศิทัศน์เดินตามไปติดๆช่วยพูดผสมโรงเออออออกรสออกชาติ เพราะว่านี้เป็นครั้งแรกสำหรับตัวเขาเช่นกันที่ได้รู้ว่ามีคนอื่นในครอบครัวที่สนับสนุนความรักของพี่ชายเพื่อนของเขานอกจากมะลิวัลย์ผู้เป็นมารดา

มะลิวัลย์ตบบ่าสามีของเธอเบาๆเป็นการให้กำลังใจ แล้วก็ชวนกันเดินตามคนอื่นๆไปที่ลานจอดรถยนต์


*****


(รูปภาพ)
ศศิทัศน์ ราวัณ: มื้อนี้อิ่มมาก
ไมตรีจิต นิยมทอง: นี่มันครบองค์ประชุมเลยนะเว้ยเห้ย
พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล: อะไรกัน เกิดอะไรขึ้น ทำไมกูตกข่าว
คุณกร ศุขเจริญชัย: หลานกูน่ารักจริง หรือใครจะเถียง ใช่มั้ย @วีรมาตุ ราวัณ
ชัชวาล เก่งการเรือน: มีคนหน้าบานจนหุบไม่ได้ สงสัยว่าหนังสือไม่ต้องได้อ่านหนังสือแล้วคืนนี้
มีมี่ มิมีใคร เอามาแล้วจ้า: อร๊ายยยย คอนเฟิร์มแล้วใช่มั้ยค้า


.....


หลังจากที่จัดการภารกิจประจำวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งทิ้งขยะ ให้อาหารสุนัขทั้งสองตัว รดน้ำต้นไม้ ปิดบ้านปิดไฟชั้นล่างและขึ้นบ้านไปอาบน้ำแต่งชุดนอนแล้ว เสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ดังขึ้นตอนที่วีร์กำลังจะปิดไฟนอน ทำให้ต้องหยิบแว่นขึ้นมาสวมใส่ และเสียบหูฟังไร้สายไว้ที่หูทั้งสองข้าง ก่อนที่จะเลื่อนหน้าจอรับการสนทนาผ่านวิดีโอ

“มีไร คอลมาป่านนี้” วีร์มองดูเด็กหนุ่มผิวเข้มที่อยู่ในชุดประจำตัวเตรียมนอนไม่ต่างไปจากเขาเท่าไรนัก

(ม้าย โทรมาเฉยๆ)

วีร์ส่งสายตาเขม็งกลับไปหาวิธู

(ไซ ง่วงแล้วเออ)

“ม้าย แล้วตกลงมีอะไร”

(ก็... เห็นรูปที่ไอ้ต่ายลงในเฟชมันแล้วม้าย) วิธูถามถึงภาพถ่ายรวมทุกคนระหว่างสองครอบครัวที่เพิ่งจะไปรับประทานอาหารร่วมกันมา

“เห็นแล้ว มันมาถามก่อนเอาไปโพสลงแล้ว”

วิธูทำปากบึนพร้อมกับพยักหน้ารับรู้

“ไซอะ มีอะไร”

(ม้าย ถามไปงั้นแหละ ก็นึกว่าเขานัดดูตัวกัน) วิธูพยายามกลั้นหัวเราะหลังจากที่พูดจบ

“ดูตัวอะไร แค่บังเอิญเจอ แล้วอาม่าก็ชวนไปกินข้าวด้วยกัน”

วิธูยิ้มตอบอย่างรู้ทันว่าวีร์แกล้งตอบกลบเกลื่อนอาการเขิน

(แล้ว... จะไปงานมั้ยนิ)

“งานอะไร” วีร์ถามกลับเพราะตามหัวข้อที่เปลี่ยนไปไม่ทันจริงๆ

(ก็ Med Party ไง จะไปมั้ย)

วีร์ถอนหายใจก่อนที่จะตอบ

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

(แล้วไซถึงไม่ไป) วิธูพอใจกับคำตอบของวีร์ที่ดูมีแนวโน้มไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ เพราะวีร์ไม่ได้ปฏิเสธอย่างจริงจัง แต่มีท่าทีลังเล ส่วนสาเหตุที่ทำให้วีร์ตัดสินใจไม่ได้นั้น วิธูยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก

ส่วนวีร์ก็พยายามหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่เหมือนกัน

(มึงไม่บอก งั้นกูลองถามนะ จริงๆมึงว่างใช่มั้ย)

“ก็... มั้ง” วีร์ตอบสั้นๆ

(งั้น... จริงๆมึงอยากไปงานใช่มั้ย)

“ก็... คงอยากมั้ง” วีร์หยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

(จริงๆมึงรักเฮียแล้วใช่มั้ย)

“ก็... งั้นมั้ง” ปากขยับตอบไปโดยอัตโนมัติ แต่แล้วเจ้าตัวก็ชะงักไป “เห้ย ไม่ใช่”

(ไม่ทันแล้วมึง เต็มสองรูหูเลย)

วีร์เม้มปากเข้าหากัน มองดูวิธูหันข้างทั้งซ้ายและขวาให้เห็นใบหูทั้งสองข้าง

(รักแล้วไงวะ ไม่เห็นเป็นไรเลย)

วีร์ไม่ได้ตอบกลับอะไรไป ความรู้สึกดีๆที่มีให้เด็กหนุ่มรุ่นพี่นั้นเขายอมรับว่ามีจริง แต่ส่วนที่ว่ามีมากขนาดไหนนั้น เขายังไม่แน่ใจตัวเองนัก

(งั้นระหว่าง จากคำบอกเล่าของชาวโซเชียล ว่า...) วิธูกระดิกนิ้วทั้งสองข้างเป็นฟันกระต่ายเน้นย้ำว่าต่อจากนี้ไม่ใช่คำพูดของเขาเอง (...มึงมีอาถรรพ์ติดตัวทำผัวตายทุกคน กับมึงใจง่ายแฟนเก่าไปไม่ทันไรก็มีแฟนใหม่แล้ว มึง... ไม่ชอบอันไหนสุด...)

วิธูนิ่งเงียบรอฟังคำตอบจากวีร์ที่ดูสีหน้าหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด

(หรือว่าทั้งคู่)

วิธูคิดว่าเขาเจอต้นตอของปัญหาในตอนนี้แล้วจากอาการของวีร์ที่แสดงออกมา

“เรื่องคำสาปอาถรรพ์ กูไม่คิดว่ามีจริง”

(แต่มึงเริ่มคิด) วิธูพูดขัดวีร์ขึ้นมา ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธ (ถ้าไอ้การแค่มึงชอบพี่กูแล้วทำให้พี่กูเป็นอะไรจริงๆ พี่กูคงไปตั้งแต่ก่อนจะได้แชมป์เยาวชนชายเดี่ยวแล้วมั้ง ไม่อยู่ยาวมาเป็นปีๆ ไอ้คนอื่นที่ไม่รู้จริงก็พูดไปเรื่อย)

“แต่เรื่องที่...”


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 61
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
(พ่อแม่กูไม่มีปัญหา กูก็ไม่มีปัญหา มีแต่จะเป็นห่วงมึงกันทั้งนั้นว่ามึงจะคิดเองเออเองจนปิดตัวเองไป แล้วก็ไม่ใช่ว่ามึงแอบไปคบซ้อนตั้งแต่พี่กูยังอยู่ซะเมื่อไหร่ แล้วก็นะ ทำอย่างกะให้มึงอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตแล้วพี่กูจะฟื้นขึ้นมาได้งั้นแหละ เห๊อะ ไร้สาระ)

ข้อความต่างๆนานาที่เคยผ่านตาวีร์ไป กลับเข้ามาวนเวียนอยู่ในความคิดของเขาอีกครั้ง ถึงจะเคยบอกใครต่อใครไปว่าเขาเป็นคนที่ไม่ได้สนใจในโลกของสื่อสังคมออนไลน์มากนัก แต่บางทีมันก็กระทบตัวเขาอีกอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

(เอาตะ แล้วแต่มึง จะไปไม่ไป)

วีร์พยักหน้าตอบรับ แล้วก็หัวศีรษะขวับไปด้านข้างอย่างกะทันหัน

“เดี๋ยวกูมาแป๊บ”

แล้ววีร์ก็หายไปจากหน้าจอโทรศัพท์ ปล่อยให้วิธูมองดูสภาพภายในห้องนอนของวีร์ที่ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นมากนัก โดยเฉพาะซองกีตาร์ที่เขารู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะมันเป็นกีตาร์ของวีรดนย์ที่เขาเป็นคนเอาไปให้วีร์เองกับมือ

ไม่นานนักวีร์ก็กลับมา

(มีไรวะ)

“ลงไปดูไอ้ต้าวไอ้เติบ เพิ่งมีคนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่แล้วเขาชอบปล่อยหมาออกมากลางดึก ไอ้สองตัวนั้นก็เลยอยากจะออกไปบ้าง”

(ออกไปฟัดกันละไม่ว่า)

“นั่นแหละ แล้วมึงมีอะไรอีกมั้ย ไม่งั้นกูจะไปนอนแล้ว” วีร์เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาแล้ว

(ม้าย)

“งั้น...”

(เออนี่...) วิธูพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน (กีตาร์น่ะ ตั้งไว้เฉยๆทำไม หยิบมาเล่นบ้างตะ)

“แล้วกูเล่นเป็นซะที่ไหน”

(ก็เบ๋อมีคนเล่นเป็นแล้วเต็มใจจะสอนให้อยู่ไม่ใช่เออ)

วีร์มองกลับด้วยหางตาอย่างรู้ทันว่าวิธูหมายถึงใคร

“แล้วจะเก็บไว้พิจารณา”

วิธูยิ้มตอบกลับ ก่อนที่ต่างฝ่ายจะบอกลาไปนอน


*****


ช่วงเย็นวันศุกร์เป็นวันที่ทุกคนจัดให้ว่างตรงกันไว้ เพราะวีรมาตุรับปากว่าจะเข้ามาช่วยเก็บตกเนื้อหาบางวิชาก่อนสอบกลางภาคเรียนให้ เนื่องจากสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป วีรมาตุเองก็เริ่มเข้าช่วงสอบปลายภาคเรียนของเขาเองแล้วเหมือนกัน

“พอจะเข้าใจที่เฮียอธิบายนะ” วีรมาตุถามน้องๆที่นั่งรอบๆม้าหิน

คนอื่นๆนั้นเข้าใจดี คงเหลือสองหนุ่มฝาแฝดที่ยังผูกคิ้วเข้าหากันอยู่

“กิ่งกับก้านยังไม่เข้าใจตรงไหนเหรอ”

“ตรงนี้” “ตรงนี้” “ตรงนี้” “แล้วก็ตรงนี้” “ใช่ แล้วก็ตรงนี้ด้วย” นพชัยและชัยทิศช่วยกันชี้จุดที่พวกเขายังไม่เข้าใจอยู่

“คือทั้งหมดเลยว่างั้น” สุรศักดิ์หันไปมองเพื่อนทั้งสอง

“แหม ทำยังกะมึงเข้าใจหมดแล้วอย่างนั้นแหละ” “มันก็คือๆกันแหละวะ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเฮียสรุปย่อให้อีกรอบแล้วจดตามที่เฮียบอกเลยก็แล้วกัน แล้วค่อยกลับไปอ่านทวนซ้ำ โอเคมั้ยครับ” วีรมาตุรีบแยกทัพก่อนที่จะเปิดศึกรบกันเสียก่อน

“งั้นเดี๋ยวผมไปซื้อน้ำก่อนก็แล้วกันครับ” พระยศลุกขึ้นออกไปจากโต๊ะเพราะเห็นว่าเป็นเนื้อหาที่เขาเข้าใจแล้ว และรู้สึกหิวน้ำขึ้นมา

“เดี๋ยวกูไปด้วย” วีร์เองก็ลุกขึ้นเดินตามพระยศไป

วีรมาตุลอบมองตามในขณะที่กำลังอธิบายสรุปย่อให้สองหนุ่มแฝดและสรุศักดิ์จดตาม ศศิทัศน์เองก็พอจะสังเกตุเห็นได้ และพยายามคิดหาหนทางว่าควรจะทำอย่างไรดีกับงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ที่วีร์ยังไม่ตอบตกลงว่าจะไป แม้ว่าทางฝ่ายวิธูเองก็รับปากแล้วว่าจะช่วยเป็นธุระให้ด้วยอีกคนก็ตาม แต่กระนั้นเวลาเหลือแค่เพียงวันพรุ่งนี้แล้วเท่านั้น

“เฮีย” เสียงเรียกของสุรศักดิ์ทำให้วีรมาตุหยุดชะงักขณะกำลังอธิบาย โดยเข้าใจไปเองว่าสุรศักดิ์ต้องการจะถามถึงเนื้อหาวิชา “ไอ้วีร์มันยังไม่บอกเหรอครับว่าจะไปหรือไม่ไป”

“ก็... ยังเลยครับ”

“แต่งานมันวันพรุ่งนี้แล้วไม่ใช่เหรอครับ” สรุศักดิ์ถามอีกครั้ง

วีรมาตุไม่ได้ตอบกลับ ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ

“เดี๋ยวมันกลับมาก็ลองถามมันดูสิวะ” “จะได้รู้สักทีว่าจะเอายังไง”

“โนๆๆ ห้ามถามมันเด็ดขาด” ศศิทัศน์รีบแย้งสองหนุ่มแฝดในทันที “ไอ้ต่ายบอกว่าอย่าไปเซ้าซี้เรื่องนี้มันมากนัก แทนที่จะช่วยผลักให้มันตัดสินใจไปงาน จะกลายเป็นว่าดันไปอีกทางแทนซะงั้น”

“อันที่จริงน้องวีร์จะไปหรือไม่ไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ มันไม่ใช่วันสุดท้ายของชีวิตสักหน่อย” วีรมาตุพูดอย่างที่เขาคิดจริงๆ แม้บางส่วนจะคิดว่าถ้าวีร์ไปด้วยได้ก็คงจะดีไม่น้อย

“ฉะนั้นก็อย่าได้พูดอะไรกับมันก็แล้วกัน” ศศิทัศน์มองนพชัยและชัยทิศอย่างคาดโทษ

“รวมถึงเรื่องของไอ้ต่ายด้วยใช่มั้ย” หนึ่งในฝาแฝดถาม แต่ยังไม่ใครทันได้ตอบ เพราะทั้งพระยศและวีร์ก็เดินกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่าในมือคนละขวด และยังมีเผื่อสำหรับคนอื่นๆด้วย

“เรื่องไอ้ตี๋เล็กมันทำไมวะ” วีร์ถามสองหนุ่มแฝด

“ไม่ใช่ไอ้เชี่ยนี้” “หมายถึงไอ้ต่ายเพื่อนเก่ามึงโน้น”

วีร์ขมวดคิ้วมองเพื่อนๆของเขาด้วยความสงสัย โดยสองหนุ่มฝาแฝดที่เม้มริมฝีปากปิดสนิท

“ไอ้ต่ายมันทำไมวะ”

“เปล่า ไม่มีอะไร” “ใช่ ไม่มีอะไรเลย”

ท่าทางการปฏิเสธอันมีพิรุธที่มักพบเห็นได้ทั่วไป ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันทำไมสมัยนี้แล้วถึงยังทำกันอีก

“ถ้าเรื่องไอ้ต่าย กูรู้ตั้งนานแล้ว” วีร์สะบัดมือเล็กน้อยพอจะให้รู้ว่าไม่จำเป็นต้องมาปิดบังเขาอีกต่อไป

“มึงรู้แล้วเหรอว่าไอ้ต่ายมันขึ้นมาตอนวันปีใหม่” หนึ่งในฝาแฝดพูดโพล่งออกมา

“ใช่”

“แล้วมันก็จะพาแฟนมันขึ้นมาด้วย” ฝาแฝดอีกคนพูดต่อ

“อีดำน่ะเหรอ... ก็... ใช่ กูรู้อยู่แล้ว”

ศศิทัศน์ถึงกับกุมขมับ ส่วนพระยศก็รู้สึกหน่ายใจขึ้นมา ต่างก็ไม่คิดว่าคู่หูแฝดนรกจะตกหลุมพลางง่ายๆเช่นนี้

“ความแตกก็เพราะพวกมึงนี่แหล่ะ” แม้แต่สุรศักดิ์เองก็ยังดูท่าทางของวีร์ออก

“เอ้า สรุปว่ามึงไม่รู้มาก่อนเหรอวะ” “นี่มึงหลอกถามพวกกูเหรอ”

“พวกมึงพูดออกมาเองนะ กูยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย” วีร์ยักไหล่ปิดท้าย

“งั้น ไหนๆความลับก็แตกแล้ว ฉลองปีใหม่ปีนี้ทำอะไรกันดี” “จริงๆรอบกองไฟเหมือนเดิมก็ดีอยู่นะ แต่เผื่อว่าเพิ่ลๆอย่างได้อะไรใหม่ๆ”

“เอาไว้สอบกลางภาคเสร็จก่อนค่อยคิดก็ได้” พระยศดักทางฝันของสองหนุ่มไว้เสียก่อน

“ว่าแต่ปีนี้เฮียหมูเขาจะงานวันเกิดมั้ยครับเฮีย” “นั่นสิ จะได้วางโปรแกรมถูก” สองหนุ่มฝาแฝดหันไปถามวีรมาตุ

“รู้สึกว่าจะไม่นะ เหมือนได้ยินว่าพวกวิทย์กีฬาเขามีงานภายในอะไรกันนี่แหล่ะ”

“งั้นก็ดี จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมาอยู่” สุรศักดิ์พูดลอยๆออกมา ถึงแม้ว่าในตอนนี้คุณกรไม่ใช่คู่แข่งเรื่องความรักของเขาอีกต่อไป แต่ความรู้สึกเก่าๆก็ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง

“งั้น วันนี้พอแค่นี้มั้ยหรือมีใครสงสัยอะไรอีก เดี๋ยวเฮียวีจะไม่ว่างแล้ว” พระยศหันไปถามเพื่อนๆทุกคนซึ่งก็ไม่มีใครเห็นแย้งอะไร

“โอเค งั้นเฮียครับ ขอบคุณมากครับที่มาช่วยติวให้” สุรศักดิ์กล่าวขอบคุณวีรมาตุเป็นคนแรก

“ใช่ครับเฮีย ขอบคุณที่มาช่วยติวนะครับ” “ผลบุญครั้งนี้ขอให้เฮียสมหวังในวันพรุ่งนี้นะครับ”

ศศิทัศน์รีบยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากคู่แฝดทันควัน ทั้งที่บอกไว้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอย่าหยิบยกเรื่องงานวันพรุ่งนี้ขึ้นมาต่อหน้าวีร์ ทั้งสองคนก็รับลูกแสดงท่าทางหงายหลังเกินจริงจนแทบจะพลัดตกเก้าอี้ไปจริงๆ

“ไปๆ แยกกันพวกมึง”


*****


เมื่อแดดร่มลมตก เหล่านักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่หนึ่งที่อยู่ในชุดนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายก็เริ่มทยอยกันมายังอาคารเอนกประสงค์ที่ภายในถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโถงกว้าง ด้านหนึ่งเป็นเวทีขนาดย่อมพร้อมกับเครื่องดนตรี และมีพื้นทีว่างหน้าเวทีเหลือไว้พอประมาณ ถัดไปเป็นโต๊ะอาหารที่จัดไว้พอดีกับจำนวนคน โต๊ะอาหารจัดวางไว้ด้านข้างมีตั้งแต่ของคาวของหวานและเครื่องดื่ม

กิจกรรมภายในงานนอกจากการแสดงที่นักศึกษาแพทย์บางคนอาสาจัดซ้อมมาเองแล้ว ก็ยังมีศิลปินและวงดนตรีที่ติดต่อให้มาเล่นในงานเป็นการเฉพาะ

วีรมาตุในชุดนักเรียนตรงตามระเบียบ เสื้อโปโลสีขาวปกเสื้อสีน้ำเงินขลิบลายเส้นสีขาวสองเส้นและกางเกงขาสั้นสีกรมท่า กำลังเดินเลือกอาหารอยู่กับชัชวาลตามประสาคนที่มางานเพียงลำพัง ไม่ได้ชวนใครมาด้วยกันอย่างเช่นคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์ปัจจุบันแล้วก็ตาม แต่เพื่อนๆร่วมสถาบันที่เข้าคณะแพทยศาสตร์มาด้วยกันต่างรวมตัวร่างหนังสือส่งกลับไปที่โรงเรียนเก่าเพื่อขออนุญาตแต่งชุดนักเรียนเป็นกรณีพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ

“อาหารจัดเต็มดีว่ะ” ชัชวาลดูตื่นตาไปรายการอาหารหลากหลายชนิด

“คือกะจะให้กินแบบไม่ต้องห่วงโซเดียมน้ำตาลไขมันที่ต้องวัดรอบหน้ากันเลย”

“มึงก็ซีเรียสเกินไป นานๆทีจะเป็นอะไรวะ ชีวิตน่ะตึงไปก็ไม่ดีหรอก มีหย่อนบ้างก็ได้” ชัชวาลพูดในเชิงหยอกเอิน

“สาธุครับหลวงเพื่อน แต่กูยังไม่อยากเพิ่มความเสี่ยงอะไรตอนนี้โดยไม่จำเป็น” วีรมาตุพยายามเลือกดูอาหารที่ไปในแนวทางสายสุขภาพ

“น้องมันยังไม่คิดมากเรื่องนั้นเลย มึงก็เพลาๆลงบ้างก็ได้”

“ถ้าทำแล้วมันตัดเรื่องไหนออกไปได้บ้าง กูก็จะทำ” วีรมาตุแสดงความตั้งใจของเขาอย่างหนักแน่น

“ทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีอะไรเข้ามากล้ำกลายมึงได้แล้วมั้ง ก็เห็นอยู่สบายดีมาได้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ กูว่าเรื่องอาถรรพ์อะไรนั้นมันไม่มีจริงหรอกว่ะ”

“ไม่หรือไม่มีกูก็ไม่ได้สนใจ แค่ไม่มีใครหยิบมาใส่ร้ายน้องก็พอ”

“เอาเหอะ แล้วแต่มึงสบายใจเลยก็แล้วกัน” ชัชวาลตัดบทและหันไปเลือกอาหารต่อ

บรรยากาศภายในเริ่มสนุกสนานครื้นเครง เหมือนว่าทุกคนนั้นก็อยากจะปลดปล่อยความเครียดที่สะสมมาตลอดตั้งแต่ก่อนเปิดภาคเรียนปกติอยู่แล้ว จึงถือโอกาสนี้ผ่อนคลายเต็มที่

“วี”

เสียงหนึ่งเรียกชื่อดังมาจากด้านหลัง จนเจ้าตัวต้องหันกลับมาแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดจะเจอคนตรงหน้าภายในงานนี้

“พี่ชีซ่าร์... มาได้ไงเหรอครับ” วีรมาตุพยายามคิดถามที่เสียมารยาทน้อยที่สุดภายในช่วงเวลาอันสั้น

“เขาติดต่อพี่มาร้องเพลง วีไม่รู้เหรอ” นักร้องหนุ่มชี้นิ้วโป้งไปทางเวที ที่ตกแต่งด้วยป้ายชื่อศิลปินอยู่ด้วย วีรมาตุและชัชวาลหันไปมองตามก็เห็นเป็นเช่นนั้น แล้วก็ได้แต่หันกลับมามองหน้าถามกันว่าทำไมต่างก็ไม่สังเกตเห็นมาก่อน

“ไม่รู้เลยครับ”

“ทำไมเหรอ หรือถ้ารู้แล้วจะไม่มารึไง” นักร้องหนุ่มแกล้งถามทีเล่นทีจริง

“ไม่ใช่อย่างนั้นครับพี่” วีรมาตุรีบปฏิเสธทันที... ตามมารยาท เพราะอันที่จริงเขาก็มีความคิดนั้นผุดขึ้นมาอยู่เหมือนกัน

“พี่ล้อเล่น” นักร้องหนุ่มเฉลยยิ้มให้ “แล้วนี้มาคนเดียวเหรอ ทำไมถึงอยู่กันเองแค่สองคน”

“ครับ ไม่รู้จะชวนใครมาก็เลยชวนกันมาเองซะเลย” ชัชวาลเป็นคนตอบเมื่อความกระอักกระอ่วนที่จะตอบของเพื่อนสนิท

“เหรอ เสียดายจัง ไม่งั้นพี่จะได้ใส่ชุดนักเรียนมาด้วยคน... งั้นเอางี้ ถ้าใครถามก็บอกว่าชวนพี่มาด้วยก็ได้” ฝ่ายนักร้องหนุ่มยังคงมองอย่างมีเลศนัย

“เอ่อ... อันที่จริงแล้วผม...”

“เฮียครับ... รอนานมั้ย”

ทั้งสามหนุ่มหันไปตามเสียงที่ดังแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นต้นตอของเสียงที่ว่าเป็นใคร ฝ่ายนักร้องที่ฝืนยิ้นต่อไปได้อีกสักพักก็กลับมามีสีหน้าปกติ ชัชวาลที่รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็กลับอมยิ้มแล้วก็พยายามทำตัวปกติ ส่วนวีรมาตุนั้นกำลังรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว หัวใจเริ่มเต้นรัวมากกว่าเดิม มุมปากทั้งสองข้างที่ถูกยกขึ้นอัตโนมัติเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสนั้นส่งมาให้เขา

วีร์ที่แต่งชุดนักเรียนมาเรียบร้อย กำลังยืนยิ้มให้กับวีรมาตุ แล้วก็เริ่มเอียงคอมองและโบกไม้โบกมือ ยังดีที่เห็นว่าดวงตาของวีรมาตุยังกระพริบอยู่ ไม่เช่นนั้นก็อาจจะคิดว่าเด็กหนุ่มรุ่นพี่หมดสติไปเสียแล้ว

“โอ้ย!” วีรมาตุร้องเสียงหลงขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“สติกลับมาแล้วเหรอมึง” ชัชวาลลอบหยิกลำตัวของเพื่อนสนิทให้รู้สึกตัว

“เฮียตักอะไรไปกินรึยัง” วีร์ถามพร้อมกับมองดูรอบๆโต๊ะอาหาร

“มันกำลังเล็งอยู่ว่าจะเอาอะไรดี ไม่มัน ไม่ทอด หวานเกินก็ไม่เอา เค็มเกินก็ไม่ได้” ชัชวาลตอบให้แทนคนที่กำลังยิ้มไม่หุบจนถึงตอนนี้

“แต่ว่าดูแต่ละอย่างแล้วไม่น่าจะผ่านเกณฑ์เลยนะครับ” วีร์สอดส่ายสายตาไปทั่วก่อนที่จะหันกลับมาแล้วจับมือข้างหนึ่งของวีรมาตุ “เฮียชัช เดี๋ยวไปนั่งโต๊ะไหนเหรอครับ”

“โต๊ะ? อ๋อ.. ทางโน้น” ชัชวาลกำลังอึ้งกับภาพตรงหน้า แต่ก็บอกทิศทางให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องได้รู้

“งั้นเดี๋ยวตามไปครับ” ว่าแล้ววีร์ก็ลากวีรมาตุเดินไปด้วยกัน

“พี่ซีซ่าร์ เดี๋ยวผมกลับไปที่โต๊ะก่อนนะครับ” ชัชวาลบอกลาแล้วแยกตัวออกมา คงเหลือแต่นักร้องหนุ่มรุ่นพี่ยืนอยู่เพียงลำพัง


*****


วีร์เดินไปเลือกเครื่องดื่มของตัวเองและของวีรมาตุที่โดนบังคับให้ถือจานอาหารทั้งสองใบล่วงหน้าไปรอที่โต๊ะก่อน เมื่อได้น้ำที่ต้องการแล้ว วีร์ก็กำลังจะเดินกลับจะไปที่โต๊ะ แต่เมื่อหันมาก็เจอกับนักร้องหนุ่มรุ่นพี่เข้าเสียก่อน

อาจจะเป็นโชคดีที่วีร์ดึงแก้วน้ำทั้งสองใบเข้าประชิดตัวไว้ตามสัญชาติญาณ จึงไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น วีร์ยิ้มให้กับคนตรงหน้าแล้วก็ปลีกตัวเดินออกมาในทันที

เมื่อมาถึงที่โต๊ะอาหารที่วีรมาตุและชัชวาลนั่งรออยู่ วีร์ยื่นแก้วน้ำให้วีรมาตุแล้วก็นั่งลงที่นั่งว่างข้างๆ โดยไม่ลืมยิ้มทักทายให้กับเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นๆด้วย

“แล้วเฮียไมค์ไปไหนเหรอครับ” วีร์แอบกระซิบถามวีรมาตุ

“นั่นสิ ตั้งแต่กลับมาก็ที่โต๊ะไม่เห็นแล้วเหมือนกันครับ” วีรมาตุหันไปรอบๆห้องจัดเลี้ยง

“ถามถึงไมค์เหรอ” หญิงสาวเพื่อนร่วมโต๊ะเอ่ยปากถาม ก่อนที่จะทำท่าป้องปากด้วยมือข้างเดียว “รถไฟชนกัน”

ทั้งชัชวาลและวีรมาตุมองตอบกลับอย่างไม่เชื่อที่ได้ยิน

“พากันออกไปเคลียร์ข้างนอกอยู่ พี่ก็ไม่รู้เหมือนว่าจะกลับมาสภาพไหน”

“เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนม.ปลายแล้วครับ” ชัชวาลตอบ

หญิงสาวมองวีร์อย่างสนใจอยากจะรู้จักจนวีรมาตุสังเกตเห็น

“พี่ฝนครับ นี่น้องวีร์ครับ” วีรมาตุแนะนำเด็กหนุ่มให้เพื่อนรั่วมคณะได้รู้จัก “น้องวีร์ นี่พี่ฝน”

วีร์ยกมือไหว้ อีกฝ่ายก็รับไหว้เป็นอย่างดี

“พี่ฝนเขาเรียบจนผู้ช่วยพยาบาลมาก่อนแล้วก็ไปทำงานอยู่สักพัก ปีนี้มาสมัครเรียนพร้อมกัน ทำงานกลุ่มด้วยกันบ่อยๆ เก่งอย่างนี้เลย” วีรมาตุยกนิ้วโป้งขึ้นยืนยันความสามารถของหญิงสาว

“แหมน้องวีก็ชมเกินไป ไม่ขนาดนั้นหรอก” หญิงสาวแสดงอาหารเขินอายพอเป็นพิธี “แต่นี้ ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปอีกนะ”

วีร์ยิ้มตอบรับคำชมและสายตาที่ส่งมาให้จากหญิงสาว

“นี้ถ้าไม่ติดว่าพี่แต่งงานแล้วนะ ฮึ่ม”

“น้อยๆหน่อยแม่ ลูกสองแล้วด้วยนะ อย่าลืม” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างแปะมือลงบนมือของหญิงสาวเบาๆ จนหญิงสาวทำเป็นค้อนใส่

“แต่บอกตรงๆนะ แอบใจเสียตอนแรกที่รู้ว่าน้องวีมาคนเดียวแล้วต้องมาเจอกับ...” หญิงสาวบุ้ยหน้าไปทางเวทีที่ตอนนี้กำลังมีการแสดงจากนักร้องชื่อดัง “แต่พอพี่เห็นน้องมานะ.... เห้อ โล่ง”

วีร์มองตอบกลับอย่างไม่แน่ว่าควรจะแสดงออกอย่างไรดี

“แฟนพี่เขาเป็นสาววายน่ะ” ชายหนุ่มข้างๆเฉยความสงสัยให้กับวีร์ “แถมชอบเปิดรูปให้ลูกๆดูด้วย สงสัยว่าจะได้สาววายเพิ่มมาอีกสองคนในอนาคต”

“เสียใจด้วยนะคะ แต่เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะคะ”

“จะเปลี่ยนก็เพราะแม่สอบติดหมอนี่แหละ โปรเจ็กคนที่สามเลยต้องเลื่อนไปก่อน”

หญิงสาวก็ตีแขนชายหนุ่มเบาๆ เพราะรู้สึกเขินอายขึ้นมาที่อีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเพื่อนรุ่นน้องที่ร่วมโต๊ะอาหารกัน


*****


ตลอดสองสามชั่วโมงภายในงานมีความสนุกสนานครื้นเครงหมุนเวียนพลักเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา สร้างบรรยากาศคลายความตึงเครียดให้กับเหล่านักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ที่กำลังจะต้องเผชิญกับการสอบวัดปลายภาคอันหฤโหดครั้งแรกในชีวิตมหาวิทยาลัย

บรรยากาศภายนอกนั้น ท้องฟ้าเริ่มมืดไปทั่ว มีแสงไฟข้างทางไปตลอดแนวถนนส่องสว่างอยู่ ยิ่งเดินไกลออกมาเรื่อยๆก็ได้ยินเสียงรถราชัดเจนขึ้น

“น้องวีร์ไม่เปลี่ยนใจให้เฮียขับไปส่งที่บ้านเหรอครับ”

วีร์และวีรมาตุเดินออกมาจากอารเอนกประสงค์ไปยังประตูมทาวิทยาลัย เพื่อที่วีร์จะขึ้นรถสองแถวกลับบ้านเอง

“ไม่เป็นไรครับ เฮียจะได้ไปพักผ่อนด้วย เทียวไปเทียวมาเวลารถติดแบบนี้ กว่าเฮียจะกลับถึงหอพักคงอีกนาน”

วีรมาตุนึกเสียดายอยู่บ้าง แต่การที่วีร์ยอมมาร่วมงานกับเขาด้วยในวันนี้ก็เกินจากสิ่งที่เขาคาดไว้มากแล้ว ไม่ว่าเพราะสาเหตุใดที่ทำให้วีร์ตัดสินใจมา เขารู้สึกยินดีทั้งหมด

“แต่ยังไงซะ เฮียขอบคุณน้องวีร์จริงๆนะครับ ที่ยอมมางานด้วย”

“ครับ เฮียพูดหลายรอบจนวีร์จำได้แล้วครับ” วีร์ยิ้มตอบกลับ

ทั้งคู่เดินไปตามทางอย่างไม่รีบร้อนอะไร อาจจะมีใครบางคนอยากจะถ่วงช่วงเวลานี้ให้ไหลไปอย่างช้าๆที่สุดเท่าที่จะทำได้

“อ่า... น้องวีร์เตรียมตัวสอบไปถึงไหนแล้วครับ” วีรมาตุเปลี่ยนเรื่องคุย

“มันต้องพร้อมแล้วละครับ ของวีร์เริ่มสอบวันอังคารนี้แล้ว”

“ดีแล้วครับ แต่ถ้าไม่เข้าใจอะไรตรงไหน คอลมาหาเฮียได้ตลอดเลยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ เกรงใจ เดี๋ยวเฮียก็ต้องสอบปลายภาคแล้วเหมือนกัน”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ คอลมาได้เลย” วีรมาตุยืนยันคำตอบอย่างหนักแน่น

“ครับ” วีร์ตอบพร้อมกับยิ้มให้

แล้วทั้งคู่ก็เดินกันเงียบๆต่อไป เมื่อพิจารณาดูแล้ว ทางเท้าข้างถนนและเด็กสองคนในชุดนักเรียนในบรรยากาศยามเย็นใกล้ค่ำ ก็หวนให้คิดถึงตอนเดินกลับหลังเลิกเรียนอยู่ไม่น้อย

“ป่านนี้น้องธรจะหลับแล้วยังครับ” วีรมาตุพยายามหาเรื่องมาชวนคุย

“น่าจะยังเล่นเสนุกอยู่มั้งครับ วันนี้ตากับยายเขามาเยี่ยมกัน เวลาคนมาที่บ้านเยอะๆ ธรไม่ค่อยจะยอมนอนหรอกครับ แล้วเดี๋ยวกลางดึกก็จะงอแงไม่อยากนอนอีก”

“ดีนะครับ น้องธรเข้ากับคนได้ง่าย”

“เดี๋ยวพอเริ่มจะเดินได้ คงจะวุ่นกว่านี้แน่นอน”

วีรมาตุและวีร์หัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกัน ต่างก็พอจะนึกภาพออกว่าจะเป็นอย่างไร แล้วทั้งคู้ก็เดินไปต่ออย่างเงียบๆซึมซับกับบรยากาศในรั้วมหาวิทยาลัย

“เฮียครับ แล้วถ้าเกิดว่าวีร์ไม่มางานจริงๆ เฮียจะทำยังไงเหรอครับ” วีร์ถามทำลายความเงียบขึ้นมา

“เฮียก็... แค่มาคนเดียว แบบไอ้ชัชไงครับ”

“เหรอครับ”

“ทำไมเหรอครับ” วีรมาตุหันมาถาม

“เปล่าครับ ก็แค่... เดี๋ยวมันจะหมดเทอมหนึ่งแล้วนะครับ”

วีรมาตุขมวดคิ้วเข้ามากันเล็กน้อย ความพยายามของสมองในการเชื่อมโยงกำลังทำงานอยู่ ส่วนวีร์ก็ลอบมองวีรมาตุว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีอย่างไร

“เฮียครับ” วีร์เรียกอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่ายังไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบกลับมา “ช่วงหลังปีใหม่ เฮียว่างรึเปล่าครับ”

“อืม... พอสอบปลายภาคเสร็จแล้วก็ปิดเทอมประมาณเดือนนึง แต่ว่างจริงๆก็ประมาณสองสัปดาห์ครับ น้องวีร์ถามทำไมเหรอ” วีรมาตุหันมามองวีร์ด้วยสายตาที่ไร้เดียงสาในความคิดของวีร์

“ก็... วีร์มีกีตาร์อยู่ที่บ้าน จะตั้งไว้อยู่เฉยๆมันก็เสียดายของ”

วีรมาตุพอจะนึกออกว่าวีร์หมายถึงกีตาร์ตัวไหน และเจ้าของเดิมนั้นเป็นใคร

“วีร์ก็เลย... อยากจะลองฝึกเล่นดู เฮีย... พอจะสอนให้ได้มั้ยครับ”

“อ๋อ ได้ครับ” วีรมาตุตอบรับ แล้วก็เหมือนว่าจะนึกอะไรบ้างอย่างออกขึ้นมา “อันที่จริงเฮียเคยทำคลิปสอนเล่นกีตาร์ไว้ตอนที่ทำงานให้ชมรมนะครับ เดี๋ยวเฮียลองไปหาดูว่ายังอยู่รึเปล่า แล้วเดี๋ยวเฮียเอามาให้น้องวีร์นะครับ”

วีร์ได้ยินแล้วก็ลอบถอนหายใจเบาๆ

“แล้วถ้าวีร์ฝึกจากคลิป เราจะได้ใช้เวลาด้วยกันเหรอครับ”

วีรมาตุหันมามองวีร์ด้วยดวงตาใสแป๋ว เหมือนว่ากำลังใช้ความคิดแต่ความเป็นจริงกลับโล่งโจ้งไปทั่วทั้งสมอง ประสิทธิภาพในการประมวลผลกำลังลดต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

“เฮียมาเป็นคนสอนวีร์เองให้ได้รึเปล่าครับ”

โหมดการทำงานยังไม่กลับมาเป็นปกติ เพราะเจ้าตัวยังไม่ใจว่าตัวเองได้ยินถูกต้อง

“เฮียครับ ได้รึเปล่าครับ” วีร์ต้องถามอีกครั้ง

“อ๋อ... เอ่อ... ครับ หลังปีใหม่ ว่างครับ ได้ครับ” วีรมาตุรีบตอบรับจนพูดตะกุกตะกัก

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ” วีร์อดนึกขำไปด้วยไม่ได้

แล้วทั้งคู่ก็เดินต่อไปตามทาง วีร์ที่พยายามทำสีหน้าปกติและกลั้นยิ้มไว้ ส่วนวีรมาตุเริ่มจากคิ้วที่ขมวดติดกันก็ค่อยๆคลายออก ดวงตาเริ่มเปิดกว้างขึ้น หัวใจเริ่มเต้นแรง แล้วขาก็หยุดนิ่งไม่ก้าวต่อ จนวีร์ต้องหยุดเดินตามและหันมามอง

“น้องวีร์หมายถึงว่า...”

“ครับ?”

“เราสองคน...”

“ครับ”

“...” มีคำนับร้อยนับพันพรั่งพรูเข้ามาใสนความคิดของวีรมาตุ แต่ก็ไม่มีคำไหนหลุดออกจากปากมาได้

“ก็ลองดูกันสักตั้งไม่เสียหายอะไร” แม้ภายนอกแสดงออกปกติ แต่วีร์เองก็รู้สึกหวั่นไหวอยู่ภายในไม่น้อย ความคิดของคนอื่นยังแวะเวียนเข้ามาอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าไม่ลองก้าวออกไปดูก่อนก็จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร จะเป็นจริงอย่างที่เขาว่ากันหรือไม่

วีรมาตุถามกลับด้วยสายตา วีร์ก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มและพยักหน้ารับ

สอนเล่นกีตาร์ให้ ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน หาแฟนให้ได้ก่อนจบเทอมหนึ่ง

วีรมาตุยิ้มปากกว้าง แววตาเป็นประกาย สองกำปั้นยกขึ้นสูงอย่างผู้ชนะ แล้วก็จับไหล่ทั้งสองวีร์ของวีร์ไว้มั่น

“จริงๆนะครับ น้องวีร์ไม่ได้หลอกเฮียนะครับ”

สายตาของวีรมาตุจ้องทะลุทะลวงเข้าในนัยน์ตาของวีร์

“จริงครับ” วีร์ตอบยืนยัน

วีรมาตุชูมือขึ้นอีกครั้ง ร้องส่งเสียงดังด้วยความดีใจ ร่างกายเริ่มหยุดนิ่งไม่ได้เพราะความตื้นเต้น วีรมาตุกระโดดไปทั่ว ก่อนที่จะกลับมากอดวีร์ไว้เต็มอ้อมแขน แล้วก็ออกไปวิ่งกระโดดๆไม่หยุด แล้วก็กลับมาจับมือวีร์ไว้ทั้งสองข้างพร้อมกับชวนกระโดดไปด้วยกัน

วีรมาตุยังไม่สามารถระงับความดีใจของตัวเองที่กำลังพลุ่งพล่านไว้ได้ เขาผละมือจากวีร์แล้วก็กระโดดโลดเต้นไปทั่วอีกครั้ง

วีร์ยืนมองด้วยความดีใจและแปลกใจที่ได้เห็นหนุ่มรุ่นพี่ในอาการแบบนี้ วีรมาตุที่สุภาพเรียบร้อยและดูเป็นผู้ใหญ่เกินอายุอยู่ตลอดเวลาก็มีมุมแบบนี้อยู่เหมือนกัน และอาจจะเรียกได้นี้นี่เป็นครั้งแรกที่วีร์เห็นคนที่ดีใจมากๆจนกระโดดตัวลอย

และนั่นคือภาพสุดท้ายที่วีร์จำได้ในวันนั้น


*****

วิธู:
ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้วนะ
ผลเป็นไงบอกด้วย

วิธู:
อยู่ป่ะเนี่ย ทำไมเงียบ

วิธู:
ไมไม่รับโทรสับวะ


*****


Ending music inspired by Ewan McGregor & Nichole KidmanCome What May


[โปรดติดตามตอนต่อไป]

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด