[แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่22 (P3) (ุ11/3/2565)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่22 (P3) (ุ11/3/2565)  (อ่าน 7448 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่10 ไล่ผี


ทั้งหมดออกเดินทางจากคีท เจ้าชายบัลดริกซ์พอเอาผ้าพันแผลออกหมดแล้วก็พบว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง ทั้งรูปหน้าที่ได้สัดส่วน ผมสีน้ำตาลหยิกเป็นลอน และดวงตาสีเทาเป็นประกายสดใส รูปร่างของเขาแม้ไม่สูงใหญ่เท่าคาริก แต่ก็ดูแข็งแรงกำยำเหมือนคนที่ฝึกฝนร่างกายอยู่เป็นประจำ ขณะที่แบรนดอนแม้จะหน้าตาธรรมดา แต่ร่างกายของเขาก็ดูแข็งแกร่งไม่แพ้ผู้เป็นนาย โอเรนที่มองอยู่นานเลยพูดขึ้น

“นี่ พวกท่านสองคนดูแข็งแรงมากนะ ข้าคิดว่ามีแต่พวกใช้แรงงานอย่างคาริกเสียอีกที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แบบนี้”

“ข้าเป็นนักดาบนะ” คาริกว่า “ไม่ใช่ผู้ใช้แรงงาน”

“อ้อ ข้าฝึกฝนร่างกายอยู่ตลอดน่ะ” เจ้าชายบัลดริกซ์ว่า เขาเป็นคนหนุ่ม อายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ พอๆ กับแบรนดอนคนสนิทของเขา “ส่วนแบรนดอนเป็นคู่ซ้อมให้ข้า เขาก็เลยมีกล้ามเนื้อสวยๆ เหมือนกัน”

“อืม... ผิดคาดของข้าเหมือนกันนะเนี่ย” คาริกว่า “คิดว่าคนในวังจะรูปร่างบอบบางเพราะไม่ออกแรงกันเสียอีก”

“ยังไงพวกเราก็เป็นสายเลือดนักรบนะ” เจ้าชายว่า “บรรพบุรุษของข้าต่อสู้เพื่อสร้างแผ่นดินมา แม้ตอนนี้สถานการณ์โดยรอบจะสงบ แต่เราละเลยการฝึกยุทธ์ไม่ได้หรอก”

“ท่านฝึกอะไร”

“ดาบคู่” เจ้าชายตอบ “ที่จริงข้าก็ชอบดาบยาวเหมือนที่เจ้าใช้นะ แต่พอลองแล้วถนัดดาบคู่มากกว่า”

“อยากลองประดาบกับท่านจริงแฮะ ปกติเวลาว่างๆ ตอนอยู่สมาคม ข้าก็ประลองกับสมาชิกคนอื่นนะ”

“เอาสิ เดี๋ยวตอนเราแวะพักค่อยมาลองกัน ข้าเอาดาบมาด้วยนะ เผื่อว่ามีอะไรระหว่างทางจะได้ป้องกันตัวได้”

“แล้วท่านไอดิเอลล่ะครับ” แบรนดอนถามขึ้น “ท่านเป็นนักล่าค่าหัวนี่นา นอกจากเวทมนตร์แล้วท่านใช้อาวุธอื่นรึเปล่า”

“จริงด้วย” คาริกพูดขึ้นต่อ “มาร์คัสบอกว่าท่านเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว โดยเฉพาะดาบกับทวน จริงรึเปล่า”

“ก็พอได้” ไอดิเอลว่า “คิดว่าพอจะสอนเจ้าได้อยู่ล่ะนะ”

“อยากเห็นฝีมือของท่านเลยแฮะ” เจ้าชายว่า “ปกติแล้วเวลาออกไปล่า ท่านลงมือเองคนเดียวตลอดเลยใช่ไหม”

“เปล่า บางทีข้าก็ไปหาผู้ช่วยเอาหน้างานน่ะ” ไอดิเอลตอบ “ว่าแต่ทำไมพวกเจ้าถึงออกมานั่งสลอนกันอยู่ตรงนี้”

ตอนนี้พวกเขากำลังเดินทางกันอยู่ ไอดิเอลขี่อัลบุสอยู่ข้างๆ ส่วนแบรนดอนเป็นคนขับรถม้า ทว่าเจ้าชายกับคาริกแทนที่จะอยู่ในรถกลับออกมานั่งกินลมอยู่ด้านหลังคนขับ ดังนั้นตอนนี้เลยไม่มีใครอยู่ในรถม้าสักคน

“ข้านั่งรถม้ามาตลอดทางแล้ว” เจ้าชายตอบ “อยากจะสูดอากาศบ้าง”

“ท่านคงไม่คิดว่าข้าจะนั่งอยู่ในรถม้าคนเดียวโดยที่ไม่มีเจ้าของรถนั่งอยู่ด้วยหรอกนะ” คาริกว่า “ดูก็รู้ว่ามันไม่มีมารยาท”

“ข้าว่านะ” โอเรนพูดขึ้นมา “อีกไม่นานท่านไอดิเอลจะต้องสาปพวกเราให้เป็นใบ้ไปสักคนแน่ๆ”

เจ้าชายถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ท่านไอดิเอลขี้รำคาญขนาดนั้นเลยหรือ”

ได้ยินเสียงไอดิเอลถอนหายใจ “ถ้าพวกเจ้าคุยกันเองโดยไม่ลากข้าไปเป็นประเด็ดที่สุดท้ายแล้วข้าจะต้องตอบคำถามโดยไม่มีวันจบสิ้นเนี่ย มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ฟังพวกเจ้าคุยกันก็เพลินดี”

“อ้อ...”

“แต่เรื่องของท่านมันน่าสนใจนี่นา” เจ้าชายบัลดริกซ์ว่า “เวโรนิกายังชอบเล่าเรื่องให้ฟังเป็นวันๆ เลย เหมือนพวกท่านจะผ่านอะไรมาเยอะมากๆ ชนิดที่เล่ายังไงก็เล่าไม่หมด”

“เออ แต่ใช่ว่าข้าอยากจะเล่าตลอดเวลาสักหน่อย”

“นี่ๆ” โอเรนพูดขึ้นมา “ไหนๆ ตะกี้พวกเขาก็คุยกันเรื่องดาบแล้ว ท่านสอนข้าใช้เวทมนตร์บ้างสิ อย่างข้าคงจะจับดาบอะไรแบบคาริกไม่ได้แน่”

“เรื่องนั้นข้าก็คิดอยู่นะ” ไอดิเอลว่า “สอนเจ้าให้ใช้เวทมนตร์ไม่น่าจะใช่เรื่องยาก ยังไงมันก็เป็นสิ่งที่สืบทอดมาในสายเลือดอยู่แล้ว”

“จริงสิ พวกท่านเจอกันได้ไง” เจ้าชายถามต่อ “ทั้งคาริก ทั้งโอเรน เป็นคนที่ข้าไม่คิดว่าจะได้พบพร้อมกับท่านเลยนะ”

“คาริก เจ้าเล่าซิ”

“หา ข้าหรือ”

“ใช่ เจ้านั่นแหละ อยู่ตรงนั้นอยู่แล้วก็เล่าสิ”

คาริกเลยเล่าเรื่องที่เขาเจอกับไอดิเอลให้ทั้งคู่ฟัง รวมไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่แคนเดนส์ด้วย พอฟังจบเจ้าชายก็อุทานออกมา

“มีเรื่องแย่ๆ แบบนั้นเกิดขึ้นด้วย ไม่ได้การ กลับไปข้าต้องบอกพระบิดาให้ตรวจสอบเรื่องนี้ ท่านว่า... เรื่องนี้จะมีจอมเวทเกี่ยวข้องด้วยรึเปล่า”

“ข้ามีอยู่สองรายชื่อ” ไอดิเอลว่า “ชื่อหนึ่งเป็นจอมเวท อีกชื่อเป็นคนธรรมดา ข้าจะให้ชื่อคนหลังกับท่าน”

“แล้วจอมเวทล่ะ”

ไอดิเอลสั่นศีรษะ “มันเป็นเรื่องภายใน และนี่เป็นความสงสัยของข้าคนเดียว ท่านรู้ไปก็รังแต่จะทำให้เกิดความหวาดระแวงกันเปล่าๆ อย่าลืมว่าจอมเวทสิบหกคน หกคนเป็นจอมเวทประจำอยู่ตามอาณาจักรต่างๆ ส่วนที่เหลือก็ล้วนแต่เคยรับตำแหน่งสำคัญระดับสูงทั้งนั้น เรื่องนี้ถ้าไม่มีหลักฐานแน่ชัด ข้าพูดให้ท่านฟังไม่ได้หรอก”

“อืม... ข้าพอเข้าใจเหตุผลของท่านแล้ว ยังไงเรื่องนี้พวกท่านคงต้องตรวจสอบกันเองก่อนสินะ”

“ใช่ ดังนั้นข้าจะให้ชื่ออีกคนกับท่าน เพราะเขาเป็นคนธรรมดา ท่านน่าจะพอตรวจสอบได้”

“อืม ได้ ท่านบอกมาเถอะ”

“วัลคอต” ไอดิเอลว่า “ข้าได้ยินว่าเขาเป็นนักวิจัยเครื่องกล”

“อืม... ข้าจะให้คนไปสืบดู ท่านบอกเวโรนิกาเรื่องนี้หรือยัง”

“ยัง ข้านัดพบนางที่นครเวหา”

“อ้อ ท่านจะไปที่ทริโกเนียเพื่อต่อเรือเหาะไปที่นครเวหาสินะ อย่างนั้นเอาแบบนี้สิ พอถึงทริโกเนียท่านก็ติดเรือเหาะข้าไปที่อาเปสก่อน เจอเวโรนิกาแล้วค่อยไปที่นครเวหาต่อ ยังไงเสียข้าก็ยังติดหนี้ท่านอยู่เรื่องถอนคำสาป แค่ติดรถม้ายังไม่ถือว่าข้าจ่ายค่าตอบแทนแล้วหรอกนะ”

“ข้าต้องเอาเรื่องอิกเน่ ลาเชอร์ตาไปแจ้งที่สภากลางก่อน” ไอดิเอลว่า “ส่วนอาเปสข้าอาจจะแวะหลังจากนั้น เพราะเจ้าคาริกไม่เคยเข้าเมืองหลวงมาก่อน ต้องพาไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”

“อย่างนั้นท่านก็กลับมาพร้อมเวโรนิกาเลย” เจ้าชายว่า “ให้ข้าได้เลี้ยงอาหารท่านเป็นการตอบแทนสักมื้อ”

“อืม ข้าไม่ปฏิเสธเรื่องเลี้ยงอาหารแล้วกัน” ไอดิเอลว่า “แต่เรื่องกลับไปพร้อมเวโรนิกาข้าคงต้องขอปฏิเสธ ข้าอาจจะอยู่ที่นครเวหาต่อ ยังมีหลายเรื่องที่ข้าต้องทำที่นั่น”

“อ้อ... งั้นก็ตามแต่ท่านสะดวกเถิด” เจ้าชายพยักหน้า “แต่อย่างไรถ้าท่านมาถึงอาเปส ข้าขอเชิญท่านที่วัง ข้าจะสั่งทหารยามให้เตรียมพร้อมรับการมาของท่าน นอกจากอาหารแล้ว ข้ายังต้องรบกวนให้ท่านคิดราคาค่าใช้จ่ายเรื่องในครั้งนี้ด้วย”

“ราคาคือม้า” ไอดิเอลว่า “พอถึงทริโกเนีย ข้าจะขอม้าด่างของท่านตัวหนึ่งเป็นค่าตอบแทน”

“ท่านต้องการแค่ม้าจริงๆ”

“อืม... บอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้เดือดร้อนเงินทอง ที่ข้าต้องการมีแค่ม้าของท่านเท่านั้น”

“ก็ได้ ในเมื่อท่านประสงค์อย่างนั้น ข้าก็จะไม่ขัด” เจ้าชายว่า “พอถึงทริโกเนีย ท่านจะได้ม้าด่างหนึ่งตัวตามที่ขอ พร้อมกับทองคำน้ำหนักเท่าน้ำหนักของม้า ส่วนหลังนี่คือสิ่งที่ข้ากำนัลให้ท่าน ไม่นับเป็นค่าตอบแทน”

“ทองคำเท่าน้ำหนักของม้าข้าคงพาไปด้วยไม่ได้แน่ๆ” ไอดิเอลว่า “ส่งเป็นจำนวนเงินเข้าบัญชีของข้าที่ธนาคารกลางนครเวหาดีกว่า”

“ตกลง”

..................................

ระยะทางระหว่างคีทถึงทริโกเนียนั้นโดยปกติแล้วใช้เวลาเดินทางราวห้าถึงเจ็ดวัน ถึงจะเป็นเส้นทางสัญจรหลักที่มีผู้คนสัญจรไม่น้อยต่อปี แต่ตลอดระยะทางกลับไม่มีเมืองตั้งอยู่อีก ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ล้อมรอบไปด้วยป่าต้องห้าม จึงไม่เหมาะสมกับการตั้งเมือง อย่างไรก็ดี ในตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทางการได้ทำการบุกเบิกเส้นทางให้กว้างขวางขึ้น ปูถนนด้วยหินแกรนิต และมีจุดแวะพักที่ปลอดภัยรวมทั้งหมดสี่จุด แต่ละจุดจะมีอาคารขนาดใหญ่ซึ่งสร้างจากหินทรายสีแดง ลงอาคมป้องกันสัตว์ร้ายและภูติพรายต่างๆ

แม้ขบวนเดินทางของไอดิเอลจะออกจากคีทในเวลาค่อนบ่ายเข้าไปแล้ว แต่ก็ถึงจุดพักแรกในช่วงหัวค่ำพอดี ทั้งหมดเพราะพวกเขาได้ม้าฝีเท้าดีอย่างม้าด่างจากที่ราบออสซุมมาเทียมรถ จึงทำให้การเดินทางเร็วขึ้นกว่าขบวนปกติ

คาริกนั้นทำงานคุ้มกันมาหลายปี จึงคุ้นชินกับจุดพักพวกนี้ แต่โอเรนดูจะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาร้องขึ้นด้วยความประทับใจ

“โอ้โห... นี่เป็นสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ที่ใหญ่มากเลยนะ แถมยังเต็มไปด้วยพลังงานที่ซับซ้อน พวกเจ้านี่ไม่ธรรมดาเลย ดูน้ำพุกลางลานนั่นสิ”

อาคารที่สร้างด้วยหินทรายสีแดงเป็นทรงสี่เหลี่ยมมีหลังคาทำจากไม้ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ปากประตูทางเข้ากว้างขวาง พอที่จะให้รถม้าคันใหญ่แล่นเข้าไปพร้อมกันได้ถึงสี่คัน ด้านในประกอบด้วยลานกว้างขนาดใหญ่ ปูพื้นด้วยหินทราย ตรงกลางมีน้ำพุที่มีรูปสลักของเทพแห่งแสงตั้งประดิษฐานอยู่ ที่ฐานของน้ำพุมีช่องน้ำไหลไว้สำหรับผู้เดินทางแวะดื่มและกรอกน้ำใส่ภาชนะ น้ำที่ล้นออกมาจะไหลไปตามราง ลงสู่อ่างตรงบริเวณที่พักม้า และส่วนที่เหลือจากนั้นจะไหลไปสู่สวนด้านนอก พื้นที่อีกสามส่วนด้านข้างของลาน ถูกก่อสร้างเป็นห้องพักขนาดสามชั้น แต่ละห้องกว้างขวางพอจะให้คนสิบคนพร้อมสัมภาระเข้าไปนอนโดยไม่เบียด มีคบไฟขนาดใหญ่จุดให้แสงสว่าง ตรงด้านในสุดมีนาฬิกาขนาดใหญ่ใช้ระบบลานแบบตุ้มถ่วง ทุกสองชั่วโมงทหารยามจะผลัดกันมาหมุนรอกเพื่อไขลานให้นาฬิกายังคงเดินตรงเวลาอยู่

“บรรพบุรุษของข้าเลือกสร้างจุดพักพวกนี้ตามตาน้ำที่พวกเขาพบ” เจ้าชายบัลดริกซ์อธิบาย “โดยใช้หินที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นมาเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้าง ที่นี่มีป้อมปราการเล็กๆ สำหรับให้ทหารที่คอยดูแลรักษาความสงบได้พักด้วย พอข้าได้มาเห็นสถานที่จริงแล้ว ก็ต้องยอมรับเลยนะว่าทหารพวกนี้จากบ้านมาไกลมาก”

แม้คณะเดินทางนี้จะมีขนาดเล็กมาก ประกอบด้วยสมาชิกเพียงสี่คน แต่เมื่อเข้ามาถึงในลานก็สามารถดึงความสนใจของคนทั้งหมดได้ทันที จุดสนใจไม่ใช่ใครอื่น เป็นไอดิเอลนั่นเอง

ทันทีที่เห็นจอมเวทเข้ามา หลายคนถึงกับหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ กระทั่งคนที่กำลังยืนกรอกน้ำยังลืมที่จะดึงถุงหนังที่มีน้ำเต็มแล้วออก เสียงพูดคุยค่อยๆ เงียบลง จากนั้นก็ดังขึ้นยิ่งกว่าตอนที่พวกเขาเข้ามาเสียอีก

ยังไม่ทันที่ไอดิเอลจะได้ลงจากหลังม้าดี หญิงชราคนหนึ่งก็ตะลีตะลานเข้ามาหา “โอ ท่านจอมเวท ช่างเป็นโชคดีเหลือเกิน ราวกับเทพแห่งแสงมาโปรด ลูกสาวข้ากำลังท้องแก่ ท่านโปรดให้พรให้นางคลอดง่ายด้วยเถอะ”

“ลูกสาวท่านท้องที่เท่าไหร่แล้ว”

“ท้องแรกค่ะท่าน”

“อืม ท้องแรกย่อมมีความน่ากังวลเป็นธรรมดา ข้าจะไปให้พรนาง”

ยังไม่ทันขาดคำ ชายอีกคนก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา “ท่านจอมเวท ลูกชายข้าป่วย โปรดช่วยด้วยเถอะ”

ในเวลาไม่นานก็มีผู้คนมากมายมาล้อมหน้าล้อมหลังเขา เสียงร้องขอดังสับสนวุ่นวาย เพื่อนร่วมคณะเดินทางอีกสามคนที่เหลือถูกดันให้ต้องถอยออกมา ส่วนโอเรนพอเห็นสภาพดังนั้นก็ตัดสินใจว่าขอปลอมตัวเป็นหมวกแบบนี้ต่อไปจะดีกว่า

“เอาล่ะๆ” ไอดิเอลพูดเสียงดังพลางเคาะไม้เท้าลงบนพื้น ทันใดนั้นเสียงทุกอย่างก็เงียบลงทันที “ข้าจะไปให้พรหญิงท้องแก่ก่อน แล้วก็จะไปดูคนป่วย ส่วนพวกที่อยากฟังคำทำนายไปเตรียมมาคนละหนึ่งเหรียญทอง ข้าเสร็จธุระแล้วจะให้พวกเข้าถามคนละสิบห้านาที”

“อ้าก” เสียงเด็กชายคนหนึ่งร้องดังขึ้น เขาสะบัดงูสีดำที่เกาะอยู่ที่มือออก ฝูงชนแตกฮือทันที ไอดิเอลก้มลงหยิบงูตัวนั้น ขณะที่เด็กชายร้องเสียงลั่น

“มือข้า”

มือของเขาบวมเป่งและเริ่มกลายเป็นสีดำคล้ำน่ากลัว ไอดิเอลเหน็บงูตัวนั้นไว้ที่ผม ทันใดงูก็กลายสภาพเป็นที่ติดผมทองคำ เขาหันไปพูดกับคนโดยรอบ “นี่เป็นตัวอย่างของพวกมือไวที่คิดจะฉกของของคนอื่น คำสาปจะติดตามพวกเขาไปตลอดชีวิต”

“ท่านจอมเวทได้โปรดให้อภัยข้าด้วย” เด็กน้อยร้อง ไอดิเอลหันไปคลี่ยิ้ม

“เจ้ายังเด็ก โอกาสกลับตัวพอจะมี” เขาก้มลงใช้มือลูบมือของเด็กคนนั้น อาการผิดปกติพลันหายไปเหมือนถูกปัด เจ้าตัวพูดขึ้นเสียงเย็นๆ

“แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าลงมือขโมยของจากใครอีก คำสาปจะวกกลับมา ถึงตอนนั้นมือของเจ้าจะเน่า ร่างของเจ้าจะเปื่อย เจ้าจะตายอย่างทรมานแบบที่ใครก็ช่วยไม่ได้”

เจ้าเด็กคนนั้นพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว แล้ววิ่งหนีไปทันที ไอดิเอลหันมามองคนที่ยังอยู่

“เอาล่ะ อย่างที่ข้าบอกเมื่อครู่ พวกเจ้าทุกคนแยกย้ายได้แล้ว”

“พนันได้เลยว่าต้องมีหลายคนอยากจะให้ของตัวเองมีคำสาปแบบนั้นบ้าง” คาริกพูดออกมา “พวกขโมยต้องกลัวจนหัวหดแน่ๆ”

“คาริก อย่ามัวแต่ยืนพูดอยู่” ไอดิเอลเรียกเขา “จูงอัลบุสไปกินน้ำ แล้วหาฟางหาหญ้าให้เขากินด้วย ทำหน้าที่ให้คุ้มกับค่าจ้างหน่อย”

“คร้าบ”

เขาหันไปหาเจ้าชายกับแบรนดอน “ส่วนพวกท่านสองคนเชิญตามสบาย”

เจ้าชายบัลดริกซ์พูดขึ้น “หากข้าขอตามท่านไปด้วยจะเป็นการรบกวนไหม ข้าอยากเห็นว่าท่านจัดการปัญหาพวกนั้นอย่างไร”

“เชิญ” ไอดิเอลว่า “แค่เชื่อฟังที่ข้าบอกก็พอ”

............................................

คาริกจูงอัลบุสไปกินน้ำ และเอาฟางใส่ไว้ในรางแล้ว ก็พาโอเรนออกไปด้านนอกเพื่อหาใบไม้กิน นอกจากทหารยามแล้ว ยังมีคนงานที่คอยดูแลความสะอาดและควบคุมความเรียบร้อยที่ทำงานประจำอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาคุ้นเคยกับชายหนุ่มเป็นอย่างดี พอเห็นสิ่งแปลกใหม่บนศีรษะต่างก็พากันเอ่ยทัก โอเรนจึงต้องทำตัวนิ่งๆ ให้สมฐานะกับความเป็นหมวก เพราะไม่อยากจะถูกรุมแบบไอดิเอล

แสงตะวันลับขอบฟ้าไปพักใหญ่แล้ว ด้านนอกมืดสนิท คาริกขอยืมคบไฟจากทหารยามโดยบอกเหตุผลว่าเขาอยากจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย เพราะขี่ม้ามาทั้งวันแล้ว พอพ้นสายตาผู้คน โอเรนก็ร้องครางออกมา

“เฮ้อ... ถ้าข้ามีรูปร่างเหมือนพวกเจ้าคงพูดคุยอะไรได้โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาสนใจสินะ”

คาริกหัวเราะ “ระวังจะเหมือนไอดิเอลเถอะ ถ้าจะมีรูปร่างแบบมนุษย์ก็ต้องมีลักษณะอื่นเหมือนมนุษย์ทั่วไปด้วยนะ ข้าคิดว่าอย่างเจ้านี่ถ้ามีร่างเป็นมนุษย์น่าจะต้องผมสีเขียวตาสีแดงแน่ๆ แบบนั้นใครๆ ก็ต้องสนใจอยู่ดี”

“ไม่เหมือนคนอื่นนี่ก็ลำบากจริงๆ เลยน้า” โอเรนรำพึง “ดูท่านไอดิเอลสิ ไปไหนก็ต้องรับมือกับผู้คน เขาคงแทบหาเวลาสงบในชีวิตไม่ได้เลยจริงๆ”

“อืม... แต่เขาน่าจะชินแล้วล่ะมั้ง ถ้าเขาเกลียดการเป็นที่สนใจขนาดนี้ก็คงจะไม่ออกเดินทางไปทั่วล่ะนะ”

“ก็จริงนะ อ๊ะ ข้าอยากกินใบไม้ต้นนั้น เจ้าหยุดหน่อยสิ”

“จะให้ข้าตัดลงมาให้ด้วยไหม”

“ไม่ต้อง ข้าบินขึ้นไปกินเองได้ เราไม่ต้องรีบกลับไปไม่ใช่หรือไง”

“อือ ไอดิเอลคงยุ่งกับการดูแลคนป่วยอยู่... ว่าแต่ถ้าข้าไม่ไปดู เขาจะหักเงินเดือนข้ารึเปล่าเนี่ย”

“ยังไงเขาก็ไล่เจ้าออกไม่ได้อยู่แล้วน่า” โอเรนว่า “เจ้าก็ทำหน้าที่ผู้ช่วยเขาแล้วโดยการดูแลข้าไง”

“ฮะๆ หวังว่าข้ออ้างนี้คงฟังขึ้นนะ”

โอเรนบินขึ้นไปแทะใบไม้บนต้นไม้ที่อยู่เหนือศีรษะคาริกขึ้นไปหน่อย ระหว่างรอฝ่ายนั้นคาริกเลยฆ่าเวลาโดยการเดินสำรวจรอบๆ โคนต้นไม้

“นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ” โอเรนทักขึ้นเมื่อเห็นว่าคาริกกำลังหยิบก้อนหินที่หาได้บริเวณนั้นมาซ้อนกัน เจ้าตัวเลยเงยหน้าตอบ

“เรียงหินน่ะ”

“ข้าเห็นแล้วว่าเจ้ากำลังเรียงหิน ที่ข้าสงสัยคือเจ้าทำไปเพื่ออะไร”

“แสดงความเคารพต่อวิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขาน่ะ” ชายหนุ่มตอบ “เวลาไปกับพวกกองราคาวาน ถ้าไม่ทันจุดแวะแบบนี้ เราก็ต้องพักกันกลางป่าใช่ไหมล่ะ ในป่าน่ะ พอตกกลางคืนนอกจากสัตว์ร้ายแล้ว พวกวิญาณรวมถึงภูติพรายจะปรากฏตัวออกมาได้ง่าย ไม่เหมือนตอนกลางวัน พวกเขาจะเรียงหินเอาไว้แบบนี้ เพื่อแสดงความเคารพพวกวิญญาณ และขอให้ไม่มารบกวนกันน่ะ”

“อ้อ... วิญญาณก็คือพลังงานที่ยังตกค้างอยู่บนโลกของคนที่ตายไปแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นล่ะข้ามองเห็นเยอะแยะเลย”

“หา เจ้ามองเห็นผีหรือ”

“ข้ามองเห็นพลังงานน่ะ” โอเรนตอบ “ท่านไอดิเอลเองก็คงมองเห็นเหมือนกัน เพียงแต่ข้าอาจจะจมูกดีกว่าเขาหน่อยเลยได้กลิ่นด้วย”

“กลิ่นวิญญาณหรือ เป็นไงล่ะนั่น”

“บอกไม่ถูกหรอก” โอเรนพูดพลางหยิบใบไม้ขึ้นมาเคี้ยว “กลิ่นมันต่างจากสิ่งมีชีวิตอยู่พอสมควรนะ มันไม่ใช่กลิ่นที่เกิดจากลักษณะทางกายภาพ แบบกลิ่นใบไม้ หรือกลิ่นตัว เป็นกลิ่นอีกแบบน่ะ”

“ทั้งมองเห็นทั้งได้กลิ่นเยอะแยะขนาดนั้น เจ้าเองก็คงลำบากน่าดูสินะ”

“หืม ไม่เห็นเป็นไรนี่” โอเรนว่า “อย่างน้อยๆ พวกนี้ก็ไม่แห่มาห้อมล้อมข้าเหมือนอย่างที่พวกเจ้าทำกับท่านไอดิเอลหรอกนะ”

“อื้อหือ ถ้าถูกวิญญาณแห่ล้อมนี่ข้าว่าต้องน่ากลัวว่าถูกคนเป็นๆ แห่ล้อมแน่ๆ”

“รู้ได้ไง เจ้าเคยโดนหรือ”

“ไม่เคยหรอก”

“ที่จริงด้านหลังเจ้าก็มีอยู่สองตัวนะ”

“เฮ้ย” คาริกสะดุ้งเฮือก รีบหันกลับไปมองด้านหลังทันที โอเรนพูดขึ้นต่อ

“ทำไมต้องทำท่าตกใจขนาดนั้น เจ้ามองไม่เห็นไม่ใช่หรือ”

“หึย ไม่เห็นนี่แหละน่ากลัวนัก”

“บ้ารึเปล่า เจ้าใช้มือเปล่าจับคำสาปได้นะ กลัวอะไรกับอีแค่พลังงานจางๆ แบบนั้น”

“คำสาปนั่นข้ามองเห็นนี่นา” คาริกว่า “ผีนี่ข้ามองไม่เห็น ขึ้นชื่อว่าผีเชียวนะ ยังไงก็น่ากลัวอยู่ดีนั่นแหละ”

“มนุษย์นี่แปลกแฮะ”

คาริกเหลียวมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง “นี่ ไอ้หินที่ข้าเรียงเนี่ย ช่วยไล่วิญญาณพวกนี้ได้บ้างไหม”

“ตามที่ข้าเห็นก็ไม่ช่วยอะไรนะ แค่มีพลังงานของเจ้าติดอยู่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าพลังงานพวกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรเจ้าไม่ใช่หรือ ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนเลย”

“เอ่อ... แต่พอรู้ว่ามีอยู่มันก็ไม่สบายใจนี่นา”

“มันก็มีอยู่ตลอดทุกที่ที่เราผ่านมานั่นแหละ” โอเรนว่า “ถ้าตรงไหนไม่มีพลังงานอยู่เลยนี่สิเจ้าถึงต้องรู้สึกไม่สบายใจ”

“ทำไมล่ะ”

“ก็แปลว่าตรงนั้นไม่มีอะไรเลยไงล่ะ” โอเรนว่า “โลกนี้น่ะเต็มไปด้วยพลังงานหลากหลายมากนะ เพราะฉะนั้นจุดที่ไม่มีพลังงานเลย มันก็เหมือนกับอะไรล่ะ... จุดดับ จุดบอด จุดแห้งแล้ง อืม... ข้าจะใช้คำว่าอะไรดี เหมือนหัวเจ้าน่ะ ถ้าเกิดมีจุดที่ไม่มีพลังงานอยู่มันก็เหมือนกับจุดที่ไม่มีผมขึ้นนั่นแหละ”

“เจ้านี่เปรียบเทียบอะไรให้พ้นไปจากหัวข้าบ้างได้รึเปล่า” คาริกว่า ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “จริงๆ เลยน้า พอเจ้าบอกว่ามีอยู่รอบๆ ข้าก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา”

“คิดไปเองนั่นแหละ” โอเรนพูดอีก “ตอนเจ้าไม่รู้ไม่เห็นจะทำท่าทางแบบนั้นเลยนี่นา”

“ก็จริงนะ” เงียบไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ถามขึ้นต่อ “แล้วพวกวิญญาณร้ายล่ะ พวกที่ชอบทำเสียงดัง ชอบมาหลอกหลอนคนตอนดึกๆ ของแบบนั้นเจ้าไม่กลัวหรือ”

“ไม่รู้สิ ข้ายังไม่เห็นนี่นา” โอเรนตอบ “ที่ข้าเห็นก็แค่พลังงานจางๆ เท่านั้นเอง”

“อืม...”

“นี่ ถามจริงเถอะ เจ้าเดินทางผ่านเส้นทางนี้บ่อยไม่ใช่หรือไง ที่จริงแล้วน่าจะเจอจนเคยชินมากกว่ากลัวสิ”

“จริงๆ ก็ไม่เคยเห็นกับตาหรอกนะ” คาริกตอบตามตรง “แค่ฟังเขามาอีกทีน่ะ”


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
โอเรนแทะใบไม้เสียงแกร๊บๆ ก่อนจะพูดต่อ “อืม... ก้อนหินที่เจ้าเรียงน่ะ ดูมีพลังงานอะไรเพิ่มขึ้นแล้วนะ ดูเหมือนพลังงานของเจ้าที่เหลืออยู่บนหินจะดึงดูดพลังงานอื่นๆ ให้ไปอยู่รวมกัน พวกเขาเลยหยุดเคลื่อนไหวแล้ว”

“อย่างนั้นก็แปลว่าช่วยเรื่องวิญญาณได้สินะ”

“พูดตามมุมมองของข้าก็แค่ทำให้ไปอยู่ในที่เดียวกันน่ะ”

“นี่ เจ้าจะกินเสร็จหรือยัง”

“ยัง ก็เจ้ามัวแต่ชวนข้าคุย ข้าเพิ่งกินไปได้ครึ่งเดียวเอง”

“อืม... ข้าตัดลงมาทั้งกิ่งให้เจ้าไปกินในอาคารดีกว่า”

“ไม่เอาหรอก ขืนข้าเข้าไปกินในนั้น เดี๋ยวก็ได้ถูกรุมถามตายพอดี”

“ถ้าเจ้าไม่พูดก็ไม่มีใครสงสัยอะไรหรอกน่า ทุกคนจะเข้าใจแค่ว่าเจ้าเป็นกระรอกสีเขียวตัวใหญ่ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง”

“ขอข้าแทะตรงนี้อีกหน่อยแล้วกันนะ ใบไม้สดบนต้นมันอร่อยกว่าที่ตัดออกมาแล้วเยอะเลยน่ะ”

คาริกเลยเดินไปเดินมาอยู่ใต้ต้นไม้ แสงจากคบไฟทำให้เงาทุกอย่างดูเหมือนขยับอยู่ตลอดเวลา อากาศก็ชักจะหนาวเย็นลงทุกที แต่หน้าผากกับจมูกของเขากลับมีเหงื่อซึมออกมา

จู่ๆ เสียงโอเรนก็ดังขึ้น “คาริก เจ้าเดินลากดาบอยู่รึเปล่า”

ชายหนุ่มสะดุ้ง “หือ... เปล่านี่”

“ข้าได้ยินเสียงเหมือนใครลากดาบครูดพื้น”

“เฮ้ย อย่ามาล้อเล่นแบบนี้น่า ข้ากลัวนะเนี่ย”

“เจ้าฟังสิ” โอเรนว่า ก่อนจะร้องออกมา “อ๊ะ คาริก ด้านหลังเจ้า”

คาริกหันควับไป เขาเห็นอะไรบางอย่างฟันลงมา เจ้าตัวยกคบไฟขึ้นรับด้วยสัญชาตญาณ เงาสั่นไหว คบไฟขาดออกจากกันเป็นสองส่วน ส่วนที่ติดไฟกลิ้นลงไปบนพื้น ถึงอย่างนั้นแสงไฟที่ยังเหลืออยู่ก็สว่างพอจะส่องให้เห็นร่างพิกลพิการในชุดเกระนักรบกำลังเงื้อง่าดาบเหล็กเล่มยาวขึ้นมา

เสียงของคาริกหายเข้าไปในลำคอ เขากลัวจนก้าวขาไม่ออก เจ้าสิ่งประหลาดน่ากลัวนั่นเงื้อดาบขึ้นมาเหนือศีรษะของเขา ทันใดนั้นสายลมรุนแรงเหมือนพายุขนาดเล็กก็พัดผ่านมาจากด้านหลัง พุ่งเข้าใส่สิ่งประหลาดนั้นจนมันกระเด็นไป ได้ยินเสียงโอเรนร้องขึ้น

“เจ้าทำอะไรอยู่คาริก ชักดาบออกมาสู้กับมันเร็ว”

คาริกได้สติ เขารีบชักดาบยาวออกมาจากหลัง โอเรนบินมาเกาะศีรษะเขา

“บอกข้าสิว่ามันเป็นสัตว์ประหลาด” คาริกว่า “ไม่ใช่ผีสางวิญญาณอะไร”

“มันเป็นพลังงานที่เข้มข้นมาก” โอเรนว่า “ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตด้วย”

“โอย นี่ข้าเจอเข้าให้แล้วสินะ” ชายหนุ่มคราง เขาได้ยินเสียงต๊กๆ เหมือนก้อนหินกระแทกกัน จึงพูดขึ้นเสียงดัง

“โอเรน เสียงอะไรน่ะ”

“เจ้าทำไมต้องทำเสียงดังขนาดนั้น” โอเรนว่า “เสียงหินน่ะสิ เจ้าพลังงานนั่นพยายามรวบรวมก้อนหินมาสร้างเป็นร่างอยู่ ตะกี้ถูกข้าใช้ลมกระแทกไป ก้อนหินเลยกระเด็นหลุดไปหมดล่ะ”

“หา เจ้าใช้ลมกระแทกมันหรือ”

“อือ ก็เห็นอยู่ว่าเจ้ายืนบื้อ ขืนปล่อยไว้ต้องโดนมันฟันขาดสองท่อนแน่ๆ”

“เจ้าใช้เวทมนตร์ได้นี่นา” คาริกร้องขึ้นมา “เจ้าเพิ่งใช้มันไปตะกี้นี่เอง”

“หา...” ถึงคราวโอเรนร้องขึ้นบ้าง “ข้าใช่เวทมนตร์หรือ”

“ใช่ เจ้าสร้างลมพายุเล็กๆ พัดใส่มันตะกี้ไม่ใช่หรือไง”

“เออ จริงด้วย ข้าคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่าง แล้วก็เลยพ่นลมออกไป”

“ยอดเลยโอเรน เดี๋ยวพอมันลุกขึ้นมาเจ้าก็พัดมันอีกรอบสิ”

“แล้วเจ้าล่ะ”

“ข้าก็... เอ่อ... จะยืนคุมเชิงไว้”

“นี่เจ้าไม่คิดจะสู้กับมันเลยหรือไง”

“มันเป็นผีนะ” คาริกว่า “ข้าจะสู้กับผีได้ไง”

“มันก็แค่ก้อนพลังงานที่เข้มข้นมากเท่านั้นเองน่า” โอเรนว่า “เจ้าจะไปกลัวมันทำไม”

“โธ่ ถ้าเป็นสัตว์ประหลาดล่ะก็ ข้ายังพอจะฆ่ามันให้ตายได้นี่นา แต่นี่เป็นผี มันตายอยู่แล้วข้าจะไปสู้มันได้ไง”

“เจ้าก็เอาชนะพลังงานของมันซี่” โอเรนตอบ “เดี๋ยวมันหมดพลังก็แพ้เองนั่นแหละ”

“โธ่ พูดก็ง่ายสิ เคยเห็นผีหมดพลังหรือไง”

“ไม่เคยหรอก แต่คำสาปเจ้ายังเอาชนะได้เลยนี่”

“ไม่ใช่ข้านะ แบรนดอนต่างหาก ที่สำคัญเพราะไอดิเอลบอกวิธีด้วย โธ่ แล้วข้ามีกริชทองคำกับเค้าที่ไหนเล่า โอ๊ย โอเรน มันลุกขึ้นมาแล้ว พัดมันให้ล้มไปเร็วเข้า”

เจ้าผีตัวนั้นใช้ก้อนหินสร้างร่างขึ้นมา และใช้เศษกิ่งไม้ทำเป็นเกราะ เมื่ออยู่ในแสงสลัวของคบเพลิงทำให้ดูน่าเกลียดน่ากลัวเหลือประมาณ มันยกดาบขึ้นชี้มาทางชายหนุ่ม

“มันชี้ดาบมาทางเจ้าทำไมเนี่ย”

“จะไปรู้หรือ”

“เจ้าเป็นนักดาบไม่ใช่หรือไง นี่ไม่ใช่ท่าทางท้าทายกันหรือ”

“เออ” ชายหนุ่มร้องอย่างนึกได้ “จริงด้วย เจ้ารู้ได้ไง”

“ข้าก็เดาเอาน่ะซี่ ถ้ามันอยากฆ่าเจ้า มันก็ต้องฟันดาบใส่เจ้าอีกครั้งแล้ว แต่นี่มันเอาดาบชี้หน้าเจ้า มันก็คือการท้าทายไม่ใช่หรือไงเล่า”

“เออ เจ้านี่ฉลาดแฮะ”

โอเรนถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ คาริกถามต่อ “ว่าแต่มันจะท้าทายข้าทำไม”

“จะไปรู้เรอะ เจ้าทำไมไม่ถามมันดูล่ะ”

“คุยกับผีรู้เรื่องที่ไหนเล่า เฮ้ย” คาริกร้อง ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบดาบที่ฟันเข้ามา เจ้าผีรุกไล่โดยไม่เปิดโอกาสให้ชายหนุ่มได้หายใจ ท้ายที่สุดก็กลายเป็นการดวลดาบระหว่างคนกับผีไปจริงๆ

ตั้งแต่เริ่มมีพละกำลังมากกว่าคนทั่วไป คาริกไม่เคยเจอใครทนรับดาบเขาได้มาก่อนเลย แต่กับเจ้าผีตัวนี้ นอกจากจะรับดาบเขาได้แล้ว ยังเหวี่ยงดาบแรงจนทำให้เขาเซได้อีกด้วย ยังไม่พอ พอเห็นเขาเพลี่ยง มันถอนหลังไปหน่อย แล้วกระดิกนิ้วที่สร้างมาจากก้อนหินเป็นเชิงท้าทาย เจอแบบนี้ชายหนุ่มถึงกับโกรธจนหน้ามืด ผีก็ผีเถอะวะ ดูถูกกันขนาดนี้ ต้องแสดงฝีมือให้ดูสักหน่อยล่ะ

คนกับผีสู้กันอีกครั้ง คราวนี้คาริกรุกไล่จนเจ้าผีเป็นฝ่ายเพลี่ยงบ้าง พอฝ่ายนั้นเสียท่า ชายหนุ่มก็กระดิกนิ้วให้เป็นการเอาคืน ทั้งคนทั้งผีสู้กันอยู่นานจนคบไฟมอดก็ยังหาผู้ชนะไม่ได้ แต่พอไม่มีแสงฝ่ายที่เสียเปรียบก็เป็นฝั่งคนทันที

“เวรล่ะ มันหายไปไหนแล้ว” คาริกอุทาน เขาเพิ่งค้นพบว่านี่เป็นคืนเดือนมืด พอปราศจากแสงจากคบไฟแล้ว รอบๆ ตัวก็มืดสนิทจนมองอะไรไม่เห็นเลยจริงๆ

“ทางซ้าย” โอเรนร้อง พอดีกับเสียงดาบแหวกอากาศดังมาให้ได้ยิน คาริกเลยหลบไปได้อย่างฉิวเฉียด เขาฟันสวนไปแต่ก็พลาด ทำไงดีล่ะ ตอนนี้เขามองไม่เห็นอะไรเลย ชนิดที่ว่าหลับตากับลืมตาคงไม่ต่างกันมาก ได้ยินเสียงกระทบกันของหินดังอยู่ข้างๆ คาริกคิดวิธีได้ทันที เขาตัดสินใจหลับตา เลือกใช้แค่โสตประสาทเป็นตัวระบุตำแหน่ง

เคร้ง

เสียงดาบปะทะกันดังฟังชัด พอเริ่มคุ้นชิน คาริกก็เป็นฝ่ายไล่ต้อนผีอีกครั้ง คราวนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องทำให้อีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ให้ได้

ไม่รู้ว่าต่อสู้กันแบบนั้นนานเท่าไหร่ แต่ในที่สุดคาริกก็รู้สึกได้ว่าเขาทำให้ดาบหลุดออกไปจากมือคู่ต่อสู้ได้แล้ว ขณะที่ตั้งใจว่าจะฟันซ้ำสับส่งวิญญาณไปเลย อะไรบางอย่างก็กระแทกหน้าผากเขาดังโป้ก คาริกผงะ เขาลืมตาขึ้นแล้วต้องรีบเอามือป้องทันที พอคุ้นชินกับแสงสว่าง ก็เห็นว่าไอดิเอลกำลังถือคบไฟ ใบหน้าในแสงเพลิงบอกชัดว่าไม่ได้กำลังยิ้มอยู่แน่นอน

“ทำอะไรของเจ้าอยู่ตั้งนมนานเนี่ย”

“ท่านมาพอดีเลย” คาริกโพล่ง “ข้ากำลังสู้กับผีอยู่ ท่านต้องไม่เชื่อแน่ มันเป็นผีในชุดเกราะหิน ข้ากำลังจะปราบมันได้แล้วนะเนี่ย อ้าว แล้วนั่นท่านจะไปไหน”

ไอดิเอลเดินอ้อมตัวเขาไปข้างๆ แล้วก้มลงหยิบบางอย่างขึ้นมา เป็นดาบที่คาริกจำได้ว่าเจ้าผีตัวนั้นใช้นั่นเอง

“นั่นไง ดาบนั่นแหละ ตะกี้เจ้าผีนั่นใช้เล่นงานข้า”

ไอดิเอลจับดาบมาพลิกดู แล้วยื่นให้โอเรนดม “มีกลิ่นอะไรอีกไหม”

เจ้ามังกรสั่นศีรษะ จอมเวทจึงหันไปด้านหลัง ตอนนั้นคาริกถึงพบว่ามีคนตามมาอีกสองสามคน ไอดิเอลยื่นดาบให้ชายคนที่อยู่หน้าสุด

“ดาบต้องคำสาปของท่านได้รับการชำระล้างแล้ว”

ชายคนนั้นรับดาบแล้วค้อมตัวให้ “ขอบพระคุณมากครับท่านจอมเวท แล้วก็ผู้ช่วยของท่านด้วย คราวนี้ข้าจะได้ขายมันได้เสียที” เขาหยิบถุงใส่เงินถุงหนึ่งที่แค่เห็นภายนอกก็รู้แล้วว่าต้องมีเหรียญใส่ไว้ไม่น้อย เสียงเหรียญกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋งตอนที่ไอดิเอลยื่นมือไปรับ ชายคนนั้นบอกขอบคุณซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะเดินกลับไปที่อาคาร เจ้าชายบัลดริกซ์ที่เดินมาด้วยกันจึงพูดขึ้น

“น่าเสียดายที่ข้ามาไม่ทันดูเจ้าสู้กับผีดาบตนนั้น ต้องสนุกมากแน่ๆ”

“ใช้เวลานานกว่าที่ข้าคิดไว้” ไอดิเอลว่า แล้วตบไหล่เขาเบาๆ “ฝีมือยังไม่เข้าขั้นเท่าไหร่นะ”

“เดี๋ยวนะ” ชายหนุ่มขัด “ท่านหมายความว่าไง รู้เรื่องผีดาบนี่อยู่ก่อนหรือ”

“อ้อใช่...” ไอดิเอลพยักหน้า แต่คนที่พูดต่อคือแบรนดอน

“มีคนเอาดาบต้องคำสาปมาให้ท่านไอดิเอลแก้คำสาปให้ พอเขาเห็นแล้วก็บอกว่ามันเป็นดาบที่มีวิญญาณสิงอยู่ แล้วก็เรียกวิญญาณออกมา น่าอัศจรรย์มาก มันเอาก้อนหินมาต่อเรียงกันเป็นรูปร่าง เขาบอกให้มันเดินไปทางทิศตะวันออก จะเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ข้ากับฝ่าบาทอยากตามออกมาดูใจจะขาด แต่ท่านไอดิเอลสั่งห้ามเอาไว้ บอกว่าถึงเวลาเจ้าจะเอาดาบกลับมาเอง พอเห็นว่านานแล้วเจ้ายังไม่กลับไปเสียที พวกเราก็เลยตัดสินใจออกมาตามน่ะ”

“นี่จะบอกว่าท่านส่งผีตัวนั้นมาหาข้าหรือ” คาริกร้องพลางจ้องหน้าจอมเวท อีกฝ่ายผงกศีรษะ

“ใช่ ก็ผีตัวนั้นเป็นความอาลัยที่สิงอยู่ในดาบ ต้องทำให้มันยอมรับว่ามันไม่สามารถใช้ดาบเล่มนี้ได้อีกแล้ว พลังถึงจะยอมสลายไป แต่ครั้นจะให้ข้าลงมือเองมันก็ใช่ที่ ในเมื่อข้ามีผู้ช่วยแล้ว ให้ผู้ช่วยลงมือดีกว่า”

“แล้วก็ส่งมาแบบไม่บอกไม่กล่าวข้าก่อนเนี่ยนะ เกิดข้าถูกมันฆ่าตายไปจะทำไง”

“ถ้าเจ้าถูกมันเสียบทะลุอกขึ้นมาข้าต้องรู้อยู่แล้วล่ะน่า” ไอดิเอลว่า “อีกอย่างเจ้าอยู่กับโอเรน ยังไงโอเรนต้องช่วยเจ้าได้บ้างไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว”

“อื้อ” โอเรนส่งเสียง “ข้าช่วยเขาได้เยอะมากเลย ข้าใช้เวทมนตร์ได้แล้วนะท่านไอดิเอล”

พูดจบเขาก็พยายามจะสร้างลมพายุขนาดเล็กอีกรอบ แต่คราวนี้เหมือนทำได้แค่เป่าลมออกมาจากปาก

“หง่ะ ทำไมไม่เห็นออกมาเหมือนตอนที่ช่วยเจ้าคาริกเลยล่ะ”

ไอดิเอลยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ของแบบนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและเจตนาเป็นสำคัญ เจ้าค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะใช้ได้คล่องเอง”

โอเรนพยักหน้า คาริกเลยพูดขึ้นมา “สนใจข้าบ้างได้ไหมเนี่ย อย่างน้อยๆ ถึงไม่เพิ่มเงินเดือนให้ข้า ชมข้าสักคำก็ยังดีนะ”

“ที่จริงแล้วเจ้าใช้เวลานานกว่าที่ข้าคิดไว้นะ แต่... เอาเถอะ ก็ถือว่าทำได้ดี อย่างน้อยๆ ก็เอาชนะได้ เอ้า นี่รางวัลของเจ้า” เขาโยนถุงเงินที่เพิ่งรับมาให้ชายหนุ่ม เจ้าตัวยกมือขึ้นรับอย่างงงๆ

“ให้ข้าหมดนี่เลยหรือ”

“ใช่ ใช้อะไรก็ให้ประหยัดหน่อยล่ะ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนเรื่องที่แคนเดนซ์ด้วยก็แล้วกัน”

“แหม... เขินเลยนะเนี่ย” คาริกว่า เขาเขย่าถุง “เป็นเสียงที่ได้ยินแล้วชื่นใจชะมัด”

“เรากลับกันเถอะ” ไอดิเอลพูดต่อ “อย่างไรเจ้าชายกับแบรนดอนก็ต้องไปพักผ่อน พรุ่งนี้เราจะได้ออกแต่เช้า ข้าอยากให้เราถึงทริโกเนียวันมะรืน เพราะงั้นคืนพรุ่งนี้เราควรจะไปถึงจุดแวะพักที่สามโดยข้ามจุดแวะที่สองไปเลย”

.........................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่11 ทริโกเนีย


คณะเดินทางอันแปลกประหลาดของไอดิเอลออกเดินทางกันตั้งแต่แสงสีทองเริ่มจับขอบฟ้า เร่งรีบเสียจนคาริกอดถามขึ้นไม่ได้

“นี่ ท่านจะรีบไปไหนกัน ต้องไปรับงานด่วนหรือไง”

“ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือไง ว่าวันนี้เราควรจะไปให้ถึงจุดพักที่สาม”

“ข้ารู้แล้ว” อีกฝ่ายตอบ “แต่ที่ข้าสงสัยคือทำไมถึงต้องรีบขนาดนั้น ไม่ทันก็พักจุดแวะที่สองได้ ไม่เห็นเป็นไรเลย”

“เป็นสิ” ไอดิเอลว่า “ก็เจ้าไม่ใช่คนที่ต้องมานั่งตอบคำถามล้านแปดแบบข้านี่นา”

“อ่อ... แต่ถ้าตอบคำถามสิบห้านาทีแล้วได้เหรียญทองมาหนึ่งเหรียญ ข้าก็อยากจะตอบนะ”

“เสียดายที่เจ้าทำไม่ได้น่ะนะ” ไอดิเอลว่า “เพราะงั้นพวกเราเลยต้องรีบไปให้ถึงจุดพักที่สามคืนนี้ ข้าจะขี่ม้านำไป เจ้าเองก็เร่งตามให้ทันล่ะ”

เขาหันไปหาแบรนดอน ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ แล้วทั้งคณะก็ออกเดินทาง

..........................................

ป่าต้องห้าม เป็นคำเรียกขานป่าโบราณ ป่าเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ และสัตว์ยักษ์ที่ถือกำเนิดขึ้นหลังการระเบิดครั้งใหญ่ รวมถึงเหล่าภูติพราย วิญญาณของผู้ที่สิ้นชีพลงในสงครามครั้งก่อน ในแต่ละพื้นที่จะมีสัตว์และตำนานเกี่ยวกับป่าต้องห้ามแตกต่างกัน ป่าต้องห้ามทางตอนใต้ของอาณาจักรหรดีมีชื่อเรียกว่าป่าแห่งเสียงแตร เนื่องเพราะป่าแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของแมกนิส คอร์นิบัส ซึ่งเป็นสัตว์ยักษ์ที่ส่งเสียงร้องคล้ายเสียงแตรและสามารถได้ยินจากระยะไกลเป็นร้อยโยชน์

เนื่องเพราะแบรนดอนต้องเร่งม้าตามไอดิเอลซึ่งขี่อัลบุสนำหน้าไป ลมที่ปะทะแรงเสียจนคุยกันไม่สะดวก พวกที่เหลือจึงจำต้องเข้ามานั่งในรถม้า

เจ้าชายบัลดริกซ์เปิดหน้าต่างและประทุนหลังออก ท่าทางของเขาสดชื่นแจ่มใสราวกับเป็นคนละคนกับที่เจอครั้งแรก เขาหันมาชวนคาริกและโอเรนคุย

“เรื่องเมื่อคืนสำหรับข้ามันประทับใจมาก แม้ว่าในราชสำนักของข้าจะมีจอมเวทประจำอยู่แล้ว แต่ข้าไม่เคยเห็นนางออกมาให้พรชาวบ้านหรือรักษาอาการเจ็บป่วยเลย อาจะเพราะนางประจำการอยู่ในราชสำนักก็เป็นได้”

“นางเป็นคนยังไงหรือฝ่าบาท”

“นางหรือ... โอ... นางเป็นสตรีที่งดงามมาก เรือนผมของนางเป็นสีชมพูแซมดำ ดั่งสีของศิลาสีกุหลาบ ดวงตาของนางแดงปลั่งดั่งทับทิมน้ำงาม เรือนร่างของนางเป็นอย่างที่บุรุษทุกคนฝันถึง และสตรีทุกนางต้องการจะมี ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี หากได้เห็นนางในครั้งแรก ต้องตกอยู่ในภวังค์ดั่งถูกมนตร์สะกด ไม่อาจเบือนสายตาออกจากนางได้เลย”

คาริกใจเต้นตึกตัก อดรู้สึกเคลิ้มไปกับคำบรรยายไม่ได้ เจ้าชายบัลดริกซ์เห็นสีหน้าของเขาแล้วก็หัวเราะ “เจ้ากำลังจะได้พบนางในไม่ใช้นี้ ได้ยินท่านไอดิเอลบอกว่าเขานัดนางที่นครเวหา ข้าหวังจริงๆ ว่าเจ้าจะไม่ทำหน้าเช่นนี้ตอนอยู่ต่อหน้านาง แต่ก็นะ... เจ้าเพิ่งอายุสิบแปดเองนี่นา”

คาริกยกมือเกาศีรษะ หน้าแดงด้วยความกระดาก โอเรนเห็นดังนั้นจึงกล่าวขึ้น “ความรู้สึกของเจ้าตอนนี้ประหลาดมากคาริก แต่ข้าชอบนะ ให้อารมณ์เหมือนใบไม้เวลาถูกหักออกมาจากต้นใหม่ๆ”

คาริกหน้าหงิกทันที “เปรียบเทียบอะไรของเจ้ากันเนี่ย เสียอารมณ์หมดเลย”

โอเรนพูดต่อโดยไม่สนใจ “ว่าแต่จอมเวทนี่ดึงดูดสายตาแบบท่านไอดิเอลทุกคนเลยหรือ”

เจ้าชายหัวเราะ “ถึงท่านไอดิเอลไม่ใช่สาวงาม แต่ใช้คำว่าดึงดูดสายตาก็ไม่ผิดนักหรอก ข้าคิดว่าจอมเวททุกคนมีลักษณะเฉพาะที่ชวนให้พิศวงอยู่แล้ว พวกเขาเหมือนอัญมณีที่มีชีวิต”

“คงเพราะท่านไอดิเอลสวมมันอยู่เต็มตัวล่ะนะ ข้าว่า”

“ไม่ใช่หรอก ข้าได้ยินมาว่าร่างของจอมเวทหล่อหลอมมาจากเงินและทองคำ ดวงตาทำมาจากอัญมณี เรือนผมถูกทอและอาบด้วยแสงสีจากศิลาธาตุ แต่ว่านั่นก็เป็นแค่ตำนานเรื่องเล่าล่ะนะ บางทีมันอาจจะเป็นแค่คำเปรียบเปรยก็ได้”

“ท่านรู้รึเปล่าว่าจอมเวทถือกำเนิดขึ้นได้อย่างไร”

เจ้าชายบัลดริกซ์สั่นศีรษะ “พวกเขาไม่เคยพูดถึง และไม่มีใครทำบันทึกเรื่องนี้ หรือถึงมีก็ไม่เคยปรากฏให้สาธารณะชนได้รับรู้ มีเพียงเรื่องเล่าขานที่ว่าพวกเขาถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อกรกับมังกร บ้างก็ว่าพวกเขาคือผู้นำสารของเทพแห่งแสง บ้างก็ว่าพวกเขาคือผู้ถือวาจาของเทพีแห่งความมืด โดยส่วนตัวข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีโบราณ ข้าไม่คิดว่าจะมีเทคโนโลยีใด นอกเหนือจากหัตถ์ของเทพและเทพี จะสามารถรังสรรค์สิ่งมีชีวิตที่สวยงามและสลับซับซ้อนเช่นนี้ได้”

“ดูเหมือนฝ่าบาทจะชื่นชมพวกเขามาก”

“อืม” เจ้าชายพยักหน้ารับ “หากเจ้าศึกษาประวัติศาสตร์ เจ้าไม่อาจปฏิเสธเลยว่าที่รากฐานอารยธรรมของเผ่าพันธุ์เราตั้งรกรากได้อย่างแข็งแรงเช่นนี้ ก็ด้วยเพราะสรรพความรู้ของพวกเขา พวกเขาดำรงมาตั้งแต่ยุคอาณาจักรเก่า ในสมัยที่มังกรยังเรืองอำนาจ พวกเขาได้เห็นหายนะของโลก จดบันทึกประวัติศาสตร์ และนำเอาความรู้จากบรรพกาลมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เทคโนโลยีการสร้างเรือเหาะ รวมถึงเครื่องมืออำนวยความสะดวกต่างๆ หลายอย่าง ก็เป็นความรู้ที่พวกเขาได้จดบันทึกไว้ กระทั่งในยุคปัจจุบัน จอมเวทย์หลายคนที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งอยู่ในอาณาจักรทั้งหก ก็ยังคงทำการค้นคว้าและจดบันทึกอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีคนเตือนข้าว่าพวกเขาเป็นอันตราย แต่ข้าว่าโลกคงจะอยู่ยากขึ้นหากปราศจากพวกเขา”

“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าโลกจะอยู่ยากขึ้นหากไม่มีท่านไอดิเอลรึเปล่า” โอเรนว่า “แต่ถ้าไม่มีท่านไอดิเอลข้าคงไม่ได้มานั่งพูดอยู่ที่นี่แน่”

“เขาเป็นคนช่วยชีวิตเจ้านี่นะ” เจ้าชายว่า ก่อนจะพูดต่อ “ว่าแต่เจ้าเองก็มาไกลเหมือนกันนะ เท่าที่ข้ารู้ นูเบส โฟลิอุมอาศัยอยู่บนเทือกเขาไฮดรัส ซึ่งเป็นเขตแดนธรรมชาติที่กั้นขวางระหว่างอาณาจักรพายัพกับอาณาจักรประจิม ทางตอนใต้ของที่นั่นเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ส่วนทางตอนเหนือมีหิมะปกคลุมในช่วงฤดูหนาว เป็นเทือกเขาที่ยาวที่สุดในหกอาณาจักรเชียวล่ะ”

เจ้ามังกรถามต่อด้วยความสนใจ “ท่านเคยไปที่นั่นไหม”

อีกฝ่ายสั่นศีรษะ “ข้าไม่เคยขึ้นไปหรอก เคยแต่มองมันจากที่พัก เทือกเขาไฮดรัสน่ะสูงมาก บริเวณที่นูเบสอาศัยอยู่น่าจะเป็นจุดที่อยู่สูงที่สุดในเทือกเขาทางตอนใต้เลย ที่นั่นอากาศเบาบาง ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ จะขึ้นไปต้องอาศัยพรานที่ชำนาญทาง และต้องเดินเท้าหลายวันมาก”

“อืม... ฟังดูไปยากลำบากจังแฮะ ท่านไอดิเอลจะพาข้าไปอยู่ในที่ที่ไปยากลำบากแบบนั้นหรือ... ข้าไม่อยากไปเลย”

เจ้าชายพูดต่อ “ไม่ได้หรอก ยังไงเจ้าก็ต้องไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ อย่างน้อยตามกฎหมายก็ต้องเป็นอย่างนั้น”

“ข้ารู้ว่ามันเป็นกฎหมายที่มีประโยชน์ต่อพวกข้า ท่านไอดิเอลเคยอธิบายให้ข้าฟังแล้ว” โอเรนว่า “แต่ไม่มีมังกรอาศัยอยู่กับมนุษย์เลยหรือ แบบว่าอยู่ร่วมกันเหมือนเพื่อน เหมือนกับครอบครัวน่ะ ในเมื่อท่านไอดิเอลเคยบอกว่ามังกรมีความเฉลียวฉลาดเทียบเท่าหรือเหนือกว่ามนุษย์ มังกรก็น่าจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ตัวเองจะเป็นได้เหมือนกันนี่นา”

เจ้าชายกะพริบตาปริบๆ แล้วพูดขึ้นมา “ไม่รู้สิ ข้าตัดสินเรื่องนี้เองไม่ได้เสียด้วย”

......................................

ด้วยความเร่งรีบปานพายุของไอดิเอล ในที่สุดทั้งคณะก็เดินทางมาถึงทริโกเนียในอีกสองวันให้หลัง ท่าทางของจอมเวทย์ดูผ่อนคลายขึ้นมาก เมื่อเจ้าชายบัลดริกซ์และแบรนดอนแยกตัวไปขึ้นเรือเหาะเพื่อกลับเมืองหลวง โดยทิ้งม้าด่างตัวหนึ่งไว้ให้เป็นค่าตอบแทนตามที่ไอดิเอลเรียกร้อง คาริกอดสงสัยไม่ได้ว่าที่พวกตนต้องเร่งรีบขนาดนี้คงไม่ใช่เพราะไอดิเอลไม่อยากจะแวะตามจุดแวะพักต่างๆ แต่อาจเพราะฝ่ายนั้นไม่อยากใช้เวลาอยู่กับเจ้าชายนานๆ ก็เป็นได้

“ท่านไม่ชอบพวกเขาหรือ”

คาริกถามขึ้นขณะที่เขาและไอดิเอลจูงม้าเดินไปตามถนนที่มีผู้คนสัญจรจอแจ เพื่อเข้าไปยังตัวเมืองทริโกเนีย เนื่องจากท่าเรือเหาะนั้นตั้งอยู่ภายนอกก่อนถึงกำแพงเมืองชั้นใน

“พวกไหน? หมายถึงพวกเจ้าชายน่ะหรือ?”

“ใช่”

“อ้อ... ไม่เชิงหรอก” อีกฝ่ายตอบ “ข้าแค่ไม่ต้องการจะใช้เวลากับพวกเขามากเกินจำเป็น ข้าไม่ต้องการมีสายสัมพันธ์กับราชวงศ์ไหนมากเป็นพิเศษ”

“พูดอย่างกับว่าทุกราชวงศ์อยากจะรู้จักกับท่านอย่างนั้นเลยนะ”

ไอดิเอลไม่ตอบ เขาเปลี่ยนเรื่องพูด

“โอเรน เจ้ายังไม่เคยเห็นทริโกเนียสินะ นี่คือเมืองท่าติดทะเลที่ใหญ่และคึกคักที่สุดในหกอาณาจักร”

เบื้องหน้าพวกเขา เหนือขึ้นไปบนถนนที่ปูด้วยหินสีแดงซึ่งมีผู้คนและยวดยานพาหนะสัญจรจอแจ ปรากฏสิ่งก่อสร้างที่เหมือนเสากระโดงเรือขนาดใหญ่สามต้น พุ่งสูงชะลูดขึ้นไปบนท้องฟ้าเบื้องบน เสากระโดงยักษ์แต่ละต้น ผูกไว้ด้วยสิ่งที่ดูคล้ายกับผืนผ้าใบขนาดใหญ่ ที่ถูกลมทะเลพัดผ่านจนพองตัวคล้ายเรือที่กำลังแล่นอยู่ในนาวา แสงตะวันยามสนธยาสาดส่องย้อมทาเสากระโดงเรือยักษ์ทั้งสามเป็นสีแดงฉาน ทว่าใบเรือทั้งสามกลับทอประกายวิบวับคล้ายริ้วละลอกคลื่นที่ต้องแสงแดด

โอเรนเหม่อมองด้วยความตื่นตะลึง เขาถามออกมา

“นั่นคืออะไรน่ะ”

“ถ้าเจ้าหมายถึงสิ่งที่ดูเหมือนผ้าใบยักษ์ที่ทอแสงวิบวับนั่นล่ะก็... มันคือแผ่นกริดที่ทำจากออราไลท์ แร่ที่มีพลังแห่งลมแฝงอยู่ หุ้มด้วยกระจกสองด้าน แขวนเรียงกันบนเชือกที่ทอจากเงินผสมทองคำ ยามเมื่อต้องแสงตะวันหรือมีลมพัด จะสร้างพลังงาน พลังงานเหล่านี้จะไหลไปตามเชือกที่ร้อยเข้าไปสู่โรงเก็บพลังงานซึ่งอยู่ใต้ฐานของเสากระโดงทั้งสามต้น จากนั้นจึงแปรไปเป็นพลังที่ใช้ในเมืองอีกทีหนึ่ง”

“โอ้โห ท่านรู้ละเอียดมาก” คาริกร้องออกมา “ข้ารู้แค่มันมีหน้าที่สร้างพลังงานเท่านั้นเอง”

“มันคือสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ใช่ไหม” โอเรนว่า “นี่มันยิ่งใหญ่และสวยงามมากเลยนะ เมืองที่คาริกอยู่ไม่เห็นมีของแบบนี้เลย แสดงว่าที่นี่ต้องใหญ่โตมากอย่างที่ท่านว่าจริงๆ”

“ใช่แล้ว และที่นี่ก็เป็นท่าจอดเรือเหาะที่ใหญ่ที่สุดด้วย ดังนั้นจึงต้องมีพลังงานเตรียมไว้มหาศาลเพื่อให้พอประจุให้เรือเหาะยังไงล่ะ”

“ว่าแต่... นี่เราออกมาจากท่าเรือเหาะแล้วนะ ไหนท่านว่าเราจะเดินทางไปนครเวหาด้วยเรือเหาะไง” คาริกท้วงขึ้น ไอดิเอลจึงหันไปตอบเขา

“ก็ใช่ แต่ยังไม่ใช่วันนี้ ข้ามีธุระต้องทำในทริโกเนีย อย่างน้อยก็หาอะไรให้เจ้ากับโอเรนกินก่อน”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านคิดถึงเรื่องปากท้องของข้านะเนี่ย” ชายหนุ่มว่า โอเรนพูดขึ้นต่อ

“ที่นี่มีภัตตาคารสำหรับมังกรรึเปล่า”

“ไม่มีหรอก” ไอดิเอลว่า “แต่มีผลไม้และใบไม้สดๆ ให้เจ้ากินจนจุใจแน่ มาเถอะ เร่งฝีเท้าหน่อย ข้ารู้จักที่ดีๆ อยู่”

ทริโกเนียแบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นนอกเป็นที่ตั้งของลานจอดเรือเหาะขนาดใหญ่สี่ลาน ล้อมด้วยกำแพงเตี้ยๆ และมีหอบัญชาการคอยให้สัญญาณความปลอดภัยสำหรับการบินขึ้นลง ล้อมด้วยกำแพงหินเตี้ยๆ ถัดเข้าไปจากลานจอดเรือเหาะ เป็นแนวป่าที่ปลูกขึ้นโดยเฉพาะ เรียกว่ากำแพงต้นไม้ มีความกว้างประมาณยี่สิบเส้น (แปดร้อยเมตร) ติดกับแนวป่าเป็นกำแพงสีแดงสูงชะลูด ด้านหลังกำแพงคือตัวเมืองทริโกเนีย ประกอบด้วยอาคารบ้านเรือนทั้งที่สร้างจากไม้และหิน วางเรียงรายกันอยู่สองฟากฝั่งถนน เมืองนี้มีทางเข้าใหญ่สามทาง ถนนหลักแต่ละเส้นตัดตรงไปสุดที่ฐานของเรือหินซึ่งเป็นที่ตั้งของเสากระโดงยักษ์สามเสาเรียกกันว่าทริโกนัม ถัดจากฐานของทริโกนัม คือท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ซึ่งสร้างอยู่บนแหลมทริกา บริเวณนี้นอกจากจะเป็นที่ตั้งของอาคารรักษาการชายฝั่งแล้ว ยังมีหน่วยงานราชการระหว่างอาณาจักร ร้านค้า ร้านอาหาร ภัตตาคารหรูขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายกันอยู่

แม้คาริกจะเดินทางไปที่นี่บ่อยครั้ง แต่อย่าหวังเลยว่าเขาจะได้แวะมาใช้บริการในย่านหรูหราเช่นนี้ ปกติแล้วพอถึงที่หมาย เขาก็จะไปเข้าพักที่สมาคมคุ้มกันแห่งทริโกเนียเพื่อรอรับงานในขากลับต่อไป ซึ่งสมาคมคุ้มกันแห่งทริโกเนียนั้นตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของทริโกนัม เป็นฟากที่ถนนทั้งสามเส้นมาบรรจบกัน ที่นั่นแม้จะมีร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ มากมาย แต่ถ้าเป็นความหรูหราล่ะก็... ยังถือว่าห่างไกลจากฝั่งท่าเรือหลายขุม

ที่ดีๆ ที่ไอดิเอลพูดถึง ก็คือ ‘แหลมสุดขอบฟ้า’ โรงแรมและภัตตาคารหรูอันดับหนึ่งของทริโกเนียนี่เอง

แหลมสุดขอบฟ้า เป็นอาคารทรงสามเหลี่ยม สร้างด้วยหิน ยื่นลงไปในทะเลเล็กน้อย อยู่แทบจะติดกันกับท่าเรือ ทุกห้องพักของโรงแรมแห่งนี้จะมองเห็นนาวาอันไพศาลของท้องทะเลสีคราม ซึ่งว่ากันว่าหากล่องเรือจากที่นี่ลงใต้ไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นที่ตั้งของดินแดนห่างไกล ซึ่งเป็นที่ที่เหล่ามังกรอพยพไปหลังเกิดการระเบิดครั้งใหญ่

หินที่ใช้สร้างแหลมสุดขอบฟ้า ไม่ใช่หินทรายสีแดงทั่วๆ ไปอย่างที่เห็นในทริโกเนีย หรือเมืองทางตอนใต้ของอาณาจักรหรดี แต่เป็นหินสีส้มอ่อน ยามสนธยาเมื่อต้องกับแสงตะวันก็กลายเป็นสีทองสุกใส

คาริกไม่เคยนึกฝัน ในชีวิตจะได้มายังสถานที่หรูหราเช่นนี้ เขายืนตื่นตะลึงอยู่ที่ด้านหน้าทางเข้า จนไอดิเอลต้องส่งเสียงเรียก

“นี่ เจ้าจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม หรือมีที่อื่นอยากไป ถ้างั้นแยกจากข้าไปตรงนี้เลยก็ได้นะ ไม่ต้องตัวติดกันตลอดเวลาหรอก”

ชายหนุ่มได้สติ รีบสั่นศีรษะทันที “ไม่ๆ ข้าจะไปกับท่านนี่แหละ”

“งั้นก็เดินตามข้ามาเร็วๆ สิ”

พอเดินผ่านประตูหน้าเข้าไป ก็มีพนักงานแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสเดินมาช่วยจูงม้าไปเก็บยังคอก โต๊ะต้อนรับตั้งอยู่ลึกเข้าไปอีกหน่อย มีลักษณะเป็นคอกสี่เหลี่ยมที่เปิดด้านใน มีพนักงานประจำอยู่ด้านละสองคน พอแลเห็นไอดิเอล พวกเขาก็ส่งเสียงทักทายทันที

“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะท่านไอดิเอล จะพักกี่คืนคะ”

“คืนเดียว ขอเป็นห้องใหญ่แยกเตียงนะ”

“รับทราบค่ะ”

ชั้นล่างของแหลมสุดขอบฟ้าถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่โปร่งโล่ง มีเสาหินนับร้อยๆ ต้นเรียงรายกันดั่งท้องพระโรงในวังทอง เพดานสูงชะลูด ไอดิเอลพาคาริกกับโอเรนเดินตามเสาพวกนั้นไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเปิดออกไปเห็นมหาสมุทร โอเรนร้องด้วยความตื่นเต้น

“นี่คือมหาสมุทรหรือ? ดูราวกับว่าโลกสิ้นสุดที่ตรงนี้เลย”

“ก็ไม่ผิดไปนักหรอก นี่คือจุดที่โลกของมนุษย์สิ้นสุดลง” เขาตอบแล้วหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่สานจากเถาวัลย์รองด้วยเบาะที่หุ้มผ้าไหมนุ่มนิ่ม

คาริกเดินไปที่ริมระเบียง เพื่อให้โอเรนที่เกาะอยู่บนศีรษะของเขาเห็นทิวทัศน์ของมหาสมุทรชัดเจนมากขึ้น จริงอยู่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้เห็นมหาสมุทร แต่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้มองห้วงนทีไพศาลผ่านสถานที่หรูหราเช่นนี้

“คาริก เจ้าดูสิ พระอาทิตย์เหมือนกำลังจะตกลงไปในน้ำเลย” โอเรนชี้มือไปยังทิศตะวันตก ซึ่งอยู่ทางขวามือ คาริกหันตามแล้วผงกศีรษะ เจ้ามังกรน้อยพูดขึ้นต่อ

“หรือเพราะพระอาทิตย์ตกน้ำ แสงของมันก็เลยหายไป เหมือนกับคบไฟที่ถูกจุ่มลงไปในน้ำใช่ไหมล่ะ แล้วพรุ่งนี้ก็จะมีคนจุดมันขึ้นมาใหม่”

ชายหนุ่มหัวเราะ “ไม่ใช่หรอก ในตำนานบอกว่าเวลากลางวันคือช่วงเวลาที่ดวงเนตรของเทพแห่งแสงลืมขึ้น และพอดวงเนตรของพระองค์หลับลง รัตติกาลดำมืดก็จะมาเยือน แต่บางครั้งพระองค์ก็จะลืมเนตรขึ้นในความมืด จึงเกิดเป็นดวงจันทร์ยังไงล่ะ”

“อย่างนั้นหรือ นั่นคือตำนานสินะ แล้วมหาสมุทรเกิดขึ้นได้ยังไง มันคือน้ำตาของเทพเจ้ารึเปล่า”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ”

“ก็เจ้าบอกว่าดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์หรือดวงตาของเทพเจ้าไม่ใช่หรือ แล้วมหาสมุทรทำไมถึงจะเป็นน้ำตาของเทพเจ้าไม่ได้ล่ะ”

ได้ยินเสียงไอดิเอลพูดขึ้นมา “ที่จริงก็มีตำนานแบบนั้นอยู่เหมือนกันนะ”

ทั้งสองหันมามองทันที จึงเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจิบน้ำอยู่ จอมเวทพูดขึ้นต่อ

“ว่าแต่พวกเจ้าสองคนไม่หิวหรือไง หรือว่ายืนชมทิวทัศน์จนอิ่มแล้ว”

คาริกรีบลากเท้ามานั่งทันที “หิวสิ ว่าแต่ตะกี้ท่านว่ามีตำนานอะไรนะ”

“เจ้าสั่งอาหารก่อน ระหว่างรอข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”

คาริกจึงรีบสั่งอาหาร เขาไม่ลืมที่จะสั่งผักและผลไม้มาเผื่อโอเรนด้วย พอบริกรออกไปแล้ว ชายหนุ่มจึงหันไปหาไอดิเอลอีกครั้ง

“ขอฟังตำนานของท่านหน่อยสิ”

“ไม่ใช่ตำนานของข้า” ไอดิเอลว่า “เป็นตำนานที่เล่าต่อๆ กันมาอีกทีน่ะ เล่าว่ามหาสมุทรคือน้ำตาของเทพีแห่งความมืดที่หลังออกมาด้วยความปีติในตอนที่โลกถือกำเนิดขึ้น ไหลเอ่อท่วมท้นผืนแผนดินและภูเขา ก่อนจะเหือดแห่งลงกลายเป็นมหาสมุทรห้อมล้อมแผ่นดินไว้”

“ว้าว แสดงว่าเทพีแห่งแสงต้องมีความสุขมากๆ ตอนที่โลกนี้ถูกสร้างขึ้นมา” โอเรนถามขึ้นต่อ “แล้วท่านอยู่ด้วยรึเปล่า ตอนนั้นน่ะ”

“จะอยู่ได้ยังไงเล่า นั่นเป็นตำนานที่เล่าสืบต่อกันมานับพันนับหมื่นปีแล้ว ข้าน่ะเพิ่งเกิดมาในช่วงสงครามระหว่างมนุษย์กับมังกรนี่เอง”

คาริกพูดขึ้นมาทันที “สรุปแล้วท่านอยู่มาตั้งแต่ยุคก่อนการระเบิดจริงๆ สินะ”

“อืม”

“ท่านอยู่มาได้ไงนานขนาดนั้นน่ะ?”

“ข้าก็อยู่มาได้ล่ะน่า”

โอเรนถามแทรกขึ้น “ว่าแต่ท่านไอดิเอลอายุเท่าไหร่?”

“ข้าหรือ?” อีกฝ่ายย้อน ก่อนจะตอบ “ไม่รู้สิ เลิกนับไปนานแล้วน่ะ”

“ข้าคิดให้แทนนะ” คาริกว่า “ถ้าเขาอยู่มาก่อนหน้านั้น ข้าหมายถึงยุคก่อนการระเบิด ก็ต้องอายุไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปี”

“พันปีแล้วหรือ ไวจังแฮะ” ไอดิเอลทำหน้าประหลาดใจเหมือนไม่รู้มาก่อน ขณะที่คาริกอ้าปากจะพูดอะไร โอเรนก็ส่งเสียงถามขึ้น

“เจ้ารู้ได้ไงว่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปี”

“อ้าว ก็ปีนี้มันนวศักราช (ศักราชใหม่) ที่หนึ่งพันพอดี ข้าจำได้เพราะต้องลงวันเดือนปีในหนังสือสัญญาจ้างน่ะซี่”

“อย่างนี้นี่เอง” โอเรนผงกศีรษะ ก่อนจะร้องออกมา “ไม่อยากจะเชื่อ ท่านไอดิเอลอายุหนึ่งพันกว่าปีแล้วหรือเนี่ย ตอนข้าอยู่ในไข่ตั้งสามสิบกว่าปียังรู้สึกว่านานเลยนะ”

คาริกร้องขึ้นทันที “หา! อะไรนะ เจ้าอยู่ในไข่มาสามสิบกว่าปีหรือ เป็นไปได้ไง”

“มันก็เป็นไปได้แหละนะ” ไอดิเอลว่า “ปกตินูเบส โฟลิอุมใช้เวลาฟักออกจากไข่ประมาณสิบห้าถึงยี่สิบปีอยู่แล้ว ในสภาวะแวดล้อมปกติ โอเรนเป็นไข่ที่ถูกขโมยมา ถ้าจะฟักตัวช้ากว่าปกติก็ไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกอะไร”

“ไม่อยากจะเชื่อ” คาริกคราง “เจ้านี่อยู่ในไข่นานกว่าอายุของข้าเสียอีก”

“เพราะงั้นข้าถึงดีใจมากที่ออกมาจากไข่ได้ไงล่ะ” โอเรนว่า ไอดิเอลพยักหน้า

“ก็เข้าใจได้หรอกนะว่าทำไมเจ้าถึงพูดไม่หยุดแบบนี้”

โอเรนหัวเราะคิกคัก แล้วพูดต่อ “ท่านบอกว่าเกิดมาในช่วงสงครามระหว่างมนุษย์กับมังกร อย่างนั้นท่านก็เคยเห็นมังกรจริงๆ น่ะสิ ข้าหมายถึงมังกรตัวใหญ่ๆ น่ะ”

ไอดิเอลพยักหน้า คาริกถามขึ้นบ้าง “เพราะงั้นท่านเลยมีไม้เท้าที่ทำมาจากเอ็นมังกรสินะ ท่านล่ามังกรด้วยใช่ไหม”

ไอดิเอลหัวเราะออกมา “เจ้าใช้คำว่า ‘ล่า’ กับมังกรไม่ได้หรอก สิ่งมีชีวิตพวกนั้นสูงส่งและยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เจ้าจะล่าได้ มันเป็นการทำสงคราม เป็นการพิชิตและถูกพิชิต แต่ข้าชอบตอนที่ไม่มีสงครามมากกว่า”

“ท่านเล่าเรื่องมังกรให้ฟังหน่อยสิ” คาริกว่า “จริงรึเปล่าที่พวกมันตัวใหญ่มากๆ ใหญ่ชนิดที่ว่าพวกเราจินตนการไม่ออกเลย”

“มันก็แล้วแต่ชนิดน่ะนะ” ไอดิเอลนิ่งนึก “อย่างพวกมังกรไฟน่ะตัวใหญ่กว่าแมกนิส คอร์นิบัสประมาณสามเท่า แถมมีปีกบินได้ ส่วนมังกรฟ้าตัวยาวกว่า ไม่มีปีก อาศัยอยู่บนท้องฟ้า ข้าเคยได้ยินว่าพวกเขาสร้างเมืองอยู่บนก้อนเมฆ แต่ว่าถ้าให้เทียบกับมังกรน้ำแล้ว ทั้งสองจำพวกก็จะกลายเป็นตัวเล็กจ้อยไปเลย”

คาริกร้องขึ้น “ใหญ่กว่าแมกนิส คอร์นิบัสตั้งสามเท่า ยังจะถือว่าตัวเล็กอีกหรือเนี่ย ถ้ามังกรน้ำตัวใหญ่ขนาดนั้น แล้วพวกเราเอาชนะได้ยังไง”

“มนุษย์ไม่เคยเอาชนะมังกรน้ำได้” ไอดิเอลว่า “มนุษย์อาจจะใช้ปืนหรืออาวุธที่ประดิษฐ์ขึ้นมา โดยใช้พลังงานจากศิลาธาตุเพื่อสังหารมังกรไฟหรือมังกรฟ้าได้ แต่ไม่อาจทำเช่นนั้นกับมังกรน้ำได้ ไม่มีอาวุธใดยิงฝ่าลงไปในมหาสมุทรได้ ไม่มีเวทมนตร์บทใดสามารถควบคุมท้องทะเลได้ ราชามังกรน้ำสามารถสร้างคลื่นขนาดยักษ์ที่สูงจรดท้องฟ้า เพื่อกวาดแผ่นดินให้หายลงไปในท้องทะเลได้ หากพระองค์ต้องการ ไม่มีพลังอำนาจได้สามารถต่อกรกับพลังอันยิ่งใหญ่นี้ได้”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมมังกรถึงแพ้ล่ะ” โอเรนถามขึ้น ไอดิเอลยิ้ม

“เพราะมังกรน้ำไม่ได้เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้อย่างเต็มตัวน่ะสิ พวกเขาเพียงรักษาความสงบในท้องทะเลเท่านั้น และที่สำคัญ ที่มังกรอพยพไปดินแดนห่างไกล ไม่ใช่เพราะพวกเขาพ่ายแพ้ในสงคราม แต่เพราะมนุษย์ได้สร้างหายนะบนแผ่นดินแห่งนี้ ทำให้พวกเขาตัดสินใจจากไป แล้วทิ้งดินแดนหลังการระเบิดไว้ให้มนุษย์สืบเผ่าพันธุ์ยังไงล่ะ”

“อืม... นี่เป็นเรื่องที่แตกต่างจากตำนานที่ข้าเคยได้ยินได้ฟังมาลิบลับเลยนะ” คาริกว่า “ฟังดูเหมือนท่านเข้าข้างมังกรมากกว่ามนุษย์นะ”

“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ แต่ข้าถูกสร้างขึ้นมาให้อยู่ฝ่ายมนุษย์ ความจริงข้อนี้ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้หรอก”

โอเรนพูดขึ้น “ท่านไอดิเอล เจ้าชายบัลดริกซ์ชื่นชมท่านมากนะ เขาบอกว่าหากโลกนี้ไม่มีจอมเวทคงอยู่ยาก”

ไอดิเอลมีสีหน้าประหลาดใจ “อย่างนั้นหรือ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ประหลาดอยู่เหมือนกันนะ”

“แล้วเขาก็บอกอีกเหมือนกันว่าพวกท่านอันตราย” คาริกเสริมให้ จอมเวทผงกศีรษะ

“ปกติแล้วพวกราชวงศ์มักระแวงพวกเรามาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว”

“ทำไมล่ะ”

“เรื่องอำนาจนั่นแหละ” ไอดิเอลว่า “จอมเวทมีเวทมนตร์ ไม่แปลกถ้าจะมีคนจำนวนมากนับถือเลื่อมใส เรื่องพวกนี้เป็นปัญหามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในสมัยอาณาจักรเก่า สิ่งที่ทำให้จอมเวทต้องจบชีวิตเป็นจำนวนมากไม่ใช่การทำสงครามกับมังกรหรอก แต่เป็นเพราะถูกระแวงว่าจะแย่งอำนาจจากกษัตริย์มนุษย์ต่างหาก เพราะงั้นพอถึงยุคใหม่ พวกเราถึงต้องตั้งสภากลางขึ้นมา โดยอยู่ภายใต้สายตาของทั้งหกอาณาจักร และยังต้องส่งจอมเวทไปรับใช้อยู่ในอาณาจักรต่างๆ ไงล่ะ”

“เอ่อ... ข้าไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเมืองหรอกนะ” คาริกว่า “แต่เพราะแบบนี้รึเปล่า ท่านถึงไม่เคยทำงานให้กับราชสำนักเลย”

“มันก็เป็นเหตุเป็นผลไม่ใช่หรือไง” ไอดิเอลย้อน โอเรนพูดขึ้นต่อ

“แต่ข้าว่าเจ้าชายบัลดริกซ์ไม่น่าใช่คนใจร้ายนะ”

“มนุษย์น่ะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลานั่นแหละ” ไอดิเอลว่า “ข้าถือคติ ไม่เอาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยาก เพราะงั้นการที่พวกเขาไปเสียได้ทำให้ข้าโล่งใจมาก”

“แล้วท่านจะไปเยี่ยมเขาที่อาเปสตามคำเชิญรึเปล่า”

“ข้าคงต้องไป” ไอดิเอลตอบ “ถ้าข้าไม่ไปก็จะเป็นการทำลายน้ำใจจนเกินไป ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่เรื่องดี”

คาริกพูดขึ้นต่อ “งั้นข้าก็จะได้กินอาหารในวัง ว้าว มันต้องอร่อยมากแน่”

“หวังว่าเจ้าชายจะเตรียมส่วนของข้าไว้ด้วยนะ” โอเรนว่า “ข้าอยากเจอจอมเวทอีกคนที่นั่นด้วย ได้ยินเจ้าชายบอกว่านางเป็นสตรีที่สวยงามมาก ขนาดคาริกได้ยินแล้วส่งพลังงานแปลกๆ ออกมาเลยล่ะ”

คาริกหน้าแดง เขาพยายามจะยื่นมือไปปิดปากโอเรนซึ่งเกาะอยู่บนศีรษะ แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน ไอดิเอลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะก๊าก

“เวโรนิกาเป็นคนสวยมาก ถ้าไม่ติดว่าเจ้าทำพันธะสัญญากับข้าไปแล้ว ก็อยากจะยกให้นางไปใช้สักคืนหรอกนะ”

“นี่ ท่านอย่ามาพูดเหมือนข้าเป็นสิ่งของได้ไหม” คาริกว่า “ถึงไม่ทำสัญญาข้าก็ไม่ยินดีถ้าท่านจะยกข้าให้ไปนอนกับใครต่อใครหรอกนะ”

“ไม่ใช่ใครต่อใครเสียหน่อย” ไอดิเอลว่า ก่อนจะโบกมือ “เอาเถอะ เจ้ามันเป็นลูกเจี๊ยบเพิ่งออกจากไข่นี่นา อาหารมาแล้วก็รีบๆ กินเข้าล่ะ เสร็จแล้วข้าจะพาไปเปิดหูเปิดตา”

...............................................


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ฟ้ามืดแล้วตอนที่พวกไอดิเอลเดินออกมาจากโรงแรม แต่ตัวเมืองทริโกเนียกลับสว่างไสวด้วยแสงไฟจากหลอดที่อาศัยพลังงานจากทริโกนัม ผู้คนมากมายแต่งกายหลากหลายเดินกันให้ขวักไขว่ เสียงพูดคุยจอแจดังกลบเสียงคลื่นทะเลที่พัดสาดเข้ามา

“คนที่นี่ไม่ยักจะตื่นเต้นกับการปรากฏตัวของท่านแฮะ” คาริกกระซิบขณะเดินตามไอดิเอลไปตามทางเดินริมถนน ซ้ายมือของเขาคือร้านค้าที่ขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว ไอดิเอลยักไหล่ตอบ

“ก็ข้าไม่ใช่จอมเวทคนแรกที่โผล่มาที่นี่นี่นา แล้วก็ไม่ได้มาที่นี่ครั้งแรกด้วย”

“อ้อ... ท่านมาที่นี่บ่อยหรือ”

“ก็พอดู สมาคมล่าค่าหัวที่นี่ใหญ่ กระดานข่าวด้านในใช้เป็นที่ฆ่าเวลาได้ดีเชียวล่ะ”

“อ้อ... ท่านเป็นนักล่าค่าหัวด้วยนี่นะ ข้าเกือบลืมไปเลย”

“ว่าแต่เราจะไปไหนกันหรือ” โอเรนถามขึ้น “ท่านจะพาคาริกไปหาซื้อหนังสือตามที่เคยบอกไว้รึเปล่า อย่าลืมสอนข้าให้หัดอ่านด้วยนะ”

“ตอนนี้ร้านหนังสือทุกร้านน่าจะปิดหมดแล้วล่ะ ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยแวะก็แล้วกัน”

“อ้าว แล้วนี่เราจะไปไหนกัน”

จอมเวทขยิบตา “ที่ดีๆ ที่แม้แต่มังกรอย่างเจ้ายังต้องชอบ ข้ารับรอง”

ที่ดีๆ ที่ไอดิเอลว่า เป็นอาคารสูงสามชั้น สร้างจากหินและไม้ ตั้งอยู่ห่างจากโรงแรมไม่มาก ถึงสถาปัตยกรรมที่นี่จะไม่หรูหรายิ่งใหญ่อย่างแหลมสุดขอบฟ้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นอาคารที่ชวนมองหลังหนึ่ง

“เดี๋ยว นี้ท่านตั้งใจพาเรามาที่นี่หรือ” คาริกร้องขึ้นเมื่อเห็นว่าไอดิเอลเดินนำขึ้นบันไดไป ฝ่ายนั้นเหลียวหน้ามามองอย่างแปลกใจ

“ก็ใช่น่ะสิ ทำไมต้องทำเสียงตกใจขนาดนั้น”

ชายหนุ่มหรี่ตามอง “ต่อให้ที่นี่มันหรูหราขนาดนั้น ก็คือซ่องไม่ใช่หรือไง”

“เสียมารยาทจริง” ไอดิเอลว่า “เขาเรียกสถานที่ให้ความบันเทิงแบบครบวงจรต่างหาก”

“ข้าเคยได้ยินคำว่าซ่อง” โอเรนว่า “เป็นที่ที่มีผู้หญิงอยู่เยอะๆ แล้วผู้ชายจะชอบไปใช่ไหม”

“ถูกแล้ว”

“แต่สถานที่ให้ความบันเทิงแบบครบวงจรนี่ข้าเพิ่งเคยได้ยิน”

“ที่จริงมันก็หมายถึงสถานที่แบบเดียวกันนั่นแหละ” คาริกตอบแทนให้ แต่ถูกไอดิเอลแทรกขึ้น

“มันไม่เหมือนกันน่า ที่นี่ดีกว่าซ่องเยอะ อย่างน้อยๆ ก็ยังมีบริการอย่างอื่นที่มากกว่าหลับนอนล่ะนะ”

คาริกพูดด้วยความหมั่นไส้ “ท่านมาที่แบบนี้ยังหวังอย่างอื่นมากกว่าเรื่องหลับนอนอีกหรือไง แล้วนี่โอเรนยังเด็กอยู่นะ”

เจ้ามังกรแทรกขึ้นทันที “ข้าอยู่ในไข่ตั้งสามสิบปี ข้าแก่กว่าเจ้าอีกนะ”

“อยู่ในไข่ไม่นับซี่!”

“เอาล่ะ พวกเจ้าหยุดเถียงกันที” ไอดิเอลว่า “ใครอยากมาก็ตามข้ามา ไม่อยากมาก็กลับโรงแรมไปเลย”

โอเรนรีบกระโดดออกจากศีรษะของคาริกไปเกาะที่ไหล่ของไอดิเอลทันที คาริกจึงรีบวิ่งตามไป

“เดี๋ยวสิ รอข้าด้วย”

เมื่อทริโกเนียมีสุดยอดโรงแรมหรูที่ชื่อว่า ‘แหลมสุดขอบฟ้า’ ได้ สถานที่ให้ความบันเทิงแบบครบวงจรที่ไอดิเอลเรียกก็มีชื่อเช่นกัน นอกจากจะเป็นสถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองแล้ว ตึกแห่งนี้ยังมีชื่อเรียกว่า ‘หาดสวรรค์’ แม้ว่าเอาเข้าจริงแล้วตัวอาคารจะไม่ได้ตั้งอยู่ติดทะเลหรือติดชายหาดก็ตาม

ชั้นล่างของหาดสวรรค์ไม่ได้ให้ความรู้สึกใหญ่โตโอ่อ่าเช่นแหลมสุดขอบฟ้าเมื่อย่างเท้าเข้าไป เพราะเพดานต่ำกว่า แต่ประดับไฟและกระจกระยิบระยับ มีทั้งเสียงดนตรี เสียงหัวร่อต่อกระซิกลอยมาให้ได้ยิน สัมผัสได้ถึงความสนุกสนานและความบันเทิงอย่างที่ไอดิเอลว่าจริงๆ

ทันทีที่จอมเวทย่างเท้าเข้าไป ก็มีสาวๆ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าบางเบา สีสันสวยงาม และเครื่องประดับที่ทอประกายวิบวับจนดูละลานตาปรี่เข้ามาหาทันที

“ยินดีต้อนรับค่ะท่านไอดิเอล คราวนี้กลับมาไวจังเลยนะคะ แสดงว่างานของท่านคราวนี้ต้องง่ายสุดๆ ไปเลย”

ไอดิเอลหัวเราะชอบใจ ยกไม้เท้าให้สาวคนหนึ่งเอาไปถือ แล้วใช้มือสองข้างโอบไหล่สาวๆ อีกสองคนไว้ พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ถึงงานหนักแค่ไหน พอคิดถึงพวกเจ้าทุกคน ข้าก็หายเหนื่อยไปเลย”

คาริกเห็นแล้วนึกหมั่นไส้จนอยากพูดอะไรสักคำ แต่สาวๆ พวกนั้นชิงพูดขึ้นก่อน

“อุ๊ย นี่ตัวอะไรกันคะท่านไอดิเอล สีเขียวๆ หน้าตาเหมือนกระรอกเลย”

“นูเบส โฟลิอุมน่ะ เขาเป็นมังกร”

“ใช่ๆ” โอเรนพูดขึ้น “ข้าติดตามท่านไอดิเอลมาเอง พวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าท่านไอดิเอลจะทำผิดกฎหมายหรอก”

“ว้าย พูดได้ด้วย น่ารักจังเลย นี่มังกรหรือคะเนี่ย ขอจับได้ไหม”

“ถ้าพวกเจ้าจะแตะข้าเบาๆ อย่างสุภาพและให้เกียรติล่ะก็ ข้าอนุญาตนะ”

ผู้หญิงในชุดสีส้มที่อยู่ข้างขวาของไอดิเอลจึงยื่นมือไปแตะขาหน้าของโอเรนเบาๆ เจ้ามังกรพูดขึ้น “มือเจ้านิ่มจังแฮะ จะลูบหัวข้าก็ได้นะ”

สุดท้ายโอเรนก็ถูกพวกสาวๆ ผลัดกันอุ้ม ท่าทางเจ้ามังกรจะมีความสุขเสียด้วย หลังถูกสาวคนหนึ่งอุ้มไว้แนบอก เขาก็งึมงำขึ้นเบาๆ “พวกเจ้านี่ตัวนุ่มนิ่มดีจัง ต่างกับท่านไอดิเอลหรือคาริกลิบลับเลย”

สาวๆ พวกนั้นพากันหัวเราะ “ก็พวกเราเป็นผู้หญิงนี่นา แล้วเจ้าล่ะ เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“เอ๊ะ ไม่รู้สิ” โอเรนว่า ไอดิเอลจึงพูดขึ้น

“เขาเป็นผู้ชาย”

“ฮะๆ เป็นหนุ่มน้อยสินะเนี่ย เจ้ามีชื่อรึเปล่า”

“ข้าชื่อโอเรน พวกเจ้าล่ะ”

สาวๆ ผลัดกันแนะนำตัว คาริกที่เหมือนถูกลืมสนิทจึงพูดขึ้นในที่สุด

“สรุปแล้วท่านพาข้ามาที่นี่ทำไมเนี่ย”

ไอดิเอลหันมาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “ข้าลืมแนะนำ นี่ผู้ช่วยของข้า ชื่อคาริก ที่จริงข้าคิดว่าพวกเจ้าน่าจะตื่นเต้นที่ได้เห็นเจ้าหนุ่มนี่เสียอีก”

“แหม... เขาก็แค่เด็กผู้ชายไม่ใช่หรือคะ มังกรสิน่าตื่นเต้นกว่าเยอะเลย”

“จริงด้วยค่ะ ว่าแต่ทำไมคราวนี้ท่านไอดิเอลพาผู้ช่วยมาด้วยล่ะคะ หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่ทำงานดีจนท่านอยากเลี้ยงปลอบขวัญกันล่ะคะเนี่ย”

สาวๆ พวกนั้นพูดพลางชม้ายตามองชายหนุ่มอย่างมีเลศนัย ชายหนุ่มหน้าแดง รีบพูดขึ้นต่อทันที “ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาพาข้ามาที่นี่ทำไม”

“อ้าว แล้วกัน” ไอดิเอลร้องออกมา “ข้าก็พาเจ้ามาหาสาวๆ พวกนี้น่ะสิ นี่เจ้าไม่สบายรึเปล่า ทำไมถึงไม่ตื่นเต้นดีใจเลยล่ะ”

“แหม... ก็เขาเป็นผู้ชาย เอ๊ย ผู้ช่วยของท่านไอดิเอลไม่ใช่หรือคะ เขาคงไม่คิดว่าท่านจะพาเขามาที่แบบนี้หรอกค่ะ”

ไอดิเอลถอนหายใจแบบที่คนมีอายุชอบทำกัน “เฮ้อ... เขาเป็นผู้ช่วยของข้าก็จริง แต่ยังไงเขาก็เป็นผู้ชายนะ เป็นแค่เด็กหนุ่มวัยละอ่อนที่ยังไม่เคยรู้จักผู้หญิงจริงๆ ด้วยซ้ำ พวกเจ้าก็ดีกับเขาหน่อยสิ”

สาวๆ พวกนั้นหัวเราะคิกคัก สองคนเดินมาหาคาริก คว้าแขนเขาเอาไว้คนละข้าง จากนั้นคาริกก็รู้สึกถึงหน้าอกนิ่มๆ บนแขนของเขา

“ไงจ๊ะหนุ่มน้อย เจ้าเป็นผู้ช่วยคนแรกเลยนะที่ท่านไอดิเอลพามาที่นี่”

“แปลว่าก่อนหน้านี้เขามาที่นี่คนเดียวหรือ”

“อ้อ... บางทีเขาก็พาเพื่อนมาน่ะ” สาวนางหนึ่งตอบ “ว่าแต่เจ้าเพิ่งมาใหม่หรือ ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าที่นี่เลย”

“ข้ามาจากคีท” คาริกว่า แล้วถามต่อ “ว่าแต่ไอดิเอลมาทำอะไรที่นี่ เขาเคยบอกข้าว่าเขามีอะไรกับผู้หญิงไม่ได้นี่นา”

สองสาวหลุดหัวเราะออกมา “เจ้านี่ก็ใจร้ายกับท่านไอดิเอลจริงเชียว ระวังเขาได้ยินจะโกรธเอานะ”

“ข้าได้ยินน่า” ไอดิเอลว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าที่นี่เป็นสถานที่ให้ความบันเทิงแบบครบวงจร ในหัวเจ้าคิดว่าผู้หญิงมีไว้นอนด้วยอย่างเดียวหรือไงกัน”

“ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น” คาริกเถียง “ข้าแค่สงสัยว่าท่านมาทำอะไรที่นี่กันแน่”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “พวกเจ้าจะพาเขาไปไหนก็พาไปให้ไกลๆ ข้าเลยไป เสียอารมณ์หมด”

ผู้หญิงพวกนั้นหัวเราะคิกคัก “แหม... ท่านไอดิเอลล่ะก็... พวกเราไปที่ห้องกันเถอะค่ะ พ่อหนุ่มคนนี้จะได้หายสงสัยเสียที”

ห้องที่ว่าอยู่ชั้นสอง เป็นห้องขนาดใหญ่ ด้านในประดับประด้วยกระจกและโคมไฟสว่างไสว สะท้อนประกายวิบวับ บนพื้นมีตั่งวางอยู่สองสามตัว บนตั่งปูด้วยฟูกนุ่มหุ้มแพร หน้าตั่งมีโต๊ะขนาดเล็กสำหรับวางเครื่องดื่มวางอยู่อีกสองตัว อีกฟากหนึ่งของห้องเป็นเวทีขนาดเล็กที่มีเครื่องดนตรีหลายชิ้นวางอยู่ โคมไฟประดับมุกและกระจกห้อยระย้าอยู่ด้านบน

พวกผู้หญิงที่เดินตามเข้ามา มีบ้างแยกไปหยิบเครื่องดนตรี อีกส่วนไปหยิบเครื่องดื่มมารินให้ ไอดิเอลนั่งลงบนตั่ง โดยมีสองสาวช่วยประคอง สาวอีกนางเอาไม้เท้ามาวางไว้ให้ข้างๆ จอมเวทรับแก้วน้ำมาจิบ ท่าทางอารมณ์ดีที่มีสาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง

“ท่านไอดิเอล เล่าเรื่องการผจญภัยของท่านให้พวกเราฟังหน่อยสิคะ สัปดาห์ก่อนที่ท่านผลุนผลันออกไปน่ะ”

สาวๆ พวกนั้นอ้อน ไอดิเอลหัวเราะพลางโบกมือ “ข้าเพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ พวกเจ้าก็จะใช้งานเลยหรือ เล่นดนตรีกับร้องเพลงให้ข้าฟังสักสองสามเพลงก่อนสิ ไม่เอาเพลงที่เกี่ยวกับข้านะ ขอเป็นเพลงที่ร้องเล่นกันไม่ต้องมีสาระก็ได้”

พวกผู้หญิงจึงเริ่มเล่นดนตรีและร้องเพลง ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็คอยรินน้ำให้บ้าง ใช้มือนวดเฟ้นไปตามที่ต่างๆ บ้าง คาริกดูแล้วก็ให้นึกถึงพวกตาเฒ่าวัยดึกที่หมดน้ำยาแล้วแต่ยังชอบสาวเอ๊าะๆ อยู่ ซึ่งจะว่าไปถ้าไม่นับหน้าตา ไอดิเอลก็เป็นตาเฒ่าอายุพันกว่าปีที่หมดน้ำยาแล้วจริงๆ (?)

โอเรนเองก็ดูจะมีความสุขที่ถูกพวกสาวๆ อุ้มไปอุ้มมา ยังทำท่าจะมุดเข้าไปในหน้าอกคนนั้นคนนี้จนสาวๆ ร้องว้ายให้วุ่นวายไปหมด

“นี่ ท่านคาริก ทำไมทำหน้าบอกบุญไม่รับแบบนั้นล่ะ พวกเราไม่สวยพอหรือ” สาวๆ ที่นั่งขนาบข้างอยู่พูดขึ้น คาริกรู้สึกเขินที่ถูกเรียกว่าท่าน เลยรีบพูดตอบ

“เปล่าๆ พวกเจ้าสวยมาก ข้าแค่... เอ่อ... ยังไงดีล่ะ ไม่ชินล่ะมั้ง”

สาวๆ พวกนั้นหัวเราะคิกคัก “หมายความว่าท่านชินกับท่านไอดิเอล แต่ไม่ชินกับพวกเราอย่างนั้นหรือ”

“ไม่ใช่ๆ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ “ข้าจะชินกับเขาได้ยังไง ข้าเพิ่งเจอเขาได้ประมาณสัปดาห์นี่เอง”

“แสดงว่าท่านเป็นผู้ช่วยคนล่าสุดของเขา และท่านต้องพิเศษมากแน่ๆ เพราะก่อนหน้านี้ท่านไอดิเอลไม่เคยพาผู้ช่วยมาที่นี่เลย อย่างกับว่าเขาจ้างท่านระยะยาวอย่างนั้นแหละ”

“เขาก็จ้างข้าในระยะยาวน่ะนะ”

“จริงหรือ งั้นท่านก็พิเศษจริงๆ ชักอยากรู้จักให้ละเอียดกว่านี้แล้วสิ”

พูดพลางยกมือลูบอกชายหนุ่ม เล่นเอาคาริกร้อนวูบวาบ หน้าแดงขึ้นมาอีก จนต้องรีบพูดขึ้น “พวกเจ้าทำอะไร ข้าไม่ใช่โอเรนนะ”

สาวๆ พวกนั้นหัวเราะคิกคัก หยิกแก้มเขาเบาๆ “ท่านเป็นหนุ่มละอ่อนน้อยจริงๆ ด้วย สมาคมคุ้มกันยังมีหนุ่มใสซื่อแบบท่านอยู่อีกหรือนี่ หรือว่าท่านไอดิเอลแอบไปขโมยจากที่ไหนมา”

ได้ยินเสียงไอดิเอลพูดขึ้น “พวกเจ้าน้อยๆ หน่อย อย่างข้าต้องไปขโมยอะไรจากใครด้วยหรือไง”

“แหม... ก็ดูสิคะ ผู้ช่วยท่านเขินแรงหน้าแดงขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นคนจากสมาคมคุ้มกัน หรือว่าท่านได้มาจากที่อื่นคะ”

“ก็ได้มาจากสมาคมคุ้มกันนั่นแหละ” ไอดิเอลพูดพลางหัวเราะอีก “ข้าพาของหายากมาให้พวกเจ้านะ ดูแลกันดีๆ หน่อยสิ”

“นี่ ข้าไม่ใช่ของหายากนะ” คาริกเถียงขาดใจ “โอเรนต่างหากของหายาก”

โอเรนส่งเสียงขึ้นมา “ผู้หญิงนี่ดีจริงๆ เลยน้า ทำไมข้าไม่ตื่นขึ้นมาบนหน้าอกพวกนางเนี่ย”

คราวนี้คาริกหัวเราะก๊ากทันที “พอคิดว่าเจ้าตื่นขึ้นมาในอกเสื้อของไอดิเอลแล้วข้าก็อดสงสารไม่ได้จริงๆ นะ ฮ่าๆ”

“พวกเจ้าไม่ต้องเสียใจไป” ไอดิเอลว่า “มีจอมเวทหญิงอยู่ไม่เยอะนักหรอก แล้วก็ไม่มีใครออกเดินทางรอนแรมแบบข้าด้วย”

“ถ้ามีจอมเวทหญิงอยู่เยอะๆ พวกข้าต้องแย่แน่ๆ” สาวคนหนึ่งพูด พลางทำหน้าออดอ้อน “ได้ยินว่าจอมเวทหญิงสวยมาก จริงรึเปล่าคะ”

“จริง” ไอดิเอลว่า “แต่สู้พวกเจ้าไม่ได้หรอก ข้าชอบพวกเจ้ามากกว่า พวกเจ้าน่ารักทุกคนเลย”

พูดจบเขาก็ล้วงเหรียญทองออกมาแจกพวกสาวๆ ก่อนจะหันมาหาคาริก “ส่วนเจ้า คาริก ก็ให้พวกนางพาไปที่ห้องซะ นั่งอยู่ตรงนี้รำคาญสายตาข้าเหลือทน”

“เดี๋ยวๆ” คาริกร้องออกมา “ข้านั่งเฉยๆ ของข้าตรงนี้ มันไปทำให้ท่านรำคาญได้ยังไง”

“มันน่ารำคาญตรงที่เจ้าเอาแต่หน้าแดงแล้วก็อ้ำๆ อึ้งๆ นั่นแหละ นี่ พวกเจ้าพาเขาไปเลยนะ ไปสอนให้รู้จักบริการชั้นหนึ่งของหาดสวรรค์แบบที่ข้าซื้อไม่ได้หน่อยซิ”

ทั้งสองสาวหัวเราะ “ในเมื่อท่านไอดิเอลออกปากถึงขนาดนี้แล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ”

พูดจบก็กึ่งดึงกึ่งฉุดชายหนุ่มออกไป โอเรนถามขึ้น “ข้าไปด้วยได้รึเปล่า”

“ไม่ได้ๆ” ไอดิเอลพูดขึ้นมา “มันเป็นเรื่องระหว่างมนุษย์ผู้ชายกับผู้หญิง มังกรอย่างเจ้าและจอมเวทอย่างข้าไม่เกี่ยว”

“หือ อยากรู้เลยแฮะว่ามันเป็นเรื่องแบบไหน” โอเรนว่า สาวๆ ที่อยู่ข้างเขาเลยพูดขึ้น

“ท่านโอเรนล่ะก็... อยู่ที่นี่กับพวกเราไม่สนุกหรือไงคะ หรือว่าท่านฟังท่านไอดิเอลเล่าเรื่องจนเบื่อแล้ว”

“ไม่เลย” โอเรนพูดขึ้น “อยู่กับพวกเจ้าสนุกมาก แล้วข้าเองก็อยากฟังท่านไอดิเอลเล่าเรื่องด้วย ปกติแล้วท่านไอดิเอลไม่ค่อยยอมเล่าเท่าไหร่”

“ข้าก็เล่าไปเยอะมากแล้วนะ” ไอดิเอลว่า “จะเล่าเรื่องสัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ที่ปากปล่องภูเขาไฟให้พวกเจ้าฟังก็แล้วกัน”

..............................................

คาริกเพิ่งรู้นี่เองว่าร่างกายของผู้หญิงนุ่มนิ่มกว่าของผู้ชายเยอะ แถมยังให้สัมผัสที่ชวนหลงใหลเพ้อฝัน ทั้งหมดเกิดขึ้นดั่งความฝันและไม่จีรังเช่นเวทมนตร์ พอถึงเวลาก็จางหายไป ตอนที่เขาออกมาจากหาดสวรรค์ เวลาก็ล่วงไปค่อนคืนแล้ว ที่นี่ไม่อนุญาตให้แขกพักค้าง ดังนั้นคาริกจึงต้องเดินกลับไปที่โรงแรม

แสงไฟในเมืองบางตาลง บรรยากาศเงียบเหงา ได้ยินเพียงเสียงคลื่นที่ดังแว่วมา คาริกรู้สึกเหงาพิกล แม้เขาจะเพิ่งผ่านความสุขอย่างที่ผู้ชายทุกคนต้องการ แต่กลับรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มเดินมาถึงโรงแรม เขาเงยหน้าขึ้นมอง พลางนึกสงสัยว่าไอดิเอลหลับไปแล้วหรือกำลังเขียนหนังสืออยู่

ภายในห้องพักค่อนข้างมืด มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟเล็กๆ ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ คาริกปิดประตูห้อง แล้วจึงพบว่าห้องพักนี้มีขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของห้องพักรวมที่เขาเคยพักในคีท มีชุดรับแขกชุดใหญ่วางอยู่ และมีประตูอยู่อีกสามบาน สองบานเปิดแง้มอยู่ ส่วนอีกบานหนึ่งปิดสนิท คาริกเดินไปสำรวจบานที่เปิด พบว่าหลังบานหนึ่งเป็นห้องน้ำ ส่วนอีกบานเป็นห้องนอน มีเตียงเดี่ยวสำหรับนอนคนเดียววางอยู่หลังหนึ่ง และมีโต๊ะเขียนหนังสือกับเก้าอี้ชุดหนึ่ง เขาเดินไปที่ประตูที่ปิดสนิท พลางมองไปที่ช่องว่างเล็กๆ ด้านล่าง

ไม่มีแสงสว่างลอดออกมา แสดงว่าคืนนี้ไอดิเอลไม่ได้เขียนหนังสือ

คาริกไม่ได้เคาะประตู เขาเดินกลับมาที่ห้อง พลางนั่งลงบนเตียง จึงเห็นว่าโอเรนนอนซุกอยู่กับหมอน จึงยื่นมือลูบศีรษะฝ่ายนั้นเบาๆ ดูเหมือนเจ้ามังกรจะหลับสนิท จึงไม่ได้ขยับตัวหรือสะดุ้งเลย ชายหนุ่มถอนหายใจ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้นอนในที่พักหรูหราขนาดนี้ ทุกอย่างดีเยี่ยมไม่มีที่ติ สถานที่ให้ความบันเทิงแบบครบวงจรที่ไอดิเอลเรียกอย่างหาดสวรรค์ ก็เป็นสถานที่ที่น่าประทับใจ คาริกคิดว่าตัวเองน่าจะเพิ่งได้ใช้ชีวิตอย่างที่เคยนึกฝันเอาไว้ แต่น่าประหลาดที่เขากลับไม่รู้สึกยินดีอย่างที่ควรจะเป็นเลย

ชายหนุ่มหวนนึกถึงห้องนอนรวมที่สมาคม นึกถึงพวกที่สมาคมคุ้มกัน นึกถึงออกัส และอาหารของที่นั่น

จริงอยู่ที่นั่นไม่สะดวกสบาย ไม่มีสิ่งให้ความบันเทิงใดๆ มากนัก ไม่มีสาวๆ สวยๆ แต่ก็เป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคย และผู้คนที่นั่นก็เป็นคนที่เขาสนิทสนมและคุ้นเคยกันมานาน

คาริกนึกสงสัยว่าเขาด่วนตัดสินใจเกินไปรึเปล่าที่ตามไอดิเอลมา แต่คิดอีกที เขาไม่มีทางเลือก ต่อให้เขาไม่เต็มใจก็แก้ไขอะไรเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นเจ้าตัวจึงค่อยๆ อุ้มโอเรนออกจากหมอน ล้มตัวลงนอน แล้วอุ้มเจ้ามังกรมาซุกไว้กับตัว พลางคิดถึงสิ่งที่เขาควรจะทำเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

.......................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หูยยย หวั่นไวละอ่อ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่12 ซื้อของ


เช้าวันรุ่งขึ้น คาริกลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าโอเรนไม่ได้อยู่ในห้อง ชายหนุ่มจึงรีบเดินออกมาตามหาที่ห้องรับแขกทันที แต่ก็ไม่พบวี่แวว เห็นว่าประตูห้องของไอดิเอลเปิดแง้มอยู่ เลยคิดจะเยี่ยมหน้าเข้าไปสอบถาม แต่พอยกมือเคาะประตูไปครั้งหนึ่ง เสียงของโอเรนก็ดังขึ้น

“คาริกหรือ เจ้าเข้ามาฟังอะไรนี่สิ”

คาริกเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ผลักประตูเข้าไปในห้อง เห็นโอเรนกำลังนั่งอยู่หน้าประตูห้องน้ำ เจ้าตัวถามขึ้นทันที

“เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?”

“ข้ากำลังฟังท่านไอดิเอลร้องเพลง เจ้ามาฟังใกล้ๆ สิ”

คาริกอยากจะบอกหรอกว่ายืนฟังคนอื่นหน้าห้องน้ำแบบนี้มันเสียมารยาท แต่พอได้ยินว่าไอดิเอลร้องเพลง เจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปฟังดูใกล้ๆ

“ร้องเพลงอะไรของเขาเนี่ย” ชายหนุ่มพึมพำออกมาหลังเงี่ยหูฟังไปได้พักหนึ่ง “ฟังดูไม่เหมือนภาษาที่ข้าเข้าใจได้เลย”

“อาจจะเป็นภาษาของพวกจอมเวทก็ได้มั้ง” โอเรนตั้งข้อสังเกต อีกฝ่ายจึงถามต่อ

“เจ้าฟังออกหรือไง?”

“ฟังไม่ออกหรอก ข้าก็ไม่ได้เคยได้ยินเหมือนกัน แต่ข้าพอจะจับได้จากน้ำเสียงและกระแสพลังนะว่ามันน่าจะเป็นเพลงเกี่ยวกับความรักหรือความสุขอะไรทำนองนั้น ท่าทางวันนี้ท่านไอดิเอลจะอารมณ์ดีมากนะ”

“อ้อ... ข้าก็ไม่แปลกใจหรอกนะ” คาริกว่า “ดูจากท่าทางระรื่นของเขาเมื่อวานนี้แล้วน่ะ”

“ท่านไอดิเอลบอกข้าว่าเจ้าต้องนึกขอบคุณเขาที่พาไปที่นั่นเมื่อคืน แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นะ สาวๆ พวกนั้นทำเรื่องไม่ดีกับเจ้าหรือ?”

“เปล่าๆ” คาริกรีบปฏิเสธทันที “พวกนางดีกับข้ามาก แต่ข้าไม่ใช่เฒ่าหัวงูอย่างไอดิเอลนะ ถึงจะได้รู้สึกระริกระรี้ขนาดนั้นน่ะ”

“เจ้าว่าใครเป็นเฒ่าหัวงูกันฮึ!” ไอดิเอลที่เปิดประตูห้องน้ำออกมาส่งเสียงถาม ทั้งคาริกและโอเรนพากันสะดุ้งเฮือก พอหันไปก็เห็นไอดิเอลยืนอยู่ มือข้างหนึ่งเท้าสะเอว อีกข้างหนึ่งยกผ้าขนหนูขึ้นเช็ดผม คาริกอ้าปากค้างไปอึดใจ ก่อนจะเค้นคำพูดออกมา

“นี่ท่านไม่คิดจะนุ่งอะไรก่อนเปิดประตูออกมาเลยหรือไง?!”

“นั่นคือคำพูดของคนที่เสียมารยาทมายืนฟังคนอื่นอาบน้ำงั้นหรือ” ไอดิเอลว่า

คาริกอ้าปากเหมือนอยากเถียง แต่พอมองสิ่งที่แกว่งอยู่ตรงหว่างขาฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ตัดสินใจหันไปทางอื่นเสีย ยังจับโอเรนปิดตาอีกด้วย

“เฮ้ คาริก เจ้าปิดตาข้าทำไม”

“ก็ไม่ให้เจ้าเห็นอะไรน่าอายน่ะสิ”

“หา? อะไรน่าอาย เจ้าหมายถึงร่างกายของท่านไอดิเอลหรือ” โอเรนร้อง พลางดิ้นหนีออกมา “นั่นมันน่าอายตรงไหนกัน?”

“ใช่ ร่างกายของข้ามันน่าอายตรงไหนกัน” ไอดิเอลว่า เขาเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่เรียกได้ว่า ‘เปลือยเปล่า’ คาริกร้องขึ้นทันที

“มันน่าอายตอนที่ท่านแก้ผ้าโทงๆ เดินออกมานี่แหละ ถามจริงเถอะ ไม่อายกับเค้าบ้างหรือไง”

“ทำไมข้าจะต้องอายด้วย” อีกฝ่ายย้อนถาม “ที่นี่เป็นห้องของข้านะ ข้าไม่ได้เดินแก้ผ้าอยู่กลางถนนสักหน่อย พวกเจ้านั่นแหละ เสียมารยาทมายืนฟังคนอื่นอาบน้ำแล้วยังจะปากดีอีก”

“เอ่อ... ข้าอาจจะเสียมารยาทก็จริงนะ แต่ท่านก็ควรจะอายข้าหรือไม่ก็โอเรนบ้าง ถึงจะไม่ได้อยู่กลางถนนก็เถอะ”

“อายพวกเจ้าเนี่ยนะ?” อีกฝ่ายทำหน้าแปลก “ข้าช่วยชีวิตเจ้า จ่ายเงินจ้างเจ้า แล้วนี่ข้ายังต้องอายเจ้าเวลาออกจากห้องน้ำอีกหรือ ไร้สาระน่า ข้าไม่เคยเอาเสื้อผ้าเข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำ มันไม่สะดวก ทำไมพอมีเจ้าโผล่มาแล้วข้าจะต้องทำเรื่องน่ารำคาญแบบนั้นด้วย”

“....”

“ส่วนโอเรน เขาก็ไม่เคยสวมเสื้อผ้าอยู่แต่แรกแล้ว จะไปอายทำไม”

“ก็จริงของท่านไอดิเอลนะ ข้าไม่เห็นว่าจะต้องอายเลย ผมท่านไอดิเอลก็สวยดีออก” โอเรนพยักหน้าเห็นด้วย คาริกไม่ได้พวก แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้

“นี่มันเอกสิทธิ์ความหน้าด้านเฉพาะคนมีอายุแบบท่านหรือไงนะ”

ไอดิเอลใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือผ้าเช็ดตัวเกี่ยวคางคาริกให้หันมา “งั้นครั้งหน้าข้าอนุญาตให้เจ้าแก้ผ้าเดินออกมาจากห้องน้ำได้ จะได้เลิกบ่นเสียที”

“ข้าไม่ได้เป็นกังวลเรื่องนั้นน่า”

“งั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ” ไอดิเอลว่า ก่อนจะดึงมือออก “ในเมื่อเจ้าอยู่นี่แล้วก็ช่วยข้าเช็ดผมหน่อยแล้วกัน มีผ้าอีกผืนวางอยู่ตรงนั้น ไปหยิบมาสิ”

ไอดิเอลชี้มือไปยังผ้าขนหนูที่พาดอยู่บนราว คาริกจึงจำต้องเดินไปหยิบมาอย่างเสียไม่ได้ ผมของไอดิเอลยาวมาก เส้นผมเล็กบาง เป็นประกายเงางามเหมือนเส้นด้ายที่ทอจากแร่เงิน ทั้งยังนุ่มลื่น เวลาลูบให้ความรู้สึกดีกว่าผ้าไหมที่ใช้ปูที่นอนในโรงแรมเสียอีก คาริกใช้ผ้าเช็ดผมฝ่ายนั้นไปสักพัก ก็ถามขึ้น

“ทำไมท่านอาบน้ำบ่อยนักล่ะ ข้าคิดว่าเนื้อตัวท่านแทบจะไม่สกปรกเลยนะ กลิ่นตัวท่านก็ไม่มี”

“ต้องรอให้สกปรกก่อนหรือไงถึงค่อยอาบน่ะ” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ข้าชอบทำความสะอาดร่างกายตัวเอง ถึงมันจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าก็เถอะ คงเหมือนคนที่ชอบทำความสะอาดโต๊ะเขียนหนังสือ หรือนักดาบที่ชอบเช็ดดาบของตัวเองนั่นล่ะ”

“ท่านเปรียบเทียบอย่างกับว่าร่างกายของท่านเป็นสิ่งของงั้นแหละ”

“มันก็ไม่ต่างกันนักหรอกน่า”

“ว่าแต่เมื่อครู่ท่านร้องเพลงอะไรน่ะ ข้าไม่เคยได้ยินภาษาแบบนั้นมาก่อนเลย โอเรนบอกว่ามันอาจจะเป็นภาษาของพวกจอมเวท”

“อ้อ... ใช่ มันเป็นภาษาโบราณที่ข้าเคยใช้เมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้แทบจำไม่ได้แล้วล่ะ จำได้แต่เพลงง่ายๆ ที่เคยร้องสมัยยังเป็นหนุ่มวัยละอ่อนแบบเจ้านั่นแหละ”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านเคยมีวัยแบบนั้นกับเค้าด้วยแฮะ” คาริกว่า “การไปที่หาดสวรรค์นั่นทำให้ท่านรู้สึกหนุ่มขึ้นมาเยอะเลยงั้นสิ”

ไอดิเอลหัวเราะ “แน่นอน เจ้าก็เห็นนี่ว่าตลอดทางที่ผ่านมาข้าต้องเจออะไรบ้าง ข้าชอบที่แบบหาดสวรรค์เพราะพวกผู้หญิงให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากกว่า แค่ได้เห็นพวกนางก็รู้สึกสดชื่นแล้ว แต่ถ้าเจ้าเห็นว่าการได้เห็นหนวดหรือกล้ามของผู้ชายให้ความรู้สึกผ่อนคลายกว่า ข้าก็จะไม่พาเจ้าไปที่แบบนั้นอีก”

“ใครมันจะไปเห็นของแบบนั้นแล้วรู้สึกผ่อนคลายกันเล่า” คาริกร้องขึ้นทันที “ข้าไม่ได้วิปริตนะ”

“ข้าก็ยังไม่ได้พูดสักคำ” ไอดิเอลว่า “แต่ข้าประหลาดใจอยู่นะ คิดว่าเจ้าจะอารมณ์ดีกว่านี้ตอนตื่นมาเสียอีก พวกนางบริการไม่ดีหรือไง”

“ดีสิ” ชายหนุ่มตอบทันควัน “ดีจนข้าอยากจะอยู่แบบนั้นทั้งคืนเลยล่ะ”

“อ้าว แล้วไหงท่าทางเจ้าไม่ค่อยมีความสุขเลยล่ะ อย่าบอกนะว่าเพราะเห็นข้าเดินแก้ผ้าออกมาจากห้องน้ำน่ะ”

คาริกจ้องหน้าฝ่ายนั้น “ถ้าข้าบอกว่าใช่ ท่านจะเลิกเดินแก้ผ้าออกมาหรือไง”

“ไม่ ข้าจะได้ให้เจ้าไปพักอีกห้องหนึ่ง”

คาริกถอนหายใจเฮือก “ที่ข้าอารมณ์ไม่ดี คงเป็นเพราะข้ารู้สึกเหงาน่ะ”

“หืม?”

“ก็ท่านเล่นทิ้งให้ข้าเดินกลับมาคนเดียวนี่นา พอมาถึงก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว สำหรับข้ามันเหงามากนะ เหมือนว่าไม่มีใครรอข้าอยู่เลย”

“อ๋อ ที่แท้เพราะเจ้าเหงานี่เอง” โอเรนที่เกาะอยู่บนศีรษะของเขาพูดออกมา “พอเจ้าพูดออกมาแล้วข้าก็รู้สึกว่าพลังงานของเจ้าตอนนี้มันคล้ายตอนที่เจ้าไปเก็บของที่ห้องอยู่เหมือนกันนะ”

ไอดิเอลหันมาหาเขา ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าเหงาเพราะข้าให้เจ้าเดินกลับมาคนเดียวงั้นหรือ ข้าคิดว่าเจ้าต้องการเวลาส่วนตัวเสียอีก”

พูดจบก็ดึงชายหนุ่มเข้าไปกอด แล้วลูบศีรษะเหมือนปลอบเด็ก “โอ๋ๆ เจ้าอย่าคิดมากเลยนะ เดี๋ยวผ่านไปสักพักก็ชินเองนั่นแหละ”

คาริกรีบผลักอีกฝ่ายออก “ไอ้การปลอบใจของท่านแบบนี้นี่ ไม่ต้องทำเลยข้าจะรู้สึกว่าท่านจริงใจกว่านะ”

“แหม... ทำเป็นรังเกียจไป” ไอดิเอลว่า “เพราะข้าไม่ได้มีหน้าอกนิ่มๆ แบบสาวๆ พวกนั้น เจ้าก็เลยไม่รู้สึกเหมือนถูกปลอบใจสินะ”

“อย่าเอาข้าไปเทียบกับเฒ่าหัวงูแบบท่านนะ” คาริกพูดพลางถอนหายใจ “เฮ้อ... ทำไมตอนนั้นข้าถึงได้คิดจะกระโดดไปรับไข่มังกรนั่นให้ท่านกันนะ”

“ประเด็นนั้นข้าว่าจะไม่พูดถึงอยู่แล้วนา...” ไอดิเอลพูดออกมา “ก็บอกแล้วว่าพันธะสัญญานี้มันไม่มีผลดีกับเจ้า ไม่เป็นไร เจ้าวางใจเถอะ ถึงนครเวหาจะเป็นสถานที่นี่มีแต่คนน่ารำคาญอยู่เต็มไปหมด แต่ห้องสมุดของที่นั่นรวบรวมคำตอบของทุกปัญหาบนโลก ข้าเชื่อว่าจะต้องมีวิธีจัดการบางอย่างกับพันธะสัญญานี่”

“ข้ายังไม่ได้คิดถึงเรื่องพันธะสัญญานั่นเลย” คาริกว่า ก่อนจะถอนหายใจอีก “แต่ช่างเถอะ มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอกนะ อย่างน้อยๆ ท่านก็เป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้นี่นา”

ไอดิเอลมองหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะยิ้มพลางยกมือขึ้นขยี้ศีรษะเขาเบาๆ “นานๆ เจ้าก็พูดอะไรเข้าหูข้าเหมือนกันนะเนี่ย”

“ข้าก็แค่พูดเรื่องจริงตามที่มันเป็นอยู่น่ะ” อีกฝ่ายตอบ ไอดิเอลลูบศีรษะเขาอยู่พักก็พูดขึ้น

“เจ้าไปจัดการตัวเองเถอะ เดี๋ยวข้าจะให้โอเรนช่วยแต่งตัว”

ชายหนุ่มสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไร... ให้ข้าทำเถอะ อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์กับท่านบ้าง ไม่ใช่แค่ของที่บังเอิญได้มาโดยไม่ต้องการน่ะ”

“.....”

ทั้งคู่จ้องหน้ากันอยู่พักใหญ่ ในที่สุดไอดิเอลก็เป็นฝ่ายพยักหน้า “นั่นสินะ... ข้ารับปากจ้างเจ้าแล้วนี่นา”

โอเรนร้องขึ้นทันที “ให้ข้าช่วยด้วยสิ ข้าก็อยากมีประโยชน์กับท่านไอดิเอลเหมือนกันนะ”

“งั้นเจ้าไปหยิบเสื้อผ้าที่พาดอยู่ตรงนั้นมาให้ข้า ส่วนคาริก เจ้าก็ช่วยหวีผมแล้วกัน”

ผมของไอดิเอลหวีง่ายแทบไม่พันกัน แต่ถ้าสางเองจนถึงปลายก็คงจะใช้เวลาพอสมควร คาริกหวีไปก็ถามขึ้นมา

“ท่านไว้ผมยาวขนาดนี้ ไม่รำคาญหรือ”

“รำคาญสิ”

“งั้นทำไมไม่ตัดเสียล่ะ”

“มันไม่มีกรรไกรของช่างคนไหนตัดได้น่ะสิ ข้าคิดว่าถ้าใช้ดาบที่ดีที่สุดฟันลงไปมันอาจจะขาดก็ได้ แต่ผมคงไม่เป็นทรง และดาบน่าจะเสียคมอยู่นะ”

“ผมท่านนี่มันเป็นผมหรือว่าอะไรกันล่ะนี่”

“มันก็เป็นผมนั่นแหละ เพียงแต่มันไม่ใช่ผมแบบของมนุษย์หรือสัตว์ก็เท่านั้นเอง”

“ฟังแล้วข้าก็สงสัยนะ สรุปแล้วพวกท่านถือกำเนิดขึ้นมาแบบไหน เจ้าชายบัลดริกซ์บอกว่าพวกท่านไม่เคยเล่าเรื่องตัวเอง”

“ใช่ รู้แบบนี้แล้วเจ้ายังจะถามทำไมอีก”

“ก็เผื่อท่านจะเล่า”

ได้ยินเสียงเหมือนไอดิเอลถอนหายใจ “ถ้าเราอยู่ด้วยกันนานพอ บางทีสักวันข้าอาจจะเล่าให้เจ้าฟัง แต่ตอนนี้ข้าไม่อยากเล่า”

“ต้องเป็นผู้หญิงสวยๆ ก่อนหรือท่านถึงจะยอมเล่า เมื่อวานท่านเล่าเรื่องให้พวกนางฟังเยอะแยะเลยนี่นา” โอเรนถามขึ้นมา เขาใช้ขาหน้าอุ้มเสื้อตัวในมาส่งให้ไอดิเอล จอมเวทยื่นมือไปรับแล้วตอบ

“ข้าอาจจะเล่าเรื่องประหลาดพิสดารเป็นร้อยเป็นพันเรื่องให้พวกนางฟังได้ แต่ไม่ใช่เรื่องนี้แน่ พวกเจ้าไม่ต้องน้อยใจไปที่ตัวเองไม่ใช่สาวสวย ไม่มีจอมเวทคนไหนอยากเล่าถึงเรื่องนี้หรอก รวมถึงข้าด้วย เพราะงั้นหยุดถามได้แล้ว ก่อนที่ข้าจะอารมณ์เสียจริงๆ”

“....”

โอเรนรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “งั้นข้าไปหยิบเสื้อตัวนอกมาให้ท่านนะ”

เสื้อผ้าที่ไอดิเอลสวมเป็นสีดำทั้งหมด ชุดตัวในที่ทอจากผ้าฝ้ายน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ตัวนอกรวมถึงผ้าคลุมที่ทอจากขนสัตว์กันน้ำปักดิ้นทองนี่น้ำหนักเอาเรื่องอยู่ คาริกเห็นโอเรนพยายามถูลู่ถูกังลากขึ้นมาแล้วอดสงสารไม่ได้

“นี่ โอเรน เจ้าวางไว้เถอะ เดี๋ยวข้าไปหยิบให้เอง”

“ไม่เป็นไร ข้ายกไหว ฮึบ!”

ในที่สุด หลังจากใช้ความพยายามอยู่พัก เขาก็ลากเสื้อตัวนอกมาให้ไอดิเอลได้สำเร็จ

“เสื้อผ้าท่านนี่หนักจังแฮะ ข้าไม่คิดเลยว่าจะหนักขนาดนี้”

“มันทอด้วยดิ้นทองก็ต้องหนักล่ะนะ” คาริกว่า แล้วเดินไปหยิบเสื้อคลุม ขณะที่ไอดิเอลสวมเสื้อตัวนอกทับเสื้อชั้นใน

“พวกเจ้าจงดีใจเถอะที่ไม่ต้องสวมเสื้อผ้าหนักขนาดนี้น่ะ”

“ว่าแต่จอมเวททุกคนต้องใส่เสื้อผ้าสีดำหรือ” คาริกถามขึ้นต่อ ไอดิเอลตวัดเสื้อคลุมขึ้นสวมแล้วตอบ

“เปล่านี่... เวโรนิกาชอบใส่สีขาวกับสีชมพู ฟัยรุซาชอบสีทองกับสีแดง แต่ที่พวกเจ้าเข้าใจแบบนั้น คงเพราะจอมเวทที่ออกเดินทางส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แล้วเสื้อคลุมที่ทอจากขนนากทะเลก็มีแต่สีน้ำตาลเข้มกับสีดำ เลยทำให้รู้สึกว่าจอมเวทจะต้องสวมเสื้อผ้าสีดำล่ะมั้ง อ้อ... ดูเหมือนเครื่องแบบของพวกนักเวทฝึกหัดก็เป็นสีดำหรือสีน้ำตาลด้วยนี่นะ... ข้าไม่รู้ว่าใครออกกฎ แต่คงเป็นไปเพื่อความสะดวกล่ะมั้ง”

“งั้นแสดงว่าท่านชอบสีดำน่ะสิ” โอเรนว่า “ก็ท่านเล่นใส่สีดำทั้งตัวเลยนี่นา”

“อาจจะใช่นะ ข้าว่าสีดำมันเคร่งขรึม แล้วก็สะดวกกับการรักษาดี ไม่ต้องระวังเลอะ ซักก็ง่าย ถ้าเป็นสีอ่อนเลอะนิดหน่อยก็มองเห็นแล้ว”

“จริงของท่านนะ” คาริกว่า “แต่เสื้อที่ย้อมสีเข้มๆ แบบนี้น่ะราคาแพงเอาเรื่องมาก ข้าขอใส่สีมอๆ แบบนี้ต่อไปดีกว่า”

“เจ้ายังเด็ก ใส่สีดำไปก็ดูอมทุกข์เปล่าๆ น่า” ไอดิเอลว่า “จริงสิ เดี๋ยวกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว ข้าจะพาเจ้าออกไปหาซื้อเสื้อผ้าใหม่”

“แต่งตัวแบบนี้เดินไปกับท่านมันน่าอายหรือไง”

ไอดิเอลหรี่ตามองเขา “ไอ้คนที่อายน่ะมันเจ้าหรือข้ากันแน่ แค่เห็นข้าเดินไม่ใส่เสื้อออกมาจากห้องน้ำ เจ้ายังบ่นเสียหน้าดำหน้าแดง ข้าอยู่มาปูนนี้เลิกสนใจเรื่องเสื้อผ้าไปนานแล้ว ขอให้มีใส่ไม่ขัดตาเป็นใช้ได้ แต่เจ้ายังเด็กแบบนี้ แต่งตัวให้ดีดีกว่า ไม่งั้นเดี๋ยวจะเสียความมั่นใจเอา เชื่อข้าเถอะน่า”

“....”

“ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่ต้องกังวล ข้าจะซื้อให้เจ้าเป็นของขวัญ ถือว่าปลอบใจที่ทิ้งเจ้าให้เดินกลับคนเดียวเมื่อคืนนี้แล้วกัน ว่าไง... ข้าว่าข้าเป็นนายจ้างที่ใจดีและใจกว้างมากแล้วนะเนี่ย”

คาริกนึกอยากจะกระโดดกัดไอดิเอลสักคำ “ก็ได้ ในเมื่อท่านออกปากเอง ข้าปฏิเสธไปก็ใช่ที่นี่นา แต่ข้าขอแวะร้านหนังสือด้วยนะ อยากรู้ว่าท่านเขียนตำราขายจริงๆ รึเปล่า”

ไอดิเอลหัวเราะอีก “ได้ ข้าก็ตั้งใจจะพาเจ้าไปอยู่แล้ว”

..........................................

หลังมื้อเช้า ไอดิเอลพาคาริกไปเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ร้านซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของทริโกนัม เป็นร้านขายเสื้อผ้าสำหรับนักเดินทางโดยเฉพาะ เจ้าของร้านเป็นสาวสวยตัดผมสั้น ท่าทางทะมัดทะแมง นางดูประหลาดใจที่เห็นจอมเวทก้าวเข้ามาในร้าน แต่ก็รีบเดินมาต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านจอมเวทสนใจเสื้อผ้าแบบไหนหรือคะ ร้านเรามีเสื้อตัวในที่ทอจากลินินอย่างดี ทนทานในทุกสภาวะอากาศ หรือจะเป็นเสื้อผ้าฝ้ายอย่างหนา เราก็มีจำหน่ายนะคะ มีบริการแก้ทรงให้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมด้วยค่ะ”

ไอดิเอลยิ้มตอบนาง “ข้าไม่ได้มาซื้อเสื้อผ้าใส่เองหรอก ของเจ้าหนุ่มนี่น่ะ” เขาบุ้ยหน้าไปทางไอดิเอล สาวเจ้าของร้านดูมีสีหน้าโล่งขึ้น คงเพราะการขายเสื้อผ้าให้พ่อหนุ่มคนนี้ น่าจะง่ายกว่าการขายให้จอมเวท ที่เฉพาะเสื้อคลุมตัวเดียวก็ดูจะมีมูลค่ามากกว่าเสื้อในร้านของนางทั้งราวเสียอีก

นางหันไปหาคาริก ยิ้มให้ชายหนุ่ม แล้วพูดขึ้นต่อ “ท่านคงเป็นนักดาบสินะ ข้ามีชุดที่ทอจากผ้าลินินผสมขนแมกนิส คอร์นิบัส แข็งแรง ทนทาน มีหูสำหรับสอดสายสะพายดาบ เหมาะกับท่านมากๆ”

“มีชุดทนไฟบ้างไหม” ไอดิเอลแทรกขึ้น “แบบที่ทอจากขนของรูบี้ ครินิตัสก็ได้”

“พวกท่านจะเดินทางไปที่ภูเขาอินิกเทียม ลูซิสกันหรือ? ข้ามีของที่เด็ดยิ่งกว่าเสื้อที่ทอจากขนของรูบี้ ครินิตัสเสียอีก รอสักครู่นะคะ” นางเดินหายไปที่ด้านหลังร้าน สักพักก็กลับมาพร้อมกล่องกระดาษขนาดใหญ่กล่องหนึ่ง

“นี่คือชุดที่ตัดเย็บจากหนังของอิกเน่ ลาเชอร์ตา เพิ่งมาใหม่สดๆ ร้อนๆ ยังไม่ทันเอาขึ้นหุ่นแสดงเลยค่ะ มีครบชุดทั้งเสื้อ กางเกง ถุงมือ รองเท้าบูท แถมสายสารพัดประโยชน์ไว้สำหรับคาดอาวุธด้วย หายากมากนะคะท่าน ที่เราจะได้หนังสมบูรณ์มาขึ้นชุดได้ทั้งตัวแบบนี้”

นางพูดพลางเปิดกล่องกระดาษออก หยิบชุดด้านในออกมา ส่งให้คาริก

“ลองดูสิคะ”

ชายหนุ่มมองชุดในมือ แล้วหันไปหาไอดิเอล เห็นฝ่ายนั้นพยักหน้า

“ชุดนี้เข้าท่านะ ลองสิ ข้าอยากรู้ว่าเป็นไง”

คาริกจึงรับชุดนั้นมาแล้วเข้าไปในห้องลองเสื้อ หนังของอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่ฟอกแล้วเป็นสีแดงก่ำเหมือนเลือดแห้ง ดูเงาระยับคล้ายกับมีเปลวไฟซุกซ่อนอยู่ ตัวเสื้อตัดเย็บแบบคอแบะ มีกระดุมด้านหน้าและสายปรับความพอดีด้านหลัง ชายยาวลงไปถึงหัวเข่า เจาะกระเป๋าตรงโคนขา กางเกงเป็นแบบมีสายปรับด้านข้าง พร้อมกระเป๋าคาด คาริกรู้สึกตื่นเต้น เมื่อคิดว่านี่อาจจะเป็นหนังของอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่เขาเพิ่งสังหารไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่อยากเชื่อเลยว่าพอเอามาฟอกและตัดเย็บแล้วจะดูดีขนาดนี้

เขาสวมเสื้อผ้าชุดนั้นแล้วเดินออกมาจากห้องลองเสื้อ มีเด็กรับใช้ในร้านมาช่วยปรับสายด้านหลังให้ หญิงสาวเจ้าของร้านหิ้วรองเท้าบูทคู่หนึ่งมา มองดูเขาแล้วยิ้ม

“ท่านสวมแล้วดูดีมากเชียวค่ะ ลองรองเท้าบูทดูสิคะ เราตัดมาได้สามคู่ คิดว่าคู่นี้น่าจะขนาดพอดีกับเท้าของท่าน”

เด็กรับใช้มาช่วยเขาสวมรองเท้า ขนาดพอดีอย่างที่หญิงสาวว่า ชายหนุ่มหันไปหาจอมเวท

“เป็นไง”

“ดูดีเชียวล่ะ” ไอดิเอลว่า โอเรนที่เกาะอยู่บนไหล่รีบพยักหน้า พลางยกขาหน้าทำนองว่า ‘ยอดไปเลย’ จอมเวทพูดขึ้นต่อ

“ชอบรึเปล่า”

“อือ”


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“อย่างนั้นตกลงซื้อชุดนี้ ทั้งชุดเลย” เขาหันไปหาหญิงสาว “เจ้าช่วยเขาเลือกชุดลำลองอีกสักตัวสิ เอาที่ใส่สบายหน่อย ไม่หนักมาก สีสว่างๆ เหมาะกับวัยรุ่นแบบเขาน่ะ”

คาริกมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ท่านจะให้ข้าซื้ออีกชุดหรือ”

“ใช่ ไม่ต้องทำหน้าตกใจ ข้าจะเป็นคนจ่ายทั้งหมดนี่เอง”

คาริกเลือกได้ชุดผ้าลินินสีฟ้ากับกางเกงสีกรมท่าอีกชุดหนึ่ง ไอดิเอลให้เขาเปลี่ยนไปสวมชุดที่ตัดเย็บจากหนังของอิกเน่ ลาเชอร์ตา ส่วนชุดเก่ากับชุดสีฟ้าที่เพิ่งซื้อใหม่พับเก็บใส่กระเป๋า จากนั้นจึงไปที่คอกเพื่อจ่ายเงินค่าเสื้อผ้า

“ทั้งหมดแปดร้อยห้าสิบสามเหรียญทองค่ะ”

คาริกได้ยินถึงกับอ้าปากค้าง ขณะที่ไอดิเอลหยิบสมุดตั๋วแลกเงินขึ้นมา หยิบปากกาเขียนตัวเลขลงไป แล้วฉีกออกมาใบหนึ่ง หญิงสาวรับมาแล้วเอ่ยขอบคุณซ้ำหลายครั้ง ก่อนจะหยิบห่อกระดาษห่อหนึ่งขึ้นมา

“นี่เป็นปลอกคอ เราแถมให้ค่ะ คิดว่าน่าจะเหมาะกับสัตว์เลี้ยงของท่าน”

ไอดิเอลเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “สัตว์เลี้ยง?”

“ค่ะ ก็กระรอกน้อยสีเขียวที่ไหล่ท่านไงคะ”

จอมเวทกะพริบตาซ้ำครั้งสองครั้ง ก่อนจะพูดออกมา “เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยง เขาเป็นสหายของข้า”

“ตายจริง” หญิงสาวมีสีหน้าตกใจ “ทางเราไม่มีเจตนาจะเสียมารยาท ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ค่ะ”

“ไม่เป็นไร” ไอดิเอลว่า “เก็บปลอกคอของเจ้าไว้เถอะ ถ้าเปลี่ยนเป็นกระเป๋าสัมภาระสักใบแทนคำขอโทษจะดีมาก”

หญิงสาวรีบกุลีกุจอไปหากระเป๋ามาแถมให้ทันที พอออกจากร้านมาแล้ว คาริกจึงถามขึ้น

“ไม่น่าเชื่อว่านางจะแถมกระเป๋าอีกใบให้ท่านแฮะ ที่จริงแล้วมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเองนี่นา”

“ไม่มีใครอยากทำให้จอมเวทโกรธหรอก” ไอดิเอลว่า “อีกอย่างข้าซื้อของไปตั้งเยอะ แถมกระเป๋าใบนึงก็ไม่ขาดทุนหรอก”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านจะงกของแถมนะเนี่ย” คาริกว่า ไอดิเอลชายตามองเขาเป็นเชิงตำหนิ ขณะที่โอเรนส่งเสียงขึ้น

“แต่ข้าอยากได้ปลอกคอนะ” เจ้ามังกรว่า “ไม่ได้หมายถึงข้าอยากเป็นสัตว์เลี้ยงของท่าน แต่ว่าท่านซื้อเสื้อผ้าให้คาริกแล้ว ข้าก็อยากได้บ้างนี่นา”

ไอดิเอลหัวเราะ “ของที่เหมาะกับเจ้ามากกว่าปลอกคอยังมีอีกเยอะน่า”

จากนั้นไอดิเอลก็เดินเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากร้านขายเสื้อผ้านัก คราวนี้เจ้าของร้านเป็นผู้ชายไว้หนวด ท่าทางภูมิฐาน ที่หน้าร้านมีตู้กระจกวาววับ ด้านในมีอัญมณีวางอยู่ ดูละลานตาท่ามกลางแสงไฟที่ติดตั้งเพื่อเพิ่มความสว่างด้านใน

“โอ้ ท่านไอดิเอล วันนี้มีอะไรมาขายหรือครับ”

“วันนี้ข้าไม่มีอะไรมาขายหรอก” ไอดิเอลว่า “ข้าอยากได้สร้อยมรกตสักเส้นหนึ่งน่ะ”

ชายคนนั้นเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ท่านจะไม่ใช้ศิลาธาตุแล้วหรือครับ”

“ไม่ใช่ของข้า ของสหายตัวเล็กนี่น่ะ” เขาพูดพลางบุ้ยหน้าไปทางโอเรนที่เกาะอยู่บนศีรษะของคาริก

“อ่า...” เจ้าของร้านอัญมณีส่งเสียงด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับโอเรนอีก เขารีบวกไปพูดเรื่องการค้าต่อทันที

“อ้อ มีสิครับ ชอบเป็นมรกตเม็ดใหญ่คล้องสร้อยทอง หรือจะเป็นมรกตเม็ดเล็กลงหน่อย เข้าเรือนทองเรียงต่อกันเป็นสายสร้อยดีครับ”

“โอเรน เจ้าชอบแบบไหน”

“ท่านจะซื้อมรกตให้ข้าหรือ” โอเรนย้อนถาม “หน้าตามันเป็นยังไงน่ะ”

ชายคนนั้นรีบหยิบสร้อยคอมรกตที่อยู่ในตู้ขึ้นมาอวดทันที “แบบนี้ครับ นี่เป็นมรกตเนื้อดีมาก เขียวและใสสะอาด แทบไม่มีรอยร้าวในเนื้อปรากฏให้เห็นเลย”

โอเรนชะโงกไปดู ก่อนจะพูดออกมา “ก็สวยนะ แต่ข้าอยากได้ของที่เหมือนกับดวงตาของท่านไอดิเอลน่ะ”

คาริกกระซิบขึ้นมา “นี่ เขาจะซื้อให้ เจ้ายังจะเรื่องมากอีกหรือ”

“ก็ท่านไอดิเอลถามว่าข้าชอบแบบไหนนี่นา”

คนขายปั้นหน้ายิ้มแย้มแล้วพูดต่อ “ถ้าพูดถึงดวงตาของท่านไอดิเอล ข้าว่าไม่มีอะไรจะเทียบได้เท่าบุษราคัมอีกแล้วล่ะ”

เขารีบเดินไปหยิบสร้อยข้อมือที่ทำจากบุษราคัมเข้าเรือนทองร้อยด้วยห่วงทองคำวงเล็กๆ ขึ้นมา

“นี่ไงครับ สีเหลืองใสสว่างวาว ทอประกายงดงามใกล้เคียงกับดวงตาของท่านไอดิเอลเลย”

ดวงตาสีแดงของโอเรนเป็นประกาย เขามองสร้อยบุษราคัมเส้นนั้น สลับกับมองหน้าไอดิเอล จากนั้นก็ผงกศีรษะหงึกๆ

“ใช้ได้ ข้าชอบเส้นนี้”

“งั้นก็ลองดูสิว่าสวมพอดีรึเปล่า”

เจ้าของร้านรีบหยิบผ้ากำมะหยี่มาปูให้บนตู้ แล้วหยิบกระจกมาวาง “เชิญครับ เดี๋ยวผมจะลองสวมให้”

โอเรนกระโดดลงไปนั่งที่ผ้ากำมะหยี่ ชายคนนั้นจึงลองสวมสร้อยที่คอของเขา สร้อยแทบจะจมหายไปในขนของโอเรน เขาพูดด้วยความประหลาดใจ

“คอท่านเล็กนะครับเนี่ย ผมคิดว่าจะใส่ไม่ได้เสียอีก”

“ไหนๆ ขอข้าดูหน่อย” โอเรนว่า เขาขยับไปที่กระจก แล้วยกขาหน้าขึ้นขยับสร้อยคอเล็กน้อย ก่อนจะหันไปหาไอดิเอล

“สวยสุดๆ ไปเลย ท่านว่าสวยรึเปล่า”

“เจ้าบอกว่าสวยก็ต้องสวยอยู่แล้วสิ” ไอดิเอลตอบพลางยิ้ม โอเรนหันไปมองคาริก

“เจ้าล่ะ เห็นว่าไง”

“สวยแล้ว” คาริกว่า “แต่แน่ใจนะว่ามันจะไม่หลุดน่ะ”

เจ้าของร้านอัญมณีรีบพูดทันที “ตัวล็อกของร้านเราออกแบบพิเศษ ถ้าไม่รู้วิธีถอดไม่มีทางแกะออกหรอกครับ”

“โอ้โห ดีจังเลย” โอเรนว่า “งั้นสอนข้าหน่อยสิ เผื่อข้าอยากถอดออกมาทำความสะอาดน่ะ”

“ได้สิครับ” ฝ่ายนั้นสมเป็นมืออาชีพ ไม่ถามสักคำว่าโอเรนจะใช้ขาหน้าสั้นๆ ถอดสร้อยเส้นนั้นได้อย่างไร เขาปลดสร้อยออกมา สาธิตวิธีการใส่และปลดตัวล็อกให้โอเรนดู อีกฝ่ายลองทำตาม ปรากฏว่าทำได้เสียด้วย ไอดิเอลจึงขอดูสร้อยเส้นนั้น แล้วพูดขึ้นต่อ

“ข้าตกลงซื้อสร้อยเส้นนี้ แล้วก็จี้ศิลาจันทราเส้นนั้นด้วย ที่เป็นรูปดอกไม้น่ะ”

คนขายยิ้มพลางรีบหยิบสร้อยเส้นที่ว่าขึ้นมา “ท่านนี่ตาถึงอีกแล้ว เส้นนี้งานดีมากนะครับ เป็นทองคำชุบทองคำขาว ศิลาจันทราเนื้องามสดใส ทอประกายเล่นแสงตลอดเวลา จะแพ้ก็แต่ศิลาธาตุที่ท่านสวมอยู่เท่านั้น”

“ข้าชอบที่มันล้อมเพชร” ไอดิเอลว่า “คิดราคาเลย เส้นนี้ใส่กล่องสวยๆ หน่อยนะ ข้าจะเอาไปฝากเพื่อน”

“อ๋อ ได้สิครับ แล้วอีกเส้นจะให้ใส่กล่องด้วยไหมครับ”

โอเรนสั่นศีรษะ “ไม่ๆ เส้นนี้ข้าจะสวมไปเลย ไม่ต้องเอากล่องมาให้เกะกะหรอก”

สรุปแล้วไอดิเอลจ่ายค่าสร้อยไปสองเส้นรวมหนึ่งพันสองร้อยแปดสิบเหรียญทอง คาริกเห็นราคาแล้วก็อดถามไม่ได้

“ขนาดทองหยิบทองหยองเส้นเล็กๆ ยังราคาขนาดนี้ แล้วเครื่องประดับบนตัวท่านนี่จะราคาขนาดไหนกัน”

ไอดิเอลหันมายิ้ม “เจ้าไม่ต้องรู้หรอกน่า เพราะข้าเองก็จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน”

“....”

“ข้าไม่เห็นอัญมณีแบบที่ท่านไอดิเอลสวมขายอยู่ในร้านนั้นเลย” โอเรนว่า “แล้วที่วางขายอยู่ทั้งหมดก็ไม่มีชิ้นไหนมีพลังเทียบเท่าที่ท่านสวมอยู่ด้วย”

“ที่ข้าสวมอยู่เรียกว่าศิลาธาตุ” ไอดิเอลอธิบาย “หลังการระเบิดครั้งใหญ่ มันเลยกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งหกอาณาจักร ชิ้นใหญ่ๆ น่ะหายากมาก แหล่งที่หาได้เยอะที่สุดคือบริเวณปากปล่องแห่งการสิ้นสูญ ซึ่งตอนนี้ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปทำเหมืองแล้ว ศิลาธาตุน่ะไม่มีขายตามร้านขายเครื่องประดับธรรมดาหรอก ที่เดียวที่เจ้าจะสามารถซื้อศิลาธาตุได้อย่างถูกกฎหมาย คือที่นครเวหา”

โอเรนตาโต “เรากำลังจะไปที่นั่นกันใช่ไหม”

“ใช่แล้ว แต่ก่อนจะไปขึ้นเรือเหาะ ข้าต้องแวะร้านหนังสือตามที่สัญญากับคาริกเอาไว้ก่อน”

ร้านหนังสือที่ไอดิเอลเลือกเข้า เป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดในทริโกเนีย เป็นอาคารที่ก่อจากหิน ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนตรงข้ามกับทริโกนัม สูงสามชั้น เจ้าของร้านเป็นชายชราสวมแว่นตาหนาเตอะ เขาดูดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นไอดิเอลแวะเข้าไปที่ร้าน

“โอ้ ท่านไอดิเอล ท่านได้หนังสือที่ข้าตามหาแล้วหรือ”

ไอดิเอลหัวเราะ “หนังสือเล่มนั้นอยู่ในหอสมุดของนครเวหา ข้าอาจจะทำสำเนามาให้เจ้าได้ แต่ไม่ใช่วันนี้แน่อัลเบิร์ต ข้าพาผู้ช่วยมาซื้อหนังสือ”

“หืม?” ตาเฒ่าอัลเบิร์ตขยับแว่นพลางเขม้นมองคาริกที่ยืนอยู่ข้างๆ “โอ้... นี่มันนูเบส โฟลิอุมนี่นา เดี๋ยวนี้ท่านรับผู้ช่วยเป็นมังกรแล้วหรือ”

คาริกขมวดคิ้วพลางถลึงตามองชายชรา ขณะที่โอเรนพูดขึ้น “ข้าไม่ใช่ผู้ช่วยท่านไอดิเอล ถึงแม้ว่าข้าจะอยากเป็นมากก็เถอะ เจ้าคนที่ข้าเกาะอยู่นี่ต่างหาก เขาชื่อคาริก”

ชายชราขยับแว่นอีกที แล้วทำสีหน้าเหมือนเพิ่งเห็นว่าคาริกอยู่ตรงนั้นก็ปาน “อ้อ... เจ้าหนูนี่เองรึ”

เขาหันไปหาไอดิเอล “ผู้ช่วยของท่านยังเป็นหนุ่มน้อยอยู่เลยนี่นา ท่าทางทะมัดทะแมงทีเดียว ไหงถึงพามาที่นี่ล่ะ ถ้างานที่ท่านรับคราวนี้ต้องการหนอนหนังสือล่ะก็... ท่านจ้างข้าก็ได้นะ”

ไอดิเอลหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม “ถ้าเป็นงานแบบนั้นข้าต้องคิดถึงเจ้าเป็นคนแรกอยู่แล้ว แต่นี่ไม่ใช่หรอก... เรากำลังจะเดินทางไปที่นครเวหา ข้าคิดว่าเขาควรจะมีหนังสืออ่านฆ่าเวลา”

“อ้อ... อย่างนี้นี่เอง” อัลเบิร์ตพยักหน้า ก่อนจะหันไปตะโกนเรียกชื่อใครสักคน “น็อกซ์ มานี่หน่อยซิ มาพาท่านนักดาบคนนี้ไปเลือกหนังสือหน่อย”

น็อกซ์กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา เขาเป็นเด็กชายวัยรุ่น คงจะเด็กกว่าคาริกสักสองสามปี หน้าตาตกกระ ผมสีแดงอมเหลือง ท่าทางกระตือรือร้นจนเหมือนแตกตื่น เขาเอ่ยถามทันที

“ตะกี้ท่านว่าอะไรหรือ”

ตาเฒ่าอัลเบิร์ตถอนหายใจเฮือก “ข้าบอกว่าช่วยพาท่านนักดาบคนนี้ไปเลือกหนังสือหน่อย เจ้าคงอ่านหนังสือเพลินจนไม่ได้ยินอะไรอีกแล้วล่ะสิ”

เด็กหนุ่มหัวเราะเฝื่อนๆ เขาหันไปและเห็นไอดิเอล “อ้าว ท่านไอดิเอล มาเมื่อไหร่กันครับ นี่รีบรึเปล่า ผมน่ะมีเรื่องอยากจะถามเยอะแยะเลย”

“รีบ” ไอดิเอลตอบทันที เขาหันไปทางคาริกและแนะนำ “นี่ผู้ช่วยของข้า ชื่อคาริก พวกเรากำลังจะนั่งเรือเหาะไปที่นครเวหา อยากให้เจ้าช่วยพาเขาไปหาหนังสือหน่อย ข้าให้เวลาถึงสิบโมงนะ”

นอกซ์มีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็รีบผงกศีรษะ แล้วหันไปหาคาริก “เชิญทางนี้เลยครับ”

พอทั้งสามคนออกไปแล้ว ตาเฒ่าอัลเบิร์ตจึงเดินออกมาจากคอก เขาเดินไปกระซิบกับไอดิเอล

“มีเรื่องอะไรที่นครเวหาหรือไง ไหงคราวนี้ท่านถึงคิดจะพาผู้ช่วยไปด้วยล่ะ”

ไอดิเอลยิ้มอ่อนก่อนพูดตอบไป “ถ้าว่างก็หาน้ำแร่มาเลี้ยงข้าสักเหยือกสิ แล้วจะเล่าให้ฟัง”

........................................

ร้านหนังสือของตาเฒ่าอัลเบิร์ตเหมือนโรงเก็บหนังสือขนาดใหญ่ มีทั้งหนังสือสำหรับจำหน่าย และหนังสือสำหรับยืมอ่าน ส่วนหนังสือสำหรับยืมอ่านอยู่บนชั้นสอง มีชั้นหนังสือวางอยู่สี่ด้าน และมีโต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งอ่านวางเรียงอยู่ตรงกลาง ส่วนชั้นสามเป็นที่อยู่อาศัยของตะแกกับหลาน ไม่อยากเชื่อว่าอายุปูนนี้แล้วแกยังเดินขึ้นบันไดไปถึงชั้นสามไหวอีก

คาริกไม่ค่อยได้แวะมาที่นี่เท่าไหร่ เพราะงานของเขาคือคุ้มกันขบวนสินค้า พอเดินทางถึงที่หมายก็ต้องไปลงทะเบียน เผื่อจะได้มีคนเรียกใช้บริการตอนขากลับ และที่สมาคมก็มีหนังสือให้อ่านฆ่าเวลาอยู่แล้ว ล่าสุดที่เขามาที่นี่ก็น่าจะเป็นเมื่อสามสี่เดือนก่อนล่ะมั้ง ตอนนั้นน่าจะแวะเพราะคนที่สมาคมฝากซื้อหนังสือเกี่ยวกับอาวุธนั่นแหละ ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาเดินสำรวจร้านหนังสืออย่างจริงจัง

โอเรนดูตื่นเต้นกว่ามาก เขาไม่เคยเห็นหนังสือจริงๆ มาก่อน นอกจากได้ยินคนพูดถึงกันเท่านั้น พอได้มาเห็นของจริงจำนวนมหาศาลขนาดนี้ เจ้าตัวก็ครางด้วยความประทับใจ

“นี่หรือหนังสือ... น่าสนใจมาก ด้านในคือสิ่งที่เรียกว่าตัวหนังสือใช่ไหม ได้ยินว่านี่คือสิ่งที่บรรจุสรรพความรู้เอาไว้ เจ้าต้องสอนข้าอ่านนะคาริก มันต้องยอดมากแน่ๆ”

แต่คนที่ดูตื่นเต้นที่สุดน่าจะเป็นนอกซ์ เขามองโอเรนด้วยความพิศวง แล้วร้องออกมา

“ข้าจำได้แล้ว ท่านต้องเป็นนูเบส โฟลิอุมแน่ๆ ข้าเคยอ่านเจอในหนังสือเกี่ยวกับมังกร”

“ใช่ เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ข้าเป็นนูเบส โฟลิอุม ข้าชื่อโอเรน”


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ” เด็กหนุ่มถามต่อ “นูเบส โฟลิอุมมีถิ่นอาศัยอยู่บนเทือกเขาไฮดรัสไม่ใช่หรือ ท่านไอดิเอลไปได้ตัวท่านมาจากไหน เขาเป็นคนผลักดันกฎหมายเรื่องนูเบส โฟลิอุมเองนี่นา”

“เรื่องมันยาวอยู่น่ะ” โอเรนว่า “เอาว่าข้าสมัครใจมากับเขาเอง และเขากำลังจะพาข้ากลับไปที่ที่เรียกว่าบ้านของข้า”

“อ๋อ ท่านคงถูกพวกโจรลักพาตัวออกมาสินะ” นอกซ์ว่า “ข้าได้ยินว่าพวกท่านเฉลียวฉลาดมาก แถมยังมีรูปร่างน่ารักน่าเอ็นดู พวกคนมีเงินมักอยากได้พวกท่านไปเป็นสัตว์เลี้ยง แต่ท่านไอดิเอลบอกว่าพวกท่านไม่ใช่สัตว์เลี้ยง และไม่สามารถเป็นสัตว์เลี้ยงได้ เขาเคยเล่าว่ามีอยู่รายหนึ่ง เลี้ยงนูเบส โฟลิอุมไว้ในบ้าน โดยล่ามโซ่เอาไว้เพื่อไม่ให้บินหนี มังกรเลยแก้แค้นพวกเขาโดยการเปลี่ยนอากาศให้กลายเป็นพิษ จนคนในบ้านวิกลจริตและฆ่ากันตายจนหมด”

“หึย น่ากลัวแฮะ” คาริกพูดด้วยความสยอง “ข้าคิดว่าพวกนี้แค่สร้างลมหมุนขึ้นมาได้อย่างเดียวเสียอีก”

“ท่านไอดิเอลบอกว่านูเบสควบคุมธาตุลมได้ ทั้งยังรู้การไหลของกระแสพลัง และยังมองเห็นสภาพจิตใจของมนุษย์อีกด้วย ด้วยความสามารถขนาดนี้ จึงไม่ใช่และไม่สมควรเอามาเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างเด็ดขาด”

โอเรนผงกศีรษะ “เขาพูดถูกแล้ว ท่านไอดิเอลนี่ยอดจริงๆ โชคดีจังที่ข้าได้พบกับเขา”

“อื้อ” นอกซ์ผงกศีรษะ “ท่านไอดิเอลน่ะเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มาก น่าเสียดายที่เขาไม่ค่อยแวะมาที่นี่ ข้ามีเรื่องมากมายอยากถามเขา บางทีถ้าอารมณ์ดีเขาก็จะเล่า แต่ส่วนใหญ่เขาดูไม่ค่อยว่างเท่าไหร่”

เขาหันไปหาคาริกแล้วพูดต่อ “ท่านโชคดีนะที่เจอเขา ได้ยินว่าเขาจ้างผู้ช่วยเป็นครั้งคราว ข้าแนะนำว่าท่านควรอาศัยเวลานี้ถามเขาทุกเรื่องที่ท่านอยากรู้ เขาต้องตอบท่านโดยไม่ปิดบังแน่นอน”

คาริกฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย แล้วพูดตอบ “ได้ยินว่าเขาเขียนหนังสือไว้เยอะ ขอข้าดูหน่อยได้รึเปล่า”

“อ้อ ได้สิ เรามีชั้นที่มีหนังสือของท่านไอดิเอลโดยเฉพาะเลย ทางนี้ ตามข้ามา”

ชั้นหนังสือที่ว่าตั้งอยู่ถัดจากชั้นวางหนังสือออกใหม่ บนชั้นทั้งหมดเป็นหนังสือจำพวกสัตววิทยา มีทั้งที่เป็นสารานุกรมเล่มใหญ่ๆ ไปจนถึงปทานุกรมฉบับพกพา นอกซ์พูดขึ้นต่อ

“นี่คือฉบับที่ยังมีพิมพ์จำหน่ายอยู่ ถ้าท่านอยากดูมากกว่านี้ เรามีอีกเยอะที่ชั้นสาม แต่ว่าหนังสือในนั้นเป็นแบบยืมอ่าน ไม่ได้จำหน่าย ไม่ได้นำออกจากร้านด้วย”

“ไม่เป็นไร ข้าคิดว่าไม่น่าจะมีเวลาเยอะขนาดนั้น” เขาหยิบหนังสือบนชั้นมาพลิกดู สุดท้ายก็หยิบ ‘ปทานุกรมสัตว์ยักษ์แห่งอาณาจักรหรดีฉบับพกพา’ ‘ประมวลสัตว์มีพิษ เล่มสี่ ว่าด้วยสัตว์มีพิษในป่าต้องห้ามในอาณาจักรหรดี’ และ ‘มังกร ตำนานแห่งสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกาลเวลา’

โอเรนแสดงอาการแปลกใจเมื่อเห็นว่าคาริกหยิบหนังสือออกมาเพียงสามเล่ม ทั้งที่ยืนเลือกอยู่นานมาก

“นี่เจ้าจะซื้อแค่นี้หรือ”

“อืม... ข้าไม่อยากให้สัมภาระหนักจนเกินไป”

“อ้อ...”

“ท่านจะไปชำระเงินเลยไหมครับ” นอกซ์ถาม คาริกหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดู ก่อนจะพูดออกมา

“ยังพอมีเวลาเหลือ ข้าอยากจะดูหนังสือเพิ่มอีก”

“อ้อ ได้สิครับ หนังสือร้านเรามีเยอะมาก จัดไว้เป็นหมวดหมู่ ท่านสนใจจะดูหนังสือเกี่ยวกับอะไร ข้าจะได้นำไป”

คาริกเงียบไปพัก “เป็นหนังสือเกี่ยวกับ... เอ่อ... เจ้าเอาหูมาใกล้ๆ หน่อยสิ”

นอกซ์เอียงหูไปหา จากนั้นก็พยักหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมา “หนังสือแบบนั้นเรามีนะครับ ข้าจะพาท่านไปเลือก”

.............................................

คาริกเดินมาที่คอกคิดเงินก่อนสิบโมงเล็กน้อย ได้หนังสือมาสี่เล่ม เขาใช้เงินในถุงที่ได้จากไอดิเอลจ่ายค่าหนังสือ ตาเฒ่าอัลเบิร์ตดูเสียดายที่รั้งจอมเวทไว้ต่อไม่ได้ เขาคิดเงินค่าหนังสือ ซึ่งก็มีราคารวมเพียงหนึ่งเหรียญทองกับอีกยี่สิบสองเหรียญเงินเท่านั้น คาริกเอาหนังสือใส่กระเป๋าสัมภาระ แล้วเดินตามไอดิเอลออกมา

พวกเขามาถึงท่าเรือเหาะตอนสิบเอ็ดโมง เรือที่จะบินไปยังนครเวหาเป็นเรือลำใหญ่ คาริกเคยมีประสบการณ์ขึ้นเรือเหาะมาก่อน มันเป็นพาหนะที่ใช้เทคโนโลยีจากสมัยอาณาจักรเก่า ขับเคลื่อนด้วยการประจุพลังงานเข้าไปในแกนเครื่องยนต์ นอกจากจะมีความเร็วอย่างที่ม้าหรือรถเทียบไม่ติดแล้ว การที่มันลอยอยู่ในอากาศ ยังทำให้ย่นระยะทางระหว่างสถานที่ให้สั้นลงได้อีกด้วย

เรือเหาะที่จะเดินทางไปนครเวหาเป็นเรือเหาะขนาดใหญ่ แบ่งเป็นห้าชั้น ชั้นล่างสุดเป็นที่เก็บสินค้าและสัมภาระ รวมถึงสัตว์ที่เป็นพาหนะ เหนือขึ้นไปเป็นที่นั่งแบบชั้นสาม ซึ่งเป็นที่นั่งรวมสามแถว มีเก้าอี้แถวละสามตัว ชั้นนี้จุผู้โดยสารได้เยอะที่สุด และค่าโดยสารก็ราคาต่ำที่สุด ถัดขึ้นไปเป็นที่นั่งชั้นสอง เป็นที่นั่งรวมเช่นกัน แต่เบาะปรับเอนนอนได้ และมีฉากกั้น มีทั้งหมดสองแถว แต่ละแถวมีเก้าอี้สามตัว ส่วนที่นั่งชั้นหนึ่ง อยู่ก่อนถึงชั้นบนสุด แบ่งเป็นห้อง มีทางเดินตรงกลาง ชั้นนี้จุผู้โดยสารได้ไม่มาก เน้นความสะดวกสบาย ด้านบนสุดเป็นภัตตาคารลอยฟ้าหลังคากระจก ไว้สำหรับนักเดินทางใช้รับประทานอาหารและพักผ่อนหย่อนใจ ชั้นโดยสารแต่ละชั้นแยกจากกันเด็ดขาด จากประตูทางเข้าจะมีลิฟต์แยก การเดินทางใช้ระยะเวลาราวหกชั่วโมง

คาริกรู้สึกตื่นเต้น แม้นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขึ้นเรือเหาะ แต่เป็นครั้งแรกที่เขาขึ้นอย่างถูกต้อง และตั๋วโดยสารที่ไอดิเอลซื้อ ก็เป็นตั๋วแบบชั้นหนึ่งเสียด้วย

ห้องโดยสารชั้นหนึ่งกำหนดให้มีผู้โดยสารได้ไม่เกินห้องละสองคน ส่วนสัมภาระ สัตว์เลี้ยง และสัตว์พาหนะต้องไปอยู่ชั้นล่างสุด แต่เนื่องจากโอเรนเป็นมังกร หลังจากไอดิเอลเจรจากับผู้ดูแลเรือเหาะอยู่พักหนึ่ง พวกเขาทั้งสามก็ได้รับอนุญาตให้โดยสารในห้องเดียวกัน

“นี่ถ้าข้ามีร่างมนุษย์แบบเดียวกับท่านไอดิเอลคงจะสะดวกกว่านี้ล่ะนะ” โอเรนพูดขึ้นเมื่อพวกเขาเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้ว คาริกทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ยาวบุนวมภายในห้อง พลางเอื้อมมือไปดึงผ้าม่านออก

“ตะกี้ตอนอยู่ในร้านหนังสือ ข้าเปิดอ่านเรื่องมังกรไปได้หน่อย เห็นว่าพวกเจ้าแปลงร่างแบบมนุษย์ได้นะ”

“พูดจริงหรือ?” โอเรนร้องด้วยความตื่นเต้น คาริกผงกศีรษะ ก่อนจะหันไปมองไอดิเอล

“ถามเขาสิ ก็เขาเป็นคนเขียนหนังสือเล่มนั้นนี่นา”

โอเรนหันไปมองไอดิเอล จอมเวทที่เพิ่งหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้จึงพูดขึ้น

“จริง แต่ไม่ใช่มังกรทุกตัวจะแปลงร่างได้หรอกนะ”

“ทำไมล่ะ? มีเงื่อนไขอะไรงั้นหรือ”

ไอดิเอลมองโอเรนอยู่พัก ก็พูดขึ้นต่อ “มังกรที่จะแปลงร่างได้ ต้องมีอายุถึงระดับหนึ่งก่อน ที่สำคัญ มีแต่มังกรระดับเชื้อพระวงศ์ขึ้นไปเท่านั้นที่จะแปลงร่างได้”

“ยังไงนะ หมายถึงข้าต้องเป็นเจ้าชายงั้นหรือ” โอเรนถามต่อ ไอดิเอลพยักหน้า

“ก็ประมาณนั้นแหละ สังคมของมังกรน่ะมีการแบ่งการปกครองเหมือนของมนุษย์ ก็คือมีมังกรที่เป็นมังกรสามัญธรรมดา และมังกรเจ้าหรือมังกรระดับเชื้อพระวงศ์ ซึ่งเป็นชนชั้นปกครอง มังกรพวกนี้จะมีพลังอำนาจมากกว่ามังกรธรรมดา และสามารถเปลี่ยนร่างในลักษณะใกล้เคียงกับรูปร่างของมนุษย์ พวกเขาเรียกร่างนี้ว่าร่างกลาง ข้าคิดว่ามันมีไว้เพื่อการเข้าสมาคมในพื้นที่จำกัด เช่นปราสาทหรือราชวัง”

“อย่างนั้นถ้าข้าเป็นเจ้าชาย ข้าก็จะแปลงร่างได้ใช่ไหม”

“บอกยาก” ไอดิเอลว่า “เท่าที่ข้าศึกษา นูเบส โฟลิอุมเป็นมังกรที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่หลังการระเบิด และเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กมาก ด้วยขนาดของพวกเจ้า ไม่น่าจะต้องใช้ร่างมนุษย์ในการติดต่อสื่อสาร และเท่าที่ข้ารู้มา แม้พวกเจ้าจะตั้งถิ่นฐานอยู่บนเทือกเขาไฮดรัส แต่มันไม่ได้ใหญ่ขนาดเมือง ถ้าให้เทียบกับมนุษย์ ก็ประมาณหมู่บ้านล่ะมั้ง โดยความเห็นส่วนตัวข้าไม่คิดว่าสายพันธุ์ของเจ้าจะแปลงร่างได้นะ”

โอเรนหูตก หน้าเซ็งสนิท “อย่างนี้เวลาไปไหนมาไหนกับท่านไอดิเอล ข้าก็ลำบากแย่สิ”

ไอดิเอลหัวเราะ “ไม่ลำบากกหรอกน่า อย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าตั๋ว เห็นไหม”

“นั่นสินะ” โอเรนมีท่าทีสดชื่นขึ้นมาทันที “ว่าแต่ท่านแปลงร่างเป็นอย่างอื่นได้รึเปล่า?”

“ก็ไม่เชิง” ไอดิเอลว่า “ข้าสามารถใช้เวทมนต์ ทำให้คนอื่นมองแล้วเห็นเป็นอย่างอื่นได้”

“อ้อ... ที่เรียกว่าภาพลวงตาสินะ”

“ถูกต้องแล้ว”

“งั้นคาริกล่ะ เจ้าแปลงร่างได้รึเปล่า”

“ข้าจะไปแปลงร่างได้ไง” คาริกว่า “ข้าเป็นมนุษย์นะ”

“งั้นก็แปลว่าพวกเราเสมอภาค” โอเรนพูดออกมาพลางหัวเราะ “ไม่มีใครแปลงร่างได้ก็ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ”

“ทุกเผ่าพันธุ์ต่างมีข้อได้เปรียบและเสียเปรียบ” ไอดิเอลว่า “ข้าเรียกมันว่าความแตกต่างที่เท่าเทียม”

โอเรนผงกศีรษะ แล้วถามต่อ “ว่าแต่ท่านไอดิเอลเขียนหนังสือเยอะมากนะ ท่านจะช่วยสอนข้าอ่านหนังสือได้ไหม ข้าจะได้อ่านหนังสือของท่านได้”

ไอดิเอลหัวเราะ “ทำไมไม่ให้คาริกสอนให้ล่ะ”

คนถูกพาดพิงรีบออกตัวทันที “ความรู้ข้างูๆ ปลาๆ น่า ในเมื่อโอเรนออกปากแล้ว ท่านก็สอนให้เขาเถอะนะ”

ไอดิเอลหรี่ตามองเขา แล้วถามต่อ “งั้นเจ้าจะมาเรียนด้วยกันไหม เผื่อความรู้จะได้พัฒนาขึ้น”

ชายหนุ่มรีบสั่นศีรษะทันที “ไม่ๆ ข้าพอจะอ่านออกอยู่แล้ว ท่านสอนโอเรนไปเถอะ ข้ามีหนังสือที่ต้องอ่านอีก”

โอเรนกระโดดจากศีรษะของคาริก มาเกาะไหล่ของไอดิเอล แล้วกระซิบ

“ท่านไอดิเอล ตะกี้นอกจากของท่าน คาริกยังซื้อหนังสืออย่างอื่นมาด้วยนะ”

“ข้าเห็นแล้วน่ะ”

คาริกหันควับมาทันที “ท่านเห็นอะไร”

“ไม่มีอะไร” ไอดิเอลพูดยิ้มๆ “เจ้าจะอ่านหนังสือก็อ่านไปเถอะ ยังอีกตั้งหกชั่วโมงกว่าจะถึงนครเวหา ข้าจะสอนโอเรนอ่านหนังสือ ถ้าเจ้ารู้สึกรำคาญก็หาอะไรมาอุดหูไว้แล้วกัน”

คาริกเหลือบมองไอดิเอลแวบหนึ่ง “ข้าว่า ข้าไปหาที่นั่งอ่านที่อื่นดีกว่า”

“ห้องอาหารชั้นบนก็นั่งได้นะ” ไอดิเอลเสนอ “เจ้าซื้ออะไรมากินสักที่ แค่นี้ก็ไม่น่าเกลียดแล้วล่ะ”

“งั้น เอ่อ... ข้าขึ้นไปข้างบนนะ”

“ตามสบายเลย” ไอดิเอลว่า แล้วหยิบตั๋วเรือเหาะของตนยื่นให้คาริก “เอาตั๋วข้าไปด้วย รู้สึกว่าเขาจะแถมอาหารเที่ยงนะ เจ้าจัดการให้หมดเลย จะได้คุ้มค่าตั๋วหน่อย แล้วอย่าทำตั๋วหายล่ะ เดี๋ยวจะกลับมาไม่ถูก”

“รู้แล้วล่ะน่า”

..........................................
(จบตอน)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่13 เวทมนตร์และเทคโนโลยีเป็นของที่คลานตามกันมา


เนื่องจากเป็นช่วงบ่าย ดวงอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า หลังคากระจกด้านบนของภัตตาคารลอยฟ้าบนเรือเหาะจึงเปิดบังแสงเพียงเล็กน้อย พอให้มีแสงสว่างส่องลอดเข้ามา คาริกเลือกนั่งตรงที่นั่งติดกระจก ตั๋วแลกอาหารได้สองที่ เขาจึงสั่งเพิ่มมาอีกที่หนึ่ง ตอนที่ยกอาหารมาที่โต๊ะ บริกรดูประหลาดใจจนต้องอดไม่ได้ต้องถามออกมา

“อีกคนยังไม่มาหรือครับ ให้ยกกลับไปก่อนไหม”

“ไม่ต้องๆ” คาริกรีบบอก “วางไว้นั่นแหละ ข้ากินคนเดียว”

บริกรมีสีหน้าประหลาดใจกว่าเก่า แต่คงถูกอบรมมาดี จึงแค่วางถาดอาหารเอาไว้แล้วเดินจากไป คาริกเลยจัดการอาหารทั้งสามสำรับจนเกลี้ยง และนั่งอ่านหนังสือต่ออย่างสบายอารมณ์

เรือเหาะเดินทางถึงนครเวหาประมาณห้าโมงเย็น คาริกพบว่าท่าจอดเรือเหาะแห่งนี้เป็นลานขนาดใหญ่ พื้นปูด้วยสิ่งที่ดูคล้ายโลหะดุนลายขรุขระสีน้ำตาลทอง แต่ละช่องเทียบเรือมีเพนียดเทียบเพื่อให้ผู้โดยสารเดินเข้าสู่ตัวอาคารที่ใช้สำหรับรอสัมภาระและตรวจเอกสารประจำตัว เลยออกไป คือท้องฟ้าอันไพศาลไร้สิ่งใดขวางกั้นอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เรือเหาะหลายลำลอยลำอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าและก้อนเมฆถูกแสงตะวันยามเย็นอาบทาจนกลายเป็นสีทองอมชมพูเรื่อเรือง ส่วนตัวอาคารสร้างจากสิ่งที่ดูคล้ายโลหะขัดเงาวาวสะท้อนแสงเป็นประกาย กรุกระจกรอบด้าน ทำให้มองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกชัดตา

ด้านในตัวอาคารมีผู้คนหนาตา มีซุ้มประตูโค้งทำจากโลหะหลายซุ้ม แต่ละซุ้มมีป้ายขนาดใหญ่เขียนกำกับไว้ด้านบน อาทิเช่น ซุ้มตรวจเอกสารสำหรับผู้เดินทางมาจากอาณาจักรอุดร ซุ้มตรวจเอกสารสำหรับผู้เดินทางมาจากอาณาจักรบูรพาเป็นต้น

ขณะที่คาริกกำลังตื่นตะลึงอยู่กับความใหญ่โตและคึกคักของด่านตรวจคนเข้าเมือง ไอดิเอลก็ส่งเสียงเรียกเขา

“ทางนี้”

คาริกรีบสาวเท้าตามจอมเวทไปทันที พวกเขาเดินผ่านซุ้มประตูใหญ่หลายซุ้ม แต่ละซุ้มมีผู้คนต่อแถวยาวเหยียด เสียงพูดคุยดังจอแจ ผู้คนมากหน้าหลายตาแต่งตัวหลากหลาย บ้างสะพายอาวุธแปลกๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไอดิเอลพาเขาเดินมาที่ซุ้มซึ่งมีป้ายเขียนว่า ‘บริการรับฝากพาหนะ’ ซุ้มนี้มีคนต่อคิวบางตา จอมเวทหันมาพูดกับชายหนุ่ม พลางชี้มือไปทางด้านขวา

“ที่นี่ไม่อนุญาตให้นำพาหนะเข้าไป ข้าต้องทำเรื่องฝากอัลบุสกับม้าด่างของเจ้าก่อน เจ้าไปรับสัมภาระที่สายพานหมายเลขยี่สิบที่อยู่ตรงนั้น เอาหางตั๋วไปด้วย ดูให้แน่ว่าหยิบมาครบและถูกใบ แล้วมาเจอข้าที่ตรงนี้นะ”

“ได้” คาริกผงกศีรษะก่อนจะเดินเบียดฝูงชนออกไป เขาใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงสายพานหมายเลขยี่สิบ หยิบกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดแล้วกลับมาเจอไอดิเอลที่ซุ้มรับฝากพาหนะ

“เราต้องเดินกลับไปใช่ไหม” โอเรนพูดขึ้น “ตะกี้ข้าเห็นป้ายเขียนว่าซุ้มตรวจเอกสารของอาณาจักรหรดี ตรงที่เราผ่านมาก่อนหน้านี้สองซุ้มน่ะ”

“ไม่ต้อง เราจะไปอีกช่องหนึ่ง” ไอดิเอลว่า คาริกรีบหิวสัมภาระเดินตามออกไป ก่อนจะร้องอย่างนึกขึ้นได้

“หา! โอเรน เจ้าอ่านหนังสือออกแล้วหรือ”

“ใช่” โอเรนที่เกาะอยู่บนศีรษะของเขาส่งเสียง “ที่จริงแล้วมันก็ไม่ยากเลยนะ ท่านไอดิเอลให้ข้าลองอ่านต้นฉบับหนังสือที่เขียนค้างอยู่ด้วย”

“เดี๋ยวๆ ทำไมเจ้าเรียนรู้ไวจัง เพิ่งเรียนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงเองนี่”

“ท่านไอดิเอลบอกว่าพวกข้าฉลาด เรียนไม่นานก็รู้เรื่องแล้ว แสดงว่าข้าฉลาดจริงๆ สิเนี่ย”

“เหลือเชื่อ” คาริกคราง โอเรนถามขึ้นต่อ

“ว่าแต่ท่านไอดิเอลจะพาเราไปไหนเนี่ย”

ไอดิเอลพาทั้งคู่เดินผ่านฝูงชน ไปยังช่องเล็กๆ ที่เขียนว่า ‘เฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง’ ก่อนจะผลักประตูเข้าไป ด้านในมีคอกเหล็กที่มีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ประมาณสองสามคน พอได้ยินเสียงคนผลักประตูเข้ามา ก็พูดขึ้นทันที

“ขอโทษครับ ที่นี่เฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง”

“เออ ข้ารู้ ข้าอ่านออก” ไอดิเอลว่า “ไหนบอกข้าหน่อยซิว่าข้าจะขึ้นไปที่สภากลางได้ยังไง”

คนพวกนั้นเงยหน้าขึ้นทันที “เทพแห่งแสงโปรด! ท่านคือ...”

“ไอดิเอล”

คนหนึ่งอุทานขึ้นมา ก่อนจะรีบลุกขึ้น “ต้องขออภัยด้วยครับท่านไอดิเอล คือพวกเราไม่เคยเห็นท่านเลย”

“ก็น่าอยู่หรอก” ไอดิเอลว่า “ครั้งสุดท้ายที่ข้ากลับมาที่นี่ก็น่าจะเกือบแปดเก้าสิบปีแล้วมั้ง ตาทวดของพวกเจ้าอาจจะเกิดทันนะ สรุปแล้วฟัยรุซาย้ายทางขึ้นไปไว้ที่ไหน ข้าจำได้ว่ามันเคยอยู่ตรงนี้”

“อ้อ... ท่านต้องขึ้นลิฟต์พิเศษไปน่ะครับ เดี๋ยวข้าจะพาไป”

ชายคนนั้นรีบกุลีกุจอเดินนำพวกเขาออกจากห้องไปยังลิฟต์ซึ่งอยู่ถัดออกไปเล็กน้อยทันที

“นี่ครับ ต้องใช้ลิฟต์หมายเลขสาม ท่านทาบฝ่ามือลงบนแท่นนี้ ลิฟต์จะพาท่านขึ้นไปยังบนหอคอย”

“แบบนี้รึ” ไอดิเอลพูดพลางวางฝ่ามือลงบนแท่น มีแสงไฟสีขาวนวลปรากฏขึ้นที่เหนือประตูลิฟต์ จากนั้นก็มีเสียงพูดดังขึ้น

“ยืนยันตัว สมาชิกสภาลำดับสอง คานุส ไอดิเอล สถานะได้รับอนุญาตถูกต้อง ยินดีต้อนรับกลับค่ะ ท่านไอดิเอล”

ประตูลิฟต์เปิดออก ด้านในเป็นห้องโลหะทรงกระบอกสีทอง มีสัญลักษณ์รูปศิลาห้าแฉกทอประกายสีรุ้งฉุลเด่นอยู่ด้านใน ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไป

“พาข้าไปที่สภากลาง”

พอหันไปเห็นพวกคาริกยังยืนเก้ๆ กังๆ จอมเวทเลยพูดขึ้นต่อ

“เข้ามาสิ”

คาริกรีบก้าวเท้าตามเข้าไปในลิฟต์ ชายที่เดินมาส่งจึงโค้งให้ ก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง คาริกหันไปถามไอดิเอลทันที

“ตะกี้อะไรน่ะ ทำไมถึงมีเสียงพูดออกมาด้วยล่ะ?”

“มันเป็นเทคโนโลยีโบราณ เรียกกันว่าสมองกลน่ะ” ไอดิเอลตอบ ทั้งคาริกและโอเรนมีสีหน้าประหลาดใจ จอมเวทจึงอธิบายต่อ

“เพราะจอมเวทมีอายุขัยเกือบเป็นอนันต์ และมีจำนวนไม่มาก การจัดการในสภาส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยสมองกลเป็นหลัก มันเป็นเทคโนโลยีในช่วงสุดท้ายของยุคอาณาจักรเก่าที่พวกเรานำกลับมาดัดแปลงใหม่ เป็นปัญญาที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อจัดการความเป็นไปต่างๆ แทนมนุษย์ที่มีอายุขัยจำกัด”

“เอ่อ... ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกนะ” คาริกว่า “แต่สรุปแล้วนั่นไม่ใช่มนุษย์ใช่ไหม”

ไอดิเอลผงกศีรษะ “สมองกลไม่ใช่มนุษย์ พวกนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์เท่านั้น”

“สิ่งประดิษฐ์ก็พูดได้หรือ” โอเรนถามขึ้น “อย่างนั้นก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาเหมือนกันน่ะสิ ตอนที่เราเรียนหนังสือกัน ท่านบอกข้าว่ามีแต่เผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาเท่านั้นที่มีสามารถพูดและประดิษฐ์ตัวอักษรได้”

“ไม่ พวกมันถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อให้คิดและพูดตามวงจรที่ถูกวางไว้เท่านั้น สมองกลและปัญญาประดิษฐ์ไม่สามารถคิดเองได้ อย่างที่ข้าบอก มันเป็นแค่สิ่งประดิษฐ์”

ลิฟต์ปิดแต่หยุดนิ่งอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็มีเสียงพูดขึ้นอีก

“ท่านไอดิเอลคะ สถานะอัปเปหิของท่านสิ้นสุดระยะเวลาแล้ว ท่านได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าทุกเขตของหอคอยโลหะได้โดยสถานะถาวรของท่าน แต่ข้าตรวจพบสิ่งมีชีวิตอีกสองชนิดโดยสารมากับท่านด้วย หนึ่งเป็นนูเบส โฟลิอุม สิ่งมีชีวิตซึ่งมีกฎหมายระหว่างอาณาจักรคุ้มครอง อีกหนึ่งเป็นมนุษย์ที่ข้าไม่อาจจำแนกเผ่าพันธุ์ ทั้งคู่อยู่เหนือขอบข่ายอำนาจการอนุญาตของข้า หากท่านประสงค์จะนำทั้งสองไปด้วย ข้าจะส่งท่านไปที่ห้องรูปไข่ เพื่อให้ท่านทีมัวร์ทำการตรวจสอบ ท่านตกลงไปพบท่านทีมัวร์หรือไม่คะ”

“อืม ตกลง พาข้าไปพบเขาเลย”

“รับทราบค่ะ”

คาริกรู้สึกว่าลิฟต์กำลังเคลื่อนขึ้น เขาหันไปถามไอดิเอลอีกครั้ง “ทีมัวร์นี่ใครน่ะ”

“เพื่อนข้า” ไอดิเอลว่า “เขาเป็นคนที่ดูแลควบคุมเจ้าสมองกลนี่”

“เขาเป็นจอมเวทเหมือนท่านใช่ไหม”

“อืม... ใช่ เขาเป็นจอมเวท แต่ดูไม่ค่อยเหมือนจอมเวทหรอก เดี๋ยวเจ้าเจอเขาก็จะรู้เอง”

ใช้เวลาอึดใจลิฟต์ก็หยุดลง จากนั้นประตูก็เปิดออก เบื้องหลังประตู คือห้องโถงทรงรีเหมือนไข่ที่สร้างจากโลหะสีทองรมดำ ทั้งลึกและกว้างจนมองรายละเอียดไม่ออก ตรงกลางห้องโถงมีจานรูปวงกลมสีทองที่มีแท่นทรงครึ่งวงกลมวางหงายอยู่ ที่ฐานจานรองด้วยเสาขนาดใหญ่ที่ยาวลงไปถึงก้นของห้องทรงกลม ไอดิเอลก้าวเท้าลงไปบนทางเดินสีทองที่ดูเหมือนสะพานซึ่งทอดตัวไปยังแท่นทรงกลมนั้น คาริกจึงเดินตามไป พอเดินเข้าไปใกล้พอ เขาจึงค้นพบว่าแท่นสีทองนั่นใหญ่และกว้างพอๆ กับบ้านหลังเล็กๆ หลังหนึ่งเลยทีเดียว

คาริกยืนอึ้งได้ไม่นานก็ถูกดึงความสนใจจากเสียงทักทาย

“ว้าวๆ ดูซิว่าใครมา” ร่างหนึ่งเดินออกมาจากแท่นทรงกลม เขาสวมกางเกงขายาวสีน้ำตาล เสื้อพับแขนสีเดียวกัน บนศีรษะสวมอุปกรณ์ประหลาดลักษณะเหมือนแว่นขยายซ้อนกันหลายชั้น เสียงของเขาแม้ไม่กังวาลเช่นระฆังดั่งเสียงของไอดิเอล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเสียงที่ฟังแล้วชวนให้คนฟังรู้สึกกระตือรือร้น

“หน้าท่านดูดีขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่เราพบกันนะเนี่ย ไอดิเอล” ฝ่ายนั้นเอ่ยทัก ก่อนจะยื่นมือมาคว้าเอาอากาศ ไอดิเอลจึงส่งเสียงขึ้น

“อะไรมันจะง่ายขึ้นนะ ถ้าเจ้าถอดไอ้แว่นพิสดารนั่นออกเสียก่อนน่ะ ทีมัวร์”

“อ้อ จริงด้วย ข้าลืมไปสนิทเลย” ทีมัวร์ถอดแว่นออกแล้วเดินตรงเข้ามา คาริกจึงเห็นว่าเขามีดวงตาสีเทาใสเหลือบน้ำเงิน และมีผมสีน้ำตาลครีมซึ่งถูกรวบเอาไว้ด้วยตัวหนีบสารพัดทรงที่ด้านหลังศีรษะ คราวนี้เจ้าตัวยื่นมือคว้าไหล่ไอดิเอลถึงเสียที

“ไง ลมอะไรพัดท่านมาเนี่ย สเตลลาบอกว่าท่านพาคนอื่นที่ระบุตัวไม่ได้มาด้วย” เขามองเลยมายังคาริกกับโอเรน แล้วก็อุทานขึ้น

“โอ้โห เดี๋ยวนะ” เขายกแว่นประหลาดอันเดิมลงมาสวม “นี่มันพวกกลายพันธุ์ที่ท่านเคยปกป้องจนต้องโทษอัปเปหิไม่ใช่หรือไง ตาสีม่วงสวยเลยนี่”

คาริกเห็นทีมัวร์ยื่นมือคว้าอากาศอีก เจ้าตัวจิ๊ปากแล้วถอดแว่นออก จากนั้นก็เดินมาหาเขา

“ไหนขอข้าดูชัดๆ หน่อยซิ”

เขายื่นมือขึ้นมาหมายจับใบหน้าของชายหนุ่ม อีกฝ่ายยกมือขึ้นปัดโดยสัญชาตญาณ เจ้าตัวเลิกคิ้วแล้วพึมพำ

“ดุเหมือนกันแฮะ”

คาริกโพล่งขึ้นทันที “ข้าขอโทษ แต่ว่าท่านยื่นมือมาไม่บอกไม่กล่าวนี่นา”

อีกฝ่ายผงกศีรษะ “นั่นสินะ ข้าเสียมารยาทก่อนนี่นา ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร”

“คาริก”

“อืม... มาจากอาณาจักรบูรพาหรือ?”

“เปล่า แต่ข้าเกิดที่นั่น”

“อ้อ ใช่ พวกกลายพันธุ์มีถิ่นกำเนิดจากที่นั่นหมดแหละ อย่างที่ท่านไอดิเอลเคยทำรายงานไว้ ว่าแต่... ถ้าเจ้าไม่ได้มาจากอาณาจักรบูรพา เจ้ามาจากไหน แล้วมากับเขาได้ยังไง”

คาริกหันไปมองไอดิเอล ฝ่ายนั้นจึงพูดขึ้นบ้าง “ตอบเขาไปเถอะ เขามีหน้าที่ยืนยันตัวตนของเจ้าต่อสภา”

“หืม” ทีมัวร์หันไปหาไอดิเอล “ท่านจะพาเขาไปที่สภาหรือ?”

“ใช่ ถ้าข้าไม่คิดจะพาเขาไปด้วย จะให้เขามาเจอเจ้าทำไม”

“เออ ก็จริง ข้าลืมคิดได้ไงเนี่ย คาริก เจ้าตอบคำถามข้ามาเร็ว ข้าชักอยากรู้แล้วว่าเรื่องมันเป็นไงมาไงกันแน่”

คาริกจึงเล่าเรื่องตั้งแต่มาร์คัสไปจ้างเขาจนกระทั่งถึงตอนที่ไอดิเอลทำสัญญาช่วยเขา พอฟังจบ ทีมัวร์ก็หัวเราะท้องคัดทองแข็ง

“โอย... เดี๋ยวนะ... นี่เรื่องจริงหรือเนี่ย”

ไอดิเอลหรี่ตามอง “คิดว่าถ้าเป็นเรื่องโกหกข้าจะให้เขาเล่าจนจบหรือไง”

ทีมัวร์กลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก เขายื่นมือไปตบไหล่ไอดิเอลเสียงดังปัก “แล้วนี่มีใครรู้เรื่องนี้หรือยัง”

“ยัง มีเจ้าคนแรก”

“ฮ่าๆ อยากรู้จริงว่าตอนที่ท่านฟัยรุซารู้เรื่องนี้ท่านจะทำหน้ายังไง”

“ก็ทำหน้าแบบที่ทำอยู่ตอนนี้แหละ”

ทีมัวร์หันไปมองหน้าไอดิเอล และหยุดหัวเราะในที่สุด “ให้ตายเถอะ ท่านนี่ไม่ตลกเลยแฮะ ทำหน้าให้มันลำบากใจกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้”

“ถ้าทำเพื่อให้เจ้าขำล่ะก็... ข้ายังมองไม่เห็นประโยชน์อะไรจากเรื่องนั้นเลย”

“เฮ้อ...” อีกฝ่ายถอนหายใจ “ท่านนี่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาบ้างหรือไง”

“ก็รู้สึก แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะต้องทำหน้าลำบากใจมาถึงตอนนี้นี่นา”

“อืม... ก็จริงนะ” เขาว่า ก่อนจะเงยไปมองโอเรนที่อยู่บนศีรษะของคาริก “งั้นนี่ก็คงเป็นนูเบส โฟลิอุมที่คาริกเล่าถึงตะกี้น่ะสิ”

“ใช่แล้ว” โอเรนส่งเสียงตอบ “ข้าชื่อโอเรน และข้าสมัครใจติดตามท่านไอดิเอลมาเอง เพราะงั้นไม่ต้องไปหาว่าเขาทำผิดกฎหมายหรอก”

ทีมัวร์หัวเราะ “โอเรนหรือ... เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ตอนนี้ยังไม่มีใครออกหมายจับเขาข้อหาทำผิดกฎหมายทั้งนั้นแหละ และถึงมี ก็ต้องส่งเรื่องเข้าสภากลางก่อนอยู่ดี มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ลงโทษจอมเวทโดยพละการหรอก”

เขาเว้นจังหวะไปเล็กน้อย ก็พูดต่อ “แต่ว่าถ้าพวกเจ้าจะไปที่สภา ก็ต้องยืนยันตัวเสียก่อน ข้อมูลของพวกเจ้าทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ส่วนสูง สีผม สีตา ลักษณะเด่น สารพันธุกรรม เรียกว่าทุกอย่างจะต้องถูกทำบันทึก มันจะเป็นการบันทึกที่ละเอียดยิ่งกว่าบันทึกยืนยันตัวตนของอาณาจักรไหนๆ พวกเจ้าแน่ใจนะว่ายินดีทำเรื่องแบบนี้น่ะ ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่าชั้นล่างที่เป็นตลาดของพวกพ่อค้าน่ะ มีอะไรสนุกๆ ให้พวกเจ้าทำมากกว่าข้างบนเยอะ”

“เอ่อ... ใช่ว่าข้าไม่อยากไปที่ที่ท่านพูดถึงหรอกนะ” คาริกตอบ “แต่ไอดิเอลต้องการให้พวกเราไปด้วยนี่นา”

“ข้าต้องพาเขาไป พวกเขาถือเป็นพยานของเรื่องนี้”

“อ้อ... ข้าเจ้าใจแล้ว” ทีมัวร์ว่า แล้วเดินนำพวกเขาไปยังแท่นทรงครึ่งวงกลมนั้น ด้านในมีอุปกรณ์หน้าตาประหลาดมากมายติดตั้งอยู่ หลายอย่างส่งเสียงแปลกๆ อย่างเสียงคลิกๆ หรือเสียงหึ่งๆ ทีมัวร์ชี้ไปที่ตู้กระจกทรงกลมหลังหนึ่ง

“คาริก เจ้าเข้าไปในนั้น ส่วนโอเรน เจ้าออกมาก่อน มานั่งรอตรงนี้”

เขายกมือขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีโต๊ะเหล็กที่ทั้งสูงทั้งแคบตัวหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหยุดที่ข้างตัวพอดี โอเรนร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“โอ้โห นี่คือเวทมนตร์ของท่านงั้นหรือ ยอดไปเลย ข้ายังไม่เคยเห็นท่านไอดิเอลทำแบบนี้เลยนะ”

ทีมัวร์หัวเราะแหะๆ “จอมเวทคนไหนๆ ก็ทำแบบนี้ได้ทั้งนั้นแหละ” เขาเหลือบไปมองไอดิเอลเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นต่อ “แต่ที่ท่านไอดิเอลไม่ใช้เพราะเขาคงไม่อยากเปลืองพลังโดยใช่เหตุน่ะ ส่วนข้าแทบไม่ได้ใช้พลังอะไรอยู่แล้ว ทำแบบนี้มันสะดวกกว่า”

“เรียกว่าขี้เกียจนั่นแหละ” ไอดิเอลช่วยเสริมให้ ทีมัวร์ได้แต่ยิ้มรับแห้งๆ โอเรนจึงกระโดดลงไป เขาหันไปมองคาริกที่เดินเข้าไปในตู้ แล้วถามขึ้น

“ตู้นั่นไว้ทำอะไรหรือ”

“นี่เรียกว่าเครื่องตรวจสอบอัตลักษณ์น่ะ” ทีมัวร์ว่า “มันจะตรวจสอบทุกอย่างของสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งของที่อยู่ด้านใน ไม่มีอันตรายอะไรหรอก แค่เก็บข้อมูลเฉยๆ”

ประตูตู้ปิดลง จากนั้นคาริกมองเห็นแสงสีรุ้งวูบวาบอยู่รอบตัว ที่ว่างที่ข้างตู้มีตัวหนังสือสีทองส่องสว่างปรากฏขึ้นมา โอเรนถามขึ้นต่อทันที

“นั่นอะไรน่ะ เวทมนตร์ของท่านเหมือนกันหรือ”

ทีมัวร์สั่นศีรษะ “เปล่าๆ นี่ไม่ใช่เวทมนตร์ทั่วไปอย่างของจอมเวทหรอก มันคือเทคโนโลยี ที่เจ้าเห็นเป็นการฉายภาพด้วยกล้องที่มีหลอดแสงสว่างติดตั้งอยู่ แสงจากกล้องจะถูกฉายขึ้นไปทำมุมกับไอน้ำบางๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ทำให้เกิดภาพขึ้นมาน่ะ”

สีหน้าของโอเรนบ่งบอกโต้งๆ ว่าไม่เข้าใจ ทีมัวร์ยิ้มแล้วพูดขึ้นต่อ

“ข้ารู้ว่าสำหรับเจ้ามันคงจะชวนงงมาก รู้แค่มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ก็นำไปใช้ได้ก็แล้วกัน ไม่จำเป็นต้องมีพลังเวทมนตร์ด้วย แค่ต้องใช้พลังงานในการเดินเครื่องเท่านั้นเอง”

คราวนี้เจ้ามังกรผงกศีรษะ “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านไอดิเอลบอกว่าท่านไม่เหมือนจอมเวท ที่แท้ท่านเป็นนักประดิษฐ์นี่เอง แต่ว่าทำไมท่านถึงเลือกจะสร้างเครื่องมือพวกนี้แทนที่จะใช้เวทมนตร์ล่ะ สำหรับท่านที่เป็นจอมเวท ใช้เวทมนตร์มันไม่สะดวกกว่าหรือ”

“มองว่าสะดวกมันก็สะดวกนะ แต่ถ้ามองว่าไม่สะดวกมันก็ไม่สะดวก ถ้าข้าใช้พลังเวท ข้าก็ต้องถ่ายเทพลังอยู่บ่อยๆ แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็สุดจะไม่สะดวกแล้ว อีกอย่าง ข้าคิดว่าการที่มนุษย์มีเครื่องมือที่ใช้งานได้เหมือนกับการใช้เวทมนตร์ จะทำให้พวกเขาระแวงพวกเราน้อยลง เป็นมิตรกับพวกเรามากขึ้น แต่เอาจริงๆ แล้วข้าก็แค่ชอบประดิษฐ์โน่นนั่นนี่ไปเรื่อยเท่านั้นแหละ พออยู่ไปนานๆ การทำอะไรที่มีประโยชน์กับคนอื่นมันทำให้ชีวิตดูมีค่าและน่าสนใจขึ้นมาน่ะ”

“ทีมัวร์เป็นคนที่มีความสนใจในเรื่องนี้สูงมาก” ไอดิเอลพูดเสริมต่อ “เทคโนโลยีหลายอย่างตอนนี้เขาเป็นคนคิดค้นขึ้น เอาง่ายๆ ก็อย่างเรือเหาะที่พวกเรานั่งมาที่นี่ คนที่ออกแบบพวกมันก็คือเขานี่แหละ”

“ว้าว สุดยอดไปเลยนะเนี่ย”

“ข้าก็ทำแค่ลำแรกๆ ล่ะน่า” อีกฝ่ายพูดเขินๆ ได้ยินเสียงคาริกพูดขึ้น

“เรื่องนั้นฟังดูก็น่าตื่นเต้นนะ แต่ข้าจะต้องอยู่ในนี้อีกนานรึเปล่า”

“โอ้ จริงสิ เกือบลืมไปเลย” จอมเวทร้องขึ้นก่อนจะไล่อ่านตัวอักษรพวกนั้น “ไหน ขอข้าดูข้อมูลของเจ้าหน่อย เพศชาย อายุร่างกายประมาณสิบแปดปี สูงสามศอกกับอีกคืบครึ่ง หนักร้อยสามชั่ง หัวใจเต้นห้าสิบเก้าครั้งต่อนาที อัตราการหายใจนาทีละสี่ครั้ง โอ้โห ดูกล้ามเนื้อนี่สิ อย่างกับถูกสร้างขึ้นมาด้วยวัสดุที่ดีที่สุดตามแบบแปลนที่สมบูรณ์แบบที่สุด เจ้าแข็งแรงมากนะเนี่ย ความสมบูรณ์ของกล้ามเนื้ออยู่ในระดับยอดเยี่ยม ไหนลองเอาฝ่ามือทาบลงบนแท่นที่อยู่ด้านข้างซิ ทาบลงไปทั้งสองข้างนั่นแหละ”

คาริกวางมือลงไปบนแท่นโลหะที่ลอยขึ้นมาจากพื้น เขารู้สึกเจ็บจีดที่ฝ่ามือเล็กน้อย ขณะที่ทีมัวร์พูดขึ้นต่อ “ไม่มีประวัติการถูกจับกุม ไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีโรคติดต่อ ปริมาณเม็ดเลือดแดงสูงกว่าเกณฑ์ทั่วไปสิบห้าเท่า รหัสพันธุกรรมไม่ตรงกับมนุษย์เผ่าไหนที่อยู่ในฐานข้อมูลเลย” เขาหันไปหาไอดิเอล

“จะให้ข้าใส่ข้อมูลว่าเป็นเผ่าลูบิดตามที่ท่านเคยเขียนรายงานเอาไว้ไหม”

“อืม ใส่ไปตามนั้นแหละ”

ทีมัวร์ไล่มือลงไปบนแป้นพิมพ์ที่ปรากฏอยู่ข้างๆ แล้วพูดต่อ “ช่วยบอกชื่อ วันเดือนปีเกิด กับที่อยู่ปัจจุบันหน่อยสิ”

“ข้าชื่อคาริก เกิดปีเก้าร้อยแปดสิบสอง วันกับเดือนข้าไม่รู้ ที่อยู่ปัจจุบัน... ไม่รู้สิ ตอนนี้ข้าต้องตามไอดิเอลน่ะ แต่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ก็สมาคมคุ้มกันแห่งคีท อาณาจักรหรดี”

“ไม่มีปัญหา ข้อมูลเท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว เอาล่ะ คาริก แห่งคีท อายุ ณ เวลาบันทึกคือสิบแปดปี เกิดปีเก้าร้อยแปดสิบสอง สถานะผู้ใช้ชีวิตเดียวกับคานุส ไอดิเอล สมาชิกสภาลำดับที่สอง ข้าจะให้สิทธิ์ในการผ่านเข้าออกที่นี่กับเขา ท่านเห็นว่าไง”

“เจ้าให้สิทธิ์เขาใช้ห้องพักของข้าด้วย” ไอดิเอลว่า “ยังไงเขาต้องพักที่นี่อย่างน้อยก็วันสองวัน และข้าคงไม่มีเวลาจะพาเขาเข้าๆ ออกๆ หรอก”

“ตกลง ตามที่ท่านต้องการเลย” ทีมัวร์ว่า ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว เจ้าออกมาได้เลย”

คาริกเดินออกมาจากเครื่องตรวจสอบอัตลักษณ์ ทีมัวร์หันไปหาโอเรน

“ต่อไปตาเจ้าแล้ว”

โอเรนหันไปมองเขา “ข้าต้องเข้าไปในนั้นคนเดียวหรือ มีอะไรให้ข้าเกาะรึเปล่า ข้าไม่เคยยืนบนพื้น รู้สึกไม่สบายใจที่จะต้องยืนด้วย”

“เจ้าต้องหาอะไรให้เขาเกาะ” ไอดิเอลพูดแทรกขึ้น “มันเป็นสัญชาตญาณของนูเบส โฟลิอุม พวกเขาไม่ชอบอยู่ในที่ต่ำ”

“อ้อ... อย่างนั้นเอาโต๊ะนี่เข้าไปด้วยก็ได้” พูดจบเขาก็ยกมือผลักโต๊ะเบาๆ โต๊ะเคลื่อนเข้าไปในตู้ทันที โอเรนจึงกระโดดขึ้นไปยืนบนโต๊ะ จากนั้นประกายแสงสีรุ้งก็ปรากฏขึ้นโดยรอบ

“มาดูข้อมูลของโอเรนกันเถอะ” ทีมัวร์ว่า “สิ่งมีชีวิตประเภทมังกร สายพันธุ์นูเบส โฟลิอุม หนักสองชั่ง อายุโครงสร้างภายใน ประมาณสามสิบปี อายุผิวหนังภายนอกหลังสัมผัสอากาศ ประมาณแปดถึงสิบวัน โอ้โห... แปลว่าเจ้าเพิ่งออกจากไข่มาได้ไม่ถึงสองสัปดาห์หรือเนี่ย สองสัปดาห์เจ้าก็พูดได้เยอะขนาดนี้แล้วหรือ เทียบกับมนุษย์แล้วคนละเรื่องกันเลยนะ”

“เขายังอ่านหนังสือทั่วไปออกแล้วด้วยนะ” คาริกว่า “ไอดิเอลเพิ่งสอนเขาอ่านตอนที่นั่งเรือเหาะมาที่นี่นี่เอง”

“ว้าว! ขนาดนั้นเลยหรือ ข้ารู้หรอกนะว่านูเบส โฟลิอุมเป็นสิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาดมากจนถูกจัดให้อยู่ในประเภทมังกร แต่ไม่คิดว่าจะฉลาดขนาดนี้ นี่... เจ้าสนใจจะมาอยู่ที่นี่กับข้าไหม ข้าอยากได้สิ่งมีชีวิตที่เฉลียวฉลาดและอายุยืนกว่ามนุษย์มาอยู่เป็นเพื่อนนานแล้ว นูเบส โฟลิอุมอายุขัยเฉลี่ยร้อยห้าสิบปี คงพอช่วยแก้เหงาได้สักพักหรอก”

ไอดิเอลกระแอมไอ “ทีมัวร์ เขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ”


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“แหม... ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงสักหน่อย” อีกฝ่ายรีบแก้ตัว โอเรนพูดขึ้น

“ที่จริงแล้วข้าอยากอยู่กับท่านไอดิเอลนะ แต่เขาบอกว่าข้าต้องกลับไปอยู่ในที่ที่ข้าควรอยู่”

“อ่า... ก็ใช่ เขาเป็นคนผลักดันร่างกฎหมายนี้เอง จะให้เขาพาเจ้าไปไหนมาไหนด้วยมันก็ออกจะยังไงๆ อยู่นะ” ทีมัวร์ว่า ก่อนจะหัวเราะ “น่าเสียดายๆ เอาล่ะ ข้าจะบันทึกข้อมูลของเจ้าไว้แล้วนะ โอเรน นูเบส โฟลิอุมรายแรกที่มายังสภากลางแห่งนี้ เรื่องนี้น่ะเป็นประวัติศาสตร์เลยนะ เจ้าจะได้เล่าให้เพื่อนๆ ของเจ้าฟัง หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว ออกมาได้แล้วล่ะ เสร็จเรียบร้อยแล้ว”

โอเรนกระโดดออกมาจากครอบแก้ว ขึ้นไปเกาะอยู่บนศีรษะของคาริก แล้วพูดขึ้นต่อ “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าจะมีเพื่อนที่นั่นรึเปล่า ข้าเกิดมาก็รู้จักแค่คาริกกับท่านไอดิเอลเท่านั้นเอง”

“เอาน่า นั่นเป็นบ้านของเจ้านี่นา ข้าว่าช่างพูดอย่างเจ้าคงหาเพื่อนได้ไม่ยากหรอก” คาริกให้กำลังใจ ไอดิเอลผงกศีรษะเห็นด้วย ทีมัวร์หันไปมองเขาแล้วพูดขึ้นต่อ

“ที่จริงถ้าท่านไม่รีบไปธุระที่ไหน พวกเราก็น่าจะพาพวกเขาไปเที่ยวเมืองพ่อค้าด้านล่างนะ”

“ไม่ ข้าไม่ว่างขนาดนั้นหรอก” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดขึ้นต่ออย่างนึกได้

“ว่าแต่เจ้าเคยประดิษฐ์เครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารบ้างรึเปล่า”

“เคยสิ ข้ามีใช้อยู่สองสามเครื่อง” อีกฝ่ายตอบ “แต่ใช้เคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตไม่ได้หรอกนะ ถ้าท่านสงสัยว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องการโจมตีที่แคนเดนซ์น่ะ ท่านต้องเข้าใจการทำงานของมันก่อน เครื่องพวกนี้อาศัยหลักการจดจำโครงสร้างองค์ประกอบ สมมติว่าท่านต้องการส่งน็อตตัวนึงจากที่นี่ ไปที่อาณาจักรหรดี โดยวิธีเคลื่อนย้ายมวลสาร ท่านจะต้องเอาน็อตใส่ลงไปในเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสาร และอีกฝั่งที่ท่านต้องการส่ง ก็จะต้องมีเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารที่จูนช่องมิติให้ตรงกันด้วย พอเริ่มต้นกระบวนการ น็อตจะถูกจดจำองค์ประกอบทางโครงสร้าง และถูกแยกส่วนจนเล็กในระดับโมเลกุล จากนั้นก็ส่งผ่านช่องมิติไปยังเครื่องรับ เครื่องรับจะมีหน้าที่อ่านองค์ประกอบเดิมของน็อต และประกอบโมเลกุลของพวกมันให้กลับไปเป็นตัวน็อตเหมือนเดิม ซึ่งกระบวนการนี้จะกินพลังงานตามรายละเอียดและขนาดของสิ่งของที่ส่ง ยิ่งเป็นของชิ้นใหญ่และประกอบด้วยวัสดุหลายอย่างจะยิ่งกินพลังงานสูง เครื่องที่ข้าใช้งานอยู่ตอนนี้จึงเป็นแค่เครื่องขนาดเล็กที่ใช้ส่งพวกอุปกรณ์ประกอบชิ้นเล็กๆ เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องการส่งสิ่งมีชีวิต ข้าเคยทดลองแล้ว ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวก็ส่งได้นะ แต่ถ้าซับซ้อนกว่านั้นพอเข้าเครื่องส่งแล้วทางโน้นจะได้ศพไปแทน เครื่องจักรที่สามารถจดจำ แยกแยะ และรวมจิตวิญญาณได้น่ะ ตอนนี้ข้ายังออกแบบไม่ได้หรอกนะ”

คาริกได้แต่อ้าปากค้างเพราะฟังไม่รู้เรื่อง ขณะที่โอเรนก็ออกอาการเดียวกัน แต่ไอดิเอลกลับผงกศีรษะ

“อืม... แล้วคนที่ชื่อวัลคอตล่ะ เจ้ารู้จักรึเปล่า ข้าได้ยินว่าหมอนั่นเป็นนักประดิษฐ์สติเฟื่องเหมือนกัน”

“อ๋อ รู้จักสิ เขาเป็นคนที่น่าสนใจนะ เคยมาเรียนกับข้าอยู่ช่วงหนึ่งด้วย ท่านถามถึงเขาทำไมน่ะ คิดว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือ”

“ข้าได้ยินว่าเขาเคยระเบิดหมู่บ้านตัวเอง”

“อ้อ ใช่แล้ว มันเป็นอุบัติเหตุที่น่าเศร้า ท่านก็รู้ว่าเวลาเราทดลองอะไร มันเกิดอุบัติเหตุขึ้นง่ายมาก เขาเลยมาอาศัยอยู่ที่นี่พักหนึ่ง เป็นลูกมือที่ดีของข้าเลยล่ะ หลังจากนั้นไม่นานมีพ่อค้าจากอาณาจักรอุดรสนใจความสามารถของเขา เลยขอตัวไป ข้าก็คิดว่าเขาน่าจะไปได้ดีนะ จนกระทั่งประมาณสองสามปีก่อน มีข่าวว่าเขาประดิษฐ์เครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารได้สำเร็จ ข้าเลยเขียนจดหมายไปหาเขาเพื่อสอบถามรายละเอียดว่าเขาประดิษฐ์ออกมาในลักษณะไหนและมันปลอดภัยพอรึเปล่า แต่ข้าไม่ได้รับการติดต่อกลับเลย บางทีเขาอาจจะไม่ได้อาศัยอยู่ในที่อยู่เดิมที่เขาเคยให้ไว้กับข้าก็ได้ แต่ว่าหลังจากนั้นแล้วข้าก็ไม่ได้ข่าวอะไรจากเขาอีกเลย”

“เป็นไปได้ไหมว่าเขาสามารถสร้างเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารที่ย้ายสิ่งมีชีวิตได้สำเร็จ”

“ถ้าเขาทำได้มันต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก” ทีมัวร์ว่า “และถ้ามันปลอดภัยพอ เขาน่าจะนำมันออกมาเผยแพร่แล้ว หรืออย่างน้อยๆ คนที่ให้ทุนเขาก็ควรจะรีบนำมันออกมาเผยแพร่”

“ข้ารู้ว่าเทคโนโลยีคือสิ่งประดิษฐ์ที่วิ่งไล่ตามเวทมนต์” ไอดิเอลว่า “ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ใช้เวทและเชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยี ข้าขอถามความเห็นของเจ้าอีกครั้งนะ เจ้าคิดว่ามีโอกาสที่มนุษย์จะใช้หรือสร้างเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารเคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตได้มั้ย”

ทีมัวร์ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ก่อนจะพูดออกมาอย่างระมัดระวัง “ที่จริงแล้วมีทฤษฎีหนึ่งที่ข้าคิดว่าอาจจะเป็นไปได้ แต่ข้าไม่เคยทดลองด้วยตัวเองหรอก เพราะคิดว่ามันไม่คุ้มกัน”

“ไหนลองว่าทฤษฎีของเจ้ามาซิ”

“ตะกี้ข้าบอกท่านว่าข้ายังไม่สามารถประดิษฐ์เครื่องจักรที่จดจำ แยกแยะและสามารถรวมจิตวิญญาณเข้าด้วยกันได้ แต่ในการใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติ พวกเราทำทั้งหมดนี้ได้โดยการอาศัยพลังจิตของตัวเอง ซึ่งถ้าข้าเชื่อมตัวเองเข้ากับเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสาร ข้าอาจจะทำการเคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตได้ แต่... แค่คิดก็รู้แล้วว่ามันไม่คุ้ม ถ้าข้าต้องใช้พลังของตัวเองแล้วข้าจะสร้างเครื่องมือไปทำไม ใช่ไหมล่ะ”

“หมายความว่าถ้าเชื่อมต่อกับจอมเวท ก็จะสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตได้สินะ”

“ที่จริงไม่จำเป็นต้องเป็นจอมเวทก็ได้” ทีมัวร์ว่า “ในความคิดข้าถ้าเป็นมนุษย์ที่มีพลังจิตสูงพอก็น่าจะทำได้เหมือนกัน เพราะพลังจิตของมนุษย์มีความสามารถพอจะแยกแยะและจดจำข้อมูลมหาศาลพวกนั้นได้ แต่สมองของพวกเขาจะทนรับความเสียหายจากกระบวนการนี้ได้รึเปล่านั้นเป็นเรื่องที่ข้าไม่ต้องการเสี่ยง ถ้าต้องมีมนุษย์ตายเพราะการทดลองนี้สักคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นการเต็มใจ แต่พวกเราจะต้องถูกเพ่งเล็งแน่นอน ข้าไม่อยากเป็นคนที่ทำให้มนุษย์หันกลับมาเล่นงานเราแค่เพราะอยากสร้างเทคโนโลยีที่สะดวกให้กับพวกเขาหรอกนะ”

“อืม...” ไอดิเอลส่งเสียงในคอ “ถ้าอ้างอิงจากทฤษฎีของเจ้า มนุษย์เองก็อาจจะประดิษฐ์เครื่องย้ายมวลสารได้เหมือนกัน ถ้าพวกเขามีความรู้มากพอ แล้ววัลคอตคนนั้น รู้วิธีประดิษฐ์เครื่องย้ายมวลสารแบบที่เจ้าใช้อยู่ตอนนี้รึเปล่า”

“รู้สิ... ไม่ใช่แค่เขาหรอกนะ ลูกมือของข้าที่ด้านล่างหลายคนก็รู้ มันเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่พวกเขาสนใจมากเวลามาเรียนรู้ที่นี่ แทบจะไม่มีใครไม่ถามถึงการทำงานของมันเลย”

“อย่างนั้นข้าอยากจะให้เจ้าทำการทดลองพ่วงเครื่องนี้เข้ากับสมองของมนุษย์ ดูว่าจะเป็นไปได้ตามทฤษฎีไหม”

“เอ่อ... ตะกี้ข้าเพิ่งบอกท่านไปนะว่าข้าไม่อยากทำให้เราถูกเพ่งเล็ง”

“ข้าไม่ได้ให้เจ้าทดลองกับมนุษย์ทั่วๆ ไปเสียหน่อย ทดลองกับเจ้าหนูนั่นสิ คาริกน่ะ”

“หา!” คาริกร้องออกมาทันที “ท่านจะให้ข้าเป็นหนูทดลองหรือ”

“ใช่” ไอดิเอลว่า “เจ้าใช้ชีวิตเดียวกับข้าอยู่แล้ว ถึงการทดลองจะผิดพลาดก็ไม่ตายแน่นอน ยังไงก็ต้องพิสูจน์ทฤษฎีนี้ให้รู้แน่ชัดก่อนที่เรื่องจะแพร่ออกไป ฟัยรุซาจะได้แก้ตัวได้ถูก หรืออย่างน้อยๆ ก็สามารถซื้อเวลาให้ข้าสืบเรื่องนี้ได้”

“ข้าเข้าใจแล้ว” ทีมัวร์พยักหน้า “ท่านวางใจเถอะ ข้าคิดว่าคงใช้เวลาไม่นานนักหรอก ก่อนหน้านี้ข้าเคยทดลองกับสมองของคนที่เพิ่งตายใหม่ๆ คิดว่าน่าจะยังเก็บอุปกรณ์ไว้อยู่นะ”

“ดี ข้าจะให้คาริกอยู่กับเจ้าที่นี่ แล้วก็ช่วยติดต่อเวโรนิกาให้ข้าด้วย บอกนางว่าให้มาที่นี่พรุ่งนี้ตอนสิบโมง”

“ได้ แล้วท่านจะให้ข้านัดเวลาท่านฟัยรุซาเลยไหม หรือจะให้ข้าตามใครมาอีก”

“ยังไม่ต้องนัดฟัยรุซา และก็ยังไม่ต้องตามคนอื่น ข้าต้องรอผลการทดลองของเจ้าก่อนจะเอาเรื่องเข้าสภา”

“ตกลง” ทีมัวร์พยักหน้า คาริกเห็นไอดิเอลถือไม้เท้า ทำท่าจะเดินไปขึ้นลิฟต์ เลยร้องออกมา

“แล้วนั่นท่านจะไปไหน”

“ข้าจะไปที่หอสมุด มีเรื่องบางอย่างที่ข้าต้องไปค้นหาข้อมูลที่นั่น”

“หา! แล้วท่านจะทิ้งพวกข้าไว้ที่นี่เนี่ยนะ”

“ทำไมต้องทำหน้าตกใจขนาดนั้น” ไอดิเอลว่า “ข้าไม่ได้ทิ้งพวกเจ้าไว้ในสถานที่อันตรายสักหน่อย อยู่ที่นี่ช่วยทีมัวร์ทำการทดลองไป ถ้าเวลาเหลือจะให้เขาพาเที่ยวเมืองพ่อค้าด้านล่างก็ได้ ข้าว่าเขาน่าจะเต็มใจอยู่นะ หรือถ้าพวกเจ้าอยากพักผ่อน ก็ใช้ห้องพักของข้า ซึ่งเท่าที่จำได้มันน่าจะสบายกว่าแหลมสุดขอบฟ้าเสียอีก เพราะงั้นหยุดทำหน้าเหมือนเด็กถูกทิ้งได้แล้ว”

คาริกอ้าปากพะงาบลมอยู่นาน สุดท้ายก็ถอนใจแรง “เฮ้อ... ท่านเนี่ยนะ สั่งให้ข้าเป็นหนูทดลองนี่ถามความสมัครใจของข้ารึยัง...”

“ถ้าเจ้าไม่สมัครใจก็ลองหาคนอื่นที่สมัครใจและเกือบจะเป็นอมตะเหมือนเจ้ามาแทนสิ” จอมเวทว่า ก่อนจะพูดต่อ “เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากนะคาริก ถ้าเจ้าอยากจะทำตัวมีประโยชน์ เจ้าก็ควรจะทำเรื่องนี้ เชื่อข้าเถอะว่าเจ้าไม่ตายหรอก”

“....”

“ถ้างั้นข้าไปกับท่านนะ” โอเรนว่า “ข้าไม่ได้เกือบเป็นอมตะเหมือนคาริก อยู่ที่นี่ไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”

ไอดิเอลเหลือบตาขึ้นมองเขา “ไม่ได้ ข้าไปหอสมุดต้องใช้สมาธิ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนคาริกที่นี่แหละ เขาจะได้ไม่เหงา เดี๋ยวจะหาว่าข้าทิ้งไว้คนเดียวอีก”

“งื้อ...”

ไอดิเอลขึ้นลิฟต์จากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก คาริกถอนหายใจอีกครั้ง “นี่ข้าคาดหวังอะไรจากคนไร้หัวใจแบบเขากันเนี่ย เฮ้อ...”

“บางทีข้าก็รู้สึกว่าท่านไอดิเอลนี่เย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งซะอีกน้า...” โอเรนคราง ทีมัวร์เดินเข้ามาตบบ่าชายหนุ่มเบาๆ

“เอาน่า เขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เดี๋ยวพวกเจ้าก็ชินไปเองนั่นแหละ”

คาริกได้แต่พยักหน้าอย่างยอมรับสภาพ โอเรนถามขึ้นต่อ “ว่าแต่เดี๋ยวท่านจะทดลองเรื่องเครื่องย้ายมวลสารกับคาริกใช่ไหม อย่าเอาข้าไปทดลองด้วยนะ ข้าไม่ได้ใช้ชีวิตเดียวกับท่านไอดิเอล กลัวว่าจะกลายเป็นศพไปก่อนน่ะ”

“อ้อ... ข้าไม่ใช้เจ้าเป็นตัวอย่างทดลองหรอก” ทีมัวร์ว่า ข้าคิดว่าด้านล่างน่าจะพอหาหนูหรือสัตว์เล็กๆ ให้เราได้สักตัวสองตัวเพื่อทำการทดลองนี้ จริงสิ ขอข้าหาก่อนนะว่าเก็บอุปกรณ์พวกนั้นไว้ตรงไหน”

“นี่ ข้าขอถามท่านหน่อยได้ไหม” คาริกพูดขึ้นมา “ตะกี้ที่ท่านบอกว่าเคยทดลองกับสมองของมนุษย์ที่เพิ่งตายใหม่ๆ น่ะ ผลเป็นยังไงหรือ”

“อืม... ก็ไม่มีอะไรมากหรอก จำได้ว่าศพแรกน่ะสมองระเหยเป็นไอไปเลย ข้าเลยพยายามปรับให้เครื่องกรองพลังงานออกอีก ศพที่สองศพที่สามค่อยดีขึ้นหน่อยนะ แต่สมองก็ยังสุกอยู่ดี ข้าเลยคิดว่ามันคงไม่ปลอดภัยถ้าจะใช้งานกับมนุษย์น่ะ”

“สมองสุก!” คาริกร้องออกมา “แล้วท่านจะให้ข้าลองเนี่ยนะ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” ทีมัวร์ว่า “เจ้าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเสียหน่อย อีกอย่างสมองคนตายน่ะไม่มีพลังงานเหลืออยู่แล้ว มันก็ต่างจากสมองคนเป็นอยู่พอสมควรน่ะนะ”

คาริกกะพริบตาปริบๆ ขณะที่ทีมัวร์พูดต่อ “แต่เพื่อความสบายใจ เดี๋ยวข้าทดลองกับตัวเองก่อนก็ได้”

คาริกรีบผงกศีรษะเห็นด้วยทันที “ถ้างั้นล่ะก็ข้าค่อยเบาใจหน่อย ขอบคุณท่านมาก”

“ไม่เป็นไรหรอก ขอข้าหาก่อนนะว่าเก็บอุปกรณ์พวกนั้นไว้ตรงไหน”

“นี่ ท่านทีมัวร์” โอเรนพูดขัดขึ้น “ท่านใช้เวลาหาของที่ว่านานรึเปล่า ข้าหิวน่ะ ตั้งแต่ขึ้นเรือเหาะมาข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”

“จริงด้วย ข้าลืมเรื่องกินของเจ้าเสียสนิทเลย” คาริกว่า เขาหันไปหาทีมัวร์ “ท่านพอจะหาใบไม้หรือผักสดมาให้เขาได้รึเปล่า”

“อืม... พวกเจ้าต้องกินอาหารนี่นะ ข้าคิดว่าผักน่าจะพอหาได้ แต่ใบไม้อาจจะหายากหน่อย ที่นี่ไม่มีการปลูกพืชหรอก”

“ผักก็ได้”

“แล้วเจ้าล่ะ อยากกินอะไรรึเปล่า”

“เอ่อ... ท่านจะสั่งอาหารเผื่อข้าด้วยหรือ แต่ข้ากินจุมากนะ”

ทีมัวร์ยักไหล่ “จากสภาพร่างกายของเจ้า ถ้าจะกินจุกว่ามนุษย์ปกติก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะ อยากจะกินอะไรล่ะ”

“อืม... ข้าวผัดเนื้อใส่ผักชามใหญ่สักสี่คนกิน กับซุบสักหม้อก็ได้ ข้าไม่รบกวนมากหรอก แล้วก็ขอสลัดผักสักสองอ่างให้โอเรนด้วย”

ทีมัวร์ผงกศีรษะ “สเตลลา ขอข้าวผัดเนื้อใส่ผักสำหรับสี่คนหนึ่งที่ ซุบหนึ่งหม้อ แล้วก็สลัดผักสองอ่างนะ สั่งจากภัตตคารเปลือกหอยก็ได้ จ่ายในชื่อข้านี่แหละ แล้วก็ให้พวกข้างล่างหานกหรือจิ้งจกหรือหนูสักตัว ใส่กรงหรือกล่องส่งขึ้นมาด้วย ข้าจะเอามาทดลองเครื่องย้ายมวลสารน่ะ”

“รับทราบค่ะ”

“ว่าแต่สเตลลาของท่านไม่ใช่มนุษย์ไม่ใช่หรือ” โอเรนถามขึ้นต่อ “นางจะหาของพวกนั้นมาได้ยังไงน่ะ”

“นางสามารถนำคำสั่งไปบอกคนที่จัดการเรื่องนี้ได้ เดี๋ยวก็จะมีคนเอาของพวกนั้นขึ้นมาเอง”

“อ๋อ”

“สเตลลา” ทีมัวร์ส่งเสียงเรียกปัญญาประดิษฐ์ของเขาอีก “เจ้าจำได้รึเปล่าว่าข้าเก็บอุปกรณ์ต่อพ่วงเครื่องย้ายมวลสารไว้ที่ไหน แบบที่ใช้ต่อเข้ากับสมองของมนุษย์น่ะ”

“ท่านไม่ได้ลงบันทึกไว้ค่ะ”

“เวรล่ะ งั้นอาจจะอยู่ในตู้ขยะ” ทีมัวร์ครางพลางยกนิ้วเกาศีรษะ แล้วหันมาหาพวกคาริก “พวกเจ้ารอนี่ก่อนนะ ถ้ามีของขึ้นมาฝากช่วยจัดการด้วย ข้าขอตัวไปหาของก่อน”

พูดจบเขาก็เดินไปที่มุมหนึ่งของห้องทรงครึ่งวงกลม คุกเข่าลง จากนั้นก็ผลุบหายไป ได้ยินเสียงร้องเหวอ พร้อมกับเสียงเหล็กกระแทกดังโป้งเป๊งอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนที่เหมือนสะท้อนมาจากท่อใหญ่ๆ

“สเตลลา ช่วยเปิดช่องทิ้งขยะนี่ให้ข้าที ขาข้าติดนะ”

โอเรนพูดขึ้นมา “ท่านทีมัวร์นี่เป็นคนประหลาดแฮะ”

“นั่นสิ” คาริกพยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าไม่นับเรื่องที่ใช้เวทมนตร์ได้ ข้าว่าเขาเหมือนตาแก่สติเฟื่องมากกว่านะ”

จากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสเตลลา “หนูที่ท่านสั่ง ได้มาแล้วค่ะ”

“หา? ไหนล่ะ” โอเรนถามขึ้น “ข้าไม่เห็นว่ามีหนูหรืออะไรโผล่มาเลย”

“ที่ขวามือของท่าน ห่างไปประมาณสามก้าว ทำมุมสี่สิบห้าองศา จะมีช่องลิฟต์ขนาดเล็กติดตั้งอยู่ กรงใส่หนูอยู่ที่นั่นค่ะ”

“อ่า...” คาริกครางออกมา “เจ้าคุยกับพวกเราได้ด้วยหรือ”

“ได้ค่ะ ข้าถูกตั้งค่าให้สามารถตอบโต้ได้ในสถานการณ์ต่อเนื่อง และจะเลิกการตอบโต้เมื่อไม่มีการสนทานานเกินกว่าห้าวินาที หากท่านต้องการติดต่อข้าอีกครั้งสามารถเรียกชื่อข้าเพื่อเริ่มการสนทนาได้ค่ะ”

คาริกเดินไปตามที่สเตลลาบอก เขาพบว่ามีลิฟต์ขนาดเล็กตัวหนึ่งติดตั้งอยู่จริง และในนั้นก็มีกรงดักหนูวางอยู่ จึงยื่นมือไปหยิบขึ้นมา

“เจ้าหนูนี่กับข้า ไม่รู้ว่าใครจะโชคร้ายกว่ากันนะเนี่ย” ชายหนุ่มรำพึงพลางวางกรงหนูลงบนพื้น โอเรนพูดขึ้น

“ข้าว่าเจ้าน่าจะโชคดีกว่าหนูนี่นะ อย่างน้อยๆ เจ้าก็ใช้ชีวิตเดียวกับท่านไอดิเอลไม่ใช่หรือ แต่เจ้าหนูตัวนี้ถ้าตายก็หมายถึงตายจริงๆ เลยนะ”

“อืม... ก็ถูกของเจ้าน่ะนะ”

จากนั้นไม่นาน อาหารของพวกเขาก็ถูกส่งมาด้วยกรรมวิธีเดียวกัน คาริกหยิบจานอาหารออกมาจากช่องลิฟต์ จากนั้นยืนหันอยู่ครู่หนึ่ง

“เอ่อ... สเตลลา พอจะหาโต๊ะว่างๆ ให้เราได้สักตัวรึเปล่า ข้ากับโอเรนต้องใช้โต๊ะเพื่อกินอาหารพวกนี้น่ะ”

“สักครู่นะคะ”

แผ่นเหล็กแผ่นหนึ่งเลื่อนออกมาจากโต๊ะที่อยู่ใกล้กัน ก่อนที่ขาตั้งซึ่งซ่อนอยู่ด้านล่างจะดีดลงไปบนพื้นเสียงดังกริ๊ก โอเรนร้องออกมา

“ว้าว เจ้าก็ใช้เวทมนตร์ได้ด้วยหรือ”

“ไม่ใช่เวทมนตร์หรอกค่ะ” สเตลลาตอบ “ข้าใช้การบังคับควบคุมสนามแม่เหล็กที่ท่านทีมัวร์วางระบบไว้ จึงสามารถควบคุมสิ่งของทุกอย่างที่เป็นโลหะได้ค่ะ”

“ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกนะ” เจ้ามังกรว่า “แต่เท่านี้ข้าก็ได้โต๊ะสำหรับกินอาหารแล้ว”

เขากระโดดลงไปบนโต๊ะ คาริกจึงวางอาหารทั้งหมดลงไป โอเรนกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ ขณะที่คาริกกำลังจะอ้าปากพูด เก้าอี้ตัวหนึ่งก็เลื่อนมาหาเขา

“อ๊ะ ขอบใจนะสเตลลา”

“ท่านพูดว่าขอบใจหรือคะ?”

ชายหนุ่มนั่งลงแล้วพูดตอบ “ใช่ ทำไมหรือ”

“ข้าคิดว่าแปลกน่ะค่ะ ปกติแล้วไม่มีมนุษย์พูดขอบใจกับข้าหรอกค่ะ”

“อ้อ ข้าคงเคยชินนะ แต่มันก็ดีไม่ใช่หรือ”

“ข้าไม่มีความเห็นเรื่องนั้นหรอกค่ะ”

“....”

ทั้งคนทั้งมังกรต่างก้มหน้าก้มตากินอาหาร โดยมีเสียงครางหึ่งๆ ของเครื่องมือที่อยู่รอบตัวประกอบ และเสียงเคร้างคร้างที่เหมือนดังมาจากในท่อลอยมาบ้างในบางครั้ง หลังกินอาหารเสร็จและยังไม่เห็นวี่แววของทีมัวร์ คาริกจึงพูดขึ้น

“สเตลลา ข้ามีเรื่องอยากถามน่ะ”

“เชิญท่านถามได้เลยค่ะ”


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“ไอดิเอลเป็นสมาชิกสภาลำดับที่สองใช่ไหม ข้าได้ยินว่าจอมเวทมีทั้งหมดสิบหกคน พวกเขามีลำดับเหมือนไอดิเอลรึเปล่า”

“มีค่ะ ลำดับนี้เรียงจากความอาวุโส ท่านฟัยรุซาอยู่ลำดับที่หนึ่ง ส่วนท่านทีมัวร์อยู่ลำดับที่แปด หากท่านสนใจลำดับของจอมเวทคนอื่นข้าสามารถเรียงรายชื่อให้ท่านได้”

“ไม่เป็นไร ถึงเจ้าบอกมาข้าก็ไม่รู้จักพวกเขาอยู่ดี แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่าจอมเวทเกิดขึ้นมาได้ยังไง”

“ข้าไม่พบเรื่องนี้ในฐานข้อมูลค่ะ”

“อ้อ... งั้นหรือ...” ขณะที่คาริกกำลังคิดว่าควรจะถามเรื่องอะไรต่อไปดี ทีมัวร์ก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาจากช่องที่เขามุดลงไป พร้อมด้วยเครื่องมือโลหะหน้าตาเหมือนหมวกอันหนึ่ง

“ให้มังกรโฉบหัวเลย!” เขาบ่น “วันหลังข้าคงต้องทำรายการขยะพวกนี้แล้วล่ะ”

“ที่จริงข้าว่าแค่มันยังอยู่ให้ท่านหาจนเจอก็ดีแล้วนะ” คาริกว่า “ท่านคงไม่ต้องทำรายการขยะที่ท่านทิ้งไปหรอก”

“ไอ้ของพวกนี้มันยังไม่ใช่ขยะที่จะต้องถูกทิ้งจริงๆ หรอก” ทีมัวร์ว่า “มันเป็นของจำพวกเครื่องมือที่ใช้ไม่ได้ผลหรือไม่สมบูรณ์ ข้ามักจะโยนทิ้งๆ เอาไว้ เผื่อบางทีจะเอาอะไหล่มาเสริมกับอย่างอื่นน่ะ”

“....”

“แต่ก็ดีแล้วล่ะนะที่หาเจอ” เขาพูดพลางใช้มือข้างที่ว่างปัดขากางเกง แล้วเดินไปยังตู้เหล็กใบใหญ่ที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง แหวกของที่กองระเกะระกะอยู่ด้านหน้าของมันออก

“เอาล่ะ... ข้าคิดว่ามันน่าจะอยู่ตรงนี้นะ” เขาใช้มืองัดฝาเหล็กที่อยู่ข้างตู้ออก จากนั้นก็เสียบสายที่ใช้เชื่อมต่อเข้าไป “ไหนดูซิว่าไฟเดินรึเปล่า”

เขายกอุปกรณ์รูปร่างเหมือนหมวกครอบลงบนศีรษะ แต่ก็ติดแว่นตาและกิ๊บติดผม ได้ยินเสียงเจ้าตัวบ่นเบาๆ คาริกเห็นดังนั้นก็ถามขึ้น

“มันใช้งานได้แล้วหรือ”

“อ้อ... เปล่าหรอก ข้าแค่จะดูว่าไฟเข้ารึเปล่าน่ะ หมวกนี่ตั้งแต่ทดลองคราวก่อนข้าก็ทิ้งลงถังไปเลย เฮ้อ เจ้าแว่นนี่บางทีก็เกะกะชะมัด”

เขาถอดแว่นหน้าตาประหลาดออก จากนั้นก็ครอบหมวกโลหะใบนั้นลงไป แล้วเอื้อมมือไปดันคันโยกเล็กๆ ซึ่งอยู่บนแผงหลังฝาโลหะที่เขาเพิ่งดึงออกมา ได้ยินเสียงหึ่งๆ ดังลั่น พร้อมด้วยเสียงร้องเอ๊ะของเจ้าตัว

“ไฟเข้า แต่ดูเหมือนแผงวงจรจะมีปัญหานิดหน่อยแฮะ” ทีมัวร์พูดพลางถอดหมวกประหลาดใบนั้นออก วางมันลงบนโต๊ะ แล้วล้วงมือไปหยิบไขควงออกมาจากกระเป๋ากางเกง หยิบแว่นขึ้นมาสวม จากนั้นก็เริ่มแกะชิ้นส่วนของหมวกออก

พวกคาริกเห็นดังนั้นจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูใกล้ๆ

“เป็นไงบ้าง”

ทีมัวร์เงยหน้าขึ้นแล้วยกนิ้ว “ไม่ต้องเป็นห่วง ระดับข้าแล้ว รับรองใช้ได้แน่นอน”

“เอ่อ... ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น” ชายหนุ่มตอบ “ถ้าไม่สำเร็จบอกไอดิเอลไปตรงๆ ก็ได้ เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก... มั้ง”

“สำเร็จซี่ เจ้าไม่เชื่อมือข้าหรือไง” ทีมัวร์ว่า “คิดว่าเพราะข้าโยนทิ้งไป แผงวงจรด้านในบางส่วนมันเลยกะเทาะออกน่ะ แต่เชื่อมกลับเข้าไปใหม่แล้วล่ะ”

เขาไขน็อตกลับคืนที่เดิม ก่อนจะยกหมวกใบนั้นขึ้นมา “ไหนเอาหัวเจ้ามาซิ”

“หา! จะให้ข้าลองหรือ”

“ใช่ ก็แค่ดูว่าไฟเข้าไหมเท่านั้นเอง”

คาริกพยายามบ่ายเบี่ยง “ท่านลองเถอะ ข้าจะไปรู้ได้ไงว่าไฟเข้าหรือไม่เข้า”

“แหม เจ้านี่ขี้กังวลจริงเชียว ข้าลองเองก็ได้”

พูดจบเขาก็ถอดแว่นออกแล้วสวมหมวกใบนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์

“ไฟเข้าแล้ว ใช้ได้ล่ะ” เขาว่า ก่อนจะส่งเสียงขึ้นต่อ “สเตลลา ตรวจความถี่ของเครื่องย้ายมวลสารนี่ให้ข้าหน่อย ดูซิว่าสองช่องนี้ตรงกันรึเปล่า ข้าจะทดลองย้ายจากช่องหนึ่งไปช่องสองน่ะ”

“จะให้ตัดการเชื่อมต่อกับเครื่องอื่นด้วยไหมคะ”

“เออ ตัดไปก่อน เดี๋ยวค่อยต่อใหม่ ตั้งความถี่ที่สี่ร้อยห้าสิบหกก็ได้”

“เรียบร้อยค่ะ”

“คาริก เจ้าลองหยิบอะไรแถวนั้นใส่ลงไปในช่องทางซ้ายมือหน่อยสิ ที่มีป้ายเขียนไว้ด้านบนว่าหมายเลขหนึ่งน่ะ ไม่ๆ เอางี้ดีกว่า เอาหนูใส่เข้าไปเลย ข้าขี้เกียจจะเปลืองพลังงานทดลองหลายรอบ”

“เอางั้นหรือ แล้วถ้าสมมติว่าไม่ได้ผลล่ะ”

“ไม่ได้ผลก็ค่อยหาตัวใหม่ หนูมีเยอะแยะไปน่า”

คาริกจึงเดินไปหยิบกรงหนูมาวางที่ช่องหมายเลขหนึ่ง ทีมัวร์ส่งเสียงถาม

“เรียบร้อยหรือยัง”

“ข้าวางลงไปแล้ว ต้องทำอะไรอีกรึเปล่า”

“มีคันโยกสีเงินอยู่ที่แผงควบคุมด้านขวามือของเจ้าน่ะ มันน่าจะสับลงอยู่ สับขึ้นได้เลย”

“อันนี้น่ะหรือ” คาริกดันคันควบคุมที่สับลงอยู่ขึ้น แผ่นกระจกหนาค่อยๆ เลื่อนลงมาปิดช่องที่ใส่หนูเอาไว้อยู่ จากนั้นก็มีแสงสว่างวาบจนเขาต้องยกมือขึ้นป้อง แล้วก็มีเสียงติงเหมือนเสียงกริ่งตามมา ได้ยินเสียงทีมัวร์ร้องออกมา

“นี่มันไร้สาระจริงๆ”

คาริกยกมือที่ป้องหน้าออก เขาเห็นช่องหมายเลขหนึ่งว่างเปล่า แต่ในช่องหมายเลขสองกลับปรากฏกรงหนู ชายหนุ่มรีบถลันเข้าไปดู ขณะที่โอเรนร้องขึ้น

“ไม่น่าเชื่อ ข้ามองเห็นพลังงานอันมหาศาลที่เกิดขึ้นแล้วก็หายไป เครื่องนี่สามารถเคลื่อนย้ายมวลสารได้จริงๆ ด้วย”

“และมันก็คงเป็นเรื่องงี่เง่ามากถ้าจะมีจอมเวทคนไหนใช้เครื่องนี่ในการเคลื่อนย้ายมวลสาร” ทีมัวร์บ่น เขาถอดหมวกออกแล้ว และกำลังยกมือนวดขมับ สีหน้าเหมือนปวดศีรษะอย่างหนัก

“ไหนดูซิว่าเจ้าหนูตัวนั้นยังอยู่ปกติดีรึเปล่า”

เขาเดินยักแย่ยักยันมาเปิดครอบแก้วออก แล้วเขย่ากรงหนูอย่างไม่เกรงใจ หนูตัวนั้นเลยร้องจี๊ดเสียงลั่น สีหน้าของทีมัวร์เหมือนปวดศีรษะกว่าเก่า

“เห็นไหม มันก็ยังเป็นหนูตัวเดิม ข้าเสียพลังงานทำเรื่องไร้สาระแท้ๆ”

“แต่ว่าท่านเคลื่อนย้ายมันได้สำเร็จน่ะ ถึงจะระยะใกล้ๆ ก็เถอะ” คาริกว่า ทีมัวร์ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม

“ข้าไม่ต้องใช้ไอ้เครื่องนี่ก็ทำได้เหมือนกัน ท่านไอดิเอลก็ทำได้ ใครๆ ก็ทำได้ แถมพอใช้เครื่องแล้วเปลืองพลังงานยิ่งกว่าเดิมอีก เหมือนเครื่องจักรพวกนี้สูบพลังงานของข้าไปอีกที ข้าขอย้ำว่าไม่มีจอมเวทคนไหนโง่พอจะทำเรื่องแบบนี้แน่นอน”

พูดจบเจ้าตัวก็เอนตัวพิงเข้ากับเครื่องย้ายมวลสาร ท่าทางเหมือนเหนื่อยมาก คาริกมองสภาพฝ่ายนั้นแล้วพูดขึ้นต่อ “ท่านไม่เป็นไรนะ”

ทีมัวร์เหลือบตาขึ้นมองเขา นิ่งไปอึดใจ “ก็อยากจะบอกว่าเป็นแล้วขอถ่ายเทพลังกับเจ้าหรอกนะ”

คาริกสะดุ้ง หน้าแดงขึ้นมาทันที ทีมัวร์ถอนหายใจเฮือก “แต่เพราะเจ้าทำสัญญากับท่านไอดิเอลแล้ว ขืนข้าใช้เจ้า เขาได้ฆ่าข้าแน่”

ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ นึกถึงตอนที่ไอดิเอลทิ้งเขาไว้ที่หาดสวรรค์ “เอ่อ...ข้าไม่คิดว่าเขาจะหวงข้าขนาดนั้นหรอกนะ”

ทีมัวร์เลิกคิ้ว แล้วพูดขึ้นต่อ “อืม... ถ้าหมายถึงตัวเจ้าล่ะก็ข้าคิดว่าคงไม่หรอก แต่ถ้าข้านอนกับเจ้ามันจะกลายเป็นการดูดพลังของเขาด้วย รับรองว่าเขาเล่นข้าหนักแน่นอน และโดยมารยาทก็ไม่ควรทำด้วย”

“เห... ทำไมนอนกับคาริกแล้วจะกลายเป็นการดูดพลังของท่านไอดิเอลล่ะ ข้านอนกับเขาทุกคืนยังไม่เห็นท่านไอดิเอลว่าอะไรเลย” โอเรนถามขึ้นด้วยความสงสัย คาริกได้แต่อ้าปากพะงาบ ขณะที่ทีมัวร์เลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้ม

“เจ้ายังเด็กอยู่นี่นะ... ไม่มีอะไรหรอก แค่ข้าเหนื่อยเฉยๆ น่ะ”

“งั้นท่านก็พักสิ”

“ข้าพักแน่ แต่ต้องทำการทดลองให้เสร็จก่อน” ทีมัวร์ว่า ก่อนจะถอนหายใจ “สเตลลา ติดต่อไปที่หอไข่มุกนะ บอกพวกเขาให้เตรียมผู้ชายแข็งแรงๆ ไว้ให้ข้าสักสี่คน ให้แน่ใจว่าแข็งแรงและไม่มีโรคประจำตัวนะ เกิดตายขึ้นมาล่ะก็วุ่นวายตายชัก”

“รับทราบค่ะ”

คาริกฟังแล้วก็ให้รู้สึกผิดขึ้นมา “เอ่อ... ข้าขอโทษนะ”

ทีมัวร์เลิกคิ้วมองเขา “เจ้าจะขอโทษทำไม”

“ก็... เอ่อ เพราะข้าขอให้ท่านทดลองให้ดูก่อน ท่านก็เลยเสียพลังไป... ที่จริงแล้ว...”

ทีมัวร์โบกมือเป็นเชิงไม่ต้องใส่ใจ “เรื่องมันผ่านไปแล้วก็แล้วไปเถอะ อีกอย่างเจ้าอายุแค่สิบแปด ถ้ากล้าทำเรื่องนี้โดยไม่กลัวเลย ข้าคงต้องเป็นห่วงท่านไอดิเอลแล้วล่ะ”

คาริกเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ทำไมล่ะ ที่จริงถ้าข้ากล้าลองโดยไม่อิดออด มันก็น่าจะดีไม่ใช่หรือ”

ทีมัวร์สั่นศีรษะ “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว คนที่กล้าเกินไปโดยไม่รู้จักกลัวอะไรเลยน่ะ เป็นคนที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งหรือมีความสัมพันธ์ด้วยหรอกนะ เพราะพวกเขาจะพาตัวเองเข้าไปหาอันตรายโดยไม่ไตร่ตรอง การที่เจ้ากลัวที่จะทดสอบเครื่องนี้ด้วยตัวเองน่ะเป็นเรื่องปกติ เพราะงั้นไม่ต้องคิดมากหรอก”

“เอ่อ... อย่างนั้นหรือ... รู้สึกเขินๆ ยังไงก็ไม่รู้ ข้ายังแอบรู้สึกว่าตัวเองขี้ขลาดไปเลย”

“งั้นก็ช่วยสวมนี่เถอะ ข้าจะได้ทดลองให้จบๆ แล้วไปจัดการตัวเองเสียที”

คาริกยื่นมือไปรับหมวกโลหะใบนั้น โอเรนจึงกระโดดลงจากศีรษะของเขา ชายหนุ่มถามขึ้นต่อ

“ข้าต้องทำไงบ้าง แค่สวมไว้อย่างนี้หรือ”

“อืม... เจ้าไม่เคยใช้เวทมนตร์อาจจะรู้สึกประหลาดหน่อย ข้าแนะนำว่าให้ตั้งสมาธิให้ดี พยายามจดจ่อกับสิ่งที่เจ้าต้องการทำ ในที่นี้ก็คือการเคลื่อนย้ายหนูตัวนี้พร้อมกับกรง ซึ่งในความคิดข้าก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก เพราะมีเครื่องคอยช่วยประมวลผลอยู่แล้ว”

“ตกลง แล้วเครื่องนี้จะสูบพลังงานข้ารึเปล่า”

“อืม... ข้าก็ไม่แน่ใจนะ แต่ยังไงคนรับเรื่องนี้ไปก็คือท่านไอดิเอล ไม่ใช่เจ้าหรอก”

“อ่า...”

“ตั้งสมาธิให้ดีแล้วกัน พร้อมแล้วบอกข้านะ”

คาริกสวมหมวกใบนั้นลงไปบนศีรษะ มันหนักพอสมควร พอสวมลงไปแล้วก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร จากที่เห็นทีมัวร์ทำมันก็กินเวลาแค่กะพริบตาเท่านั้น

“เอาล่ะ ข้าพร้อมแล้ว”

ทีมัวร์สับสวิตช์ขึ้น คาริกรู้สึกเหมือนมีแสงแว้บเข้านัยน์ตา จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเรียก

‘มาหาข้าเถิดบุตรแห่งศิลา ในย่ำรุ่งอันไร้ซึ่งแสงอุษา ทัพแห่งตรีดาราจะกรีฑาย่ำปฐพี’

คาริกสะดุ้งเฮือก เขาได้ยินเสียงโอเรนตะโกน “ไชโย คาริก เจ้าทำได้!”

ชายหนุ่มถอดหมวกออก พอมองไปก็เห็นทีมัวร์หยิบกรงหนูออกมาจากช่อง ฝ่ายนั้นหันมามองเขา ทำท่าจะพูดอะไร แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจแทน “ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้น บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า”

คาริกสั่นศีรษะ เขามองจอมเวท แล้วถาม “ตะกี้ท่านได้ยินเสียงอะไรรึเปล่า”

“ถ้าเจ้าหมายถึงเสียงหึ่งๆ หรือเปรี๊ยะๆ ล่ะก็ ข้าบอกเลยนะว่ามันเป็นเสียงของพลังงานที่กำลังวิ่งชนกัน ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดขึ้นปกติอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่เสียงแบบนั้นหรอก”

“หืม?”

ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจ ก่อนจะรีบสั่นศีรษะ “เปล่า ไม่มีอะไร สงสัยข้าจะหูแว่ว”

“สีหน้าเจ้าดูตกใจมากนะ” โอเรนว่า “เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”

“ไม่มีอะไร” คาริกพูดซ้ำ แล้วถอนหายใจ “สรุปแล้วสำเร็จไหม”

“สำเร็จสิ” ทีมัวร์ว่า แล้วเขย่ากรงหนูให้เขาดู “มันยังมีชีวิตอยู่ เจ้าเห็นมั้ย”

คาริกรู้สึกสงสารหนูตัวนั้นขึ้นมาถนัด ขณะที่ทีมัวร์พูดขึ้นต่อ “เป็นอันว่าการทดลองนี้จบแล้ว เดี๋ยวข้าจะเขียนรายงานให้ท่านไอดิเอล เจ้าสองคนก็ไปพักผ่อนเถอะ ข้าให้สเตลลาเตรียมห้องไว้แล้ว”

.........................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่14 ความทรงจำ


คาริกกับโอเรนเดินกลับมาขึ้นลิฟต์ตัวเดิมโดยปราศจากไอดิเอล เขารู้สึกตื่นเต้นและประหม่าเล็กน้อย ชายหนุ่มกลั้นหายใจ ก่อนจะพูดออกเสียง

“สเตลลา พาพวกเราไปที่ห้องพักหน่อย”

“รับทราบค่ะ”

ลิฟต์ค่อยๆ ยกตัวขึ้น โอเรนส่งเสียงออกมา “ว้าว ลิฟต์เคลื่อนแล้ว เจ้าคุยกับนางได้จริงๆ ด้วย”

เวลาผ่านไปอึดใจ ประตูลิฟต์จึงเปิดออก ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคือโถงทรงโค้ง ผนังสองด้านสร้างจากโลหะสีทองรมดำ มีเส้นแสงเดินวูบไหว สุดทางเป็นประตูคู่สองบาน แต่ละบานมีเส้นแสงรูปครึ่งวงกลมขีดกลางซึ่งเป็นตราจอมเวทของไอดิเอลประดับอยู่ ได้ยินเสียงสเตลลาดังขึ้น

“ยินดีต้อนรับสู่ห้องพักค่ะ ท่านคาริก เชิญพักผ่อนตามสบายนะคะ”

“เอ่อ...” คาริกส่งเสียงอย่างไร้ความหมาย เขารีบหยิบสัมภาระที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาหิ้ว แล้วเดินออกมาจากลิฟต์ เขาเหลียวหลังไปมองประตูลิฟต์ที่ปิดลง แล้วโพล่งออกมา

“สเตลลา”

“มีอะไรหรือคะ”

คาริกถอนหายใจอย่างโล่งตก “ไม่มีอะไร ข้าคิดว่าพอลิฟต์ปิดจะติดต่อกับเจ้าไม่ได้เสียอีก”

“ท่านสามารถติดต่อกับข้าได้ตลอดเวลา ตราบใดที่ท่านยังอยู่ในหอคอยโลหะนี้ค่ะ”

“หา! หอคอยโลหะ?”

“ค่ะ หอคอยโลหะเป็นชื่อเรียกของสถานที่แห่งนี้”

“อ้าว ข้าคิดว่าที่นี่คือนครเวหาเสียอีก”

“ที่นี่คือนครเวหา ท่านเข้าใจถูกแล้วค่ะ” สเตลลาตอบ “นครเวหาแบ่งออกเป็นสองส่วน เรียกว่าส่วนล่างและส่วนบน ส่วนบนคือหอคอยโลหะ มีทั้งหมดสิบหกชั้น ส่วนล่างคือชั้นใต้หอคอย มีทั้งหมดสามชั้น ประกอบด้วยอาคารผู้โดยสารและด่านตรวจคนเข้าเมือง ลานจอดเรือเหาะ และชั้นล่างสุดคือตลาดพ่อค้า ซึ่งเป็นส่วนที่มีอาณาบริเวณกว้างที่สุดของนครเวหาค่ะ”

“แล้วเราจะไปที่นั่นได้ยังไง ข้าหมายถึงตลาดพ่อค้าน่ะ”

“ท่านสามารถเดินขึ้นลิฟต์แล้วแจ้งความประสงค์ได้เลยค่ะ ข้าจะนำท่านลงไปชั้นล่าง ที่นั่นมีรถสำหรับนั่งไปยังตลาดในตัวเมืองค่ะ”

“เรายังจะไปที่อื่นกันอีกหรือ” โอเรนว่า “ข้าง่วงแล้วนะ”

“อ๋อ เปล่าๆ ข้าแค่ถามเอาไว้น่ะ” คาริกว่า ก่อนจะหอบหิ้วสัมภาระทั้งหมดไปที่ห้องพัก ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเท้าถึง บานประตูก็เปิดออกโดยที่เขาไม่ต้องใช้มือผลักด้วยซ้ำ

ที่ปรากฏต่อสายตาคือห้องนั่งเล่นที่มีหน้าต่างขนาดใหญ่ จันทร์เพ็ญลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าสีดำสนิทเหมือนอัญมณีเม็ดงามที่วางอยู่บนผ้ากำมะหยี่เนื้อดี สาดแสงสีเงินยวงเข้ามาภายในห้อง ทาบทาเก้าอี้นวมตัวยาวที่วางอยู่ใต้บานหน้าต่าง แสงไฟค่อยๆ สว่างขึ้นอย่างนุ่มนวล เผยให้เห็นชั้นหนังสือจำนวนมากภายในห้อง โอเรนครางออกมา

“โอ้โห... นี่มันห้องพักหรือร้านขายหนังสือกันล่ะเนี่ย”

คาริกถึงกับต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ “ดูสิ สันหนังสือพวกนี้ถูกเขียนด้วยลายมือ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นต้นฉบับงานเขียนของไอดิเอลนะ ที่นี่เป็นห้องพักของเขานี่นา”

โอเรนชะโงกมองตาม “อา... จริงด้วย ข้าจำลายมือท่านไอดิเอลได้ เขาเขียนหนังสือเยอะมากนะเนี่ย”

“เยอะกว่าที่ข้าจินตนาการไว้โขเลยล่ะ ดูเหมือนหลักๆ จะเป็นหนังสือเกี่ยวกันสัตววิทยานะ อืม... จะมีเรื่องเกี่ยวกับมังกรในยุคโบราณบ้างรึเปล่าเนี่ย”

ชายหนุ่มพูดพลางชะเง้ออ่านสันหนังสือที่วางเรียงกันอยู่ โอเรนจึงพูดขึ้น

“เจ้าก็ซื้อมาเล่มนึงแล้วไม่ใช่หรือไง อ่านเล่มนั้นให้จบก่อนเถอะน่า แล้วนี่เราจะนอนกันตรงไหน ข้าไม่เห็นว่ามีเตียงเลยนะ”

“ข้าคิดว่าน่าจะมีห้องแยกไปนะ เหมือนโรงแรมที่เรานอนเมื่อคืนไง” คาริกตอบ ละสายตาจากหนังสือพวกนั้นแล้วมองสำรวจรอบๆ เห็นเส้นแสงสีจางวิ่งตามพื้นไปจนถึงประตูที่อยู่บนผนังด้านขวามือ ชายหนุ่มจึงหิ้วสัมภาระเดินตรงไปยังประตูบานนั้นทันที

“ประตูเปิดเองอีกแล้ว ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนข้าคงคิดว่าเจ้าเองก็มีเวทมนตร์นะเนี่ย” โอเรนว่า คาริกหัวเราะพลางสาวเท้าเข้าไปด้านใน

“ข้าคิดว่าเป็นฝีมือของสเตลลาน่ะ เหมือนอย่างที่นางหาโต๊ะให้ตอนเราอยู่ที่ห้องรูปไข่ตะกี้ไง”

“อืม ข้ามองเห็นพลังงานกระจายตัวอยู่เต็มพื้นที่เลยล่ะ ถ้านางเป็นคนควบคุมทั้งหมดนี่ นางก็มีพลังมหาศาลอยู่เหมือนกันนะ”

“ไอดิเอลบอกว่านางคือสมองกลที่ถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีโบราณ ในเมื่อนางถือกำเนิดมาจากเทคโนโลยีที่สามารถเอาชนะมังกรได้ นางก็คงจะยิ่งใหญ่นั่นแหละ”

“ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้แล้วข้าก็นึกกลัวขึ้นมาเลยแฮะ” เจ้ามังกรว่า “สเตลลาจะไล่ล่าข้ารึเปล่า”

“เจ้าคิดมากไปแล้วน่า ข้าแค่เปรียบเทียบว่าเทคโนโลยีที่สร้างนางยิ่งใหญ่มากเท่านั้นเอง นางถูกสร้างมาเพื่อดูแลจัดการสถานที่ ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อล่ามังกรเสียหน่อย นางไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”

“งั้นหรือ... ข้าจะเชื่อเจ้าแล้วกัน”

ห้องที่พวกเขาเดินเข้ามาเล็กกว่าห้องด้านนอกพอสมควร แต่ยังใหญ่กว่าห้องที่โรงแรม ด้านในมีเตียงฉลุลายสวยงามหลังใหญ่หนึ่งหลัง โต๊ะข้างเตียงพร้อมโคมไฟ ผนังด้านหนึ่งมีโต๊ะเขียนหนังสือที่มีนาฬิกาตั้งโต๊ะเรือนหนึ่งวางอยู่ ติดกันคือชั้นวางหนังสือที่สูงจรดเพดาน ในชั้นว่างเปล่า ไม่มีหนังสืออยู่เลยสักเล่ม ส่วนอีกด้านเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่และกระจกเต็มตัวหนึ่งบาน ระหว่างตู้เสื้อผ้าและเตียงมีฉากพับอยู่ ทั้งหมดประกอบด้วยโลหะเป็นหลัก กระทั่งชายผ้าปูเตียงเองยังมีตุ้มโลหะเล็กๆ ห้อยอยู่ ที่ผนังข้างโต๊ะเขียนหนังสือ เจาะหน้าต่างขนาดครึ่งตัว มองเห็นดวงจันทร์กลมโตที่ลอยกระจ่างอยู่ด้านนอก สายลมยามดึกพัดผ้าม่านปักลายสีน้ำตาลทองพลิ้วไสว คาริกวางสัมภาระลง พลางมองสำรวจรอบๆ ขณะที่โอเรนกระโดดไปบนเตียงนอน

“นี่ คาริก เจ้าคิดว่าท่านไอดิเอลจะมานอนกับเรารึเปล่า” เจ้ามังกรถาม และพยายามดึงผ้าคลุมเตียงออก ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปช่วย

“ข้าคิดว่าไม่น่าจะมานะ เท่าที่เห็น ห้องนี้น่าจะไม่มีใครใช้งาน หรือถ้ามีก็คงจะนานมากๆ แล้ว เพราะไม่มีข้าวของส่วนตัวอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ห้องนอนของเขาจะน่าแยกไปอีกห้องน่ะ”

“งั้นนี่ก็เป็นห้องของเจ้าน่ะสิ” โอเรนว่า แล้วมุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม “ข้าว่าเตียงนอนที่นี่นอนสบายกว่าที่โรงแรมอีกนะ ถึงมันจะแคบกว่าห้องของเจ้าที่คีทก็เถอะ”

“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่านั่นมันเป็นห้องรวม” คาริกว่า แล้วลากเก้าอี้ข้างเตียงลงนั่ง “แต่ข้าชอบห้องส่วนตัวแบบนี้มากกว่านะ ถึงไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะมีก็เถอะ”

“ท่านไอดิเอลก็ใจดีนะ เตรียมห้องส่วนตัวไว้ให้เจ้าด้วย แต่ข้าว่าเขาดูเย็นชาตั้งแต่มาถึงที่นี่น่ะ”

“ข้าว่าเขาเย็นชาเป็นปกติอยู่แล้ว” คาริกตอบ “เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาอาจจะเอ็นดูเจ้ามากกว่าข้าล่ะมั้ง”

“งั้นหรือ แต่พลังที่ท่านไอดิเอลแผ่ออกมาน่ะอ่อนโยนมากนะ ข้าชอบเวลาที่อยู่ใกล้ๆ เขา พลังของเขาทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่นและมั่นคงน่ะ

“อืม...”

“เจ้าก็ด้วยนะ”

“หืม?”

“ถ้าเจ้ามานอนให้ข้าซุกล่ะก็ข้าคงจะรู้สึกอบอุ่นมากเลยล่ะ ข้าว่าอากาศที่นี่หนาวอยู่นะ”

“นี่เจ้าเห็นความสำคัญของข้าแค่นั้นหรือเนี่ย” ถึงจะพูดงั้น แต่ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมา “ข้าก็รู้สึกอยู่ว่าอากาศที่นี่หนาว อาจเพราะมันอยู่สูงมากแล้วหน้าต่างเปิดอยู่ก็ได้ เดี๋ยวข้าไปปิดหน้าต่างให้นะ”

“แล้วเจ้าจะมานอนกับข้าด้วยใช่ไหม” อีกฝ่ายถาม “ท่านไอดิเอลจะโกรธรึเปล่า ท่านทีมัวร์บอกว่าถ้าเขานอนกับเจ้า ท่านไอดิเอลจะโกรธนี่นา”

“อา... ข้าคิดว่าเขาคงไม่โกรธหรอกนะ เจ้านอนกับข้ามาตั้งหลายคืนแล้ว เขาเป็นคนพาเจ้ามานอนกับข้าด้วยซ้ำ”

“อย่างนั้นหรือ แล้วทำไมเป็นท่านทีมัวร์แล้วเขาถึงจะโกรธล่ะ”

“เอ่อ...” คาริกพยายามนึกหาคำตอบที่ฟังดูเข้าท่าและเหมาะสมกับวัยของโอเรน “เขานอนกับข้ากับเจ้านอนกับข้า ความหมายมันไม่เหมือนกันน่ะ”

“ยังไงล่ะ เขานอนกินที่มากกว่าข้างั้นหรือ”

ชายหนุ่มรีบพยักหน้าทันที “อ่า ใช่ๆ เขาตัวใหญ่กว่าเจ้า ก็ต้องกินที่มากกว่าเจ้าอยู่แล้ว ถ้านอนด้วยกันเตียงก็จะแคบไปเลยน่ะ”

“อ๋อ... ท่านไอดิเอลกลัวเจ้านอนไม่สบายนี่เอง เขาก็เห็นความสำคัญของเจ้าเหมือนกันนะ”

คาริกยิ้มแห้งๆ เขาเดินไปที่หน้าต่าง มองหาบานปิด แต่ไม่เห็นอะไรที่ใกล้เคียงเลยสักอย่าง ได้ยินเสียงโอเรนงัวเงียถามขึ้นมา

“คาริก เจ้ายังปิดหน้าต่างไม่ได้อีกหรือ”

“ข้าหาบานปิดไม่เจอน่ะ”

“เจ้าลองถามสเตลลาดูสิ”

“เออ จริงด้วย” ชายหนุ่มร้อง ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “เอ่อ... สเตลลา หน้าต่างนี่ปิดยังไงหรือ”

“ท่านต้องการปิดหน้าต่างหรือคะ”

คาริกพยักหน้า ก่อนจะนึกได้ว่าสเตลลาไม่มีตัวตน เลยส่งเสียงขึ้น “ใช่ ข้าต้องการปิดหน้าต่างน่ะ”

“รับทราบค่ะ”

คาริกได้ยินเสียงอื้อเบาๆ จากนั้นกระจกใสบานหนึ่งก็ค่อยๆ เลื่อนลงมาจากด้านบน เพียงอึดใจเดียว หน้าต่างที่เคยโล่งก็กลายเป็นหน้าต่างกระจกใส ชายหนุ่มมองเห็นเงาตัวเองสะท้อนแสงไฟท่ามกลางท้องฟ้าสีดำลางๆ ที่อยู่หลังกระจก เขาอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะโพล่งออกมา

“ขอบใจนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ หากท่านสงสัยหรือต้องการอะไร สามารถแจ้งข้าได้ตลอดเวลาค่ะ”

คาริกผงกศีรษะอีก แม้จะรู้สึกแปลกๆ เหมือนพูดอยู่คนเดียว แต่สเตลลาก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีเวทมนตร์จริงๆ นั่นล่ะ

ชายหนุ่มเดินกลับไปที่เตียง และพบว่าโอเรนผล็อยหลับไปแล้ว เจ้าตัวยืนละล้าละลังอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องไป

“สเตลลา ห้องนอนของไอดิเอลอยู่ตรงไหนหรือ”

“ประตูฝั่งตรงข้ามห้องของท่านค่ะ”

คาริกมองตรงไปก็เห็นประตูบานหนึ่งอยู่ระหว่างชั้นวางหนังสือ เขาจึงเดินตรงไป ทว่าประตูไม่ยอมเปิด และไม่มีลูกบิดให้จับด้วย

“เปิดประตูบานนี้ให้ข้าหน่อยสิ”

“ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องนี้ค่ะ”

“....”

ชายหนุ่มรู้สึกเสียหน้านิดๆ ดีที่ว่าสิ่งที่เขาคุยอยู่ด้วยไม่ใช่มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิต ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามแก้เก้อออกไป

“ทำไมล่ะ”

“นี่เป็นห้องส่วนตัวของท่านไอดิเอลค่ะ ท่านไอดิเอลอนุญาตให้ท่านเข้าถึงได้เฉพาะห้องพักของท่านและห้องรับแขกเท่านั้นค่ะ”

“เฮ้อ... เขากลัวข้าย่องไปลักหลับหรือไงนะ” คาริกรำพึงขึ้นมา แล้วถามต่อ “เขายังไม่กลับมาหรือ”

“ท่านไอดิเอลยังอยู่ที่หอสมุดค่ะ”

“แล้วเขาจะกลับมากี่โมง”

“ไม่ทราบค่ะ ท่านจะให้ข้าแจ้งตอนที่เขากลับมาไหมคะ”

“อ่า ได้ๆ ถ้าเขากลับมาก็บอกข้าด้วยแล้วกัน ข้าอยากพบเขาน่ะ”

“รับทราบค่ะ”

“แล้ว เอ่อ... ห้องที่ข้าพักน่ะ ก่อนหน้านี้เป็นห้องของใครหรือ”

“เป็นห้องเก็บของค่ะ”

“หา?!” ชายหนุ่มร้องออกมา “ห้องเก็บของ?! แต่ตอนข้าเข้าไปดูยังไงมันก็เป็นห้องพักชัดๆ นี่นา”

“ข้าเพิ่งเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนเข้ามาใหม่ตอนที่ท่านไอดิเอลแจ้งว่าท่านจะใช้ห้องพักร่วมน่ะค่ะ” สเตลลาตอบ คาริกถามขึ้นต่อทันที

“เจ้าย้ายของพวกนั้นมาได้ยังไง เจ้าไม่มีร่างไม่ใช่หรือ?”

“ข้าสามารถเคลื่อนย้ายโลหะทุกชนิดที่อยู่บนสนามแม่เหล็กของข้าได้ค่ะ” สเตลลาตอบ คาริกนึกไปถึงตุ้มโลหะที่ห้อยอยู่บนผ้าม่านและผ้าคลุมเตียง เขาค่อยเข้าใจความสำคัญของมันขึ้นมาหน่อยแล้ว

“งั้นแสดงว่าก่อนหน้านี้ไอดิเอลพักอยู่ห้องนี้คนเดียวมาตลอดสินะ เขาไม่เคยมีใครมาพักร่วมด้วยเลยใช่ไหม”

“ค่ะ ท่านไอดิเอลใช้ห้องพักนี้คนเดียว เขาไม่เคยอนุญาตให้คนอื่นเข้าพักมาก่อนค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า รู้สึกดีใจขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “แล้วของที่เคยเก็บอยู่ในห้องนั้นล่ะ”

“ย้ายไปเก็บในห้องของท่านไอดิเอลแล้วค่ะ”

“เอ่อ... งี้ห้องเขาไม่กลายเป็นห้องเก็บของไปแล้วหรือ”

“ยังถือเป็นห้องส่วนตัวของท่านไอดิเอลค่ะ”

“....” คาริกรู้สึกว่าการพูดคุยกับสเตลลาไม่เหมือนการพูดคุยกับมนุษย์ ดูเหมือนการถามตอบตามรูปประโยคเสียมากกว่า แต่เพราะนางดูเป็นของแปลกใหม่อย่างที่เขาไม่เคยพบมาก่อน ชายหนุ่มอยากจะคุยกับนางต่อ จึงเดินไปที่เก้าอี้นวมแล้วถามขึ้นอีก

“เก้าอี้นวมตัวนี้ก็เป็นของเขาสินะ แล้วปกติแล้วเขากลับมาที่นี่บ่อยรึเปล่า”

“ของในห้องนี้ทั้งหมดเป็นสิทธิ์ของท่านไอดิเอลค่ะ” สเตลลาตอบ “ท่านไอดิเอลไม่ได้เข้ามาที่นี่แปดสิบเจ็ดปี สี่เดือน กับอีกเจ็ดวันค่ะ”

“เอ่อ... มันก็นานเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ แล้วหนังสือพวกนี้ล่ะ เวลากลับมาทีเขาก็ขนมาทีอย่างนั้นหรือ ข้าว่ามันเยอะมากอยู่นะ”

“เปล่าค่ะ ท่านไอดิเอลใช้วิธีส่งผ่านระบบขนส่งเข้ามาน่ะค่ะ” อีกฝ่ายตอบ “หนังสือและสิ่งของที่ถูกส่งเข้ามาจะถูกตีตราโลหะ ทำให้ข้าสามารถเคลื่อนที่พวกมันเพื่อนำไปจัดเก็บได้ ถ้าท่านมีความประสงค์จะส่งสิ่งของกลับมาที่นี่ ท่านสามารถส่งผ่านระบบขนส่งที่รองรับการขนส่งมายังนครเวหา โดยประทับลายนิ้วมือของท่านมาด้วย ข้าจะทำการจัดเก็บให้ค่ะ”

“เอ่อ... ข้าคงต้องศึกษาวิธีเอากับเขาน่ะนะ” คาริกว่า เขากวาดตามองชั้นหนังสือพวกนั้น แล้วถามอีก “แล้วในบรรดาหนังสือพวกนี้ มีบันทึกส่วนตัวของไอดิเอลบ้างไหม”

“บันทึกส่วนตัวของท่านไอดิเอลถูกเก็บไว้ในห้องค่ะ ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงค่ะ”

คาริกจิ๊ปาก “งั้นข้าเข้าถึงอะไรได้บ้างเนี่ย”

“ท่านสามารถอ่านหนังสือในห้องนี้ได้ทุกเล่ม และใช้เครื่องใช้ทุกอย่างในห้องนี้รวมถึงห้องพักของท่านได้ค่ะ หากต้องการสั่งอาหาร ท่านสามารถแจ้งข้าได้ทันที ส่วนน้ำดื่มอยู่ในเหยือกสีเงินที่วางอยู่บนโต๊ะค่ะ ในห้องของท่านจะอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือค่ะ”

คาริกรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย เขาจึงแก้เก้อด้วยการไล่อ่านรายชื่อหนังสือที่สันซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือ ก่อนจะพบว่าลายมือของจอมเวทอ่านยากกว่าตัวพิมพ์เป็นไหนๆ ชายหนุ่มหาวหวอด ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง โอเรนยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาบอกสเตลลาให้เปิดไฟตรงโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วรื้อหนังสือในกระเป๋าออกมานั่งอ่าน พลางเงี่ยหูฟังเผื่อว่าไอดิเอลจะมาที่ห้อง แต่กระทั่งเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววของเจ้าตัว ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเก็บหนังสือใส่กระเป๋า เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงข้างๆ เจ้ามังกรที่หลับอุตุอยู่

....................................

ในชีวิตของคาริก เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคร้าย เขาอาจจะเกิดมาโดยไม่รู้จักหน้าพ่อแม่ของตัวเอง แต่โชคดีที่มาห์ดิเก็บเขามาเลี้ยง และยังสอนวิชาดาบให้ แม้ว่าตอนอายุสิบสี่เขาจะต้องหนีออกมาอย่างฉุกละหุก เดินทางอย่างยากลำบากอยู่หลายวันจนถึงท่าเรือเหาะ เขาลักลอบขึ้นไปบนเรือเหาะ และถูกจับได้ แต่ก็เป็นโชคดีอีกเช่นกันที่คนที่จับเขาได้นั้นรู้สึกเอ็นดูเขา เจ้าตัวเรี่ยไรเงินจากเพื่อนฝูงที่มาด้วยกัน จ่ายค่าตั๋วเรือเหาะชั้นที่ถูกที่สุดให้เขา และพาเขาไปฝากไว้ที่สมาคมคุ้มกัน คาริกได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น เขามีเพื่อนมากมาย มีชีวิตอยู่อย่างปกติ แม้จะไม่สะดวกสบายและสวยหรูอย่างที่คนทั่วไปคิดฝัน แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกอึดอัดเลย กระทั่งเขาได้พบกับไอดิเอล

จอมเวท... สิ่งที่เขาถูกเตือนให้ต้องระวังที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาต้องหนีออกมา

การได้พบกับไอดิเอลเปลี่ยนชีวิตของเขาไปในชั่วข้ามคืน ที่จริงไม่ว่าจะมองมุมไหน มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เขาได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ไปในสถานที่ที่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ไป ทั้งยังได้เสื้อผ้าชุดใหม่ ได้กินอาหารดีๆ นี่ควรจะเป็นสิ่งที่เขาเรียกได้ว่าโชคดีอย่างเต็มปาก ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกอึดอัดกับความโชคดีนี้

คงเป็นเพราะไอดิเอลมักจะแสดงท่าทีว่ารำคาญเขาอยู่เสมอ คาริกไม่รู้ว่าเขากลายเป็นพวกขี้น้อยใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้คนที่สมาคมหลายคนก็แสดงท่าทีว่ารำคาญเขา แต่เขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ทำไมพอเป็นไอดิเอลแล้วเขาถึงได้รู้สึกมากนัก

จูบที่ไอดิเอลให้กับเขาในวันนั้น เป็นสัมผัสที่อ่อนโยนและอบอุ่นที่สุดในชีวิตที่คาริกเคยสัมผัส แต่การแสดงออกกลับเย็นชาจนเหมือนกับคนไร้หัวใจ

หรือว่านั่นไม่ใช่จูบ แต่เป็นเพียงเวทมนตร์ของเจ้าตัวเท่านั้น

คาริกไม่เข้าใจไอดิเอล และที่แย่ยิ่งกว่า เขาไม่เข้าใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับไอดิเอลกันแน่

เขารู้ว่าสำหรับไอดิเอลแล้ว เขาไม่มีความสำคัญใดๆ ทั้งนั้น เป็นเพียงของเกินจำเป็นที่ต้องหยิบติดมาด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น

เขาก็แค่อยากให้ไอดิเอลมองเขาอย่างคนที่มีความผูกพันกันคนหนึ่ง ไม่ใช่มองเขาเหมือนส่วนเกินอย่างที่เป็นอยู่

“เจ้าต้องการเขาหรือ?”

คาริกสะดุ้ง เขาหันมองหาที่มาของเสียง แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืดมิดรอบตัว เสียงนั้นดังขึ้นต่อ

“ข้าสามารถทำให้เขาเป็นของเจ้าได้ ขอเพียงเจ้ายินยอมร่วมมือกับข้าเท่านั้น”

“เจ้าเป็นใคร?!” คาริกตะโกนในความมืด รู้สึกตื่นกลัวขึ้นมา ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบเขา

“ข้าคือบุตรแห่งรัตติกาล คำเรียกขานข้านั้นมีมากมาย และข้ากำลังจะตื่นขึ้นจากนินทราอันยาวนาน ด้วยพลังของข้า เจ้าจะได้ทุกสิ่งอย่างที่เจ้าปรารถนา เพียงแต่เจ้ายินยอมเท่านั้น”

“....”

“เจ้าไม่ต้องการข้าหรือ?” เสียงนั้นดังขึ้นต่อ คาริกมองเห็นใครบางคนเดินเข้ามา

“ไอดิเอล!”

ดวงตาของฝ่ายนั้นเป็นสีทองสุกสว่าง เรือนผมสีเงินยวงราวกับจะเปล่งแสงออกมาได้ในความมืด ไอดิเอลยกมือขึ้นจับใบหน้าของเขาเบาๆ

“ทั้งดวงตานี้ ร่างกายนี้จะเป็นของเจ้า เพียงแต่เจ้ายินยอมเท่านั้น”

สัมผัสของฝ่ายนั้นช่างอ่อนโยน น้ำเสียงก็ช่างชวนให้ฝันถึง จนคาริกเกือบจะเผลอตอบตกลง แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้

“ไม่... ข้าไม่ได้ต้องการแบบนี้ ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านเป็นของข้า ข้าแค่อยากให้ท่านเห็นความสำคัญของข้าเท่านั้น... เห็นความสำคัญของข้าจริงๆ ไม่ใช่เพราะพลังของใคร”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม แล้วขยับมากระซิบข้างหูเขา “ตอบได้ดี จำคำนี้ของเจ้าเอาไว้นะคาริก เพราะชีวิตของข้าอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว”

“?!”

คาริกลืมตาโพลงขึ้นมา ก่อนจะรีบหรี่ลงเพราะแสงสว่าง ได้ยินเสียงไอดิเอลพูดขึ้น

“ตื่นแล้วหรือ หลับสบายไหม?”

ชายหนุ่มพลันรู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นใบหน้าของไอดิเอลโน้มอยู่เหนือศีรษะ ใบหน้าของชายหนุ่มร้อนเห่อยิ่งกว่าเดิม

“ทะ... ท่านเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?!”

“ก็สักพักล่ะนะ” ฝ่ายนั้นตอบ แล้วขยับตัวออก “โอเรนบอกว่ามีพลังงานแปลกๆ ออกมาจากตัวเจ้า ข้าก็เลยถือวิสาสะเข้าไปในห้วงจิตของเจ้าน่ะ”

คาริกอ้าปากค้าง รีบผุดลุกขึ้นมาทันที “ดะ... เดี๋ยวนะ ตะกี้ท่านเข้ามาในฝันข้างั้นหรือ?!”

“อืม... ดูเหมือนข้าจะเข้าไปทันเวลาพอดีล่ะนะ”

“เจ้าเป็นไงบ้าง” โอเรนที่เกาะอยู่บนไหล่ของไอดิเอลถามขึ้น คาริกมองเขาแล้วแทบจะครางออกมา

“เจ้าก็อยู่ด้วยหรือ”

“ข้าต้องอยู่ด้วยสิ” อีกฝ่ายตอบด้วยท่าทางประหลาดใจ “เมื่อคืนข้านอนกับเจ้านะ จำไม่ได้หรือไง”

“เอ่อ... ก็จำได้นะ แต่ว่า... เมื่อตะกี้นี้เจ้าก็อยู่ด้วยหรือ โอย... นี่ข้าละเมออะไรแปลกๆ ออกไปรึเปล่า?”

“ไม่มีหรอก” อีกฝ่ายตอบ “ข้ารู้สึกตัวเพราะพลังงานน่ากลัวที่ออกมาจากตัวเจ้าน่ะ โชคดีที่ท่านไอดิเอลกลับมาพอดี เขาบอกว่าเจ้าคงฝันร้าย แล้วก็เอามือแตะหัวเจ้าไว้นะ”

คาริกหันไปมองจอมเวทเป็นเชิงถาม ฝ่ายนั้นจึงพูดขึ้น “ข้าเข้าถึงความคิดของสิ่งมีชีวิตอื่นได้ได้โดยการสัมผัสกับศีรษะโดยตรงน่ะ เหมือนตอนที่ข้าพยายามจะอ่านความคิดในสมองของอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่เจ้าฆ่าไปนั่นแหละ”

ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆ แล้วครางออกมา “งี้ท่านก็ได้ยินหมดแล้วล่ะสิ”

เขารู้สึกอายจนแทบจะมุดผ้าห่มหนีให้รู้แล้วรู้รอด ไอดิเอลมองเขาพลางยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า มันเป็นเรื่องธรรมชาติของเด็กวัยเจ้า ข้าไม่ถือหรอก”

“....”

คาริกกะพริบตาปริบๆ เขานึกสงสัยว่าไอดิเอลเข้าใจหรือไม่เข้าใจกันแน่ แต่บางทีฝ่ายนั้นอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้ ชายหนุ่มถอนใจอย่างคนปลงตก จอมเวทพูดขึ้นต่อ

“ถ้าตื่นดีแล้วก็ไปจัดการตัวเองเถอะ เวโรนิกาจะมาถึงที่นี่ตอนสิบโมง เราจะเริ่มประชุมกันทันที ก่อนหน้านั้นข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับพวกเจ้าก่อน”

“แล้วนี่กี่โมงแล้ว” คาริกโพล่งออกมาพลางหันหานาฬิกาที่หัวเตียง ไอดิเอลจึงตอบให้

“หกโมงสี่สิบ ข้าแนะนำให้เจ้ากินมื้อเช้าเลย เพราะการประชุมอาจจะยาวไปจนถึงเย็นก็ได้”

“อื้อ ว่าแต่ที่นี่มีอะไรให้ข้ากินบ้าง?”

“มีทุกอย่าง เจ้าก็สั่งเอากับสเตลลาแล้วกัน ข้าจะไปรอข้างนอก”

พูดจบจอมเวทก็ผุดลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป โอเรนจึงกระโดดไปเกาะบนศีรษะของชายหนุ่ม คาริกจึงถามขึ้น

“เจ้าไม่ออกไปกับเขาหรือไง”

“ข้ากลัวเจ้าจะเหงานะ” อีกฝ่ายว่า “ให้ข้าช่วยอาบน้ำไหม?”

“ไม่ต้อง” ชายหนุ่มตอบทันที “ข้าคงแค่ล้างหน้า เจ้าจะกินอะไร สลัดผักเหมือนเดิมรึเปล่า”

“อื้อ ที่จริงข้าอยากจะออกไปหาใบไม้กินนะ เพราะอาหารของมนุษย์ดูจะมีผักไม่กี่อย่าง ตั้งแต่มาที่นี่ข้ายังไม่เห็นต้นไม้ใหญ่สักต้นเลย มีแต่ต้นเล็กๆ ปลูกเอาไว้ในกระถางน่ะ”

“ที่เมืองพ่อค้าด้านล่างอาจจะมีนะ” คาริกว่า “ไว้ตอนที่เราไปเที่ยวกันค่อยแวะก็ได้”

โอเรนพยักหน้าหงึก “น่าสนใจนะ เมืองลอยฟ้าแบบนี้จะมีต้นไม้แบบไหน ชักอยากจะไปเที่ยวที่นั่นเร็วๆ แล้วสิ”

“เราคงต้องผ่านการประชุมตอนบ่ายไปก่อนนะ” ชายหนุ่มพูดพลางเหยียดมือบิดขี้เกียจ “ว่าแต่เจ้าตื่นนานแล้วหรือ แล้วพลังงานน่ากลัวที่เจ้าว่ามันเป็นแบบไหนน่ะ ตอนนี้เจ้ายังมองเห็นอยู่อีกรึเปล่า”

“ตอนนี้ข้ามองไม่เห็นแล้วล่ะ” โอเรนว่า “แต่มันเป็นพลังงานที่แปลกมาก เหมือนกับน้ำที่ค่อยๆ เอ่อท่วมขึ้นมาน่ะ ข้าจะอธิบายยังไงดี เอาว่ามันน่ากลัวมากสำหรับข้าก็แล้วกัน”

“งั้นหรือ” คาริกพยักหน้าก่อนจะเงียบไปอย่างใช้ความคิด “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ ข้าได้ยินเสียงของมันชัดเจนมาก แต่ข้าไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนอยู่ของมันเลย เหมือนกับว่ามันพูดผ่านมาจากอีกโลกหนึ่ง อืม... คืนนี้เจ้าไปนอนกับไอดิเอลเถอะนะ จะได้สบายใจ”

“พูดอะไรแบบนั้นเล่า” โอเรนว่า “ถ้าข้าไปนอนกับท่านไอดิเอล เกิดเจ้าฝันร้ายใครจะช่วยล่ะ ข้าจะนอนกับเจ้านี่แหละคาริก ยกเว้นเจ้าจะนอนไม่หลับถ้ามีข้าอยู่ แต่บอกเลยนะว่าถ้าเป็นแบบนั้นน่ะข้าจะเสียใจมาก”

“เอ่อ... ไม่หรอก ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าลำบากต้องเจอเรื่องน่ากลัวน่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวข้าจะขอให้ท่านไอดิเอลสอนเวทมนตร์ให้ แบบที่สามารถขับไล่ฝันร้ายของเจ้าได้ เอ๊ะ หรือว่าพวกเราให้เขามานอนด้วยดี แบบนี้ทั้งข้าทั้งเจ้าต้องหลับสบายหายห่วงแน่นอน”

คาริกยิ้มละเหี่ย “ข้าว่าเขาคงไม่มาหรอกนะ เจ้าก็เห็นอยู่ว่าเขาขี้รำคาญจะตาย”

“อย่างนั้นหรือ แต่ข้าว่าท่านไอดิเอลออกจะเป็นห่วงเจ้านะ ถ้าเจ้าขอเขาอาจจะมาก็ได้”

“ให้เขาอยู่ของเขาไปเถอะ” คาริกว่า แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “พวกเราสั่งอาหารกันก่อนดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา”

“นั่นสินะ”

......................................


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
คาริกต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เมื่อพบว่าในห้องนั่งเล่นที่เขาจำได้ว่าเมื่อคืนมีแค่เก้าอี้นวมตัวยาววางอยู่ใต้หน้าต่างเพียงตัวเดียว ตอนนี้กลับมีโต๊ะอาหารขนาดสี่คนนั่งปรากฏขึ้นมาตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีถาดอาหารที่มีฝาครอบโลหะวางอยู่ แต่ที่สะดุดตากว่าโต๊ะอาหารที่จู่ๆ ก็โผล่มาตัวนั้น ก็คือคนที่นอนเอนตัวอยู่บนเก้าอี้นวมนั่นแหละ

ไอดิเอลนอนหลับตา บอกยากว่าหลับไปจริงๆ หรือแค่หลับตาลงเฉยๆ กันแน่ แสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้าที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา กระทบลงบนร่างของเขาพอดี เขาสวมเสื้อตัวยาวสีเทาอ่อนขลิบทองแต่ไม่ได้สวมผ้าคลุม เครื่องประดับก็สวมอยู่ครบถ้วน ทีแรกคาริกคิดว่าประกายระยิบระยับที่เขาเห็นมาจากศิลาธาตุที่อยู่บนเครื่องประดับพวกนั้น แต่พอเพ่งดูอีกทีถึงเห็นว่าที่ทอประกายออกมาคือร่างของจอมเวทต่างหาก โอเรนกระซิบอยู่เหนือศีรษะของเขา

“ข้าว่าท่านไอดิเอลกำลังดูดซับพลังงานจากแสงอาทิตย์อยู่ ข้าเห็นพลังงานกำลังไหลเวียนอยู่ในตัวเขาอย่างช้าๆ น่ะ”

“อา...”

ยังไม่ทันที่คาริกจะได้พูดอะไรต่อ ดวงตาสีอำพันของไอดิเอลก็ลืมขึ้น จอมเวทเลิกคิ้วแล้วอ้าปากพูด

“พวกเจ้ามีอะไรรึเปล่า ทำไมทำหน้าเหมือนคนเพิ่งเคยเห็นกันแบบนั้นล่ะ”

“เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอก” คาริกรีบตอบ “แค่สงสัยว่าท่านหรือศิลาธาตุพวกนั้นกันแน่ที่สะท้อนแสงน่ะ”

“หืม?”

พอเห็นสีหน้าสงสัยของจอมเวท คาริกเลยต้องอธิบายต่อ “ข้าเห็นประกายระยิบระยับออกมาจากตัวท่านน่ะ”

“อย่างนั้นหรือ” ไอดิเอลพูดพลางยื่นแขนออกมาดู คาริกจึงเห็นว่าที่สะท้อนแสงเป็นแขนของไอดิเอลไม่ใช่เครื่องประดับที่เจ้าตัวสวมอยู่ ฝ่ายนั้นผงกศีรษะแล้วพูดขึ้นต่อ

“มันก็อาจจะเป็นไปได้นะ ปกติแล้วร่างกายของข้ามีไว้เพื่อสะท้อนพลังงานอยู่แล้ว ถ้าพวกเจ้ารู้สึกแปลกๆ ก็นั่งหันหลังไปแล้วกัน ข้าจะอาบแดดสักหน่อย ระหว่างรอพวกเจ้ากินมื้อเช้าน่ะนะ”

“เอ่อ... ไม่เป็นไรหรอก มันร่างกายของท่านนี่นา... ที่จริงข้าว่าสวยดีนะ”

เหมือนเห็นริมฝีปากของไอดิเอลกระตุกขึ้นเล็กน้อย คาริกนึกกลัวว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรที่ทำให้เขาพูดต่อไม่ออก เลยชิงเปลี่ยนเรื่อง “งั้นข้ากินก่อนล่ะนะ”

ไอดิเอลยกมือขึ้นโบก “เชิญตามสบายเลย”

ชายหนุ่มจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่หันหน้าไปหาหน้าต่าง แล้วเปิดฝาครอบถาดอาหารออก โอเรนส่งเสียงขึ้นมาทันที

“ว้าว น่ากินมากเลยนะเนี่ย ดูดีกว่าที่พวกเรากินเมื่อวานนี้อีก”

คาริกนึกเห็นด้วยกับคำพูดของโอเรน แต่ก็อดถามขึ้นไม่ได้ “นี่... ค่าอาหารพวกนี้ข้าต้องจ่ายเองรึเปล่า ท่าทางไม่น่าจะราคาถูกๆ นะ”

ไอดิเอลที่นอนหลับตาอยู่หัวเราะออกมาคำหนึ่ง “ถ้าเจ้าคิดแบบนั้นล่ะก็... ช่วยคิดก่อนจะสั่งเถอะ”

“....”

“แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ตอนนี้เจ้าถือเป็นแขกของสภา ค่าใช้จ่ายทุกอย่างทางสภาจะเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนหลังจากนี้...”

“ท่านไอดิเอลจะออกให้ใช่ไหม” โอเรนพูดแทรกขึ้น “แล้วก็หักเอาจากค่าแรงของคาริกอย่างที่เคยคุยกันไว้วันก่อนแบบนั้นสินะ”

คาริกนิ่วหน้า ขณะที่ไอดิเอลหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม “แบบนั้นก็ไม่เลวหรอกนะ แต่ที่จริงแล้วข้ากำลังจะบอกว่า เดี๋ยวเสร็จธุระแล้ว ตอนเราไปที่เมืองพ่อค้า ข้าจะพาเจ้าไปเปิดบัญชีที่ธนาคารกลาง จะได้สะดวกเวลาจ่ายหรือรับเงินหน่อย แต่เจ้าจะพกเหรียญทองถุงนั้นติดตัวไว้ก็ได้นะ ข้าเห็นว่าเจ้ามีเงินสดติดตัวอยู่ก็ดีเหมือนกัน”

“ข้าไม่เคยใช้บริการของธนาคารหรอกนะ ข้าชอบเงินสดมากกว่า”

“เปิดไว้เถอะ” ไอดิเอลว่า “เจ้าไม่ได้อยู่กับข้าแค่วันสองวันนะ เราจะยังอยู่ด้วยกันอีกนาน และการพกเงินสดไปไหนมาไหนมันลำบากมาก เชื่อข้าเถอะ”

“....”

“แต่ถ้าไม่เต็มใจจริงๆ จะทำแบบที่โอเรนว่าก็ได้ ทำงานหักค่าใช้จ่ายไปเรื่อยๆ ก็คงจะเข้าท่าอยู่เหมือนกันล่ะนะ”

“งั้นข้าไปเปิดบัญชีกับท่านดีกว่า” คาริกว่า “ไม่อยากทำงานใช้หนี้ไปตลอดชีวิตน่ะ”

จอมเวทหัวเราะชอบใจ ก่อนจะโบกมือ “เอาล่ะๆ พักเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ไว้ก่อน รีบๆ กินเถอะ นี่ข้ารอพวกเจ้าอยู่นะ”

“ว่าแต่ท่านมีธุระอะไรหรือ” เจ้ามังกรถามขึ้นขณะกระโดดลงไปนั่งที่หน้าอ่างใส่ผักสลัด อีกฝ่ายส่งเสียงตอบ

“กินให้เสร็จก่อน แล้วข้าจะบอก”

ทั้งคู่จึงก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้าที่โต๊ะ บรรยากาศในยามเช้าดูอบอุ่นเพราะแสงแดดอ่อนๆ และลมเย็นๆ ที่พัดโชยเข้ามา ถึงอย่างนั้นคาริกก็ยังรู้สึกแปลกๆ คงเพราะปกติแล้วยามเช้าแบบนี้ เขาจะต้องได้ยินเสียงนกร้อง และเสียงของผู้คนที่พากันออกมาทำกิจการงานต่างๆ ทว่าบนนี้กลับเงียบสนิท แม้แต่เสียงนกร้องก็ไม่มีแว่วมาให้ได้ยิน เงียบกระทั่งได้ยินเสียงโอเรนแทะผักดังกร๊อบแกร๊บ

เพิ่งรู้ว่าความเงียบก็ทำให้รู้สึกอึดอัดได้เหมือนกัน

เหมือนถูกความเงียบเร่งเร้า ทั้งคาริกและโอเรนกินมื้อเช้าหมดอย่างรวดเร็ว พอชายหนุ่มวางช้อนส้อมลงบนจาน ไอดิเอลก็ลืมตาขึ้นมาทันที

“พวกเจ้าเสร็จกันแล้วสินะ”

“อื้อ” ทั้งคนทั้งมังกรพากันพยักหน้า ไอดิเอลยันตัวลุกขึ้น เขาส่งเสียงสั่งให้สเตลลาเก็บโต๊ะ คาริกจึงได้เห็นภาชนะใส่อาหารพวกนั้นพากันเคลื่อนย้ายตัวเองลงไปในรถเข็นอาหารที่จอดอยู่ข้างโต๊ะ เขาถึงกับต้องพูดออกมา

“สเตลลาเนี่ยเหมือนกับมีเวทมนตร์เลยนะ”

“นางเป็นจักรกลระดับสูงน่ะ” ไอดิเอลว่า “นางทำให้อะไรๆ สะดวกขึ้นเยอะในหอคอยโลหะแห่งนี้ รวมถึงที่เมืองด้านล่างด้วย จริงสิ... เดี๋ยวเสร็จจากธุระนี่แล้ว ข้าจะให้ทีมัวร์พาพวกเจ้าไปเที่ยวเมืองพ่อค้าแล้วกัน”

“แล้วท่านล่ะ” โอเรนถามขึ้น “จะไม่ไปด้วยกันหรือ”

ไอดิเอลเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “อยากให้ข้าไปด้วยหรือ แต่ทีมัวร์รู้เรื่องของที่นั่นดีกว่าข้านะ”

“ถ้าท่านสะดวก พวกเราก็อยากให้ท่านไปด้วยนะ” คาริกพูดขึ้นบ้าง ไอดิเอลมองเขาแล้วผงกศีรษะ

“ถ้าเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายล่ะก็... ไม่ต้องกังวลหรอกนะ เจ้าจะซื้ออะไรลงบัญชีชื่อข้าไว้ก็ได้ ข้ารับรองว่าคิดดอกเบี้ยไม่แพงแน่นอน แต่จะซื้ออะไรก็คิดหน่อยล่ะ อย่าให้มันเกินตัวมาก อย่างรถยนต์อะไรนี่ไม่ต้องซื้อหรอกนะ ข้าชอบขี่ม้ามากกว่า”

“นี่ ข้าดูเป็นคนเห็นแก่เงินขนาดนั้นเลยหรือไง” ชายหนุ่มสวนทันที “พวกเราแค่อยากให้ท่านไปด้วย ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องเงินๆ ทองๆ นั่นหรอก เมื่อคืนท่านมาถึงก็ทิ้งพวกเราเอาไว้ จะไปเที่ยวท่านยังจะทิ้งพวกเราอีกหรือ”

“ใช่แล้ว” โอเรนรีบสนับสนุนทันที “ไปด้วยกันเถอะนะท่านไอดิเอล ไม่มีท่านแล้วมันเหงาๆ ยังไงไม่รู้ ข้าสัญญาว่าถ้าสงสัยอะไรจะถามแต่ท่านทีมัวร์คนเดียว ไม่ก่อกวนท่านเด็ดขาด ท่านก็ไปกับพวกเราเถอะนะ”

ไอดิเอลหัวเราะชอบใจ “ก็ได้ ข้าจะไปด้วย อยากรู้จริงเชียวว่าเจ้ากับทีมัวร์ ใครจะพูดมากกว่า”

“จริงสิ พูดถึงท่านทีมัวร์ ท่านพบกับเขาหรือยัง เมื่อวานเขาดูเสียพลังไปมากเลยนะ” คาริกพูดอย่างนึกขึ้นได้ อีกฝ่ายผงกศีรษะ

“เขาเอารายงานไปให้ข้าที่หอสมุดเมื่อคืน ท่าทางสดชื่นอยู่นะ ข้าว่าเขาคงจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วล่ะ ยังดีที่เขาไม่ขอนอนกับเจ้าด้วย ข้ายังคิดอยู่เชียวว่าเขาจะนึกพิเรนทร์ทำอะไรแบบนั้นรึเปล่า”

คาริกขยับปากทำท่าจะพูดอะไร แต่ถูกโอเรนชิงพูดขึ้นก่อน “เขาบอกว่าท่านจะโกรธน่ะ”

“อ้อ... แสดงว่าเขาคิดจะทำจริงๆ สินะ”

คาริกถอนหายใจเฮือก “เขาแค่คิด ไม่ได้ทำจริงๆ หรอก แล้วท่านนี่ก็คุยเรื่องนี้กับโอเรนหน้าตาเฉยเลยนะ”

ไอดิเอลหลิ่วตามองเขา “เจ้านี่ก็ขี้กังวลจริงเชียว ข้าคุยกับเขามันมีเนื้อหาล่อแหลมตรงไหน”

“นั่นสิ เจ้าเป็นอะไรน่ะคาริก ข้าไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรแปลกเลย”

ชายหนุ่มเหลือบตามองบน “เออ... ข้าคงประดิษฐ์ประโยคไม่เก่งเองแหละ” เขาตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง

“ว่าแต่ท่านรอคุยเรื่องอะไรกับพวกเราน่ะ”

“ข้ามีธุระกับพวกเจ้าทั้งสองคน แต่คงต้องเริ่มจากโอเรนก่อน”

“ท่านมีอะไรอยากให้ข้าช่วยหรือ?” โอเรนถามขึ้นอย่างกระตือรือร้นทันที ไอดิเอลมองเขาแล้วยิ้ม

“ข้าอยากขอดูความทรงจำของเจ้า ตั้งแต่พวกเราพบกัน ข้ายังไม่ได้ตรวจสอบเลยว่าเจ้ามาจากที่ไหนกันแน่”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมาจากที่ไหน” โอเรนว่า “แล้วมันจะเจ็บรึเปล่า”

ไอดิเอลสั่นศีรษะ “ไม่เจ็บหรอก แต่เจ้าอาจจะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย”

“งั้นท่านดูเลย” เจ้ามังกรว่า คาริกแทรกขึ้นทันที

“นี่... ในเมื่อโอเรนไม่รู้ ท่านดูความทรงจำของเขาจะรู้ได้ยังไง”

“ข้าอาจจะพอปะติดปะต่อเรื่องราวที่เขาเคยได้ยินได้ฟังได้ จะให้เขาเล่าเรื่องที่ได้ยินมาตลอดสามสิบปีออกมาในเวลาสั้นๆ คงไม่ได้หรอกนะ”

“ก็จริงของท่านนะ”

“แล้ว... ข้าต้องทำไงบ้าง” เจ้ามังกรถามต่อ “ต้องหลับตาแบบคาริกไหม”

“ไม่ต้อง มองตาข้าสิ”

โอเรนมองดูดวงตาสีอำพันของจอมเวท อึดใจเดียวเขาก็ผล็อยหลับไปทันที คาริกมองด้วยความอึ้ง ขณะที่ไอดิเอลยื่นมือไปแตะศีรษะของเจ้ามังกร

“เจ้าอย่าส่งเสียงนะ ข้าต้องใช้สมาธิ”

ชายหนุ่มผงกศีรษะ เขาเห็นแสงสีทองอ่อนจางแผ่ออกจากมือของจอมเวท ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าโอเรนจะรู้สึกยังไงที่มีคนอื่นเข้าไปดูความทรงจำของตัวเอง แม้เจ้าตัวจะอ้างว่าอยู่ในไข่มาสามสิบปี และก็สามารถเรียนรู้ได้เร็วมากก็เถอะ แต่ในสายตาของคาริก โอเรนก็ยังดูเป็นเด็กอยู่ดี เขาคิดว่าการถูกคนอื่นเข้าไปในห้วงจิตไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนัก แม้จะเข้าไปด้วยจุดประสงค์จำเป็นก็ตาม เหมือนอย่างที่ไอดิเอลเข้าไปในความฝันของเขาเมื่อเช้าไงล่ะ

นี่มันคือการละเมิดความเป็นส่วนตัวชัดๆ

คาริกคิดว่าต่อไปเขาต้องระวังมือของไอดิเอลให้ดี โดยเฉพาะตอนที่มันเข้ามาใกล้ๆ ศีรษะของเขา

ไอดิเอลลืมตาโพลง ทว่าสายตากลับจับจ้องไปในจุดที่ไม่อาจระบุได้ คาริกได้แต่นั่งมองทั้งคู่เงียบๆ เขาเหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่วางอยู่ติดกับชั้นหนังสือ

หนึ่งนาที... สองนาที... สามนาที...

ในที่สุดไอดิเอลก็ขยับตัว คาริกได้ยินเสียงฝ่ายนั้นถอนหายใจ ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะของโอเรนเบาๆ

“ตื่นได้แล้ว”

โอเรนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา เขางึมงำพูดขึ้น “เสร็จแล้วหรือ ข้ากำลังหลับสบายเชียว”

“เจ้าจะนอนต่อก็ได้นะ” ไอดิเอลพูดแล้วขยับตัวออก อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

“ท่านได้ยินอะไรบ้าง แล้วรู้รึเปล่าว่าข้ามาจากไหน”

คนถูกถามนิ่งไปอึดใจ “ข้าคิดว่าเจ้าเคยอยู่ที่อาณาจักรอุดร น่าจะอยู่ในสถานที่ที่มีการคุ้มกันสูงมาก ฟังจากสำเนียงการพูดที่เจ้าเคยได้ยินนะ แต่คงไม่ใช่ในเขตของราชสำนัก เพราะสำเนียงต่างออกไป และในสถานที่ที่เจ้าอยู่ยังมีสำเนียงการพูดของคนจากอีกหลายอาณาจักร อาจจะเป็นองค์กรหรือขบวนการอะไรสักอย่างที่ลักลอบค้าสัตว์ผิดกฎหมาย... ต้องเป็นองค์กรใหญ่มากทีเดียวเชียวล่ะ ชื่อที่เจ้าได้ยินบ่อยที่สุดคือราอูล แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะเป็นระดับผู้มีอำนาจ คิดว่าเป็นแค่คนเฝ้ายามสถานที่มากกว่า”

“อ่า... ใช่ ข้าจำชื่อราอูลได้ เขามักจะชอบพูดกับข้าอยู่บ่อยๆ” โอเรนว่า “ว่าเขาเคยเป็นนักล่าที่มีชื่อเสียงบ้างล่ะ เคยเป็นนายพรานมือฉมังบ้างล่ะ แต่เพราะบาดเจ็บอะไรสักอย่าง ก็เลยต้องไปจับเจ่าอยู่ที่นั่น”

“อืม... ข้าคิดว่านี่น่าสนใจทีเดียว” ไอดิเอลว่า “ทีมัวร์บอกว่าล่าสุดวัลคอตอยู่ที่อาณาจักรอุดร ข้าน่าจะไปลองถามเกี่ยวกับอดีตนักล่าที่ชื่อราอูล อาจจะพอหาเบาะแสได้”

“นี่ท่านตกลงรับทำงานนี้แล้วหรือ” คาริกถามออกมา “มีใครจ้างท่านหรือยัง?”

“ยัง ข้าไม่คิดว่านี่เป็นงานรับจ้างหรอกนะ” ไอดิเอลว่า “มีคนเก็บไข่ของนูเบส โฟลิอุมไว้หลายปี แปลว่าน่าจะมีของผิดกฎหมายอื่นด้วย ข้าจะสืบเรื่องนี้ ส่วนเรื่องงานจ้างหาไม่ยากหรอก ไว้ไปถึงอาณาจักรอุดรแล้วเราค่อยเข้าไปดูที่กระดานในเมืองก็ได้”

“ท่านนี่ทำงานตามใจตัวเองจริงๆ” คาริกว่า “งั้นแปลว่าเราจะไปอาณาจักรอุดรกันใช่ไหม” ชายหนุ่มถามต่อ เขาเคยได้ยินว่าที่นั่นมีแต่หิมะ แต่ไม่เคยคิดว่าจะไปเหยียบมาก่อน ไอดิเอลผงกศีรษะ

“ข้าคิดว่าจะไปอาณาจักรอุดร แต่ไม่ใช่หลังจากนี้หรอก เวโรนิกาน่าจะเชิญข้าไปให้การที่อาณาจักรหรดีต่อ และเราก็ยังต้องไปกินอาหารที่วังตามคำเชิญของเจ้าชายบัลดริกซ์ด้วย”

“แปลว่าเราจะได้ไปที่วังก่อนสินะ” โอเรนว่า “ข้าจะบอกเจ้าชายว่าขอใบไม้เยอะๆ”

ไอดิเอลยิ้ม “ข้าคิดว่าเจ้าชายคงจะหามาให้เจ้าได้ทั้งอุทยานเลยล่ะ”

“เดี๋ยวนะ” คาริกขัดขึ้น “ถ้าท่านต้องไปให้การที่อาณาจักรหรดี ก็แปลว่าเสร็จจากประชุมแล้วเราต้องออกเดินทางเลยน่ะสิ”

“ข้าไม่รีบขนาดนั้นหรอกน่า อยู่พาพวกเจ้าเที่ยวก่อนสักวันสองวันจะเป็นไรไป”

“แต่ท่านเวโรนิกาคนนั้นเป็นจอมเวทประจำราชสำนักไม่ใช่หรือไง” คาริกแย้งขึ้น “นางจะยอมให้ท่านอยู่ที่นี่ต่อเพื่อพาพวกเราเที่ยวหรือ?”

“นางเป็นจอมเวทประจำราชสำนักหรดีก็จริง แต่ข้าไม่ใช่นี่” ไอดิเอลว่า “ข้าเห็นสมควรว่าจะไปที่นั่นเมื่อไหร่ ข้าก็จะไปของข้าเอง ยกเว้นว่าเจ้าไม่อยากจะอยู่เที่ยวแล้วน่ะนะ”

“ข้าอยากนะ” คาริกรีบตอบ “เพียงแต่กลัวว่าจะทำให้มีปัญหาเท่านั้นเอง”

“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกน่า” ไอดิเอลว่า “ข้าเคยพูดเรื่องที่ทำไม่ได้ด้วยหรือไง”

“เอ่อ... ก็จริงของท่านนะ” จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา ไอดิเอลเลือกที่จะพาเขาไปเที่ยว แทนที่จะเร่งไปตามคำเชิญ แปลว่าเจ้าตัวเห็นเขาสำคัญกว่าสินะ

“นี่... จะยิ้มก็ยิ้มออกมาเถอะน่า” ไอดิเอลว่า “ข้ารู้นะว่าเจ้าดีใจที่จะได้ไปเที่ยวน่ะ แต่บอกไว้ก่อนเลยนะว่าข้าไม่ซื้อรถให้เจ้าแน่นอน”

คาริกยกมือลูบปาก ก่อนจะพูดเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินที่พุ่งขึ้นมาอยู่บนหน้า “ข้าไม่ขอให้ท่านซื้อรถให้หรอกน่า ข้าไม่อยากทำงานใช้หนี้ไปทั้งชาติน่ะ”

“แต่ข้าว่ามีรถก็ดีนะ” โอเรนพูดขึ้น “อัลบุสจะได้ไม่ต้องเหนื่อยไงล่ะ”

ไอดิเอลหรี่ตามองเขา “กับเจ้าข้าก็ไม่ซื้อให้เหมือนกัน ไม่ต้องพยายามหาเหตุผลหรอก”

“ง่ะ”

คาริกหัวเราะออกมา ไอดิเอลเหลือบมองนาฬิกาแล้วพูดขึ้นต่อ “ยังพอมีเวลาเหลือ คาริก เจ้าเข้ามาใกล้ๆ ซิ ขอข้าดูความทรงจำเจ้าหน่อย”

“เดี๋ยวๆ” ชายหนุ่มร้องขึ้นทันที แทบจะเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน “ทำไมจู่ๆ ท่านถึงอยากจะดูความทรงจำข้าล่ะ ไม่เชื่อว่าข้ามาจากอาณาจักรบูรพาหรือไง”

“ข้าจะหาความเชื่อมโยงระหว่างเจ้ากับนูบิลุสน่ะ”

“หา?! นูบิลุส ใครกันน่ะ”


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“เป็นชื่อของเจ้าตัวที่คุยกับเจ้าในฝันเมื่อเช้านี้ไง” ไอดิเอลว่า “เจ้าของพลังน่ากลัวที่โอเรนพูดถึงน่ะ”

“หา! ท่านรู้ได้ยังไง ข้ายังไม่เห็นตัวมันเลยด้วยซ้ำ จะว่าไปแล้วก็มีแต่ท่านล่ะนะที่โผล่เข้ามาน่ะ”

“ข้าเข้าไปช่วยเจ้าให้พ้นจากคำลวงของมันนะ พูดเสียอย่างกับว่าข้าไปทำร้ายเจ้างั้นแหละ” ไอดิเอลว่า “ข้ารู้ว่าเป็นมันแน่ เพราะข้าสัมผัสได้ถึงพลังแบบเดียวกันกับที่เห็นในนิมิตคืนนั้นน่ะ”

“เดี๋ยว! นี่ท่านกำลังพูดถึงเจ้าตัวน่ากลัวนั่นด้วยหรือ มันคือตัวเดียวกันหรือเนี่ย” ชายหนุ่มร้องออกมา “ข้าไม่เห็นว่าเสียงมันจะเหมือนกันเลยนะ”

ไอดิเอลทำหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “เจ้านี่ทำไมถึงได้ทึ่มนัก ถ้าไม่เห็นข้าคงไม่เชื่อหรอกนะว่าเจ้าจะจับคำสาปได้ด้วยมือเปล่าน่ะ จำที่เราคุยกันบนรถของมาร์คัสได้ไหม ที่เจ้าเห็นคือบุตรแห่งความมืด สิ่งมีชีวิตในตำนานโบราณที่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับโลกใบนี้ กะอีแค่เปลี่ยนเสียงคงไม่ใช่เรื่องที่มันจะทำไม่ได้หรอกนะ แล้วเรื่องเปลี่ยนรูปร่างก็ด้วย ถ้าข้าไม่เข้าไปก่อน ที่เจ้าเห็นก็จะเป็นร่างแปลงของมันนั่นแหละ”

“สรุปแล้วที่ข้าเห็นในฝันน่ะ เป็นท่านหรือเจ้าตัวน่ากลัวนั่นกันแน่”

“เสียงที่เจ้าได้ยินน่ะเป็นเสียงของมัน รวมถึงภาพที่เจ้าเห็นตอนแรกด้วย แต่คนที่กระซิบข้างหูเจ้าคือข้านี่แหละ”

“....” คาริกอึ้งไปอึดใจก็พูดขึ้นมา “ก็แปลว่าท่านแข็งแกร่งถึงขนาดเข้าไปแทนที่เจ้านั่นได้เลยไม่ใช่หรือไง แบบนั้นก็ไม่น่าจะต้องห่วงอะไรแล้วนี่”

“ใช่ที่ไหนกัน ข้าก็แค่เข้าไปแทรกในจิตสำนึกของเจ้าเท่านั้น” ไอดิเอลว่า “มันก็แปลกนะ ตอนแรกข้าคิดว่ามันอยู่ในตัวเจ้า แต่พอข้าแทรกเข้าไปเมื่อเช้า ดูเหมือนว่าพลังของมันจะมาจากอีกแหล่ง ข้าไม่ทันจะตรวจดูให้รู้แน่มันก็หายวับไปแล้ว อย่างกับไม่เคยมีอยู่มาก่อนงั้นแหละ”

“ในเมื่อเป็นแบบนั้นแล้วมันเกี่ยวอะไรกับความทรงจำของข้าล่ะ” คาริกว่า “ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าข้าไม่เคยหรือได้ยินเสียงของมันมาก่อน จนนอนกับท่านคืนนั้นนั่นแหละ”

“หืม เจ้านอนกับท่านไอดิเอลเลยเห็นนิมิตน่ากลัวแบบนั้นหรือ” โอเรนถามออกมา คาริกรู้ตัวว่าพลังปาก เลยรีบพูดแก้

“ก็ใช่... แต่ว่าไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ”

“เอ๋... ไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดยังไงน่ะ เจ้าไม่ได้นอนกับท่านไอดิเอลแบบที่นอนกับข้าหรือ”

“เอ่อ...”

ไอดิเอลหัวเราะออกมา “เจ้าจะลนลานแก้ตัวไปทำไมน่ะคาริก นอนกับข้าน่าอายตรงไหน”

“นั่นสิ น่าอายตรงไหน” โอเรนว่า “ข้าก็อยากนอนกับท่านไอดิเอลนะ เขายังไม่ยอมให้ข้านอนด้วยเลย”

“ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้านอนกับเขาแน่!” คาริกโพล่ง ก่อนจะครางออกมา “โอย... ให้ตายเถอะ ทำไมเรื่องมันต้องมาวนเวียนอยู่ตรงนี้ด้วยนะ”

“เจ้านี่หน้าบางไม่สมกับเป็นพวกสมาคมคุ้มกันเลยแฮะ” ไอดิเอลพูดยิ้มๆ คาริกถลึงตาใส่เขา

“ข้าไม่ได้หน้าหนาเท่ากับท่านต่างหาก อย่าเอามาตรฐานของตัวเองมาเปรียบเทียบคนอื่นสิ”

“เจ้าว่าท่านไอดิเอลทำไมน่ะ” โอเรนแทรกขึ้นอีก “ท่านไอดิเอลหน้าหนาตรงไหน ข้าว่าหน้าเขาออกจะสวยนะ”

“เอ่อ... เรื่องนั้นข้าไม่เถียงหรอก แต่... โอ๊ย นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างเจ้าจะต้องมารับรู้นะ”

“หา ทำไมข้ารับรู้ไม่ได้ล่ะ ข้าแก่กว่าเจ้าอีกนะ อย่างน้อยๆ ก็อยู่ในไข่มาก่อนเจ้าจะลืมตาดูโลกล่ะ”

ไอดิเอลหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม “เอาล่ะ ข้าว่าเจ้าหยุดพูดก่อนดีกว่านะคาริก พูดต่อก็มีแต่เจ้าที่จะลำบากเอาน่ะนะ”

“งั้นท่านก็ช่วยพูดอะไรสักอย่างสิ” ชายหนุ่มหันไปเค้นเสียงใส่ “แบบที่มันฟังแล้วสมกับวัยของเขาน่ะ”

“ข้าไม่ใช่เด็กอายุสิบแปดแบบเจ้าหรอกน่า ไม่ต้องกังวลไป” ไอดิเอลตอบยิ้มๆ ก่อนจะหันไปหาโอเรน

“การที่คาริกนอนกับข้าเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่จะทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้น่ะ เพราะงั้นมันเลยไม่เหมือนที่เจ้านอนกับเขาหรอก เพราะเจ้าไม่ได้เป็นจอมเวทแบบข้า”

“งั้นหรือ ถ้างั้นให้ข้านอนกับท่านด้วยได้รึเปล่า ข้าเองก็อยากจะเป็นส่วนหนึ่งให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เหมือนกันนะ”

“ไม่ได้หรอก” ไอดิเอลตอบเขาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “พิธีกรรมนี้น่ะอันตรายถึงตายเชียวนะ ให้คนอื่นมาทำแทนคาริกไม่ได้หรอก”

“ขนาดนั้นเลยหรือ แล้วทำไมคาริกถึงไม่ตายล่ะ”

“ก็เพราะคาริกใช้ชีวิตเดียวกับข้าไงล่ะ”

โอเรนกะพริบตาครั้งสองครั้ง ในที่สุดก็พยักหน้า “อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว มันก็เป็นเรื่องดีนี่นา แล้วทำไมคาริกถึงได้ทำเหมือนมันเป็นเรื่องแย่มากล่ะ”

“ไม่รู้สิ เขาคงไม่ชอบล่ะมั้ง”

“ไม่ใช่ข้าไม่ชอบ!” ชายหนุ่มโพล่งออกมา ก่อนจะครางอีก “โอย... ทำไมท่านถึงพูดเรื่องแบบนี้ได้หน้าตาเฉยกันนะเนี่ย”

“คงเพราะข้าแก่กว่าเจ้าเยอะล่ะมั้งนะ” ไอดิเอลว่า โอเรนทำท่าเหมือนนึกอะไรได้เลยพูดขึ้นต่อ

“เมื่อวานท่านทีมัวร์ก็บอกว่าอยากจะนอนกับคาริกเหมือนกันนะ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไม”

“หืม? ทีมัวร์พูดแบบนั้นหรือ”

เจ้ามังกรพยักหน้า ดูจะยังไม่เอะใจอะไรสักอย่าง “ใช่ เมื่อวานท่านทีมัวร์เสียพลังไปตอนใช้เครื่องย้ายมวลสารน่ะ เขาบอกว่าอยากจะนอนกับคาริก แต่กลัวท่านโกรธ”

“ข้าต้องโกรธแน่” ไอดิเอลว่า โอเรนถามด้วยความสงสัย

“ทำไมล่ะ ก็ท่านบอกว่าการที่คาริกนอนกับท่านเป็นการทำให้ท่านมีชีวิตต่อไปได้ไม่ใช่หรือ ท่านทีมัวร์ก็เป็นจอมเวทเหมือนกัน เขาก็น่าจะนอนกับคาริกได้สิ”

“เขาก็นอนได้” ไอดิเอลว่า “แต่เพราะคาริกใช้ชีวิตเดียวกับข้า ถ้าทีมัวร์นอนกับเขา มันจะเป็นการถ่ายพลังชีวิตของข้าไปแทนน่ะ”

“อ๋อ... อย่างนี้นี่เอง แต่ข้านอนกับคาริกไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“ใช่แล้วล่ะ นอกจากจอมเวท เขาจะนอนกับใครก็ได้ ข้าไม่ไปก้าวก่ายหรอก”

คาริกหน้าหงิก เขาเกือบจะหลุดปากพูดออกไปแล้วเชียวว่า ‘ช่วยก้าวก่ายหน่อยก็ได้นะ’ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเดี๋ยวเรื่องคงยาวไม่จบ ดังนั้นเลยเปลี่ยนเรื่องพูดแทน

“ข้ารู้สึกประทับใจอยู่หรอกนะที่ท่านอธิบายกับโอเรนอย่างใจเย็นได้ขนาดนี้น่ะ แต่ว่าเรากลับมาเรื่องเดิมดีกว่าไหม สรุปแล้วท่านจะเข้าไปดูความทรงจำของข้าทำไม”

“เพื่อที่จะได้หาความเชื่อมโยงระหว่างเจ้ากับมัน” ไอดิเอลตอบ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อถือคำพูดของเจ้า แต่บางอย่างเจ้าอาจจะลืมไป ยังไงข้าก็อยากตรวจสอบให้แน่ใจน่ะ”

“มันไม่มีวิธีตรวจสอบอื่นแล้วหรือไง” อีกฝ่ายว่า “ข้าไม่อยากให้ท่านเข้าไปดูความทรงจำนี่ มันก็เหมือนกับที่ท่านไม่ยอมเอาบันทึกประจำวันให้ข้าอ่านนั่นแหละ”

ไอดิเอลมองชายหนุ่ม แล้วยิ้ม “งั้นข้าจะให้เจ้าอ่านบันทึกของข้าเป็นการตอบแทนแล้วกัน อยากจะอ่านสักกี่เล่มล่ะ”

“....”

“ไม่ต้องเขินหรอกน่า ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในวัยที่กำลังอยากรู้อยากเห็น แต่เรื่องนี้สำคัญมากนะ เพราะมันเกี่ยวข้องทั้งกับเจ้าและข้า ถ้านูบิลุสอยากจะครอบงำเจ้า ข้าก็ต้องรู้ว่าเพราะอะไร แล้วมันมาจากไหน ใช่แฝงอยู่ในร่างของเจ้าหรือว่ามาจากที่อื่น เจ้าเป็นคนที่ใช้ชีวิตเดียวกับข้านะ ให้ความร่วมมือหน่อยเถอะ”

คาริกนิ่งไปพักใหญ่ๆ ในที่สุดก็พูดออกมา “ในเมื่อท่านพูดถึงขนาดนี้ล่ะก็... ข้าให้ความร่วมมือก็ได้ แต่ว่าเรื่องบันทึกน่ะ ข้าเอาจริงนะ”

“ข้าก็ไม่ได้พูดเล่นสักหน่อย” อีกฝ่ายว่า แล้วชี้มือไปที่เก้าอี้ข้างตัว “มานั่งนี่สิ”

คาริกเดินไปนั่งประจันหน้ากับจอมเวท แล้วถามขึ้นต่อ “ท่านจะทำให้ข้าหลับก่อนไหม แต่ถ้าหลับไปทั้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้แบบนี้ข้าอาจจะล้มฟาดท่านก็ได้นะ”

“เจ้าอยากจะหลับแบบโอเรนหรือ” ไอดิเอลถามขึ้น “อย่างนั้นก็เปลี่ยนไปทำที่เก้าอี้ยาวแล้วกัน”

“เอ่อ... นั่งทำที่นี่ก็ได้ ถ้าข้าไม่ต้องหลับแบบโอเรน มันจะมีผลอะไรรึเปล่า”

“ก็อาจจะแค่รู้สึกอึดอัดที่นั่งจ้องตากับข้าน่ะนะ” ไอดิเอลว่า “แต่ข้าตั้งใจใช้เวทที่จะทำให้เจ้ารู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่แล้ว คงไม่ถึงกับล้มพับมาหาข้าหรอก”

“ไม่เป็นไร ใช้เวลาไม่นานใช่ไหมล่ะ ท่านไม่ต้องใช้เวทกับข้าก็ได้ จะเปลืองพลังของท่านเปล่าๆ น่ะ”

“แน่ใจนะ”

“อืม”

“งั้นก็จ้องตาข้าให้ดี อย่าส่งเสียง ข้าต้องใช้สมาธิกับเรื่องนี้มาก โอเรน เจ้าก็ห้ามส่งเสียงนะ”

“อื้อ ข้าจะหุบปากให้สนิทเลย”

ไอดิเอลยกมือขึ้นแตะขมับของชายหนุ่ม คาริกรู้สึกถึงปลายนิ้วเย็นๆ เขาเห็นดวงตาสีอำพันของจอมเวทกำลังมองมา นึกสงสัยว่าดวงตาคู่นี้ของไอดิเอล ประกอบด้วยเลือดเนื้อหรือทำมาจากอัญมณีกันแน่

ดวงตาคู่นั้นไม่เหมือนกับดวงตาของแมวหรือสัตว์อื่น มันเป็นสีเหลืองสว่างสุกใส มีจุดสีดำอยู่ตรงกลาง คาริกมองเห็นภาพบางอย่างสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น เขาเพ่งมอง ตอนแรกคิดว่าเป็นเงาของตัวเอง แต่อีกอึดใจต่อมา เขาก็รู้ว่าเข้าใจผิดไปไกล

เงานั้นเป็นภาพของหญิงสาวที่มีเรือนผมสีอ่อนเป็นลอนสวย ใบหน้าของนางงดงามจับใจ นางกำลังคลี่ยิ้มมาให้เขาอย่างอ่อนหวาน ทรวงอกของนางอวบอิ่มเต่งตึง และท้องของนางยังนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด คาริกสัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลื้มปีติที่เอ่อท้นขึ้นมา เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เป็นความรู้สึกที่ประหลาด ราวกับว่าเขาเป็นพ่อของเด็กที่อยู่ในครรภ์ของหญิงสาวผู้นั้น

จากนั้นภาพที่เขาเห็นก็เปลี่ยนไป จากหญิงสาวที่มีใบหน้างดงาม กลับกลายเป็นสตรีวิกลจริต ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง ดวงตาเลื่อนลอย นางสวมเสื้อผ้าขาดวิ่น สองมือยกประคองผ้าเก่าๆ สกปรกผืนหนึ่ง หน้าท้องของนางแบนราบ ที่ข้อมือและข้อเท้าของนางถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวน เสียงของมันดังเสียดเข้าไปในความรู้สึกของเขา พร้อมๆ กับความรู้สึกเจ็บปวดจนจิตใจแทบจะแหลกสลาย

แล้วเขาก็เห็นสัตว์ร้ายที่เขาไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อน มันมีลำตัวมหึมาปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดงก่ำ ปีกขนาดมหึมาที่พอกางออกก็แทบจะท้องฟ้าไว้หมดสิ้น มันส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวคมยาว แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัส เขาได้ยินเสียงกรีดร้อง เสียงตะโกนอย่างสิ้นหวัง ขณะที่เปลวเพลิงโหมสูงอยู่เหนือศีรษะ ความสลดหดหู่ถาโถมเข้ามาเหมือนคลื่นซัด คาริกรู้เหมือนสติของเขาใกล้ขาดอยู่รอมร่อ ตอนนั้นเองใครบางคนก็เรียกชื่อเขา

“คาริก!”

คาริกสูดหายใจดังเฮือกเหมือนคนเพิ่งขึ้นจากน้ำ เขาคว้าไหล่คนตรงหน้า โพล่งออกมา “หนีเร็ว!”

ไอดิเอลนิ่วหน้า เขาพูดขึ้นมา “เจ้าเป็นอะไรไป”

“ข้าเห็นมัน” ชายหนุ่มละล่ำละลัก “สัตว์ร้ายสีแดงเพลิงที่มีปีกปกคลุมท้องฟ้า มันฆ่าทุกคนเลย”

“หืม... เจ้าตั้งสติก่อน หายใจลึกๆ ช้าๆ ข้าอยู่ตรงนี้แล้ว”

ชายหนุ่มทำตาม เสียงของไอดิเอลทำให้เขารู้สึกสงบลง เขาพูดขึ้นต่อ “ท่านต้องฟังข้านะ ข้าเห็นจริงๆ ข้าเห็นผู้หญิงท้องแก่คนหนึ่ง นางสวยมาก ข้ารู้สึกเหมือนเด็กในท้องของนางเป็นลูกของข้า แล้วข้าก็เห็นนางถูกล่าม นางอุ้มผ้าเก่าๆ ผืนหนึ่ง ข้ารู้สึกเจ็บที่ใจเหมือนถูกฉีกเลย”

“อา...” ไอดิเอลส่งเสียงครางออกมา เขายกมือขึ้นลูบที่ดวงตาของชายหนุ่ม

“เจ้าไม่ต้องตกใจนะ นั่นเป็นความทรงจำของข้าเอง”

“หา!?”

จอมเวทใช้สองมือประคองใบหน้าของเขา ประทับริมฝีปากลงไปบนหน้าผากเบาๆ “มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าจริงๆ ปล่อยมันให้ออกมาจากจิตใจของเจ้าเถอะ”

คาริกรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆ ที่ไหลออกมาจากดวงตา ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานค่อยๆ เลือนหายไป ชายหนุ่มกะพริบตา รู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านฝันร้ายมาหมาดๆ เขาผงกศีรษะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น

“ข้าไม่เป็นไรแล้วล่ะ ว่าแต่ตะกี้มันคืออะไรน่ะ”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม เขาลูบศีรษะคาริกเบาๆ แล้วตอบคำถาม

“ที่เจ้าเห็นเมื่อครู่ เป็นความทรงจำของข้าเอง” ไอดิเอลว่า “อาจเพราะพวกเราใช้ชีวิตเดียวกัน พอข้าเปิดจิตเพื่อเข้าไปดูความทรงจำของเจ้า จิตของเจ้าอาจจะหลุดเข้ามาในจิตของข้า ที่เจ้าเห็นเป็นบางส่วนของความทรงจำของข้าน่ะ”

“แต่ข้ารู้สึกเหมือนมันเกิดขึ้นกับข้าจริงๆ เลยนะ”

ไอดิเอลผงกศีรษะ “การเข้าไปดูความทรงจำของคนอื่นไม่เหมือนกับการดูภาพหรือฟังเสียงหรอกนะ มันคือการเข้าไปอยู่ในความทรงจำนั้น เพราะฉะนั้นถ้าจิตใจไม่นิ่ง และไม่มีประสบการณ์มากพอ อาจจะเสียสติได้ง่ายๆ เลยล่ะ โชคดีที่เจ้าอยู่ในนั้นไม่นาน ไม่อย่างนั้นก็คงเรียกสติกลับมาลำบากอยู่นะ”

“....”

“แต่ท่านไอดิเอลนี่ก็สุดยอดไปเลยนะ” โอเรนว่า “ตะกี้ข้าเห็นว่าพลังงานของคาริกน่ะปั่นป่วนมาก แต่ท่านแค่ก้มลงจูบหน้าผากเขา ทุกอย่างก็สงบลงทันทีเลย”

“มันเป็นการถ่ายเทพลังรูปแบบหนึ่ง ความรู้สึกนั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขาจริงๆ เพราะงั้นข้าถึงสามารถใช้พลังขับมันออกมาได้น่ะ”

โอเรนพยักหน้า “แต่ถ้าเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขาจริงๆ ท่านก็ไล่ออกมาไม่ได้สินะ”

“ใช่แล้ว ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ ไม่มีใครสามารถทำอะไรกับมันได้หรอก นอกจากจะจัดการตัวเองเท่านั้นแหละ”

คาริกรู้สึกเขินที่นึกได้ว่าถูกไอดิเอลจูบหน้าผากปลอบเป็นเด็กๆ ต่อหน้าโอเรน เลยเฉไปพูดเรื่องอื่น “แล้วท่านได้อะไรจากความทรงจำข้าบ้าง”

“ถ้าเกี่ยวกับนูบิลุสล่ะก็... ข้าแทบไม่พบความเชื่อมโยงอะไรเลย”

“งั้นก็แปลว่าเสียเวลาเปล่าน่ะสิ”

“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกนะ” อีกฝ่ายมองเขาแล้วพูดต่อ “อย่างน้อยๆ ข้าก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนจริงจัง และมองโลกในแง่ดี การที่ข้าทำสัญญากับเจ้า อาจจะไม่ใช่เรื่องแย่มากก็ได้”

“นี่ท่านยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแย่อยู่อีกหรือ” ชายหนุ่มคราง “ถึงข้าจะไม่ใช่นักดาบอันดับหนึ่งของยุค แล้วก็ไม่ใช่สาวสวย แต่ข้าก็ไม่คิดจะทำตัวเป็นภาระท่านหรอกนะ”

“ข้ารู้แล้วล่ะน่า” ไอดิเอลว่า “แต่เจ้าต้องเข้าใจนะว่าข้าทำสัญญานี้กับเจ้าโดยไม่ได้ผ่านการเลือกเฟ้นให้ดีก่อน ข้าไม่รู้เลยว่าพวกเราจะเข้ากันได้ไหม ทั้งเจ้ากับข้า เราจะทนกันและกันไหวรึเปล่า ถ้าพวกเราเข้ากันไม่ได้มันจะเป็นเรื่องวุ่นวายมาก เพราะเราใช้ชีวิตเดียวกัน และข่าวร้ายคือข้ายังไม่เจอวิธียกเลิกพันธะสัญญานี้ แม้จะค้นบันทึกที่เกี่ยวข้องไปเกือบทั้งหอสมุดแล้วก็เถอะ”

“เดี๋ยวนะ” คาริกร้องขึ้นอีก “อย่าบอกนะว่าที่ท่านหายไปทั้งคืนเพื่อไปหาเกี่ยวกับเรื่องนี้น่ะ”

“ก็ใช่น่ะสิ ข้าเป็นคนบอกเจ้าเองว่ามันอาจจะมีทางแก้ไข ที่จริงแล้วมันอาจจะมีทางแก้ก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังหาไม่เจอ”

คาริกนิ่งไปอึดใจ ก็พูดขึ้นต่อ “ถ้ามันไม่มีทางแก้แล้ว ก็ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่คิดว่าการได้มาใช้ชีวิตเดียวกับท่านเป็นเรื่องแย่ แล้วก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน เพราะงั้น... ท่านไม่ต้องพยายามเสียเวลาไปหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้หรอกนะ พวกเรามามองไปข้างหน้าว่าจะอยู่ด้วยกันยังไงดีกว่า”

ไอดิเอลขมวดคิ้วมองเขา “เจ้าแน่ใจนะ? ไอ้ข้าน่ะอยู่มาจนถึงปูนนี้แล้ว ไม่เดือดร้อนอะไรมากหรอก เต็มที่ก็แค่รำคาญ แต่เจ้าน่ะยังเด็กมาก อายุพวกเราห่างกันขนาดนี้ ที่จะอึดอัดมากกว่าคือเจ้านั่นล่ะนะ”

คาริกถอนหายใจ “ข้าคิดว่าการมองไปข้างหน้ามันดีกว่าการพยายามแก้ไขเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ถึงข้าจะรู้สึกอึดอัดจริงๆ อย่างที่ท่านว่าก็เถอะ แต่ถ้าเราพยายามมันก็น่าจะไปกันได้นะ”

จอมเวทกะพริบตาครั้งสองครั้งก่อนจะถอนหายใจแล้วคลี่ยิ้ม “เจ้านี่พูดเหมือนกับนางเลย”

“นาง? ใครน่ะ”

“อดีตภรรยาข้าเอง”

........................................
(จบตอน)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อดีตภรรยาไปอีกกก

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่15 ประชุมสภา

คาริกอึ้งไปอึดใจ ก่อนจะโพล่งออกมา “หมายถึงผู้หญิงที่ข้าเห็นในความทรงจำของท่านเมื่อครู่นี้หรือ?”

คนถูกถามผงกศีรษะ โอเรนที่นั่งฟังอยู่นานอดไม่ได้ต้องถามขึ้น

“ภรรยาคืออะไรน่ะ”

“คือคำเรียกผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ชายน่ะ”

“เอ๋ แล้วแต่งงานคืออะไรหรือ”

“แต่งงานก็คือการที่คนสองคนตกลงจะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันน่ะ”

“อ๋อ” เจ้ามังกรพยักหน้าทันที “เหมือนท่านกับคาริกใช่ไหมล่ะ”

คาริกเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ขณะที่ไอดิเอลอธิบายต่อ “มันก็ไม่เชิงแบบนั้นเสียทีเดียวหรอกนะ การแต่งงานมักใช้กับผู้ชายและผู้หญิงที่ต้องการสร้างครอบครัว คือใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันและมีลูกสืบเผ่าพันธุ์น่ะ ส่วนข้ากับคาริกเรียกว่ามีชีวิตร่วมกันเฉยๆ สร้างครอบครัวหรือสืบเผ่าพันธุ์ไม่ได้หรอก”

“ทำไมล่ะ ท่านกับคาริกมีลูกไม่ได้หรือ”

“ข้าน่ะมีลูกไม่ได้อยู่แล้ว” ไอดิเอลว่า “ส่วนคาริกถ้าอยากจะมีลูก ก็ต้องมีกับผู้หญิง แต่เพราะเขาใช้ชีวิตเดียวกับข้า ทั้งลูกและภรรยาของเขาจะตายจากเขาไป ในขณะที่เขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเรื่อยๆ แล้วข้าคงไม่สะดวกที่จะให้เขาไปใช้ชีวิตดูแลครอบครัวด้วย ยังไงข้าก็ต้องให้เขาเป็นผู้ช่วยน่ะ”

คาริกนึกดีใจที่ไอดิเอลดูจะเห็นความสำคัญของเขาขึ้นมาบ้าง แต่ก็อดถามไม่ได้อยู่ดี

“ท่านบอกว่ามีลูกไม่ได้ แล้วในท้องของผู้หญิงคนนั้นล่ะ ไม่ใช่ลูกท่านหรือ?”

“อ่า... ใช่ นั่นเป็นลูกข้า” ไอดิเอลว่า “แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนที่ข้าจะกลายเป็นจอมเวทน่ะ”

คาริกขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ พอเป็นจอมเวทแล้วท่านเลยมีลูกไม่ได้งั้นหรือ ข้าคิดว่าพวกท่านเป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้วเสียอีก”

“ไม่ใช่หรอก” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “จำเรื่องที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังตอนที่เราพบกันครั้งแรกได้ไหม”

“หืม?”

“เรื่องหมู่บ้านที่เคยตั้งอยู่บนสถานที่ที่เรียกกันว่าปากปล่องแห่งการสิ้นสูญน่ะ”

คาริกนิ่งนึกไปอึดใจ ก็ผงกศีรษะ “พอจะนึกออกล่ะ ท่านบอกว่าคนในหมู่บ้านมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ หรือว่าท่าน...”

“ใช่ ข้าเป็นคนในหมู่บ้านนั้น” ไอดิเอลพยักหน้า “ศิลาวิเศษที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านก็คือศิลาธาตุ เราเรียกมันว่าศิลาแห่งบรรพกาล สิ่งนั้นทำให้ทุกคนมีความสามารถในการใช้เวทมนตร์มาแต่กำเนิด พวกเราอาศัยอยู่ในหุบเขาลึก แทบจะไม่ติดต่อกับโลกภายนอก เรามีภาษาและอารยะธรรมของตัวเอง ตอนอายุยี่สิบ ข้าแต่งงานกับสตรีที่งามที่สุดในหมู่บ้าน เจ้าคงเห็นแล้วว่านางงามหาผู้ใดเปรียบ แล้วนางก็ตั้งท้อง ความรู้สึกยินดีของข้าตอนนั้นเจ้าคงสัมผัสแล้ว ข้าเฝ้ารอวันที่ลูกของเราจะลืมตาดูโลก ซึ่งมันก็ควรจะเป็นฤดูร้อนในปีถัดไป แต่แล้วพอถึงต้นปี ก็มีตัวแทนจากจักรวรรดิเข้ามาที่หมู่บ้าน ข้าไม่รู้ว่าจักรวรรดิรู้เรื่องศิลาได้ยังไง ไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาทำสงครามอยู่กับมังกร ในความคิดข้าตอนนั้น มังกรคือตัวแทนแห่งความรอบรู้และพลัง พวกเขาเหมือนกับเทพเจ้ามากกว่าสัตว์ร้าย”

“ตอนแรกจักรวรรดิมาอย่างเป็นมิตร เขานำเครื่องจักรกลที่พวกเราไม่เคยเห็นมาที่หมู่บ้าน สอนให้พวกเราใช้เครื่องจักรกลพวกนั้นแทนการใช้เวทมนตร์ เท่าที่ข้าจำได้ มันค่อนข้างเป็นเรื่องน่าประทับใจอยู่นะ ทั้งเครื่องที่ใช้ในการนวดข้าว หรือเครื่องที่ใช้ในการเกี่ยวข้าว และยังมีเครื่องมืออำนวยความสะดวกอื่นๆ อีก พวกผู้เฒ่าในหมู่บ้านไม่ค่อยพอใจ พวกเขาเชื่อคำทำนายโบราณที่ว่าการนำพาอารยะธรรมอื่นเข้ามาจะทำให้หมู่บ้านของพวกเราพบกับหายนะ แต่สำหรับข้าและคนอื่นๆ ที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ พวกเราตื่นเต้นกันมาก และคิดว่าอารยะธรรมของจักรวรรดิจะทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น ดังนั้นพวกเราจึงเปิดรับทุกอย่างที่จักรวรรดินำมาให้ กระทั่งปล่อยให้พวกเขานำทหารเข้ามาเพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ กว่าที่จะรู้ตัวว่าทั้งหมดไม่ใช่การให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน ทั้งหมู่บ้านก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของจักรวรรดิไปแล้ว”

“จักรวรรดิแยกผู้หญิงและเด็กออกไปเป็นตัวประกัน และให้ผู้ชายทุกคนเข้ารับการทดลองเพื่อเพิ่มพลังเวทให้สูงโดยเครื่องจักรที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้น มีหลายคนลุกขึ้นต่อต้าน แต่จักรวรรดิเตรียมการรับมือพวกเรามาเป็นอย่างดี คนที่ต่อต้านถ้าไม่ยอมจำนนก็ถูกฆ่า ตอนนั้นข้าไม่อยากตาย จึงสมัครใจเข้ารับการทดลอง เพื่อที่จะได้พบหน้าภรรยากับลูกอีกครั้ง การทดลองในครั้งนั้นเปลี่ยนหัวใจข้าให้กลายเป็นศิลา เปลี่ยนเลือดข้าให้กลายเป็นปรอท ระบบสืบพันธุ์ของข้าถูกทำลาย ร่างกายข้ากลายเป็นภาชนะและสื่อนำพลังงาน ข้าไม่จำเป็นต้องกินอาหารอย่างที่ผ่านมาอีก ข้าถูกเปลี่ยนให้เป็นอย่างที่พวกเจ้าเห็นในทุกวันนี้”

“ข้าผ่านกระบวนการพวกนั้นมาด้วยความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย เพื่อที่จะได้พบหน้าภรรยาที่ใกล้คลอด แต่แล้วข้าก็ได้รู้ข่าวร้าย ว่านางเองก็ถูกทดลองและเสียลูกไปในระหว่างนั้น ความรู้สึกของข้าเจ้าคงรู้แล้ว ข้าจึงก่อกบฏกับจักรวรรดิ แต่ก็ไม่อาจเอาชนะได้ ข้าถูกจองจำ และยื่นเงื่อนไขว่าหากข้าไม่ทำตามคำสั่งของจักรวรรดิ ภรรยาของข้าที่ยังมีชีวิตอยู่จะถูกกำจัด เพราะนางวิกลจริต ไม่มีค่าพอที่จักรวรรดิจะเก็บเอาไว้อีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงเข้าร่วมในสงคราม แม้ข้าจะเข้าร่วมเพราะต้องการรักษาชีวิตของภรรยา แต่เจ้าคงเห็นแล้วในความทรงจำ ว่ามังกรนั้นทรงอานุภาพและเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากจะเอาชนะ ข้าได้เห็นคนจำนวนมากล้มตาย ในที่สุดข้าก็สู้เพื่อคนที่ต่อสู้อยู่รอบข้างข้าพวกนั้น แม้ว่าพวกเขาจะทำงานรับใช้จักรวรรดิที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของข้าก็ตาม เพราะพวกเขาก็เป็นดั่งเช่นที่ข้าเคยเป็น มีชีวิตที่เรียบง่าย มีครอบครัวที่น่ารัก และนั่นคือรายละเอียดของสิ่งที่เจ้าเห็น มันเป็นความทรงจำช่วงต้นในชีวิตของข้า เลยค่อนข้างแจ่มชัดและเข้าถึงง่ายสำหรับเจ้าที่เผอิญหลงไปน่ะนะ”

คาริกอึ้งไปครู่ใหญ่ เขายังจำความรู้สึกเหล่านั้นได้ดี ราวกับมันเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง แม้จะไม่ได้รู้สึกรุนแรงเหมือนตอนแรกก็เถอะ เขามองไอดิเอลด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ อีกฝ่ายยิ้มแล้วพูดต่อ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นน่า ข้าไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังเพราะอยากให้เจ้ารู้สึกแย่นะ ก็แค่เล่าสู่กันฟังเฉยๆ น่ะ”

“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า โอเรนจึงกระโดดขึ้นไปบนศีรษะของเขาแล้วลูบเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอกนะคาริก ถึงท่านไอดิเอลจะสูญเสียครอบครัวไป แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมากแล้วใช่ไหมล่ะ ตอนนี้แม้เจ้าจะมีลูกให้เขาไม่ได้ แต่เจ้าก็อยู่กับเขานี่นา เจ้าใช้ชีวิตเดียวกับเขา เพราะงั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าจะตายจากเขาไป แค่นี้ข้าว่ามันก็เป็นเรื่องที่ดีมากแล้วนะ"

“นั่นสินะ” สีหน้าของคาริกค่อยดีขึ้นหน่อย แต่ไอดิเอลกลับพูดขึ้น

“กังวลไว้หน่อยก็ดีนะ ถ้าเจ้าเกิดทะเล่อทะล่าไปทำอะไรแล้วบาดเจ็บหนักขึ้นมา อย่าลืมล่ะว่าอาการบาดเจ็บนั้นมันจะมาลงที่ข้าไม่ใช่เจ้า”

“อืม...” คาริกส่งเสียงในคอ ก่อนจะโพล่งอย่างนึกขึ้นได้ “ถ้าท่านคิดงั้นแล้วท่านทำไมชอบผลักเรื่องอันตรายมาให้ข้าทุกทีเลยล่ะ ทั้งผีดาบเอย เครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารเอย การกระทำของท่านมันขัดกับคำพูดอยู่นะ”

อีกฝ่ายยักไหล่ “เจ้าเป็นผู้ช่วยข้านะ เรื่องอันตรายเป็นของคู่กันอยู่แล้ว ใจคอคิดจะทำแต่เรื่องง่ายๆ หรือไง ที่ข้าต้องการบอกคือเจ้าต้องระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้นเวลารับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันพวกนั้นต่างหากเล่า อย่างน้อยๆ ก่อนจะหันหลังให้ศัตรูก็ควรจะตรวจดูว่ามันตายสนิทแล้วหรือยัง”

“อา...”

พอเห็นสีหน้ารู้สึกผิดเต็มที่ของคาริก เสียงของไอดิเอลก็ค่อยอ่อนลงหน่อย เขาพูดขึ้นต่อ “ที่จริงแล้วที่เจ้าเป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดี ทีมัวร์เล่าเรื่องเจ้าให้ข้าฟังแล้ว ข้าเห็นด้วยกับเขาว่าการที่คนเรามีความกลัวหรือระแวงสิ่งที่ไม่รู้มันทำมีความระมัดระวังเพิ่มขึ้น แต่ที่ต้องย้ำอีกเพราะกลัวว่าถ้าชมอย่างเดียว เดี๋ยวเจ้าจะได้ใจเกินไปน่ะ”

พูดจบก็ยื่นมือไปตบแก้มชายหนุ่มเบาๆ “ลุกได้แล้วล่ะ จะสิบโมงแล้ว พวกเราต้องไปที่สภากัน”

คาริกรีบปัดมือของเขาออก สองแก้มกลายเป็นสีชมพู “พอเถอะน่า ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”

ได้ยินเสียงโอเรนหัวเราะออกมา ขณะที่ไอดิเอลยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

........................................

แม้จะเป็นช่วงสายแล้ว แต่ภายในลิฟต์และโถงทางเดินกลับยังคงใช้แสงจากเส้นแสงเรืองรองที่วิ่งอยู่ตามพื้นและผนังในการส่องนำทาง เพราะไม่มีช่องให้แสงสว่างจากภายนอกผ่านเข้ามา ทั้งสามคนเดินออกจากห้องไปยังลิฟต์ที่อยู่สุดทางเดิน ไอดิเอลแต่งตัวเต็มยศ ห่มทั้งผ้าคลุมและถือไม้เท้า ขณะที่คาริกสวมชุดสีแดงที่ตัดเย็บจากหนังของอิกเน่ ลาเชอร์ตา และสะพายดาบเขาแมกนิสคอร์นิบัสเล่มยาวไว้ที่ด้านหลัง คนที่ดูจะสบายและเบาตัวที่สุดคงหนีไม่พ้นโอเรนที่เกาะอยู่บนศีรษะของคาริกนั่นเอง

แม้ว่าทั้งคู่จะมีทั้งไม้เท้าและดาบ แต่ตัวลิฟต์ยังคงเหลือพื้นที่ว่างอีกมาก คาริกที่สังเกตเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวานจึงพูดขึ้น

“ลิฟต์ที่นี่กว้างมากเลยนะ กว้างกว่าลิฟต์บนเรือเหาะอีก ข้าว่าน่าจะจุคนพร้อมสัมภาระได้สักสิบคนเลยนะเนี่ย พวกท่านอยู่กันบนนี้เยอะหรือ?”

“ไม่เยอะหรอก” ไอดิเอลตอบ “แต่ที่ต้องกว้างขนาดนี้เพราะใช้ขนของด้วยน่ะ”

“อ้อ...”

“ว่าแต่เดี๋ยวพวกเราจะไปประชุมใช่ไหม” โอเรนถามขึ้นต่อ “ในที่ประชุมพวกท่านต้องสู้กับตัวอะไรด้วยรึเปล่า?”

ไอดิเอลเลิกคิ้ว “ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”

“ก็เห็นท่านให้คาริกพกดาบมาด้วยนี่นา”

“อ๋อ ข้าให้เขาพกมาให้กราวิสช่วยดูให้น่ะ หมอนั่นเชี่ยวชาญเรื่องอาวุธกว่าข้า เผื่อว่าเขาจะมีคำแนะนำดีๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับสภาหรอก”

“กราวิสนี่ใครน่ะ” คาริกถามชึ้นด้วยความสงสัย ไอดิเอลจึงอธิบายต่อ

“กราวิสเป็นผู้ช่วยของเวโรนิกาน่ะ เขาเคยเป็นทหารมาก่อน อ้อ... เขามีดวงตาสีม่วงเหมือนเจ้าด้วย แต่ไม่ใช่พวกลูบิดแบบเจ้าหรอกนะ”

“อ้าว ไหงงั้นล่ะ”

“ตอนระเบิดครั้งใหญ่ ร่างกายของเขาคงได้รับผลจากการระเบิดน่ะ ดวงตาเลยเปลี่ยนเป็นสีม่วง ข้าคิดว่ามันเป็นผลมาจากการรับพลังจากศิลาธาตุมากเกินไป”

“หา นี่เขาอยู่ในเหตุการณ์นั่นด้วยหรือ?”

“ใช่ เขาเป็นคนที่เกิดในยุคอาณาจักรเก่า เวโรนิกาทำสัญญาศิลาแดงกับเขาน่ะ แต่กรณีของเขานางได้เลือกดีแล้ว ไม่ใช่การทำสัญญาแบบฉุกละหุกอย่างที่ข้าทำกับเจ้าหรอก”

“พูดแล้วข้าก็สงสัยนะ” คาริกว่า “ถ้าสัญญานั่นมันมีผลผูกมัดท่านขนาดนี้ ทำไมตอนนั้นถึงไม่ปล่อยให้ข้าตายไปเลยล่ะ การผิดสัญญามันทำให้ท่านถึงตายด้วยหรือไง”

“ไม่ถึงตายหรอก” จอมเวทตอบ “แค่สูญสิ้นพลังไปชั่วคราวน่ะ”

“มันก็ไม่ได้ร้ายแรงมากไม่ใช่หรือ”

“ร้ายแรงสิ” ไอดิเอลว่า “ถ้าตายไปเลยข้าว่าจอมเวทหลายคนคงเต็มใจทำผิดสัญญานะ การสูญสิ้นพลังที่ข้าว่า คือการถูกขังอยู่ในร่างที่ขยับไม่ได้ พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือจอมเวทที่ผิดสัญญาจะกลายเป็นอัญมณีที่มีความรู้สึก อยู่อย่างสิ่งของที่ไม่มีวันแตกสลายแต่ยังสามารถรับรู้สิ่งรอบกาย มันคือคุกขังวิญญาณนั่นแหละ”

“แล้ว... ท่านเคยผิดสัญญารึเปล่า”

“เคย”

“หา! แล้วท่านผ่านมาได้ไงเนี่ย?”

“ข้าก็กลายเป็นรูปปั้นตากแดดตากฝนอยู่ในป่าสักสิบยี่สิบปีล่ะมั้ง จากนั้นก็มีพวกมนุษย์มาสร้างวิหารให้ อยู่ในวิหารได้สักห้าสิบปีก็ถูกขโมยออกไปเจียรไน แต่เจียไม่สำเร็จเลยถูกขายไปตั้งเป็นของประดับอยู่ในคฤหาสน์ของพวกมีอันจะกิน รู้สึกจะขยับได้ตอนครบร้อยปีน่ะนะ พวกนั้นตกใจกันใหญ่ คงไม่คิดว่ารูปสลักจะมีชีวิตขึ้นมาล่ะมั้งนะ”

“ใครๆ ก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ” คาริกว่า โอเรนพยักหน้าเห็นด้วย ขณะกำลังพากันจินตนาการว่าชีวิตร้อยปีที่กลายเป็นรูปสลักแบบนั้นจะเป็นอย่างไร ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ไอดิเอลจึงก้าวเท้านำออกไป แล้วทั้งสองก็ต้องพบกับความน่าตื่นตะลึงอีกครั้ง

ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าคือห้องโถงผนังโค้งที่มีเพดานสูงจนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ที่ด้านซ้ายและขวามีรูปหล่อโลหะขนาดมหึมาเรียงกันอยู่ แต่ละตัวนั่งอยู่บนบัลลังก์ แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างนักรบ และสวมมงกุฎอย่างกษัตริย์ มีบ้างเป็นบุรุษ บ้างเป็นสตรี เมื่อประกอบกับเพดานที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนั้นแล้ว ก็ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ราวกับคนที่ก้าวออกมาจากลิฟต์เป็นแค่มดแมลงตัวเล็กๆ เท่านั้น

“ว้าว...” โอเรนครางออกมา “รูปปั้นพวกนี้ใหญ่มาก มันเป็นรูปของใครหรือ”

“มันเรียกว่ารูปหล่อน่ะ เพราะหล่อมาจากโลหะ” ไอดิเอลช่วยแก้ให้ “ทั้งหมดคือรูปปฐมกษัตริย์ของทั้งหกอาณาจักร”

“หืม ปฐมกษัตริย์ของทั้งหกอาณาจักรหรือ?” คาริกทวนคำ “แล้วทำไมถึงมีเจ็ดตัวล่ะ”

“ปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรประจิมขึ้นครองราชย์พร้อมกันน่ะ” จอมเวทพูดพลางพาทั้งคู่เดินเข้าไประหว่างรูปปั้นทั้งเจ็ดตัวที่ตั้งขนาบสองฝั่งผนัง “ขวามือนั่น เจ้าจะเห็นว่าทั้งสองพระองค์นั่งอยู่บนบัลลังก์เดียวกัน ทรงเป็นพี่น้องกันน่ะ”

คาริกผงกศีรษะ “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่ามีการครองราชย์พร้อมกันได้ด้วย”

“ก็เฉพาะรัชสมัยของทั้งสองพระองค์น่ะนะ ทรงเป็นพี่น้องที่รักกันมาก ฝ่าฟันตั้งอาณาจักรมาด้วยกันน่ะ”

“ท่านอยู่ด้วยสินะ”

“ก็พอได้ข่าวอยู่ ช่วงนั้นข้าเดินทางไปเรื่อยน่ะ”

“แล้วผู้หญิงล่ะ” โอเรนว่า “มีกษัตริย์ที่เป็นผู้หญิงด้วยหรือ?”

“มี ราชินีจูเวนิสที่หนึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพายัพ อาณาจักรนี้มีกษัตริย์เป็นสตรีอยู่หลายคนนะ เป็นอาณาจักรที่ผู้หญิงแข็งแกร่งมาก”

“ท่านนี่รู้ทุกเรื่องจริงๆ” โอเรนชม คาริกถามขึ้นต่อ

“ว่าแต่ทำไมรูปหล่อของกษัตริย์ทั้งหกอาณาจักรถึงมาตั้งอยู่ที่นี่ล่ะ ข้าเข้าใจว่าที่นี่เป็นที่ของจอมเวทอย่างพวกท่านเสียอีก”

“ข้ากับฟัยรุซาตกลงให้ใส่ไว้เองแหละ เพื่อเน้นย้ำให้มนุษย์เห็นว่าพวกเรายกย่องและมีความนอบน้อมต่อพวกเขาน่ะ”

คาริกเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ท่านเป็นคนเสนอหรือ? ข้าคิดว่าท่านไม่สนใจกษัตริย์มนุษย์เสียอีก ขนาดเจ้าชายท่านยังไล่กลับไปเลยนี่นา”

“มันเป็นเรื่องการสร้างความไว้วางใจน่ะ” ไอดิเอลว่า “ช่วงปลายของอาณาจักรเก่า จักรวรรดิมนุษย์พัฒนาจักรกลที่ผสานกับเวทมนตร์ได้สำเร็จ จอมเวทจึงไม่จำเป็นต่อการทำสงครามกับมังกรอีก จักรวรรดิเลยกวาดล้างพวกเราไปพร้อมกับมังกรน่ะ ดีที่เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นเสียก่อน แต่ก็อย่างที่เจ้าเห็น พวกเราเหลือกันมาแค่สิบหกคน ไม่นับกราวิสน่ะนะ เพราะเขาไม่ใช่จอมเวท พอมนุษย์เริ่มสร้างอาณาจักรใหม่ก็เกิดระแวงพวกเราขึ้นมา เพราะเวทมนตร์ของจอมเวทถือเป็นปาฏิหาริย์ของมนุษย์ มันก็ไม่แปลกหรอกนะที่จะมีมนุษย์ให้การนับถือพวกเรา ดังนั้นเพื่อไม่ให้ถูกกวาดล้างอีก พวกเราจึงสร้างที่นี่ขึ้นโดยให้ทั้งหกอาณาจักรมีส่วนร่วม และสร้างรูปหล่อของพวกเขาเอาไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรายอมอยู่ใต้อำนาจน่ะ”

“อา...” คาริกส่งเสียงครางในลำคออย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ โอเรนจึงพูดขึ้น

“อาณาจักรมนุษย์นี่น่ากลัวจังเลยแฮะ เจ้าชายบัลดริกซ์จะเป็นคนร้ายกาจแบบนี้ด้วยรึเปล่า แต่ข้าไม่รู้สึกว่าเขาจะเป็นคนเลวร้ายอย่างนั้นเลยนะ”

ยังไม่ทันทีคาริกหรือไอดิเอลจะตอบอะไร เสียงกังวานสดใสของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลัง

“พวกเจ้ารู้จักเจ้าชายบัลดริกซ์ด้วยหรือ?”

พอหันไปก็เห็นสตรีนางหนึ่ง ผมลอนสีชมพูแซมดำสลวย ดวงตาสีเขียวอ่อนเหมือนเพริดอท สวมเสื้อผ่าหน้ารัดรูปสีขาว ขับเน้นให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของอิสตรี คลุมทับด้วยผ้าคลุมสีขาวที่บางราวปีกจักจั่น สวมรัดเกล้าที่ทำจากทองคำประดับศิลาธาตุ และถือไม้เท้าสีขาวที่ประดิษฐ์อย่างวิจิตร คาริกถึงกับอึ้งไปในบัดดล ขณะที่โอเรนครางออกมา

“ว้าว... สวยจังเลย สวยกว่าพวกสาวๆ ที่หาดสวรรค์อีก ท่านเป็นใครกันหรือ?”

สตรีนางนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับดอกไม้ในยามแรกแย้ม “เจ้าคงเป็นนูเบส โฟลิอุมที่นายกองแกเรียนเขียนมาในรายงานสินะ ข้าชื่อเวโรนิกา เป็นเพื่อนกับท่านไอดิเอล”

คาริกถึงกับโพล่งออกมา “เพื่อน? ท่านไม่ใช่ภรรยาของไอดิเอลหรือ?”

“หืม?” เวโรนิกาหันไปมองเขา ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจกว่าเดิม “อา... นี่มันพวกลูบิดนี่นา” นางหันไปหาไอดิเอล “เขามากับท่านได้ไง?”

“ข้าคิดว่าในรายงานของนายกองแกเรียนน่าจะเขียนไว้แล้วนะ” ไอดิเอลว่า “อรุณสวัสดิ์เวโรนิกา เขาคือคนที่สังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตาตัวนั้นน่ะ”

เวโรนิกาอ้าปากค้าง นางหันกลับมามองคาริกอีกรอบ แล้วก็หันกลับไปมองไอดิเอล “อรุณสวัสดิ์... โอ้ ให้ตายเถอะ ข้าเห็นในรายงานแล้วว่าคนที่ช่วยท่านเป็นเด็กหนุ่มที่มาจากสมาคมคุ้มกัน ข้ายังประหลาดใจเลยที่เขารอดมาได้ ทำไมท่านไม่บอกข้าสักคำว่าเขาเป็นพวกลูบิด”

คาริกอ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ช้ากว่าไอดิเอลอยู่ดี

“ตอนนั้นข้าไม่พร้อมจะอธิบายหรอกนะ” ไอดิเอลว่า เวโรนิกาถอนหายใจเฮือก

“แล้วนี่ท่านพาเขามาที่นี่ทำไม อย่าบอกนะว่าเอามาเป็นตัวอย่างต่อจากเรื่องเมื่อเก้าสิบปีก่อน”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” ไอดิเอลตอบ “นี่เราไปคุยเรื่องนี้กันในสภาได้ไหม ข้าไม่อยากจะอธิบายซ้ำหลายรอบ”

อีกฝ่ายไม่เห็นคล้อยด้วย นางยังคงถามต่อ “ถ้าไม่ใช่เรื่องเมื่อเก้าสิบปีก่อน แล้วท่านพาเขามาที่นี่ทำไม... โอ ไอดิเอล ข้ามาที่นี่เพราะท่านนะ ใจคอจะทำเหมือนข้าเป็นคนอื่นไกลแบบนี้อีกแล้วหรือ ขนาดหนุ่มคนนี้ยังรู้เลยว่าข้าเคยเป็นภรรยาของท่านมาก่อน เอ๊ะ เดี๋ยวสิ แล้วเขารู้ได้ไง ท่านเล่าให้เขาฟังหรือ?”

คาริกคิดว่าเขาควรจะพูดอะไรบ้าง แต่ก็อ้าปากไม่ทันเช่นเคย

“ท่านเล่าเรื่องในอดีตของเราให้คนอื่นฟังได้ แต่พอข้าถามแล้วไม่ยอมตอบเนี่ยนะ ถ้าท่านไม่อธิบายมาตอนนี้ล่ะก็... ข้าจะโกรธท่านจริงๆ ด้วย”

“ข้าไม่ได้เล่า” ไอดิเอลพูดขึ้นมาในที่สุด แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อ เวโรนิกาก็สวนทันที

“ถ้าท่านไม่ได้เล่า แล้วเขารู้ได้ไงกัน”

คาริกคิดว่าตอนนี้เขาน่าจะกลายเป็นคนนอกวงไปเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนจอมเวทหญิงนางนี้จะไม่ยอมให้อดีตสามีบ่ายเบี่ยงไม่ตอบง่ายๆ

“เรื่องมันยาวมาก ถ้าข้าเล่า เจ้าก็ต้องถามต่ออยู่ดี”

“งั้นข้าก็จะถามอยู่นี่แหละ” เวโรนิกาว่า “มันอะไรท่านถึงจะต้องไปเล่าในสภาท่าเดียว นี่คุยกันนอกรอบไม่เป็นแล้วหรือไง”

“ก็ได้ๆ งั้นข้าจะเล่าคร่าวๆ แล้วกัน” ไอดิเอลรีบพูดขึ้น “เจ้าเด็กนี่ชื่อคาริก ข้าทำสัญญาศิลาแดงกับเขาเพราะอุบัติเหตุระหว่างต่อสู้กับอิกเน่ ลาเชอร์ตา เพราะงั้นตอนนี้เขาใช้ชีวิตเดียวกับข้า ส่วนเรื่องเจ้า เมื่อเช้าข้าเข้าไปตรวจดูบางอย่างในห้วงจิตของเขา เผอิญเขาพลัดหลงเข้ามาในห้วงจิตของข้า เห็นความทรงจำเกี่ยวกับเจ้า เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ”

“เดี๋ยวๆ” คราวนี้เวโรนิกายกมือห้ามบ้าง นางมองไอดิเอลสลับกับคาริกอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่ท่านทำสัญญากับพวกลูบิดหรือ?”

“ใช่ ถึงได้ต้องพาเขามาที่นี่ด้วยไงล่ะ ถ้าอยากจะหัวเราะล่ะก็ เชิญตามสบายเลยนะ” ไอดิเอลว่า “เมื่อวานทีมัวร์ก็หัวเราะท้องคัดท้องแข็งไปคนหนึ่งแล้ว”

“ข้าไม่ขำกับเรื่องนี้หรอกนะ” เวโรนิกาทำหน้ายุ่ง แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไรต่อ เสียงของใครอีกคนก็ดังขึ้น

“พวกเจ้ามายืนคุยอะไรกันตรงนี้ สรุปแล้วจะประชุมนอกรอบ หรือจะให้มีการบันทึกกันล่ะ หืม? ไอดิเอล”

ที่เดินเข้ามาเป็นสตรีผมทองสว่าง ดวงตาสีน้ำเงินใสดั่งไพลิน รูปร่างสูงโปร่ง สวมชุดยาวเข้ารูปสีน้ำเงินเคร่งขรึม น้ำเสียงของนางไม่แว่วหวานดั่งเวโรนิกา ฟังดูอ่อนโยน แต่ก็ทรงพลังไปในเวลาเดียวกัน เหมือนน้ำเสียงของมารดาที่มีกับบุตร ทั้งไอดิเอลและเวโรนิกาหันไปมองนางทันที ฝ่ายแรกทักขึ้นก่อน

“อรุณสวัสดิ์ ฟัยรุซา ที่จริงข้าก็อยากจะคุยนอกรอบนะ แต่คิดว่าเจ้าคงอยากให้สเตลลาบันทึกไว้น่ะ”

“ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเจ้าล่ะก็... คุยนอกรอบให้เสร็จก่อนก็ได้นะ”

“ท่านพี่คะ มันไม่เชิงเป็นเรื่องส่วนตัวหรอกค่ะ” เวโรนิกาว่า คาริกถึงกับอ้าปากเหวอแล้วโพล่งออกมา

“นี่พวกท่านเป็นพี่น้องกันหรือ?”

“ใช่” ฟัยรุซาผงกศีรษะ นางมองมายังคาริกแล้วพูดต่อ “เจ้าคือพวกลูบิดที่ไอดิเอลพาเข้ามาสินะ ข้าได้รายงานแล้วว่าเจ้ากับเขาใช้ชีวิตเดียวกัน บอกตรงๆ ว่านี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายไปมาก”

นางเบนสายตาไปมองไอดิเอล เจ้าตัวถอนหายใจเฮือก “ถ้าผิดหวังก็พูดออกมาเถอะ ข้ารู้ว่าการกระทำของข้ามันเหมือนคนกลืนน้ำลายตัวเอง”

“เปล่า ข้าไม่ได้รู้สึกผิดหวัง สมเพชหรืออะไรเจ้าหรอกนะ” ฟัยรุซาว่า “ข้ากลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องน่ากังวล ไอดิเอล ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยเชื่อคำทำนาย ไม่เชื่อเรื่องชะตากรรม เจ้าเลือกและลิขิตชีวิตของเจ้าด้วยตัวเจ้าเอง แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าการพบกันของเจ้ากับเด็กคนนี้จะนำมาซึ่งเรื่องราวสำคัญบางอย่าง อย่าลืมสิว่าเขาเองก็ถือกำเนิดมาจากรากเหง้าเดียวกับกับเรา เวลาล่วงเลยไปกว่าพันปี เพิ่งมีเจ้าคนแรกที่ทำสัญญาใช้ชีวิตร่วมกันกับผู้ที่กำเนิดเนื่องมาจากศิลานะ”

“อา...” เวโรนิกาครางออกมา “เพราะอย่างนี้หรือ ตอนที่เราคุยกันวันนั้นท่านถึงพูดประโยคแปลกๆ นั่นออกมา เขาคือชะตากรรมที่เลี่ยงไม่ได้ของท่านสินะ”

ไอดิเอลได้แต่ผงกศีรษะ “ข้าก็ชักเริ่มรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไงข้าจะไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตาที่ว่านี้หรอกนะ”

“ท่านคงไม่ได้คิดไปถึงการทำลายศิลาแดงหรอกใช่ไหม” เวโรนิกาพูดขึ้นต่อ “ศิลานั่นเคยเป็นหัวใจของท่านมาก่อน สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในนั้นคือพลังชีวิตทั้งหมดของท่าน หากท่านทำลายมัน ทั้งชีวิตของท่านและเด็กคนนี้ก็จะดับสูญลงไปนะ”

“ที่จริงตอนแรกข้าก็คิดอยู่แว้บนึงน่ะนะ” ไอดิเอลว่า เวโรนิกามีสีหน้าขัดใจ ขณะที่ฟัยรุซาพูดขึ้น

“เอาล่ะ ข้าเห็นว่าพวกเจ้าน่าจะพูดกันอีกยาวนะ ถ้าเราไม่เข้าไปในสภาก็ไปหาที่นั่งคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะดีไหม”

“ไปคุยกันในสภาเถอะ” ไอดิเอลว่า “อย่างน้อยๆ เรื่องที่เกิดขึ้นที่แคนเดนส์ก็สมควรจะมีการบันทึกเอาไว้”

..................................


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ทางเขาสภาอยู่สุดทางเดิน ตลอดสองข้างทางนอกจากรูปหล่อขนาดมหึมาที่วางขนาบผนังแล้ว บนพื้นยังจัดวางไปด้วยโต๊ะยาวอย่างที่ใช้ในงานพบปะสังสรรค์ แต่ละโต๊ะจะถูกคั่นไว้ด้วยฉากที่ประดิษฐ์จากโลหะฉลุลายอย่างวิจิตร คาริกหันไปกระซิบถามไอดิเอลที่เดินอยู่ข้างๆ

“นี่ โต๊ะพวกนี้มีไว้ทำอะไรหรือ ข้าว่าเยอะพอจะให้คนนั่งได้เป็นร้อยเลยนะ”

“มีไว้สำหรับใช้จัดเลี้ยงมนุษย์ที่มาประชุมสภาน่ะ” ไอดิเอลว่า “แล้วก็ไว้รับรองผู้ติดตามด้วย”

“โห... แสดงว่าต้องมีคนมาเยอะมากน่ะสิ ทำไงดีล่ะ ข้าไม่เคยยืนพูดต่อคนเยอะแยะมาก่อนด้วย ว่าแต่เดี๋ยวข้าต้องขึ้นพูดรึเปล่า”

ไอดิเอลหัวเราะ “ฟัยรุซากับเวโรนิกาน่าจะสอบถามเรื่องกับเจ้า แต่ไม่ต้องกังวลหรอก การประชุมคราวนี้มีแค่พวกเราเท่านั้น”

“ใช่แล้วล่ะ” เวโรนิกาที่อยู่ถัดไปพูดขึ้นมา “ส่วนจะมีประชุมใหญ่รึเปล่า คงต้องดูว่าไอดิเอลสืบได้อะไรบ้าง”

“อ้อ...”

ประตูทางเข้าสภาเป็นประตูทรงโค้ง บานประตูมีแนวแสงไฟสีเรืองพาดเลื้อยเป็นลายเถา เหนือขึ้นไปมีตราจอมเวทเรียงกันอยู่สิบหกตรา แต่ละตราส่องแสงสีทองเรืองรองเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ด้านหลังประตูคือโถงประชุมทรงครึ่งวงกลม สองข้างคือที่นั่งเรียงเป็นชั้นสูงขึ้นไป ตรงกลางมีคอกพอดีคนสี่คนนั่ง เลยจากคอกตรงกลางคือเก้าอี้แบบบัลลังก์จำนวนสิบหกตัว แต่ละตัวมีตราจอมเวทประดับอยู่ ด้านหลังคือรูปหล่อเทพแห่งแสงและเทพีแห่งความมืดที่สูงตระหง่านง้ำขึ้นไปบนเพดานที่มองดูคล้ายท้องฟ้าในยามราตรี คาริกถึงกับรำพึงออกมา

“นี่มันกลางวันหรือกลางคืนกันแน่เนี่ย”

“กลางวันสิ” ไอดิเอลว่า “แต่ท้องฟ้าที่เจ้าเห็นเป็นภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี เหมือนกับห้องโถงรับรองข้างนอกนั่นแหละ ปกติถ้าเป็นการประชุมใหญ่ เราจะใช้ท้องฟ้าช่วงกลางวัน แต่นี่พวกเราประชุมกันเอง เลยเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าตอนกลางคืนน่ะ”

“ทำไมถึงต้องเป็นท้องฟ้าตอนกลางคืนล่ะ?”

“เพราะมันหมายถึงเทพีแห่งความมืด มารดาผู้ประทานเวทมนตร์ให้กับพวกเราน่ะสิ”

คนตอบไม่ใช่ไอดิเอล แต่เป็นทีมัวร์ เขานั่งอยู่บนนั่งร้านเล็กๆ ตรงมุมห้องด้านขวา ไอดิเอลถามขึ้นทันที

“เจ้าขึ้นไปทำอะไรบนนั้น?”

“อ๋อ ข้ารอพวกท่านอยู่นานแล้ว ยังไม่เห็นเข้ากันมาสักที เลยขึ้นมาดูแผงวงจรตรงนี้ เผื่อว่าจะปรับแก้อะไรน่ะ”

“เจ้ายังจะปรับแก้อะไรอีก” ฟัยรุซาว่า อีกฝ่ายตอบทันที

“ก็กำลังคิดอยู่นะ”

“งั้นเจ้าก็ลงมาเถอะ” นางว่า “ไม่ต้องปรับแก้อะไรทั้งนั้นแหละ”

“ก็ได้ๆ” ทีมัวร์ว่า แล้วไต่กระย่องกระแย่งลงมาจากนั่งร้าน ด้วยเสื้อและผ้าคลุมที่เขาสวม รวมถึงไม้เท้าที่ถือติดมือมาด้วย ทำให้ดูทุลักทุเลจนเหมือนจะร่วงมากกว่าจะลง

“เหวอ!”

คาริกขยับตัวตามสัญชาตญาณ แต่ยังช้ากว่าใครอีกคน ร่างนั้นพุ่งผ่านเขาไปเหมือนสายลม พริบตาที่ร่างของทีมัวร์กำลังจะหล่นลงพื้น ใครคนหนึ่งก็รับเขาไว้ได้ทัน

“ขอบใจ กราวิส” จอมเวทกล่าวพลางเหยียดตัวลงยืน แล้วจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ คนที่รับเขาเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบห้าปี มีผมสีขาวแซมเทา ผิวสีแทน สวมชุดยาวสีขาว ด้านหลังสะพายดาบคู่ เขาค้อมตัวให้ทีมัวร์เป็นเชิงทำความเคารพ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ไอดิเอลก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“เจ้าไปรับเขาทำไม นั่งร้านแค่นี้เอง ไม่ตายหรอก”

ทีมัวร์หันมาถลึงตาใส่ทันที “นี่ ใจคอท่านจะปล่อยให้ข้าตกลงมาจริงๆ หรือไง”

“ถ้าเจ้าสะเพร่ากับเลินเล่อขนาดนี้ ข้าเห็นว่าปล่อยให้ตกลงมาน่าจะเป็นบทเรียนที่เข้าท่านะ”

“ของมันพลาดกันได้น่า” ทีมัวร์ยังคงแก้ตัวต่อ “ข้าไม่ค่อยได้ใส่ชุดเต็มยศแบบนี้ ขยับได้ง่ายๆ เสียทีไหน”

“ถ้าเจ้ารู้แบบนั้นก็ไม่ควรจะปีนขึ้นไปบนนั่งร้านนั่นแต่แรก” เวโรนิกาว่า “ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ทำไม”

“ทำไมท่านพูดจาไร้เยื่อใยแบบนั้น” อีกฝ่ายโอดครวญ “ข้ามาในฐานะพยานฝ่ายพวกเรานะ ท่านไอดิเอลได้ให้ข้าทำการทดลองเกี่ยวกับเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารเมื่อคืนนี้ ว่ามนุษย์สามารถใช้มันเพื่อส่งสิ่งมีชีวิตได้ไหม อ่า... ข้าทำสำเนารายงานมาให้ท่านด้วยนะ”

พูดจบเขาก็เดินรี่เข้ามา คาริกจึงเห็นว่าเจ้าตัวสวมชุดยาวสีน้ำตาลเข้ม สวมผ้าคลุมสีน้ำตาลขลิบทอง ทั้งยังสวมเครื่องประดับอย่างจอมเวท และถือไม้เท้าที่ทำจากโลหะอีกอันหนึ่ง ได้ยินเสียงโอเรนทักขึ้นทันที

“ว้าว วันนี้ท่านแต่งตัวเหมือนจอมเวทเลย”

คนถูกทักชะงักกึก ก่อนจะหัวเราะขวยๆ “ปกติข้าก็เป็นจอมเวทอยู่แล้วนะ”

เขาล้วงซองเอกสารจากในอกเสื้อ ยื่นให้เวโรนิกา ตอนนี้คาริกถึงเพิ่งได้มองคนที่เดินตามมาด้านหลัง พลางนึกประหลาดใจว่าทำไมถึงไม่ทันได้สังเกตทั้งที่ฝ่ายนั้นก็ออกจะมีร่างกายสูงใหญ่ และมีลักษณะโดดเด่นเสียขนาดนี้ เหมือนกราวิสจะรู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ จึงหันมายิ้มให้

“ไง เรื่องที่แคนเดนส์น่ะ ขอบใจนะ ถ้าไม่มีเจ้า นายกองแกเรียนอาจจะเหลือแต่ชื่อก็ได้”

“อา... ท่านรู้จักกับเขาหรือ?”

อีกฝ่ายผงกศีรษะ “เขาเคยเป็นนักเรียนของข้า เป็นเด็กที่มีน้ำใจและกล้าหาญทีเดียว”

คาริกรู้สึกแปลกๆ กับคำว่าเด็กของฝ่ายนั้น ขณะที่ไอดิเอลหันมามองพวกเขา

“พวกเจ้ารู้จักกันแล้วรึ?”

“ยังไม่ได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการหรอกครับ” ฝ่ายที่ตอบคือกราวิส “ข้ายืนฟังพวกท่านคุยกันเมื่อตะกี้น่ะ”

“อ้อ นั่นสินะ ข้าเองก็ลืมไปเสียสนิท” ไอดิเอลว่า แล้วบุ้ยหน้าไปยังชายหนุ่มและมังกรที่เกาะอยู่บนศีรษะ “เจ้าเด็กนี่ชื่อคาริก อายุสิบแปด เขารู้จักกับนายกองแกเรียน ข้าคิดว่านะ... ส่วนที่อยู่บนศีรษะของเขาคือนูเบส โฟลิอุม เขามีชื่อว่าโอเรน ข้าแนะนำเจ้าให้พวกเขาฟังคร่าวๆ แล้ว... เออ ดาบนี่เหลาจากเขาของแมกนิส คอร์นิบัสน่ะ ช่วยดูให้หน่อยสิว่าพอจะใช้ได้ไหม ถ้าต้องหาใหม่ก็ช่วยแนะนำหน่อยแล้วกัน ข้าน่ะไม่ค่อยได้ยุ่งเรื่องอาวุธใหม่ๆ มานานแล้ว”

กราวิสผงกศีรษะ “ได้ครับ ข้าจะดูให้ อาจจะเป็นช่วงหลังจากประชุมเสร็จแล้ว”

“ใช่แล้วล่ะ” ฟัยรุซาพูดขึ้นมา “ตอนนี้เรากำลังอยู่ในห้องประชุมอันศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยๆ ก่อนจะคุยกันเรื่องอื่น เจ้าควรจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อน”

“ก็ได้ๆ” ไอดิเอลยกมือขึ้นโบก เขาหันไปหาคาริก “งั้นเจ้าไปนั่งกับกราวิส เขาจะได้อธิบายอะไรๆ ให้เจ้าฟัง ระหว่างที่ข้าเสนอรายงานต่อสภาอันศักดิ์สิทธิ์นี่”

คาริกมีสีหน้าเลิกลั่กเล็กน้อย ขณะที่เวโรนิกาพูดขึ้น “จะมีการสอบถามพวกเจ้าในฐานะพยาน ในเมื่อไอดิเอลมีภาระ ก็ให้กราวิสช่วยพวกเจ้าเถอะ”

คาริกพยักหน้า กราวิสจึงเดินนำเขาไปยังที่นั่งซึ่งอยู่ด้านขวามือ ส่วนไอดิเอลเดินไปยืนในคอกตรงกลาง เวโรนิกา ทีมัวร์ ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ประจำตัว ฟัยรุซานั่งบัลลังก์ตัวหน้าสุด กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวานน่าเกรงขาม

“เปิดการประชุมย่อยสภากลาง ครั้งที่สิบเจ็ดของปี ฉ.ศ. หนึ่งพัน (ฉศักราช=ปีแห่งหก จำนวนปีตั้งแต่ก่อตั้งหกอาณาจักร) เดือนหก วันที่สิบสี่ ข้า ครีซุส ฟัยรุซา เป็นประธานการประชุม สมาชิกผู้เข้าประชุมโปรดขานชื่อตามลำดับ”

กราวิสหันมากระซิบกับคาริก “พวกเจ้าขานชื่อต่อจากข้านะ เจ้าขานก่อนคาริก ให้แจ้งต่อสภาว่าเจ้าคือคาริก ผู้ใช้ชีวิตเดียวกับคานุส ไอดิเอล และเป็นพยานในหัวข้อการประชุม ส่วนเจ้านะ มังกรน้อย ให้ขานชื่อของเจ้าตามด้วยเผ่าพันธุ์ แล้วตามด้วยพยานให้หัวข้อการประชุมเหมือนกัน เข้าใจนะ”

ทั้งสองคนพยักหน้า ขณะที่ไอดิเอลซึ่งยืนอยู่ในคอกขานชื่อเป็นคนแรก

“ข้า คานุส ไอดิเอล สมาชิกสภาลำดับสอง เป็นผู้เสนอหัวข้อการประชุม”

“ข้า โรเซอุส เวโรนิกา สมาชิกสภาลำดับห้า จอมเวทประจำราชสำนักหรดี ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหัวข้อการประชุม”

“ข้า อัมบรินุส ทีมัวร์ สมาชิกสภาลำดับแปด ทำหน้าที่เลขานุการสภา และเป็นผู้เกี่ยวข้องกับหัวข้อของการประชุม”

“ข้า กราวิส ผู้ใช้ชีวิตเดียวกับโรเซอุส เวโรนิกา มาในฐานะผู้ติดตามและผู้เกี่ยวข้องรองกับหัวข้อการประชุม”

คาริกรู้สึกเกร็งเล็กน้อย เขากลั้นใจพูดออกไป “ข้า คาริก ผู้ใช้ชีวิตเดียวกับ เอ่อ... คานุส ไอดิเอล แล้วก็... อ้อ เป็นพยานในหัวข้อการประชุมน่ะ”

“ส่วนข้าชื่อโอเรน นูเบส โฟลิอุมรายแรกที่มาที่นี่ ข้าเป็นพยานในหัวข้อการประชุมเหมือนกัน”

โอเรนพูดคล่องปร๋อจนคาริกที่รู้สึกว่าตัวเองตะกุกตะกักจนน่าอายยังอดรู้สึกนับถือไม่ได้ เขาหันไปกระซิบกับเจ้ามังกร

“นี่เจ้าพูดคล่องจังนะ”

“อ๋อ แน่นอนสิ พูดสั้นๆ เอง” อีกฝ่ายว่า “ข้ายังพูดได้ยาวกว่านี้อีกนะ”

ไอดิเอลส่งเสียงขึ้นต่อ “หัวข้อที่ข้าจะยกขึ้นมาประชุม คือการโจมตีที่เกิดขึ้นที่เมืองแคนเดนส์ อาณาจักรหรดี” เขาหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมาจากอกเสื้อ “เหตุเกิดวันที่สามเดือนหก ฉ.ศ. หนึ่งพัน ข้าได้รับแจ้งจากโรเซอุส เวโรนิกาภายในวันเดียวกัน ใช้เวลาเดินทางจากทริโกเนียไปถึงที่เกิดเหตุวันที่ห้าเดือนหก พบ...”

บันทึกที่ไอดิเอลรายงานต่อสภานั้นละเอียดเสียจนคาริกยังทึ่ง บรรยายกระทั่งสภาพบ้านเมือง ถนน จำนวนประชาชนและทหารที่ได้รับบาดเจ็บ มาตรการที่ใช้ และยังกล่าวถึงเขาไว้อย่างโดดเด่นจนชายหนุ่มรู้สึกเขิน หลังจากรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมถึงรายละเอียดที่ได้จากการอ่านความทรงจำของโอเรน เวโรนิกาก็เรียกตัวเขาและโอเรนเพื่อซักถามรายละเอียดปลีกย่อย ก่อนจะหันไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องการทดลองกับทีมัวร์

“ที่จริงแล้วในความเห็นของข้านะ มนุษย์น่ะทำเรื่องนี้ได้ไม่ยากหรอก” นางพูดขึ้นหลังจากสอบถามจนเป็นที่พอใจแล้ว “เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ข้าเพิ่งทดลองให้นักเรียนเวทในโรงเรียนของอาณาจักร ทดลงใช้วงแหวนเวทย้ายมิติ เคลื่อนย้ายม้าสามตัวไปยังโรงเรียนสาขาที่อยู่ห่างออกไปประมาณร้อยเส้น แล้วก็ให้ทางนั้นส่งกลับมา ผลคือพวกเขาสามารถส่งม้าไปและกลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งสามตัว ในการส่งม้าแต่ละตัวใช้นักเรียนเวทประมาณห้าคนต่อครั้ง รวมแล้วใช้นักเรียนเวทประมาณสามสิบคน เพราะงั้นถ้าคิดจะส่งอิกเน่ ลาเชอร์ตาไปที่แคนเดนส์ล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารก็ทำได้เช่นกัน”

“นี่เจ้าสอนมนุษย์ให้ใช้เวทเคลื่อนย้ายมวลสารแล้วหรือ” ไอดิเอลถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “อาณาจักรอื่นรู้แล้วหรือยัง?”

“เรื่องนี้ผ่านการประชุมของสภากลางตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว” เวโรนิกาว่า “ข้าเป็นคนเสนอเอง เพราะฝ่าบาทเห็นว่าต้องมีมาตรการรับมือกับการแผ่ขยายอำนาจของอาณาจักรประจิม ที่จริงแล้วแต่ละอาณาจักรก็มีความต้องการจะทำเรื่องนี้กันอยู่แล้ว ส่วนการพัฒนาความสามารถอาจจะต้องดูถึงศักยภาพและจำนวนนักเวทที่อาณาจักรนั้นๆ มีน่ะ”

“ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”

“ก็ท่านไม่ได้เข้าร่วมประชุม” เวโรนิกาว่า “ข้าแนะนำว่าครั้งหน้าท่านควรเข้าร่วมประชุมตามคำเชิญบ้าง”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก ฟัยรุซาจึงพูดตัดบท

“สรุปคือคนที่ทำเรื่องในคราวนี้อาจเป็นได้ทั้งจอมเวทและมนุษย์ แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์อย่างแน่นอน พวกเราคงหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ ข้าจะแจ้งให้จอมเวทที่ประจำอยู่ที่อาณาจักรต่างๆ ส่งรายงานเกี่ยวกับสถานะของกลุ่มผู้ใช้เวทและผู้เกี่ยวข้องเข้ามาที่สภากลาง จะได้ใช้เป็นฐานข้อมูลในการตรวจสอบ มีใครมีคำถามหรือเรื่องอะไรจะเสนออีกไหม?”

“เรื่องนี้จะต้องรายงานให้อาณาจักรอื่นรับทราบอย่างเป็นทางการด้วยรึเปล่า” ไอดิเอลถามขึ้น เวโรนิการีบพูดตอบ

“ข้าเห็นว่ายังไม่จำเป็น เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในอาณาจักรหรดี มันควรจะเป็นเรื่องภายในมากกว่า”

“ข้าเห็นด้วยตามนั้น” ฟัยรุซาว่า นางถามขึ้นอีก

“ยังมีใครมีความเห็นอะไรอีกไหม”

“....”

“ในเมื่อไม่มีใครมีคำถามหรือข้อเสนออะไรแล้ว ข้าขอปิดการประชุม”

นางยกค้อนไม้ทุบลงบนแท่น เป็นสัญญาณเลิกการประชุม ไอดิเอลพูดขึ้นต่อหลังจากนั้น

“ข้าติดใจเรื่องมนุษย์ที่ชื่อวัลคอตอยู่นะ คิดว่าคงจะเดินทางขึ้นเหนือไปที่อาณาจักรอุดร หลังเสร็จธุระเรื่องโอเรนแล้ว โอเบรอนยังประจำอยู่ที่นั่นใช่ไหม”

“อืม” ฟัยรุซาพยักหน้า “เขายังอยู่ที่นั่น เจ้าไปอาณาจักรอุดรครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ก่อนหรือหลังไปสืบเรื่องพวกลูบิ”

“หลังสิ” ไอดิเอลว่า “นอกจากอาณาจักรบูรพา ที่อื่นเขายังยินดีต้อนรับข้าอยู่นะ ข้าไปครั้งล่าสุดเมื่อประมาณเจ็ดปีก่อน ไปล่าปิศาจหิมะน่ะ”

“ว้าว ปิศาจหิมะ” ทีมัวร์ร้องขึ้นมา “มันมีจริงๆ หรือ?”

“ไม่มีหรอก” ไอดิเอลว่า “มันคือสัตว์ระดับห้าที่มีความสามารถในการควบคุมน้ำแข็งน่ะ แต่ตัวมันเล็กเลยสร้างภาพลวงตามาเพื่อขู่เหยื่อกับศัตรู มนุษย์ไปเจอก็เลยกลายเป็นเรื่องผีๆ สางๆ ไป ข้าส่งบันทึกเรื่องของเจ้าตัวนี่ไปให้โอเบรอนแล้ว รู้สึกตอนนี้น่าจะถูกบรรจุเป็นสัตว์ประจำถิ่นของอาณาจักรอุดรไปเรียบร้อยแล้วนะ”

ทีมัวร์มีสีหน้าผิดหวัง “อย่างนั้นหรือ ข้าคิดว่าปิศาจมีอยู่จริงเสียอีก”

“มันอาจจะมีอยู่จริงก็ได้” ไอดิเอลพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เขานิ่งไปอึดใจจึงพูดขึ้นต่อ “จำเรื่องนูบิลุสได้ไหม?”

“ที่เคยมีจารึกไว้ในวิหารสินะ” เวโรนิกาว่า “ทำไมท่านถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ ปกติท่านไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลยนี่นา”

“ข้าคิดว่าข้าเห็นมันน่ะ”

“หา ท่านเห็นสิ่งมีชีวิตในตำนานนั่นหรือ” ทีมัวร์ร้องขึ้น “ที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไมท่านถึงไม่เล่าให้ข้าฟังเมื่อวานเนี่ย นี่มันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการที่มีอิกเน่ ลาเชอร์ตาหลุดไปเพ่นพ่านที่อาณาจักรหรดีอีกนะ”

“ทีมัวร์” ฟัยรุซาส่งเสียงเป็นเชิงปราม “นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ”

คนถูกปรามทำหน้าหงอยไปเล็กน้อย ฟัยรุซาหันไปหาไอดิเอล “เจ้าเห็นมันที่ไหน?”

“ในนิมิต” ไอดิเอลตอบ “ตอนข้านอนกับคาริกครั้งแรก ข้าเห็นมันในนิมิตของเขา”

“ในนิมิตของพวกลูบิดงั้นหรือ” เวโรนิกาคราง “ท่านแน่ใจนะว่าเป็นมันน่ะ”

“ข้าแน่ใจ พลังงานของมันเป็นรูปแบบที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งมันยังแสดงรูปร่างตรงกับที่มีการบันทึกเอาไว้ และมันยังกล่าวถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นคืนชีพด้วย” เขาพลิกหน้าสมุดบันทึกในมือ ก่อนจะอ่านข้อความในนั้น

“จงมาร่วมกับข้า บุตรผู้เกิดจากศิลาแห่งชีวิต ในฐานะผู้ถือกำเนิดพร้อมกันกับโลกใบนี้ และบุตรแห่งพระมารดา อีกไม่นานข้าจะตื่นขึ้นและนำทัพแห่งความมืดเข้าทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เทพแห่งแสงได้สร้างไว้ แสงสว่างจะต้องล่าถอยไป แผ่นดินจะกลับมาสู่ความมืดมิดอีกครั้ง...”

“เมื่อสายเลือดแห่งศิลาไหลมาบรรจบ ทำนบที่กักขังบุตรแห่งความมืดจักพังทลาย ราชาแห่งหายนะจะหวนคืนสู่แผ่นดินอีกครา ในย่ำรุ่งอันไร้ซึ่งแสงอุษา ทัพแห่งตรีดาราจักกรีฑาย่ำปฐพี”

ถ้อยคำที่เวโรนิกากล่าวออกมาทำให้คาริกขนลุกซู่ เขาได้ยินนางกล่าวขึ้นต่อ “นี่คือคำทำนายส่วนหนึ่งที่จารึกในวิหาร... โอ ไอดิเอล พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่ถือกำเนิดจากศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาล ส่วนเขาคือมนุษย์ที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของพลังแห่งศิลาในอีกพันกว่าปีให้หลัง หากการที่เขาได้มาใช้ชีวิตเดียวกับท่านคือปฐมบทของคำทำนายล่ะก็...”

“อา... นี่เองสินะคือสิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกเป็นกังวล” ฟัยรุซาว่า

“มันคือคำทำนายเกี่ยวกับอะไรน่ะ” คาริกหันไปกระซิบถามกราวิส อีกฝ่ายสั่นศีรษะ คนที่ตอบคำถามของเขาคือฟัยรุซา

“มันคือคำทำนายวันสิ้นสูญแห่งมวลมนุษยชาติ เป็นคำทำนายที่เคยจารึกเอาไว้ในวิหารแห่งรัตติกาลเมื่อราวพันกว่าปีก่อน ที่เจ้าได้ยินไปเป็นคำทำนายส่วนแรกเท่านั้น”

“ยังมีต่ออีกหรือ”

“ใช่แล้ว” อีกฝ่ายผงกศีรษะ “คำทำนายส่วนที่สองกล่าวว่า... แผ่นดินจักเกิดวิปริต อากาศจักเป็นพิษ โรคระบาดจะแพร่กระจาย ทุกหนแห่งที่แสงตะวันไม่อาจสาดถึงจะกลายเป็นแหล่งรวมความหายนะ”

“อา...”

“แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ในท่อนนี้หรอก” นางกล่าวต่อ “เมื่อครบราตรีที่เจ็ด โลกจักร้างจากมนุษย์ ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล ในวันที่แปด แสงอุษาแรกจักสาดส่องพื้นปฐพี ราตรีจักกลับคืนสู่ปกติวิสัย สรรพสิ่งจักหวนคืนสู่จุดเดิมที่เริ่มมา”

“....”

“ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยออกจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล” ไอดิเอลทวนคำ “นี่สินะประเด็นสำคัญ”

“อืม” ฟัยรุซาผงกศีรษะ แล้วทวนประโยคนั้นอีกครั้ง “ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยออกจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล”

“เอ่อ... ขอข้าแทรกหน่อยนะ” คาริกว่า “พวกท่านทวนวรรคนี้ซ้ำกัน มันหมายความว่ายังไงน่ะ ยังมีเจ้าตัวที่น่ากลัวยิ่งกว่าที่ข้าเห็นในฝันนั้นถูกขังอยู่อีกหรือ หากมันฟื้นคืนชีพขึ้นมาจะปล่อยพวกนั้นออกมาใช่ไหม?”

“ที่จริงแล้วข้าก็เข้าใจอย่างนั้นมาโดยตลอดนะ” ทีมัวร์ว่า “จนกระทั่งท่านไอดิเอลเล่าเรื่องนิมิตนี่แหละ”

“ทำไมล่ะ?”

คนถูกถามกะพริบตาปริบๆ เขาหันไปมองไอดิเอล ฝ่ายนั้นจึงพูดขึ้นต่อ “ข้าคิดว่าผู้ที่ถูกคุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล ไม่ใช่ปิศาจหรือสัตว์ประหลาดอะไรที่ไหนหรอก น่าจะหมายถึงพวกเราเหล่าจอมเวทนี่แหละ”

“หา!?”

“ใช่แล้วล่ะ” ฟัยรุซาว่า “พวกเราคือผู้ถือกำเนิดจากศิลาแห่งบรรพกาล มีชีวิตอยู่ในร่างอันมีอายุขัยเกือบเป็นอนันต์ โดยโทษทัณฑ์ที่ไม่อาจรักษารากฐานแห่งมารดรเอาไว้ได้ หากจะกล่าวว่าร่างนี้คือที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์ ข้าคิดว่าคงไม่ผิดไปนักหรอก”

“ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล” คาริกทวนประโยคนั้นอีกครั้ง ก่อนจะโพล่งออกมา “หมายความว่าพวกท่านจะเข้าร่วมกับกองทัพตรีดารานั่นเพื่อทำลายล้างมนุษย์งั้นหรือ!?”

“เพื่อที่จะได้รับการปลดปล่อยจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาลต่างหาก” ไอดิเอลว่า “เจ้าไม่เข้าใจความหมายหรือไง”

“แล้วมันไม่ได้หมายถึงการทำลายล้างมนุษย์ตรงไหนล่ะ” อีกฝ่ายยังคงเถียง ไอดิเอลสั่นศีรษะพลางถอนหายใจ

“ฟังข้าให้ดีนะ หากบุตรแห่งความมืดตื่นขึ้นมา มนุษย์จะต้องถูกทำลายล้างอยู่ดี ไม่ว่าพวกเราจะเข้าร่วมหรือไม่ก็ตาม”

“แต่ท่านจะไม่เข้าร่วมใช่ไหม? ข้าหมายถึง พวกเราจะไม่เข้าร่วม... มันต้องมีวิธีที่จะหยุดการคืนชีพนี้สิ” คาริกว่า “มันเป็นแค่คำทำนายเท่านั้น บางทีมันอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้”

แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจของชายหนุ่มกลับสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวจากก้นบึ้ง เขาพูดขึ้นต่อโดยไม่อาจระงับ

“ข้าไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อมองดูเพื่อนมนุษย์ด้วยกันถูกทำลายล้างไปหรอกนะ”

“นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้ามีชีวิตอันเป็นนิรันดร์” ไอดิเอลว่า “เจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงการสูญเสีย ทุกสิ่งที่เจ้ารัก ทุกคนที่เจ้ารู้จัก จะต้องถูกความตายพรากจากไป”

“นั่นข้ารู้” ชายหนุ่มว่า “แต่ไม่ใช่แบบนี้สิ ไม่ใช่เพราะข้าเป็นต้นเหตุ ในฐานะที่ข้าใช้ชีวิตเดียวกับท่านนะ ข้าขอประกาศเลยว่าข้าจะไม่เข้าร่วม ถ้าข้าเป็นคนปลุกมันขึ้นมา ข้าก็จะขอสู้กับมันจนตัวตาย”

เวโรนิกากับฟัยรุซาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ทีมัวร์หัวเราะออกมา “ดูท่าทางท่านจะลำบากซะล่ะนะ ท่านไอดิเอล”

คนถูกกล่าวถึงยักไหล่ ขณะที่ฟัยรุซาพูดขึ้นมา “อย่างนี้เองสินะ... นูบิลุสจึงปรากฏในนิมิตของเจ้าหนุ่มนั่น น่าสนใจทีเดียว”

“แบบนี้ชะตากรรมของมนุษย์อาจจะไม่สิ้นสุดเสียทีเดียวก็ได้” เวโรนิกาว่า “ข้าคิดว่าเราควรจะปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่างน้อยๆ ก็เพื่อไม่ให้ทั้งหกอาณาจักรพุ่งเป้าหมายมาที่พวกเขาทั้งสองคน”

“ข้าเห็นด้วยนะ” ทีมัวร์ว่า “ถึงข้าไม่ใช่โอเลกซ์ แต่ก็พอจะเห็นอยู่หรอกว่าเวลาที่มนุษย์พยายามต่อต้านคำทำนาย มักจะทำให้ผลปรากฏเป็นจริงทุกที”

“เพื่อให้เป็นผลดีต่อพวกเราทั้งหมด” ฟัยรุซาว่า “ข้าเห็นด้วยที่ควรจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เราไม่รู้ว่าคำทำนายมีโอกาสเป็นจริงแค่ไหน แต่กันไว้อย่างที่เวโรนิกาว่าจะดีกว่า”

“แล้วถ้าบุตรแห่งความมืดคืนชีพขึ้นมาจริงๆ ล่ะ” ทีมัวร์ว่า “พวกเราควรจะอยู่ฝั่งไหน แต่ข้าไม่อยากเห็นมนุษย์ถูกทำลายล้างเลยนะ อย่างน้อยๆ ก็พวกมนุษย์ที่กำลังฝึกงานอยู่กับข้าตอนนี้น่ะ

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก

“ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจหรอกนะว่าตัวเองจะเลือกอยู่ฝั่งไหน แต่ที่แน่ๆ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้สงครามใหญ่เกิดขึ้นอีก นั่นคือสิ่งเดียวที่ข้ายืนยันกับพวกเจ้าได้”

“แปลว่าท่านเลือกที่จะขัดขืนชะตากรรมอย่างนั้นสินะ” เวโรนิกาว่า ไอดิเอลผงกศีรษะ

“ใช่ ข้าบอกเจ้าแล้วไง ว่าข้าจะไม่งอมืองอเท้ารับชะตากรรมนี้เด็ดขาด”

“พวกมนุษย์ควรซาบซึ้งกับความตั้งใจของเจ้า” ฟัยรุซาว่า “แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่อาจเข้าถึงเจตนาอันดีนี้ของเจ้าได้ เหมือนกับเรื่องเมื่อเก้าสิบปีก่อน และเรื่องที่ผ่านๆ มา”

“ข้ารู้ ข้าไม่ได้ทำเพื่อให้พวกเขาซาบซึ้งหรอก” ไอดิเอลว่า “ข้าแค่ไม่ต้องการสงครามเท่านั้น หากบุตรแห่งความมืดจะคืนชีพขึ้นมาแล้วทำให้มนุษย์หายไปโดยไม่ต้องมีสงคราม ข้าจะไม่ขัดขวางอะไรเลย”

“ท่านช่วยขัดขวางหน่อยก็ดีนะ” คาริกร้องออกมา “อย่างน้อยข้าก็ไม่ยอมให้มันทำแบบนั้นแน่”

“เอาล่ะๆ” ฟัยรุซายกมือตัดบท “ไม่ว่าพวกเจ้าจะตกลงกันยังไง อย่าให้เรื่องนี้ล่วงไปถึงหูพวกมนุษย์เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเจ้านั่นแหละที่จะกลายเป็นศัตรูของพวกเขา”

“ข้ารู้น่า” ไอดิเอลพยักหน้า ก่อนที่คาริกจะพูดขึ้น

“แปลว่าพวกท่านจะไม่เข้าร่วมกับบุตรแห่งความมืดใช่ไหม?”

“นั่นขึ้นอยู่กับเจ้าและไอดิเอลแล้ว” ฟัยรุซาว่า “ข้าไม่อาจตัดสินใจแทนจอมเวททุกคนได้ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ แต่คนที่สามารถยับยั้งการคืนชีพของบุตรแห่งความมืดได้มีแต่พวกเจ้าสองคนเท่านั้น”

..............................................
(จบตอน)
 
:pig4: กราบสวยๆ สำหรับคนที่ยังตามอ่านเรื่องนี้อยู่ ฮ่าๆ เพราะมันโคตรนอกกระแส แถมพล็อตที่จริงๆ ควรจะ Pornมาก ดันกลายเป็นเรื่องหนักๆ ซะงั้น (ก็มีความสามารถทำอะไรแบบนี้ออกมาเนอะ :o8:) เรื่องนี้จะพยายามลงต่อเนื่องรายสัปดาห์ แต่ในความเป็นจริงก็เหมือนจะเป็นนิยายรายเดือนไปแล้ว :mew5: เพราะเวิร์ลเรื่องนี้มันใหญ่โตอลังการจริงๆ (ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำให้มันเยอะแยะเบอร์นี้) ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการติดตามนะคะ จะพยายามลงต่อเนื่องให้ได้ทุกสัปดาห์ค่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
รองราวมันซับซ้อนขนาดไหนน้อออ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่16 คนเย็นชาไร้อารมณ์


“ข้าไม่คิดเลยน้าว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้น่ะ” โอเรนพูดออกมาขณะที่ทั้งหมดทยอยเดินออกจากห้องประชุม คาริกผงกศีรษะเห็นด้วย

“คำทำนายนั่นน่ากลัวมาก ถ้ามันเกิดเป็นจริงขึ้นมาล่ะก็...”

“แต่ว่ามนุษย์เองก็ร้ายกาจน่าดูเหมือนกันนะ” เจ้ามังกรว่า “ที่จริงแล้วตะกี้ข้าก็แอบคิดว่าดีเหมือนกันถ้าพวกเขาจะหายไป”

“โธ่ เจ้าเกลียดมนุษย์ตั้งแต่ตอนไหนน่ะ ข้าก็เป็นมนุษย์นะ มาร์คัสก็ใช่ เจ้าชายบัลดริกซ์กับแบรนดอนก็ใช่นะ”

“เดี๋ยวนะ” เวโรนิกาที่อยู่ใกล้พอจะได้ยินพูดขึ้น “พวกเจ้ารู้จักเจ้าชายกับแบรนดอนได้ยังไง ข้าสงสัยมาตั้งแต่ตอนมาถึงที่นี่แล้ว ท่าทางพวกเจ้าเหมือนจะสนิทสนมกับพระองค์มากนะ”

“อ่า...” คาริกคราง เขาหันไปมองไอดิเอล เวโรนิกาจึงหันมองตาม แล้วพูดขึ้น

“เรื่องนี้เกี่ยวกับท่านสินะ”

ไอดิเอลจ้องนาง “ข้าบอกเจ้าก่อนนะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้าชาย เขาขอร้องให้ข้าเก็บเป็นความลับ”

“อ้อ... เจ้าชายพบท่านอย่างนั้นหรือ...” จอมเวทหญิงผงกศีรษะ “ถ้าเจ้าชายขอร้องท่าน ข้าก็จะไม่ถามอะไร ข้าแค่แปลกใจที่พวกเขารู้จักกับเจ้าชายเท่านั้น”

“คราวนี้ท่านเลิกราง่ายจังแฮะ” โอเรนพูดขึ้นมา “ก่อนหน้านี้ท่านยังไล่จี้ถามท่านไอดิเอลเรื่องคาริกอยู่เลย”

เวโรนิกาหันมายิ้ม “ถ้าเจ้าไม่ใช่มังกรที่เพิ่งออกจากไข่ได้ไม่กี่วัน ข้าคิดว่าพวกเราต้องมีเรื่องกันแน่ๆ”

“หง่ะ...”

ทีมัวร์หัวเราะชอบใจ “เจ้าไม่ต้องแปลกใจหรอกน่า เรื่องท่านไอดิเอลกับคาริกน่ะ เป็นใครก็ต้องอยากรู้ทั้งนั้นแหละ เขาเป็นคนที่ปฏิเสธการใช้ชีวิตร่วมกับใครมาโดยตลอด จู่ๆ ดันมีเด็กหนุ่มวัยรุ่นมาอยู่ด้วย คนที่ไม่อยากรู้สิแปลก”

“อย่างนั้นเองหรือ แล้วทำไมท่านไอดิเอลถึงปฏิเสธการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นล่ะ เขากับท่านเวโรนิกาก็เคยเป็นสามีภรรยากันไม่ใช่หรือ ท่านไอดิเอลบอกข้าว่าสามีภรรยาคือคู่ชายหญิงที่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันน่ะ”

ทีมัวร์เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “นี่ท่านไอดิเอลเล่าให้พวกเจ้าฟังขนาดนั้นเลยหรือ ไม่อยากเชื่อเลยนะเนี่ย”

“มันมีความจำเป็นจะต้องเล่าน่ะ” ไอดิเอลว่า เวโรนิกาพูดขึ้นต่อ

“ว่าแต่ท่านมีธุระอะไรอีกไหม ฝ่าบาททรงอยากพบท่านเพื่อตรัสถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และพระองค์ยังต้องการพระราชทานรางวัลให้กับคนที่จัดการปัญหานี้อีกด้วย ข้าเห็นว่าเหมาะสมมากที่ท่านกับคาริก รวมถึงโอเรนจะเดินทางไปอาเปสพร้อมกันกับพวกเราเลย”

“ยังก่อน” ไอดิเอลรีบปฏิเสธทันที “ข้ามีธุระต้องทำอีก สักสองสามวันจะไปเยี่ยมเจ้าและเข้าพบกับพระราชาที่อาเปสแล้วกัน”

“อ้อ...” นางไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจนัก “งั้นข้าจะทูลฝ่าบาทว่าท่านตกลงรับคำเชิญ แต่ยังไม่ระบุวัน ถ้าท่านจะไปเมื่อไหร่ก็บอกข้าล่วงหน้าแล้วกัน”

“ได้ ว่าแต่นี่เจ้าจะไปแล้วหรือ”

คนถูกถามพยักหน้า “ข้ายังมีงานต้องทำอีก อยู่นานไม่ได้หรอก ท่านมีอะไรรึเปล่า?”

“ข้าอยากให้กราวิสช่วยดูอาวุธให้คาริกหน่อยน่ะ”

“แค่นี้หรือ?”

ไอดิเอลยกมือเกาท้ายทอยอย่างที่ไม่คิดว่าจะเห็นคนแบบเขาทำ “ก็อยากจะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวด้วย ถ้ากราวิสไม่ว่าอะไรน่ะนะ”

“ข้าไม่ว่าอะไรหรอกครับ” คนถูกพาดพิงรีบออกตัว ก่อนจะหันไปหาคาริก “พวกเราไปนั่งคุยกันที่โต๊ะเถอะ ข้าจะได้ดูดาบของเจ้าสะดวกหน่อย”

คาริกหันไปมองไอดิเอล ฝ่ายนั้นพยักหน้า “เจ้าไปเถอะ อยากรู้อะไรเรื่องอาวุธก็ถามเขาแล้วกัน กราวิสน่ะเชี่ยวชาญเรื่องนี้มาก”

“อื้อ”

“งั้นข้าอยู่กับท่านไอดิเอลแล้วกันนะ” โอเรนพูดขึ้นมาและทำท่าจะกระโดดออกจากศีรษะของคาริก แต่ถูกชายหนุ่มใช้มือคว้าไว้

“ไม่ๆ เจ้าก็มากับข้านี่แหละ”

“ทำไมล่ะ ข้าไม่รู้เรื่องอาวุธสักหน่อย ไม่ต้องใช้ด้วย”

“ข้าบอกให้มาก็มาเถอะน่า” พูดจบเขาก็พาตัวโอเรนออกไป เลยเหลือจอมเวทยืนอยู่ด้วยกันสี่คน ฟัยรุซาส่งเสียงขึ้นก่อน

“ในเมื่อเสร็จธุระแล้ว ข้าก็ขอตัวล่ะนะ พวกเจ้าเองก็อย่ามีเรื่องกันอีกล่ะ”

“แหม... ท่านพี่คะ ข้าน่ะไม่ได้พบเขาตัวเป็นๆ มาเกือบร้อยปีแล้วนะคะ คงไม่มีเรื่องกันหรอกค่ะ”

ฟัยรุซาเลิกคิ้ว นางหันไปมองไอดิเอล อีกฝ่ายจึงรีบตอบ “ข้าเดินทางตลอด กับคนอื่นก็ไม่ค่อยได้เจอเหมือนกันล่ะน่า”

ได้ยินเสียงฟัยรุซาถอนหายใจ นางโบกมือเป็นเชิงไม่ใส่ใจ ก่อนจะเดินออกไป ทีมัวร์พูดขึ้นต่อ

“ในเมื่อพวกท่านไม่ได้เจอกันเกือบจะร้อยปีแล้ว ข้าก็ไม่ขออยู่เป็นก้างขวางคอล่ะนะ”

พูดจบเขาก็เดินออกไปอีกคน ไอดิเอลหันมามองเวโรนิกา “พวกเราไปที่ระเบียงกันเถอะ”

......................................

ระเบียงด้านนอกห้องรับรองทอดตัวเป็นแนวโค้งเกาะกำแพงหอคอยที่สูงจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากหมู่เมฆที่ถูกแสงยามสนธยาย้อมทาจนกลายเป็นสีแดงฉาน ไอดิเอลทอดตามองดูร่างของอดีตภรรยาที่เดินนำหน้าไป รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

“ข้าดีใจที่ได้พบเจ้านะ”

เวโรนิกาหันกลับมา คลี่ยิ้มท่ามกลางแสงสนธยา “เป็นคำทักทายที่ดีที่สุดที่ข้าอยากได้ยินจากปากท่านเลย คิดว่าท่านจะรำคาญที่ต้องตอบคำถามโน่นนี่ของข้าเสียอีก”

“ข้ารู้ว่าจะเจ้าจะต้องถาม เพียงแต่ข้าไม่อยากจะอธิบายซ้ำหลายรอบเท่านั้นเอง” ไอดิเอลว่า ก่อนจะรีบล้วงบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ “ข้ามีของมาฝากเจ้า ไม่ใช่ของมีราคาค่างวดอะไรนักหรอก”

“ท่านนี่ทำไมชอบพูดเหมือนคนอื่นคนไกลทุกที” นางว่า “ต่อให้สิ่งที่ท่านเอามาเป็นก้อนหินข้างทาง สำหรับข้าแล้วนั่นคือสิ่งที่มีค่านะ เพราะมันมาจากมือและความจริงใจของท่าน”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม พลางแกะกล่องออก “ข้ารับรองว่านี่ดีกว่าก้อนหินข้างทางแน่นอน ดูซิว่าเข้ากับเจ้ารึเปล่า”

เวโรนิกามองดูสร้อยคอศิลาจันทร์ในมือของเขา รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างกว่าเดิม “ข้าชอบนะ จะชอบมากถ้าท่านเป็นคนสวมให้ด้วย”

“ข้าก็ตั้งใจแบบนั้นอยู่แล้ว” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะปลดตัวล็อกสร้อยออก แล้วสวมเข้าที่คอของนาง เวโรนิกาช้อนดวงตาสีเขียวอ่อนของนางมองอดีตสามี รู้สึกเหมือนได้เห็นภาพของชายคนรักในอดีตอีกครั้ง

“หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ท่านเป็นไงบ้าง ไม่ต้องเล่าเรื่องสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่ท่านไปท่องเที่ยวสำรวจนะ เพราะข้าอ่านหนังสือพวกนั้นหมดแล้ว ข้าอยากรู้เรื่องชีวิตของท่านน่ะ”

นางยกมือขึ้นแตะใบหน้าของเขาเบาๆ ไอดิเอลคลี่ยิ้ม ใช้เวลาอึดใจจึงพูดตอบได้

“ข้าก็ใช้ชีวิตพเนจรไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”

เวโรนิกาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ นางพูดขึ้นต่อ “ข้ารู้ว่าท่านไม่ต้องการผูกสัมพันธ์กับใครอีก แต่ชะตากรรมชักนำท่านให้ต้องทำสัญญารวมชีวิตกับเด็กคนนั้น ท่านอาจจะหมางเมินข้า หมางเมินใครก็ได้ แต่ท่านต้องไม่หมางเมินเขาอย่างเด็ดขาด ด้วยวัยแค่นั้น ท่านจะมีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึกของเขามาก ข้าไม่อยากให้เขากลายเป็นซีนอนไปอีกคน”

“จริงสิ พูดถึงซีนอน เจ้ารู้รึเปล่า ทำไมเจย์รอนถึงเข้าวิหารนิทราแล้วส่งเขาไปแทน”

เวโรนิกาถอนใจเฮือก นางลดมือลงจากใบหน้าของเขา ขยับออกมาเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม “ท่านตั้งใจฟังที่ข้าพูดบ้างไหมเนี่ย”

“ข้าก็ฟังอยู่น่า” ไอดิเอลว่า “ข้าอาจจะเคยมีอิทธิพลต่อซีนอนก็จริง แต่ที่เขาเป็นแบบนั้นเพราะวิธีคิดของเขามันสุดโต่ง บางทีข้าก็ยังคิดนะว่าการที่ข้าไม่ส่งเขาเข้าวิหารนิทราเป็นเรื่องผิดพลาดรึเปล่า”

“เอาล่ะ พอๆ” เวโรนิการีบยกมือห้าม “ท่านนี่จริงๆ เลยเชียว ทั้งที่สมัยก่อนเคยเป็นคนใจดีกว่านี้แท้ๆ เฮ้อ...”

ไอดิเอลยิ้มอีก “ข้าคงกลับไปเป็นคนแบบนั้นไม่ได้แล้วน่ะนะ ที่ข้าทำได้ ก็คือทำปัจจุบันให้ดีที่สุดนี่ล่ะ”

“ข้ารู้แล้วล่ะน่า... แต่ข้าพูดจริงๆ นะ เรื่องคาริกน่ะ ถ้าท่านอยากจะทำปัจจุบันให้ดีที่สุดล่ะก็... เอาใจใส่เขาให้มากแล้วกัน”

“ข้าก็พยายามเอาใจใส่เขาอยู่น่ะนะ แต่ดูเหมือนอายุของพวกเราจะห่างกันมากเกินไป อะไรที่ข้าคิดว่ามันดีกับเขา เขาก็ดันไม่พอใจเสียอย่างนั้น”

“ท่านไปทำอะไรให้เขากันล่ะ?”

“ข้าพาเขาไปเปิดหูเปิดตาที่หาดสวรรค์ เจ้าเชื่อไหมว่าเขายังไม่เคยนอนกับผู้หญิงเลย แต่ดันต้องมานอนกับข้าเสียได้ ข้าก็เลยพาเขาไปที่นั่น เพื่อที่เขาจะได้มีประสบการณ์กับผู้หญิงน่ะ”

“เอ... ก็ฟังดูดีนี่นา ทำไมเขาถึงไม่พอใจล่ะ”

“ข้าคิดว่าเขาน่าจะอยากมีช่วงเวลาส่วนตัวก็เลยกลับมาก่อนน่ะ กลายเป็นว่าเขาน้อยใจที่ข้าปล่อยให้กลับคนเดียวเสียอย่างนั้น”

“อา...”

“เห็นไหมล่ะ ที่คิดว่าดีก็กลายเป็นไม่ดีไป ข้าก็ทำดีที่สุดเท่าที่ข้าจะคิดออกแล้ว แต่ผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นไงข้าคาดการณ์ไม่ได้หรอกนะ”

“ข้าว่าอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุหรอกนะ” นางว่า “ปกติเด็กผู้ชายไม่น่าจะน้อยใจอะไรง่ายๆ นี่นา เขาชอบท่านรึเปล่า ข้าหมายถึงเขารู้สึกพิเศษกับท่าน ตกหลุมรักอะไรทำนองนี้น่ะ”

“อืม... ข้าคิดว่าเขาคงรู้สึกอย่างนั้นแหละ”

“แล้วกัน! ท่านรู้แล้วก็ยังให้เขาไปนอนกับคนอื่นอีกงั้นหรือ?”

“ก็ข้าคิดว่าเขาควรจะมีประสบการณ์กับผู้หญิงบ้าง เขาอายุสิบแปดเองนะ ต้องหวั่นไหวกับเรื่องพวกนี้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว”

เวโรนิกาหรี่ตามองเขา “มันก็ใช่นะ ถ้าเขาไม่เผอิญใช้ชีวิตเดียวกับท่านน่ะ ลองคิดดูนะ ตอนนี้เขากำลังมีความรู้สึกพิเศษกับท่าน คนที่เขาจะมีชีวิตอยู่ด้วยไปอีกแทบจะตลอดกาลนิรันดร์ แต่ท่านกลับทำเหมือนความรู้สึกนั่นมันไม่มีความหมายอะไร ข้าว่านี่แหละปัญหาใหญ่เลยล่ะ”

“ข้าไม่ได้ทำเหมือนความรู้สึกนั่นไม่มีความหมายนะ ข้าแค่บอกเขาว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะรู้สึกแบบนั้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับคนวัยเขาอยู่แล้ว”

เวโรนิกาถอนหายใจเฮือก “ให้ตายเถอะ ท่านนี่นะ... ถึงจะไม่เหลือความอ่อนไหวอยู่ในใจอีกแล้ว แต่ถ้ายังจำช่วงเวลาที่ท่านเคยมีความรักได้ล่ะก็ ช่วยแสดงอะไรให้เขารู้สึกว่าท่านเห็นความสำคัญกับความรู้สึกของเขาหน่อยเถอะ”

“....”

“ไอดิเอล... เขาคือชีวิตของท่านนะ ท่านจะมีใจให้เขาไม่ได้เชียวหรือ...”

“.....”

พอเห็นอีกฝ่ายเงียบไป เวโรนิกายกมือลูบใบหน้าของเขา “ถึงแม้นี่จะเป็นการชักนำของชะตากรรมที่ท่านไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่ถ้าเขามีความรู้สึกที่ดีกับท่าน ข้าคิดว่านั่นคือสิ่งที่ท่านควรรักษาเอาไว้นะ หากท่านคิดจะเอาชนะชะตากรรมของตัวเอง ท่านควรเริ่มจากการเอาชนะหัวใจของตัวเองก่อน และท่านกับเขาควรมีความรู้สึกที่ร่วมกันด้วย ฟังข้าสักครั้งเถอะนะ ขอร้องล่ะ”

“ก็ได้ ข้าจะพยายามแล้วกัน” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดขึ้นต่อ

“ว่าแต่เจย์รอนเข้าวิหารนิทราทำไมกัน”

*้เนื้อหาแก้ไข วันที่3/12/2564

เวโรนิกาถอนหายใจอีก แต่คราวนี้นางยอมตอบคำถามของเขา “เขาลาออกจากตำแหน่งจอมเวทประจำราชสำนักบูรพา และขอเข้าวิหารนิทราเองเพื่อความสบายใจของอาณาจักรบูรพาว่าเรื่องภายในจะเป็นควาบลับ อย่างน้อยๆ ก็ในระยะเวลาหนึ่งร้อยปีตามที่เขาแจ้งไว้ ทั้งหมดนี่ก็มาเรื่องพวกลูบิดเมื่อเก่าสิบปีก่อน อาณาจักรบูรพามีปัญหาภายในมาโดยตลอด ดูเหมือนการที่ท่านปกปิดข้อมูลนั่นจะทำให้ความน่าเชื่อถือของเจย์รอนที่มีต่อพวกมนุษย์ลดลงอย่างมาก”

   “อืม... ข้าก็ได้ยินแว่วๆ อยู่หรอกว่าที่นั่นมีสงครามภายใน” ไอดิเอลว่า “แต่เวลามันผ่านมาตั้งหลายสิบปีแล้ว ทำไมเจย์รอนถึงเพิ่งมาลาออกตอนนี้ แล้วทำไมต้องส่งซีนอนไปแทนด้วย”

   “เรื่องของเจย์รอนน่ะ ท่านถามเอาจากโอเลกซ์เถอะ ทีมัวร์บอกข้าว่าเจย์รอนเรียกพบเขาและพูดคุยเป็นการส่วนตัวก่อนจะเข้าสู่วิหารนิทรา ท่านไม่ใช่จอมเวทที่มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง ถ้าเจย์รอนเล่าเรื่องภายในอาณาจักรให้เขาฟัง เขาก็น่าจะเล่าให้ท่านฟังได้”

   “อืม...”

   “ส่วนเรื่องซีนอน เขาเสนอตัวไปแทนเอง ฟัยรุซาเห็นว่าเหมาะสมแล้วและอาณาจักรบูรพาก็เห็นชอบด้วย ที่จริงแล้วข้าก็ไม่เห็นว่าเขาไม่มีความเหมาะสมตรงไหน”

   “ก็ใช่... ข้าไม่เถียงหรอกว่าเขาเป็นคนเก่ง” ไอดิเอลพูดพลางถอนหายใจเฮือก “โอเลกซ์ยังกลับมาที่นี่ทุกคืนวันเพ็ญเหมือนเมื่อก่อนรึเปล่า ข้าไม่อยากคุยเรื่องนี้กับเขาผ่านโทรภาพ”

   เวโรนิกาผงกศีรษะ “เขาไม่เคยเปลี่ยนกำหนดการหรอก ท่านไม่ได้ปฏิเสธไปอาเปสพร้อมข้าเพราะรอเจอเขาหรอกรึ?”

“อ๋อ เปล่าหรอก ข้าแค่ต้องพาพวกเด็กๆ ไปเที่ยวก่อนน่ะ”

เวโรนิกาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะยิ้ม “หมายถึงคาริกกับโอเรนสินะ ดีแล้วล่ะ ท่านทำธุระให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปที่อาเปสก็ได้ ข้าไม่รีบหรอก คิดว่าพระราชาคงพอพระทัยเมื่อได้สดับรายงานที่ข้ากับกราวิสกำลังจะนำกลับไปทูล”

“ถ้าเจ้าคาริกมาได้ยินคงเหวอน่าดู” ไอดิเอลว่า “หมอนั่นคิดว่าเจ้าจะไม่ยอมให้ข้ารั้งอยู่ที่นี่ต่อเพื่อพาเขาเที่ยวน่ะ”

“ฮะๆ อย่างนั้นหรือ ท่าทางเขาดูจะเข้าใจอะไรๆ อยู่บ้างนะนั่น ท่านเองก็อย่าแล้งน้ำใจกับเขานักล่ะ”

“รู้แล้วล่ะน่า”

......................................

ที่ห้องโถงรับรองซึ่งห้อมล้อมไปด้วยรูปปั้นบรรพกษัตริย์แห่งหกอาณาจักร มีโต๊ะยาววางเรียงรายกันอยู่ แต่ละโต๊ะมีฉากโลหะกั้นไว้เป็นสัดส่วน กราวิสเลือกนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง ก่อนจะชี้ให้คาริกนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“เจ้ายังเด็กขนาดนี้ การที่ต้องร่วมทางกับท่านไอดิเอลคงทำให้รู้สึกลำบากใจไม่น้อยเลยนะ”

“จริงๆ แล้วก็ไม่ขนาดนั้นหรอกนะ” คาริกว่า แล้วปลดดาบออกจากสายสะพาย ก่อนจะนั่งลง “ข้ารู้สึกว่าคนที่ลำบากน่าจะเป็นเขามากกว่า อย่างน้อยๆ เขาก็ดูรำคาญข้าล่ะนะ”

“ไม่หรอกน่า” อีกฝ่ายปลอบ แล้วบอกให้เขาวางดาบยาวลงบนโต๊ะ “ท่านไอดิเอลน่ะมีชีวิตอยู่มานานมาก มันก็มีบ้างที่เขาจะแสดงท่าทีเหมือนรำคาญ แต่ข้ารับรองได้ว่าด้วยประสบการณ์ของเขา เจ้าไม่ใช่ปัญหาหรอก”

คาริกกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างนึกขึ้นได้ “จริงสิ ไอดิเอลบอกข้าว่าท่านอยู่มาตั้งแต่ยุคอาณาจักรเก่า แปลว่าพวกท่านรู้จักกันมานานมากใช่ไหม เขาเป็นคนยังไงหรือ เป็นพวกเย็นชาไร้อารมณ์แบบนี้มาแต่แรกรึเปล่า”

“อืม... ข้าไม่ได้รู้จักท่านไอดิเอลในตอนก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นจอมเวทหรอกนะ ตอนที่ข้ารู้จักเขาครั้งแรก เขาก็เป็นแม่ทัพแล้วน่ะ ตอนนั้นเขาเป็นคนที่เข้มงวดมาก แต่ก็ไม่ใช่คนที่ไร้น้ำใจ กองทัพที่มีเขาเป็นผู้นำมีอัตราการรบชนะสูงมาก และคนที่ร่วมรบกับเขาก็มีโอกาสรอดมากด้วย ไม่ว่าใครก็อยากจะเข้าร่วมกับเขาทั้งนั้น เขาเป็นคนที่เก่งมาก ทั้งด้านเวทมนตร์และการวางแผนการรบ ข้าคิดว่าเขาคือต้นแบบและอุดมคติของคำว่าจอมเวท ยังไม่เคยเห็นเก่งเท่าเขามาก่อนเลย เพราะงั้นตอนที่ท่านเวโรนิกาติดต่อเขาได้และรู้ว่าเขาอยู่ใกล้แคนเดนส์ พวกเราก็โล่งใจว่าเรื่องคงไม่บานปลาย”

คาริกผงกศีรษะ “ข้อนั้นข้าไม่เถียงท่านเลย เรื่องที่แคนเดนส์เขาจัดการได้ดีมากจริงๆ เหมือนไม่มีเรื่องอะไรที่เขาจัดการไม่ได้เลย จริงสิ เขากับท่านเวโรนิกาเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วล่ะ ข้าว่าไอดิเอลออกจะบ้าผู้หญิงอยู่นะ แม้เขาจะบอกข้าว่าเขามีอะไรกับผู้หญิงไม่ได้ก็เถอะ”

“อ่า... เจ้าใช้คำว่าบ้าผู้หญิงกับท่านไอดิเอลหรือเนี่ย” สีหน้าของกราวิสออกไปทางตกใจมากกว่าประหลาดใจ “นั่นมันเสียมารยาทมากนะ”

“เอ่อ... ก็ข้าไม่รู้จะให้คำจำกัดความว่ายังไงนี่นา...” คาริกหน้าม่อย “เขาพาข้าไปที่หาดสวรรค์ ทำท่าทางเหมือนตาแก่เสื่อมสมรรถภาพที่อยากกอดสาวๆ น่ะ”

กราวิสกะพริบตาปริบๆ “ท่านไอดิเอลน่ะนะ?”

อีกฝ่ายผงกศีรษะ “ท่านไม่รู้มาก่อนหรือ?”

กราวิสทำหน้าปั้นยาก “ไม่รู้หรอก จริงๆ แล้วนี่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขานะ”

“ข้าก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว เพียงแต่ข้าสงสัยน่ะ ว่าในเมื่อเขาเคยมีภรรยาที่สวยขนาดท่านเวโรนิกา แล้วเขาก็ยังชอบผู้หญิงอยู่ ทำไมเขาถึงไม่อยู่กับนางล่ะ ท่านพอรู้เหตุผลรึเปล่า”

“จริงๆ แล้วเจ้าควรถามเรื่องนี้กับท่านไอดิเอลโดยตรงนะ”

“ข้ากลัวว่าเขาจะไม่ยอมตอบน่ะสิ” คาริกว่า “ปกติแล้วเขาไม่ค่อยตอบอะไรมากนักหรอก เหมือนว่าเขารำคาญทุกอย่างที่ข้าถามน่ะ”

“อ่า... เรื่องนั้นข้าก็พอจะเข้าใจอยู่นะ” กราวิสว่า “ท่านไอดิเอลไม่ค่อยพูดถึงเรื่องตัวเองหรอก ข้าเพิ่งรู้ว่าเขากับท่านเวโรนิกาเคยเป็นสามีภรรยากันก็หลังจากที่ทำสัญญากับท่านเวโรนิกาไปหลายปีแล้ว เรื่องนี้ท่านเวโรนิกาเป็นคนเล่าให้ข้าฟังเอง รวมถึงเรื่องที่เขาถูกบีบบังคับให้เข้าร่วมในสงครามด้วย ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพวกเขาสองคนผ่านเรื่องเลวร้ายแบบนั้นมา โดยเฉพาะท่านไอดิเอล เขาไม่เคยแสดงออกเลยว่าเขาจำใจมาเข้าร่วมสงคราม”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2021 14:24:41 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“เขาบอกข้าว่าสุดท้ายเขาก็เลือกสู้เพื่อมนุษย์ที่ร่วมรบอยู่กับเขาน่ะ” คาริกว่า “ข้ามีโอกาสได้เห็นความทรงจำส่วนนั้นของเขา มันน่ากลัวมากจริงๆ พวกท่านผ่านสงครามแบบนั้นกันมาได้ยังไง”

“อ่า... อย่างนั้นหรือ ข้าจำเรื่องราวในตอนนั้นได้ ถ้าเจ้าเคยผ่านเรื่องราวแบบนั้นมา เจ้าจะไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก ในตลอดพันปีที่หกอาณาจักรก่อตั้งขึ้น เขาเป็นคนที่ยื่นมือเข้าไประงับข้อพิพาทเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม ทั้งทางตรงและทางลับมาโดยตลอดนะ เพราะงั้นเรื่องคำทำนายน่ะ หากการคืนชีพของบุตรแห่งความมืดจะก่อให้เกิดสงครามล่ะก็... ข้าคิดว่าท่านไอดิเอลคงไม่ยอมหรอก”

“คาริกเองก็คงไม่ยอมเหมือนกันนะ” โอเรนว่า “ว่าแต่ท่านไอดิเอลบอกข้าว่าสามีภรรยาคือชายหญิงที่ตกลงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันล่ะ”

กราวิสกะพริบตาปริบๆ เขานิ่งไปพักก็ตัดสินใจพูดตอบ “เพราะท่านไอดิเอลไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสามีได้อีกแล้วน่ะ”

“หา?! ทำไมล่ะ”

คนถูกถามถอนหายใจเฮือก ขณะที่คาริกพูดออกมา “มันเป็นเรื่องที่เด็กอย่างเจ้าไม่เข้าใจหรอกน่า”

“อ้าว ถ้าไม่มีใครอธิบายแล้วข้าจะเข้าใจได้ไงล่ะ เจ้าเข้าใจหรือไง”

“ข้าเข้าใจสิ”

“เอาล่ะๆ” กราวิสยกมือขึ้นตัดบท “ข้าพอมองเห็นความปวดหัวของท่านไอดิเอลแล้ว เอาเถอะ ข้าจะอธิบายให้ฟังแทนแล้วกัน ท่านไอดิเอลพอกลายเป็นจอมเวท ก็ไม่อาจทำหน้าที่สืบเผ่าพันธุ์ได้อีก ยิ่งไม่สามารถทำหน้าที่ถ่ายเทพลังให้ท่านเวโรนิกาได้ เพราะอย่างนั้นท่านไอดิเอลจึงเป็นฝ่ายขอแยกทางเองน่ะ”

“อ๋อ เพราะไม่สามารถทำหน้าที่ที่ต้องทำได้ ก็เลยไม่ได้เป็นสามีภรรยากันต่อไปสินะ” โอเรนว่า กราวิสพยักหน้า

“ใช่แล้วล่ะ”

คาริกนิ่งอึ้งไป “เขาคงจะเจ็บปวดมากสินะ”

“อืม... แต่เขาไม่เคยพูดอะไรหรอก พอท่านเวโรนิกาทำสัญญากับข้า เขาก็ออกจะเกรงอกเกรงใจข้าด้วยซ้ำ ในความเห็นข้าเขาไม่ใช่พวกเย็นชาไร้อารมณ์หรอกนะ เพียงแต่เขาเป็นคนไม่แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ เท่านั้นเอง ท่านเวโรนิกาเคยบอกข้าว่า ในอดีตเขาเคยเป็นคนอบอุ่นและอ่อนโยนมาก นางเลยตัดสินใจตกลงแต่งงานกับเขาน่ะ”

“อา...”

“ข้าถึงได้บอกว่าเจ้าอาจจะรู้สึกลำบากไม่น้อยล่ะนะ คาริก ท่านไอดิเอลน่ะมีชีวิตมาพันกว่าปีแล้ว เขาผ่านเรื่องราวมาเยอะมากจริงๆ และเขาก็เป็นคนที่ไม่แสดงความรู้สึกหรือเล่าเรื่องส่วนตัวด้วย ด้วยอายุของเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่าเขาเย็นชา ไร้อารมณ์ มันคงทำให้เจ้าอึดอัด แต่ในสายตาท่านไอดิเอล เจ้าคือเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารที่ต้องจับพลัดจับผลูมาใช้ชีวิตร่วมกับเขา สิ่งที่เขาทำให้เจ้า คือสิ่งที่เขาคิดว่าดีกับเจ้าที่สุด ตอนนี้เจ้าอาจจะไม่เข้าใจมุมมองของเขาหรอกนะ แต่พอเจ้าโตขึ้น เจ้าก็จะเข้าใจเอง”

“....”

“ไหนขอข้าดูดาบเจ้าหน่อยสิ” กราวิสตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูเหมือนจะคิดมากของคาริก “ฝ่าบาทน่ะชื่นชมความกล้าหาญของเจ้ามากนะ หลังจากที่พระองค์ทอดพระเนตรรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วน่ะ”

“ท่านหมายถึงพระราชาหรือ” คนที่ถามคือโอเรน กราวิสพยักหน้า

“ใช่แล้วล่ะ ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะภูมิใจกับเรื่องนี้นะ”

คาริกเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว เขาเกาศีรษะอย่างเขินๆ “งั้นหรือ... ที่จริงแล้วข้าถูกไอดิเอลกึ่งขอความร่วมมือกึ่งบังคับน่ะนะ พอเขารู้ว่าข้ารับไม้ฟืนติดไฟด้วยมือเปล่าได้ เขาก็แทบจะมัดมือชกข้าให้รับหน้าที่นี้เลยน่ะ ข้าไม่ได้อาสาเองแต่แรกหรอก”

“อ้าว เป็นงั้นหรอกรึ ข้าคิดว่าเจ้าอาสาเองเสียอีก” โอเรนว่า “ว่าแต่คนทั่วไปรับไม้ฟืนติดไฟด้วยมือเปล่าไม่ได้หรือ”

“ไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่มนุษย์เลย มังกรอย่างเจ้าก็อย่าได้ลองจะดีกว่า” กราวิสว่า เขาหันไปหาคาริก

“ฟังจากที่เจ้าเรียกท่านไอดิเอลห้วนๆ แล้ว การพบกันครั้งแรกระหว่างเจ้ากับเขาคงไม่น่าประทับใจสินะ”

“ก็ใช่” คาริกว่า รู้สึกละอายขึ้นมา “ข้าควรเรียกเขาให้สุภาพกว่านี้สินะ”

“ถ้าเขาไม่ว่าอะไรก็ไม่เป็นไรหรอก” กราวิสว่า “ท่านไอดิเอลไม่ใช่คนถือเรื่องนี้อยู่แล้ว อา... นี่เป็นดาบที่เหลาจากเขาของแมกนิส คอร์นิบัสสินะ”

เขายกดาบเล่มนั้นขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนเพื่อหาสมดุล “ไม่เลวทีเดียว ความหนาบางค่อนข้างได้สมดุลดีเมื่อคิดว่าดาบเล่มนี้ถูกเหลาขึ้นอย่างฉุกละหุก ปกติแล้วดาบที่ทำจากเขาหรือกระดูกสัตว์มักไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าดาบที่ทำจากโลหะ เพราะมันทื่อง่าย แต่ด้วยน้ำหนักที่เบาข้าเห็นว่ามันก็เหมาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางตลอดเวลาอย่างเจ้าอยู่นะ”

“ข้าว่ามันพอดีมือกว่าดาบเล่มเก่าของข้าอีกน่ะ” คาริกว่า “จริงๆ แล้วเล่มเก่าเป็นเล่มที่ข้ายืมสมาคมมา ข้าไม่มีเงินซื้อดาบใหม่เองหรอก”

“งั้นเจ้าก็โชคดีแล้วล่ะ” กราวิสว่า “เท่าที่ข้าดู ดาบเล่มนี้น่าจะถูกทำขึ้นมาเพื่อให้เหมาะสมกับเจ้าโดยเฉพาะ ให้เดานะ ท่านไอดิเอลเป็นคนเขียนรายละเอียดการเหลาให้ล่ะสิ”

อีกฝ่ายผงกศีรษะ “เขายังเขียนแบบแปลนเครื่องยิงหินให้พวกทหารเอาไปสร้างอีกด้วยนะ พอคิดดูแล้วเขาคงจะเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้จริงๆ คนที่พาข้าไปเจอเขาบอกว่าเขาเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวด้วย จริงรึเปล่า?”

“อืม ข้าเคยเห็นเขาใช้ดาบสู้กับมังกรตัวต่อตัวด้วย รู้สึกเขาจะเคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะการใช้ดาบและอาวุธประชิดตัว แต่ข้าไม่แน่ใจว่ายังมีที่เป็นรูปเล่มเหลืออยู่อีกรึเปล่า เพราะมันก็ผ่านมานานหลายร้อยปีแล้ว ช่วงหลังๆ นี้เขาหันไปให้ความสนใจกับการศึกษาสัตว์ชนิดต่างๆ แทนน่ะ”

“ท่านไอดิเอลเคยสู้กับมังกรตัวต่อตัวด้วยหรือ” โอเรนว่า “สรุปแล้วเขาเป็นศัตรูหรือเป็นมิตรกับมังกรน่ะ”

“ตอนนั้นเขาทำไปด้วยความจำเป็นน่ะ” กราวิสว่า “แต่ตอนนี้ข้ายืนยันได้ว่าเขาเป็นมิตรกับมังกร โดยเฉพาะมังกรอย่างเจ้า เขาบอกแล้วใช่ไหมว่าสายพันธุ์ของเจ้าต้องได้รับการคุ้มครองน่ะ”

“อื้อ แต่ข้าจะยังไม่กลับไปที่ที่เขาบอกว่าข้าควรจะไปอยู่หรอกนะ อย่างน้อยข้าก็ต้องได้ไปเที่ยวเมืองพ่อค้า ไปเยี่ยมเจ้าชายบัลดริกซ์ที่อาเปสก่อน แล้วนี่ข้าจะได้เข้าเฝ้าพระราชาด้วยใช่ไหม?”

กราวิสยิ้มบางๆ อย่างเอ็นดู “ใช่แล้ว ฝ่าบาทต้องทรงประทับใจเจ้าแน่นอน ว่าแต่พวกเจ้าตั้งใจจะไปเมืองพ่อค้ากันใช่ไหม ข้าจะเขียนรายละเอียดให้ว่าควรจะต้องแก้ไขปรับปรุงดาบเล่มนี้ตรงไหนบ้าง”

พูดจบเขาก็สมุดบันทึกออกมาจากอกเสื้อ เขียนอะไรยุกยิกลงไปบนนั้นก่อนจะฉีกส่งให้คาริก “เอานี่ไปให้ประภากิจที่ร้านอาวุธคมรุ่งเรืองจัดการให้ก็แล้วกัน ร้านเขาหาไม่ยากหรอก เขาเป็นนักประดิษฐ์อาวุธที่ขึ้นชื่อมาก คิดว่าเป็นมือดีที่สุดของยุคนี้เลยล่ะ ข้าเคยทาบทามเขาไปเป็นช่างอาวุธที่อาณาจักร แต่ดูเหมือนเขาจะชอบการเปิดร้านส่วนตัวมากกว่า”

คาริกรับกระดาษแผ่นนั้นมาแล้วผงกศีรษะ “ว่าแต่ปกติท่านทำหน้าที่อะไรหรือ? ข้าหมายถึง นอกจากเป็นผู้ช่วยท่านเวโรนิกาแล้ว ท่านยังมีหน้าที่อื่นอีกรึเปล่า”

“ข้าเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ทางการทหารของอาณาจักรหรดีน่ะ” กราวิสตอบ “ที่จริงข้าตั้งใจเชิญเจ้าไปเข้าร่วมกองทัพ น่าเสียดายที่เจ้าทำสัญญากับท่านไอดิเอลไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเราคงได้เจอกันอีกยาวเลย”

คาริกเกาศีรษะอย่างเขินๆ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ไอดิเอลและเวโรนิกาก็เดินเข้ามา

“พวกเจ้าคุยกันเสร็จหรือยัง” จอมเวทหญิงเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน กราวิสกับคาริกพากันลุกขึ้นยืนทันที

“เรียบร้อยแล้วครับ ท่านเวโรนิกาจะกลับเลยรึเปล่า”

“อื้อ” อีกฝ่ายผงกศีรษะ ก่อนจะหันไปหาคาริก “เจ้าชื่อคาริกสินะ มานี่หน่อยสิ”

คาริกเดินเข้าไปหานางอย่างเกร็งๆ “ท่านมีอะไรหรือ”

นางใช้ดวงตาสีเขียวเพริดอทจ้องเขา แล้วยกมือขึ้นแตะใบหน้า ชายหนุ่มสะดุ้ง อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องตกใจไป ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก ลักษณะโครงหน้าเจ้าไม่เลว พลังงานของเจ้าก็น่าสนใจ... อืม... ข้าจะบอกความลับของไอดิเอลให้เจ้าฟังสักเรื่องแล้วกัน เอียงหูมาสิ”

นางไม่รอคำตอบ ขยับไปกระซิบข้างหูของคาริก “เขามีจุดอ่อนอยู่ที่หู ถ้ามีโอกาสก็ลองดูนะ”

คาริกรู้สึกร้อนเห่อไปถึงใบหู เขาเห็นเวโรนิกาขยิบตาให้ข้างหนึ่ง ก่อนที่นางจะผละออกไป

“ข้าไปล่ะ ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวนะ แล้วพบกันที่อาเปส”

นางยื่นมือไปให้กราวิสจับ จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปยังลานที่อยู่ตรงปากทางเข้า คาริกเห็นแสงสว่างเรืองรองออกมาจากตัวของนางและพื้นโดยรอบ จากนั้นร่างของทั้งคู่ก็หายวับไป

“ว้าว พวกเขาหายไปแล้ว นั่นคือเวทมนตร์เคลื่อนย้ายมวลสารหรือ” โอเรนร้องขึ้นมา ไอดิเอลพยักหน้า

“ใช่แล้ว ที่นี่มีวงแหวนเวทที่เชื่อมต่อกับตำหนักจอมเวทของทั้งหกอาณาจักร ทำให้จอมเวทสามารถใช้เวทเคลื่อนย้ายเดินทางไปมาได้โดยไม่เสียพลังงานมากน่ะ”

“แบบนี้ถ้าเราอยากจะไปที่อาณาจักรไหนก็ไปจากทางนี้ได้เลยน่ะสิ”

“ไม่ได้หรอก จอมเวทแต่ละคนกำหนดทางออกด้วยวงแหวนเวทเฉพาะ ถ้าไม่ใช่คนที่ได้รับอนุญาตจะผ่านเข้าไปไม่ได้เลย แม้แต่ข้าก็เถอะ”

“แล้วท่านใช้เวทเคลื่อนย้ายมวลสารได้ไหม” โอเรนถามต่อ ไอดิเอลพยักหน้า

“งั้นท่านจะไปไหนก็ได้น่ะสิ”

“ก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ เวทมนตร์แต่ละอย่างมันมีเงื่อนไขเฉพาะตัวอยู่น่ะ” จอมเวทอธิบาย “ในกรณีของเวทเคลื่อนย้ายมวลสาร ต้องอาศัยเขียนวงแหวนเวทเพื่อยืมพลังจากพื้นดิน จุดหมายปลายทางต้องถูกกำหนดอย่างชัดเจน กล่าวคือต้องเป็นสถานที่ที่เคยไปมาแล้วและจดจำรายละเอียดเด่นๆ ได้ ไม่อย่างนั้นเวทมนตร์จะไม่ได้ผล หรือบางทีอาจจะไปโผล่ในที่ที่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่ต้องการ เพราะงั้นไม่ใช่นึกอยากจะไปโผล่ที่ไหนก็ได้หรอกนะ”

“อืม... เวทมนตร์นี่ก็มีเงื่อนไขซับซ้อนเหมือนกันนะ” เจ้ามังกรว่า “ท่านกราวิสบอกว่าท่านเป็นจอมเวทที่เก่งกาจที่สุด อ๊ะ จริงสิ ท่านเวโรนิกาบอกว่าจุดอ่อนของท่านอยู่ที่หู ถ้าถูกทำร้ายที่หูท่านจะบาดเจ็บหนักหรือ”

ไอดิเอลเลิกคิ้วขึ้นสูง ก่อนจะหัวเราะออกมา “เวโรนิกากระซิบกับคาริกว่างั้นหรือ ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมเขาเอาแต่เงียบแล้วจ้องหน้าข้าแบบนั้น กำลังดูว่าควรจะทำยังไงกับหูข้าสินะ”

คนถูกกล่าวถึงหน้าแดงกว่าเดิม รีบออกปากปฏิเสธทันที “ไม่ใช่นะ ข้ากำลังตั้งใจฟังท่านอธิบายอยู่ต่างหากเล่า”

“นี่ ข้าไม่ได้ว่าอะไรเจ้าสักหน่อย ไม่ต้องรีบแก้ตัวขนาดนั้นหรอกน่า นางก็จริงๆ เลยนะ... ข้าน่ะชอบให้ผู้หญิงมากระซิบกระซาบข้างหูก็จริง แต่กับผู้ชายนี่ไม่เคยลองมาก่อนหรอกนะ”

“เอ๋? ท่านชอบหรอกหรือ ไหนท่านเวโรนิกาว่าเป็นจุดอ่อนไงล่ะ” โอเรนยังคงสงสัยไม่หาย อีกฝ่ายตอบเขา

“มันก็เป็นจุดอ่อนที่พอพวกนางมากระซิบข้างหูข้าทีไร ข้าก็พลอยมือไม้อ่อนยอมตามใจพวกนางทุกทีน่ะ”

“จุดอ่อนแบบนี้ก็มีหรือ” โอเรนว่า คาริกจึงพูดออกมาด้วยความหมั่นไส้

“ท่านนี่ยังไงก็ได้ขอให้เป็นผู้หญิงสินะ”

“ก็ผู้หญิงนุ่มนิ่มน่ารักนี่นา” อีกฝ่ายลอยหน้าลอยตาตอบ “เจ้าไม่เห็นด้วยหรือไง เวลาพวกนางมากระซิบข้างหูมันจั๊กจี๋ดีจะตายไป”

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก ขณะที่โอเรนพูดขึ้นต่อ “แปลว่าจุดอ่อนนี้ใช้ได้แค่ผู้หญิงงั้นหรือ”

“ก็อาจจะน่ะนะ เจ้าอยากลองดูไหมล่ะ?”

“อ๊ะ เอาสิ”

คาริกยื่นมือออกไป หมายจะคว้าตัวโอเรนไว้ แต่ดูจะไม่ทัน เจ้ามังกรกระโดดไปเกาะอยู่บนไหล่ของจอมเวทเรียบร้อย จากนั้นก็ขยับไปกระซิบกระซาบที่ข้างหู คาริกเห็นไอดิเอลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะคิกคัก

“ไม่ได้ๆ ข้ายอมให้เจ้าไม่ได้หรอก ฮะๆ ไม่ๆ ถึงเจ้าขยับไปทางซ้ายกว่านี้อีกนิด ข้าก็ไม่ยอมหรอกนะ”

“นี่ๆ” คาริกพูดออกมาในที่สุด “ข้าว่าเจ้าหยุดเถอะโอเรน มันคงไม่ใช่จุดอ่อนอย่างที่เจ้าจะขออะไรก็ได้หรอกนะ ข้าว่าเขาบ้าจี้ตรงนั้นน่ะ ยิ่งเจ้าเอาขนไปถูใกล้ๆ เขาคงจะได้หัวเราะตายก่อน”

“ข้าไม่ตายเพราะหัวเราะหรอกน่า” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดต่อ “ขยับไปทางซ้ายอีกสิ แบบนั้นแหละ ฮะๆๆ”

คาริกที่ยืนดูอยู่พักทนไม่ไหว ต้องไปดึงตัวโอเรนออกมา “เขาไม่ใช่ไม้ปั่นหูของท่านนะ”

“อา... เจ้านี่ทำไมชอบขัดจังหวะอยู่เรื่อย ข้ากำลังรู้สึกดีเชียว”

คาริกหน้าหงิก ขณะที่โอเรนซึ่งอยู่ในมือเขาพูดขึ้นมา “ท่านรู้สึกดีหรือ งั้นข้าทำอีกก็ได้นะ แต่ท่านต้องยอมให้ข้าอยู่ด้วยก่อน”

“ไม่ได้ๆ” ไอดิเอลรีบยกมือห้าม “ก็บอกแล้วไงว่าเจ้าต้องกลับไปที่เทือกเขาไฮดรัส แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกนะ เพราะงั้นเจ้าไม่ต้องรบเร้าให้เสียเวลา แล้วนี่ไม่หิวกันหรือไง”

จอมเวทตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งดูจะได้ผล โอเรนรีบตอบทันที “หิวสิ ท่านจะพาพวกเราไปหาอะไรกินใช่ไหม นี่ก็ค่ำแล้วนี่นา”

“เอ๋ ค่ำแล้วหรือ” คาริกว่า เขาหันไปมองรอบๆ “ข้าคิดว่าที่นี่มืดอยู่แบบนี้แต่แรกแล้วเสียอีก”

“เจ้าไม่ได้มองออกไปนอกหน้าต่างหรือไง” โอเรนว่า “ท้องฟ้ามืดตั้งแต่ตะกี้แล้ว”

“อ่า... ข้าก็คิดว่ามันเป็นเวทมนตร์เสียอีก เหมือนอย่างในห้องประชุมไง”

“นั่นไม่ใช่เวทมนตร์หรอก” ไอดิเอลว่า “ด้านนอกน่ะเป็นท้องฟ้าจริงๆ โอเรนคงเห็นได้จากพลังงานน่ะ... มาเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาอะไรกินที่เมืองด้านล่าง รับรองว่าดีกว่าอุดอู้อยู่บนนี้เยอะ”

คาริกตาโต “แล้วท่านจะพาเราเดินเที่ยวใช่ไหม”

“อืม... เดินหลังอาหารน่าจะเหมาะกับพวกเจ้าล่ะนะ”

“ยอดไปเลย” โอเรนว่าพลางเงยมองชายหนุ่ม “พวกเราจะได้ไปเที่ยวกับท่านไอดิเอลแล้ว เจ้าก็หยุดจับข้าไว้แบบนี้ทีเถอะ มันอึดอัดนะ”

คาริกจึงปล่อยมือออก เจ้ามังกรกระโดดขึ้นไปบนศีรษะเขาทันที ไอดิเอลยิ้มพลางยื่นมือมา

“ไปกันเถอะ จะให้ข้าจูงมือกันหลงไหม”

“ไม่ต้อง” คาริกว่า รู้สึกฉุนเล็กๆ “ข้าไม่ใช่เด็กแล้วน่า”

อีกฝ่ายหัวเราะ ก่อนจะลดมือลงแล้วเดินนำหน้าไป ชายหนุ่มแอบรู้สึกเสียดายเล็กๆ

หรือบางทีเขาควรจะจับเอาไว้นะ...

.........................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จะยังไงต่อนะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่17 ความตั้งใจ


เมืองพ่อค้าตั้งอยู่ที่ชั้นล่างสุดของนครเวหา อยู่ใต้ฐานจอดเรือเหาะอีกที ชั้นนี้แต่เดิมใช้เป็นฐานซ่อมบำรุงเรือเหาะ ทำให้เกิดการตั้งตลาดแลกเปลี่ยนเล็กๆ ขึ้น พอเวลาผ่านไปก็เริ่มมีคนสนใจนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนซื้อขายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างหกอาณาจักร ดังนั้นจากตลาดแลกเปลี่ยนเล็กๆ จึงขยายตัวกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่จนเรียกว่า ‘เมือง’ อย่างในปัจจุบัน

ไอดิเอลพาคาริกและโอเรนลงลิฟต์มาจนถึงชั้นที่เป็นส่วนซ่อมบำรุงเรือเหาะ ประตูลิฟต์เชื่อมต่อกับอุโมงค์ที่มีเส้นแสงวิ่งเป็นแนว พอออกมาได้จอมเวทก็ส่งเสียงขึ้น

“สเตลลา ขอรถให้คันสิ ข้าจะเข้าไปในเมืองพ่อค้า ขอแบบนั่งได้สองคนนะ”

“รับทราบค่ะ”

ยังไม่ทันที่คาริกและโอเรนจะพูดอะไร พาหนะรูปร่างแปลกตาก็แล่นออกมาจากปลายอีกด้านของอุโมงค์ ลักษณะของมันเหมือนลูกบอลที่ถูกเฉือนด้านหน้าออก เส้นแสงสีขาวเจือทองไหววาบอยู่โดยรอบ ด้านในมีที่นั่งสองที่ ได้ยินเสียงจอมเวทพูดขึ้นต่อ

“เอ้า พวกเจ้า ขึ้นไปนั่งสิ”

“หา?”

ไม่พูดเปล่ายังเอาไม้เท้าดันหลังอีกด้วย คาริกจึงจำต้องกระโดดขึ้นไปนั่งบนพาหนะรูปร่างแปลกตาคันนั้น พอเข้ามาแล้วถึงพบว่าห้องโดยสารด้านในกว้างเอาเรื่องอยู่ ไอดิเอลยื่นไม้เท้าให้เขาถือ ก่อนจะปีนขึ้นมานั่งตาม เสียงของสเตลลาดังขึ้น

“กรุณารัดเข็มขัดด้วยค่ะ”

“หา?” คาริกร้องขึ้นอีก เขาหันไปหาไอดิเอล “นี่ข้าต้องหาเข็มขัดมารัดเพิ่มอีกหรือ?”

“อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า” อีกฝ่ายว่า “ตรงขวามือเจ้าใกล้ๆ ที่นั่งจะมีปุ่มสีทองใหญ่ๆ อยู่ นั่งนิ่งๆ แล้วกดปุ่มนั่นไป”

“หืม” คาริกหันมองด้านขวาและกดปุ่มที่ว่า มีเสียงดังคลิ๊กๆ จากนั้นก็ปรากฏแถบวัสดุบางอย่างเลื่อนออกมาจากข้างปุ่ม อ้อมสะโพกเขาไปอีกด้านอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ขยับ สิ่งนั่นก็ล็อกตัวเขาไว้กับที่นั่งเรียบร้อยแล้ว

“นี่มันอะไรกันเนี่ย”

“ก็เข็มขัดนิรภัยยังไงล่ะ” ไอดิเอลว่า “ฟังนะ ถนนที่นี่ไม่ใช่ถนนอย่างที่เจ้าเคยเจอหรอก แล้วรถนี่ก็ไม่เหมือนรถของมาร์คัสด้วย มันเคลื่อนที่ด้วยระบบแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งทำความเร็วได้สูงมาก แม้ว่าสเตลลาจะควบคุมทั้งหมด แต่อุบัติเหตุก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เพราะงั้นถึงต้องล็อกตัวเจ้าไว้กับที่นั่งยังไงล่ะ”

“โธ่ ล็อกไว้แบบนี้เกิดอะไรขึ้นมาข้าก็แย่สิ” คาริกว่า “จะหนีได้ยังไงล่ะ”

“นี่ไม่ได้รัดไว้เพื่อไม่ให้เจ้าหนีหรอกนะ แต่ไม่ให้เจ้ากระเด็นออกไปจากรถนี่ต่างหาก”

ขณะที่จอมเวทพูดอยู่ เหนือศีรษะของพวกเขาก็มีเสียงดังหึ่งๆ ครอบแก้วขนาดใหญ่เคลื่อนจากด้านหลังมาครอบปิดด้านหน้า เท่ากับว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในพาหนะที่มีทรงกลมเกือบจะสมบูรณ์แบบ โอเรนถึงกับร้องออกมา

“เหมือนพวกเราอยู่ในลูกบอลเลย แล้วนี่ข้าไม่ต้องรัดเข็มขัดหรือ”

“ที่นี่ไม่เคยมีนูเบส โฟลิอุมาเยือนมาก่อน เพราะงั้นข้าคิดว่าทีมัวร์คงไม่ได้ออกแบบเข็มขัดสำหรับเจ้าไว้หรอก เจ้ามุดเข้าไปอยู่ในอกเสื้อของคาริกก่อนก็แล้วกัน น่าจะปลอดภัยอยู่นะ”

โอเรนขยับไปชะโงกมองลงจากศีรษะของคาริก ตอนที่ทำแบบนั้น ขาของเขาก็แปะเข้าไปบนดวงตาของชายหนุ่มเต็มๆ

“เจ้าปิดตาข้าทำไมเนี่ย!”

โอเรนทำเป็นไม่ได้ยิน เขาพูดขึ้นต่อ “ข้ามองไม่เห็นช่องว่างพอจะแทรกตัวเข้าไปได้เลยนะ ถ้าให้ข้าเข้าไปจริงๆ ต้องถูกรัดตายแน่ ข้าอยากตายบนอกสาวๆ มากกว่า”

คาริกหน้าหงิก ขณะที่ไอดิเอลหัวเราะชอบใจ “งั้นเจ้ามาอยู่ในอกเสื้อข้าก็แล้วกัน น่าจะพอมีที่ว่างอยู่หรอก”

“อ่า... ข้าตื่นมาในอกเสื้อท่านสินะ... มันจะร้อนไหม”

“ถ้าเจ้าจะเรื่องมากขนาดนั้นล่ะก็... ลงไปนั่งที่วางเท้าไหมล่ะ” คาริกพูดขึ้นมา “ข้าว่ามันก็น่าจะเหมาะกับเจ้าอยู่นะ”

“หง่ะ ไม่เอานะ ข้าไม่นั่งที่พื้นหรอก” โอเรนว่า ก่อนจะกระโดดออกจากศีรษะของคาริก ชายหนุ่มเลยลืมตาได้เสียที พอหันไปก็เห็นโอเรนอยู่ในอกเสื้อของไอดิเอลแล้ว เจ้าตัวโผล่แต่ศีรษะออกมา ดูแล้วเหมือนตุ๊กตากระรอกอย่างไรอย่างนั้น

“น่าจะใช้ได้ล่ะนะ” จอมเวทว่า “สเตลลา เจ้าพาเราวนรอบถนนวงแหวนชมเมืองสักรอบ แล้วค่อยไปที่ภัตตาคารเปลือกหอยนะ”

“รับทราบค่ะ”

คาริกรู้สึกเหมือนหลังติดพนักที่นั่ง ตอนที่รถเคลื่อนตัว ผนังมืดทะมืนผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นภาพตัวเมืองอันประหลาดตาก็ปรากฏต่อสายตาพวกเขาท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน อาคารสูงชะลูดเหมือนหอคอยจำนวนมากถูกปลูกล้อมแกนกลางที่เชื่อมต่อกับฐานชั้นบน แต่ละหลังมีแสงส่องสว่างออกมาจากด้านใน ที่อยู่เหนืออาคารพวกนั้นคือฐานจอดเรือเหาะ มองจากจุดที่พวกเขาอยู่มันเหมือนกับแผ่นโลหะสีดำสนิทที่มีเส้นแสงสีทองเรืองรองวิ่งวนไหวเป็นรูปลายคดเคี้ยวสลับกัน

“โห ตึกที่นี่สูงยิ่งกว่าที่ทริโกเนียอีกนะเนี่ย” คาริกว่า “ตอนที่ท่านบอกว่ามันเป็นตลาด ข้าก็คิดไปว่ามันจะเป็นลานกว้างๆ เต็มไปด้วยกระโจมของพวกคาราวานสินค้าเสียอีก”

“สมัยก่อนมันก็เคยเป็นแบบนั้นน่ะนะ” จอมเวทตอบ “แต่พอเวลาผ่านไป คนมากขึ้น ของมากขึ้น แต่พื้นที่มีจำกัด เลยมีการสร้างอาคารสูงๆ พวกนั้นขึ้นมาแทนน่ะ”

“อ๋อ”

ตอนนี้พวกเขากำลังนั่งอยู่บนพาหนะทรงกลมที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว บนถนนที่ดูเหมือนแผ่นโลหะสีดำสนิทเรียงต่อกันโดยมีเส้นแสงสีน้ำตาลทองวิ่งนำเป็นระยะ นอกจากรถของพวกเขาแล้ว บนถนนยังปรากฏยานพาหนะอีกหลายคัน มีบ้างเป็นทรงกลม มีบ้างเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เหมือนกล่อง ไอดิเอลอธิบายว่ารถคันใหญ่ๆ พวกนั้นคือรถขนสินค้าที่ลำเลียงผ่านสายพานลงมาจากชั้นจอดเรือเหาะอีกที คาริกอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าบนตึกสูงๆ ที่เห็นอยู่ไกล พวกนั้นจะมีร้านค้าแบบไหน และขายอะไรบ้าง

“อ่า... จริงสิ ท่านกราวิสบอกข้าว่าต้องเอาดาบไปให้ร้านช่วยดูน่ะ” ชายหนุ่มพูดอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะค้นกระเป๋าเสื้อหยิบกระดาษยับๆ แผ่นหนึ่งขึ้นมาคลี่อ่าน

“ชื่อร้านคมรุ่งเรือง ท่านรู้จักไหม?”

ไอดิเอลสั่นศีรษะ “พวกร้านอาวุธตั้งอยู่ใกล้กับกำแพง ข้าไม่ค่อยได้แวะไปแถวนั้นหรอก แต่สเตลลาคงรู้จัก ไว้พวกเจ้ากินมื้อเย็นเสร็จแล้วค่อยให้นางนำทางไปแล้วกัน”

“จริงสิ ที่นี่ไม่มีต้นไม้หรือ” โอเรนถามขึ้นมา “ตั้งแต่มาถึงนี่ข้ายังไม่เห็นต้นไม้สักต้นนึงเลยนะ หมายถึงต้นไม้ต้นใหญ่ๆ แบบที่ขึ้นอยู่ในป่าที่พวกเราเดินทางผ่านมาน่ะ”

“ที่นี่ไม่มีต้นไม้ใหญ่แบบนั้นหรอก” ไอดิเอลตอบ “เพราะที่นี่ไม่มีพื้นดินน่ะ แถมที่เมืองด้านล่างนี่ยังไม่ถูกแสงอาทิตย์โดยตรงอีกด้วย ถ้าจะมีต้นไม้ ก็คงมีแต่ต้นเล็กๆ ที่ไม่ต้องการแสงมากนั่นล่ะ”

“ง่า... เพราะไม่มีพื้นดินเลยไม่มีต้นไม้ขึ้นหรือ”

“ใช่แล้วล่ะ ต้นไม้ใหญ่น่ะจะขึ้นบนพื้นดินเท่านั้น แต่ข้าคิดว่าที่ภัตตาคารเปลือกหอยน่าจะมีผักหลายอย่างให้เจ้าเลือกนะ”

“ว่าแต่ท่านไม่มาที่นี่ตั้งเกือบร้อยปีแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมั่นใจล่ะว่าภัตตาคารที่ว่ายังอยู่น่ะ”

ไอดิเอลเลิกคิ้วมองคาริก ก่อนจะหัวเราะ “อ๋อ เจ้าคงเข้าใจคลาดเคลื่อนน่ะ ข้าไม่ได้ขึ้นไปที่หอคอยโลหะเกือบร้อยปีก็จริง แต่ที่นี่น่ะข้าเพิ่งมาเมื่อสองสามเดือนก่อนนี่เอง”

“สรุปแล้วคือท่านไม่ขึ้นไปข้างบน แต่ลงมาข้างล่างสินะ”

“ใช่แล้ว”

ถนนที่นี่ไม่เหมือนถนนที่ไหนอย่างที่คาริกเคยเห็นจริงๆ นอกจากรถทุกคันจะแล่นด้วยความเร็วสูงแล้ว ยังไม่ปรากฏสัตว์พาหนะใดๆ เลยแม้แต่ม้า คงเพราะที่นี่ไม่สามารถปลูกพืชได้ ชายหนุ่มนึกสงสัยว่าพวกม้าที่ฝากไว้จะใช้ชีวิตอยู่ยังไงในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ระหว่างนั้นโอเรนก็ส่งเสียงขึ้น

“ท่านไอดิเอล ข้ามีเรื่องสงสัยนะ เมื่อวานตอนท่านพาพวกเราขึ้นไปข้างบน สเตลลาพูดถึงสถานะอัปเปหิ มันหมายความว่าอะไรหรือ”

“อ้อ... อัปเปหิหมายถึงถูกขับไล่น่ะ ครั้งล่าสุดที่ข้าขึ้นไปบนหอคอยโลหะคือไปถูกพิจารณาโทษนี่แหละ”

“ง่า... ที่ท่านไม่ได้ขึ้นไปบนนั้นตั้งหลายปี รวมถึงไม่ได้กลับไปที่ห้องของท่าน ก็เพราะท่านถูกลงโทษหรือนี่”

“จะว่าใช่มันก็ใช่นะ แต่จริงๆ แล้วโดยปกติข้าก็ไม่ค่อยขึ้นไปที่นั่นบ่อยหรอก”

คาริกหันไปมองคนพูด แล้วก็ก็อดถามออกมาไม่ได้ “ทำไมท่านถึงไม่ค่อยขึ้นไปที่นั่นล่ะ ห้องพักของท่านน่ะสะดวกสบายออกนะ หรือว่ามีคนที่ท่านไม่ชอบอยู่ที่นั่น”

“เปล่า ข้าแค่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อและไร้ชีวิต นี่พวกเจ้าไม่รู้สึกกันเลยหรือ?”

“เอ่อ... พอท่านพูดแบบนั้นแล้วข้าก็รู้สึกเห็นด้วยน่ะนะ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนจะถามขึ้นต่อ

“แต่ว่าท่านไปทำเรื่องอะไรถึงกับถูกขับไล่เลยน่ะ เกี่ยวกับพวกกลายพันธุ์อย่างข้าด้วยใช่ไหม เหมือนข้าจะได้ยินท่านทีมัวร์พูดทำนองนั้นนะ”

“เกี่ยวเต็มๆ เลยล่ะ” ไอดิเอลว่า เขาถอนหายใจเฮือก แล้วจึงเล่าเรื่องต่อ “ประมาณเก้าสิบปีก่อนข้าถูกเจย์รอนขอร้องให้ไปสำรวจความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มหนึ่งที่อพยพกลับมาจากปากปล่องแห่งการสิ้นสูญ ข้าค้นพบว่าการกลายพันธุ์นั้นให้คุณให้โทษกับจอมเวท อย่างที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟัง ว่าพวกกลายพันธุ์อย่างเจ้ามีความสามารถในการต้านทานเวทที่สูง เวทมนตร์ธรรมดาแทบจะไม่มีผลอะไร และด้วยสภาพร่างกายที่แข็งแรงกว่ามนุษย์ปกติ ทำให้สามารถถ่ายเทพลังกับจอมเวทได้โดยไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ข้าคิดว่าหากข้อมูลเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกไป จะส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อพวกกลายพันธุ์ เพราะพวกเขาจะถูกเพ่งเล็งทั้งจากเหล่าจอมเวทและอาณาจักรมนุษย์ ในฐานะเครื่องมือที่สามารถให้ทั้งคุณและโทษกับผู้ใช้เวทมนตร์ได้ ข้าเลยส่งรายงานที่ไม่สมบูรณ์ให้กับเจย์รอนและทางอาณาจักรบูรพา โดยไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องนี้ แต่หลังจากนั้นดูเหมือนจะมีอุบัติเหตุบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกกลายพันธุ์ จนทำให้เรื่องที่ข้าปิดไว้แดงออกมา ทำให้อาณาจักรบูรพาและอาณาจักมนุษย์แห่งอื่นเกิดหวาดระแวงว่าข้าคิดวางแผนการใหญ่ อาจก่อกบฏกับมนุษย์ สุดท้ายฟัยรุซาจึงเปิดสภา เรียกจอมเวททั้งสิบหกคนเข้าร่วม และเชิญตัวแทนจากทั้งหกอาณาจักร เพื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ข้าทำลงไป นางได้เล็งเห็นแล้วว่าควรจะดับไฟเสียแต่ต้นลม จึงสั่งอัปเปหิข้าออกจากสภาและเพิกถอนสิทธิ์ในการเสนอร่างกฎหมาย รวมถึงสิทธิพิเศษในฐานะสมาชิกสภากลางเป็นระยะเวลาแปดสิบปี เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละ”

คาริกกะพริบตาปริบๆ พยายามทำความเข้าใจเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า “อ่า... สรุปแล้วท่านถูกลงโทษเพราะพยามปกป้องพวกกลายพันธุ์แบบข้าสินะ...”

“เปล่า” ไอดิเอลว่า “ข้าไม่ได้ถูกลงโทษเพราะปกป้องพวกเจ้าหรอก ข้าถูกลงโทษเพราะฟัยรุซาไม่อยากให้มนุษย์เกิดความหวาดระแวงต่อจอมเวททั้งหมด เลยคาดโทษข้าไว้แปดสิบปี นางคงคิดว่าน่าจะนานพอที่พวกมนุษย์จะลืมๆ เรื่องที่เกิดขึ้นไปได้นะ พูดง่ายๆ คือพวกที่อยู่ในตอนนั้นตายหมดแล้วนั่นแหละ”

“....”

“ข้าเองก็คิดว่าเวลาผ่านไปขนาดนี้ เรื่องมันควรจะจบๆ ลงไปได้แล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ล่ะนะ ฟังจากการที่เจ้าบอกว่าถูกคนจากราชสำนักไปตามหาตัวจนต้องหนีออกมาเมื่อสี่ปีก่อน แล้วยังมีเรื่องที่เจย์รอนลาออกจาการเป็นจอมเวทประจำอาณาจักรบูรพาแล้วเข้าสู่วิหารนิทราอีก... บางทีข้าคงต้องหาวิธีไปสืบเรื่องที่นั่นดู”

“งั้นหลังจากท่านเสร็จธุระที่อาเปสกับอาณาจักรอุดรแล้ว พวกเราก็ไปที่นั่นกันสิ” คาริกว่า “ข้าเองก็อยากจะกลับไปเยี่ยมท่านครูมาดิห์อยู่เหมือนกัน เขาเป็นคนเก็บข้ามาเลี้ยงน่ะ”

“ข้าไปด้วยสิ” โอเรนรีบแทรกแบบกลัวจะตกรถทันที “ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของคาริกนี่นา ให้ข้าไปด้วยเถอะนะ น้า... ถ้าท่านยอมให้ข้าไปด้วย ข้าจะยอมกลับไปที่เทือกเขาไฮดรัสอะไรนั่นโดยไม่งอแงเลย”

“นั่นสิ พาโอเรนไปด้วยเถอะนะ” คาริกรีบเสริมทันที “ไหนๆ เขาก็เดินทางมากับเราขนาดนี้แล้ว ให้เขาได้ไปเห็นโลกกว้างก่อนก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนี่นา... ส่วนค่าเรือเหาะ ข้าขอยืมท่านก่อนแล้วค่อยทำงานใช้ให้ก็ได้”

ไอดิเอลคลี่ยิ้มพลางถอนหายใจอีก “เอาล่ะๆ พวกเจ้าหยุดวางแผนกันเองก่อน... ก็ใช่ว่าข้าอยากจะทำให้พวกเจ้าผิดหวังหรอกนะ แต่ข้าถูกอาณาจักรบูรพาใส่ชื่อเป็นบุคคลต้องห้ามเข้าอาณาจักรตั้งแต่เมื่อเก้าสิบปีก่อน จนตอนนี้สถานะนั้นก็ยังอยู่ ให้ไปอย่างถูกกฎหมายคงไม่ได้หรอก แค่ซื้อตั๋วเรือเหาะไปที่นั่นเขายังไม่ขายให้ข้าเลย ถึงได้บอกว่าคงต้องหาวิธีไปน่ะ”

โอเรนมีสีหน้าผิดหวัง หูตกตาหรี่ทันที คาริกนิ่งไปอึดใจ แล้วโพล่งขึ้นอย่างนึกได้ “งั้นท่านก็ลองแอบขึ้นเรือเหาะสิ ตอนข้าหนีออกมาก็ใช้วิธีแบบนั้นนะ!”

ไอดิเอลเลิกคิ้ว เจ้ามังกรที่ตะกี้ยังทำท่าหงอยอยู่แหม็บๆ มีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“หา เจ้าเคยแอบขึ้นเรือเหาะด้วยหรือ? เป็นไงบ้าง โดนจับได้รึเปล่า”

คาริกหัวเราะเขินๆ “โดนจับได้สิ แต่โชคดีที่คนที่จับข้าได้เขาสงสาร เลยเรี่ยไรเพื่อนๆ ช่วยออกค่าตั๋วให้ แล้วพาข้าไปฝากทำงานที่สมาคมคุ้มกันตอนไปถึงอาณาจักรหรดีแล้วน่ะ”

“ว้าว” โอเรนร้อง ได้ยินเสียงไอดิเอลพูดขึ้น

“เจ้านี่ก็ไม่ถึงกับอับโชคเสียทีเดียวนะ”

“อื้อ... ที่จริงแล้วข้าก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคร้ายเลยนะ แม้กระทั่งตอนได้พบท่านก็เถอะ” เขาหันไปมองไอดิเอล “ท่านเองก็อย่าคิดว่าโชคร้ายที่ได้พบข้าเลยนะ”

อีกฝ่ายหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “นั่นก็ต้องดูล่ะนะว่าเจ้าจะทำให้ข้ารู้สึกแบบนั้นรึเปล่า”

“....”

“ว่าแต่ท่านไอดิเอลนี่เป็นคนดีจริงๆ น้า” โอเรนว่า “ดูที่พวกมนุษย์ทำกับท่านแต่ละอย่างสิ แล้วท่านก็ยังจะช่วยพวกเขาอีก ถ้าเป็นข้าต้องไม่ทำแบบท่านแน่”

จอมเวทยิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะของโอเรนด้วยความเอ็นดู “เพราะเจ้ายังเด็กอยู่น่ะ คนเราพอโตขึ้น ก็จะเริ่มคิดถึงคนอื่นมากขึ้น แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ต่อให้อายุมากขนาดไหนก็ยังคิดถึงแต่ตัวเองเหมือนเด็กๆ อยู่ ข้าเรียกว่าเป็นพวกสมองไม่รู้จักโตน่ะ”

“ถ้าอยากโตเป็นผู้ใหญ่ต้องหัดคิดถึงคนอื่นสินะ” โอเรนพยักหน้า แล้วหันไปหาคาริก “คาริก เจ้าฟังไว้นะ”

“เจ้าบอกตัวเองเถอะน่า” ชายหนุ่มว่า ขณะที่กำลังคุยกันอยู่ รถก็เลี้ยวเข้าสู่ตัวเมือง สองข้างทางเริ่มปรากฏตึกรามรูปร่างแปลกตา สูงบ้างต่ำบ้าง ชั้นล่างมีทั้งที่เป็นตัวร้านเปิดโล่ง และร้านที่กรุกระจก ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ต่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโทนสีออกเทาดำ ปักไหมเลื่อมสีเงินสีทอง โดยมากเป็นชุดคลุมยาว คาริกเห็นแล้วอดถามขึ้นมาอีกไม่ได้

“ทำไมที่นี่แต่งตัวกันแปลกมาก ข้าไม่เคยเห็นคนแต่งตัวแบบนี้ที่ทริโกเนียเลย คนที่อยู่บนนี้มีพลังเวทแบบท่านหมดเลยหรือ”

“ใช่ที่ไหนเล่า” ไอดิเอลว่า “การแต่งตัวของคนที่นี่อาจจะให้ความรู้สึกคล้ายกับข้าหรือจอมเวทบางคนล่ะนะ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นการแต่งตัวเพื่อให้สามารถทนกับสภาพแวดล้อมที่นี่ได้น่ะ เพราะที่นี่อยู่สูงมาก อากาศเลยหนาวและแห้งกว่าปกติ อีกอย่างไม่มีแสงอาทิตย์ส่องถึงโดยตรงด้วย คนปกติเลยต้องสวมเสื้อผ้าแบบพิเศษที่ออกแบบมาให้ดูดซับแสงและเก็บกักความร้อนและความชื้นเอาไว้ในตัว เพื่อที่จะไม่หนาวหรือขาดน้ำตายยังไงล่ะ สีที่เหมาะก็คือพวกโทนสีออกดำๆ เทาๆ แบบที่เจ้าเห็นนี่ล่ะ ส่วนเรื่องปักเลื่อม ข้าคิดว่ามันคงจะทำให้เสื้อผ้าดูโดดเด่นขึ้นมาน่ะ ไม่อย่างนั้นมองไปทางไหนเจ้าก็จะเห็นแต่คนใส่ชุดคลุมสีทึมๆ เดินอยู่ให้ว่อนไป”

“ก็จริงนะ สีพวกนี้ชวนให้รู้สึกหดหู่พิลึก” คาริกว่า โอเรนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะถามขึ้นบ้าง

“แล้วข้าต้องสวมเสื้อผ้าแบบที่ว่านี้ด้วยไหม ข้าก็กลัวจะหนาวกับแห้งตายเหมือนกันนะ”

“ข้าว่าไม่จำเป็นหรอกนะ เพราะถิ่นกำเนิดของเจ้าอยู่บนเทือกเขาสูง เรื่องความกดอากาศกับความหนาวเย็นน่ะ ร่างกายของเจ้าถูกสร้างมาเพื่อให้รองรับได้อยู่แล้ว และขนที่ขึ้นปกคลุมเต็มตัวของเจ้าก็ช่วยไม่ให้ร่างกายของเจ้าสูญเสียน้ำทางผิวหนัง เมื่อคืนเจ้าพักอยู่ที่ห้องของข้าได้ อากาศที่นี่น่ะอุ่นกว่าบนนั้นเยอะเลยล่ะ”

“งั้นให้ข้ามุดอยู่ในอกเสื้อท่านแบบนี้นะ ข้าจะได้แน่ใจว่าไม่หนาวตาย”

“ตามใจเจ้าเถอะ”

คาริกมองเจ้ามังกรด้วยความหมั่นไส้ “จำได้ว่าตะกี้เจ้ายังบ่นว่าในนั้นน่าจะร้อนอยู่เลยไม่ใช่หรือไง”

“ก็ใช่ แต่ตอนนี้ข้ายอมร้อนดีกว่าหนาวตายนะ” อีกฝ่ายลอยหน้าลอยตาตอบ รถค่อยๆ ชะลอความเร็วลง และหยุดจอดหน้าอาคารสีเทาขาว รูปทรงคล้ายเปลือกหอยเรียงซ้อนกัน สูงชะลูดขึ้นไปด้านบน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คงจะเป็นภัตตาคารเปลือกหอยที่ไอดิเอลพูดถึง พอทั้งสามลงจากรถก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทันที พนักงานที่ยืนอยู่ด้านหน้าของร้านรีบเดินออกมาต้อนรับ

“สายัณห์สวัสดิ์ครับท่านไอดิเอล ผู้ติดตามคราวนี้แต่งตัวเก๋นะครับ”

ไอดิเอลยิ้ม “พวกเจ้าไม่เคยเห็นล่ะสิ เขาเป็นพวกพิเศษน่ะ ยังมีโต๊ะว่างไหม”

“มีครับมี เชิญด้านในเลยครับ”

ด้านในภัตตาคารตกแต่งด้วยไฟสีขาวสว่างตา ผนังสองข้างเป็นกระจกขุ่นกึ่งโปรงแสง มองเห็นเงาปลาไหววูบไปมา ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ใต้น้ำ ไอดิเอลอธิบายว่าเงาพวกนั้นเกิดจากลูกเล่นของเครื่องกำเนิดแสง ไม่ใช่เงาของตัวปลาจริงๆ เขาเป็นคนให้ความคิดในการออกแบบภัตตาคารแห่งนี้

“ทะเลคือที่กำเนิดของชีวิต” เขาว่า “ในความเห็นข้าคิดว่าการทำให้สถานที่แห่งนี้มีบรรยากาศของทะเลจะทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งชีวิตในสถานที่ที่ไร้ชีวิตแบบนี้น่ะ”

แม้คาริกกับโอเรนจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่พวกเขาก็ตื่นตาตื่นใจกับการออกแบบนี้จนลืมเรื่องท้องหิวไปชั่วขณะ กระทั่งได้กลิ่นของอาหารโชยมานั่นแหละ

ไอดิเอลสั่งสลัดผักแปดชนิดให้โอเรน ส่วนคาริกสั่งอาหารชุดสำหรับสี่คนกิน พวกเขานั่งที่โต๊ะซึ่งมีฉากกั้นแยกออกไป ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับความสนใจจากคนที่อยู่ในภัตตาคารอยู่ดี

“คนที่นี่แปลกแฮะ” โอเรนพูดขึ้นระหว่างที่กำลังเคี้ยวผักอยู่ “ตอนที่เราเดินทางกันมา ข้าเห็นทุกคนสนใจแต่ท่านไอดิเอล แต่พอเรามาถึงที่นี่ ดูเหมือนทุกคนจะสนใจมองคาริกมากกว่าท่านแฮะ”

“งั้นหรือ แต่ข้าว่าเจ้ากับไอดิเอลน่ะน่าสนใจมากกว่าอีก จอมเวทที่มีตุ๊กตารูปกระรอกนั่งอยู่ในอกเสื้อเนี่ย ข้าล่ะแปลกใจจริงๆ ที่ไม่มีใครทักเรื่องนี้เลย”

ไอดิเอลหัวเราะ “เพราะพวกเขามีมารยาทน่ะ หรือบางทีอาจจะไม่อยากถูกสาป ถามสิ่งที่จอมเวทไม่อยากตอบนี่อาจถูกสาปเอาได้นะ”

คาริกมองอีกฝ่ายอย่างแหยงๆ “ท่านนี่นะ...”

“ว่าแต่ข้าพูดจริงๆ นะ” โอเรนพูดขึ้นต่อ “เรื่องคาริกน่ะ ตะกี้พนักงานต้อนรับที่อยู่หน้าร้านยังทักเขาเลย ข้าว่าเขาสนใจคาริกมากนะ”

“อ้อ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะ” ไอดิเอลว่า “ที่นี่น่ะมีจอมเวทเดินทางมาบ่อยๆ แต่พวกลูบิดแบบคาริกน่ะข้าว่าน่าจะยังไม่มีใครเคยเห็นเลยล่ะ”

“หืม ข้าดูต่างจากคนทั่วไปขนาดนั้นเลยหรือ” คนถูกพูดถึงมีสีหน้าแปลกใจ “ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้สึกเลยล่ะ”

“ที่จริงแล้วเจ้าก็ดูไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปหรอก” ไอดิเอลว่า “เว้นแต่ว่าเจ้าสวมเสื้อผ้าปกติแบบที่คนบนพื้นล่างใส่กันเดินเล่นอยู่บนนี้ได้โดยที่ไม่เป็นอะไรน่ะนะ เพราะงั้นทุกคนถึงได้สนใจเจ้ายังไงล่ะ”

“อ่า... งั้นหรือ ข้ารู้สึกเขินนะเนี่ย” คาริกพูดพลางยกมือลูบใบหู “มันทำให้ข้าดูประหลาดใช่ไหม?”

“ก็ใช่ แต่ไม่เห็นจะมีอะไรไม่ดีนี่”

“ก็จริงของท่านแฮะ”

“ว่าแต่มนุษย์แบบคาริกหายากมากเลยหรือ” โอเรนถามขึ้นต่อ “ข้าว่าจอมเวทแบบท่านน่าจะหายากกว่านะ”

“การกลายพันธุ์เท่าที่ข้ารู้ พบเฉพาะในอาณาจักรบูรพาน่ะ หลังจากเกิดเรื่องข้าไม่แน่ใจว่าทางอาณาจักรจัดการกับคนพวกนั้นยังไง แต่ข้าไม่เคยเจอพวกลูบิดนอกอาณาจักรบูรพาเลย เพิ่งมาเจอเจ้าคาริกคนแรกนี่แหละ ขนาดว่าข้าเดินทางตลอดนะ ส่วนจอมเวทอาจจะเป็นของหายากที่อื่น แต่พวกเรามักจะมาหาซื้อของที่นี่บ่อยๆ น่ะ เคยบอกพวกเจ้าหรือยังว่าที่นี่เป็นที่เดียวที่สามารถซื้อขายศิลาธาตุอย่างถูกกฎหมายได้”

“ยังหรอก แต่เหมือนมาร์คัสจะเคยเล่าให้ฟังแล้วน่ะ” คาริกว่า แล้วพูดขึ้นอย่างนึกได้ “จริงสิ ที่นี่มีขายรถด้วยใช่ไหม ข้าขอไปดูได้รึเปล่า อยากจะเห็นน่ะว่ามีรถกี่แบบ”

จอมเวทยิ้มออกมา “มีสิ เจ้ากินให้เสร็จแล้วเอาดาบไปจัดการที่ร้านอาวุธก่อน เราค่อยไปเดินตลาดรถกัน ถ้าวันนี้ไม่ทันก็ยังมีพรุ่งนี้อีก ไม่ต้องใจร้อนไปหรอก”

“เออ... นั่นสินะ” คาริกเกาใบหูอย่างเขินๆ แล้วจึงก้มหน้าก้มตากินอาหารที่สั่งมาต่อ

...............................................


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด