ทางเขาสภาอยู่สุดทางเดิน ตลอดสองข้างทางนอกจากรูปหล่อขนาดมหึมาที่วางขนาบผนังแล้ว บนพื้นยังจัดวางไปด้วยโต๊ะยาวอย่างที่ใช้ในงานพบปะสังสรรค์ แต่ละโต๊ะจะถูกคั่นไว้ด้วยฉากที่ประดิษฐ์จากโลหะฉลุลายอย่างวิจิตร คาริกหันไปกระซิบถามไอดิเอลที่เดินอยู่ข้างๆ
“นี่ โต๊ะพวกนี้มีไว้ทำอะไรหรือ ข้าว่าเยอะพอจะให้คนนั่งได้เป็นร้อยเลยนะ”
“มีไว้สำหรับใช้จัดเลี้ยงมนุษย์ที่มาประชุมสภาน่ะ” ไอดิเอลว่า “แล้วก็ไว้รับรองผู้ติดตามด้วย”
“โห... แสดงว่าต้องมีคนมาเยอะมากน่ะสิ ทำไงดีล่ะ ข้าไม่เคยยืนพูดต่อคนเยอะแยะมาก่อนด้วย ว่าแต่เดี๋ยวข้าต้องขึ้นพูดรึเปล่า”
ไอดิเอลหัวเราะ “ฟัยรุซากับเวโรนิกาน่าจะสอบถามเรื่องกับเจ้า แต่ไม่ต้องกังวลหรอก การประชุมคราวนี้มีแค่พวกเราเท่านั้น”
“ใช่แล้วล่ะ” เวโรนิกาที่อยู่ถัดไปพูดขึ้นมา “ส่วนจะมีประชุมใหญ่รึเปล่า คงต้องดูว่าไอดิเอลสืบได้อะไรบ้าง”
“อ้อ...”
ประตูทางเข้าสภาเป็นประตูทรงโค้ง บานประตูมีแนวแสงไฟสีเรืองพาดเลื้อยเป็นลายเถา เหนือขึ้นไปมีตราจอมเวทเรียงกันอยู่สิบหกตรา แต่ละตราส่องแสงสีทองเรืองรองเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ด้านหลังประตูคือโถงประชุมทรงครึ่งวงกลม สองข้างคือที่นั่งเรียงเป็นชั้นสูงขึ้นไป ตรงกลางมีคอกพอดีคนสี่คนนั่ง เลยจากคอกตรงกลางคือเก้าอี้แบบบัลลังก์จำนวนสิบหกตัว แต่ละตัวมีตราจอมเวทประดับอยู่ ด้านหลังคือรูปหล่อเทพแห่งแสงและเทพีแห่งความมืดที่สูงตระหง่านง้ำขึ้นไปบนเพดานที่มองดูคล้ายท้องฟ้าในยามราตรี คาริกถึงกับรำพึงออกมา
“นี่มันกลางวันหรือกลางคืนกันแน่เนี่ย”
“กลางวันสิ” ไอดิเอลว่า “แต่ท้องฟ้าที่เจ้าเห็นเป็นภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี เหมือนกับห้องโถงรับรองข้างนอกนั่นแหละ ปกติถ้าเป็นการประชุมใหญ่ เราจะใช้ท้องฟ้าช่วงกลางวัน แต่นี่พวกเราประชุมกันเอง เลยเปลี่ยนเป็นท้องฟ้าตอนกลางคืนน่ะ”
“ทำไมถึงต้องเป็นท้องฟ้าตอนกลางคืนล่ะ?”
“เพราะมันหมายถึงเทพีแห่งความมืด มารดาผู้ประทานเวทมนตร์ให้กับพวกเราน่ะสิ”
คนตอบไม่ใช่ไอดิเอล แต่เป็นทีมัวร์ เขานั่งอยู่บนนั่งร้านเล็กๆ ตรงมุมห้องด้านขวา ไอดิเอลถามขึ้นทันที
“เจ้าขึ้นไปทำอะไรบนนั้น?”
“อ๋อ ข้ารอพวกท่านอยู่นานแล้ว ยังไม่เห็นเข้ากันมาสักที เลยขึ้นมาดูแผงวงจรตรงนี้ เผื่อว่าจะปรับแก้อะไรน่ะ”
“เจ้ายังจะปรับแก้อะไรอีก” ฟัยรุซาว่า อีกฝ่ายตอบทันที
“ก็กำลังคิดอยู่นะ”
“งั้นเจ้าก็ลงมาเถอะ” นางว่า “ไม่ต้องปรับแก้อะไรทั้งนั้นแหละ”
“ก็ได้ๆ” ทีมัวร์ว่า แล้วไต่กระย่องกระแย่งลงมาจากนั่งร้าน ด้วยเสื้อและผ้าคลุมที่เขาสวม รวมถึงไม้เท้าที่ถือติดมือมาด้วย ทำให้ดูทุลักทุเลจนเหมือนจะร่วงมากกว่าจะลง
“เหวอ!”
คาริกขยับตัวตามสัญชาตญาณ แต่ยังช้ากว่าใครอีกคน ร่างนั้นพุ่งผ่านเขาไปเหมือนสายลม พริบตาที่ร่างของทีมัวร์กำลังจะหล่นลงพื้น ใครคนหนึ่งก็รับเขาไว้ได้ทัน
“ขอบใจ กราวิส” จอมเวทกล่าวพลางเหยียดตัวลงยืน แล้วจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ คนที่รับเขาเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบห้าปี มีผมสีขาวแซมเทา ผิวสีแทน สวมชุดยาวสีขาว ด้านหลังสะพายดาบคู่ เขาค้อมตัวให้ทีมัวร์เป็นเชิงทำความเคารพ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ไอดิเอลก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“เจ้าไปรับเขาทำไม นั่งร้านแค่นี้เอง ไม่ตายหรอก”
ทีมัวร์หันมาถลึงตาใส่ทันที “นี่ ใจคอท่านจะปล่อยให้ข้าตกลงมาจริงๆ หรือไง”
“ถ้าเจ้าสะเพร่ากับเลินเล่อขนาดนี้ ข้าเห็นว่าปล่อยให้ตกลงมาน่าจะเป็นบทเรียนที่เข้าท่านะ”
“ของมันพลาดกันได้น่า” ทีมัวร์ยังคงแก้ตัวต่อ “ข้าไม่ค่อยได้ใส่ชุดเต็มยศแบบนี้ ขยับได้ง่ายๆ เสียทีไหน”
“ถ้าเจ้ารู้แบบนั้นก็ไม่ควรจะปีนขึ้นไปบนนั่งร้านนั่นแต่แรก” เวโรนิกาว่า “ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ทำไม”
“ทำไมท่านพูดจาไร้เยื่อใยแบบนั้น” อีกฝ่ายโอดครวญ “ข้ามาในฐานะพยานฝ่ายพวกเรานะ ท่านไอดิเอลได้ให้ข้าทำการทดลองเกี่ยวกับเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารเมื่อคืนนี้ ว่ามนุษย์สามารถใช้มันเพื่อส่งสิ่งมีชีวิตได้ไหม อ่า... ข้าทำสำเนารายงานมาให้ท่านด้วยนะ”
พูดจบเขาก็เดินรี่เข้ามา คาริกจึงเห็นว่าเจ้าตัวสวมชุดยาวสีน้ำตาลเข้ม สวมผ้าคลุมสีน้ำตาลขลิบทอง ทั้งยังสวมเครื่องประดับอย่างจอมเวท และถือไม้เท้าที่ทำจากโลหะอีกอันหนึ่ง ได้ยินเสียงโอเรนทักขึ้นทันที
“ว้าว วันนี้ท่านแต่งตัวเหมือนจอมเวทเลย”
คนถูกทักชะงักกึก ก่อนจะหัวเราะขวยๆ “ปกติข้าก็เป็นจอมเวทอยู่แล้วนะ”
เขาล้วงซองเอกสารจากในอกเสื้อ ยื่นให้เวโรนิกา ตอนนี้คาริกถึงเพิ่งได้มองคนที่เดินตามมาด้านหลัง พลางนึกประหลาดใจว่าทำไมถึงไม่ทันได้สังเกตทั้งที่ฝ่ายนั้นก็ออกจะมีร่างกายสูงใหญ่ และมีลักษณะโดดเด่นเสียขนาดนี้ เหมือนกราวิสจะรู้สึกตัวว่าถูกมองอยู่ จึงหันมายิ้มให้
“ไง เรื่องที่แคนเดนส์น่ะ ขอบใจนะ ถ้าไม่มีเจ้า นายกองแกเรียนอาจจะเหลือแต่ชื่อก็ได้”
“อา... ท่านรู้จักกับเขาหรือ?”
อีกฝ่ายผงกศีรษะ “เขาเคยเป็นนักเรียนของข้า เป็นเด็กที่มีน้ำใจและกล้าหาญทีเดียว”
คาริกรู้สึกแปลกๆ กับคำว่าเด็กของฝ่ายนั้น ขณะที่ไอดิเอลหันมามองพวกเขา
“พวกเจ้ารู้จักกันแล้วรึ?”
“ยังไม่ได้แนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการหรอกครับ” ฝ่ายที่ตอบคือกราวิส “ข้ายืนฟังพวกท่านคุยกันเมื่อตะกี้น่ะ”
“อ้อ นั่นสินะ ข้าเองก็ลืมไปเสียสนิท” ไอดิเอลว่า แล้วบุ้ยหน้าไปยังชายหนุ่มและมังกรที่เกาะอยู่บนศีรษะ “เจ้าเด็กนี่ชื่อคาริก อายุสิบแปด เขารู้จักกับนายกองแกเรียน ข้าคิดว่านะ... ส่วนที่อยู่บนศีรษะของเขาคือนูเบส โฟลิอุม เขามีชื่อว่าโอเรน ข้าแนะนำเจ้าให้พวกเขาฟังคร่าวๆ แล้ว... เออ ดาบนี่เหลาจากเขาของแมกนิส คอร์นิบัสน่ะ ช่วยดูให้หน่อยสิว่าพอจะใช้ได้ไหม ถ้าต้องหาใหม่ก็ช่วยแนะนำหน่อยแล้วกัน ข้าน่ะไม่ค่อยได้ยุ่งเรื่องอาวุธใหม่ๆ มานานแล้ว”
กราวิสผงกศีรษะ “ได้ครับ ข้าจะดูให้ อาจจะเป็นช่วงหลังจากประชุมเสร็จแล้ว”
“ใช่แล้วล่ะ” ฟัยรุซาพูดขึ้นมา “ตอนนี้เรากำลังอยู่ในห้องประชุมอันศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยๆ ก่อนจะคุยกันเรื่องอื่น เจ้าควรจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อน”
“ก็ได้ๆ” ไอดิเอลยกมือขึ้นโบก เขาหันไปหาคาริก “งั้นเจ้าไปนั่งกับกราวิส เขาจะได้อธิบายอะไรๆ ให้เจ้าฟัง ระหว่างที่ข้าเสนอรายงานต่อสภาอันศักดิ์สิทธิ์นี่”
คาริกมีสีหน้าเลิกลั่กเล็กน้อย ขณะที่เวโรนิกาพูดขึ้น “จะมีการสอบถามพวกเจ้าในฐานะพยาน ในเมื่อไอดิเอลมีภาระ ก็ให้กราวิสช่วยพวกเจ้าเถอะ”
คาริกพยักหน้า กราวิสจึงเดินนำเขาไปยังที่นั่งซึ่งอยู่ด้านขวามือ ส่วนไอดิเอลเดินไปยืนในคอกตรงกลาง เวโรนิกา ทีมัวร์ ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ประจำตัว ฟัยรุซานั่งบัลลังก์ตัวหน้าสุด กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวานน่าเกรงขาม
“เปิดการประชุมย่อยสภากลาง ครั้งที่สิบเจ็ดของปี ฉ.ศ. หนึ่งพัน (ฉศักราช=ปีแห่งหก จำนวนปีตั้งแต่ก่อตั้งหกอาณาจักร) เดือนหก วันที่สิบสี่ ข้า ครีซุส ฟัยรุซา เป็นประธานการประชุม สมาชิกผู้เข้าประชุมโปรดขานชื่อตามลำดับ”
กราวิสหันมากระซิบกับคาริก “พวกเจ้าขานชื่อต่อจากข้านะ เจ้าขานก่อนคาริก ให้แจ้งต่อสภาว่าเจ้าคือคาริก ผู้ใช้ชีวิตเดียวกับคานุส ไอดิเอล และเป็นพยานในหัวข้อการประชุม ส่วนเจ้านะ มังกรน้อย ให้ขานชื่อของเจ้าตามด้วยเผ่าพันธุ์ แล้วตามด้วยพยานให้หัวข้อการประชุมเหมือนกัน เข้าใจนะ”
ทั้งสองคนพยักหน้า ขณะที่ไอดิเอลซึ่งยืนอยู่ในคอกขานชื่อเป็นคนแรก
“ข้า คานุส ไอดิเอล สมาชิกสภาลำดับสอง เป็นผู้เสนอหัวข้อการประชุม”
“ข้า โรเซอุส เวโรนิกา สมาชิกสภาลำดับห้า จอมเวทประจำราชสำนักหรดี ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงกับหัวข้อการประชุม”
“ข้า อัมบรินุส ทีมัวร์ สมาชิกสภาลำดับแปด ทำหน้าที่เลขานุการสภา และเป็นผู้เกี่ยวข้องกับหัวข้อของการประชุม”
“ข้า กราวิส ผู้ใช้ชีวิตเดียวกับโรเซอุส เวโรนิกา มาในฐานะผู้ติดตามและผู้เกี่ยวข้องรองกับหัวข้อการประชุม”
คาริกรู้สึกเกร็งเล็กน้อย เขากลั้นใจพูดออกไป “ข้า คาริก ผู้ใช้ชีวิตเดียวกับ เอ่อ... คานุส ไอดิเอล แล้วก็... อ้อ เป็นพยานในหัวข้อการประชุมน่ะ”
“ส่วนข้าชื่อโอเรน นูเบส โฟลิอุมรายแรกที่มาที่นี่ ข้าเป็นพยานในหัวข้อการประชุมเหมือนกัน”
โอเรนพูดคล่องปร๋อจนคาริกที่รู้สึกว่าตัวเองตะกุกตะกักจนน่าอายยังอดรู้สึกนับถือไม่ได้ เขาหันไปกระซิบกับเจ้ามังกร
“นี่เจ้าพูดคล่องจังนะ”
“อ๋อ แน่นอนสิ พูดสั้นๆ เอง” อีกฝ่ายว่า “ข้ายังพูดได้ยาวกว่านี้อีกนะ”
ไอดิเอลส่งเสียงขึ้นต่อ “หัวข้อที่ข้าจะยกขึ้นมาประชุม คือการโจมตีที่เกิดขึ้นที่เมืองแคนเดนส์ อาณาจักรหรดี” เขาหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กออกมาจากอกเสื้อ “เหตุเกิดวันที่สามเดือนหก ฉ.ศ. หนึ่งพัน ข้าได้รับแจ้งจากโรเซอุส เวโรนิกาภายในวันเดียวกัน ใช้เวลาเดินทางจากทริโกเนียไปถึงที่เกิดเหตุวันที่ห้าเดือนหก พบ...”
บันทึกที่ไอดิเอลรายงานต่อสภานั้นละเอียดเสียจนคาริกยังทึ่ง บรรยายกระทั่งสภาพบ้านเมือง ถนน จำนวนประชาชนและทหารที่ได้รับบาดเจ็บ มาตรการที่ใช้ และยังกล่าวถึงเขาไว้อย่างโดดเด่นจนชายหนุ่มรู้สึกเขิน หลังจากรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมถึงรายละเอียดที่ได้จากการอ่านความทรงจำของโอเรน เวโรนิกาก็เรียกตัวเขาและโอเรนเพื่อซักถามรายละเอียดปลีกย่อย ก่อนจะหันไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องการทดลองกับทีมัวร์
“ที่จริงแล้วในความเห็นของข้านะ มนุษย์น่ะทำเรื่องนี้ได้ไม่ยากหรอก” นางพูดขึ้นหลังจากสอบถามจนเป็นที่พอใจแล้ว “เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ข้าเพิ่งทดลองให้นักเรียนเวทในโรงเรียนของอาณาจักร ทดลงใช้วงแหวนเวทย้ายมิติ เคลื่อนย้ายม้าสามตัวไปยังโรงเรียนสาขาที่อยู่ห่างออกไปประมาณร้อยเส้น แล้วก็ให้ทางนั้นส่งกลับมา ผลคือพวกเขาสามารถส่งม้าไปและกลับมาได้อย่างปลอดภัยทั้งสามตัว ในการส่งม้าแต่ละตัวใช้นักเรียนเวทประมาณห้าคนต่อครั้ง รวมแล้วใช้นักเรียนเวทประมาณสามสิบคน เพราะงั้นถ้าคิดจะส่งอิกเน่ ลาเชอร์ตาไปที่แคนเดนส์ล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารก็ทำได้เช่นกัน”
“นี่เจ้าสอนมนุษย์ให้ใช้เวทเคลื่อนย้ายมวลสารแล้วหรือ” ไอดิเอลถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “อาณาจักรอื่นรู้แล้วหรือยัง?”
“เรื่องนี้ผ่านการประชุมของสภากลางตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว” เวโรนิกาว่า “ข้าเป็นคนเสนอเอง เพราะฝ่าบาทเห็นว่าต้องมีมาตรการรับมือกับการแผ่ขยายอำนาจของอาณาจักรประจิม ที่จริงแล้วแต่ละอาณาจักรก็มีความต้องการจะทำเรื่องนี้กันอยู่แล้ว ส่วนการพัฒนาความสามารถอาจจะต้องดูถึงศักยภาพและจำนวนนักเวทที่อาณาจักรนั้นๆ มีน่ะ”
“ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”
“ก็ท่านไม่ได้เข้าร่วมประชุม” เวโรนิกาว่า “ข้าแนะนำว่าครั้งหน้าท่านควรเข้าร่วมประชุมตามคำเชิญบ้าง”
ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก ฟัยรุซาจึงพูดตัดบท
“สรุปคือคนที่ทำเรื่องในคราวนี้อาจเป็นได้ทั้งจอมเวทและมนุษย์ แต่ที่แน่ๆ ต้องเป็นกลุ่มที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์อย่างแน่นอน พวกเราคงหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ ข้าจะแจ้งให้จอมเวทที่ประจำอยู่ที่อาณาจักรต่างๆ ส่งรายงานเกี่ยวกับสถานะของกลุ่มผู้ใช้เวทและผู้เกี่ยวข้องเข้ามาที่สภากลาง จะได้ใช้เป็นฐานข้อมูลในการตรวจสอบ มีใครมีคำถามหรือเรื่องอะไรจะเสนออีกไหม?”
“เรื่องนี้จะต้องรายงานให้อาณาจักรอื่นรับทราบอย่างเป็นทางการด้วยรึเปล่า” ไอดิเอลถามขึ้น เวโรนิการีบพูดตอบ
“ข้าเห็นว่ายังไม่จำเป็น เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในอาณาจักรหรดี มันควรจะเป็นเรื่องภายในมากกว่า”
“ข้าเห็นด้วยตามนั้น” ฟัยรุซาว่า นางถามขึ้นอีก
“ยังมีใครมีความเห็นอะไรอีกไหม”
“....”
“ในเมื่อไม่มีใครมีคำถามหรือข้อเสนออะไรแล้ว ข้าขอปิดการประชุม”
นางยกค้อนไม้ทุบลงบนแท่น เป็นสัญญาณเลิกการประชุม ไอดิเอลพูดขึ้นต่อหลังจากนั้น
“ข้าติดใจเรื่องมนุษย์ที่ชื่อวัลคอตอยู่นะ คิดว่าคงจะเดินทางขึ้นเหนือไปที่อาณาจักรอุดร หลังเสร็จธุระเรื่องโอเรนแล้ว โอเบรอนยังประจำอยู่ที่นั่นใช่ไหม”
“อืม” ฟัยรุซาพยักหน้า “เขายังอยู่ที่นั่น เจ้าไปอาณาจักรอุดรครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ก่อนหรือหลังไปสืบเรื่องพวกลูบิ”
“หลังสิ” ไอดิเอลว่า “นอกจากอาณาจักรบูรพา ที่อื่นเขายังยินดีต้อนรับข้าอยู่นะ ข้าไปครั้งล่าสุดเมื่อประมาณเจ็ดปีก่อน ไปล่าปิศาจหิมะน่ะ”
“ว้าว ปิศาจหิมะ” ทีมัวร์ร้องขึ้นมา “มันมีจริงๆ หรือ?”
“ไม่มีหรอก” ไอดิเอลว่า “มันคือสัตว์ระดับห้าที่มีความสามารถในการควบคุมน้ำแข็งน่ะ แต่ตัวมันเล็กเลยสร้างภาพลวงตามาเพื่อขู่เหยื่อกับศัตรู มนุษย์ไปเจอก็เลยกลายเป็นเรื่องผีๆ สางๆ ไป ข้าส่งบันทึกเรื่องของเจ้าตัวนี่ไปให้โอเบรอนแล้ว รู้สึกตอนนี้น่าจะถูกบรรจุเป็นสัตว์ประจำถิ่นของอาณาจักรอุดรไปเรียบร้อยแล้วนะ”
ทีมัวร์มีสีหน้าผิดหวัง “อย่างนั้นหรือ ข้าคิดว่าปิศาจมีอยู่จริงเสียอีก”
“มันอาจจะมีอยู่จริงก็ได้” ไอดิเอลพูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เขานิ่งไปอึดใจจึงพูดขึ้นต่อ “จำเรื่องนูบิลุสได้ไหม?”
“ที่เคยมีจารึกไว้ในวิหารสินะ” เวโรนิกาว่า “ทำไมท่านถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ ปกติท่านไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลยนี่นา”
“ข้าคิดว่าข้าเห็นมันน่ะ”
“หา ท่านเห็นสิ่งมีชีวิตในตำนานนั่นหรือ” ทีมัวร์ร้องขึ้น “ที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไมท่านถึงไม่เล่าให้ข้าฟังเมื่อวานเนี่ย นี่มันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าการที่มีอิกเน่ ลาเชอร์ตาหลุดไปเพ่นพ่านที่อาณาจักรหรดีอีกนะ”
“ทีมัวร์” ฟัยรุซาส่งเสียงเป็นเชิงปราม “นี่ไม่ใช่เรื่องสนุกนะ”
คนถูกปรามทำหน้าหงอยไปเล็กน้อย ฟัยรุซาหันไปหาไอดิเอล “เจ้าเห็นมันที่ไหน?”
“ในนิมิต” ไอดิเอลตอบ “ตอนข้านอนกับคาริกครั้งแรก ข้าเห็นมันในนิมิตของเขา”
“ในนิมิตของพวกลูบิดงั้นหรือ” เวโรนิกาคราง “ท่านแน่ใจนะว่าเป็นมันน่ะ”
“ข้าแน่ใจ พลังงานของมันเป็นรูปแบบที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งมันยังแสดงรูปร่างตรงกับที่มีการบันทึกเอาไว้ และมันยังกล่าวถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นคืนชีพด้วย” เขาพลิกหน้าสมุดบันทึกในมือ ก่อนจะอ่านข้อความในนั้น
“จงมาร่วมกับข้า บุตรผู้เกิดจากศิลาแห่งชีวิต ในฐานะผู้ถือกำเนิดพร้อมกันกับโลกใบนี้ และบุตรแห่งพระมารดา อีกไม่นานข้าจะตื่นขึ้นและนำทัพแห่งความมืดเข้าทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เทพแห่งแสงได้สร้างไว้ แสงสว่างจะต้องล่าถอยไป แผ่นดินจะกลับมาสู่ความมืดมิดอีกครั้ง...”
“เมื่อสายเลือดแห่งศิลาไหลมาบรรจบ ทำนบที่กักขังบุตรแห่งความมืดจักพังทลาย ราชาแห่งหายนะจะหวนคืนสู่แผ่นดินอีกครา ในย่ำรุ่งอันไร้ซึ่งแสงอุษา ทัพแห่งตรีดาราจักกรีฑาย่ำปฐพี”
ถ้อยคำที่เวโรนิกากล่าวออกมาทำให้คาริกขนลุกซู่ เขาได้ยินนางกล่าวขึ้นต่อ “นี่คือคำทำนายส่วนหนึ่งที่จารึกในวิหาร... โอ ไอดิเอล พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่ถือกำเนิดจากศิลาศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพกาล ส่วนเขาคือมนุษย์ที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของพลังแห่งศิลาในอีกพันกว่าปีให้หลัง หากการที่เขาได้มาใช้ชีวิตเดียวกับท่านคือปฐมบทของคำทำนายล่ะก็...”
“อา... นี่เองสินะคือสิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกเป็นกังวล” ฟัยรุซาว่า
“มันคือคำทำนายเกี่ยวกับอะไรน่ะ” คาริกหันไปกระซิบถามกราวิส อีกฝ่ายสั่นศีรษะ คนที่ตอบคำถามของเขาคือฟัยรุซา
“มันคือคำทำนายวันสิ้นสูญแห่งมวลมนุษยชาติ เป็นคำทำนายที่เคยจารึกเอาไว้ในวิหารแห่งรัตติกาลเมื่อราวพันกว่าปีก่อน ที่เจ้าได้ยินไปเป็นคำทำนายส่วนแรกเท่านั้น”
“ยังมีต่ออีกหรือ”
“ใช่แล้ว” อีกฝ่ายผงกศีรษะ “คำทำนายส่วนที่สองกล่าวว่า... แผ่นดินจักเกิดวิปริต อากาศจักเป็นพิษ โรคระบาดจะแพร่กระจาย ทุกหนแห่งที่แสงตะวันไม่อาจสาดถึงจะกลายเป็นแหล่งรวมความหายนะ”
“อา...”
“แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ในท่อนนี้หรอก” นางกล่าวต่อ “เมื่อครบราตรีที่เจ็ด โลกจักร้างจากมนุษย์ ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล ในวันที่แปด แสงอุษาแรกจักสาดส่องพื้นปฐพี ราตรีจักกลับคืนสู่ปกติวิสัย สรรพสิ่งจักหวนคืนสู่จุดเดิมที่เริ่มมา”
“....”
“ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยออกจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล” ไอดิเอลทวนคำ “นี่สินะประเด็นสำคัญ”
“อืม” ฟัยรุซาผงกศีรษะ แล้วทวนประโยคนั้นอีกครั้ง “ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยออกจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล”
“เอ่อ... ขอข้าแทรกหน่อยนะ” คาริกว่า “พวกท่านทวนวรรคนี้ซ้ำกัน มันหมายความว่ายังไงน่ะ ยังมีเจ้าตัวที่น่ากลัวยิ่งกว่าที่ข้าเห็นในฝันนั้นถูกขังอยู่อีกหรือ หากมันฟื้นคืนชีพขึ้นมาจะปล่อยพวกนั้นออกมาใช่ไหม?”
“ที่จริงแล้วข้าก็เข้าใจอย่างนั้นมาโดยตลอดนะ” ทีมัวร์ว่า “จนกระทั่งท่านไอดิเอลเล่าเรื่องนิมิตนี่แหละ”
“ทำไมล่ะ?”
คนถูกถามกะพริบตาปริบๆ เขาหันไปมองไอดิเอล ฝ่ายนั้นจึงพูดขึ้นต่อ “ข้าคิดว่าผู้ที่ถูกคุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล ไม่ใช่ปิศาจหรือสัตว์ประหลาดอะไรที่ไหนหรอก น่าจะหมายถึงพวกเราเหล่าจอมเวทนี่แหละ”
“หา!?”
“ใช่แล้วล่ะ” ฟัยรุซาว่า “พวกเราคือผู้ถือกำเนิดจากศิลาแห่งบรรพกาล มีชีวิตอยู่ในร่างอันมีอายุขัยเกือบเป็นอนันต์ โดยโทษทัณฑ์ที่ไม่อาจรักษารากฐานแห่งมารดรเอาไว้ได้ หากจะกล่าวว่าร่างนี้คือที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์ ข้าคิดว่าคงไม่ผิดไปนักหรอก”
“ผู้ที่เข้าร่วมกับทัพแห่งตรีดาราจะถูกปลดปล่อยจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาล” คาริกทวนประโยคนั้นอีกครั้ง ก่อนจะโพล่งออกมา “หมายความว่าพวกท่านจะเข้าร่วมกับกองทัพตรีดารานั่นเพื่อทำลายล้างมนุษย์งั้นหรือ!?”
“เพื่อที่จะได้รับการปลดปล่อยจากที่คุมขังอันเป็นนิรันดร์กาลต่างหาก” ไอดิเอลว่า “เจ้าไม่เข้าใจความหมายหรือไง”
“แล้วมันไม่ได้หมายถึงการทำลายล้างมนุษย์ตรงไหนล่ะ” อีกฝ่ายยังคงเถียง ไอดิเอลสั่นศีรษะพลางถอนหายใจ
“ฟังข้าให้ดีนะ หากบุตรแห่งความมืดตื่นขึ้นมา มนุษย์จะต้องถูกทำลายล้างอยู่ดี ไม่ว่าพวกเราจะเข้าร่วมหรือไม่ก็ตาม”
“แต่ท่านจะไม่เข้าร่วมใช่ไหม? ข้าหมายถึง พวกเราจะไม่เข้าร่วม... มันต้องมีวิธีที่จะหยุดการคืนชีพนี้สิ” คาริกว่า “มันเป็นแค่คำทำนายเท่านั้น บางทีมันอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้”
แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจของชายหนุ่มกลับสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวจากก้นบึ้ง เขาพูดขึ้นต่อโดยไม่อาจระงับ
“ข้าไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อมองดูเพื่อนมนุษย์ด้วยกันถูกทำลายล้างไปหรอกนะ”
“นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อเจ้ามีชีวิตอันเป็นนิรันดร์” ไอดิเอลว่า “เจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงการสูญเสีย ทุกสิ่งที่เจ้ารัก ทุกคนที่เจ้ารู้จัก จะต้องถูกความตายพรากจากไป”
“นั่นข้ารู้” ชายหนุ่มว่า “แต่ไม่ใช่แบบนี้สิ ไม่ใช่เพราะข้าเป็นต้นเหตุ ในฐานะที่ข้าใช้ชีวิตเดียวกับท่านนะ ข้าขอประกาศเลยว่าข้าจะไม่เข้าร่วม ถ้าข้าเป็นคนปลุกมันขึ้นมา ข้าก็จะขอสู้กับมันจนตัวตาย”
เวโรนิกากับฟัยรุซาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ทีมัวร์หัวเราะออกมา “ดูท่าทางท่านจะลำบากซะล่ะนะ ท่านไอดิเอล”
คนถูกกล่าวถึงยักไหล่ ขณะที่ฟัยรุซาพูดขึ้นมา “อย่างนี้เองสินะ... นูบิลุสจึงปรากฏในนิมิตของเจ้าหนุ่มนั่น น่าสนใจทีเดียว”
“แบบนี้ชะตากรรมของมนุษย์อาจจะไม่สิ้นสุดเสียทีเดียวก็ได้” เวโรนิกาว่า “ข้าคิดว่าเราควรจะปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่างน้อยๆ ก็เพื่อไม่ให้ทั้งหกอาณาจักรพุ่งเป้าหมายมาที่พวกเขาทั้งสองคน”
“ข้าเห็นด้วยนะ” ทีมัวร์ว่า “ถึงข้าไม่ใช่โอเลกซ์ แต่ก็พอจะเห็นอยู่หรอกว่าเวลาที่มนุษย์พยายามต่อต้านคำทำนาย มักจะทำให้ผลปรากฏเป็นจริงทุกที”
“เพื่อให้เป็นผลดีต่อพวกเราทั้งหมด” ฟัยรุซาว่า “ข้าเห็นด้วยที่ควรจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เราไม่รู้ว่าคำทำนายมีโอกาสเป็นจริงแค่ไหน แต่กันไว้อย่างที่เวโรนิกาว่าจะดีกว่า”
“แล้วถ้าบุตรแห่งความมืดคืนชีพขึ้นมาจริงๆ ล่ะ” ทีมัวร์ว่า “พวกเราควรจะอยู่ฝั่งไหน แต่ข้าไม่อยากเห็นมนุษย์ถูกทำลายล้างเลยนะ อย่างน้อยๆ ก็พวกมนุษย์ที่กำลังฝึกงานอยู่กับข้าตอนนี้น่ะ
ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก
“ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจหรอกนะว่าตัวเองจะเลือกอยู่ฝั่งไหน แต่ที่แน่ๆ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้สงครามใหญ่เกิดขึ้นอีก นั่นคือสิ่งเดียวที่ข้ายืนยันกับพวกเจ้าได้”
“แปลว่าท่านเลือกที่จะขัดขืนชะตากรรมอย่างนั้นสินะ” เวโรนิกาว่า ไอดิเอลผงกศีรษะ
“ใช่ ข้าบอกเจ้าแล้วไง ว่าข้าจะไม่งอมืองอเท้ารับชะตากรรมนี้เด็ดขาด”
“พวกมนุษย์ควรซาบซึ้งกับความตั้งใจของเจ้า” ฟัยรุซาว่า “แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่อาจเข้าถึงเจตนาอันดีนี้ของเจ้าได้ เหมือนกับเรื่องเมื่อเก้าสิบปีก่อน และเรื่องที่ผ่านๆ มา”
“ข้ารู้ ข้าไม่ได้ทำเพื่อให้พวกเขาซาบซึ้งหรอก” ไอดิเอลว่า “ข้าแค่ไม่ต้องการสงครามเท่านั้น หากบุตรแห่งความมืดจะคืนชีพขึ้นมาแล้วทำให้มนุษย์หายไปโดยไม่ต้องมีสงคราม ข้าจะไม่ขัดขวางอะไรเลย”
“ท่านช่วยขัดขวางหน่อยก็ดีนะ” คาริกร้องออกมา “อย่างน้อยข้าก็ไม่ยอมให้มันทำแบบนั้นแน่”
“เอาล่ะๆ” ฟัยรุซายกมือตัดบท “ไม่ว่าพวกเจ้าจะตกลงกันยังไง อย่าให้เรื่องนี้ล่วงไปถึงหูพวกมนุษย์เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเจ้านั่นแหละที่จะกลายเป็นศัตรูของพวกเขา”
“ข้ารู้น่า” ไอดิเอลพยักหน้า ก่อนที่คาริกจะพูดขึ้น
“แปลว่าพวกท่านจะไม่เข้าร่วมกับบุตรแห่งความมืดใช่ไหม?”
“นั่นขึ้นอยู่กับเจ้าและไอดิเอลแล้ว” ฟัยรุซาว่า “ข้าไม่อาจตัดสินใจแทนจอมเวททุกคนได้ว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ แต่คนที่สามารถยับยั้งการคืนชีพของบุตรแห่งความมืดได้มีแต่พวกเจ้าสองคนเท่านั้น”
..............................................
(จบตอน)
กราบสวยๆ สำหรับคนที่ยังตามอ่านเรื่องนี้อยู่ ฮ่าๆ เพราะมันโคตรนอกกระแส แถมพล็อตที่จริงๆ ควรจะ Pornมาก ดันกลายเป็นเรื่องหนักๆ ซะงั้น (ก็มีความสามารถทำอะไรแบบนี้ออกมาเนอะ
) เรื่องนี้จะพยายามลงต่อเนื่องรายสัปดาห์ แต่ในความเป็นจริงก็เหมือนจะเป็นนิยายรายเดือนไปแล้ว
เพราะเวิร์ลเรื่องนี้มันใหญ่โตอลังการจริงๆ (ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องทำให้มันเยอะแยะเบอร์นี้) ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการติดตามนะคะ จะพยายามลงต่อเนื่องให้ได้ทุกสัปดาห์ค่ะ