ตอนที่ 10 ปาร์ตี้วันปีใหม่
ณ บ้านเดี่ยวหลังหนึ่งที่พอจะมีบริเวณรอบบ้านอยู่บ้างตามการจัดสรรบ้านเรือนในเมืองยุคปัจจุบัน มีกลุ่มเด็กชายหลายคนยืนคุยกันเป็นกลุ่มๆเฮฮาตามประสาวัยรุ่น เหล่าผู้ใหญ่ในบ้านก็นั่งรวมตัวกันที่โต๊ะที่แยกออกมาต่างหาก อาหารในงานใช้วิธีการสั่งซื้อมาเป็นถาดใหญ่วางเรียงกันอยู่ที่โต๊ะใบหนึ่ง วางพร้อมกับจานเปล่าที่ซ้อนกันให้คนร่วมงานหยิบจับได้สะดวกมือ ใครอยากจะกินอะไรก็ตักใส่จานตัวเองเป็นคนๆไป
“เป็นอะไรของมึงเนี่ย” “นั่นสิดุ๊กดิ๊กๆอยู่ไม่นิ่งเลย” “ปวดขี้เหรอ” “ออกไปเข้าห้องน้ำก่อนมั้ย”
คนถูกถามถึงกับพ่นลมหายใจออกมา เกาศีรษะ เกาคอ แล้วก็เกร็งตัวสั่นเล็กน้อย
“ไม่รู้วะ บอกไม่ถูก” เขาหันมองดูไปรอบๆงาน “รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้”
“แค่คนไม่คุ้นหน้ามั้ง มึงเพิ่งมาครั้งแรกนิ” “ก็เลยรู้สึกแปลกๆ อยู่กับพวกกูนี่แหละไม่ต้องไปไหน”
“มันก็... ไม่รู้วะ” วีร์ยังคงขมวดคิ้ว เม้มปาก หันมองดูรอบๆทั้งด้านบนเพดานและด้านล่างที่พื้น “มันรู้สึกไม่ค่อยอยากจะอยู่ที่นี่นานๆยังไงก็ไม่รู้”
ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างเข้ามารุมจับตัววีร์หันซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังสำรวจหาความผิดปกติไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย จนวีร์ต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นห้ามให้คู่แฝดหยุด แล้วเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะที่วางเครื่องดื่มชนิดต่างๆ มีทั้งน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชากาแฟทั้งร้อนและเย็น รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“หึ มีคนอายุถึงเกณฑ์ให้ดื่มกันได้สักกี่คนเชียว” วีร์บ่นพึมพำกับตัวเอง พลางเลือกดูสิ่งที่เขาต้องการ
“จะดื่มอะไรดีละน้องวีร์”
วีร์หันไปตามเสียงก็เห็นหญิงสาวที่ดูจะคุ้นหน้า วันนี้เธอแต่งตัวเสื้อผ้าหน้าผมดูทะมัดทะแมง เรียบง่ายแต่ดูดี เขาจึงส่งยิ้มให้
“อ่า... คือผมกำลังคิดจะชงชาร้อนแล้วผสมน้ำมะนาวลงไปอะครับ”
“หืม... เอาน้ำผึ้งด้วยมั้ยเดี๋ยวพี่ไปหยิบในบ้านมาให้” หญิงสาวเอ่ยปากถาม กำลังจะเอี่ยวเดินไปที่ประตูเข้าไปในบ้านแล้ว
“ไม่เป็นไรครับพี่วา” วีร์ร้องทักหญิงสาวไว้ก่อน “ผมแค่อยากดื่มอะไรเปรี้ยวๆอุ่นๆเฉยๆครับ”
“อ้าวเหรอ พี่ก็นึกว่าวีร์เจ็บคอซะอีก”
วีร์เพียงยิ้มตอบกลับ ขณะที่กำลังเทน้ำร้อนลงไปในแก้วที่มีถุงชาใส่ไว้อยู่แล้ว เมื่อความเข้มของชาได้ตามที่เขาต้องการแล้วจึงเติมน้ำมะนาวลงไป จากนั้นก็คนให้มันเข้ากันแล้วก็ลองชิมดู
วีร์พยักหน้าสองสามที เป็นอันรับรู้ว่ารสชาติได้ตามที่เขาต้องการแล้ว
“วีร์ชอบดื่มชามะนาวเหรอ” วนกรยังคงยืนอยู่ใกล้โต๊ะเครื่องดื่ม เธอเลือกที่จะชงกาแฟร้อนเป็นเครื่องดื่มของเธอเอง
“เปล่าครับ แค่ทั้งหมดนี่” วีร์วาดมือข้างหนึ่งไปรอบๆโต๊ะ “มีอันนี้ที่พอจะเข้าเค้าอยู่” เขาเห็นสีหน้าของหญิงสาวที่คิ้วทั้งสองข้างชนกันอยู่ “คือผมชอบรสเปรี้ยวก็จริง แต่เปรี้ยวแบบมะนาวจะดูเปรี้ยวแหลมไปสักนิดนึง ถ้าได้เปรี้ยวแบบมะขามจะอย่างนี้เลย” วีร์ยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งกำนิ้วไว้ทั้งหมดเว้นเพียงนิ้วโป้งที่ยกชี้ขึ้นบน หญิงสาวก็พยักหน้ารับรู้
“วีร์นี่ชอบเหมือนพี่เลยนะ”
“เหรอครับ งั้นเอาไว้มะขามที่หน้าบ้านวีร์สุกแล้ว เดี๋ยววีร์เก็บมาฝาก มันดกมากจนกินเองไม่ทัน”
“ก็ดีสิ ขอบใจนะ” วนกรส่งยิ้มให้กับวีร์
***
ห่างไปอีกฝากหนึ่งของงาน ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้าไปทักทายเด็กขาวตี๋ที่เขารู้จักคุ้นเคยกันอยู่บ้าง ด้วยเหตุที่ว่าเห็นหน้าตากันอยู่บ่อยๆ
“ว่าไงเรา” เขาเอ่ยทักพร้อมกับขยี้ผมของเด็กคนนั้นไปมาสองสามที “ไม่ได้เจอกันนาน”
“โอ๊ะ” ศศิทัศน์ยกมือขึ้นปักผมของตัวเองให้กลับเข้าทรงเดิม “แต่นมยังโตเท่าเดิมอยู่เลยครับ” ศศิทัศน์จับหน้าอกของตัวเองเพื่อพิสูจน์ขนาด จนคนที่ทักเขาผลักศรีษะเขาเบาๆด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดู “พี่เขม หวัดดีครับ พี่ไปไหนมาทำไมเพิ่งเห็น”
“ไปบ้านแฟนพี่มา”
“อ้าว แล้วไม่พามาด้วยกันเหรอ” ศศิทัศน์หันไปมองดูรอบๆ
“ไม่อะ เขาก็อยากอยู่กันลำพังกับครอบครัวเขาบ้าง เดี๋ยวตอนเย็นค่อยไปรับมากินข้าวที่นี้อีกที”
ศศิทัศน์พยักหน้ารับรู้
“เราก็เอาอย่างเฮียเราบ้างสิ ดูหุ่นตอนนี้สิ”
“หึๆ รายนั้นเขากำลังทำคะแนนอยู่ ก็ต้องฟิตให้ล่ำบึ๊กเป็นธรรมดา”
“เรานี่ละน้า” แล้วชายหนุ่มก็ก้มลงกระซิบเบาๆ “นี่ แล้วคนที่กำลังยืนคุยกับพี่สาวพี่คือใครอะ”
ศศิทัศน์หันไปมองตามสายตาของเขมกร “อ๋อ ไอ้วีร์”
“โอ้โห! เดี๋ยวนี้กล้าเรียกเฮียตัวเองว่าไอ้แล้วเหรอ”
“ไม่ช่ายยยคร๊าบ” ศศิทัศน์ส่ายหน้า “คนนั้นน่ะ ชื่อว่าวีร์ เพื่อนห้องเดียวกับผมเอง เพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่ปีนี้”
“อ้าว เพิ่งย้ายมาเหรอ” ศศิทัศน์มามองหน้าเขาอย่างงงๆ “นี่แค่จะมาถามเฉยๆว่าชื่ออะไร เพราะว่าดูคุ้นหน้าเหมือนจะเคยเห็นที่ไหน แต่นึกชื่อไม่ออก”
“หืม จะไปคุ้นหน้าได้ยังไงกัน มันเพิ่งย้ายมาไม่นานนี่เอง”
“เหรอ แล้วเขาย้ายมาจากที่ไหน”
“โรงเรียน xxx ครับ”
เขมกรนิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินชื่อโรงเรียน เขาพินิจมองดูเด็กหนุ่มที่กำลังคุยอยู่กับพี่สาวของเขา เขาเองยังไม่แน่ใจนักแต่ภาพในหัวของเขาปรากฏชายคนหนึ่งที่พอจะทับซ้อนใบหน้าของเด็กชายที่ชื่อว่าวีร์ได้พอดี
“เขาชื่อว่าอะไรนะ”
“วีร์ครับ” ศศิทัศน์หันมามองสีหน้านิ่งๆชายหนุ่มอย่างสงสัย “วีร์ วรรัญญา”
“ใครนะ”
ทั้งสองคนหันไปทางเสียงที่ดังขึ้นมา เป็นหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆพวกเขา
“เมื่อกี้ต่ายพูดว่าอะไรนะลูก”
“เอ่อ ไอ้วีร์ไงครับ ชื่อว่า วีร์ วรรัญญา” ศศิทัศน์ตอบอย่างงงๆกับท่าทางของทั้งสองคน
“แม่” ชายหนุ่มร้องเรียกหญิงวัยกลางคนที่กำลังมองไปทางหญิงสาวที่กำลังคุยกับเด็กหนุ่มอย่างออกรสออกชาติ
“หืม เขมว่าอะไรนะ” หญิงสูงวัยกว่าหันมาถามลูกชายของเธอ
“แม่เป็นอะไรมั้ย” เขาถามด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นน้ำที่เอ่อขึ้นมาในดวงตาทั้งสองข้างของแม่ของเขา
“แม่ไม่เป็นอะไร” เธอยิ้มอ่อนๆแล้วจับแขนของลูกชายคนกลางของเธอ แล้วเอ่ยกระซิบเบาๆ “อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้พ่อเขารู้นะ”
“ได้ครับแม่”
แล้วหญิงสูงวัยกว่าก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยทิ้งให้ชายหนุ่มที่มีสีหน้ากังวลกับเด็กหนุ่มที่สีหน้าสงสัยไว้ลำพัง โดยเธอเดินเข้าไปด้านในบ้านตรงมุมที่สามารถแอบมองดูหน้าตาของเด็กหนุ่มที่กำลังคุยอยู่กับลูกสาวของเธอได้ชัดเจนขึ้น เมื่อยิ่งเห็นชัด น้ำตาก็ไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธอ
“ต่างคนต่างอยู่ก็ดีอยู่แล้ว จะกลับมาเจอกันอีกทำไมกันนะ” เธอพึมพำเบากับตัวเอง แม้ว่าจะเป็นถ้อยคำเชิงตัดพ้อ แต่เธอไม่ได้หมายถึงบุคคลที่กำลังอยู่ในสายตาของเธอ หากว่าเป็นโชคชะตาที่กำลังจะเล่นตลกกับครอบครัวของเธออีกครั้ง
“ไม่ได้เจอกันนานจนหนูโตเป็นหนุ่มแล้วนะลูก...” ดวงตาที่เป็นแก้วเพราะเอ่อไปด้วยน้ำที่พยายามกลั้นไว้ไม่ให้ไหลออกมามากไปกว่านี้ รอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากปรากฏอยู่บนใบหน้า บ่งบอกว่าลึกๆแล้วเธอเองก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง
*****
“มีอะไร” วีร์ถามศศิทัศน์ที่มายืนมองหน้าเขาอยู่ แต่ไม่ยอมพูดจาอะไรสักที “เอ้า มัวแต่จ้องหน้ากูอยู่ได้ มีอะไรก็พูดมา” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาเสียที วีร์จึงหันมาสนใจโทรศัพท์ในมือของเขาดังเดิม
“มึงอยากกลับแล้วยัง”
วีร์เงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วสงสัย
“ทำไม จะไปกันแล้วเหรอ” วีร์หันมองดูเพื่อนๆแต่ละคนรอบๆงาน
“ก็เป่าเทียนเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว”
“มึงไปบอกไอ้แฝดโน้นไป มันยังเดินวนรอบโต๊ะอาหารไม่หยุดสักที”
“สรุปว่ามึงอยากกลับแล้วใช่มั้ย” ศศิทัศน์ถามย้ำอีกครั้ง
“เออออออ มึงไปบอกไอ้สองตัวนั่นไป”
ศศิทัศน์พยักหน้ารับแล้วก็เดินไปหาแฝดนพชัยชัยทิศที่ยังคงตักอาหารทุกถาดมาลองชิมดู
“พวกมึง จะไปกันรึยัง ไอ้วีร์อยากกลับไปบ้านมึงแล้ว”
เสียงของศศิทัศน์ดังมากพอให้คนที่ถูกอ้างถึงเงยหน้าขึ้นมากรอกตาและถอนหายใจ เพราะใครต่อใครในงานก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว
“อ้าว น้องวีร์อยากกลับแล้วเหรอครับ” ชายหนุ่มรุ่นพี่เดินมาหาพร้อมกับถือจานขนมมาด้วย
“เปล่าครับ ไอ้ต่ายมันเอาชื่อผมไปอ้างเฉยๆ”
“งั้นจะอยู่ต่อมั้ยครับ เดี๋ยวก็จะแกะของขวัญกันแล้ว” วีรมาตุชี้นิ้วไปทางเพื่อนๆของเขาที่กำลังเดินไปรวมตัวกันที่โต๊ะวางของขวัญที่แขกทั้งหลายเอามาให้เจ้าของวันเกิด
“เอ่อ... คือ...” วีร์อ้ำอึ้งเพราะพยายามหาคำตอบที่รักษาน้ำใจไว้มากที่สุดอยู่
“ช้าไปแล้วเฮีย รถบ้านไอ้กิ่งไอ้ก้านมารออยู่แล้ว รวดเร็วทันใจมากๆ พอโทรปุ๊บก็มาปั๊บเลย” ศศิทัศน์เดินกลับหาวีร์พอดีพร้อมคู่แฝดนรกนพชัยและชัยทิศ
ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน คนหนึ่งยิ้มเพราะเสียดายเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกัน อีกคนหนึ่งยิ้มเพราะโล่งใจที่จะได้ออกไปจากความรู้สึกอึดอัดที่ได้จากบ้านหลังนี้เสียที
“เสียดายแย่เลย น่าจะได้อยู่เห็นตอนไอ้หมูแกะของขวัญนะว่ามันจะทำหน้ายังไง”
“ไว้เฮียค่อยเล่าให้ฟังทีหลังก็ได้ครับ”
วีรมาตุก็ได้แค่พยักหน้ารับ เพราะเด็กๆคนอื่นๆเริ่มเดินมารวมตัวกันและพร้อมจะออกไปขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับไปยังบ้านของคู่แฝด วีร์ที่ออกเดินไปพร้อมกับเพื่อนๆแล้ว แต่ตัดสินใจหันหลังเดินกลับมาหาวีรมาตุอีก
“อย่าลืมที่บอกไว้นะครับ พอตอนที่เฮียหมูแกะของขวัญออกดูแล้วเฮียจะต้องพูดว่าอะไร” วีร์กระซิบเบาๆให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน
“เฮียไม่ลืมหรอกครับ” วีร์ยิ้มตอบกลับมาให้
“นั่นแน่” เสียงของคุณกรดังขึ้นมาแต่ไกล “สองคนนั้นน่ะ แอบนัดจะไปเดตกันที่ไหนอีกเหรอคร๊าบ”
ทำให้เหล่าเพื่อนๆช่วยกันส่งเสียงโห่แซวตามมา วีรมาตุหมายจะยกนิ้วกลางขึ้นชูให้กับเพื่อนๆแต่เพราะว่ามีผู้ใหญ่อยู่ด้วย จึงเอามืออีกข้างบังไว้ แต่ปลายนิ้วที่โผล่ออกมาก็พอจะอนุมานได้ถึงอวัจนภาษาอันนี้
วีร์ได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วก็เดินตามเพื่อนๆของเขาออกไป โดยไม่รู้ว่ามีสายตาสี่คู่มองตามเขาไปด้วย
“มาๆ เริ่มแกะของขวัญกันดีกว่า” คุณกรร้องเรียกความสนใจจากทุกคน “เอาของมึงก่อนเลย ในฐานะเพื่อนคนเดียวที่ซื้อของขวัญวันเกิดมาให้กู”
“ก็พวกกูอุตส่าห์มาช่วยกันยืนในงานให้ดูมีคนเยอะๆแล้วไง มึงจะเอาอะไรอีก” เพื่อนคนหนึ่งรีบแย้งขึ้นมา
“ฟ_ย” แล้วเจ้าตัวก็หันไปแกะของขวัญตรงหน้า “ไหนมาดูสิว่าไอ้วีซื้ออะไรมาให้กู” มีทั้งเสียงแซวและเสียงเชียร์ดังขึ้นมา “ก็มันอุตส่าห์ใช้วันเกิดกูบังหน้า หาข้ออ้างชวนน้องวีร์ไปช่วยมันเลือกซื้อจนได้ แถมจบวันด้วยการดินเนอร์กันสองคนอีก ฉะนั้นมันต้องพิเศษแน่นอน”
“พูดมากไปแล้วมึง แกะของขวัญไป”
เด็กๆแต่ละคนมัวแต่ลุ้นให้เจ้าของวันเกิดแกะของขวัญจนไม่ทันได้สังเกตอากัปกิริยาของบรรดาผู้ใหญ่ที่นั่งกันอยู่วงด้านนอกต่อสิ่งที่พวกเขากำลังรับรู้อยู่ตรงหน้า
“กลบเกลือนเพราะเขินก็บอกมาเหอะน่ะ” แล้วเจ้าตัวก็ฉีกกระดาษห่อของวัญออกจนหมดเผยให้เห็นถึงของข้างใน ด้วยสีหน้าที่ชวนงงสงสัย จะดีใจก็ไม่ใช่ จะแปลกใจก็ไม่เชิง “อันนี้คือมึงเช็คแน่นอนก่อนห่อแล้วใช่มั้ยว่าซื้อมาให้กู ไม่ใช่มึงจะเอาไว้ใช้เองแต่หยิบสลับกันมา” เขาชูของขวัญที่เพื่อนเขาซื้อมาให้ขึ้นให้ทุกๆคนได้เห็นกัน หมายจะแซวเพื่อนของเขากลับด้วย
“ของมึงนั่นแหละ” วีรมาตุย้ำว่าของขวัญที่เขาตั้งใจซื้อมาก็คือกล่องถุงยางอนามัยบรรจุรวมในกล่องขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือเจ้าของวันเกิด “แล้วก็... น้องเขาฝากมา”
“น้องไหนวะ” เพื่อนคนหนึ่งแซว
“ก็มีคนเดียวนั่นแหล่ะ” เพื่อนอีกคนร่วมแซวบ้าง
วีรมาตุส่ายหน้าและยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ
“น้องเขาฝากบอกมาว่า ตอนนี้ก็อายุถึงเกณฑ์แล้ว ถ้าเกิดว่ามีโอกาส... ก็ใช้ซะ เมื่อคิดอยากจะลองก็ต้องหัดมีความรับผิดชอบด้วย”
“ถ้ามันมีโอกาสได้ใช้นะ” เสียงแซวที่ทำให้เอาคนที่เหลือหัวเราะกันครื้นเครง
“อย่าดูถูกกูไป” คุณกรยักคิ้วหลิ่วตาท้าทายเพื่อนๆทกคน
ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังไปทั่วงานของเด็กๆ กลบบรรยากาศอึมครึมของบรรดาพวกผู้ใหญ่ที่มองดูเหตุการณ์อยู่โดยตลอด ดูเหมือนว่าความทรงจำในอดีตที่แต่ละคนพยายามฝังให้จมมิดกลับถูกขุดกลับขึ้นมาอีกครั้ง
*****
วีร์และเพื่อนๆเดินทางกลับมายังบ้านของนพชัยและชัยทิศเพื่อจัดงานฉลองวันขึ้นปีใหม่ของพวกเขากันเอง โดยระหว่างทางได้แวะรับวิธูเพื่อนตั้งแต่วันเด็กของวีร์มาด้วย เมื่อมาถึงยังที่หมายก็พากันเข้าไปนั่งพักผ่อนในบ้านกัน ส่วนเจ้าบ้านอย่างนพชัยและชัยทิศก็กุลีกุจอยกน้ำและขนมขบเคี้ยวออกมาบริการอย่างเต็มที่ เพราะมีเพื่อนใหม่อย่างวิธูมาร่วมงานด้วยทั้งที
“แล้วพ่อกับแม่มึงไปไหนกันวะ” พระยศเอ่ยถามขณะที่กำลังแกะถุงขนมกิน
“อยู่ที่บ้านใหญ่กันมั้ง น่าจะยังกินข้าวเที่ยงไม่เสร็จ” “แล้วยังมีของหวานตามมาอีก แล้วก็ต้องนั่งคุยต่ออีก” “คงอีกสักพักใหญ่กว่าจะกลับมา”
“พิธีการเยอะจริงๆเลยที่บ้านมึง” สุรศักดิ์นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟา มีศศิทัศน์นั่งอยู่ข้างๆที่กำลังดูโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่
“ก็ช่วยไม่ได้” “ไม่งั้นได้โดนเฉดหัวออกจากบ้านกันทั้งครอบครัว” “แล้วพวกกูจะไปอยู่ไหน”
“ทำไมวะ” วีร์ถามคู่แฝดด้วยความสงสัย
“ก็ถ้าเจ้าของที่เขาไม่ให้อยู่” “แล้วพวกกูจะอยู่ต่อได้ยังไง”
วีร์ยังคงทำสีหน้างงสงสัยอยู่ดี
“ปู่กูมีเมียสามคน” “มีย่าใหญ่” “แล้วย่ารอง คุณย่าของพวกกู” “แล้วก็ย่าเล็ก”
วีร์พยักหน้ารับรู้ และรอฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากแฝดนพชัยและชัยทิศ
“ตอนก่อนปู่กูเสียก็ยกที่ดินทั้งผืนให้ใส่ชื่อคุณย่าใหญ่ไว้ บอกให้ดูแลเป็นที่ดินกงสี ต้องอยู่เป็นผืนเดียวห้ามแบ่งเด็ดขาด” “ปู่อยากให้ลูกหลานได้อยู่ในละแวกเดียวกัน ใครอยากปลูกบ้านอยู่ตรงไหนให้ไปขอย่าใหญ่เอา” “ย่าใหญ่ก็อนุญาตให้ตลอด ทุกคนเลยรักและให้ความเคารพย่าใหญ่มาก”
“แล้วพวกมึงไม่ต้องไปด้วยเหรอ”
“พวกกูไปตั้งแต่เช้าแล้ว” “ใช่ ไปเคาะประตูห้องย่าใหญ่แต่เช้ามืดเลย”
“ไปประจบเป็นคนแรกเลยว่างั้น”
ทั้งสองคนเบะปากยักไหล่ไม่ยี่หระกับคำแซว
“ย่าใหญ่รักพวกกูจะตาย” “แต่แค่ไปประกันความมั่นใจเฉยๆ”
แล้วนพชัยก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อตรวจดูของสดที่จะทำปิ้งย่างกินกันในตอนเย็น กับของสุกที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้พวกเขาสำหรับมือเที่ยง ส่วนชัยทิศก็เดินออกไปสนามหลังบ้านที่ตระเตรียมพื้นที่ไว้สำหรับก่อกองไฟและตั้งเต็นท์ในตอนเย็น
“ไปพวกมึง อาหารพร้อมแล้ว” นพชัยเดินกลับมาเรียกเพื่อนๆ
“เขาเอาไม้ฟืนมาให้แล้ว เดี๋ยวกินเสร็จก็ไปตั้งเต็นท์กัน แล้วก็มาช่วยกันก่อกองไฟด้วย” ชัยทิศเดินกลับเข้ามาในบ้านพอดี
“พวกมึงจะก่อกองไฟกันจริงๆเหรอ” วิธูเดินตามคนอื่นๆเข้ามาที่ห้องอาหาร
“ใช่” ทั้งนพชัยและชัยทิศตอบพร้อมกัน
“กลางเมืองอย่างนี้เนี่ยอะนะ”
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” “มีต้นใหญ่อยู่ล้อมรอบเต็มไปหมด” “ควันมันไม่ลอยไปไหนหรอกหน่า”
“เคยมีคนแจ้งไฟไหม้บ้างมั้ย” วิธูยังคงสอบถามต่อ
คู่แฝดทำท่าพยายามนึก
“อืม น่าจะเป็นตอนปีแรกนะ” “คิดว่า ปีนั้นปีเดียวที่รถดับเพลิงมาที่บ้าน” “พ่อกับแม่เขาไปเคลียร์ให้ หลังจากนั้นก็ไม่มีนะ” “ไม่ต้องแปลกใจ แค่ก่อกองไฟเอง สนุกจะตาย” “เดี๋ยวมึงก็เห็นเอง”
“กูไม่ได้แปลกใจ แค่ก่อกองไฟไอ้วีร์ก็ทำประจำ”
“ห๊ะ จริงเหรอ” ทั้งนพชัยและชัยทิศพูดพร้อมกันอีกครั้ง
“บ้านมันกว้างจะตาย เดี๋ยวก็ย่างปลา เดี๋ยวก็เผามัน เดี๋ยวก็คั่วเม็ดยาร่วงกินกันบ่อย”
เด็กๆแต่ละคนเดินไปนั่งเก้าอี้แต่ละตัวกันไป ส่วนคู่แฝดนพชัยและชัยทิศที่ตามประกบเพื่อนใหม่อย่างวิธู ก็นั่งลงขนาบข้างทั้งสองฝั่ง
“อะไรคือเม็ดยาร่วงวะ” หนึ่งในฝาแฝดถามขึ้นมา
“ก็เม็ดมะม่วงหิมพานต์ไง”
“อ๋อ งั้นแสดงว่ามันต้องก่อกองไฟเก่ง” ฝาแฝดอีกคนก็พูดต่อ
“จะโยนมาให้กูทำอีกละสิ” วีร์รีบแย้งขึ้นมาในทันทีในขณะที่กำลังส่งโถข้าวให้คนอื่นๆได้ตักต่อไป
“ก็มีผู้เชี่ยวชาญมาอยู่ด้วยทั้งที” “ก็ต้องยกหน้าที่นี้ให้เลย”
“แล้วปกติใครเป็นคนก่อไฟวะ” วิธูหันไปถามทุกคน
“แล้วแต่ ก็ช่วยๆกัน” พระยศเป็นคนตอบ
“มั่วเอาว่างั้น”
“ก็ประมาณนั้นแหละ” สุรศักดิ์เดินเอาโถข้าวไปวางไว้ที่โต๊ะอีกตัวเมื่อทุกคนได้ตักข้าวกันเสร็จแล้ว
“บ้านมึงทำร้านอาหาร แล้วทำไมมึงก่อกองไฟไม่เป็นละวะ”
“ก่อกองไฟไม้ฟืนนะครับ ไม่ใช่จุดเตาแก๊ส”
“งั้นก็เดี๋ยวให้มันจัดการ” วิธูหันไปหาวีร์
“ก็ช่วยกันสิวะ กูไม่ทำคนเดียวแน่ๆ”
ต่างคนก็เริ่มจัดการอาหารที่อยู่บนโต๊ะ นพชัยและชัยทิศคอยชวนพูดคุยกับวิธูอยู่ตลอดเวลา โดยมีวีร์ สุรศักดิ์ และพรยศคอยปรามอยู่บ้างไม่ให้ทั้งสองเซ้าซี่เพื่อนใหม่มากจนเกินไป จะมีก็เพียงศศิทัศน์ที่แทบจะไม่ได้ยินเสียงของเขาเลยนับตั้งแต่พวกเขาแวะรับวิธูมาด้วย
*****
วีร์ยืนมองดูผลงานกองไฟที่ทุกคนช่วยกันก่อขึ้นโดยมีเขาเป็นผู้คุมงานทั้งหมด ไม้ฟืนถูกจัดวางซ้อนกันเป็นชั้นทรงสี่เหลี่ยมสลับกับเศษใบไม้ใบหญ้าแห้ง แล้วจึงเอาไม้ฟืนท่อนใหญ่ๆตั้งสุมครอบชั้นนอกคล้ายกระโจมสูงกว่าศีรษะ เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นสำหรับกองไฟ เตรียมพร้อมจุดเมื่อถึงเวลา
รอบกองไฟมีหินก้อนใหญ่ๆวางรายล้อมตามจำนวนคนพอดี รวมถึงก้อนหินที่นั่งของวิธูที่เป็นแขกที่เพิ่มมาทีหลังอย่างทันด่วนก็ตาม ที่ดูตื่นตาตื่นใจมากไปกว้านั้นไม่ใช่แต่เพียงขนาดของก้อนหินเท่านั้น แต่เป็นรูปร่างที่ผ่านการขัดกลึงให้เหมาะกับการนั่งเป็นอย่างดีอีกด้วย
แนวถัดจากก้อนหินไปก็เป็นเต็นท์สำหรับนอนได้สองคนที่ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาอีกหนึ่งหลังรวมเป็นสี่หลัง วางเรียงกันด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งวางเตาปิ้งย่างขนาดใหญ่ และโต๊ะไม้สำหรับวางของสด เครื่องปรุง และเครื่องดื่มต่างๆ รวมถึงถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เตรียมไว้สำหรับทำอาหารกินกันในตอนเย็น
“มึงก่อกองไฟแล้วจะเอาเตาปิ้งย่างมาทำอะไรวะ” วีร์หันไปถามคู่แฝด
“ก็กองไฟมันแค่สร้างบรรยากาศเฉยๆ” “เตาปิ้งย่างตัวนี้ย่าใหญ่เพิ่งซื้อให้เมื่อปีที่แล้ว”
“แล้วก่อนหน้านั้นพวกมึงทำอะไรกินกันยังไง” วีร์เดินไปยกฝาเตาปิ้งย่างเปิดขึ้นดู
“ก็ต้มมาม่ากิน เหมือนตอนเข้าค่ายลูกเสือ” “ใส่หม้อแล้วแขวนบนกองไฟ” “แล้วก็ลูกชิ้นเสียบไม้ย่างเอา”
วีร์ถึงกับส่ายหน้า “แต่ก็ยังอยากจะจัดปาร์ตี้แบบแอดเวนเจอร์” คู่แฝดต่างส่งยิ้มแฉ่งมาให้ แล้ววีร์ก็หันไปดูของสดต่างๆโดยมีสองต่ายเดินตามเขามาติดๆ
“มึงจะเอาอะไรเพิ่มมั้ย” “ตอนนี้ยังบ่ายอยู่ เดี๋ยวให้คนออกไปซื้อมาให้”
“นี่มันก็เยอะแล้วนะกูว่า” วีร์เลือกดูของต่างๆ มีทั้งเนื้อหมูเนื้อไก่ที่หมักเครื่องใส่ไว้ในกล่อง พริกหยวก สับปะรด หอมใหญ่ ข้าวโพดทั้งฝัก แล้วก็ยังมีปลาสดทั้งตัวที่หมักเครื่องและหมกเกลือไว้เรียบร้อยแล้ว “แค่นี้ก็แดกกันไม่หมดแล้วมั้ง”
“หมดแน่มึง ไม่เหลือซาก” “แถมจะไปขอเพิ่มจากบ้านใหญ่มาอีกละไม่ว่า” “สรุปว่ามึงจะเอาอะไรเพิ่มมั้ย” สองแฝดยืนจ้องหน้าวีร์จากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะที่วางของอยู่ “เอาหัวมันมั้ยมึง” “สั่งไปตอนนี้น่าจะยังทันอยู่”
“ก็แล้วแต่ ถ้าพวกมึงจะแดกกันก็เอามาก็ได้” คู่แฝดพยักหน้ารับและกำลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน “เดี๋ยวมึง เอาหัวมันเทศนะ หรือมันหวานก็ได้”
“มึงไม่ทำมันทิพย์ไปเลยละวะ” วิธูถามออกมาจนคู่แฝดต้องหันกลับมาอีกครั้ง
“คืออะไรวะ” “นั่นสิ”
“คุณมึงครับ คือว่ามันต้องมีกะทิ แล้วมันก็ต้องนึ่งด้วย ป่านนี้แล้วมันจะไม่ทัน”
“ทัน” ทั้งนพชัยและชัยทิศพูดออกมาพร้อมกัน “เอากะทิด้วยใช่มั้ย แล้วเอาอะไรอีก” “ไอ้ใหญ่ก็อยู่จะกลัวอะไร ทันแน่นอน”
วีร์หันมองไปมาระหว่างเพื่อนทั้งสองฝั่งโต๊ะ แล้วยังมีพระยศกับสุรศักดิ์ที่เดินมาสมทบเพิ่มอีก สายตาของเขาพยายามบอกเพื่อนๆว่าจะทำกันจริงๆหรอ แต่ใบหน้าแต่ละคนที่ส่งกลับมามีแต่บอกว่าให้เขาทำ จนวีร์ต้องถอนหายใจออกมา
“ไปเอาหัวมันมาให้ได้ก่อน เพราะมันต้องเอาไปนึ่ง” คู่แฝดพยักหน้ารับ “แล้วก็เอากะทิ หัวกะทินะ เอาน้ำตาลกับเกลือมาด้วย เอาหม้อเอาไม้พายมาด้วย เพราะเดี๋ยวจะต้องบดต้องผสมหัวมันกับกะทิ” คู่แฝดพยักหน้ารับทุกขั้นตอน “แล้วพวกมึงต้องมาช่วยกันปั้นก้อนหัวมันด้วย”
ทุกคนก็ตอบรับเป็นอย่างดี
[อ่านต่อด้านล่าง]