ReLove1: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ReLove1: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)  (อ่าน 9669 ครั้ง)

ออฟไลน์ Moonoii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 29
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 8 เปิดตัว

       “นี่วีร์ แพรเขาบอกว่าจะมาถึงกี่โมง” เด็กสาวหันมาถามเพื่อนที่นั่งเรียนอยู่ข้างๆกันในทุกวัน หลังจากที่อาจารย์เพิ่งจะสั่งปล่อยให้ทุกคนได้ไปพักรับประทานอาหารเที่ยงเมื่อหมดเวลาเรียนช่วงเช้าไปแล้ว เด็กนักเรียนแต่ละคนต่างก็เก็บสัมภาระของตัวเองลงในกระเป๋า เตรียมตัวพร้อมสำหรับเดินลงไปที่โรงอาหาร เสียงคุยโหวกเหวกก็ดังขึ้นมาเรื่อยๆพร้อมกับเสียงเก้าอี้ที่ถูกสอดเข้าเก็บไว้ชิดกับโต๊ะเรียน

        “น่าจะถึงแล้วมั้ง” วีร์ยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดู “นี่ไง ไลน์มาว่านั่งจองที่ในโรงอาหารไว้ให้แล้ว ให้ลงไปได้เลย” วีร์หันโทรศัพท์ไปให้เด็กสาวอ่านข้อความในแอพลิเคชั่นไลน์

        “งั้นไปกันเลย ไป ชั้นอยากเจอแล้ว” เด็กสาวมีท่าทางดีใจอย่างเห็นได้ชัดที่ได้รู้ว่าเพื่อนคู่แฝดของเธอมาถึงแล้ว หลังจากที่ผ่านมาทั้งคู่ได้เคยพูดคุยกันผ่านทางออนไลน์เพียงเท่านั้น

        “เฮ้ย! พวกมึง กูกับแพรลงไปก่อนนะ ไอ้ต่ายกับแพรมารออยู่ที่โรงอาหารแล้ว เดี๋ยวพวกมึงตามไปก็แล้วกัน” วีร์หันไปบอกเพื่อนๆก่อนที่เขาจะเดินออกนอกห้องไปกับเด็กสาว

        “เอ้า ลุกสิพวกมึง” “เดี๋ยวคนก็เต็มโรงอาหารหรอก”

        “พวกมึงสองตัวอยากรีบไปเสือกเรื่องเพื่อนไอ้วีร์ก็บอกมาเถอะ” พระยศที่เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินตามพวกคู่แฝดออกไป เหลือสุรศักดิ์กับศศิทัศน์ที่ยังนั่งอยู่ สุรศักดิ์กำลังคัดลอกจุดเน้นสำคัญที่อาจารย์บอกไว้จากสมุดของศศิทัศน์ ส่วนศศิทัศน์กำลังนั่งดูโทรศัพท์ของตัวเองอยู่

        “ไปมึง กูลอกเสร็จแล้ว” สุรศักดิ์รีบเก็บข้าวของของตัวเองลงกระเป๋า เขาลุกยืนแล้วออกเดินแต่ก็เหลียวหลังหันมาเห็นว่าเพื่อนของเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม “ไอ้ต่าย!”

       ศศิทัศน์เงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงเรียก

        “ไปได้แล้ว ไป”

       ศศิทัศน์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาก้มลงมองดูโทรศัพท์ของเขาอีกครั้ง

        “ทำไม มึงเป็นไรวะ” สุรศักดิ์ถามจากที่สังเกตเห็นอาการของเพื่อนเขา

        “เฮ้อ! ไม่รู้ว่ะ” ศศิทัศน์ถอนหายใจออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นมองดูหน้าสุรศักดิ์ที่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “ก็ กูรู้สึกเหมือนเฮียกูกำลังจะอกหัก ทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มจีบมันเลย”

        “มึงคิดอะไรไปไกลถึงไหนเนี่ย”

       ศศิทัศน์ยักไหล่ตอบกลับมา

        “มึงคิดว่าไอ้วีร์กับไอ้ต่ายเพื่อนมัน มีอะไรมากกว่านั้นเหรอ” สุรศักดิ์ถามศศิทัศน์ของเขา

        “อืมม กูว่าไม่ว่ะ” ศศิทัศน์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกันพยายามคิดหาคำพูดมาอธิบายสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ “คือกูว่า เพื่อนไอ้วีร์สองคนมันเป็นแฟนกันจริงๆ ไม่ใช่แกล้งคบบังหน้าอะไรแบบนั้น” ศศิทัศน์ขยายความเพิ่มเติมเมื่อสีหน้าของสุรศักดิ์ “เพียงแต่ กูก็ไม่แน่ใจว่าทำไมกูถึงได้รู้สึกเหมือนไอ้ต่ายเพื่อนมันจะดูหวงไอ้วีร์มากๆ ยังไงก็ไม่รู้”

        “มึงคิดไปเองรึเปล่า” ศศิทัศน์ทำหน้าคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง “พวกมันเป็นเพื่อนกันมานาน พวกเราน่ะสำหรับพวกมันคือคนมาทีหลัง มันก็อาจจะมีบ้างที่ประมาณว่ากลัวไอ้วีร์จะมาสนิทกับพวกเรามากกว่ามัน ไม่เหมือนแต่ก่อนก็ได้มั้ง”

        “ไม่รู้ว่ะ”

        “คิดมากมึง ไป ไปกินข้าวกัน” สุรศักดิ์เอ่ยชวนให้ศศิทัศน์ลุกขึ้นมาเพื่อไปโรงอาหารกันได้แล้ว

*****

       เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินมาถึงที่โรงอาหาร ทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไปเพื่อซื้ออาหารที่แต่ละคนอยากกิน ศศิทัศน์ที่เดินออกมาได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็เห็นโต๊ะที่มีวีร์ เพื่อนทั้งสองคนของเขา แฝดนพชัยชัยทิศ และพระยศที่นั่งกินอาหารและชวนคุยหยอกล้อกันอยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนว่าทั้งนพชัยและชัยทิศจะเข้ากันได้ดีกับเด็กหนุ่มผิวเข้มคนนั้น ศศิทัศน์ที่เห็นดังนั้นก็คิดไปว่าบางทีเขาอาจจะคิดมากไปจริงๆอย่างที่สุรศักดิ์บอกก็เป็นได้

       หากว่าเขาไม่ได้เดินต่อมาอีกนิด และเห็นพี่ชายของเขากำลังยืนถือจานอาหารอยู่นิ่งๆ มองดูแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่เขาชอบถูกโอบไหล่โดยเด็กหนุ่มผิวเข้มคนนั้น ก่อนที่จะถูกเพื่อนๆของเขาเรียกให้ไปนั่งรวมกันที่โต๊ะ ศศิทัศน์ก็อาจจะเลิกคิดไปแล้วว่าเขาคิดมากไปจริงๆ

       ศศิทัศน์ได้แต่ถอนหายใจ แล้วออกเดินไปซื้ออาหารแล้วไปนั่งรวมกันกับเพื่อนๆของเขาบ้าง

        “ทำไมมาช้ากันนักว่ะพวกมึง” พระยศเอ่ยถามทันทีที่ศศิทัศน์และสุรศักดิ์นั่งลง

        “กูลอกช๊อตโน้ตของไอ้ต่ายอยู่ เลยลงมาช้า” สุรศักดิ์เป็นคนตอบ

        “เดี๋ยวนี้ขยันเป็นแล้วเหรอมึง” “นึกคึกอะไรขึ้นมาว่ะ” “ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะสนใจ” “โน้น.. ปกติต้องไฟลนก้นก่อนสอบไม่ใช่หรอ”

        “แล้วแต่พวกมึงนะ ของจารย์กบ แกพูดเน้นตรงไหนมาก็ข้อสอบทั้งนั้น”

        “อุ้ย! อย่างงี้แล้ว พี่ต่ายครับ” “เดี๋ยวของยืมลอกด้วยนะครับ”

        “เออ เดี๋ยวขึ้นห้องไปแล้วค่อยเอาไปลอก” ศศิทัศน์เริ่มลงมือตักอาหารของตัวเองกิน

        “ต่ายเรียนเก่งเหรอ” เด็กสาวผิวเข้มชะโงกหน้าออกมาถามเจ้าตัวที่นั่งไกลจากเธอไปสักหน่อย

        “มันเรียนเก่งมาก” “เก่งสุดๆไปเลย” “ถามอะไรตอบได้หมด” “รับประกันเชื่อมือได้”

        “โหดีอะ เก่งจัง คนละเรื่องกับต่ายเวอร์ชั่นนี้เลย” เธอหันเขกหน้าผากคนตรงหน้าเธอเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อ

        “เอ้า มีแฟนมีเพื่อนเป็นที่พึ่งอยู่แล้วจะกลัวอะไร อย่างน้อยก็ไม่เคยสอบตกสักวิชาก็แล้วกัน” เขาพูดไปพลางกอดคอดึงวีร์เข้ามาใกล้มากกว่าเดิม

        “ชวนพากันลงเหวละไม่ว่า” คนที่ถูกดึงคอไปพยายามขืนตัวออกมาให้ตัวเองนั่งตรงอย่างเดิม

        “หึๆ เพราะกูเชื่อในฝีมือติวเตอร์ของมึงต่างหาก”

       วีร์ลอบถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้าไปมาเพียงเล็กน้อย แต่ที่ใต้โต๊ะนั้นเขาหยิกไปที่ต้นขาเพื่อนซี้ของเขาสุดแรงนิ้ว แล้วก็หันไปยิ้มให้กับคนข้างๆ ที่ยังทำสีหน้าปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

        “ก็อีดำมันพึ่งได้ตลอดกาลอยู่แล้วนี้”

        “คำก็อีดำ” “สองคำอีดำ” “เพื่อนวีร์ไม่ให้เกียรติผู้หญิงแล้วเหรอครับ” “ถึงได้พูดจาไม่สุภาพแบบนี้” คู่แฝดนพชัยและชัยทิศพยายามพาตัวพวกเขาเองเข้าไปอยู่ในวงสนทนาในทุกสถานการณ์

        “ก็อยากจะให้เกียรติอยู่หรอกนะ ถ้าคุณเธอยังไม่หยุดเรียกกูว่าอีอ้วน ก็ยังเป็นอีดำของกูอยู่ดี”

        “ทำไมถึงเรียกไอ้วีร์ว่าอีอ้วนละครับ” “นั่นสิ ไม่เห็นว่ามันจะอ้วนอะไรตรงไหนเลย”

        “แล้วนั่น สองคนนั้นน่ะ เม้าท์อะไรชั้นอีกล่ะ” วีร์เอ่ยถึงสองสาวที่เขาหันไปเห็นว่ากำลังซุบซิบกันเองสองคน

        “อะไร ชั้นแค่เล่าให้แพรฟังเฉยๆ ว่าแต่ก่อนตัวเธอน่ะอ้วนขนาดไหน” เด็กสาวผิวเข้มหันมาตอบเพื่อนของเธอ “เมื่อก่อนใส่เสื้อผ้าไซส์อะไรบอกเพื่อนๆเขาไปสิ” เธอพูดแล้วก็ยิ้มให้หวานๆ ส่วนวีร์ที่กำลังโดนเผาซึ่งๆหน้าก็ยิ้มตอบกลับอย่างไม่หวั่นกลัว

        “ใหญ่ประมาณไหนเหรอ” “ประมาณ XL ได้มั้ย” “หรือว่าใหญ่กว่านั้นอีก”

        “XL น่ะยังน้อยไปด้วยซ้ำ” เป็นต่ายเวอร์ชั่นเข้มที่พูดไปโยกตัวของคนที่เขาโอบไหล่อยู่ไปด้วย

        “จริงอะ ล้อเล่นกันใช่มั้ย” แพรเวอร์ชั่นผิวขาวมองดูเพื่อนใหม่ทั้งสองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา

        “อยากเห็นมั้ย” แพรเวอร์ชั่นผิวเข้มหันไปถามคู่แฝดของเธอ “แพรเล่นไอจีใช่มั้ย” เธอถามต่อในทันทีโดยไม่รอคำตอบจากอีกคน “เอาโทรศัพท์มา ปลดล๊อคให้ด้วย” ทั้งยังแบมือรอรับโทรศัพท์

       แพรพรรณส่งโทรศัพท์ของเธอให้กับอีกคนไปอย่างงงๆว่าเขาจะทำอะไร เธอเห็นแพรไหมกดเข้าแอพลิเคชั่นอินสตาแกรม จากนั้นจึงกดเข้าไปที่ส่วนค้นหาแล้วพิมพ์บางอย่างลงไป กดอะไรบางอย่างที่สองสามครั้ง แล้วก็ส่งคืนโทรศัพท์ไปให้เจ้าของดังเดิม

        “กดรับให้ด้วย” เด็กสาวผิวเข้มเอ่ยปากในเชิงออกคำสั่งให้กับคนฝั่งตรงข้ามที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนแฟนของเธอ

        “แล้วชั้นเลือกอะไรได้มั้ย” วีร์หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา แล้วเข้าไปกดยอมรับให้แพรพรรณติดตามอินสตาแกรมของเขาได้ “เอา เสร็จแล้ว อยากให้ชั้นทำอะไรให้อีกมั้ย”

       สองสาวได้แต่ยิ้มตอบกลับมาให้ แล้วก็พากันไปดูรูปต่างที่อยู่ในอินสตาแกรมของวีร์

       ส่วนคนที่เหลือต่างมองหน้ากันไปมา บ้างก็ขยิบตา บ้างก็ส่ายหน้า บ้างก็สะกิดกันไปมาทำตัวขยุกขยิกไม่หยุด จนวีร์เองก็รู้สึกได้

        “ส่วนพวกมึง รอไปก่อน ความผิดอันเก่ากูยังไม่ได้สะสาง” คนฟังได้แต่ยิ้มแห้งตอบกลับมา

        “เห็นมั้ยเพราะมึงเลย” “ทำอะไรไมรู้จักคิด” “เป็นไงละ”

        “กูคนเดียวเลย” ศศิทัศน์พูดประชดคู่แฝด “เดี๋ยวพวกมึงก็อย่ามาขอลอกสมุดงานกูก็แล้วกัน”

       คนอื่นๆก็ปล่อยให้ศศิทัศน์และคู่แฝดเถียงกันไปมา แล้วหันมาจัดการอาหารของตัวเองให้เรียบร้อยเพราะใกล้หมดเวลาพักกลางวันแล้ว

        “เดี๋ยวมึงกลับเลยมั้ย” วีร์หันมาถามเพื่อนซี้เก่าแก่ของเขา

        “ก็ไม่รู้จะอยู่ทำอะไรแล้วนิเบ๋อ”

        “แล้วตอนเย็นจะแวะไปที่บ้านมั้ยอะ” วีร์เอ่ยชวน แล้วหันไปคุยกับสองสาว “บ้านแพรก็อยู่ใกล้ๆกัน”

        “ใช่ บ้านเราอยู่ถัดจากบ้านวีร์ไปแค่สี่หลังเอง เผื่อจะได้แวะไปคุยด้วย” แพรพรรณเอ่ยเชิญชวนด้วยอีกแรง

        “อืม เดี๋ยวดูก่อนว่าให้พี่แป้งไปส่งได้มั้ย ถ้าจะไปเดี๋ยวชั้นไลน์มาบอกเธอก็แล้วกัน” เด็กสาวผิวเข้มหันมาตอบวีร์

        “งั้นก็แล้วแต่นะ ไม่งั้นก็ค่อยเจอกันพรุ่งนี้ก็ได้” วีร์รวบช้อนซ้อมวางลงบนจาน แล้วจึงหยิบแก้วน้ำมาดื่ม หลังจากที่ได้จัดการอาหารของเขาจนหมดแล้ว

        “แล้วพรุ่งนี้มึงจะออกมากี่โมง” เด็กหนุ่มผิวเข้มก็หยิบน้ำมาดื่มด้วยเช่นกัน

        “เช้าๆแหละ แปดเก้าโมงเหมือนทุกที”

        “เดี๋ยว!” ศศิทัศน์หันมาถามในทันทีที่เขาได้ยินเรื่องที่คุยกัน “ไอ้นัดทุกวันเสาร์ที่มึงไม่เคยออกมาเจอกับพวกกูได้ คือนัดไว้กับเพื่อนมึงหรอ”

        “เปล่า” วีร์ตอบปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของคนถามที่ยังทำคิ้วขมวดสงสัยอยู่ “กูไม่ได้นัดไปเจอมัน กูนัดเจอกับคนอื่น”

        “ใครวะ” “เพื่อนโรงเรียนเก่ามึงเหรอ” ”หรือเพื่อนที่นี่” “หรือว่าแฟน”

       คำถามท้ายสุดของคู่แฝดพาเอาคนทั้งโต๊ะนั่งเงียบกัน ไม่ว่าจะเงียบเพราะอยากจะฟังคำตอบ เงียบเพราะกำลังลุ้นกับคำตอบ เงียบเพราะไม่ได้สนใจที่ฟังคำตอบ หรือเงียบเพราะไม่อยากตอบ

        “คนรู้จัก”

       คำตอบสั้นๆ ใบหน้าที่เรียบเฉย จ้องมองดูแก้วน้ำในมือ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าไม่มีใครจะได้คำตอบอะไรไปมากกว่านี้แล้ว


*****

คุ-ณะ-กร:
มึง กูเจอเด็กมึงว่ะ
วีรมาตุ ราวัณ:
อะไรของมึง
คุ-ณะ-กร:
น้องวีร์มึงไง เดินอยู่กับใครไม่รู้
วีรมาตุ ราวัณ:
ที่ไหน
คุ-ณะ-กร:
โรงบาล
วีรมาตุ ราวัณ:
แล้วมึงไปทำอะไรที่ รพ
คุ-ณะ-กร:
กูมาเยี่ยมน้า น้ากูแอดมิตเมื่อวาน
มึงรู้จักมั้ย
(แนบรูป)
ใครวะ
วีรมาตุ ราวัณ:
เพื่อนโรงเรียนเก่าเขา
คุ-ณะ-กร:
เหรอ นึกว่าแฟนซะอีก
วีรมาตุ ราวัณ:
(สติ๊กเกอร์นิ้วกลาง)
คุ-ณะ-กร:
กูแค่ส่งข่าวให้เฉยๆ ที่เหลือก็แล้วแต่มึงนะ

*****

       กีฬาสีเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของโรงเรียนในภาคเรียนที่สองที่ทำเอานักเรียนยุ่งวุ่นวายไปทั่วทุกชั้นปี ไม่แพ้การสอบกลางภาคเรียนที่จะเกิดขึ้นในทันทีที่เทศกาลแข่งขันกีฬาจบลง กิจกรรมในแต่ละวันถูกจัดขึ้นในช่วงสองคาบวิชาสุดท้ายของแต่ละวันไปจนแข่งขันแต่ละรายการเสร็จสิ้น กีฬาบางประเภทจัดแข่งจนถึงค่ำมืดถึงกับต้องเปิดไฟสนามก็มี ทำให้ทั้งคนที่ลงแข่งขันและคนที่อยู่เชียร์ต้องกลับบ้านช้ากว่าเวลาเดิมไปด้วย ส่วนวิชาเรียนที่ถูกงดไปนั้น โรงเรียนจัดให้มีการเรียนการสอนชดเชยในวันเสาร์ เพื่อให้นักเรียนมีเวลาเรียนครบตามหลักสูตรที่กำหนดไว้

       นักเรียนแต่ละคนจะถูกสุ่มให้ไปอยู่ประจำสี โดยแบ่งเป็นสีแดง แสด เหลือง เขียว ฟ้า ม่วง เรียงลำดับไปเรื่อยๆตั้งแต่นักเรียนลำดับแรกของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปจนถึงนักเรียนลำดับสุดท้ายของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทำให้แต่ละกลุ่มคณะสีมีนักเรียนทุกชั้นปีคละกันไป และมีจำนวนรวมถึงสัดส่วนชายหญิงที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งโรงเรียนหวังให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ไขว้กันระหว่างชั้นเรียนและแผนการเรียน ให้นักเรียนแต่ละคนได้รู้จักการปรับตัวและการเข้าหา รวมถึงการทำงานร่วมกับคนแปลกใหม่

        “ไอ้วีร์ เพื่อนมึงกลับไปแล้วหรอ” สุรศักดิ์เอ่ยถามวีร์ที่กำลังเก็บหนังสือและสมุดงานลงเป้ เตรียมลงไปร่วมกิจกรรมกีฬาสีเหมือนทุกๆคน

        “อืม กลับไปเมื่อวานแต่เช้าเลย” วีร์ลุกขึ้นพร้อมกับสะพายเป้ไว้กับไหล่ข้างหนึ่ง ”เห็นบอกว่าที่น้ำท่วมตัวเมืองเพราะมีโรงงานจะสร้างใหม่เอาดินไปถมที่ปิดทางน้ำ พอเทศบาลเอารถไปขุดออกเท่านั้นแหละ ไม่ถึงชั่วโมงน้ำแห้งเลย โรงเรียนเลยประกาศเปิดเรียนตามปกติแล้ว พวกมันเลยต้องรีบกลับ”

        “เออ เหมือนกูจะเห็นแว่บๆว่าเพื่อนมึงมานั่งกินที่ร้านกู เห็นมากัน 4-5 คน ใครบ้างก็ไม่รู้”

        “พวกญาติๆเขา” วีร์ตอบพร้อมเดินออกมายืนรอคนอื่นๆที่หน้าห้องเรียนกับสุรศักดิ์ “มันบอกว่าอาหารร้านมึงอร่อยดี กูเลยบอกให้แวะไปชิมที่ร้านก่อนกลับก็ได้”

        “เออ เมื่อวานกูตื่นสาย ไม่ได้ช่วยที่ร้านเลยแม่ง แถมเกือบมาเรียนไม่ทันอีก”

        “สมควรละมึง วันนั้นดิวซ์ไปเท่าไหร่ละ” วีร์ถามถึงการแข่งขันวอลเลย์บอลของคณะสีของสุรศักดิ์

        “27-25 กูเกือบไม่รอดแล้ว ฝั่งโน้นเล่นเอานักกีฬาเยาวชนของเขตลงมาตั้ง 3 คน ดีที่ว่าฝั่งกูมีพี่เอสอยู่ด้วย” สุรศักดิ์เอ่ยชมรุ่นพี่ม.6 ที่ช่วยให้ทีมของเขาชนะการแข่งขันมาได้อย่างหวุดหวิด

        “แล้ววันนี้มึงจะลงบอลไหวเหรอ ได้พักแค่วันเดียวเอง”

        “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ทำไงได้วอลเลย์ขาดคนลงแข่งกระทันหัน พอช่วยได้ก็ช่วยไป” สุรศักดิ์ชะเง้อมองดูคนอื่นๆที่ยังไม่ออกมาเสียที “แล้วของมึงลงวันไหน”

        “กูมีแข่งแบตวันพรุ่งนี้ วันนี้ก็ไปนั่งเชียร์อย่างเดียวเหมือนเดิม”

        “งั้น มึง” สุรศักดิ์ก้มลงแอบกระซิบ “ชวนแพรไปด้วยดิ”

        “มึงจะให้กูกับแพรไปเชียร์มึง ทั้งๆที่มึงกำลังจะลงแข่งกับสีของกูกับแพรอะนะ”

        “ก็เชียร์เฉพาะกูไง สีไม่ต้อง”

        “คือให้ไปเชียร์ให้สีกูชนะเข้ารอบ แต่ก็ให้ไปเชียร์มึงด้วย” สุรศักดิ์พยักหน้าตอบ “หรือว่าให้แพรไปเชียร์เฮียหมูด้วยเลยมั้ย โหย เห็นมานั่งอยู่ขอบสนามแบบนี้ รับรองว่าเฮียหมูซัดเอาๆชัวร์เลย” สุรศักดิ์ได้ยินแล้วถึงกับพ่นลมหายใจฮึดฮัด

        “เรื่องอื่นถึงกูจะหมั่นไส้เฮียแก แต่เรื่องฟุตบอลนี้ยังไงก็ต้องยอมว่ะ” สุรศักดิ์ยกมือขึ้นยอมรับทั้งสองข้าง

        “เอาเหอะ คนเรามันมีอะไรดีกันบ้างคนละอย่างสองอย่าง”

        “ส่วนเลวมีอีกเป็นร้อยอย่างใช่มั้ย”

        “ก็นะ ถ้าเกิดไม่ชอบหน้ากันซะอย่าง ไม่ว่าทำอะไรก็ดูเลวดูขัดหูขัดตาไปหมดนั่นแหละ เรื่องปกติของชาวโลก”

        “กูไม่ได้นิสัยเด็กขนาดนั้น”

        “ก็อ่อนแก่กว่ากูไม่เท่าไหร่ละวะ”

        “โวะ มึงนี่” สุรศักดิ์เหลือบไปมองเห็นแพรพรรณที่กำลังเดินออกมา “โน้นเขามาแล้ว อย่าลืมชวนนะ กูไปแล้ว” แล้วสุรศักดิ์ก็รีบวิ่งออกไปในทันที วีร์ได้แต่ยิ้มๆและมองตามสุรศักดิ์ที่รีบวิ่งออกไป จนแพรพรรณและเพื่อนๆเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าวีร์

        “วันนี้แกต้องทำอะไรมั้ย” แพรพรรณเอ่ยปากถามก่อน

        “ยังไม่มีอะ แบตก็เริ่มแข่งพรุ่งนี้ วันนี้คงไปนั่งเชียร์อย่างเดียว” วีร์ แพรพรรณ และเพื่อนคนอื่นๆออกตัวเดินไปตามทางหน้าห้องเรียนเพื่อลงไปด้านล่างตึก

        “แล้วแกจะไปเชียร์อะไร”

        “ยังไม่รู้เลย” วีร์คิดจะไปเชียร์สุรศักดิ์ตามที่เจ้าตัวขอไว้แม้ว่าจะเป็นทีมคู่แข่งก็ตาม “บาสก็น่าดูนะ แถมวันนี้มีบอลสีเราอีก ไม่รู้จะไปดูอันไหน”

        “นี่ๆ พี่อาร์มลงแข่งบาสด้วยใช่ปะ” ใครคนหนึ่งในหมู่เพื่อนของแพรพรรณถามออกมา

        “ก็คิดว่าใช่นะ” วีร์ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ระดับโควตานักกีฬาของโรงเรียนน่าจะลงแข่งอยู่แล้ว

        “งั้นป่านนี้คนคงไปออกันเต็มโรงยิมแล้วมั้ง” เด็กสาวคนเดิมตอบกลับมา

        “ก็คงประมาณนั้นแหละ”

        “แล้วจะเอายังไง” แพรพรรณหันมาถามวีร์และคนอื่นๆ

        “ไปสนามบอลมั้ยละ แสตนด์ร่มๆหลบแดดได้น่าจะยังเหลืออยู่มั้ง” วีร์เสนอความคิดเห็นกับทุกคน แต่ละคนก็พยักหน้ากลับมา “งั้นก็ไปกัน”

        “แล้วคนอื่นๆไปไหนกันหมดแล้วละ” แพรพรรณถามขณะที่เดินไปด้วยกัน

       ยังไม่ทันทีวีร์จะตอบอะไรก็มีมือมาโอบไหล่ข้างหนึ่งของเขา วีร์จึงหันไปดูว่าเป็นใคร แล้วมองดูเขาด้วยใบหน้าสงสัย

        “อะไร” เจ้าตัวถามกลับมา โดยที่มือยังพาดอยู่บนบ่าของวีร์อยู่ ทั้งยังออกแรงพาให้วีร์และเขาเดินหน้าต่อไปพร้อมกัน

        “วันนี้ว่างเหรอมึง”

        “ว่างสิ”

        “ไม่มีซ้อมดนตรีเหรอ”

        “ก็...ไม่มีนะ”

        “แล้วนี่มึงจะไปไหน”

        “ไปกับมึงไง” เจ้าตัวหันมายิ้มตอบให้กับวีร์

        “กูกับแพรจะไปเชียร์บอล”

        “อืม ก็ไปสิ”

        “ไม่ใช่สีมึงลงแข่ง”

        “แล้วใครห้ามไว้”

       วีร์ส่ายหน้าตอบ

        “งั้นกูก็ไปได้ ไอ้ใหญ่ลงแข่งไม่ใช่เหรอ”

       วีร์พยักหน้าตอบ

        “งั้นก็ไปกัน” วีร์ยังคงเดินไปและมองหน้าศศิทัศน์ไปด้วย “ไม่มีใครมานั่งจับผิดหรอกน่ะ แค่มีคนเต็มสนามอาจารย์เขาก็ไม่ซีเรียสแล้ว”

        “แล้วแต่มึงก็แล้วกัน” วีร์ส่ายหน้าด้วยความระอากับความดื้อของเพื่อนเขา แล้วรีบออกตัวเดินเร็วขึ้นไปให้ทันกลุ่มของแพรพรรณและเพื่อนๆ ศศิทัศน์ยังคงเดินเอามือโอบเกาะไว้ที่บ่าของวีร์แล้วเดินไปด้วยกัน แถมยังเดินเชิดหน้าชูคอเอียงมองซ้ายทีขวา เหมือนประหนึ่งว่ากำลังอวดใครต่อใครให้รู้ว่านี่คือเพื่อนของเขา

       ผลการแข่งขันในวันนั้นคณะสีของสุรศักดิ์เก็บชัยชนะผ่านเข้ารอบไปด้วยคะแนน 2-0 และทั้งสองลูกเป็นฝีมือการยิงประตูของคุณกรทั้งหมด


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
วิธู:
สรุปว่ารอดมั้ยมึง
VeeraVorra:
จะเหลือเหรอ
วิธู:
เข้ารอบไหน
VeeraVorra:
ผ่านแค่ถึงรอบสาม
วิธู:
กระจอก
บอกให้ลงเทนนิสก็ไม่เชื่อ
VeeraVorra:
ลงไปไซ
เห็นว่ามีแชมป์เยาวชนแห่งชาติปีที่แล้วลงแข่งอยู่กัน
ใครไม่รู้ มึงรู้จักมั้ย
วิธู:
ไม่รู้จัก คร้านอีตาม
แล้วมึงกลัว
VeeraVorra:
ไม่ได้กลัว
ขี้เกียจ
วิธู:
ไม่กลัวจริงอะ
VeeraVorra:
(แนบสติกเกอร์รูปฝ่าเท้า)

*****

        “อ้าว น้องวีร์ ยังไม่กลับเหรอครับ”

       วีร์ที่กำลังล้างหน้าอยู่ เงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงเรียก ก็พบว่าเป็นเด็กหนุ่มขาวตี๋ที่เป็นพี่ชายของเพื่อนของเขาเดินมาที่อ่างล้างหน้าข้างๆ

        “ยังครับ นี่เพิ่งจะแข่งเสร็จ เลยมาล้างหน้าล้างตาสักหน่อยก่อนกลับ” วีร์หันจัดการล้างหน้าตัวเองต่อให้เสร็จ

        “ผลเป็นไง เข้ารอบรึเปล่า” วีรมาตุเริ่มจัดการล้างผ้าขนหนูที่ตัวเองเพิ่งใช่เช็ดเหงื่อที่อ่างล้างหน้าข้างๆวีร์

        “ผ่านรอบสองครับ แต่ตกรอบสามซะก่อนไม่ได้ไปต่อแล้ว”

        “เก่งแล้วครับ” วีรมาตุหันมายิ้มให้กำลังใจเด็กรุ่นน้อง

        “แล้วเฮียลงแข่งอะไรเหรอครับ เหงื่อโทรมมาขนาดนี้” วีร์มองดูรุ่นพี่ที่เสื้อผ้าหน้าผมของเขาเปียกชุ่มไปทั้งตัว

        “เฮียลงวิ่งอะครับ นี่แค่ซ้อมเฉยๆ แข่งวันสุดท้ายโน้นแน่ะ”

        “โห ขนาดซ้อมยังหนักขนาดนี้เลยเหรอครับ”

        “ไม่หรอก แค่ลงซ้อมเบาๆเฉยๆ แต่เฮียเป็นคนเหงื่อออกง่ายน่ะ”

        “อ๋อ” วีร์พยักหน้ารับรู้

        “เออ จริงสิ เฮียถามอะไรหน่อย” เขาบิดผ้าขนหนูจนแห้งดีแล้ว ก็เอี้ยวตัวหันไปทางเด็กรุ่นน้อง “ตอนนี้บิ๊กเขาตามจีบใครอยู่รึเปล่า”

        “หือ... บิ๊กนะเหรอครับ” วีร์พยายามคิด “ไม่เคยได้ยินนะครับ”

        “เฮียเห็นเขาซ้อมวิ่งอยู่กับใครไม่รู้ เฮียไม่แน่ใจ แต่ถึงจะบอกว่าวิ่งอยู่ด้วยกันแต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ เหมือนต่างคนต่างซ้อมวิ่งของตัวเองไป แต่ว่าเขาก็วิ่งตีคู่กันไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทิ้งห่างกันมากนักนะ”

        “แล้วเขาหน้าตาเป็นไงเหรอครับ”

        “ก็เด็กผู้หญิงใส่แว่น ผมหยิกหน่อยๆ น่าจะตัวเล็กกว่าน้องแพรนิดนึงนะเฮียว่า”

       วีร์พยายามนึกภาพตามลักษณะของคนที่วีรมาตุเห็นว่าอยู่กับพระยศ แต่ภาพที่วีร์นึกออกได้นั้น

        “หรือว่าจะเป็นน้องเฟิร์น”

        “คนนั่นเหรอน้องเฟิร์น ที่ไอ้ตี๋เล็กชอบมาเล่าให้ฟังว่าน้องเขาเอาขนมมาให้บิ๊กอยู่บ่อยๆ”

        “อ่า ไม่แน่ใจนะครับ แต่ถ้าใส่แว่นแล้วผมหยิกๆด้วย ก็น่าจะใช่”

        “สงสัยว่าลูกตื้อของน้องเขาจะสัมฤทธิ์ผลแล้วละมั้ง” วีรมาตุเม้มริมฝีปากเข้าหากันครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทั้งคู่ต่างพากันเก็บสัมภาระของตัวเอง “เดี่ยวน้องวีร์กลับเลยรึเปล่าครับ”

        “ใช่ครับ อยากรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดจะแย่แล้ว”

        “งั้นเดินออกไปด้วยกันเลยมั้ย เฮียก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”

       วีร์พยักหน้ารับ แล้วทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องน้ำไป

       ระหว่างที่เดินออกมาที่หน้าโรงเรียนเพื่อขึ้นรถโดยสารกลับบ้านของแต่ละคนนั้น มีเพียงเสียงฝีเท้าคุยกับสายลมที่พัดโชยมาเอื่อยๆ แสงอาทิตย์เริ่มสลายหายไปพร้อมกับความเย็นที่เริ่มโรยตัวลงมา ต่างคนต่างเดินไปไม่ได้พูดจาอะไรกัน แต่ว่าเดินร่วมไปในทางเดียวกัน ตีคู่เคียงข้างกันไปไม่ได้ทิ้งระยะห่างกัน

*****

        “น้องวีร์”

       วีร์หันไปทางเสียงที่เรียกชื่อเขาขณะที่เขากำลังเดินอยู่ข้างทางหน้าหมู่บ้านเพื่อจะไปขึ้นรถโดยสาร ก็พบรถยนต์คันหนึ่งเลี้ยวเข้าจอดข้างทางใกล้กับที่เขาหยุดอยู่ กระจกด้านที่นั่งข้างคนขับถูกเปิดลงมาพร้อมกับเจ้าของรถที่กำลังยื่นหน้าออกมา

        “จะไปไหนเหรอครับ ให้เฮียไปส่งมั้ย”

       วีร์เดินเข้ามาใกล้ๆรถแล้วก้มตัวของเล็กน้อยให้ตรงกับช่องกระจกรถ

        “ไม่เป็นไรครับเฮีย ผมไปใกล้ๆแค่นี่เอง เดี๋ยวไปรถโดยสารเอาก็ได้ครับ”

        “ขึ้นมาเลย ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวเฮียขับไปส่ง” วีรมาตุยังคงยืนยันคำเดิม “มา ขึ้นมาเลยครับ” เมื่อพูดจบเขาก็เอื้อมมือไปเปิดประตูออกทันที เป็นการเชื้อเชิญแกมบังคับให้อีกฝ่ายขึ้นรถมากับเขา

       วีร์เห็นดังนั้นจะปฏิเสธต่อไปก็อาจจะดูเป็นการเสียน้ำใจคนให้อยู่สักหน่อย จึงได้ตัดสินใจขึ้นรถพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างเรียบร้อย

        “แล้วนี่น้องวีร์จะไปไหนครับ”

        “ผมกำลังจะไปที่ห้างอะครับ”

        “ตอนนี้เลยเหรอครับ ห้างมันเปิดสายๆไม่ใช่เหรอ” วีรมาตุเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวาพร้อมส่งกระจกมองหลัง ก่อนที่จะหักพวงมาลัยแล้วเคลื่อนรถออกไปตามทาง มุ่งหน้าสู่เป้าหมายของวีร์

        “เปล่าครับ ผมไปทำธุระแถวนั้นเฉยๆ ไม่ได้จะเข้าไปที่ห้างหรอกครับ”

        “อ๋อ โอเค เช้าวันเสาร์แบบนี้แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว” คนขับรถหันมายิ้มให้ผู้โดยสารของเขา แล้วจึงหันไปสนใจต่อสภาพการจราจรบนท้องถนน

       ระหว่างทางมีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุที่เปิดคลอไป ต่างฝ่ายต่างจดจ่ออยู่ที่สิ่งที่ตัวเองต้องทำ ไม่นานนักก็ใกล้จะถึงที่หมาย

        “เดี๋ยวน้องวีร์จะลงตรงไหนครับ” วีรมาตุถามเมื่อเห็นห้างดังกล่าวอยู่ตรงหน้าแล้ว

        “เอ่อ... เลยห้างไปอีกหน่อยครับเฮีย แล้วเฮียก็ชิดซ้ายเข้าจอดเลยครับ”

       วีรมาตุทำตามเด็กรุ่นน้องบอก และในตอนที่รถจอดสนิทนั้นเอง

        “ขอบคุณที่มาส่งครับเฮีย” วีร์ยิ้มให้กับคนขับรถ แล้วเขาก็รีบเปิดประตูรถลงไปเลยทันที ไม่ทันจะที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไรก่อนแม้กระทั่งคำลา

       วีรมาตุมองวีร์เดินไปตามข้างทางอีกระยะหนึ่ง ก็เห็นว่าน้องเขาแวะเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรี เขาไม่แน่ใจว่าธุระของวีร์คืออะไรและไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน เขารู้แต่ว่าวีร์มักจะมีนัดสำคัญอะไรบางอย่างจากคำบอกเล่าของน้องชายของเขา ที่บอกว่าเพื่อนของเขาไม่เคยออกมาเจอเพื่อนๆได้เลยหากมีการนัดพบกันในวันเสาร์ และเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่วีร์ย้ายโรงเรียนมาที่นี่ โดยที่วีร์ไม่เคยบอกใครว่าเขาไปไหนและทำอะไร

       ในขณะที่กำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่นานก็ยังไม่มีทีท่าว่าวีร์จะเดินออกมา คนขับรถที่นั่งมองดูหน้าร้านขายเครื่องดนตรีอยู่ในรถยนต์ของตัวเอง กำลังจะตัดสินใจยอมแพ้แล้วติดเครื่องยนต์เพื่อจะเดินทางกลับไปแล้วนั้น ก็เห็นเด็กหนุ่มเดินออกมาจากร้านพร้อมกับสะพายกระเป๋าใบใหญ่ที่ดูรูปร่างก็รู้ได้ในทันทีว่าข้างในใส่อะไรไว้

       วีร์กำลังมองทางซ้ายทีขวาที ก่อนที่จะหันมาทางรถยนต์คันเดิมที่ยังจอดอยู่เพราะเสียงแตรรถที่ดังขึ้น คนขับรถลดกระจกลงพร้อมกับกวักมือเรียกผู้โดยสารคนเดิมให้มาขึ้นรถ เจ้าตัวก็ตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงมาเดินมาขึ้นรถคันเดิมที่เขานั่งมา

        “น้องวีร์เสร็จธุระแล้วเหรอครับ ให้เฮียไปส่งที่บ้านมั้ย” คนขับรถหันมาถามเมื่อผู้โดยสารของเขาคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้ว

        “เปล่าครับ ผมยังไม่ได้ไปทำธุระอะไรเลย นี่แวะมาเอาของเฉยๆ” แล้วเขาก็ขยับกระเป๋าใส่กีตาร์ใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ตัวเองได้นั่งได้ถนัดขึ้น

        “แล้วจะให้เฮียไปส่งที่ไหนต่อดีครับ”

        “เฮียดูว่างนะครับวันนี้” เด็กหนุ่มรุ่นน้องหันมาถามตรงๆ ทำเอาเจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง

        “เฮียเสร็จธุระของเฮียตั้งแต่เช้ามืดแล้วครับ ตอนนี้ไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว” เขาหันมาพยายามยิ้มเป็นปกติ “กำลังจะขับรถกลับบ้านก็บังเอิญเจอน้องวีร์เดินอยู่พอดี”

        “บังเอิญ... หรือว่าจงใจรออยู่ตั้งแต่แรก”

        “เอ่อ... เฮียกำลังจะขับรถออกไปอยู่พอดี น้องวีร์ก็เดินออกมาจากร้านอะครับ”

        “ผมหมายถึงตั้งแต่ตอนที่อยู่หน้าหมู่บ้านอะครับ”

       วีรมาตุไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ก้มหน้ามองดูพวงมาลัย ด้วยจนมุมว่าวีร์น่าจะจับผิดเขาได้แล้ว

        “ไอ้ต่ายเล่าอะไรให้เฮียฟังใช่มั้ยครับ”

       วีรมาตุได้แต่พยักหน้ารับ ส่วนวีร์ก็ถอนหายใจ

        “เฮียอยากไปเจอเขามั้ย”

       ไม่รู้ว่า ‘เขา’ คนนั้นคือใคร วีรมาตุก็ไม่แน่ใจตัวเองว่าอยากจะเจอคนๆนั้นจริงๆหรือไม่ เขาหันมามองรุ่นน้องที่กำลังรอคำตอบจากเขาอยู่ แต่เขายังไม่ทันได้ตอบกลับไป

        “ถ้าเฮียอยากเจอ ก็ไปส่งผมที่โรงพยาบาลให้หน่อยครับ”

       วีรมาตุมองดูสีหน้าที่จริงจังของวีร์ ก่อนที่จะพยักหน้ารับ แล้วจึงขับรถออกไปมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางใหม่

*****

       เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล วีร์ที่กำลังสะพายกระเป๋ากีตาร์ไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง เดินนำไปตามทางภายในโรงพยาบาลอย่างคล่องแคล่วอย่างคนที่รู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี วีรมาตุที่เดินตามมาไม่ห่างพลางคิดอยู่ในใจว่า ‘เขา’ คนนั้นจะเป็นใครได้บ้าง และเหตุใดจึงต้องมาเจอกันที่โรงพยาบาล

       ระหว่างที่เดินตามทางไปนั้นพวกเขาต้องเดินผ่านส่วนอุบัติเหตุฉุกเฉินที่มีคนพลุกพล่านอยู่ตลอดทั้งวันแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันเสาร์ก็ตาม เรื่อยมาจนถึงลิฟท์โดยสารที่พาพวกเขามาถึงชั้นบน เมื่อออกจากตัวลิฟท์ก็เจอกับผนังที่มีตัวอักษรติดอยู่บ่งบอกว่าชั้นนี้เป็น ‘หออภิบาลผู้ป่วยวิกฤติ’

       แต่วีร์ยังเดินนำไปตามทางต่อไปอีก เขาจึงคิดว่าคนที่วีร์มาหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ไม่นานนักเขาก็รู้คำตอบเมื่อพวกเขาเดินทางถึงโต๊ะเคาท์เตอร์ที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้า มีป้ายบอกชัดเจอว่าเป็น ‘หออภิบาลผู้ป่วยปลอดเชื้อ’

       วีร์แจ้งชื่อกับเจ้าหน้าที่พร้อมกับยื่นบัตรประชาชน

        “ขอบัตรประชาชนเฮียด้วยครับ” วีร์หันมาหาเขาและแบมือออกมารอรับ เขาจึงรีบหยิบบัตรประชาชนจากในกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วยื่นให้วีร์

       แล้ววีร์ก็ยื่นบัตรให้กับเจ้าหน้าที่หน้าหอผู้ป่วย ทั้งคู่มองดูเจ้าหน้าที่พิมพ์อะไรบางอย่างลงในคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะคืนบัตรทั้งสองใบกลับมา

        “เดี๋ยวน้องเข้าไปเปลี่ยนชุดได้เลยนะ ส่วนกีตาร์นี่พี่คงต้องขอเอาไปเข้าห้องฆ่าเชื้อก่อนแล้วเดี๋ยวจะเอาไปให้ทีหลังนะคะ”

       วีร์พยักหน้ารับแล้วจึงวางกระเป๋าใส่กีตาร์ลงบนโต๊ะยื่นให้เจ้าหน้าที่รับไป จากนั้นก็หันหน้ามามองวีรมาตุก่อนที่จะเดินนำเข้าไปในห้อง ซึ่งพบกับห้องโถงที่มีตู้เก็บของแบ่งเป็นช่องเล็กๆหลายช่องพร้อมฝาปิดอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นชั้นวางของต่างๆมีป้ายติดบอกไว้ไม่ว่าจะเป็น เสื้อ โสร่ง รองเท้า และหมวกคลุมผม

       วีร์เดินไปหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งแล้วยื่นส่งมาให้วีรมาตุ

        “เดี๋ยวเฮียเปลี่ยนเสื้อเป็นตัวนี้นะ ส่วนโสร่งนี้ เฮียนุ่งทับกางเกงไปได้เลย รองเท้ากับถุงเท้าเปลี่ยนมาใส่คู่นี้แทน”

       เสร็จแล้ววีร์ก็หันไปหยิบมาอีกชุดหนึ่ง แล้วจึงจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองใหม่ ส่วนเสื้อและรองเท้าที่ถอดออก วีร์เดินไปที่ตู้อีกฝั่งแล้วจึงเปิดตู้ที่มีหมายเลข 108 ติดอยู่ที่ฝาตู้ จากนั้นก็วางเสื้อจะรองเท้าไว้ข้างใน แล้ววีร์ก็หันมารอวีรมาตุเอาเสื้อผ้าของเขาเข้าไปเก็บไว้ในตู้เดียวกัน แล้วจึงปิดฝาตู้ให้เรียบร้อย

       จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปที่ประตูทางเข้าซึ่งมีเจ้าหน้าที่ยืนเฝ้าอยู่ วีร์ปล่อยให้เจ้าหน้าตรวจสอบความเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง วีรมาตุเห็นดังนั้นก็ทำตามปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตรวจเครื่องแต่งกายของเขา จนเสร็จทุกขั้นตอนของความปลอดภัยแล้วเจ้าหน้าที่จึงอนุญาตให้ทั้งสองเข้าไปข้างในได้

       เขตชั้นในแบ่งเป็นห้องต่างๆยาวไปตามทางเดินทั้งซ้ายและขวาเรียงตามลำดับหมายเลขไป โดยห้องหมายเลขคี่จะอยู่ทางซ้าย และห้องหมายเลขคู่จะอยู่ทางขวา แล้วทั้งสองคนก็เดินมาถึงประตูห้องที่มีหมายเลข 108 ติดอยู่ วีร์หันมามองคนที่เดินตามเขามาอีกครั้ง ก่อนที่จะเคาะประตูแล้วจึงเปิดประตูเข้าไป

       วีรมาตุสูดหายใจลึกๆเตรียมพร้อมจะเข้าไปเจอคนๆนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม แต่สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อที่แปะอยู่ที่หน้าประตูห้องเสียก่อน

‘ห้อง 108
นายวีรดนย์ กิจการเรืองฤทธิ์ อายุ 18 ปี
พญ. กาญจนา อาชา’

       ทันทีที่เห็น วีรมาตุรู้สึกได้ว่าเป็นชื่อที่ดูคุ้นตามากสำหรับเขา แม้ว่าจะไม่ได้เห็นมานานแล้วก็ตาม

        ‘วีรดนย์ กิจการเรืองฤทธิ์’

       ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาพยายามนึกให้ออกว่าเขาเคยเห็นชื่อนี้มาจากที่ไหนมาก่อน

        ‘วีรดนย์’

       จนเขาเดินเข้ามาถึงข้างในห้อง และได้เห็นหน้าเด็กหนุ่มที่สวมชุดผู้ป่วยกำลังนอนอยู่บนเตียง แม้ว่าเขาคนนั้นจะดูซูบผอมไปจากเดิมที่เขาเคยเห็นอยู่มาก แต่ภาพเก่าๆในหัวของเขาก็กระจ่างขึ้นมาในทันที

‘ประกาศรายชื่อผู้ที่รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
สาขาวิศวกรรมศาสตร์นาโนเทคโนโลยี: นายวีรดนย์ กิจการเรืองฤทธิ์’


*****


[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
ตัดจบแบบละครไทย :katai1:ค้างม๊ากกกกก :katai1: :ling1:

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 9 เหมือนเดิมแต่ไม่เหมือนเดิม

       วีรมาตุ ราวัณ
       ต่อให้มันมีปาฏิหาริย์ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป เธอกับเขาจะยังคงรักกัน ส่วนฉันคือผู้ที่ต้องเดินจากไป
       2.6k Like 46 comment 249 shared

        คุณกร ศุขเจริญชัย: มาเพ้ออะไรตอนดึกๆวะมึง แล้ววันนี้มึงไปไหนมา
        พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล: งงเด้อ อกหักมาจากไหนวะ
        พ่อแม่ให้มาเท่านี้ ที่เหลือหมอจัดให้: อร๊าย พี่วีขา มาๆนุชจะปลอบใจให้เอง
        ชัชวาล เก่งการเรือน: @พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล ก็เห็นมีตามอยู่คนเดียว
        ศศิทัศน์ ราวัณ: @วีรมาตุ ราวัณ เฮียถึงบ้านแล้วหรอ
        คุณกร ศุขเจริญชัย: @ศศิทัศน์ ราวัณ ไอ้ต่าย วันนี้เฮียมึงไปไหนมาวะ
        ศศิทัศน์ ราวัณ: @คุณกร ศุขเจริญชัย หลังไมค์นะเฮียหมู
        พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล: @ศศิทัศน์ ราวัณ @คุณกร ศุขเจริญชัย เฮ้ย กูด้วย
        ไมตรีจิต นิยมทอง: @พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล @ศศิทัศน์ ราวัณ @คุณกร ศุขเจริญชัย กูด้วย
        มีมี่ มิมีใคร เอามาแล้วจ้า: แอร๊ยยย อยากรู้ด้วยคน ต้องทำไงอะ
        ชัชวาล เก่งการเรือน: @ไมตรีจิต นิยมทอง @พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล @ศศิทัศน์ ราวัณ @คุณกร ศุขเจริญชัย กูด้วย


*****


       วีร์เดินเข้ามาในห้องเรียนตอนเช้าวันจันทร์ ทุกอย่างดูเหมือนปกติ เพื่อนร่วมชั้นต่างรวมกลุ่มนั่งคุยเรื่องสรรพเพเหระ เสียงดังมาจากกลุ่มโน้นทีกลุ่มนี้ทีสลับกันไป จะมีเพียงใครคนหนึ่งที่เอาแต่จ้องหน้าเขานิ่งไม่วางตา และมีแววตาแปลกไปจากปกติ วีร์คิดว่าเขารู้สาเหตุของเรื่องนี้ดี แต่เขายังไม่อยากเอ่ยอะไรกับเจ้าตัวในตอนนี้ เพราะอันที่จริงตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษในตัวพี่ชายของเพื่อนคนนั้น แม้ว่าเพื่อนคนนั้นจะพยายามจับคู่ให้เขากับพี่ชายของเขาอยู่หลายครั้งก็ตาม ส่วนคนอื่นๆที่เหลือนั้นยังพูดคุยเฮฮากับเขาเป็นปกติเช่นเดิม

       ในขณะที่การเรียนภาคเช้าดำเนินไป ถึงจะไม่ได้หันไปมองแต่วีร์ก็รู้สึกได้ว่ายังคงมีสายตาจ้องมองเขาอยู่ตลอด จนเขาคิดว่าคงจะต้องมีการพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกันบ้าง เพราะเขาก็ไม่อยากจะให้มันเป็นปัญหาจนถึงกับทำลายมิตรภาพต่อกันที่ดีเสมอมา

       จนถึงเวลาพักกลางวัน วีร์จะหันหน้าไปหาเขาคนนั้นแต่ก็พบว่าเจ้าตัวนั้นได้ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องในทันที เพื่อนคนอื่นๆที่เหลือก็รีบเดินตามกันไปและคะยั้นคะยอให้เขารีบเดินตามไปด้วย วีร์ได้แต่ถอนหายใจว่าตอนนี้โอกาสอาจจะยังไม่เหมาะนัก คงจะต้องหาจังหวะที่ดีกว่านี้ใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ได้แต่ทำตัวตามปกติไปก่อน

       ระหว่างที่กำลังเข้าแถวรอซื้ออาหาร วีร์จดจ่ออยู่กันการมองดูป้ายรายการอาหารพลางคิดอยู่ว่าเขาจะกินอะไรดี จนไม่ทันสังเกตว่ามีคนจ้องมองเขาอยู่ตั้งแต่เริ่มจนเขาได้รับอาหารแล้วเดินออกจากแถวไป

       วีร์ยืมมองดูรอบๆโรงอาหารทั้งด้านซ้ายและขวา จนเขาเห็นคู่แฝดนพชัยและชัยทิศโบกมือเรียกว่าพวกเขาได้โต๊ะตรงไหนกัน แต่วีร์เพียงแค่พยักหน้าตอบแล้วก็มองดูรอบๆต่อไปจนเขาเจอคนที่เขาต้องการจะคุยด้วย และถือเป็นจังหวะดีที่วันนี้เขานั่งกินข้าวอยู่คนเดียว วีร์จึงเดินมุ่งหน้าไปหาคนๆนั้นก่อน

       ศศิทัศน์เห็นเพื่อนของเขาตั้งแต่เดินเข้ามาในโรงอาหาร และตามดูเรื่อยมาจนกระทั่งต่อแถวและซื้ออาหารเสร็จแล้ว เขาพยายามดูอากัปกิริยาทุกท่าทางเพื่อนของเขา พยายามประมวลสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้รู้ถึงความคิดความรู้สึก เขาอยากจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเหตุใดพี่ชายของเขาที่ออกจากบ้านไปตั้งเช้าตรู่ถึงได้กลับมาค่ำมืดด้วยสีหน้าและแววตาที่หม่นหมองไป พร้อมกับข้อความที่ดูเศร้าสร้อยที่พี่ชายของเขาเขียนลงไว้ในเฟซบุ๊คตอนกลางดึกในคืนวันนั้น

       แต่ก่อนที่ศศิทัศน์จะได้ทบทวนอะไรได้เพิ่มเติมมากไปกว่านี้ เขาก็เห็นเพื่อนของเขาเดินตรงไปหาพี่ชายของเขาที่นั่งกินข้าวอยู่คนเดียว แล้วก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม เขาเห็นสีหน้าที่ดูตกใจของพี่ชายของเขาทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนร่วมโต๊ะอาหาร

       ศศิทัศน์กำลังจะเดินไปทางนั้นเช่นกัน เพียงแต่ว่ามีมือใครสักคนมารั้งตัวเขาไว้ซะก่อน

        “ให้สองคนนั้นเขาคุยกันเอง”

       ศศิทัศน์หันมาเห็นพระยศที่มือหนึ่งถือจานข้าวอยู่ ส่วนอีกมือหนึ่งนั้นจับบ่าของเขาไว้

        “แต่...”

        “ให้เขาคุยกันเองก่อน เราอย่าเพิ่งเข้าไปทำอะไรให้มันวุ่นวายมากไปกว่านี้จะดีกว่า”

        “แต่ว่า...”

        “ไปเหอะ ไอ้ใหญ่ไอ้กิ่งไอ้ก้านมันจองโต๊ะรออยู่แล้ว”

       พระยศฉุดรั้งให้ศศิทัศน์เดินตามเขามาที่โต๊ะของเพื่อนๆ ปล่อยให้สองคนนั้นได้สะสางปัญหากันเอง ศศิทัศน์หันไปมองอีกครั้งก่อนที่จะเดินตามพระยศไปในที่สุด

*****

        “ขอนั่งด้วยคนได้ใช่มั้ยครับ” วีร์เอ่ยถามคนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ จะเรียกว่ากินก็คงจะไม่ถูกนัก ต้องบอกว่านั่งเขี่ยข้าวในจานเสียมากกว่า เขาถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยที่ไม่ทันรอคำตอบจากอีกคนหนึ่ง

       วีรมาตุมีสีหน้าตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เอ่ยถาม เขารู้อยู่แล้วตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงถาม แต่ภาพตรงหน้า ภาพของวีร์ที่ยืนถือจานอาหารอยู่ตรงหน้า มันเกินจริงเสียยิ่งกว่าจริง เขายังไม่ทันจะได้พยักหน้าตอบรับเพราะในขณะนี้สติที่จะเรียบเรียงแค่เพียงคำพูดง่ายก็กระโดดหนีหายไปหมด คนตรงหน้าก็นั่งลงเสียก่อนแล้ว

       ทั้งคู่ต่างก้มหน้ากินอาหารของตัวเอง คนหนึ่งกินตามปกติ อีกคนหนึ่งพยายามละเลียดกินเท่าที่จะทำได้

        “วันเสาร์นี้เฮียว่างมั้ยครับ” อยู่ๆวีร์ก็เอ่ยถามเพื่อนร่วมโต๊ะขึ้นมา สีหน้าของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าไม่เข้าใจคำถามของเขาอย่างแน่นอน ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไม วีร์จึงอธิบายเพิ่มเติม “พี่วีเขาอยากเจอเฮียอีกครั้ง เลยให้ผมลองมาถามดูว่าเฮียสะดวกไปพบเขาได้อีกมั้ย”

       วีรมาตุยังจำภาพเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านได้เมื่อเพิ่งเกิดเมื่อวาน


        เขามองดูเด็กหนุ่มรุ่นน้องเดินเข้าไปทักทายคนที่กำลังนอนป่วยอยู่บนเตียง ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ก่อนที่จะแนะนำตัวเขาให้กับอีกคน

        ‘เฮียวีครับ นี่พี่วีแฟนของวีร์เอง’

        ‘คนที่เราเล่าให้พี่ฟังว่ามีน้องชื่อต่ายเหมือนกันน่ะเหรอ’ คนที่นอนอยู่บนเตียงหันมายิ้มให้เขา

       คำพูดเพียงไม่กี่คำแต่ตอบทุกคำถามของเขาได้อย่างหมดจดจนไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก ความสงสัยในคำพูดกำกวมของหลายๆคนก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น

        ‘คนพี่ชื่อวี ส่วนคนน้องชื่อต่าย อย่าไปตกหลุมรักเขาเข้าละ’

        ‘อ้าว แล้วมึงเอาพี่วีไปไว้ไหนอะ ก็รู้ๆกันอยู่ ว่าจริงๆมันอยากใช้โบ๋เราเป็นสะพานไปหาใคร’

       ตอนนี้เหลือแต่เพียงความชัดเจนเท่านั้น

        ‘เราเคยเจอกันใช่มั้ย’ คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงดูมีสีหน้ายิ้มแย้มเอ่ยทักทาย

       สำหรับตัวเขานั้นแค่เห็นป้ายชื่อที่ติดอยู่หน้าห้อง เขาก็รู้ในทันทีว่าคนในห้องนี้เป็นใคร เขาจึงยิ้มตอบรับและพยักหน้า และคิดว่าวีร์ก็พอจะรู้ว่าพวกเขาเคยเจอกันที่ไหน

        ‘ใช่ ตอนที่ไปสอบชิงทุนตอน ม.3 แล้วเรานั่งสอบใกล้กัน’ วีรมาตุรื้อฟื้นเหตุการณ์ในตอนนั้น



        “เฮียครับ”

       เสียงเรียกดึงสติของเขากลับยังเวลาปัจจุบันที่เขาและวีร์กำลังนั่งร่วมโต๊ะอาหารที่โรงเรียน

        “ตกลงเฮียว่างรึเปล่า” วีร์ถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านิ่งเงียบไปอยู่นาน

        “คือจะให้เฮียไปรับน้องวีร์ก่อน แล้วไปโรงพยาบาลด้วยกันเหรอครับ” วีรมาตุถามกลับหลังจากที่คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง

        “เปล่าครับ ถ้าเฮียจะไปก็ไปแต่เช้าได้เลย แล้วผมจะไปเยี่ยมพี่วีช่วงบ่ายแทน” เพราะคิ้วที่ขมวดกันของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม วีร์จึงอธิบายเพิ่มเติม “พี่วีเขาอยากคุยกับเฮียตามลำพัง”

        “ทำไมเหรอ”

        “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พี่วีกำชับมาแบบนี้” วีร์นั่งนิ่งรอฟังคำตอบ

       วีรมาตุสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วก็พ่นออกมา ก่อนที่จะพยักหน้า

        “งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ ผมจะได้โทรไปบอกพี่วีว่าเฮียว่างจะไปหาวันเสาร์นี้”

       วีร์ยิ้มให้เขาก่อนที่จะจัดการอาหารที่เหลือทั้งหมดแล้วจึงขอตัวลุกไป ทิ้งให้คนที่ยังนั่งอยู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

       ส่วนคนที่เฝ้ามองดูทั้งคู่อยู่ไกลๆก็มีสีหน้าดูเคร่งเครียด ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน เกือบจะลุกขึ้นตามไปในทันทีหากแต่ว่ามีคนมาฉุดตัวเขาให้นั่งลงตามเดิม พร้อมกับส่ายหน้าห้ามเขาไว้

        “ปล่อยเขา เรื่องของเขาสองคนก็ให้เขาสองคนจัดการกันเอง” พระยศกระซิบพูดกับศศิทัศน์ก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นๆตามเดิม

       ศศิทัศน์ได้แต่ถอนหายใจและนั่งมองดูพี่ชายของเขาอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ

*****

       ช่วงสุดท้ายของภาคเรียนนี้ก็ใกล้เข้ามาแล้ว หลังการการสอบกลางภาคเรียนที่สองจบลงทางโรงเรียนก็ไม่ได้จัดกิจกรรมอะไรขึ้นมามากนัก ปล่อยให้นักเรียนมีอิสระและมีสมาธิจดจ่อกับเนื้อหาของแต่ละวิชาที่มักจะเข้มข้นในช่วงท้าย เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบปลายภาค

       วีร์และเพื่อนๆใช้เวลาหลังเลิกเรียนมาจับกลุ่มติวหนังสือบ้าง นั่งพูดคุยเฮฮาตามประสาบ้าง หรือว่าเล่นกีฬาออกกำลังบ้างอย่างในวันนี้

       วีร์ที่เดินออกมานั่งข้างสนามเพื่อพักเหนื่อย ปล่อยให้เพื่อนคนอื่นๆได้สลับกันลงไปเล่นบ้าง มีทั้งเพื่อนในกลุ่มของเขาเอง เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ รวมถึงเพื่อนต่างห้องด้วยเช่นกัน

        “เอามั้ยมึง”

       วีร์เงยหน้าขึ้นไปมองคนที่เพิ่งจะมาถึง เขายื่นถุงขนมคุกกี้มาให้พร้อมนั่งลงข้างๆพลางมองดูเพื่อนๆที่กำลังเล่นบาสเก็ตบอลกันอยู่ในสนาม

        “ไปไหนมาวะมึง” วีร์รับถุงขนมมาแล้วเลือกหยิบคุกกี้สองชิ้นแล้วจึงส่งกลับให้เจ้าของตามเดิม

        “เดินเล่นไปเรื่อย” พระยศตอบกลับมา แต่สายตายังคงมองไปที่สนามบาสเก็ตบอล

        “แล้วไปเอานี่มาจากไหน” เจ้าตัวแค่ยักไหล่ตอบกลับมา “เขาเอามาให้หรือมึงตั้งใจไปรอรับ”

        “ก็ไม่ทั้งสองอย่าง” พระยศยังคงนิ่งเฉย หยิบคุกกี้กินไปพลางมองดูเพื่อนๆในสนามไปพลาง

        “ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว” คำถามกว้างๆดูไม่เจาะจง แต่วีร์คิดว่าเพื่อนของเขารู้ดีว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร คุกกี้ที่เคยคิดว่าคนฝากเขาซื้อมาให้ แต่มารู้กันภายหลังว่าเจ้าตัวลงมือผสมและอบด้วยตัวเองมาโดยตลอด

        “ก็ไม่ถึงไหน”

        “คือไม่ได้ก้าวหน้า แต่ก็ไม่ได้ถอยหลัง”

       พระยศไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบคุกกี้ชิ้นใหม่ขึ้นมากัดเข้าปาก “ก็อยู่ที่เดิม ที่เดิมอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น” วีร์หันมามองพระยศเมื่อได้ยินคำพูดที่เคยหลุดจากปากของเขามาก่อน จนคนข้างรู้สึกได้และหันมามองตอบ “แต่ที่เดิมของกูเป็นคนละที่เดิมของมึง”

        “แต่คือมึงเปิดใจแล้ว”

       พระยศแค่เพียงยักไหล่นิดหน่อยตอบ

        “ก็ดีแล้ว”

       ทั้งคู่นั่งมองดูเพื่อนๆเล่นกันต่อไปอยู่เงียบๆ จนพระยศพูดขึ้นมาอีกครั้ง

        “กูบังเอิญไปเจอน้องเขาเมื่อตอนปิดเทอม” วีร์หันมามองเมื่อเพื่อนของเขาเริ่มเปิดปากเล่าขึ้นมา “ที่โรงพยาบาล ตอนกูไปฝึกงาน” พระยศก้มหน้ามองดูถุงคุกกี้ในมือของเขา “น้องเขามากับรถฉุกเฉิน” วีร์หันตัวมาหาพระยศทั้งตัวและตั้งใจฟังสิ่งที่พระยศกำลังจะเล่า

        “น้องเขานอนหมดสติมา ร่างกายดูซูบผอมมาก กูเห็นแล้วตกใจเลย หมอก็รีบวัดความดันวัดไข้ จับฉีดยาโน้นนี่นั่นแล้วก็ให้น้ำเกลือ แล้วก็ส่งขึ้นไปที่วอร์ดผู้ป่วย นอนพักอยู่ 3 วันมั้งก็ออกจากโรงพยาบาลได้”

       วีร์ยังคงนั่งเงียบ รอฟังสิ่งที่คนตรงหน้าจะเอ่ยออกมา

        “กูเคยเข้าไปคุยกับน้องเขาครั้งหนึ่ง” พระยศพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ

        “แล้วเป็นไง”

        “ก็ไม่เป็นไง กูก็บอกไปว่าถ้าเขารักตัวเองไม่เป็น แล้วจะไปรักคนอื่นเป็นได้ยังไง” พระยศหยิบคุกกี้ขึ้นมากินอีกชิ้นหนึ่ง “ตั้งแต่เปิดเทอมมากูก็เห็นน้องเขาก็ดูโอเคขึ้น แล้วก็คงจะเห็นกูมาซ้อมวิ่งอยู่บ่อยๆ น้องเขาก็เลยมาซ้อมด้วย แต่ไม่เคยได้พูดอะไรกันหรอก ต่างคนต่างวิ่งของตัวเองไปซะมากกว่า ก็เลยถึงได้บอกว่าที่เดิมอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นแหละ”

        “ก็ดีแล้ว อย่างน้อยสิ่งที่มึงพูดไป ทำให้น้องเขาเข้าใจ”

        “แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า” พระยศเว้นช่วงไว้ระยะ “กูไปฝึกงานที่โรงพยาบาล เมื่อตอนปิดเทอม” เขาหันหน้ามาหาวีร์ “กูอยู่ประจำที่ห้องฉุกเฉิน”

       วีร์รอฟังสิ่งที่พระยศจะพูดต่อเพราะเขายังคงไม่เข้าใจว่าพระยศต้องการสื่อถึงอะไร

        “ที่มึงต้องเดินผ่านขึ้นตึกไปอยู่เกือบทุกวันตลอดช่วงปิดเทอม”

       วีร์ขมวดคิ้วจ้องมองเพื่อนของเขา ส่วนพระยศก็จ้องมองเขากลับมาเช่นกัน

        “แม่กูชื่อกาญจนา” พระยศจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของวีร์ “พญ.กาญจนา อาชา มึงพอจะนึกอะไรออกแล้วยัง”

       ทั้งคู่ต่างมองกันไปมาอย่างเงียบๆ

        “มึงรู้มานานแค่ไหนแล้ว”

        “ก็สักพักแล้ว” พระยศละสายตาก่อนเป็นคนแรก เขาหันไปมองเพื่อนๆในสนามอีกครั้ง “แม่กูไปเห็นรูปที่ไอ้ฟ่างเคยถ่ายให้พวกเราในไอจีกู แล้วก็เอามาถามกูว่ารู้จักมึงด้วยเหรอ”

       วีร์นั่งนิ่งเงียบรอฟังคำบอกเล่าจากพระยศ

        “เขาเห็นมึงไปเฝ้า ‘เพื่อน’ อยู่บ่อยๆ เลยจำหน้าได้ แต่ไม่คิดว่ามึงจะรู้จักกับกูด้วย”

        “แล้วแม่มึงบอกอะไรมึงบ้าง”

        “ไม่ได้บอก จรรยาบรรณของหมอ เรื่องของคนป่วยจะคุยได้แต่กับทีมแพทย์ที่รักษาด้วยกันและญาติเท่านั้น แต่กูก็พอจะเดาออกว่า ‘เพื่อน’ ของมึงที่รักษาตัวอยู่ชั้นบนของตึกอุบัติเหตุแล้วยังมีแม่กูเป็นหมอประจำให้ ก็คงจะอาการหนักอยู่”

       วีร์พยักหน้ารับ

        “มึงอยากบอกมั้ยว่า ‘เขา’ เป็นใคร” พระยศหันมาถามวีร์ เขามองดูเพื่อนของเขาหลับตาลง สูดหายใจลึกแล้วค่อยๆปล่อยออกมา

        “เขาเป็นแฟนกูเอง” วีร์ตอบกลับหลังจากนั่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ซึ่งพระยศก็พยักหน้ารับรู้

        “ไอ้ต่ายรู้แล้วยัง”

        “ไม่รู้เหมือนกันว่ามันรู้แล้วรึเปล่า”

        “แต่ดูมันจะไม่ได้อะไรกับมึงแล้วนะ เห็นเมื่อเช้ามันยังมาคุยกับมึงปกติดี”

        “อืม” วีร์ตอบเพียงสั้นๆ

       เสียงในสนามดังขึ้นมาเพราะมีใครบางคนต้องการเปลี่ยนตัวออกไปพักบ้าง จึงหันมองรอบเผื่อว่ามีใครต้องการลงไปเล่นแทน ทั้งพระยศและวีร์ต่างโบกมือปฏิเสธไป

        “แล้วเฮียวีรู้เรื่องแฟนมึงแล้วรึยัง”

       วีร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งก่อนจะตอบ “รู้แล้ว”

        “วันที่เฮียลงสเตตัสอันนั้นใช่มั้ย”

       ข้อความอันนั้นเป็นเรื่องที่หลายคนเอามาพูดกันอย่างแพร่หลายในโรงเรียนอยู่นาน แม้แต่ตัววีร์เองที่ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊คก็ยังรู้เรื่องผ่านคำบอกเล่าของคนนั้นคนนี้ไปด้วย บางคนก็เดาไม่ถูกว่าหมายถึงใคร แต่ก็มีบางคนที่พอจะรู้ว่าเกี่ยวกับตัวเขาเอง

        “อืม” วีร์ตอบกลับสั้นๆ “กูพาเฮียไปเจอพี่เขาเอง”

        “กูก็ว่าเห็นเฮียแกซึมๆไปอยู่พักนึง แต่ก็ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติดีแล้ว สงสัยคงทำใจได้แล้วมั้ง”

        “ก็คงเป็นอย่างนั้น” สำหรับวีร์เองก็พอจะสังเกตได้ว่าวีรมาตุกลับมาดูเหมือนปกติดีแล้ว ทั้งตอนที่อยู่กับเพื่อนฝูงและกลับมาส่งข้อความผ่านทางแอพลิเคชั่นไลน์หาเขาอย่างเดิม หลังจากที่วีรมาตุได้ไปเจอกับวีรดนย์อีกครั้ง จนถึงตอนนี้วีร์เองก็ยังไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นได้คุยอะไรกันบ้าง ไม่ว่าจะพยายามถามฝ่ายไหนก็ไม่มีใครยอมบอกจนเขาต้องเป็นฝ่ายล่าถอยไปเอง

       แล้วอยู่ๆพระยศก็ยื่นถุงคุกกี้มาให้เขาแล้วก็ลุกขึ้นยืนทันที จากนั้นจึงเดินเข้าไปในสนามบาสเก็ตบอล เปลี่ยนตัวกับศศิทัศน์ที่เดินออกมานั่งลงที่ข้างๆวีร์

       ศศิทัศน์หยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มแก้กระหายไปเกือบหมดขวด มือขยับเสื้อหวังคลายร้อน มองดูเพื่อนๆเล่นกันต่อ

        “หยุดปีใหม่มึงจะกลับบ้านปะ”

       วีร์หันไปมองสีหน้าของคนข้างๆก่อนจะตอบ

        “คงไม่ได้ไปไหน คนเดินทางกันเยอะ อยู่นี่ดีกว่า”

        “ไอ้กิ่งไอ้ก้านมันจัดปาร์ตี้ปีใหม่ที่บ้านมันทุกปี มันบอกมึงแล้วยัง” ศศิทัศน์นั่งเท้ามือทั้งสองไปด้านหลังพร้อมทั้งหมุนคอไปมาแก้เคล็ดขัดยอก

        “ยังเลย”

        “อืม เดี๋ยวมันคงชวนมึงแหละ เตรียมตัวไว้เลย พวกมันไม่ยอมให้มึงปฏิเสธได้แน่นอน” ศศิทัศน์คว้าเอาถุงคุกกี้ในมือของวีร์มาหยิบกินบ้าง “แล้วก็ มึงเตรียมเสื้อผ้าไว้ค้างคืนด้วยเลย พวกมันชอบตั้งเต็นท์กลางสนาม ก่อกองไฟ แล้วก็ทำอาหารปิ้งย่างกินกัน”

        “ก่อกองไฟจริงๆอะนะ” วีร์ขมวดคิ้วสงสัยถึงการทำกิจกรรมรอบกองไฟกลางสนามบ้านที่อยู่ใจกลางเมืองว่าจะเป็นไปได้อย่างไร

        “ไว้มึงเห็นบ้านมันแล้วเดี๋ยวมึงก็จะหายงงเอง” ศศิทัศน์หันมายิ้มและยักคิ้วให้กับวีร์ วีร์ก็พยักหน้ารับรู้ ถึงแม้ว่าเขาจะพอรับรู้อยู่บ้างว่าสถานะทางบ้านของคู่แฝดเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่เคยคาดคะเนว่าจะร่ำรวยมากมายแค่ไหนมาก่อน และอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดเหมือนกันก็คือว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาจะกลับมาพูดคุยกับเขาเป็นปกติดังเดิม


[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
        “น้องวีร์”

       ยามเย็นที่พระอาทิตย์ตกเร็วกว่าปกติในช่วงหน้าหนาวแบบนี้ ยิ่งทำให้อากาศเย็นไหลเข้ามาแทนที่เร็วขึ้นตามไปด้วย นักเรียนส่วนใหญ่จึงพกเสื้อกันหนาวติดตัวมาด้วย วีร์เองก็เช่นกัน และในขณะที่เขากำลังเดินไปหน้าโรงเรียนเพื่อจะกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงเรียกจากคนคุ้นเคย

       วีร์หยุดเดินและหันมาตามเสียง ก็เห็นเด็กหนุ่มรุ่นพี่รูปร่างสูงขาวตี๋ หน้าตาละม้ายคล้ายกับเพื่อนร่วมห้องของเขา กำลังวิ่งตามมาจนถึงจุดที่เขายืนอยู่

        “จะกลับแล้วหรอครับ”

        “ก็... ครับ”

        “มีธุระต้องรีบกลับรึเปล่าครับ” วีรมาตุเอ่ยถาม

        “ก็... ไม่ได้มีอะไรด่วนต้องรีบกลับไปทำนะครับ” วีร์ขมวดคิ้วพยายามนึกอยู่

        “งั้น ช่วยไปเป็นเพื่อนเฮียหน่อยได้มั้ย” เขามองดูเด็กรุ่นน้องเลิกคิ้วขึ้นมาทั้งสองข้าง “เฮียอยากจะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เพื่อน แต่เฮียไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรให้มันดี น้องวีร์ไปช่วยเฮียเลือกหน่อยได้มั้ยครับ”

       ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตาของผู้ร้องขอที่ดูแล้วแทบแยกไม่ออกว่ากำลังอ้อนวอนที่คนตัวเองกำลังชอบเหมือนไม่รู้มาก่อนว่าเขามีเจ้าของอยู่แล้ว หรือต้องการความช่วยเหลือเพราะจนปัญญาแล้วจริงๆ ทำให้วีร์ชั่งใจอยู่นาน

        “ได้มั้ยครับ” วีรมาตุเอ่ยถามอีกครั้ง

       หลังจากที่คิดทบทวนว่าเขาคงจะคิดมากไปเองวีร์จึงตอบตกลงไป ก็คงจะเหมือนเมื่อคราวที่วีรมาตุมาขอไลน์ไปจากเขา

        “ก็ได้ครับ” อีกฝ่ายก็ยิ้มกว้างในทันที

        “งั้นไปกันเลยครับ”

       เมื่อทั้งคู่เดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าที่ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นทั้งจังหวัด เพราะมีสินค้าให้เลือกมากมายหลากหลายประเภท รวมถึงกิจกรรมสันทนาการต่างๆที่สามารถสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินได้ตลอดทั้งวัน วีรมาตุและวีร์เดินเลือกดูสินค้าไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ร้านที่ขายของทั่วไป เสื้อผ้า เครื่องกีฬา ไปจนถึงร้านหนังสือ แต่ก็ยังตกลงไม่ได้เสียทีว่าควรจะซื้ออะไรไปเป็นของขวัญวันเกิดดี

        “เดี๋ยวครับเฮีย สรุปว่าเฮียจะซื้อของขวัญวันเกิดให้ใคร”

        “ไอ้หมูไง เฮียไม่ได้บอกเหรอ”

       วีร์ส่ายหน้าในทันที เขารับรู้แต่ว่าเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งของวีรมาตุ

        “แล้วเฮียรู้มั้ยว่าเฮียหมูชอบอะไร”

        “อืม... มันก็ชอบเล่นฟุตบอล” วีรมาตุพยายามนึกสิ่งที่เพื่อนสนิทของเขาชอบเป็นพิเศษ

        “หรือจะซื้อลูกฟุตบอลให้” วีร์เสนอความเห็น

        “เฮียว่าที่บ้านมันคงมีเป็นโหลแล้วละมั้ง”

        “รองเท้าสตั๊ดไปเลยมั้ยครับ”

        “แต่เฮียว่าน่าจะแพงไปนะ”

        “ชุดบอล”

       วีรมาตุทำหน้าย่นไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้นสักเท่าไหร่ ด้วยคิดเอาเองว่านักฟุตบอลก็คงจะมีชุดใส่เล่นฟุตบอลอยู่ไม่น้อยอยู่แล้ว

        “โน้นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา” วีร์ถอยหายใจเซ็งๆเล็กน้อย “แล้วเฮียหมูชอบอะไรอีกเหรอครับ”

        “อืม... มันชอบเล่นหมากรุกนะ แต่มันก็คงมีกระดานหมากรุกอยู่แล้ว”

       วีร์เงยหน้ากรอกตามองบนทันทีที่ถูกดักทางคำตอบไว้ซะก่อน แล้วจึงหันมองดูรอบไปตามร้านค้าต่างๆ ก่อนที่จะสะดุดตากับที่แห่งหนึ่ง

        “แล้วเฮียอยากซื้อของขวัญแบบไหน” วีร์เอ่ยถามขณะที่สายตายังมองดูของสิ่งนั้นอยู่

        “เฮียก็นึกไม่ออกเหมือนกันครับว่าจะซื้ออะไรดี เฮียถึงได้มาขอให้น้องวีร์มาช่วยอยู่นี่ไง”

        “ไม่ใช่” วีร์หันหน้ามาหาวีรมาตุ “ผมหมายถึงว่า เฮียอยากได้ของขวัญแบบว่าเห็นแล้วประทับใจสุดซึ้ง หรือจะเอาสนุกๆแบบแกล้งกันขำๆอะครับ”

        “อืม...” วีรมาตุนึกคิดพิจารณา “ยังไงก็ได้ครับ”

       วีร์หันกลับไปมองของสิ่งนั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะหันกลับมาหาคนตรงหน้า

        “งั้นเฮียตามผมมา”

       วีร์เดินนำวีรมาตุไปที่ร้านค้าร้านหนึ่ง เป็นร้านที่รวมสินค้าตั้งแต่เครื่องสำอาง ของใช้ส่วนตัว ไปจนถึงเวชภัณฑ์ วีร์เดินนำมาจนหยุดของที่ชั้นขายสินค้าประเภทหนึ่ง แล้วจึงเลือกดูสินค้าชนิดนั้นตามยี่ห้อและประเภทต่างๆ ไล่ดูตั้งแต่แบบที่จัดขายเป็นกล่องขนาดเล็ก ไปจนถึงสินค้าจัดชุดเป็นกล่องใหญ่

       ส่วนคนที่เดินตามมาได้แต่ตื่นตาตกใจกับสินค้าตรงหน้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นหรือไม่รู้จัก เพียงแค่เขาไม่คิดว่าเขาและวีร์จะได้มาเลือกสินค้าชนิดนี้ด้วยกัน อีกทั้งยังมีคนอื่นๆที่ทั้งเดินเลือกดูสินค้าอื่นๆในร้านและคนที่เดินผ่านไปมาอยู่นอกร้านหันมามองเขาทั้งสองคน ทำให้วีรมาตุรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย

        “ผมว่าถ้าเอาแบบว่าแกะออกมาเห็นแล้วตลกหัวเราะเฮฮาไปทั้งงานเลย ซื้อกล่องใหญ่ไปเลยดีกว่า” วีร์หยิบกล่องขึ้นมาสองกล่องที่เป็นสินค้าคนละยี่ห้อกัน และพลิกมองดูไปมา “อืม... อันนี้แค่สิบชิ้นแต่เกือบสามร้อยแหนะ ส่วนอันนี้โหลเดียวแต่ถูกกว่าอีก” วีร์ยังคงพลิกดูไปมาแล้วจึงก้มลงมองชิ้นอื่นๆที่วางอยู่บนชั้นวาง “เฮียว่าเอาแบบไหนดี แบบบาง แบบเรียบ หรือว่าแบบมีปุ่มขรุขระ”

        “น้องวีร์!” เขาส่งเรียกร้องออกมาทันที เพราะอีกฝ่ายนั้นถามเขาเสียงดังจนคนอื่นๆก็ได้ยินกันชัดเจน “เบาๆหน่อยสิครับ”

        “หืม... อะไรเหรอครับ” วีร์หันมาเห็นวีรมาตุที่กำลังหันมองไปรอบๆ

        “เดี๋ยวคนอื่นเขาเข้าใจผิด” วีรมาตุพยายามกระซิบให้ได้ยินกันแค่เขาและวีร์เท่านั้น

        “อ๋อ” วีร์หันมองดูรอบๆบ้าง “มันก็น่าอยู่หรอกที่เห็นเด็กผู้ชายสองคนใส่ชุดนักเรียนมาเลือกซื้อถุงยางอนามัยกัน” วีร์หันยิ้มเล็กน้อยให้กับวีรมาตุ “ถ้าแค่มองน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถึงขนาดถ่ายวิดีโอไว้ด้วยเนี่ย มันดูจะละเมิดสิทธิส่วนบุคคลไปสักหน่อยนะ” วีร์พูดเสียงดังมากพอที่จะให้ได้ยิน ในขณะที่เขาทำเป็นหันกลับมาเลือกดูถุงยางอนามัยยี่ห้ออื่นๆต่อ

       มีเด็กสาวสองคนที่ยืนดูอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล รีบลดโทรศัพท์ของตัวเองลงเก็บ แล้วพากันวิ่งหนีไปในทันที

        “เอาแบบไหนดีครับเฮีย”

        “แล้วแต่น้องวีร์เลยครับ” วีรมาตุส่ายหน้าเบาๆให้กับความมั่นใจของวีร์

        “งั้นเอาอันนี้” วีร์เลือกกล่องถุงยางอนามัยแบบบางเฉียบกล่องใหญ่ยื่นให้วีรมาตุ “เฮียเอาไปจ่ายตังค์เลยครับ แล้วเดี๋ยวเราไปซื้อกระดาษห่อของขวัญมาห่อกันเอง”

       หลังจากที่ชำระเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น วีรมาตุก็เดินออกมาจากร้านมาหาวีร์ที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่จึงเดินไปยังร้านที่ขายเครื่องเขียนเพื่อเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับห่อของขวัญ จากนั้นจึงไปหาที่นั่งเพื่อห่อของขวัญชิ้นนี้กันจนเสร็จ

        “แล้ววันเกิดเฮียหมูวันไหนเหรอครับ” วีร์เอ่ยถาม

        “วันสิ้นปีครับ”

        “อ้าว เหรอครับ”

        “เอ๋... ไอ้ตี๋เล็กไม่ได้บอกเหรอครับ” วีรมาตุหันมาเห็นหน้าที่งงงวยของวีร์ “พวกคู่แฝดน่าจะชวนน้องวีร์ไปค้างที่บ้านฉลองต้อนรับวันขึ้นปีใหม่แล้วรึเปล่า” วีร์พยักหน้ารับ

        “ใช่ครับ”

        “นั่นแหละ เขาจะออกไปบ้านเพื่อนเฮียกันก่อนตอนเที่ยง แล้วพวกน้องๆถึงจะวนกลับไปบ้านกิ่งก้านกันตอนบ่ายๆ” วีร์ก็ยังคงงงกับลำดับกิจกรรมที่จะต้องทำในวันนั้น “เดี๋ยวถามไอ้ตี๋เล็กดูเอาก็ได้ครับ”

       วีร์เองก็พยักหน้ารับ

        “งั้น... เรากลับกันเลยมั้ยครับ” วีร์เปิดโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา

        “น้องวีร์รีบเหรอครับ”

        “เปล่าครับ ก็เห็นว่าซื้อของเสร็จแล้ว”

        “งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนมั้ยครับ เดี๋ยวเฮียเลี้ยง” วีรมาตุเอ่ยถามเด็กหนุ่ม “ก็เป็นการขอบคุณน้องวีร์ที่มาช่วยเลือกของขวัญให้”

        “อา... ไม่ต้องก็ได้มั้งครับ” วีร์ตอบยิ้มๆกลับไป

        “เอ่อ... งั้นก็...” วีรมาตุหน้าเสียเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น

        “หมายถึงเรื่องเลี้ยง ไม่ต้องก็ได้ครับ ต่างคนต่างจ่ายกันเองดีกว่า”

       วีรมาตุยิ้มออกมาในทันที

        “งั้นไปกันเลยครับ เฮียให้น้องวีร์เลือกร้าน”

*****

        “ว่ามา”

        “อะไรของมึง” วีร์เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า ที่อยู่ๆก็เดินมาถามเขาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

        “ทำไมถึงไปเดตกับเฮียกูได้” ศศิทัศน์ยืนค้ำมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะเรียนของวีร์

       วีร์ขมวดคิ้วสงสัย แต่ต่อมาก็ส่ายหน้ากรอกตามมองบน

        “นี่มึงยังไม่เลิกจับคู่ให้กูกับเฮียมึงอีกรึไง”

       ศศิทัศน์ทั้งเบะปากทั้งยักไหล่

        “ความสุขของเฮียก็คือความสุขของกู”

        “งั้นก็เรื่องของมึง” วีร์ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป

        “บอกมาก่อนว่าไปเดตกับเฮียกูได้ไง แล้วไปทำอะไรมาบ้าง” ศศิทัศน์ลากเก้าอี้ออกมาจากใต้โต๊ะข้างหน้า แล้วนั่งคล่อมลงโดยหันหน้ามาทางวีร์

        “ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ไปช่วยเลือกของขวัญ แล้วก็แวะกินอะไรก่อนกลับ” วีร์ยังคงพลิกหน้าหนังสือไปเรื่อยๆมองหาเนื้อหาที่ต้องการ

        “จริงอะ” ศศิทัศน์หรี่ตามมองเพื่อนของเขาที่ทำแค่เพียงยักไหล่เล็กน้อยตอบกลับมา “แล้วทำไมเฮียดูหน้าระรื่นกลับมาบ้านวะ ยิ้มไม่หุบเลย ถามอะไรก็ไม่ตอบ” ศศิทัศน์ขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามนึกหาเหตุผลที่พี่ชายของเขากลับบ้านมาดูมีความสุขมากซะเหลือเกิน

        “นึกถึงหน้าคนตอนที่แกะดูของขวัญละมั้ง”

        “เหรอ แล้วมึงกับเฮียเลือกของขวัญอะไรให้เฮียหมูวะ” ศศิทัศน์ยื่นหน้าเอียงคอเข้าใกล้วีร์ รอคอยคำตอบจากคนตรงหน้า

        “ไว้ไปรู้เองในงาน” วีร์ยิ้มตอบกลับ

        “โหย อะไรวะ บอกนิดบอกหน่อยก็ไม่ได้” ศศิทัศน์ยกตัวขึ้นกอดอกทำเป็นเบะปากบ่นกระปอดกระแปดน้อยใจ

        “ทีมึงไม่เห็นจะบอกอะไรกูเลยว่าต้องไปงานวันเกิดเฮียหมูด้วย”

        “อ้าว ไอ้แฝดยังไม่ได้บอกมึงเหรอ”

        “ก็ถ้าบอกแล้ว กูจะนั่งไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนี้เหรอ”

        “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แวะไปแป๊บเดียวเองก็กลับแล้ว” ศศิทัศน์มองดูเพื่อนของเขาที่เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเขา “เฮียแกชอบให้มีคนเยอะๆเวลาเป่าเค้กวันเกิด”

       วีร์ก้มลงเปิดหนังสือดูตามเดิม ศศิทัศน์นั่งนิ่งเงียบชั่งใจเรื่องที่ถามต่อไปอยู่พักหนึ่ง จนคนตรงหน้ารู้สึกได้จึงเงยหน้ากลับขึ้นมา

        “อะไร มีอะไร”

        “คือ... ช่วงหยุดปีใหม่ เพื่อนมึงจะขึ้นมาด้วยรึเปล่า”

       วีร์เลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้าง “มา”

        “แล้ว... มึงต้องไปเจอแฟนมึงด้วยมั้ย” ศศิทัศน์เอ่ยถามเสียงเบาลงเล็กน้อย

        “ก็ไปเจอกันตามปกติ”

       ศศิทัศน์ก็พยักหน้ารับแล้วก็เงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง

        “เอ่อ... งั้น... มึงชวนเพื่อนมึงกับแฟนมึงมางานด้วยกันสิ”

        “งานไหน” วีร์ถามให้แน่ใจ “งานที่บ้านไอ้พวกแฝด หรืองานเฮียหมู”

        “งานปาร์ตี้ที่บ้านไอ้แฝดสิวะ เพื่อนมึงกับแฟนมึงจะรู้จักเฮียหมูเหรอ”

        “อ๊ะ ก็ไม่แน่ โลกรอบๆตัวกูยิ่งกลมมากๆอยู่ด้วย” วีร์ยักไหล่แล้วก้มลงมองดูหนังสือต่อ แต่ก็ชำเลืองตาขึ้นมองคนตรงหน้าที่ยังรอคำตอบจากเขาอยู่ “ไว้จะลองถามไอ้ต่ายดูให้ ว่ามันอยากไปมั้ย”

        “แล้ว... แฟนมึงละ”

       วีร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะตอบ

        “แฟนกูออกไปไหนไม่ได้”

       ศศิทัศน์ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ เพราะยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามต่อ อาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องเรียนแล้ว รวมถึงเจ้าของโต๊ะเรียนที่เขานั่งอยู่ก็มาทวงคืนที่นั่งของเธอด้วยเช่นกัน


หมายเหตุ: เนื้อหาบางส่วนจากเพลง ปาฏิหาริย์ ศิลปิน ทรงสิทธิ์รุ่งนพคุณศรี
Spotify Youtube Apple Music Joox


[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
อะไรเนี่ยยยยยย พี่ชื่อวี น้องก็ชืีอต่ายอีก :katai1:

แล้วพี่วีกับเฮียวีไปคุยอะไรกัน :katai1: เฮียวีถึงได้รุกจีบเหมือนเดิม

หรือเฮียวีจะยอมเป็นตัวแทนพี่วี :ling1: :ling3:

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 10 ปาร์ตี้วันปีใหม่



       ณ บ้านเดี่ยวหลังหนึ่งที่พอจะมีบริเวณรอบบ้านอยู่บ้างตามการจัดสรรบ้านเรือนในเมืองยุคปัจจุบัน มีกลุ่มเด็กชายหลายคนยืนคุยกันเป็นกลุ่มๆเฮฮาตามประสาวัยรุ่น เหล่าผู้ใหญ่ในบ้านก็นั่งรวมตัวกันที่โต๊ะที่แยกออกมาต่างหาก อาหารในงานใช้วิธีการสั่งซื้อมาเป็นถาดใหญ่วางเรียงกันอยู่ที่โต๊ะใบหนึ่ง วางพร้อมกับจานเปล่าที่ซ้อนกันให้คนร่วมงานหยิบจับได้สะดวกมือ ใครอยากจะกินอะไรก็ตักใส่จานตัวเองเป็นคนๆไป

        “เป็นอะไรของมึงเนี่ย” “นั่นสิดุ๊กดิ๊กๆอยู่ไม่นิ่งเลย” “ปวดขี้เหรอ” “ออกไปเข้าห้องน้ำก่อนมั้ย”

       คนถูกถามถึงกับพ่นลมหายใจออกมา เกาศีรษะ เกาคอ แล้วก็เกร็งตัวสั่นเล็กน้อย

        “ไม่รู้วะ บอกไม่ถูก” เขาหันมองดูไปรอบๆงาน “รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้”

        “แค่คนไม่คุ้นหน้ามั้ง มึงเพิ่งมาครั้งแรกนิ” “ก็เลยรู้สึกแปลกๆ อยู่กับพวกกูนี่แหละไม่ต้องไปไหน”

        “มันก็... ไม่รู้วะ” วีร์ยังคงขมวดคิ้ว เม้มปาก หันมองดูรอบๆทั้งด้านบนเพดานและด้านล่างที่พื้น “มันรู้สึกไม่ค่อยอยากจะอยู่ที่นี่นานๆยังไงก็ไม่รู้”

       ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างเข้ามารุมจับตัววีร์หันซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังสำรวจหาความผิดปกติไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย จนวีร์ต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นห้ามให้คู่แฝดหยุด แล้วเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะที่วางเครื่องดื่มชนิดต่างๆ มีทั้งน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชากาแฟทั้งร้อนและเย็น รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

        “หึ มีคนอายุถึงเกณฑ์ให้ดื่มกันได้สักกี่คนเชียว” วีร์บ่นพึมพำกับตัวเอง พลางเลือกดูสิ่งที่เขาต้องการ

        “จะดื่มอะไรดีละน้องวีร์”

       วีร์หันไปตามเสียงก็เห็นหญิงสาวที่ดูจะคุ้นหน้า วันนี้เธอแต่งตัวเสื้อผ้าหน้าผมดูทะมัดทะแมง เรียบง่ายแต่ดูดี เขาจึงส่งยิ้มให้

        “อ่า... คือผมกำลังคิดจะชงชาร้อนแล้วผสมน้ำมะนาวลงไปอะครับ”

        “หืม... เอาน้ำผึ้งด้วยมั้ยเดี๋ยวพี่ไปหยิบในบ้านมาให้” หญิงสาวเอ่ยปากถาม กำลังจะเอี่ยวเดินไปที่ประตูเข้าไปในบ้านแล้ว

        “ไม่เป็นไรครับพี่วา” วีร์ร้องทักหญิงสาวไว้ก่อน “ผมแค่อยากดื่มอะไรเปรี้ยวๆอุ่นๆเฉยๆครับ”

        “อ้าวเหรอ พี่ก็นึกว่าวีร์เจ็บคอซะอีก”

       วีร์เพียงยิ้มตอบกลับ ขณะที่กำลังเทน้ำร้อนลงไปในแก้วที่มีถุงชาใส่ไว้อยู่แล้ว เมื่อความเข้มของชาได้ตามที่เขาต้องการแล้วจึงเติมน้ำมะนาวลงไป จากนั้นก็คนให้มันเข้ากันแล้วก็ลองชิมดู

       วีร์พยักหน้าสองสามที เป็นอันรับรู้ว่ารสชาติได้ตามที่เขาต้องการแล้ว

        “วีร์ชอบดื่มชามะนาวเหรอ” วนกรยังคงยืนอยู่ใกล้โต๊ะเครื่องดื่ม เธอเลือกที่จะชงกาแฟร้อนเป็นเครื่องดื่มของเธอเอง

        “เปล่าครับ แค่ทั้งหมดนี่” วีร์วาดมือข้างหนึ่งไปรอบๆโต๊ะ “มีอันนี้ที่พอจะเข้าเค้าอยู่” เขาเห็นสีหน้าของหญิงสาวที่คิ้วทั้งสองข้างชนกันอยู่ “คือผมชอบรสเปรี้ยวก็จริง แต่เปรี้ยวแบบมะนาวจะดูเปรี้ยวแหลมไปสักนิดนึง ถ้าได้เปรี้ยวแบบมะขามจะอย่างนี้เลย” วีร์ยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งกำนิ้วไว้ทั้งหมดเว้นเพียงนิ้วโป้งที่ยกชี้ขึ้นบน หญิงสาวก็พยักหน้ารับรู้

        “วีร์นี่ชอบเหมือนพี่เลยนะ”

        “เหรอครับ งั้นเอาไว้มะขามที่หน้าบ้านวีร์สุกแล้ว เดี๋ยววีร์เก็บมาฝาก มันดกมากจนกินเองไม่ทัน”

        “ก็ดีสิ ขอบใจนะ” วนกรส่งยิ้มให้กับวีร์

***

       ห่างไปอีกฝากหนึ่งของงาน ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้าไปทักทายเด็กขาวตี๋ที่เขารู้จักคุ้นเคยกันอยู่บ้าง ด้วยเหตุที่ว่าเห็นหน้าตากันอยู่บ่อยๆ

        “ว่าไงเรา” เขาเอ่ยทักพร้อมกับขยี้ผมของเด็กคนนั้นไปมาสองสามที “ไม่ได้เจอกันนาน”

        “โอ๊ะ” ศศิทัศน์ยกมือขึ้นปักผมของตัวเองให้กลับเข้าทรงเดิม “แต่นมยังโตเท่าเดิมอยู่เลยครับ” ศศิทัศน์จับหน้าอกของตัวเองเพื่อพิสูจน์ขนาด จนคนที่ทักเขาผลักศรีษะเขาเบาๆด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดู “พี่เขม หวัดดีครับ พี่ไปไหนมาทำไมเพิ่งเห็น”

        “ไปบ้านแฟนพี่มา”

        “อ้าว แล้วไม่พามาด้วยกันเหรอ” ศศิทัศน์หันไปมองดูรอบๆ

        “ไม่อะ เขาก็อยากอยู่กันลำพังกับครอบครัวเขาบ้าง เดี๋ยวตอนเย็นค่อยไปรับมากินข้าวที่นี้อีกที”

       ศศิทัศน์พยักหน้ารับรู้

        “เราก็เอาอย่างเฮียเราบ้างสิ ดูหุ่นตอนนี้สิ”

        “หึๆ รายนั้นเขากำลังทำคะแนนอยู่ ก็ต้องฟิตให้ล่ำบึ๊กเป็นธรรมดา”

        “เรานี่ละน้า” แล้วชายหนุ่มก็ก้มลงกระซิบเบาๆ “นี่ แล้วคนที่กำลังยืนคุยกับพี่สาวพี่คือใครอะ”

       ศศิทัศน์หันไปมองตามสายตาของเขมกร “อ๋อ ไอ้วีร์”

        “โอ้โห! เดี๋ยวนี้กล้าเรียกเฮียตัวเองว่าไอ้แล้วเหรอ”

        “ไม่ช่ายยยคร๊าบ” ศศิทัศน์ส่ายหน้า “คนนั้นน่ะ ชื่อว่าวีร์ เพื่อนห้องเดียวกับผมเอง เพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่ปีนี้”

        “อ้าว เพิ่งย้ายมาเหรอ” ศศิทัศน์มามองหน้าเขาอย่างงงๆ “นี่แค่จะมาถามเฉยๆว่าชื่ออะไร เพราะว่าดูคุ้นหน้าเหมือนจะเคยเห็นที่ไหน แต่นึกชื่อไม่ออก”

        “หืม จะไปคุ้นหน้าได้ยังไงกัน มันเพิ่งย้ายมาไม่นานนี่เอง”

        “เหรอ แล้วเขาย้ายมาจากที่ไหน”

        “โรงเรียน xxx ครับ”

       เขมกรนิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินชื่อโรงเรียน เขาพินิจมองดูเด็กหนุ่มที่กำลังคุยอยู่กับพี่สาวของเขา เขาเองยังไม่แน่ใจนักแต่ภาพในหัวของเขาปรากฏชายคนหนึ่งที่พอจะทับซ้อนใบหน้าของเด็กชายที่ชื่อว่าวีร์ได้พอดี

        “เขาชื่อว่าอะไรนะ”

        “วีร์ครับ” ศศิทัศน์หันมามองสีหน้านิ่งๆชายหนุ่มอย่างสงสัย “วีร์ วรรัญญา”

        “ใครนะ”

       ทั้งสองคนหันไปทางเสียงที่ดังขึ้นมา เป็นหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆพวกเขา

        “เมื่อกี้ต่ายพูดว่าอะไรนะลูก”

        “เอ่อ ไอ้วีร์ไงครับ ชื่อว่า วีร์ วรรัญญา” ศศิทัศน์ตอบอย่างงงๆกับท่าทางของทั้งสองคน

        “แม่” ชายหนุ่มร้องเรียกหญิงวัยกลางคนที่กำลังมองไปทางหญิงสาวที่กำลังคุยกับเด็กหนุ่มอย่างออกรสออกชาติ

        “หืม เขมว่าอะไรนะ” หญิงสูงวัยกว่าหันมาถามลูกชายของเธอ

        “แม่เป็นอะไรมั้ย” เขาถามด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นน้ำที่เอ่อขึ้นมาในดวงตาทั้งสองข้างของแม่ของเขา

        “แม่ไม่เป็นอะไร” เธอยิ้มอ่อนๆแล้วจับแขนของลูกชายคนกลางของเธอ แล้วเอ่ยกระซิบเบาๆ “อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้พ่อเขารู้นะ”

        “ได้ครับแม่”

       แล้วหญิงสูงวัยกว่าก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยทิ้งให้ชายหนุ่มที่มีสีหน้ากังวลกับเด็กหนุ่มที่สีหน้าสงสัยไว้ลำพัง โดยเธอเดินเข้าไปด้านในบ้านตรงมุมที่สามารถแอบมองดูหน้าตาของเด็กหนุ่มที่กำลังคุยอยู่กับลูกสาวของเธอได้ชัดเจนขึ้น เมื่อยิ่งเห็นชัด น้ำตาก็ไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธอ

        “ต่างคนต่างอยู่ก็ดีอยู่แล้ว จะกลับมาเจอกันอีกทำไมกันนะ” เธอพึมพำเบากับตัวเอง แม้ว่าจะเป็นถ้อยคำเชิงตัดพ้อ แต่เธอไม่ได้หมายถึงบุคคลที่กำลังอยู่ในสายตาของเธอ หากว่าเป็นโชคชะตาที่กำลังจะเล่นตลกกับครอบครัวของเธออีกครั้ง

        “ไม่ได้เจอกันนานจนหนูโตเป็นหนุ่มแล้วนะลูก...” ดวงตาที่เป็นแก้วเพราะเอ่อไปด้วยน้ำที่พยายามกลั้นไว้ไม่ให้ไหลออกมามากไปกว่านี้ รอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากปรากฏอยู่บนใบหน้า บ่งบอกว่าลึกๆแล้วเธอเองก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง

*****

        “มีอะไร” วีร์ถามศศิทัศน์ที่มายืนมองหน้าเขาอยู่ แต่ไม่ยอมพูดจาอะไรสักที “เอ้า มัวแต่จ้องหน้ากูอยู่ได้ มีอะไรก็พูดมา” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาเสียที วีร์จึงหันมาสนใจโทรศัพท์ในมือของเขาดังเดิม

        “มึงอยากกลับแล้วยัง”

       วีร์เงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วสงสัย

        “ทำไม จะไปกันแล้วเหรอ” วีร์หันมองดูเพื่อนๆแต่ละคนรอบๆงาน

        “ก็เป่าเทียนเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว”

        “มึงไปบอกไอ้แฝดโน้นไป มันยังเดินวนรอบโต๊ะอาหารไม่หยุดสักที”

        “สรุปว่ามึงอยากกลับแล้วใช่มั้ย” ศศิทัศน์ถามย้ำอีกครั้ง

        “เออออออ มึงไปบอกไอ้สองตัวนั่นไป”

       ศศิทัศน์พยักหน้ารับแล้วก็เดินไปหาแฝดนพชัยชัยทิศที่ยังคงตักอาหารทุกถาดมาลองชิมดู

        “พวกมึง จะไปกันรึยัง ไอ้วีร์อยากกลับไปบ้านมึงแล้ว”

       เสียงของศศิทัศน์ดังมากพอให้คนที่ถูกอ้างถึงเงยหน้าขึ้นมากรอกตาและถอนหายใจ เพราะใครต่อใครในงานก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว

        “อ้าว น้องวีร์อยากกลับแล้วเหรอครับ” ชายหนุ่มรุ่นพี่เดินมาหาพร้อมกับถือจานขนมมาด้วย

        “เปล่าครับ ไอ้ต่ายมันเอาชื่อผมไปอ้างเฉยๆ”

        “งั้นจะอยู่ต่อมั้ยครับ เดี๋ยวก็จะแกะของขวัญกันแล้ว” วีรมาตุชี้นิ้วไปทางเพื่อนๆของเขาที่กำลังเดินไปรวมตัวกันที่โต๊ะวางของขวัญที่แขกทั้งหลายเอามาให้เจ้าของวันเกิด

        “เอ่อ... คือ...” วีร์อ้ำอึ้งเพราะพยายามหาคำตอบที่รักษาน้ำใจไว้มากที่สุดอยู่

        “ช้าไปแล้วเฮีย รถบ้านไอ้กิ่งไอ้ก้านมารออยู่แล้ว รวดเร็วทันใจมากๆ พอโทรปุ๊บก็มาปั๊บเลย” ศศิทัศน์เดินกลับหาวีร์พอดีพร้อมคู่แฝดนรกนพชัยและชัยทิศ

       ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน คนหนึ่งยิ้มเพราะเสียดายเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกัน อีกคนหนึ่งยิ้มเพราะโล่งใจที่จะได้ออกไปจากความรู้สึกอึดอัดที่ได้จากบ้านหลังนี้เสียที

        “เสียดายแย่เลย น่าจะได้อยู่เห็นตอนไอ้หมูแกะของขวัญนะว่ามันจะทำหน้ายังไง”

        “ไว้เฮียค่อยเล่าให้ฟังทีหลังก็ได้ครับ”

       วีรมาตุก็ได้แค่พยักหน้ารับ เพราะเด็กๆคนอื่นๆเริ่มเดินมารวมตัวกันและพร้อมจะออกไปขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับไปยังบ้านของคู่แฝด วีร์ที่ออกเดินไปพร้อมกับเพื่อนๆแล้ว แต่ตัดสินใจหันหลังเดินกลับมาหาวีรมาตุอีก

        “อย่าลืมที่บอกไว้นะครับ พอตอนที่เฮียหมูแกะของขวัญออกดูแล้วเฮียจะต้องพูดว่าอะไร” วีร์กระซิบเบาๆให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน

        “เฮียไม่ลืมหรอกครับ” วีร์ยิ้มตอบกลับมาให้

        “นั่นแน่” เสียงของคุณกรดังขึ้นมาแต่ไกล “สองคนนั้นน่ะ แอบนัดจะไปเดตกันที่ไหนอีกเหรอคร๊าบ”

       ทำให้เหล่าเพื่อนๆช่วยกันส่งเสียงโห่แซวตามมา วีรมาตุหมายจะยกนิ้วกลางขึ้นชูให้กับเพื่อนๆแต่เพราะว่ามีผู้ใหญ่อยู่ด้วย จึงเอามืออีกข้างบังไว้ แต่ปลายนิ้วที่โผล่ออกมาก็พอจะอนุมานได้ถึงอวัจนภาษาอันนี้

       วีร์ได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วก็เดินตามเพื่อนๆของเขาออกไป โดยไม่รู้ว่ามีสายตาสี่คู่มองตามเขาไปด้วย

        “มาๆ เริ่มแกะของขวัญกันดีกว่า” คุณกรร้องเรียกความสนใจจากทุกคน “เอาของมึงก่อนเลย ในฐานะเพื่อนคนเดียวที่ซื้อของขวัญวันเกิดมาให้กู”

        “ก็พวกกูอุตส่าห์มาช่วยกันยืนในงานให้ดูมีคนเยอะๆแล้วไง มึงจะเอาอะไรอีก” เพื่อนคนหนึ่งรีบแย้งขึ้นมา

        “ฟ_ย” แล้วเจ้าตัวก็หันไปแกะของขวัญตรงหน้า “ไหนมาดูสิว่าไอ้วีซื้ออะไรมาให้กู” มีทั้งเสียงแซวและเสียงเชียร์ดังขึ้นมา “ก็มันอุตส่าห์ใช้วันเกิดกูบังหน้า หาข้ออ้างชวนน้องวีร์ไปช่วยมันเลือกซื้อจนได้ แถมจบวันด้วยการดินเนอร์กันสองคนอีก ฉะนั้นมันต้องพิเศษแน่นอน”

        “พูดมากไปแล้วมึง แกะของขวัญไป”

       เด็กๆแต่ละคนมัวแต่ลุ้นให้เจ้าของวันเกิดแกะของขวัญจนไม่ทันได้สังเกตอากัปกิริยาของบรรดาผู้ใหญ่ที่นั่งกันอยู่วงด้านนอกต่อสิ่งที่พวกเขากำลังรับรู้อยู่ตรงหน้า

        “กลบเกลือนเพราะเขินก็บอกมาเหอะน่ะ” แล้วเจ้าตัวก็ฉีกกระดาษห่อของวัญออกจนหมดเผยให้เห็นถึงของข้างใน ด้วยสีหน้าที่ชวนงงสงสัย จะดีใจก็ไม่ใช่ จะแปลกใจก็ไม่เชิง “อันนี้คือมึงเช็คแน่นอนก่อนห่อแล้วใช่มั้ยว่าซื้อมาให้กู ไม่ใช่มึงจะเอาไว้ใช้เองแต่หยิบสลับกันมา” เขาชูของขวัญที่เพื่อนเขาซื้อมาให้ขึ้นให้ทุกๆคนได้เห็นกัน หมายจะแซวเพื่อนของเขากลับด้วย

        “ของมึงนั่นแหละ” วีรมาตุย้ำว่าของขวัญที่เขาตั้งใจซื้อมาก็คือกล่องถุงยางอนามัยบรรจุรวมในกล่องขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือเจ้าของวันเกิด “แล้วก็... น้องเขาฝากมา”

        “น้องไหนวะ” เพื่อนคนหนึ่งแซว

        “ก็มีคนเดียวนั่นแหล่ะ” เพื่อนอีกคนร่วมแซวบ้าง

       วีรมาตุส่ายหน้าและยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

        “น้องเขาฝากบอกมาว่า ตอนนี้ก็อายุถึงเกณฑ์แล้ว ถ้าเกิดว่ามีโอกาส... ก็ใช้ซะ เมื่อคิดอยากจะลองก็ต้องหัดมีความรับผิดชอบด้วย”

        “ถ้ามันมีโอกาสได้ใช้นะ” เสียงแซวที่ทำให้เอาคนที่เหลือหัวเราะกันครื้นเครง

        “อย่าดูถูกกูไป” คุณกรยักคิ้วหลิ่วตาท้าทายเพื่อนๆทกคน

       ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังไปทั่วงานของเด็กๆ กลบบรรยากาศอึมครึมของบรรดาพวกผู้ใหญ่ที่มองดูเหตุการณ์อยู่โดยตลอด ดูเหมือนว่าความทรงจำในอดีตที่แต่ละคนพยายามฝังให้จมมิดกลับถูกขุดกลับขึ้นมาอีกครั้ง

*****

       วีร์และเพื่อนๆเดินทางกลับมายังบ้านของนพชัยและชัยทิศเพื่อจัดงานฉลองวันขึ้นปีใหม่ของพวกเขากันเอง โดยระหว่างทางได้แวะรับวิธูเพื่อนตั้งแต่วันเด็กของวีร์มาด้วย เมื่อมาถึงยังที่หมายก็พากันเข้าไปนั่งพักผ่อนในบ้านกัน ส่วนเจ้าบ้านอย่างนพชัยและชัยทิศก็กุลีกุจอยกน้ำและขนมขบเคี้ยวออกมาบริการอย่างเต็มที่ เพราะมีเพื่อนใหม่อย่างวิธูมาร่วมงานด้วยทั้งที

        “แล้วพ่อกับแม่มึงไปไหนกันวะ” พระยศเอ่ยถามขณะที่กำลังแกะถุงขนมกิน

        “อยู่ที่บ้านใหญ่กันมั้ง น่าจะยังกินข้าวเที่ยงไม่เสร็จ” “แล้วยังมีของหวานตามมาอีก แล้วก็ต้องนั่งคุยต่ออีก” “คงอีกสักพักใหญ่กว่าจะกลับมา”

        “พิธีการเยอะจริงๆเลยที่บ้านมึง” สุรศักดิ์นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟา มีศศิทัศน์นั่งอยู่ข้างๆที่กำลังดูโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่

        “ก็ช่วยไม่ได้” “ไม่งั้นได้โดนเฉดหัวออกจากบ้านกันทั้งครอบครัว” “แล้วพวกกูจะไปอยู่ไหน”

        “ทำไมวะ” วีร์ถามคู่แฝดด้วยความสงสัย

        “ก็ถ้าเจ้าของที่เขาไม่ให้อยู่” “แล้วพวกกูจะอยู่ต่อได้ยังไง”

       วีร์ยังคงทำสีหน้างงสงสัยอยู่ดี

        “ปู่กูมีเมียสามคน” “มีย่าใหญ่” “แล้วย่ารอง คุณย่าของพวกกู” “แล้วก็ย่าเล็ก”

       วีร์พยักหน้ารับรู้ และรอฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากแฝดนพชัยและชัยทิศ

        “ตอนก่อนปู่กูเสียก็ยกที่ดินทั้งผืนให้ใส่ชื่อคุณย่าใหญ่ไว้ บอกให้ดูแลเป็นที่ดินกงสี ต้องอยู่เป็นผืนเดียวห้ามแบ่งเด็ดขาด” “ปู่อยากให้ลูกหลานได้อยู่ในละแวกเดียวกัน ใครอยากปลูกบ้านอยู่ตรงไหนให้ไปขอย่าใหญ่เอา” “ย่าใหญ่ก็อนุญาตให้ตลอด ทุกคนเลยรักและให้ความเคารพย่าใหญ่มาก”

        “แล้วพวกมึงไม่ต้องไปด้วยเหรอ”

        “พวกกูไปตั้งแต่เช้าแล้ว” “ใช่ ไปเคาะประตูห้องย่าใหญ่แต่เช้ามืดเลย”

        “ไปประจบเป็นคนแรกเลยว่างั้น”

       ทั้งสองคนเบะปากยักไหล่ไม่ยี่หระกับคำแซว

        “ย่าใหญ่รักพวกกูจะตาย” “แต่แค่ไปประกันความมั่นใจเฉยๆ”

       แล้วนพชัยก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อตรวจดูของสดที่จะทำปิ้งย่างกินกันในตอนเย็น กับของสุกที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้พวกเขาสำหรับมือเที่ยง ส่วนชัยทิศก็เดินออกไปสนามหลังบ้านที่ตระเตรียมพื้นที่ไว้สำหรับก่อกองไฟและตั้งเต็นท์ในตอนเย็น

        “ไปพวกมึง อาหารพร้อมแล้ว” นพชัยเดินกลับมาเรียกเพื่อนๆ

        “เขาเอาไม้ฟืนมาให้แล้ว เดี๋ยวกินเสร็จก็ไปตั้งเต็นท์กัน แล้วก็มาช่วยกันก่อกองไฟด้วย” ชัยทิศเดินกลับเข้ามาในบ้านพอดี

        “พวกมึงจะก่อกองไฟกันจริงๆเหรอ” วิธูเดินตามคนอื่นๆเข้ามาที่ห้องอาหาร

        “ใช่” ทั้งนพชัยและชัยทิศตอบพร้อมกัน

        “กลางเมืองอย่างนี้เนี่ยอะนะ”

        “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” “มีต้นใหญ่อยู่ล้อมรอบเต็มไปหมด” “ควันมันไม่ลอยไปไหนหรอกหน่า”

        “เคยมีคนแจ้งไฟไหม้บ้างมั้ย” วิธูยังคงสอบถามต่อ

       คู่แฝดทำท่าพยายามนึก

        “อืม น่าจะเป็นตอนปีแรกนะ” “คิดว่า ปีนั้นปีเดียวที่รถดับเพลิงมาที่บ้าน” “พ่อกับแม่เขาไปเคลียร์ให้ หลังจากนั้นก็ไม่มีนะ” “ไม่ต้องแปลกใจ แค่ก่อกองไฟเอง สนุกจะตาย” “เดี๋ยวมึงก็เห็นเอง”

        “กูไม่ได้แปลกใจ แค่ก่อกองไฟไอ้วีร์ก็ทำประจำ”

        “ห๊ะ จริงเหรอ” ทั้งนพชัยและชัยทิศพูดพร้อมกันอีกครั้ง

        “บ้านมันกว้างจะตาย เดี๋ยวก็ย่างปลา เดี๋ยวก็เผามัน เดี๋ยวก็คั่วเม็ดยาร่วงกินกันบ่อย”

       เด็กๆแต่ละคนเดินไปนั่งเก้าอี้แต่ละตัวกันไป ส่วนคู่แฝดนพชัยและชัยทิศที่ตามประกบเพื่อนใหม่อย่างวิธู ก็นั่งลงขนาบข้างทั้งสองฝั่ง

        “อะไรคือเม็ดยาร่วงวะ” หนึ่งในฝาแฝดถามขึ้นมา

        “ก็เม็ดมะม่วงหิมพานต์ไง”

        “อ๋อ งั้นแสดงว่ามันต้องก่อกองไฟเก่ง” ฝาแฝดอีกคนก็พูดต่อ

        “จะโยนมาให้กูทำอีกละสิ” วีร์รีบแย้งขึ้นมาในทันทีในขณะที่กำลังส่งโถข้าวให้คนอื่นๆได้ตักต่อไป

        “ก็มีผู้เชี่ยวชาญมาอยู่ด้วยทั้งที” “ก็ต้องยกหน้าที่นี้ให้เลย”

        “แล้วปกติใครเป็นคนก่อไฟวะ” วิธูหันไปถามทุกคน

        “แล้วแต่ ก็ช่วยๆกัน” พระยศเป็นคนตอบ

        “มั่วเอาว่างั้น”

        “ก็ประมาณนั้นแหละ” สุรศักดิ์เดินเอาโถข้าวไปวางไว้ที่โต๊ะอีกตัวเมื่อทุกคนได้ตักข้าวกันเสร็จแล้ว

        “บ้านมึงทำร้านอาหาร แล้วทำไมมึงก่อกองไฟไม่เป็นละวะ”

        “ก่อกองไฟไม้ฟืนนะครับ ไม่ใช่จุดเตาแก๊ส”

        “งั้นก็เดี๋ยวให้มันจัดการ” วิธูหันไปหาวีร์

        “ก็ช่วยกันสิวะ กูไม่ทำคนเดียวแน่ๆ”

       ต่างคนก็เริ่มจัดการอาหารที่อยู่บนโต๊ะ นพชัยและชัยทิศคอยชวนพูดคุยกับวิธูอยู่ตลอดเวลา โดยมีวีร์ สุรศักดิ์ และพรยศคอยปรามอยู่บ้างไม่ให้ทั้งสองเซ้าซี่เพื่อนใหม่มากจนเกินไป จะมีก็เพียงศศิทัศน์ที่แทบจะไม่ได้ยินเสียงของเขาเลยนับตั้งแต่พวกเขาแวะรับวิธูมาด้วย

*****

       วีร์ยืนมองดูผลงานกองไฟที่ทุกคนช่วยกันก่อขึ้นโดยมีเขาเป็นผู้คุมงานทั้งหมด ไม้ฟืนถูกจัดวางซ้อนกันเป็นชั้นทรงสี่เหลี่ยมสลับกับเศษใบไม้ใบหญ้าแห้ง แล้วจึงเอาไม้ฟืนท่อนใหญ่ๆตั้งสุมครอบชั้นนอกคล้ายกระโจมสูงกว่าศีรษะ เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นสำหรับกองไฟ เตรียมพร้อมจุดเมื่อถึงเวลา

       รอบกองไฟมีหินก้อนใหญ่ๆวางรายล้อมตามจำนวนคนพอดี รวมถึงก้อนหินที่นั่งของวิธูที่เป็นแขกที่เพิ่มมาทีหลังอย่างทันด่วนก็ตาม ที่ดูตื่นตาตื่นใจมากไปกว้านั้นไม่ใช่แต่เพียงขนาดของก้อนหินเท่านั้น แต่เป็นรูปร่างที่ผ่านการขัดกลึงให้เหมาะกับการนั่งเป็นอย่างดีอีกด้วย

       แนวถัดจากก้อนหินไปก็เป็นเต็นท์สำหรับนอนได้สองคนที่ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาอีกหนึ่งหลังรวมเป็นสี่หลัง วางเรียงกันด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งวางเตาปิ้งย่างขนาดใหญ่ และโต๊ะไม้สำหรับวางของสด เครื่องปรุง และเครื่องดื่มต่างๆ รวมถึงถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เตรียมไว้สำหรับทำอาหารกินกันในตอนเย็น

        “มึงก่อกองไฟแล้วจะเอาเตาปิ้งย่างมาทำอะไรวะ” วีร์หันไปถามคู่แฝด

        “ก็กองไฟมันแค่สร้างบรรยากาศเฉยๆ” “เตาปิ้งย่างตัวนี้ย่าใหญ่เพิ่งซื้อให้เมื่อปีที่แล้ว”

        “แล้วก่อนหน้านั้นพวกมึงทำอะไรกินกันยังไง” วีร์เดินไปยกฝาเตาปิ้งย่างเปิดขึ้นดู

        “ก็ต้มมาม่ากิน เหมือนตอนเข้าค่ายลูกเสือ” “ใส่หม้อแล้วแขวนบนกองไฟ” “แล้วก็ลูกชิ้นเสียบไม้ย่างเอา”

       วีร์ถึงกับส่ายหน้า “แต่ก็ยังอยากจะจัดปาร์ตี้แบบแอดเวนเจอร์” คู่แฝดต่างส่งยิ้มแฉ่งมาให้ แล้ววีร์ก็หันไปดูของสดต่างๆโดยมีสองต่ายเดินตามเขามาติดๆ

        “มึงจะเอาอะไรเพิ่มมั้ย” “ตอนนี้ยังบ่ายอยู่ เดี๋ยวให้คนออกไปซื้อมาให้”

        “นี่มันก็เยอะแล้วนะกูว่า” วีร์เลือกดูของต่างๆ มีทั้งเนื้อหมูเนื้อไก่ที่หมักเครื่องใส่ไว้ในกล่อง พริกหยวก สับปะรด หอมใหญ่ ข้าวโพดทั้งฝัก แล้วก็ยังมีปลาสดทั้งตัวที่หมักเครื่องและหมกเกลือไว้เรียบร้อยแล้ว “แค่นี้ก็แดกกันไม่หมดแล้วมั้ง”

        “หมดแน่มึง ไม่เหลือซาก” “แถมจะไปขอเพิ่มจากบ้านใหญ่มาอีกละไม่ว่า” “สรุปว่ามึงจะเอาอะไรเพิ่มมั้ย” สองแฝดยืนจ้องหน้าวีร์จากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะที่วางของอยู่ “เอาหัวมันมั้ยมึง” “สั่งไปตอนนี้น่าจะยังทันอยู่”

        “ก็แล้วแต่ ถ้าพวกมึงจะแดกกันก็เอามาก็ได้” คู่แฝดพยักหน้ารับและกำลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน “เดี๋ยวมึง เอาหัวมันเทศนะ หรือมันหวานก็ได้”

        “มึงไม่ทำมันทิพย์ไปเลยละวะ” วิธูถามออกมาจนคู่แฝดต้องหันกลับมาอีกครั้ง

        “คืออะไรวะ” “นั่นสิ”

        “คุณมึงครับ คือว่ามันต้องมีกะทิ แล้วมันก็ต้องนึ่งด้วย ป่านนี้แล้วมันจะไม่ทัน”

        “ทัน” ทั้งนพชัยและชัยทิศพูดออกมาพร้อมกัน “เอากะทิด้วยใช่มั้ย แล้วเอาอะไรอีก” “ไอ้ใหญ่ก็อยู่จะกลัวอะไร ทันแน่นอน”

       วีร์หันมองไปมาระหว่างเพื่อนทั้งสองฝั่งโต๊ะ แล้วยังมีพระยศกับสุรศักดิ์ที่เดินมาสมทบเพิ่มอีก สายตาของเขาพยายามบอกเพื่อนๆว่าจะทำกันจริงๆหรอ แต่ใบหน้าแต่ละคนที่ส่งกลับมามีแต่บอกว่าให้เขาทำ จนวีร์ต้องถอนหายใจออกมา

        “ไปเอาหัวมันมาให้ได้ก่อน เพราะมันต้องเอาไปนึ่ง” คู่แฝดพยักหน้ารับ “แล้วก็เอากะทิ หัวกะทินะ เอาน้ำตาลกับเกลือมาด้วย เอาหม้อเอาไม้พายมาด้วย เพราะเดี๋ยวจะต้องบดต้องผสมหัวมันกับกะทิ” คู่แฝดพยักหน้ารับทุกขั้นตอน “แล้วพวกมึงต้องมาช่วยกันปั้นก้อนหัวมันด้วย”

       ทุกคนก็ตอบรับเป็นอย่างดี



[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
       เมื่อถึงเวลาเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน อาหารต่างๆก็ได้ถูกตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วด้วยความร่วมมือของทุกคน ไม้บาร์บีคิวเสียบชิ้นเนื้อและผักเครื่องเคียงวางเรียงอยู่ในถาด ฝักข้าวโพดที่เหลือก็เสียงไม้ตั้งรอไว้ ยังมีมันทิพย์ที่ทุกคนช่วยกันปั้นเป็นก้อนๆ แล้วหัวมันที่เหลือก็จัดการห่อกระดาษฟอยล์ไว้ ทั้งหมดนี้รอเพียงแค่จุดไฟทั้งที่กองไฟและเตาปิ้งย่างก็จะได้เริ่มงานปาร์ตี้ของพวกเขากัน

        “อะ ไอ้วีร์ เอาไป” นพชัยยื่นคบเพลิงที่จุดไฟเรียบร้อยแล้วส่งให้วีร์ “ในฐานะที่มึงเพิ่งมาใหม่ปีนี้” “และไอเดียหลายๆอย่างในวันนี้ก็เป็นของมึง” “ฉะนั้นพวกกูเลยให้มึงจุดไฟประเดิมเปิดงาน”

       วีร์รับคบเพลิงมาแบบงงๆ พร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พวกคู่แฝดก็พยักหน้าและคะยั้นคะยอให้เขาเดินไปจุดกองไฟ วีร์ได้แต่หันไปมามองคนอื่นๆ ซึ่งแต่ละคนก็ส่งยิ้มกลับมาให้จนเขาจนใจแล้วก็เดินเข้าไปจุดกองไฟ

       เพราะว่าได้สุมเศษใบไม้ใบหญ้าแห้งไว้มากพอสมควร ทำให้ไฟถูกจุดติดขึ้นโดยง่าย เพียงชั่วพริบตาไฟก็ติดโหมขึ้นทั้งกองสูงเกือบเท่ายอดไม้ที่รายล้อมอยู่

        “กูว่ากองมันใหญ่ไปนะ” วีร์เอ่ยถามหลังจากที่เดินถอยออกมาให้ห่างจากความร้อนและเงยหน้ามองดูยอดของเปลวไฟ

        “มึงก่อขึ้นมาเอง จะมางงอะไรเอาตอนนี้วะ” วิธู ยืนเท้าสะเอวหันมามองวีร์

        “ก็ตอนอยู่บ้านมันไม่ต้องเกรงใจใครนี่หว่า แม่ง ไฟสูงขนาดนี้ รถดับเพลิงจะมามั้ยวะ”

        “แป๊บเดียวแหละมึง กูเห็นมีแต่ไม้เนื้ออ่อน เดี๋ยวมันก็ยุบตัวลงแล้ว”

       วีร์รอให้ไฟติดไปอีกสักพักหนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปเขี่ยไม้ที่ถูกเผาไหม้จนเป็นถ่านร้อนๆสีแดงออกมาจากกองไฟใส่กระบะสังกะสี เพื่อเอาไปใส่ในเตาปิ้งย่างให้เป็นเชื้อไฟ แล้วสุรศักดิ์ก็จัดการใส่ถ่านลงไปเพิ่มแล้วจึงพัดให้ถ่านใหม่ติดไฟ ก่อนจะเขี่ยถ่านที่แดงทั้งก้อนให้กระจายไปทั้งเตา จากนั้นจึงวางตะแกรงลงพร้อมที่จะปิ้งย่างกันแล้ว

       แต่ละคนแบ่งหน้าที่กันว่าใครจะปิ้งบาร์บีคิว ใครจะย่างข้าวโพด ใครจะย่างมันทิพย์ ส่วนวีร์ก็จัดการเอาหัวมันที่ห่อกระดาษฟอยล์ใส่เข้าไปในกองไฟ และคอยเฝ้าดูจนหัวมันสุกได้ทั่วดี ระหว่างนั้นแต่ละคนก็พูดคุยหยอกล้อกันไปอย่างครื้นเครง

        “อ๊ะ คุณย่า ทางนี้ๆ” “ย่าใหญ่คร๊าบ จะมาแจมด้วยหรอครับ” แฝดกิ่งและแฝดก้านหันไปเห็นผู้สูงวัยที่เป็นเสาหลักของครอบครัวเดินมาทางที่พวกเขากำลังตระเตรียมอาหารกันอยู่ มาพร้อมกับหญิงสาววัยกลางคนและคนติดตามอีกสองคน

        “เป็นไงเด็กๆ เมื่อกี้ย่าเห็นกองไฟสูงมาก ก็เลยแวะมาดูซะหน่อย” หญิงสูงวัยท่าทางสง่าสมฐานะแม้จะแต่งตัวเรียบง่ายแต่รังสีของนางพญาผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวกลับยังส่องประกายชัดเจน

        “นิดหน่อยเองครับย่า” “ปีนี้ได้ไอ้วีร์มา กองไฟเริ่ดมั๊ก” “สูงซะใจดีมากเลยครับย่า” คู่แฝดนพชัยและชัยทิศเดินเข้าไปประกบคุณย่าใหญ่ทั้งซ้ายและขวา พรางชี้นิ้วอวดกองไฟที่เพิ่งถูกจุดไปไม่นาน

        “ระวังเถอะ เดี๋ยวรถดับเพลิงก็มาที่บ้านอีกหรอก ปีก่อนโน้นยังไม่เข็ดอีกรึไง” เธอไม่ได้พูดในเชิงตำหนิ สีหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้ม แต่เพราะเป็นผู้ใหญ่ที่สุดของบ้านทำให้ความยำเกรงยังมีอยู่เต็มทุกคำพูด

        “คุณย่าก็” “ไม่แน่นอนครับ” “แต่ถึงจะมากันจริง” “ไฟก็ดับสนิทก่อนที่รถจะเข้ามาถึงซะอีก”

        “จริงๆเลย เด็กพวกนี้” เธอตีแขนเด็กคนซ้ายทีคนขวาทีเบาๆ แล้วก็หันไปหาคนที่หลานๆเพิ่งจะอวดอ้างสรรพคุณไปพร้อมกับส่งยิ้มให้ “คนนี้เหรอที่ชื่อวีร์”

        “ครับ” วีร์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาใกล้ๆทั้งสามคน

        “อืม ได้ยินเจ้าสองคนนี้พูดถึงอยู่บ่อยๆ ไอ้เจอตัวจริงเสียที”

        “นี่ๆ คุณย่ามาชิมนี่ดีกว่า” หนึ่งในคู่แฝดดึงแขนหญิงสูงวัยให้เดินไปที่โต๊ะวางอาหาร แล้วก็หยิบจานขนมมันทิพย์ขึ้นมายืนให้กับเจ้าบ้าน “มันทิพย์” “ฝีมือพวกเราช่วยกันทำ” “ย่าใหญ่ลองชิมดู” “อร่อยจนกินไม่หยุดเลย ขอบอก”

        “จ๊ะ ย่าเชื่อ” เธอยิ้มให้กับหลานๆของเธอ “กินกันจนเกือบหมดจานขนาดนี้” เธอหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วพิจารณาพลิกดู “ทำไมปีนี้ถึงคิดทำขนมได้ละ”

        “โน้นไอ้วีร์เลย” “ความคิดมัน” “ฝีมือมันด้วย” “มันเผาก็มีนะ คุณย่าจะชิมด้วยมั้ย” “ฝีมือไอ้วีร์เหมือนกัน”

        “วีร์ ระวังตัวไว้ให้ดีนะ” คุณย่าเอ่ยปากเรียกเพื่อนของหลานชายจนเจ้าตัวเกร็งขึ้นมาในทันที “ปีนี้ยังทำขนาดนี้ ถึงตอนปีหน้าสองคนนี้ต้องอยากได้มากกว่านี้แน่นอน” แล้วเธอก็ยิ้มให้กับคนตรงหน้า

        “อ๋อ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ยอมลำบากคนเดียวแน่นอน” วีร์รู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อเห็นรอยยิ้มของหญิงสูงวัย

        “คุณย่าคร๊าบ” “พวกผมก็ช่วยลงมือทำด้วยนะครับ” “ไม่ได้นั่งรอกินอย่างเดียวซะหน่อย” “ทั้งช่วยปั้น” “ทั้งช่วยปิ้ง” “ทั้งช่วยย่าง”

       หญิงสูงวัยหันมาหรี่ตามองหลานของเธอทำสีหน้าแบบไม่ค่อยเชื่อในคำพูดสักเท่าไหร่

        “จริงๆครับ คุณย่า ทุกคนก็ช่วยกันทั้งหมดนี่แหละครับ” วีร์ยืนยันคำพูดให้เอง หญิงสูงวัยก็พยักหน้ารับ

        “นี่ ย่าเล็กเขาก็ชอบขนมมันนี่นะ ยังมีเหลืออยู่รึเปล่าละ” คุณย่าหันไปคุยกับหลานทั้งสองคน

        “เหลืออีกเยอะเลยครับ” “ยังปิ้งไฟไม่หมดเลย” “ให้ป้าชื่นออกไปซื้อให้เมื่อตอนเย็นมาเป็นกิโลเลย”

        “ไปรบกวนป้าเขาอีกแล้ว” คุณย่าตำหนิทั้งสองคน

        “ก็แหมคุณย่า มันเพิ่งคิดได้แบบทันด่วน” “แล้วป้าชื่นก็มาถามเองว่าจะเอาอะไรเพิ่มอีกมั้ย” “ก็เลยบอกไปว่าอยากได้หัวมันเยอะๆ”

        “แล้วก็ได้เยอะสมใจเลยละสิ” คู่แฝดรีบเข้าไปกอดเอวคุณย่า “ชื่นเองก็ตามใจหลานๆมากไปแล้ว” หญิงสูงวัยหันไปพูดกับคนที่เดินตามเธอมาด้วยกัน

        “ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ ยังไงชื่นก็ต้องออกไปซื้อของมาเพิ่มอยู่แล้ว ทางฝั่งโน้นเขาก็จัดปาร์ตี้กับเพื่อนๆเขาด้วยเหมือนกัน”

        “เรานี่ละน้า” แล้วเธอก็หันไปหาเด็กๆ “แล้วขนมนี่ยังมีเหลือเยอะมั้ย”

        “ที่ยังไม่ได้ปิ้งไฟเหลืออีกเยอะเลยครับ” “มีพอให้ปิ้งกินได้ทั้งคืนเลย”

        “เอาที่ปิ้งสุกแล้วสิ”

        “อ๋อ นี่ครับ มีอยู่เต็มจานเลยครับ” สุรศักดิ์ยกจานใส่ขนมมันทิพย์ที่เพิ่งปิ้งใหม่ๆร้อนๆมาให้ดู

        “งั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวจัดใส่จานสักใบ แล้วฝากป้าชื่นเอาไปให้ย่าเล็กก็ได้”

        “เอาจานนี้ไปเลยก็ได้ครับ เพิ่งยกจากเตายังร้อนๆอยู่เลย” สุรศักดิ์ถือจานขนมไปให้คนที่ชื่อว่าชื่น

        “ขอบใจจะ” หญิงสาววัยกลางคนเอ่ยขอบคุณ “แล้วคุณแม่จะเดินไปด้วยกันเลยมั้ยคะ”

        “เดี๋ยวแม่จะเข้าไปบ้านนู้นสักหน่อย แล้วเดี๋ยวค่อยเดินกลับ” เธอชี้ไปทางบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของย่ารอง ซึ่งเป็นคุณย่าของฝาแฝดนพชัยและชัยทิศ “ไม่ต้องห่วง สองคนนี้ก็อยู่ด้วย” แม้ว่าทั้งนพชัยและชัยทิศจะยังยืนประกบเธออยู่ แต่สองคนที่เธอพูดถึงคือผู้ติดตามที่เดินตามเธอมาด้วยตลอดทาง

        “ก็ได้ค่ะ” แล้วเธอก็ขอตัวเดินออกไปยังกลุ่มบ้านที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของที่ดินครอบครัว

        “แล้วนี่ เอาเข้าไปให้ย่าเราด้วยรึเปล่าละ” หญิงสูงวัยหันมาพูดกับคู่แฝดอีกครั้ง

        “เอาไปให้ตลอดละครับ” “เติมให้ตลอด ไม่มีหมดจานแน่นอน”

       คุณย่าใหญ่ยิ้มตอบให้ “งั้นเดี๋ยวย่าเข้าไปคุยกับย่ารองสักหน่อยดีกว่า ตามสบายเลยนะเด็กๆ แล้วก็อย่าไปตามใจสองคนนี้มากนัก รู้มั้ย” ประโยคหลังสุดเธอหันมาพูดกับวีร์โดยเฉพาะ แล้วเธอกับผู้ติดตามก็เดินออกไป

        “เห็นมั้ยย่าใหญ่รักพวกกูมาก” “สบายใจหายห่วงได้”

*****

       กิจกรรมรอบกองไฟดำเนินมาถึงกลางดึก เปลวไฟที่เคยสูงเกือบเทียมยอดไม้ก็ยุบตัวลงตามไม่ฟืนชิ้นใหญ่ที่มอดลง เหลือเพียงไม้ฟืนท่อนขนาดกลางที่กองไว้ข้างๆสำหรับคอยเติมกองไฟอยู่ตลอด ในตอนนี้ทั้งบาร์บีคิวทั้งข้าวโพดที่เสียบไม้ไว้ถูกย่างไฟและกินกันไปจนหมดแล้ว จะเหลือก็มีขนมมันทิพย์แล้วหัวมันเผาทียังมีมากพอให้กินไปจนถึงรุ่งเช้าก็ยังได้

        “เออเนอะ พอดึกๆค่ำมืดมองไม่ค่อยเห็นอะไรรอบๆแล้ว ก็ดูเหมือนไปเที่ยวป่าอยู่เหมือนกัน” วีร์หันมองดูรอบๆที่เห็นแต่เงาดำๆของต้นไม้สูงใหญ่ที่รายล้อมอยู่ บดบังแสงไฟตามถนนและอาคารต่างๆไปได้เยอะพอควร แต่เสียงของการจราจรยังคงได้ยินอยู่บ้าง รวมถึงเสียงจากงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นอีกฝากหนึ่งของที่ดินครอบครัว

        “เห็นมั้ยกูบอกแล้วว่าสนุกจะตาย” “แต่บ้านฝั่งโน้นอะ อยู่ติดกับบ้านคนอื่น” “หึๆ เปิดเพลงดังขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรมั้ย”

        “ยังไม่สี่ทุ่มเลยไม่ใช่เหรอ ก็คงจะรู้เวลากันอยู่บ้างละมั้ง” วีร์หันไปมองตามคู่แฝด

        “ช่างเขาเถอะ” “มาว่าเรื่องของพวกเรากันดีกว่า” “ไฮไลต์ของกิจกรรมรอบกองไฟของเรา”

        “จะเอาอีกแล้วเหรอ” พระยศพูดแทรกคู่แฝดขึ้นมา

        “เอ้า มันเป็นธรรมเนียม” “ของมัน” ทั้งนพชัยและชัยทิศชี้นิ้วไปที่สุรศักดิ์ “มันเป็นคนต้นคิด” “พวกกูแค่ยึดมาปฏิบัติตาม”

        “คืออะไรวะ” วิธูถามโดยหันหน้าไปมองทุกๆคน

        “คืองี้ พวกกู...” มีเสียงขัดขึ้นมาว่า ‘มึงคนเดียว’ โดยพร้อมเพรียง “ก็แบบอยากมีโมเมนต์เปิดใจ ใครอยากเล่าเรื่องอะไรของตัวเองก็ได้ แต่เรื่องที่เล่ากันในวงนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปให้คนนอกรู้เป็นอันขาด ถือเป็นคำมั่นสัญญาระหว่างพวกเรากัน” สุรศักดิ์อธิบายให้ทั้งวิธูและวีร์ฟัง

        “ส่วนคนที่ไม่อยากเล่า” “ก็ต้องลุกออกไป” “เมื่อไม่อยากเล่าเรื่องของตัวเอง” “ก็ไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องของคนอื่น”

        “อืม ก็แฟร์ดี” วิธูพยักหน้าเห็นด้วย

        “ส่วนมึง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนด้วยกัน” “แต่เพราะมึงหลวมตัวมาร่วมงานนี้แล้ว” “พวกกูจะถือว่ามึงเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพวกกู” “ไอ้วีร์คือเพื่อนกู” “เพื่อนไอ้วีร์ก็คือเพื่อนกูด้วย” “โอเคป่ะ”

       วิธูยิ้มแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้ๆ ไม่มีปัญหา”

        “งั้น มีใครจะลุกออกไปมั้ย” สุรศักดิ์เอ่ยถาม ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาว่าใครจะทำอย่างไร “ถ้าไม่มีใครลุกไปไหน ก็ถือว่ายอมรับกติกาแล้วนะ”

        “งั้นก็เริ่มกันเลย” “แต่ว่าใครจะเริ่มก่อน”

       แต่ละคนต่างหยั่งเชิงมองหน้ากันไปมาว่าใครจะเริ่มก่อนดี จนแล้วจนรอดทุกคนก็ยังนั่งเงียบกัน ส่วนคู่แฝดหันมามองหน้ากันเองแล้วก็พยักหน้าให้กัน เมื่อเห็นว่ายังไม่ใครคิดจะเริ่มเป็นคนแรก

        “งั้นพวกกูเริ่มก่อนเอง” หนึ่งในแฝดพูดออกมา

       ทุกคนจึงหันหน้าไปทางพวกเขา รอฟังสิ่งที่ทั้งสองอยากจะพูด

        “ไอ้วีร์ มึงยังจำได้มั้ยว่าพวกกูเคยบอกว่า พวกกูเป็นแฝดสามมาตลอดไม่เคยเป็นสอง” แฝดอีกคนเริ่มเล่าเรื่อง

        “ก็คลับคล้ายคลับคลาอยู่” วีร์พยายามนึกว่าเขาเคยได้ยินนพชัยและชัยทิศพูดเรื่องนี้ตอนไหนกัน

        “พวกกูไม่ได้พูดเล่น” “พวกกูมีแฝดสามจริงๆ”

       หลายๆคนต่างมองคู่แฝดแบบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

        “ถ้าพวกมึงมีสามคน แล้วอีกคนไปไหนซะละ” วีร์ถามทั้งสองคน

        “ไม่อยู่แล้ว” “ไปตั้งแต่ตอนยังอยู่ในท้องแม่”

        “ยังไงวะ” วีร์ยังคงสงสัยต่อ

        “ตอนแม่กูท้อง หมอบอกว่าได้ตัวอ่อนติดมาสามคน” “แต่ว่ามีตัวอ่อนนึงไม่แข็งแรง ถ้าเก็บไว้ครรภ์อาจเป็นพิษได้” “หมอแนะนำให้เอาออกแต่เนิ่นๆ” “ทั้งแม่และตัวอ่อนที่เหลือจะได้รอด”

        “เดี๋ยว ปกติเขาไม่ใส่ตัวอ่อนไปถึงสามไม่ใช่เหรอ” พระยศพยายามนึกวิธีการผสมเทียมแบบต่างๆ

        “เปล่า ใส่ไปแค่สอง” “แต่มีตัวนึงแบ่งเป็นสอง” “คือพวกกูมีใครนึงมีแฝดเหมือน”

       ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้สิ่งที่เพิ่งได้ยินมา

        “แล้วก่อนหน้านี้เวลาเกิดเหตุอะไรขึ้นมากับพวกกู” “พวกกูก็มักจะเหมือนมีลางหรือมีเซ้นส์อะไรสักอย่างขึ้นมา” “ก็อย่างตอนนั้นที่พวกเราเดินไปร้านไอ้ใหญ่กัน” “แล้วกูก็เกือบโดนรถเฉี่ยวเอา ดีที่ว่าไอ้ก้านมาดึงกูเอาไว้ได้ก่อน” “หรือว่าเมื่อตอนบ่ายที่กูเกือบเหยียบตะปู แต่ไอ้กิ่งมาดึงตัวกูไว้ก่อน” “คือตอนนั้นก็ไม่รู้ตัวเลยนะเว้ย อยู่ๆมือกูก็ไปดึงตัวไอ้ก้านมาแล้ว” “แล้วกูมาเห็นทีหลังว่ามีตะปูโผล่มาอยู่”

       นพชัยและชัยทิศกันมามองหน้ากัน

        “ตอนแรกพวกกูก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเรื่องแฝดคนที่สามพวกกูก็เพิ่งรู้ได้ไม่นานนี้เอง” “แล้วเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมานานหลายครั้งมาก แบบที่พวกกูก็อธิบายกับตัวเองไม่ได้” “พวกกูเลยคิดว่า อีกคนยังคงวนเวียนอยู่และคอยช่วยพวกกูไว้” “แล้วในเมื่อกูชื่อกิ่ง” “ส่วนกูชื่อก้าน” “พวกกูเลยตั้งชื่ออีกคนว่าใบ” “เวลาเกิดอะไรขึ้นมาแบบนี้ พวกกูก็จะขอบคุณไอ้ใบเสมอ” “ไม่ว่าไอ้ใบจะยังวนเวียนอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม”

       แล้วหนึ่งในแฝดก็หยิบขนมมันทิพย์ขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วชูขึ้นฟ้า “ของมึงนะไอ้ใบ” แล้วเขาก็โยนเข้าไปในกองไฟ

        “ถึงว่า ทำไมกูถึงเห็นพวกมึงสองตัวแอบโยนของกินเข้ากองไฟตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว”

        “อ้าว มึงเห็นด้วยเหรอ” “พวกกูว่าพวกกูทำเนียนแล้วนะ” ทั้งนพชัยและชัยทิศหันไปมองวิธู

       วิธูยักไหล่เล็กน้อยแล้วลุกขึ้นไปนั่งยองใกล้กองไฟ แล้วก็หยิบไม้มาเขี่ยหัวมันที่หมกอยู่ในกองถ่านร้อนๆ ส่วนคนอื่นๆยังคงนั่งเงียบ เหมือนจะรอฟังเรื่องของคนต่อไป

        “งั้นกูขอเล่าต่อ” เป็นพระยศที่ทำลายความเงียบ เรียกความสนใจจากทุกคนไปได้ พระยศสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องของเขา

        “กูคิดว่า... กูเริ่มชอบน้องเฟิร์นเข้าแล้ว”

       ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างอมยิ้มเมื่อได้ยิน สุรศักดิ์พยักหน้ารับรู้ ศศิทัศน์ ยังคงนั่งเงียบ วีร์หันมาหาเพื่อนของเขา ส่วนวิธูยังคงเขี่ยหัวมันในกองไฟต่อไป

        “กูเคยเล่าให้ไอ้วีร์ฟังไปแล้วว่ากูเคยเจอน้องเขาที่โรงพยาบาล” หลายๆคนขมวดคิ้วสงสัย พระยศจึงอธิบายเพิ่ม “น้องเขาหมดสติมา ส่งตัวมากับรถฉุกเฉินเมื่อตอนปิดเทอม ตอนนั้นน้องเขาผอมมาก กูมารู้เอาทีหลังว่าน้องเขากินยาลดความอ้วนจริงๆแถมยังไม่ค่อยกินข้าวหรือว่าถึงกินแล้วก็ไปล้วงคอออกมา ยิ่งไม่ได้กินอะไรบ้างจิตใจก็ยิ่งกระวนกระวายก็เลยไม่ได้นอนอีกจนร่างกายมันรับไม่ไหว ก็เลย...” พระยศหายใจลึกอีกครั้ง “กูเคยขึ้นไปเยี่ยมน้องเขาครั้งนึง ได้คุยกันหลายๆอย่างถึงได้รู้ว่าน้องเขาเป็นอะไร ก่อนกลับกูก็บอกน้องเขาไปว่าถ้าตัวเขายังรักตัวเองไม่เป็น เขาจะไปรักคนอื่นเป็นได้ยังไง”

        “แล้วทำไมมึงถึงคิดว่ามึงกำลังชอบน้องเขาแล้ว” วีร์ถาม

        “ตอนแรกกูก็ยังเฉยๆกับน้องเขานะ แต่ตั้งแต่เปิดเทอมมาน้องเขาก็ดูโอเคขึ้น ไม่ผอมโซเหมือนช่วงปิดเทอม แล้วน้องเขาก็ยังเอาคุกกี้มาให้กูเหมือนเดิม”

        “แล้วก็ยังมาซ้อมวิ่งพร้อมกับมึงไปด้วย” สุรศักดิ์เพิ่มเสริมซึ่งพระยศก็พยักหน้ารับ

        “แล้วตอนนี้กูเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังคาดหวัง แค่เห็นกลุ่มเพื่อนเขาเดินอยู่ก็คิดว่าเขาจะต้องเดินมาด้วยกัน เช้ามาโรงเรียนก็คิดว่าจะต้องได้เห็นถุงขนม บางทีกูใส่รองเท้าวิ่งเสร็จแล้วก็ทำเป็นหันดูๆรอบ จริงๆก็คืออยากรู้ว่าน้องเขาพร้อมจะซ้อมวิ่งแล้วยัง ก็ประมาณนั้น”

        “กูว่ามึงชอบน้องเขาแล้ว ถึงขั้นรักแล้วรึยังยังไม่แน่ใจ แต่มึงชอบน้องเขาแล้วแน่นอน” วีร์นั่งกอดเข่าหันหน้าไปทางพระยศ

        “เหมือนมึงไง มาแบบเดียวกันเลย” วิธูที่ยังคงนั่งยองอยู่ข้างกองไฟ คอยดูให้หัวมันสุกดีโดยทั่ว

        “ทำไมวะ” “ไอ้วีร์ทำไมเหรอ” “สรุปว่ามันมีแฟนแล้วใช่มั้ย” ”ว่าไงไอ้วีร์”

        “อ้าว มันยังไม่บอกพวกมึงเหรอ” วิธูหันไปถามทุกคนๆ

        “มึงรู้จักแฟนมันเหรอ” “ใครวะ บอกให้พวกกูรู้ด้วยสิ” “พวกมึงก็อยากรู้ใช่มั้ย” “ใช่มั้ยพวกมึง” คู่แฝดนพชัยชัยทิศพยายามหาแนวร่วมจากเพื่อนคนอื่นๆที่เหลือ พระยศนั่งเงียบเพราะเขารู้อยู่บ้างแล้ว ศศิทัศน์ยังคงเงียบขรึมเหมือนเดิมเพราะเขาก็ระแคะระคายมาบ้างเล็กน้อย จะเหลือก็เพียงสุรศักดิ์และคู่แฝด “อะไรวะ หรือพวกมึงรู้กัน” “แต่ปิดพวกกูเหรอ”

        “กูยังไม่รู้ แต่กูไม่ได้ขี้เสือกแบบพวกมึง” สุรศักดิ์ปาก้อนหินเล็กๆไปทางคู่แฝด

        “มึง” “มึงรู้จักแฟนมันใช่มั้ย” นพชัยและชัยทิศมุ่งความสนใจไปที่คนที่ยังนั่งอยู่ใกล้กองไฟ ไม่ได้นั่งอยู่ประจำก้อนหินแบบพวกเขา

        “รู้สิ”

        “ใครวะ” “นั่นสิ ใครวะ”

       วิธูหันมามองวีร์ก่อน แล้วจึงหันกลับไปทางแฝดนพชัยชัยทิศ

        “แฟนมัน ก็...พี่ชายกูเอง”

        “เฮ้ย” ทั้งนพชัยและชัยทิศร้องออกมาพร้อมกัน ส่วนคนที่ตกใจมากกว่าใครแต่กลับไม่ได้แสดงอาการใดๆออกมา ยังคงนั่งเงียบเหมือนเดิม

        “ไหนๆก็พูดแล้ว งั้นกูพูดต่อเลยละกัน” วิธูหันมาหาวีร์ “ไอ้วีร์ หลายปีที่ผ่านมากูมีเรื่องจะสารภาพ”

        “อะไรวะ” วีร์ขมวดคิ้วสงสัย

        “เรื่องแรก มึงไม่ได้ช่วยกูจีบแพรเลย” วีร์ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ “เพราะกูขอมันเป็นแฟนก่อนที่จะบอกให้มึงช่วยอีก”

        “อะไรของมึงวะ” วีร์ยังคงสับสนกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา “ถ้ามึงเป็นแฟนกันแล้ว มึงจะมาขอให้กูช่วยอีกทำไม”

        “นั่นเพราะว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่สอง” วีร์และคนอื่นๆรอฟังอย่างตั้งใจ “กูไม่ได้ช่วยมึงจีบพี่กูเลย”

        “ห๊า” เสียงร้องของคนอื่นๆดังขึ้นมาพร้อมกัน

        “ในขณะที่มึงคิดเอาเองว่าที่ผ่านมามันเป็นอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว กูช่วยพี่กูจีบมึงต่างหาก”

        “หมายความว่ายังไงวะ งั้นแสดงว่าทั้งหมดที่ผ่านมาก็คือแผน” วีร์ถามย้ำ

        “ใช่”

        “ไอ้เพื่อนเวร” วีร์หมายจะปาเศษไม้ไปที่เพื่อนของเขา แต่เจ้าตัวหลบทันทำให้ไม้เข้าไปในกองไฟแทน

        “หึๆ ก็ความสุขของพี่กูก็คือความสุขของกู

       คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของอีกคนแต่กลับไปกระทบใจของอีกคนและวีร์เองก็รู้สึกได้ เขาจึงหันไปมองคนที่ยังนั่งเงียบอยู่ ก็พบว่าคนนั้นก็กำลังมองกลับมาที่เขาอยู่เช่นกัน รวมถึงวิธูที่หันไปมองตามสายตาของเพื่อนสนิทจนเจอเข้ากับสายตาของศศิทัศน์ พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ได้แสดงความเย้ยหยั่นแต่อย่างใด แต่เป็นรอยยิ้มที่เข้าใจความรู้สึกนั้นเป็นอย่างดีความรู้สึกของคนที่เทิดทูนพี่ชายตัวเองเป็นดังเช่นวีรบุรุษ


[โปรดติดตามตอนต่อไป]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
อะไรยังไงเนี่ย มีปมมาให้แก้อีกแล้ววววส :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 11 ความจริงที่ปิดไว้

      วีร์ออกมาเดินดูรอบๆบ้านของฝาแฝดนพชัยและชัยทิศ เพราะว่าที่นี่ปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้เยอะมากทำให้เขารู้สึกเหมือนว่ากำลังอยู่ที่บ้านหลังเดิม เขาเพลิดเพลินตามทางไปเรื่อยๆ มองดูต้นไม้นานาพรรณที่เขารู้จักบ้างไม้รู้จักบ้าง และแวะดูบ่อปลาที่มีตัวใหญ่ๆว่ายอยู่ในสระที่มีบัวหลายชนิดประดับรายล้อมอยู่ ไปจนถึงสวนดอกไม้หอมนานาชนิด ทั้งไม้ยืนต้น ไม้เลื้อย และไม้พุ่มขนาดเล็ก จนไม่รู้ว่าได้เดินเลยไปถึงส่วนอื่นๆของที่ดินผืนใหญ่แห่งนี้

       “ตื่นเช้าเหมือนกันนะเราน่ะ” เสียงของหญิงสูงวัยเอ่ยทักทายมาทำเอาวีร์สะดุ้งโหยง “ขอโทษทีนะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตกใจ”

       “ไม่เป็นไรครับคุณย่า ผมเดินดูดอกไม้เพลินไปหน่อย ไม่ทันได้สนใจอะไรรอบตัวเลย” วีร์หันมายิ้มให้กับหญิงสูงวัยที่มักจะมีผู้ติดตามมาด้วยสองคนเสมอ แต่ครั้งนี้กลับมีเพิ่มมาอีกสามคน

       “นี่เอาของไปเก็บได้เลยไป เดี๋ยวชั้นจะเดินเล่นกับเพื่อนของเจ้ากิ่งก้านก่อน” หญิงสูงวัยหันไปสั่งผู้ติดตาม วีร์มองดูคนที่ถือโถข้าวสีเงินที่แกะสลักอย่างดี คนที่ถือถาดที่ถูกซ้อนรวบกันไว้ 2-3 ถาด และคนที่ถือโต๊ะพับ ก้มหน้าคำนับรับคำสั่งหญิงสูงวัย ก่อนที่จะเดินตามกันออกไป เหลือทิ้งไว้อีกสองคนที่จะคอยติดตามไปทุกที่

       “ชอบมั้ย” ผู้เป็นเจ้าบ้านหันกลับมาถาม “สวนนี่ปู่ของเจ้ากิ่งก้านเป็นคนจัดวางผังไว้ทั้งหมด ต้นไม้อาจจะมีล้มตายไปบ้าง เปลี่ยนพันธุ์ไม้เป็นชนิดอื่นบ้าง ก็ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ตามที่วางไว้แบบเดิม”

       “ชอบครับ ดอกไม้หอมเยอะดี ดูเพลินตาไปเลยครับ” วีร์ตอบพร้อมกับหันไปมองดูรอบๆ ถึงได้เห็นว่าตัวเองเดินห่างออกมาจากบ้านของนพชัยและชัยทิศพอสมควร

       “ไป เดินไปกับย่าหน่อย ย่ากำลังจะไปเยี่ยมย่าของเจ้ากิ่งก้านอยู่พอดี เมื่อวานดูไม่ค่อยจะสบายตัวเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าดีขึ้นบ้างแล้วรึยัง” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้ามองไปทางนั้นพอดี

       “เอ่อ ย่ารองไม่สบายหรอครับ ไม่เห็นพวกคู่แฝดจะพูดอะไรเลย” วีร์เดินตามหญิงสูงวัยไป เดิมทีเขาเดินคล้อยหลังมาเล็กน้อย และอีกฝ่ายกลับหยุดเดินแล้วยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง ต้นแขนยังขนาบลำตัวพับข้อศอกขึ้นตั้งฉาก ปลายแขนขนานไปกับพื้น ฝ่ามือเหยียดคว่ำออกมา วีร์เห็นแล้วรับรู้ได้ในทันทีจึงรีบเดินขึ้นมาระดับเดียวกันพร้อมกับยกแขนเกร็งขึ้นเล็กน้อยให้หญิงสูงวัยวางฝ่ามือลงที่ปลายแขนของเขา แล้วทั้งคู่ก็ออกเดินต่อไป

      โดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันได้เห็นอมยิ้มเล็กๆของหญิงสูงวัย

       “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก คงจะไม่อยากบอกให้กังวลใจกัน เดี๋ยวจะหมดสนุกกันเสียเปล่า”

       “มิน่าล่ะ ผมเห็นสองคนนั้นเดินเข้าออกไปในบ้านอยู่เรื่อยไม่หยุด นึกว่าแค่เอาขนมเข้าไปให้คนในบ้านเฉยๆ” วีร์รู้สึกผิดขึ้นมาในทันที

       “ไม่ต้องกังวล ได้กินยาแล้วนอนพักก็คงจะดีขึ้น” หญิงสูงวัยยังคงยืนยันคำพูดของเธอ “พวกเราไม่ได้ทำเสียงดังอะไรนิ ใช่มั้ย”

       “ครับ” วีร์พยักหน้าตอบรับ

       “ไม่เหมือนฝั่งโน้น เปิดเครื่องเสียงดังเกือบทั้งคืน ดีที่ว่ายังพอรู้เวลาอยู่บ้าง”

      วีร์จำได้ว่าเขาก็ได้ยินเสียงดังมาถึงที่ตั้งแคมป์ไฟของพวกเขาอยู่เหมือนกัน แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันต่อก็มีคนรีบวิ่งเข้ามาพวกเขาเสียก่อน

       “ไอวีร์ๆ ห้ายฮั้วไป่ไน่มา ห้าแถบต๋าย” เมื่อพูดกับเพื่อนเสร็จวิธู ก็ชะงักเพราะไม่ทันเห็นว่าวีร์เดินมาด้วยกันกับผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้าของที่ จึงรีบยกมือขอโทษที่เสียมารยาท หญิงสูงวัยก็ยิ้มตอบกลับอย่างเอ็นดูว่าไม่เป็นไร

       “ไสอะ”

       “ผอโทรมา หวาอีมาหรับแล่วนิ”

       “อือ แขบไป่ไน่ บ๋อกว่าอีหลบหวันช้าย มั้ยฉายเออ”

       “มั้ยโหร่เหมือนกั๋น เห้นหวาอีทึ่งแล่วนิ”

       “เอ้า พรือหล่าว”

       “มั้ยโหร่ ไป่ เก๋บข้อง”

       “เอ่อ...” วีร์หันมามองทางหญิงสูงวัย กำลังจะนึกคำพูดเพื่ออธิบาย แต่ว่า...

       “ไม่เป็นไรหรอก ไปเถอะ รีบไม่ใช่เหรอ” เธอยิ้มมาให้ ไม่ได้ถือสาหาความอะไร

       “เอ่อ... งั้นพวกผมลาคุณย่าตรงนี้เลยก็แล้วกันครับ” ทั้งวีร์และวิธูยกมือขึ้นไหว้ลาหญิงสูงวัย

       “กลับดีๆละ ว่างๆก็แวะมาที่บ้านได้อีกนะ”

       “ได้ครับ”

       “ทั้งสองคนเลยนะ”

       “ครับ”

      หญิงสูงวัยยืนมองดูเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่รีบเดินกันไปตามทางที่เธอกำลังจะเดินไปเช่นกัน เสียงพูดคุยของทั้งสองคนยังดังมาให้เธอได้ยินอยู่บ้างก่อนที่จะเบาลงตามระยะทางที่ห่างกันออกไป เธอยืนมองดูจนเด็กทั้งสองเดินลับสายตาของเธอไป

       “อ้าว คุณแม่คะ มายืนอะไรอยู่ตรงนี้ละคะ เดี๋ยวโดนน้ำค้างแล้วจะป่วยเหมือนแม่รองไปอีกคนหรอก”

       “หือ ชื่นเองเหรอ แม่แค่ตักบาตรเสร็จแล้วมาเดินเล่นน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เธอหันมายิ้มให้กับคนที่เข้ามาทักเธอ “แล้วนั่นอะไรละ” เธอมองดูหม้อขนาดกลางที่อยู่ในมือของผู้ที่เธอเลี้ยงดูมาดั่งลูกสาวแท้ๆของเธอเอง

       “ข้าวต้มปลาค่ะ จะเอาไปบ้านแม่รอง”

       “ดีเลย งั้นไปด้วยกัน แม่กำลังจะเดินไปทางนั้นพอดี จะไปดูเขาซักหน่อย ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจะได้รีบพาไปโรงพยาบาล”

       “ค่ะ คุณแม่”

      แล้วทั้งสี่คนก็เดินไปตามเส้นทางที่วีร์และวิธูเพิ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปก่อนหน้านี้เอง

*****

       “อ้าวไอ้วีร์ไปไหนแล้ววะ เพื่อนมันก็ด้วย” ศศิทัศน์ เดินออกมาจากในบ้านหลังจากที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขามองดูรอบๆแล้วสังเกตเห็นว่ามีคนหายไป

       “พ่อเพื่อนมันมารับกลับไปเมื่อกี้ ทำไมเหรอ” สุรศักดิ์หันมาถามขณะที่กำลังจะจุดถ่านฟืนที่เตาปิ้งย่าง เตรียมตัวย่างอาหารทะเลที่นพชัยและชัยทิศสั่งให้คนที่บ้านเตรียมไว้สำหรับมื้อเที่ยงวันนี้

       “เปล่า ไม่มีอะไร แล้วพวกมันจะรีบไปไหนกันวะ เห็นบอกว่าอยู่ได้ถึงตอนบ่ายไม่เหรอ”

       “ไม่รู้สิ เห็นเพื่อนมันคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้ น่าจะพ่อมันมั้ง” “แล้วก็เห็นรีบตามหาไอ้วีร์ใหญ่เลย” “พอมันตามไอ้วีร์กลับมาได้ก็รีบเก็บของกัน เสร็จแล้วก็บอกลา” “แล้วก็ออกไปพร้อมกันเลยทั้งคู่”

       “ไปไหนวะ” ศศิทัศน์ช่วยพวกคู่แฝดยกกล่องใส่อาหารทะเลสดออกมาวางเรียงกันที่โต๊ะข้างเตาปิ้งย่าง

       “ไม่รู้เหมือนกัน” “มันไม่ได้บอกไว้”

       “แล้วน้ำจิ้มซีฟู๊ดนี่ใครจะทำ” ศศิทัศน์ก้มลงมองดูเครื่องปรุงที่เตรียมเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนๆแต่ละคน

       “มึงครับ” สุรศักดิ์เรียกเพื่อนตี๋ของเขา “บ้านกูทำร้านอาหาร กูทำอาหารเป็น แค่น้ำจิ้มแค่เนี่ย กูก็ทำได้”

       “เหรอออออ” ศศิทัศน์ลากเสียงยาว

       “ถึงเรื่องเรียนกูจะสู้มึงไม่ได้ แต่เรื่องทำอาหาร รับรองได้ว่ากูสู้...”

       “สู้ไอ้วีร์ไม่ได้” ทั้งนพชัยและชัยทิศพูดออกมาพร้อมกัน

       “ห่า...” สุรศักดิ์วางมือจากการจุดถ่านให้ติดไฟมายืนเท้าสะเอวแทน “จะเอาไง จุดกันเองเลยมั้ย”

       “อุ้ย พี่ใหญ่น้อยใจแล้วพวกเรา” “ไปง้อเขาหน่อยสิมึง เดี๋ยวจะอดแดกกัน” ทั้งสองคนรับกุลีกุจอเข้าไปช่วยใหญ่จัดการกับเตาปิ้งย่าง “อ้าวไอ้คุณพระยศ มึงมาช่วยด้วยดิ เอาจะเล่นโทรศัพท์อยู่ได้” “หรือมึงต้องรีบกลับไปไหนอีกคนด้วยวะ”

       “หืม” พระยศเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ในมือของเขา “อะไร”

       “มีธุระด่วนรึเปล่ามึง” ศศิทัศน์ถามพระยศ

       “อ๋อ.. ไม่มีอะไร กูอยู่ได้เรื่อยๆทั้งวัน” พระยศเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงของตัวเอง

       “อ้าว ตอนแรกมึงบอกว่ามีนัดกินข้าวเที่ยงกับที่บ้านไม่ใช่หรอ” ศศิทัศน์สงสัย เพราะพระยศได้เคยบอกไว้ว่าจะกลับช่วงสายๆ เหตุเพราะว่านานๆทีที่คนในบ้านจะหยุดอยู่บ้านพร้อมกันครบทุกคน จึงได้นัดกันจะพากันไปร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยงและเย็น

       “เลื่อนแล้ว คงจะออกไปกินกันมื้อเย็นอย่างเดียว” พระยศเดินมาช่วยสุรศักดิ์จุดเตาปิ้งย่าง

       “ทำไมวะ” สุรศักดิ์เงยหน้ามาถามพระยศ

       “ก็ไม่ทำไม” พระยศยักไหล่ตอบ “แม่กูโดนเรียกตัวด่วนตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่กลับเลย แถมยังไม่แน่ว่ามื้อเย็นอาจจะโดนยกเลิกไปด้วย”

       “อย่างงี้แหละ เป็นลูกหมอลูกตำรวจต้องทำใจ เป็นวันหยุดแต่ก็ไม่ได้หยุดแบบชาวบ้านเขา”

      พระยศได้แต่พยักหน้าเล็กน้อยตอบเพื่อนข้างๆ ในใจพลางนึกไปถึงเพื่อนอีกคนที่กลับไปก่อนหน้า เขาหวังว่าแม่ของเขาที่ถูกเรียกตัวไปคงจะไม่ใช่ว่าต้องไปเพราะใครคนนั้น

*****

      พ่อของวิธูขับรถพาทั้งวิธูและวีร์มาที่โรงพยาบาล โดยระหว่างทางวิธูได้พยายามถามพ่อของเขาว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้รีบร้อนมารับเขาและวีร์ ทั้งๆที่ได้นัดกันไว้เวลาบ่าย แต่พ่อของวิธูก็บอกแค่เพียงว่าเดี๋ยวไปถึงโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยบอกในคราวเดียว ทั้งหมดจึงได้แต่นั่งกันมาเงียบๆจนถึงโรงพยาบาล

       “แม่ มีอะไรรึเปล่า” วิธูรีบถามมารดาของตัวเองทันทีที่ได้พบหน้า ทั้งวิธูและวีร์ต่างรีบวิ่งขึ้นมาถึงหน้าทางเข้าหอผู้ป่วยก่อน ส่วนพ่อของวิธูต้องวนรถไปจอดแล้วจึงตามมาทีหลัง

       “ไม่มีอะไร พ่อเขาแค่ตกใจเกินเหตุไปหน่อย ดูสิหมดสนุกกันเลยละสิ” หญิงวัยกลางคนยืนรออยู่ด้านหน้า แม้ว่าจะปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า แต่แววตาของเธอไม่ได้เป็นเช่นนั้นไปด้วย

       “แล้วพ่อตกใจเรื่องอะไร” วิธูไม่เชื่อในคำตอบของแม่ของเขา

       “พี่เขาความดันตกเมื่อหัวรุ่ง” เธอถอนหายใจก่อนตัดสินใจบอกลูกชายคนเล็กของเธอ “หมอให้ยาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็กลับมาเป็นปกติดี แต่รอดูอาการอีกสักพักนึงก่อน”

       “แล้วตอนนี้เข้าไปเยี่ยมได้มั้ยครับ” วีร์ถามแม่ของวีรดนย์และวิธู

       “ได้สิ” เธอยิ้มตอบให้ “แต่พี่เขาหลับอยู่ ไม่ต้องไปปลุกนะ ให้เขานอนพักไปก่อน”

       “ได้ครับ” วีร์ตอบรับแล้วรีบเดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่หน้าทางเข้าเพื่อขอเข้าเยี่ยมผู้ป่วยในทันที

      เมื่อวีร์เดินลับสายตาไปแล้ว วิธูก็หันมาจ้องมองแม่ของเขาอย่างคาดคั้น อีกฝ่ายก็ได้แต่ยิ้มและลูบแขนลูบไหล่ปลอบใจทั้งลูกชายและตัวเอง จนผู้เป็นพ่อเดินตามมาถึง

      สามคนพ่อ แม่ ลูก ต่างมองหน้ากันไปมา

       “ที่นี้ละอยู่กันครบแล้ว บอกมาตะว่าเกิดอะไรขึ้น” วิธูยืนเท้าสะเอวรอฟังคำตอบ

      สองสามีภรรยาหันมามองกันขอความเห็นจากอีกฝ่าย แม้ว่าที่ผ่านมาได้พยายามประวิงเวลาไม่บอกเล่าอาการของลูกชายคนโตให้กับลูกชายคนเล็กฟังไปทั้งหมด โดยหวังว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นบ้าง แต่ทั้งคู่เข้าใจดีว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องบอกความเป็นไป ณ ปัจจุบัน ฝ่ายสามีจึงพยักหน้าให้กับผู้เป็นภรรยาคู่ชีวิต

       “หมอบอกว่ายาที่ใช้รักษาอยู่ประจำทำให้ตับกับไตเริ่มเสื่อมลงมากแล้ว ถ้าจะให้ช่วยก็ต้องฟอกตับกับไตเพิ่มอีกอย่าง แต่ว่า...” เธอหันมาบอกกับลูกชายของเธอ มือของเธอจับกับมือของสามีไว้แน่น ก่อนที่จะสูดหายใจลึกๆ “แต่ว่าตอนนี้กล้ามเนื้อหัวใจก็เริ่มตายไปบางส่วน ก็เลย... คงอีกไม่นานแล้ว”

       “อะไรอีกหล่าว” วิธูขมวดคิ้วพยายามคิดตามสิ่งที่ได้ยินมา “ก็ที่ย้ายกันมานี่เพราะมีหมอเฉพาะทางอยู่ไม่ใช่เออ แล้วทำไม...”

       “หมอที่นี่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ ที่ผ่านมาก็ได้แต่รักษาตามอาการ” ฝ่ายพ่อวางมือลงบนบ่าของลูกชาย บีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจ แม้ว่าตัวของเขาเองก็ต้องการเช่นกัน “แต่ตอนนี้ มันถึงเวลาที่เราคงต้องยอมรับความจริงแล้ว”

       “ไม่อะ ไม่เชื่อ” วิธูพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ “แล้วพี่เขารู้แล้วยัง”

       “รู้ พี่เขารู้อาการตัวเองมาตลอด” ผู้เป็นแม่ปล่อยจากมือของสามีไปจับแขนลูกชาย

       “แล้ว...”

       “ต่าย” เสียงของแม่พยายามเรียกสติของลูกชาย “เวลาเหลืออีกไม่มากแล้วนะลูก อย่าให้พี่เขาไปอย่างมีกังวล”

      วิธูยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนที่มันจะไหลลงบนแก้มของเขา

       “แล้วใครจะบอกไอ้วีร์”

       “พี่เขาขอเป็นคนบอกเองเมื่อถึงเวลา” ผู้เป็นแม่บีบแขนลูกชายเบาๆ

      วิธูได้แค่หันไปมองทางเข้าหอผู้ป่วยปลอดเชื้อที่ซึ่งเพื่อนสนิทของเขากำลังเฝ้าดูอาการพี่ชายของเขาอยู่ เขาไม่แน่ใจว่าเพื่อนของเขาจะทำใจรับกับข่าวนี้ได้มากแค่ไหน

*****

      อาหารทะเลนานาชนิดที่ถูกย่างไฟจนสุกพอดีถูกจัดวางไว้ในถาดวางเรียงกันบนโต๊ะอาหารภายในบ้าน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างล้อมวงร่วมรับประทานกันอย่างสนุกสนาน ฝาแฝดนพชัยชัยทิศคอยบริการคุณย่าที่รู้สึกดีขึ้นแล้วจากอาการไข้อย่างไม่ขาดมือ จานไม่เคยว่าง จนคุณย่าต้องยกมือห้ามและบอกให้หลานตัวเองลงมือกินเสียเองบ้าง ส่วนคนอื่นต่างชวนคุยเรื่องต่างๆอย่างออกรสออกชาติไม่แพ้อาหารบนโต๊ะ โดยเฉพาะน้ำจิ้มฝีมือของใหญ่ที่รสถูกใจหลายคนไม่เสียชื่อลูกชายร้านอาหาร

      มีเพียงชายร่างสูงคนหนึ่งที่ยังยืนอยู่นอกชานบ้าน กำลังพูดคุยโทรศัพท์กับแม่ของเขา

       “ยังครับแม่ ยังอยู่ที่บ้านพวกแฝดอยู่เลย แล้วแม่เสร็จงานแล้วเหรอครับ”

       (ยังเลยลูก คงจะอีกสักพัก)

       “เหรอครับ” พระยศเสียงอ่อนลงไปสักเล็กน้อย “แล้วแม่โทรบอกพ่อแล้วยัง ไม่ใช่ว่าพี่เบิ้ลกับบอมยังหิ้วท้องรออยู่อีกนะแม่”

       (แม่โทรไปแล้ว วางหูเสร็จก็โทรมาหาบิ๊กเลยจะได้ไม่ต้องรอกัน แล้วที่บ้านกิ่งก้านเขามีอะไรกินกันมั้ยลูก)

       “อาหารทะเลเต็มโต๊ะเลยแม่ ไม่ต้องห่วงครับ”

       (ดีแล้วลูก เดี๋ยววันหลังค่อยซื้อผลไม้เข้าไปเยี่ยมคุณย่าของพวกคู่แฝดบ้าง)

       “ครับ แล้วแม่จะเสร็จทันตอนเย็นมั้ยครับ”

       (คิดว่าทันนะ) ในตอนนั้นพระยศได้ยินเสียงแทรกเข้ามาเบาๆว่ามีเจ้าหน้าที่เอาผลแล็บมาส่ง (บิ๊ก เดี๋ยวแม่ต้องไปทำงานต่อแล้วนะ อยู่สนุกกับเพื่อนไปก่อนก็ได้ แล้วเจอกันตอนเย็นนะลูก)

       “ครับแม่” พระยศชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบถามออกไปก่อนที่ปลายทางจะวางสายไปเสียก่อน “แม่ครับ”

       (หือ ว่ายังไงลูก)

       “เป็นเคสเพื่อนของบิ๊กรึเปล่า” เสียงของอีกฝั่งหนึ่งเงียบไปจนพระยศถึงกับกลั้นหายใจรอฟังคำตอบ

       (ไม่ต้องห่วงนะบิ๊ก ไม่มีอะไหรอก แต่ยังไงก็หาเวลาคอยคุยกับเพื่อนเขาบ้างนะ)

       “ครับแม่”

       (แค่นี้ก่อนนะ เจอกันตอนเย็น)

       “ครับแม่”

      พระยศกดเลื่อนปุ่มวางโทรศัพท์แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในใจนึกไปถึงเพื่อนอีกคนซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เขายืนคิดอยู่นานเท่าไหร่ไม่อาจบอกได้ จนมีคนเดินออกมาตามเข้าเข้าไปข้างใน

       “ไงมึง ยืนทำไรอยู่วะ”

      พระยศหันไปมองเพื่อนตี๋ของเขา ในมือกำลังถือแก้วน้ำมาด้วยสองใบโดยยื่นมาให้เขาใบหนึ่ง พระยศยักไหล่ตอบกลับแล้วจึงรับแก้วน้ำมายกขึ้นดื่ม

       “แต่สีหน้ามึง ไม่บอกว่าอย่างนั้นเลยว่ะ” ศศิทัศน์มองดูเพื่อนของเขาอย่างพิจารณา “มีอะไรรึเปล่าวะ”

       “เปล่า แม่กูแค่โทรมาบอกเฉยๆว่าคงเย็นๆโน้นถึงจะกลับ” พระยศหันกลับไปมองภาพต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าที่ปลูกรายล้อมไว้รอบบ้าน

       “แน่ใจ” ศศิทัศน์ถามกลับ

       “อืม” พระยศหันมายิ้มมุมปากให้แล้วจึงหันตัวกำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน

       “เกี่ยวกับไอ้วีร์รึเปล่า” ศศิทัศน์รีบถามก่อนที่เพื่อนของเขาจะเดินผ่านเขาไป จนเจ้าตัวถึงกับชะงักหยุดเดิน

       “มึงรู้อะไรแล้วบ้าง” พระยศหันมาถามศศิทัศน์

       “กูไม่รู้อะไรเลย กูแค่เดาเอา เดาจากท่าทางของไอ้วีร์ เดาจากท่าทางของเฮีย แล้วก็เดาเอาจากท่าทางของมึง”

      พระยศหลับตาลงครุ่นคิด เขายังนึกชื่นชมความฉลาดของเพื่อนคนนี้เสมอเหมือนที่ผ่านๆมา ก่อนที่จะพูดตอบไป

       “กูก็ไม่แน่ใจว่ากูควรบอกมึงมั้ย แต่คิดว่าไหนๆเฮียมึงก็คงรู้อยู่แล้ว” ศศิทัศน์รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ “แฟนของไอ้วีร์เป็นคนไข้ของแม่กู ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”

       “มึงหมายถึงที่ไอ้วีร์หายไปทุกวันเสาร์ก็คือ...”

       “มันไปเฝ้าแฟนมัน”

      ศศิทัศน์พยักหน้ารับ

       “แล้วแฟนมันเป็นอะไร”

       “อันนั้นกูไม่รู้ แต่เฮียวีอาจจะรู้”

       “แล้วเฮียกูไปรู้มาได้ยังไงวะ”

       “ไอ้วีร์บอกว่ามันเคยพาเฮียวีไปเจอแฟนมัน”

       “อ๋อ” ศศิทัศน์พยักหน้าพลางนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาได้พยายามยุยงให้พี่ชายตัวเองไปแอบตามเพื่อนของเขาว่ามีธุระอะไรในทุกวันเสาร์ แล้วพี่ชายของเขาก็กลับมาถึงบ้านเสียดึกดื่นพร้อมอาการที่เงียบผิดปกติไป “แล้ว...”

       “กูรู้แค่นั้น มากกว่านี้มึงต้องลองไปถามเอาจากเฮียมึงเอาเอง”

      ทั้งพระยศและศศิทัศน์ต่างหันหน้าไปมองข้างๆ ทบทวนเรื่องราวต่างๆในความคิดของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะพยายามเดาเหตุการณ์ไปในเชิงบวกมากแค่ไหน ก็ค้นหาคำตอบที่สดใสไม่เจอ จนกระทั้งไหล่ของทั้งคู่ถูกตีพร้อมกัน

       “มายืนทำอะไรตรงนี้วะ” เด็กหนุ่มร่างสูงผิวเข้มยืนเท้าสะเอวมองหน้าไปมาระหว่างพระยศและศศิทัศน์ “เข้าไปข้างในกัน ของกินยังเหลืออีกเพียบน้ำจิ้มกูยังเหลืออีกเยอะ ไปช่วยกันจัดการให้หมดเร็ว” สุรศักดิ์กวักมือเรียกทั้งคนอีกครั้งแล้วก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน พระยศและศศิทัศน์ต่างมองหน้าอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พากันเดินตามสุรศักดิ์เข้าไปข้างในเช่นกัน



[อ่านต่อด่านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
      จนถึงเวลาเย็น วีร์ที่สวมชุดคลุมป้องกันการแพร่เชื้อตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังนั่งอยู่ข้างๆเตียง มองดูคนที่กำลังนอนหลับตั้งแต่เขามาถึงเมื่อช่วงสายจนถึงตอนนี้ ร่างกายที่เคยแข็งแรงกำยำล่ำสันแต่ตอนนี้กลับซูบผอมตั้งแต่ใบหน้าจนปลายเท้า แต่อย่างน้อยเขาก็กำลังนอนหลับพักสบายไม่มีอาการเกร็งแต่อย่างใด เครื่องมือที่อยู่อีกฝั่งของเตียงแสดงผลการเต้นของหัวใจ ความดันของโลหิต และระดับออกซิเจนในเลือดที่เป็นปกติ เจ้าหน้าที่พยาบาลเพิ่งเข้ามาตรวจตามระยะปกติและบอกว่าคนไข้คงจะตื่นในอีกไม่นาน แต่อาจจะมีอาการสลึมสลือไปบ้าง พยายามอย่าเพิ่งให้คนไข้ขยับตัวมากเกินความจำเป็น ถ้ามีความผิดปกติอะไรก็ให้เรียกพยาบาลได้ในทันที

       “น้องวีร์” หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมป้องกันมาไม่ต่างจากที่วีร์ใส่อยู่ เดินเข้ามาในห้อง “ไปหาอะไรกินก่อนลูก ตั้งแต่เที่ยงยังไม่กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ”

       “แต่ว่า...”

       “ไปเถอะ ทางนี้แม่อยู่เฝ้าเอง เดี๋ยวจะเป็นลมหมดแรงไปซะก่อน” เธอมองดูเด็กหนุ่มที่ยังคอยมองลูกชายคนโตของเธอด้วยแววตาที่มีแต่ความกังวล “เดี๋ยวพี่เขาตื่นมาแล้วรู้ว่าวีร์ปล่อยให้ท้องว่างไม่ไปหาอะไรกิน ก็โดนดุอีกหรอก”

      เด็กหนุ่มหันมามองเธอ พร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย

       “ใช่ เดี๋ยวพี่วีจะดุเอาอีก”

       “ใช่มั้ย น้องวีร์ออกไปหาอะไรกินก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่อยู่เฝ้าเอง”

      วีร์หันไปมองดูคนป่วยบนเตียงอีกครั้ง ก่อนที่จะหันมาตอบตกลง

       “ครับแม่”

      เธอตบลงบนบ่าของเด็กหนุ่มเบาๆ และมองดูเขาค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วหันเดินออกไปอย่างช้าๆ ตลอดเวลานั้นเขาก็ยังหันกลับมามองคนที่นอนอยู่ ก่อนที่จะตัดใจเดินออกจากห้องไป

      แล้วเธอนั่งลงตรงที่เด็กหนุ่มเคยนั่งอยู่ก่อนหน้า

       “เฮ้อ หลูกวีเอ้อ แหมม้ายโหร่อีบ๋อกน่องพรือดี๋แล่วนิ”

      เธอได้แต่รำพึงรำพันเบาๆถึงความกังวลใจของตัวเองเกี่ยวกับอาการของลูกชายคนโตที่ยังไม่มีใครกล้าบอกคนรักของเขาให้รู้อาการที่แท้จริงในตอนนี้ เธอทำได้แค่สวดมนต์ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้ลูกชายของเธอหายป่วยเสียที เขาจะได้กลับไปมีชีวิตปกติ ได้ทำสิ่งที่อยากทำอีกมากมาย ไม่ต้องมาจมอยู่บนเตียงอย่างนี้ติดต่อกันมาหลายปี

*****

      ตลอดช่วงสัปดาห์ต่อมา วีร์ยังคงมาเรียนตามปกติดังเดิมแต่มีท่าทีที่เงียบซึมไป เหตุเพราะว่าเขาไม่สามารถไปเยี่ยมวีรดนย์ได้เพราะข้อตกลงที่เคยให้ไว้กับเจ้าตัวตั้งแต่แรก ว่าให้ไปพบได้เพียงวันเสาร์เท่านั้น หรืออย่างมากที่สุดก็วันอาทิตย์อีกหนึ่งวัน จึงได้แต่สอบถามอาการจากแม่ของวีรดนย์ที่ย้ายมาอยู่เฝ้าดูอาการ

      แรกเริ่มที่วีร์ย้ายตามมาใหม่ๆ ตอนที่วีรดนย์รู้เรื่องเข้าก็โกรธเขามาก ว่าทำไมถึงต้องทำให้คนอื่นวุ่นวายกับเรื่องย้ายบ้านย้ายโรงเรียนกะทันหันแบบนั้น ไม่ยอมให้เขาเข้าเยี่ยมเลยแม้แต่น้อย วีร์ได้แต่มานั่งเฝ้าอยู่หน้าทางเข้าหออภิบาลผู้ป่วยปลอดเชื้อ คอยสอบถามอาการจากแม่ของวีรดนย์อยู่นานเป็นเดือนวีรดนย์จึงใจอ่อนยอมให้เข้าเยี่ยมได้

      แต่กระนั้นการเยี่ยมไข้ต้องเป็นไปตามข้อตกลงว่าให้วีร์มาได้เฉพาะวันเสาร์เท่านั้น อนุโลมให้เพิ่มวันอาทิตย์ได้เป็นครั้งคราว ส่วนวันธรรมดาให้วีร์สนใจอยู่กับการเรียน และที่สำคัญวีร์ต้องรักษาผลการเรียนไว้ให้ได้

      ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในวันธรรมดาวีร์จะตั้งใจเรียนเอาสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องเรียน ส่วนในวันเสาร์นั้นวีร์จะทิ้งทุกอย่างไม่ว่าจะสำคัญแค่ไหนเพื่อมาเฝ้าวีรดนย์ ซึ่งก็มีเพียงครั้งเดียวที่วีร์ไม่ได้มาเยี่ยมในวันเสาร์ เพราะพ่อและแม่ของวีร์ขึ้นมาเยี่ยมในช่วงวันหยุดยาว วีรดนย์จึงอนุญาตให้วีร์เลื่อนเป็นวันอาทิตย์ได้

      จนถึงตอนนี้ทุกอย่างยังเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้

      ส่วนเพื่อนๆคนอื่นๆเองก็ไม่ได้สอบถามความเป็นไปของวีร์มากนัก แค่คอยชวนคุยเรื่องทั่วๆไปอยู่เรื่อยๆ แม้แต่คู่แฝดนพชัยและชัยทิศเองก็ไม่ได้กระเซ้าเย้าแหย่วีร์อะไรมากมาย แม้ว่าพวกเขาเองจะไม่ได้รู้เรื่องโดยละเอียด แต่เพราะบรรยากาศรอบๆตัวของเพื่อนแต่ละคนทำให้พวกเขาหยุดความอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นในตอนนี้ไว้ชั่วคราว

      จนวีรดนย์มีอาการดีขึ้น สามารถพูดคุยตอบสนองได้ เพียงแต่ว่าจะอ่อนเพลียง่ายกว่าปกติเท่านั้น วีร์จึงกลับมาสดใสพูดคุยกับเพื่อนๆดังเดิมได้อีกครั้ง

      จนวันเสาร์มาถึง วีร์ก็เตรียมตัวจะออกไปเยี่ยมวีรดนย์แต่เช้าดังเดิม

       “วีร์” เสียงเรียกชื่อของเขารั้งเขาไว้ก่อนที่จะก้าวพ้นหน้าบ้านไป มาจากชายหนุ่มผู้เป็นคนที่จัดการธุระต่างๆทั้งหมด ทั้งการย้ายบ้านและการย้ายโรงเรียนของวีร์ กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับอาหารเช้าที่จัดเตรียมไว้สองที่ “มากินข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยไป” ท่าทีของวีร์ที่กำลังจะคัดค้าน “อ๊ะ... อ๊ะ... อ๊ะ... ไม่มีแต่ ไม่งั้นพี่จะโทรไปบอกเจ้าวีว่าเราไม่ยอมกินข้าวเช้า”

       “โห... ทำอย่างนั้นพี่วีก็ไม่ให้เข้าไปเจออีกอะสิ” เด็กหนุ่มได้แต่เบะปาก เดินย้อนกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร

       “งั้นก็กินให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยออกไป”

      วีร์ได้แต่นั่งเขี่ยข้าวในจาน

       “ลงมือสิ อุตส่าห์ทำให้กิน” ธีร์คะยั้นคะยอให้วีร์เริ่มตักอาหารใส่ปาก

       “ซื้อที่ตลาดเช้ามากกว่ามั้ง” วีร์ได้รับการเขกหัวเบาๆจากคนนั่งข้างๆในทันทีทันใด

       “ของสดน่ะใช่ ก็ไม่ได้เสกขึ้นเองได้ แต่ของปรุงเสร็จเนี่ยทำเอง ลงมือกินได้แล้ว”

      วีร์ทำหน้าล้อเลียนใส่ธีร์ ก่อนที่ละลงมือตักกับข้าวมาใส่จานตัวเอง

       “แล้วพี่เขาเป็นยังไงแล้วบ้าง” ธีร์ถามไถ่ไปถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้เขาและวีร์ย้ายมาอยู่กันที่นี่

       “ก็ดีขึ้นแล้ว แต่ต้องนอนพักเยอะๆ”

       “อืม ก็ดีแล้ว” ธีร์มองดูเด็กหนุ่มตักข้าวกินเอาๆอย่างเร่งรีบ “นี่ ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวก็สำลักหรอก”

       “ก็เวลามีค่า ปล่อยช้าไม่ได้”

       “แล้วไม่อยากจะใช้เวลาอยู่กับคนนี้บ้างเหรอ” ธีร์ทำสีหน้า แววตา และน้ำเสียงเจือปนด้วยความน้อยใจเล็กน้อย แต่วีร์ก็แค่กรอกตามองเพียงหางตา

       “ก็กับคนนี้ยังอยู่ด้วยกันอีกนาน ทำไม หรือคิดจะแต่งงานหาเมียใหม่แล้วถีบหัวส่งเออ”

       “ดูพูดเข้า” ธีร์ขยี้หัวเด็กหนุ่มในเชิงหยอกล้อ ก่อนที่จะปรับสีหน้าและน้ำเสียงกลับมาเป็นจริงจัง “แล้วถ้าพี่คิดจะแต่งงานจริงๆละ”

      วีร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองหน้าชายหนุ่ม

       “กับพี่วาเหรอ”

      ทั้งคู่ต่างส่งสายตามองกันไปมา

       “ถ้าเป็นพี่วา วีร์จะว่าอะไรมั้ย” ธีร์กำลังลุ้นรอฟังคำตอบอยู่ในใจ ในขณะที่พยายามรักษาอาการให้นิ่งเฉยมากที่สุด

      วีร์หันไปมองทางอื่น ใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง ก่อนที่จะตอบ

       “ถ้าเป็นพี่วาจริงๆ... ก็... พอได้นะ” พร้อมกับยักคิ้วยักไหล่ จนธีร์ผลักหัวของวีร์เบาๆ “พ่อกับแม่รู้แล้วรึยัง”

       “ยังเลย ยังไม่ได้บอกใครเลย กำลังหาโอกาสบอกอยู่”

       “ก็ดี แต่อย่าไปทำเขาท้องก่อนที่จะได้บอกละ รู้มั้ย” วีร์ชี้หน้าธีร์โดยยังถือช้อนในมือ

       “เอ๊... ยังไงนี่เรา” ธีร์ปัดมือวีร์ลงเบาๆ

      วีร์ยิ้มให้ แล้วรวบช้อนส้อมของตัวเอง เตรียมจะยกจานไปล้านในห้องครัว

       “วางไว้เถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

      วีร์วางจานลงและหันไปมองพร้อมรอยยิ้ม

       “ขอบคุณครับ งั้นเดี๋ยววีร์ออกไปเลยนะ”

       “เดินทางดีๆละ ระวังรถด้วย แล้วถ้าจะกลับช้าก็โทรมาบอกก่อนนะ”

       “ครับ ไม่ต้องห่วง”

      วีร์หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพาย แล้วจึงเดินออกไปใส่ร้องเท้าที่ชานหน้าบ้านจากนั้นก็รีบออกเดินทางไป ส่วนธีร์ก็ลุกขึ้นยืนและเริ่มเก็บจานชามเตรียมเอาไปล้างในห้องครัว เช้าวันนี้เขาทำอาหารง่ายๆเพียงไม่กี่อย่าง เพราะคิดว่าจะออกไปหาอะไรกินเป็นมื้อเที่ยงข้างนอกบ้านเนื่องจากเหลือเขาอยู่แค่คนเดียว และวางแผนไว้ว่าจะซื้อกินของใช้ที่ขาดกลับมาด้วยเลยทีเดียว

      เวลาผ่านไประยะหนึ่งทุกอย่างในครัวก็ถูกจัดเก็บเรียบร้อย ธีร์จึงเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นแล้วมองดูนาฬิกาที่ฝาผนัง ก็พบว่ายังพอมีเวลาอีกสักชั่วโมงหนึ่งก่อนห้างสรรพสินค้าจะปิด เขาเลยคิดที่จะรดน้ำต้นไม้รอบบ้านก่อนที่จะออกไป

      เพียงแต่เขาเพิ่งจะก้าวเท้าพ้นประตูออกมาข้างเดียวเท่านั้น ยังไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ ก็มีหญิงสาวเปิดประตูรั้วบ้านของเขาเข้ามา แล้วก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหาเขา ถึงแม้ว่าสีหน้าท่าทางดูตื่นตระหนกอยู่บ้างแต่น้ำเสียงยังพอจะบอกได้ว่ายังมีสติอยู่

       “พี่ธีร์” หญิงสาวคนนั้นเอ่ยเรียกพร้อมกับจับแขนของเขาด้วยมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น

       “น้องวา เป็นอะไร หน้าตาตื่นมาเชียว มีใครเป็นอะไรรึเปล่า” ธีร์ถามวนกรด้วยความเป็นห่วง

      วนกรหายใจเข้าลึกๆอยู่สองสามครั้ง

       “เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

       “อะไร มีเรื่องอะไร” ธีร์พาหญิงสาวเข้ามาข้างในบ้าน “หรือว่าพ่อรู้เรื่องของเราแล้ว”

       “ไม่ใช่ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้” วนกรหันหน้าออกไปมองดูรอบๆบ้าน ธีร์ก็เข้าใจได้โดยทันที

       “วีร์ไม่อยู่ ออกไปสักพักใหญ่แล้ว เหลือพี่อยู่บ้านคนเดียว”

      วนกรถอนหายใจโล่งขึ้น แต่ยังคงมีสีหน้าขบคิดอะไรบางอย่าง

       “แล้ว...” ธีร์ย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้สายตาของเขาอยู่ระดับเดียวกันกับหญิงสาว กำลังรอฟังเรื่องราวที่เธอกำลังจะบอกเขา อีกฝ่ายก็ชั่งใจอยู่ว่าควรจะบอกอย่างไรดี เธอหายใจลึกๆอีกครั้งก่อนที่จะบอกออกไป

       “วาคิดว่า... วากำลัง... ท้อง” วนกรถึงกับกลั้นหายใจรอดูปฏิกิริยาของธีร์

      จากใบหน้าที่นิ่งเรียบเฉย สายตาที่มองมาอย่างกังวล ก็ค่อยๆเผยรอยยิ้มและประกายในแววตา

       “จริงเหรอ” ธีร์ถามวนกรอีกครั้งให้แน่ใจ เธอก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับ “แน่ใจแล้วใช่มั้ย”

       “ก็ประจำเดือนมันขาดไป วาเลยลองไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาลองดู แล้วก็ออกมาหาพี่ธีร์เลย” วนกรตอบแบบอ้อมแอ้มไม่เต็มคำนัก

      แต่ธีร์กลับยิ่งยิ้มร่าดีใจยกใหญ่ กอดรัดหญิงสาวแล้วอุ้มขึ้นหมุนไปมา จนวนกรต้องเอ่ยปากร้องห้าม

       “พี่ธีร์ เดี๋ยวพี่ธีร์ เบาๆ”

       “โทษทีๆ พี่ดีใจมากไปหน่อย” ธีร์จับไหล่ทั้งสองข้างของวนกร สายตามองดูหญิงสาวด้วยความรัก “งั้นเดี๋ยวเราออกไปหาหมอตรวจกันเลย จะได้แน่ใจ” วนกรยิ้มรับแต่ก็รั้งธีร์ไว้ก่อนที่เขาจะก้าวเดินไป

       “ถ้าเกิดว่าวาท้องขึ้นมาจริงๆ เราจะทำยังไงกันดี”

      ธีร์หันกลับมาหาวนกร ส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นที่สุดที่เขาจะให้ได้ แล้วก็จับมือทั้งสองข้างของวนกรขึ้นมาไว้ในมือของเขา

       “คราวนี้เราไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ เราโตขึ้นและมีหน้าที่การงานรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว จริงอยู่ว่ามันอาจจะข้ามขั้นตอนตามขนบธรรมเนียมประเพณีไปบ้าง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ครั้งนี้เราจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้กันเอง” ธีร์ลูบผมของวนกรด้วยมือข้างหนึ่ง “ส่วนพ่อของวา เดี๋ยวเราก็เข้าไปบอกท่านด้วยกัน พี่จะได้ไปขอขมาแล้วก็ไปสู่ขอวาอย่างเป็นทางการเสียที”

       “แล้วถ้าเกิดว่าพ่อเขาไม่...” วนกรไม่สามารถหาคำมาพูดต่อไป ธีร์ก็พูดเสริมขึ้นมาให้

       “ถ้าพ่อเขารับไม่ได้จริง วาก็ย้ายออกมาอยู่กับพี่เลยก็ได้” ธีร์กุมมือของวนกรไว้ในมือของเขาอีกครั้ง ทำให้วนกรรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

       “แต่ว่า... แล้วเราจะบอกลูกว่ายังไง ลูกจะรับได้มั้ย” วนกรยังคงมีความกังวลใจอยู่

       “ลูกเราไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ เขาโตแล้ว แยกแยะอะไรได้ เพียงแต่อาจจะต้องค่อยๆบอกไปทีละเรื่อง” ธีร์เดินกลับเข้าไปข้างในเตรียมตัวปิดบ้านเพื่อพาวนกรไปพบแพทย์ “เรื่องของวา เขาก็รับได้ถ้าพี่จะแต่งงานกับวา ส่วนเรื่องที่ว่าวาเป็นแม่ของ... วีร์”

      เสียงของธีร์ขาดหายไป ตอนที่เขาเดินมาถึงที่หน้าบันไดบ้าน เขายืนนิ่งเงียบไม่ไหวติง สายตามองขึ้นไปที่ชานพักบันได วนกรเห็นท่าทางแปลกๆของธีร์จึงเดินตามเข้ามาใกล้ๆ และหันไปมองทางที่เขากำลังมองอยู่

       “วีร์!!!”

      เด็กหนุ่มที่ทั้งคู่ไม่คิดว่าจะยังอยู่ในบ้าน กลับยืนนิ่งอยู่ที่ชานพักบันไดโดยที่มือข้างหนึ่งกำราวบันได้ไว้แน่น สีหน้าแววตาไม่อาจอ่านออกได้ว่ากำลังตกใจ งุนงง สับสน โกรธ หรืออะไรกันแน่ สายตาของเขามองสลับไปมาระหว่างชายหญิงทั้งสองคน ในความคิดของเขาในตอนนี้กำลังฉายซ้ำข้อความที่เพิ่งได้ยินมาหมาดๆ

       ‘วาเป็นแม่ของวีร์

      ทั้งสามคนต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ ยังไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาก่อน ราวกับกำลังเล่นเกมว่าใครพูดก่อนคนนั้นแพ้ และมีกฎว่าคนที่แพ้ต้องเก็บข้าวของทั้งหมดและออกจากบ้านไปทันที

      วีร์ตั้งสติได้เป็นคนแรก จึงก้าวเท้าลงบันได้แล้วรีบเดินหมายจะออกไปจากบ้านให้เร็วที่สุด เพียงแต่ว่าธีร์คว้าแขนของเขารั้งเอาไว้ได้เสียก่อน

       “วีร์เดี๋ยวก่อน พี่นึกว่าวีร์ออกไปแล้ว”

       “วีร์ลืมของเลยกลับมาเอา” เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง เขาพยายามขืนตัวจะเดินออกไปให้ได้

       “วีร์ ฟังพี่พูดก่อนได้มั้ย”

       “ไม่ใช่ตอนนี้ วีร์ต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวพี่วีจะรอ” เขาพยายามดึงแขนของเขาออกจากมือของชายหนุ่ม

       “แต่วีร์ควรจะอยู่ฟังพวกพี่ก่อน”

       “ฟังแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ วีร์ยังไม่พร้อมที่จะฟังอะไรตอนนี้” วีร์ยังคงพยายามขืนตัวออกห่าง “ปล่อย!!”

      ด้วยท่าทาง ด้วยน้ำเสียงของเด็กหนุ่มทำให้ธีร์ยอมปล่อยแขนวีร์ไป ทั้งธีร์และวนกรต่างมองดูแผ่นหลังเด็กหนุ่มที่เป็นทั้งน้องชายและลูกชายของพวกเขาเดินจากไป เสียงสะอื้นของวนกรทำให้ธีร์ดึงตัวเธอเขามาสวมกอดไว้ ความผิดพลาดในอดีตของเด็กสองที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ปล่อยให้ความอยากรู้อยากลองก่อนวัยอันควรนำหน้าเหตุและผล แล้วผลกรรมมันก็กำลังวนกลับมาหาพวกเขาอีกครั้ง



[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
โอ้ยยยยยยยอะไรกันเนี่ยยยยย :a5: :katai1: :ling1:

สงสารวีร์ :sad4: :o12:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :serius2:


โอยยยยยยยย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 12 กาลเวลาไม่หวนคืน

       ช่วงบ่ายของวันหนึ่ง ในขณะที่ทุกคนในบ้านกำลังพักผ่อนกันตามอัธยาศัยหลังจากเสร็จสิ้นอาหารมือกลางวันแล้ว ผู้เป็นพ่อกำลังนั่งดูการแข่งขันกีฬาในโทรทัศน์ ผู้เป็นแม่กำลังคุยสนทนากับเพื่อนๆผ่านแอพลิเคชั่นในโทรศัพท์ พี่สาวคนโตกำลังดูวิดีโอออนไลน์ของศิลปินคนโปรดผ่านโทรศัพท์โดยที่เสียบหูฟังเอาไว้ พี่ชายคนรองและพี่ชายคนเล็กกำลังช่วยน้องชายคนเล็กของบ้านกรอกใบสมัครเพื่อเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

        “เขียนตัวบรรจง ไม่ต้องรีบ” พี่ชายที่นั่งฝั่งขวาคอยกำกับการกรอกข้อมูล ส่วนพี่ชายอีกคนที่นั่งฝั่งซ้ายกำลังจัดเตรียมเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการสมัครเข้าเรียน

        “พ่อชื่อ...” เด็กน้อยอ่านตามที่ใบสมัครเขียนไว้ให้กรอกลงในช่วงที่ว่างอยู่ “นายยุทธ นามสกุล วรรัญญา แล้วก็แม่ชื่อ นางนุช นามสกุล วรรัญญา เหมือนกัน”

       คนทั้งบ้านหันหน้ามามองกันไปมา เพราะนี่คือสิ่งที่เด็กชายตัวน้อยของบ้านเข้าใจมาโดยตลอด แต่หากปล่อยให้เขียนไปเช่นนี้ก็จะเป็นให้ข้อมูลที่ผิด แต่ถ้าบอกความจริงไปก็ไม่มีใครบอกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ยังไม่มีใครตัดสินใจอะไร เด็กชายตัวน้อยก็กรอกข้อมูลไปเรื่อยๆจนเสร็จ

        “เรียบร้อยแล้ว” เขาตรวจทานดูอีกรอบว่าไม่ได้เว้นว่างช่องไหนไว้อีก

        “แน่ใจนะ” คนข้างๆหันมาถามเขา

        “พี่ภูมิก็เอาไปดูสิ” เด็กชายวีร์ยื่นใบสมัครไปให้ดู อีกฝ่ายก็ทำเป็นตรวจตราดูตั้งแต่หัวกระดาษจนถึงบรรทัดล่างสุด

        “อืมๆ เรียบร้อย” เขายื่นใบสมัครกลับไปให้น้องชายคนเล็ก “เก็บใส่ซองไว้ มะรืนนี้จะได้หยิบเอาไปทีเดียว”

        “ไป ไปกินขนมกันดีกว่า แม่ทำไว้ตั้งแต่เช้า” ธีร์ลุกขึ้นยืนหลังจากยื่นเอกสารทั้งหมดที่ต้องใช้ให้น้องคนเล็กเก็บใส่ซองสีน้ำตาล จากนั้นเจ้าตัวและภูมิก็เดินเข้าไปที่ห้องครัวเพื่อยกขนมออกมา

       ส่วนเจ้าตัวน้อยยังคนง่วนอยู่กับเอกสาร โดยตรวจดูทุกใบว่ามีครบถ้วนตามที่ประกาศการรับสมัครเข้าเรียนได้แจ้งไว้ ส่วนเอกสารใบไหนที่ไม่ต้องใช้ก็เก็บกลับเข้าไว้ในแฟ้มที่ผู้เป็นแม่แยกจัดเก็บเอกสารราชการของแต่ละคนไว้ทั้งหมด แยกของใครของคนนั้นเป็นสัดส่วนเรียบร้อย เมื่อเวลาต้องใช้จะได้ไม่ต้องรื้อกันทั้งบ้านเพื่อตามหา

       พลันมีสายลมเอื่อยพัดมา ทำให้กระดาษบางๆใบหนึ่งปลิวจากโต๊ะตกลงไปที่พื้น

       เด็กชายวีร์จึงก้มลงเก็บเอกสารที่มีตราครุฑตัวแดงๆเห็นเด่นชัด ถัดลงมาเป็นชื่อของเอกสารบอกว่าเป็น ‘สูติบัตร’ เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะถือได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใบแจ้งเกิดของตัวเอง จึงหยิบขึ้นมาดูโดยละเอียดทั้งหมด ไม่ว่าเป็นชื่อตัวเขาเอง วัน เวลา และสถานที่เกิด และไล่ลงมาจนเห็นว่าส่วนถัดไปนั้นมีบันทึกไว้ว่า ‘ไม่ปรากฎ’ ซึ่งเป็นส่วนของ ‘มารดา’

       เด็กชายวีร์เกิดความสงสัยในใจว่าเหตุใดจึงไม่ใส่ข้อมูลของแม่นุชลงไป จะว่าเจ้าหน้าที่จะลืมใส่ก็ไม่น่าใช่ แต่นั่นยังไม่ทำเขาแปลกใจมากเท่ากับส่วนของ ‘บิดา’ ว่าทำไมถึง...

        “ทำไมชื่อบิดาเป็นชื่อพี่ธีร์อะ”

       เขาอ่านอีกรอบให้แน่ใจว่าอ่านไม่ผิด แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังอ่านเป็น

        นายธีร์ วรรัญญา x-xxxx-xxxxx-xx-x 16 ปี

       เขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นทุกคนต่างตื่นตระหนกลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเขา ยกเว้นเพียงคนเดียวที่ยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องครัว ในมือถือจากขนมค้างไว้อยู่

        “หมายความว่าพรืออะ ทำไมถึงเป็นชื่อพี่ธีร์”

*****

       หลังจากที่รู้ความจริงแล้ว เด็กชายวีร์ในตอนนั้นเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปไหน ข้าวปลาอาหารก็ไม่ยอมกิน แม้ว่าร่างกายที่อ้วนจ้ำม่ำจะส่งเสียงประท้วงอยู่ตลอดเวลาก็ตาม ไม่ว่าใครเข้าไปคุยด้วยก็ไม่ยอมปริปาก ท้ายที่สุดคนในบ้านก็ต้องเดินไปตามเด็กหญิงข้างบ้านที่อยู่ในวัยเดียวกันกับน้องชายตัวน้อยให้มาช่วยปลอบ และให้ช่วยคะยั้นคะยอให้เด็กชายวีร์ยอมกินอะไรบ้าง

       แต่ขนาดเด็กหญิงแพรไหมมาถึงแล้ว เด็กชายวีร์ก็ยังไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่ร้องสะอื้นให้เธอโอบกอดไว้ปลอบปะโลมไว้ ในเมื่อเธอใช้วิธีหลอกล่อให้เพื่อนของเธอพูดระบายออกมาไม่ได้ เธอจึงเป็นฝ่ายพูดเสียเอง ได้แต่เล่าเรื่องในช่วงนี้ของเธอว่าไปไหนมาบ้าง ไปเจอใครมาบ้าง แล้วก็ไปกินอะไรมาบ้าง

        “อื้อหือ แบ่บหวาหรอยนิ กั๋ดเต๋มคำเลย มันนิเยิ่มไล่เต๋มคางเลย”

        “ไน่หวากลัวอวน”

       เด็กหญิงเกือบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่เมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนของเธอ

        “ฮาย มั้นก่อมีบางและ ทีซ่องทีม้ายพรือนิ”

       เธอได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตามมาด้วยเสียงท้องร้อง

        “เนือยม้าย” เธอถามคนที่เธอกำลังกอดไว้เต็มวงแขน แม้ไม่มีเสียงตอบกลับแต่เธอก็รู้สึกได้ว่าเขาพยักหน้า “งั้นรอก๋อนนะ ไป่ห้าข้องกิ๋นมาห้ายนะ”

       เด็กหญิงแพรไหมผละออกจากเด็กชายวีร์ เธอยิ้มให้ก่อนที่จะลุกขึ้นออกจากห้องไป ไม่นานนักเธอก็กลับมาพร้อมจานอาหารที่ใส่ของกินมาเต็มพูน

*****

       วีร์นั่งเหม่อลอยอยู่บนรถประจำทางระหว่างเดินทางไปที่โรงพยาบาล ภาพเหตุการณ์เมื่อเกือบ 5 ปีมาแล้ว กลับมาวนเวียนอยู่ในหัวของเขาอีกครั้ง ในตอนนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารับรู้ว่าคนที่เขาเรียกว่าพ่อแม่มาโดยตลอดแท้จริงคือปู่กับย่า พี่สาวคนโตคือป้า พี่ชายคนเล็กคืออา ส่วนคนที่เขารักมากที่สุดที่คอยตามใจเขาทุกอย่างจะไม่ใช่พี่ชาย แต่เป็นพ่อของเขาเอง

       ส่วนผู้ที่เป็นแม่ของเขานั้นไม่มีใครยอมบอก เขารับรู้เพียงว่าฝ่ายครอบครัวของแม่ของเขาย้ายไปอยู่กันที่อื่น ไม่สามารถติดต่อกันได้ แม้จะลองสอบถามไปยังญาติคนอื่นๆทางฝ่ายนั้นก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน จนเวลาผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว ทุกคนเลยละความพยายาม และปล่อยให้ช่องข้อมูลมารดาในสูติบัตรของวีร์ว่างไว้ เพราะคิดว่าหากถ้าเขาไม่ได้ต้องการจะเกี่ยวข้องอะไรกันอีก ก็เสียเวลาเปล่าที่จะไปเหนี่ยวรั้งตามตัวกลับมา

       และเป็นเพราะว่าเด็กชายวีร์ในตอนนั้นเรียกคนในบ้านตามเด็กโตคนอื่นๆในตอนนั้นว่า พ่อ แม่ และพี่ ทุกคนจึงปล่อยเลยตามเลยไม่ได้ห้ามปรามหรือแก้ไขอะไร จนเป็นความเข้าใจใหม่ของเด็กตัวน้อยที่เพิ่มเริ่มจะรู้ประสีปะสา และเขาเติบโตขึ้นกับความสัมพันธ์รูปแบบนี้ จนกระทั้งวันที่เขารู้ความจริง

       ในท้ายที่สุดหลังจากที่เขายอมพูดคุยกับคนในบ้านอีกครั้ง ทุกคนกำลังปรับตัวที่จะเปลี่ยนสถานะของตัวเองแทนที่ความสัมพันธ์แบบเดิมที่เคยเป็นมาเกือบ 10 ปี แต่เด็กชายวีร์กลับอยากให้ทุกคนรักษาบรรยากาศในบ้านไว้แบบเดิม ให้เขาได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่และพี่ๆอย่างเดิมแม้ว่าเขาจะรู้ความจริงแล้วก็ตาม และทุกคนก็ตกลงตามความต้องการของเด็กตัวน้อย

*****

        “ไอ่วีร์”

       วีร์เดินออกมาจากลิฟต์ กำลังจะรีบเดินไปยังหออภิบาลผู้ป่วยปลอดเชื้อ แต่ว่าถูกเสียงที่คุ้นเคยเรียกไว้เสียก่อน

        “เอ้า ไซมาโย่วทึ่งนี้อะ” วีร์เห็นวิธูยืนอยู่หน้าหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤต แต่เมื่อมองเลยไปก็เห็นทั้งพ่อและแม่ของวิธูยืนอยู่ด้วย วีร์จึงยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคน “พรือหล่าวนิ”

        “เค้าหย่ายผีวีมาโย่วทึ่งนี้แหล่ว” วิธูผงกศีรษะไปทางประตูหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤติ

        “ไซอะ”

       วิธูเม้มปากเข้าหากัน ก่อนที่จะสูดหายใจลึก แล้วก็พ่นออกมา

        “ไอ่วี...” วิธูเว้นจังหวะการพูดไว้ พร้อมกับพยายามข่มสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด แต่ในใจภาวนาขอให้เกิดปาฏิหาริย์ก่อนที่เขาจะต้องพูดออกไปจริงๆ และเหมือนจะเป็นระฆังช่วยชีวิตที่ประตูหอผู้ป่วยถูกเปิดออกมา โดยมีคุณหมอหญิงท่านหนึ่งเดินออกมา ทุกคนจึงรีบกรูเข้าไปหาคุณหมอ

        “เป็นยังไงบ้างครับหมอ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามคุณหมอที่ทำการรักษาลูกชายคนโตของเขามาโดยตลอด

        “ตอนนี้อาการคงที่แล้วนะคะ ไม่มีอะไรน่าห่วง แต่ว่าหมอคงต้องให้เฝ้ารอดูอาการอีกสักระยะหนึ่งก่อน ถึงจะบอกได้อีกทีค่ะ”

        “แล้วตอนนี้จะเข้าเยี่ยมได้มั้ยคะ” ผู้เป็นแม่สอบถามคุณหมอ

        “ก็เข้าเยี่ยมได้ตามเวลานะคะ แต่ว่าช่วงนี้เพราะฤทธิ์ของยาที่หมอสั่งไปจะทำให้คนไข้หลับอยู่ตลอด เดี๋ยวถ้าผลแล็บออกมาดีเมื่อไหร่ แล้วหมอจะสั่งปรับยาใหม่อีกทีนะคะ”

        “ได้ค่ะหมอ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ”

       ทั้งสามคนพ่อแม่ลูก รวมถึงวีร์ ต่างยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอ ก่อนที่หมอจะเดินจากไป เธอหันมายิ้มให้กำลังกับวีร์ และชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อกาวน์ก็คือ ‘พญ. กาญจนา อาชา’

        “พี่วีเป็นอะไรหรอครับ” วีร์หันมาถามผู้ใหญ่ทั้งสองคนในทันทีที่คุณหมอเดินออกไปแล้ว สองสามีภรรยาก็หันมามองหน้ากัน โดยที่ฝ่ายภรรยาหันกลับมามองเขาก่อนและยิ้มให้

        “พี่เขาอาการทรุดลงนิดหน่อยนะลูก หมอเป็นห่วงว่าอยู่ที่โน้นเครื่องไม้เครื่องมือจะไม่พร้อมใช้งานได้ทัน เลยย้ายมาอยู่ที่นี่แทน”

        “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หมอมาดูให้อย่างใกล้ชิด สบายใจได้” ฝ่ายสามีเดินตามน้ำที่ฝ่ายภรรยานำทางมาให้

       วีร์ก็ยิ้มรับ หายใจได้โล่งขึ้น แต่ก็ได้ไม่นานนัก

        “พ่อ แม่” ลูกชายคนเล็กเอ่ยปากเรียกด้วยน้ำเสียงแข็ง สีหน้านิ่ง และแววตาเป็นประกายแก้ว “ถึงตอนนี้แล้ว บอกมันไปตะ” ทั้งพ่อและแม่ต่างหันมาส่งสายตาห้ามปราบลูกชายคนเล็กแต่ก็ไม่เป็นผล “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปิดมันแล้ว”

        “ทำไม เกิดอะไรขึ้น” วีร์หันไปคาดคั้นจากเพื่อนของเขา

       วิธูสูดหายใจลึกอีกครั้ง ปาฏิหาริย์ที่เขารอมันไม่มาอีกแล้ว

        “ไอ้วีร์ ทำใจดีๆนะ” วิธูเอื้อมมือไปจับไหล่ของวีร์ไว้ “พี่เขาจะอยู่กับเราได้อีกไม่นานแล้ว”

        “มึงพูดเล่นอะไรของมึงนิ ใช่เรื่องเออ” วีร์สะบัดมือของวิธูออก

        “กูไม่ได้พูดเล่น อาการพี่วีทรุดลงมาตลอดสักพักใหญ่แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าบอกมึงเพราะพี่วีขอไว้ว่าจะเป็นคนบอกเอง” วิธูจับไหล่ของวีร์อีกครั้ง “แต่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าพี่วีจะยังตื่นมาบอกมึงได้อีกมั้ย กูเลยคิดว่ามึงมีสิทธิ์ที่จะรู้ แล้วก็เตรียมใจไว้บ้าง”

       วีร์ส่ายหน้า เขายังไม่อาจยอมรับได้

        “เราลองหาหมอที่ใหม่ก็ได้ เผื่อว่าเขาจะมีทางรักษาวิธีอื่น”

        “ไอ้วีร์” วิธูเรียกสติของเพื่อนของเขาให้กลับมา “พี่วีเขายอมรับสภาพของเขาได้ มึงเองก็ต้องยอมรับให้ได้”

       วีร์นิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินดังนั้น เมื่อหันไปหาผู้ใหญ่ทั้งสองคนโดยหวังว่าจะมีคำพูดอะไรที่ดีกว่านี้ แต่ทั้งสองคนกลับมองมาด้วยแววตาเศร้าสร้อย ยิ่งเป็นการตอกย้ำความจริงของสิ่งที่วิธูเพิ่งจะบอกเขาว่าเขาต้องยอมรับความจริงอันแสนเจ็บปวดนี้แล้ว

       วีร์ก้มหน้าลงมองไปที่พื้น ริมฝีปากเม้มสนิท กรามที่สั่นเพราะออกแรงเกร็ง มือที่กำจนแน่น เป็นอาการที่บอกได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังพยายามกลั้นความรู้สึกให้เก็บไว้อยู่ข้างในไม่ให้ล้นออกมาก เหมือนเขื่อนที่พยายามฝืนกำลังมวลน้ำในคืนที่พายุฝนกำลังกระหน่ำที่กำลังถาโถมเข้ามาและไม่มีทีท่าจะหยุด

       วิธูเห็นดังนั้น จึงค่อยดึงวีร์ให้ไปนั่งพักที่เก้าอี้ใกล้ๆ พยายามลูบบ่าลูบหลังเพื่อปลอบใจเพื่อน ถึงแม้ว่าในใจของเขาเองก็กำลังอ่อนล้าอยู่เช่นกัน

        “เลื่ออีกชั๋วโมงเลื้อโด่ว หว่าอีทึ่งเวลาเหยียม”

       วีร์ได้แต่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น เหลืออีกชั่วโมงกว่าที่เขาจะปรับสภาพจิตใจให้กลับมาเป็นปกติ พร้อมที่จะเข้าไปเยี่ยมวีรดนย์ ไม่ว่าเขาจะตื่นมารับรู้หรือไม่ก็ตาม

*****

       จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานพอสมควรแล้ว ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวยังคงนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกกันเงียบๆ รอคอยผู้ที่เป็นแก้วตาดวงใจของพวกเขากลับมา รอที่จะอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้เขาเข้าใจ รอแก้ตัว รอยอมรับผิด และรอการให้อภัย

       ต่างฝ่ายต่างคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

       ในวันนี้ไม่ว่าใครวางแผนที่จะทำอะไรไว้ เป็นอันต้องยกเลิกไปทั้งหมด ธีร์ไม่ได้ออกไปซื้อของตามที่ตั้งใจไว้ วนกรเพียงแค่ต้องการมาบอกข่าวและขอคำปรึกษา ทั้งคู่กลับลงเอยด้วยการนั่งรออยู่ในบ้านตั้งแต่เช้าจนถึงเวลานี้

       แม้ว่าวีร์จะกลับช้าเลยเวลาไปจากปกติอยู่มาก และเขาก็ไม่ได้โทรศัพท์มาบอกธีร์เหมือนอย่างเคย แต่ธีร์เองก็ไม่กล้าโทรไปถามเหมือนกัน ครั้งจะโทรไปถามผ่านทางวิธูก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะยิ่งหงุดหงิด ธีร์รู้ดีว่าหากวีร์ยังไม่พร้อมที่จะคุย ไม่ว่าจะเป็นใครทำอะไรก็ไม่อาจโน้มน้าววีร์ได้ง่ายๆ เพราะเขาเลี้ยงเด็กคนนี้เองมากับมือ ดังนั้นจึงได้แต่รอ และรอ

       จนกระทั้งมีเสียงเปิดประตูรั้วดังขึ้น ทั้งธีร์และวนกรจึงรีบลุกขึ้นแล้วหันไปดูที่หน้าบ้าน ก็เห็นคนที่พวกเขากำลังรอมาตลอดทั้งวันกำลังเดินเข้ามา ทั้งสองคนจึงหันมายิ้มเล็กน้อยให้กัน แม้ว่าจะรู้สึกดีใจขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย ตลอดระยะเวลาที่พวกเขารอคอยมาทั้งวันยังให้ความรู้สึกเทียบไม่ได้เลยกับระยะเวลาที่เด็กหนุ่มเดินจากประตูรั้วเข้ามาถึงในบ้าน แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงสั้นๆแต่มันดูเหมือนจะยาวนานเสียเหลือเกิน

       วีร์พยายามประวิงเวลาที่จะทำอะไรก็ตามในวันนี้ไว้ให้นานที่สุด แม้ว่าจะหมดเวลาเยี่ยมวีรดนย์ไปแล้วก็ตาม พ่อและแม่ของวีรดนย์และวิธูอาสาจะพาวีร์มาส่งที่บ้านแต่เขาก็ปฏิเสธไป วีร์เลือกที่จะนั่งรออยู่ในหน้าหอผู้ป่วยวิกฤติอยู่คนเดียวต่อ จนถึงเวลาที่ต้องกลับจริงๆ วีร์ก็ก้าวเดินอย่างช้าๆจนกว่าจะถึงป้ายรถประจำทางหน้าโรงพยาบาล เมื่อรถที่จะผ่านหมู่บ้านเขามาถึง วีร์ก็ปล่อยให้รถคนนั้นผ่านไป ผ่านไปแล้วผ่านไปเล่าถึงสองสามคันกว่าที่วีร์จะตัดใจขึ้นรถมาได้ ถึงหมู่บ้านแล้วเขาก็เดินอย่างช้าๆ อยากให้เวลาหยุดอยู่ ณ ตอนนี้

       แต่รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสีน้ำเงินเข้มที่ยังจอดอยู่หน้าบ้านของเขา ทำให้เวลาหมุนกลับมาเดินตามปกติดังเดิม

       เวลาที่ต้องเผชิญกับความจริง

       วีร์เดินเข้าไปถึงประตูหน้าบ้านก็เห็นทั้งธีร์และวนกรยืนรอเขาอยู่ ทั้งสองพยายามที่จะเอ่ยปากแต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ด้วยเพราะแววตาของวีร์ที่ดูเศร้าสร้อย ไหล่ที่ห่อลงเล็กน้อย และท่าทางการเดินที่ดูเซื่องซึม ยิ่งปิดปากของทั้งสองคนไว้สนิทไม่ให้คำใดเล็ดลอดออกมาก

       จนวีร์เดินผ่านทั้งสองคนเข้าไปในบ้าน

        “วีร์” ธีร์รั้งตัวเขาไว้ด้วยคำพูด

       วีร์หยุดยืนนิ่ง แต่ยังคงหันหน้าไปทางอื่น

        “พี่วีเป็นไงบ้าง”

       คำถามของธีร์ทำให้วีร์เม้มปาก สายตามองขึ้นไปข้างบนและกระพริบตาถี่ขึ้นเล็กน้อย ท่าทางเช่นนั้นทำให้ธีร์รีบเปลี่ยนคำถามใหม่ในทันที

        “หิวมั้ย กินอะไรมาแล้วยัง”

       วีร์หันไปเห็นที่โต๊ะอาหาร ก็พบว่ามีมุ้งฝาชีครอบอาหารอยู่ ถึงจะมองเห็นไม่ชัดแต่ก็พอจะดูออกว่ามีอาหารหลายจานวางอยู่ใต้มุ้งฝาชีนั้น นั้นหมายถึงทั้งธีร์และวนกรต่างก็ยังไม่ได้กินอะไรและรอเขากลับมา

       วีร์ถอนหายใจและหันหน้าไปทางอื่น

        “ถ้ากินมาแล้วก็ไม่เป็นไร ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วพักผ่อนซะนะ วันนี้คงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ธีร์จะเอื้อมมือไปจับบ่าของวีร์ แต่เขาก็ยั้งมือไว้ก่อน และมองดูเด็กหนุ่มเดินขึ้นบันไดไป

       ธีร์และวนกรหันมามองหน้ากัน ยิ้มให้กันเล็กน้อย ต่างฝ่ายต่างเห็นแววตาที่เศร้าสร้อยของกันและกัน

        “น้องวาจะกินอะไรก่อนมั้ย ตั้งแต่เช้ามาก็กินไปนิดเดียวเอง”

        “วากินอะไรไม่ลงแล้วพี่ธีร์”

        “แต่ตอนนี้น้องวาไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะ” วนกรได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้นลูบท้องของตัวเอง “ต้องทำเพื่อลูกด้วย” ธีร์เข้าไปใกล้และวางมือของเขาลงไปบนบนมือของวนกร “ทั้งลูกที่อยู่ในท้อง และลูกที่อยู่ข้างบน”

       วนกรสูดหายใจลึกแล้วถอนออก ก่อนที่จะพยักหน้า

        “ไปกัน นิดหน่อยก็ยังดี”

       ธีร์จูงวนกรไปที่โต๊ะอาหาร ระหว่างทางเข้าเงยหน้ามองบันไดที่เชื่อมไปยังชั้นบนครู่หนึ่ง แล้วจึงบ่ายหน้าไปทางโต๊ะอาหารดังเดิม ในตอนนี้เขามีถึงสามชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ เขาต้องเป็นคนที่มีสติมากที่สุด เพื่อให้ครอบครัวเล็กๆของเขาที่กำลังเติบโตขึ้นสามารถผ่านปัญหาในตอนนี้ไปให้ได้



[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
       วีร์ยังคงไปเรียนตามปกติ แต่เพราะว่าเขากลับมาเงียบขรึมเหมือนที่เคยเป็นก่อนหน้า ทำให้เพื่อนๆคอยแวะเวียนมาถามไถ่แต่วีร์ก็บอกว่าไม่มีอะไรไม่ต้องเป็นห่วง แม้แต่กับแพรพรรณก็ตามวีร์ก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลยสักนิด

       ในตอนเย็นของทุกวัน วีร์จะแวะไปที่โรงพยาบาลก่อนกลับบ้าน แม้จะไม่ได้เข้าเยี่ยมวีรดนย์แต่ก็ได้เห็นอยู่ไกลๆที่หน้าหอผู้ป่วยวิกฤติ ขอแค่ให้ได้รู้ว่าวีรดนย์มีสีหน้าที่ดีขึ้นเขาก็พอใจแล้ว

       แต่หากไม่เป็นเพราะนับตั้งแต่วีรดนย์ย้ายมาอยู่หอผู้ป่วยวิกฤติ ทุกวันที่วีร์เดินทางมาถึงโรงพยาบาลก็พบว่าวิธูกำลังนั่งอยู่ในหน้าห้อง เขายังไม่ได้เดินทางกลับเลยถึงแม้จะเป็นวันเรียนปกติแล้วก็ตาม หรือสองสามวันหลังนี้ที่พระยศขอตามมากับเขาด้วย โดยอ้างว่าจะมาหาแม่ของเขาที่โรงพยาบาลเพื่อที่จะได้กลับบ้านพร้อมกัน แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็นั่งอยู่กับเขาโดยตลอดจนถึงเวลาที่เขากลับ วีร์จะไม่รู้สึกเป็นกังวลอะไรเลย

       แต่วีร์ก็พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่คิดไปในทางร้าย แม้ว่าท่าทางที่เขากำลังแสดงออกไปให้คนอื่นๆเห็นจะไม่เป็นเช่นนั้น

        “นี่มึงอยากเรียนหมอเหรอ” วิธูที่นั่งข้างวีร์กำลังคุยกับพระยศที่นั่งข้างวีร์อีกฝั่งหนึ่ง

        “ก็อืม”

        “ทำไมถึงอยากเรียนหมอ”

        “ไม่รู้สิ เห็นที่แม่กูทำโน้นทำนี่แล้วอยากเป็นอย่างนั้นบ้างมั้ง”

        “แล้วที่บ้านมึงเป็นหมอกันหมดเหรอ”

        “เปล่า”

        “หือ?” วิธูชะโงกหน้าไปมองพระยศใกล้ๆอย่างสงสัย

        “พ่อกูเป็นตำรวจ พี่กูกำลังเรียนนายร้อยตำรวจ ส่วนน้องกูอยากเข้าเตรียมทหาร”

        “แล้วมึงไม่เอากับเขาด้วยเหรอ” วิธูกลับไปนั่งปกติตามเดิม

        “หึ ไม่เอาอะ” พระยศยักไหล่ตอบ “แต่ก็... คิดๆอยู่ว่าจะไปเรียนแพทย์ทหาร”

       วิธูพยักหน้ารับ

        “ไม่เหมือนบ้านนี้” วิธูชี้นิ้วมาทางวีร์ “พ่ออยู่ศึกษาธิการจังหวัด แม่เป็นครู พี่สาวจบบัญชี พี่ชายคนนึงจบวิศวะ อีกคนกำลังเรียนวิดยา แล้วมึงคิดจะเรียนอะไรนะ” เขาหันมาถามวีร์

       วีร์แค่ยักไหล่ ไม่ได้ตอบอะไร

        “เห็นมั้ยไปกันคนละทางเลย มึงไม่ต้องคิดมาก อยากเรียนอะไรก็เรียนไปเหอะ”

       พระยศพยักหน้ารับ

        “แล้วมึงอยากเรียนอะไร” พระยศหันไปถามวิธู

        “กูเหรอ” วิธูทำท่านึกอยู่ “กูไม่เก่งคำนวณ ท่องจำก็ไม่เอาอ่าว ภาษาก็ไม่ได้เรื่อง ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรกิน”

        “แล้วมึงมีงานถนัดอะไรบ้างมั้ยละ” วิธูขมวดคิ้วนึกไปมา “อะไรก็ได้”

        “อืม กูก็พอเล่นเทนนิสไหวอยู่นะ แต่ก็สู้ไอ้เชี่ยนี้ไม่ได้อยู่ดี” วิธูบุ้ยหน้ามาทางวีร์

        “ห๊ะ จริงอะ” พระยศหันมาหาวีร์ สองคิ้วขมวดเข้าหากันพร้อมกับดวงตาที่หรี่ลง มองดูเพื่อนของเขาด้วยความสงสัย “แล้วไมมึงไม่ลงเทนนิส เห็นมึงไปลงแข่งแบตอยู่”

        “กูก็บอกมันอยู่”

       วีร์ยังคงนั่งเงียบไม่ได้โต้ตอบอะไร

        “มันเล่นเก่งก็จริง แต่มันเป็นพวกตื่นสนาม” มุมปากของวีร์กระตุกเล็กน้อยจนวิธูสังเกตได้ “ไม่กลัวก็ไม่กลัวดิ โด่... แต่มันไม่ชอบลงแข่ง พอเริ่มแข่งแล้วเกิดอยากจะเดินออกจากสนามทันที ไม่รู้เป็นไร”

       วิธูยังคงสนุกสนานกับการเล่าเรื่องราวเก่าๆของเพื่อนเขาต่อไป

        “แล้วมันก็นะ ชอบดูหนัง แต่ไม่ค่อยชอบนั่งในโรงหนัง หนังฉายไปไม่ถึงห้านาทีอยากจะลุกเดินออกซะงั้น”

        “เหรอ เป็นเอามากว่ะ” พระยศหัวเราะเล็กน้อย “งั้นก็รอเช่าหรือซื้อแผ่นมาดูที่บ้านก็ได้มั้ง”

        “ถึงจะดูที่บ้าน ดูได้แป๊บๆมันก็กดพอส แล้วไปทำโน้นทำนี้แล้วค่อยมาดูต่อ เอากับมันสิ”

       พระยศหันตัวมาหาวีร์

        “ไปหาหมอมั้ยมึง” วีร์ขมวดคิ้วหันมามองตอบกลับ “เดี๋ยวให้แม่กูติดต่อให้” วีร์ทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจ “เผื่อว่าเป็นสมาธิสั้น รักษาแต่เนิ่นๆ หายขาดได้”

        “ตั้งใจเรียนเตรียมตัวไปเรียนหมอของมึงต่อไป” วีร์เอ่ยปากพูดกับเพื่อนๆเป็นครั้งแรกของวันนี้

       ทั้งวิธูและพระยศก็พยักหน้ารับโดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรนอกจากแค่มองตากัน ความพยายามในสองสามวันนี้ของพวกเขาดูเหมือนจะสำเร็จบ้างแล้วแม้เพียงน้อยนิดแต่ก็เริ่มเห็นเค้าลางที่ดีแล้ว แต่กระนั้นพวกเขาทั้งสองก็ไม่แน่ใจว่ามันจะทันการณ์หรือไม่

       ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ ทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง ก็เห็นสองพี่น้องขาวตี๋ขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ของโรงเรียนกำลังเดินมา คนน้องยิ้มมาแต่ไกล ส่วนคนพี่มีสีหน้านิ่งเฉยกว่าสักหน่อย

        “โอ๊ะ! คู่แฝดกูมาด้วย” แม้โดยคุณลักษณะภายนอกทุกอย่างจะตรงกันข้าม แต่วิธูก็ถือเอาว่าศศิทัศน์เป็นเพื่อนคู่แฝดของวีร์ไปแล้ว เหมือนกับที่แฟนสาวของเขาอย่างแพรไหมจับคู่กับแพรพรรณ “เฮีย หวัดดีครับ” วิธูเอ่ยทักทายวีรมาตุหลังจากที่พยักหน้าทักทายศศิทัศน์ ส่วนวีรมาตุยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้ารับเป็นการทักทายตอบกลับ แล้วเขาก็หันไปมองด้านในของหอผู้ป่วยวิกฤติ ตรงเตียงหมายเลข 3 ที่มีคนที่เขาจำได้เป็นอย่างดีกำลังนอนหลับไม่ได้สติและมีสายระโยงระยางรายรอบตัวเต็มไปหมด

        “โน้น พ่อกับแม่กู นั่งอยู่โน้น” วิธูแนะนำพ่อแม่ของเขาที่นั่งห่างออกไปสักหน่อย ผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็ตอบรับไหว้ของวีรมาตุและศศิทัศน์

       วีร์มองทั้งสองคนที่มาใหม่ด้วยความสงสัยจนเจ้าตัวต้องรีบพูดออกมา

        “ไอ้บิ๊ก กูเอานี่มาให้” ศศิทัศน์เปิดกระเป๋านักเรียนแล้วหยิบกระดาษชุดหนึ่งออกมา “อาจารย์ชัยวัฒน์ฝากมาให้มึง เผื่อว่ามึงสนใจ มึงก็ไม่น่ารีบออกมาเลย อาจารย์เขาอยากคุยกะมึงด้วย”

       พระยศรับเอกสารจากศศิทัศน์มาดูก็พบว่าเป็นใบสอบเข้าโครงการแข่งขันคณิตศาสตร์ซึ่งพระยศไม่ได้ตั้งใจจะเข้าร่วมแต่แรกอยู่แล้ว จึงพับเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองไปโดยไม่ได้อ่านรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม

        “อ่านแล้วก็ตัดสินใจด้วย พรุ่งนี้” ศศิทัศน์ย้ำคำขาดของอาจารย์ที่ฝากเขามา

        “ทำยังกะมึงอยากจะเข้าโครงการอย่างนั้นแหละ”

       ศศิทัศน์มีสีหน้าแบบไม่แยแสอะไร เพราะเขาเองก็ไม่ได้คิดจะเข้าร่วมโครงการด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าอาจจะมีใจอ่อนลงบ้างเพราะลูกตื้อของอาจารย์

        “แล้ว... พี่มึงคนไหนวะ” ศศิทัศน์หันไปถามวิธู

        “เตียง 3” วิธูตอบพร้อมกับบุ้ยหน้าไปทางห้องผู้ป่วย

       เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่ใครจะได้ขยับตัวไปไหนหรือทำอะไรต่อ ก็มีพยาบาลหลายคนรีบวิ่งกรูไปที่เตียงผู้ป่วยหมายเลข 3 ที่ว่านั้น แต่ละคนเข้าประจำที่ในจุดต่างๆที่พวกเขาได้ร่ำเรียนและฝึกฝนมาเป็นอย่างดี คนหนึ่งรีบตรวจดูหน้าจอที่แสดงผลอัตราการเต้นของหัวใจ อีกคนหนึ่งตรวจดูเครื่องช่วยหายใจว่ามีความผิดปกติหรือไม่ คนอื่นๆตรวจตามร่างกายตามจุดต่างๆ และก็มีคนรีบวิ่งกลับไปที่ห้องควบคุมส่วนกลางและเข็นรถอุปกรณ์กลับไปยังที่เตียงหมายเลข 3  ก่อนที่ม่านจะถูกดึงปิดล้อมเตียง

       ในช่วงวินาทีนั้นที่หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายพร้อมๆกัน คนที่นั่งอยู่หน้าห้องทำได้แค่เพียงลุกขึ้นไปยืนอยู่ใกล้ๆกระจกใสบานใหญ่ที่กั้นระหว่างผู้ป่วยและโลกภายนอก สองสามีภรรยาต่างกุมมือของกันและกันไว้ ฝ่ายสามีทั้งกุมมือภรรยาไว้ในมือข้างหนึ่งส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำลังโอบอุ้มทั้งร่างกายและจิตใจของผู้เป็นคู่ชีวิต เด็กหนุ่มทั้งห้าคนก็ลุกขึ้นไปยืนอยู่ใกล้ๆ มองดูพยาบาลที่วิ่งเข้าออกระหว่างห้องควบคุมกลางกับเตียงผู้ป่วยที่ถูกม่านปิดอยู่

       ม่านที่แง้มออกเมื่อพยาบาลวิ่งเข้าออกทำให้เห็นเสื้อของผู้ป่วยที่ถูกเปิดออกและเหล่าพยาบาลกำลังติดเครื่องมือบางอย่างลงบนลำตัวของเขา ก่อนที่ม่านจะปิดสนิทอีกครั้ง

       หลังจากนั้นไม่นานนักทีมแพทย์สองสามคนเดินมาอย่างเร่งรีบจนถึงที่หน้าประตูหอผู้ป่วยวิกฤติ

        “แม่ครับ”

       เสียงเรียกทำให้หนึ่งในทีมแพทย์หันมาบุคคลที่เรียกเธอ เธอยิ้มให้ ก่อนที่รีบเดินตามเข้าไปข้างใน

       เนื่องจากบริเวณนี้ไม่ได้อยู่ในส่วนที่จะมีคนเดินผ่านไปมาอยู่แล้ว จึงทำให้เงียบสงบและเป็นผลดีต่อผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไร้การรบกวนจากภายนอกเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่ ณ เวลานี้ แม้แต่เสียงหายใจก็แทบจะไม่ได้ยิน จะมีเพียงก็แต่เสียงของหัวใจที่เต้นรัวระทึกในโสตประสาทของแต่ละคน

       เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ม่านก็ยังคงปิดอยู่ พยาบาลหลายคนยังคงวิ่งเข้าออกไม่หยุด มีแพทย์สองคนออกมาคุยปรึกษากันบางอย่างก่อนที่คนหนึ่งจะกลับเข้าไปที่เตียงผู้ป่วย ส่วนอีกคนเดินไปที่ห้องควบคุมกลางเพื่อโทรศัพท์ ไม่นานนักมีพยาบาลคนหนึ่งเข็นรถอุปกรณ์กลับไปยังที่ห้องควบคุมกลาง ส่วนพยาบาลคนอื่นๆก็ค่อยๆทยอยเดินออกมา แต่ผ้าม่านยังคงปิดอยู่เช่นเดิม

       แพทย์ที่ออกไปโทรศัพท์เดินกลับไปที่เตียงและเรียกแพทย์หญิงคนหนึ่งออกมาพูดคุยอยู่ไม่นาน แพทย์คนนั้นก็พยักหน้ารับก่อนจะหันมามองเหล่าผู้คนที่กำลังยืนรออยู่ด้านนอก แล้วเธอก็เดินออกมาจากห้องผู้ป่วยตรงไปที่สองสามีภรรยาต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันและกัน

        “หมอเสียใจด้วยนะคะ”

       ฝ่ายภรรยารีบโผเข้ากอดฝ่ายสามี แม้ว่าเธอจะเตรียมใจมาบ้างแล้วแต่ตอนนี้เธอห้ามความเสียใจของตัวเองไว้ไม่อยู่จริงๆ ส่วนวิธูยืนอยู่นิ่งไม่ไหวติงเมื่อได้ยินจากปากของแพทย์ โดยมีน้ำตาคลออยู่ในเบ้าพร้อมที่จะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ พระยศจึงตบบ่าวิธูเบาๆเพื่อให้กำลังใจ

        “ไม่เป็นไรครับ เรารู้ว่าหมอทำเต็มที่แล้ว” ผู้เป็นสามีจึงเอ่ยปากแทน แม้ว่าเขาเองก็เสียใจอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้เขาต้องเป็นหลักยึดให้กับคู่ชีวิตและลูกชายที่ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งคน

        “หมอขอโทษด้วยนะคะ” กาญจนายังคงแสดงความเสียใจต่อผู้เป็นบิดาและมารดาของคนไข้ที่เธอดูแลมานานร่วมปี “ส่วนเรื่องร่างของผู้เสียชีวิต เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มาดำเนินการเรื่องเอกสารเพื่อขอรับบริจาคเพื่อการศึกษาต่อไป”

        “ได้ครับ”

       กาญจนาตอบขอบคุณแล้วก็หันไปมองเด็กหนุ่มทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ เธอยิ้มให้กับพระยศก่อนที่ผละเดินออกไปพร้อมกับทีมแพทย์คนอื่นๆ

        “บริจาคร่างเหรอ” วีรมาตุหันมาถามวิธู

        “ใช่ครับ เห็นพ่อกับแม่บอกว่าหมอมาขอไว้สักพักใหญ่แล้ว และพี่วีก็ตอบตกลง เห็นบอกว่าพี่วีอยากให้หมอหาวิธีรักษาให้ได้ ถึงไม่ใช่กับเขาแต่ก็ได้กับคนอื่นก็ยังดี” วิธูตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือ เขายังสามารถกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้

        “เดี๋ยว!” เสียงของศศิทัศน์ดังขึ้นมา จนทุกคนหันมามอง “ไอ้วีร์หายไปไหน เมื่อกี้มันยังยืนอยู่ตรงนี้อยู่เลย”

       แต่ละคนต่างมองซ้ายมองขวาสลับไปมา ก็ไม่เจอคนๆนั้น แม้แต่แม่ของวิธูเองที่ยังเสียใจถึงกับหยุดร้องไห้และหันมองดูรอบๆด้วยความตกใจ

        “มันไม่ได้คิดอะไรแผลงๆใช่มั้ย”

       คำพูดของศศิทัศน์ทำให้ทุกคนแยกย้ายเดินตามหาไปทั่วบริเวณนั้น แต่ไม่ว่าซอกมุมไหนก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ ทุกคนจึงกลับมารวมตัวกัน

        “โอเค ทุกคนแยกย้ายกันไปหาที่ต่างๆที่คิดว่าไอ้วีร์น่าจะไป” พระยศพยายามตั้งสติทั้งของตัวเองและคนอื่นๆ “เดี๋ยวกูวิ่งไปดูที่หน้าโรง’บาล เผื่อมันไปที่ป้ายรอรถ”

        “เดี๋ยวกูลงไปดูที่แถวๆคลินิกชั้นหนึ่ง” ศศิทัศน์เอ่ยเป็นคนต่อมา ก่อนที่จะหันไปถามวิธู “มึงรู้จักตึกโรงอาหารที่นี่มั้ย” วิธูพยักหน้ารับ “โอเค งั้นมึงไปดูแถวนั้น มันน่าจะไปไม่ไกลกว่านี้ นอกจากจะออกโรงพยาบาลไปแล้ว”

       พระยศได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกไปในทันที

        “ส่วนเฮีย...” ศศิทัศน์หันมาหาพี่ชายของเขา แต่ก็พบกับความว่างเปล่า “ไปไหนแล้ววะ เอ่อ... ช่างก่อน ไปหาไอ้วีร์ก่อนไป” เขาและวิธูก็รีบออกไปเช่นกัน ทิ้งให้ผู้ใหญ่สองคนยืนรออยู่ที่หน้าหอผู้ป่วยวิกฤติตามเดิม

*****

        “แล้วก็... มีอีกเรื่องที่เราอยากจะให้นายรักษาสัญญาไว้” คนที่นอนอยู่บนเตียงหันมาบอกกับเขา

        “อืมม ได้สิ” วีรมาตุตอบรับ

        “เมื่อวันนั้นมาถึง...”

        “อย่าพูดเป็นลางอย่างนั้นสิ” วีรมาตุรีบขัดซะก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ

        “วันนั้นมันมาถึงแน่ๆ อีกไม่นานนี้แล้ว” วีรดนย์ยิ้มรับกับสภาพของตัวเอง “เราอยากจะให้นายสัญญา ว่าจะตามหาน้องให้เจอ”

        “หมายความว่ายังไง” วีรมาตุถามกลับด้วยความไม่แน่ใจ

        “เราไม่คิดว่าน้องจะคิดสั้น” วีรดนย์รีบหยุดความสงสัยของวีรมาตุไว้ก่อน “น้องคงจะหนีไปอยู่คนเดียวเงียบๆ แต่น้องอาจจะเป็นอันตรายเพราะความเหม่อลอยได้ รีบตามหาน้องให้เจอเป็นดีที่สุด”

        “แล้วจะให้เราไปหาน้องเจอได้ที่ไหน”

        “คงไม่ไกลจากแถวนี้หรอก เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่เคยได้ออกไปไหนเลยตั้งแต่ขอส่งตัวมา” วีรดนย์มองดูสีหน้าครุ่นคิดของวีรมาตุ “สักที่นึงที่โล่งๆ เพราะน้องไม่ชอบที่แคบ และไม่มีคนพลุกพล่าน ไม่มีคนเลยได้ยิ่งดี”

       วีรมาตุพยักหน้ารับ

        “นายต้องนึกให้ออกนะ แล้วหาน้องให้เจอ”


*****

       วีรมาตุนึกไปถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับวีรดนย์ เมื่อคราวที่วีรดนย์นัดเขามาเจอกันที่โรงพยาบาล ในตอนนั้นวีรดนย์ยังคงพักอยู่ที่หออภิบาลผู้ป่วยปลอดเชื้อ ในขณะที่เขากำลังวิ่งไปตามที่ต่างๆไปทั่วตามที่วีรดนย์บอกไว้ ที่โล่งๆแต่ไม่มีคน วีรมาตุพยายามมองหาและนึกว่ามีสถานที่ไหนที่พอจะเป็นไปได้บ้าง

       เขาวิ่งไปมาจนเหนื่อยหอบจนต้องหยุดพักแล้วยกมือขึ้นเท้าสะเอวและเงยหน้าขึ้นเพื่อพยายามสร้างช่องว่างให้ปอดมีพื้นที่ขยายตัวให้ได้มากที่สุด เขาสูดอากาศเข้าไปลึกๆอยู่หายครั้งเพื่อที่จะได้มีแรงวิ่งหาต่อ พลันสายตามองขึ้นไกลจนถึงยอดตึกของโรงพยาบาล แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว

        ‘เราไม่คิดว่าน้องจะคิดสั้น’

        “ไม่คิดสั้น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ขึ้นไปบนนั้น”

       ว่าแล้ววีรมาตุก็ตัดสินใจวิ่งไปที่ลิฟต์โดยสารและตรงขึ้นไปชั้นสูงสุดของตึกโรงพยาบาล ชั้นดาดฟ้าเป็นที่โล่งเพราะมองไปได้ไกลสุดขอบสายตา ไม่มีคนเพราะแทบจะไม่มีใครสนใจขึ้นมาบริเวณนี้กันอยู่แล้ว เมื่อเขาขึ้นมาถึงชั้นสูงสุดที่ลิฟต์โดยสารจะพาขึ้นมาได้ เขายังต้องวิ่งขึ้นบันไดไปอีกชั้นครึ่งถึงจะเป็นชั้นที่มีประตูออกไปยังลานดาดฟ้าของตึก

       วีรมาตุพยายามสงบสติอารมณ์ หายใจเข้าออกลึกๆอยู่หลายครั้งก่อนที่จะเปิดประตูออกไป และพบว่าเป็นที่ๆเขาคิดไว้ไม่ผิดจริงๆ เป็นลานโล่งถึงจะไม่กว้างมากนักแต่ก็ไม่มีตึกใดสูงเท่าตึกนี้ในระยะใกล้ๆ และไม่มีคนพลุกพล่านอยู่บนนี้เลย... สักคน

       ไม่มีใครอยู่เลยสักคน

       วีรมาตุถอนหายใจด้วยความผิดหวัง พยายามนึกถึงที่ต่อไปที่เขาจะต้องไปหา เขาจึงเดินไปที่ขอบกำแพงฝั่งหนึ่ง เมื่อมองลงไปก็เห็นชั้นดาดฟ้าของอีกตึกที่ถูกดัดแปลงให้เป็นสวนหย่อมขนาดย่อมๆให้คนขึ้นมาพักผ่อนได้ แม้ว่าจะเป็นที่โล่งแต่ในตอนนี้ยังมีคนอื่นๆใช้บริการอยู่ วีรมาตุจึงถอนหายใจอีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจหันกลับเพื่อลงไปชั้นล่าง

       พลันสายตาหันไปเห็นขาข้างหนึ่งที่ใส่ถุงเท้าขาวยาวครึ่งน่องและรองเท้าผ้าใบสีดำตามระเบียบของโรงเรียนนั่งอยู่ที่พื้นหลบมุมทางเข้าออกประตูดาดฟ้าอยู่

       วีรมาตุรู้สึกหายใจโล่งขึ้นมาในทันที

       เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งข้อความไปหาน้องชายของเขาว่าเขาเจอวีร์แล้ว

*****

        “ถ้าหาเจอแล้วให้ทำอะไรต่อ”

        “ไม่ต้องทำอะไร”

       วีรมาตุมองดูสีหน้ายิ้มอย่างมีความสุขของวีรดนย์

        “ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ”

        “ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องพูด ไม่ต้องปลอบใจ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแค่อยู่ใกล้ๆก็พอ แค่ให้น้องรู้ว่ามีนายอยู่ใกล้ๆ น้องกำลังมองอะไรนายก็มองอันนั้น น้องกำลังฟังอะไรนายก็ฟังอันนั้น น้องอยู่คนเดียวเงียบๆนายก็อยู่เงียบๆไว้”


****

          วีรมาตุเดินอ้อมมุมผนังด้านข้างของประตูดาดฟ้า เขาเห็นวีร์นั่งชันเข่าพิงผนังอยู่กับพื้น สายตามองตรงไปข้างหน้าแต่แววตาล่องลอยไปไกล สีหน้าเรียบเฉย ไม่มีรอยยิ้มและไม่มีน้ำตา

       วีรมาตุนั่งลงข้างๆวีร์ ชันเข่าข้างหนึ่งที่ติดกับฝั่งของวีร์ส่วนอีกข้างยืนขาตรงไปข้างหน้า สายตามองดูท้องฟ้าที่กำลังถูกฉายไปด้วยสีส้มอมเหลืองอมแดงไปทั่ว มีเมฆบางๆพรางดวงอาทิตย์ที่กำลังใกล้ลาลับไปในอีกไม่กี่นาที ลมเย็นๆพัดเอื่อยมาอยู่เรื่อยๆ ไม่นานนักก็เริ่มเห็นแสงดาวประจำเมืองและหลอดไฟตามมุมตึกก็ติดขึ้นมาเวลาที่ได้ตั้งอัตโนมัติ จนท้องฟ้าก็เริ่มไล่เฉดสีใหม่พร้อมกับแต่งแต้มด้วยดาวระยิบระยับให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ

*****

        “แล้วยังไงต่อ”

        “น้องพร้อมเมื่อไหร่นายจะรู้เอง”


*****

       วีรมาตุนั่งมองภาพตรงหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ บ่งบอกเวลาที่เดินไปอย่างต่อเนื่องและไม่มีวันไหลกลับ ความเหนื่อยล้าจากที่ต้องวิ่งไปมาก่อนหน้านั้นได้หายไปบ้างแล้ว จะบอกว่าเขาสบายใจขึ้นก็ไม่เชิงนัก เพราะเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร อย่างน้อยก็กับคนที่อยู่ข้างๆเขา

       เวลาผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ไม่มีใครได้ทันใส่ใจจะรับรู้

       วีรมาตุรู้สึกได้ถึงแรงกดเบาที่บ่าข้างหนึ่งของเขาพร้อมกับความรู้สึกอ่อนนุ่มของเส้นผมที่ใบหูข้างเดียวกันนั้น เขาลอบมองด้วยหางตาไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังซบศีรษะลงบนบ่าของเขา แล้วเขาก็ย้ายสายตากลับไปมองภาพตรงหน้าตามเดิม

       ดวงอาทิตย์ได้ลาลับไปแล้ว แม้ว่าพอถึงเวลารุ่งเช้าเราจะได้มันเห็นอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็เป็นดวงอาทิตย์ของวันใหม่ วันเวลาที่ผ่านไปแล้วจะไม่หวนคืนกลับมาอีก




[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ชอบบทบรรยายตอนนี้ครับ
แทนความรู้สึกได้ดี
แต่ช่วงบอกว่าแฝดมา เขียนชื่อสลับหรือเปล่าครับ

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ชอบบทบรรยายตอนนี้ครับ
แทนความรู้สึกได้ดี
แต่ช่วงบอกว่าแฝดมา เขียนชื่อสลับหรือเปล่าครับ
ชื่อถูกแล้วครับ แต่อาจจะต้องเรียบเรียงประโยคใหม่ให้มีความหมายชัดเจนมากกว่านี้



แล้วก็แวะมาชวนฟังเพลงเพราะๆ ก่อนจะอ่านตอนต่อไป

a1 - Tomorrow
จากอัลบั้ม The A list (2000)

Apple Music ..... Spotify ..... Youtube ..... Joox

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
โอยยย เข้ามาพร้อมกันอะไรขนาดน้านนน!!

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 13 ก่อนจะถึงวันพรุ่งนี้

       นับตั้งแต่ตอนที่วีรมาตุ และเพื่อนๆของวีร์พาวีร์กลับมาส่งที่บ้าน วีร์ก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนอนไม่ยอมออกไปไหน ถึงจะเบาใจได้อยู่บ้างเพราะอย่างน้อยวีร์ก็กินอาหารตามมื้อเวลาที่ธีร์เอาขึ้นไปให้ แต่กระนั้นจะบอกว่ากินมันก็เหมือนไม่ได้กิน ขนาดแมวดมยังให้ความรู้สึกว่าอิ่มท้องมากกว่าเสียอีก ทำให้ธีร์เป็นกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะเขารู้ว่าวีร์ไม่ได้มีเรื่องกลัดกลุ้มอยู่ในใจเพียงแค่เรื่องเดียว

       แรกเริ่มเดิมทีธีร์คิดไว้ว่าเขาและวนกรจะหาเวลามาเปิดอกพูดคุยกับวีร์ อธิบายเรื่องราวต่างๆให้วีร์เข้าใจโดยละเอียด แล้วจากนั้นเขาก็จะเข้าไปที่บ้านของวนกรไปพูดคุยกับพ่อและแม่ของวนกร ไปขอโทษและยอมรับผิดสิ่งที่เขาทำไว้ในอดีต และขอโอกาสให้เขาได้แก้ไขสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

       แต่เพราะการเสียชีวิตของวีรดนย์ทำให้ทุกอย่างต้องเลื่อนออกไปก่อนจนกว่าสภาพจิตใจของวีร์จะดีขึ้น

       ธีร์ได้พยายามทำทุกวิถีทางก็ยังไม่สามารถดึงวีร์ออกมาจากความเศร้าได้จนเขาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรแล้ว วนกรเองก็แวะเวียนมาที่บ้านบ่อยๆ ถึงแม้ว่าเธอจะยืนเฝ้าดูอยู่แค่ที่หน้าประตูห้องไม่ได้เข้าไปรบกวนวีร์แต่อย่างใด เพราะเธอก็ไม่แน่ใจว่าสำหรับวีร์ในตอนนี้เธอคือแม่ของเขาหรือเป็นเพียงพี่วาคนหนึ่งเท่านั้น หนทางที่จะทำให้วีร์กลับมาสดใสดังเดิมก็ถูกตัดทิ้งออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดธีร์ก็ได้ตัดสินใจไหว้วานไปยังสาวน้อยที่อาศัยอยู่ข้างบ้านเก่าให้รีบขึ้นมาปฏิบัติภาระสำคัญโดยด่วน

       เมื่อแพรไหมมาถึงก็เข้าไปนั่งอยู่ที่พื้นข้างๆเตียงนอนกับวีร์อยู่ตลอดทั้งวัน พยายามชวนคุย พยายามชวนกิน พยายามชวนเล่นไปเรื่อยๆจนถึงเวลาที่ร่างกายอ่อนล้าและต้องการนอนพักผ่อนแบบไม่อาจฝืนต่อไปได้ วีร์ก็นั่งหลับอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับตัวไปไหนเพียงแค่เอนศีรษะลงไปซบบนขอบเตียง แม้ว่าแพรไหมเอ่ยชวนให้วีร์ขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เธอจึงได้แต่ดึงผ้าห่มลงมาคลุมไว้ให้

       เช้าตรู่วันต่อมา เมื่อแพรไหมเปิดประตูห้องนอนวีร์เข้าไปดูก็เห็นวีร์กลับมานั่งอยู่ท่าเดิมเหมือนเมื่อวานก่อนอยู่แล้ว เธอไม่แน่ใจว่าวีร์ตื่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่และได้หลับเพียงพอหรือไม่ แพรไหมได้แต่ทอดถอนหายใจ พลันสายตาหันไปเห็นนาฬิกาบอกเวลา ชั่วพริบตานั้นเธอก็รีบตัดสินใจรีบวิ่งออกจากบ้านไปในทันที จุดหมายคือบ้านอีกสี่หลังถัดไป เธอภาวนาให้คนๆนั้นยังอยู่

       คำขอพรของแพรไหมสัมฤทธิ์ผล เมื่อเรียกชื่อคนที่เธอต้องการเจอที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งที่อยู่ในชุดนักเรียนก็โผล่ออกมาดูอย่างเร่งรีบ คำทักทายเกิดขึ้นเพียงสั้นๆ

        “ทำไมแพรมาอยู่นี่ได้อะ” แพรพรรณเอ่ยถามทันทีที่เธอวิ่งมาถึงประตูรั้วหน้าบ้าน

        “เรามาถึงเมื่อวาน เราขึ้นมาดูวีร์” แพรไหมตอบกลับ

        “หือ วีร์เป็นอะไร ไม่เห็นวีร์ไปโรงเรียนมาสองสามวันแล้ว นี่เราก็ว่าจะแวะไปดูวีร์อยู่เหมือนกัน ไลน์ไปก็ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่รับสาย”

        “แพรยังไม่รู้เรื่องเหรอ” แพรไหมมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย

        “เรื่องอะไร ไม่เห็นมีใครบอกอะไรเลย” แพรพรรณก็มีสีหน้างุนงงตอบกลับมาไม่ต่างกัน

       แพรไหมเม้มปากเข้าหากัน ชั่งใจอยู่ว่าเธอจะทำตามวิธีเดิมที่คิดไว้ หรือจะเปลี่ยนใจไม่บอกแพรพรรณเพื่อไม่ให้มีคนต้องมากังวลใจเพิ่มอีกคน

        “วีร์เป็นอะไร” แพรพรรณมีน้ำเสียงที่ตกใจขึ้นเมื่อห็นท่าทีของแพรไหมที่เปลี่ยนไป

        “เอ่อ... แพรรู้เรื่องแฟนของวีร์แล้วรึเปล่า”

        “ก็พอรู้อยู่บ้างว่าแฟนของวีร์ไม่สบาย วีร์ไปเยี่ยมอยู่บ่อยๆ”

       แพรไหมหยักหน้ารับก่อนที่จะพูดต่อไป

        “พี่เขาเพิ่งจะเสียไปเมื่อสัปดาห์ก่อน”

        “ห๊า!”

        “ตอนนี้วีร์ก็เลยซึมมาก ไม่ยอมพูดกับใครแล้วก็ไม่ยอมกินอะไรเท่าไหร่มาหลายวันแล้ว เรากลัวว่าวีร์จะเป็นอะไรไปอีกคน”

        “แล้วมีใครรู้เรื่องนี้แล้วบ้าง พี่วีรู้เรื่องนี้แล้วยัง” แพรพรรณรีบสอบถามอย่างใจร้อน

        “พี่วี?” แพรไหมทำหน้าสงสัย

        “พี่ชายของต่าย” แพรพรรณจึงอธิบายเพิ่มแต่แพรไหมก็ยังทำหน้างง จนแพรพรรณกำมือขึ้นแน่นๆพยายามคิดหาคำอธิบายที่ชัดเจน “เราหมายถึงเฮียวีที่เป็นพี่ชายของต่ายที่เป็นเพื่อนเราน่ะ”

        “อ๋อ” แพรไหมลากเสียงยาวคลายความงุนงง “เหมือนว่าพวกพี่วี ต่าย แล้วก็ใครอีกคนนะที่สูงๆขาวๆหน่อย”

        “บิ๊กเหรอ” แพรพรรณพยายามนึกไปถึงกลุ่มเพื่อนของวีร์

        “ใช่ๆ คนที่เป็นลูกหมอน่ะ”

        “งั้นก็บิ๊กนั่นแหละ”

        “นั่นแหละ พวกนั้นอยู่ในเหตุการณ์ด้วย”

       แพรพรรณพยักหน้ารับรู้

        “แพร วันนี้หยุดเรียนได้มั้ย” ในที่สุดแพรไหมก็ติดสินใจเอ่ยปากขอสิ่งที่เธอคิดไว้แต่แรก

        “เอ่อ คือ...” แพรพรรณหันกลับไปมองข้างในบ้านสลับไปมา เธอคิดว่าเธอเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายแต่ยังติดปัญหาอยู่ที่พ่อของเธอ “งั้นแพรรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวเราลองไปขอพ่อดูก่อน แป๊บนึง” แล้วแพรพรรณก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน หายไปอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะวิ่งกลับออกมา “ไปแพร พ่อไม่ว่าอะไร”

       แพรพรรณและแพรไหมต่างยิ้มอย่างดีใจให้กันและออกเดินไปยังบ้านของวีร์

       ภารกิจในวันนี้จึงไม่ต่างจากเมื่อวานมากนัก เว้นแต่ว่าฝั่งหนึ่งคือแพรไหมส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือแพรพรรณที่นั่งอยู่ข้างๆวีร์ สองสาวต่างสรรหาเรื่องราวต่างๆมาพูดคุย พยายามชวนวีร์กินมื้อเช้าที่ธีร์เตรียมไว้ให้เผื่อทั้งสองคนด้วย ระหว่างนั้นก็เล่าเรื่องราวต่างๆของกันและกัน ทั้งแพรพรรณและแพรไหมไม่ได้จะพยายามจะดึงวีร์เข้าร่วมการสนทนา ไม่ได้คุยโวกแวกเสียงดังให้วีร์รำคาญใจ แต่ละหัวข้อที่พูดคุยเป็นเรื่องทั่วๆไป จนถึงเวลามื้ออาหารกลางวันซึ่งธีร์ก็ได้จัดเตรียมทิ้งไว้ก่อนออกไปทำงาน เหลือเพียงแค่อุ่นร้อนก่อนจะกินเท่านั้น ในช่วงบ่ายทั้งสองสาวก็พูดคุยเรื่องราวจิปาถะกันต่อเรื่อยไปจนถึงเวลาพระอาทิตย์ลาลับของฟ้า

       วีร์ยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมพูดคุยกับใคร แม้แต่ตอนที่วีรมาตุและศศิทัศน์ที่แวะมาหาด้วยเช่นกัน

       หลังจากที่สองสาวได้คะยั้นคะยอให้วีร์ยอมกินอาหารเย็น แม้ว่าจะไม่หมดจานแต่ก็ได้มากกว่าวันก่อนหน้านั้น ทั้งคู่มองดูวีร์ที่ขยับตัวขึ้นไปนอนบนเตียง กอดหมอนข้างและหันหลังให้ทั้งสองคน แพรไหมและแพรพรรณก็ยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนที่จะช่วยกันห่มผ้าให้วีร์ จัดเก็บข้าวของต่างๆให้เข้าที่และยกถาดอาหารออกไปจากห้อง โดยไม่ลืมปิดไฟก่อนออกไปเพราะเห็นว่าวีร์หลับตาลงแล้ว

       แพรไหมและแพรพรรณออกมาเจอกับธีร์และวนกรที่ยืนรออยู่หน้าห้อง ทั้งคู่ต่างส่ายหน้าให้กับผู้ใหญ่ทั้งสองคนก่อนที่จะเอ่ยปากขอพยายามอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ เพราะว่าในวันมะรืนนี้พ่อและแม่ของวีรดนย์จะทำบุญครบ 7 วัน และทุกคนยังไม่แน่ใจว่าวีร์พร้อมที่ไปร่วมงานด้วยหรือไม่

*****

       ในเช้าวันทำบุญครบ 7 วันการเสียชีวิตของวีรดนย์ ครอบครัวของวีรดนย์เลือกวัดที่อยู่ในระแวกเดียวกับโรงพยาบาล เหตุเพราะว่าวีรดนย์ได้มาอาศัยอยู่ที่นี่เกือบปี และวางแผนไว้ว่าสำหรับการทำบุญครบ 100 วันนั้นจะกลับไปทำบุญที่บ้าน

       วันนี้จึงมีเพียงบุคคลใกล้ชิดเท่านั้น

       มีพ่อและแม่ของวีรดนย์ และวิธูที่ยังไม่ได้กลับไปเลยนับตั้งแต่วันที่วีรดนย์ถูกย้ายมาอยู่ที่หอผู้ป่วยวิกฤติ จนทั้งพ่อและแม่เป็นห่วงเรื่องเวลาเรียนที่ขาดไป แต่วิธูยืนยันว่าไม่มีปัญหาเพราะบรรดาเพื่อนๆที่โรงเรียนช่วยส่งงานมาให้เขาทำและส่งกลับไปฝากส่งให้กับอาจารย์ รวมถึงแพรไหมก็อยู่ต่อเป็นวันที่ 4 แล้ว หลังจากที่เธอและแพรพรรณมาลองพยายามอยู่เป็นเพื่อนวีร์อีกครั้ง แม้จะไม่สำเร็จได้ตามที่หวังไว้แต่ก็ทำให้วีร์ยอมออกจากห้องในวันนี้ได้ แต่ว่าเธอคงต้องกลับในวันรุ่งขึ้นแล้ว ไม่อาจจะอยู่ช่วยต่อได้อีก

       ธีร์และวนกรต่างลางานมาร่วมการทำบุญด้วย ธีร์แนะนำวนกรให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนได้รู้จักว่าวนกรเป็นคนรักของเขา และยังเป็นแม่แท้ๆของวีร์อีกด้วย ผู้ใหญ่ทั้งสองก็ยิ้มยินดีและเอ่ยปากว่าวีร์จะได้มีครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกเสียที แม้แต่วิธูเองก็ยินดีกับเพื่อนของเขาด้วย เขาเสียดายแค่ว่าวีรดนย์จากไปเสียก่อนที่จะได้รับรู้เรื่องนี้ มิเช่นนั้นแล้ววีรดนย์จะต้องดีใจเป็นอย่างมากที่วีร์ได้เจอแม่แท้ๆของเขาในที่สุด แต่วีร์ก็ยังคงนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้รับรู้อะไร

       แพทย์หญิงกาญจนา อาชา และทีมแพทย์อีกสองคนก็เดินทางมาร่วมงานด้วยเช่นกัน ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลรักษาตลอดระยะเวลาเกือบปีและกำลังเป็นผู้ดูแลร่างของวีรดนย์อยู่ในขณะนี้ ทั้งหมดหวังจะได้เจอกับคำตอบสำหรับคนไข้คนอื่นๆที่มีอาการเหมือนกับวีรดนย์ในอนาคต

       เมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว จึงจะได้เริ่มพิธีกรรมทางศาสนาตามเวลาที่ได้นัดหมายไว้กับพระคุณเจ้า

        “คุณวิรัช” มีเสียงเรียกดังขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนกำลังเดินเข้าไปในศาลา ทุกคนจึงหันกลับไปมอง

        “คุณชื่น” พ่อของวีรดนย์เอ่ยทักทายกลับ เขาหันกลับไปหาภรรยาของเขาและเธอก็พยักหน้ารับ เขาจึงหันกลับมาหาบุคคลนั้น “คุณชื่นมาได้ยังไงครับ”

        “พอดีเพิ่งทราบข่าวค่ะ ก็เลยแวะมา เสียใจด้วยนะคะ” ชื่นฤทัย ล้ำเลิศรัตนทรัพย์ ตอบกลับ “สวัสดีค่ะคุณจิรัสย์” เธอยกมือไหว้และเอ่ยทักทายฝ่ายหญิง

        “สวัสดีค่ะคุณชื่น เชิญข้างในก่อนค่ะ” แม่ของวีรดนย์ไหว้ตอบกลับ และเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้าไปยังศาลา

        “คุณชื่นมาคนเดียวเหรอครับ” วิรัชมองดูรอบๆ จนทั้งจิรัสย์และชื่นฤทัยหันมองตาม

        “อันที่จริง...” ชื่นฤทัยหันทางซ้ายและทางขวาอย่างถี่ถ้วนแล้ว “ช่างเถอะค่ะ เอาเป็นว่าชื่นมาคนเดียวก็แล้วกัน”

        “ไม่เป็นไรครับ เชิญครับ เชิญทุกคนเลยครับ เดี๋ยวจะเริ่มพิธีแล้ว”

       ทุกคนจึงเดินเข้าไปข้างในศาลาที่หมู่พระภิกษุสงฆ์มานั่งรออยู่แล้วพร้อมกับมัคนายก

       ชื่นฤทัยมองดูเด็กหนุ่มที่เธอเพิ่งจะเจอและรู้จักไปไม่นาน เขาดูมีสีหน้าและท่าทางต่างจากที่เห็นเคยเห็น ในวันนี้เขาดูนิ่งเฉย ไม่ได้หันมองสบตาใครและพยายามถอยออกมาอยู่รั้งท้ายตลอดเวลา จนวิรัชสังเกตเห็น

        “นั้นแฟนของเจ้าวี” วิรัชเอ่ยขึ้นมา

        “น้องวีร์นะเหรอคะ” ชื่นฤทัยหันไปถาม

        “คุณชื่นรู้จักด้วยเหรอครับ”

        “ค่ะ เป็นเพื่อนของหลานๆฝั่งแม่รอง เห็นว่าเพิ่งย้ายมาใหม่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน”

        “ครับ เพราะเขานี่แหละเราถึงย้ายเจ้าวีมารักษาต่อที่นี่ ไม่งั้นเจ้าวีคงไม่อยู่มานานถึงวันนี้”

       ชื่นฤทัยก็พยักหน้ารับรู้

        “เชิญข้างในเถอะค่ะ จะได้เริ่มพิธีกัน” จิรัสย์ออกมาเรียกทั้งสองคนให้เข้าไปข้างใน

       เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว มัคนายกได้เริ่มนำสวดตามขั้นตอนไปจนจบถึงการกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับ เมื่อเสร็จพิธีต่างคนก็ออกปากลาและแยกย้ายกันกลับ วีร์ยังคงไม่พูดจากับใครแม้แต่กับชื่นฤทัยเองก็ตาม

       ธีร์และวนกรพาวีร์กลับมาถึงบ้าน เดิมทีธีร์อยากจะแวะร้านอาหารก่อนแล้วจึงค่อยเข้าบ้าน แต่เมื่อสอบถามความเห็นของวีร์แล้วไม่ได้รับคำตอบกลับจึงตัดสินใจกลับบ้านกันก่อน อย่างน้อยก็ยังมีของสดให้ทำกินกันได้พอทั้งสามคน

       แต่เมื่อมาถึงที่บ้าน วีร์ก็ลงจากรถแล้วตรงขึ้นไปยังห้องนอนของเขาตามเดิม แม้จะเรียกให้ลงมากินอาหารก็ไม่ยอมลงมา ทำให้ธีร์ต้องยกอาหารไปให้ในห้องเช่นเคย

       จนมาถึงเช้าวันเสาร์ เดิมที่เคยเป็นวันที่วีร์จะต้องรีบออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปที่โรงพยาบาล ในวันนี้วีร์กลับมานั่งอยู่ที่พื้นข้างเตียง สายตาเลื่อนลอยออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกเหมือนวันก่อนหน้า แต่ในวันนี้ไม่มีแพรไหมหรือแพรพรรณมานั่งอยู่เป็นเพื่อน จะมีก็แต่วีรมาตุที่รับรู้เรื่องราวมาจากน้องชายที่ได้รับคำปรับทุกข์มาจากแพรพรรณอีกต่อหนึ่งแวะมาหาตั้งแต่เช้า

       วีรมาตุขออนุญาตธีร์ขึ้นไปเยี่ยมวีร์ซึ่งเขาก็ไม่ได้ห้ามอะไร

       สิ่งที่วีรมาตุทำก็คือนั่งลงข้างๆวีร์เท่านั้น ตั้งแต่เช้าไปจนพระอาทิตย์ตกดิน

       เช้าวันต่อมา ธีร์ก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นวีร์เดินลงบันไดมา ทำให้ตัวเขาตั้งต้นไม่ถูกว่าจะทำอะไรก่อนหลังดี จึงได้เพียงแค่สอบถามว่าวีร์หิวหรือไม่ ส่วนวีร์ก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่เขาเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว ธีร์ก็รีบจัดเตรียมอาหารเช้าให้วีร์โดยทันที ธีร์ไม่ได้พยายามชวนพูดคุยหรืออะไร แค่จัดวางอาหารเช้าลงบนโต๊ะและนั่งลงกินพร้อมกับเด็กหนุ่ม แม้ว่าในใจอยากจะโทรศัพท์ไปหาพ่อและแม่ของเขารวมถึงวนกรใจจะขาดและบอกข่าวดีอันนี้

       เมื่อกินอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว วีร์ก็เดินกลับขึ้นไปห้องนอนตามเดิม ส่วนธีร์ก็จัดเก็บจานอาหารเช้าไปทำความสะอาด และคาดหวังว่าจะได้เห็นวีร์ตอนมือกลางวันอีก

       ในช่วงสาย วิธูแวะมาหาที่บ้านพร้อมพ่อและแม่ของเขา

        “พี่ธีร์ครับ ไอ้วีร์เป็นไงบ้าง” วิธูเอ่ยถาม จนธีร์ต้องถอนหายใจก่อนตอบ

        “ก็ยังไม่ยอมพูดจาอะไร แต่ยังดีที่วันนี้ยอมลงมาหากินอะไรบ้างแล้ว”

        “ก็ดูแลน้องดีๆนะธีร์” จิรัสย์คลายห่วงไปได้เล็กน้อยหลังจากที่ได้ยิน “น้ากลัวน้องจะเป็นอะไรไปอีกคน”

        “ผมก็กลัวครับน้าจิ ยังดีว่ามีเพื่อนๆเขาคอยแวะเวียนมาหา ดูเหมือนจะดีขึ้นมาบ้างแล้วครับ”

       จิรัสย์พยักหน้ารับ

        “น้าขึ้นไปหาน้องได้มั้ย” จิรัสย์ถาม

        “ได้เลยครับ วีร์คงนั่งเม่ออยู่ในห้องอย่างเคย แต่ถ้าเป็นน้าจิ วีร์อาจจะยอมคุยด้วยก็ได้”

        “อย่าเพิ่งคาดหวังนะ”

       ธีร์ยิ้มเล็กน้อยตอบกลับแต่ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง แล้วจิรัสย์ก็ลุกขึ้นพร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าถือของเธอ แล้วก็ฝากกระเป๋าของเธอไว้กับวิรัชก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของวีร์โดยมีวิธูเดินตามไปด้วย ส่วนวิรัชยังคงนั่งคุยเรื่องราวทั่วไปอยู่กับธีร์ข้างล่าง ไม่ได้เดินตามขึ้นไปด้วย

       จิรัสย์เคาะประตูก่อนสองสามครั้ง แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจึงได้แง้มประตูออกดู ก็เห็นวีร์นั่งอยู่ตรงที่ประจำของเขาในช่วงนี้ เธอเดินเข้าไปแล้วคุกเข่าลงนั่งข้างๆวีร์

        “วีร์ ลูกเป็นยังไงบ้าง ไหนให้แม่ดูหน่อยสิ” จิรัสย์จับหน้าจับไหล่หันดูไปมา “ดูสิ ผอมลงไปเยอะเลย ได้กินอะบ้างมั้ยลูก” จิรัสย์ดึงวีร์เข้ามากอดและลูกผมวีร์เบาๆ “เศร้าได้ เสียใจได้ ร้องไห้บ้างก็ได้นะลูก แต่ต้องกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมให้ได้นะลูก อย่าปล่อยให้เป็นอะไรไปอีกคนนะลูก”

       วิธูเห็นแม่ตัวเองทำแล้วได้แต่กรอกตามองเพราะผิดจากแผนที่วางกันไว้ก่อนจะมาที่บ้านของวีร์ ถ้าเขาไม่สะกิดแม่ของเขาให้ได้สติก็คงจะไม่เลิกกอดเพื่อนของเขาไปอีกนาน

        “แม่เพิ่งจะรื้อของที่โรงพยาบาลเขาเก็บมาให้ แล้วก็เจอนี้เข้า” จิรัสย์ยื่นซองสีน้ำตาลฉบับหนึ่งให้วีร์ ตัวซองปิดสนิทแต่มีลักษณะโป่งนูนให้เห็นได้ชัดว่าข้างในมีของอะไรบางอย่างอยู่ หน้าซองเขียนด้วยลายมือของคนที่วีร์จำได้เป็นอย่างดีว่า ‘ฝากให้น้องวีร์ด้วย

       วีร์มองดูซองสีน้ำตาลฉบับนั้น ใจหนึ่งก็อยากยื่นมือออกไปรับแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากรับรู้ว่าข้างในจะเป็นอะไร จนจิรัสย์จับมือขึ้นมาเองแล้ววางซองสีน้ำตาลนั้นลงบนมือของวีร์

        “แม่ก็ไม่รู้หรอกว่าข้างในเป็นอะไร เห็นเขียนถึงวีร์ ก็เลยไม่มีใครกล้าเปิดออกดู” จิรัสย์มองดูวีร์ที่ยังมีท่าทางลังเลใจอยู่ “วีร์พร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยดูก็ได้นะลูก”

       วีร์รับซองสีน้ำตาลฉบับมา เขาจ้องมองดูลายมือที่เขียนอยู่บนซอง ยิ่งมองก็ยิ่งคิดถึง แม้ว่ามุมปากจะเผย่อยิ้มเล็กน้อยแต่แววตากลับเริ่มเป็นประกายแก้วขึ้นมา

       จิรัสย์ต้องลูบผมของวีร์เบาๆเป็นการปลอบใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกเสียใจหรือทำใจยอมรับได้อย่างสนิทใจ แต่เพราะเธอและสามีได้เตรียมตัวเตรียมใจกับการจากไปของวีรดนย์มานานพอสมควรแล้ว ต่างจากวีร์ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ

       วิธูยกกระเป๋าที่สะพายออกจากบ่าของเขา รูปร่างของกระเป๋าบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าข้างในกระเป๋านั้นเป็นอะไร วิธูวางกระเป๋าใบนั้นลงตรงหน้าของวีร์แล้วก็นั่งยองลงจนสายตาอยู่ระดับเดียวกันกับวีร์

       วีร์เห็นแล้วก็รู้ได้โดยทันที

        “กูเอามาให้” วิธูยื่นกระเป๋าให้วีร์

       วีร์หันมามองวิธูด้วยความสงสัย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรับ แต่นี่ของความสำคัญของวีรดนย์ที่วิธูเองก็อาจจะอยากเก็บไว้เอง

        “เอาไปเถอะ ยังไงกูก็เล่นไม่เป็นอยู่แล้ว ไม่รู้จะเก็บไว้เองทำไม” วิธูเหมือนจะอ่านใจของวีร์ออกจึงได้พูดออกไป

        “แล้วกูเล่นเป็น” วีร์เอ่ยคำพูดมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน

       ทั้งวิธูและจิรัสย์อมยิ้มเล็กน้อย แต่ก็พยายามไม่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน

        “เอาหน่า กูไม่ได้อยากเล่นกีตาร์เป็น ส่วนมึงก็มีคนที่เล่นเป็นและพร้อมจะสอนให้รออยู่แล้ว”

       วีร์ถึงกับกรอกตาแล้วหันไปจ้องเขม็ง เขาคิดว่าเขาไม่ได้มองผิดว่าคนตรงหน้ายังคงมีรูปร่างสันทัดสูงใหญ่และมีผิวสีคล้ำ ไม่ได้มีรูปร่างพอๆกับเขา ผิวขาวกว่าเขา และหน้าตาจิ้มลิ้มกว่าเขา มองดูว่าคนตรงหน้ายังชื่อวิธู ไม่ใช่ศศิทัศน์

       วิธูยื่นกระเป๋ากีตาร์มาให้วีร์อีกครั้ง และวีร์ก็รับมาด้วยความไม่เต็มใจมากนักด้วยเพราะความรู้สึกมันสับสนปะปนกันไปหมด ทั้งดีใจ เสียใจ เศร้าใจ และคิดถึง

       วิธูหันมามองจิรัสย์ที่ใจตรงกัน เธอพยักหน้าให้กับลูกชายของเธอ

        “เดี๋ยวกูกับแม่ต้องกลับแล้วนะ ออกรถตอนนี้กว่าถึงบ้านคงจะดึก แต่ไม่กลับก็ไม่ได้พรุ่งนี้มีเรียนอีก” วิธูวางมือของเขาลงมือมือของวีร์ที่กำลังกอดกระเป๋ากีตาร์ของวีรดนย์ “วีร์ มีอะไรก็โทรมานะ ไม่โทรหากูก็โทรหาอีดำก็ได้ เข้าใจมั้ย”

       วีร์ได้แต่พยักหน้ารับ

        “งั้นกูไปละ ดูแลตัวเองดีๆนะ”

        “แม่กลับก่อนนะ กินข้าวกินปลาบ้างนะลูก” จิรัสย์ดึงวีร์เข้ามากอดอีกครั้ง ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งลูบผม ทั้งลูบหลัง ก่อนที่จะตัดสินใจผละออก เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะยังได้กอดกันอยู่อีกนาน

       แล้วจิรัสย์กับวิธูก็พากันเดินออกจากห้องนอนของวีร์ไป วิธูเดินรั้งท้ายโดยหันกลับมามองเพื่อนของเขาอีกครั้งที่ยังคงนั่งอยู่ที่พื้นข้างเตียงนอน กำลังลูบคลำกระเป๋าใส่กีตาร์อย่างทะนุทนอม ทำให้วิธูคิดว่าเขาตัดสินใจถูกแล้วที่ยกกีตาร์สุดรักสุดหวงของพี่ชายของเขาให้กับวีร์ไป



[อ่านต่อด้านล่าง]

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
        “เป็นไงบ้างครับ” ธีร์เอ่ยถามทั้งสองคนที่เดินลงบันไดมา

        “น้องก็ยังดูซึมๆนะ แต่ดีกว่าเมื่อวานงานเยอะ” จิรัสย์ตอบกลับชายหนุ่ม

        “ค่อยยังชั่วหน่อย เห็นเดินลงมากินข้าวเช้าแต่ก็กลับขึ้นไปขลุกอยู่ในห้องเหมือนเดิม เลยไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง” ธีร์รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอีกหน่อย

        “เดี๋ยวก็คงจะดีขึ้น ให้เวลาเขาสักหน่อย” จิรัสย์ยิ้มให้กำลังใจธีร์ “แล้วเรื่องแม่ของน้องวีร์ เป็นไงมาไง”

       ธีร์นิ่งไปเล็กน้อย แล้วมองดูทั้งจิรัสย์ วิธู และวิรัช สลับกันไปมา

        “ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้วครับ เพราะว่าก่อนหน้านี้พยายามติดต่อไปทางไหนก็ไม่ได้เลย แต่บังเอิญมาเจอกันที่นี่ครับ พอดีว่าน้องคนเล็กของวาเขาเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับวีร์ ก็เลยบังเอิญได้เจอกัน”

        “แล้วจะทำยังไงต่อละ” วิรัชเป็นคนถาม เขาอยากจะถามตั้งแต่ที่เขานั่งคุยกันอยู่ธีร์แค่สองคนแล้ว แต่ยังไม่อยากละลาบละลวงเรื่องของครอบครัวคนอื่น แต่เมื่อภรรยาของเขาเปิดทางให้เขาจึงเดินตามต่อ อย่างน้อยก็ในฐานะพ่อของคนที่ลูกชายของเขาเคยคบหาดูใจกัน

        “ก็ตั้งใจว่าจะเข้าไปของขมาพ่อแม่ของน้องวา แล้วก็จะได้จะจัดการสู่ขอและแต่งงานกันตามประเพณี”

        “อืม ก็ดีแล้วละ ทำอะไรให้ถูกต้องตามครรลองซะที แล้ววีร์ว่ายังไงบ้างล่ะ น้องโอเคมั้ย” จิรัสย์ถามต่อ

       ธีร์ชั่งใจอยู่ก่อนที่จะตอบ

        “ตอนแรกวีร์ก็ดูโอเคนะครับ แต่ว่าเกิดเรื่องซะก่อน ตอนนี้เลยยังไม่ได้คุยกัน”

        “เจ้าวีก็ดันมาจากไปตอนนี้พอดี” วิรัชถอนหายใจ

        “มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้นน่ะสิครับ” ธีร์ยิ้มแบบแหยๆเสียไม่ได้ จนทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียวกันด้วยความสงสัย “เผอิญว่าวันนั้นน้องวาเขาแวะมาหาเพื่อมาบอกข่าว ว่าเขาสงสัยว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์”

        “หา!” ทุกร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

        “แล้ววีร์ก็ดันมาได้ยินพอดี เลยมีเรื่องไม่เข้าใจกันนิดหน่อย แล้วรู้สึกว่าวันนั้นวีเขาย้ายเข้าห้องไอซียูพอดีด้วย ก็เลยยังไม่ได้คุยอะไรกันตั้งแต่วันนั้นเลยครับ”

       ผู้ใหญ่ทั้งสองคนได้แต่ถอนหายใจ

        “เอาเถอะ รีบหาเวลาคุยซะ ปล่อยไว้นานเกินจนท้องโย่ขึ้นมาซะก่อนจะแย่เอา” วิรัชเอ่ย

        “ทั้งกับวีร์แล้วก็ฝ่ายผู้หญิงด้วย” จิรัสย์เสริมคำพูดของสามี

        “ครับ” ธีร์รับคำ

        “งั้นพวกน้ากลับก่อนนะ เดี๋ยวจะถึงบ้านดึกเกิน”

        “ครับ ผมขอบคุณคุณน้าทั้งสองด้วยนะครับที่แวะมา”

        “ไม่เป็นพวกน้าก็คิดว่าน้องวีร์เหมือนลูกแท้ๆคนนึง เป็นห่วงไม่ต่างกัน” วิรัชเอ่ย

        “คนตายก็ตายไปแล้ว เขาหมดห่วงแล้ว เหลือแต่คนเป็นนี่แหละที่ยังมีให้ห่วงอยู่” จิรัสย์ปลงตกกับเรื่องราวที่ผ่านมา

       แล้วทุกคนก็ลาธีร์ออกมาขึ้นรถ เตรียมตัวกลับบ้านกัน

*****

       ถึงแม้ว่าช่วงกลางวีร์จะลงมากินอาหารเหมือนปกติ เพียงแต่ยังไม่ยอมพูดจามากมายอะไร ไม่ว่าธีร์ถามอะไรไปก็มีคำตอบกลับมาไม่กี่คำ แต่ธีร์ก็ยังคงพยายามต่อไปพยายามชวนคุยเรื่องราวทั่วไป จนเสร็จมื้ออาหารวีร์ก็กลับขึ้นไปบนห้องตามเดิม

       ช่วงบ่ายเหล่าเพื่อนๆทั้งสุรศักดิ์ ศศิทัศน์ นพชัย ชัยทิศ และพระยศ แวะเวียนมาหากับครบทีม ธีร์จึงเบาใจฝากให้ทุกคนช่วยอยู่เป็นเพื่อนวีร์ไปก่อน ส่วนเขาต้องออกไปซื้อของกินของใช้ในบ้านที่ขาดไป ทุกคนก็รับอาสาเป็นอย่างดีเพราะตั้งใจนัดหมายมาหาวีร์เพื่อเยี่ยมเยียนและเอางานของโรงเรียนที่เก็บไว้ช่วงที่วีร์ขาดเรียนเอามาให้วีร์ด้วย

       ตลอดช่วงเวลาบ่ายมีเสียงหัวเราะสนุกสนานครื้นเครงดังขึ้นอยู่ตลอดภายในห้องนอนของวีร์ แต่เจ้าของห้องนอนกลับยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ว่าเขากำลังฝืนหรือกำลังเก็กท่าหรืออะไร แต่เขาไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับเพื่อนๆของเขาในตอนนี้จริงๆ สายตาของวีร์จับจ้องไปที่กระเป๋ากีตาร์ที่พิงอยู่ที่ข้างฝาสลับกับทิวทัศน์นอกหน้าต่างเสียมากกว่า

       จนใครบางคนสังเกตเห็น

        “กีตาร์ใครวะ ของมึงเหรอ ไม่ยักรู้ว่าเล่นเป็น”

        “เปล่า ของพี่วี” คำตอบของวีร์ทำให้ศศิทัศน์ชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบค้างไว้ซะก่อน ส่วนคนอื่นๆที่เหลือก็เงียบเสียงลง “ไอ้ต่ายเพิ่งเอามาให้เมื่อเช้า”

        “เพื่อนมึงกลับไปแล้วเหรอ” พระยศลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิตัวตรงจากที่เคยนอนเอกเขนกบนพื้นห้องก่อนหน้านี้

        “อืม ก็พรุ่งนี้มีเรียนนิ”

        “แล้วมึงพร้อมจะกลับไปเรียนแล้วยัง” สุรศักดิ์เห็นโอกาสจึงหันหน้าไปถามวีร์และทุกคนก็รอฟังคำตอบ แม้ว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะกดดันอะไรแต่เพราะต่างคนต่างพร้อมใจกันเงียบลงทำให้ดูเหมือนเป็นเช่นนั้นไปโดยปริยาย

       วีร์ก้มหน้าลงมองพื้นและเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนที่สูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมา

        “ไปเหอะ ดีกว่าอยู่คนเดียวที่บ้าน” “ไม่มีใครมากวนมึงแน่นอน” “ถ้าเกิดว่ามีนะ เดี๋ยวพวกกูตั้งค่ายดาวเหนือปกป้องมึงเอง” ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างยกไม้ยกมือขึ้นทำท่าทางอย่างเช่นตัวละครจีนกำลังภายใน ทำให้วีร์อมยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก

        “เออ เดี๋ยวกูกลับไปเรียนพรุ่งนี้”

        “ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อนรัก” “เยี่ยมไปเลย เดี๋ยวกูจะไปฝึกกระบวนท่าให้คล่องขึ้น” แต่ได้รับการประทับฝ่ามือลงหลังศีรษะเบาๆ

        “เพื่อ...” สุรศักดิ์หันมามองทั้งนพชัยและชัยทิศ

       แล้วทุกคนก็กลับมาครื้นเครงกันอีกครั้ง แม้ว่าวีร์จะยังสงวนท่าทีของตัวเองอยู่บ้างแต่ก็มีปฏิกิริยากับเพื่อนๆมากกว่าเดิม จนเมื่อธีร์กลับมาบ้านแล้ว ทุกคนจึงขอลากลับบ้านของตัวเอง

       ธีร์ที่เห็นวีร์เดินลงมาส่งเพื่อนๆแล้วก็นั่งลงดูโทรทัศน์ ไม่ได้กลับขึ้นไปบนห้องนอน ก็รู้สึกเบาใจมากขึ้น พูดคุยอะไรไปก็เริ่มจะมาคำตอบกลับมายาวกว่าเดิม แม้จะยังไม่สดใสร่างเริงแบบเดิมแต่ก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

       หลังจากมื้ออาหารค่ำวีร์ก็ขอตัวกลับไปที่ห้องนอน วีร์จัดการเก็บข้าวของต่างในห้องที่เพื่อนๆของเขามาทำรกไว้ให้เข้าที่เข้าทาง แล้วจากนั้นวีร์ก็อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอน จัดเตรียมกระเป๋านักเรียนสำหรับวันพรุ่งนี้ให้เรียบร้อย ก่อนที่จะหันไปมองกระเป๋ากีตาร์และนึกอยู่ในใจว่าควรจะเก็บไว้ที่ไหนดี โดยคิดว่าอาจจะแวะร้านเครื่องดนตรีและซื้อขาตั้งสำหรับวางกีตาร์โดยเฉพาะมาด้วย

       แล้ววีร์ก็พลันนึกไปถึงซองสีน้ำตาลที่จิรัสย์เอามาให้ ลายมือที่อยู่บนซองไม่ได้เปลี่ยนไปไหน

        ‘ฝากให้น้องวีร์ด้วย

       วีร์หยิบซองสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมาดู เขาชั่งใจอยู่นานก่อนที่จะแกะปากซองออกดู ข้างในซองนั้นเป็นกลักพลาสติกใสสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มากนัก ภายในกลักบรรจุอุปกรณ์บันทึกข้อมูลขนาดย่อมไว้ วีร์จึงตัดสินใจเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาขึ้นมา แล้วก็เปิดลิ้นชักด้านข้างโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อหยิบอุปกรณ์ช่วยสำหรับการเชื่อมต่อออกมา

       เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว วีร์ก็เสียบแผ่นบันทึกข้อมูลขนาดย่อมเข้ากับอุปกณ์ช่วยที่เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วเขาก็เปิดโปรแกรมเพื่อเรียกดูข้อมูลด้านใน

       ภาพที่เห็นเป็นภาพตัวอย่างของไฟล์วิดีโอ ถึงแม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นภาพของวีรดนย์ที่อยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาล โดยที่มีกีตาร์ที่วีร์เพิ่งได้รับมาอยู่ในมือของวีรดนย์ด้วย

       วีร์ไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมที่จะเปิดดูภาพวิดีโอแล้วหรือไม่ แต่ความคิดถึงก็เอาชนะไปในที่สุด วีร์จึงคลิ๊กไปที่ไฟล์วิดีโอนั้นย้ำๆสองครั้ง แล้วโปรแกรมเล่นวิดีโอก็เปิดขึ้นมา

       สิ่งที่วีร์เห็นเป็นอย่างแรกเหมือนกับภาพตัวอย่างที่เขาเห็นก่อนหน้า แต่ทว่าชัดเจนมากขึ้น

       วีรดนย์กำลังยิ้มให้เขาก่อนที่จะก้มหน้าลงมองมือข้างซ้ายที่จับอยู่ที่คอของกีตาร์

       เสียงเกากีตาร์ขึ้นเป็นอินโทรเพลงที่วีร์เคยได้ยินวีรดนย์เล่นให้ฟังมาก่อน สายตาของวีร์ดนย์จับจ้องไปนิ้วมือของเขา บ่งบอกว่าเขากำลังตั้งใจที่จะเล่นเพลงนี้เป็นอย่างมาก ตัวโน้ตที่ถูกไล่ขึ้นและลงไปตามจังหวะยิ่งทำให้อารมณ์ของวีร์ยิ่งเศร้าหมองลง จนเมื่อนิ้วสะบัดลงบนเส้นสายทุกเส้น เสียงร้องของวีรดนย์ก็ดังออกมา


        You used to say that everyday
        (เธอเคยบอกว่าในทุกๆวัน)

        We will always be this way
        (เราสองคนจะอยู่ด้วยกันเช่นนี้ตลอดไป)

        Flying Angels lifting high
        (เหล่าเทวดาพาล่องลอยขึ้นไป)


        To reach the sun where I belong
        (เพื่อให้ถึงดวงตะวัน ที่ๆฉันต้องไป)

        You know you are the one
        (เธอก็รู้ว่าเธอคือคนนั้น)

        Above the clouds I see you cry
        (คนที่ฉันมองลงมาจากฟากฟ้าเห็นว่ากำลังร้องไห้)


        You know that when you smile you stop the rain
        (รู้ไหมว่าเธอยิ้มเมื่อไหร่ โลกจะสดใสขึ้นมาทันที)

        And we will be together once again
        (และเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง)


        Although I'm gone, remember me
        (ถึงแม้ว่าฉันจะจากไปแล้ว ก็ขอให้ยังจดจำฉันได้)

        Please be strong, I'll never leave
        (จงเข็มแข็ง เพราะว่าฉันจะไม่ไปไหนไกล)

        Just hold on, to the memories
        (เก็บความทรงจำดีๆเหล่านั้นเอาไว้)

        Cause while I'll here, all I'm thinking about is tomorrow Oh!
        (เพราะฉันจะรอคอยให้ถึงวันพรุ่งนี้)


       จังหวะการดีดกีตาร์ที่เปลี่ยนไป แม้ไม่หนักหน่วงเพราะไม่อาจจะทำเสียงรบกวนผู้ป่วยคนอื่นได้ระหว่างที่กำลังบันทึกวิดีโอนี้ แต่กลับบีบคั้นความรู้สึกให้ดำดิ่งลึกลงไปไกลกว่าเก่า


        From the moment that I looked into your eyes
        (นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันได้มองไปในนัยน์ตาของเธอ)

        All of my life I thought I'd be there by your side
        (ฉันก็คิดอยู่เสมอว่าตลอดชีวิตนี้จะอยู่ข้างๆเธอตลอดไป)

        I wish I'd took the time to find the words to say
        (ฉันรู้ว่าฉันควรจะหาโอกาสบอกเธอให้เร็วกว่านี้)


        You know when you stop the rain
        (รู้ไหมว่าเธอยิ้มเมื่อไหร่ โลกจะสดใสขึ้นมาทันที)


       แล้วทุกอย่างก็เงียบลง ทั้งเสียงกีตาร์ เสียงคนร้อง และเสียงคนฟัง วีร์มองดูวีรดนย์ที่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม ราวกับว่าคนที่เขากำลังมองนั้นกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้จริงๆ

        “วีร์ ยังจำสัญญาที่ให้กับพี่ได้มั้ยครับ เราเกี่ยวก้อยกันแล้ว พี่หวังว่าจะยังไม่ลืมนะ เสียใจได้ ร้องไห้ได้ ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายแล้ววีร์จะต้องกลับมายิ้มให้ได้นะครับ วีร์จะต้องเดินต่อไปให้ได้ แล้วพี่จะรอคอยจนถึงวันที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง รอฟังเรื่องราวต่างๆของวีร์หลังจากนี้ วีร์จะต้องมีเรื่องมาเล่าให้พี่ฟังเยอะๆจนไม่รู้จักเบื่อ และรอเห็นรอยยิ้มของวีร์ ไหน... ยิ้มให้พี่ดูหน่อยสิครับ

       วีรดนย์ในคลิปวิดีโอยิ้มกว้างขึ้น แล้วเสียงสะบัดนิ้วลงบนเส้นสายไปตามคอร์ดเพลงก็ดังขึ้นอีกครั้ง


        You know when you stop the rain
        (รู้ไหมว่าเธอยิ้มเมื่อไหร่ โลกจะสดใสขึ้นมาทันที)

        And we will be together once again
        (และเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง)


       แล้วภาพก็หยุดอยู่ที่รอยยิ้มของวีรดนย์ บรรยากาศในห้องเงียบลงไปในทันที จะมีเพียงก็เสียงสะอื้นเบาๆของคนที่นั่งจ้องดูวิดีโอนั้นอยู่ น้ำตาที่ไหลออกมาเพราะไม่อาจจะห้ามไว้ได้แล้ว กระนั้นก็ยังจะเม้มปากเกร็งฝืนไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ยิ่งอั้นไว้ก็เหมือนยิ่งมีแรงผลักออกมาจนไม่อาจเก็บไว้ได้อีกต่อไป

       วีร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบลงบนหน้าจอ ราวกับต้องการจะสัมผัสคนตรงหน้าให้ได้

        “วีร์จำได้ พี่วี วีร์จำได้ แต่ขอหนึ่งวันนะพี่ ขอแค่วันนี้เท่านั้น”

       แล้ววีร์ก็ก้มหน้าลงบนฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง แล้วก็ปล่อยความรู้สึกที่เก็บกดไว้นานให้ไหลถาโถมออกมาไม่ขาดสาย เขาคิดว่าเขาจะเข็มแข็งพอที่จะผ่านเรื่องราวในตอนนี้ไปได้ แค่ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นก็เพียงพอแล้ว แต่เขาคิดผิด เพราะความหวังและความฝันที่เขาวาดเอาไว้ ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

       หน้าจอที่ดับลงตามการตั้งค่าไว้เมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวๆใด บ่งบอกถึงระยะเวลาที่ได้ผ่านไป ความมืดเข้าปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง เหลือเพียงแสงไฟยามราตรีจากถนนด้านนอกที่ยังพอเล็ดลอดเข้ามาได้บ้างทำให้พอจะมองเห็นร่างที่สั่นเทิ่ม ความเศร้าที่ถูกเก็บกดไว้ยังคงหลั่งไหลออกมาไม่หยุด

       และอาจจะยาวนานไปจนถึงวันพรุ่งนี้



[โปรดติดตามตอนจบ]



หมายเหตุ: เนื้อเพลงบางส่วนของเพลง Tomorrow โดยศิลปิน a1
Apple Music
Spotify
Youtube
Joox

ออฟไลน์ Grey Twilight

  • Moderator
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-17
เขียนได้ดีเลยนะครับ นี่แหละใช่เลย

การก้าวข้ามผ่านการสูญเสีย มันมีกระบวนการของมัน คนที่เงียบๆ มันมีการแปลความหมายได้หลายแบบครับ มันต้องมองตาที่คนที่เงียบหรืออ่านภาษากายแล้วจะรู้ อย่างวีร์ การเงียบของวีร์ไม่ใช่การช็อคแล้วปิดกั้นไม่ให้ใจไม่รับรู้ ไม่ใช่การพยายามเบี่ยงเบนความสนใจหรือการอยากเรียกร้องความสนใจมาเพื่อปิดแผลของการสูญเสีย แต่เป็นความพยายามที่อยากจะทำให้ได้ตามที่สัญญาไว้มากกว่า คาแรกเตอร์ของวีร์เป็นตัวละครที่มีความเข้มแข็งสูงมากนะครับ คงเพราะว่าแฟนป่วยมานาน แล้วเขาก็พยายามจะใช้เวลากับแฟนด้วยการทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง การเห็นบ่อยๆและอยู่กับมันบ่อยๆ จะทำให้คนเข้มแข็งขึ้น

ดังนั้น แม้ว่าจะสัญญากับแฟนแล้ว แต่พอเกิดเรื่องการสูญเสีย เป็นการตอกย้ำว่าเขาทำอะไรไม่ได้เลย ผลสุดท้ายคือเขาต้องสูญเสียแฟนของเขาไป แม้ว่าจะสัญญาไว้แล้ว แต่ความเสียใจ ความอัดอั้น ความคิดถึง ทั้งหมดมันเป็นอารมณ์สะท้อนจากความจริงคือการสูญเสีย มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วีร์คิดว่าเขาต้องเข้มแข็ง เขาต้องผ่านไปให้ได้ มันเลยกลายเป็นเส้นกั้นบางๆที่กั้นระหว่างสัญญาของเขากับแฟน และการระบายความสูญเสียและโศกเศร้าของตัวเอง

วีร์เอาสัญญาตัวนั้นมาบอกว่าตัวเองต้องเข้มแข็ง ต้องไม่ร้องไห้ ต้องไม่โศกเศร้า แต่ความผูกพันและสายสัมพันธ์มันลึกซึ้งเกินกว่าที่สมองและใจเขาจะรับได้ครับ ความเงียบของวีร์คือการพยายามตั้งใจว่าต้องผ่านไปให้ได้ มันเป็นการกดดันและคาดหวังกับตัวเอง แต่พอเจอความจริงและสัมผัสกับความอ่อนโยนของสายสัมพันธ์นั้นจังๆ มันทำให้เส้นกั้นนั้นพังทลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีครับ อย่าหลีกเลี่ยงอารมณ์ที่มันจำเป็นต้องระบายเพื่อให้เกิดการยอมรับ เมื่อยอมรับแล้วคุณจะทำตามสัญญานั้นได้ง่ายขึ้น คุณจะไม่ถูกพันด้วยสัญญาในอดีตหรือเรื่องราวที่คุณคาดหวังกับตัวเองโดยที่ไม่ปลดพันธะนั้นออกจากบ่า

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห้ออ สู้ต่อนะ มันต้องมีความสุขแล้วสิหลังจากนี้

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ sarawit

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 95
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ตอนที่ 14 วันฟ้าใหม่

       ธีร์ตื่นมาแต่เช้าเพื่อจะเตรียมตัวทำอาหาร ในวันนี้เขามีการประชุมใหญ่ที่เขาจำเป็นต้องเขาร่วมอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นห่วงวีร์กลัวว่าอยู่บ้านคนเดียวทั้งวันจะไม่มีอะไรกิน จึงตั้งใจว่าจะทำอาหารเตรียมไว้ให้ก่อนจะออกไปทำงาน

       แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้เริ่มจัดเตรียมของสด ธีร์ก็ได้ยินเสียงดังมาจากที่บันไดบ้านจึงรีบเดินออกมาห้องครัวมาดู ก็เห็นวีร์ที่ใส่ชุดนักเรียนเรียบร้อยแล้วพร้อมกับกระเป๋าเป้สะพายอยู่ที่บ่าข้างหนึ่ง วีร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านเขาไปยังตู้เย็นแล้วหยิบขวดแก้วใส่น้ำออกมาแล้วยกขึ้นดื่ม แล้วก็รีบเดินกลับไปที่หน้าประตูบ้านทันที

       เพียงแต่ว่าวีร์โดนธีร์รั้งแขนเอาไว้ก่อน

        “รีบไปไหน ไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอ”

        “ไม่อะ เดี๋ยวไปหาอะไรที่โรงเรียนดีกว่า วันนี้พี่ธีร์มีประชุมเช้าไม่ใช่เหรอ” วีร์ถามย้อนกลับ

        “มันก็ใช่...” ยังไม่ทันที่ธีร์จะได้พูดต่อวีร์ก็รีบขัดขึ้นมาในทันที

        “งั้นไปเตรียมตัวได้แล้ว ไปสิ” วีร์สะบัดมือไล่

        “ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้รีบขนาดนั้น” ธีร์ยังคงรั้งแขนวีร์เอาไว้อยู่

        “ไม่ต้อง เสียเวลาเปล่าๆ ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำไม่ใช่เหรอ” วีร์มองดูธีร์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เสื้อผ้าที่ยังคงเรียบร้อยและมือที่ยังคงสะอาดสะอ้าน

        “ไม่ต้องห่วง ทำแป๊บเดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ธีร์ยังคงยืนยัน

       วีร์หลับตาเงยหน้าขึ้น แล้วก็ก้มหน้าลงพร้อมถอนหายใจยาวๆ

        “พี่ธีร์ ไปเตรียมตัวไปทำงานเถอะ นะ เดี๋ยววีร์ไปหาอะไรกินที่โรงเรียนเอง” ธีร์เห็นวีร์ดังนั้นแล้วก็ใจอ่อนยอมทำตาม จึงปล่อยแขนวีร์เป็นอิสระ

       วีร์จึงรีบไปใส่รองเท้านักเรียนแล้วก็เดินออกจากบ้านไป แต่ไม่นานนักวีร์ก็ย้อนกลับมาโผล่หน้าที่ประตูหน้าบ้านพร้อมกับรอยยิ้ม

        “เรื่องพี่วา เดี๋ยวเราค่อยหาเวลาคุยกัน วีร์ไปก่อนนะ”

       แล้วก็ทิ้งให้ธีร์กำลังงงแบบไม่ทันตั้งตัวว่าเพิ่งจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าทางของวีร์ที่ดูเหมือนกลับมาเป็นปกติเกือบทุกอย่าง แล้วยังพูดถึงเรื่องของวนกรอย่างไม่มีท่าทีโกรธเคืองหรือไม่พอใจแต่อย่างใด ธีร์จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าจะอะไรต่อไประหว่างจะโทรศัพท์ไปหาพ่อและแม่ของเขา หรือจะโทรไปหาวนกรก่อนดี หรือควรไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวไปทำงาน หรือออกไปตามวีร์ให้กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน

*****

       เวลายามเช้าเช่นนี้ ยังมีนักเรียนมาถึงโรงเรียนไม่มากนัก ไม่จำเป็นจะต้องเดินเบี่ยงซ้ายทีขวาทีเพื่อหลบนักเรียนคนอื่นๆที่ยืนจับกลุ่มคุยกันตามทางเดินแม้แต่หน้าบันไดทางขึ้นตึกเรียนก็ตาม วีร์จึงเดินขึ้นมาถึงห้องเรียนของเขาได้โดยสะดวก

       เมื่อเข้าไปในห้องเรียนแล้ว วีร์ก็คล้องสายกระเป๋าเป้ลงบนพนักเก้าอี้ ในเก๊ะใต้โต๊ะเรียนมีเอกสารจำนวนหนึ่งวางอยู่ วีร์จึงหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นงานกลุ่มส่วนที่เหลือที่เขาจะต้องตามงานให้เสร็จ เขาคงจะต้องรีบวางแผนจัดการงานทั้งหมดก่อนจะเข้าช่วงสอบปลายภาค แต่ตอนนี้เสียงของกระเพาะดังประท้วงออกมาทำให้เขาต้องวางเรื่องนี้ลงก่อน และตัดสินใจไปโรงอาหาร

       อาจเป็นเพราะว่ายังเป็นเวลาเช้ามาก จำนวนนักเรียนที่มีไม่เยอะมากอยู่แล้วและยิ่งคนที่วีร์รู้จักยิ่งมีไม่กี่คนเท่านั้น วีร์จึงทันไม่ได้สนใจว่ามีใครหลายคนกำลังมองเขานับตั้งแต่เขาเดินเข้าโรงเรียนมา ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นนักเรียนใหม่เพราะว่าความใหม่นั้นมันจางหายไปนานแล้วเมื่อเวลาได้ผ่านมาจนจะจบปีการศึกษาแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเขาขาดเรียนไปหลายวันเพราะเรื่องของเขาและวีรดนย์แทบจะไม่มีใครในโรงเรียนที่รู้ แม้แต่กับนพชัยและชัยทิศที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองวีร์ที่เดินมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยแบบไม่วางสายตา นั้นเป็นเพราะว่า...

        “เฮ้ย! ทำไมมึงมานั่งอยู่ตรงนี้”

       คนที่ถูกถามสะดุ้งขึ้นทันทีที่เขาเพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ยาว เป็นโชคดีที่เขาวางจานข้าวและแก้วน้ำลงบนโต๊ะก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจมีเรื่องไม่คาดฝันและเดือนร้อนไปถึงแม่บ้านทำความสะอาดเกิดขึ้นได้

        “อะไรของมึง” วีรมาตุหันหน้าไปถามเพื่อนของเขา

        “มึงยังไม่เห็นเหรอ” พร้อมสรรพถามคนตรงหน้า

        “เห็นอะไร” วีรมาตุไม่ได้ใส่ใจในท่าทีของเพื่อนของเขามากนัก เขาจึงก้มลงตักอาหารกิน เพราะเขาต้องรีบไปจัดการงานของชมรมดนตรีให้เสร็จก่อนจะเริ่มเรียนวิชาแรกในวันนี้

        “สี่นาฬิกาไง มึงหันไปดู” ชัชวาลบอกทิศทางให้เพื่อนของเขา วีรมาตุก็หันศีรษะตามแต่กลับโดนไมตรีจิตผลักให้หันไปอีกทาง

        “ไอ้ห่าชัช สี่นาฬิกานั่นมันของมึง ต้องสิบนาฬิกาโว้ย” ไมตรีจิตรีบแก้ความเข้าใจผิดในทันที

        “อะไรของพวกมึ...” วีรมาตุหันศีรษะไปตามแรงผลักของไมตรีจิตจนเขาเห็นในสิ่งที่เพื่อนๆของเขาต้องการให้เขาเห็น

        “เป็นไงๆ อึ้งไปเลยอะสิ” พร้อมสรรพยักคิ้วหลิ่วตามแซวเพื่อนของเขา

        “มึงเดินมาไงวะถึงมองไม่เห็นน้องเขา กูกับไอ้ไมค์เห็นตั้งแต่เดินเข้าโรงอาหารแล้ว” ชัชวาลช่วยเพิ่มระดับการแซว “พูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปเลยเพื่อนเรา”

        “...” วีรมาตุได้แต่นั่งมอง มือที่ถือช้อนและซ้อมยังคงค้างอยู่ในจานข้าว ยังไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากของเขา นับตั้งแต่เขาหันไปเห็นคนที่นั่งอยู่ไกลๆนั้น

        “อุต๊ะ! ไม่ยักรู้ว่าน้องวีร์เขาใส่แว่นด้วย ดูน่ารักจิ้มลิ้มขึ้นเป็นกองเลย” เสียงของสมาชิกอีกคนที่เพิ่งจะมาร่วมทีมมื้ออาหารเช้าในวันนี้

        “เห็นมะ ขนาดไอ้หมูยังเห็นเลย ไอ้เชี่ยวี มึงชอบน้องเขาจริงป่ะเนี่ย” พร้อมสรรพจ้องหน้าวีรมาตุ

        “มึงจะไปเอาอะไรกับมัน ตั้งแต่เดินเข้าโรงอาหารมา หน้านี่ซุกอยู่กับแฟ้มงาน มันไม่เดินชนโน้นชนนี่ก็ดีถมไปแล้ว” ชัชวาลหยิบซ้อมของตัวเองแล้วจิ้มลงไปในจานของวีรมาตุ เพราะเห็นเจ้าตัวคงจะอิ่มทิพย์ไปแล้วเป็นแน่

       คุณกรเอามือโบกตรงหน้าของวีรมาตุอยู่หลายครั้งกว่าที่เจ้าตัวจะปัดมือออกด้วยความรำคาญ

        “จะนั่งอยู่นี่อีกนานมั้ย ยังไม่ลุกไปอีก”

       วีรมาตุมองดูเพื่อนๆของเขาทีละคน ไม่ว่าใครก็คะยั้นคะยอให้เขาลุกไปยังโต๊ะที่วีร์กำลังนั่งอยู่กับเพื่อนๆ

        “ไป ลุกไปเลยมึง ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนคนอื่นจะคาบไปแดก” ไมตรีจิตทั้งผลักทั้งดันให้วีรมาตุลุกขึ้นจนกว่าจะสำเร็จ

        “เออๆๆๆ” วีรมาตุลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงเสื้อนักเรียนให้ตึงขึ้น สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะออกเดินมุ่งหน้าไปยังโต๊ะอาหารที่วีร์และเพื่อนๆของเขานั่งอยู่ ซึ่งรวมถึงศศิทัศน์น้องชายของเขาเองก็นั่งอยู่ด้วยกัน

        “กูไม่ยักจะรู้นะว่ามึงสายตาสั้นด้วย” วีรมาตุเดินเข้ามาในระยะใกล้พอได้ยินเสียงของศศิทัศน์

        “อืม ปกติใส่คอนเทคเลนส์” วีร์ตอบพลางกินข้าวไปพลาง

        “แล้วไมวันนี้ใส่แว่นมาวะ” ศศิทัศน์ถามต่อ

        “ก็ปวดตานิดหน่อย”

       ทั้งศศิทัศน์ นพชัยและชัยทิศ ต่างก็สังเกตเห็นได้ว่าวีร์มีอาการตาแดงอยู่เล็กน้อย แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

        “แต่ก็ดีแล้วมึงกลับมาเรียนสักที หายไปตั้งหลายวัน อาจารย์ถามหาตั้งหลายคน” หนึ่งในฝาแฝดพูดขึ้นมา

        “ถามหากู? เพื่อ?”

        “งานครับงาน มีงานต้องส่งเพียบ เดี๋ยวมึงจะไม่มีคะแนนเก็บ” แฝดอีกคนตอบ

        “อืม รู้แล้ว”

       แล้วต่างคนก็นั่งเงียบไปได้พูดจาอะไรต่อ มองดูวีร์กินอาหารต่อไป

        “อ้าว เฮีย มีไรป่าว” ศศิทัศน์เงยหน้าขึ้นมาแล้วจึงมองเห็นพี่ชายของเขากำลังยืนอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่ยอมเดินเข้ามา ทำให้วีร์เงยหน้าขึ้นมองด้วย รวมถึงฝาแฝดนพชัยและชัยทิศก็หันหลังไปมอง

        “เชิญนั่งครับเฮีย เชิญนั่ง” พวกคู่แฝดต่างขยับที่นั่งของตัวเองไปข้างๆ และเชื้อเชิญให้วีรมาตุนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ตรงข้ามกับวีร์พอดี

       วีรมาตุยังไม่ละสายตาไปจากวีร์ เขายังตกอยู่ในห้วงภวังค์ของภาพที่เห็นแต่ก็ยังพอจะมีสตินั่งลงตรงหน้าวีร์ได้

        “น้องวีร์เป็นไงบ้าง โอเคแล้วยัง”

        “ก็ โอเคแล้วครับ” วีร์ตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มเล็กๆให้ พลอยทำให้วีรมาตุเผลอยิ้มตามด้วย

        “ดีแล้วครับ”

       แล้ววีร์ก็ก้มหน้าลงกินข้าวตามเดิม แต่วีรมาตุยังแน่นิ่งอยู่กับรอยยิ้มของตัวเองและมองดูรุ่นน้องตรงหน้าไปวางตา ศศิทัศน์เห็นโอกาสอันดีเช่นนี้จึงรีบออกตัวในทันที

        “เอ่อ มึง ไอ้กิ่งไอ้ก้าน กินเสร็จแล้วใช่ปะ” ทั้งสองคนนั้นหันมามองศศิทัศน์อย่างงงๆ “กินเสร็จแล้วก็ไป เอ่อ ไป...” ศศิทัศน์พยายามนึกหาเหตุผลที่ดูเข้าทีแบบปัจจุบันทันด่วน นพชัยและชัยทิศก็พลอยลุ้นไปด้วยว่าศศิทัศน์จะหาข้ออ้างอะไร

        “งานอาจารย์ยิ้มเสร็จแล้วเหรอ” สุดท้ายแล้วเป็นวีร์ที่เอ่ยออกมา ทำให้เพื่อนทั้งสามคนของเขาหันมามองด้วยความแปลกใจ วีร์จึงหันไปพูดกับเพื่อนๆเขาต่อ “กูเห็นใบงานใต้โต๊ะกูมีของอาจารย์ยิ้มด้วย ลงวันที่ไว้ว่าส่งวันนี้ ของกูยังพอมีข้ออ้างได้ว่าลาหยุดเลยเพิ่งรู้วันนี้ แต่ของพวกมึงอะ เสร็จแล้วยัง”

        “เออว่ะ” “ใช่ ลืมไปเลย” แล้วทั้งนพชัยและชัยทิศก็หันไปหาศศิทัศน์ “มึง ขอลอกหน่อย นะๆ” “กูรู้ว่ามึงทำเสร็จแล้ว”

       ศศิทัศน์กำลังสองจิตสองใจ เพราะนี่เป็นเหตุผลที่ดีที่จะดึงตัวเองออกมาและปล่อยให้วีร์และพี่ชายของเขาได้อยู่กันตามลำพัง แต่เขาก็ไม่อยากให้เพื่อนลอกงานส่งไปง่ายๆ เพราะอาจารย์ยิ้มหรืออาจารย์ชัยวัฒน์ขึ้นชื่อมากเรื่องตรวจงานละเอียดยิบ ถ้าจับได้ว่านักเรียนลอกงานกันมาส่งมีต้องโดนหักคะแนนเป็นแน่

       แต่ว่าความสุขของพี่ชายชนะทุกสิ่ง

        “จะลอกก็รีบไป เร็ว”

       แล้วทั้งสามคนก็กุลีกุจอลุกขึ้นเก็บจานอาหารแล้วจึงบอกลาวีร์และวีรมาตุไป วีรมาตุมองตามศศิทัศน์ที่ขยิบให้เขาขณะที่เดินออกไปจนพ้นประตูโรงอาหาร สายตาก็ไปสบกับเพื่อนๆของเขาที่มองมาทางนี้กันทุกคน แต่ละคนต่างมีท่าทางลุ้นๆให้เขาเดินหน้าทำคะแนน วีรมาตุส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความระอาใจแล้วก็หันกลับมาพบว่าวีร์กำลังมองเขาอยู่

       ตั้งแต่คนอื่นๆออกไปกันหมดเหลือเพียงพวกเขาที่นั่งอยู่กันแค่สองคน ความเงียบจึงกลับเข้ามาแทนที่เพราะยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา ได้แต่จ้องหน้ากันไปมาเท่านั้น

       วีรมาตุพยายามนึกถึงคำพูดว่าเขาควรจะพูดเรื่องอะไรอย่างไรดี เขาควรจะพูดให้กำลังใจวีร์หรือไม่ เขาไม่รู้ว่าในตอนนี้นั้นวีร์ยังต้องการอีกหรือเปล่า หรือว่าเขาควรจะปลอบใจอย่างไรที่ไม่ทำให้วีร์รู้สึกเศร้าใจไปอีก แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจได้นั้น

        “วีร์มีเรื่องจะถามเฮียหน่อยครับ” วีร์รวบซ้อมส้อมวางลงบนจาน และผลักจานออกไปด้านหน้าตัวเขาเล็กน้อย เขาวางแขนลงบนโต๊ะ มือทั้งสองข้างวางทับกันอยู่

        “อ๋อ ได้ครับ น้องวีร์อยากจะถามอะไรเฮียก็ว่ามาเลยครับ” วีรมาตุที่อึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่จะรีบเก็บอาการของตัวเอง และรอคำถามจากคนตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

        “ถึงตอนนี้แล้ว เฮียบอกได้แล้วยังครับว่าเฮียกับพี่วีคุยอะไรกัน”

       วีรมาตุรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไปเล็กน้อยก่อนที่จะตอบ

        “เอ่อ... ก็แค่เรื่องเก่าๆน่ะ ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันนาน”

       แต่สายตาของวีร์ที่มองกลับมาทำให้วีรมาตุรู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันที แม้จะเป็นสายตาภายใต้กรอบแว่นอันนั้นก็ตาม

        “แน่ใจเหรอครับ” วีร์ถามย้ำอีกครั้ง

        “ก็ครับ มีแค่นั้นจริงๆ” วีรมาตุก็ย้ำคำตอบเดิม

        “ถ้าเฮียอยากจะยืนยันอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไรครับ” วีร์ฉีกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย

       ทั้งคู่ต่างหันมองไปทางอื่นรอบๆตัว วีร์ยังคงเห็นกล้องโทรศัพท์มือถือเล็งมาที่พวกเขาบ้างประปราย และคิดว่าเดี๋ยวก็คงจะมีรูปของพวกเขาในสื่อสังคมออนไลน์เป็นแน่ แล้วอีกไม่นานพวกเพื่อนๆเขาก็คงจะเอามาให้ดูอีกตามเคยเหมือนเมื่อคราวที่เขาและวีรมาตุไปเดินเลือกซื้อของขวัญให้คุณกร แต่ยังโชคดีที่ไม่มีรูปตอนที่พวกเขากำลังเลือกซื้อถุงยางอนามัยกัน ไม่เช่นนั้นคงจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นเป็นแน่

        “เอ่อ น้องวีร์จะตามงานที่ขาดทันมั้ยครั้บ” วีรมาตุทำลายความเงียบขึ้นมา

        “ยังไงก็คงต้องให้ทันครบทุกงานละครับ”

        “ยังเหลืออีกเยอะมั้ยครับ ให้เฮียช่วยอะไรมั้ย”

        “ก็งานที่ไอ้ต่ายเพิ่งเอาไปให้เมื่อวันเสาร์กับที่เห็นใต้โต๊ะวันนี้ ก็น่าจะเยอะอยู่นะครับ” วีร์พยายามนึกถึงงานที่ต้องทำส่งอาจารย์ทั้งหมด

        “งั้นเดี๋ยวตอนเย็นเอามาให้เฮียช่วยมั้ยครับ”

        “ไม่เป็นไรครับเฮีย น่าจะทำเองทัน”

        “แต่เฮียอยากจะช่วยจริงๆนะครับ”

        “เฮียครับ งานชมรมดนตรีก็ล้นมืออยู่แล้ว อีกอย่างเฮียต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหา’ลัยแล้วนะครับ”

        “แต่ว่า...”

        “เฮียครับ” วีร์รีบแย้งขึ้นมาก่อน “วีร์รู้ว่าเฮียคิดยังไงกับวีร์ ยิ่งตอนนี้ที่เฮียรู้ว่าวีร์ไม่มีใครแล้วเฮียเลยอาจจะรู้สึกว่าอยากจะรีบทำคะแนน”

       คำพูดของวีร์ทำเอาวีรมาตุนิ่งเงียบไป

        “วีร์ยอมรับว่าวีร์ก็รู้สึกดีกับเฮีย แต่วีร์ยังไม่พร้อมจะเปิดใจรับใครใหม่ในตอนนี้ เฮียเข้าใจใช่มั้ยครับ”

       ถึงวีรมาตุจะไม่อยากเข้าใจแต่เขาก็พยักหน้ารับ เพราว่าเขาคือคนที่มาทีหลัง ส่วนคนที่จากไปนั้นไม่ได้จากไปเพราะหมดรัก แต่จากไปทั้งๆที่รักกันอยู่และไม่มีวันที่จะได้เจอกันอีกแล้ว

        “เฮียเข้าใจครับ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ใครก็เข้าไปแทนที่กันได้”

        “วีร์เองก็ไม่ได้จะมองหาใครมาแทนที่เขา แต่วีร์ยังไม่พร้อมจะคิดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้จริงๆ เรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้เหมือนเดิม ส่วนเรื่องอนาคตก็เป็นเรื่องของอนาคต”

       วีรมาตุก็พยักหน้าตามเล็กน้อย และวีร์ก็สังเกตได้ว่าวีรมาตุมีสีหน้าสลดลง เขาจึงตัดสินใจบางอย่าง

        “เฮียครับ เอาไว้ให้เฮียสอบหมอติดก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกันเรื่องนี้ โอเคมั้ยครับ” แล้ววีร์ก็ยื่นนิ้วก้อยข้างหนึ่งออกไปข้างหน้า

        ‘น้องชอบให้สัญญาด้วยนิ้วก้อย แต่ถ้าเกี่ยวแล้วน้องจะยึดตามสัญญานั้นไม่บิดพริ้วเลย’

       วีรมาตุเห็นนิ้วก้อยตรงหน้า ก็พลันนึกไปถึงคำพูดของวีรดนย์ว่าวีร์รักษาสัญญาที่เกี่ยวก้อยไว้ยิ่งชีวิต และขอให้เขายึดคำสัญญาไว้ด้วยเช่นกัน แต่หากว่าเขาไม่มั่นใจว่าจะทำได้ก็อย่าได้เกี่ยวก้อยกับวีร์เป็นอันขาด

       วีรมาตุเงยหน้าขึ้นมองวีร์ แล้วจึงตัดสินใจยื่นนิ้วก้อยของตัวเองออกไปเกี่ยวด้วย ทำให้ในตอนนี้ในใจของวีรมาตุคิดเพียงอย่างเดียวว่าต้องสอบติดคณะแพทย์ศาสตร์ให้ได้ก่อนเท่านั้น

*****

       อีกเรื่องหนึ่งที่แม้วีร์ยังไม่อยากจะเอาเข้ามาคิดให้รกหัวสมองในตอนนี้ แต่ก็ไม่อาจจะมองข้ามไปได้ เพราะสุดท้ายแล้วหากประวิงเวลาไปเรื่อยๆ หน้าท้องที่เริ่มใหญ่ขึ้นทุกวันไม่อาจจะปิดบังไปได้นาน เสียอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี

       สุดสัปดาห์นี้จึงเป็นการอยู่กันกับพร้อมหน้าเกือบครบทั้งครอบครัว นับตั้งแต่วันที่วีร์ได้รู้ว่าแม่แท้ๆของเขาเป็นใคร ทั้งยุทธ นุช และอรรวมถึงเอกแฟนหนุ่มของอร ต่างก็ขึ้นมารวมตัวกันด้วย ยกเว้นก็เพียงภูมิที่ติดภาระเรื่องการเรียนไม่อาจจะปลีกตัวมาได้ทำให้ขาดไปแค่คนเดียว และทันทีที่ทุกคนเดินทางมาถึง ธีร์และวนกรต่างก็เชิญทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหาร โดยวีร์เดินตามมาด้วยอย่างเสียไม่ได้

        “ก็ ไม่รู้ว่าทุกคนจะยังจำน้องวาได้รึเปล่า” ธีร์เริ่มอารัมภบท

        “จำได้สิ ก็เพื่อนห้องเดียวกับภูมิใช่มั้ย” อรพูดแทรกขึ้นมา

        “อร!” นุชส่งเสียงเตือนลูกสาวคนโต

        “อะไรแม่ ก็น้องเขารุ่นเดียวกันกับภูมิไม่ใช่เหรอ”

        “มันก็ใช่ แต่...” นุชพยายามส่งสัญญาณให้อรรู้โดยเพยิดหน้าไปทางวีร์ที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ

        “นุ้ยรู้แล้วว่าพี่วาคือแม่ของนุ้ย”

       เสียงของวีร์ทำเอาคนอื่นๆหันมามองเขาเป็นสายตาเดียวกัน

        “อ๋อ คนนี้เองหรอกเหรอ”

        “พี่เอก!” อรกระตุกแขนแฟนหนุ่มของเธอ จนเอกทำหน้าเหรอหรา แล้วหันมาขอโทษกับทุกคน

        “ก็ นั่นแหล่ะครับ นี่น้องวา เป็นแม่แท้ๆของวีร์แล้วก็...” ก่อนที่ธีร์จะพูดจบวีร์แทรกขึ้นมาซะก่อน

        “เข้าเรื่องเลยเถอะพี่ธีร์”

        “ก็ คือ เราตัดสินใจจะกลับมาคบหาดูใจกันอีกครั้ง แล้วก็เดี๋ยวธีร์จะเข้าไปบ้านน้องวาไปขอ...”

        “พี่ธีร์” วีร์พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามช่วยกรุยทางลัดให้เข้าเรื่องโดยเร็วที่สุด “เข้าเรื่องสักทีเหอะ”

        “นี่ไง พี่กำลังจะบอกว่าเดี๋ยวพี่กับวาจะ...”

        “พี่วากำลังท้อง”

       ทุกคนต่างนิ่งเงียบกันเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ละคนต่างนึกว่าที่พวกเขาถูกเรียกตัวขึ้นมาก็แค่ไปเป็นกำลังเสริมเพื่อช่วยเกลี่ยมกล่อมให้พ่อและแม่ของวนกรยอมใจอ่อนยกโทษและยอมให้ทั้งสองคนได้คบหาดูใจกัน แต่หากว่าคนที่บ้านโน้นรู้ว่าสองคนนี้กลับชิงสุกก่อนห่ามเป็นรอบที่สองด้วยแล้วละก็ คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเป็นแน่

       ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือทำอะไรต่อไปดี

        “เป็นลูกผู้ชาย กล้าทำแล้วก็ต้องกล้ายอมรับ” ยุทธพูดขึ้นมา “รอบนี้จะเอายังไง ไม่ใช่เด็กๆแล้ว จะจัดการยังไง”

       ธีร์และวนกรต่างกุมมือของกันและกัน ธีร์มั่นใจอยู่แล้วว่าครอบครัวของเขายังเป็นที่เพิ่งทางใจให้ได้ แต่ว่าทางครอบครัวของวนกรนั้นยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

        “เดิมทีตั้งใจว่าจะเข้าไปขอขมาคุณพ่อน้องวาก่อน แล้วก็จะสู่ขอน้องวาแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่ว่าน้องวาเกิดท้องเสียก่อน แล้วก็...” ระหว่างที่ธีร์กำลังพูดก็มีเสียงพึมพำจากข้างๆว่าทั้งคู่ทำอะไรไม่รู้จักคิด จนธีร์หันไปมองแต่ก็พูดต่อไป “มีเรื่องของเจ้าวีลูกของอาวิรัชกับน้าจิขึ้นมาด้วย ก็เลยยังไม่ได้ทำอะไรต่อ”

       วีร์เสหน้าออกไปทางอื่น เมื่อเรื่องของวีรดนย์ถูกยกขึ้นมาในวงสนทนา แม้ว่าเขาจะทำใจได้บ้างแล้วแต่ร้องรอยแห่งความเสียใจยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่

        “แล้วนี่จะไปกันวันไหนละ” นุชหันไปถามขณะที่เธอกำลังลูบบ่าลูบแขนปลอบใจวีร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ

        “คิดว่าจะไปกันพรุ่งนี้เลย” ธีร์หันมาบอกแม่ของเขา

        “แล้วให้พ่อกับแม่ไปด้วยมั้ย” ยุทธถามธีร์

        “อืมม คิดว่าเข้าไปกันแค่สามคนก่อน มากคนเดี๋ยวเขาจะคิดว่าเราเอาพวกเข้าข่ม”

        “แล้วเราละ คิดยังไง” นุชถามวนกร

        “วาลองคุยกับแม่แล้วค่ะ”

        “แล้วแม่เขาว่ายังไงบ้าง” ในตอนนี้ไม่เพียงแค่นุช แต่ทุกคนหันมาสนใจคำตอบของวนกร

        “แม่ก็ลองเลียบเคียงคุยกับพ่อให้ดูก่อนว่าพ่อยังโกรธอยู่อีกรึเปล่า ส่วนที่จะเข้าไปกันวันไหนให้บอกแม่ก่อน แม่กับเขมจะได้เตรียมตัวกันไว้ได้ทัน”

        “แล้วพ่อเขาโอเคมั้ย” ยุทธเป็นฝ่ายถามบ้าง

        “แม่บอกว่าพ่อเขาไม่ยอมคุยด้วย แค่เกริ่นไปนิดหน่อยพ่อเขาก็ตัดบทเลย” วนกรถอนหายใจยาว

        “แล้วจะรอดกันมั้ยเนี่ย” อรได้แต่บ่นพึมพำ เพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรเหมือนกัน

        “ถึงไม่คิดว่าจะรอดแต่ก็ต้องเข้าไปอยู่ดี ปล่อยยืดเยื้อได้ที่ไหน เดี๋ยวท้องก็โตขึ้นอีกเรื่อยๆทุกวันๆปิดไม่ได้นานหรอก” นุชบอกทั้งธีร์และวนกร

        “บอกแม่เขาแล้วใช่มั้ยว่าจะเข้าไปพรุ่งนี้” ยุทธถามวนกร

        “ค่ะ” วนกรตอบเพียงสั้นๆ ยุทธก็พยักหน้าตอบรับ

        “แล้วนุ้ยละ ว่ายังไง” อรหันไปถามเด็กน้อยของบ้าน

        “อะไร” วีร์แกล้งทำเป็นงงกับคำถาม จนอรถึงกับกรอกตามอง

        “ก็เรื่องนี้ไง นุ้ยจะว่ายังไง โอเคมั้ย” อรถามย้ำอีกครั้ง

        “แล้วนุ้ยเกี่ยวไรด้วย เรื่องของพี่ธีร์กับพี่วา ก็จัดการกันเองดิ” วีร์ตอบกลับแล้วก็ยักไหล่เหมือนไม่ได้ใส่ใจ

        “จนป่านนี้แล้วยังเรียกพี่ธีร์กับพี่วาอีกเหรอ เรียกพ...”

        “ก็เรียกว่าพี่ธีร์มาแต่ไหนแต่ไร จะเปลี่ยนทำไม” วีร์รีบพูดตัดบทก่อนที่อรจะพูดจบ “หรือจะให้เรียกป้าด้วยอีกคน”

        “เอ๊....!” อรถึงกับร้องเสียงหลงขึ้นมาในทันที

        “ทำไม ไม่ดีใจเหรอ ป้าอร” วีร์ทำหน้ายียวนกวนประสาทใส่พี่สาวคนโตที่พ่วงตำแหน่งป้าไปด้วย จนอรแทบจะลุกขึ้นเดินไปหาวีร์แต่เอกรั้งตัวให้นั่งอยู่กับที่ไว้ก่อน การปะทะแบบย่อมๆทางฝีปากระหว่างทั้งสองก็ไม่อาจจะกลบความอึมครึมของว่าที่พ่อและแม่ของลูกคนที่สองไปได้

        “เอาเถอะ เรื่องเกิดขึ้นแล้ว ก็แก้ไขไปทีละจุด” นุชพยายามเปลี่ยนบรรยากาศ “ไป เตรียมตัวกัน เดี๋ยวออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน”

       จากนั้นแต่ละคนจึงลุกออกจากโต๊ะอาหารไป บ้างก็เข้าห้องน้ำ บ้างก็ออกมารอข้างนอก บ้างก็เก็บของเก็บบ้านปิดประตูปิดหน้าต่างให้เรียบร้อย จนทุกคนพร้อมกันในรถแล้ว รถคันนำมีธีร์เป็นคนขับ วนกรนั่งด้านข้างและวีร์นั่งเบาะหลัง ส่วนรถคันตามมีเอกเป็นคนขับ อรนั่งด้านข้าง ส่วนยุทธและนุชนั่งตอนท้าย แล้วทั้งหมดก็มุ่งหน้าสู่ห้างสรรพสินค้า



[อ่านต่อหน้าถัดไป]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-07-2021 00:37:47 โดย sarawit »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด