พิมพ์หน้านี้ - ReLove1: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: sarawit ที่ 30-03-2021 23:42:01

หัวข้อ: ReLove1: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 30-03-2021 23:42:01
Replaceable Love / รัก...แทนกันได้

*

อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0)

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง)

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com (http://www.thaiboyslove.com)  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17


เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*

*

Replaceable Love / รัก...แทนกันได้

หากนาฬิกาหยุดเดิน ก็แค่ถอดถ่านเก่าออกแล้วใส่ก้อนใหม่เข้าไป

เข็มวินาทีก็เริ่มเคลื่อนที่ได้อีกครั้งแล้ว ง่ายๆแค่นี้เอง

ถ้าชีวิตคนเรา มันง่ายแบบนั้นบ้างละก็...

*

*

ติดตามเรื่องราวของวีร์ เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะย้ายโรงเรียนมาว่าเขาจะปรับตัวได้หรือไม่
เพื่อนใหม่ๆจะแทนที่เพื่อนเก่าๆได้หรือไม่
และเรื่องราวอีกมากมายที่เขายังจะต้องเจอ
รวมถึงความรัก...

*

*

อนึ่ง นี่คือนิยาย เพราะฉนั้นมโนล้วน
อะสอง นิยายเรื่องนี้ PG-13 ตลอดทั้งเรื่อง ไม่มีที่ลับที่ไหน
อะสาม นิยายเรื่องอาจจะไม่ใช่นิยายวายแบบพิมพ์นิยม แต่อยากให้ลองอ่านดู

ขอขอบคุณทุกการติดตาม แค่เข้ามาอ่านก็ดีใจแล้ว : )



[.1. แนะนำตัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4056048#msg4056048)] [.2. แรกพบสบตา (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4056154#msg4056154)] [.3. จุดเริ่มต้น (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4056258#msg4056258)]

[.4. บังเอิญเจอ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4056393#msg4056393)] [.5. ใกล้เข้าไปอีกนิดฯ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4056578#msg4056578)] [.6. โลกกลม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4056720#msg4056720)]

[.7. แฝดคนละฝาฯ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4056887#msg4056887)] [.8. เปิดตัว (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4057083#msg4057083)] [.9. เหมือนเดิมฯ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4057244#msg4057244)]

[.10. ปาร์ตี้วันปีใหม่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4057465#msg4057465)] [.11. ความจริงที่ปิดไว้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4057620#msg4057620)] [.12. กาลเวลาไม่หวนคืน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4057816#msg4057816)]

[.13. ก่อนจะถึงวันพรุ่งนี้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4057985#msg4057985)] [.14. วันฟ้าใหม่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4058237#msg4058237)]


ภาค 2
(ir)Replaceable Love / รัก...แทนกัน(ไม่)ได้ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73102.0)

ภาค 3
Reinterpreted Love / รัก...ความหมายใหม่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=73551.0)


*

*

หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 31-03-2021 00:05:48
1. แนะนำตัว

       ในทุกๆวันเราต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงแค่เล็กๆน้อยๆ อย่างเช่น สายลมอ่อนโบกพัดไหวๆ พาเอามะขามต้นใหญ่หน้าบ้านผลัดใบร่วงเพิ่มอีกเพียง 2-3 ใบไปกองรวมกับใบอื่นๆก่อนหน้า หรือว่าจะเป็นถังขยะเทศบาลที่ขยับไปจากที่เดิมสักอิฐบล๊อกหนึ่ง มันคือความต่างเพียงที่เล็กน้อยจนเราแทบจะไม่ทันได้สังเกตอะไรเท่าไหร่ หรือการเปลี่ยนแปลงที่เปลี่ยนไปมากจนเราตามไม่ทัน อย่างเช่น อยู่ๆน้ำประปาก็ไม่ไหล จะประกาศล่วงหน้ากันก่อนก็ไม่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเวลาที่ต้องเร่งรีบในยามเช้า แต่กระนั้นแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งสำคัญคือการมีสติ และปรับตัวให้ทันตามการเปลี่ยนแปลงนั้นให้ได้

       แน่นอนว่าวันนี้คือวันแห่งการเปลี่ยนแปลง

       เด็กหนุ่มกำลังนั่งนึกอยู่ในใจว่าวันนี้มันจะมีเรื่องโชคร้ายเกิดขึ้นกับเขาไปมากกว่านี้อีกหรือไม่ ตั้งแต่ตื่นนอนมาแต่เช้ามืด แต่กลับพบว่าน้ำประปาไม่ไหล จึงทำได้เพียงแค่บ้วนปากแปรงฟันโดยใช้น้ำที่กรองเก็บสำรองไว้บ้างในขวดแกลลอน ซึ่งไม่พอจะใช้ชำระล้างร่างกายแน่นอน ทำได้เพียงล้างหน้าให้พอสดชื่นเท่านั้น ที่เหลือต้องพึ่งแป้งฝุ่นแบบเย็นทดแทนไปก่อน และเมื่อออกเดินทางมาไม่ทันพ้นละแวกบ้านก็ต้องเจอรถติดมหาศาล สาเหตุก็เพราะมีรถบรรทุกเสียหลักพลิกคว่ำขวางกลางสะพานข้ามคลองตรงทางเข้าหมู่บ้าน แล้วยังไปชนท่อน้ำประปาแตกเสียอีก ทางออกจากหมู่บ้านที่เหลืออยู่ต้องอ้อมไปอีกทาง และไม่ว่าใครที่ต้องการขับรถเข้าเมืองก็ต้องไปทางนี้กันหมด กว่าหลุดความวุ่นวายออกไปบนถนนหลักได้ก็เสียเวลาไปมาก และแน่นอนว่าเส้นทางหลักเข้าเมืองก็ไม่รอดพ้นชะตากรรมเดิมๆไปได้เช่นกัน

       “วันแรกก็สายซะแล้ว จะเป็นไรมั้ยเนี่ย” ชายหนุ่มวัยทำงานบ่นพึมพำ สายตามองไปข้างหน้าไกลๆ ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่รถอยู่เต็มถนนกันไปหมด แล้วเขาจึงหันมามองเด็กหนุ่มวัยเรียนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ว่าไงละเรา มีเรื่องตื่นเต้นกันตั้งแต่วันแรกเลย”

       ใช่แล้ว วันนี้คือวันแรกของการไปเรียนที่โรงเรียนใหม่ที่เขาเพิ่งจะย้ายมา ชุดนักเรียนใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ เพื่อนใหม่

       “ก็นะ... นี่ถ้าไม่ติดว่าวันแรกต้องมีผู้ปกครองไปเซ็นชื่อมอบตัวนะ ป่านนี้พี่ธีร์ก็ถึงที่ทำงานแล้วมั้ง” เด็กหนุ่มตอบกลับ พลางนั่งดูโทรศัพท์มือถือไปด้วย

       “เอาเถอะ ถึงได้ออกเร็วกว่านี้กับรถไม่ติด ยังไงก็ต้องพาเราไปรายงานตัวที่โรงเรียนก่อนอยู่ดี แล้วพี่ก็บอกที่ทำงานไปแล้วว่าวันนี้จะเข้าไปสายๆ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก” รถบนถนนแม้จะเยอะแต่ก็ขยับตัวไปได้เรื่อยๆ

       “เหอะๆ ตัวเองก็พนักงานเข้าใหม่ไม่นาน หรือไปทำอีท่าไหนถึงได้กลายเป็นลูกรักไปแล้ว เข้าสายยังไงก็ได้ว่างั้น”

       ชายหนุ่มยื่นมือไปขยี้ผมเด็กหนุ่ม จนเขาต้องเอามือปัดเส้นผมให้กลับเข้าทรงเดิม “พนักงานใหม่ที่ไหนกัน บริษัทแม่เดียวกัน แค่โอนย้ายสาขามาต่างหาก ยังไงก็มีอายุงานกับตำแหน่งจากที่เก่าค้ำไว้อยู่” คนพี่มองดูน้องชายที่มีสีหน้าสลดลงเล็กน้อยพอที่จะสังเกตเห็นได้ “ยังคิดมากอยู่อีกหรอ เรื่องนั้นน่ะ”

       คนน้องไม่ได้ตอบอะไร สายตายังคงจ้องมองอยู่ที่โทรศัพท์

       “ยังคิดอยู่จริงๆด้วยสินะ” คนพี่ยิ้มอย่างเอ็นดู

       เขายังจำได้เมื่อคราวที่น้องชายคนเล็กพูดโพล่งขึ้นมากลางวงสนทนาที่บ้านว่าจะย้ายโรงเรียนมาเรียนที่ใหม่ ไม่ว่าใครจะซักค้านเท่าไหร่ก็บอกแต่ว่าจะย้ายโรงเรียนท่าเดียว คาดคั้นอยู่นานกว่าจะยอมบอกเหตุผลจริงๆ ส่วนตัวเขาเองก็เคยถูกทาบทามให้เข้ามารับตำแหน่งที่สำนักงานใหญ่ เพียงเขาไม่ได้ตอบตกลงไปในทันทีถึงแม้จะเป็นโอกาสที่ดี เหตุเพราะเพื่อนที่ร่วมกันงานที่ทำกันอยู่เดิมมีความคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่เมื่อเหตุการณ์มันมาเหมาะเจาะเอาในตอนนี้ เขาจึงตัดสินใจตอบรับข้อเสนอและย้ายมาก่อนล่วงหน้า และมองหาที่พักที่ใกล้กับทั้งที่ทำงานใหม่ของเขา และโรงเรียนใหม่ของน้องคนเล็ก

       “ไม่ต้องไปคิดอะไรแล้ว เคยบอกไปแล้วนะว่าที่ทำงานใหม่ก็โอเคดี ไม่มีปัญหาอะไรเลย”

       “แต่ก็ไม่เหมือนที่เก่า” คนน้องพูดแทรกทักท้วงขึ้นมา

       “มันก็ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนคุ้นเคยอยู่เลย มีหลายคนที่เคยพบปะบ้างเวลามีประชุมใหญ่รวมสาขาประจำปี มันเลยร่วมงานกันได้ไม่มีปัญหา แล้วมาทำที่นี่ตำแหน่งมันก็ใหญ่ขึ้น ความรับผิดชอบมันก็เยอะตามเป็นเรื่องปกติ” คนพี่ลอบมองดูสีหน้าของน้องชายก่อนจะกล่าวต่อไป “ส่วนเรื่องพี่อร ยังไงเขาก็วางแผนจะแต่งงานกับแฟนเขาเร็วๆนี้กันอยู่แล้ว พอแต่งแล้วเขาตกลงกันกับพี่เอกว่าจะย้ายเข้ามาอยู่กับเรา ส่วนภูมิก็โน้น... เห็นว่ารอให้จบป.โทก่อน แล้วถึงจะย้ายกลับเข้ามาอยู่บ้าน ส่วนพ่อกับแม่ก็เหลืออีก 2 ปีก่อนจะเกษียณฯ ถึงตอนนั้นคงอยู่บ้านเลี้ยงหลานๆกัน บ้านคงแน่นมากน่าดู เราแยกออกมาอยู่กันสองคนไม่เห็นจะเป็นไรเลย ทุกคนก็ยังไปมาหาสู่กันได้ไม่ลำบากอะไร”

       คนน้องยังคงนั่งเงียบอยู่ เขาก็พอจะรู้ได้ว่าคนน้องรู้สึกผูกพันกับบ้านหลังเดิมมาก

       “เอาน่ะ ยังไงทุกคนก็ร่วมกันตัดสินใจมาแล้ว บ้านหลังนี้พ่อก็เป็นคนมาเลือกเองกับมือ พี่อยากได้อีกหลังนึงต่างหากละ แต่พ่อเขายืนยันว่ายังไงก็ต้องหลังนี้เท่านั้น ไอ้ต้นมะขามหน้าบ้านก็ไม่รู้มันมีดีอะไรนักหนา พี่จะคอยดูหน้าพ่อวันที่รากมันเซาะใต้พื้นบ้านขึ้นมานะ เหอะๆ จะหัวเราะจนผมพ่อร่วงหมดไม่เหลือสักเส้น” คนพี่พยายามพูดติดตลก ซึ่งก็ได้ผลเมื่อคนน้องมีเผยอยิ้มมุมปากมาบ้าง

       เพราะใครๆก็รู้ว่าเด็กเล็กเด็กน้อยของบ้านโปรดปรานมะขามเป็นที่สุด ในวันที่เขาพาพ่อและแม่มาดูบ้านกันนั้น เขาวางแผนที่จะพาไปดูบ้าน 3-4 หลัง ก่อนตัดสินใจ บ้านหลังแรกนั้นสภาพทรุดมากไปสักหน่อยและมีพื้นที่เหลือน้อยจะขยับขยายในภายหลังได้ยาก แต่ว่าถนนหนทางเข้าออกสะดวกที่สุด ส่วนหลังที่สองดีขึ้นมาสักหน่อย ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเก็บไว้ในใจ แต่ก่อนที่เขาจะพาทั้งสองคนไปดูบ้านหลังที่สามที่เขาชอบมากที่สุด ในระหว่างเดินทางนั้นเองผู้เป็นพ่อกลับมองไปเห็นบ้านหลังหนึ่งมีป้ายประกาศขายติดอยู่ สภาพบ้านก็พอๆกับบ้านหลังที่สอง ไม่ถึงกับดีเท่าแต่ไม่แย่อย่างบ้านหลังแรกที่ไปดูมา เนื้อที่รอบบ้านก็มีพอประมาณ แต่เหตุผลที่ตัดสินใจเลือกบ้านหลังนี้ในทันทีและไม่คิดจะไปดูบ้านหลังที่เขาหมายมั่นปั้นมือมากที่สุดอีกเลย ก็คือเจ้าต้นมะขามต้นใหญ่ที่กำลังออกฝักเต็มพุ่มไปหมด ไม่ว่าจะยกข้อติอะไรของบ้านหลังนี้ก็จะมีข้อคัดค้านมาได้หมด ว่าบ้านหลังนี้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านหลังเดิมมากที่สุด จนเขาจนปัญญาจะเถียงต่อไปต้องตัดสินใจเห็นด้วยตามกันไป

       “ถึงแล้ว ถึงแล้ว โรงเรียนใหม่ ไม่มีเวลาให้กลุ้มแล้ว เป็นคนตัดสินใจย้ายโรงเรียนมาเองจะมาไม่พร้อมเอาตอนนี้ไม่ได้แล้วนะ” ทันทีที่เลี้ยวหัวโค้งก็เห็นป้ายชื่อโรงเรียนขนาดใหญ่ พร้อมกับภาพตึกสูงมากมายรายล้อมโรงเรียน ในตอนนี้รถราไม่เยอะมากแล้วนัก เพราะเหตุว่าเลยเวลาเริ่มเรียนคาบแรกไปพอสมควรแล้ว รวมถึงเลยเวลาคนทั่วไปเริ่มทำงานแล้วด้วย คนพี่จึงเลี้ยวรถเข้าไปจอดในลานจอดด้านหน้าให้เรียบร้อย ก่อนจะพาน้องคนเล็กไปรายงานตัวเข้าเรียน

*****

       หลังจากจัดการเรื่องรายงานตัวเข้าเรียนเรียบร้อยแล้วคนพี่ก็ลาคนน้องเพื่อไปทำงานต่อ แต่ก่อนจะไปก็ให้กำลังใจไม่ให้คนน้องคิดมาก และเตรียมตัวให้พร้อมกับเรื่องใหม่ๆในโรงเรียนแห่งนี้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ธุรการจึงพานักเรียนใหม่ไปส่งที่ห้องเรียน

       “ขออนุญาตค่ะ พานักเรียนใหม่มาร่วมชั้นค่ะ” เจ้าหน้าที่ธุรการเคาะประตูห้องขออนุญาตอาจารย์ผู้สอนในห้องก่อนจะแนะนำนักเรียนคนใหม่ เด็กนักเรียนในห้องบ้างก็พากันชะเง้อมอง บ้างก็กระซิบกระซาบกับเพื่อนข้างๆ บ้างก็ไม่สนใจเลยก็มี

       “เชิญเลยค่ะ” อาจารย์ผู้สอนจึงหยุดสอนก่อน แล้วเรียกความสนใจจากนักเรียนคนอื่นๆในห้องเรียนให้พร้อมต้อนรับเพื่อนนักเรียนประจำชั้นคนใหม่ “เอาละทุกคนเงียบๆหน่อย ก็อย่างที่บอกไปก่อนเริ่มเรียนแล้วว่าวันนี้เราจะมีเพื่อนใหม่มาเรียนกับเรานะ เดี๋ยวจะให้เพื่อนใหม่แนะนำตัวเองก่อนก็แล้วกัน” แล้วเธอก็หันมายิ้มให้กับนักเรียนใหม่ แน่นอนว่าที่เธอรู้เรื่องนี้ดีเพราะว่าเธอเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำห้องเรียนนี้ เธอจึงทราบจากอาจารย์ใหญ่มาก่อนแล้ว และคาบเรียนแรกในวันนี้เธอต้องสอนเป็นห้องเรียนนี้พอดี “เข้ามาสิ แนะนำตัวเองบอกชื่อ-นามสกุลให้เพื่อนๆได้รู้จักหน่อย”

       เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปในห้อง รู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่ต้องตกเป็นเป้าสายตา โดยปกติแล้วเขาก็ไม่ใช่คนโดดเด่นที่สุดในกลุ่มเพื่อน หน้าตาก็ธรรมดาทั่วไป ผิวไม่ขาวแต่ก็ไม่คล้ำมืด ความสูงเฉลี่ยพอกับคนทั่วๆไป จึงรู้สึกแปลกๆอยู่บ้างที่ถูกจ้องมองจากทุกคนในห้อง

       “เอ่อ... คือ... ชื่อวีร์ครับ... วีร์ วรรัญญา จบมาจากโรงเรียนxxx ครับ” เขาแนะนำตัวเองให้กับทุกคนในห้อง

       “เอ๋...ก็โรงเรียนดังนี่นา ม.ปลายที่โน้นก็มีชื่อเสียงอยู่ ทำไมถึงย้ายมาเรียนที่นี่ละคะ” อาจารย์ถามด้วยความสงสัยหลังจากที่ได้ยินชื่อโรงเรียนเก่าของนักเรียนคนใหม่

       “เอ่อ... ย้ายตามครอบครัวมาครับ คือมีพี่ชายย้ายมาทำงานที่นี่ ก็เลยย้ายตามมาอยู่กับพี่ครับ” เขาตอบตามเหตุผลที่พอจะนึกได้ในขณะนั้น ซึ่งเขาก็ไม่ได้พูดโกหกอะไรก็แค่ว่าไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ส่วนเหตุผลที่แท้จริงนั้น ไม่มีความจำเป็นที่ใครในที่นี้จะต้องรู้

       “อ๋อ โอเคค่ะ อาจารย์ก็นึกว่าวันนี้จะไม่มาซะแล้ว เห็นเวลาผ่านไปนานแล้วก็ยังไม่มาสักที” อาจารย์ยิ้มตอบให้อย่างเป็นมิตร ดูเหมือนเธอจะรู้สึกอะไรบางอย่างกับคำตอบของลูกศิษย์ อาจจะเป็นเพราะความประหม่ากับสถานที่ใหม่ก็เป็นได้ เธอจึงพยายามหาเรื่องคุยให้รู้สึกเป็นกันเอง จะได้ไม่เกร็งกันไปกันมา

       “พอดีว่ามีอุบัติเหตุหน้าหมู่บ้านนะครับ รถเลยติดยาวกว่าจะหลุดมาได้”

       “อ๋อ งั้นก็ไม่เป็นไรค่ะ มาช้ายังดีกว่าไม่มานะ แต่ตอนเวลาปกติกะเวลาเดินทางมาโรงเรียนถูกใช่มั้ยคะ” เธอถามด้วยความเป็นห่วง

       “เอ่อ ถูกครับ เคยลองจับเวลาเดินทางดูแล้วครับ”

       “ดีแล้วค่ะ ไม่อยากให้มาสายบ่อยๆ เดี๋ยวจะโดนตัดคะแนนกิจกรรม...เหมือนใครบางคน ใช่มั้ยนายสุรศักดิ์” เธอหันไปมองนักเรียนตัวดีของห้อง

       “โห อาจารย์ครับ วันนี้ผมมาถึงโรงเรียนสายนิดเดียวเอง” ผู้ถูกพาดพิงรีบแก้ตัวทันควัน พร้อมเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ

       “จ้า ถ้าบ้านเธอไม่ได้อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียน อาจารย์จะไม่ว่าอะไรเลยนะ แต่ตั้งแต่วันเปิดเรียนวันแรกจนถึงเมื่อเช้าวันนี้ ก็ยังไม่เคยมาทันเวลาเลย เดี๋ยวเย็นนี้อาจารย์จะเดินไปคุยกับพ่อแม่เธอเรื่องนี้” เธอตอบกลับเชิงหยอกเชิงตักเตือน แต่นายสุรศักดิ์ทำตาโตอ้าปากหวอไปทันทีที่ได้ยินไปแล้ว ก็ยิ่งเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆในห้องให้ดังกว่าเดิม แล้วเธอก็หันมายิ้มให้กับนักเรียนใหม่ “อ้อ อาจารย์ชื่อจินตนาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาห้องนี้ละค่ะ ห้องพักอาจารย์อยู่ที่ชั้นสอง ถ้ามีเรื่องสงสัยอะไรยังไง หรือจะให้ช่วยอะไรก็ลงไปหาอาจารย์ได้นะคะ ส่วนเรื่องเรียนเดี๋ยวก็รีบๆตามจากอาจารย์รายวิชาไป เพื่อนๆเขาเรียนกันไปเยอะพอสมควรแล้ว เดี๋ยวจะตกรั้งท้ายไปนะ”

       “ครับ” เขาได้แต่ยิ้มตอบรับ

       “เอาละ มาเริ่มเรียนกันต่อเลยดีกว่า ที่นั่งตรงไหนยังว่างอยู่...” เธอหันไปมองรอบๆห้องเรียน “นั้น ตรงนั้นว่าง ไปนั่งตรงนั้นก่อนแล้วกันนะคะ”

       “อุ้ย! ฮิ้ว!” เสียงร้องเสียงแซวจากเพื่อนๆในห้องดังขึ้นมา โดยเฉพาะจากพวกเด็กผู้ชาย เนื่องจากที่นั่งที่ว่างอยู่ที่เดียวในห้อง ข้างๆกันเป็นที่นั่งของเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่ง หน้าตาน่ารักสะสวย คงเป็นที่หมายปองของใครหลายคนในห้อง แต่ในเมื่อมันเป็นที่ว่างที่เดียวในตอนนี้ มันก็ต้องเป็นที่ของเขาไปก่อน

       เขายิ้มให้กับเพื่อนใหม่ ก่อนที่จะคล้องสายเป้สะพายไว้ที่พนักเก้าอี้แล้วจึงนั่งลง ส่วนเพื่อนคนใหม่นั้นเธอยิ้มกลับมาอย่างเป็นมิตร เธอชี้ให้ดูเนื้อหาที่กำลังเรียนอยู่ เขาจึงหยิบหนังสือเรียนขึ้นเปิดตามที่เธอบอก

       “เราชื่อ แพร นะ” เธอแนะนำตัวให้เขารู้จัก “เราชื่อ วีร์ นะ” เขาตอบกลับพร้อมกับยิ้มให้ แล้วทั้งคู่ก็หันไปตั้งใจฟังอาจารย์ที่กำลังสอนหน้าชั้นเรียน

*****

       การเรียนวันแรกของเขาอาจะขลุกขลักไปบ้างเล็กน้อย นอกจากจะต้องตามเนื้อหาที่เพื่อนๆเริ่มเรียนกันไปบ้างแล้ว แถมยังจะต้องตามงานทำส่งอาจารย์วิชาต่างๆอีกด้วย เขาก็ไม่คิดว่าเปิดเรียนใหม่ๆจะมีงานเยอะขนาดนี้แล้ว คงเป็นความแตกต่างระหว่างการเรียนการสอนของโรงเรียนในต่างจังหวัดกับโรงเรียนในหัวเมืองใหญ่ แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจมาแล้ว ก็คงต้องทำให้ได้เท่านั้น

       จนกระทั่งเสียงสัญญาณหมดเวลาวิชาคาบสุดท้ายของช่วงเช้าดังขึ้น นั่นหมายถึงเวลาพักกินอาหารกลางวันนั่นเอง

       เขาจึงเก็บหนังสือและอุปกรณ์การเรียนทั้งหลายกลับเข้าไว้ในเป้ดังเดิม พลางคิดไปว่าจะกินอะไรดี เขายังไม่รู้ว่าโรงอาหารของโรงเรียนอยู่ตรงไหนและมีอะไรขายบ้าง จะมีอาหารที่เขาชอบหรือเปล่า ก็คงจะต้องถามจากเพื่อนใหม่ของเขา แต่ยังไม่ทันจะได้หันไปถาม เขาก็รู้สึกได้ว่าเธอลุกขึ้นและเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆผู้หญิงของเธอซะแล้ว

       ‘อ้าว! เอาไงละทีนี้’ พลางนึกอยู่ในใจ พลันก็มีมือมาตบบ่าของเขา เขาจึงหันไปดูก็พบว่าเป็นใครไม่ได้นอกไปเสียจากเพื่อนใหม่อีกคนที่เขาก็เพิ่งรู้ไปไม่นานว่าชื่ออะไร

       “เป็นไรวะ สะดุ้งตัวโยนเลยมึง” แม้ว่าจะเป็นเพียงประโยคแรกแต่ก็ใช้ระดับภาษาที่สนิทสนมเหมือนว่าคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือนายสุรศักดิ์ มีบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียน แค่เดินข้ามถนนก็ถึงแล้ว แต่ยังเข้าเรียนสายเป็นประจำ

       “เอ่อ เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” เขาตอบกลับไป ซึ่งอันที่จริงแล้วมันน่าจะเรื่องปกติหรือเปล่าที่เราจะตกใจเมื่อใครเข้าถึงตัวโดยที่เราไม่ทันได้เตรียมตัวตั้งรับไว้ก่อน

       “พวกกูกำลังจะลงไปกินข้าว มึงไปด้วยกันมั้ย เดี๋ยวจะแนะนำร้านเด็ดๆให้” เขาพูดไปก็ยักคิ้วหลิ่วตาไปด้วย พร้อมกับยักหน้าไปทางด้านหลังซึ่งมีเด็กผู้ชายยืนอยู่ด้วยกันอีก 3-4 คน “กูชื่อใหญ่ ส่วนนี่ไอ้พระยศ ไอ้ก้าน ไอ้กิ่ง มันเป็นฝาแฝดแต่หน้าดันไม่เหมือนกัน” คนชื่อกิ่งก็ตบหลังหัวนายสุรศักดิ์ หรือที่เพิ่งจะแนะนำตัวไปว่าชื่อใหญ่ในทันที “เชี่ย! กูเจ็บ” พร้อมกันกับโยนตัวพุ่งลงไปด้านหน้า

       “แค่เบาๆมึง อย่าสำออย”

       “เออ แต่กูเจ็บ...” ก่อนที่นายใหญ่จะเล่นใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีก “มึงดูดิ มีบวมมีช้ำบ้างไหม” พร้อมกับกุมมือที่ท้ายทอยศีรษะสลับกับยกมือมาดูเสมือนว่ามีร่องรอยคราบเลือดที่อาจติดมาบนมือ เพียงแต่ท่าทางเหล่านั้นไม่อาจเรียกความเห็นใจจากใคร เพราะเขาเล่นใหญ่เกินไปสมชื่อจริงๆ

       “เดี๋ยวกูจะถีบซ้ำถ้ามึงยังไม่เลิก คราวนี้ละเจ็บจริงแน่ๆ ดูสิไอ้หน้าใหม่ตกใจตายห่าไปแล้ว”

       เขาได้แต่ยิ้มให้ ดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรเลวร้ายไปเสียหมด กับเพื่อนกลุ่มใหม่นี้ก็น่าจะสนิทใจกันเร็วดี

       “มันยิ้มเห็นมั้ย มันเก็ตมุกกู ใช่มั้ย” ใหญ่หันมาถามความเห็นกับเขา ก็ได้แต่ยิ้มและพยักหน้าตอบรับอย่างเดิม “เห็นมั้ย ไม่เหมือนพวกมึง” แล้วใหญ่ก็กอดอกพร้อมกับสะบัดหน้าและทำเสียงฟุดฟัด

       “หยุด ไม่ต้องเลยมึง มันแค่เกรงใจ เดี๋ยวพอมันรู้สันดานจริงๆของมึง มันก็จะทำเหมือนพวกกูนี่แหละ” ก้านคู่แฝดของนายกิ่ง เข้าเสริมทัพแฝดตัวเอง ด้วยรำคาญความเล่นใหญ่ของเพื่อนคนนี้เหลือเกินแล้ว “ตัวใหญ่กว่าควาย ยังจะมาเล่นตัวเล็กตัวน้อย เสนียดลูกตาว่ะ ถ้าอย่างไอ้วีร์... มึงชื่อวีร์ใช่มั้ย” ก้านหันมาถามเขา เขาก็พยักหน้าตอบ “อย่างไอ้วีร์เล่นยังพอจะเข้ากับหน้ามันหน่อย แต่อย่างมึงนี่ บรึยย์... กูขนลุก” เพื่อนๆพากันหัวเราะชอบใจ

        แต่ก็เรื่องจริงที่ใหญ่ก็ดูตัวใหญ่สมชื่อ  ดูจะคมเข้มกำยำล่ำสัน ตัวสูงกว่าเขาไปสักหน่อยแต่ไม่เก้งก้าง ถ้าอยู่ที่โรงเรียนเก่าของเขาคงต้องถูกทาบทามให้ไปนักกีฬาสักประเภทเป็นแน่ คนที่พอจะดูสูสีกันกับใหญ่ก็คงจะเป็นพระยศ พ่อแม่ตั้งชื่อได้เหมาะกันจริงๆ ส่วนแฝดนพชัยชัยทิศดูแล้วขนาดตัวจะประมาณเดียวกับเขา เอาเป็นว่าถ้ามีเรื่องชกต่อยกันคงจะสู้กันได้พอฟัดพอเหวี่ยงกินกันลงลำบาก

       “พอได้แล้วพวกมึง ไปกินข้าว กูหิว ไป ไป ไป มึงก็ลุกขึ้นมาได้แล้ว เดี๋ยวคนเต็มโรงอาหาร” เสียงสุดท้ายลอยมาจากด้านหลังสุดที่พยายามเร่งรีบเพื่อนๆให้เริ่มเดินกันได้แล้ว แล้วเพื่อนใหม่คนนี้ก็เข้ามากอดคอเขาพลางเดินไปด้วยกัน “ส่วนกูชื่อต่าย ไอ้พวกเชี่ยนี่ก็เล่นจนลืมแนะนำกูไปเลยนะ”

       “ก็มึงมันไร้ตัวตนขาววอกซะอย่างนี้ เงามึงอยู่ตรงไหน กูยังมองไม่เห็นเลย” ใหญ่ที่เดินนำหน้าเพื่อนๆ ลอยหน้าลอยตาหันมาตอบ

       “เดี๋ยวเถอะมึง จับเบิ๊ดกะโหลกสักทีดีมั้ย ขึ้นม.ปลายแล้วอย่าเสือกมาเกาะกูให้สอนเลขให้อีกนะมึง”

       “เฮ้ย! ขอโต๊ดก๊าบบ ใหญ่ผิดไปแล้ว ต่อไปนี้ใหญ่จะทำตัวดีๆอยู่ในโอวาทของพี่ต่ายนะก๊าบบ” ใหญ่รีบเดินกลับมาพะเน้าพะนอคลอเคลียศศิทัศน์ในทันที

       “หยึย!! ขนลุกสัดๆ” ผู้ถูกกระทำแสดงอาการรังเกียจขยะแขยงอย่างเห็นได้ชัดเจน “ไป รีบเดิน เดี๋ยวจะอดแดก”

*****

[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 31-03-2021 00:07:17
       “กลับมาแล้วครับ” วีร์ทักทายธีร์ พี่ชายที่กลับมาถึงบ้านก่อนเขา ดูจากเสื้อผ้าที่เปลี่ยนไปก็คงจะกลับมาก่อนเขานานพอสมควร

       “เป็นไงเรา ไปโรงเรียนวันแรก” ธีร์ถามไถ่คนน้อง เพราะจากท่าทางของน้องชายเมื่อตอนเช้าแล้ว ดูจะน่าห่วงสักหน่อย ยิ่งกลับมาถึงบ้านเวลาอย่างนี้ด้วยแล้ว ก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรกันมา “ทำไมถึงกลับเกือบมืดเลยละ แล้วนี่กินอะไรมารึยัง”

       “กินแล้วครับ” วีร์ตอบกลับพร้อมโยนกระเป๋าเป้ไปที่โซฟาห้องนั่งเล่น ดึงชายเสื้อออกจากกางเกง แล้วจึงนั่งลงถอดถุงเท้า “พอดีว่ามีเพื่อนในกลุ่ม บ้านเขาเปิดร้านอาหารอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียน เลยชวนไปกินกันตอนเย็น”

       ธีร์ได้ยินอย่างนั้นก็คล่อยคลายใจ ที่เห็นเด็กน้อยของบ้านปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ได้แล้ว และก็ดูท่าทางสบายใจขึ้นเยอะ “หรอ เขาขายอะไรบ้างละ”

       “ก็พวกข้าวมันไก่ต้มไก่ทอด ข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบ ก๋วยเตี๋ยว แล้วก็บะหมี่ น้ำจิ้มน้ำราดเขาอร่อยดีนะ วันหลังพี่ธีร์ลองแวะไปกินดูดิ ข้าวราดแกง อาหารตามสั่งก็มี”

       “ได้ แล้วพี่จะลองแวะไป” ธีร์มองดูน้องชายที่กำลังนอนเอนหลังหลับตาด้วยความเอ็นดู “นี่ อย่าเพิ่งหลับ ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน ไป” ถึงน้ำเสียงจะดุเล็กน้อยแต่ก็เจือด้วยความรักและความห่วงใย “แล้วนี่มีการบ้านต้องทำรึเปล่า”

       “มีครับ” วีร์ตอบกลับโดยที่ยังนอนหลับตาอยู่ “มีทั้งงานเก่าที่ต้องตามเก็บให้หมด กับงานใหม่ที่เพิ่งได้มาวันนี้เลย เฮ้อ!”

       “งั้นก็รีบไปอาบน้ำ จะได้รีบทำการบ้านให้เสร็จ” คราวนี้ธีร์พูดแกมออกคำสั่งเล็กน้อย เพื่อกระตุ้นให้คนน้องต้องทำในทันที แล้วก็มองดูวีร์ค่อยๆลุกขึ้นยืน หอบหิ้วเป้ขึ้นสะพายหลังแล้วก็เดินสะโหลสะเหลขึ้นไปข้างบนบ้าน “ดูทำเป็นเดินเข้า” พร้อมส่ายหน้าปนขำเล็กน้อย “นี่ แล้วอย่าลืมโทรไปหาแม่ด้วยนะ เข้าใจมั้ย” ธีร์ตะโกนตามไล่หลังเด็กน้อยที่ขึ้นบันไดไปแล้ว

       “คร๊าบบบ”

       เมื่อวีร์เข้ามาในห้องก็ล้มตัวนอนบนเตียง ยังไม่รีบไปอาบน้ำโดยทันทีตามที่โดนสั่งมา ในใจพลางนึกไปถึงเพื่อนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งได้ทำความรู้จักกันอย่างจริงจังก็เมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา ได้ความว่า ใหญ่ หรือสุรศักดิ์ สืบวงศ์สกุล ผู้มาโรงเรียนสายเป็นนิจสิน ยกตัวเองขึ้นเป็นหัวโจกของกลุ่ม ถึงแม้เพื่อนคนอื่นๆจะมีท่าทางไม่ค่อยจะเห็นด้วยในหลายๆเรื่องของเขา แต่ก็พอดูออกว่าลึกๆแล้วไม่ว่าจะทำอะไรเพื่อนๆก็คอยดูว่าสุรศักดิ์จะเอายังไง แล้วก็ตัดสินใจทำตามกัน แต่ยกเว้นก็เพียงเรื่องมาโรงเรียนสายเท่านั้น สุรศักดิ์เป็นลูกชายคนโตของร้านขายอาหารหน้าโรงเรียน ร้านเปิดขายมานานแล้ว พ่อแม่ของเขาช่วยกันทำมาตั้งแต่ยังเป็นร้านรถเข็น ทำจนเก็บเงินก้อนได้ จึงมาหาซื้อห้องแถวที่อยู่ปัจจุบันนี้ เพราะเห็นว่าใกล้กับโรงเรียนและสถานที่ราชการหลายแห่ง น่าจะมีลูกค้าเยอะตามไปด้วย จากเปิดขายแค่ห้องเดียวในตอนแรก จนปัจจุบันนี้ซื้อที่เพิ่มเป็นสองห้องติดกันไปเรียบร้อยแล้ว

       สุรศักดิ์มีน้องชายชื่อ ‘กลาง’ เสริมศักดิ์ เรียนอยู่ชั้นม. 2 โรงเรียนเดียวกัน กับน้องสาวชื่อ ‘หนูเล็ก’ สิริศักดิ์ อีกหนึ่งคนที่เพิ่งจะเข้าม. 1 โรงเรียนหญิงล้วนที่อยู่ใกล้ๆกัน ถึงสุรศักดิ์จะดูขี้เล่นไม่เอาจริงเอาจัง แต่เขาก็ช่วยงานค้าขายที่บ้านได้อย่างแข็งขัน ทำได้หมดทุกขั้นตอนไม่มีติดขัดบกพร่อง ที่สำคัญสุรศักดิ์รักน้องๆมาก เจอกันทีไรเป็นต้องกอดต้องหอมจนเป็นเรื่องปกติ แต่ถึงรักมากก็ดุมากเหมือนกัน แต่ก็ได้ไม่นาน เดี๋ยวนิสัยขี้เล่นก็ออกมาวาดลวนลายตามเคย วีร์ยังนึกขำตอนที่เขาและพวกเพื่อนๆกำลังนั่งกินนั่งคุยกันอย่างสนุกสนานกันอยู่นั้น อาจารย์จินตนาก็เดินเข้ามาในร้านเพื่อคุยกับพ่อแม่ของสุรศักดิ์ เรื่องที่เขามาสายเป็นประจำ พ่อกับแม่เองก็ทำเป็นดุเออออต่อหน้าตามอาจารย์ไป แต่พอลับหลังอาจารย์กลับไปแล้ว แม้ว่าพ่อของสุรศักดิ์จะทำเป็นลงโทษตบหลังหัวไปทีหนึ่ง แต่แค่แป๊บเดียวก็กลับมาคุยเล่นกันอย่างเดิม สรุปคือนิสัยเดียวกันทั้งบ้าน นี่สินะคนอารมณ์ดีทำอะไรกินก็อร่อย

       ส่วนแฝดนรกกิ่งและก้าน หรือนพชัย และชัยทิศ ล้ำเลิศรัตนทรัพย์ ที่เรียกไปอย่างนั้นเพราะแสบด้วยกันทั้งคู่ นอกจากชอบแกล้งคนอื่นๆไปทั่วแล้ว แต่ที่ดูจะสนุกสนานสมใจมากกว่าก็คือการแกล้งกันเองแล้วพาลมาเดือดร้อนถึงคนอื่นนี่ละ หรืออันที่จริงแล้วอาจจะเป็นแผนของเขาสองคนที่ทำเป็นแกล้งกันเองเพื่อให้เหยื่อตายใจ ไม่ทันระวังตัว รู้ตัวอีกทีก็โดนฝีมือของสองหนุ่มเล่นงานเอาซะแล้ว ถึงจะบอกนพชัยกับชัยทิศว่าเป็นฝาแฝด แต่หน้าตาไม่เหมือนกันสักทีเดียว คงจะเป็นแฝดที่เกิดจากไข่คนละใบมากกว่า และจากการที่พูดคุยกันไปมาจึงรู้มาว่า พ่อแม่ของทั้งสองคนพยายามมีลูกกันมาโดยวิธีธรรมชาติอยู่หลายปีแต่ก็ไม่สำเร็จเสียที สุดท้ายจึงต้องพึ่งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ แต่ก็ยังไม่สำเร็จในครั้งแรกทันที ทั้งคู่อดทนพยายามอยู่อีกหลายครั้งจนในที่สุดก็ได้ทั้งสองนี้มา เรียกได้ว่าต่อให้มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่มากแค่ไหน ถ้าเงินไม่ถึงด้วยก็ไม่มีทางสำเร็จ แต่ถึงอย่างไรแล้วก็ไม่ระคายผิวเจ้าของบริษัทนำเข้าอะไหล่รถยนต์ไปได้ แต่ถามว่าทั้งสองคนคิดจะรับช่วงต่อกิจการครอบครัวกันหรือไม่ มีแต่ส่ายหน้าไปมาเหมือนลูกหมาโดนล่อด้วยกระดูกหันซ้ายทีขวาทีกันทั้งคู่เลย แถมยังชวนกันเล่นเกมส์จนติดงอมแงมด้วยกันทั้งคู่ อภิชาติบุตรกันเสียจริงๆ

       ส่วนบิ๊ก หรือพระยศ อาชา ชายไทยแท้ผิวเข้มสูงใหญ่ ลูกนายตำรวจชั้นสูง น้องชายของ ‘เบิ้ม’ พระยอด นักเรียนนายร้อยตำรวจ พี่ชายของ ‘บอม’ พระยา ว่าที่นักเรียนเตรียมทหารที่มุ่งมั่นตั้งใจไว้มากว่าต้องเข้าให้ได้ ส่วนตัวของพระยศนั้นถามว่ารู้สึกกดดันบ้างหรือเปล่า ก็ตอบกลับในทันทีเลยว่า ‘ไม่’ เสียงดังฟังชัด แต่เป็นเสียงของฟันกรามที่ขบกันดังชัดเจนมาก แต่กระนั้นก็ใช่ว่าพระยศจะแหวกประเพณีครอบครัวไปเสียเลยเมื่อไหร่ ในเมื่อแม่ของเขาเป็นศัลยแพทย์ประสาทประจำโรงพยายาลศูนย์ของจังหวัด พระยศจึงสนใจที่จะเป็นหมอตามผู้เป็นแม่เสียมากกว่า หรืออาจจะเดินกันครึ่งทาง คือไปสมัครเรียนโรงเรียนแพทย์ของทหารหรือตำรวจก็เป็นไปได้ ยังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะตัดสินใจ และอันที่จริงแล้วพ่อของเขาไม่เคยบังคับอะไรลูกๆเลยว่าจะต้องทำอะไรหรือเรียนอะไร เพราะว่าทั้งพี่พระยอดและน้องพระยาก็ตัดสินใจทางเดินของตัวเองกันทั้งคู่ ก็มีแต่ตัวพระยศที่กดดันตัวเองเสียมากกว่า

       คนสุดท้ายก็คือต่าย หรือศศิทัศน์ ราวัณ หรือคุณกระต่ายของคนที่บ้าน ลูกหลานชาวจีน หัวใสฉลาดเป็นกรด คนนี้ก็เป็นว่าที่คุณหมอฝีมือดีในอนาคตเหมือนกัน แถมยังมีหน้าตาจิ้มลิ้มคงถูกใจเหล่าสาวกโอปป้ามากๆ หรือว่าจะไปเอาดีในวงการบันเทิงจะเหมาะกว่ากันก็ไม่อาจบอกได้ เอาเป็นว่าคนนี้คือหน้าตาของกลุ่ม หากว่าตัดรายนี้ออกไปอาจถึงขั้นหลุดมาตรฐานกลางกันเลยทีเดียว ศศิทัศน์เป็นคนที่เฮฮากับเพื่อนๆได้ง่าย และถึงไม่ใช่ตัวชงตัวตบ แต่นานๆครั้งแย็บมาสักหมัดสองหมัดก็ถึงกับจุกได้เหมือนกัน เรื่องกินเรื่องเที่ยวอาจจะพึ่งเขาไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องเรียนเรื่องวิชาการละก็ สารานุกรมเคลื่อนที่ดีๆนี่เอง

       “เฮ้อ!” วีร์ถอนหายใจ แล้วเขาละ จะเอาอย่างไรดี ก่อนที่ตัวเขาเองจะผล่อยหลับโดยไม่รู้ตัว

*****

       กาลเวลาล่วงเลยผ่านมาระยะหนึ่ง ชีวิตประจำวันของสองพี่น้อง ธีร์และวีร์ ก็ปรับตัวเข้ากับเมืองใหม่ได้เป็นอย่างดี ในเวลาว่างเพื่อนๆของวีร์ต่างชวนกันพาวีร์ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆของตัวเมืองให้วีร์ได้รู้จักเส้นทาง ยามเลิกเรียนก็ชวนกันไปทำกิจกรรมสันทนาการทั้งในโรงเรียนเอง หรือว่านอกโรงเรียน ทำให้ความสนิทสนมคุ้นเคยมีมากขึ้น จนรู้สึกไม่เหมือนกับว่าวีร์เป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายโรงเรียนมา แต่เป็นเหมือนเพื่อนเก่าแก่ที่คบหากันมานาน

       จนในตอนนี้ก็กำลังจะเข้าใกล้ช่วงสอบกลางภาคเรียนแล้ว วีร์เลยต้องเริ่มตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ เพื่อนๆในกลุ่มก็มีนัดติวหนังสือกันบ้างช่วงหลังเลิกเรียน คนติวก็จะเป็นคนอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากคุณกระต่าย ศศิทัศน์  เว้นแต่ว่าวันไหนคุณกระต่ายไม่ว่างจริงๆ ก็ตัวใครตัวมัน

       วีร์ก็ยังคงนั่งเรียนข้างๆ แพร หรือแพรพรรณ วรรณมาศ เพื่อนคนแรกของเขาในโรงเรียนนี้อยู่เหมือนเดิม แพรพรรณเป็นคนเรียนเก่งคนหนึ่งในห้อง ซึ่งหากวันไหนเขามีเรื่องไม่เข้าใจอะไรตรงไหนแล้วศศิทัศน์ไม่ว่าง ก็จะมีแพรพรรณเป็นคนคอยช่วยอธิบายให้เขาเข้าใจอยู่เสมอ และด้วยความบังเอิญว่าบ้านอยู่ใกล้กัน รู้จากการที่ได้พูดคุยกันตั้งแต่วันแรกที่เขามาเรียน แพรพรรณเป็นคนถามว่าบ้านเขาอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนั้นใช่หรือไม่ ถามกันไปมาจึงรู้ว่าอยู่หมู่บ้านเดียวกัน และอาศัยอยู่ห่างถัดกันไปเพียงแค่สี่หลังเท่านั้นเอง จึงได้แวะเวียนไปหากันบ้างเป็นบางครั้งบางคราว

       ในวันนั้นแพรพรรณออกจากบ้านแต่เช้ามืดเพราะต้องรีบไปส่งพี่สาว พี่พลอย หรือพลอยชมพู ที่กำลังจะเดินทางไปต่างจังหวัด แพรพรรณยังเล่าให้ฟังอีกว่า ตอนที่พ่อของเธอขับรถข้ามสะพานข้ามคลองหน้าหมู่บ้านไปแล้ว กำลังจะเลี้ยวรถออกถนนใหญ่ ก็ได้ยินเสียงดังโครม พอหันมามองก็ทันได้เห็นรถบรรทุกตะแคงข้างอยู่บนสะพานก่อนจะลับสายตาไป มารู้จากข่าวภายหลังว่าทำให้รถติดยาวมาก เป็นโชคดีของเธอไปไม่เช่นนั้นคงต้องมาโรงเรียนสายเหมือนกัน

       ด้วยความที่วีร์เป็นเด็กนักเรียนที่เข้ามาใหม่ แต่สามารถพูดคุยเด็กนักเรียนสาวหน้าตาน่ารักอย่างแพรพรรณได้อย่างสนิทสนม วีร์รู้เรื่องของแพรพรรณที่เพื่อนหลายคนในห้องไม่รู้ ส่วนแพรพรรณเองก็เช่นกันที่รู้เรื่องของวีร์ที่ไม่เคยบอกใคร ถึงมันไม่ใช่ความลับ แต่ไม่มีใครเคยถามก็ไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้ จนใครหลายเริ่มแซะเริ่มแซวว่าทั้งคู่สานสัมพันธ์ไปถึงขั้นไหนแล้ว ก็ได้แต่ตอบไปว่าไม่มีอะไร วีร์ก็เคยถามแพรพรรณว่าอึดอัดใจกับที่ต้องโดนเพื่อนๆแซวกันหรือเปล่า หรือว่าพวกเขาสองคนควรจะต้องทำตัวอย่างไรดี แพรพรรณก็ตอบกลับมาว่าอย่าได้ไปสนใจความคิดของคนอื่นมากนัก แค่เราบริสุทธิ์ใจก็พอแล้ว เพื่อนดีๆหายาก เจอแล้วอย่าทำหลุดหาย ได้ยินเช่นนั้นตัววีร์เองก็สบายใจและทำตัวได้ตามปกติ เขาไม่ได้ห่วงความคิดของคนอื่นเพราะเขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เขาห่วงแต่ความคิดของเพื่อนคนนี้เท่านั้น ฉะนั้นในตอนนี้ใครอยากจะแซวอะไรก็ปล่อยให้เขาแซวไป

       แต่กระนั้น คนอื่นๆไม่ได้สนิทกันมากนักมาแซวกันมันไม่ค่อยจะมีผลกระทบอะไรสักเท่าไหร่ แต่เพื่อนสนิทใกล้ตัวก็เอากับเขาไปด้วยนี่สิ เลยรู้สึกน่ารำคาญใจอยู่ไม่น้อย

       “เอาจริงๆนะมึง” นพชัยชัยทิศแฝดนรกกำลังจับวีร์นั่งชิดมุมห้อง หวังจะคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้ ถึงแม้ว่าคำตอบมันมีคำตอบเดียวและวีร์ได้ตอบไปหลายรอบมากแล้ว “กับแพรนี่ยังไงวะ”

       “แล้วไอ้ยังไงวะของมึง คืออะไรละวะ”

       “ก็มึงกับแพร...มีซัมติงกันรึเปล่าละ” ถึงหน้ามันสองจะไม่เหมือนกัน แต่พูดพร้อมกันแป๊ะ วีร์ได้แต่ถอนหายใจ

       “เฮ้อ! กูบอกพวกมึงเป็นรอบที่ล้านแล้วมั้ย”

       “ตอนนั้นกับตอนนี้มันเหมือนกันรึเปล่าวะ” แฝดผู้พี่เริ่มทำงาน “ใช่ๆ วันก่อนอาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่วันนี้ละไม่แน่” แล้วแฝดผู้น้องก็ผสมโรง “ใช่ม้า” “ใช่ม้า”

       “กูละเกลียดเสียงสองเสียงสามของมึงสองตัวจริงๆเลย”

       “แหม ก็คนปากแข็งไม่ยอมรับสักทีนี่หว่า” “ก็แค่บอกมาตามตรง คบกันก็คือคบกัน ไม่มีใครว่าอะไร ใช่มะไอ้พระยศ” พระยศก็พยักหน้ารับเห็นด้วย “ใช่มะไอ้ใหญ่”

       “...”

       “ไอ้ใหญ่ ใช่มั้ย” เมื่อเห็นสุรศักดิ์ไม่ตอบรับมุก นพชัยก็รีบกระทุ้งให้ตอบทันที

       “ก็..เออ... ใช่” สุรศักดิ์ตอบในที่สุด แต่วีร์คิดว่าเขาพอจะจับอะไรได้บางอย่างจากคำตอบนั้น ถ้าขนาดตัวเขาเองยังจับได้ ทำไมคนอื่นถึงไม่รู้ หรือรู้แล้วทำเป็นไม่รู้ เขาจึงคิดมันจะต้องมีอะไรแน่ๆ

       “กูยืนยันคำตอบเดิม กูไม่ได้คิดอะไรกับแพรมากกว่าเพื่อนคนนึง เคลียร์มั้ย” วีร์ไปมองเพื่อนทุกคน โดยเฉพาะใครบางคนที่ฝืนกลั้นยิ้ม แม้เพียงเล็กน้อยก็พอจะมองเห็น

       “อ้าว! ไอ้ต่าย ไหนมึงบอกว่ามึงเห็นไอ้วีร์กับแพรไปเดทสวีทหวานแหววกันที่ห้างเมื่อวานไงวะ” ชัยทิศไปถามเจ้าตัวต้นเรื่อง ซึ่งตอนนี้กำลังทำหน้าเหลอหลา เหมือนว่ากำลังจะโดนป้ายความผิดให้อยู่คนเดียว

       “ป่าว กูไม่เห็น เฮียกูเห็น” ศศิทัศน์ทำหน้าเหมือนจะนึกอะไรบางอย่าง “ไม่ใช่ เพื่อนของเฮียกูเห็น เลยแอบถ่ายรูปแล้วส่งมาให้กูดู ถามกูว่าแพรไปเดินกับใครมาไม่เคยเห็นหน้า ก็เท่านั้น”

       “แล้วมึงตอบไปว่าอะไร” วีร์ถามเจ้าตัวต้นเรื่อง

       “กูก็บอกแค่ว่าเป็นเพื่อนในห้อง มาใหม่แต่สนิทกันกับแพรและเพราะบ้านอยู่ใกล้กันเลยกลับด้วยกันมั้ง ประมาณนั้น”

       “แล้วเพื่อนของเฮียมึงนี่คนไหนวะ” สุรศักดิ์หันมาถามทันทีด้วยท่าทีขึงขังมากกว่าเดิม ทำให้วีร์นึกคิดไว้ไม่น่าจะผิดว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน

       “ก็ไอ้หมูเจ้าเดิมไง” ศศิทัศน์ตอบ

       สุรศักดิ์ทำหน้าครุ่นคิดเมื่อได้ยินคำตอบ ส่วนวีร์กำลังลอบมองด้วยหางตา

       “ไอ้หมูไหนวะ” พระยศถามเพราะไม่ค่อยจะคุ้นชื่อ

       “ก็ไอ้หมูนักฟุตบอลโรงเรียนม.6 ไง” เป็นหนึ่งในแฝดนรกที่ตอบ พอเห็นหน้าที่ยังงุนงงของพระยศ อีกคนเลยต้องรับช่วยเฉลย “ไอ้คุณสุกรไงมึง”

       “โถ่ไอ้เชี่ย พวกมึง ชื่อของเขาดีๆเอามาแผลงซะป่นปี้หมด” ถึงตอนนี้พระยศนึกออกแล้วว่าหมายถึงใคร

       “เดี๋ยวกูยังไม่เก็ต ไอ้หมู กับ ไอ้คุณสุกร นี่ใครวะ” วีร์หันมองหน้าเพื่อนรอบตัว “ใครมันบ้าจะตั้งชื่อลูกตัวเองว่า สุกร”

       “เห็นมะ ไอ้พวกแฝดนรก เพื่อนมึงเข้าใจผิดหมด” ศศิทัศน์รีบตัดบทแต่ว่า

       “มึงนะตัวดีเลย!” มากันพร้อมเพรียงในทันที ต่างพุ่งเป้าไปที่ตัวการที่แท้จริงที่เป็นคนเริ่มเอาความคิดนี้มาเผยแพร่ในหมู่เพื่อนๆ

       “เหรอๆ แหะๆ คืองี้ พี่เขาชื่อจริงว่าคุณกร เป็นเพื่อนสนิทเฮียกูเอง ชื่ออ่านว่า คุ-นะ-กอน คนไม่สนิทคนทั่วไปจะเรียกสั้นๆว่าคุณ แต่เพื่อนสนิทๆกันชอบเรียกพี่เขาว่า คุน-กอน ไม่ก็ คุน-สุ-กอน บางทีก็เลยเรียกไอ้หมูไปเลย” ศศิทัศน์อธิบายให้ฟังจนเคลียร์ข้อสงสัยให้กับวีร์ จนเขายกมือทำเครื่องหมายโอเค

       “แล้วพี่เขาตามจีบแพรหรอ ไม่เห็นแพรเคยพูดถึงเลย” วีร์ถามต่อ คำถามคงจะไปโดนใจใครบางคน ‘แต่ทำไมหน้ามึงบานจังเลยวะ พอกูบอกว่าแพรไม่พูดถึง’ วีร์นึกอยู่ในใจพลางมองหน้าเจ้าตัว ซึ่งเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกเขาจ้องมองอยู่

       “เหรอ ไม่เคยพูดถึงเลยเหรอ” แล้วเจ้าตัวก็เผยไต๋ออกมาในทันที

       “ใช่ ไม่เคยพูดถึงเลย” วีร์ลอบมองปฏิกิริยาของเพื่อนตัวดีของเขาแล้วกล่าวต่อ “กูก็เคยถามเขานะ ว่าเคยมีคนมาจีบรึเปล่า” วีร์ทำหน้าเหมือนกำลังพยายามนึกเรื่องราวในอดีตอันไกลโพ้น “เขาก็...” และดึงเวลาก่อนที่จะตอบต่อไป

       “ยังไงละวะ” วีร์กำลังปรบมือให้กับตัวเองในใจเพราะรอบนี้มีกระแทกเสียงจนเพื่อนๆคนอื่นๆหันไปมอง “ก็... เขาตอบว่ายังไงละวะ” นี่คงเป็นเสียงสี่เสียงห้าละสินะ เพราะน้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

       “เขาก็บอกว่าพอมีแวะเวียนมาเรื่อยๆนั่นแหละ แต่เขายังไม่สนใจใคร” วีร์หันไปมองคนที่กำลังเริ่มหน้าบาน “แล้วก็ยังไม่มีใครน่าสนใจพอ” แต่แล้วก็หุบในทันที

       “เขาอาจจะรอคนอย่างมึงอยู่ก็ได้มั้ง” ถึงเวลาของฝาแฝดนรกเริ่มทำงานเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย ตีเรื่องราววกกลับเข้ามาหาเขาอีกจนได้ “ใช่ๆ แบบที่ผ่านๆมา มีแต่คนไม่ได้เรื่องเข้ามาจีบ แต่ตอนนี้คือมึงเลยนะ”

       “กูยืนยันอีกรอบ กูกับแพรเป็นแค่เพื่อนกัน” วีร์ย้ำด้วยความมั่นใจ

       “แน่นะ” “เออ” “แน่สิ” “เออสิ” “ไม่ยั่วนะ” “เออ จะเอาให้จบเพลงเลยมั้ย” “ก็เกือบละ”

       วีร์ได้แต่ส่ายหน้า “มุกตั้งแต่พระเจ้าเหายังจะเอามาเล่นกันอีกนะพวกมึง”

       “มึงนี่ยังไงวะ ผู้หญิงเขาก็สวยน่ารักดี นิสัยก็ดี เรียนก็เก่ง คุยกับเขาตลอด ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ กลับบ้านด้วยกันอีก ไม่มีหวั่นไหวสักนิดเลยหรอวะ” นี่แหละหมัดแย็บนานๆมาที แต่เน้นๆเนื้อๆ ของคุณกระต่าย “ถ้ามึงเป็นเกย์ ก็ว่าไปอย่าง พวกกูจะได้เลิกถามกันสักที”

       “อืมม ก็ใช่” แล้ววีร์ก็มองหน้านิ่งๆเพื่อนทีละคน

       “...”

       “เดี๋ยว มึงบอกว่าอะไรนะ ขออีกหนึ่งรอบ” “ใช่ๆ คือพวกกูอาจจะฟังผิดไป ขอชัดๆอีกรอบนึง” นพชัยและชัยทิศพร้อมใจกันถาม

       “ก็ใช่ไง” วีร์ตอบทีละคำเน้นๆอย่างไม่สะทกสะท้าน “กู. เป็น. เกย์.”

       “...” เพื่อนทุกคนได้แต่อ้ำอึ้งกับสิ่งที่เพิ่งจะรู้มาหมาดๆ ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าตัวคาดการณ์ไว้มาก่อนบ้างแล้ว หากเพื่อนกลุ่มใหม่นี้รับไม่ได้กับสิ่งที่เขาเป็น เขาก็พอทำใจได้และพร้อมจะถอยห่างออกมาในทันที

       “เอ่อ... คือ... แล้วแบบว่า... ทำไมมึงไม่เคยบอกละวะ” “เออๆ... นั่นสิ... ทำไมวะ ไม่เห็นจะเคยพูดถึง”

       “ก็พวกมึงไม่เคยถาม” วีร์ตอบพร้อมกับยักไหล่ประมาณว่าช่วยไม่ได้ที่ไม่มีใครเคยสงสัยสะกิดใจอะไรกันมาก่อน ส่วนภายในใจก็รู้สึกโล่งในทันทีเพื่อนแฝดพยายามทำลายความเงียบขึ้นมา โดยที่ไม่ได้มีทีท่ารังเกียจอะไรในตัวตนของเขา

       “อ้าว!” เพื่อนๆพร้อมใจประสานเสียงกัน

       “แล้ว... แพรรู้รึป่าวว่ามึงเป็น... เอ่อ...” ศศิทัศน์อยากจะพูดต่อ แต่ยังไม่ชินที่จะเรียกเพื่อนไปแบบนั้น

       “คนแรกในโรงเรียนที่รู้ ก็แพรนี่แหละ” วีร์ตอบข้อสงสัย

       “อ้าวมึง! ทีกับแพรทำไมมึงบอกได้ละวะ” “แต่กับพวกกูทำไมถึงไม่ยอมบอก” “พวกกูเป็นเพื่อนมึงนะ” “หรือมึงไม่เห็นพวกกูเป็นเพื่อน“ “พวกกูมันไว้ใจไม่เลยเลยว่างั้น” ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างรุมถาโถมด้วยคำถามอย่างกับลมพายุไม่ปาน

       “เดี๋ยวๆมึง อย่าเพิ่งวกเข้าดราม่า” วีร์พยายามหยุดอารมณ์ของเพื่อนสองคนนี้ก่อนโดยเขาเองเริ่มมีสีหน้าเปื้อนยิ้มมาได้อีกครั้ง “ที่เขารู้เพราะเขาถาม กูก็เลยตอบ ส่วนพวกมึงไม่มีใครเคยถามกูนี่หว่า”

       “ก็พวกกูดูไม่ออก” “พวกกูใช่คนในวงการซะที่ไหนกันเล่า” ยังคงเป็นนพชัยและชัยทิศที่ยังคอยประสานเสียงสอบถามเรื่องราวอยู่ตลอด

       “ขอกูประมวลผลแป๊บนะ มึงไม่ได้คิดอะไรกับแพร” ศศิทัศน์ถามย้ำ วีร์ก็ส่ายหน้าตอบ “มึงไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิง” วีร์ส่ายหน้าอีกครั้ง “มึงชอบผู้ชาย” วีร์พยักหน้า “แล้วเอ่อ... คือ... มึงชอบใครในพวกกูรึป่าววะ” วีร์มองหน้าเพื่อนๆทีละคน แล้วมองซ้ำอีกรอบ ก่อนส่ายหน้าตอบ

       “เฮ้อ!~”

       “พร้อมเพรียงกันเชียวนะพวกมึง”

       “ไอ้เชี่ย กว่าจะตอบ” “ใจกูตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม” นพชัยชัยทิศพร้อมใจกันเอามือตบหน้าอก

       “มึงไม่เคยคิดเลยหรอ” พระยศถามด้วยความสงสัย

       “เออ” วีร์ตอบย้ำ

       “สักนิดก็ไม่มีหรอ” พระยศยังถามย้ำอีก

       “เออ... หรือมึงอยากให้กูคิด” วีร์ตอบ จนพระยศต้องรับยกมือทั้งสองข้างส่ายปฏิเสธ

       “ไมวะ พวกกูไม่มีดีตรงไหนว๊า” “นั่นดิ พวกกูออกจะรูปหล่อ บ้านก็รวย กล้ามเป็นมัดๆ” ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างก็ทำท่าทางเบ่งกล้ามโชว์ทั้งๆที่ไม่ค่อยจะมี “ไม่โดนใจมึงเลยหรอวะ” “อย่างเงี้ย อย่างเงี้ย เป็นไง” ทั้งสองคนยังไม่เลิก จนวีร์ต้องอมยิ้มส่ายหน้า

       “เมื่อกี้ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มไม่ใช่หรอมึง” จากนั้นวีร์จึงหันไปหาพระยศ “แล้วไมมึงถึงคิดว่ากูต้องชอบใครสักคนในพวกมึงด้วยวะ” แต่วีร์ก็หมายจะถามเพื่อนทุกคน

       “ก็มึงเป็นเกย์ มึงก็... ต้องชอบผู้ชายอยู่แล้วปะวะ พวกกูก็ผู้ชาย...” พระยศยังคงสงสัยอยู่อีก วีร์ถึงกับกรอกตามองบนพร้อมกับถอนหายใจ

       “เอางี้นะ น้องเฟิร์นที่ซื้อขนมมาฝากมึงเมื่อวาน ทำไมมึงไม่ชอบเขาละวะ” วีร์ถามพระยศกลับ โดยยกเอาสถานการณ์จริงมาด้วย จะได้เข้าใจกันง่ายๆ

       “เห้ยจริงหรอวะ ทำไมกูยังไม่รู้เรื่องนี้วะ มึงรู้มั้ย” แฝดน้องหันไปถามแฝดพี่ “กูก็เพิ่งรู้นี้แหละ” “กิ้วๆๆ ไอ้พระยศมีเด็กมาจีบแล้วโว้ย”

       “พวกมึง หยุด! กูยังสยองน้องเขาไม่หายเลย” พระยศรีบปฏิเสธทันทีทันควัน

       “นี่มึง อย่าพูดถึงน้องเขาในทางเสียหาย ยังไงเขาก็เป็นผู้หญิง” วีร์พูดพร้อมกับชี้หน้าพระยศ

       “ก็น้องเขา...”

       “ยังอีก... เห็นมะ มึงก็ผู้ชาย น้องเขาก็ผู้หญิง ทำไมมึงไปชอบกันไปเลย หรือว่ามึงไม่ชอบผู้หญิง แล้วเป็นเกย์อีกคนนึง” วีร์พยายามอธิบายให้ฟัง

       “ไม่ ไม่ ไม่” พระยศรีบตอบพร้อมส่ายหน้าเป็นพัลวัน

       “แล้วอย่างกูเนี่ย ถึงกูจะไม่ได้คิดอะไรกับผู้หญิง แต่กูจำเป็นจะต้องชอบผู้ชายคนไหนก็ได้บนโลกนี้มั้ย” วีร์ถามย้ำอีกครั้ง

       “เออ กูเก็ทแล้ว” พระยศตอบ “ถามมาได้ ชอบน้องเฟิร์นรึเปล่า นึกแล้วก็บรึยย์”

       “ยังอีก” วีร์ชี้หน้าอีกครั้ง ถึงน้องเฟิร์นที่กล่าวถึงจะไม่ใช่คนสะคนสวย หรือรูปร่างผอมเพรียว ไม่ชอบไม่ถูกใจก็ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่ควรถูกเอามาพูดในทางเสียหาย

       “เรื่องกูกับแพร เคลียร์นะ” วีร์ถามย้ำกับทุกคน ทุกคนก็พยักหน้ารับ “แน่นะ” วีร์ถามย้ำอีกครั้ง บางคนก็พยักหน้า บางคนก็ยกมือเครื่องหมายโอเค

       เอาเป็นว่าจบไปอีกเรื่องหนึ่งแล้ว แต่วีร์ยังสองจิตใจกับเรื่องใหม่ที่เพิ่งรู้มาว่าเขาควรจะช่วยสุรศักดิ์หรือเปล่า แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าแพรพรรณจะมีใจให้กับสุรศักดิ์ด้วยหรือไม่ เพราะเรื่องแบบนี้มันบังคับกันไม่ได้ บทจะมามันก็มาของมันเองและบางคราก็มาแบบไม่ทันให้ได้ตั้งตัวเสียด้วย

*****

[โปรดติดตามตอนต่อไป] (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=72633.msg4056154#msg4056154)
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 04-04-2021 13:38:15
2. แรกพบสบตา

       ช่วงหลังสอบก็เป็นเวลาของการทำรายงานแต่ละวิชา บางวิชาวีร์ก็ได้อยู่กลุ่มเดียวกับเพื่อนๆซึ่งมีคุณกระต่าย ศศิทัศน์เป็นที่พึ่ง แต่บางวิชาอาจารย์เป็นคนจับกลุ่มให้ ก็ตัวใครตัวมัน ส่วนเขานั้นบังเอิญได้อยู่กลุ่มเดียวกับแพรพรรณทำให้รอดตัวไปได้ จากช่วงเวลาพักกลางวันเดิมทีเป็นเวลานั่งเล่นพูดคุยสนุกสนาน ก็ต้องเอามาเป็นเวลาปั่นรายงานกันให้เสร็จก่อน

       “ไอ้ตี๋เล็ก ไอ้ตี๋เล็ก มานี่ดิ” เสียงใครบางคนดังขึ้นที่ประตูหน้าห้อง เป็นเพราะว่าตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่นี่วีร์ยังไม่เคยได้ยินใครเรียกเพื่อนให้ห้องเช่นนั้นมาก่อน เขาจึงเงยหน้าขึ้นและหันไปมองใครคนนั้นที่ยืนอยู่ที่นอกประตู สายตาจึงประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ต่างคนต่างมองกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะละสายตาออกก่อนแล้วก้มหน้าทำรายงานตามเดิม แต่แล้ว

       “อ้าวเฮีย มีไร” เป็นศศิทัศน์ที่ตอบกลับแล้วรีบลุกขึ้นเดินไปหน้าห้อง

       จะว่าไปแล้ววีร์เองก็ไม่รู้เคยว่าพี่ชายของศศิทัศน์ชื่ออะไร รู้เพียงแค่ว่าเขามีพี่ชายเรียนอยู่ชั้น ม.6 นอกจากนั้นแล้วก็ไม่รู้อะไรไปมากกว่านั้นอีกเลย วีร์จึงมุ่งความสนใจกลับไปเรื่องที่สำคัญกว่า ก็คือรายงานที่ต้องรีบทำส่งให้เสร็จต่อไป

       “ก็เรื่องที่เฮียบอกลื้อไง ได้รึยัง เพื่อนเฮียตามยิกๆแล้ว” เสียงพูดคุยเบาลงเมื่อคู่สนทนาเดินเข้าไปใกล้แล้ว แต่ยังจะพอจะจับใจความได้อยู่บ้าง

       “เฮ้ยเฮีย เพิ่งบอกเมื่อวานเองไม่ใช่หรอ จะรีบไปไหน”

       “อ้าวไอ้ตี๋เล็ก ลื้อไม่ได้มีอยู่แล้วหรอวะ”

       “ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นปะละ”

       “ไหนลื้อบอกว่าหาให้ได้ไง เพื่อนเฮียก็ดีใจเก้อสิวะ”

       “อั้วไม่ได้สนิท เพื่อนอั้วโน้นที่สนิทด้วย กะว่าจะขอผ่านให้”

       “อ้าว!” เสียงร้องของบุคคลที่สามดังแหวขึ้นมา

       “เฮ้ย! เฮียหมู ถ้าอยากได้เร็วๆขนาดนั้น ก็เดินเข้าไปขอเขาเองเลยไป ไหนๆอุตส่าห์เดินมาถึงนี้แล้ว”

       ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจฟังจนรู้เรื่องโดยละเอียด แต่วีร์คิดว่าเขาพอจะเดาออกว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น คนที่มาเรียกเป็นพี่ชายของศศิทัศน์ที่อยู่ชั้นม.6 หน้าตาละม้ายคล้ายออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ขาวตี๋ ขวัญใจสาวกโอปป้าเฉกเช่นเดียวกับคนน้อง กับคนที่ถูกพูดถึงอีกคนคงจะเป็นเฮียหมู หรือคุณสุกร หรือชื่อจริงๆก็คือคุณกร ที่เป็นหัวข้อสนทนาของพวกเขาเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน คงอยากจะได้อะไรสักอย่างของแพรพรรณเป็นแน่

       “นั่นดิมึง กล้าๆหน่อยดิวะ อยากได้มันต้องรุก มันต้องบุก เท่านั้น”

       “ถ้ากูกล้าตั้งแต่แรก กูจะขอให้มึงช่วยมั้ย ไอ้สาด”

       “แล้วมึงกลัวอะไรหนักหนาวะ”

       “ก็ถ้าเกิดกูขอแล้วเขาไม่ให้ละมึง จะทำไง”

       “ก็ตื้อขอใหม่สิวะ ยากอะไร”

       คนถูกยุได้แต่ทำหน้าแหยงๆ ส่วนผู้เป็นเพื่อนก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วก็ทำหน้าคิดไปคิดมาอยู่สักพัก

       “เอางี้ มึงดูกูนะ”

       ทันใดนั้นเฮียสุดที่รักของอาตี๋เล็กต่ายก็หายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะพ่นลมฮึดออกมา แล้วจึงเดินเข้าไปในห้อง จุดมุ่งหมายอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่วีร์และแพรพรรณนั่งทำรายงานกันอยู่ เพียงแต่ว่าจุดที่เขาหยุดยืนอยู่นั้น ไม่ได้อยู่ตรงหน้าเด็กสาว

       “ขอโทษครับ น้องวีร์ใช่มั้ยครับ”

       วีร์เงยหน้าขึ้นมองตามที่ถูกเรียก ตัวเขาเองไม่ทันคาดคิดจริงๆว่าจะเป็นคนที่ถูกเรียก จากเดิมที่คิดไว้ว่าจะเป็นแพรพรรณเสียอีก

       “ครับ”

       “พี่ก็ชื่อวีนะครับ เราชื่อเหมือนกันเลย พี่เป็นพี่ของต่ายอะครับ”

       “อ๋อ ครับ” วีร์ตอบรับสั้นๆ เพราะไม่รู้จะตอบอะไรไปมากว่านี้ และยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่แน่ชัดว่าทำไมพี่ชายของเพื่อนถึงเข้ามาคุยกับเขา

       “คือว่าจะรังเกียจมั้ยครับ ถ้าพี่จะขอแอดไลน์น้องวีร์อะครับ”

       “หะ... เอ่อ...” เมื่อเจอเข้ากับตัวซึ่งๆหน้าแบบนี้ แม้แต่วีร์เองก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน

       “ว่ายังไงครับ ได้หรือเปล่า” หน้าตาพี่วีดูยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่สะทกสะท้านกับสายตาคนรอบห้องที่กำลังมองมาอยู่ในขณะนี้ เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้นมา

       “เห้ย! เฮีย เอาจริงเหรอ” ศศิทัศน์ที่เดินตามหลังมาติดๆ ก็ดูจะอึ้งๆกับพฤติกรรมของพี่ชายตัวเองอยู่เหมือนกัน

       “อืม ก็เอาจริงสิ เนี่ยเฮียรอน้องวีร์แอดไลน์ให้อยู่” ดูท่าทางแล้วคนพี่จะดูเปิดเผยกว่าคนน้องอยู่มากนัก พูดแล้วก็ยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้า “ว่าไงครับ ได้ใช่มั้ยครับ”

       วีร์มองดูโทรศัพท์ในมือตรงหน้า ที่พร้อมเปิดหน้ารอสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อเพิ่มชื่อไว้แล้ว แล้วเขาก็หันไปมองแพรพรรณที่นั่งอยู่ข้างๆ เหมือนพยายามถามความเห็น แพรพรรณก็ได้แต่ยักไหล่ตอบกลับพร้อมกับแซวด้วยร้อยยิ้ม วีร์คิดอยู่ในใจว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไรดี เพราะคนตรงหน้าคือพี่ชายของเพื่อนซึ่งน่าจะไว้ใจได้ว่าไม่ได้คิดจะเอาไลน์ของเขาไปทำอะไรเสียหาย และก็คงอยากจะสร้างความมั่นใจให้เพื่อนของพี่เขาเองเท่านั้น หรือว่าเขาควรจะปฎิเสธไปดีกว่าเพราะว่าอีกฝั่งหนึ่งคือคู่แข่งของเพื่อนใหญ่ของเขาเอง ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่ตรงหน้าอีกครั้ง

       วีผู้พี่ก็ยิ้มให้และพยักหน้าเล็กน้อยเชิงคำถามว่าตัดสินใจได้หรือยัง

       แล้ววีร์ผู้น้องก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับเปิดแอพพลิเคชั่นไลน์ และเข้าไปที่หน้าแสดงคิวอาร์โค๊ด ให้เครื่องของเฮียวีสแกนไป

       “ขอบคุณครับ แล้วเดี๋ยวพี่ทักไปนะครับ” เฮียวีพูดจบพร้อมยิ้มให้อีกครั้ง แล้วจึงเดินออกไปหาเพื่อนเขา “เอาไงมึง กูทำให้ดูแล้ว เห็นมะ ยากตรงไหน”

       “ก็กูไม่กล้า” เฮียหมู หรือคุณกรก็ยังคงกล้าๆกลัวๆอยู่เหมือนเดิม

       “เรื่องของมึงละกัน จะเอาไงก็รีบๆเข้า กูได้ของกูแล้ว กูไม่รอมึงละนะ” ว่าแล้วพี่วีก็เดินกลับออกไปเลย ส่วนเพื่อนเขายืนเก้ๆกังๆอยู่ที่หน้าห้องต่อไปได้ไม่นานก็รีบตามเพื่อนรักไปโดยที่ยังไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลย

       วีร์หันกลับมามองหน้าแพรพรรณ

       “ไม่ต้องแซว”

       ส่วนแพรพรรณก็ได้แต่ยิ้มขำๆไป

*****

วีรมาตุ ราวัณ:
น้องวีร์ครับ
อยู่กับไอ้ตี๋เล็กรึป่าวครับ
VeeraVorra:
กำลังเล่นบาสอยู่ด้วยกันครับ
วีรมาตุ ราวัณ:
งั้นพี่ฝากบอกไอ้ตี๋เล็กให้หน่อย ว่ารับไลน์คอลของพี่ด้วยครับ
VeeraVorra:
ได้ครับ เดี๋ยวบอกให้
วีรมาตุ ราวัณ:
ขอบคุณครับ
(emoticon smile)

*****

       “ไอ้ต่าย เฮียมึงบอกให้รับไลน์คอลด้วย” วีร์ตะโกนบอกเพื่อนที่กำลังเล่นบาสเก็ตบอลกันอยู่ ส่วนตัวเขาขอออกมานั่งพักเหนื่อยอยู่ก่อนแล้ว เป็นจังหวะพอดีกับมีข้อความจากพี่ชายของเพื่อนส่งผ่านมาทางแอพพลิเคชั่นไลน์

       “ไรว๊า เดี๋ยวนี้จะตามน้องนุ้ง ต้องฝากแฟนมาบอกด้วยหรอเนี่ย” ศศิทัศน์เดินมาหยิบโทรศัพท์ของตัวเอง แล้วจึงเปิดดูข้อความเก่าๆ ก่อนที่จะกดไลน์คอลกลับไปหาพี่ชายตัวเอง

       “เดี๋ยวเถอะมึง มึงกับกูมาต่อยกันสักทีดีมั้ย แซวกูดีนัก”

       “หูย กูไม่กล้า ต่อยกับอาซ้อมีแต่แพ้กับแพ้”

       “ไอ้เชี่ยนี่ วอนสักหมัดนะมึง” วีร์ทำท่าจะลุกขึ้นยืนจริงๆ จนเพื่อนของเขาต้องรีบวิ่งหนีออกไปก่อน

       ส่วนคนอื่นๆที่เหลือ ก็เดินตามมานั่งพักเหนื่อยกันบ้าง

       “สรุปว่ายังไงมึง เฮียวีตามจีบมึงหรอ” แฝดนรกผู้อยากรู้อยากเห็นไปทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของคนอื่น “กูว่าใช่แน่ๆ” “ใช่มั้ยมึง” “ใช่มั้ย”

       วีร์หรี่ตามองเพื่อนคู่แฝดประมาณว่า ‘พวกมึงจะหาเรื่องกับกูอีกคนใช่มั้ย’

       “มึงก็ตอบมาดิว้า พวกกูจะได้เลิกถาม” “ใช่ ก็แค่ตอบมา จีบก็คือจีบ ไม่ก็คือไม่ กูจะได้ไปเสือกเรื่องอื่นต่อ เร็วๆ”

       “แบบตอนที่พวกมึงช่วยกันเสือกเรื่องกูกับแพรอะนะ” วีร์รื้อฟื้นความหลังที่ผ่านไปไม่นานนัก ที่เขาต้องตอบคำถามเดิมๆเป็นร้อยๆครั้ง แต่พวกเพื่อนๆเขาก็ยังจะถามกันอยู่นั่นจนกว่าจะได้คำตอบที่พวกเขาพอใจ

       “ไม่เหมือนกันปะวะ อยู่ๆมึงกับแพรก็สนิทกันจริงจัง” “ใช่ๆ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด” “มันกระตุ้นต่อมความอยากรู้อยากเห็นของกูตลอดเวลา” “เรียกง่ายๆว่าต่อมเสือก” “มึง ไว้หน้าพี่น้องมึงมั่งนะ” “หรือมึงไม่อยากเสือก” “เออกูอยากเสือก แล้วจะทำไม” “ก็ไม่ทำไม” “หรือมึงไม่อยากเสือก” “กูอยากเสือกกูก็ยอมรับว่ากูเสือก” “เห็นมะ มึงก็....”

       “โว้ย! พอ! หยุด! ทั้งคู่เลย กูรำคาญ” วีร์ถอนหายใจ “กูตอบแล้ว”

       “ก็แค่นั้น” แล้วแฝดนรกก็ยกมือขึ้นตบเข้าด้วยกัน

       “เอางี้ สำหรับกูนะ กูไม่ได้รู้สึกว่าพี่เขาจะมีท่าทีจะจีบหรืออะไรกับกูเลย นับตั้งแต่วันที่ขอไลน์กูไปก็แทบจะไม่ได้ทักอะไรกูมาสักเท่าไหร่ จะมีก็แบบเมื่อกี้ที่พี่เขาติดต่อไอ้ต่ายไม่ได้จริง เขาก็จะลองถามมาทางกู ก็เท่านั้น”

       “แล้วมึงจะหงุดหงิดอะไรนักวะ” สุรศักดิ์ถาม

       “เขาไม่คุยมาสักทีก็เลยหงุดหงิดว่างั้น” “แหม อยากจะเติมม.ม้าให้ยาวไปถึงดาวพลูโต” ฝาแฝดเริ่มจะรุมเล่นงานวีร์ต่ออีกครั้ง

       “มันหงุดหงิดเรื่องอะไรวะ” ศศิทัศน์ที่คุยกับพี่ชายเสร็จแล้วก็เดินกลับมารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ

       “กูไม่ได้หงุดหงิด กูรำคาญเสียงสองเสียงสามของไอ้พวกแฝดนรกเนี่ย เซ้าซี่กูอยู่ได้” วีร์ทำท่าเอือมระอากับพฤติกรรมของเพื่อนคู่แฝด “ส่วนกับพี่เขากูเฉยๆก็ไม่ได้คิดอะไร จะคุยด้วยหรือไม่คุยกูไม่ได้ใส่ใจ ส่วนที่ว่าพี่เขาจะคิดยังไง ถ้าพวกมึงที่รู้จักคนพี่มาก่อนกูยังไม่รู้ ก็ลองถามคนน้องดูเอาเองสิวะ”

       “หมายถึงอาเฮียกูหรอ” ศศิทัศน์ถาม

       “เออ อาเฮียของมึง กูยังงงจนถึงทุกวันนี้อยู่เลยว่าเขาจะมาขอไลน์กูแต่แรกทำไมวะ” แต่ท่าทีของเพื่อนของเขาที่ดูน่าสงสัยขึ้นมาในทันทีทำให้ต้องถามต่อ “หรือมึงมีอะไรไม่บอกกู พูดมา”

       เพื่อนๆต่างหันไปมองคนที่กำลังมีท่าทางเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าแอบกินลูกอมกลางดึก

       “ว่าไงมึง ปกปิดอะไรกูอยู่” วีร์หรี่ตาจ้องหน้าเพื่อนตัวดีของเขา

       “ก็ แบบว่าๆ ก่อนหน้านี้เฮียมาสืบข่าวเรื่องแพรให้เฮียหมูตามปกตินั่นแหละ ถามไปถามมาว่าแพรสนิทกับใครบ้าง เลยต่อเนื่องยาวมาถึงมึง ว่ามึงกับแพรอะไรยังไงกันรึเปล่า กูก็ยืนยันไปว่าไม่มีอะไร แต่แบบเฮียไม่เชื่อไง ซักกูอยู่นั่นจนกูหลุดปากไปว่ามึง... ก็ แบบว่าๆ... ไม่ได้ชอบผู้หญิง แหะๆ” ศศิทัศน์ยิ้มเจื่อนๆพร้อมกับทำตัวเองให้ดูตัวเล็กตัวน้อยที่สุด

       “นั่นไง กูว่าแล้ว” วีร์ได้แต่ส่ายหน้า

       “แล้วเฮียมึงเป็นเกย์ด้วยหรอวะ” “เออ นั่นสิ ก็เลยมาตามจีบไอ้วีร์มันได้” “ต้องใช่แน่ๆ” “ใช่มั้ยมึง”

       “อันนั้นกูก็ไม่รู้จริงๆวะ ว่าเฮียกูเป็นไม่เป็น” ศศิทัศน์เองก็จนใจจะตอบคำถามนี้ได้

       “แต่เฮียมึงเป็นคนมาขอไลน์ไอ้วีร์ไปเองนะ” พระยศหันไปถามเพื่อนของเขา

       “แต่กูว่าเฮียเขาแค่กะจะขอไลน์กูเป็นตัวอย่างให้เพื่อนเขาดูมากกว่า ก็ดูท่าทางพี่แกจะป๊อดซะขนาดนั้น” วีร์พูดจบแล้วก็หยักไหล่

       “แล้วกับแพรละ” “นั่นสิแล้วกับแพรละ... แต่... แล้วเกี่ยวอะไรกับแพรอีกวะ” ตอนนี้ฝาแฝดเริ่มจะตีกันเองอีกแล้ว

       “เดี๋ยวๆ พวกมึงหยุดตีกันก่อน มึงจะถามเรื่องอะไรห๊ะ ไอ้กิ่ง”

       “มึงอย่าเพิ่งขัดกูสิ ไอ้เชี่ยก้าน... เรื่องแพร กูแค่อยากรู้ว่าตอนนี้คิดยังกับไอ้หมู วันนั้นมันก็เห็นๆกันอยู่ว่าพี่มันตั้งใจจะมาขอไลน์แพร แต่ไม่ได้ไป” “เออใช่ๆ ว่าไง”

       “ก็ไม่ว่ายังไง ก็เหมือนเดิม ในเมื่อไม่กล้าไปขอเอง ไม่มีโอกาสได้พูดคุยได้รู้จัก จุดเริ่มต้นมันไม่มี แล้วจะให้สานต่อยังไง ใช่มั้ยมึง” วีร์ถามทั่วๆไป แต่หันหน้าตรงไปทางสุรศักดิ์เต็มๆ ส่วนตัวสุรศักดิ์ได้ยินดังนั้นก็ได้ก้มหน้า เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่กล้าอยู่เหมือนกัน ส่วนแฝดนรกก็จะพอมองดูพากันสะกิดไปมาให้ดูเพื่อนของพวกเขา

       “สรุปว่าเพื่อนสนิทเฮียกูไม่มีอะไรให้หวังว่าเลยว่านั้น” ศศิทัศน์ถาม วีร์ได้แต่ยักไหล่ตอบ “งั้นก็ช่างมัน กูก็รำคาญแม่งเหมือนกัน ทุกวันนี้ยังมาตามตื้อให้กูไปขอไลน์แพรให้อยู่เลย กูละเบื่อ”

       “เออเลิกพูดถึงพี่มันเถอะว่ะ ว่าแต่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย” วีร์พูดขึ้นพลางควานหาโทรศัพท์เพื่อดูเวลา

       “เกือบ 5 โมงแล้ว มึงรีบกลับหรอ” ศศิทัศน์ที่มีโทรศัพท์ถืออยู่ในมืออยู่แล้ว แค่พลิกดูแล้วตอบเพื่อนไป

       “ป่าว วันนี้พี่กูทำโอ กลับดึก เลยบอกให้กูหาอะไรกินไปเลยก่อนกลับ กูว่าจะแวะไปกินที่ร้านมึงนะไอ้ใหญ่”

       “ก็ อืมม เอาสิ พวกมึงไปด้วยมั้ย จะได้เดินออกไปพร้อมกันเลย”

       “ไม่รู้ว่ะ กูกับไอ้กิ่งกำลังคิดจะไปแวะร้านเกมก่อนกลับ” ชัยทิศก็ทำมือเหมือนกำลังบังคับคอนโซลเกม

       “แล้วมึงเอาไง ไอ้พระยศ ไอ้ต่าย” สุรศักดิ์ถามสองคนที่เหลือ

       “กูไปไม่ได้วะ วันนี้ผู้กำกับฯออกเวร เดี๋ยวกูต้องรีบกลับบ้าน” พระยศบ่นปนเสียดายเวลาสังสรรค์กับเพื่อนๆ

       “ของกูก็ไม่ได้เหมือนกัน วันนี้อาม่านึกคึกลงครัวเอง เมื่อกี้เฮียก็บอกให้รีบกลับบ้านได้แล้วอย่างด่วน โทษทีวะ” วันนี้อาตี๋ก็โดนเรียกตัวเหมือนกัน

       “เฮ้ย! ไม่เป็นไร ตามสบายเลยพวกมึง ไว้คราวหน้าก็ได้ ร้านไอ้ใหญ่ยังไม่รีบย้ายไปไหน” ว่าแล้ววีร์ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเอง “งั้นเดี๋ยวกูไปก่อนนะ”

       “เดี๋ยว!” ศศิทัศน์ร้องเสียงดังขึ้นจนเพื่อนๆทุกคนหันไปมอง “ทุกคนหยุดอยู่กับที่ ห้ามขยับไปไหน”

       เพื่อนแต่ละคนได้แต่มองหน้ากันไปมา เพราะไม่มีใครเข้าใจว่าเพื่อนตี๋ของเขาต้องการอะไรถึงได้ส่งเสียงร้องห้ามออกมาแบบนั้น โดยที่เจ้าตัวหันรีหันขวางมองซ้ายทีขวาทีเหมือนกำลังมองหาอะไรสักอย่างหนึ่ง

       “ฟ่าง” ศศิทัศน์ตะโกนเรียกใครสักคนที่อยู่ในสนามบาสเก็ตบอลติดกัน “ไอ้ฟ่าง ช่วยอะไรกูหน่อย”

       ผู้ถูกเรียกเดินเข้ามาหาอย่างงงๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกันแต่ก็พอจะรู้จักผ่านหน้าผ่านตากันบ้าง

       “มีไรวะ”

       “ถ่ายรูปให้พวกกูหน่อย” ศศิทัศน์บอกพลางยื่นโทรศัพท์มือถือให้คนที่เพิ่งมาใหม่ คนถูกไว้วานก็รับมาอย่างงงๆ แต่ก็ช่วยทำตามที่ได้ถูกร้องขอ “เอาท่านี้เลยนะ” ศศิทัศน์บอกกำกับทั้งคนถ่ายรูปและคนถูกถ่าย

       “พร้อมนะ 1... 2... 3... อีกรูปนึง” แล้วเขาก็ถ่ายรูปซ้ำอีกครั้งให้ไว้สำหรับเผื่อเลือก “อื้อหือ เรียงตามสีผิวเลยหรอมึง” เขาถามก่อนจะคืนโทรศัพท์ให้เจ้าของเครื่องไป

       “ใช่ๆ มันบังเอิญได้พอดี แต้งกิ้วหลายๆ” ศศิทัศน์กล่าวขอบคุณแล้วก็โบกมือลาให้กับที่มาช่วยให้ภารกิจเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วนของเขาลุล่วงไปได้ด้วยดี ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนของเขาเอง

       “ไหนๆ เอามาดูดิ” “เออ.. เอามาดูด้วย” สองแฝดเข้ารีบมารุมดูรูปในทันที

       เป็นรูปพวกเขาที่เรียงตามลำดับ โดยเป็นศศิทัศน์ที่ยืนอยู่ซ้ายสุด ตามมาด้วยสองแฝดนพชัยชัยทิศและพระยศที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ม้านั่งยาว จากนั้นจึงเป็นวีร์และสุรศักดิ์ที่ยืนอยู่ขวาสุดของรูป

       “ส่งให้พวกกูด้วย”

       “ได้ๆ”

       “กูไปได้ยัง” วีร์ถามท่านผู้กำกับการถ่ายรูปประวัติศาสตร์ในครั้งนี้

       “ตามสบาย กูก็จะไปแล้วเหมือนกัน”

       “เออ งั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้” แล้ววีร์ก็ได้ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ก่อนไป “ไอ้ใหญ่มึง เดี๋ยวเจอกันที่ร้าน กูจะไปรับแพรที่ห้องสมุดก่อน กินเสร็จแล้วเดี๋ยวพ่อเขาจะมารับกลับบ้านด้วยกัน”

       “อืมได้... ห๊ะ อะไรนะ!” สุรศักดิ์ดูรุกรี้รุกรนขึ้นมาทันที

       “กูให้เวลามึงกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด เตรียมตัวเป็นพ่อครัวรอต้อนรับ แต่อย่าช้านะมึง”

       “เดี๋ยวๆ ไอ้วีร์ จริงหรอ เรื่องจริงใช่มั้ย ไอ้วีร์” สุรศักดิ์ตะโกนไล่หลังวีร์ที่เดินไปห้องสมุดแล้ว

*****

       “มาแล้ว มาแล้ว ข้าวหมูแดงหมูกรอบ พร้อมน้ำซุปกระดูกหมูของมึงนะไอ้วีร์ แล้วก็เกาเหลาทะเลลูกชิ้นปลาของแพร” สุรศักดิ์ยกถาดใส่อาหารใบใหญ่มาเสิร์ฟ แล้วจัดแจงวางลงบนโต๊ะตามที่สั่งของแต่ละคน “เรียบร้อย จะเอาอะไรเพิ่มบอกได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” เขายิ้มให้ และกำลังจะเดินออกไป

       “อ้าว! แล้วของมึงอะ ไม่มากินด้วยกันเลยวะ” วีร์ถามเพื่อนซี้ของเขา

       “วันนี้ไม่ได้ว่ะ กูต้องดูร้าน แม่กูนอนป่วยอยู่ข้างบน กูต้องอยู่ช่วยพ่อกูก่อน”

       “อ้อ เหรอ เออๆ เสียดายวะไม่ได้นั่งคุยกัน”

       แล้วสุรศักดิ์ก็โบกไม้โบกมือบอกไม่เป็นไร ก่อนจะเดินกลับไปทำงานต่อ วีร์นึกเสียดายที่ผิดไปจากแผนที่วางไว้ไปสักหน่อย มันเป็นเหตุสุดวิสัยช่วยไม่ได้จริงๆ แต่อย่างน้อยเขาเลือกที่จะนั่งด้านนี้ซึ่งมองไปทางด้านหลังร้าน แล้วให้แพรพรรณนั่งอีกฝั่งซึ่งหันหน้าไปทางหน้าร้าน ที่ตั้งของโต๊ะเตรียมอาหารที่สุรศักดิ์กำลังเดินกลับไปทำงานต่อ โดยอ้างว่าถ้ารถของพ่อแพรพรรณมาถึงจะได้เห็นได้ทันที และอย่างน้อยแพรพรรณก็จะได้เห็นอีกมุมหนึ่งของสุรศักดิ์ ที่ตั้งใจทำงาน และทำจริงๆแถมยังทำได้ดีอีกด้วย

       “ชามะนาว กับนมเย็นค่ะ” เด็กหญิงตัวเล็กๆ เอาน้ำมาเสิร์ฟให้ทั้งสองคน

       “ขอบใจจ๊ะหนูเล็ก แล้ววันนี้ใครไปรับกลับละ” วีร์ถามไถ่น้องนุชคนสุดท้องของบ้านนี้ เขาแวะมากินอาหารที่นี่บ่อยจนคุ้นเคยกับคนบ้านนี้ทั้งบ้าน โดยปกติถ้าไม่ใช่คุณพ่อก็จะเป็นคุณแม่ที่ไปรับสิริศักดิ์กลับ แต่วันนี้ผู้เป็นแม่ไม่สบายผู้เป็นพ่อก็ติดภาระดูแลร้านอีก

       “พี่กลางไปรับกลับมาค่ะ ตอนหนูเล็กเห็นพี่กลางยืนรออยู่ก็ตกใจเลย คิดมีใครเป็นอะไรร้ายแรงแน่ๆ พอพี่กลางบอกว่าแม่ไม่สบายก็รีบกลับกันมาเลย”

       “แล้วนี่แม่เป็นไงบ้างแล้วละ”

       “ก็นอนพักอยู่ข้างบน จริงๆแม่ก็บอกนะว่าดีขึ้นแล้วนะ แต่พ่อไม่ยอมให้ลงมา เลยให้นอนพักต่อ”

       “แล้ววันนี้หนูเล็กช่วยทำอะไรบ้างละหืม”

       “ก็เหมือนปกติชงน้ำ แล้วก็ช่วยพี่กลางเสิร์ฟ เก็บจานเช็ดโต๊ะ ทำหมดยกเว้นชุดใหญ่ยังไม่กล้าเข้าไปทำ” น้องเล็กตอบอย่างแข็งขัน แต่ก็ทำเสียงอ่อยๆในช่วงท้าย

       “อ้าวทำไมละ”

       “โอย ไม่ไหวอะพี่วีร์ หม้อต้มร้อนมาก ไม่กล้าเข้าใกล้เลย” สิริศักดิ์ลากเสียงยาวย้ำเป็นหนักเป็นแน่นว่าไม่แน่นอน

       “หนูเล็ก! มารับออร์เดอร์หน่อยเร็ว” เสียงคุณพ่อเรียกเมื่อเห็นว่ามีลูกค้าใหม่เข้ามาในร้าน

       “ค่า... หนูเล็กไปทำงานต่อนะพี่วีร์”

       “จ๊ะ เอาเลย อ้อ เดี๋ยว!” วีร์เรียกตัวเด็กน้อยเอาไว้ก่อน “พี่ลืมไป นี่พี่แพรนะ เพื่อนพี่ เรียนอยู่ห้องเดียวกันกับพี่แล้วก็พี่ใหญ่ด้วย”

       “สวัสดีค่ะ” “สวัสดีค่ะ”

       “งั้นหนูเล็กไปก่อนนะ ถ้าว่างแล้วเดี๋ยวมานั่งคุยต่อ” วีร์พยักหน้าและยิ้มให้

       “บ้านนี้เลี้ยงลูกเก่งเนอะ เป็นงานกันหมดทุกคนเลย” แพรพรรณมองดูแต่ละคนในร้านต่างช่วยกันทำงาน

       “ใช่ ขยันขันแข็งกันทุกคน ใหญ่มันก็ช่วยตั้งแต่เช้าทุกวันก่อนไปโรงเรียนนะ ที่เห็นว่ามันไปสายบ่อยๆทั้งๆบ้านมันอยู่หน้าโรงเรียนก็เพราะเหตุนี้แหละ ช่วยจนนาทีสุดท้ายถึงจะหยิบกระเป๋าแล้ววิ่งข้ามฝั่งไป ทันบ้างไม่ทันบ้าง” วีร์ค่อยๆเขี่ยเนื้อหมูที่ติดซี่โครงกระดูกออก เพราะมันเปื่อยอร่อยถูกใจเป็นที่สุด “อันที่จริงลูกจ้างลูกหาบเขาก็มีนั่นแหละ แต่พ่อแม่เขาฝึกลูกเขามาดี ให้รู้จักทำงานกันตั้งแต่เด็กๆ ขนาดชั้นยังอายเลย เมื่อก่อนแค่อยู่บ้านเฉยๆก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร แต่ว่าตอนนี้มันไม่ได้ เพราะอยู่กันแค่สองคนพี่น้อง ถ้าไม่ลงมือทำกันก็ไม่มีใครทำเลย” วีร์พูดแล้วก็นึกขำตัวเอง “เป็นไง อร่อยอย่างที่บอกมั้ย”

       “อืมม อร่อย ไม่น่าเชื่อเนอะ ชั้นอยู่มาตั้งนานแต่ไม่เคยแวะกินที่นี่เลย แกมาไม่กี่เดือนรู้จักแถวนี้ดีกว่าชั้นซะอีก”

       “ก็พ่อแกไปรับไปส่งตลอดเลยนิ มันไม่แปลกหรอก”

       “นี่ถ้าไม่ได้แกนะ อย่าว่าแต่มานั่งกินอย่างนี้เลย ชั้นจะไปเดินห้างเองก็ไม่มีทางได้ไป นอกจากพ่อจะพาไปเอง”

       “พ่อแกบางทีก็ดูแปลกนะ จะไปเที่ยวเฉพาะผู้หญิงด้วยกันเองก็ไม่ให้ไป กลัวจะเกิดอะไรขึ้นแล้วจะดูแลกันเองไม่ได้ จะให้ออกไปกับผู้ชายก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่อีก สรุปไม่ให้ออกไปกับใครเลย”

       ทั้งสองคนได้แต่ยักไหล่กับความคิดของผู้เป็นพ่อ

       “จะว่าไป เขาก็คงหวงของเขานั่นแหละ ตามประสาผู้ชายเจ้าชู้มาก่อนเลยรู้ดีกว่าใคร กลัวกรรมจะมาตกกับลูกสาวตัวเอง” แล้วทั้งสองคนก็ยิ้มให้กัน เป็นอันตกลงว่าเข้าใจตรงกัน

       ไลน์! … ไลน์! ไลน์!

       เสียงเตือนว่ามีข้อความไลน์เข้ามา ทั้งสองจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เครื่องของแพรพรรณนั้นไม่มีอะไร จึงหันไปมองที่เครื่องของวีร์ ซึ่งยังเห็นกล่องข้อความลอยอยู่ ชื่อของ ‘วีรมาตุ ราวัณ’ เห็นเด่นชัดมาแต่ไกล วีร์เห็นเช่นนั้นก็เก็บโทรศัพท์กลับเข้าที่เดิม ไม่ได้เปิดดูข้อความแต่อย่างใด

       ไลน์!

       แพรพรรณได้แต่นึกขำเพื่อนตัวเอง “ไม่คิดจะเปิดอ่านจริงๆหรอ ส่งมารัวๆขนาดนั้น อาจจะมีเรื่องสำคัญละมั้ง”

       “ไม่หรอก ตอนนี้บ้านนั้นคงจะยุ่งๆกันอยู่ ไม่มีเรื่องด่วนอะไรอื่นหรอก” วีร์ตอบพลางก้มหน้าตักอาหารกินไปพลาง แต่เมื่อเงยหน้ามาก็เห็นแพรพรรณจ้องมองดูเขาอยู่ “ทำไมหรอ”

       “มีความรู้เรื่องในบ้านเขาดีอีกนะ” แพรพรรณเอ่ยแซวเพื่อนตรงหน้า

       “ก็ไอ้ต่ายมันบอกเองว่าต้องรีบกลับบ้านไปให้พร้อมหน้าครบทุกคน เพราะวันนี้อาม่าเป็นคนลงมือทำอาหารเอง ห้ามใครมีธุระอื่นเด็ดขาด” วีร์อธิบายพร้อมยักไหล่ หมายจะแสดงเหมือนว่าเป็นเรื่องทั่วไปที่เพื่อนคนไหนก็รู้เหมือนกัน เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรพิเศษไปมากกว่าคนอื่น

       “อะจะ ก็ไม่ได้ว่าอะไรนิ” แพรพรรณตอบกลับพร้อมอมยิ้ม

       “อย่าแซว”

*****

วีรมาตุ ราวัณ:
อยากกินข้าวหมูแดงหมูกรอบจังเลย
จะมีใครชวนไปกินบ้างมั้ยเน้อ
ฮัลโหล ฮัลโหล ไม่ตอบกลับเลย น้อยใจนะเนี่ย
พี่แซวเล่นขำๆ ไม่ต้องคิดมากนะ 555555

*****

[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 04-04-2021 13:38:36
       “ไอ้วีร์ พอดีเลย มานี่ดิ” ทันทีที่เขาเดินเข้าไปให้ห้องเรียน ก็มีคนเรียกชื่อเขาในทันที ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไอ้ตี๋หนุ่มโอปป้าประจำห้องที่มาถึงโรงเรียนแต่เช้าก่อนใครเพื่อนนั่นเอง

       “อะไร มีอะไรมึง” วีร์สะพายเป้ไว้ที่พนักเก้าอี้ตัวประจำของเขาแล้วจึงเดินไปหาศศิทัศน์ที่นั่งอยู่หลังห้อง

       “มีคนฝากมาถาม” แล้วศศิทัศน์ก็กัดแซนด์วิชคำใหญ่ เคี้ยวตุ้ยๆอยู่นานก็ไม่ยอมพูดต่อเสียที วีร์ได้แต่มองหน้าหวังกดดันให้เขารีบพูด เมื่อไม่ได้ผลเขาจึงคิดจะเดินกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง

       “เดี๋ยวสิมึง” ศศิทัศน์รีบคว้าแขนเพื่อนไว้ก่อน

       วีร์มองหน้าเพื่อนด้วยสีหน้าที่เอือมระอา

       “ก็มีคนฝากมาถามว่า...”

       “ถ้าจะยึกยักอีกนาน ค่อยมาบอกกูพรุ่งนี้ก็ได้นะ” แล้ววีร์เดินออกไปจริงๆ แต่ศศิทัศน์ก็รีบฉุดแขนเพื่อนรั้งเอาไว้

       “กูบอกแล้ว กูบอกแล้ว แป๊ปนึง” ศศิทัศน์หยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดปากและเช็ดมือก่อนจะพูดต่อ “มีคนฝากมา ว่าทำไมมึงไม่ยอมอ่านไลน์เขาสักทีวะ”

       “ใครวะ” คำตอบของวีร์ทำเอาเพื่อนของเขากรอกตามอง

       “ก็ใครบ้างละที่มึงไม่ได้อ่านไลน์เขา”

       “ก็เยอะอยู่ จะเอาคนไหนละ” วีร์ยักไหล่ตอบไปด้วย

       “คร๊าบ พ่อคนหล่อเลือกได้ ก็อาเฮียของอั้วนี่ไงที่ฝากถามมา”

       “ก็อาเฮียของลื้อ ส่งมาแต่ละอย่าง มีแต่อะไรไม่รู้เลี่ยนๆทั้งนั้น หาสาระอะไรไม่ค่อยได้ กูเลยขี้เกียจเปิดไปดู อ่านมั้งไม่อ่านมั้งแล้วแต่อารมณ์”

       “แล้วช่วงสามสี่วันนี้ มึงอารมณ์ไหนวะ เฮียบอกว่ามึงไม่อ่านไลน์เขามาหลายวันแล้ว”

       “กูไม่ว่าง” วีร์ตอบสั้นๆ เพราะมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว

       “มึงจะยุ่งอะไรนักหนาว่ะ กะแค่เปิดอ่านไลน์”

       “ก็กูบอกแล้วว่าเฮียของมึงส่งมาเรื่องไร้สาระ เสียเวลาอ่าน กูมีเรื่องต้องจัดการเยอะแยะ วันหยุดยาวสุดสัปดาห์นี้พ่อแม่กูจะขึ้นมาอยู่ด้วย เลยต้องเตรียมอะไรหลาย”

       “อ้าวหรอ เออๆได้ เดี๋ยวกูบอกเฮียให้”

       “งั้นกูฝากบอกไปด้วยเลยทีเดียวนะ” ศศิทัศน์พยักหน้าเตรียมรอรับข้อความฝาก “บอกว่าถ้าจะคุยกันดีๆปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป กูไม่มีปัญหาอะไร กูคุยด้วยได้ แต่ไอ้พวกคำคมไร้สาระกลอนเพลงยาวน้ำเน่าทั้งหลายแหล่ ไม่ต้องส่งมาอีก กูไม่อินด้วย กูรำคาญ ตามนี้นะ” วีร์ยิ้มให้แล้วก็เดินออกมา แต่ก็ต้องหันหลังกลับมากับคำตอบของเพื่อนสนิท

       “ได้ๆ เดี๋ยวกูบอกเฮียให้ว่ามึงคิดถึงเหมือนกัน”

       “งั้นเอาสั้นๆง่ายๆ ถ้าจะส่งอะไรแบบนี้มาอีก กูบล็อคแน่ โอเคนะ”

       “โอเค คราวนี้เก็ตเลย ชัดเจน แจ่มแจ้ง ไม่มีข้อสงสัยใดใดทั้งสิ้น” ศศิทัศน์ตอบพร้อมทำมือเครื่องหมายโอเค “แต่เอาจริงๆนะมึง เฮียกูมีหวังอะไรมั้ย” ศศิทัศน์เองก็ไม่คิดว่าอยู่ๆเฮียสุดที่รักของเขาที่ไม่เคยมีท่าทีว่าจะสนใจใคร จะมาบอกว่ารู้สึกชอบเพื่อนของเขาอยู่ คาดคั้นกันอยู่นานกว่าจะยอมปริปากว่าเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามา ซึ่งก็มีแต่นายวีร์เท่านั้นที่เป็นเด็กเข้ามาใหม่ในห้องเขา แถมยังขอไม่ให้เขาเอาเรื่องไปบอกกับป๊าและม้า กลัวจะตกใจกันใหญ่ว่าลูกชายคนโตของบ้านจะไปรักกับผู้ชายด้วยกัน

       วีร์มองดูสีหน้าเพื่อนแล้ว คงต้องการคำตอบอย่างจริงจังจริงๆ “มันก็แล้วแต่ว่าเฮียมึงหวังอะไรจากกู ถ้าพูดคุยปกติเหมือนคนรู้จักกันทั่วไป ใครคุยมาดีด้วยกูก็คุยดีกลับหมด แต่ถ้าเฮียมึงหวังถึงขนาดว่าคุยไปเรื่อยๆแล้วกะจะสานสัมพันธ์พัฒนาต่อไปมากกว่าแค่พี่ของเพื่อนหรือเพื่อนของน้องละก็...” แล้ววีร์ก็ส่ายหน้าไปมาเป็นคำตอบ

       “โหย คือโอกาสสักนิดที่มึงจะมาเป็นอาซ้อกูนี่ไม่มีเลยหรอวะ” วีร์ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเดิม “กูนี่ลุ้นคู่มึงมากกว่าคู่ไอ้ใหญ่อีกนะ แต่มึงมาไม้นี้ดูท่าทางแล้ว กลายเป็นไอ้ใหญ่จะลุ้นง่ายกว่ากันเยอะ”

       “ไปลุ้นไอ้ใหญ่เถอะมึง กูก็พยายามช่วยๆมันอยู่ กูคิดจะชวนแพรไปกินข้าวที่ร้านมันบ่อยๆ อาทิตย์ก่อนที่พาไปครั้งแรกจังหวะไม่ดีนิดหน่อย”

       “เออๆ วันนั้นเป็นไงบ้างวะ มีอะไรเด็ดๆปะ”

       “ไม่มี” ศศิทัศน์ทำหน้าเซ็งไปทันที “ก็แม่มันไม่สบาย มันต้องไปช่วยพ่อมันขายของ เลยไม่มีเวลามาคุยกัน แต่ก็ดีไปอย่างให้แพรนั่งดูมันทำงานในร้านเพลินๆไปแทน”

       “มันก็เลยสวมบทเชฟมือหนึ่ง ปรุงเองทุกเมนูเลยละสิ”

       “เอ้า มันแน่นอนอยู่แล้ว มึงต้องได้เห็นหน้ามันตอนแพรชมว่าอาหารอร่อยดี กูละหมั่นไส้”

       “มึงหมั่นไส้ใครวะ” วีร์พูดจบปุ๊บเจ้าตัวโผล่มาปั๊บในทันที

       “ก็มึงไง ตายยากนะเนี่ยพูดถึงก็มาทันที” ศศิทัศน์ตอบผู้มาใหม่แทนเพื่อน

       “แค่เขาชมว่าทำอาหารอร่อยเข้าหน่อย ก็ลอยเชียวนะมึง” วีร์เอ่ยเสริมขยายเหตุของความหมั่นไส้ให้เจ้าตัวได้เข้าใจ

       “อ๋อแพรนะหรอ กูทำอร่อยอยู่แล้ว” สุรศักดิ์ทำท่าทางมั่นใจที่ดูแล้วยิ่งน่าหมั่นไส้เข้าไปใหญ่

       “ตอนแรกกูกว่าจะชวนพวกมึงไปทำรายงานที่บ้านกูสุดสัปดาห์นี้ กูว่ากูเปลี่ยนใจดีกว่า” วีร์พูดพลางกอดอกวางท่าทางเหมือนถือไพ่เหนือกว่าอยู่ในมือ

       “อ้าว ไหนว่าพ่อแม่มึงจะขึ้นมาหาไม่ใช่หรอ” ศศิทัศน์เป็นคนถาม

       “จริงดิ พ่อแม่มึงจะขึ้นมาหรอวะ” สุรศักดิ์ได้ยินดังนั้นก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย

       “ก็เออ”

       “แล้วไม่ไปรบกวนเวลาครอบครัวมึงหรอ นานๆจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันสักที” ศศิทัศน์ถามด้วยความเป็นห่วงว่าช่วงเวลาสำคัญของเพื่อนจะเสียไป

       “ก็แค่วันเสาร์ แล้วกูก็บอกพ่อแม่กูไปแล้ว เขาก็ไม่ว่าอะไร นี่ก็บอกให้กูกับพี่กูเตรียมของไว้บ้างแล้ว เดี๋ยวแม่กูจะมาทำแกงใต้ให้กินกัน อีกอย่างพอเปิดมาวันอังคารก็ต้องส่งรายงานเลยไม่ใช่หรอวะ”

       “เออว่ะ เกือบลืมไปแล้วว่าต้องส่งอังคารหน้า แต่ว่า...คู่ทำรายงานวิชานี้ของมึงคือแพรไม่ใช่หรอวะ” ศศิทัศน์ถามพร้อมหันไปมองสุรศักดิ์ ที่เหมือนจะเพิ่งนึกได้เช่นกัน

       “ก็ใช่ไง แพรไปขอพ่อเขาเรียบร้อยแล้ว และพ่อเขาก็อนุญาตเพราะวันนั้นที่บ้านไม่ได้มีแค่หนุ่มๆอยู่กันสองคน แต่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย พ่อแพรเขาจะเดินมาส่งเองที่บ้านกู ถือโอกาสแวะทักทายพ่อแม่กูด้วย แล้วค่อยมารับกลับตอนเย็น”

       “งั้นกูไป” สุรศักดิ์รีบตอบในทันที “ว่าไงมึง”

       “มึงไปกูต้องไปด้วยมั้ยวะ กูทำคู่กับมึงนิ” ในเมื่อทางเลือกมีแค่นั้น ศศิทัศน์เองก็ต้องตอบตกลงตามไปด้วย

       “งั้นพวกมึงก็ไปบอกที่บ้านไว้ก่อนก็แล้วกัน เผื่ออยากจะค้างคืนต่อเลย”

       “กูว่าไม่ดีกว่า แค่นี้ก็เกรงใจพ่อแม่มึงจะแย่แล้ว” สุรศักดิ์หันไปพยักหน้ากับศศิทัศน์ซึ่งก็เห็นด้วยเหมือนกัน

       “ก็อืม แล้วแต่พวกมึงละกัน แล้วก็อย่าลืมบอกพวกไอ้แฝดกับไอ้พระยศด้วยละกัน”

       “ไอ้แฝดกูว่ามันไปอยู่แล้ว แต่ไอ้พระยศมันทำรายงานคู่กับเปิ้ล กูไม่แน่ใจว่ะ หรือมึงจะชวนเปิ้ลไปด้วย แต่กูว่าเขาคงไม่ไปหรอก ดูท่าทางเขาจะไม่ค่อยชอบหน้าแพรสักเท่าไหร่ว่ะ”

       “ทำไมวะ” วีร์ถามด้วยความสงสัย เขาเพิ่งจะรู้ว่ามีคนไม่ชอบแพรพรรณอยู่บนโลกนี้ด้วย

       “ก็...” ศศิทัศน์มองหน้าสุรศักดิ์ ก่อนจะตัดสินใจว่าจะเล่าหรือไม่เล่าดี “คือว่าเปิ้ลไปแอบชอบเฮียหมู”

       “ห๊ะ เฮียหมูเนี่ยอะนะ มันมีอะไรดีวะ”

       “มึงนี่ก็ ยังไงเฮียหมูก็เป็นถึงนักฟุตบอลโรงเรียนนะมึง” สุรศักดิ์เตือนความจำให้เพื่อนตัวเองรู้

       “เออใช่วะ กูลืม”

       “ต่อนะ... ก็นั่นแหละ เปิ้ลแอบชอบเฮียเขา แต่เฮียแกดันมาชอบแพร แล้วแพรก็ไม่ได้คิดจะสนใจไง แล้วพอดันมีข่าวหลุดว่าไอ้เชี่ยนี้ไปชอบแพรอีกคน” ศศิทัศน์หมายถึงเจ้าเพื่อนตัวใหญ่สมชื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ “เปิ้ลก็เลยแบบ จะกั๊กไว้ทำไม ไม่ได้ชอบเขาก็ปล่อยเขาไปสิ”

       “แต่แพรไม่อะไรเลยกับพี่เขานี่หว่า” วีร์เองยังงงกับเหตุผลที่ไม่ชอบแพรพรรณ

       “ก็มึงสนิทกับแพร มึงก็มองจากมุมของแพรไง แล้วก็... นั่นแหละ” ศศิทัศน์พยายามแอบขยิบตาให้วีร์พร้อมทั้งผงกหัวไปทางเพื่อนอีกคนโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ วีร์เองก็เหมือนจะอ่านออกว่าศศิทัศน์พยายามบอกอะไรแต่เพื่อความแน่ใจ จึงขมวดคิ้วมองหน้าศศิทัศน์พร้อมแอบทำสัญญาณมือชี้ไปที่สุรศักดิ์ ศศิทัศน์ก็พยักหน้ารับเล็กน้อย เขาจึงทำปากและมือโอเคเป็นอันรับรู้กัน ว่าท้ายที่สุดแล้วฝ่ายหญิงก็มาแอบชอบสุรศักดิ์ด้วยอีกคน ซึ่งสุรศักดิ์ก็มาชอบแพรพรรณอีกนั่นเอง เรื่องมันเลยซับซ้อนดีแท้ “นั่นแหละ ประมาณนั้นเลย”

       “เอาเถอะ ชวนมันก่อนแล้วกัน ไปนั่งเล่นเฉยๆก็ได้ ให้มันค่อยหาเวลาอื่นไปทำรายงานกับเปิ้ลก็ได้”

       “อืม ก็คงต้องเป็นแบบนั้น” แล้วศศิทัศน์ก็กำลังทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

       “ทำไม มีอะไรอีกวะ” วีร์ถามด้วยความสงสัย

       “กูก็กำลังคิดอยู่ว่ากูจะไปบ้านมึงยังไงดี วันหยุดป๊ากับม้ากูไม่ค่อยจะออกไปไหน คนที่มีใบขับขี่และพอจะไปส่งกูได้ก็มีแต่...”

       “พูดชื่อออกมาเลยก็ได้มั้งมึง กูก็ไม่ได้ว่าอะไร”

       “หมายถึงอาเฮียกูไปได้”

       “เออ”

       “แน่นะ”

       “ก็เออไง”

       “ไปเจอหน้าไปไหว้พ่อแม่มึง”

       “มีอะไรอีกมั้ย”

       “ไปกินกับข้าวฝีมือแม่มึงด้วย”

       “ไปส่งอย่างเดียวพอ ให้แค่เจอหน้าทักทายแล้วกลับเลย”

       “โอเค แค่นั้นกูก็ได้คนขับรถไปส่งให้ฟรีๆแล้ว”

       “เป็นน้องที่ประเสริฐจริงๆเลยมึง”

       “แน่นอน พูดถึงของกินกูหิวว่ะ ก่อนออกจากบ้านยังไม่กินอะไรเลย แซนด์วิชชิ้นเดียวมันไม่อิ่มว่ะ ไปหาอะไรกินกันไป”

       “แล้วไม่แวะมาบ้านกูก่อน ร้านกูเปิดแต่เช้ามืด จะได้เดินเข้าโรงเรียนพร้อมกันด้วย”

       “เออว่ะ ทำไมกูคิดไม่ออกวะ”

       “มึงมันโง่ไง” สุรศักดิ์ใหญ่เกร็งปากห่อเน้นสระโอให้ได้ยินชัดๆ

       “ไอ้เชี่ยใหญ่ กูตัดชื่อมึงออกจากรายงานกูนะ”

       “งุ้ย ใหญ่ขอโต๊ดพี่ต่ายก๊าบ ใหญ่ผิดไปแล้ว พี่ต่ายยกโทษให้ใหญ่ด้วยก๊าบ” สุรศักดิ์พูดพลางพร้อมลงไปนั่งกอดขาเพื่อนกระต่ายสุดที่รัก พลันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก ทั้งสามคนจึงหันไปดู

       “อ้าวแพร เอ่อ ชั้นกำลังจะลงไปหาอะไรกินกัน ไปด้วยกันป่าว” วีร์เอ่ยชวน

       “ชั้นกินเรียบร้อยแล้ว แกไปเหอะ” แพรพรรณพูดไปอมยิ้มไป

       “หรอๆ งั้นชั้นไปก่อนนะ ไปกันพวกมึง” วีร์หันไปเรียกเพื่อนก่อนจะเดินออกจากห้องไป โดยมีศศิทัศน์เดินตามไปติดๆ ทิ้งสุรศักดิ์ยืนรั้งท้ายไว้

       “เราไปก่อนนะ” แพรพรรณแค่เพียงยิ้มตอบกลับมา ก่อนที่ทั้งสามจะหายไปจากประตูห้องแต่ก็ยังได้ยินเสียงโวยวายลอยมา

       “ไอ้เชี่ย ทำไมพวกมึงไม่บอกกูวะ”

       “แล้วกูจะรู้มั้ยว่าเขาเดินเข้ามาตอนไหน”

       “ทำไงดีวะเนี่ย”

       “มึงเล่นใหญ่เองนะ โทษใครไม่ได้”

*****

[โปรดติดตามตอนต่อไป]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 2 ... 4 เม.ษ. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-04-2021 07:56:19
 :pig4:
 :3123:
ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 2 ... 4 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 09-04-2021 21:54:35
บทเหมือนจะชี้บอกว่าพระเอกคือเฮียหมู :hao4: เฮียวีก็แห้วอะดิไม่น๊าาาาาา :ling1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 3 ... 9 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 09-04-2021 23:55:55
3. จุดเริ่มต้น

       “โอย อิ่มมาก อิ่มท้องตึงจนอยากจะนอน ไม่อยากจะทำรายงานต่อแล้ว”

       “เอาเลย เดี๋ยวกูลบชื่อมึงออกก่อนสั่งพิมพ์ แล้วเข้าเล่มพร้อมส่ง ให้มึงไปรู้เอาตอนคะแนนออกทีหลัง”

       “ไอ้เชี่ยต่าย กูพูดเล่นมั้ย เอามาจะให้กูทำอะไรอีก ว่ามา”

       หลังจากที่ไปพักกินข้าวกลางวันกันมา วีร์และบรรดาเพื่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นสุรศักดิ์ ศศิทัศน์ พระยศ คู่แฝดนพชัยและชัยทิศ รวมถึงแพรพรรณที่มารวมตัวกันเพื่อทำงานรายงานที่บ้านของวีร์ ก็เริ่มลงมือทำงานของแต่ละคนที่ค้างไว้ตั้งแต่เช้าต่อ โดยอยากจะให้เสร็จกันภายในวันนี้เลย

       “แต่แม่มึงทำกับข้าวอร่อยจริงวะ น่าจะไปเปิดร้านได้เลยนะ”

       “หึ มึงเคยถามพ่อแม่มึงมั้ย แบบว่าถ้าไม่ลำบากอะไรแล้ว อยู่ได้สบายๆ ปิดร้านพรุ่งนี้ได้เลย ปิดแบบเลิกกิจการไปเลย จะทำมั้ย”

       “ปิดเลยทันที” สุรศักดิ์ตอบกลับในทันทีแบบไม่ต้องคิด

       “ก็เสียงดังฟังชัดดีนิ”

       “พ่อกูพูดอยู่เรื่อยๆนั่นแหละ แต่ก็นะ มันยังต้องกินต้องใช้ ก็ทำต่อไป”

       “ทำร้านอาหารมันเหนื่อยขนาดนั้นเลยหรอวะ” พระยศพยายามนึกถึงสภาพที่ร้านของใหญ่ พลางถือหนังสือที่อ่านค้างไว้อยู่ในมือ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ชวนคู่ทำรายงานมาทำด้วยกันที่บ้านของวีร์ แต่ก็แบ่งส่วนงานที่ต้องทำของแต่ละคนไว้แล้ว จึงค่อยส่งไปรวมไฟล์งานภายหลัง

       “เมื่อก่อนเหนื่อยกว่านี้อีกมึงเอ้ย! เพราะร้านกูเปิดแต่เช้ามืด มีคนมากินก่อนไปทำงานเยอะ เลยต้องรีบเตรียมตัวตั้งแต่ก่อนไก่โห่ แล้วก็เปิดขายเรื่อยไปจนถึงค่ำสองทุ่ม ถึงจะปิด แล้วก็ต้องรีบเก็บกวาดของให้เสร็จ จะได้ไปพักผ่อน เพราะเดี๋ยวก็ต้องรีบตื่นแต่เช้ามืดอีก ขนาดว่าเดี๋ยวนี้จ้างคนงานมาช่วย แล้วก็ปิดช่วงบ่าย แต่ก็ยังเหนื่อยอยู่ดี” สุรศักดิ์สาธยายความลำบากของครอบครัวเขาให้เพื่อนๆฟัง ว่าก่อนที่จะมีอย่างเช่นทุกวันนี้ได้นั้นเป็นมาอย่างไร

       “แล้วมึงจะยังอยากให้แม่กูมาเปิดร้านให้เหนื่อยอีกเนี่ยอะนะ”

       “จะให้แม่เปิดร้านอะไร” หญิงสูงวัยเดินถือถาดผลไม้มาให้เด็กๆที่กำลังทำงานกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ที่เดินตามมาด้วยคือชายวัยใกล้เคียงกันเดินถือถาดผลไม้มาอีกหนึ่งถาด “เอานี่ เอาไว้กินเล่น ให้ปากขยับจะได้ไม่ง่วง”

       “ขอบคุณครับ” “ขอบคุณค่ะ”

       ถาดผลไม้ที่ถือมาแบ่งเป็น ผลไม้ที่ต้องปอกต้องเฉาะอย่าง มะม่วงมัน ฝรั่ง และชมพู่ กับพวกที่หยิบกินได้เลยเลยตะลิงปลิง และมะยม ใส่รวมมาในถาดเดียวกัน ส่วนอีกถาดเป็นผลไม้ที่ปอกเปลืองได้โดยง่ายอย่าง เงาะ มังคุด และลองกอง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผลไม้ที่ปลูกที่บ้านเดิมของครอบครัววีร์

       “พวกนี้มันบอกว่าแม่ทำอาหารอร่อย น่าจะไปลองเปิดร้านขายข้าวแกงดู” วีร์อธิบายให้คนเป็นแม่ฟัง

       “แล้วนุ้ยจะให้แม่ทำหรอ” คุณแม่ถามความเห็นจากลูกชายคนเล็กสุดของบ้าน ซึ่งเจ้าตัวก็ส่ายหน้าทันทีทันใด

       “ไม่อะ นุ้ยว่ามันเหนื่อยเกินไป”

       สองคนฝาแฝดได้ยินคำพูดแทนตัวระหว่างแม่ลูกก็ทำท่าทางล้อเลียน จนวีร์หันมามองตาเขม็ง แต่ก็ยังไม่เลิกทำ

       “โหยมึง กูไม่ได้หมายถึงแบบเปิดร้านใหญ่โต” สุรศักดิ์รีบพูดแย้ง “เอาแบบทำตามออเดอร์ไง เปิดเฟชเปิดไอจี แล้วรับออเดอร์เอา วันนึงๆก็จำกัดจำนวนไปว่าทำให้ได้เท่าไหร่ เก็ตมั้ยมึง” แล้วสุรศักดิ์ก็หันไปอธิบายให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฟังต่อ “แบบที่ดาราบางคนทำไงครับแม่ บอกกันไว้ล่วงหน้าเลยว่าจะรับออเดอร์วันนั้นวันนี้ จะมีกับข้าวกี่อย่างอะไรบ้าง แต่ละอย่างรับสูงสุดไม่เกินกี่ชุด ถ้าเต็มก็คือเต็มไม่มีเพิ่ม แบบนี้เราจะกะปริมาณของที่ต้องเตรียมมาทำสดๆไว้ได้ก่อนล่วงหน้า แล้วก็จะไม่เหนื่อยมากด้วย เพราะเรารู้ตัวเองว่าทำได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น น่าสนใจนะครับแม่” สองคนสามีภรรยาได้ยินดังนั้นก็หันมามองหน้ากัน มันก็เป็นความคิดที่ดีอย่างหนึ่ง

       “อย่างของที่บ้านผม ก็มีรับออเดอร์เหมือนกัน ถ้าเล็กๆน้อยๆ ก็ทำจัดชุดแล้วให้คนเอาไปส่ง แต่ถ้าเยอะๆแบบไปออกงานตามที่ต่างๆ ก็จะปิดร้านไปเลย ติดป้ายบอกลูกค้าไว้ล่วงหน้าว่าวันไหนหยุด เขาจะได้ไม่มาเก้อ” สุรศักดิ์อธิบายเพิ่มเติม

       “ก็ดีนะ แต่พ่อว่าคงไม่ทำตอนนี้หรอก เอาไว้ลองทำหลังเกษียณฯ ไว้แก้เหงา ก็ไม่เลวเหมือนกัน”

       “เป็นคนมีความคิดดีนะเราน่ะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยปากชม

       “แหม พอโดนชมเข้าหน่อย ตัวลอยเชียวนะมึง” “ชมว่ามีความคิดดี?” “ป่าว ชมว่ามันเป็นคน” “ผ่าง!” “แฮ่” “ทีกับเรื่องเรียนเอาได้อย่างนี้มั้งสิวะ” ปากของแฝดนรกเริ่มทำงาน แม้จะเป็นต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่ก็ตาม

       “ก็เรื่องเรียน กูมีพี่ต่ายเป็นพึ่งอยู่แล้วนี่คร๊าบ” ศศิทัศน์พยายามโบกไม้โบกมือขยับมือหลีกเลี่ยงการเกาะแกะของเพื่อนตัวโตออก ทุกคนเห็นแล้วก็ต่างพากันหัวเราะ

       “เอาละ แม่กับพ่อไม่กวนแล้ว ตั้งใจทำงานให้เสร็จนะจ๊ะ” คุณแม่พูดพลางยิ้มไปด้วย “อ้อ แพร เดี๋ยวคุณพ่อจะมารับหนูกลับตอนกี่โมงจ๊ะ”

       “น่าจะประมาณ 4 โมงค่ะ เพราะว่าเดี๋ยวที่บ้านจะออกไปกินข้าวเย็นกันข้างนอกค่ะ” คุณแม่พยักหน้ารับรู้

       “เอาละเชิญตามสบายนะ ผลไม้ ลูกๆกินให้หมดไปเลย ถ้าไม่พอก็ไปเอาในครัวได้อีกนะ”

       “ครับ” “ค่ะ”

       แล้วสองสามีภรรยาก็เดินกลับออกไป ปล่อยให้เด็กๆได้ทำงานกันจนเสร็จ

*****

       เวลาผ่านไปจนถึงตอนเย็นแล้ว วีร์และแพรพรรณที่พิมพ์รายงานลงในคอมพิวเตอร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่างช่วยกันตรวจดูเนื้อหาอีกครั้งจนถูกต้องครบถ้วนแล้วจึงได้สั่งพิมพ์ลงบนกระดาษเพื่อจัดรูปเล่มรายงานพร้อมส่งในเช้าวันอังคาร

       “โห ไอ้วีร์ ชื่อมึงเจ๋งดีว่ะ โคตรเท่เลย” หนึ่งในฝาแฝดหยิบกระดาษที่เป็นหน้าปกรายงานขึ้นมาอ่านดู “ไหนๆ ดูด้วย เจ๋งยังไงวะ” คู่แฝดอีกคนรีบเดินเข้ามารับลูกต่อ

       “V Vorarania” แฝดพี่สะกดชื่อของวีร์ออกเสียงดัง “ชื่อมึงสะกดอย่างนี้จริงเด่ะ” แฝดน้องก็หันไปถามเจ้าตัว

       “อืม” วีร์ตอบยืนยันเพียงสั้นๆ

       “สะกดตัว V ตัวเดียวเลยเนี่ยอะนะ” ศศิทัศน์ถามแทนเพื่อนๆที่ทั้งสงสัยและทึ่งในเวลาเดียวกัน “เห็นชื่อในไลน์ของมึงยังสะกดว่า Veera อยู่เลย”

       “เอาบัตรประชาชนกับบัตรนักเรียนของกูไปดูมั้ย” วีร์ตอบยืนยันพร้อมยักไหล่ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย “ก็ของพี่ธีร์ ก็สะกดตัว T ตัวเดียวเหมือนกัน ของกูเลยใช้แค่ตัว V ตัวเดียวตาม ส่วนไลน์ส่วนตัวของพี่ธีร์ก็สะกดว่า TeeraVorra เหมือนกัน กูก็เลยเอาตามด้วยเลย” วีร์อธิบายเพิ่มเติมเพื่อคลายข้อสงสัย

       “แต่นามสกุลมึงก็สะกดแปลกว่ะ” ศศิทัศน์ถามต่อพร้อมกับรับปกรายงานของวีร์และแพรพรรณที่ส่งต่อๆกันมาดูด้วยตาตัวเอง “มันจะอ่านยังไงวะ”

       “ก็อ่านเน้นที่คำว่า ‘ran’ ไง เป็น รัน อิ อา อ่านรัวๆเดี๋ยวมันก็ออกเสียง วรรัญญา ได้เอง” เพื่อนๆต่างพยักหน้าและลองออกเสียงสะกดกันดู “ไม่ต้องถามว่าทำไมสะกดแบบนี้เพราะกูไม่รู้ เขาเขียนต่อๆกันมาอย่างนี้ กูแค่เขียนตาม”

       หลายคนก็พยักหน้ารับกันไป แต่ยังไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรกันต่อ ก็มีเสียงเรียกดังมาจากหน้าบ้านซะก่อน

       “แพร งานเสร็จแล้วยังลูก” ชายวัยกลางคนยืนอยู่ตรงหน้ารั้วบ้าน ชะเง้อมองดูข้างในหาคนที่เขามารับกลับตามเวลาที่ได้บอกไว้

       “ขาพ่อ อีกแป๊ปนึงค่า เกือบจะเสร็จแล้วค่ะ” เด็กสาวรีบเดินมาโผล่หน้าที่ประตูบ้านพร้อมตะโกนตอบรับผู้เป็นพ่อ

       กระดาษแผ่นสุดท้ายของรายงานก็ถูกพิมพ์เสร็จออกมาพอดี ทั้งวีร์และแพรพรรณต่างตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะรวบรวมจัดเรียงเข้าเป็นรูปเล่ม

       “แก ไปก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวชั้นเอาไปเย็บเล่มเอง” วีร์รีบบอกให้เพื่อนรีบเตรียมตัวกลับเพราะผู้เป็นพ่อมายืนรออยู่ที่หน้าบ้านแล้ว “แล้วเดี๋ยวชั้นส่งไฟล์ให้แกคืนนี้อีกที ไว้อ่านเตรียมรายงาน”

       “เอางั้นหรอ” วีร์พยักหน้ารับ “โอเค ขอบใจมากว่ะแก” แพรพรรณเก็บรวบหนังสือและเครื่องเขียนกอดเข้าไว้ที่อก และรีบเดินออกไปที่หน้าบ้าน โดยมีคนอื่นๆตามออกมาด้วย

       พ่อของแพรพรรณกำลังยืนคุยอยู่กับพ่อและแม่ของวีร์ที่ออกมารับแขกหน้าบ้าน ถึงจะเป็นผู้อาวุโสกว่าแต่ก็ออกมาทักทายผู้น้อยกว่าในฐานะเจ้าบ้านที่ดี ส่วนธีร์เองก็ออกมาต้อนรับเพราะเป็นเพื่อนบ้านที่ไปมาหาสู่กันบ้างตามสมควร

       “นี่เพราะเจ้าวีร์ดูน่าไว้ใจ ผมก็เลยปล่อยให้ลูกสาวไปไหนมาด้วยบ้าง”

       “แต่ถึงยังไง ก็ไม่ได้ปล่อยให้อยู่กันตามลำพังในที่รโหฐานใช่มั้ยคะ”

       “มันก็... ใช่ละครับ” ชายวัยกลางคนอ้อมแอ้มตอบคำถาม “แต่เขาก็ยังไม่มีประวัติเสียให้เรากังวลใจนะครับ ไปไหนมาไหนก็บอกตลอด กลับก็ตรงเวลา” แต่ก็พยายามหาเหตุผลมาชมลูกชายของคู่สามีภรรยาวัยใกล้เกษียณ “ถ้าเป็นคนอื่น บอกตรงๆว่าผมยังไม่ไว้ใจ” แล้วชำเลืองสายตามองใครบางคนที่เดินตามกันออกมา

       “สวัสดีครับคุณพ่อ” เด็กชายผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่เอ่ยทักทายผู้ใหญ่ตรงหน้า

       “ผมไม่มีลูกชายนะ เรียกลุงเถอะ” แม้จะไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงกระแทกแทรกด้วยอารมณ์ แต่ใบหน้าที่เรียบเฉยทำให้ดูน่ากลัวไม่น้อย ทำเอาคนอื่นๆไม่กล้าจะเอ่ยทักทายตาม ได้แค่ยกมือไหว้เท่านั้น

       “เอ่อ...ครับ คุณลุง” ผู้น้อยได้แต่น้อมรับ โดยคิดไว้ในใจว่าสักวันหนึ่งจะเอาชนะใจคนนี้ให้ได้

       “ไป แพร แม่กับพี่เขารออยู่”

       “หนูกลับก่อนนะคะ” เด็กสาวหันไปไหว้ลาผู้ใหญ่ แล้วจึงโบกมือลาเพื่อนๆ ก่อนที่สองพ่อลูกจะเดินกลับบ้านไป

       “เอาหน่ามึง อย่าคิดมาก” ฝาแฝดพากันมากอดคอสุรศักดิ์ที่กำลังคอตกหมดแรงทันทีที่ ‘คุณลุง’ เดินหันหลังกลับไป “รอให้เขาไว้ใจน้ำหน้าอย่างมึงก่อนนะ” “แล้ว...”

       “...ค่อยเรียกพ่อ” เพื่อนๆทุกคนต่างช่วยกันประสานเสียง แล้วจึงพากันหัวเราะชอบใจ แม้แต่พวกผู้ใหญ่ก็พากันอมยิ้มไปด้วย คนฟังได้แต่ยิ้มบางๆแต่ก็ยังถอนหายใจอยู่

       ทันใดนั้นก็มีรถยนต์ขับเข้ามาจอดที่ตรงหน้าบ้านราวกับว่ารู้จังหวะเวลาเป็นอย่างดี

       “ส่วนคนนี้ให้เรียกพ่อได้ใช่มั้ย” ศศิทัศน์แอบกระซิบเพื่อนของเขาพร้อมกับหัวเราะคิกคัก วีร์ได้แต่กรอกตาพร้อมทั้งส่ายหน้า แต่ทั้งหมดก็อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสามคน

       “มายืนทำอะไรกันหน้าบ้านเหรอครับ” เด็กหนุ่มผู้มาใหม่ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสามคนพร้อมทั้งเอ่ยถามเพราะสงสัยว่าเหตุใดทุกคนจึงพร้อมใจกันออกมายืนอยู่ที่หน้าบ้าน

       “ไม่ได้ออกมารอต้อนรับเฮียแน่นอน” คู่แฝดพลัดกันตอบคำถามแทนทุกคน “ใช่มั้ยครับ คุณพ่อ” ได้ยินเช่นนั้นทุกคนต่างพากันหัวเราะทำเอาคนถามยิ่งงงสงสัยมากกว่าเก่า จนได้แต่ยิ้มเออออตามคนอื่นๆไปด้วย

       “อยากจะเรียกพ่อด้วยเหรอเราน่ะ” ชายสูงวัยถามเด็กหนุ่ม แต่ยังไม่ทันได้รอคำตอบ เขาก็หันมาถามคนของตัวเองซะก่อน “ว่าไง นุ้ยอยากให้พี่เขาเรียกพ่อด้วยรึเปล่า”

       “เอ้า เกี่ยวไรกับนุ้ยด้วยอะ” วีร์ตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรด้วย จนธีร์เอามือขยี้ผมแล้วโยกหัวน้องไปมา

       ส่วนอีกคนที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าทุกคนพูดถึงเรื่องราวอะไรกัน ได้แต่ยืนยิ้มและเกาศีรษะไป

       “งานเสร็จแล้วไม่ใช่หรอมึง กลับเลยมั้ย” วีร์หันไปถามศศิทัศน์

       “จะรีบไล่กูไปไหน กูยังอยู่ต่อได้” ต่ายหันมาหยอกเพื่อน “เฮียยังไม่รีบกลับใช่มั้ย” ศศิทัศน์พยายามขยิบตาส่งสัญญาณให้พี่ชายตัวเอง

       “หา... อ๋อ ใช่ ยังไม่รีบกลับ” คนตอบรับยังงงกับเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ “แต่ว่าอาม่ารออยู่นะ” จนศศิทัศน์ถึงกับส่ายหน้าที่พี่ชายตัวเองไม่ทันมุกของเขาเอาเสียเลย

       ผู้ใหญ่มองดูที่เด็กๆพูดกันโดยตลอด พยายามเข้าใจความหมายแฝงที่เด็กๆกำลังพูดถึงกัน สองสามีภรรยาหันมาเลิกคิ้วขึ้นมองตากัน ส่วนชายหนุ่มก็เดินเข้าไปโอบไหล่น้องคนเล็ก

       “งั้นก็อย่าให้อาม่ารอนาน ไปได้แล้วไป ชิ้วๆ” วีร์หันไปจ้องตาเขม็งใส่เพื่อน

       “เออ กูกลับเลยก็ได้” ศศิทัศน์ได้หัวเราะคิกคักกับท่าทีของเพื่อนตัวเอง แต่ละคนจึงเริ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเก็บสัมภาระของตัวเอง

       “เฮียวี” สุรศักดิ์เรียกพี่ชายเพื่อนไว้ก่อน “เดี๋ยวผมขอติดรถไปด้วยได้มั้ยครับ”

       “ได้ เอาสิ ก็ทางผ่านอยู่แล้ว คนอื่นๆติดรถออกไปด้วยกันเลยมั้ย” มีเพียงพระยศที่ขอติดรถออกไปด้วย ส่วนฝาแฝดบอกปฏิเสธไปเพราะคนรถที่บ้านกำลังมารับกลับ

       “ชื่อวีเหรอ” ผู้เป็นแม่หันมากระซิบถามลูกชายคนเล็ก ซึ่งเขาได้แต่ยักไหล่ตอบ

       “คนพี่ชื่อวี ส่วนคนน้องชื่อต่าย” ผู้เป็นพ่อถามย้ำอีกครั้ง ออกเสียงให้ดังแค่พอคนที่อยู่ใกล้ๆเท่านั้นจะได้ยิน วีร์ก็ทำเป็นยักไหล่ตอบอย่างเดิม

       “หึ อย่าไปตกหลุมรักเขาเข้าละ” ธีร์ยกมือที่โอบไหล่ไปขยี้ผมพร้อมกับโยกศีรษะน้องคนเล็กไปมา

       “ไม่มีทาง” วีร์ตอบด้วยสีหน้าที่มั่นใจมากว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน

       “ขอให้มันจริงเหอะ”

*****

       บนรถยนต์ที่กำลังวิ่งอยู่บนถนนหลักมุ่งหน้าสู่ทิศทางที่จะไปโรงเรียน หลังจากที่ส่งพระยศลงหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านเนื่องจากบ้านอยู่กันคนละทาง เด็กชายสองคนที่เหลือก็พูดคุยเรื่องราวสัพเพเหระต่างๆไปเรื่อย คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับหันเอี่ยวตัวไปคุยกับคนนั่งหลังที่ยกตัวขึ้นโน้มมาใกล้เบาะด้านหน้า ปล่อยทิ้งให้คนขับรถทำหน้าที่ของตัวเองไป ไม่ว่าเป็นเพราะต้องการพูดคุยกันแค่ระหว่างเพื่อนร่วมชั้น หรือจงใจให้คนขับรถได้ใช้สมาธิไปกับการจราจรเย็นวันเสาร์ได้อย่างเต็มที่ โดยหารู้ไม่ว่าในใจของเขานั้นล่องลอยไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนเย็น

      ‘คนพี่ชื่อวี ส่วนคนน้องชื่อต่าย’

       ‘หึ อย่าไปตกหลุมรักเขาเข้าละ’

       ‘ไม่มีทาง’

       ‘ขอให้มันจริงเหอะ’


       “เฮ้อ” เสียงถอนหายใจดังขึ้นจนเพื่อนร่วมทางทั้งสองหยุดการสนทนาของตัวเอง แล้วหันไปสนใจที่มาของเสียงนั้น

       “เอ่อ... เฮีย เป็นไรป่าว” ผู้น้องหันไปถามพี่ชายของตัวเอง

       “หือ... เอ่อ... เปล่า ไม่มีอะไร” คนพี่ตกใจกับเสียงของตัวเอง ไม่คิดว่ามันจะดังจนเรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้ขนาดนี้ จึงรีบตอบแก้ตัวจนพูดตะกุกตะกักไป

       “เฮีย ชัดขนาดนี้แล้ว ยังบอกว่าไม่เป็นไรเนี่ยอะนะ” ศศิทัศน์หันไปมองวีรมาตุให้เห็นชัดๆ

       ผู้ที่กำลังบังคับยานพาหนะรู้สึกได้ว่ามีสายตาสองคู่จับจ้องเขาอยู่ และคิดว่าคงไม่อาจจะหลีกหนีข้อสนทนานี้ไปได้เป็นแน่ เส้นทางที่ดูเหมือนจะไม่ไกลมาก แต่การจราจรในช่วงเย็นวันเสาร์เช่นนี้ทำให้เคลื่อนไปได้ไม่เร็วนัก แล้วยังมีสถานการณ์ที่น่าอึดอัดเพิ่มขึ้นไปอีก ชวนทำให้เขาคิดหนักเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นทวีคูณ

       “ก็... อืมม แค่สงสัยนิดหน่อย” เขาพยายามค้นหาเรื่องพูดคุยให้ไกลจากเรื่องในใจของเขาให้ได้มากที่สุด

       “เรื่องอะไรหรอเฮีย”

       “ก็... เอ่อ... ตอนนี้เฮียไปถึงน่ะ... เอ่อ... หัวเราะเรื่องอะไรกันอยู่หรอ” เขาพยายามปะติดปะต่อคำถามให้ดูไม่น่าสงสัยมากที่สุด

       “หัวเราะ...” ศศิทัศน์หันกลับไปมองหน้าเพื่อนที่นั่งด้านหลัง พยายามนึกถึงเรื่องเมื่อที่ผ่านไปไม่นานนี้ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน แล้วทั้งคู่ก็มีสีหน้านึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นออกพร้อมกัน ศศิทัศน์ชี้นิ้วไปที่สุรศักดิ์ ส่วนสุรศักดิ์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

       “อ๋อ... ก็แซวไอ้ใหญ่กัน” คนพี่หันมามองหน้าน้องชายด้วยความสงสัยคนน้องจึงอธิบายเพิ่มเติม โดยมีคนนั่งอยู่ข้างหลังมีสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก “ก็พ่อของแพรเขามารับแพรกลับบ้าน ไอ้ใหญ่ก็รีบเสนอหน้าออกไปต้อนรับ ‘สวัสดีครับคุณพ่อ’ เข้าให้ เขาก็เลยตอกกลับมาทันทีว่า ‘ผมไม่มีลูกชายนะ เรียกลุงเถอะ’ ตอนที่พูดนะ หน้าอย่างนี้เสียงอย่างนี้เลย” ศศิทัศน์อธิบายพร้อมทั้งเลียนแบบท่าทางและน้ำเสียงของผู้ที่ถูกกล่าวถึงได้ใกล้เคียงมาก จนวีรมาตุเงยหน้าขึ้นส่องกระจกมองหลังจนเห็นสีหน้าของเพื่อนน้องชายที่กำลังยิ้มแหยๆ “แล้วหลังจากนั้นเฮียก็มาถึงพอดี พวกอั้วก็เลยแซวเฮียต่อไงว่าอยากเรียกพ่อของไอ้วีร์ด้วยรึป่าว”

       “เหรอ... แต่เมื่อเช้าเฮียก็สวัสดีทักทายพ่อแม่น้องวีร์ปกติดีนี่นา ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”

       “โหย... เฮียไม่เก็ทมุกเลยอะ” ศศิทัศน์มองดูสีหน้าของพี่ชายที่จะยังดูไม่เข้าใจอยู่ดี “ช่างเหอะ.. แต่เรื่องที่เฮียกลุ้มคือเรื่องนี้จริงๆเหรอ”

       “หา.. เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยเฉยๆ เท่านั้นเอง” วีรมาตุยังพยายามตอบเฉไฉ

       “เฮีย” หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างนั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง ศศิทัศน์จึงตัดสินใจถามพี่ชายของเขาออกไป “จะจีบไอ้วีร์จริงๆเหรอ”

       “ห๊ะ” คนที่ถูกถามถึงกับสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าจะโดนถามตรงๆขนาดนี้ เขาหันไปมองหน้าน้องชายสลับกับเพื่อนน้องชายที่อยู่ด้านหลังสลับการถนนข้างหน้า

       “ใครๆก็รู้ทั้งนั้นแหละเฮีย ว่าไงละ” ศศิทัศน์ถามย้ำอีกครั้ง ในเมื่อพี่ชายยังไม่ยอมตอบ เขาจึงจ้องมองหน้ากดดันไปเรื่อยๆจนกระทั้งคนพี่พยักหน้ายอมรับ “แต่พูดจริงๆนะเฮีย ไอ้วิธีส่งข้อความหยอดทางไลน์ไปเรื่อยๆ ไม่เวิร์กแน่นอน ไอ้วีร์ไม่ชอบ ต้องเข้าไปคุยตรงๆเลย”

       “ใช่เฮีย ไอ้วีร์ถึงมันไม่ใช่คนง่ายๆ แต่มันก็ไม่ยาก อย่าทำตัวลึกลับ พูดคุยกับมันดีๆตรงๆมันก็คุยด้วยนะเฮีย” สุรศักดิ์พูดสนับสนุนความคิดของศศิทัศน์

       “มึงก็เหมือนกันนั่นแหละ กล้าไปคุยกับเขาหน่อยสิวะ วันนี้ก็ทั้งวันได้พูดกับเขาได้สักกี่คำ หรือชอบแบบอยู่ห่างๆอย่างนี้ไปเรื่อยๆวะ” ศศิทัศน์หันกลับมาหาเพื่อนของเขาเองที่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเช่นกัน

       “มึงเห็นสีหน้าพ่อเขารึเปล่าละ”

       “เห็น ก็แล้วไง” ศศิทัศน์ตอบกลับในทันที “เขาเป็นพ่อนะ ไม่ใช่ลุงข้างบ้าน เขาก็หวงลูกสาวเขาเป็นปกติ มึงแค่ทำตัวให้น่าเชื่อถือให้เขาวางใจได้ดิวะ”

       “มึงก็พูดง่ายสิวะ” สุรศักดิ์พูดจบก็ทิ้งตัวพิงเบาะหลังในทันที

       “ใช่ กูก็แค่พูดไง แต่มึงพูดอย่างเดียว ลงมือทำบ้างรึยังละ”

       สุรศักดิ์ได้แต่ทำหน้านิ่ง ก้มหน้าลงมองมือที่สางอยู่บนตักตัวเอง

       “เอาเหอะ” ศศิทัศน์ตัดบทสนทนากับเพื่อนของตัวเอง ก่อนที่จะหันไปคุยกับพี่ชายต่อ “ว่าแต่เฮีย อั้วไม่ช่วยเฮียหมูแล้วนะ” วีรมาตุหันมามองน้องชายอย่างงุนงง “เอ้า เพื่อนใครก็ช่วยกันเองดิ อั้วก็จะช่วยแต่เพื่อนอั้วบ้าง” ศศิทัศน์ตอบพร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาไปด้วย จนสุรศักดิ์ได้ยินเช่นนั้นก็ยกตัวขึ้นมาได้อีกครั้งมาตบบ่าของเพื่อนเป็นการขอบคุณ

       “แต่มึงก็จำคำพูดของไอ้วีร์ไว้ด้วยนะ” ศศิทัศน์หันมาย้ำให้เพื่อนตัวเองฟัง “จุดเริ่มต้นมันไม่มี แล้วจะให้สานต่อยังไง ถึงกูบอกว่าจะช่วย แต่มึงต้องเป็นคนเริ่มก่อน เข้าใจมั้ย”

       “เออน่ะ กูก็พยายามอยู่” สุรศักดิ์อ้อมแอ้มตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะในใจเขาเองก็ยังไม่กล้าที่จะทำ

       “เฮียก็ด้วย” ศศิทัศน์หันมาพาพี่ชายตัวเองอีกครั้ง “บอกเฮียนะ ไม่ใช่เฮียหมู”

       คนฟังทั้งสองได้แต่รับไปคิด แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้ลงมือทำเสียที

[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 3 ... 9 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 09-04-2021 23:56:37
       “เห้ย พวกมึง ว่างกันเปล่าวะ” ศศิทัศน์วิ่งมาแต่ไกลจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเพื่อนๆที่นั่งเล่นกันอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไม้รอบๆบริเวณของโรงเรียน วันนี้เป็นวันศุกร์จึงมีเรียนแค่ครึ่งวันเช้า เพราะช่วงบ่ายโรงเรียนให้งดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนชั้นม.ปลาย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาของการเรียนรักษาดินแดน แต่ก็จะมีบางคนที่ไม่ได้ไปลงสมัครเรียนอย่างเช่น วีร์ ฝาแฝดนรกนพชัยชัยทิศ และศศิทัศน์ ดังนั้นเวลานี้จึงเป็นเวลาว่างของพวกเขาไป

       “ไม่ว่างนั่งเม้ามึงอยู่” “ใช่ๆมึงไสหัวไปก่อน เดี๋ยวเม้าไม่หนุก” “ชิ้วๆ” ทั้งฝาทั้งแฝดต่างพากันส่งเสียงไล่เพื่อนออกไป

       “อ้าว ไอ้เชี่ยนี่” ศศิทัศน์ทำท่าจะเข้าประชิดตัว ถึงท่าทางจะดูเหมือนจริงจัง แต่ก็แค่เล่นๆกันไปมา

       “ไม มึงมีอะไรว่ามา” วีร์ต้องร้องห้ามทัพไว้ก่อน ไม่เช่นนั้นอาจจะทะเลาะกันจริงไปแทน

       “ไปช่วยกูยกของหน่อย”

       “ยกของอะไรวะมึง” หนึ่งในแฝดถาม

       “พวกกล่องใส่เครื่องดนตรี จะเอาออกมาทำความสะอาด ไปช่วยกูยกพวกลังใหญ่ๆออกมาให้หน่อย จะได้ให้พวกผู้หญิงเข้าไปช่วยขนกล่องเล็กๆที่เหลือออกมากันได้”

       “หูยสาวๆสวยๆเยอะมั้ยวะมึง” “ถ้ามีสาวๆละก็ค่อยน่าไปช่วยหน่อย” ฝาแฝดหันมามองหน้ากันเอง ยักคิ้วหลิ่วตาลูบปาก

       “ไปดูเองเลยมึง อยู่กันตรึมเลย”

       “ไป ไป ไป” “ไป ไป ไป” เรื่องแบบนี้นี่แหละที่ทำให้นพชัยและชัยทิศรวมใจเป็นหนึ่งเดียวได้

       “แล้วคนชมรมดนตรีไปไหนหมดวะมึง” วีร์ถามแล้วลุกขึ้นยืนและออกเดินตามฝาแฝดไปยังห้องชมรมดนตรี

       “ก็ส่วนใหญ่เขาไปเรียน รด. กัน พวกผู้ชายก็เลยเหลือกันอยู่ไม่กี่คน นี่เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็ต้องเริ่มซ้อมกันแล้ว วันนี้เลยคิดว่าต้องขนอุปกรณ์ออกมาทำความสะอาดกัน”

       “แต่ก็นะ ตอนคนเขาอยู่กันเยอะๆไม่รู้จักทำ”

       “ก็แบบว่าประธานชมรมมันซื่อบื้อ ยิ่งช่วงนี้ยิ่งเหม่อๆใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รู้เป็นไร” ศศิทัศน์ได้แต่หัวเราะแหะๆ ไม่รู้ว่าสงสารหรือสมน้ำหน้าท่านประธานคนนั้นดี

       “เดี๋ยวนะมึง ไอ้เรื่องขนของนี้แค่ข้ออ้างใช่มะ” วีร์หยุดเดินแล้วหันมากอดออกมองหน้าเพื่อนตัวดี

       “เห้ย ที่ให้ช่วยขนของน่ะเรื่องจริง พวกผู้หญิงเขาก็รอคนไปช่วยขนกันอยู่” ศศิทัศน์ทำหน้าเจี๋ยมเจี๊ยม “แต่ก็มันบังเอิญเหมาะเจาะมีเรื่องอื่นผสมไปด้วย”

       “ก็เลยคิดจะเอากูไปเป็นเครื่องบรรณาการส่งให้เฮียของมึงด้วยเลยว่างั้น” วีร์หรี่ตาลงเล็กน้อยจ้องมองดูศศิทัศน์ไม่ละสายตาไปไหน ใช่แล้ว เพราะว่าประธานชมรมดนตรีคนนั้นก็คือ นายวีรมาตุ ราวัณ

       “มึงก็พูดไป เขาเรียกว่าไปเป็นขวัญเป็นกำลังใจในการทำงาน วู้... คิดเล็กคิดน้อยนะมึง” วีร์ก็ยังคงจ้องมองหน้าศศิทัศน์อยู่เช่นเดิม “เอาน่า ถือว่าไปช่วยกู พวกกูมีคนแบกอยู่ไม่กี่คนกูเหนื่อย ตกลงมั้ย”

       “เออ ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ไป” วีร์ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าไปมา “เอ้า เดินสิ รอไรอยู่”

       เมื่อไปถึงก็พบว่ามีคนอยู่เยอะพอสมควร แต่ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงอย่างที่ศศิทัศน์บอกไว้ มีกล่องเล็กกล่องน้อยวางกองอยู่มากมายหน้าห้องชมรม เมื่อเข้าไปข้างในห้องก็เห็นว่ามีกล่องเหล็กใหญ่ๆที่ใช้เก็บอุปกรณ์ วางกองทับซ้อนกันขวางทางเดินที่จะเข้าไปด้านหลัง

       “โห...มึง ตอนเอาเข้าไปเก็บ ไม่ได้คิดถึงตอนเอาออกเลยหรอวะ” วีร์เห็นแล้วรู้สึกเหนื่อยใจมาทันที ศศิทัศน์ได้แต่ยักไหล่

       “จริงๆปกติมันก็ไม่เก็บกันอย่างนี้หรอกว่ะ แต่อาทิตย์ก่อนมีพวกชมรมอื่นเขามาขอฝากของไว้ด้วย ก็ไอ้คนถือกุญแจห้องชมรมเขาดันไม่อยู่ตามตัวไม่เจอ แล้วเขาก็ต้องรีบกลับกัน สุดท้ายก็เลยต้องเคลียร์พื้นที่ให้เอาของเข้ามาเก็บได้ ก็เลยเป็นแบบที่เห็นละว่ะ”

       “แล้วจะเริ่มจากตรงไหนดีวะเนี่ย” วีร์เดินเข้าไปดูใกล้ๆกองที่สูงพะเนิน

       “อ้าว น้องวีร์ มาด้วยหรอครับ” ท่านประธานชมรมโผล่หน้ามาจากด้านข้างกองกล่องพวกนี้ แล้วเขาก็พยายามดันตัวแทรกออกมาจากทางแคบๆ วีร์คิดว่าคงจะเข้าไปดูด้านหลังมาว่าจะวางแผนขยับขยายอย่างไร

       “ครับ แล้วนี่จะให้ช่วยอะไรยังไงดีละครับ กองไว้สูงขนาดนี้”

       “ก็คงต้องค่อยๆยกออกไปทีละชิ้นละครับ ช่วยกันแป๊ปๆเดี๋ยวก็หมด”

       วีร์มองดูของที่กองอยู่ตรงหน้าพลางคิดไปว่าคงต้องหาอะไรมาต่อตัวขึ้นไปยกของชิ้นบนๆลงมาก่อน แล้วเขาก็มองไปรอบๆดูว่าพอจะมีอะไรใช้ได้บ้าง “แล้วนี่มีพวกบันไดต่อตัว หรืออะไรรึเปล่า”

       “มีแต่พวกเก้าอี้อะครับ น่าจะพอใช้ได้อยู่”

       “ก็ต้องลองดูก่อน” ว่าแล้ววีร์ไปเดินไปยกเก้าอี้มาตัวนึงมาวางตรงหน้ากองของตู้พวกนี้แล้วก็ปีนขึ้นไป เขาพยายามเอื้อมให้สูงที่สุด ก็จะพอจะจับขยับกล่องบนสุดได้แต่ก็ไม่ถนัดนัก ก็ได้แต่บ่นพึมพำ “เนี่ยอะนะ เวลาต้องการไอ้พวกตัวสูงๆอย่างไอ้เชี่ยใหญ่ไอ้เชี่ยพระยศก็ดันไม่อยู่ซะนี่ อ้าว เห้ย!” ยังไม่ทันไร วีร์ก็เสียหลักเพราะเอนตัวไปด้านหลังมากเกินจนทำให้เสียสมดุล ชั่ววินาทีนั้นก็นึกในใจว่าจะต้องเจ็บตัวแน่ๆ จึงพยายามคว้าอะไรสักอย่างที่พอจะยึดไว้ได้ รู้ตัวอีกที เขาก็วางมือค้ำลงไปที่กลางศีรษะของท่านประธานชมรมซะแล้ว

       “โอ้ยพี่ โทษทีครับ ไม่ได้ตั้งใจ”

       “ไม่เป็นไรครับน้องวีร์ แต่ระวังตัวหน่อยละกัน”

       วีร์กลับมายืนทรงตัวได้อีกครั้ง ก่อนที่จะลองเอื้อมมือขึ้นไปหยิบกล่องบนสุด จากนั้นจึงค่อยๆขยับออกมาทีละนิดจนพอจับไปถนัดเต็มมือทั้งสองขาง แล้วจึงยกให้ลอยขึ้นนิดหน่อยแล้วเลื่อนออกมาทางด้านหน้าให้พ้นจากกล่องด้านล่าง “เอ้า ใครมารับต่อทีดิ”

       นพชัยกับชัยทิศกำลังเคลียร์พื้นที่รอบๆ เพราะวางแผนกันไว้ว่าแค่ขยับให้พอเปิดทางไปหยิบของด้านในได้โดยสะดวกก็พอ คนอื่นๆ กำลังช่วยขนของชื้นอื่นๆออกไปไว้ด้านนอกกัน ส่วนศศิทัศน์กำลังมองดูพี่ชายและเพื่อนสนิทช่วยกันยกของลงมา

       “เฮีย” ศศิทัศน์เรียกพี่ชายตัวเอง “เฮีย” เขาเรียกด้วยเสียงดังขึ้นอีกหน่อย “เฮีย!”

       “ห๊ะ อะไร” คนที่ถูกเรียกสะดุ้งเล็กน้อย

       “ของที่จะเอาลงมาน่ะ คือกล่องข้างบน ไม่ใช่สะโพกไอ้วีร์”

       เจ้าตัวได้ยินดังนั้นก็หันมามองมือทั้งสองของตัวเองที่กำลังประคองสะโพกของคนที่ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ตรงหน้าเพื่อยกของลงมา ตอนที่วีร์เซตัวกำลังจะล้ม เขาก็เอามือช่วยจับพยุงตัวไว้ก่อนโดยอัตโนมัติ

       “มารับไปหน่อย มันหนัก”

       เมื่อได้ยินดังนั้นวีรมาตุจึงผละมือออก แล้วรับกล่องที่วีร์ส่งลงมา แล้วเอาไว้วางพื้นที่ว่างที่เคลียร์ของออกไปก่อนแล้ว เห็นดังนั้นวีร์จึงหันขยับกล่องอีกใบลงมา ส่วนพี่น้องก็มายืนรอรับอยู่ใกล้ๆ

       “เป็นไง ฟินเลยอะดิ เต็มไม้เต็มมือขนาดนั้น” คนน้องกระซิบแซวพี่ชาย

       “พูดมากน่ะ โน้นเพื่อนลื้อยกลงมาแล้ว ไปรับเร็ว” คนพี่ไล่ให้คนน้องไปรับกล่องที่กำลังยกลงมา โดยที่เขากำลังกลั้นยิ้มไว้สุดกำลัง

       หลังจากนั้นก็ใช้เวลาไปครู่ใหญ่ก็เปิดทางให้สามารถเข้าไปเอาของด้านในได้โดยสะดวก แล้วคนอื่นๆที่เหลือก็ช่วยกันขนอุปกรณ์เครื่องดนตรีต่างๆเอาออกไปตรวจเช็คสภาพและทำความสะอาดให้เรียบร้อย เตรียมพร้อมสำหรับใช้ซ้อมในสัปดาห์หน้า

       “น้องวีร์ไม่ไปเรียน รด. กับเขาด้วยหรอครับ” วีรมาตุเอ่ยถามเด็กรุ่นน้องระหว่างที่กำลังขนลังออกมาวางไว้ที่หน้าห้องชมรม

       “ก็ของจังหวัดที่ผมอยู่มีคนสมัครเป็นทหารเต็มทุกปีมาตลอด ก็เลยไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม” วีร์ผู้น้องตอบพลางมองดูรอบๆห้องชมรมว่ามีอะไรให้ต้องขนออกไปอีกหรือเปล่า

       “ไม่คิดเผื่อไว้หน่อยเหรอ ถ้าเกิดว่าปีนั้นคนไม่พอ แล้วโดนจับใบแดงได้ไปเป็นทหารขึ้นมา”

       “ถ้าต้องเข้ากรมไปฝึกเป็นทหารจริงๆ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร” วีร์ยักไหล่ตอบกลับ “ชายไทยทุกคนต้องเป็นทหารอยู่แล้ว เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย แล้วแต่ว่าจะเป็นประเภทไหน ประจำการ กองหนุน กองเกิน”

       วีรมาตุได้แต่พยักหน้ารับ

       “แล้วทำไมเฮียไม่เรียนละครับ เห็นเพื่อนเฮียไปเรียนกันหมดเลยทั้งกลุ่ม”

       “จริงๆเฮียก็จะสมัครเรียนนะ แต่ว่าตอนนั้นเฮียมีปัญหาเรื่องสมัครสอบชิงทุนอยู่ มันยืดเยื้ออยู่หลายเดือน จนแล้วจนรอดก็เลยไม่ได้ไปสมัครเรียนกับเขา”

       “เอ๋... เฮียได้ทุนเรียนหรอ”

       “เปล่า”

       “อ้าว!” วีร์หันไปมองหน้าพี่ชายของเพื่อนด้วยความงุนงงสงสัย

       “ตอนนั้นเฮียติดรายชื่อสำรองน่ะ อยู่ระหว่างรอเรียกสัมภาษณ์” วีรมาตุอธิบายให้ฟัง “คนที่เขาได้ทุนไปเหมือนจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง ตอนแรกก็เหมือนว่าเขาจะสละสิทธิ์ ทางโน้นเขาก็เลยประกาศจะเรียกสัมภาษณ์ชื่อสำรองกัน แต่หลังจากนั้นเฮียก็ไม่ได้ข่าวอะไรเพิ่ม จนต่อมาเขาก็บอกว่าการรับทุนเป็นไปตามเดิม เฮียก็เลยไม่ได้ไป แต่ตอนนั้นก็เลยเวลาสมัครเรียน รด. ไปแล้ว”

       “สรุปว่าเฮียไม่ได้ทุนไป” วีร์ถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เจือปนด้วยความเสียดาย

       “ใช่”

       “น่าเสียดายนะครับ โอกาสลอยมาเกือบจะถึงมือแล้วเชียว”

       “แต่เฮียไม่เสียดายนะ” วีรมาตุยิ้มตอบจนวีร์หันมามองอย่างสงสัย “เสียโอกาสนั้นไป แต่เฮียก็ได้โอกาสอย่างอื่นมาแทน”
เพราะสายตาของรุ่นพี่ที่มองมาทำเอารุ่นน้องต้องรีบเบือนหน้าหนี

       “แล้วตอนนั้นเฮียสมัครทุนอะไรไปหรอครับ” วีร์พยายามเฉไฉอารมณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นมาในตอนนั้น

       “ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นน่ะ” วีรมาตุยังคงมองดูรุ่นน้องที่มีท่าทางเห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามหาอะไรทำให้ดูตัวเองยุ่งๆเข้าไว้อยู่ตลอด ก่อนที่เขาเองจะหันไปยกของอย่างอื่นต่อ

       “ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น?” วีร์ถามย้ำอีกครั้ง

       “ใช่ ทุนวิศวกรรมนาโนเทคโนโลยี ให้ไปเรียนตั้งม.ปลายจนจบป.โทเลย” วีรมาตุจะอธิบายเพิ่มเติมแต่ก็หันไปเห็นหน้าที่ขมวดคิ้วของวีร์เสียก่อน “ทำไมหรอ”

       “เอ่อ เปล่าครับ” วีร์รีบตอบอย่างตะกุกตะกัก

       “เปล่าอะไร แล้วทำไมหน้าแบบนั้นละครับ”

       “เอ่อ... ก็แค่... เหมือนเคยได้ยินไอ้ต่ายบอกว่าเฮียจะเรียนหมอ ก็เลยงงๆว่าเฮียจะสอบชิงทุนวิศวะทำไม มันดูคนละแนวกันเลย”

       “ตอนนั้นมีใครบอกดีอะไรมา เฮียก็ลองไปหมดนั่นแหละ หึๆ” วีรมาตุหัวเราะกับความสงสัยของรุ่นน้องและกับความคิดของตัวเองในตอนนั้น “เรื่องเรียนหมอนี่ก็เพิ่งจะมารู้ตัวเองว่าชอบเอาตอนหลัง แล้วคิดว่าตัวเองน่าจะเรียนไหว ก็เลยจะลองดูสักตั้ง”

       วีร์พยักหน้ารับกับคำตอบนั้น

       “อ้าว! แล้วคนอื่นไปไหนกันหมด” วีร์หันไปมามองดูรอบๆห้องก็พบว่าเหลือเพียงแค่เขากับวีรมาตุอยู่ในห้องกันแค่สองคน จึงได้แต่ส่งยิ้มให้กันเอง

       “งั้น เดี๋ยวน้องวีร์มาช่วยเฮียยกกล่องนี้หน่อยก็ไม่มีอะไรแล้วละครับ”

       วีรมาตุไหว้วานให้วีร์ช่วยยกกล่องขนาดใหญ่ย้ายไปตั้งที่ใหม่ เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการขนของในครั้งนี้แล้ว ที่เหลือก็เป็นการทำสะอาดและตรวจสอบความเสียหายซึ่งเป็นหน้าที่ที่คนในชมรมดนตรีจะจัดการกันเอง

[โปรดติดตามตอนต่อไป]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 3 ... 9 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-04-2021 22:25:47
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 3 ... 9 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 13-04-2021 22:09:29
เฮียวีต้องรุกหนักๆนะ :hao7:

น้องวีร์มีอะไรกับญี่ปุ่นหรือเปล่า :hao4:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 4 ... 15 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 15-04-2021 23:36:10
4. บังเอิญเจอ

       “อยู่นี่เองพวกมึง” วีร์เอ่ยทักเพื่อนๆของเขาที่ออกมานั่งอยู่นอกห้องชมรมโดยไม่บอกกล่าวอะไรเขาสักคำ ปล่อยให้เขาและวีรมาตุอยู่ภายในห้องชมรมกันแค่สองคน

        “ก็เห็นมึงยืนคุยกระหนุงกระหนิงกันสองคนกับเฮีย” “ใช่ๆ พวกกูก็เลยไม่อยากเข้าไปขัด” “เดี๋ยวจะกลายเป็นกขค” ทั้งพนชัย ชัยทิศ และศศิทัศน์ต่างร่วมด้วยช่วยกันแซว

        “นี่เปลี่ยนจากแฝดสองเป็นแฝดสามไปแล้วรึไงวะ” วีร์มองดูเพื่อนสามคนที่ตอบเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

        “มึงไม่รู้หรอว่าพวกกูมีแฝดสาม” “ใช่ๆ แฝดสามมาตลอดเลย ไม่เคยสอง”

       วีร์ได้แต่กรอกตาแล้วส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ

        “แล้วนี่ยังมีอะไรให้ช่วยอีกมั้ยวะ” วีร์หันไปถามคนที่เรียกพวกเขามาช่วยงาน

        “ก็ไม่มีอะไรแล้วนะ แล้วเดี๋ยวพวกมึงกลับกันเลยป่าววะ” ต่ายถามเพื่อนๆ พลางเปิดกล่องอุปกรณ์ต่างๆเพื่อตรวจสอบไปด้วย

        “กูกับไอ้กิ่งกะจะไปนั่งร้านเกมก่อนกลับบ้านวะ” “เออ ไม่ได้แวะไปนานแล้ว รู้สึกเสี้ยนยังไงไม่รู้”

        “สองวันนี้นานเชี่ยๆเลยนะพวกมึง”

        “แค่วันเดียวมันสองตัวก็ลงแดงแล้วละมั้ง” วีร์ร่วมแซวสองแฝดเหมือนกัน

        “แล้วมึงอะ จะกลับเลยมั้ย” ศศิทัศน์หันมาถามเพื่อนวีร์

        “ยังอะ กูว่าจะไปนั่งตากแอร์ห้องสมุดก่อนว่ะ ช่วยมึงขนของทำกูร้อนชิบหาย” วีร์พูดไปขยับเสื้อไปด้วย “นี่กะว่าจะรอไอ้ใหญ่กลับมาก่อนแล้วค่อยไปหาอะไรกินที่ร้านมันแล้วค่อยกลับ”

        “พี่มึงทำโออีกอะดิ” ศศิทัศน์ยังคงหยิบจับเครื่องดนตรีชิ้นต่างๆขึ้นมาดู แล้วจัดวางเป็นหมวดหมู่

        “ป่าว พี่กูกลับบ้าน”

        “ทำไมวะ หรือว่าพ่อแม่มึงเป็นอะไร”

        “ไม่มีไร พ่อแม่กูสบายดี เพื่อนพี่กูแต่งงานแล้วเขาจัดงานกันที่โน้น พี่กูก็เลยถือโอกาสกลับไปนอนที่บ้านซะเลย วันอาทิตย์ก็กลับมาแล้ว” วีร์ยักไหล่ก่อนจะช่วยรับเครื่องดนตรีจากศศิทัศน์มาวางลงในกล่องที่วางอยู่ข้างตัวเขา

        “อุ๊ย อยู่บ้านคนเดียวสิมึง” “ให้พวกพี่ไปอยู่เป็นเพื่อนมั้ยจ๊ะน้อง” “จะดูแลอย่างดีเลย” “เอามะ เอาม้า” ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างพร้อมใจกันยื่นหน้าเสนอตัวให้กับวีร์

        “ก็ดีนะ บ้านกูกำลังขาดหมาเฝ้าบ้านอยู่ ได้มาอยู่ด้วยสักสองตัวก็คงจะดี” วีร์ทำท่าทางเหมือนว่ากำลังนึกถึงภาพบ้านของตัวเองที่มีสัตว์เฝ้าบ้านอยู่ให้

        “ฟ_ย” ทั้งสองคนแฝดต่างยกนิ้วกลางให้

        “เอาจริงๆ ให้พวกกูไปอยู่เป็นเพื่อนมั้ย” ศศิทัศน์วางเครื่องดนตรีที่เพิ่งหมุนดูไปมาแล้วจึงเงยหน้าขึ้นถามเพื่อนของเขาให้แน่ใจ

        “ไม่ต้องหรอกมึง กูอยู่ได้ ยังไงวันเสาร์กูก็ไม่ว่างทั้งวันอยู่ดี” วีร์บอกปฏิเสธเพื่อนๆไป

        “เออ กูว่าจะถามมึงหลายรอบแล้ว มึงไปไหนทุกวันเสาร์เลยวะ เรียนพิเศษก็ไม่ใช่ จะนัดไปเที่ยวด้วยกันไม่เคยจะว่างสักที”

        “ก็ไม่มีอะไรนิ พูดยังนัดวันอื่นแล้วกูไม่ออกมางั้นแหละ”

        “มันก็ไม่ใช่อย่างน้าน... ก็แค่สงสัยเฉยๆ ว่าเพื่อนหายไปไหนบ่อยๆเท่านั้นเอง แหม...” แล้วศศิทัศน์ก็หันไปจัดการกับเครื่องดนตรีชิ้นต่อไป “พูดถึงเรื่องแต่งงาน พี่มึงอายุเท่าไหร่แล้ววะ มีแววจะได้แต่งอย่างเพื่อนเขามั้ย”

        “ไม่รู้สิ ตอนนี้ก็ 31 แล้ว ยังไม่เคยเห็นควงใครจริงจังเลยสักคน” อันที่จริงผู้ชายในวัย 30 ต้นๆยังไม่ถือว่าช้าที่จะเริ่มคิดสร้างครอบครัว ไม่เหมือนกับผู้หญิงที่เวลาของช่วงชีวิตผ่านไปเร็วกว่ามากนักทั้งทางสรีระและทางสังคม

        “โห ไมมึงห่างจากพี่มึงเยอะนักวะ” “31 กับ 15 นี่มัน 16 ปีเลยนะเว้ย” ฝาแฝดต่างประสานเสียงสงสัยกันพร้อมกับนิ้วมือคำนวณอายุไปด้วย

        “ไอ้ห่า กูยังมีพี่ชายคนรองอีกคนนะเฟ้ย นับจากพี่ภูมิก็ห่างแค่ 11 ปีเอง ส่วนกูน่ะลูกหลงเกิดมามีแต่คนรุมรัก” วีร์ยักคิ้วยักไหล่ แต่เพื่อนๆพากันร้องยี้ “เอาเหอะ ไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายกันดีกว่า มึงยังอยู่ห้องชมรมใช่ปะวะ” วีร์หันมาถามศศิทัศน์  และศศิทัศน์ก็พยักหน้าตอบ “แล้วอยู่ถึงกี่โมงวะ”

        “ก็เย็นๆเลยว่ะ คงจะทำให้เสร็จให้หมดนี้ไปเลย” ศศิทัศน์หันไปมองดูรอบๆ มีสมาชิกชมรมดนตรีคนอื่นๆที่ช่วยกันทำความสะอาดเครื่องดนตรีชิ้นต่างๆ “ช่วยกันหลายคน วันนี้คงจะเสร็จหมด”

        “หรอ งั้นเดี๋ยวเย็นๆ รอไอ้ใหญ่กลับมา แล้วไปหาอะไรกินด้วยกันมั้ยละ”

       ศศิทัศน์หันกลับมามองวีร์ แล้วก็นึกในใจคำนวณเวลาที่เขาต้องจัดการเครื่องดนตรีทั้งหมดกับเวลาที่สุรศักดิ์เลิกเรียน รด และกลับมาที่โรงเรียนว่าจะพอดีกันหรือไม่

        “อ้าว ไอ้ใหญ่มันจะย้อนกลับมาโรงเรียนอีกหรอวะ” ป๊าด! เป็นคู่แฝดที่ตบหลังหัวอีกคนกันเอง “ไอ้ซื่อบื้อ บ้านมันอยู่หน้าโรงเรียนมึงจะให้มันไปไหนวะ” ป๊าด! ในเมื่อตบมาก็ตบกลับไม่โกง “กูน้องมึงนะ รุนแรงกับกูจัง” “อีกสักรอบมั้ย”

        “พอๆเลยพวกมึง แยกย้ายตัวใครตัวมันไปได้แล้ว” ว่าแล้ววีร์กับศศิทัศน์ก็ลุกเดินผละออกมา ปล่อยทิ้งให้พี่น้องฝาแฝดตบตีกันเองต่อไป

*****

Taii:
มึง อยู่ไหน

VeeraVorra:
ห้องสมุด มีไร

Taii:
ดีเลย มาห้องชมรมกูหน่อย

VeeraVorra:
ไปทำไมวะ

Taii:
ช่วยกูขนของ

VeeraVorra:
อีกแล้วหรอวะ
ขนไรเยอะแยะ

Taii:
เห้ย ของไม่หนัก พวกลังใส่เอกสาร

VeeraVorra:
(emoticon unamused)

Taii:
กูขอร้อง

VeeraVorra:
เออ เดี๋ยวไป

Taii:
แทง ยู

VeeraVorra:
กูนี่แหละ จะแทงมึง

*****

        “ไง ว่าไงมึง จะให้ช่วยขนอะไรอีก” สุดท้ายแล้ววีร์ก็ต้องเดินกลับมาที่ห้องชมรมดนตรีอีกครั้ง คราวนี้พบว่าห้องค่อนข้างเงียบเนื่องจากเป็นเวลาเย็นมากแล้ว จึงมีคนที่เหลืออยู่ในห้องก็แค่เขากับคุณกระต่ายเพียงสองคนเท่านั้น

        “พวกนี้ทั้งหมดเลย” ศศิทัศน์ชี้ให้ดูกล่องกระดาษกว้างยาวขนาดกระดาษเอสี่วางเรียงรายอยู่หลายกล่อง “เดี๋ยวยกทั้งหมดนี่ไปที่ลานจอดรถกัน”

        “เห้ยมึง หมดนี่เลยหรอ” วีร์รู้สึกหนักใจในทันที เพราะถึงแม้ว่ากล่องแต่ละใบจะไม่ใหญ่มากนัก แต่ปัญหาอยู่ที่จำนวนกล่องทั้งหมดนี่ต่างหากที่ทำให้ต้องคิดหนัก “มันมีอะไรเยอะแยะนักวะ”

        “เออ หมดนี่แหละ เป็นพวกชีทเพลงกับสูจิบัตร”

        “ทำไมมึงไม่หารถเข็นมาวะ”

        “ก็ตอนนี้แล้ว จะไปหาจากไหนละมึง”

        “ไอ้กิ่งไอ้ก้านละ”

        “พวกมันกลับกันไปตั้งนานแล้ว” วีร์ได้แต่ถอนหายใจ

        “เอาน่ะ เดี๋ยวเฮียวีกับเฮียหมูมาช่วย” ศศิทัศน์มองสีหน้าเพื่อนออก “หน่านะมึง ช่วยกูยกลังพวกนี้ออกไปไว้นอกห้องก่อน จะได้ล็อกห้องชมรม”

        “แล้วเฮียมึงไปไหนวะ” วีร์เริ่มยกลังออกไปทีละสองลังซ้อนกัน หลังจากที่ลองยกดูแล้วพบว่าแต่ละลังไม่หนักมากนัก

        “ก็ยกออกไปบ้างแล้วนั่นแหละ เฮียแกไปดูรถพี่สาวเฮียหมูด้วยว่าจอดไว้ตรงไหน”

        “นี่จะใส่รถหมดหรอ”

        “ไม่รู้ว่ะ แต่เฮียบอกว่าจะเอากลับไปทำต่อที่บ้าน”

       วีร์กับศศิทัศน์ช่วยกันยกลังออกมาจากเกือบหมดแล้ว ทันใดนั้นก็มองไปเห็นเด็กหนุ่มสองคนกำลังเข็นรถเข็นตรงมาที่ห้องชมรม คนนึงแต่งชุดนักเรียนปกติสีหน้าดูยิ้มแย้มแจ่มใสดี ส่วนอีกคนที่แต่งชุด รด มือข้างหนึ่งเข็นรถไปส่วนอีกข้างนึงก็คอยศอกแซะเพื่อนไปด้วย

        “โหย กว่าจะมา” คนน้องเอ่ยปากบ่นคนพี่ทันที่ที่ทั้งคนเข็นรถมาถึงที่หน้าห้องชมรม

        “ก็ไปหารถเข็นมานี่ไง จะได้ขนรอบเดียวเสร็จ”

        “แล้วมันจะใส่รถหมดหรอเฮีย”

        “ก็วางซ้อนๆกันคงได้อยู่ ตอนเข็นไปก็ช่วยพยุงขนาบข้างไปด้วยคงจะไหว”

        “อะ ว่าไงก็ว่าตามกัน”

       แล้วทั้งสี่คนก็ช่วยยกลังมาวางเรียงซ้อนบนรถเข็น ซึ่งก็ดูเหมือนจะไปได้ดี แต่เมื่อยกเอาลังกระดาษมาใส่รถรวมกันหมดแล้วก็พบว่ามันมีน้ำหนักมากพอสมควร แทนที่จะได้เข็นไปรถไปกันสบายๆกลับกลายเป็นว่าทั้งสี่คนต้องช่วยกันออกแรงเข็นรถไปด้วย พร้อมทั้งพยุงกล่องบนๆไม่ให้ล้มลงมาไปด้วย

       จนทั้งหมดพากันมาถึงที่ลานจอดรถ ซึ่งในตอนนั้นก็เหลือรถจอดอยู่ไม่กี่คันแล้ว ในจำนวนนั้นมีรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสีน้ำเงินเข้ม โดยที่ประตูท้ายรถกำลังเปิดอ้าอยู่ และมีผู้หญิงวัยทำงานตอนต้นกำลังก้มๆเงยๆจัดของที่อยู่ข้างในรถ เพราะเสียงของล้อรถเข็นดังมากพอที่จะเรียกความสนใจ ทำให้เธอให้หันหน้าออกมามอง

        “โอ้โห หมดนี่เลยหรอ จะมีที่พอมั้ยเนี่ย”

        “คงต้องเอาใส่ในรถบ้างละมั้งถึงจะพอ” ผู้เป็นน้องบอกพี่สาวของตัวเอง

        “งั้นก็ลองๆจัดดูก่อนเดี๋ยวก็รู้ เอายกกันเลย พี่เคลียร์ท้ายรถให้แล้ว” เธอหันมาบอกเด็กๆ แล้วจึงขยับหลีกทางให้เด็กๆได้ยกลังเข้าไปไว้ในรถได้สะดวก ในตอนนั้นเธอก็หันมาเจอกับเด็กคนหนึ่งที่เธอไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน คงเป็นเพราะสีหน้าของเธอ และเธอก็จ้องหน้าเด็กคนนั้นนานพอจนสังเกตได้ ศศิทัศน์ที่หันมาเห็นจึงแนะนำเพื่อนตัวเองให้พี่สาวของเพื่อนพี่ชายให้รู้จักกัน

        “อ่า นี่วีร์ เพื่อนต่ายเอง เพิ่งย้ายมาใหม่ เรียนอยู่ห้องเดียวกันครับ”

        “อ๋อ สวัสดีจะ มิน่าละ ถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย” เธอส่งยิ้มให้กับเด็กคนนั้น

        “มึง นี่พี่วา พี่สาวเฮียคุณ” ศศิทัศน์เปลี่ยนคำเรียกเพื่อนของพี่ชายเป็นคำปกติ เพราะชื่อหมูเป็นการเรียกเฉพาะในหมู่เพื่อนสนิทเท่านั้น

        “ครับ สวัสดีครับ” ทั้งคู่ต่างยิ้มทักทายให้กัน ระหว่างนั้นคนอื่นๆที่เหลือก็ช่วยจัดกันจัดกล่องกระดาษใส่ท้ายรถจนหมด

        “นี่หมดแล้วใช่มั้ย” พี่สาวถามเด็กๆ ซึ่งก็พยักหน้ารับ “งั้นไปกันเลยเดี๋ยวจะค่ำเกิน แล้วนี่วีร์จะกลับยังไงละ ให้พี่แวะไปส่งที่บ้านด้วยรึป่าว” เธอถามพร้อมปิดประตูหลังรถ และลองผลักดูอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าปิดสนิทดี “หมายถึงน้องวีร์น่ะ” เธอต้องอธิบายเพิ่มเติม เนื่องจากมีคนชื่อวีร์อยู่สองคนและกำลังทำหน้างุนงงอยู่ทั้งสองคน เพราะไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวถามถึงวีร์คนไหนกันแน่

        “อ๋อ คือเดี๋ยวผมจะหาอะไรกินแถวๆหน้าโรงเรียนก่อนกลับครับ” วีร์บอกปัดเพราะเขายังไม่รีบกลับ แล้วจึงหันมาถามเพื่อนเขาเอง “เดี๋ยวมึงกลับเลยใช่ปะ”

        “ใช่ ไหนๆพี่เขาจะไปส่งเฮียที่บ้านอยู่แล้ว กูเลยคิดว่ากูติดรถไปเลยดีกว่า ไม่เป็นไรนะมึง”

        “เออๆ ไม่เป็นไร งั้นไว้เจอกันวันจันทร์”

        “เออๆ งั้นก็โชคดี” ศศิทัศน์เอ่ยลาแล้วก็หันไปเปิดประตูรถ

        “เออๆ กูไปละ โชคดีมึง” วีร์บอกลาเพื่อน “ผมไปก่อนนะครับ” วีร์บอกว่าพี่สาวคนใหม่ที่เพิ่งจะรู้จัก ก่อนที่หันไปเจอหน้ารุ่นพี่ทั้งสองคน คนหนึ่งเพียงพยักหน้ารับคำบอกลาส่วนอีกคนนั้น

        “กลับดีๆนะครับ น้องวีร์” พร้อมกับยกมือขึ้นมาโบกมือลาเล็กน้อยกับใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

       ส่วนวีร์ก็ยิ้มตอบกลับให้เพียงเล็กน้อยแล้วจึงเดินออกไปทางหน้าโรงเรียน

*****

Taii:
คิดว่ามันทำอะไรอยู่วะ

King:
นอนร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่คนเดียวในบ้านละมั้ง

กาน ก่าน ก้าน ก๊าน ก๋าน:
สนน พวกกูอุตส่าห์เสนอตัวไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วก็ไม่เอา

Taii:
มันก็บอกอยู่ว่าไม่อยากได้หมาเฝ้าบ้าน

King:
(สติ๊กเกอริ์นิ้วกลาง)

กาน ก่าน กาน ก๊าน ก๋าน:
(สติ๊กเกอร์ฝ่าเท้า)

Taii:
(สติ๊กเกอร์แลบลิ้นปลิ้นตา)

สุรศักดิ์ สืบวงศ์สกุล:
ไอ้พวกเวร เสียงไลน์ดังไม่หยุด

Taii:
ว่างแล้วหรอมึง

สุรศักดิ์ สืบวงศ์สกุล:
ลูกค้ามาเรื่อยๆ

พระยศ:
จะปิดร้านยัง

สุรศักดิ์ สืบวงศ์สกุล:
ยัง จะมาหรอมึง

พระยศ:
เดี๋ยวแวะไป

King:
เดี๋ยวกูกับก้านไปด้วย

สุรศักดิ์ สืบวงศ์สกุล:
มึงจะมามั้ยไอ้ต่าย @Taii

Taii:
แวะรับกูด้วยไอ้แฝด @King @กาน ก่าน ก้าน ก๊าน ก๋าน

สุรศักดิ์ สืบวงศ์สกุล:
(แนบรูป)
มามั้ยมึง ครบทีมแล้ว @VeeraVorra

Taii:
@VeeraVorra

King:
@VeeraVorra

พระยศ:
@VeeraVorra

กาน ก่าน ก้าน ก๊าน ก๋าน:
@VeeraVorra

VeeraVorra:
รัวอะไรกันนักวะ

Taii:
จะมามั้ยมึง

VeeraVorra:
กูไม่ว่าง

Taii:
ทุกทีเลยมึง

VeeraVorra:
รู้แล้วยังจะถามอีก
ค่อยเจอกันวันจันทร์


*****

       วันหยุดสัปดาห์นี้เป็นวันว่างก่อนจะเข้าสู่โค้งสุดท้ายสอบวัดผลปลายภาคเรียน  นักเรียนบางคนก็เริ่มหยิบจับอ่านหนังสือมาอ่านทบทวนเตรียมตัวไว้ล่วงหน้ากันบ้างแล้ว ในขณะที่บางคนก็รอให้เวลาผ่านไปจนวันสุดท้ายจริงๆ ถึงจะตื่นตัวสำนึกได้ว่าจะต้องทบทวนตำราเรียนบ้างแล้วก่อนที่จะแบกสมองโล่งๆเข้าไปในห้องสอบ ถึงแม้ว่าข้อสอบปลายภาคเรียนส่วนใหญ่จะเป็นแบบปรนัย ยกเว้นเพียงบางวิชาที่ต้องแสดงขั้นตอนการคำนวณ แต่กระนั้นทางโรงเรียนก็ไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนมั่วคำตอบส่งได้ เพราะเกณฑ์การให้คะแนนในข้อที่ตอบถูกและการหักคะแนนในข้อที่ตอบผิด ฉะนั้นบางคนจึงเลือกที่จะไม่ตอบอะไรเลยในข้อที่ไม่มั่นใจจริงๆ เพราะถึงจะไม่ได้คะแนนแต่ก็ไม่โดนหักคะแนนเสียเปล่า

       ส่วนวีร์เอง ในวันนี้ก็เลือกจะมาพักผ่อนเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าโดยมีแพรพรรณมาเป็นเพื่อนด้วย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแพรพรรณเสียมากกว่าที่เดินนำเข้าไปเลือกดูสินค้าตามร้านต่างๆตามประสาผู้หญิงเดินช้อปปิ้ง ส่วนเขาแค่มองดูผ่านๆไปเรื่อยๆ เนื่องจากไม่ได้เจาะจงจะเลือกซื้ออะไร แค่เดินดูเรื่อยเปื่อยรอเวลารอบฉายภาพยนตร์ที่ซื้อตั๋วไว้แล้ว

       ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ไม่รู้จักมองดูก็คงจะคิดว่าเป็นคู่รักที่มาเดินเลือกซื้อของด้วยกัน เหตุเพราะว่าแพรพรรณมักจะชอบเดินจับข้อศอกของเขาเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน และด้วยท่าทางที่สนิทสนมใกล้ชิดกันจึงไม่แปลกที่จะทำให้คนอื่นๆคิดเช่นนั้น

        “อ้าว!” วีร์เกือบจะชนเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งตอนที่จะเดินอ้อมมุมชั้นวางสินค้า “เอ๋... เอ่อ... น้องวีร์ใช่มั้ย” หญิงสาวพยายามนึกบางอย่าง แล้วก็ทักชื่อของเขามา

        “ครับ” วีร์เองยังงงสงสัยอยู่ว่าเธอคนนั้นเป็นใคร แม้ว่าจะดูคุ้นหน้าอยู่บ้างก็ตาม

        “พี่วาไง จำได้มั้ย ที่เจอกันอาทิตย์ก่อน” เธอแนะนำตัวอีกครั้ง

        “อ๋อ” วีร์นึกออกได้ในทันที เหตุที่จำไม่ได้คงเป็นเพราะว่าครั้งก่อนที่เจอกัน หญิงสาวรวมผมตึงเรียบร้อยมัดเป็นมวยไว้ด้านหลัง แต่ในวันนี้คงเพราะเป็นวันหยุดจึงแต่งตัวแบบสบายๆ ปล่อยผมยาวสลวย และแต่งหน้าแต่งตาแทบจะดูเป็นคนละคนกัน “สวัสดีครับ”

        “มาเดินเล่นกันหรอ” เธอมองดูเด็กหนุ่มพลางมองไปถึงเด็กสาวที่มาด้วยกัน “ใกล้จะสอบแล้วใช่มั้ย เตรียมตัวพร้อมแล้วรึยัง”

        “อ๋อครับ ก็อ่านเตรียมตัวมาเรื่อยๆแล้วครับ วันนี้ว่างๆกันก็เลยมาเดินดูของไปเรื่อย พักสมองก่อนสอบ” วีร์ตอบกลับ

        “ไอ้เจ้าคุณสู้ไม่ได้เลย จนป่านนี้ยังไม่กระตือรือร้นอ่านหนังสือบ้างเลย” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ

       วีร์ได้แต่ยิ้มตอบกลับ แล้วก็สังเกตเห็นสายตาของพี่วามองไปที่เพื่อนของเขาอยู่เนืองๆ

        “แล้วก็นี่แพรครับ เพื่อนห้องเดียวกัน”

        “สวัสดีจะ”

        “แพร นี่พี่วา พี่สาวพี่คุณ” วีร์แนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน

        “สวัสดีค่ะ” วีร์เห็นสีหน้าเจือรอยยิ้มอย่างสงสัยของเพื่อนแล้วจึงแอบกระซิบอธิบายเพิ่มเติม

        “พี่คุณ ม.6 เพื่อนสนิทพี่ชายต่ายไง”

        “อ๋อ” เมื่อนึกออกแล้วเธอก็ยิ้มให้

        “แล้วพี่วามาทำอะไรหรอครับ” วีร์จึงหันไปพูดคุยกับหญิงสาวต่อตามมารยาทของผู้น้อย

        “พี่มาซื้อของที่ซุปเปอร์น่ะ เอาไปเก็บที่รถแล้ว แต่ไหนๆก็ออกมาแล้ว เลยคิดว่าจะไปดูรองเท้าผ้าใบสักคู่นึงก่อนกลับ” เธอตอบกลับแล้วยิ้มเด็กทั้งสองคน “แล้วนี้เดี๋ยวจะไปไหนต่อรึป่าว”

        “เอ่อ ก็” วีร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา “เดี๋ยวจะไปดูหนังกันอะครับ นี่ก็เกือบได้เวลาแล้ว”

        “อ้าว หรอ นี่ว่าจะชวนไปกินไอติมกันสักหน่อย แต่ไม่เป็นไร เอาไว้เผื่อกันคราวหน้าก็แล้วกันนะ”

        “ครับ” “ค่ะ”

        “งั้นไว้เจอกันนะ พี่ไปละ” เธอโบกมือถือลา แล้วจึงเดินไป

        “รีบไปเถอะ เกือบถึงเวลาฉายแล้ว” วีร์บอกเพื่อนของเขา

        “ดีนะแกที่เจอพี่วา ไม่งั้นคงเดินเพลินจนลืมเวลาแน่ๆ” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะกับความขี้ลืมของตัวเอง

       ส่วนทางด้านหญิงสาวเมื่อเดินจากเด็กๆมาได้สักพัก ก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับไปแต่เด็กทั้งสองคนก็เดินกันไปไกลแล้ว เธอจึงคิดว่าคงไม่เป็นอะไร เพราะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แล้วเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า

วนกร ศุขเจริญชัย:
นี่ พี่ซื้อของเสร็จแล้วนะ
แต่เดี๋ยวจะไปดูรองเท้าสักหน่อย

คุ-ณะ-กร:
เห่อออ ที่บ้านยังมีไม่พออีกหรอ

วนกร ศุขเจริญชัย:
นี่ ให้มันน้อยๆหน่อย เธอเป็นน้องชั้นนะ
จะไปดูผ้าใบสักคู่นึงต่างหาก

คุ-ณะ-กร:
ล้อเล่น ตามสบายเลย

วนกร ศุขเจริญชัย:
แล้วเดี๋ยวกลับด้วยกันมั้ย

คุ-ณะ-กร:
ยัง กลับไปก่อนเลยก็ได้
เมื่อกี้เจอไอ้วี เดี๋ยวจะไปดูหนังกัน ค่อยกลับ

วนกร ศุขเจริญชัย:
OK เจอกันที่บ้าน

*****

[โปรดติดตามตอนต่อไป]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 4 ... 15 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-04-2021 00:50:36
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 4 ... 15 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-04-2021 10:06:49
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 4 ... 15 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 18-04-2021 21:45:55
จะเจอกันในโรงหนังไหมเนี่ยยยย :hao3:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 5 ... 21 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 22-04-2021 00:04:44
5. ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดเข้าไปอีกหน่อย

       ในวันนี้ก็เริ่มต้นเหมือนวันจันทร์ปกติทั่วๆไป แต่ว่าทันทีที่วีร์เดินเข้าไปในห้องเรียนและเห็นกลุ่มเพื่อนๆของเขากำลังนั่งล้อมวงอยู่กับแพรพรรณ ถ้าหากไม่มีเรื่องที่เพิ่งเกิดไปเมื่อวานนี้เขาคงจะคิดว่าเพื่อนๆกำลังพยายามช่วยสุรศักดิ์ให้สนิทสนมกับแพรพรรณอยู่เป็นแน่ แต่ทว่า

        “มาแล้วมึง” “ว่าไง มึงมานี่ดิ” “มาเร็ว มาเหลาให้หมด” “ใช่ๆ มีอะไรเหลามาให้หมดเลยนะมึง” คู่แฝดนพชัยชัยทิศรีบเข้ามาจูงไม้จูงมือวีร์เป็นพัลวันและดึงเขาเข้าไปอยู่กลางวงสนทนา

        “เล่าเรื่องอะไรวะ” วีร์พยายามตีหน้าซื่อทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรเลย

        “ไม่ต้องมาทำซึนเลยมึง เมื่อวานเกิดอะไรในโรงหนังบ้าง”

        “แล้วไมวันนี้มึงมาเช้าได้วะ” วีร์ถามกลับเพื่อนตัวดีที่ปกติถ้าไม่ได้เสียงสัญญาณเข้าเรียนคาบแรกก็ไม่มีทางได้เห็นตัวเป็นแน่

        “กูให้ตอบคำถาม ไม่ใช่มาถามกูต่อ” สุรศักดิ์หมายจะตบหลังศีรษะผู้ต้องหาในวันนี้ แต่ว่าวีร์เอี้ยวตัวหลบได้ซะก่อน

        “ก็ไม่มีอะไรนิ” เพื่อนๆต่างจ้องหน้าวีร์อย่างคาดคั้น “ก็จะให้กูเล่าอะไร ในเมื่อมันไม่มีอะไร”

        “อะๆเจ้าตัวสละสิทธิ์ไม่อยากเล่า งั้นแพรว่ามา” ศศิทัศน์จึงหันมาถามเพื่อนหญิงคนสวยแทน “มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ขอแบบละเอียดยิบเลยนะ”

       แพรพรรณหันไปมองหน้าวีร์ พร้อมทั้งเลิกคิ้วในเชิงถามว่าจะเอาอย่างไร ส่วนวีร์ก็ยักไหล่ตอบกลับ เพราะในเมื่อมันไม่มีเรื่องอะไรสำคัญที่จะให้เล่า ฉนั้นไม่ว่าจะเล่าแบบธรรมดาหรือแบบใส่สีใส่ไข่มันไม่มีทางจะมีอะไรเกิดขึ้นมาได้ เมื่อเห็นว่าวีร์ไม่ได้ห้ามอะไรแพรพรรณจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เธอเห็นมาด้วยตัวเอง

        “คือเมื่อวานเรากับวีร์ไปดูหนังกัน ก็พอซื้อน้ำซื้อป๊อปคอร์นเสร็จก็เดินเข้าโรงหนังไปตามปกติ” แพรพรรณหันไปมองเพื่อนของเธออีกครั้งก่อนจะเล่าต่อ “พอหาที่นั่งกันเรียบร้อยแล้วก็ดูโฆษณาไปเพลินๆ แล้วอยู่ๆก็มีคนขอเดินผ่านเข้าไปนั่งข้างใน เราก็ขยับขาให้ชิดเก้าอี้พอให้เขามีทางเดินผ่านไปได้ คือเรากับวีร์นั่งกันกลางๆแถวไง เรานั่งตรงนี้ วีร์นั่งด้านนี้ ส่วนทางเข้ามันมาจากทางนั้น” แพรพรรณทำท่าประกอบว่าเธอนั่งอยู่ทางซ้ายของวีร์ ส่วนประตูทางเข้าโรงภาพยนตร์นั้นมาจากทางด้านซ้ายของเธอ

        “เขาเลยต้องเดินผ่านเราผ่านวีร์ไปนั่งที่ของเขา ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร ก็มันมืดๆอะเนอะมองเห็นไม่ค่อยชัด แล้วคือเรากำลังจะหันไปถามวีร์อะไรสักอย่างนี่ละ ก็เลยได้เห็นหน้าเต็มๆชัดๆ เราก็ ‘อ้าว พี่วี พี่คุณ’ พี่เขาก็แบบหน้าตาดูตกใจนะ ก็ทักทายกันธรรมดาไม่ได้มีอะไรมากแล้วหนังก็เริ่มฉายพอดี แล้วก็นะ...”

        “ก็แค่นั่นแหละ บอกแล้วไม่มีอะไร บังเอิญเจอกันเฉยๆ” วีร์รีบพูดแทรกขึ้นมาเพื่อจะตัดจบบทสนทนาไว้ตรงนี้ก่อนที่แพรพรรณจะได้บอกอะไรต่อ แม้ในใจจะคิดว่าคงไม่มีทางสำเร็จดังหวังแน่นอนก็ตาม

        “ใช่ บังเอิญเนอะมึง” “บังเอิญไปดูเรื่องเดียว” “บังเอิญดูโรงเดียวกัน” “บังเอิญนั่งข้างกัน” แฝดนพชัยชัยทิศทำท่าล้อเลียนเหมือนคู่รักไปนั่งอี๋อ๋อกันในโรงภาพยนตร์ “...ตกลงคือพรหมลิขิตใช่ม๊ายย...” เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

        “มากกว่านี้มึงโดนลิขสิทธิ์แน่” วีร์จัดการประทับปลายนิ้วลงไปที่กระหม่อมของทั้งนพชัยและชัยทิศแบบเบาๆที่พอจะได้ยินเสียงเล็กน้อย

        “พิรุธนะมึง แสดงว่ามันมีอะไรมากกว่านี้ใช่มั้ย บอกมา” สุรศักดิ์พยายามคาดคั้นด้วยสายตา เขาหรี่ตาจ้องมองเขม็ง

        “แพร เรารู้ว่าแพรยังเล่าไม่หมด ใช่มั้ย” ศศิทัศน์หันไปทำตาปริบๆใส่ ออดอ้อนให้เพื่อนหญิงสาวคายความลับออกมา โดยมีสุรศักดิ์หันมาทำตาเขียวปั๊ดใส่ว่าเพื่อนตัวดีของเขาเข้าใกล้หญิงสาวที่เขาปลื้มมากเกินไปแล้ว

        “เอ่อ... ก็... คือว่า” แพรพรรณหันไปมองเพื่อนของเธอ “จริงๆมันก็ไม่มีอะไรหรอก แค่แบบนั่งๆดูหนังไปแล้วอยู่ๆวีร์ก็ขยับเข้ามาชิดเราเรื่อยๆ... แกๆ ชั้นเล่าได้ใช่มั้ยอ่า” เธอหันไปมองเพื่อนของเธออีกครั้งและยกมือขึ้นจับแขนข้างหนึ่งแล้วเขย่าอยู่สองสามที แต่ในเมื่อวีร์ไม่ได้เอ่ยคัดค้านอะไรเธอจึงเล่าต่อไป “ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไม ก็นึกว่าวีร์ชอบเท้าแขนข้างซ้าย มาเห็นอีกทีตอนหนังจบแล้วไฟในโรงเปิดแล้วก็... เอ่อ... เห็นพี่วีนั่งหลับซบไหล่วีร์อยู่”

        “วี๊ดดวิ้ววว” “ว๊ายยยว๊ายยย” “สรุปว่ามีซบไหล่กันจริงๆด้วยว่ะมึง” “อร๊ายย จิ้น!!”

        “จิ้นพ่อง”

        “แหนะๆ ไม่ต้องมาทำโมโหกลบเกลื่อน” “เขินแล้วเกรี้ยวกราดนักนะเราน่ะ” ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างร่วมด้วยช่วยกันผสมโรงแซววีร์ไม่มีหยุดไม่มีหย่อน

        “กูเอางานไปส่งดีกว่า ไปแพรไป เดี๋ยวหมดเวลาซะก่อน” แล้ววีร์ก็หยิบสมุดงานออกจากเป้และกวักมือเรียกแพรพรรณให้เดินไปส่งงานด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรมากเท่ากับตอนที่เพื่อนๆช่วยแซะช่วยกันแซวเสียอีก วีร์จึงคิดรีบออกไปจากตรงนี้เสียก่อนจะดีกว่า

        “แพ้แล้วเดินหนีหรอน้อง กลับมาก่อน” “วี๊ดดวิ้วว” การแซวของฝาแฝดก็ได้รับนิ้วกลางชูกลับมาตอบแทน ทำให้เพื่อนๆต่างพากันหัวเราะชอบใจ

        “อ้าว มึง ไปไหนอะ” บี๊กที่เพิ่งจะมาถึงโรงเรียนเดินสวนกันกับวีร์และแพรพรรณ โดยได้ยินเสียงห้วนๆและมีกระแทกเสียงเล็กน้อยไล่หลังมาว่าจะไปส่งงาน “ไอ้วีร์เป็นไรวะ”

        “วันนี้มึงมาช้าไปว่ะไอ้บิ๊ก”

        “แล้วไมวันนี้มึงมาเช้าได้วะ” แล้วพระยศก็โยนถุงขนมลงบนโต๊ะกลางวงสนทนา “เอา พวกมึงช่วยกูแดกด้วย”

        “มึงไม่ได้เปิดไลน์หรอวะ ก็ไอ้ต่ายไลน์มาแต่เช้าว่ามีเรื่องเด็ดๆ ให้รีบออกมาเร็วๆ” สุรศักดิ์เปิดดูขนมในถุง “ของน้องเฟิร์นอีกแล้วหรอมึง”

        “เออ แดกๆ ไปเหอะ” พระยศตอบแบบเสียไม่ได้ “สรุปแล้วมีเรื่องอะไรกันวะ”

        “มานี่เลยครับคุณพี่พระยศ” “เดี๋ยวพวกกูจะเหลาให้ฟัง” สองคนฝาแฝดกอดคอพระยศทั้งจากซ้ายและขวา “ถ้าคุณพี่พระยศแถลงไขเรื่องน้องเฟิร์นนี่ก่อนนะ” “สรุปว่าตอนนี้ถึงขั้นไหนแล้วครับ”

        “เรื่องนั้นช่างมันก่อน” พระยศพยายามสะบัดไหล่ซ้ายขวาให้หลุดพันธนาการของฝาแฝด จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดบางอย่างก่อนจะยื่นให้เพื่อนๆแต่ละคนดู “พวกมึงดูนี่ กูไปเจอมา”

        “อะไรวะ” สุรศักดิ์รับโทรศัพท์ของพระยศมาดู หน้าจอแสดงแอปพิเคชั่นสื่อสารสังคมอันหนึ่งที่แสดงชื่อผู้ใช้บริการที่ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวไว้ มีจำนวนผู้ติดตามและจำนวนผู้ที่ตามอยู่ไม่ได้มากมายนัก “อืมม แล้วทำไมวะ”

        “ไหนๆ เอามาดูดิ” ศศิทัศน์รับเครื่องโทรศัพท์ต่อมาจากสุรศักดิ์และพิจารณาดูชื่อบัญชีโดยละเอียด “ainararov.v ชื่อเหี้ยอะไรเนี่ยยังกะคนรัสเซีย ไอจีของใครวะ” แล้วก็หันไปมองหน้าพระยศที่กรอกตาพร้อมกับพ่นลมหายใจแรงออกมา

        “อย่างมึงเห็นแล้วมึงนึกอะไรไม่ออกจริงดิ”

       พระยศจ้องหน้าศศิทัศน์จนศศิทัศน์ต้องก้มลงมองดูชื่ออีกครั้ง โดยมีฝาแฝดเข้ามารุมดูด้วยอีกคน

        “ainararov.v…” ศศิทัศน์ทวนชื่อขึ้นอีกอยู่สองสามครั้ง แล้วเขาก็เบิ่งตาและอ้าปากกว้างเมื่อคิดออก “อ๋อ.. ชื่อไอ้วีร์แต่เขียนย้อนกลับ”

       พระยศพยักหน้าตอบรับว่าเพื่อนคนเก่งของเขาคิดออกได้เสียที

        “มึงแน่ใจหรอวะ” สุรศักดิ์ถามย้ำให้แน่ใจ

        “มึงก็ดูรูปโปรไฟล์สิวะ ใช่มั้ยละ”

       จนทุกคนเข้ามารุมดูให้ชัดๆอีกครั้ง

        “เออว่ะ หน้าไอ้วีร์” หนึ่งในฝาแฝดตอบรับ “ไม่เห็นมันเคยบอกเลยว่าเล่นไอจีด้วย” “แถมยังตั้งไพรเวทอีก”

       เพื่อนๆได้แต่มองหน้ากันไปมา

        “กูว่ามันไม่ได้จะปิดบังอะไรหรอกมั้ง แค่พวกเราไม่เคยถามมันเท่านั้นเอง” สุรศักดิ์พยายามหาเหตุผลที่ดูเข้าท่าที่สุด

        “อืม กูก็ว่างั้น มันก็นิสัยอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าขอฟอลไปมันคงให้ละมั้ง” ศศิทัศน์ส่งโทรศัพท์กลับไปให้พระยศ “มึงลองกดฟอลไปดูดิ”

        “อืม ไม่ดีกว่าว่ะ กูว่าจะมาถามมันก่อนแล้วค่อยกดขอไปดีกว่า อยู่ๆกดไปเลยจะไปบอกมันว่าอะไร กูบังเอิญเจองี้เหรอ” พระยศสอดโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง ก่อนจะหันไปเห็นหน้าเพื่อนคนหนึ่งของเขา “ไอ้ต่าย หน้ามึงเจ้าเล่ห์มาก รู้เลยคิดอะไรอยู่”

        “อุ้ย เหรอวะ” ศศิทัศน์พยายามทำสีหน้าให้กลับมาดูเป็นปกติมากที่สุด

        “จะเอาข่าวไปบอกเฮียมึงอีกละสิ”

        “ของมันแน่อยู่แล้ว” ศศิทัศน์ตอบพร้อมกับยักไหล่กวนๆ “ข่าวดีขนาดนี้ จะขออะไรจากเฮียดีน้า”

        “จะทำอะไร ระวังไอ้วีร์มันโกรธเอานะมึง” สุรศักดิ์พยายามเตือนสติคนที่กำลังได้ใจ

        “กูก็ว่าอย่างนั้น ไปขอมันดีๆก่อนดีกว่านะกูว่า” พระยศเห็นด้วยกับสุรศักดิ์

        “เอาน่า พวกมึงก็เงียบๆไว้ก่อนสิวะ เรื่องที่เจอไอจีไอ้วีร์ก็อย่าเพิ่งไปบอกอะไรมัน” ทั้งสุรศักดิ์และพระยศที่คนหนึ่งเอามือกอดอกส่วนอีกคนยกมือขึ้นเท้าสะเอวแต่ต่างก็จ้องมองหน้าศศิทัศน์ด้วยกันทั้งคู่ “หน่านะ ให้เฮียกูลองดูก่อน จะสำเร็จไม่สำเร็จค่อยว่ากัน แล้วค่อยไปเลียบๆเคียงๆขอมันฟอลทีหลังอีกทีก็ได้ โอเค๊...” ศศิทัศน์หันไปมองหน้าเพื่อนๆที่ไม่มีใครตอบรับกลับมาเลยสักคน “กูให้ยืมลอกการบ้านทั้งอาทิตย์เลยเอา”

        “โอเค” เป็นแฝดพี่แฝดน้องที่ตอบพร้อมเพรียงกันโดยทันที

*****

อ้างถึง
Follow Requests
Approve or ignore requests

Weeramart
Weeramart Rawan
Confirm X

*****

       ในขณะที่วีร์กำลังเก็บสมุด หนังสือ และอุปกรณ์การเรียนทั้งหมดลงเป๋ หลังจากหมดเวลาคาบสุดท้ายของวันนั้นแล้ว ศศิทัศน์ที่เก็บของส่วนตัวเรียบร้อยแล้วก็เดินถือกระเป๋ามายืนอยู่ข้างๆโต๊ะเรียนของเขา เอาแต่จ้องมองไม่พูดไม่จาอะไรจนเขาต้องถามเพื่อตัดความรำคาญ

        “มีอะไรมึง” วีร์หันไปถามศศิทัศน์

        “คือว่า เดี๋ยวช่วงเย็นๆ 3-4 วันนี้ เฮียกูจะมาช่วยติวหนังสือให้ มึงจะเอาด้วยมั้ย” ศศิทัศน์นั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะเรียนของวีร์ทันทีที่เจ้าของโต๊ะลุกเดินออกไปแล้ว

        “แล้วเฮียมึงไม่ต้องอ่านหนังสือบ้างเหรอ” วีร์พอจะรู้มาบ้างว่าวีรมาตุเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง แต่จะเก่งอย่างไรก็ต้องมีเวลาส่วนตัวของตัวเองสำหรับเตรียมตัวสอบเหมือนกัน

        “โอย อย่างเฮีย ทุกวันคือการเตรียมตัวสอบ ไม่ต้องห่วงเขาหรอก”

       วีร์เลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น

        “เอาไง มึงจะอยู่ติวด้วยมั้ย” ศศิทัศน์ถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเพื่อนของเขาเอาแต่เงียบไปตอบกลับมาเสียที

        “ก็... ได้มั้ง จะอยู่ติวกันถึงกี่โมงละ”

        “ก็ถึงสัก 6 โมงเย็นก็พอ เอาเท่าที่ได้”

       วีร์นึกคิดอยู่ในใจอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าเขาจะสองจิตสองใจแต่ก็พยักหน้าตอบตกลงศศิทัศน์ไป

        “งั้นเดี๋ยวไปกันเลย เฮียให้ไปหาที่นั่งติวไว้ก่อนด้วย” ศศิทัศน์ยิ้มรับแล้วก็หันไปเรียกเพื่อนๆคนอื่นๆให้ตามกันไป

        “เอาวันนี้เลยเหรอ” ส่วนวีร์ที่ถึงแม้จะตกลงไปแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าการติวหนังสือจะปัจจุบันทันด่วนแบบนี้ ตกลงใจปุ๊บก็เริ่มกันในทันที สุดท้ายจึงได้แต่เออออตามเพื่อนๆกันไป

        “ก็ใช่ไง” ศศิทัศน์ยิ้มตอบกลับ

*****

       กว่าจะหาสถานที่ที่พอจะติวหนังสือกันได้ในวันนั้น ก็เล่นเอาทุกคนต้องเดินหาสถานที่กันเกือบทั่วโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะม้าหิน ศาลาพัก หรือแม้กระทั่งสนามหญ้าตามที่ต่างก็ถูกจับจองกันหมด จนในที่สุดก็มาจบลงที่โต๊ะในโรงอาหาร

       วีรมาตุนั่งลงตรงกลางท่ามกลางน้องๆ มีพระยศที่นั่งประกบข้างซ้ายและศศิทัศน์ที่ประกบข้างขวา ฝั่งตรงข้ามเป็นคู่แฝดนพชัยชัยทิศและสุรศักดิ์ ส่วนวีร์นั้นเดิมทีเขานั่งอยู่ถัดไปจากศศิทัศน์ แต่ระหว่างการติวหนังสือกันศศิทัศน์ก็ขอตัวลุกออกไปซื้อของกิน และเมื่อเขากลับมาก็อ้างว่ากลัวจะทำเลอะพื้นโต๊ะ จะขอนั่งริมสุดแล้วให้วีร์ขยับเข้าไปใกล้วีรมาตุแทน

       วีร์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเพื่อนของเขากำลังเข้าสู่โหมดจับคู่ให้เขากับพี่ชายตัวเองอีกแล้ว แต่เห็นสายตาทั้งเว้าวอนและคะยั้นคะยอของเพื่อนรวมถึงเกรงใจคนอื่นๆที่เหลือที่กำลังตั้งใจติวหนังสือกัน ก็ได้แต่อ่อนใจจนต้องยอมทำตาม เพราะอย่างน้อยทุกคนก็กำลังสนใจกับเนื้อหาการติว ไม่มีใครหันมาแซวเขาแต่อย่างใด วีร์จึงหันไปตั้งใจฟังอย่างเดิม ... แต่ก็ได้ไม่นานนัก

        “เฮียครับ ตรงนี้มันใช่หรอ ผมว่ามันดูแปลกๆนะครับ” พระยศแย้งขึ้นมาขณะที่วีรมาตุกำลังแก้โจทย์ให้ดูทำให้การติวหยุดชะงักไปชั่วคราว

        “หือ ตรงไหนเหรอครับ” วีรมาตุถามกลับ

        “นี่ไงครับเฮีย เฮียแทนค่าผิดรึเปล่า ทำไมมันได้ออกมาไม่เหมือนของผมเลย” พระยศยื่นสมุดที่เขาได้ลองแก้โจทย์เองให้ดูและชี้ตรงจุดที่เขาเห็นว่าตัวเองทำออกมาได้ไม่เหมือนกับที่วีรมาตุกำลังสอน

       วีรมาตุรับสมุดของพระยศมาเทียบกับของตัวเอง เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็พบว่าเขาทำผิดเองไปจริงๆ

        “เออใช่ โทษทีครับน้องๆ มันต้องแก้ตั้งแต่ตรงนี้... แล้วก็ตรงนี้... แล้วก็ตรงนี้ด้วย” วีรมาตุเริ่มลบตัวเลขจากนั้นทีตรงนี้ทีไปเรื่อยๆ แต่เมื่อเห็นว่าจากจุดที่ผิดไปเพียงเล็กน้อย แต่ส่งผลถึงการคำนวณที่ตามมาไปอีกเยอะ “เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวเฮียเริ่มทำให้ดูใหม่ไปเลยดีกว่า”

       ทุกคนก็ได้แต่ถอนหายใจกันออกมาตามๆกัน จนผู้สอนรู้สึกผิดไปไม่น้อย

        “รอบสองแล้วนะเฮีย โจทย์ข้อเมื่อกี้ก็ทีนึงแล้ว” หนึ่งในฝาแฝดพูดขึ้นมาแบบไม่เกรงใจ แล้วอีกคนก็หันหน้าไปหาคนที่นั่งริมสุดฝั่งตรงข้ามของพวกเขา “ไอ้ต่าย กินเสร็จแล้วใช่มั้ย แลกที่กลับเลย” “ใช่ ย้ายไอ้วีร์มานั่งข้างเฮีย ทำเอาเฮียเสียสมาธิหมด”

       ทั้งศศิทัศน์และวีร์ต่างก็เงยหน้าขึ้นไปมองคู่แฝด แล้วจากนั้นก็หันกลับมามองหน้ากันเอง

        “แล้วเกี่ยวอะไรกับกูวะ” วีร์หันกลับไปถามทั้งสองคนนั้น

        “มึงครับ มึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้เฮียขนาดนั้น” “แทบจะหายใจรดต้นคอเฮียอยู่แล้ว” “ใจไม่เต้นก็แปลกแล้ว” “ดูดิ เฮียทำผิดๆถูกๆไปสองข้อแล้ว เพราะมึงเลย”

       วีรมาตุถึงกับทำสีหน้าไม่ถูกเพราะสิ่งที่พวกคู่แฝดพูดไปก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นไปแบบนั้น จริงอยู่ว่าเขาอาจจะเสียสมาธิไปบ้าง แต่ความสะเพร่าในการทำโจทย์ก็เป็นของเขาเองจริงๆ

        “กูแค่ดูเฮียแก้โจทย์ มองจากทางนี้มันมีมือเฮียบังอยู่อะสิ จะให้ทำไง” วีร์พยายามอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งเขาเองก็ไม่คิดว่าการกระทำของเขาจะมีผลต่ออีกคนมากขนาดนี้ “แล้วมึงก็เลิกเบียดกูมาได้แล้ว” จากนั้นจึงหันไปหาเจ้าตัวต้นเรื่องที่แท้จริง

        “อะไร ก็กูนั่งอยู่ไกล กูมองเห็นไม่ชัด จะให้กูทำไง” ศศิทัศน์ก็พยายามแก้ตัวและตีหน้าซื่อตาใสกลับไปให้วีร์ที่กำลังจ้องเขาเขม็ง

        “ใจเย็นๆครับน้องๆ” วีรมาตุรีบเอ่ยห้ามเสียก่อน “เดี๋ยวเฮียเริ่มทำให้ดูใหม่อีกรอบ คราวนี้ไม่ผิดแน่นอนครับ”

       แล้ววีรมาตุก็ขยับตัวตรงขึ้นห่างออกมาจากโต๊ะอีกเล็กน้อย เลื่อนกระดาษที่เขียนวิธีทำโจทย์ออกไปข้างหน้า พยายามวางปากกาเขียนจากด้านล่างของแนวบรรทัดเพื่อให้คนด้านข้างเห็นได้ชัดเจนขึ้น แล้วจึงค่อยแก้โจทย์ที่ละขั้นตอบพร้อมกับอธิบายให้ฟัง เพราะว่าถูกท้วงติงขึ้นมาวีรมาตุจึงระมัดระวังตัวเองมากกว่าเดิม

       การติวหนังสือจึงดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นจนถึงเวลาเย็น

       สุรศักดิ์กับพระยศที่มองหน้ากันเพื่อส่งสัญญาณ คนหนึ่งเล็งไปที่ใบหูข้างซ้ายของคู่แฝดคนหนึ่ง ส่วนอีกคนก็เล็งไปที่ใบหูข้างขวาของคู่แฝดอีกคนหนึ่ง เมื่อพร้อมแล้วทั้งคู่ก็พยักหน้าให้กันแล้วลงมือดีดนิ้วไปที่เป้าหมายที่เล็งไว้

        “โอ๊ย!” เสียงร้องของทั้งสองคนดังขึ้นมาพร้อมกัน “อะไรวะ”

        “เฮียอุตส่าห์เสียสละเวลามาติวให้แต่พวกมึงกลับมานั่งหลับกัน ใช้ได้ที่ไหนไอ้พวกเวร” สุรศักดิ์เอาปากกาเคาะลงที่กลางศีรษะของทั้งสองคนเบาๆ

        “พวกกูแค่งีบแป๊บเดียวเอง” “เนี่ย สดชื่นกระปรี้กระเปร่า พร้อมลุยต่อได้เลย” นพชัยและชัยทิศพยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆไปเรื่อยพร้อมกับแสดงท่าทางเตรียมพร้อมจดลงสมุดโน้ตต่อ

        “ลุยต่ออะไรละ เขาติวกันเสร็จเก็บของจะกลับบ้านกันแล้ว โน้น คนขับรถมึงมารอรับพวกมึงโน้นแล้ว” พระยศว่าพลางก็ชี้นิ้วไปให้คู่แฝดดู

       ทั้งคู่ต่างหันมายิ้มแหะๆ ก่อนที่จะหันไปขอโทษวีรมาตุอย่างสำนึกผิด

        “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเราสองคนก็เอานี้ไปอ่านต่อก็ได้ เฮียว่าเฮียเขียนไว้ค่อนข้างละเอียด อ่านทวนซ้ำอีกรอบก็น่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก” วีรมาตุรวบรวมกระดาษที่เขียนวิธีการแก้โจทย์ทั้งหมดยื่นคู่แฝด ทั้งคู่ก็รับไว้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ ส่วนสุรศักดิ์ก็กำชับให้ทั้งสองคนถ่ายเอกสารเอามาเผื่อเขาให้ด้วย จากนั้นแต่ละคนก็ลุกขึ้นยื่นเพื่อแยกย้ายกลับบ้านของตัวเอง

       นพชัยและชัยทิศกลับกับคนรถที่ที่บ้านส่งมารับ เพราะด้วยเหตุที่ไม่ไว้ใจให้กลับกันเองในช่วงใกล้จะสอบ กลัวว่าทั้งสองจะแวะร้านเกมแล้วไปเสียเวลาอยู่ที่นั้นไปเปล่าๆ ส่วนพระยศก็ขอติดรถมาลงระหว่างทาง จึงเหลือสรุศักดิ์ ศศิทัศน์ วีร์และวีรมาตุที่เดินมาด้านหน้าโรงเรียนกันเอง

       ในระหว่างที่เดินออกมานั้น สุรศักดิ์และศศิทัศน์เดินคุยกันไปเรื่อยๆสองคนตลอดทาง ปล่อยทิ้งให้วีรมาตุและวีร์เดินตามรั้งท้ายลำพัง ทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้พูดอะไรต่อกันมากนักเรื่อยไปจนถึงด้านหน้าของโรงเรียน

        “น้องวีร์ครับ” วีรมาตุเรียกเด็กรุ่นน้องก่อนที่เขาจะเดินแยกไปขึ้นรถประจำทาง

        “ครับ” วีร์หันกลับมา

        “เอ่อ...” วีรมาตุเม้มปากพยายามเรียบเรียงคำพูดอยู่ในใจอยู่นาน

        “อะไรเหรอครับเฮีย”

        “อ่า... วันนี้เฮียติวเป็นยังไงบ้าง เข้าใจดีรึเปล่าครับ”

        “อ๋อ เฮียอธิบายชัดเจนดีครับ เข้าใจง่ายดี” วีร์ยิ้มตอบให้

        “ก็ดีแล้วครับ” วีรมาตุยิ้มตอบกลับเช่นกัน

        “งั้น... ผมไปก่อนนะครับ” วีร์กำลังจะหันไป

        “เดี๋ยวครับ น้องวีร์” วีรมาตุพยายามรั้งไว้อีกครั้ง

        “เฮียมีอะไรจะพูดกับผมรึเปล่าครับ” วีร์ถาม เพราะเห็นท่าทางของอีกฝ่าย

        “เอ่อ... ไม่มีอะไรครับ เดินทางกลับดีๆนะครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้” วีรมาตุตัดสินใจเอ่ยคำลาแทนที่จะถามคำถามที่อยู่ในใจของเขา และมองดูเด็กรุ่นน้องที่เขาชอบยิ้มตอบกลับมาก่อนที่จะเดินจากไปขึ้นรถประจำทาง แล้ววีรมาตุก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เขาเปิดไปยังแอพลิเคชั่นอันหนึ่งที่เขาได้เคยส่งคำขอติดตามไป แต่ว่ายังคงไม่ได้รับการอนุญาตตอบกลับมาตั้งแต่วันนั้น


[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 5 ... 21 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 22-04-2021 00:05:42
       ช่วงของการสอบปลายภาคของโรงเรียนก็ดำเนินมาถึง เนื่องจากจะต้องจัดเปลี่ยนห้องเรียนทุกห้องที่มีอยู่ให้เป็นห้องสอบ จากเดิมโต๊ะเรียนที่วางติดกันเป็นคู่ๆและแต่ละคู่ก็วางห่างกันแค่พอจะมีทางเดินคนเดียวได้สะดวกเท่านั้น เปลี่ยนมาเป็นโต๊ะเดี่ยวๆและต้องวางห่างกันมากพอไม่ให้เกิดการทุจริตในการสอบ เลยทำให้จำนวนห้องสอบมีไม่พอกับจำนวนนักเรียน โรงเรียนจึงต้องกำหนดวันสอบสลับกันระหว่างชั้นเรียน นักเรียนครึ่งหนึ่งจะได้สอบก่อนสลับวันกับนักเรียนครึ่งหลังจนเสร็จสิ้นทุกวิชาเรียน

       รายชื่อของนักเรียนทุกคนที่อยู่ในระดับชั้นและแผนการเรียนเดียวกันจะถูกนำมาจัดเรียงใหม่ตามตัวอักษร โดยให้นักเรียนหญิงขึ้นก่อนแล้วตามด้วยนักเรียนชาย จากนั้นจึงจัดแบ่งเข้าห้องสอบไปตามลำดับ ดังนั้นทุกคนจึงต้องมาตรวจสอบใบประกาศห้องสอบของตัวเองให้เรียบร้อย ทำให้นักเรียนแต่ละคนที่เคยอยู่ห้องเรียนเดียวกันอาจะจะไม่ได้อยู่ห้องสอบเดียวกันถ้าตัวอักษรแรกของชื่อไม่ได้อยู่ติดกัน

       วีร์และผองเพื่อนจึงถูกจัดกระจายให้ไปอยู่คนละห้องสอบกัน รวมถึงกลุ่มเพื่อนคนอื่นๆในชั้นเรียนเดียวกันด้วยเช่นกัน

       แถมด้วยบางวิชาที่มีอาจารย์ขยันขันแข็งมากกว่าคนอื่นๆ มีเวลาจัดทำข้อสอบให้เป็นชุดๆ ชุดหนึ่ง ชุดสอง หรือชุดสาม โดยอาศัยว่าที่โรงเรียนมีเครื่องตรวจกระดาษคำตอบอัตโนมัติ ทำให้สะดวกในการนับคะแนน จึงใช้จุดนี้เป็นการป้องกันการลอกข้อสอบไปอีกทางหนึ่งด้วย ยังไม่นับรวมถึงที่โรงเรียนใช้ระบบให้คะแนนสำหรับคำตอบที่ถูกและหักคะแนนคำตอบที่ผิด ทุกคนจึงต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบปลายภาคเรียนมาเป็นอย่างดี จึงไม่แปลกที่ระหว่างช่วงสอบนักเรียนหลายคนจะมีความเครียดสะสมอยู่บ้าง

        “สอบเสร็จแล้วโว้ยย...” หลังการสอบวิชาสุดท้ายเสร็จสิ้นสุรศักดิ์ก็ตะโกนด้วยความสะใจทันทีที่เดินออกมาจากห้องสอบ แม้ไม่แน่ใจว่าสะใจที่ทำได้ หรือสะใจที่ได้ทำกันแน่ แต่ก็พาเอาเพื่อนๆเฮตามกันไปด้วย

       วีร์และกลุ่มเพื่อนออกมายืนรวมกันกลุ่มจนทุกคนออกมากันครบ

        “ปิดเทอมแล้ว ทำไรกันดีวะ” สุรศักดิ์ถามเพื่อนๆแต่ละคน

        “กูจะกระหน่ำไต่แรงก์” “กูด้วย” สองคนฝาแฝดคงกะจะนั่งเล่นแต่เกมส์ทั้งวันทั้งคืนเป็นแน่

        “มันยังมีขั้นกว่ามากกว่าทุกวันนี้อีกหรือวะ มึงสองตัวน่ะ” แต่แฝดนพชัยชัยทิศยักไหล่ไม่สะทกสะท้านราวกับว่ากำลังยืดอกรับคำชม “มึงละไอ้บิ๊ก” สุรศักดิ์หันไปถามเพื่อนคนต่อไป

        “แม่กูฝากฝึกงานที่โรง’บาลให้แล้วว่ะ” พระยศออกตัวเดินนำเพื่อนๆไปหาที่นั่งคุยกันหลังจากที่ห้องมาจากห้องสอบกันครบแล้ว

        “โห คุณพี่พระยศคนจริง” “จะเก็บพอร์ตรึไงมึง”

        “แบบนี้มันเอามาเก็บได้ด้วยหรอวะ” เพื่อนๆมีแต่มองหน้ากันไปมา ใช่ว่าจะมีใครรู้คำตอบกันสักคน “กูไม่ได้กะอะไรหรอก แต่แม่กูอยากให้กูไปลองดูงานในโรง’บาลจริงๆว่าเขาทำอะไรกันบ้าง ลองเซิร์ฟๆดูว่าชอบจริงมั้ย ถ้าชอบจริงๆค่อยลงฝึกเต็มตัวตอนปิดเทอมใหญ่โน้น”

       แต่ละคนจับจองที่นั่งของตัวเอง บางคนก็แค่วางกระเป๋าลงบนโต๊ะไว้เฉยๆแต่ตัวยังยืนอยู่รอบๆโต๊ะ

        “มึงไม่เอาด้วยคนหรอวะไอ้ต่าย ไหนว่าอยากสอบเข้าหมอ” สุรศักดิ์หันมาถามศศิทัศน์

        “หึ ไม่อะ” ศศิทัศน์ส่ายหน้าปฏิเสธในทันที “ปิดเทอม น้องต่ายจะปิ๊กเมืองเหนือเน้อ”

        “อ้าวหรอวะ” วีร์หันมาถามด้วยความสงสัย “แต่กูจำได้ว่ามึงเคยบอกจะลงใต้ เปลี่ยนแผนแล้วเหรอวะ”

        “ฮั่นแน่ คิดถึงใครอยู่หรอ เสียดายละสิ ที่เขาไม่ลงไปบ้านมึง” ศศิทัศน์มายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มือชี้หน้าแซวเพื่อน ส่วนคนอื่นๆก็ได้แต่เหนื่อยใจกับศศิทัศน์ที่ยังไม่เลิกพยายามจับคู่ให้เพื่อนวีร์กับพี่ชายของตัวเอง

        “มึงเลิกชงให้กูได้กับเฮียมึงสักทีเหอะ อีกอย่างปิดเทอมกูไม่ไปไหน อยู่เฝ้าบ้านที่นี่แหละ” ในบางทีวีร์ก็รู้สึกระอากับเพื่อนคนนี้เหมือนกันที่ทุกลมหายใจมีแต่เรื่องที่จะหาวิธีให้เขาและพี่ชายของตัวเองลงเลยกันให้ได้

        “อ้าว แล้วไมไม่กลับบ้านที่โน้นละวะ” สุรศักดิ์ถามเพื่อนสนิท

        “ก็ไม่รู้จะกลับไปทำไม วันธรรมดาเขาก็ออกไปทำงานกันหมด ยังไงก็อยู่บ้านคนเดียวอยู่ดี อยู่นี่ยังหาอะไรทำได้บ้าง” ว่าแล้ววีร์เอามือทั้งสองข้างกำหมัดและเท้าคางลงบนโต๊ะ

        “เห้ย! ถ้าไม่มีไรทำ มานั่งเล่นที่ร้านกูก็ได้” สุรศักดิ์เห็นเพื่อนทำหน้าซังกะตายจึงเอ่ยปากชวน

        “มึงหาเพื่อนคุย หรือมึงหาลูกจ้างทำงานกันแน่วะ” วีร์หันเพียงแค่สายตาไปมองสุรศักดิ์

        “อย่างหลังสิมึง” คำตอบของสุรศักดิ์ทำให้วีร์หันหน้าไปอีกทางพร้อมกับเบ้ปาก เพื่อนๆเห็นก็พากันหัวเราะ “กูล้อเล่น ช่วงบ่ายๆร้านก็กูปิดปะวะ มันก็ว่างๆไม่มีไรอยู่แล้ว มาได้ๆ”

        “รบกวนเวลาพักของมึงเปล่าๆ” วีร์ยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรงและพยายามจะบอกปัดไปด้วยยังรู้สึกเกรงใจ

        “เห้ย ไม่เป็นไร นั่งคุยกับเพื่อนๆก็เป็นการพักผ่อนเหมือนกัน มาได้ๆ”

        “เออๆ งั้นเดี๋ยวกูค่อยไลน์ไปบอกถ้ากูจะแวะไป”

        “ไอ้ต่าย แล้วมึงไปเที่ยววันไหนวะ” แล้วสุรศักดิ์ก็หันไปถามเพื่อนอีกคน

        “พรุ่งนี้เลย”

        “เช็ด!เรื่องเที่ยวละไวสัดๆ”

        “เห้ยๆ คนจองรีสอร์ทไม่ใช่กู ม้ากูโน้น” ศศิทัศน์ทำท่าจะหลังมือ

        “โทษๆ แล้วไปกี่วันวะ” สุรศักดิ์ยกมือขอโทษท่วมหัว ไม่ได้คิดจะตั้งใจลามปามไปถึงผู้ใหญ่

        “สองอาทิตย์ กลับมาแป๊ปๆก็เปิดเทอมเลย”

        “โหย มึง ยังไม่ทันจะปิด มึงก็พูดให้คิดถึงเปิดเทอมแล้วหรอวะ” “อย่าเพิ่งขัดความสุขเร็วนักสิวะมึง” นพชัยและชัยทิศรู้สึกขัดใจขึ้นมาในทันทีที่เพื่อนของเขาพูดถึงเรื่องเปิดเรียนใหม่ทั้งที่ยังจะไม่ทันได้ปิดภาคเรียนนี้กันเลย

        “ไม่ว่าจะเปิดหรือว่าปิด พวกมึงก็เล่นแต่เกมส์อยู่แล้วปะวะ ต่างกันตรงไหน” พระยศไม่เห็นว่าเพื่อนสองนี้จะห่วงอะไรมากนักว่าจะมีหรือไม่มีเวลาเล่นเกมส์ ยังไงสองคนนี้ก็หาเวลาไปเล่นจนได้อยู่ดี

        “ไม่เหมือนกันครับคุณพี่พระยศ” “เวลาปิดเทอมมันเล่นได้ยาวๆต่อเนื่อง” “ความมันส์แบบนันสต๊อป”

        “นอนก็ไม่นอน ข้าวปลาไม่แดกเลยว่างั้น”  ฝาแฝดพร้อมใจกันยักไหล่ “เอาเหอะ แยกย้ายกันเหอะวะ กูอยากกลับบ้านไปนอนแล้ว”

        “แน่ใจนะครับว่าคุณพี่พระยศง่วง” “รีบกลับแต่หัววันขนาดนี้ คุณพี่พระยศไม่ได้เงี่ยนใช่มั้ยครับ” แล้วทั้งสองคนก็พร้อมใจกันสาวมือข้างหนึ่งขึ้นลงพร้อมกัน

        “ถ้าพวกมึงเงี่ยนก็ไม่ต้องมายัดเยียดให้กู”

        “อารมณ์รุนแรงแบบนี้ต้องไปปลดปล่อยออกบ้างนะครับ” “ใช่ครับ อย่าปล่อยให้จิตหงุดเงี้ยวอยู่อย่างนี้มันไม่ดี๊ มันไม่ดี” ถึงแม้พระยศจะทำท่าขึงขังที่โดนแซว แต่เพื่อนๆคนอื่นๆต่างหัวเราะชอบใจไปกับการแซวนั้น

        “เอ่อ... คือ...” ทุกคนเงียบลงทันทีที่ได้ยินเสียง ส่วนพระยศก็หันหลังกลับไปทางต้นเสียง แล้วก็มีท่าทีชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเป็นเด็กสาวคนเดิมคนนั้น “นึกว่าพี่บิ๊กจะกลับไปซะแล้ว”

        “แล้วมีอะไรรึป่าว” พระยศพยายามตอบด้วยน้ำเสียงปกติและใบหน้าที่เรียบเฉยที่สุด

        “คือนี่ค่ะ” เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ยืนถุงขนมให้ “เมื่อเช้าไม่เจอ ก็เลยไม่ได้ให้ไว้”

       พระยศก็รับไว้และฝืนยิ้มให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่าทีที่เงียบเฉยของพระยศพาเอาทุกคนในที่นั้นนิ่งเงียบไปด้วย ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ด้วยไม่รู้ว่าจะปรับเปลี่ยนสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไรดี

        “งั้นเฟิร์นไปก่อนนะค่ะ” เมื่อไม่มีการตอบรับอะไรมากไปกว่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติทุกครั้งที่เจอกัน เธอจึงเอ่ยปากลา “ไปก่อนนะคะพี่ๆ” เธอโบกมือให้กับทุกคน

        “บายจะ ไว้เจอกันตอนเปิดเทอมนะ” วีร์ยิ้มให้และโบกมือกลับ แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นก็เดินออกไป

        “เดี๋ยวๆ นั้นน้องเฟิร์นคนนั้นหรอมึง” สุรศักดิ์รีบถามทันทีที่เห็นน้องเขาลับสายตาไป

        “เออ” พระยศตอบพร้อมทั้งโยนถุงขนมลงกลางโต๊ะ

        “โหย มึง เบาๆสิวะ เดี๋ยวคุกกี้แตกหมด” หนึ่งในฝาแฝดรีบท้วงออกมา พร้อมกับรีบหยิบถุงขนมมาแกะดู “เกือบไปแล้ว” ว่าแล้วก็หยิบมากินชิ้นหนึ่งแล้วส่งต่อให้คนอื่นๆ “อร่อยนะมึง ลองดูดิ”

        “นี่กูพลาดอะไรไปวะ ไหนมึงบอกน้องมันอ้วนยังกะตุ่ม” สุรศักดิ์ล้วงไปหยิบคุกกี้ขึ้นมากินก่อนจะถาม ซึ่งพระยศก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกเสียจากยักไหล่

        “ก็เพราะมึงมาสายอยู่ทุกวันนี่แหละ” “ไม่มาเห็นตอนน้องเขาขนมมาให้ไอ้เชี่ยบิ๊กทุกวันเหมือนพวกกู”

        “ทุกวันบ้านพ่อง” ถึงพระยศจะทำเป็นมีอารมณ์ขึ้น แต่ก็หยิบคุกกี้มากินเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ

        “แต่ก็เกือบละวะ แต่น้องมันพยายามจริงว่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องคุกกี้นะ จากเดิมหุ่นเท่านี่” ศศิทัศน์ยกมือขึ้นข้างกะขนาดตัวก่อนหน้านี้ของเด็กผู้หญิงที่ถูกเอ่ยถึงอยู่ “ผ่านไป 2 เดือน เหลือเท่านี่” แล้วเขาก็เลื่อนทั้งสองมือเข้าหากันแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างมาก

        “คือถ้าน้องเขาลดได้เพราะคุมอาหารหรือไปออกกำลังกายมามันก็ดีอยู่หรอก” วีร์แสดงความเห็นโดยพยายามอ่านสีหน้าเพื่อนของเขาไปด้วย “แต่ถ้าเกิดว่าน้องเขาดันไปหาซื้อพวกยาลดน้ำหนักมากิน เพื่อแค่ให้ไอ้เชี่ยนี่มาสนใจละก็...”

        “ทำไมมึงไปรู้อะไรมาหรอวะ” ศศิทัศน์หันมาถามเพื่อน เมื่อเห็นว่าวีร์ละเอาไว้ไม่ยอมพูดต่อ

        “กูก็ไม่รู้ แต่แค่สองสามเดือน แล้วลดได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหักโหมออกกำลังกายอย่างหนักแล้วก็ต้องมีวินัยคุมอาหารแบแป๊ะๆ ก็น่าจะ...พึ่งยา หรือไม่ก็...เป็นโรค”

        “พูดอย่างกะมึงรู้เรื่องเป็นอย่างดีอย่างนั้นแหละ” สุรศักดิ์หันมาสงสัยเพื่อน

        “หึ ถ้าหมายถึง อยู่ๆก็ผอมลงมากเพราะเป็นโรคละก็ กูเคยเห็น แบบว่าแม้แต่คนที่เห็นหน้ากันอยู่ทุกวันยังรู้สึกได้เลย แต่ผอมลงเพราะยา อันนี้กูไม่รู้ว่ะ” วีร์ยักไหล่เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน “แต่โรคที่กูคิดน่ะ กูหมายถึงพวกโรคติดผอม อย่างบูลิเมีย หรืออะนอเร็กเซีย” วีร์หันไปมองสีหน้าเพื่อนอีกครั้ง “มึงไม่ได้ไปพูดอะไรกับน้องเขาไว้ใช่มั้ย ไอ้บิ๊ก”

       พระยศมีสีหน้านิ่ง แต่ดวงตาก้มลงต่ำไม่ยอมสบตากับใครและไม่ได้ตอบคำถามอะไร เพื่อนคนอื่นๆก็เลยพออนุมานได้ว่าพระยศคงจะได้เคยไปพูดอะไรไว้กับเด็กผู้หญิงคนนั้นมาบ้างแล้ว

        “หาโอกาสเคลียร์กับน้องเขาดีๆนะมึง อย่าให้มันสายเกินไป” วีร์ ตบบ่าเพื่อนซึ่งเขาพยักหน้ารับ ส่วนคนอื่นๆก็นั่งเงียบมองหน้ากันไปมา

        “เห้ยๆ ปิดเทอมแล้วพวกมึง ปิดเทอม” “เออๆ อย่าเครียดๆ ถ้าอยากจะเครียดนัก ก็โน้นไว้รอวันสอบปลายภาคเทอมหน้าโน้น” “ไปๆ แยกย้ายกลับบ้านกลับซ่องกันพวกมึง”

        “กลับช่อง!”


[โปรดติดตามตอนต่อไป]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 5 ... 21 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 24-04-2021 01:12:47
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 5 ... 21 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 24-04-2021 23:07:39
เรื่องสนุกดีครับ
เป็นกำลังใจให้ผู้แต่งนะครับ
จะคอยติดตามต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 6 ... 28 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 28-04-2021 00:09:47
ตอนที่ 6 โลกกลม


       ช่วงปิดเทอมกิจกรรมร่วมกันของหมู่เพื่อนๆจะอยู่ในไลน์กลุ่มเป็นส่วนมาก ศศิทัศน์คอยส่งรูปที่เขาไปเที่ยวภาคเหนือกับครอบครัวมาให้ดูเรื่อยๆ แฝดนพชัยชัยทิศก็ส่งภาพหน้าจอเวลาที่พวกเขาสามารถไต่ระดับได้สูงขึ้น ส่วนพระยศส่งภาพหน้าตัวเองในอิริยาบถต่างๆ เนื่องจากภายในโรงพยาบาลถูกกำหนดให้เป็นสถานที่ห้ามถ่ายรูป จึงไม่ค่อยมีอะไรให้ถ่ายเก็บไว้มากนัก และวีร์กับสุรศักดิ์เป็นสองคนที่เจอหน้ากันบ่อยที่สุด จึงส่งรูปที่ถ่ายด้วยกันเวลาที่เจอเข้าไปในไลน์กลุ่ม จนมาซาลงไปเมื่อถึงเวลาใกล้เปิดเทอม และพวกเขานัดเจอกันบ่อยขึ้น และถึงแม้ว่าแต่ละคนก็ต่างลงรูปภาพของตนเองไว้ในอินสตาแกรมอยู่บ้าง แต่ว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีใครพูดอะไรเกี่ยวกับอินสตาแกรมของวีร์กับเจ้าตัวเลยสักคนเดียว

       ก่อนวันเปิดเทอมวันแรกจะเป็นวันพบผู้ปกครอง โดยอาจารย์ประจำห้องเรียนต่างๆจะสรุปการเรียนการสอนในภาคเรียนที่ผ่านมาคร่าวๆ และแนะนำกิจกรรมต่างๆที่จะเกิดขึ้นในภาคปลายต่อไป เพื่อให้ผู้ปกครองเตรียมพร้อมและคอยกระตุ้นเด็กนักเรียนในปกครองของตนให้มีความตื่นตัว จะได้ไม่ต้องมาแก้กิจกรรมกันภายหลัง รวมถึงพูดคุยกับผู้ปกครองเป็นรายบุคคล เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความพฤติระหว่างที่อยู่ที่บ้านกับช่วงที่อยู่ภายในโรงเรียนของนักเรียนแต่ละคนอีกด้วย

       โดยส่วนมากผู้ปกครองที่มากันก็จะเป็นพ่อหรือแม่ หรือบางคนก็มาทั้งพ่อและแม่ และมีบางคนที่ให้ญาติใกล้ชิดมาเป็นตัวแทนผู้ปกครอง อย่างเช่นวีร์ที่ให้ธีร์มาเป็นผู้ปกครองเช่นเดียวกับเมื่อคราวที่มาฝากตัวลงทะเบียนเข้าเรียนเมื่อต้นภาคเรียนที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกิจกรรมภาคบังคับที่ผู้ปกครองจะต้องมา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงไม่ให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียนไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะมิฉะนั้นโรงเรียนจะไม่บันทึกผลการเรียนเข้าระบบ โดยที่ผู้ปกครองไม่ได้รับทราบด้วยตัวเองก่อน

       อาจารย์จินตนาซึ่งเป็นอาจารย์ประจำห้องเรียนของวีร์ ได้เกริ่นถามไถ่กับธีร์ถึงเรื่องทั่วๆไปก่อน แล้วอาจารย์จึงเอ่ยให้ฟังว่าช่วงแรกเธอมีความกังวลอยู่ว่าวีร์จะปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้หรือไม่ เพราะนักเรียนชั้นมัธยมปลายเกือบทั้งหมดจะเรียนชั้นมัธยมต้นจากที่โรงเรียนนี้อยู่แล้ว ความสนิทสนมของเพื่อนกลุ่มเดิมมันมีอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าวีร์สามารถเข้ากับเพื่อนๆได้ดี และผลการเรียนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เธอจึงสบายใจและไม่มีอะไรน่าห่วงสำหรับวีร์ จากนั้นก็เหมือนกันกับทุกๆคน คืออาจารย์จะให้ใบสรุปผลการเรียนของนักเรียนแต่ละคนให้ผู้ปกครองลงลายมือชื่อรับทราบ เป็นอันจบกิจกรรมวันพบผู้ปกครองประจำภาคเรียน

        “วีร์ เดี๋ยวจะกลับด้วยกันเลยรึป่าว” ธีร์ถามน้องชายคนเล็ก ตอนที่เดินออกมาจากห้องเรียนกันแล้ว

        “อืม ยังก่อน ว่าจะอยู่คุยกับเพื่อนก่อน เย็นๆค่อยกลับ”

        “เอางั้นหรอ พี่จะได้กลับเข้าออฟฟิศเลย ไม่งั้นจะได้วนไปส่งที่บ้านให้ก่อน” ธีร์ถามน้องชายอีกครั้ง

        “ไม่เป็นไร พี่ธีร์กลับไปทำงานเหอะ เดี๋ยววีร์กลับเองได้”

        “โอเค ตามนั้น” แล้วธีร์โบกมือลาน้องแล้วจึงเดินออกไป แต่ว่าโดนเรียกไว้ก่อน

        “พี่ธีร์เดี๋ยว เกือบลืม” ธีร์หันมามองน้องชาย “พี่ธีร์ไปรอที่รถก่อนนะ วีร์ว่าจะไปซื้อหนังสือเรียนกับสมุดจดงาน แล้วเดี๋ยวฝากใส่รถพี่ธีร์ไปด้วย ขี้เกียจแบกไปเอง หนัก”

        “อ๋อ ได้สิ งั้นเจอกันที่รถ”

       ธีร์จึงเดินลงจากตึกและไปยังลานจอดรถ เขามองหารถของตัวเองจนเจอ แล้วก็นึกเสียดายที่ลืมคิดไปว่าเมื่อดวงอาทิตย์เริ่มตั้งตรง ร่มไม้ที่เคยบังเงาให้รถของเขาในยามเช้ามันเคลื่อนออกไปเสียแล้ว จึงได้แต่ส่ายหน้า และเดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งที่ยังมีร่มเงาอยู่เพื่อหลบแสงแดด ระหว่างที่รอน้องชายกลับมาจึงคิดจะถ่ายรูปใบแสดงผลการเรียนส่งไปให้ผู้เป็นแม่ดู จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะวีร์ทำผลการเรียนออกมาได้น่าพอใจเป็นอย่างมาก

       ขณะที่วางกางใบแสดงผล และยกโทรศัพท์ขึ้นตั้งใจจะกดถ่าย ลมก็พัดกระดาษปลิวออกไป

        “อ้าวเห้ย กลับมาก่อน” ธีร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามกระดาษที่ปลิวไป ยังดีที่ว่าลมพัดไม่แรงมากนักจึงพอจะวิ่งตามทัน แล้วใบแสดงผลการเรียนก็ปลิวไปติดอยู่กับกระจกบานหนึ่ง เป็นกระจกหน้าต่างของประตูคนขับที่เปิดค้างไว้อยู่

        “ขอโทษครับ ช่วยจับไว้ให้หน่อยครับ” ธีร์ร้องตะโกนของความช่วยเหลือจากเจ้าของรถคันนั้น

       หญิงสาวได้ยินเสียงตะโกนจึงหันไปมอง และเห็นกระดาษปลิวมาแปะอยู่ตรงที่กระจกหน้าต่างของรถเธอ จึงช่วยจับเอาไว้ก่อนที่มันจะปลิวลอยไปอีก

        “ขอบคุณครับ ไม่ได้คุณช่วยไว้ละแย่เลย” ธีร์กล่าวขอบคุณ

        “ไม่เป็นไรค่ะ” แล้วเธอก็ส่งกระดาษที่จับได้คืนให้เจ้าของ

       เมื่อธีร์เดินเข้ามาใกล้และมองดูหน้าหญิงสาวชัดๆขึ้น เขาคิดว่าใบหน้าของเธอช่างคุ้นเคยเหลือเกิน และพยายามนึกอยู่สักพักหนึ่ง จึงเรียกชื่อของคนที่เขารู้จักดีมาก่อน “น้องวา... น้องวาใช่มั้ย” รอยยิ้มเริ่มคลี่คลายออกมา

       สำหรับหญิงสาวที่โดนเรียกชื่อ โดยแต่แรกเธอไม่แน่ใจนักว่าเธอรู้จักเขา แต่เมื่อมองดูดีๆแล้ว บวกกับน้ำเสียงที่ติดอยู่ในความทรงจำของเธอ เธอคิดว่าเขาน่าจะเป็น “เอ่อ... พี่ธีร์หรอ”

        “ใช่จริงๆด้วย ไม่ได้เจอกันนานเลย น้องวาเป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่ตอนนั้นที่...” ธีร์พูดด้วยความตื่นเต้นเพราะได้เจอกับคนที่เขาไม่เจอมานานมาก แต่เมื่อจะพูดตอนที่พวกเขาพบกันเป็นครั้งสุดท้าย ทำให้เขาชะงักไป

        “ใช่ ตั้งแต่ตอนนั้น เราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย” ส่วนฝ่ายหญิงสาวเองเมื่อได้ยินดังนั้น ความทรงจำเก่ามันก็ย้อนกลับมา “พี่ธีร์สบายดีนะคะ” วนกรถามด้วยความจริงใจ แม้ในใจจะมีความรู้สึกหลายๆอย่างปะเดปะดังเข้ามา

        “ก็... ก็ดีจะ ถึงจะมีเรื่องยุ่งหลายๆเรื่อง แต่ทุกอย่างก็ผ่านมาด้วยดี” ธีร์ยิ้มให้วนกร ไม่ว่าตอนนั้นจะเป็นเช่นไร เขาอยากให้เธอสบายใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในวันนี้

        “แล้ว เอ่อ.. คือ...” วนกรพยายามจะถามอะไรกับธีร์บางอย่าง แต่ก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน

        “พี่วา” มีเสียงเรียกดังมาจากทางท้ายรถ “มาแล้วๆ ฝากนี่กลับไปด้วย เทอมสุดท้ายแล้วไม่รู้จะเรียนอะไรกันอีกเยอะแยะ อ้าว!” คุณกร หรือคุณ หรือที่บรรดาเพื่อนสนิทเรียกกันว่าหมู เดินมาหาพี่สาวของเขาที่รถเพื่อจะฝากหนังสือเรียนสำหรับภาคเรียนสุดท้ายของเขากลับไปด้วย แต่เขาก็ชะงักไปเมื่อพบว่าพี่สาวของเขาไม่ได้อยู่คนเดียวแต่กลับอยู่กับชายหนุ่มอีกคน เมื่อต่างคนต่างเงียบและมองกันไปมาหญิงสาวจึงเริ่มแนะนำตัว

        “นี่เพื่อนเก่าพี่เอง ชื่อพี่ธีร์” คุณกรรีบยกมือไหว้ชายตรงหน้าโดยที่ยังถือถุงใส่หนังสือเรียนอยู่ในมือทั้งสองข้าง ส่วนธีร์เองก็ยกมือรับไหว้ “นี่คุณ น้องคนเล็กไง ไม่รู้พี่ธีร์จะจำได้รึป่าว”

        “อ่า... จำหน้าไม่ได้แล้วละ แต่ถ้าเป็นเขมน่าจะยังจำได้อยู่” ธีร์เอ่ยถึง เขมกร น้องชายคนรองที่พอจะคุ้นหน้ามากกว่า เพราะครั้งสุดท้ายที่เจอกัน คุณกรน่าจะอายุประมาณขวบเศษได้ จึงไม่แปลกที่เขาจะจำไม่ค่อยได้ “ว่าแต่เขมเป็นยังไงบ้าง”

        “ก็สบายดีค่ะ” แล้วต่างคนก็มองหน้ากัน ต่างคนก็รู้สึกได้ว่ามีคำถามที่ติดอยู่ริมฝีปากแต่ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยออกมาก่อน “แล้ว เอ่อ... ภูมิละคะ เป็นไงบ้าง” วนกรจึงเลือกถามถึงน้องชายอีกคนของธีร์ที่เป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ

        “ภูมิก็กำลังเรียนปริญญาโทอยู่” ธีร์ตอบ

        “หรอ ดีนะ เก่งจังเลย...” วนกรยังลังเล แต่เธอเองก็อยากจะรู้สิ่งที่ค้างคาใจของเธออยู่ แต่ว่า…

        “พี่ธีร์” วีร์ที่เดินมายังที่ลานจอดรถแล้ว แต่ไม่พบพี่ชายตัวเองอยู่ที่รถจึงเดินออกหา จนมาเจอผู้เป็นพี่ยืนอยู่กับคนที่เขารู้จัก “อ้าว พี่วา สวัสดีครับ” วีร์รีบไหว้ทักทายพี่สาวของเพื่อนของพี่ชายของเพื่อนสนิท ส่วนวนกรรับไหว้พร้อมกับยิ้มให้แต่ในใจก็มีความสงสัย

        “เอ่อ วีร์รู้จักพี่เขาด้วยหรอ” ธีร์ถามน้องชายตัวเอง

        “ใช่ เพิ่งรู้จักกันไม่นานนี่เอง ตอนที่มาช่วยต่ายขนพวกเอกสารชมรมดนตรีกลับไปบ้าน แล้วพี่วาอาสาขับรถมาขนไปให้ ก็เลยเจอกัน” วีร์อธิบายให้พี่ชายฟัง โดยที่ยังไม่ทันได้สังเกตอากัปกิริยาของผู้หญิงตรงหน้า “เออนี่ ใบเกรดของวีร์อยู่ไหนอะ กะว่าจะถ่ายส่งไปให้แม่ดู” วีร์มองจ้องหน้าพี่ชายเมื่อเห็นว่าเขาอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบสักที “เอามาสิ อยู่ไหนอะ”

        “อ๋อ อยู่นี่ๆ เมื่อกี้พี่ก็ว่าจะถ่ายส่งไปเหมือนกัน” ธีรยื่นใบแสดงผลการเรียนคืนให้วีร์ถ่ายรูปส่งผ่านไลน์ไปให้แม่ดู

        “แล้วนี่พี่ธีร์ รู้จักพี่วาด้วยหรอ” วีร์ถามเมื่อจัดการส่งภาพถ่ายใบแสดงผลการเรียนผ่านไปในไลน์แล้ว

        “ใช่ เพื่อนเก่าน่ะ ตอนสมัยเรียนม.ต้น”

        “อ้าวหรอ โลกกลมจัง”

        “ใช่ กลมมาก” วนกรจ้องมองหน้าของวีร์ราวกับว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก “วีร์นี่ อายุ 15 ปีแล้วใช่มั้ย” เธอถามเด็กหนุ่มเพื่อนรุ่นน้องของน้องชายของเธอ

        “ก็ ครับ เพิ่งจะ 15 ไปเมื่อตอนต้นเทอมที่แล้ว”

       วนกรได้ยินคำตอบเช่นนั้นยิ่งทำให้เธอมั่นใจกับสิ่งที่เธอคิด เธอจึงหันไปมองหน้าธีร์ จากสีหน้าของเขาก็ยิ่งทำให้เธอมั่นใจมากขึ้นไปอีก

       ไลน์!

       เป็นเสียงมาจากโทรศัพท์ทั้งของวีร์และธีร์ วีร์จึงยกขึ้นมาดู “แม่ชมมาด้วย แม่บอกว่าเดี๋ยวจะขึ้นมาฉลองด้วยกันเสาร์อาทิตย์นี้” วีร์อ่านตามข้อความที่ผู้เป็นแม่ส่งมาหา

        “หรอ”

        “ใช่ แม่บอกให้พี่ธีร์โทรหาแม่ด้วย” แล้ววีร์หันมามองทุกคน “พี่ธีร์ ขอกุญแจรถ เดี๋ยวจะเอาหนังสือไปเก็บ”

        “เอ่อๆ ได้สิ” ธีร์ยื่นกุญแจรถยนต์ให้กับวีร์ไป แล้วธีร์ก็หันหน้ามาทางวนกรอีกครั้ง “น้องวา พี่ขอไลน์น้องวาได้มั้ย เอาไว้ติดต่อกันทีหลัง”

       วนกรนิ่งเงียบไปก่อนที่จะตอบ เธอกำลังมองไปมาสลับกันระหว่างวีร์ที่เดินไปที่รถกับธีร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

        “อ๋อ.. เอ่อ.. ได้ค่ะ” วนกรหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาและเปิดแอพลิเคชั่นไลน์แล้วยื่นให้ธีร์

       ธีร์ก็รับโทรศัพท์ของวนกรมาแล้วจัดการเพิ่มชื่อในแอพลิเคชั่นไลน์ของเขา รวมถึงกดเบอร์โทรศัพท์ของเขาลงในโทรศัพท์ของวนกรแล้วกดโทรออก ก่อนที่จะกดตัดสายไป

        “เบอร์ของพี่นะ แล้วเราค่อยคุยกัน ตกลงมั้ย” ธีร์ยื่นโทรศัพท์คืนให้วนกร

        “ได้ค่ะ” วนกรก็รับโทรศัพท์มาจากธีร์ ทั้งสองคนต่างมองหน้ากันไปมาไม่ได้พูดจาอะไรอยู่ครู่หนึ่ง

        “พี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวไว้คุยกันวันหลัง โอเคนะ” แม้จะเป็นเหมือนคำพูดธรรมดา แต่สำหรับเขาสองคนแล้ว มันมีความหมายมากกว่านั้น

       วนกรพยักหน้ารับและมองดูธีร์เดินจากไปที่รถยนต์ที่วีร์กำลังเก็บของเข้าไปข้างในรถอยู่

        “พี่วา” คุณกร เรียกพี่สาวของเขา “พี่วา!” พี่สาวของเขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองเขา “ฝากหนังสือกลับบ้านด้วย เดี๋ยวคุณกลับไปดูห้องชมรมก่อน เย็นค่อยๆกลับ”

        “อ๋อๆ ได้สิ” วนกรตอบน้องชาย แต่สายตาของเธอหันไปมองสองพี่น้องที่กำลังยืนคุยกันอยู่ที่รถของเขา

        “พี่วา! พี่เป็นอะไรรึป่าวเนี่ย” คุณกรถามพี่สาวเพราะว่ามีท่าทางแปลกไป

        “ป่าว ไม่มีอะไร”

        “แน่นะ”

        “แน่สิ จะไปดูห้องชมรมก็ไปสิ เดี๋ยวพี่ก็กลับแล้ว”

        “โอเค ไว้เจอกันที่บ้าน”

       วนกรหันมามองทางรถของอดีตคนรู้จักอีกครั้ง ที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป เธอภาวนาไปว่าพบกันคราวนี้คงจะไม่มีอะไรร้ายแรงที่ทำให้ต้องจากกันอีกครั้งก็คงจะดี

*****

       เช้าวันเรียนวันแรกของภาคปลายก็เริ่มขึ้นด้วยเสียงคุยจอกแจกดังไปทั่วทุกที่ของโรงเรียน ตามประสาของเพื่อนที่เว้นว่างห่างไปกันในช่วงปิดภาคเรียน ถึงแม้ว่าบางคนจะได้เจอกันแทบทุกคนไม่ต่างจากวันเปิดเรียนก็ตาม แต่เรื่องราวที่สลับสับเปลี่ยนเล่าสู่กันฟังก็มีมากมายไม่จบไม่สิ้น

        “เอานี่มึง” ศศิทัศน์วางถุงพลาสติกขนาดกลางสองสามใบใส่ของบางอย่างมาลงบนโต๊ะของวีร์ “ของฝาก”

       วีร์ที่กำลังนั่งคุยกับแพรพรรณ สอบถามสารทุกข์สุกดิบช่วงปิดเทอม ก็หันมามองตามเสียงเรียก แล้วก็นึกให้สงสัยว่าของฝากที่ว่านั้นเป็นอะไร และเหตุใดศศิทัศน์จึงเอามาให้เขาในวันนี้ เพราะถ้าหากว่าเป็นของฝากจากเมืองเหนือที่ครอบครัวของศศิทัศน์เพิ่งจะไปเที่ยวกันมา ก็น่าจะให้กันตั้งแต่ที่พวกเขาได้นัดเจอกันตอนยังไม่เปิดภาคเรียนแล้วมากกว่า

        “ของฝากจากไหนอีกวะ ก็มึงเพิ่งแบกไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู มาให้พวกกูเมื่ออาทิตย์ก่อนไม่ใช่หรอวะ” วีร์ถามด้วยความสงสัยพร้อมกับเปิดดูของที่อยู่ข้างใน “มะขามแก้ว มะขามกวน มะขามหยีสามรส แล้วนี่อะไร” วีร์หยิบของชิ้นสุดท้ายที่บรรจุอยู่ในกระปุกขึ้นมาหมุนดูฉลากไปมา “อ๋อ น้ำพริกมะขาม” แล้ววีร์ก็มองหน้าเพื่อนที่ทำท่าตีหน้าตายเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ “คือ ก็ของชอบกูอะนะ แต่ว่ามึง ซื้อมาทำไมอีกเยอะแยะนักวะ”

        “กูก็บอกแล้ว ว่าไม่ต้องแบกกลับมาเยอะให้หนัก ก็ไม่เชื่อ” ศศิทัศน์เอ่ยออกมาเหมือนจะพยายามอธิบายให้ฟัง แต่ดูเหมือนจะทำให้ยิ่งงงเข้าไปมากกว่าเดิมอีก ซึ่งจากสีหน้าของวีร์ที่แสดงออกชัดเจนก็พอจะบอกได้ “ของฝากจากเฮีย” วีร์ก็ยังคงมองหน้าเพื่อนของเขาด้วยความสงสัย “เฮียวีไปค่ายอาสาที่เพชรบูรณ์กับเพื่อนๆเขามา กูกะจะเอามาให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่กูลืม”

        “อ๋อ เอ่อใช่” วีร์ก็เหมือนจะนึกขึ้นได้ว่าวีรมาตุเคยบอกไว้ว่าจะหายหน้าหายตาไปประมาณหนึ่งสัปดาห์

        “แน่ะ รู้ด้วยหรอ” ศศิทัศน์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แซวเพื่อนสนิทของเขา

        “จะดูแชทในไลน์มั้ย เดี๋ยวกูเปิดให้ดู”

        “หูย มีรายงานตัวให้กันและกันด้วย” วีร์ได้ยินแล้วก็ยิ้มให้แต่แววตาไม่ได้แสดงว่ากำลังพอใจเลย “ไม่ใช่ๆ มีแต่เฮียกูที่คอยรายงานตัวตลอด มึงแค่อ่านเฉยๆ” แล้ววีร์จึงพยักหน้าย้ำว่าที่ถูกต้องแล้วมันเป็นอย่างไร

        “แล้วไมเจ้าตัวไม่เอามาให้เองวะ” วีร์เก็บของอื่นๆใส่กลับในถุง เหลือไว้เฉพาะมะขามหยีสามรส ที่วีร์แกะออกแล้วแบ่งกินกับแพรพรรณ ซึ่งเป็นเพื่อนอีกคนที่ชอบมะขามมากเหมือนกับเขา

        “อยากเจอ ว่างั้น”

        “ใช่ กูจะได้ด่าต่อหน้าเลยไม่ต้องฝากมึงไป ซื้ออะไรมาตั้งเยอะแยะ เปลือง”

        “โหมึง ไลน์ก็มี ตอบกลับเฮียกูไปบ้างก็ได้ ไม่ใช่อ่านอย่างเดียว ถ้าขี้เกียจพิมพ์ก็คอลหากันเลย ถ้ากลัวว่าเฮียกูจะไม่เก็ท ก็วิดีโอคอลกันเลย ได้ทั้งสีหน้าได้ทั้งน้ำเสียง”

        “แค่เดินมาเลยนี่ง่ายกว่ามั้ย”

        “มีความอยากเจอตัวจริง”

        “ช่าย เจอตัวเป็นๆ จะได้ต่อยจริงเจ็บจริง”

        “โหย โหดสัด กูให้เฮียกูกรอกใบสมัครเข้าชมรมพ่อบ้านใจกล้าไว้เลยดีกว่า เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ จะได้ชิน” แต่แววตาของวีร์ที่มองกลับมานั้น ทำให้ศศิทัศน์ต้องรีบพูดต่อทันที “กูไม่แซวแล้วก็ได้ แล้วนี่ เฮียกูให้มาแล้ว แดกให้หมดนะมึง” แล้วศศิทัศน์ก็เดินเอากระเป๋าไปเก็บที่โต๊ะเรียนของตัวเอง

        “แล้วนี่เยอะขนาดนั้น แกจะกินหมดหรอ” แพรพรรณหันมาถามวีร์พลางหยิบมะขามหยีขึ้นมากินไปด้วย

        “ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวแกแบ่งไปด้วยดิ”

        “ไม่เอาอะ เดี๋ยวคนฝากมารู้เข้าจะน้อยใจเอาป่าวๆ”

        “ไม่ได้โยนทิ้ง ไม่ใช่ไม่เอาเลย แต่มันเยอะเกิน แบ่งๆไปเหอะ” วีร์เลือกดูห่อมะขามแปรรูปต่างๆที่ซ้ำกันแยกใส่ถุงอีกใบให้แพรพรรณเอากลับไปบ้าน ทำเอาเจ้าตัวไม่อยากจะขัดใจเมื่อเห็นเพื่อนเลือกแล้วเลือกอีก “แกเอามะขามกวนมั้ย”

        “อันที่แกเคยให้ชั้นมายังมีเหลืออยู่เลย” แพรพรรณมองดูเพื่อนแยกของพร้อมกับคิดหาวิธีช่วย “เอาไปให้อาจารย์จินมั้ยละ” เธอเสนอความคิดเห็นแต่วีร์หันกลับมาจ้องมองเธอ “แสดงว่าให้อาจารย์ไปเยอะเหมือนกันละสิ” วีร์พยักหน้าว่าใช่ “ต้นหน้าบ้านแกมันลูกดกจริงๆนะ ขนาดแกบอกว่ายังไม่ได้บำรุงอะไรเลย”

        “สงสัยเจ้าของบ้านคนก่อนเขาดูแลดี”

        “ดีมากเลยอะ”

        “ใช่ๆ แถมมาขายบ้านพร้อมลูกดกเต็มต้นเลย เป็นชั้นละเสียดายแทน”

        “ก็เขารีบย้ายไปต่างประเทศไม่ใช่หรอ”

        “ก็ อืมม” ตัววีร์เองไม่ได้รู้เรื่องราวโดยละเอียดมากนัก รับรู้จากการบอกเล่าของพ่อแม่และพี่ชายที่มาดูบ้านจนตกลงซื้อชายกัน วีร์มาเห็นบ้านด้วยตาตัวเองก็ตอนที่ตกแต่งทำความสะอาดใหม่เรียบร้อยแล้ว

        “แล้วจะทำยังไงกับที่เหลือนี่ละ”

        “เดี๋ยวก็คงแบ่งๆไปกับคนอื่นๆ จริงๆก็ แบ่งให้ทั้งห้องคนละนิดคนละหน่อยเลยก็ได้นะเนี่ย” วีร์ครุ่นคิดอยู่ว่าทำอย่างไรดีกับของฝากมากมายขนาดนี้ “แต่ว่าขืนทำอย่างนั้น โดนแซวอีกเป็นอาทิตย์แน่ๆเลยอะ” เขาหันไปมองหน้าเพื่อนด้วยสายตาละเหี่ยใจ จนแพรพรรณหลุดขำออกมา “อย่าดีกว่า”

        “ยังไงก็โดนอยู่ดี เชื่อชั้นสิ เห็นถุงใหญ่ๆแบบนี้ตั้งอยู่ เป็นใครก็สงสัยทั้งนั้นแหละ” แพรพรรณเข้าใจสถานการณ์ของเพื่อนของเธอดี เวลาที่ถูกคนรอบตัวจับคู่ตัวเองให้กับคนนั้นทีคนโน้นที ส่วนวีร์เองหลังจากที่เคยพยายามช่วยสุรศักดิ์จับคู่ให้กับแพรพรรณอยู่พักหนึ่ง แล้วตัวเองก็มาโดนจับคู่กับวีรมาตุ ราวกับกรรมมันวิ่งตามมาเร็วทันใจ ก็เลยล้มเลิกความคิดนั้นไป

        “เอางั้นหรอ” วีร์หันไปถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง แพรพรรณได้แต่พยักหน้าตอบกลับ “อืม ก็ดีกว่าของเหลือทิ้งขว้าง”

       สุดท้ายแล้วมะขามแปรรูปชนิดต่างๆทั้งหลายก็ถูกแบ่งกระจายไปจนครบทุกคนในห้องเรียน และแน่นอนว่าเสียงลือเสียงเล่าก็ดังอยู่หลายวัน และดังไกลไปจนถึงชมรมดนตรีด้วยเช่นกัน ส่วนฟากของประธานชมรมนั้นก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไรที่ว่าของฝากที่ตัวเองตั้งใจเอาไปให้นั้น ถูกแจกจ่ายต่อไปให้คนอื่นๆ เพราะรูปในโทรศัพท์ที่เขาแอบถ่ายมาได้โดยบังเอิญ เป็นรูปของเด็กผู้ชายคนหนึ่งสะพายเป้พาดไหล่ไว้ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือถุงของฝากถุงใหญ่ กำลังยืนรอรถโดยสารกลับบ้านนั้นเอง


[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 6 ... 28 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 28-04-2021 00:11:23
       ช่วงเวลาที่เพิ่งจะเปิดเรียนมาใหม่ๆที่ยังไม่มีงานพิเศษของแต่ละรายวิชาถูกกำหนดมาให้ทำ นักเรียนแต่ละคนจึงมีช่วงว่างให้ทำกิจกรรมสันทนาการตามที่ตนเองต้องการ วีร์และเพื่อนๆใช้ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนรวมตัวกันเล่นกีฬาชนิดต่างๆแล้วแต่ว่าพื้นที่สนามกีฬาชนิดไหนว่างในวันนั้น

        “โหย มึงโกง” “กูไม่ได้โกง” “ไม่โกงได้ไงมึงพาบอล ไอ้สัด” “กูไม่ได้โกง มึงบล๊อคกูไม่ได้แล้วหาเรื่องมากกว่า” “มึงโกง”

        “พวกมึง หยุด กูรำคาญ” พระยศพยายามจะห้ามคู่แฝดให้ทะเลาะกัน

        “มึง ปล่อยพวกแม่งไปเหอะ” สุรศักดิ์ก็พยายามตัดบท “เดี๋ยวมันเหนื่อย มันก็หยุดตีกันเอง”

        “ตัวๆปะละ” “เอาดิ มาเลย” “กี่รอบ” “3 รอบ 2 ใน 3 ชนะ” “พูดแล้วนะมึง” “เออ”

        “เห็นปะ ไป ไปนั่งดูพวกมันเล่นดีกว่า” แล้วสุรศักดิ์ก็ชวนพระยศไปนั่งที่ม้านั่งข้างสนามบาสเก็ตบอล พอดีกับที่วีร์กำลังเดินมาร่วมวงสนทนา

        “เสียงดังอะไรวะ ได้ยินไปถึงโน้น”

        “ก็เรื่องปกติของพวกมันสองตัว” สุรศักดิ์ตอบ “เดี๋ยวก็ตีกัน เดี๋ยวก็ดีกัน”

        “กูก็อุตส่าห์รีบมา นึกว่าจะได้นั่งดูริงไซด์”

        “แล้วมึงไปไหนมาวะ” สุรศักดิ์ถาม แล้วจึงหยิบน้ำมาดื่มแก้กระหายคลายร้อนที่ไปออกกำลังมา

        “จารย์จินเรียกไปคุยว่าเอกสารโรงเรียนของกูไม่เรียบร้อย” วีร์นั่งลงข้างๆเพื่อน มองดูคู่แฝดที่แข่งกันเป็นฝ่ายบุกกับฝ่ายตั้งรับ

        “อะไรวะ เรื่องใหญ่ปะ” พระยศชะโงกหน้ามาถามเพื่อน

        “ป่าว ไม่มีอะไร อาจารย์เขาเข้าใจผิด กูส่งครบไปหมดทุกอย่างแล้ว”

        “แล้วไมจารย์แกเพิ่งจะมาถามเอาตอนนี้วะ ถ้ามีอะไรผิดปกติ มันน่าจะรู้ตั้งแต่ตอนมึงมามอบตัวเข้าเรียนแล้วปะวะ”

        “กูจะรู้มั้ยละ” วีร์ได้แต่ยักไหล่

        “แต่เรียบร้อยดีแล้วแน่นะมึง” สุรศักดิ์หันมาถามอีกครั้ง

        “เออ ไม่มีอะไรแล้ว”

        “เย้!” เสียงดังขึ้นมาจากกลางสนาม “เห็นมะ กูไม่ได้โกง มึงอ่อนเอง” “เออ หึยย” แล้วคู่แฝดก็เดินออกมานั่งพักรวมกับคนอื่นๆ

        “แล้วนี่ไอ้ต่ายไปไหนวะ” วีร์หันมองซ้ายขวาแต่ก็ไม่มีวี่แววเพื่อนสนิทอีกคน

        “อยู่ชมรมโน้น” พระยศเป็นคนตอบ

        “ทำไรวะ ซ้อมหรอ”

        “ใช่ งานวันลอยกระทงไง อีกสองอาทิตย์แล้ว เห็นว่าปีนี้จะไปเล่นที่สวนฯด้วยนะมึง”

        “งานใหญ่หรอวะ” วีร์ถาม ด้วยความที่ครั้งนี้เป็นงานลอยกระทงครั้งแรกตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนนี้ จึงไม่รู้อะไรมากนักว่าที่นี่จัดงานกันอย่างไร

        “ถ้าปีไหนย้ายไปจัดในสวนฯละก็ ใหญ่มากเลยมึง โรงเรียนส่งวงไปเล่นส่งเด็กไปแสดงบนเวทีตลอดทุกปี ผู้หลักผู้ใหญ่มากันเพียบ เล่นพลาดนี่ขายหน้าแย่” พระยศอธิบายให้วีร์ฟังพลางขยับเสื้อคลายร้อนไปด้วย

        “แล้วในงานมีอะไรบ้างวะ” วีร์ถามต่อ

        “ก็ มีพวกร้านค้าต่างๆมาขายทั้งของกินของใช้ ซุ้มเล่นเกมโน้นนี่นั่น อารมณ์เดียวกับงานวัดนั้นแหละ” สุรศักดิ์บอกเล่าถึงงานลอยกระทงที่เคยจัดในปีที่ผ่านๆมา “มีการแสดงบนเวที เดี๋ยวไอ้ต่ายขึ้นเวทีด้วย ไปดูกัน” สุรศักดิ์พูดอธิบายต่อพลางชวนวีร์และคนอื่นๆไปเที่ยวงานด้วยกัน

        “ไปดูมันเล่นพลาด” หนึ่งในแฝดแซวขึ้นมา

        “ไปให้กำลังใจสิมึง” สุรศักดิ์ทำท่าจะง้างหลังมือ แต่ชะงักไว้ในเชิงหยอก “อย่าพูดให้มันได้ยินนะมึง เห็นมันยังเครียดๆเรื่องซ้อมอยู่ เดี๋ยววันงานจะพลาดจริง”

        “เออ พวกกูรู้หรอกหน่า” “ที่กล้าแซว เพราะมันไม่อยู่นี่แหละ”

        “ให้มันจริง”

        “แล้วพวกมึงจะไปงานกันตอนไหนยังไงวะ” วีร์ถามเพื่อนๆของเขา

        “เดี๋ยวมึงก็ไปกับไอ้เชี่ยสามตัวนี่ก็ได้ เลิกเรียนแล้วไปกันเลย ส่วนไอ้ต่ายกับพวกชมรม โรงเรียนคงให้ลาครึ่งวันไปเตรียมตัวก่อนอยู่แล้ว” สุรศักดิ์แจกแจงแผนที่จะทำกันในวันงาน “แต่ของกูคงลาทั้งวันเลยว่ะ”

        “โหย โชคดีว่ะ” “กูลาด้วยดีมั้ยวะ”

        “ไอ้ห่า กูต้องไปช่วยพ่อแม่กูมั้ย เดี๋ยวเขาจะไปออกร้านในงานกัน” สุรศักดิ์หันไปแหวใส่สองแฝด

        “เออ ใช่ เห็นบ้านมึงแขวนป้ายวันปิดร้านอยู่” วีร์เพิ่งจะนึกออกเมื่อสุรศักดิ์กล่าวถึง เพียงแต่เขาไม่ทันนึกว่าวันนั้นจะเป็นวันลอยกระทง

        “ใช่ ช่วงเช้าที่ร้านยังเปิดอยู่ถึง 10 โมง แล้วต้องรีบขนของไปที่งานตอนบ่าย ใครอยากกินให้ตามไปที่งาน” สุรศักดิ์อธิบายเพิ่มเติม

        “แล้วน้องๆมึงจะต้องลาไปช่วยมั้ย” วีร์ถามไปถึงน้องๆทั้งสองคนของสุรศักดิ์

        “หือ ไม่อะ” สุรศักดิ์สายหน้าตอบ “พ่อแม่กูไม่ให้ลาแต่ให้ไปช่วยตอนเย็นเลยโน้นเลย ตอนแรกก็จะไม่ให้กูลาเหมือนกัน แต่กูบอกว่าเดี๋ยวกูช่วยตอนเช้าให้จะได้ไม่ต้องมานั่งห่วงนั้นพะวงนี่ ของตอนเช้าก็ยังอยากขายแล้วยังมีของที่ต้องเตรียมไปขายตอนเย็นอีก เดี๋ยวหัวหมุนกันเปล่าๆ กูพูดตั้งนานจนปากกูจะฉีกถึงรูหูอยู่แล้วกว่าจะยอม”

        “อ้าว แล้วมึงจะมีเวลาไปเดินเที่ยวหรอวะ” วีร์ถามสุรศักดิ์ เพราะเมื่อฟังที่สุรศักดิ์บอกแล้วก็รู้สึกได้ว่าคงจะยุ่งตลอดทั้งงานเป็นแน่

        “ก็ ช่วงที่ไอ้ต่ายขึ้นเวที กูคงขอแว่บไปดูสักหน่อยนึง ไปให้มันเห็นหน้าเพื่อนๆบ้างจะได้ไม่ตี่นเต้นมาก แล้วก็คงหลังจากขายของหมดโน้นเลย” สุรศักดิ์ตอบ

        “โห งั้นก็ดึกเลยอะสิ”

        “เออ มึงบอกพี่มึงไปเลยว่ากลับดึกแน่นอน ขากลับมึงติดรถบ้านกูมาเลยก็ได้ จากสวนฯกลับมานี่ มันผ่านหน้าหมู่บ้านมึงอยู่แล้ว”

       วีร์พยักหน้ารับ พลางนึกในใจว่าบอกตัวเองว่าอย่าลืมบอกธีร์เรื่องวันงานลอยกระทง

        “ไป แยกย้ายกันพวกมึง เดี๋ยวจะค่ำ ยิ่งใกล้หน้าหนาวแล้ว ช่วงนี้มืดเร็ว”

       แล้วทุกคนก็ลุกขึ้นเก็บข้าวของของตัวเองเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านของแต่ละคน พระยศรีบวิ่งเอาลูกบาสเก็ตบอลที่ยืมมาไปเก็บที่ห้องพละ แฝดนพชัยชัยทิศเดินไปล้างมือล้างหน้าที่ก๊อกน้ำข้างสนาม จึงเหลือแต่สุรศักดิ์กับวีร์กันอยู่แค่สองคน

        “เอ่อ ไอ้วีร์” สุรศักดิ์เอ่ยขึ้นมาหลังจากเห็นว่าคนอื่นๆยังอยู่ไกลๆ

        “หือ มีไร” วีร์หันมาถาม

        “คือ กูอยากให้มึงช่วยอะไรกูหน่อย ได้มั้ยวะ” สุรศักดิ์ดูมีท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ

        “ไรวะ” วีร์มองเพื่อนของเขาด้วยความสงสัย

        “คือ มึงชวนแพรไปงานด้วยได้ป่าววะ” สุรศักดิ์เม้มปากเข้าหากันหลังจากที่บอกคำขอของตัวเอง แล้วก็ลุ้นคำตอบของวีร์ เขาคิดว่าเพื่อนของเขาต้องช่วยเขาได้แน่ๆ เพียงแต่ว่าจะช่วยในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง

        “แล้วไมมึงไม่ไปชวนเขาด้วยตัวเองละวะ” วีร์ถามกลับ แต่เมื่อเห็นสุรศักดิ์หน้าเสียลงเล็กน้อย “ไม่ใช่ว่ากูไม่อยากช่วยนะ แต่มึงต้องเข้าใจว่าบางทีการโดนจับคู่โดยไม่เต็มใจมันไม่ใช่เรื่องสนุก แล้วกูก็อยากให้มึงกล้าไปคุยกับเขาตรงๆบ้าง”

        “ไม่ใช่กูไม่กล้า แต่กูรู้ว่าถ้ากูเป็นคนชวน แพรเขาไม่ได้ไปแน่ๆ มึงก็รู้ว่าพ่อเขาเป็นไง” สุรศักดิ์ถอนหายใจเหือกใหญ่ออกมา “แล้วดูเหมือนว่าพ่อเขาจะไว้ใจมึงมากกว่าใคร ถ้ามึงออกปาก โอกาสได้มันมีสูงกว่าไง”

        “งั้นเอางี้ มึงลองไปถามเขาดูก่อน แล้วเดี๋ยวกูจะลองชวนให้ทีหลังอีกทีนึง” วีร์ตอบหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง

        “จริงนะ” สุรศักดิ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นมาในทันที

        “เออ แต่มึงต้องลองดูก่อนเป็นข้อแลกเปลี่ยนได้ไม่ได้ค่อยว่ากัน แต่ถ้ามึงไม่ถามก่อนกูก็จะไม่ชวนแพรไปเที่ยวงานเลยนะ” วีร์ยื่นคำขาดให้กับเพื่อนของเขา

        “ได้ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูถามเลย”

        “เออ ให้มันจริงเหอะ”

        “แน่นอน”

       วีร์พยักหน้าและยิ้มให้ที่เพื่อนของเขาดูสดชื่นมั่นใจขึ้นมาในทันที

        “ขอบใจว่ะมึง”

        “เออ ไม่เป็นไร”

*****

       ช่วงเวลาเย็นสำหรับคนทำงานที่เริ่มมาตั้งแต่เช้า แม้ว่าจะมีเวลาพักกลางวันหนึ่งชั่วโมง แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งมาราธอนมาร่วมปี ยิ่งช่วงใกล้สิ้นปีที่ต้องมีการสรุปงานเพื่อปิดงบประจำปียิ่งมีงานให้ทำเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

       ธีร์เก็บข้าวของเครื่องใช้ต่างบนโต๊ะทำงานของเขาให้เข้าที่ เก็บกระดาษเอกสารงานต่างๆเข้าแฟ้มให้เรียบร้อยและวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าสะพายข้างขึ้นสวมบ่าและลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน

       ธีร์ทักทายเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆตั้งแต่ในแผนกของเขาเองและแผนกอื่นๆที่เขาได้เคยต้องประสานงานกันอยู่บ้าง เดินเรื่อยๆไปจนถึงหน้าลิฟต์โดยสาร ยืนรออยู่ไม่นานนักลิฟต์ตัวนั้นก็กลับขึ้นมาหลังจากลงไปส่งคนชุดก่อนหน้าที่ชั้นล่างสุด เวลานี้ยังมีผู้ร่วมเดินทางที่ต้องการลงไปข้างล่างอยู่มากพอสมควร แต่ทุกคนก็ต้องรอขึ้นลิฟต์โดยสารตามลำดับที่ตนเองเดินมาถึง ไม่มีการลัดคิวใคร ซึ่งธีร์เป็นคนสุดท้ายในชุดนั้นก่อนที่คนถัดไปจะเดินเข้ามาและมีเสียงดังร้องเตือนน้ำหนักบรรทุกที่เกินทำให้เขาคนนั้นต้องล่าถอยไปและรอขึ้นรอบใหม่แทน

       ลิฟต์โดยสารลงไปถึงไม่กี่ชั้นถัดไปก็หยุดลงเพราะมีผู้ที่กดปุ่มรอเรียกอยู่บนชั้นนั้นไว้ เมื่อประตูเปิดออกเขาก็เห็นว่ามีคนอยู่ข้างในเต็มพื้นที่หมดแล้ว ตั้งใจละล่าถอยและรอรอบต่อไป

        “คุณชื่นฤทัยจะลงไปข้างล่างใช่มั้ยครับ เชิญเลยครับ” ธีร์รีบออกตัวเมื่อเห็นว่าเป็นผู้บริหารของบริษัทกำลังยืนรอโดยสารอยู่

        “ไม่เป็นไรค่ะ เชิญคุณก่อนเลย ดิฉันรอรอบต่อไปก็ได้ค่ะ” ชื่นฤทัยตอบกลับด้วยท่าทียิ้มแย้ม

        “ไม่เป็นไรครับ เชิญคุณชื่นฤทัยเลยครับ” ธีร์เดินออกจากลิฟต์โดยสารและหลีกทางออกไปด้านข้าง แล้วจึงผายมือเชิญให้หญิงสูงวัยเดินเข้าไป

        “งั้นก็ขอบคุณคุณด้วยนะคะ” ชื่นฤทัยอยากจะปฏิเสธแต่เห็นว่าพนักงานในบริษัทของเธอคนนี้คงจะไม่เปลี่ยนใจเป็นแน่ และหากยื้อต่อไปจะทำให้คนอื่นๆเสียเวลาตามไปด้วย

       ธีร์มองดูชื่นฤทัยที่ยิ้มตอบกลับและผงกศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอบคุณในขณะที่ประตูลิฟท์กำลังปิดลง แล้วเขาก็ถอนหายใจเมื่อประตูปิดสนิท แล้วก็กดปุ่มรอลิฟต์โดยสารรอบถัดไป ธีร์มองดูรอบๆว่าในตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ที่ชั้นไหนแล้ว พลันสายตามองไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง

        “น้องวา”

       วนกรเงยหน้าขึ้นมาตามเสียงเรียก และพบเข้ากับสายตาและรอยยิ้มของธีร์

        “พี่ธีร์” วนกรตอบกลับด้วยน้ำเสียงดีใจเจือปนด้วยความแปลกใจ “ทำไมพี่ธีร์มาอยู่ที่นี่ละ” วนกรมองดูรอบๆให้แน่ใจว่าตัวเองยังอยู่ในตึกบริษัท ยังไม่ได้ออกไปไหน

        “พี่ทำงานที่นี่” ธีร์ตอบกลับพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้วนกร

       วนกรมีสีหน้างุนงง แต่เมื่อมองดูที่บัตรประตัวพนักงานที่คล้องคอธีร์อยู่ก็รู้ได้แน่ชัดว่าธีร์ไม่ได้โกหก บัตรประจำตัวของธีร์บอกชื่อนามสกุลและแผนกไว้

        “พี่ธีร์อยู่ฝ่ายแผนงานเหรอคะ” ธีร์ก็พนักหน้าตอบกลับมา วนกรจึงหยิบบัตรที่คล้องคอตัวเองอยู่ขึ้นแสดงให้ธีร์ดู “วาอยู่ฝ่ายบัญชีค่ะ”

        “จริงเหรอ น้องวาทำงานอยู่ที่นี่นานแล้วยัง”

        “ก็ตั้งแต่เรียนจบเลยค่ะ วามาฝึกงานที่นี่แล้วก็สมัครทำที่นี่ต่อเลย แล้วพี่ธีร์ละคะ”

        “พี่เพิ่งจะย้ายมาทำที่นี่เมื่อตอนต้นปีนี้เอง ทำไมเราไม่เคยได้เจอกันนะ” ธีร์นึกสงสัยตัวเอง “ทำงานที่เดียวกัน กินข้าวโรงอาหารเดียวกัน น่าจะเคยได้เจอกันตั้งนานแล้วนะ”

        “นั่นสิ” วนกรยิ้มให้ ในใจนึกเสียดายเวลาเกือบปีที่หายไป ไม่เช่นนั้นเธออาจจะได้เจอกับธีร์เร็วกว่านี้ก็เป็นได้

       แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้พูดคุยอะไรกันต่อไปก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาทักทายหญิงสาวเสียก่อน

        “คุณวาๆ เย็นนี้ว่างมั้ยครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามวนกร เขาแต่งตัวดูภูมิฐานแต่บัตรคล้องบ่งบอกว่าเป็นนักศึกษาฝึกงาน

        “เอ่อ คือ” วนกรพูดรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยที่จะตอบ แต่เมื่อหันหน้าไปหาธีร์เธอก็คิดวิธีแบบปัจจุบันทันด่วน “พี่ต้องขอโทษคุณโสฬสด้วยนะคะ คือพอดีว่าพี่มีนัดแล้วคะ” วนกรเดินเข้าไปใกล้ธีร์มากขึ้นเป็นการบอกโดยนัย

        “อ๋อ เอ่อ งั้นไม่เป็นไรครับ ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันครับ” โสฬสกวาดสายตาขึ้นลงและแน่นอนว่าเขาจำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เห็นตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของธีร์ ก่อนที่จะเดินจากไป

        “ขอโทษด้วยนะคะพี่ธีร์ วาคิดไม่ทันจริง”

        “เขาเป็นใครเหรอ” ธีร์มองตามโสฬสที่เดินลับตาไป

        “คุณโสฬส ลูกของเจ้าของบริษัท มาฝึกงานที่แผนกของวา”

       ธีร์พยักหน้ารับ

        “เขามาจีบน้องวาเหรอ”

        “ก็... ประมาณนั้นแหละค่ะ แต่วาไม่รู้จะทำตัวยังไงดี”

       ธีร์มองไปทางที่โสฬสเดินหายไปก่อนที่จะหันกลับมาหาวนกร

        “อืม พี่ก็พอจะมีวิธีอยู่นะ แต่ก็มีข้อแลกเปลี่ยนอยู่นิดหน่อย”

         “ยังไงคะ” วนกรมีสีหน้าสงสัยและมองดูธีร์ที่กำลังยิ้มกรุ่มกริ่มเหมือนเมื่อคราวที่เธอและธีร์เพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรกเมื่อสิบหกปีที่แล้ว


[โปรดติดตามตอนต่อไป]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 6 ... 28 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 28-04-2021 17:26:48
 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 6 ... 28 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-04-2021 22:44:44
 :hao4:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 6 ... 28 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 30-04-2021 15:41:27
สงสัยว่าวีร์จะเป็นลูกของธีร์ละมั้ง
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 7 ... 5 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 04-05-2021 23:55:53
ตอนที่ 7 แฝดคนละฝาคนละตัว

       เย็นวันงานลอยกระทง วีร์และผองเพื่อนก็เดินทางมาเที่ยวงานกัน ศศิทัศน์ที่ล่วงหน้ามาก่อนแล้วตั้งแต่ตอนบ่าย ส่วนสรุศักดิ์ก็ลาหยุดตั้งแต่เช้าตามที่ได้บอกไว้ คนอื่นๆที่เหลือจึงตามมาหลังจากที่เลิกเรียนกันแล้ว

       งานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือที่วีร์ได้ยินมา ตัวงานกินพื้นที่ทั้งสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัด มีผู้คนมากหน้าหลายตามารวมตัวกันที่นี่ และแน่นอนว่าการจราจรรอบสวนสาธารณะย่อมตัดขัดไปโดยปริยาย แต่รถยนต์มินิแวนของบ้านล้ำเลิศรัตนทรัพย์ก็ขับลัดเลาะมาส่งพวกเขาจนถึงที่หมาย

       แพรพรรณได้รับอนุญาตให้มางานได้โดยที่วีร์ไปขอไว้กับพ่อของแพรพรรณด้วยตัวเอง หลังจากที่สุรศักดิ์ลองพยายามแล้วและก็ได้คำตอบดังที่คาดไว้ วีร์จึงเป็นคนยื่นมือเข้ามาช่วยอีกแรง แต่นั่นก็หลังจากที่วีร์ได้ตะล่อมสอบถามแพรพรรณแล้วว่าอยากจะไปเดินเที่ยวงานหรือเปล่า แต่ถึงแม้ว่าพ่อของแพรพรรณจะอนุญาตให้มางานได้ แต่ก็ได้ถึงเวลาหนึ่งทุ่มเพียงเท่านั้นแล้วพ่อจะมารับกลับทันที ซึ่งเพียงแค่นั้นแพรพรรณก็ได้ใจมากแล้วที่ได้ออกมาเดินเที่ยวงานบ้าง แพรพรรณจึงนั่งติดรถมากับทุกคนด้วยเช่นกัน

       เมื่อมาถึงในงานแต่ละคนต่างแยกย้ายกันไปเที่ยวดูตามส่วนต่างๆของงานตามใจชอบ และนัดหมายเวลามาเจอกันอีกครั้งตอนที่วงดนตรีของชมรมดนตรีจะขึ้นแสดงที่เวทีใหญ่

       สุรศักดิ์เองก็แวะมาเดินเที่ยวกับวีร์และแพรพรรณด้วยกันอยู่นาน ก่อนจะขอแยกตัวกลับไปช่วยพ่อแม่ที่มาออกร้านในงานต่อ

        “วีร์ๆ” แพรพรรณสะกิดเพื่อนของเธอ ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินดูร้านค้าต่างๆในงานวันลอยกระทง

        “หือ อะไรหรอ” วีร์หันมาถามเพื่อนของเขา

        “นั่น พี่ชายแกรึเปล่า” แพรพรรณถามพร้อมกับชี้มือออกไปทางผู้ชายที่เธอสงสัยคนหนึ่ง วีร์หันหน้ามองตามนิ้วที่แพรพรรณชี้ไป แล้วเขาก็เพ่งมองดู ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลกันแต่เห็นได้ชัดว่าคือธีร์แน่นอน

        “ใช่ ไม่เห็นบอกเลยว่าจะมาเที่ยวงานด้วย” วีร์มองดูชายหนุ่มเดินดูของตามร้านต่างๆไปเรื่อย ในมือกำลังถือไม้พันด้วยขนมสายไหมสีชมพู และไม่นานนักก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินตามมาพร้อมกับลูกมะพร้าวที่เฉาะเปิดออกพร้อมกับหลอดดูดอยู่ในมือ

        “เอ่อ แล้วนั่น พี่วาใช่มั้ย” แพรพรรณถามอีกครั้ง เธอยังจำผู้หญิงที่เคยบังเอิญเจอกันเมื่อคราวที่ไปเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้ากับวีร์ได้

        “ก็ คิดว่าใช่นะ” วีร์มองดูด้วยความสงสัย

        “ทำไมถึงมาด้วยกันละ”

        “บังเอิญเจอกันมั้ง” วีร์ตอบแล้วหันเจอกับหน้าตาสงสัยของแพรพรรณ “ก็เขารู้จักกันมาก่อน เป็นเพื่อนเก่ากัน”

        “เหรอ แต่ก็นะ ปกติแค่เพื่อนเก่าบังเอิญเจอกัน จะป้อนน้ำป้อนขนมให้กันแบบนั้นรึเปล่าละ” แพรพรรณตอบพร้อมกับบุ้ยหน้าไปทางชายหญิงสองคนนั้น บอกให้วีร์หันไปมองอีกครั้งหนึ่ง

       หญิงสาวกำลังยื่นลูกมะพร้าวยกขึ้นพร้อมกับจับหลอดดูดให้ตรงกับปากของชายหนุ่มที่ก้มหน้าลงมา แล้วทั้งคู่กับหันไปเดินดูของต่อไป โดยชายหนุ่มยื่นไม้พันขนมสายไหมหยิบไปเป็นครั้งคราวอยู่เรื่อยๆไป ทั้งสองคนต่างก็มีรอยยิ้มที่แสดงออกถึงความสุขให้เห็นอย่างขัดเจน

       วีร์ยังไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไง ดีใจ แปลกใจ ประหลาดใจ ตกใจ หรือสงสัย หรืออะไรกันแน่

        “เอาเหอะ เรื่องของผู้ใหญ่ โตๆกันแล้ว คงรู้ตัวกันมั้งว่าทำอะไรกันอยู่” วีร์หันมาเจอหน้าแพรพรรณกำลังอมยิ้มอยู่ “ทำไม”

        “หวงพี่ชายเหรอเราน่ะ” แพรพรรณแซวเพื่อนคนสนิทของเธอ

        “เปล่า” วีร์รีบตอบทันที แต่แพรพรรณทำหน้าไม่เชื่อ “เชื่อเหอะ ปูนนี้แล้วไม่หวงหรอกคนนี้ อยู่เป็นโสดมาตั้งนาน เจอคนดีๆได้สักทีน่ะ ดีแล้ว”

        “จริงอะ” แพรพรรณถามย้ำ วีร์พยักหน้าและยักไหล่ตอบกลับ แล้วทั้งคู่ก็ได้แต่ยิ้มให้กัน ก่อนที่แพรพรรณจะรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติ แล้วกระซิบบอกวีร์ “อุ้ย! พวกพี่เขาเดินมาทางนี้แล้ว” วีร์ลอบมองด้วยหางตาเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ก็รีบทำตัวตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แสร้งทำเป็นดูโน้นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย

        “ว่าไง เราสองคน” ชายหนุ่มทักทายเด็กทั้งสองคน

        “พี่ธีร์ สวัสดีค่ะ พี่วา สวัสดีค่ะ” แพรพรรณเอ่ยทักทายทั้งสองคนกลับก่อน

        “พี่วา สวัสดีครับ พี่ธีร์ ไม่เห็นบอกเลยว่าจะมางานด้วย” วีร์ทักทายหญิงสาวแล้วก็หันไปถามธีร์ ซึ่งธีร์เองก็แค่ยักไหล่ตอบกลับมาเท่านั้น

        “สวัสดีจะ มาเดินเที่ยวกันสองคนเองหรอ” วนกรถามเด็กทั้งสองคนหลังจากเอ่ยทักทาย

        “เอ่อ มากับเพื่อนๆครับ แต่ตอนนี้แยกกันเดินดูงาน” วีร์ตอบกลับ ส่วนหญิงสาวก็พยักหน้ารับ

        “พี่ก็นึกว่ามาเดตกันสองคนเสียอีก” วนกรเอ่ยปากแซวเด็กทั้งสองคน เพราะเธอมักจะได้พบเจอวีร์และแพรพรรณอยู่ด้วยกันลำพังบ่อยครั้ง

       ส่วนวีร์และแพรพรรณต่างมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรจะตอบไปอย่างไรดีกับคนที่รู้จักกันแต่ยังไม่ถึงขั้นสนิทสนมกันมากขนาดที่จะบอกเล่าเรื่องส่วนตัวของตัวเองออกไปได้ทั้งหมด

        “แค่มาเดินเล่นกันเฉยๆครับ ไม่ได้มาเดตกัน” วีร์ตอบกลับไปอย่างสุภาพ

        “แหมๆ ไม่ต้องเขินหรอก”

       วีร์ยังคงยิ้มตอบกลับตามมารยาท ขนาดธีร์เองก็พอจะจับสังเกตได้

        “นี่แพรรู้จักกับพี่วาด้วยหรอ” ธีร์ชวนเปลี่ยนเรื่องที่กำลังคุยกันและเขาเองก็สงสัยว่าทำไมแพรพรรณรู้จักวนกรก่อนที่เขาจะแนะนำตัวเสียอีก

        “เคยบังเอิญเจอกันค่ะ วีร์เขาแนะนำให้รู้จัก” แพรพรรณอธิบายให้ชายหนุ่มฟัง

        “อ๋อ โอเค” ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ แล้วจึงหันมาถามวีร์ “แล้วนี่เราสองคนจะไปเดินดูอะไรหรือเปล่า ไปด้วยกันเลยมั้ย พี่กับวาจะเดินไปดูของทางโน้นสักหน่อย”

        “อา... ไม่ดีกว่า กะจะดูอะไรแถวๆนี้แล้วเดี๋ยวออกไปรอหน้างานเป็นเพื่อนแพร เดี๋ยวพ่อเขาจะมารอรับกลับ”

        “พ่อมารับกี่โมงละ” ธีร์หันไปถามแพรพรรณ

        “ทุ่มนึงค่ะ”

        “อืม ยังพอมีเวลาอยู่นะ ไปด้วยกันมั้ย” ธีร์ถามทั้งสองคนอีกครั้ง

        “ไปด้วยกันเถอะ สนุกออก แล้วก็...” วนกรขยับเข้าไปใกล้วีร์และแพรพรรณก่อนที่ตะพูดเสียงเบาลง “พี่อยากจะให้ช่วยอะไรหน่อยน่ะ”

       วีร์ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย หันไปหาแพรพรรณซึ่งก็มีสีหน้าไปไม่ต่างกันมากนัก

        “เห็นผู้ชายใส่เสื้อสีน้ำเงินสดๆมั้ย” ธีร์ผงกศีรษะไปทางด้านหลังเบาๆเป็นการบอกทิศทาง

        “คนที่ถือกระทงมาสองใบนะเหรอ” วีร์ถามกลับ

        “หือ...” วนกรพยายามเหลือบสายตาหันไปมองแต่ก็พยายามสงวนท่าทางไว้ในตัวก่อนที่หันกลับมาและถอนหายใจ “มาพร้อมกระทงด้วยอะพี่ธีร์”

        “ทำไม มีอะไรกันเหรอครับ” วีร์ยังงุนงงกับท่าทีของทั้งธีร์และวนกร

        “เขามาตามจีบพี่อยู่ แต่พี่ไม่ได้...” วนกรไม่เอ่ยออกมาเป็นคำพูดแต่การแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้ชอบ “ก็เลยให้พี่ธีร์มาช่วยเป็นไม้กันหมาให้ เผื่อว่าเขาจะยอมเลิกรากันไป”

        “แล้วคิดว่าจะสำเร็จมั้ยครับ”

        “เขาก็ยังตามมาอยู่นี่ไง” ธีร์เป็นคนตอบ

        “แล้วพวกหนูจะช่วยอะไรได้เหรอคะ” แพรพรรณพยายามลอบมองอากัปกิริยาของชายเสื้อสีน้ำเงินคนนั้น

        “ก็เดินกันแค่สองคนเขาอาจจะคิดว่าเป็นการแสดงตบตา ถ้าคนมาเยอะขึ้นก็อาจจะดูสมจริงมากขึ้นก็ได้”

        “แต่นี่ก็ดูสมจริงอยู่นะ ขนมสายไหมเอย ลูกมะพร้าวเอย” วีร์มองท่าทางของทั้งสองคนที่เริ่มมีอาการเหมือนมีมือไม้แขนขาส่วนเกินงอกออกมาจนไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหนแล้วก็อมยิ้มขำๆไป แล้วทั้งคู่ก็พยายามจะดึงอารมณ์กลับมาและทำท่าทางมาเป็นปกติ

        “ไปด้วยเถอะนะ แล้วเดี๋ยวใกล้ถึงเวลาพ่อน้องแพรมารับ พวกพี่จะไปรอเป็นเพื่อนด้วย” วนกรก้มมองดูนาฬิกา แพรพรรณกับวีร์ต่างมองหน้ากันแต่ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเอาอย่างไรดี “พ่อมารับกลับเร็วแบบนี้แสดงว่าหวงลูกสาวละสิ ใช่มั้ย” วนกรถามโดยแพรพรรณพยักหน้าตอบกลับ “นั่นไง ก็มีผู้ใหญ่ไปยืนรออยู่ด้วยดีกว่ามีแค่เด็กๆสองคน คราวหลังพ่อเขาจะได้วางใจอนุญาตให้วีร์ชวนออกมาอีก” เธอคะยั้นคะยอให้เด็กทั้งสองคนเห็นตามด้วย “เชื่อพี่เถอะ ได้ผล ประสบการณ์ตรง แล้วก็ช่วยพวกพี่เล่นละครด้วย นะๆ” วีร์กับแพรพรรณมองหน้ากันอีกครั้ง แล้ววีร์ก็ยักไหล่ตอบให้แพรพรรณเป็นคนตัดสินใจ

        “ก็ดีเหมือนกันค่ะ”

        “งั้นก็ไปกันไป นี่ก็เหลืออีกเกือบชั่วโมง ยังเดินเที่ยวได้อีกเยอะ"

*****

       หลังจากที่ส่งแพรพรรณขึ้นรถกลับกับพ่อของเธอไปแล้ว วีร์ก็ขอแยกตัวจากธีร์และวนกรโดยอ้างว่านัดกับเพื่อนไว้ว่าจะไปดูคนจากชมรมดนตรีของโรงเรียนซึ่งมีศศิทัศน์รวมอยู่ด้วยกำลังจะขึ้นแสดงในอีกไม่นานนี้แล้ว เพื่อที่จะได้ปล่อยให้ชายหนุ่มและหญิงสาวมีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังโดยไม่มีเขาเป็นส่วนเกิน และเห็นว่าชายเสื้อสีน้ำเงินนั้นหายไปนานพอสมควรแล้ว เขาจึงไม่มีความจำเป็นต้องอยู่แสดงละครด้วยกันต่อไปอีก

       เมื่อวีร์เดินมาถึงหน้าเวทีก็เข้าไปรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนๆที่ยืนรอดูอยู่แล้ว

        “ไงวะ เริ่มแสดงไปแล้วยัง” วีร์ถามเพื่อนๆ

        “เล่นไปเพลงนึงแล้ว มึงไปไหนมาวะ” พระยศหันมาตอบกลับ

        “ไปส่งแพรอะดิ ถึงเวลาพ่อเขามารับกลับบ้าน” คนฟังก็พยักรับ

       ระหว่างนั้นบนเวทีก็เริ่มการแสดงชุดต่อไป โดยมีศศิทัศน์ที่เล่นกีตาร์ไฟฟ้าและวีรมาตุที่เล่นคีย์บอร์ดร่วมกับสมาชิกชมรมดนตรีคนอื่นๆ คนฟังด้านล่างต่างโยกตัวไปตามจังหวะดนตรีที่คึกคัก นักร้องของวงพยายามเชิญชวนให้ทุกคนได้ร้องเพลงคลอตามไปกับพวกเขา

       บรรยากาศรอบตัวมีแต่ความครึกครื้นสนุกสนานไปตามจังหวะดนตรีและเสียงอันไพเราะของนักร้องนำ ผู้คนทั่วไปบ้างก็โยกตัวตามอารมณ์ที่เพลงพาไป บ้างก็ปรบมือตามจังหวะ บ้างก็ยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว

       มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาเป็นระยะๆอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะตอนที่มือคีย์บอร์ดเผยรอยยิ้มกว้างออกมา นั่นเป็นเพราะว่าเขาเจอคนที่เขามองหามาตั้งแต่ตอนที่เขาเดินขึ้นมาบนเวทีแล้ว และเมื่อสายตาสองคู่ได้ประสานกัน มุมปากก็ฉีกออกโดยอัตโนมัติทันที

        “เฮ้ย!” ทันใดนั้นวีร์ก็สะดุ้งโหยงขึ้นมาเพราะเขาถูกจักจี้ตรงที่เอว พร้อมกับหันตัวไปจะต่อว่าคนที่ทำโดยคิดว่าต้องเป็นหนึ่งในฝาแฝดเป็นแน่ แต่เขากลับหันไปเจอเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่รูปร่างล่ำสันสูงใหญ่กว่าเขามากนัก และมีสีผิวเข้มกว่าใครแม้แต่สุรศักดิ์เองก็ไม่เข้มเท่า กำลังยืนยิ้มยิงฟันขาวมาให้เขา

        “เฮ้ยยย...” วีร์ยิ้มกว้างตอบรับในทันทีที่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็หุบยิ้มทำหน้านิ่งในทันทีเช่นกันพร้อมกับคำถามที่เปล่งออกมาเป็นภาษาถิ่นที่เขาคุ้นเคย “มึ้งมาไซนิ”

        “เอ้า ไอไร่วะ ไซหลาวนิ เผือนอุส้าเดินทางมาตั่งไกล ผึ้งผบหน้ากันแล่วก๋อถ่ามหวามาไซ มั้นเป็นพันพรือนิหา” หนุ่มผิวเข้มคนนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงน้อยใจยิ่งนัก

        “ฮาย มึ้งยาทำสำน้วน มาไซนิ” วีร์ถามคำถามเดิมกับคนตรงหน้า แต่อีกฝ่ายกลับขมวกคิ้วมองกลับมาจนวีร์ถึงกับกรอกตามองบน “ม้ายมีเรียนเออ”

        “ม้ายมี มึ้งม้ายแลค่าวบังเออ”

        “ค่าวไร่หลาว”

        “ฮาย หน่ามท้วมแล”

        “ท้วมแถ้วไน่หลาว” วีร์ถามกลับด้วยความตกใจ

        “โหร่งเรียนแล โย่วม้ายโหร่ความเลยนา ท้วมสู้งมิดหัวนุ ชั่นนึ่งนีไป๋เหม็ดเลยนิ”

        “แล่วนี้ยุดกี๊วันนิ”

        “ยาว... ม้ายมีก่ำนด”

        “แล่วโหร่พรือหวาโย่ถึงนี้”

        “ผีธีร์บ๋อก”

        “เอ้า ผีธีร์โหร่กันเออ” เด็กหนุ่มผิวเข้มพยักหน้าตอบ “โหร่พรือหลาว แหรกฉ่าวม้ายเห้นบ๋อกไร่นิเบ๋อ”

        “ผีธีร์แกช๋วยปิ๋ดแล เซอร์ไพรน่ะเซอร์ไพร โหร่จักม้าย”

        “เออ เซอร์ไพรม๋ากเลยนิ” วีร์ตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดกลับไป

        “แหนนอน เพราะหวา..... แทแด้” เด็กหนุ่มผิวเข้มยิ้มกว้าง ก่อนก้าวจะขยับไปด้านข้างเผยให้เห็นคนที่อยู่ข้างหลังเขา

       วีร์มีสีหน้าเบิกบานขึ้นมาในทันที ดวงตาเบิกกว้างและรอยยิ้มที่แทบจะเห็นฟันหมดทุกซี่ เขารีบโผเข้าโอบกอดคนตรงหน้าในทันที ทั้งคู่ต่างกอดกันกลมพร้อมกับโยกตัวไปมาด้วยความดีใจ ก่อนจะผละออกจากกันเพื่อมองหน้ากันได้ชัดเจน วีร์ยิ้มให้กับหญิงสาวหน้าตาคมขำบวกกับสีผิวเข้มไม่ต่างเด็กหนุ่มคนข้างๆยิ้มอย่างดีใจไม่ต่างจากเขา

        “อีด๋ำ” เป็นสรรพนามที่วีร์เรียกเด็กสาว

        “อีอวน” เป็นสรรพนามที่เด็กสาวเรียกตอบกลับมา

       แล้วทั้งคู่ก็โผ่กอดกันกลมอีกครั้ง จนวีร์รู้สึกว่ามีคนมาสะกิดไหล่ของเขา วีร์จึงผละออกมาก่อนแล้วหันไปมองทางทิศของไหล่ที่ถูกสะกิด ก็เห็นคู่แฝดยืนยิ้มแป้นแล้นอยู่ไม่ไกลจากเขา

        “คืออย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะ” “ถึงแม้ว่าเรื่องบนเวทีจะฮามากก็ตาม” “แต่ทางนี้ดูจะน่าสนุกกว่า” “ใช่ๆ แต่ติดอยู่นิดเดียวเท่านั้น” “ใช่ นิดเดียวเอง”

       วีร์ทำหน้างงว่านพชัยและชัยทิศกำลังหมายถึงเรื่องอะไร

        “คือ ปุ่มกดซับไตเติ้ลมันอยู่ตรงไหนวะ” “คือ พวกกูอยากจะร่วมแจมด้วย แต่เผอิญว่าฟังไม่ออก” “เลยอยากจะรบกวนให้เพื่อนวีร์ช่วยขึ้นบทบรรยายไทยให้ด้วยนะครับ” “หรือไม่ก็รบกวนเปลี่ยนเสียงในฟิล์มให้หน่อยนะครับ”

       สองหนุ่มฝาแฝดต่างทำหน้าที่ได้ดีเช่นเดิมในการพยายามอยากรู้ไปทุกเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

        “อ๋อ เอ่อ... ได้ ไม่มีปัญหา... เนอะ” วีร์หันไปถามความเห็นของผู้มาใหม่ซึ่งทั้งสองคนก็พยักหน้าตอบรับ “แล้วบนเวทีเกิดอะไรขึ้นวะ” วีร์ถามแล้วหันไปมองที่เวทีซึ่งสมาชิกชมรมดนตรียังคงทำการแสดงอยู่ จะมีที่ดูแปลกตาไปก็คือศศิทัศน์ที่มายืนตำแหน่งคีย์บอร์ด

        “ก็เฮียวีอะดิ เกิดเฮี้ยนอะไรขึ้นมาไม่รู้” “เล่นคล่อมจังหวะ พาเอาเกือบล่มทั้งวง” “ขนาดมือกลองยังตีมั่วตามเลย” “อย่างฮาเลย” “ใช่ๆ หน้าไอ้ต่ายอย่างเหวอเลย”

       วีร์หันไปมองที่เวทีอีกครั้ง ถึงได้สังเกตว่าวีรมาตุไม่ได้อยู่บนเวทีแล้ว

        “แล้วสองคนนี้นี่ใครวะ” หนึ่งในฝาแฝดถามขึ้นมา หมายถึงวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ดูจะสนิทสนมกับเพื่อนวีร์ของพวกเขามาก ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างก็ยิ้มกว้างให้กับผู้มาใหม่ทั้งสองคน

*****

       ยิ่งเวลาดึกมากขึ้นก็ยิ่งมีผู้คนมาเที่ยวในงานมากขึ้น บ้างก็มาเป็นครอบครัว บ้างก็มาเป็นคู่ บ้างก็มากับกลุ่มเพื่อนๆ ทำให้พื้นที่ในสวนสาธารณะดูแน่นไปขนัดตา ตลอดสองข้างทางก็มีร้านค้าต่างๆมาจับจองวางขายสินค้ามากมาย ทั้งอาหารการกิน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ และแน่นอนว่างานลอยกระทงก็ต้องมีกระทงขาย จึงเห็นกระทงแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นกระทงใบตอง กระทงขนมปัง กระทงกะลามะพร้าว หรือแม้แต่กระทั้งกระทงที่ทำมาจากสลากกินแบ่งรัฐบาลก็มีให้เห็น

       วีร์เดินคุยมากับเพื่อนผู้หญิงนำหน้าคนอื่นๆ ส่วนเพื่อนผู้ชายถูกประกบด้วยฝาแฝดนพชัยและชัยทิศที่คอยชี้ชวนดูโน้นดูนี่ตลอดเวลา ส่วนพระยศคอยเดินคุมเชิงอยู่รั้งท้ายเผื่อกรณีที่คู่แฝดถามซอกแซกจนอีกฝ่ายรำคาญ เขาก็รีบเข้าไปแทรกบทสนทนาโดยทันที

        “เอ้า พี่ธีร์” ระหว่างทางที่พวกเด็กกำลังเดินไปนั้นก็ไปเจอเข้ากับธีร์พอดี เด็กสาวจึงเอ่ยทักทาย

        “ไง เจอกันแล้วเหรอ” ธีร์ทักทายกลับ

        “ค่า” เด็กสาวยิ้มตอบกลับ

        “ปิดกันอยู่นานมั้ยนิ” วีร์มีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย เพราะยังรู้สึกเคืองที่ธีร์ไม่ได้บอกตัวเอง

        “ปิดอะไร พี่ก็เพิ่งรู้เมื่อตอนเย็นนี้เอง จะเอาเวลาที่ไหนไปบอก ไม่ได้จะตั้งใจปิดบังอะไรสักหน่อย” ธีร์รีบแก้ความเข้าใจผิดของวีร์ จนวีร์หันมามองหน้าเด็กหนุ่มผิวเข้มว่าเขากำลังโดยแกล้งอีกแล้ว

        “อะไรหล่าว กูไม่เคยบอกว่ากูวางแผนกับพี่ธีร์สักหน่อย”

       วีร์พ่นลมหายใจออกมาแล้วก็หันหน้ากลับ

        “แล้วนี่กำลังจะไปไหนกันเหรอ” วนกรที่ยืนอยู่ข้างๆธีร์กำลังมองดูเด็กๆแต่ละคน

        “กำลังเดินไปร้านของใหญ่ครับ ไปด้วยกันมั้ย” วีร์ตอบและเอ่ยชวนทั้งธีร์และวนกร

        “ไม่ละ พี่กำลังจะกลับแล้ว นี่ก็กำลังเดินไปส่งวาที่รถพอดีแต่ว่าเจอพวกเราซะก่อน” ทั้งธีร์และวนกรยิ้มให้

        “แน่ใจนะว่าจะกลับ” วีร์ถามเหมือนคำถามทั่วๆไป แต่เขาไม่ได้พูดต่อไปอีกว่า “ไม่ใช่ไปแวะที่ไหนก่อนจะถึงบ้านอยู่อีกหรอกนะ”

        “เอ๊! เรานี่ยังไงกัน” ธีร์เคาะลงบนศีรษะของวีร์เบาๆ

        “เอ้า จะไปรู้เหรอ” วีร์เบะริมฝีปากเล็กน้อย “ไม่ไปด้วยกันจริงๆนะ” วีร์ถามทั้งคู่ย้ำอีกครั้ง และอีกฝ่ายต่างส่ายหน้าปฏิเสธ “งั้นก็ตามใจ วันนี้วีร์กลับดึกหน่อยนะ เดี๋ยวจะกลับกับใหญ่”

        “ได้ ตามสบายเลย” ท่าทางของธีร์ทำเอาวีร์มองไม่วางตาอีกครั้ง

        “หวังว่าพอวีร์กลับไปถึงพี่ธีร์จะถึงบ้านแล้วนะ”

        “นี่สรุปว่าใครเป็นผู้ปกครองใครกันแน่ห๊ะ”

       วีร์แค่ยักไหล่ตอบกลับ

        “งั้นพวกวีร์ไปก่อนนะ”

       ธีร์สะบัดมือเล็กน้อยในเชิงหยอกออกตัวไล่ให้วีร์เดินไปได้แล้ว ส่วนวีร์ก็ยิ้มยกมุมปากกลับก่อนที่จะเดินนำคนอื่นๆออกไปยังจุดมุ่งหมายของพวกเขาแต่แรก

        “คนแหรกเดี๋ยวใครอะ” เด็กสาวหันมากระซิบกับวีร์ “แฟนผีธีร์เออ”

        “เผือนเก๋าเค้า”

        “ช่ายเออ”

        “ม่ายโหร่ ช่ายส้นใจ๋นิ” เด็กสาวอมยิ้มและทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ยใส่จนวีร์ถึงกับเบะปากและหันไปมองทางอื่นแทน เด็กสาวผิวเข้มจึงแขนวีร์มากอดและเดินซบลงที่ต้นแขนไปตลอดทาง

[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 7 ... 5 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 04-05-2021 23:56:38
       วีร์และกลุ่มเพื่อนทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ได้พากันมานั่งที่ร้านอาหารของสุรศักดิ์ที่มาตั้งเต้นท์อยู่ในงานลอยกระทง สุรศักดิ์จัดที่ตั้งโต๊ะด้านในสุดเตรียมรอไว้ให้แล้ว และยังได้เพิ่มโต๊ะต่อเข้ามาอีกหนึ่งตัวเมื่อรู้ว่าจะมีผู้มาใหม่เพิ่มขึ้นอีกสองคน โดยเด็กหนุ่มผิวเข้มนั่งอยู่หัวโต๊ะ ตามด้วยวีร์และเด็กสาวนั่งฝั่งตรงกันข้ามประกบหัวโต๊ะ ถัดจากทั้งคู่คือแฝดนพชัยที่นั่งต่อจากวีร์และแฝดชัยทิศที่นั่งต่อจากเด็กสาว และมีพระยศที่นั่งปิดท้าย เหลือที่นั่งข้างนพชัยและหัวโต๊ะอีกฝั่งที่ยังว่างอยู่ ไว้สำหรับสมาชิกชมรมดนตรีที่ยังทำธุระไม่เสร็จเรียบร้อย

       นพชัยและชัยทิศต่างพยายามทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี คอยชวนพูดคุยและสอบถามเรื่องราวต่างๆ รวมถึงแนะนำสถานที่ใกล้ๆในตัวเมืองเผื่อว่าเพื่อนใหม่ทั้งสองคนอยากจะแวะไปเที่ยวก่อนกลับ โดยมีพระยศนั่งฟังอยู่เงียบๆ มียิ้มตอบรับเออออบ้างในบางเรื่องที่ฝาแฝดพยายามเสนอตัวเล่าให้ฟัง และสุรศักดิ์ที่คอยแวะเวียนมาร่วมวงสนทนาบ้างตอนที่ไม่มีลูกค้าใหม่เข้ามาในร้านเพิ่ม ส่วนศศิทัศน์และวีรมาตุก็ตามมาสมทบในภายหลัง หลังจากที่ได้เก็บอุปกรณ์เครื่องดนตรีทุกชิ้นขึ้นรถเตรียมขนกลับไปเก็บที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว

        “เนี่ย ใช่เลย ไอ้วีร์เป็นคนอย่างนั้นเลย” หนึ่งในแฝดพูดแทรกขึ้นมาระหว่างที่ชายหนุ่มผิวเข้มกำลังเล่าเรื่องของพวกเขาและวีร์ให้ฟัง “ใช่ๆ มันอะนะ ถ้าไม่ถามก็ไม่เคยคิดจะบอกอะไรใคร” “ถ้าพวกกูไม่ได้อยากรู้ไปซะทุกเรื่องขนาดนี้ ก็ไม่มีทางได้รู้อะไรเลย”

        “อันนั้นเขาเรียกว่าเสือก” วีร์พยายามพูดแทรกขึ้นมา แต่ก็ไม่อาจไปขัดจังหวะของคู่แฝดไปได้

        “นี่ถ้ากูไม่เป็นคนถามว่ามันเป็นเกย์นะ” “จนถึงตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครรู้กันเลยสักคน”

        “อันนั้นกูเป็นคนถาม” ศศิทัศน์พยายามแย้งขึ้นมา แต่ก็เหมือนสายลมที่พัดผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

        “ขนาดมันเล่นไอจี มันยังไม่บอกใครเลย” “ใช่ๆ พวกกูต้องไปตามสืบหากันมาเองถึงได้รู้” คู่แฝดต่างรู้สึกพอใจกับการได้แลกเปลี่ยนวีรกรรมของเพื่อนตัวเองให้เพื่อนใหม่ฟัง โดยไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ตัวเองเพิ่งหลุดปากไปทำเอาอย่างน้อยสองคนสะดุ้งขึ้นมาในทันที

       วีร์หันหัวขวับมาจ้องมองนพชัยและชัยทิศในทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะย้ายสายตาไปมองเด็กหนุ่มสองคนตรงด้านหัวโต๊ะอีกฝั่ง คนหนึ่งก้มหน้าทำเป็นดูรายการอาหารถึงแม้ว่าจะสั่งไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นถึงจะนั่งอยู่นิ่งๆดูไม่น่าสงสัยอะไร ถ้าวีร์ไม่เคยเห็นชื่อของเขาคนนั้นเคยส่งคำขอติดตามอินสตาแกรมของเขามาก่อน

        “อ้อ แล้วก็พวกกูยังไม่เคยถามมันนะว่ามีแฟนแล้วรึยัง” “เออ นั่นสิ ทำไมพวกเราไม่เคยถามมันอันนี้วะ” คู่แฝดนพชัยชัยทิศหันมามองหน้ากันเองอย่างสงสัย

        “แล้วคิดว่ากูจะตอบมั้ย” วีร์จ้องหน้าทั้งสองคนอย่างท้าทาย

        “คิด” “คิดว่ามันจะตอบ?” “คิดว่าทำไมมึงรับลูกคู่กูดีจังเลยวันนี้” “เอ้า ก็แฝดกัน คิดอะไรก็รู้ไปหมดทุกอย่าง” “ผ่าง” “แฮ่” ทั้งสองหันหน้าไปมาเจอกับหน้าทุกคนที่กำลังมองดูพวกเขาอยู่ “ไม่ตลกเหรอ?” “นั่นสิ กูว่ามันได้นะเมื่อกี้อะ”

       หลายคนได้แต่ถอนหายใจพร้อมส่ายหน้าไปมา

        “ว่าไงมึง” หนึ่งในแฝดหันมาถามวีร์

        “อะไร” วีร์ตอบกลับ ทำเป็นเหมือนตามมุกของฝาแฝดไม่ทัน

        “มึงมีแฟนแล้วยัง เนี่ย พวกกูถามแล้ว” “มึงเคยบอกว่าอยากรู้อะไรให้ถาม” “ใช่ๆ ถ้าถามแล้วมึงก็จะบอก”

        “กูเคยพูดอย่างนั้นหรอ”

        “อย่าลีลา เร็ว ตอบมา” “มึงมีแฟนแล้วยัง” นพชัยและชัยทิศจ้องมองวีร์อย่างไม่ละสายตา ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะสอดส่ายสายตาไปมาระหว่างและเด็กหนุ่มผิวเข้มที่นั่งอยู่ข้างๆ ทันใดเขาก็ชี้นิ้วไปมาระหว่างวีร์และชายหนุ่มคนนั้น “หรือว่า พวกมึงเป็นแฟนกัน” “เฮ้ย! จริงเดะ”

       ไม่ใช่เพียงนพชัยและชัยทิศที่มีทีท่าตกใจ แต่ใครคนหนึ่งก็แสดงอาการพิรุธออกมาแม้ว่าจะพยายามวางตัวนิ่งตามเดิม ตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นวีร์กับเด็กหนุ่มผิวเข้มคนนี้มีท่าทางสนิทสนมกันจากบนเวทีการแสดง ในใจก็พยายามคิดว่าคงจะเป็นเพื่อนคนหนึ่งของวีร์เท่านั้น แต่ก็ไม่อาจจะห้ามใจให้หยุดคิดไปไกลกว่านั้นไม่ได้

       ส่วนวีร์ถึงกับกรอกตามองบนให้กับจินตนาการอันบรรเจิดของคู่แฝดนรก

        “สองคนนี้ มันเป็นแฟนกัน” วีร์ชี้ไปที่เด็กหนุ่มผิมเข้มที่นั่งอยู่หัวโต๊ะข้างเขาและเด็กสาวที่นั่งอยู่อีกฝั่งตรงข้าม นพชัยและชัยทิศหันไปมองเด็กหนุ่มสาวอย่างพินิจพิจารณา

        “จริงอะ” เด็กหนุ่มสาวยิ้มและพยักหน้ารับ “จริงเดะ” เด็กหนุ่มสาวยิ้มและพยักหน้ารับอีกครั้งให้กับคู่แฝดอีกคน นพชัยและชัยทิศก็หันกลับมาหาวีร์อีกครั้ง “งั้นก็เหลือแต่มึงยังไม่ตอบพวกกู“ “ว่ามึงมีแฟนแล้วยัง” ”ว่าไง” “ว่ามา”

        “กูจะมีหรือไม่มี มันก็เป็นเรื่องของกู ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกมึงนะเพื่อนรัก”

        “ไรว้า โสดไม่โสดก็บอกมา ง่ายๆแค่เนี่ย” “ถ้าโสดจริง ก็มีคนรอจีบอยู่” “ถ้ามึงไม่โสดแล้ว เขาจะได้ทำใจ” “ใช่ๆ เขาจะได้ตัดใจแล้วไปหาคนใหม่ที่ดีกว่ามึง”

        “ตามสบายเลย กูบอกแล้วว่ากูยังไม่สนใจใคร”

        “อ้าว แล้วมึงเอาพี่วีไปไว้ไหนอะ” เด็กหนุ่มผิวเข้มพูดแย้งขึ้นมากลางวงสนทนาในทันที ทำเอาวีร์หันขวับมาจ้องหน้าตาเขม็ง

        “แหลงม๋ากไป่แล่วมึ้งอะ” เสียงที่ลอดผ่านไรฟันกับริมฝีปากที่ประกบกันไว้ แม้จะเบาประกอบกับสำเนียงภาษาถิ่น แต่คนที่เหลือบนโต๊ะพอจะได้ยินและเดาความหมายออกได้อยู่บ้าง

        “ยังไง” “อะไร ยังไงว่ามา”

        “อะไรยังไง อะไรวะ” วีร์ถามกลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

        “อย่ามาทำซึน” “พูดมา!” คู่แฝดยังคงพยายามอย่างไม่ลดละที่จะต้องรู้เรื่องของคนอื่นให้ได้

        “ก็บอกเพื่อนมึงไปสิวะ ไม่เห็นเป็นไรเลย” เป็นเด็กหนุ่มผิวเข้มที่พูดแทรกขึ้นมา

        “ก็อยู่ที่เดิม ที่เดิมอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น” วีร์พูดพร้อมกับยักไหล่ แล้วก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดูด

        “นั่นแน่ๆ” “จริงๆก็คิดอะไรกับเขาอยู่ใช่ม้า” “แต่ทำเล่นตัวไปงั้นๆแหละ”

       วีร์ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายใจ แล้วหันไปพูดคุยกับเพื่อนเก่าแก่ของเขาแทน

        “อีหลบพรือนิ”

        “แขบหลบไป๋ไหนอะ โย่ก่อนแล ยังหนุกโย่เล้ยนิ”

       แม้จะเห็นสีหน้าของวีร์แล้วแต่เด็กหนุ่มผิวเข้มยังทำลอยหน้าลอยตา จนเด็กสาวต้องตอบแทนหวังตัดรำคาญของเพื่อนรักของเธอ

        “ม๋ากับผีแปง” วีร์หันไปพยักหน้ารับรู้ “ผีแปงลบต่อใด๋ก็ต่อนั้นและ”

       จนมีแรงสะกิดเบาๆที่แขนของวีร์จนต้องหันไปมอง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

        “มีอะไร” วีร์หันไปถามนพชัย

        “กูกำลังกดปุ่ม cc”

        “เออ โทษที รู้แล้ว จะแหลงภาษากลางอย่างเดียวเลย พอใจยัง”

       ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างยิ้มกว้างให้ในทันที

        “แล้วพี่แป้งไปไหนแล้วอะ” วีร์หันไปถามเด็กสาว

        “ไม่รู้เหมือนกัน เดินเล่นอยู่ในงานนี้แหละ จะไปไหนได้” เด็กสาวตอบกลับพร้อมกับชะเง้อคอมองดูไปรอบๆ

        “แล้วทำไมถึงชวนพี่แป้งมาได้อะ ช่วงนี้พี่แป้งว่างเออ”

        “ถ้าพี่แป้งไม่มาด้วย คิดว่าอีดำจะได้มาเออ” เป็นเด็กหนุ่มผิวเข้มเป็นผู้ตอบให้แทน

        “ถึงได้ถามไง ว่าช่วงนี้พี่แป้งว่างเออ ถึงมาเป็นเพื่อนได้”

        “เอ้า ไม่ว่างแล้วจะมาได้พรือ”

        “เออออ...” วีร์ตอบกระแทกเสียงกลับด้วยความรำคาญ

        “แกล้งมึงแล้วยังสนุกดีเหมือนเดิม” เด็กหนุ่มผิวเข้มหัวเราะออกมา

        “กูคิดผิดจริงๆที่ช่วยมึงจีบอีดำ”

        “แน่ใจ? ว่าถ้าเธอไม่ช่วย ชั้นจะไม่ได้เป็นแฟนอีมืดนี่” เด็กสาวเป็นคนตอบกลับ จนวีร์ถึงกลับกรอกตามองบน

        “อันนี้คือเราสนิทกันจริงๆตั้งแต่ยังคลานสี่ขากันอยู่ใช่มะ” วีร์ถามกลับปนประชดเล็กน้อยพอเป็นพิธี เด็กสาวเลยหยอกล้อกลับด้วยการบีบแก้มทั้งสองข้างของวีร์ด้วยความหมั่นเขี้ยว เหมือนที่ได้เคยทำเรื่อยมาตั้งแต่ที่ได้รู้จักคบหากัน

        “ก็รู้ๆกันอยู่ ว่าจริงๆมันอยากใช้โบ๋เราเป็นสะพานไปหาใคร” เด็กหนุ่มยักคิ้วหลิ่วตาให้กับวีร์

        “แล้วยังไง”

        “ก็ไม่ยังไง”

       เหมือนโลกส่วนตัวระหว่างเพื่อนเก่ากำลังถูกสร้างขึ้น แม้ว่าทั้งสามคนจะพูดสำเนียงเป็นภาษากลาง แต่เนื้อหาที่คุยกันกลับไม่ทำให้คนอื่นๆสามารถเข้าใจได้ คู่แฝดนพชัยชัยทิศที่คอยฟังอย่างตั้งใจก็ยังมีสีหน้างุนงงสงสัยว่าทั้งสามคนพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ และคนอื่นๆที่เหลือก็คงรู้สึกไม่ต่างกันมากนัก

        “แล้วนี่จะได้เจอแฝดชั้นมั้ยอะ” เด็กสาวถามวีร์

        “เธอมาช้าไปอะสิ เขากลับบ้านไปตั้งนานแล้ว ถ้าอยากเจอก็แวะมาที่โรงเรียนพรุ่งนี้ดิ เขาก็บอกอยู่ว่าอยากเจอเหมือนกัน”

        “โอเค ได้ๆ แล้วเดี๋ยวจะแวะไป”

        “ตอนบ่ายๆเย็นๆนะ” เด็กสาวยกขึ้นตอบกลับเป็นเครื่องหมายตกลง

        “หมายถึงใครเหรอวะ” นพชัยสะกิดวีร์ก่อนที่จะถาม

        “อะไร”

        “ก็แฝดเพื่อนมึงไง หมายถึงใครวะ” ชัยทิศถามแทนคู่แฝดของเขา

        “อ๋อ ก็แพรไง เขาบอกว่าอยากเจอหน้ากัน นี่ยังไม่ได้ไลน์บอกแพรเลย” วีร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอพลิเคชั่นไลน์

        “ยังไงวะ” ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างมีสีหน้างงงวย เพราะเด็กสาวตรงหน้าพวกเขาไม่ได้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับเพื่อนร่วมห้องของพวกเขาเลยสักนิด โดยเฉพาะสีผิวที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

        “อ๋อ... เอ่อ... คุยกันมาตั้งนาน กูลืมแนะนำ” วีร์เงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนรอบๆโต๊ะ “นี่ สองคนนี้เป็นฝาแฝดชื่อกิ่งและก้าน คนนั้นคือบิ๊ก ส่วนคนที่ไปขายอาหารอยู่คือใหญ่” วีร์แนะนำเพื่อนๆทีละคน “แล้วก็... ต่าย นี่คือต่าย ต่าย นี่คือต่าย” วีร์แนะนำพร้อมผายมือสลับไปมาระหว่างเด็กหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่คนละฝั่งโต๊ะกันและมีสีผิวตรงกันข้ามด้วยเช่นกัน

       เด็กหนุ่มทั้งสองคนต่างยืดตัวตรงและเลิกคิ้วขึ้นมองกันไปมาหลังจากที่เพิ่งได้รู้ว่าเขาทั้งคู่ต่างก็มีชื่อเล่นเหมือนกัน

        “แล้วนี้ก็เพื่อนคนแรกในชีวิตของกู เพราะว่ารั้วบ้านอยู่ติดกัน เล่นด้วยกันมาตั้งแต่ยังแบเบาะเลย” วีร์หันไปแนะนำเด็กสาวคนเดียวในโต๊ะนี้ “ชื่อว่า แพรไหม”

        “แล้วคนสุดท้าย...” เด็กหนุ่มผิวเข้มที่ชื่อว่าต่าย เอ่ยถามถึงอีกคนที่วีร์ยังไม่ได้แนะนำตัวให้รู้จัก

        “หืม...” วีร์หันไปมองคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะของอีกฝั่ง “อ๋อ นั่นเฮียวี พี่ชายของต่าย”

        “เฮียวี? พี่ชายของต่าย?” เด็กสาวที่ชื่อว่าแพรไหมถามย้ำอีกครั้ง

        “อืม” วีร์ตอบกลับสั้น

        “งั้นกูก็ไม่สงสัยอะไรแล้ว” ต่ายผิวเข้มยิ้มให้กับคนที่นั่งหัวโต๊ะฝั่งตรงข้าม รอยยิ้มอย่างจริงใจที่คนรับไปก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกำลังถูกท้าทาย

        “ให้มันน้อยๆหน่อยนะไอ้คุณวิธู” วีร์กระซิบกับคนข้างๆพยายามปรามไว้ในที

        “โห... เรียกชื่อจริงมาขนาดนี้ นี่กูต้องกลัวแล้วมั้ย” อีกฝ่ายก็กระซิบกลับมา แต่ยังมองคนที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามไม่วางตา

        “ไอ้คุณวิธู กิจการเรืองฤทธิ์ ทำตัวดีๆหน่อย”

       เจ้าหันมายิ้มให้เขาแล้วก็หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดูด แล้วย้ายสายตาของเขากลับไปที่เดิม

[โปรดติดตามตอนต่อไป]

ปล. อยากให้ใส่ซับไตเติ้ลด้วยรึเปล่า
ปล2. ครึ่งทางแล้วจ้า ค่อยๆป้อนมาม่าทีละช้อน
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 7 ... 5 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 06-05-2021 22:09:01
พอเดาได้บ้างครับ :)
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 7 ... 5 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-05-2021 22:43:00
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 7 ... 5 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-05-2021 10:35:44
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 7 ... 5 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: myadam ที่ 10-05-2021 18:41:31
มาทรงนี้ เฮียวีแห้วแน่เลย
เฮียวีคือพระเอกเรื่องนี้ใช่มั้ย   :o12:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 7 ... 5 เม.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: Moonoii ที่ 11-05-2021 15:40:19
 :mew6:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 8 ... 14 พ.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 14-05-2021 00:38:53
ตอนที่ 8 เปิดตัว

       “นี่วีร์ แพรเขาบอกว่าจะมาถึงกี่โมง” เด็กสาวหันมาถามเพื่อนที่นั่งเรียนอยู่ข้างๆกันในทุกวัน หลังจากที่อาจารย์เพิ่งจะสั่งปล่อยให้ทุกคนได้ไปพักรับประทานอาหารเที่ยงเมื่อหมดเวลาเรียนช่วงเช้าไปแล้ว เด็กนักเรียนแต่ละคนต่างก็เก็บสัมภาระของตัวเองลงในกระเป๋า เตรียมตัวพร้อมสำหรับเดินลงไปที่โรงอาหาร เสียงคุยโหวกเหวกก็ดังขึ้นมาเรื่อยๆพร้อมกับเสียงเก้าอี้ที่ถูกสอดเข้าเก็บไว้ชิดกับโต๊ะเรียน

        “น่าจะถึงแล้วมั้ง” วีร์ยกโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดู “นี่ไง ไลน์มาว่านั่งจองที่ในโรงอาหารไว้ให้แล้ว ให้ลงไปได้เลย” วีร์หันโทรศัพท์ไปให้เด็กสาวอ่านข้อความในแอพลิเคชั่นไลน์

        “งั้นไปกันเลย ไป ชั้นอยากเจอแล้ว” เด็กสาวมีท่าทางดีใจอย่างเห็นได้ชัดที่ได้รู้ว่าเพื่อนคู่แฝดของเธอมาถึงแล้ว หลังจากที่ผ่านมาทั้งคู่ได้เคยพูดคุยกันผ่านทางออนไลน์เพียงเท่านั้น

        “เฮ้ย! พวกมึง กูกับแพรลงไปก่อนนะ ไอ้ต่ายกับแพรมารออยู่ที่โรงอาหารแล้ว เดี๋ยวพวกมึงตามไปก็แล้วกัน” วีร์หันไปบอกเพื่อนๆก่อนที่เขาจะเดินออกนอกห้องไปกับเด็กสาว

        “เอ้า ลุกสิพวกมึง” “เดี๋ยวคนก็เต็มโรงอาหารหรอก”

        “พวกมึงสองตัวอยากรีบไปเสือกเรื่องเพื่อนไอ้วีร์ก็บอกมาเถอะ” พระยศที่เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินตามพวกคู่แฝดออกไป เหลือสุรศักดิ์กับศศิทัศน์ที่ยังนั่งอยู่ สุรศักดิ์กำลังคัดลอกจุดเน้นสำคัญที่อาจารย์บอกไว้จากสมุดของศศิทัศน์ ส่วนศศิทัศน์กำลังนั่งดูโทรศัพท์ของตัวเองอยู่

        “ไปมึง กูลอกเสร็จแล้ว” สุรศักดิ์รีบเก็บข้าวของของตัวเองลงกระเป๋า เขาลุกยืนแล้วออกเดินแต่ก็เหลียวหลังหันมาเห็นว่าเพื่อนของเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม “ไอ้ต่าย!”

       ศศิทัศน์เงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงเรียก

        “ไปได้แล้ว ไป”

       ศศิทัศน์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาก้มลงมองดูโทรศัพท์ของเขาอีกครั้ง

        “ทำไม มึงเป็นไรวะ” สุรศักดิ์ถามจากที่สังเกตเห็นอาการของเพื่อนเขา

        “เฮ้อ! ไม่รู้ว่ะ” ศศิทัศน์ถอนหายใจออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นมองดูหน้าสุรศักดิ์ที่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย “ก็ กูรู้สึกเหมือนเฮียกูกำลังจะอกหัก ทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มจีบมันเลย”

        “มึงคิดอะไรไปไกลถึงไหนเนี่ย”

       ศศิทัศน์ยักไหล่ตอบกลับมา

        “มึงคิดว่าไอ้วีร์กับไอ้ต่ายเพื่อนมัน มีอะไรมากกว่านั้นเหรอ” สุรศักดิ์ถามศศิทัศน์ของเขา

        “อืมม กูว่าไม่ว่ะ” ศศิทัศน์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกันพยายามคิดหาคำพูดมาอธิบายสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ “คือกูว่า เพื่อนไอ้วีร์สองคนมันเป็นแฟนกันจริงๆ ไม่ใช่แกล้งคบบังหน้าอะไรแบบนั้น” ศศิทัศน์ขยายความเพิ่มเติมเมื่อสีหน้าของสุรศักดิ์ “เพียงแต่ กูก็ไม่แน่ใจว่าทำไมกูถึงได้รู้สึกเหมือนไอ้ต่ายเพื่อนมันจะดูหวงไอ้วีร์มากๆ ยังไงก็ไม่รู้”

        “มึงคิดไปเองรึเปล่า” ศศิทัศน์ทำหน้าคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง “พวกมันเป็นเพื่อนกันมานาน พวกเราน่ะสำหรับพวกมันคือคนมาทีหลัง มันก็อาจจะมีบ้างที่ประมาณว่ากลัวไอ้วีร์จะมาสนิทกับพวกเรามากกว่ามัน ไม่เหมือนแต่ก่อนก็ได้มั้ง”

        “ไม่รู้ว่ะ”

        “คิดมากมึง ไป ไปกินข้าวกัน” สุรศักดิ์เอ่ยชวนให้ศศิทัศน์ลุกขึ้นมาเพื่อไปโรงอาหารกันได้แล้ว

*****

       เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองคนเดินมาถึงที่โรงอาหาร ทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไปเพื่อซื้ออาหารที่แต่ละคนอยากกิน ศศิทัศน์ที่เดินออกมาได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็เห็นโต๊ะที่มีวีร์ เพื่อนทั้งสองคนของเขา แฝดนพชัยชัยทิศ และพระยศที่นั่งกินอาหารและชวนคุยหยอกล้อกันอยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนว่าทั้งนพชัยและชัยทิศจะเข้ากันได้ดีกับเด็กหนุ่มผิวเข้มคนนั้น ศศิทัศน์ที่เห็นดังนั้นก็คิดไปว่าบางทีเขาอาจจะคิดมากไปจริงๆอย่างที่สุรศักดิ์บอกก็เป็นได้

       หากว่าเขาไม่ได้เดินต่อมาอีกนิด และเห็นพี่ชายของเขากำลังยืนถือจานอาหารอยู่นิ่งๆ มองดูแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่เขาชอบถูกโอบไหล่โดยเด็กหนุ่มผิวเข้มคนนั้น ก่อนที่จะถูกเพื่อนๆของเขาเรียกให้ไปนั่งรวมกันที่โต๊ะ ศศิทัศน์ก็อาจจะเลิกคิดไปแล้วว่าเขาคิดมากไปจริงๆ

       ศศิทัศน์ได้แต่ถอนหายใจ แล้วออกเดินไปซื้ออาหารแล้วไปนั่งรวมกันกับเพื่อนๆของเขาบ้าง

        “ทำไมมาช้ากันนักว่ะพวกมึง” พระยศเอ่ยถามทันทีที่ศศิทัศน์และสุรศักดิ์นั่งลง

        “กูลอกช๊อตโน้ตของไอ้ต่ายอยู่ เลยลงมาช้า” สุรศักดิ์เป็นคนตอบ

        “เดี๋ยวนี้ขยันเป็นแล้วเหรอมึง” “นึกคึกอะไรขึ้นมาว่ะ” “ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะสนใจ” “โน้น.. ปกติต้องไฟลนก้นก่อนสอบไม่ใช่หรอ”

        “แล้วแต่พวกมึงนะ ของจารย์กบ แกพูดเน้นตรงไหนมาก็ข้อสอบทั้งนั้น”

        “อุ้ย! อย่างงี้แล้ว พี่ต่ายครับ” “เดี๋ยวของยืมลอกด้วยนะครับ”

        “เออ เดี๋ยวขึ้นห้องไปแล้วค่อยเอาไปลอก” ศศิทัศน์เริ่มลงมือตักอาหารของตัวเองกิน

        “ต่ายเรียนเก่งเหรอ” เด็กสาวผิวเข้มชะโงกหน้าออกมาถามเจ้าตัวที่นั่งไกลจากเธอไปสักหน่อย

        “มันเรียนเก่งมาก” “เก่งสุดๆไปเลย” “ถามอะไรตอบได้หมด” “รับประกันเชื่อมือได้”

        “โหดีอะ เก่งจัง คนละเรื่องกับต่ายเวอร์ชั่นนี้เลย” เธอหันเขกหน้าผากคนตรงหน้าเธอเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อ

        “เอ้า มีแฟนมีเพื่อนเป็นที่พึ่งอยู่แล้วจะกลัวอะไร อย่างน้อยก็ไม่เคยสอบตกสักวิชาก็แล้วกัน” เขาพูดไปพลางกอดคอดึงวีร์เข้ามาใกล้มากกว่าเดิม

        “ชวนพากันลงเหวละไม่ว่า” คนที่ถูกดึงคอไปพยายามขืนตัวออกมาให้ตัวเองนั่งตรงอย่างเดิม

        “หึๆ เพราะกูเชื่อในฝีมือติวเตอร์ของมึงต่างหาก”

       วีร์ลอบถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้าไปมาเพียงเล็กน้อย แต่ที่ใต้โต๊ะนั้นเขาหยิกไปที่ต้นขาเพื่อนซี้ของเขาสุดแรงนิ้ว แล้วก็หันไปยิ้มให้กับคนข้างๆ ที่ยังทำสีหน้าปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

        “ก็อีดำมันพึ่งได้ตลอดกาลอยู่แล้วนี้”

        “คำก็อีดำ” “สองคำอีดำ” “เพื่อนวีร์ไม่ให้เกียรติผู้หญิงแล้วเหรอครับ” “ถึงได้พูดจาไม่สุภาพแบบนี้” คู่แฝดนพชัยและชัยทิศพยายามพาตัวพวกเขาเองเข้าไปอยู่ในวงสนทนาในทุกสถานการณ์

        “ก็อยากจะให้เกียรติอยู่หรอกนะ ถ้าคุณเธอยังไม่หยุดเรียกกูว่าอีอ้วน ก็ยังเป็นอีดำของกูอยู่ดี”

        “ทำไมถึงเรียกไอ้วีร์ว่าอีอ้วนละครับ” “นั่นสิ ไม่เห็นว่ามันจะอ้วนอะไรตรงไหนเลย”

        “แล้วนั่น สองคนนั้นน่ะ เม้าท์อะไรชั้นอีกล่ะ” วีร์เอ่ยถึงสองสาวที่เขาหันไปเห็นว่ากำลังซุบซิบกันเองสองคน

        “อะไร ชั้นแค่เล่าให้แพรฟังเฉยๆ ว่าแต่ก่อนตัวเธอน่ะอ้วนขนาดไหน” เด็กสาวผิวเข้มหันมาตอบเพื่อนของเธอ “เมื่อก่อนใส่เสื้อผ้าไซส์อะไรบอกเพื่อนๆเขาไปสิ” เธอพูดแล้วก็ยิ้มให้หวานๆ ส่วนวีร์ที่กำลังโดนเผาซึ่งๆหน้าก็ยิ้มตอบกลับอย่างไม่หวั่นกลัว

        “ใหญ่ประมาณไหนเหรอ” “ประมาณ XL ได้มั้ย” “หรือว่าใหญ่กว่านั้นอีก”

        “XL น่ะยังน้อยไปด้วยซ้ำ” เป็นต่ายเวอร์ชั่นเข้มที่พูดไปโยกตัวของคนที่เขาโอบไหล่อยู่ไปด้วย

        “จริงอะ ล้อเล่นกันใช่มั้ย” แพรเวอร์ชั่นผิวขาวมองดูเพื่อนใหม่ทั้งสองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา

        “อยากเห็นมั้ย” แพรเวอร์ชั่นผิวเข้มหันไปถามคู่แฝดของเธอ “แพรเล่นไอจีใช่มั้ย” เธอถามต่อในทันทีโดยไม่รอคำตอบจากอีกคน “เอาโทรศัพท์มา ปลดล๊อคให้ด้วย” ทั้งยังแบมือรอรับโทรศัพท์

       แพรพรรณส่งโทรศัพท์ของเธอให้กับอีกคนไปอย่างงงๆว่าเขาจะทำอะไร เธอเห็นแพรไหมกดเข้าแอพลิเคชั่นอินสตาแกรม จากนั้นจึงกดเข้าไปที่ส่วนค้นหาแล้วพิมพ์บางอย่างลงไป กดอะไรบางอย่างที่สองสามครั้ง แล้วก็ส่งคืนโทรศัพท์ไปให้เจ้าของดังเดิม

        “กดรับให้ด้วย” เด็กสาวผิวเข้มเอ่ยปากในเชิงออกคำสั่งให้กับคนฝั่งตรงข้ามที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนแฟนของเธอ

        “แล้วชั้นเลือกอะไรได้มั้ย” วีร์หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา แล้วเข้าไปกดยอมรับให้แพรพรรณติดตามอินสตาแกรมของเขาได้ “เอา เสร็จแล้ว อยากให้ชั้นทำอะไรให้อีกมั้ย”

       สองสาวได้แต่ยิ้มตอบกลับมาให้ แล้วก็พากันไปดูรูปต่างที่อยู่ในอินสตาแกรมของวีร์

       ส่วนคนที่เหลือต่างมองหน้ากันไปมา บ้างก็ขยิบตา บ้างก็ส่ายหน้า บ้างก็สะกิดกันไปมาทำตัวขยุกขยิกไม่หยุด จนวีร์เองก็รู้สึกได้

        “ส่วนพวกมึง รอไปก่อน ความผิดอันเก่ากูยังไม่ได้สะสาง” คนฟังได้แต่ยิ้มแห้งตอบกลับมา

        “เห็นมั้ยเพราะมึงเลย” “ทำอะไรไมรู้จักคิด” “เป็นไงละ”

        “กูคนเดียวเลย” ศศิทัศน์พูดประชดคู่แฝด “เดี๋ยวพวกมึงก็อย่ามาขอลอกสมุดงานกูก็แล้วกัน”

       คนอื่นๆก็ปล่อยให้ศศิทัศน์และคู่แฝดเถียงกันไปมา แล้วหันมาจัดการอาหารของตัวเองให้เรียบร้อยเพราะใกล้หมดเวลาพักกลางวันแล้ว

        “เดี๋ยวมึงกลับเลยมั้ย” วีร์หันมาถามเพื่อนซี้เก่าแก่ของเขา

        “ก็ไม่รู้จะอยู่ทำอะไรแล้วนิเบ๋อ”

        “แล้วตอนเย็นจะแวะไปที่บ้านมั้ยอะ” วีร์เอ่ยชวน แล้วหันไปคุยกับสองสาว “บ้านแพรก็อยู่ใกล้ๆกัน”

        “ใช่ บ้านเราอยู่ถัดจากบ้านวีร์ไปแค่สี่หลังเอง เผื่อจะได้แวะไปคุยด้วย” แพรพรรณเอ่ยเชิญชวนด้วยอีกแรง

        “อืม เดี๋ยวดูก่อนว่าให้พี่แป้งไปส่งได้มั้ย ถ้าจะไปเดี๋ยวชั้นไลน์มาบอกเธอก็แล้วกัน” เด็กสาวผิวเข้มหันมาตอบวีร์

        “งั้นก็แล้วแต่นะ ไม่งั้นก็ค่อยเจอกันพรุ่งนี้ก็ได้” วีร์รวบช้อนซ้อมวางลงบนจาน แล้วจึงหยิบแก้วน้ำมาดื่ม หลังจากที่ได้จัดการอาหารของเขาจนหมดแล้ว

        “แล้วพรุ่งนี้มึงจะออกมากี่โมง” เด็กหนุ่มผิวเข้มก็หยิบน้ำมาดื่มด้วยเช่นกัน

        “เช้าๆแหละ แปดเก้าโมงเหมือนทุกที”

        “เดี๋ยว!” ศศิทัศน์หันมาถามในทันทีที่เขาได้ยินเรื่องที่คุยกัน “ไอ้นัดทุกวันเสาร์ที่มึงไม่เคยออกมาเจอกับพวกกูได้ คือนัดไว้กับเพื่อนมึงหรอ”

        “เปล่า” วีร์ตอบปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของคนถามที่ยังทำคิ้วขมวดสงสัยอยู่ “กูไม่ได้นัดไปเจอมัน กูนัดเจอกับคนอื่น”

        “ใครวะ” “เพื่อนโรงเรียนเก่ามึงเหรอ” ”หรือเพื่อนที่นี่” “หรือว่าแฟน”

       คำถามท้ายสุดของคู่แฝดพาเอาคนทั้งโต๊ะนั่งเงียบกัน ไม่ว่าจะเงียบเพราะอยากจะฟังคำตอบ เงียบเพราะกำลังลุ้นกับคำตอบ เงียบเพราะไม่ได้สนใจที่ฟังคำตอบ หรือเงียบเพราะไม่อยากตอบ

        “คนรู้จัก”

       คำตอบสั้นๆ ใบหน้าที่เรียบเฉย จ้องมองดูแก้วน้ำในมือ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าไม่มีใครจะได้คำตอบอะไรไปมากกว่านี้แล้ว


*****

คุ-ณะ-กร:
มึง กูเจอเด็กมึงว่ะ
วีรมาตุ ราวัณ:
อะไรของมึง
คุ-ณะ-กร:
น้องวีร์มึงไง เดินอยู่กับใครไม่รู้
วีรมาตุ ราวัณ:
ที่ไหน
คุ-ณะ-กร:
โรงบาล
วีรมาตุ ราวัณ:
แล้วมึงไปทำอะไรที่ รพ
คุ-ณะ-กร:
กูมาเยี่ยมน้า น้ากูแอดมิตเมื่อวาน
มึงรู้จักมั้ย
(แนบรูป)
ใครวะ
วีรมาตุ ราวัณ:
เพื่อนโรงเรียนเก่าเขา
คุ-ณะ-กร:
เหรอ นึกว่าแฟนซะอีก
วีรมาตุ ราวัณ:
(สติ๊กเกอร์นิ้วกลาง)
คุ-ณะ-กร:
กูแค่ส่งข่าวให้เฉยๆ ที่เหลือก็แล้วแต่มึงนะ

*****

       กีฬาสีเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของโรงเรียนในภาคเรียนที่สองที่ทำเอานักเรียนยุ่งวุ่นวายไปทั่วทุกชั้นปี ไม่แพ้การสอบกลางภาคเรียนที่จะเกิดขึ้นในทันทีที่เทศกาลแข่งขันกีฬาจบลง กิจกรรมในแต่ละวันถูกจัดขึ้นในช่วงสองคาบวิชาสุดท้ายของแต่ละวันไปจนแข่งขันแต่ละรายการเสร็จสิ้น กีฬาบางประเภทจัดแข่งจนถึงค่ำมืดถึงกับต้องเปิดไฟสนามก็มี ทำให้ทั้งคนที่ลงแข่งขันและคนที่อยู่เชียร์ต้องกลับบ้านช้ากว่าเวลาเดิมไปด้วย ส่วนวิชาเรียนที่ถูกงดไปนั้น โรงเรียนจัดให้มีการเรียนการสอนชดเชยในวันเสาร์ เพื่อให้นักเรียนมีเวลาเรียนครบตามหลักสูตรที่กำหนดไว้

       นักเรียนแต่ละคนจะถูกสุ่มให้ไปอยู่ประจำสี โดยแบ่งเป็นสีแดง แสด เหลือง เขียว ฟ้า ม่วง เรียงลำดับไปเรื่อยๆตั้งแต่นักเรียนลำดับแรกของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ไปจนถึงนักเรียนลำดับสุดท้ายของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทำให้แต่ละกลุ่มคณะสีมีนักเรียนทุกชั้นปีคละกันไป และมีจำนวนรวมถึงสัดส่วนชายหญิงที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งโรงเรียนหวังให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ไขว้กันระหว่างชั้นเรียนและแผนการเรียน ให้นักเรียนแต่ละคนได้รู้จักการปรับตัวและการเข้าหา รวมถึงการทำงานร่วมกับคนแปลกใหม่

        “ไอ้วีร์ เพื่อนมึงกลับไปแล้วหรอ” สุรศักดิ์เอ่ยถามวีร์ที่กำลังเก็บหนังสือและสมุดงานลงเป้ เตรียมลงไปร่วมกิจกรรมกีฬาสีเหมือนทุกๆคน

        “อืม กลับไปเมื่อวานแต่เช้าเลย” วีร์ลุกขึ้นพร้อมกับสะพายเป้ไว้กับไหล่ข้างหนึ่ง ”เห็นบอกว่าที่น้ำท่วมตัวเมืองเพราะมีโรงงานจะสร้างใหม่เอาดินไปถมที่ปิดทางน้ำ พอเทศบาลเอารถไปขุดออกเท่านั้นแหละ ไม่ถึงชั่วโมงน้ำแห้งเลย โรงเรียนเลยประกาศเปิดเรียนตามปกติแล้ว พวกมันเลยต้องรีบกลับ”

        “เออ เหมือนกูจะเห็นแว่บๆว่าเพื่อนมึงมานั่งกินที่ร้านกู เห็นมากัน 4-5 คน ใครบ้างก็ไม่รู้”

        “พวกญาติๆเขา” วีร์ตอบพร้อมเดินออกมายืนรอคนอื่นๆที่หน้าห้องเรียนกับสุรศักดิ์ “มันบอกว่าอาหารร้านมึงอร่อยดี กูเลยบอกให้แวะไปชิมที่ร้านก่อนกลับก็ได้”

        “เออ เมื่อวานกูตื่นสาย ไม่ได้ช่วยที่ร้านเลยแม่ง แถมเกือบมาเรียนไม่ทันอีก”

        “สมควรละมึง วันนั้นดิวซ์ไปเท่าไหร่ละ” วีร์ถามถึงการแข่งขันวอลเลย์บอลของคณะสีของสุรศักดิ์

        “27-25 กูเกือบไม่รอดแล้ว ฝั่งโน้นเล่นเอานักกีฬาเยาวชนของเขตลงมาตั้ง 3 คน ดีที่ว่าฝั่งกูมีพี่เอสอยู่ด้วย” สุรศักดิ์เอ่ยชมรุ่นพี่ม.6 ที่ช่วยให้ทีมของเขาชนะการแข่งขันมาได้อย่างหวุดหวิด

        “แล้ววันนี้มึงจะลงบอลไหวเหรอ ได้พักแค่วันเดียวเอง”

        “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ทำไงได้วอลเลย์ขาดคนลงแข่งกระทันหัน พอช่วยได้ก็ช่วยไป” สุรศักดิ์ชะเง้อมองดูคนอื่นๆที่ยังไม่ออกมาเสียที “แล้วของมึงลงวันไหน”

        “กูมีแข่งแบตวันพรุ่งนี้ วันนี้ก็ไปนั่งเชียร์อย่างเดียวเหมือนเดิม”

        “งั้น มึง” สุรศักดิ์ก้มลงแอบกระซิบ “ชวนแพรไปด้วยดิ”

        “มึงจะให้กูกับแพรไปเชียร์มึง ทั้งๆที่มึงกำลังจะลงแข่งกับสีของกูกับแพรอะนะ”

        “ก็เชียร์เฉพาะกูไง สีไม่ต้อง”

        “คือให้ไปเชียร์ให้สีกูชนะเข้ารอบ แต่ก็ให้ไปเชียร์มึงด้วย” สุรศักดิ์พยักหน้าตอบ “หรือว่าให้แพรไปเชียร์เฮียหมูด้วยเลยมั้ย โหย เห็นมานั่งอยู่ขอบสนามแบบนี้ รับรองว่าเฮียหมูซัดเอาๆชัวร์เลย” สุรศักดิ์ได้ยินแล้วถึงกับพ่นลมหายใจฮึดฮัด

        “เรื่องอื่นถึงกูจะหมั่นไส้เฮียแก แต่เรื่องฟุตบอลนี้ยังไงก็ต้องยอมว่ะ” สุรศักดิ์ยกมือขึ้นยอมรับทั้งสองข้าง

        “เอาเหอะ คนเรามันมีอะไรดีกันบ้างคนละอย่างสองอย่าง”

        “ส่วนเลวมีอีกเป็นร้อยอย่างใช่มั้ย”

        “ก็นะ ถ้าเกิดไม่ชอบหน้ากันซะอย่าง ไม่ว่าทำอะไรก็ดูเลวดูขัดหูขัดตาไปหมดนั่นแหละ เรื่องปกติของชาวโลก”

        “กูไม่ได้นิสัยเด็กขนาดนั้น”

        “ก็อ่อนแก่กว่ากูไม่เท่าไหร่ละวะ”

        “โวะ มึงนี่” สุรศักดิ์เหลือบไปมองเห็นแพรพรรณที่กำลังเดินออกมา “โน้นเขามาแล้ว อย่าลืมชวนนะ กูไปแล้ว” แล้วสุรศักดิ์ก็รีบวิ่งออกไปในทันที วีร์ได้แต่ยิ้มๆและมองตามสุรศักดิ์ที่รีบวิ่งออกไป จนแพรพรรณและเพื่อนๆเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าวีร์

        “วันนี้แกต้องทำอะไรมั้ย” แพรพรรณเอ่ยปากถามก่อน

        “ยังไม่มีอะ แบตก็เริ่มแข่งพรุ่งนี้ วันนี้คงไปนั่งเชียร์อย่างเดียว” วีร์ แพรพรรณ และเพื่อนคนอื่นๆออกตัวเดินไปตามทางหน้าห้องเรียนเพื่อลงไปด้านล่างตึก

        “แล้วแกจะไปเชียร์อะไร”

        “ยังไม่รู้เลย” วีร์คิดจะไปเชียร์สุรศักดิ์ตามที่เจ้าตัวขอไว้แม้ว่าจะเป็นทีมคู่แข่งก็ตาม “บาสก็น่าดูนะ แถมวันนี้มีบอลสีเราอีก ไม่รู้จะไปดูอันไหน”

        “นี่ๆ พี่อาร์มลงแข่งบาสด้วยใช่ปะ” ใครคนหนึ่งในหมู่เพื่อนของแพรพรรณถามออกมา

        “ก็คิดว่าใช่นะ” วีร์ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ระดับโควตานักกีฬาของโรงเรียนน่าจะลงแข่งอยู่แล้ว

        “งั้นป่านนี้คนคงไปออกันเต็มโรงยิมแล้วมั้ง” เด็กสาวคนเดิมตอบกลับมา

        “ก็คงประมาณนั้นแหละ”

        “แล้วจะเอายังไง” แพรพรรณหันมาถามวีร์และคนอื่นๆ

        “ไปสนามบอลมั้ยละ แสตนด์ร่มๆหลบแดดได้น่าจะยังเหลืออยู่มั้ง” วีร์เสนอความคิดเห็นกับทุกคน แต่ละคนก็พยักหน้ากลับมา “งั้นก็ไปกัน”

        “แล้วคนอื่นๆไปไหนกันหมดแล้วละ” แพรพรรณถามขณะที่เดินไปด้วยกัน

       ยังไม่ทันทีวีร์จะตอบอะไรก็มีมือมาโอบไหล่ข้างหนึ่งของเขา วีร์จึงหันไปดูว่าเป็นใคร แล้วมองดูเขาด้วยใบหน้าสงสัย

        “อะไร” เจ้าตัวถามกลับมา โดยที่มือยังพาดอยู่บนบ่าของวีร์อยู่ ทั้งยังออกแรงพาให้วีร์และเขาเดินหน้าต่อไปพร้อมกัน

        “วันนี้ว่างเหรอมึง”

        “ว่างสิ”

        “ไม่มีซ้อมดนตรีเหรอ”

        “ก็...ไม่มีนะ”

        “แล้วนี่มึงจะไปไหน”

        “ไปกับมึงไง” เจ้าตัวหันมายิ้มตอบให้กับวีร์

        “กูกับแพรจะไปเชียร์บอล”

        “อืม ก็ไปสิ”

        “ไม่ใช่สีมึงลงแข่ง”

        “แล้วใครห้ามไว้”

       วีร์ส่ายหน้าตอบ

        “งั้นกูก็ไปได้ ไอ้ใหญ่ลงแข่งไม่ใช่เหรอ”

       วีร์พยักหน้าตอบ

        “งั้นก็ไปกัน” วีร์ยังคงเดินไปและมองหน้าศศิทัศน์ไปด้วย “ไม่มีใครมานั่งจับผิดหรอกน่ะ แค่มีคนเต็มสนามอาจารย์เขาก็ไม่ซีเรียสแล้ว”

        “แล้วแต่มึงก็แล้วกัน” วีร์ส่ายหน้าด้วยความระอากับความดื้อของเพื่อนเขา แล้วรีบออกตัวเดินเร็วขึ้นไปให้ทันกลุ่มของแพรพรรณและเพื่อนๆ ศศิทัศน์ยังคงเดินเอามือโอบเกาะไว้ที่บ่าของวีร์แล้วเดินไปด้วยกัน แถมยังเดินเชิดหน้าชูคอเอียงมองซ้ายทีขวา เหมือนประหนึ่งว่ากำลังอวดใครต่อใครให้รู้ว่านี่คือเพื่อนของเขา

       ผลการแข่งขันในวันนั้นคณะสีของสุรศักดิ์เก็บชัยชนะผ่านเข้ารอบไปด้วยคะแนน 2-0 และทั้งสองลูกเป็นฝีมือการยิงประตูของคุณกรทั้งหมด


[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 8 ... 14 พ.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 14-05-2021 00:39:43
วิธู:
สรุปว่ารอดมั้ยมึง
VeeraVorra:
จะเหลือเหรอ
วิธู:
เข้ารอบไหน
VeeraVorra:
ผ่านแค่ถึงรอบสาม
วิธู:
กระจอก
บอกให้ลงเทนนิสก็ไม่เชื่อ
VeeraVorra:
ลงไปไซ
เห็นว่ามีแชมป์เยาวชนแห่งชาติปีที่แล้วลงแข่งอยู่กัน
ใครไม่รู้ มึงรู้จักมั้ย
วิธู:
ไม่รู้จัก คร้านอีตาม
แล้วมึงกลัว
VeeraVorra:
ไม่ได้กลัว
ขี้เกียจ
วิธู:
ไม่กลัวจริงอะ
VeeraVorra:
(แนบสติกเกอร์รูปฝ่าเท้า)

*****

        “อ้าว น้องวีร์ ยังไม่กลับเหรอครับ”

       วีร์ที่กำลังล้างหน้าอยู่ เงยหน้าขึ้นมามองตามเสียงเรียก ก็พบว่าเป็นเด็กหนุ่มขาวตี๋ที่เป็นพี่ชายของเพื่อนของเขาเดินมาที่อ่างล้างหน้าข้างๆ

        “ยังครับ นี่เพิ่งจะแข่งเสร็จ เลยมาล้างหน้าล้างตาสักหน่อยก่อนกลับ” วีร์หันจัดการล้างหน้าตัวเองต่อให้เสร็จ

        “ผลเป็นไง เข้ารอบรึเปล่า” วีรมาตุเริ่มจัดการล้างผ้าขนหนูที่ตัวเองเพิ่งใช่เช็ดเหงื่อที่อ่างล้างหน้าข้างๆวีร์

        “ผ่านรอบสองครับ แต่ตกรอบสามซะก่อนไม่ได้ไปต่อแล้ว”

        “เก่งแล้วครับ” วีรมาตุหันมายิ้มให้กำลังใจเด็กรุ่นน้อง

        “แล้วเฮียลงแข่งอะไรเหรอครับ เหงื่อโทรมมาขนาดนี้” วีร์มองดูรุ่นพี่ที่เสื้อผ้าหน้าผมของเขาเปียกชุ่มไปทั้งตัว

        “เฮียลงวิ่งอะครับ นี่แค่ซ้อมเฉยๆ แข่งวันสุดท้ายโน้นแน่ะ”

        “โห ขนาดซ้อมยังหนักขนาดนี้เลยเหรอครับ”

        “ไม่หรอก แค่ลงซ้อมเบาๆเฉยๆ แต่เฮียเป็นคนเหงื่อออกง่ายน่ะ”

        “อ๋อ” วีร์พยักหน้ารับรู้

        “เออ จริงสิ เฮียถามอะไรหน่อย” เขาบิดผ้าขนหนูจนแห้งดีแล้ว ก็เอี้ยวตัวหันไปทางเด็กรุ่นน้อง “ตอนนี้บิ๊กเขาตามจีบใครอยู่รึเปล่า”

        “หือ... บิ๊กนะเหรอครับ” วีร์พยายามคิด “ไม่เคยได้ยินนะครับ”

        “เฮียเห็นเขาซ้อมวิ่งอยู่กับใครไม่รู้ เฮียไม่แน่ใจ แต่ถึงจะบอกว่าวิ่งอยู่ด้วยกันแต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ เหมือนต่างคนต่างซ้อมวิ่งของตัวเองไป แต่ว่าเขาก็วิ่งตีคู่กันไปเรื่อยๆ ไม่ได้ทิ้งห่างกันมากนักนะ”

        “แล้วเขาหน้าตาเป็นไงเหรอครับ”

        “ก็เด็กผู้หญิงใส่แว่น ผมหยิกหน่อยๆ น่าจะตัวเล็กกว่าน้องแพรนิดนึงนะเฮียว่า”

       วีร์พยายามนึกภาพตามลักษณะของคนที่วีรมาตุเห็นว่าอยู่กับพระยศ แต่ภาพที่วีร์นึกออกได้นั้น

        “หรือว่าจะเป็นน้องเฟิร์น”

        “คนนั่นเหรอน้องเฟิร์น ที่ไอ้ตี๋เล็กชอบมาเล่าให้ฟังว่าน้องเขาเอาขนมมาให้บิ๊กอยู่บ่อยๆ”

        “อ่า ไม่แน่ใจนะครับ แต่ถ้าใส่แว่นแล้วผมหยิกๆด้วย ก็น่าจะใช่”

        “สงสัยว่าลูกตื้อของน้องเขาจะสัมฤทธิ์ผลแล้วละมั้ง” วีรมาตุเม้มริมฝีปากเข้าหากันครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทั้งคู่ต่างพากันเก็บสัมภาระของตัวเอง “เดี่ยวน้องวีร์กลับเลยรึเปล่าครับ”

        “ใช่ครับ อยากรีบกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดจะแย่แล้ว”

        “งั้นเดินออกไปด้วยกันเลยมั้ย เฮียก็จะกลับแล้วเหมือนกัน”

       วีร์พยักหน้ารับ แล้วทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องน้ำไป

       ระหว่างที่เดินออกมาที่หน้าโรงเรียนเพื่อขึ้นรถโดยสารกลับบ้านของแต่ละคนนั้น มีเพียงเสียงฝีเท้าคุยกับสายลมที่พัดโชยมาเอื่อยๆ แสงอาทิตย์เริ่มสลายหายไปพร้อมกับความเย็นที่เริ่มโรยตัวลงมา ต่างคนต่างเดินไปไม่ได้พูดจาอะไรกัน แต่ว่าเดินร่วมไปในทางเดียวกัน ตีคู่เคียงข้างกันไปไม่ได้ทิ้งระยะห่างกัน

*****

        “น้องวีร์”

       วีร์หันไปทางเสียงที่เรียกชื่อเขาขณะที่เขากำลังเดินอยู่ข้างทางหน้าหมู่บ้านเพื่อจะไปขึ้นรถโดยสาร ก็พบรถยนต์คันหนึ่งเลี้ยวเข้าจอดข้างทางใกล้กับที่เขาหยุดอยู่ กระจกด้านที่นั่งข้างคนขับถูกเปิดลงมาพร้อมกับเจ้าของรถที่กำลังยื่นหน้าออกมา

        “จะไปไหนเหรอครับ ให้เฮียไปส่งมั้ย”

       วีร์เดินเข้ามาใกล้ๆรถแล้วก้มตัวของเล็กน้อยให้ตรงกับช่องกระจกรถ

        “ไม่เป็นไรครับเฮีย ผมไปใกล้ๆแค่นี่เอง เดี๋ยวไปรถโดยสารเอาก็ได้ครับ”

        “ขึ้นมาเลย ไม่ต้องเกรงใจ เดี๋ยวเฮียขับไปส่ง” วีรมาตุยังคงยืนยันคำเดิม “มา ขึ้นมาเลยครับ” เมื่อพูดจบเขาก็เอื้อมมือไปเปิดประตูออกทันที เป็นการเชื้อเชิญแกมบังคับให้อีกฝ่ายขึ้นรถมากับเขา

       วีร์เห็นดังนั้นจะปฏิเสธต่อไปก็อาจจะดูเป็นการเสียน้ำใจคนให้อยู่สักหน่อย จึงได้ตัดสินใจขึ้นรถพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างเรียบร้อย

        “แล้วนี่น้องวีร์จะไปไหนครับ”

        “ผมกำลังจะไปที่ห้างอะครับ”

        “ตอนนี้เลยเหรอครับ ห้างมันเปิดสายๆไม่ใช่เหรอ” วีรมาตุเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวขวาพร้อมส่งกระจกมองหลัง ก่อนที่จะหักพวงมาลัยแล้วเคลื่อนรถออกไปตามทาง มุ่งหน้าสู่เป้าหมายของวีร์

        “เปล่าครับ ผมไปทำธุระแถวนั้นเฉยๆ ไม่ได้จะเข้าไปที่ห้างหรอกครับ”

        “อ๋อ โอเค เช้าวันเสาร์แบบนี้แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว” คนขับรถหันมายิ้มให้ผู้โดยสารของเขา แล้วจึงหันไปสนใจต่อสภาพการจราจรบนท้องถนน

       ระหว่างทางมีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุที่เปิดคลอไป ต่างฝ่ายต่างจดจ่ออยู่ที่สิ่งที่ตัวเองต้องทำ ไม่นานนักก็ใกล้จะถึงที่หมาย

        “เดี๋ยวน้องวีร์จะลงตรงไหนครับ” วีรมาตุถามเมื่อเห็นห้างดังกล่าวอยู่ตรงหน้าแล้ว

        “เอ่อ... เลยห้างไปอีกหน่อยครับเฮีย แล้วเฮียก็ชิดซ้ายเข้าจอดเลยครับ”

       วีรมาตุทำตามเด็กรุ่นน้องบอก และในตอนที่รถจอดสนิทนั้นเอง

        “ขอบคุณที่มาส่งครับเฮีย” วีร์ยิ้มให้กับคนขับรถ แล้วเขาก็รีบเปิดประตูรถลงไปเลยทันที ไม่ทันจะที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไรก่อนแม้กระทั่งคำลา

       วีรมาตุมองวีร์เดินไปตามข้างทางอีกระยะหนึ่ง ก็เห็นว่าน้องเขาแวะเข้าไปในร้านขายเครื่องดนตรี เขาไม่แน่ใจว่าธุระของวีร์คืออะไรและไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน เขารู้แต่ว่าวีร์มักจะมีนัดสำคัญอะไรบางอย่างจากคำบอกเล่าของน้องชายของเขา ที่บอกว่าเพื่อนของเขาไม่เคยออกมาเจอเพื่อนๆได้เลยหากมีการนัดพบกันในวันเสาร์ และเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่วีร์ย้ายโรงเรียนมาที่นี่ โดยที่วีร์ไม่เคยบอกใครว่าเขาไปไหนและทำอะไร

       ในขณะที่กำลังคิดไปเรื่อยเปื่อยอยู่นานก็ยังไม่มีทีท่าว่าวีร์จะเดินออกมา คนขับรถที่นั่งมองดูหน้าร้านขายเครื่องดนตรีอยู่ในรถยนต์ของตัวเอง กำลังจะตัดสินใจยอมแพ้แล้วติดเครื่องยนต์เพื่อจะเดินทางกลับไปแล้วนั้น ก็เห็นเด็กหนุ่มเดินออกมาจากร้านพร้อมกับสะพายกระเป๋าใบใหญ่ที่ดูรูปร่างก็รู้ได้ในทันทีว่าข้างในใส่อะไรไว้

       วีร์กำลังมองทางซ้ายทีขวาที ก่อนที่จะหันมาทางรถยนต์คันเดิมที่ยังจอดอยู่เพราะเสียงแตรรถที่ดังขึ้น คนขับรถลดกระจกลงพร้อมกับกวักมือเรียกผู้โดยสารคนเดิมให้มาขึ้นรถ เจ้าตัวก็ตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงมาเดินมาขึ้นรถคันเดิมที่เขานั่งมา

        “น้องวีร์เสร็จธุระแล้วเหรอครับ ให้เฮียไปส่งที่บ้านมั้ย” คนขับรถหันมาถามเมื่อผู้โดยสารของเขาคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้ว

        “เปล่าครับ ผมยังไม่ได้ไปทำธุระอะไรเลย นี่แวะมาเอาของเฉยๆ” แล้วเขาก็ขยับกระเป๋าใส่กีตาร์ใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ตัวเองได้นั่งได้ถนัดขึ้น

        “แล้วจะให้เฮียไปส่งที่ไหนต่อดีครับ”

        “เฮียดูว่างนะครับวันนี้” เด็กหนุ่มรุ่นน้องหันมาถามตรงๆ ทำเอาเจ้าตัวถึงกับสะดุ้ง

        “เฮียเสร็จธุระของเฮียตั้งแต่เช้ามืดแล้วครับ ตอนนี้ไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว” เขาหันมาพยายามยิ้มเป็นปกติ “กำลังจะขับรถกลับบ้านก็บังเอิญเจอน้องวีร์เดินอยู่พอดี”

        “บังเอิญ... หรือว่าจงใจรออยู่ตั้งแต่แรก”

        “เอ่อ... เฮียกำลังจะขับรถออกไปอยู่พอดี น้องวีร์ก็เดินออกมาจากร้านอะครับ”

        “ผมหมายถึงตั้งแต่ตอนที่อยู่หน้าหมู่บ้านอะครับ”

       วีรมาตุไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ก้มหน้ามองดูพวงมาลัย ด้วยจนมุมว่าวีร์น่าจะจับผิดเขาได้แล้ว

        “ไอ้ต่ายเล่าอะไรให้เฮียฟังใช่มั้ยครับ”

       วีรมาตุได้แต่พยักหน้ารับ ส่วนวีร์ก็ถอนหายใจ

        “เฮียอยากไปเจอเขามั้ย”

       ไม่รู้ว่า ‘เขา’ คนนั้นคือใคร วีรมาตุก็ไม่แน่ใจตัวเองว่าอยากจะเจอคนๆนั้นจริงๆหรือไม่ เขาหันมามองรุ่นน้องที่กำลังรอคำตอบจากเขาอยู่ แต่เขายังไม่ทันได้ตอบกลับไป

        “ถ้าเฮียอยากเจอ ก็ไปส่งผมที่โรงพยาบาลให้หน่อยครับ”

       วีรมาตุมองดูสีหน้าที่จริงจังของวีร์ ก่อนที่จะพยักหน้ารับ แล้วจึงขับรถออกไปมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางใหม่

*****

       เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล วีร์ที่กำลังสะพายกระเป๋ากีตาร์ไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง เดินนำไปตามทางภายในโรงพยาบาลอย่างคล่องแคล่วอย่างคนที่รู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี วีรมาตุที่เดินตามมาไม่ห่างพลางคิดอยู่ในใจว่า ‘เขา’ คนนั้นจะเป็นใครได้บ้าง และเหตุใดจึงต้องมาเจอกันที่โรงพยาบาล

       ระหว่างที่เดินตามทางไปนั้นพวกเขาต้องเดินผ่านส่วนอุบัติเหตุฉุกเฉินที่มีคนพลุกพล่านอยู่ตลอดทั้งวันแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันเสาร์ก็ตาม เรื่อยมาจนถึงลิฟท์โดยสารที่พาพวกเขามาถึงชั้นบน เมื่อออกจากตัวลิฟท์ก็เจอกับผนังที่มีตัวอักษรติดอยู่บ่งบอกว่าชั้นนี้เป็น ‘หออภิบาลผู้ป่วยวิกฤติ’

       แต่วีร์ยังเดินนำไปตามทางต่อไปอีก เขาจึงคิดว่าคนที่วีร์มาหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ไม่นานนักเขาก็รู้คำตอบเมื่อพวกเขาเดินทางถึงโต๊ะเคาท์เตอร์ที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้า มีป้ายบอกชัดเจอว่าเป็น ‘หออภิบาลผู้ป่วยปลอดเชื้อ’

       วีร์แจ้งชื่อกับเจ้าหน้าที่พร้อมกับยื่นบัตรประชาชน

        “ขอบัตรประชาชนเฮียด้วยครับ” วีร์หันมาหาเขาและแบมือออกมารอรับ เขาจึงรีบหยิบบัตรประชาชนจากในกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วยื่นให้วีร์

       แล้ววีร์ก็ยื่นบัตรให้กับเจ้าหน้าที่หน้าหอผู้ป่วย ทั้งคู่มองดูเจ้าหน้าที่พิมพ์อะไรบางอย่างลงในคอมพิวเตอร์ก่อนที่จะคืนบัตรทั้งสองใบกลับมา

        “เดี๋ยวน้องเข้าไปเปลี่ยนชุดได้เลยนะ ส่วนกีตาร์นี่พี่คงต้องขอเอาไปเข้าห้องฆ่าเชื้อก่อนแล้วเดี๋ยวจะเอาไปให้ทีหลังนะคะ”

       วีร์พยักหน้ารับแล้วจึงวางกระเป๋าใส่กีตาร์ลงบนโต๊ะยื่นให้เจ้าหน้าที่รับไป จากนั้นก็หันหน้ามามองวีรมาตุก่อนที่จะเดินนำเข้าไปในห้อง ซึ่งพบกับห้องโถงที่มีตู้เก็บของแบ่งเป็นช่องเล็กๆหลายช่องพร้อมฝาปิดอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นชั้นวางของต่างๆมีป้ายติดบอกไว้ไม่ว่าจะเป็น เสื้อ โสร่ง รองเท้า และหมวกคลุมผม

       วีร์เดินไปหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งแล้วยื่นส่งมาให้วีรมาตุ

        “เดี๋ยวเฮียเปลี่ยนเสื้อเป็นตัวนี้นะ ส่วนโสร่งนี้ เฮียนุ่งทับกางเกงไปได้เลย รองเท้ากับถุงเท้าเปลี่ยนมาใส่คู่นี้แทน”

       เสร็จแล้ววีร์ก็หันไปหยิบมาอีกชุดหนึ่ง แล้วจึงจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองใหม่ ส่วนเสื้อและรองเท้าที่ถอดออก วีร์เดินไปที่ตู้อีกฝั่งแล้วจึงเปิดตู้ที่มีหมายเลข 108 ติดอยู่ที่ฝาตู้ จากนั้นก็วางเสื้อจะรองเท้าไว้ข้างใน แล้ววีร์ก็หันมารอวีรมาตุเอาเสื้อผ้าของเขาเข้าไปเก็บไว้ในตู้เดียวกัน แล้วจึงปิดฝาตู้ให้เรียบร้อย

       จากนั้นทั้งคู่ก็เดินไปที่ประตูทางเข้าซึ่งมีเจ้าหน้าที่ยืนเฝ้าอยู่ วีร์ปล่อยให้เจ้าหน้าตรวจสอบความเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง วีรมาตุเห็นดังนั้นก็ทำตามปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตรวจเครื่องแต่งกายของเขา จนเสร็จทุกขั้นตอนของความปลอดภัยแล้วเจ้าหน้าที่จึงอนุญาตให้ทั้งสองเข้าไปข้างในได้

       เขตชั้นในแบ่งเป็นห้องต่างๆยาวไปตามทางเดินทั้งซ้ายและขวาเรียงตามลำดับหมายเลขไป โดยห้องหมายเลขคี่จะอยู่ทางซ้าย และห้องหมายเลขคู่จะอยู่ทางขวา แล้วทั้งสองคนก็เดินมาถึงประตูห้องที่มีหมายเลข 108 ติดอยู่ วีร์หันมามองคนที่เดินตามเขามาอีกครั้ง ก่อนที่จะเคาะประตูแล้วจึงเปิดประตูเข้าไป

       วีรมาตุสูดหายใจลึกๆเตรียมพร้อมจะเข้าไปเจอคนๆนั้น ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม แต่สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นป้ายชื่อที่แปะอยู่ที่หน้าประตูห้องเสียก่อน

‘ห้อง 108
นายวีรดนย์ กิจการเรืองฤทธิ์ อายุ 18 ปี
พญ. กาญจนา อาชา’

       ทันทีที่เห็น วีรมาตุรู้สึกได้ว่าเป็นชื่อที่ดูคุ้นตามากสำหรับเขา แม้ว่าจะไม่ได้เห็นมานานแล้วก็ตาม

        ‘วีรดนย์ กิจการเรืองฤทธิ์’

       ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาพยายามนึกให้ออกว่าเขาเคยเห็นชื่อนี้มาจากที่ไหนมาก่อน

        ‘วีรดนย์’

       จนเขาเดินเข้ามาถึงข้างในห้อง และได้เห็นหน้าเด็กหนุ่มที่สวมชุดผู้ป่วยกำลังนอนอยู่บนเตียง แม้ว่าเขาคนนั้นจะดูซูบผอมไปจากเดิมที่เขาเคยเห็นอยู่มาก แต่ภาพเก่าๆในหัวของเขาก็กระจ่างขึ้นมาในทันที

‘ประกาศรายชื่อผู้ที่รับทุนรัฐบาลญี่ปุ่น
สาขาวิศวกรรมศาสตร์นาโนเทคโนโลยี: นายวีรดนย์ กิจการเรืองฤทธิ์’


*****


[โปรดติดตามตอนต่อไป]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 8 ... 14 พ.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 14-05-2021 12:43:14
ตัดจบแบบละครไทย :katai1:ค้างม๊ากกกกก :katai1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 9 ... 21 พ.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 21-05-2021 00:25:41
ตอนที่ 9 เหมือนเดิมแต่ไม่เหมือนเดิม

       วีรมาตุ ราวัณ
       ต่อให้มันมีปาฏิหาริย์ให้ตัวฉันย้อนเวลากลับไป เธอกับเขาจะยังคงรักกัน ส่วนฉันคือผู้ที่ต้องเดินจากไป
       2.6k Like 46 comment 249 shared

        คุณกร ศุขเจริญชัย: มาเพ้ออะไรตอนดึกๆวะมึง แล้ววันนี้มึงไปไหนมา
        พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล: งงเด้อ อกหักมาจากไหนวะ
        พ่อแม่ให้มาเท่านี้ ที่เหลือหมอจัดให้: อร๊าย พี่วีขา มาๆนุชจะปลอบใจให้เอง
        ชัชวาล เก่งการเรือน: @พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล ก็เห็นมีตามอยู่คนเดียว
        ศศิทัศน์ ราวัณ: @วีรมาตุ ราวัณ เฮียถึงบ้านแล้วหรอ
        คุณกร ศุขเจริญชัย: @ศศิทัศน์ ราวัณ ไอ้ต่าย วันนี้เฮียมึงไปไหนมาวะ
        ศศิทัศน์ ราวัณ: @คุณกร ศุขเจริญชัย หลังไมค์นะเฮียหมู
        พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล: @ศศิทัศน์ ราวัณ @คุณกร ศุขเจริญชัย เฮ้ย กูด้วย
        ไมตรีจิต นิยมทอง: @พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล @ศศิทัศน์ ราวัณ @คุณกร ศุขเจริญชัย กูด้วย
        มีมี่ มิมีใคร เอามาแล้วจ้า: แอร๊ยยย อยากรู้ด้วยคน ต้องทำไงอะ
        ชัชวาล เก่งการเรือน: @ไมตรีจิต นิยมทอง @พร้อมสรรพ ‘พร้อมทุกเวลา’ กระบวนพล @ศศิทัศน์ ราวัณ @คุณกร ศุขเจริญชัย กูด้วย


*****


       วีร์เดินเข้ามาในห้องเรียนตอนเช้าวันจันทร์ ทุกอย่างดูเหมือนปกติ เพื่อนร่วมชั้นต่างรวมกลุ่มนั่งคุยเรื่องสรรพเพเหระ เสียงดังมาจากกลุ่มโน้นทีกลุ่มนี้ทีสลับกันไป จะมีเพียงใครคนหนึ่งที่เอาแต่จ้องหน้าเขานิ่งไม่วางตา และมีแววตาแปลกไปจากปกติ วีร์คิดว่าเขารู้สาเหตุของเรื่องนี้ดี แต่เขายังไม่อยากเอ่ยอะไรกับเจ้าตัวในตอนนี้ เพราะอันที่จริงตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษในตัวพี่ชายของเพื่อนคนนั้น แม้ว่าเพื่อนคนนั้นจะพยายามจับคู่ให้เขากับพี่ชายของเขาอยู่หลายครั้งก็ตาม ส่วนคนอื่นๆที่เหลือนั้นยังพูดคุยเฮฮากับเขาเป็นปกติเช่นเดิม

       ในขณะที่การเรียนภาคเช้าดำเนินไป ถึงจะไม่ได้หันไปมองแต่วีร์ก็รู้สึกได้ว่ายังคงมีสายตาจ้องมองเขาอยู่ตลอด จนเขาคิดว่าคงจะต้องมีการพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกันบ้าง เพราะเขาก็ไม่อยากจะให้มันเป็นปัญหาจนถึงกับทำลายมิตรภาพต่อกันที่ดีเสมอมา

       จนถึงเวลาพักกลางวัน วีร์จะหันหน้าไปหาเขาคนนั้นแต่ก็พบว่าเจ้าตัวนั้นได้ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องในทันที เพื่อนคนอื่นๆที่เหลือก็รีบเดินตามกันไปและคะยั้นคะยอให้เขารีบเดินตามไปด้วย วีร์ได้แต่ถอนหายใจว่าตอนนี้โอกาสอาจจะยังไม่เหมาะนัก คงจะต้องหาจังหวะที่ดีกว่านี้ใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ได้แต่ทำตัวตามปกติไปก่อน

       ระหว่างที่กำลังเข้าแถวรอซื้ออาหาร วีร์จดจ่ออยู่กันการมองดูป้ายรายการอาหารพลางคิดอยู่ว่าเขาจะกินอะไรดี จนไม่ทันสังเกตว่ามีคนจ้องมองเขาอยู่ตั้งแต่เริ่มจนเขาได้รับอาหารแล้วเดินออกจากแถวไป

       วีร์ยืมมองดูรอบๆโรงอาหารทั้งด้านซ้ายและขวา จนเขาเห็นคู่แฝดนพชัยและชัยทิศโบกมือเรียกว่าพวกเขาได้โต๊ะตรงไหนกัน แต่วีร์เพียงแค่พยักหน้าตอบแล้วก็มองดูรอบๆต่อไปจนเขาเจอคนที่เขาต้องการจะคุยด้วย และถือเป็นจังหวะดีที่วันนี้เขานั่งกินข้าวอยู่คนเดียว วีร์จึงเดินมุ่งหน้าไปหาคนๆนั้นก่อน

       ศศิทัศน์เห็นเพื่อนของเขาตั้งแต่เดินเข้ามาในโรงอาหาร และตามดูเรื่อยมาจนกระทั่งต่อแถวและซื้ออาหารเสร็จแล้ว เขาพยายามดูอากัปกิริยาทุกท่าทางเพื่อนของเขา พยายามประมวลสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้รู้ถึงความคิดความรู้สึก เขาอยากจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเหตุใดพี่ชายของเขาที่ออกจากบ้านไปตั้งเช้าตรู่ถึงได้กลับมาค่ำมืดด้วยสีหน้าและแววตาที่หม่นหมองไป พร้อมกับข้อความที่ดูเศร้าสร้อยที่พี่ชายของเขาเขียนลงไว้ในเฟซบุ๊คตอนกลางดึกในคืนวันนั้น

       แต่ก่อนที่ศศิทัศน์จะได้ทบทวนอะไรได้เพิ่มเติมมากไปกว่านี้ เขาก็เห็นเพื่อนของเขาเดินตรงไปหาพี่ชายของเขาที่นั่งกินข้าวอยู่คนเดียว แล้วก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม เขาเห็นสีหน้าที่ดูตกใจของพี่ชายของเขาทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนร่วมโต๊ะอาหาร

       ศศิทัศน์กำลังจะเดินไปทางนั้นเช่นกัน เพียงแต่ว่ามีมือใครสักคนมารั้งตัวเขาไว้ซะก่อน

        “ให้สองคนนั้นเขาคุยกันเอง”

       ศศิทัศน์หันมาเห็นพระยศที่มือหนึ่งถือจานข้าวอยู่ ส่วนอีกมือหนึ่งนั้นจับบ่าของเขาไว้

        “แต่...”

        “ให้เขาคุยกันเองก่อน เราอย่าเพิ่งเข้าไปทำอะไรให้มันวุ่นวายมากไปกว่านี้จะดีกว่า”

        “แต่ว่า...”

        “ไปเหอะ ไอ้ใหญ่ไอ้กิ่งไอ้ก้านมันจองโต๊ะรออยู่แล้ว”

       พระยศฉุดรั้งให้ศศิทัศน์เดินตามเขามาที่โต๊ะของเพื่อนๆ ปล่อยให้สองคนนั้นได้สะสางปัญหากันเอง ศศิทัศน์หันไปมองอีกครั้งก่อนที่จะเดินตามพระยศไปในที่สุด

*****

        “ขอนั่งด้วยคนได้ใช่มั้ยครับ” วีร์เอ่ยถามคนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ จะเรียกว่ากินก็คงจะไม่ถูกนัก ต้องบอกว่านั่งเขี่ยข้าวในจานเสียมากกว่า เขาถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยที่ไม่ทันรอคำตอบจากอีกคนหนึ่ง

       วีรมาตุมีสีหน้าตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เอ่ยถาม เขารู้อยู่แล้วตั้งแต่ที่ได้ยินเสียงถาม แต่ภาพตรงหน้า ภาพของวีร์ที่ยืนถือจานอาหารอยู่ตรงหน้า มันเกินจริงเสียยิ่งกว่าจริง เขายังไม่ทันจะได้พยักหน้าตอบรับเพราะในขณะนี้สติที่จะเรียบเรียงแค่เพียงคำพูดง่ายก็กระโดดหนีหายไปหมด คนตรงหน้าก็นั่งลงเสียก่อนแล้ว

       ทั้งคู่ต่างก้มหน้ากินอาหารของตัวเอง คนหนึ่งกินตามปกติ อีกคนหนึ่งพยายามละเลียดกินเท่าที่จะทำได้

        “วันเสาร์นี้เฮียว่างมั้ยครับ” อยู่ๆวีร์ก็เอ่ยถามเพื่อนร่วมโต๊ะขึ้นมา สีหน้าของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าไม่เข้าใจคำถามของเขาอย่างแน่นอน ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่าทำไม วีร์จึงอธิบายเพิ่มเติม “พี่วีเขาอยากเจอเฮียอีกครั้ง เลยให้ผมลองมาถามดูว่าเฮียสะดวกไปพบเขาได้อีกมั้ย”

       วีรมาตุยังจำภาพเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านได้เมื่อเพิ่งเกิดเมื่อวาน


        เขามองดูเด็กหนุ่มรุ่นน้องเดินเข้าไปทักทายคนที่กำลังนอนป่วยอยู่บนเตียง ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ก่อนที่จะแนะนำตัวเขาให้กับอีกคน

        ‘เฮียวีครับ นี่พี่วีแฟนของวีร์เอง’

        ‘คนที่เราเล่าให้พี่ฟังว่ามีน้องชื่อต่ายเหมือนกันน่ะเหรอ’ คนที่นอนอยู่บนเตียงหันมายิ้มให้เขา

       คำพูดเพียงไม่กี่คำแต่ตอบทุกคำถามของเขาได้อย่างหมดจดจนไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก ความสงสัยในคำพูดกำกวมของหลายๆคนก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น

        ‘คนพี่ชื่อวี ส่วนคนน้องชื่อต่าย อย่าไปตกหลุมรักเขาเข้าละ’

        ‘อ้าว แล้วมึงเอาพี่วีไปไว้ไหนอะ ก็รู้ๆกันอยู่ ว่าจริงๆมันอยากใช้โบ๋เราเป็นสะพานไปหาใคร’

       ตอนนี้เหลือแต่เพียงความชัดเจนเท่านั้น

        ‘เราเคยเจอกันใช่มั้ย’ คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงดูมีสีหน้ายิ้มแย้มเอ่ยทักทาย

       สำหรับตัวเขานั้นแค่เห็นป้ายชื่อที่ติดอยู่หน้าห้อง เขาก็รู้ในทันทีว่าคนในห้องนี้เป็นใคร เขาจึงยิ้มตอบรับและพยักหน้า และคิดว่าวีร์ก็พอจะรู้ว่าพวกเขาเคยเจอกันที่ไหน

        ‘ใช่ ตอนที่ไปสอบชิงทุนตอน ม.3 แล้วเรานั่งสอบใกล้กัน’ วีรมาตุรื้อฟื้นเหตุการณ์ในตอนนั้น



        “เฮียครับ”

       เสียงเรียกดึงสติของเขากลับยังเวลาปัจจุบันที่เขาและวีร์กำลังนั่งร่วมโต๊ะอาหารที่โรงเรียน

        “ตกลงเฮียว่างรึเปล่า” วีร์ถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านิ่งเงียบไปอยู่นาน

        “คือจะให้เฮียไปรับน้องวีร์ก่อน แล้วไปโรงพยาบาลด้วยกันเหรอครับ” วีรมาตุถามกลับหลังจากที่คิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง

        “เปล่าครับ ถ้าเฮียจะไปก็ไปแต่เช้าได้เลย แล้วผมจะไปเยี่ยมพี่วีช่วงบ่ายแทน” เพราะคิ้วที่ขมวดกันของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม วีร์จึงอธิบายเพิ่มเติม “พี่วีเขาอยากคุยกับเฮียตามลำพัง”

        “ทำไมเหรอ”

        “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่พี่วีกำชับมาแบบนี้” วีร์นั่งนิ่งรอฟังคำตอบ

       วีรมาตุสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วก็พ่นออกมา ก่อนที่จะพยักหน้า

        “งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ ผมจะได้โทรไปบอกพี่วีว่าเฮียว่างจะไปหาวันเสาร์นี้”

       วีร์ยิ้มให้เขาก่อนที่จะจัดการอาหารที่เหลือทั้งหมดแล้วจึงขอตัวลุกไป ทิ้งให้คนที่ยังนั่งอยู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่

       ส่วนคนที่เฝ้ามองดูทั้งคู่อยู่ไกลๆก็มีสีหน้าดูเคร่งเครียด ริมฝีปากเม้มเข้าหากัน เกือบจะลุกขึ้นตามไปในทันทีหากแต่ว่ามีคนมาฉุดตัวเขาให้นั่งลงตามเดิม พร้อมกับส่ายหน้าห้ามเขาไว้

        “ปล่อยเขา เรื่องของเขาสองคนก็ให้เขาสองคนจัดการกันเอง” พระยศกระซิบพูดกับศศิทัศน์ก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนคนอื่นๆตามเดิม

       ศศิทัศน์ได้แต่ถอนหายใจและนั่งมองดูพี่ชายของเขาอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ

*****

       ช่วงสุดท้ายของภาคเรียนนี้ก็ใกล้เข้ามาแล้ว หลังการการสอบกลางภาคเรียนที่สองจบลงทางโรงเรียนก็ไม่ได้จัดกิจกรรมอะไรขึ้นมามากนัก ปล่อยให้นักเรียนมีอิสระและมีสมาธิจดจ่อกับเนื้อหาของแต่ละวิชาที่มักจะเข้มข้นในช่วงท้าย เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบปลายภาค

       วีร์และเพื่อนๆใช้เวลาหลังเลิกเรียนมาจับกลุ่มติวหนังสือบ้าง นั่งพูดคุยเฮฮาตามประสาบ้าง หรือว่าเล่นกีฬาออกกำลังบ้างอย่างในวันนี้

       วีร์ที่เดินออกมานั่งข้างสนามเพื่อพักเหนื่อย ปล่อยให้เพื่อนคนอื่นๆได้สลับกันลงไปเล่นบ้าง มีทั้งเพื่อนในกลุ่มของเขาเอง เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ รวมถึงเพื่อนต่างห้องด้วยเช่นกัน

        “เอามั้ยมึง”

       วีร์เงยหน้าขึ้นไปมองคนที่เพิ่งจะมาถึง เขายื่นถุงขนมคุกกี้มาให้พร้อมนั่งลงข้างๆพลางมองดูเพื่อนๆที่กำลังเล่นบาสเก็ตบอลกันอยู่ในสนาม

        “ไปไหนมาวะมึง” วีร์รับถุงขนมมาแล้วเลือกหยิบคุกกี้สองชิ้นแล้วจึงส่งกลับให้เจ้าของตามเดิม

        “เดินเล่นไปเรื่อย” พระยศตอบกลับมา แต่สายตายังคงมองไปที่สนามบาสเก็ตบอล

        “แล้วไปเอานี่มาจากไหน” เจ้าตัวแค่ยักไหล่ตอบกลับมา “เขาเอามาให้หรือมึงตั้งใจไปรอรับ”

        “ก็ไม่ทั้งสองอย่าง” พระยศยังคงนิ่งเฉย หยิบคุกกี้กินไปพลางมองดูเพื่อนๆในสนามไปพลาง

        “ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว” คำถามกว้างๆดูไม่เจาะจง แต่วีร์คิดว่าเพื่อนของเขารู้ดีว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร คุกกี้ที่เคยคิดว่าคนฝากเขาซื้อมาให้ แต่มารู้กันภายหลังว่าเจ้าตัวลงมือผสมและอบด้วยตัวเองมาโดยตลอด

        “ก็ไม่ถึงไหน”

        “คือไม่ได้ก้าวหน้า แต่ก็ไม่ได้ถอยหลัง”

       พระยศไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบคุกกี้ชิ้นใหม่ขึ้นมากัดเข้าปาก “ก็อยู่ที่เดิม ที่เดิมอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น” วีร์หันมามองพระยศเมื่อได้ยินคำพูดที่เคยหลุดจากปากของเขามาก่อน จนคนข้างรู้สึกได้และหันมามองตอบ “แต่ที่เดิมของกูเป็นคนละที่เดิมของมึง”

        “แต่คือมึงเปิดใจแล้ว”

       พระยศแค่เพียงยักไหล่นิดหน่อยตอบ

        “ก็ดีแล้ว”

       ทั้งคู่นั่งมองดูเพื่อนๆเล่นกันต่อไปอยู่เงียบๆ จนพระยศพูดขึ้นมาอีกครั้ง

        “กูบังเอิญไปเจอน้องเขาเมื่อตอนปิดเทอม” วีร์หันมามองเมื่อเพื่อนของเขาเริ่มเปิดปากเล่าขึ้นมา “ที่โรงพยาบาล ตอนกูไปฝึกงาน” พระยศก้มหน้ามองดูถุงคุกกี้ในมือของเขา “น้องเขามากับรถฉุกเฉิน” วีร์หันตัวมาหาพระยศทั้งตัวและตั้งใจฟังสิ่งที่พระยศกำลังจะเล่า

        “น้องเขานอนหมดสติมา ร่างกายดูซูบผอมมาก กูเห็นแล้วตกใจเลย หมอก็รีบวัดความดันวัดไข้ จับฉีดยาโน้นนี่นั่นแล้วก็ให้น้ำเกลือ แล้วก็ส่งขึ้นไปที่วอร์ดผู้ป่วย นอนพักอยู่ 3 วันมั้งก็ออกจากโรงพยาบาลได้”

       วีร์ยังคงนั่งเงียบ รอฟังสิ่งที่คนตรงหน้าจะเอ่ยออกมา

        “กูเคยเข้าไปคุยกับน้องเขาครั้งหนึ่ง” พระยศพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ

        “แล้วเป็นไง”

        “ก็ไม่เป็นไง กูก็บอกไปว่าถ้าเขารักตัวเองไม่เป็น แล้วจะไปรักคนอื่นเป็นได้ยังไง” พระยศหยิบคุกกี้ขึ้นมากินอีกชิ้นหนึ่ง “ตั้งแต่เปิดเทอมมากูก็เห็นน้องเขาก็ดูโอเคขึ้น แล้วก็คงจะเห็นกูมาซ้อมวิ่งอยู่บ่อยๆ น้องเขาก็เลยมาซ้อมด้วย แต่ไม่เคยได้พูดอะไรกันหรอก ต่างคนต่างวิ่งของตัวเองไปซะมากกว่า ก็เลยถึงได้บอกว่าที่เดิมอยู่ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นแหละ”

        “ก็ดีแล้ว อย่างน้อยสิ่งที่มึงพูดไป ทำให้น้องเขาเข้าใจ”

        “แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า” พระยศเว้นช่วงไว้ระยะ “กูไปฝึกงานที่โรงพยาบาล เมื่อตอนปิดเทอม” เขาหันหน้ามาหาวีร์ “กูอยู่ประจำที่ห้องฉุกเฉิน”

       วีร์รอฟังสิ่งที่พระยศจะพูดต่อเพราะเขายังคงไม่เข้าใจว่าพระยศต้องการสื่อถึงอะไร

        “ที่มึงต้องเดินผ่านขึ้นตึกไปอยู่เกือบทุกวันตลอดช่วงปิดเทอม”

       วีร์ขมวดคิ้วจ้องมองเพื่อนของเขา ส่วนพระยศก็จ้องมองเขากลับมาเช่นกัน

        “แม่กูชื่อกาญจนา” พระยศจ้องเข้าไปในนัยน์ตาของวีร์ “พญ.กาญจนา อาชา มึงพอจะนึกอะไรออกแล้วยัง”

       ทั้งคู่ต่างมองกันไปมาอย่างเงียบๆ

        “มึงรู้มานานแค่ไหนแล้ว”

        “ก็สักพักแล้ว” พระยศละสายตาก่อนเป็นคนแรก เขาหันไปมองเพื่อนๆในสนามอีกครั้ง “แม่กูไปเห็นรูปที่ไอ้ฟ่างเคยถ่ายให้พวกเราในไอจีกู แล้วก็เอามาถามกูว่ารู้จักมึงด้วยเหรอ”

       วีร์นั่งนิ่งเงียบรอฟังคำบอกเล่าจากพระยศ

        “เขาเห็นมึงไปเฝ้า ‘เพื่อน’ อยู่บ่อยๆ เลยจำหน้าได้ แต่ไม่คิดว่ามึงจะรู้จักกับกูด้วย”

        “แล้วแม่มึงบอกอะไรมึงบ้าง”

        “ไม่ได้บอก จรรยาบรรณของหมอ เรื่องของคนป่วยจะคุยได้แต่กับทีมแพทย์ที่รักษาด้วยกันและญาติเท่านั้น แต่กูก็พอจะเดาออกว่า ‘เพื่อน’ ของมึงที่รักษาตัวอยู่ชั้นบนของตึกอุบัติเหตุแล้วยังมีแม่กูเป็นหมอประจำให้ ก็คงจะอาการหนักอยู่”

       วีร์พยักหน้ารับ

        “มึงอยากบอกมั้ยว่า ‘เขา’ เป็นใคร” พระยศหันมาถามวีร์ เขามองดูเพื่อนของเขาหลับตาลง สูดหายใจลึกแล้วค่อยๆปล่อยออกมา

        “เขาเป็นแฟนกูเอง” วีร์ตอบกลับหลังจากนั่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ซึ่งพระยศก็พยักหน้ารับรู้

        “ไอ้ต่ายรู้แล้วยัง”

        “ไม่รู้เหมือนกันว่ามันรู้แล้วรึเปล่า”

        “แต่ดูมันจะไม่ได้อะไรกับมึงแล้วนะ เห็นเมื่อเช้ามันยังมาคุยกับมึงปกติดี”

        “อืม” วีร์ตอบเพียงสั้นๆ

       เสียงในสนามดังขึ้นมาเพราะมีใครบางคนต้องการเปลี่ยนตัวออกไปพักบ้าง จึงหันมองรอบเผื่อว่ามีใครต้องการลงไปเล่นแทน ทั้งพระยศและวีร์ต่างโบกมือปฏิเสธไป

        “แล้วเฮียวีรู้เรื่องแฟนมึงแล้วรึยัง”

       วีร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้งก่อนจะตอบ “รู้แล้ว”

        “วันที่เฮียลงสเตตัสอันนั้นใช่มั้ย”

       ข้อความอันนั้นเป็นเรื่องที่หลายคนเอามาพูดกันอย่างแพร่หลายในโรงเรียนอยู่นาน แม้แต่ตัววีร์เองที่ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊คก็ยังรู้เรื่องผ่านคำบอกเล่าของคนนั้นคนนี้ไปด้วย บางคนก็เดาไม่ถูกว่าหมายถึงใคร แต่ก็มีบางคนที่พอจะรู้ว่าเกี่ยวกับตัวเขาเอง

        “อืม” วีร์ตอบกลับสั้นๆ “กูพาเฮียไปเจอพี่เขาเอง”

        “กูก็ว่าเห็นเฮียแกซึมๆไปอยู่พักนึง แต่ก็ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติดีแล้ว สงสัยคงทำใจได้แล้วมั้ง”

        “ก็คงเป็นอย่างนั้น” สำหรับวีร์เองก็พอจะสังเกตได้ว่าวีรมาตุกลับมาดูเหมือนปกติดีแล้ว ทั้งตอนที่อยู่กับเพื่อนฝูงและกลับมาส่งข้อความผ่านทางแอพลิเคชั่นไลน์หาเขาอย่างเดิม หลังจากที่วีรมาตุได้ไปเจอกับวีรดนย์อีกครั้ง จนถึงตอนนี้วีร์เองก็ยังไม่รู้ว่าทั้งสองคนนั้นได้คุยอะไรกันบ้าง ไม่ว่าจะพยายามถามฝ่ายไหนก็ไม่มีใครยอมบอกจนเขาต้องเป็นฝ่ายล่าถอยไปเอง

       แล้วอยู่ๆพระยศก็ยื่นถุงคุกกี้มาให้เขาแล้วก็ลุกขึ้นยืนทันที จากนั้นจึงเดินเข้าไปในสนามบาสเก็ตบอล เปลี่ยนตัวกับศศิทัศน์ที่เดินออกมานั่งลงที่ข้างๆวีร์

       ศศิทัศน์หยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มแก้กระหายไปเกือบหมดขวด มือขยับเสื้อหวังคลายร้อน มองดูเพื่อนๆเล่นกันต่อ

        “หยุดปีใหม่มึงจะกลับบ้านปะ”

       วีร์หันไปมองสีหน้าของคนข้างๆก่อนจะตอบ

        “คงไม่ได้ไปไหน คนเดินทางกันเยอะ อยู่นี่ดีกว่า”

        “ไอ้กิ่งไอ้ก้านมันจัดปาร์ตี้ปีใหม่ที่บ้านมันทุกปี มันบอกมึงแล้วยัง” ศศิทัศน์นั่งเท้ามือทั้งสองไปด้านหลังพร้อมทั้งหมุนคอไปมาแก้เคล็ดขัดยอก

        “ยังเลย”

        “อืม เดี๋ยวมันคงชวนมึงแหละ เตรียมตัวไว้เลย พวกมันไม่ยอมให้มึงปฏิเสธได้แน่นอน” ศศิทัศน์คว้าเอาถุงคุกกี้ในมือของวีร์มาหยิบกินบ้าง “แล้วก็ มึงเตรียมเสื้อผ้าไว้ค้างคืนด้วยเลย พวกมันชอบตั้งเต็นท์กลางสนาม ก่อกองไฟ แล้วก็ทำอาหารปิ้งย่างกินกัน”

        “ก่อกองไฟจริงๆอะนะ” วีร์ขมวดคิ้วสงสัยถึงการทำกิจกรรมรอบกองไฟกลางสนามบ้านที่อยู่ใจกลางเมืองว่าจะเป็นไปได้อย่างไร

        “ไว้มึงเห็นบ้านมันแล้วเดี๋ยวมึงก็จะหายงงเอง” ศศิทัศน์หันมายิ้มและยักคิ้วให้กับวีร์ วีร์ก็พยักหน้ารับรู้ ถึงแม้ว่าเขาจะพอรับรู้อยู่บ้างว่าสถานะทางบ้านของคู่แฝดเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่เคยคาดคะเนว่าจะร่ำรวยมากมายแค่ไหนมาก่อน และอีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้คาดคิดเหมือนกันก็คือว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆเขาจะกลับมาพูดคุยกับเขาเป็นปกติดังเดิม


[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 9 ... 21 พ.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 21-05-2021 00:26:28
        “น้องวีร์”

       ยามเย็นที่พระอาทิตย์ตกเร็วกว่าปกติในช่วงหน้าหนาวแบบนี้ ยิ่งทำให้อากาศเย็นไหลเข้ามาแทนที่เร็วขึ้นตามไปด้วย นักเรียนส่วนใหญ่จึงพกเสื้อกันหนาวติดตัวมาด้วย วีร์เองก็เช่นกัน และในขณะที่เขากำลังเดินไปหน้าโรงเรียนเพื่อจะกลับบ้าน ก็ได้ยินเสียงเรียกจากคนคุ้นเคย

       วีร์หยุดเดินและหันมาตามเสียง ก็เห็นเด็กหนุ่มรุ่นพี่รูปร่างสูงขาวตี๋ หน้าตาละม้ายคล้ายกับเพื่อนร่วมห้องของเขา กำลังวิ่งตามมาจนถึงจุดที่เขายืนอยู่

        “จะกลับแล้วหรอครับ”

        “ก็... ครับ”

        “มีธุระต้องรีบกลับรึเปล่าครับ” วีรมาตุเอ่ยถาม

        “ก็... ไม่ได้มีอะไรด่วนต้องรีบกลับไปทำนะครับ” วีร์ขมวดคิ้วพยายามนึกอยู่

        “งั้น ช่วยไปเป็นเพื่อนเฮียหน่อยได้มั้ย” เขามองดูเด็กรุ่นน้องเลิกคิ้วขึ้นมาทั้งสองข้าง “เฮียอยากจะไปซื้อของขวัญวันเกิดให้เพื่อน แต่เฮียไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรให้มันดี น้องวีร์ไปช่วยเฮียเลือกหน่อยได้มั้ยครับ”

       ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตาของผู้ร้องขอที่ดูแล้วแทบแยกไม่ออกว่ากำลังอ้อนวอนที่คนตัวเองกำลังชอบเหมือนไม่รู้มาก่อนว่าเขามีเจ้าของอยู่แล้ว หรือต้องการความช่วยเหลือเพราะจนปัญญาแล้วจริงๆ ทำให้วีร์ชั่งใจอยู่นาน

        “ได้มั้ยครับ” วีรมาตุเอ่ยถามอีกครั้ง

       หลังจากที่คิดทบทวนว่าเขาคงจะคิดมากไปเองวีร์จึงตอบตกลงไป ก็คงจะเหมือนเมื่อคราวที่วีรมาตุมาขอไลน์ไปจากเขา

        “ก็ได้ครับ” อีกฝ่ายก็ยิ้มกว้างในทันที

        “งั้นไปกันเลยครับ”

       เมื่อทั้งคู่เดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าที่ถือได้ว่าเป็นแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นทั้งจังหวัด เพราะมีสินค้าให้เลือกมากมายหลากหลายประเภท รวมถึงกิจกรรมสันทนาการต่างๆที่สามารถสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินได้ตลอดทั้งวัน วีรมาตุและวีร์เดินเลือกดูสินค้าไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ร้านที่ขายของทั่วไป เสื้อผ้า เครื่องกีฬา ไปจนถึงร้านหนังสือ แต่ก็ยังตกลงไม่ได้เสียทีว่าควรจะซื้ออะไรไปเป็นของขวัญวันเกิดดี

        “เดี๋ยวครับเฮีย สรุปว่าเฮียจะซื้อของขวัญวันเกิดให้ใคร”

        “ไอ้หมูไง เฮียไม่ได้บอกเหรอ”

       วีร์ส่ายหน้าในทันที เขารับรู้แต่ว่าเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งของวีรมาตุ

        “แล้วเฮียรู้มั้ยว่าเฮียหมูชอบอะไร”

        “อืม... มันก็ชอบเล่นฟุตบอล” วีรมาตุพยายามนึกสิ่งที่เพื่อนสนิทของเขาชอบเป็นพิเศษ

        “หรือจะซื้อลูกฟุตบอลให้” วีร์เสนอความเห็น

        “เฮียว่าที่บ้านมันคงมีเป็นโหลแล้วละมั้ง”

        “รองเท้าสตั๊ดไปเลยมั้ยครับ”

        “แต่เฮียว่าน่าจะแพงไปนะ”

        “ชุดบอล”

       วีรมาตุทำหน้าย่นไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้นสักเท่าไหร่ ด้วยคิดเอาเองว่านักฟุตบอลก็คงจะมีชุดใส่เล่นฟุตบอลอยู่ไม่น้อยอยู่แล้ว

        “โน้นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา” วีร์ถอยหายใจเซ็งๆเล็กน้อย “แล้วเฮียหมูชอบอะไรอีกเหรอครับ”

        “อืม... มันชอบเล่นหมากรุกนะ แต่มันก็คงมีกระดานหมากรุกอยู่แล้ว”

       วีร์เงยหน้ากรอกตามองบนทันทีที่ถูกดักทางคำตอบไว้ซะก่อน แล้วจึงหันมองดูรอบไปตามร้านค้าต่างๆ ก่อนที่จะสะดุดตากับที่แห่งหนึ่ง

        “แล้วเฮียอยากซื้อของขวัญแบบไหน” วีร์เอ่ยถามขณะที่สายตายังมองดูของสิ่งนั้นอยู่

        “เฮียก็นึกไม่ออกเหมือนกันครับว่าจะซื้ออะไรดี เฮียถึงได้มาขอให้น้องวีร์มาช่วยอยู่นี่ไง”

        “ไม่ใช่” วีร์หันหน้ามาหาวีรมาตุ “ผมหมายถึงว่า เฮียอยากได้ของขวัญแบบว่าเห็นแล้วประทับใจสุดซึ้ง หรือจะเอาสนุกๆแบบแกล้งกันขำๆอะครับ”

        “อืม...” วีรมาตุนึกคิดพิจารณา “ยังไงก็ได้ครับ”

       วีร์หันกลับไปมองของสิ่งนั้นอีกครั้ง ก่อนที่จะหันกลับมาหาคนตรงหน้า

        “งั้นเฮียตามผมมา”

       วีร์เดินนำวีรมาตุไปที่ร้านค้าร้านหนึ่ง เป็นร้านที่รวมสินค้าตั้งแต่เครื่องสำอาง ของใช้ส่วนตัว ไปจนถึงเวชภัณฑ์ วีร์เดินนำมาจนหยุดของที่ชั้นขายสินค้าประเภทหนึ่ง แล้วจึงเลือกดูสินค้าชนิดนั้นตามยี่ห้อและประเภทต่างๆ ไล่ดูตั้งแต่แบบที่จัดขายเป็นกล่องขนาดเล็ก ไปจนถึงสินค้าจัดชุดเป็นกล่องใหญ่

       ส่วนคนที่เดินตามมาได้แต่ตื่นตาตกใจกับสินค้าตรงหน้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นหรือไม่รู้จัก เพียงแค่เขาไม่คิดว่าเขาและวีร์จะได้มาเลือกสินค้าชนิดนี้ด้วยกัน อีกทั้งยังมีคนอื่นๆที่ทั้งเดินเลือกดูสินค้าอื่นๆในร้านและคนที่เดินผ่านไปมาอยู่นอกร้านหันมามองเขาทั้งสองคน ทำให้วีรมาตุรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย

        “ผมว่าถ้าเอาแบบว่าแกะออกมาเห็นแล้วตลกหัวเราะเฮฮาไปทั้งงานเลย ซื้อกล่องใหญ่ไปเลยดีกว่า” วีร์หยิบกล่องขึ้นมาสองกล่องที่เป็นสินค้าคนละยี่ห้อกัน และพลิกมองดูไปมา “อืม... อันนี้แค่สิบชิ้นแต่เกือบสามร้อยแหนะ ส่วนอันนี้โหลเดียวแต่ถูกกว่าอีก” วีร์ยังคงพลิกดูไปมาแล้วจึงก้มลงมองชิ้นอื่นๆที่วางอยู่บนชั้นวาง “เฮียว่าเอาแบบไหนดี แบบบาง แบบเรียบ หรือว่าแบบมีปุ่มขรุขระ”

        “น้องวีร์!” เขาส่งเรียกร้องออกมาทันที เพราะอีกฝ่ายนั้นถามเขาเสียงดังจนคนอื่นๆก็ได้ยินกันชัดเจน “เบาๆหน่อยสิครับ”

        “หืม... อะไรเหรอครับ” วีร์หันมาเห็นวีรมาตุที่กำลังหันมองไปรอบๆ

        “เดี๋ยวคนอื่นเขาเข้าใจผิด” วีรมาตุพยายามกระซิบให้ได้ยินกันแค่เขาและวีร์เท่านั้น

        “อ๋อ” วีร์หันมองดูรอบๆบ้าง “มันก็น่าอยู่หรอกที่เห็นเด็กผู้ชายสองคนใส่ชุดนักเรียนมาเลือกซื้อถุงยางอนามัยกัน” วีร์หันยิ้มเล็กน้อยให้กับวีรมาตุ “ถ้าแค่มองน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถึงขนาดถ่ายวิดีโอไว้ด้วยเนี่ย มันดูจะละเมิดสิทธิส่วนบุคคลไปสักหน่อยนะ” วีร์พูดเสียงดังมากพอที่จะให้ได้ยิน ในขณะที่เขาทำเป็นหันกลับมาเลือกดูถุงยางอนามัยยี่ห้ออื่นๆต่อ

       มีเด็กสาวสองคนที่ยืนดูอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล รีบลดโทรศัพท์ของตัวเองลงเก็บ แล้วพากันวิ่งหนีไปในทันที

        “เอาแบบไหนดีครับเฮีย”

        “แล้วแต่น้องวีร์เลยครับ” วีรมาตุส่ายหน้าเบาๆให้กับความมั่นใจของวีร์

        “งั้นเอาอันนี้” วีร์เลือกกล่องถุงยางอนามัยแบบบางเฉียบกล่องใหญ่ยื่นให้วีรมาตุ “เฮียเอาไปจ่ายตังค์เลยครับ แล้วเดี๋ยวเราไปซื้อกระดาษห่อของขวัญมาห่อกันเอง”

       หลังจากที่ชำระเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น วีรมาตุก็เดินออกมาจากร้านมาหาวีร์ที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งคู่จึงเดินไปยังร้านที่ขายเครื่องเขียนเพื่อเลือกซื้ออุปกรณ์สำหรับห่อของขวัญ จากนั้นจึงไปหาที่นั่งเพื่อห่อของขวัญชิ้นนี้กันจนเสร็จ

        “แล้ววันเกิดเฮียหมูวันไหนเหรอครับ” วีร์เอ่ยถาม

        “วันสิ้นปีครับ”

        “อ้าว เหรอครับ”

        “เอ๋... ไอ้ตี๋เล็กไม่ได้บอกเหรอครับ” วีรมาตุหันมาเห็นหน้าที่งงงวยของวีร์ “พวกคู่แฝดน่าจะชวนน้องวีร์ไปค้างที่บ้านฉลองต้อนรับวันขึ้นปีใหม่แล้วรึเปล่า” วีร์พยักหน้ารับ

        “ใช่ครับ”

        “นั่นแหละ เขาจะออกไปบ้านเพื่อนเฮียกันก่อนตอนเที่ยง แล้วพวกน้องๆถึงจะวนกลับไปบ้านกิ่งก้านกันตอนบ่ายๆ” วีร์ก็ยังคงงงกับลำดับกิจกรรมที่จะต้องทำในวันนั้น “เดี๋ยวถามไอ้ตี๋เล็กดูเอาก็ได้ครับ”

       วีร์เองก็พยักหน้ารับ

        “งั้น... เรากลับกันเลยมั้ยครับ” วีร์เปิดโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา

        “น้องวีร์รีบเหรอครับ”

        “เปล่าครับ ก็เห็นว่าซื้อของเสร็จแล้ว”

        “งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนมั้ยครับ เดี๋ยวเฮียเลี้ยง” วีรมาตุเอ่ยถามเด็กหนุ่ม “ก็เป็นการขอบคุณน้องวีร์ที่มาช่วยเลือกของขวัญให้”

        “อา... ไม่ต้องก็ได้มั้งครับ” วีร์ตอบยิ้มๆกลับไป

        “เอ่อ... งั้นก็...” วีรมาตุหน้าเสียเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น

        “หมายถึงเรื่องเลี้ยง ไม่ต้องก็ได้ครับ ต่างคนต่างจ่ายกันเองดีกว่า”

       วีรมาตุยิ้มออกมาในทันที

        “งั้นไปกันเลยครับ เฮียให้น้องวีร์เลือกร้าน”

*****

        “ว่ามา”

        “อะไรของมึง” วีร์เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า ที่อยู่ๆก็เดินมาถามเขาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

        “ทำไมถึงไปเดตกับเฮียกูได้” ศศิทัศน์ยืนค้ำมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะเรียนของวีร์

       วีร์ขมวดคิ้วสงสัย แต่ต่อมาก็ส่ายหน้ากรอกตามมองบน

        “นี่มึงยังไม่เลิกจับคู่ให้กูกับเฮียมึงอีกรึไง”

       ศศิทัศน์ทั้งเบะปากทั้งยักไหล่

        “ความสุขของเฮียก็คือความสุขของกู”

        “งั้นก็เรื่องของมึง” วีร์ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป

        “บอกมาก่อนว่าไปเดตกับเฮียกูได้ไง แล้วไปทำอะไรมาบ้าง” ศศิทัศน์ลากเก้าอี้ออกมาจากใต้โต๊ะข้างหน้า แล้วนั่งคล่อมลงโดยหันหน้ามาทางวีร์

        “ก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ไปช่วยเลือกของขวัญ แล้วก็แวะกินอะไรก่อนกลับ” วีร์ยังคงพลิกหน้าหนังสือไปเรื่อยๆมองหาเนื้อหาที่ต้องการ

        “จริงอะ” ศศิทัศน์หรี่ตามมองเพื่อนของเขาที่ทำแค่เพียงยักไหล่เล็กน้อยตอบกลับมา “แล้วทำไมเฮียดูหน้าระรื่นกลับมาบ้านวะ ยิ้มไม่หุบเลย ถามอะไรก็ไม่ตอบ” ศศิทัศน์ขมวดคิ้วเข้าหากัน พยายามนึกหาเหตุผลที่พี่ชายของเขากลับบ้านมาดูมีความสุขมากซะเหลือเกิน

        “นึกถึงหน้าคนตอนที่แกะดูของขวัญละมั้ง”

        “เหรอ แล้วมึงกับเฮียเลือกของขวัญอะไรให้เฮียหมูวะ” ศศิทัศน์ยื่นหน้าเอียงคอเข้าใกล้วีร์ รอคอยคำตอบจากคนตรงหน้า

        “ไว้ไปรู้เองในงาน” วีร์ยิ้มตอบกลับ

        “โหย อะไรวะ บอกนิดบอกหน่อยก็ไม่ได้” ศศิทัศน์ยกตัวขึ้นกอดอกทำเป็นเบะปากบ่นกระปอดกระแปดน้อยใจ

        “ทีมึงไม่เห็นจะบอกอะไรกูเลยว่าต้องไปงานวันเกิดเฮียหมูด้วย”

        “อ้าว ไอ้แฝดยังไม่ได้บอกมึงเหรอ”

        “ก็ถ้าบอกแล้ว กูจะนั่งไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนี้เหรอ”

        “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แวะไปแป๊บเดียวเองก็กลับแล้ว” ศศิทัศน์มองดูเพื่อนของเขาที่เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเขา “เฮียแกชอบให้มีคนเยอะๆเวลาเป่าเค้กวันเกิด”

       วีร์ก้มลงเปิดหนังสือดูตามเดิม ศศิทัศน์นั่งนิ่งเงียบชั่งใจเรื่องที่ถามต่อไปอยู่พักหนึ่ง จนคนตรงหน้ารู้สึกได้จึงเงยหน้ากลับขึ้นมา

        “อะไร มีอะไร”

        “คือ... ช่วงหยุดปีใหม่ เพื่อนมึงจะขึ้นมาด้วยรึเปล่า”

       วีร์เลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้าง “มา”

        “แล้ว... มึงต้องไปเจอแฟนมึงด้วยมั้ย” ศศิทัศน์เอ่ยถามเสียงเบาลงเล็กน้อย

        “ก็ไปเจอกันตามปกติ”

       ศศิทัศน์ก็พยักหน้ารับแล้วก็เงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง

        “เอ่อ... งั้น... มึงชวนเพื่อนมึงกับแฟนมึงมางานด้วยกันสิ”

        “งานไหน” วีร์ถามให้แน่ใจ “งานที่บ้านไอ้พวกแฝด หรืองานเฮียหมู”

        “งานปาร์ตี้ที่บ้านไอ้แฝดสิวะ เพื่อนมึงกับแฟนมึงจะรู้จักเฮียหมูเหรอ”

        “อ๊ะ ก็ไม่แน่ โลกรอบๆตัวกูยิ่งกลมมากๆอยู่ด้วย” วีร์ยักไหล่แล้วก้มลงมองดูหนังสือต่อ แต่ก็ชำเลืองตาขึ้นมองคนตรงหน้าที่ยังรอคำตอบจากเขาอยู่ “ไว้จะลองถามไอ้ต่ายดูให้ ว่ามันอยากไปมั้ย”

        “แล้ว... แฟนมึงละ”

       วีร์ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะตอบ

        “แฟนกูออกไปไหนไม่ได้”

       ศศิทัศน์ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ เพราะยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามต่อ อาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องเรียนแล้ว รวมถึงเจ้าของโต๊ะเรียนที่เขานั่งอยู่ก็มาทวงคืนที่นั่งของเธอด้วยเช่นกัน


หมายเหตุ: เนื้อหาบางส่วนจากเพลง ปาฏิหาริย์ ศิลปิน ทรงสิทธิ์รุ่งนพคุณศรี
Spotify (https://open.spotify.com/track/0jlHx01ukwtpozovduuXeC) Youtube (https://www.youtube.com/watch?v=G44dKh11SBI) Apple Music (https://music.apple.com/us/album/%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%8F-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B8%A2/1044964690?i=1044964694) Joox (https://www.joox.com/th/single/Fq8+AoBq3AaLTf018Yahwg==)


[โปรดติดตามตอนต่อไป]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 9 ... 21 พ.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-05-2021 22:28:06
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 9 ... 21 พ.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 22-05-2021 10:54:04
อะไรเนี่ยยยยยย พี่ชื่อวี น้องก็ชืีอต่ายอีก :katai1:

แล้วพี่วีกับเฮียวีไปคุยอะไรกัน :katai1: เฮียวีถึงได้รุกจีบเหมือนเดิม

หรือเฮียวีจะยอมเป็นตัวแทนพี่วี :ling1: :ling3:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 10 ... 30 พ.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 30-05-2021 00:02:02
ตอนที่ 10 ปาร์ตี้วันปีใหม่



       ณ บ้านเดี่ยวหลังหนึ่งที่พอจะมีบริเวณรอบบ้านอยู่บ้างตามการจัดสรรบ้านเรือนในเมืองยุคปัจจุบัน มีกลุ่มเด็กชายหลายคนยืนคุยกันเป็นกลุ่มๆเฮฮาตามประสาวัยรุ่น เหล่าผู้ใหญ่ในบ้านก็นั่งรวมตัวกันที่โต๊ะที่แยกออกมาต่างหาก อาหารในงานใช้วิธีการสั่งซื้อมาเป็นถาดใหญ่วางเรียงกันอยู่ที่โต๊ะใบหนึ่ง วางพร้อมกับจานเปล่าที่ซ้อนกันให้คนร่วมงานหยิบจับได้สะดวกมือ ใครอยากจะกินอะไรก็ตักใส่จานตัวเองเป็นคนๆไป

        “เป็นอะไรของมึงเนี่ย” “นั่นสิดุ๊กดิ๊กๆอยู่ไม่นิ่งเลย” “ปวดขี้เหรอ” “ออกไปเข้าห้องน้ำก่อนมั้ย”

       คนถูกถามถึงกับพ่นลมหายใจออกมา เกาศีรษะ เกาคอ แล้วก็เกร็งตัวสั่นเล็กน้อย

        “ไม่รู้วะ บอกไม่ถูก” เขาหันมองดูไปรอบๆงาน “รู้สึกแปลกๆยังไงก็ไม่รู้”

        “แค่คนไม่คุ้นหน้ามั้ง มึงเพิ่งมาครั้งแรกนิ” “ก็เลยรู้สึกแปลกๆ อยู่กับพวกกูนี่แหละไม่ต้องไปไหน”

        “มันก็... ไม่รู้วะ” วีร์ยังคงขมวดคิ้ว เม้มปาก หันมองดูรอบๆทั้งด้านบนเพดานและด้านล่างที่พื้น “มันรู้สึกไม่ค่อยอยากจะอยู่ที่นี่นานๆยังไงก็ไม่รู้”

       ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างเข้ามารุมจับตัววีร์หันซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังสำรวจหาความผิดปกติไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย จนวีร์ต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นห้ามให้คู่แฝดหยุด แล้วเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะที่วางเครื่องดื่มชนิดต่างๆ มีทั้งน้ำอัดลม น้ำผลไม้ ชากาแฟทั้งร้อนและเย็น รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

        “หึ มีคนอายุถึงเกณฑ์ให้ดื่มกันได้สักกี่คนเชียว” วีร์บ่นพึมพำกับตัวเอง พลางเลือกดูสิ่งที่เขาต้องการ

        “จะดื่มอะไรดีละน้องวีร์”

       วีร์หันไปตามเสียงก็เห็นหญิงสาวที่ดูจะคุ้นหน้า วันนี้เธอแต่งตัวเสื้อผ้าหน้าผมดูทะมัดทะแมง เรียบง่ายแต่ดูดี เขาจึงส่งยิ้มให้

        “อ่า... คือผมกำลังคิดจะชงชาร้อนแล้วผสมน้ำมะนาวลงไปอะครับ”

        “หืม... เอาน้ำผึ้งด้วยมั้ยเดี๋ยวพี่ไปหยิบในบ้านมาให้” หญิงสาวเอ่ยปากถาม กำลังจะเอี่ยวเดินไปที่ประตูเข้าไปในบ้านแล้ว

        “ไม่เป็นไรครับพี่วา” วีร์ร้องทักหญิงสาวไว้ก่อน “ผมแค่อยากดื่มอะไรเปรี้ยวๆอุ่นๆเฉยๆครับ”

        “อ้าวเหรอ พี่ก็นึกว่าวีร์เจ็บคอซะอีก”

       วีร์เพียงยิ้มตอบกลับ ขณะที่กำลังเทน้ำร้อนลงไปในแก้วที่มีถุงชาใส่ไว้อยู่แล้ว เมื่อความเข้มของชาได้ตามที่เขาต้องการแล้วจึงเติมน้ำมะนาวลงไป จากนั้นก็คนให้มันเข้ากันแล้วก็ลองชิมดู

       วีร์พยักหน้าสองสามที เป็นอันรับรู้ว่ารสชาติได้ตามที่เขาต้องการแล้ว

        “วีร์ชอบดื่มชามะนาวเหรอ” วนกรยังคงยืนอยู่ใกล้โต๊ะเครื่องดื่ม เธอเลือกที่จะชงกาแฟร้อนเป็นเครื่องดื่มของเธอเอง

        “เปล่าครับ แค่ทั้งหมดนี่” วีร์วาดมือข้างหนึ่งไปรอบๆโต๊ะ “มีอันนี้ที่พอจะเข้าเค้าอยู่” เขาเห็นสีหน้าของหญิงสาวที่คิ้วทั้งสองข้างชนกันอยู่ “คือผมชอบรสเปรี้ยวก็จริง แต่เปรี้ยวแบบมะนาวจะดูเปรี้ยวแหลมไปสักนิดนึง ถ้าได้เปรี้ยวแบบมะขามจะอย่างนี้เลย” วีร์ยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งกำนิ้วไว้ทั้งหมดเว้นเพียงนิ้วโป้งที่ยกชี้ขึ้นบน หญิงสาวก็พยักหน้ารับรู้

        “วีร์นี่ชอบเหมือนพี่เลยนะ”

        “เหรอครับ งั้นเอาไว้มะขามที่หน้าบ้านวีร์สุกแล้ว เดี๋ยววีร์เก็บมาฝาก มันดกมากจนกินเองไม่ทัน”

        “ก็ดีสิ ขอบใจนะ” วนกรส่งยิ้มให้กับวีร์

***

       ห่างไปอีกฝากหนึ่งของงาน ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้าไปทักทายเด็กขาวตี๋ที่เขารู้จักคุ้นเคยกันอยู่บ้าง ด้วยเหตุที่ว่าเห็นหน้าตากันอยู่บ่อยๆ

        “ว่าไงเรา” เขาเอ่ยทักพร้อมกับขยี้ผมของเด็กคนนั้นไปมาสองสามที “ไม่ได้เจอกันนาน”

        “โอ๊ะ” ศศิทัศน์ยกมือขึ้นปักผมของตัวเองให้กลับเข้าทรงเดิม “แต่นมยังโตเท่าเดิมอยู่เลยครับ” ศศิทัศน์จับหน้าอกของตัวเองเพื่อพิสูจน์ขนาด จนคนที่ทักเขาผลักศรีษะเขาเบาๆด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดู “พี่เขม หวัดดีครับ พี่ไปไหนมาทำไมเพิ่งเห็น”

        “ไปบ้านแฟนพี่มา”

        “อ้าว แล้วไม่พามาด้วยกันเหรอ” ศศิทัศน์หันไปมองดูรอบๆ

        “ไม่อะ เขาก็อยากอยู่กันลำพังกับครอบครัวเขาบ้าง เดี๋ยวตอนเย็นค่อยไปรับมากินข้าวที่นี้อีกที”

       ศศิทัศน์พยักหน้ารับรู้

        “เราก็เอาอย่างเฮียเราบ้างสิ ดูหุ่นตอนนี้สิ”

        “หึๆ รายนั้นเขากำลังทำคะแนนอยู่ ก็ต้องฟิตให้ล่ำบึ๊กเป็นธรรมดา”

        “เรานี่ละน้า” แล้วชายหนุ่มก็ก้มลงกระซิบเบาๆ “นี่ แล้วคนที่กำลังยืนคุยกับพี่สาวพี่คือใครอะ”

       ศศิทัศน์หันไปมองตามสายตาของเขมกร “อ๋อ ไอ้วีร์”

        “โอ้โห! เดี๋ยวนี้กล้าเรียกเฮียตัวเองว่าไอ้แล้วเหรอ”

        “ไม่ช่ายยยคร๊าบ” ศศิทัศน์ส่ายหน้า “คนนั้นน่ะ ชื่อว่าวีร์ เพื่อนห้องเดียวกับผมเอง เพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่ปีนี้”

        “อ้าว เพิ่งย้ายมาเหรอ” ศศิทัศน์มามองหน้าเขาอย่างงงๆ “นี่แค่จะมาถามเฉยๆว่าชื่ออะไร เพราะว่าดูคุ้นหน้าเหมือนจะเคยเห็นที่ไหน แต่นึกชื่อไม่ออก”

        “หืม จะไปคุ้นหน้าได้ยังไงกัน มันเพิ่งย้ายมาไม่นานนี่เอง”

        “เหรอ แล้วเขาย้ายมาจากที่ไหน”

        “โรงเรียน xxx ครับ”

       เขมกรนิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินชื่อโรงเรียน เขาพินิจมองดูเด็กหนุ่มที่กำลังคุยอยู่กับพี่สาวของเขา เขาเองยังไม่แน่ใจนักแต่ภาพในหัวของเขาปรากฏชายคนหนึ่งที่พอจะทับซ้อนใบหน้าของเด็กชายที่ชื่อว่าวีร์ได้พอดี

        “เขาชื่อว่าอะไรนะ”

        “วีร์ครับ” ศศิทัศน์หันมามองสีหน้านิ่งๆชายหนุ่มอย่างสงสัย “วีร์ วรรัญญา”

        “ใครนะ”

       ทั้งสองคนหันไปทางเสียงที่ดังขึ้นมา เป็นหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆพวกเขา

        “เมื่อกี้ต่ายพูดว่าอะไรนะลูก”

        “เอ่อ ไอ้วีร์ไงครับ ชื่อว่า วีร์ วรรัญญา” ศศิทัศน์ตอบอย่างงงๆกับท่าทางของทั้งสองคน

        “แม่” ชายหนุ่มร้องเรียกหญิงวัยกลางคนที่กำลังมองไปทางหญิงสาวที่กำลังคุยกับเด็กหนุ่มอย่างออกรสออกชาติ

        “หืม เขมว่าอะไรนะ” หญิงสูงวัยกว่าหันมาถามลูกชายของเธอ

        “แม่เป็นอะไรมั้ย” เขาถามด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นน้ำที่เอ่อขึ้นมาในดวงตาทั้งสองข้างของแม่ของเขา

        “แม่ไม่เป็นอะไร” เธอยิ้มอ่อนๆแล้วจับแขนของลูกชายคนกลางของเธอ แล้วเอ่ยกระซิบเบาๆ “อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้พ่อเขารู้นะ”

        “ได้ครับแม่”

       แล้วหญิงสูงวัยกว่าก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยทิ้งให้ชายหนุ่มที่มีสีหน้ากังวลกับเด็กหนุ่มที่สีหน้าสงสัยไว้ลำพัง โดยเธอเดินเข้าไปด้านในบ้านตรงมุมที่สามารถแอบมองดูหน้าตาของเด็กหนุ่มที่กำลังคุยอยู่กับลูกสาวของเธอได้ชัดเจนขึ้น เมื่อยิ่งเห็นชัด น้ำตาก็ไหลออกมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธอ

        “ต่างคนต่างอยู่ก็ดีอยู่แล้ว จะกลับมาเจอกันอีกทำไมกันนะ” เธอพึมพำเบากับตัวเอง แม้ว่าจะเป็นถ้อยคำเชิงตัดพ้อ แต่เธอไม่ได้หมายถึงบุคคลที่กำลังอยู่ในสายตาของเธอ หากว่าเป็นโชคชะตาที่กำลังจะเล่นตลกกับครอบครัวของเธออีกครั้ง

        “ไม่ได้เจอกันนานจนหนูโตเป็นหนุ่มแล้วนะลูก...” ดวงตาที่เป็นแก้วเพราะเอ่อไปด้วยน้ำที่พยายามกลั้นไว้ไม่ให้ไหลออกมามากไปกว่านี้ รอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากปรากฏอยู่บนใบหน้า บ่งบอกว่าลึกๆแล้วเธอเองก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง

*****

        “มีอะไร” วีร์ถามศศิทัศน์ที่มายืนมองหน้าเขาอยู่ แต่ไม่ยอมพูดจาอะไรสักที “เอ้า มัวแต่จ้องหน้ากูอยู่ได้ มีอะไรก็พูดมา” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาเสียที วีร์จึงหันมาสนใจโทรศัพท์ในมือของเขาดังเดิม

        “มึงอยากกลับแล้วยัง”

       วีร์เงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วสงสัย

        “ทำไม จะไปกันแล้วเหรอ” วีร์หันมองดูเพื่อนๆแต่ละคนรอบๆงาน

        “ก็เป่าเทียนเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว”

        “มึงไปบอกไอ้แฝดโน้นไป มันยังเดินวนรอบโต๊ะอาหารไม่หยุดสักที”

        “สรุปว่ามึงอยากกลับแล้วใช่มั้ย” ศศิทัศน์ถามย้ำอีกครั้ง

        “เออออออ มึงไปบอกไอ้สองตัวนั่นไป”

       ศศิทัศน์พยักหน้ารับแล้วก็เดินไปหาแฝดนพชัยชัยทิศที่ยังคงตักอาหารทุกถาดมาลองชิมดู

        “พวกมึง จะไปกันรึยัง ไอ้วีร์อยากกลับไปบ้านมึงแล้ว”

       เสียงของศศิทัศน์ดังมากพอให้คนที่ถูกอ้างถึงเงยหน้าขึ้นมากรอกตาและถอนหายใจ เพราะใครต่อใครในงานก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว

        “อ้าว น้องวีร์อยากกลับแล้วเหรอครับ” ชายหนุ่มรุ่นพี่เดินมาหาพร้อมกับถือจานขนมมาด้วย

        “เปล่าครับ ไอ้ต่ายมันเอาชื่อผมไปอ้างเฉยๆ”

        “งั้นจะอยู่ต่อมั้ยครับ เดี๋ยวก็จะแกะของขวัญกันแล้ว” วีรมาตุชี้นิ้วไปทางเพื่อนๆของเขาที่กำลังเดินไปรวมตัวกันที่โต๊ะวางของขวัญที่แขกทั้งหลายเอามาให้เจ้าของวันเกิด

        “เอ่อ... คือ...” วีร์อ้ำอึ้งเพราะพยายามหาคำตอบที่รักษาน้ำใจไว้มากที่สุดอยู่

        “ช้าไปแล้วเฮีย รถบ้านไอ้กิ่งไอ้ก้านมารออยู่แล้ว รวดเร็วทันใจมากๆ พอโทรปุ๊บก็มาปั๊บเลย” ศศิทัศน์เดินกลับหาวีร์พอดีพร้อมคู่แฝดนรกนพชัยและชัยทิศ

       ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน คนหนึ่งยิ้มเพราะเสียดายเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกัน อีกคนหนึ่งยิ้มเพราะโล่งใจที่จะได้ออกไปจากความรู้สึกอึดอัดที่ได้จากบ้านหลังนี้เสียที

        “เสียดายแย่เลย น่าจะได้อยู่เห็นตอนไอ้หมูแกะของขวัญนะว่ามันจะทำหน้ายังไง”

        “ไว้เฮียค่อยเล่าให้ฟังทีหลังก็ได้ครับ”

       วีรมาตุก็ได้แค่พยักหน้ารับ เพราะเด็กๆคนอื่นๆเริ่มเดินมารวมตัวกันและพร้อมจะออกไปขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับไปยังบ้านของคู่แฝด วีร์ที่ออกเดินไปพร้อมกับเพื่อนๆแล้ว แต่ตัดสินใจหันหลังเดินกลับมาหาวีรมาตุอีก

        “อย่าลืมที่บอกไว้นะครับ พอตอนที่เฮียหมูแกะของขวัญออกดูแล้วเฮียจะต้องพูดว่าอะไร” วีร์กระซิบเบาๆให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคน

        “เฮียไม่ลืมหรอกครับ” วีร์ยิ้มตอบกลับมาให้

        “นั่นแน่” เสียงของคุณกรดังขึ้นมาแต่ไกล “สองคนนั้นน่ะ แอบนัดจะไปเดตกันที่ไหนอีกเหรอคร๊าบ”

       ทำให้เหล่าเพื่อนๆช่วยกันส่งเสียงโห่แซวตามมา วีรมาตุหมายจะยกนิ้วกลางขึ้นชูให้กับเพื่อนๆแต่เพราะว่ามีผู้ใหญ่อยู่ด้วย จึงเอามืออีกข้างบังไว้ แต่ปลายนิ้วที่โผล่ออกมาก็พอจะอนุมานได้ถึงอวัจนภาษาอันนี้

       วีร์ได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วก็เดินตามเพื่อนๆของเขาออกไป โดยไม่รู้ว่ามีสายตาสี่คู่มองตามเขาไปด้วย

        “มาๆ เริ่มแกะของขวัญกันดีกว่า” คุณกรร้องเรียกความสนใจจากทุกคน “เอาของมึงก่อนเลย ในฐานะเพื่อนคนเดียวที่ซื้อของขวัญวันเกิดมาให้กู”

        “ก็พวกกูอุตส่าห์มาช่วยกันยืนในงานให้ดูมีคนเยอะๆแล้วไง มึงจะเอาอะไรอีก” เพื่อนคนหนึ่งรีบแย้งขึ้นมา

        “ฟ_ย” แล้วเจ้าตัวก็หันไปแกะของขวัญตรงหน้า “ไหนมาดูสิว่าไอ้วีซื้ออะไรมาให้กู” มีทั้งเสียงแซวและเสียงเชียร์ดังขึ้นมา “ก็มันอุตส่าห์ใช้วันเกิดกูบังหน้า หาข้ออ้างชวนน้องวีร์ไปช่วยมันเลือกซื้อจนได้ แถมจบวันด้วยการดินเนอร์กันสองคนอีก ฉะนั้นมันต้องพิเศษแน่นอน”

        “พูดมากไปแล้วมึง แกะของขวัญไป”

       เด็กๆแต่ละคนมัวแต่ลุ้นให้เจ้าของวันเกิดแกะของขวัญจนไม่ทันได้สังเกตอากัปกิริยาของบรรดาผู้ใหญ่ที่นั่งกันอยู่วงด้านนอกต่อสิ่งที่พวกเขากำลังรับรู้อยู่ตรงหน้า

        “กลบเกลือนเพราะเขินก็บอกมาเหอะน่ะ” แล้วเจ้าตัวก็ฉีกกระดาษห่อของวัญออกจนหมดเผยให้เห็นถึงของข้างใน ด้วยสีหน้าที่ชวนงงสงสัย จะดีใจก็ไม่ใช่ จะแปลกใจก็ไม่เชิง “อันนี้คือมึงเช็คแน่นอนก่อนห่อแล้วใช่มั้ยว่าซื้อมาให้กู ไม่ใช่มึงจะเอาไว้ใช้เองแต่หยิบสลับกันมา” เขาชูของขวัญที่เพื่อนเขาซื้อมาให้ขึ้นให้ทุกๆคนได้เห็นกัน หมายจะแซวเพื่อนของเขากลับด้วย

        “ของมึงนั่นแหละ” วีรมาตุย้ำว่าของขวัญที่เขาตั้งใจซื้อมาก็คือกล่องถุงยางอนามัยบรรจุรวมในกล่องขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือเจ้าของวันเกิด “แล้วก็... น้องเขาฝากมา”

        “น้องไหนวะ” เพื่อนคนหนึ่งแซว

        “ก็มีคนเดียวนั่นแหล่ะ” เพื่อนอีกคนร่วมแซวบ้าง

       วีรมาตุส่ายหน้าและยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

        “น้องเขาฝากบอกมาว่า ตอนนี้ก็อายุถึงเกณฑ์แล้ว ถ้าเกิดว่ามีโอกาส... ก็ใช้ซะ เมื่อคิดอยากจะลองก็ต้องหัดมีความรับผิดชอบด้วย”

        “ถ้ามันมีโอกาสได้ใช้นะ” เสียงแซวที่ทำให้เอาคนที่เหลือหัวเราะกันครื้นเครง

        “อย่าดูถูกกูไป” คุณกรยักคิ้วหลิ่วตาท้าทายเพื่อนๆทกคน

       ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังไปทั่วงานของเด็กๆ กลบบรรยากาศอึมครึมของบรรดาพวกผู้ใหญ่ที่มองดูเหตุการณ์อยู่โดยตลอด ดูเหมือนว่าความทรงจำในอดีตที่แต่ละคนพยายามฝังให้จมมิดกลับถูกขุดกลับขึ้นมาอีกครั้ง

*****

       วีร์และเพื่อนๆเดินทางกลับมายังบ้านของนพชัยและชัยทิศเพื่อจัดงานฉลองวันขึ้นปีใหม่ของพวกเขากันเอง โดยระหว่างทางได้แวะรับวิธูเพื่อนตั้งแต่วันเด็กของวีร์มาด้วย เมื่อมาถึงยังที่หมายก็พากันเข้าไปนั่งพักผ่อนในบ้านกัน ส่วนเจ้าบ้านอย่างนพชัยและชัยทิศก็กุลีกุจอยกน้ำและขนมขบเคี้ยวออกมาบริการอย่างเต็มที่ เพราะมีเพื่อนใหม่อย่างวิธูมาร่วมงานด้วยทั้งที

        “แล้วพ่อกับแม่มึงไปไหนกันวะ” พระยศเอ่ยถามขณะที่กำลังแกะถุงขนมกิน

        “อยู่ที่บ้านใหญ่กันมั้ง น่าจะยังกินข้าวเที่ยงไม่เสร็จ” “แล้วยังมีของหวานตามมาอีก แล้วก็ต้องนั่งคุยต่ออีก” “คงอีกสักพักใหญ่กว่าจะกลับมา”

        “พิธีการเยอะจริงๆเลยที่บ้านมึง” สุรศักดิ์นั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟา มีศศิทัศน์นั่งอยู่ข้างๆที่กำลังดูโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่

        “ก็ช่วยไม่ได้” “ไม่งั้นได้โดนเฉดหัวออกจากบ้านกันทั้งครอบครัว” “แล้วพวกกูจะไปอยู่ไหน”

        “ทำไมวะ” วีร์ถามคู่แฝดด้วยความสงสัย

        “ก็ถ้าเจ้าของที่เขาไม่ให้อยู่” “แล้วพวกกูจะอยู่ต่อได้ยังไง”

       วีร์ยังคงทำสีหน้างงสงสัยอยู่ดี

        “ปู่กูมีเมียสามคน” “มีย่าใหญ่” “แล้วย่ารอง คุณย่าของพวกกู” “แล้วก็ย่าเล็ก”

       วีร์พยักหน้ารับรู้ และรอฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากแฝดนพชัยและชัยทิศ

        “ตอนก่อนปู่กูเสียก็ยกที่ดินทั้งผืนให้ใส่ชื่อคุณย่าใหญ่ไว้ บอกให้ดูแลเป็นที่ดินกงสี ต้องอยู่เป็นผืนเดียวห้ามแบ่งเด็ดขาด” “ปู่อยากให้ลูกหลานได้อยู่ในละแวกเดียวกัน ใครอยากปลูกบ้านอยู่ตรงไหนให้ไปขอย่าใหญ่เอา” “ย่าใหญ่ก็อนุญาตให้ตลอด ทุกคนเลยรักและให้ความเคารพย่าใหญ่มาก”

        “แล้วพวกมึงไม่ต้องไปด้วยเหรอ”

        “พวกกูไปตั้งแต่เช้าแล้ว” “ใช่ ไปเคาะประตูห้องย่าใหญ่แต่เช้ามืดเลย”

        “ไปประจบเป็นคนแรกเลยว่างั้น”

       ทั้งสองคนเบะปากยักไหล่ไม่ยี่หระกับคำแซว

        “ย่าใหญ่รักพวกกูจะตาย” “แต่แค่ไปประกันความมั่นใจเฉยๆ”

       แล้วนพชัยก็เดินเข้าไปในครัวเพื่อตรวจดูของสดที่จะทำปิ้งย่างกินกันในตอนเย็น กับของสุกที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้พวกเขาสำหรับมือเที่ยง ส่วนชัยทิศก็เดินออกไปสนามหลังบ้านที่ตระเตรียมพื้นที่ไว้สำหรับก่อกองไฟและตั้งเต็นท์ในตอนเย็น

        “ไปพวกมึง อาหารพร้อมแล้ว” นพชัยเดินกลับมาเรียกเพื่อนๆ

        “เขาเอาไม้ฟืนมาให้แล้ว เดี๋ยวกินเสร็จก็ไปตั้งเต็นท์กัน แล้วก็มาช่วยกันก่อกองไฟด้วย” ชัยทิศเดินกลับเข้ามาในบ้านพอดี

        “พวกมึงจะก่อกองไฟกันจริงๆเหรอ” วิธูเดินตามคนอื่นๆเข้ามาที่ห้องอาหาร

        “ใช่” ทั้งนพชัยและชัยทิศตอบพร้อมกัน

        “กลางเมืองอย่างนี้เนี่ยอะนะ”

        “ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” “มีต้นใหญ่อยู่ล้อมรอบเต็มไปหมด” “ควันมันไม่ลอยไปไหนหรอกหน่า”

        “เคยมีคนแจ้งไฟไหม้บ้างมั้ย” วิธูยังคงสอบถามต่อ

       คู่แฝดทำท่าพยายามนึก

        “อืม น่าจะเป็นตอนปีแรกนะ” “คิดว่า ปีนั้นปีเดียวที่รถดับเพลิงมาที่บ้าน” “พ่อกับแม่เขาไปเคลียร์ให้ หลังจากนั้นก็ไม่มีนะ” “ไม่ต้องแปลกใจ แค่ก่อกองไฟเอง สนุกจะตาย” “เดี๋ยวมึงก็เห็นเอง”

        “กูไม่ได้แปลกใจ แค่ก่อกองไฟไอ้วีร์ก็ทำประจำ”

        “ห๊ะ จริงเหรอ” ทั้งนพชัยและชัยทิศพูดพร้อมกันอีกครั้ง

        “บ้านมันกว้างจะตาย เดี๋ยวก็ย่างปลา เดี๋ยวก็เผามัน เดี๋ยวก็คั่วเม็ดยาร่วงกินกันบ่อย”

       เด็กๆแต่ละคนเดินไปนั่งเก้าอี้แต่ละตัวกันไป ส่วนคู่แฝดนพชัยและชัยทิศที่ตามประกบเพื่อนใหม่อย่างวิธู ก็นั่งลงขนาบข้างทั้งสองฝั่ง

        “อะไรคือเม็ดยาร่วงวะ” หนึ่งในฝาแฝดถามขึ้นมา

        “ก็เม็ดมะม่วงหิมพานต์ไง”

        “อ๋อ งั้นแสดงว่ามันต้องก่อกองไฟเก่ง” ฝาแฝดอีกคนก็พูดต่อ

        “จะโยนมาให้กูทำอีกละสิ” วีร์รีบแย้งขึ้นมาในทันทีในขณะที่กำลังส่งโถข้าวให้คนอื่นๆได้ตักต่อไป

        “ก็มีผู้เชี่ยวชาญมาอยู่ด้วยทั้งที” “ก็ต้องยกหน้าที่นี้ให้เลย”

        “แล้วปกติใครเป็นคนก่อไฟวะ” วิธูหันไปถามทุกคน

        “แล้วแต่ ก็ช่วยๆกัน” พระยศเป็นคนตอบ

        “มั่วเอาว่างั้น”

        “ก็ประมาณนั้นแหละ” สุรศักดิ์เดินเอาโถข้าวไปวางไว้ที่โต๊ะอีกตัวเมื่อทุกคนได้ตักข้าวกันเสร็จแล้ว

        “บ้านมึงทำร้านอาหาร แล้วทำไมมึงก่อกองไฟไม่เป็นละวะ”

        “ก่อกองไฟไม้ฟืนนะครับ ไม่ใช่จุดเตาแก๊ส”

        “งั้นก็เดี๋ยวให้มันจัดการ” วิธูหันไปหาวีร์

        “ก็ช่วยกันสิวะ กูไม่ทำคนเดียวแน่ๆ”

       ต่างคนก็เริ่มจัดการอาหารที่อยู่บนโต๊ะ นพชัยและชัยทิศคอยชวนพูดคุยกับวิธูอยู่ตลอดเวลา โดยมีวีร์ สุรศักดิ์ และพรยศคอยปรามอยู่บ้างไม่ให้ทั้งสองเซ้าซี่เพื่อนใหม่มากจนเกินไป จะมีก็เพียงศศิทัศน์ที่แทบจะไม่ได้ยินเสียงของเขาเลยนับตั้งแต่พวกเขาแวะรับวิธูมาด้วย

*****

       วีร์ยืนมองดูผลงานกองไฟที่ทุกคนช่วยกันก่อขึ้นโดยมีเขาเป็นผู้คุมงานทั้งหมด ไม้ฟืนถูกจัดวางซ้อนกันเป็นชั้นทรงสี่เหลี่ยมสลับกับเศษใบไม้ใบหญ้าแห้ง แล้วจึงเอาไม้ฟืนท่อนใหญ่ๆตั้งสุมครอบชั้นนอกคล้ายกระโจมสูงกว่าศีรษะ เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นสำหรับกองไฟ เตรียมพร้อมจุดเมื่อถึงเวลา

       รอบกองไฟมีหินก้อนใหญ่ๆวางรายล้อมตามจำนวนคนพอดี รวมถึงก้อนหินที่นั่งของวิธูที่เป็นแขกที่เพิ่มมาทีหลังอย่างทันด่วนก็ตาม ที่ดูตื่นตาตื่นใจมากไปกว้านั้นไม่ใช่แต่เพียงขนาดของก้อนหินเท่านั้น แต่เป็นรูปร่างที่ผ่านการขัดกลึงให้เหมาะกับการนั่งเป็นอย่างดีอีกด้วย

       แนวถัดจากก้อนหินไปก็เป็นเต็นท์สำหรับนอนได้สองคนที่ก็เพิ่มจำนวนขึ้นมาอีกหนึ่งหลังรวมเป็นสี่หลัง วางเรียงกันด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งวางเตาปิ้งย่างขนาดใหญ่ และโต๊ะไม้สำหรับวางของสด เครื่องปรุง และเครื่องดื่มต่างๆ รวมถึงถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เตรียมไว้สำหรับทำอาหารกินกันในตอนเย็น

        “มึงก่อกองไฟแล้วจะเอาเตาปิ้งย่างมาทำอะไรวะ” วีร์หันไปถามคู่แฝด

        “ก็กองไฟมันแค่สร้างบรรยากาศเฉยๆ” “เตาปิ้งย่างตัวนี้ย่าใหญ่เพิ่งซื้อให้เมื่อปีที่แล้ว”

        “แล้วก่อนหน้านั้นพวกมึงทำอะไรกินกันยังไง” วีร์เดินไปยกฝาเตาปิ้งย่างเปิดขึ้นดู

        “ก็ต้มมาม่ากิน เหมือนตอนเข้าค่ายลูกเสือ” “ใส่หม้อแล้วแขวนบนกองไฟ” “แล้วก็ลูกชิ้นเสียบไม้ย่างเอา”

       วีร์ถึงกับส่ายหน้า “แต่ก็ยังอยากจะจัดปาร์ตี้แบบแอดเวนเจอร์” คู่แฝดต่างส่งยิ้มแฉ่งมาให้ แล้ววีร์ก็หันไปดูของสดต่างๆโดยมีสองต่ายเดินตามเขามาติดๆ

        “มึงจะเอาอะไรเพิ่มมั้ย” “ตอนนี้ยังบ่ายอยู่ เดี๋ยวให้คนออกไปซื้อมาให้”

        “นี่มันก็เยอะแล้วนะกูว่า” วีร์เลือกดูของต่างๆ มีทั้งเนื้อหมูเนื้อไก่ที่หมักเครื่องใส่ไว้ในกล่อง พริกหยวก สับปะรด หอมใหญ่ ข้าวโพดทั้งฝัก แล้วก็ยังมีปลาสดทั้งตัวที่หมักเครื่องและหมกเกลือไว้เรียบร้อยแล้ว “แค่นี้ก็แดกกันไม่หมดแล้วมั้ง”

        “หมดแน่มึง ไม่เหลือซาก” “แถมจะไปขอเพิ่มจากบ้านใหญ่มาอีกละไม่ว่า” “สรุปว่ามึงจะเอาอะไรเพิ่มมั้ย” สองแฝดยืนจ้องหน้าวีร์จากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะที่วางของอยู่ “เอาหัวมันมั้ยมึง” “สั่งไปตอนนี้น่าจะยังทันอยู่”

        “ก็แล้วแต่ ถ้าพวกมึงจะแดกกันก็เอามาก็ได้” คู่แฝดพยักหน้ารับและกำลังจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน “เดี๋ยวมึง เอาหัวมันเทศนะ หรือมันหวานก็ได้”

        “มึงไม่ทำมันทิพย์ไปเลยละวะ” วิธูถามออกมาจนคู่แฝดต้องหันกลับมาอีกครั้ง

        “คืออะไรวะ” “นั่นสิ”

        “คุณมึงครับ คือว่ามันต้องมีกะทิ แล้วมันก็ต้องนึ่งด้วย ป่านนี้แล้วมันจะไม่ทัน”

        “ทัน” ทั้งนพชัยและชัยทิศพูดออกมาพร้อมกัน “เอากะทิด้วยใช่มั้ย แล้วเอาอะไรอีก” “ไอ้ใหญ่ก็อยู่จะกลัวอะไร ทันแน่นอน”

       วีร์หันมองไปมาระหว่างเพื่อนทั้งสองฝั่งโต๊ะ แล้วยังมีพระยศกับสุรศักดิ์ที่เดินมาสมทบเพิ่มอีก สายตาของเขาพยายามบอกเพื่อนๆว่าจะทำกันจริงๆหรอ แต่ใบหน้าแต่ละคนที่ส่งกลับมามีแต่บอกว่าให้เขาทำ จนวีร์ต้องถอนหายใจออกมา

        “ไปเอาหัวมันมาให้ได้ก่อน เพราะมันต้องเอาไปนึ่ง” คู่แฝดพยักหน้ารับ “แล้วก็เอากะทิ หัวกะทินะ เอาน้ำตาลกับเกลือมาด้วย เอาหม้อเอาไม้พายมาด้วย เพราะเดี๋ยวจะต้องบดต้องผสมหัวมันกับกะทิ” คู่แฝดพยักหน้ารับทุกขั้นตอน “แล้วพวกมึงต้องมาช่วยกันปั้นก้อนหัวมันด้วย”

       ทุกคนก็ตอบรับเป็นอย่างดี



[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 10 ... 30 พ.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 30-05-2021 00:02:53
       เมื่อถึงเวลาเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน อาหารต่างๆก็ได้ถูกตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วด้วยความร่วมมือของทุกคน ไม้บาร์บีคิวเสียบชิ้นเนื้อและผักเครื่องเคียงวางเรียงอยู่ในถาด ฝักข้าวโพดที่เหลือก็เสียงไม้ตั้งรอไว้ ยังมีมันทิพย์ที่ทุกคนช่วยกันปั้นเป็นก้อนๆ แล้วหัวมันที่เหลือก็จัดการห่อกระดาษฟอยล์ไว้ ทั้งหมดนี้รอเพียงแค่จุดไฟทั้งที่กองไฟและเตาปิ้งย่างก็จะได้เริ่มงานปาร์ตี้ของพวกเขากัน

        “อะ ไอ้วีร์ เอาไป” นพชัยยื่นคบเพลิงที่จุดไฟเรียบร้อยแล้วส่งให้วีร์ “ในฐานะที่มึงเพิ่งมาใหม่ปีนี้” “และไอเดียหลายๆอย่างในวันนี้ก็เป็นของมึง” “ฉะนั้นพวกกูเลยให้มึงจุดไฟประเดิมเปิดงาน”

       วีร์รับคบเพลิงมาแบบงงๆ พร้อมชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง พวกคู่แฝดก็พยักหน้าและคะยั้นคะยอให้เขาเดินไปจุดกองไฟ วีร์ได้แต่หันไปมามองคนอื่นๆ ซึ่งแต่ละคนก็ส่งยิ้มกลับมาให้จนเขาจนใจแล้วก็เดินเข้าไปจุดกองไฟ

       เพราะว่าได้สุมเศษใบไม้ใบหญ้าแห้งไว้มากพอสมควร ทำให้ไฟถูกจุดติดขึ้นโดยง่าย เพียงชั่วพริบตาไฟก็ติดโหมขึ้นทั้งกองสูงเกือบเท่ายอดไม้ที่รายล้อมอยู่

        “กูว่ากองมันใหญ่ไปนะ” วีร์เอ่ยถามหลังจากที่เดินถอยออกมาให้ห่างจากความร้อนและเงยหน้ามองดูยอดของเปลวไฟ

        “มึงก่อขึ้นมาเอง จะมางงอะไรเอาตอนนี้วะ” วิธู ยืนเท้าสะเอวหันมามองวีร์

        “ก็ตอนอยู่บ้านมันไม่ต้องเกรงใจใครนี่หว่า แม่ง ไฟสูงขนาดนี้ รถดับเพลิงจะมามั้ยวะ”

        “แป๊บเดียวแหละมึง กูเห็นมีแต่ไม้เนื้ออ่อน เดี๋ยวมันก็ยุบตัวลงแล้ว”

       วีร์รอให้ไฟติดไปอีกสักพักหนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปเขี่ยไม้ที่ถูกเผาไหม้จนเป็นถ่านร้อนๆสีแดงออกมาจากกองไฟใส่กระบะสังกะสี เพื่อเอาไปใส่ในเตาปิ้งย่างให้เป็นเชื้อไฟ แล้วสุรศักดิ์ก็จัดการใส่ถ่านลงไปเพิ่มแล้วจึงพัดให้ถ่านใหม่ติดไฟ ก่อนจะเขี่ยถ่านที่แดงทั้งก้อนให้กระจายไปทั้งเตา จากนั้นจึงวางตะแกรงลงพร้อมที่จะปิ้งย่างกันแล้ว

       แต่ละคนแบ่งหน้าที่กันว่าใครจะปิ้งบาร์บีคิว ใครจะย่างข้าวโพด ใครจะย่างมันทิพย์ ส่วนวีร์ก็จัดการเอาหัวมันที่ห่อกระดาษฟอยล์ใส่เข้าไปในกองไฟ และคอยเฝ้าดูจนหัวมันสุกได้ทั่วดี ระหว่างนั้นแต่ละคนก็พูดคุยหยอกล้อกันไปอย่างครื้นเครง

        “อ๊ะ คุณย่า ทางนี้ๆ” “ย่าใหญ่คร๊าบ จะมาแจมด้วยหรอครับ” แฝดกิ่งและแฝดก้านหันไปเห็นผู้สูงวัยที่เป็นเสาหลักของครอบครัวเดินมาทางที่พวกเขากำลังตระเตรียมอาหารกันอยู่ มาพร้อมกับหญิงสาววัยกลางคนและคนติดตามอีกสองคน

        “เป็นไงเด็กๆ เมื่อกี้ย่าเห็นกองไฟสูงมาก ก็เลยแวะมาดูซะหน่อย” หญิงสูงวัยท่าทางสง่าสมฐานะแม้จะแต่งตัวเรียบง่ายแต่รังสีของนางพญาผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวกลับยังส่องประกายชัดเจน

        “นิดหน่อยเองครับย่า” “ปีนี้ได้ไอ้วีร์มา กองไฟเริ่ดมั๊ก” “สูงซะใจดีมากเลยครับย่า” คู่แฝดนพชัยและชัยทิศเดินเข้าไปประกบคุณย่าใหญ่ทั้งซ้ายและขวา พรางชี้นิ้วอวดกองไฟที่เพิ่งถูกจุดไปไม่นาน

        “ระวังเถอะ เดี๋ยวรถดับเพลิงก็มาที่บ้านอีกหรอก ปีก่อนโน้นยังไม่เข็ดอีกรึไง” เธอไม่ได้พูดในเชิงตำหนิ สีหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้ม แต่เพราะเป็นผู้ใหญ่ที่สุดของบ้านทำให้ความยำเกรงยังมีอยู่เต็มทุกคำพูด

        “คุณย่าก็” “ไม่แน่นอนครับ” “แต่ถึงจะมากันจริง” “ไฟก็ดับสนิทก่อนที่รถจะเข้ามาถึงซะอีก”

        “จริงๆเลย เด็กพวกนี้” เธอตีแขนเด็กคนซ้ายทีคนขวาทีเบาๆ แล้วก็หันไปหาคนที่หลานๆเพิ่งจะอวดอ้างสรรพคุณไปพร้อมกับส่งยิ้มให้ “คนนี้เหรอที่ชื่อวีร์”

        “ครับ” วีร์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาใกล้ๆทั้งสามคน

        “อืม ได้ยินเจ้าสองคนนี้พูดถึงอยู่บ่อยๆ ไอ้เจอตัวจริงเสียที”

        “นี่ๆ คุณย่ามาชิมนี่ดีกว่า” หนึ่งในคู่แฝดดึงแขนหญิงสูงวัยให้เดินไปที่โต๊ะวางอาหาร แล้วก็หยิบจานขนมมันทิพย์ขึ้นมายืนให้กับเจ้าบ้าน “มันทิพย์” “ฝีมือพวกเราช่วยกันทำ” “ย่าใหญ่ลองชิมดู” “อร่อยจนกินไม่หยุดเลย ขอบอก”

        “จ๊ะ ย่าเชื่อ” เธอยิ้มให้กับหลานๆของเธอ “กินกันจนเกือบหมดจานขนาดนี้” เธอหยิบขนมขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วพิจารณาพลิกดู “ทำไมปีนี้ถึงคิดทำขนมได้ละ”

        “โน้นไอ้วีร์เลย” “ความคิดมัน” “ฝีมือมันด้วย” “มันเผาก็มีนะ คุณย่าจะชิมด้วยมั้ย” “ฝีมือไอ้วีร์เหมือนกัน”

        “วีร์ ระวังตัวไว้ให้ดีนะ” คุณย่าเอ่ยปากเรียกเพื่อนของหลานชายจนเจ้าตัวเกร็งขึ้นมาในทันที “ปีนี้ยังทำขนาดนี้ ถึงตอนปีหน้าสองคนนี้ต้องอยากได้มากกว่านี้แน่นอน” แล้วเธอก็ยิ้มให้กับคนตรงหน้า

        “อ๋อ ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ยอมลำบากคนเดียวแน่นอน” วีร์รู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อเห็นรอยยิ้มของหญิงสูงวัย

        “คุณย่าคร๊าบ” “พวกผมก็ช่วยลงมือทำด้วยนะครับ” “ไม่ได้นั่งรอกินอย่างเดียวซะหน่อย” “ทั้งช่วยปั้น” “ทั้งช่วยปิ้ง” “ทั้งช่วยย่าง”

       หญิงสูงวัยหันมาหรี่ตามองหลานของเธอทำสีหน้าแบบไม่ค่อยเชื่อในคำพูดสักเท่าไหร่

        “จริงๆครับ คุณย่า ทุกคนก็ช่วยกันทั้งหมดนี่แหละครับ” วีร์ยืนยันคำพูดให้เอง หญิงสูงวัยก็พยักหน้ารับ

        “นี่ ย่าเล็กเขาก็ชอบขนมมันนี่นะ ยังมีเหลืออยู่รึเปล่าละ” คุณย่าหันไปคุยกับหลานทั้งสองคน

        “เหลืออีกเยอะเลยครับ” “ยังปิ้งไฟไม่หมดเลย” “ให้ป้าชื่นออกไปซื้อให้เมื่อตอนเย็นมาเป็นกิโลเลย”

        “ไปรบกวนป้าเขาอีกแล้ว” คุณย่าตำหนิทั้งสองคน

        “ก็แหมคุณย่า มันเพิ่งคิดได้แบบทันด่วน” “แล้วป้าชื่นก็มาถามเองว่าจะเอาอะไรเพิ่มอีกมั้ย” “ก็เลยบอกไปว่าอยากได้หัวมันเยอะๆ”

        “แล้วก็ได้เยอะสมใจเลยละสิ” คู่แฝดรีบเข้าไปกอดเอวคุณย่า “ชื่นเองก็ตามใจหลานๆมากไปแล้ว” หญิงสูงวัยหันไปพูดกับคนที่เดินตามเธอมาด้วยกัน

        “ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ ยังไงชื่นก็ต้องออกไปซื้อของมาเพิ่มอยู่แล้ว ทางฝั่งโน้นเขาก็จัดปาร์ตี้กับเพื่อนๆเขาด้วยเหมือนกัน”

        “เรานี่ละน้า” แล้วเธอก็หันไปหาเด็กๆ “แล้วขนมนี่ยังมีเหลือเยอะมั้ย”

        “ที่ยังไม่ได้ปิ้งไฟเหลืออีกเยอะเลยครับ” “มีพอให้ปิ้งกินได้ทั้งคืนเลย”

        “เอาที่ปิ้งสุกแล้วสิ”

        “อ๋อ นี่ครับ มีอยู่เต็มจานเลยครับ” สุรศักดิ์ยกจานใส่ขนมมันทิพย์ที่เพิ่งปิ้งใหม่ๆร้อนๆมาให้ดู

        “งั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวจัดใส่จานสักใบ แล้วฝากป้าชื่นเอาไปให้ย่าเล็กก็ได้”

        “เอาจานนี้ไปเลยก็ได้ครับ เพิ่งยกจากเตายังร้อนๆอยู่เลย” สุรศักดิ์ถือจานขนมไปให้คนที่ชื่อว่าชื่น

        “ขอบใจจะ” หญิงสาววัยกลางคนเอ่ยขอบคุณ “แล้วคุณแม่จะเดินไปด้วยกันเลยมั้ยคะ”

        “เดี๋ยวแม่จะเข้าไปบ้านนู้นสักหน่อย แล้วเดี๋ยวค่อยเดินกลับ” เธอชี้ไปทางบ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งเป็นที่อยู่ของย่ารอง ซึ่งเป็นคุณย่าของฝาแฝดนพชัยและชัยทิศ “ไม่ต้องห่วง สองคนนี้ก็อยู่ด้วย” แม้ว่าทั้งนพชัยและชัยทิศจะยังยืนประกบเธออยู่ แต่สองคนที่เธอพูดถึงคือผู้ติดตามที่เดินตามเธอมาด้วยตลอดทาง

        “ก็ได้ค่ะ” แล้วเธอก็ขอตัวเดินออกไปยังกลุ่มบ้านที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของที่ดินครอบครัว

        “แล้วนี่ เอาเข้าไปให้ย่าเราด้วยรึเปล่าละ” หญิงสูงวัยหันมาพูดกับคู่แฝดอีกครั้ง

        “เอาไปให้ตลอดละครับ” “เติมให้ตลอด ไม่มีหมดจานแน่นอน”

       คุณย่าใหญ่ยิ้มตอบให้ “งั้นเดี๋ยวย่าเข้าไปคุยกับย่ารองสักหน่อยดีกว่า ตามสบายเลยนะเด็กๆ แล้วก็อย่าไปตามใจสองคนนี้มากนัก รู้มั้ย” ประโยคหลังสุดเธอหันมาพูดกับวีร์โดยเฉพาะ แล้วเธอกับผู้ติดตามก็เดินออกไป

        “เห็นมั้ยย่าใหญ่รักพวกกูมาก” “สบายใจหายห่วงได้”

*****

       กิจกรรมรอบกองไฟดำเนินมาถึงกลางดึก เปลวไฟที่เคยสูงเกือบเทียมยอดไม้ก็ยุบตัวลงตามไม่ฟืนชิ้นใหญ่ที่มอดลง เหลือเพียงไม้ฟืนท่อนขนาดกลางที่กองไว้ข้างๆสำหรับคอยเติมกองไฟอยู่ตลอด ในตอนนี้ทั้งบาร์บีคิวทั้งข้าวโพดที่เสียบไม้ไว้ถูกย่างไฟและกินกันไปจนหมดแล้ว จะเหลือก็มีขนมมันทิพย์แล้วหัวมันเผาทียังมีมากพอให้กินไปจนถึงรุ่งเช้าก็ยังได้

        “เออเนอะ พอดึกๆค่ำมืดมองไม่ค่อยเห็นอะไรรอบๆแล้ว ก็ดูเหมือนไปเที่ยวป่าอยู่เหมือนกัน” วีร์หันมองดูรอบๆที่เห็นแต่เงาดำๆของต้นไม้สูงใหญ่ที่รายล้อมอยู่ บดบังแสงไฟตามถนนและอาคารต่างๆไปได้เยอะพอควร แต่เสียงของการจราจรยังคงได้ยินอยู่บ้าง รวมถึงเสียงจากงานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นอีกฝากหนึ่งของที่ดินครอบครัว

        “เห็นมั้ยกูบอกแล้วว่าสนุกจะตาย” “แต่บ้านฝั่งโน้นอะ อยู่ติดกับบ้านคนอื่น” “หึๆ เปิดเพลงดังขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรมั้ย”

        “ยังไม่สี่ทุ่มเลยไม่ใช่เหรอ ก็คงจะรู้เวลากันอยู่บ้างละมั้ง” วีร์หันไปมองตามคู่แฝด

        “ช่างเขาเถอะ” “มาว่าเรื่องของพวกเรากันดีกว่า” “ไฮไลต์ของกิจกรรมรอบกองไฟของเรา”

        “จะเอาอีกแล้วเหรอ” พระยศพูดแทรกคู่แฝดขึ้นมา

        “เอ้า มันเป็นธรรมเนียม” “ของมัน” ทั้งนพชัยและชัยทิศชี้นิ้วไปที่สุรศักดิ์ “มันเป็นคนต้นคิด” “พวกกูแค่ยึดมาปฏิบัติตาม”

        “คืออะไรวะ” วิธูถามโดยหันหน้าไปมองทุกๆคน

        “คืองี้ พวกกู...” มีเสียงขัดขึ้นมาว่า ‘มึงคนเดียว’ โดยพร้อมเพรียง “ก็แบบอยากมีโมเมนต์เปิดใจ ใครอยากเล่าเรื่องอะไรของตัวเองก็ได้ แต่เรื่องที่เล่ากันในวงนี้ห้ามแพร่งพรายออกไปให้คนนอกรู้เป็นอันขาด ถือเป็นคำมั่นสัญญาระหว่างพวกเรากัน” สุรศักดิ์อธิบายให้ทั้งวิธูและวีร์ฟัง

        “ส่วนคนที่ไม่อยากเล่า” “ก็ต้องลุกออกไป” “เมื่อไม่อยากเล่าเรื่องของตัวเอง” “ก็ไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องของคนอื่น”

        “อืม ก็แฟร์ดี” วิธูพยักหน้าเห็นด้วย

        “ส่วนมึง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนด้วยกัน” “แต่เพราะมึงหลวมตัวมาร่วมงานนี้แล้ว” “พวกกูจะถือว่ามึงเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพวกกู” “ไอ้วีร์คือเพื่อนกู” “เพื่อนไอ้วีร์ก็คือเพื่อนกูด้วย” “โอเคป่ะ”

       วิธูยิ้มแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้ๆ ไม่มีปัญหา”

        “งั้น มีใครจะลุกออกไปมั้ย” สุรศักดิ์เอ่ยถาม ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมาว่าใครจะทำอย่างไร “ถ้าไม่มีใครลุกไปไหน ก็ถือว่ายอมรับกติกาแล้วนะ”

        “งั้นก็เริ่มกันเลย” “แต่ว่าใครจะเริ่มก่อน”

       แต่ละคนต่างหยั่งเชิงมองหน้ากันไปมาว่าใครจะเริ่มก่อนดี จนแล้วจนรอดทุกคนก็ยังนั่งเงียบกัน ส่วนคู่แฝดหันมามองหน้ากันเองแล้วก็พยักหน้าให้กัน เมื่อเห็นว่ายังไม่ใครคิดจะเริ่มเป็นคนแรก

        “งั้นพวกกูเริ่มก่อนเอง” หนึ่งในแฝดพูดออกมา

       ทุกคนจึงหันหน้าไปทางพวกเขา รอฟังสิ่งที่ทั้งสองอยากจะพูด

        “ไอ้วีร์ มึงยังจำได้มั้ยว่าพวกกูเคยบอกว่า พวกกูเป็นแฝดสามมาตลอดไม่เคยเป็นสอง” แฝดอีกคนเริ่มเล่าเรื่อง

        “ก็คลับคล้ายคลับคลาอยู่” วีร์พยายามนึกว่าเขาเคยได้ยินนพชัยและชัยทิศพูดเรื่องนี้ตอนไหนกัน

        “พวกกูไม่ได้พูดเล่น” “พวกกูมีแฝดสามจริงๆ”

       หลายๆคนต่างมองคู่แฝดแบบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

        “ถ้าพวกมึงมีสามคน แล้วอีกคนไปไหนซะละ” วีร์ถามทั้งสองคน

        “ไม่อยู่แล้ว” “ไปตั้งแต่ตอนยังอยู่ในท้องแม่”

        “ยังไงวะ” วีร์ยังคงสงสัยต่อ

        “ตอนแม่กูท้อง หมอบอกว่าได้ตัวอ่อนติดมาสามคน” “แต่ว่ามีตัวอ่อนนึงไม่แข็งแรง ถ้าเก็บไว้ครรภ์อาจเป็นพิษได้” “หมอแนะนำให้เอาออกแต่เนิ่นๆ” “ทั้งแม่และตัวอ่อนที่เหลือจะได้รอด”

        “เดี๋ยว ปกติเขาไม่ใส่ตัวอ่อนไปถึงสามไม่ใช่เหรอ” พระยศพยายามนึกวิธีการผสมเทียมแบบต่างๆ

        “เปล่า ใส่ไปแค่สอง” “แต่มีตัวนึงแบ่งเป็นสอง” “คือพวกกูมีใครนึงมีแฝดเหมือน”

       ทุกคนต่างพยักหน้ารับรู้สิ่งที่เพิ่งได้ยินมา

        “แล้วก่อนหน้านี้เวลาเกิดเหตุอะไรขึ้นมากับพวกกู” “พวกกูก็มักจะเหมือนมีลางหรือมีเซ้นส์อะไรสักอย่างขึ้นมา” “ก็อย่างตอนนั้นที่พวกเราเดินไปร้านไอ้ใหญ่กัน” “แล้วกูก็เกือบโดนรถเฉี่ยวเอา ดีที่ว่าไอ้ก้านมาดึงกูเอาไว้ได้ก่อน” “หรือว่าเมื่อตอนบ่ายที่กูเกือบเหยียบตะปู แต่ไอ้กิ่งมาดึงตัวกูไว้ก่อน” “คือตอนนั้นก็ไม่รู้ตัวเลยนะเว้ย อยู่ๆมือกูก็ไปดึงตัวไอ้ก้านมาแล้ว” “แล้วกูมาเห็นทีหลังว่ามีตะปูโผล่มาอยู่”

       นพชัยและชัยทิศกันมามองหน้ากัน

        “ตอนแรกพวกกูก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเรื่องแฝดคนที่สามพวกกูก็เพิ่งรู้ได้ไม่นานนี้เอง” “แล้วเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมานานหลายครั้งมาก แบบที่พวกกูก็อธิบายกับตัวเองไม่ได้” “พวกกูเลยคิดว่า อีกคนยังคงวนเวียนอยู่และคอยช่วยพวกกูไว้” “แล้วในเมื่อกูชื่อกิ่ง” “ส่วนกูชื่อก้าน” “พวกกูเลยตั้งชื่ออีกคนว่าใบ” “เวลาเกิดอะไรขึ้นมาแบบนี้ พวกกูก็จะขอบคุณไอ้ใบเสมอ” “ไม่ว่าไอ้ใบจะยังวนเวียนอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม”

       แล้วหนึ่งในแฝดก็หยิบขนมมันทิพย์ขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วชูขึ้นฟ้า “ของมึงนะไอ้ใบ” แล้วเขาก็โยนเข้าไปในกองไฟ

        “ถึงว่า ทำไมกูถึงเห็นพวกมึงสองตัวแอบโยนของกินเข้ากองไฟตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว”

        “อ้าว มึงเห็นด้วยเหรอ” “พวกกูว่าพวกกูทำเนียนแล้วนะ” ทั้งนพชัยและชัยทิศหันไปมองวิธู

       วิธูยักไหล่เล็กน้อยแล้วลุกขึ้นไปนั่งยองใกล้กองไฟ แล้วก็หยิบไม้มาเขี่ยหัวมันที่หมกอยู่ในกองถ่านร้อนๆ ส่วนคนอื่นๆยังคงนั่งเงียบ เหมือนจะรอฟังเรื่องของคนต่อไป

        “งั้นกูขอเล่าต่อ” เป็นพระยศที่ทำลายความเงียบ เรียกความสนใจจากทุกคนไปได้ พระยศสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องของเขา

        “กูคิดว่า... กูเริ่มชอบน้องเฟิร์นเข้าแล้ว”

       ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างอมยิ้มเมื่อได้ยิน สุรศักดิ์พยักหน้ารับรู้ ศศิทัศน์ ยังคงนั่งเงียบ วีร์หันมาหาเพื่อนของเขา ส่วนวิธูยังคงเขี่ยหัวมันในกองไฟต่อไป

        “กูเคยเล่าให้ไอ้วีร์ฟังไปแล้วว่ากูเคยเจอน้องเขาที่โรงพยาบาล” หลายๆคนขมวดคิ้วสงสัย พระยศจึงอธิบายเพิ่ม “น้องเขาหมดสติมา ส่งตัวมากับรถฉุกเฉินเมื่อตอนปิดเทอม ตอนนั้นน้องเขาผอมมาก กูมารู้เอาทีหลังว่าน้องเขากินยาลดความอ้วนจริงๆแถมยังไม่ค่อยกินข้าวหรือว่าถึงกินแล้วก็ไปล้วงคอออกมา ยิ่งไม่ได้กินอะไรบ้างจิตใจก็ยิ่งกระวนกระวายก็เลยไม่ได้นอนอีกจนร่างกายมันรับไม่ไหว ก็เลย...” พระยศหายใจลึกอีกครั้ง “กูเคยขึ้นไปเยี่ยมน้องเขาครั้งนึง ได้คุยกันหลายๆอย่างถึงได้รู้ว่าน้องเขาเป็นอะไร ก่อนกลับกูก็บอกน้องเขาไปว่าถ้าตัวเขายังรักตัวเองไม่เป็น เขาจะไปรักคนอื่นเป็นได้ยังไง”

        “แล้วทำไมมึงถึงคิดว่ามึงกำลังชอบน้องเขาแล้ว” วีร์ถาม

        “ตอนแรกกูก็ยังเฉยๆกับน้องเขานะ แต่ตั้งแต่เปิดเทอมมาน้องเขาก็ดูโอเคขึ้น ไม่ผอมโซเหมือนช่วงปิดเทอม แล้วน้องเขาก็ยังเอาคุกกี้มาให้กูเหมือนเดิม”

        “แล้วก็ยังมาซ้อมวิ่งพร้อมกับมึงไปด้วย” สุรศักดิ์เพิ่มเสริมซึ่งพระยศก็พยักหน้ารับ

        “แล้วตอนนี้กูเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังคาดหวัง แค่เห็นกลุ่มเพื่อนเขาเดินอยู่ก็คิดว่าเขาจะต้องเดินมาด้วยกัน เช้ามาโรงเรียนก็คิดว่าจะต้องได้เห็นถุงขนม บางทีกูใส่รองเท้าวิ่งเสร็จแล้วก็ทำเป็นหันดูๆรอบ จริงๆก็คืออยากรู้ว่าน้องเขาพร้อมจะซ้อมวิ่งแล้วยัง ก็ประมาณนั้น”

        “กูว่ามึงชอบน้องเขาแล้ว ถึงขั้นรักแล้วรึยังยังไม่แน่ใจ แต่มึงชอบน้องเขาแล้วแน่นอน” วีร์นั่งกอดเข่าหันหน้าไปทางพระยศ

        “เหมือนมึงไง มาแบบเดียวกันเลย” วิธูที่ยังคงนั่งยองอยู่ข้างกองไฟ คอยดูให้หัวมันสุกดีโดยทั่ว

        “ทำไมวะ” “ไอ้วีร์ทำไมเหรอ” “สรุปว่ามันมีแฟนแล้วใช่มั้ย” ”ว่าไงไอ้วีร์”

        “อ้าว มันยังไม่บอกพวกมึงเหรอ” วิธูหันไปถามทุกคนๆ

        “มึงรู้จักแฟนมันเหรอ” “ใครวะ บอกให้พวกกูรู้ด้วยสิ” “พวกมึงก็อยากรู้ใช่มั้ย” “ใช่มั้ยพวกมึง” คู่แฝดนพชัยชัยทิศพยายามหาแนวร่วมจากเพื่อนคนอื่นๆที่เหลือ พระยศนั่งเงียบเพราะเขารู้อยู่บ้างแล้ว ศศิทัศน์ยังคงเงียบขรึมเหมือนเดิมเพราะเขาก็ระแคะระคายมาบ้างเล็กน้อย จะเหลือก็เพียงสุรศักดิ์และคู่แฝด “อะไรวะ หรือพวกมึงรู้กัน” “แต่ปิดพวกกูเหรอ”

        “กูยังไม่รู้ แต่กูไม่ได้ขี้เสือกแบบพวกมึง” สุรศักดิ์ปาก้อนหินเล็กๆไปทางคู่แฝด

        “มึง” “มึงรู้จักแฟนมันใช่มั้ย” นพชัยและชัยทิศมุ่งความสนใจไปที่คนที่ยังนั่งอยู่ใกล้กองไฟ ไม่ได้นั่งอยู่ประจำก้อนหินแบบพวกเขา

        “รู้สิ”

        “ใครวะ” “นั่นสิ ใครวะ”

       วิธูหันมามองวีร์ก่อน แล้วจึงหันกลับไปทางแฝดนพชัยชัยทิศ

        “แฟนมัน ก็...พี่ชายกูเอง”

        “เฮ้ย” ทั้งนพชัยและชัยทิศร้องออกมาพร้อมกัน ส่วนคนที่ตกใจมากกว่าใครแต่กลับไม่ได้แสดงอาการใดๆออกมา ยังคงนั่งเงียบเหมือนเดิม

        “ไหนๆก็พูดแล้ว งั้นกูพูดต่อเลยละกัน” วิธูหันมาหาวีร์ “ไอ้วีร์ หลายปีที่ผ่านมากูมีเรื่องจะสารภาพ”

        “อะไรวะ” วีร์ขมวดคิ้วสงสัย

        “เรื่องแรก มึงไม่ได้ช่วยกูจีบแพรเลย” วีร์ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ “เพราะกูขอมันเป็นแฟนก่อนที่จะบอกให้มึงช่วยอีก”

        “อะไรของมึงวะ” วีร์ยังคงสับสนกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา “ถ้ามึงเป็นแฟนกันแล้ว มึงจะมาขอให้กูช่วยอีกทำไม”

        “นั่นเพราะว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่สอง” วีร์และคนอื่นๆรอฟังอย่างตั้งใจ “กูไม่ได้ช่วยมึงจีบพี่กูเลย”

        “ห๊า” เสียงร้องของคนอื่นๆดังขึ้นมาพร้อมกัน

        “ในขณะที่มึงคิดเอาเองว่าที่ผ่านมามันเป็นอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว กูช่วยพี่กูจีบมึงต่างหาก”

        “หมายความว่ายังไงวะ งั้นแสดงว่าทั้งหมดที่ผ่านมาก็คือแผน” วีร์ถามย้ำ

        “ใช่”

        “ไอ้เพื่อนเวร” วีร์หมายจะปาเศษไม้ไปที่เพื่อนของเขา แต่เจ้าตัวหลบทันทำให้ไม้เข้าไปในกองไฟแทน

        “หึๆ ก็ความสุขของพี่กูก็คือความสุขของกู

       คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของอีกคนแต่กลับไปกระทบใจของอีกคนและวีร์เองก็รู้สึกได้ เขาจึงหันไปมองคนที่ยังนั่งเงียบอยู่ ก็พบว่าคนนั้นก็กำลังมองกลับมาที่เขาอยู่เช่นกัน รวมถึงวิธูที่หันไปมองตามสายตาของเพื่อนสนิทจนเจอเข้ากับสายตาของศศิทัศน์ พร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่ได้แสดงความเย้ยหยั่นแต่อย่างใด แต่เป็นรอยยิ้มที่เข้าใจความรู้สึกนั้นเป็นอย่างดีความรู้สึกของคนที่เทิดทูนพี่ชายตัวเองเป็นดังเช่นวีรบุรุษ


[โปรดติดตามตอนต่อไป]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 10 ... 30 พ.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 30-05-2021 22:53:46
อะไรยังไงเนี่ย มีปมมาให้แก้อีกแล้ววววส :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 10 ... 30 พ.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-05-2021 00:55:46
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 11 ... 7 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 07-06-2021 01:35:30
ตอนที่ 11 ความจริงที่ปิดไว้

      วีร์ออกมาเดินดูรอบๆบ้านของฝาแฝดนพชัยและชัยทิศ เพราะว่าที่นี่ปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้เยอะมากทำให้เขารู้สึกเหมือนว่ากำลังอยู่ที่บ้านหลังเดิม เขาเพลิดเพลินตามทางไปเรื่อยๆ มองดูต้นไม้นานาพรรณที่เขารู้จักบ้างไม้รู้จักบ้าง และแวะดูบ่อปลาที่มีตัวใหญ่ๆว่ายอยู่ในสระที่มีบัวหลายชนิดประดับรายล้อมอยู่ ไปจนถึงสวนดอกไม้หอมนานาชนิด ทั้งไม้ยืนต้น ไม้เลื้อย และไม้พุ่มขนาดเล็ก จนไม่รู้ว่าได้เดินเลยไปถึงส่วนอื่นๆของที่ดินผืนใหญ่แห่งนี้

       “ตื่นเช้าเหมือนกันนะเราน่ะ” เสียงของหญิงสูงวัยเอ่ยทักทายมาทำเอาวีร์สะดุ้งโหยง “ขอโทษทีนะ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ตกใจ”

       “ไม่เป็นไรครับคุณย่า ผมเดินดูดอกไม้เพลินไปหน่อย ไม่ทันได้สนใจอะไรรอบตัวเลย” วีร์หันมายิ้มให้กับหญิงสูงวัยที่มักจะมีผู้ติดตามมาด้วยสองคนเสมอ แต่ครั้งนี้กลับมีเพิ่มมาอีกสามคน

       “นี่เอาของไปเก็บได้เลยไป เดี๋ยวชั้นจะเดินเล่นกับเพื่อนของเจ้ากิ่งก้านก่อน” หญิงสูงวัยหันไปสั่งผู้ติดตาม วีร์มองดูคนที่ถือโถข้าวสีเงินที่แกะสลักอย่างดี คนที่ถือถาดที่ถูกซ้อนรวบกันไว้ 2-3 ถาด และคนที่ถือโต๊ะพับ ก้มหน้าคำนับรับคำสั่งหญิงสูงวัย ก่อนที่จะเดินตามกันออกไป เหลือทิ้งไว้อีกสองคนที่จะคอยติดตามไปทุกที่

       “ชอบมั้ย” ผู้เป็นเจ้าบ้านหันกลับมาถาม “สวนนี่ปู่ของเจ้ากิ่งก้านเป็นคนจัดวางผังไว้ทั้งหมด ต้นไม้อาจจะมีล้มตายไปบ้าง เปลี่ยนพันธุ์ไม้เป็นชนิดอื่นบ้าง ก็ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ตามที่วางไว้แบบเดิม”

       “ชอบครับ ดอกไม้หอมเยอะดี ดูเพลินตาไปเลยครับ” วีร์ตอบพร้อมกับหันไปมองดูรอบๆ ถึงได้เห็นว่าตัวเองเดินห่างออกมาจากบ้านของนพชัยและชัยทิศพอสมควร

       “ไป เดินไปกับย่าหน่อย ย่ากำลังจะไปเยี่ยมย่าของเจ้ากิ่งก้านอยู่พอดี เมื่อวานดูไม่ค่อยจะสบายตัวเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าดีขึ้นบ้างแล้วรึยัง” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้ามองไปทางนั้นพอดี

       “เอ่อ ย่ารองไม่สบายหรอครับ ไม่เห็นพวกคู่แฝดจะพูดอะไรเลย” วีร์เดินตามหญิงสูงวัยไป เดิมทีเขาเดินคล้อยหลังมาเล็กน้อย และอีกฝ่ายกลับหยุดเดินแล้วยกแขนขึ้นข้างหนึ่ง ต้นแขนยังขนาบลำตัวพับข้อศอกขึ้นตั้งฉาก ปลายแขนขนานไปกับพื้น ฝ่ามือเหยียดคว่ำออกมา วีร์เห็นแล้วรับรู้ได้ในทันทีจึงรีบเดินขึ้นมาระดับเดียวกันพร้อมกับยกแขนเกร็งขึ้นเล็กน้อยให้หญิงสูงวัยวางฝ่ามือลงที่ปลายแขนของเขา แล้วทั้งคู่ก็ออกเดินต่อไป

      โดยที่เด็กหนุ่มไม่ทันได้เห็นอมยิ้มเล็กๆของหญิงสูงวัย

       “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก คงจะไม่อยากบอกให้กังวลใจกัน เดี๋ยวจะหมดสนุกกันเสียเปล่า”

       “มิน่าล่ะ ผมเห็นสองคนนั้นเดินเข้าออกไปในบ้านอยู่เรื่อยไม่หยุด นึกว่าแค่เอาขนมเข้าไปให้คนในบ้านเฉยๆ” วีร์รู้สึกผิดขึ้นมาในทันที

       “ไม่ต้องกังวล ได้กินยาแล้วนอนพักก็คงจะดีขึ้น” หญิงสูงวัยยังคงยืนยันคำพูดของเธอ “พวกเราไม่ได้ทำเสียงดังอะไรนิ ใช่มั้ย”

       “ครับ” วีร์พยักหน้าตอบรับ

       “ไม่เหมือนฝั่งโน้น เปิดเครื่องเสียงดังเกือบทั้งคืน ดีที่ว่ายังพอรู้เวลาอยู่บ้าง”

      วีร์จำได้ว่าเขาก็ได้ยินเสียงดังมาถึงที่ตั้งแคมป์ไฟของพวกเขาอยู่เหมือนกัน แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันต่อก็มีคนรีบวิ่งเข้ามาพวกเขาเสียก่อน

       “ไอวีร์ๆ ห้ายฮั้วไป่ไน่มา ห้าแถบต๋าย” เมื่อพูดกับเพื่อนเสร็จวิธู ก็ชะงักเพราะไม่ทันเห็นว่าวีร์เดินมาด้วยกันกับผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้าของที่ จึงรีบยกมือขอโทษที่เสียมารยาท หญิงสูงวัยก็ยิ้มตอบกลับอย่างเอ็นดูว่าไม่เป็นไร

       “ไสอะ”

       “ผอโทรมา หวาอีมาหรับแล่วนิ”

       “อือ แขบไป่ไน่ บ๋อกว่าอีหลบหวันช้าย มั้ยฉายเออ”

       “มั้ยโหร่เหมือนกั๋น เห้นหวาอีทึ่งแล่วนิ”

       “เอ้า พรือหล่าว”

       “มั้ยโหร่ ไป่ เก๋บข้อง”

       “เอ่อ...” วีร์หันมามองทางหญิงสูงวัย กำลังจะนึกคำพูดเพื่ออธิบาย แต่ว่า...

       “ไม่เป็นไรหรอก ไปเถอะ รีบไม่ใช่เหรอ” เธอยิ้มมาให้ ไม่ได้ถือสาหาความอะไร

       “เอ่อ... งั้นพวกผมลาคุณย่าตรงนี้เลยก็แล้วกันครับ” ทั้งวีร์และวิธูยกมือขึ้นไหว้ลาหญิงสูงวัย

       “กลับดีๆละ ว่างๆก็แวะมาที่บ้านได้อีกนะ”

       “ได้ครับ”

       “ทั้งสองคนเลยนะ”

       “ครับ”

      หญิงสูงวัยยืนมองดูเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่รีบเดินกันไปตามทางที่เธอกำลังจะเดินไปเช่นกัน เสียงพูดคุยของทั้งสองคนยังดังมาให้เธอได้ยินอยู่บ้างก่อนที่จะเบาลงตามระยะทางที่ห่างกันออกไป เธอยืนมองดูจนเด็กทั้งสองเดินลับสายตาของเธอไป

       “อ้าว คุณแม่คะ มายืนอะไรอยู่ตรงนี้ละคะ เดี๋ยวโดนน้ำค้างแล้วจะป่วยเหมือนแม่รองไปอีกคนหรอก”

       “หือ ชื่นเองเหรอ แม่แค่ตักบาตรเสร็จแล้วมาเดินเล่นน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เธอหันมายิ้มให้กับคนที่เข้ามาทักเธอ “แล้วนั่นอะไรละ” เธอมองดูหม้อขนาดกลางที่อยู่ในมือของผู้ที่เธอเลี้ยงดูมาดั่งลูกสาวแท้ๆของเธอเอง

       “ข้าวต้มปลาค่ะ จะเอาไปบ้านแม่รอง”

       “ดีเลย งั้นไปด้วยกัน แม่กำลังจะเดินไปทางนั้นพอดี จะไปดูเขาซักหน่อย ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจะได้รีบพาไปโรงพยาบาล”

       “ค่ะ คุณแม่”

      แล้วทั้งสี่คนก็เดินไปตามเส้นทางที่วีร์และวิธูเพิ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปก่อนหน้านี้เอง

*****

       “อ้าวไอ้วีร์ไปไหนแล้ววะ เพื่อนมันก็ด้วย” ศศิทัศน์ เดินออกมาจากในบ้านหลังจากที่ทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขามองดูรอบๆแล้วสังเกตเห็นว่ามีคนหายไป

       “พ่อเพื่อนมันมารับกลับไปเมื่อกี้ ทำไมเหรอ” สุรศักดิ์หันมาถามขณะที่กำลังจะจุดถ่านฟืนที่เตาปิ้งย่าง เตรียมตัวย่างอาหารทะเลที่นพชัยและชัยทิศสั่งให้คนที่บ้านเตรียมไว้สำหรับมื้อเที่ยงวันนี้

       “เปล่า ไม่มีอะไร แล้วพวกมันจะรีบไปไหนกันวะ เห็นบอกว่าอยู่ได้ถึงตอนบ่ายไม่เหรอ”

       “ไม่รู้สิ เห็นเพื่อนมันคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้ น่าจะพ่อมันมั้ง” “แล้วก็เห็นรีบตามหาไอ้วีร์ใหญ่เลย” “พอมันตามไอ้วีร์กลับมาได้ก็รีบเก็บของกัน เสร็จแล้วก็บอกลา” “แล้วก็ออกไปพร้อมกันเลยทั้งคู่”

       “ไปไหนวะ” ศศิทัศน์ช่วยพวกคู่แฝดยกกล่องใส่อาหารทะเลสดออกมาวางเรียงกันที่โต๊ะข้างเตาปิ้งย่าง

       “ไม่รู้เหมือนกัน” “มันไม่ได้บอกไว้”

       “แล้วน้ำจิ้มซีฟู๊ดนี่ใครจะทำ” ศศิทัศน์ก้มลงมองดูเครื่องปรุงที่เตรียมเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนๆแต่ละคน

       “มึงครับ” สุรศักดิ์เรียกเพื่อนตี๋ของเขา “บ้านกูทำร้านอาหาร กูทำอาหารเป็น แค่น้ำจิ้มแค่เนี่ย กูก็ทำได้”

       “เหรอออออ” ศศิทัศน์ลากเสียงยาว

       “ถึงเรื่องเรียนกูจะสู้มึงไม่ได้ แต่เรื่องทำอาหาร รับรองได้ว่ากูสู้...”

       “สู้ไอ้วีร์ไม่ได้” ทั้งนพชัยและชัยทิศพูดออกมาพร้อมกัน

       “ห่า...” สุรศักดิ์วางมือจากการจุดถ่านให้ติดไฟมายืนเท้าสะเอวแทน “จะเอาไง จุดกันเองเลยมั้ย”

       “อุ้ย พี่ใหญ่น้อยใจแล้วพวกเรา” “ไปง้อเขาหน่อยสิมึง เดี๋ยวจะอดแดกกัน” ทั้งสองคนรับกุลีกุจอเข้าไปช่วยใหญ่จัดการกับเตาปิ้งย่าง “อ้าวไอ้คุณพระยศ มึงมาช่วยด้วยดิ เอาจะเล่นโทรศัพท์อยู่ได้” “หรือมึงต้องรีบกลับไปไหนอีกคนด้วยวะ”

       “หืม” พระยศเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ในมือของเขา “อะไร”

       “มีธุระด่วนรึเปล่ามึง” ศศิทัศน์ถามพระยศ

       “อ๋อ.. ไม่มีอะไร กูอยู่ได้เรื่อยๆทั้งวัน” พระยศเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงของตัวเอง

       “อ้าว ตอนแรกมึงบอกว่ามีนัดกินข้าวเที่ยงกับที่บ้านไม่ใช่หรอ” ศศิทัศน์สงสัย เพราะพระยศได้เคยบอกไว้ว่าจะกลับช่วงสายๆ เหตุเพราะว่านานๆทีที่คนในบ้านจะหยุดอยู่บ้านพร้อมกันครบทุกคน จึงได้นัดกันจะพากันไปร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยงและเย็น

       “เลื่อนแล้ว คงจะออกไปกินกันมื้อเย็นอย่างเดียว” พระยศเดินมาช่วยสุรศักดิ์จุดเตาปิ้งย่าง

       “ทำไมวะ” สุรศักดิ์เงยหน้ามาถามพระยศ

       “ก็ไม่ทำไม” พระยศยักไหล่ตอบ “แม่กูโดนเรียกตัวด่วนตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่กลับเลย แถมยังไม่แน่ว่ามื้อเย็นอาจจะโดนยกเลิกไปด้วย”

       “อย่างงี้แหละ เป็นลูกหมอลูกตำรวจต้องทำใจ เป็นวันหยุดแต่ก็ไม่ได้หยุดแบบชาวบ้านเขา”

      พระยศได้แต่พยักหน้าเล็กน้อยตอบเพื่อนข้างๆ ในใจพลางนึกไปถึงเพื่อนอีกคนที่กลับไปก่อนหน้า เขาหวังว่าแม่ของเขาที่ถูกเรียกตัวไปคงจะไม่ใช่ว่าต้องไปเพราะใครคนนั้น

*****

      พ่อของวิธูขับรถพาทั้งวิธูและวีร์มาที่โรงพยาบาล โดยระหว่างทางวิธูได้พยายามถามพ่อของเขาว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้รีบร้อนมารับเขาและวีร์ ทั้งๆที่ได้นัดกันไว้เวลาบ่าย แต่พ่อของวิธูก็บอกแค่เพียงว่าเดี๋ยวไปถึงโรงพยาบาลก่อนแล้วค่อยบอกในคราวเดียว ทั้งหมดจึงได้แต่นั่งกันมาเงียบๆจนถึงโรงพยาบาล

       “แม่ มีอะไรรึเปล่า” วิธูรีบถามมารดาของตัวเองทันทีที่ได้พบหน้า ทั้งวิธูและวีร์ต่างรีบวิ่งขึ้นมาถึงหน้าทางเข้าหอผู้ป่วยก่อน ส่วนพ่อของวิธูต้องวนรถไปจอดแล้วจึงตามมาทีหลัง

       “ไม่มีอะไร พ่อเขาแค่ตกใจเกินเหตุไปหน่อย ดูสิหมดสนุกกันเลยละสิ” หญิงวัยกลางคนยืนรออยู่ด้านหน้า แม้ว่าจะปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า แต่แววตาของเธอไม่ได้เป็นเช่นนั้นไปด้วย

       “แล้วพ่อตกใจเรื่องอะไร” วิธูไม่เชื่อในคำตอบของแม่ของเขา

       “พี่เขาความดันตกเมื่อหัวรุ่ง” เธอถอนหายใจก่อนตัดสินใจบอกลูกชายคนเล็กของเธอ “หมอให้ยาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็กลับมาเป็นปกติดี แต่รอดูอาการอีกสักพักนึงก่อน”

       “แล้วตอนนี้เข้าไปเยี่ยมได้มั้ยครับ” วีร์ถามแม่ของวีรดนย์และวิธู

       “ได้สิ” เธอยิ้มตอบให้ “แต่พี่เขาหลับอยู่ ไม่ต้องไปปลุกนะ ให้เขานอนพักไปก่อน”

       “ได้ครับ” วีร์ตอบรับแล้วรีบเดินไปติดต่อเจ้าหน้าที่หน้าทางเข้าเพื่อขอเข้าเยี่ยมผู้ป่วยในทันที

      เมื่อวีร์เดินลับสายตาไปแล้ว วิธูก็หันมาจ้องมองแม่ของเขาอย่างคาดคั้น อีกฝ่ายก็ได้แต่ยิ้มและลูบแขนลูบไหล่ปลอบใจทั้งลูกชายและตัวเอง จนผู้เป็นพ่อเดินตามมาถึง

      สามคนพ่อ แม่ ลูก ต่างมองหน้ากันไปมา

       “ที่นี้ละอยู่กันครบแล้ว บอกมาตะว่าเกิดอะไรขึ้น” วิธูยืนเท้าสะเอวรอฟังคำตอบ

      สองสามีภรรยาหันมามองกันขอความเห็นจากอีกฝ่าย แม้ว่าที่ผ่านมาได้พยายามประวิงเวลาไม่บอกเล่าอาการของลูกชายคนโตให้กับลูกชายคนเล็กฟังไปทั้งหมด โดยหวังว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นบ้าง แต่ทั้งคู่เข้าใจดีว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องบอกความเป็นไป ณ ปัจจุบัน ฝ่ายสามีจึงพยักหน้าให้กับผู้เป็นภรรยาคู่ชีวิต

       “หมอบอกว่ายาที่ใช้รักษาอยู่ประจำทำให้ตับกับไตเริ่มเสื่อมลงมากแล้ว ถ้าจะให้ช่วยก็ต้องฟอกตับกับไตเพิ่มอีกอย่าง แต่ว่า...” เธอหันมาบอกกับลูกชายของเธอ มือของเธอจับกับมือของสามีไว้แน่น ก่อนที่จะสูดหายใจลึกๆ “แต่ว่าตอนนี้กล้ามเนื้อหัวใจก็เริ่มตายไปบางส่วน ก็เลย... คงอีกไม่นานแล้ว”

       “อะไรอีกหล่าว” วิธูขมวดคิ้วพยายามคิดตามสิ่งที่ได้ยินมา “ก็ที่ย้ายกันมานี่เพราะมีหมอเฉพาะทางอยู่ไม่ใช่เออ แล้วทำไม...”

       “หมอที่นี่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ ที่ผ่านมาก็ได้แต่รักษาตามอาการ” ฝ่ายพ่อวางมือลงบนบ่าของลูกชาย บีบเบาๆเพื่อให้กำลังใจ แม้ว่าตัวของเขาเองก็ต้องการเช่นกัน “แต่ตอนนี้ มันถึงเวลาที่เราคงต้องยอมรับความจริงแล้ว”

       “ไม่อะ ไม่เชื่อ” วิธูพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ “แล้วพี่เขารู้แล้วยัง”

       “รู้ พี่เขารู้อาการตัวเองมาตลอด” ผู้เป็นแม่ปล่อยจากมือของสามีไปจับแขนลูกชาย

       “แล้ว...”

       “ต่าย” เสียงของแม่พยายามเรียกสติของลูกชาย “เวลาเหลืออีกไม่มากแล้วนะลูก อย่าให้พี่เขาไปอย่างมีกังวล”

      วิธูยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนที่มันจะไหลลงบนแก้มของเขา

       “แล้วใครจะบอกไอ้วีร์”

       “พี่เขาขอเป็นคนบอกเองเมื่อถึงเวลา” ผู้เป็นแม่บีบแขนลูกชายเบาๆ

      วิธูได้แค่หันไปมองทางเข้าหอผู้ป่วยปลอดเชื้อที่ซึ่งเพื่อนสนิทของเขากำลังเฝ้าดูอาการพี่ชายของเขาอยู่ เขาไม่แน่ใจว่าเพื่อนของเขาจะทำใจรับกับข่าวนี้ได้มากแค่ไหน

*****

      อาหารทะเลนานาชนิดที่ถูกย่างไฟจนสุกพอดีถูกจัดวางไว้ในถาดวางเรียงกันบนโต๊ะอาหารภายในบ้าน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างล้อมวงร่วมรับประทานกันอย่างสนุกสนาน ฝาแฝดนพชัยชัยทิศคอยบริการคุณย่าที่รู้สึกดีขึ้นแล้วจากอาการไข้อย่างไม่ขาดมือ จานไม่เคยว่าง จนคุณย่าต้องยกมือห้ามและบอกให้หลานตัวเองลงมือกินเสียเองบ้าง ส่วนคนอื่นต่างชวนคุยเรื่องต่างๆอย่างออกรสออกชาติไม่แพ้อาหารบนโต๊ะ โดยเฉพาะน้ำจิ้มฝีมือของใหญ่ที่รสถูกใจหลายคนไม่เสียชื่อลูกชายร้านอาหาร

      มีเพียงชายร่างสูงคนหนึ่งที่ยังยืนอยู่นอกชานบ้าน กำลังพูดคุยโทรศัพท์กับแม่ของเขา

       “ยังครับแม่ ยังอยู่ที่บ้านพวกแฝดอยู่เลย แล้วแม่เสร็จงานแล้วเหรอครับ”

       (ยังเลยลูก คงจะอีกสักพัก)

       “เหรอครับ” พระยศเสียงอ่อนลงไปสักเล็กน้อย “แล้วแม่โทรบอกพ่อแล้วยัง ไม่ใช่ว่าพี่เบิ้ลกับบอมยังหิ้วท้องรออยู่อีกนะแม่”

       (แม่โทรไปแล้ว วางหูเสร็จก็โทรมาหาบิ๊กเลยจะได้ไม่ต้องรอกัน แล้วที่บ้านกิ่งก้านเขามีอะไรกินกันมั้ยลูก)

       “อาหารทะเลเต็มโต๊ะเลยแม่ ไม่ต้องห่วงครับ”

       (ดีแล้วลูก เดี๋ยววันหลังค่อยซื้อผลไม้เข้าไปเยี่ยมคุณย่าของพวกคู่แฝดบ้าง)

       “ครับ แล้วแม่จะเสร็จทันตอนเย็นมั้ยครับ”

       (คิดว่าทันนะ) ในตอนนั้นพระยศได้ยินเสียงแทรกเข้ามาเบาๆว่ามีเจ้าหน้าที่เอาผลแล็บมาส่ง (บิ๊ก เดี๋ยวแม่ต้องไปทำงานต่อแล้วนะ อยู่สนุกกับเพื่อนไปก่อนก็ได้ แล้วเจอกันตอนเย็นนะลูก)

       “ครับแม่” พระยศชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรีบถามออกไปก่อนที่ปลายทางจะวางสายไปเสียก่อน “แม่ครับ”

       (หือ ว่ายังไงลูก)

       “เป็นเคสเพื่อนของบิ๊กรึเปล่า” เสียงของอีกฝั่งหนึ่งเงียบไปจนพระยศถึงกับกลั้นหายใจรอฟังคำตอบ

       (ไม่ต้องห่วงนะบิ๊ก ไม่มีอะไหรอก แต่ยังไงก็หาเวลาคอยคุยกับเพื่อนเขาบ้างนะ)

       “ครับแม่”

       (แค่นี้ก่อนนะ เจอกันตอนเย็น)

       “ครับแม่”

      พระยศกดเลื่อนปุ่มวางโทรศัพท์แล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในใจนึกไปถึงเพื่อนอีกคนซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เขายืนคิดอยู่นานเท่าไหร่ไม่อาจบอกได้ จนมีคนเดินออกมาตามเข้าเข้าไปข้างใน

       “ไงมึง ยืนทำไรอยู่วะ”

      พระยศหันไปมองเพื่อนตี๋ของเขา ในมือกำลังถือแก้วน้ำมาด้วยสองใบโดยยื่นมาให้เขาใบหนึ่ง พระยศยักไหล่ตอบกลับแล้วจึงรับแก้วน้ำมายกขึ้นดื่ม

       “แต่สีหน้ามึง ไม่บอกว่าอย่างนั้นเลยว่ะ” ศศิทัศน์มองดูเพื่อนของเขาอย่างพิจารณา “มีอะไรรึเปล่าวะ”

       “เปล่า แม่กูแค่โทรมาบอกเฉยๆว่าคงเย็นๆโน้นถึงจะกลับ” พระยศหันกลับไปมองภาพต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าที่ปลูกรายล้อมไว้รอบบ้าน

       “แน่ใจ” ศศิทัศน์ถามกลับ

       “อืม” พระยศหันมายิ้มมุมปากให้แล้วจึงหันตัวกำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน

       “เกี่ยวกับไอ้วีร์รึเปล่า” ศศิทัศน์รีบถามก่อนที่เพื่อนของเขาจะเดินผ่านเขาไป จนเจ้าตัวถึงกับชะงักหยุดเดิน

       “มึงรู้อะไรแล้วบ้าง” พระยศหันมาถามศศิทัศน์

       “กูไม่รู้อะไรเลย กูแค่เดาเอา เดาจากท่าทางของไอ้วีร์ เดาจากท่าทางของเฮีย แล้วก็เดาเอาจากท่าทางของมึง”

      พระยศหลับตาลงครุ่นคิด เขายังนึกชื่นชมความฉลาดของเพื่อนคนนี้เสมอเหมือนที่ผ่านๆมา ก่อนที่จะพูดตอบไป

       “กูก็ไม่แน่ใจว่ากูควรบอกมึงมั้ย แต่คิดว่าไหนๆเฮียมึงก็คงรู้อยู่แล้ว” ศศิทัศน์รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ “แฟนของไอ้วีร์เป็นคนไข้ของแม่กู ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”

       “มึงหมายถึงที่ไอ้วีร์หายไปทุกวันเสาร์ก็คือ...”

       “มันไปเฝ้าแฟนมัน”

      ศศิทัศน์พยักหน้ารับ

       “แล้วแฟนมันเป็นอะไร”

       “อันนั้นกูไม่รู้ แต่เฮียวีอาจจะรู้”

       “แล้วเฮียกูไปรู้มาได้ยังไงวะ”

       “ไอ้วีร์บอกว่ามันเคยพาเฮียวีไปเจอแฟนมัน”

       “อ๋อ” ศศิทัศน์พยักหน้าพลางนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าที่เขาได้พยายามยุยงให้พี่ชายตัวเองไปแอบตามเพื่อนของเขาว่ามีธุระอะไรในทุกวันเสาร์ แล้วพี่ชายของเขาก็กลับมาถึงบ้านเสียดึกดื่นพร้อมอาการที่เงียบผิดปกติไป “แล้ว...”

       “กูรู้แค่นั้น มากกว่านี้มึงต้องลองไปถามเอาจากเฮียมึงเอาเอง”

      ทั้งพระยศและศศิทัศน์ต่างหันหน้าไปมองข้างๆ ทบทวนเรื่องราวต่างๆในความคิดของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะพยายามเดาเหตุการณ์ไปในเชิงบวกมากแค่ไหน ก็ค้นหาคำตอบที่สดใสไม่เจอ จนกระทั้งไหล่ของทั้งคู่ถูกตีพร้อมกัน

       “มายืนทำอะไรตรงนี้วะ” เด็กหนุ่มร่างสูงผิวเข้มยืนเท้าสะเอวมองหน้าไปมาระหว่างพระยศและศศิทัศน์ “เข้าไปข้างในกัน ของกินยังเหลืออีกเพียบน้ำจิ้มกูยังเหลืออีกเยอะ ไปช่วยกันจัดการให้หมดเร็ว” สุรศักดิ์กวักมือเรียกทั้งคนอีกครั้งแล้วก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน พระยศและศศิทัศน์ต่างมองหน้าอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พากันเดินตามสุรศักดิ์เข้าไปข้างในเช่นกัน



[อ่านต่อด่านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 11 ... 7 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 07-06-2021 01:36:27
      จนถึงเวลาเย็น วีร์ที่สวมชุดคลุมป้องกันการแพร่เชื้อตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังนั่งอยู่ข้างๆเตียง มองดูคนที่กำลังนอนหลับตั้งแต่เขามาถึงเมื่อช่วงสายจนถึงตอนนี้ ร่างกายที่เคยแข็งแรงกำยำล่ำสันแต่ตอนนี้กลับซูบผอมตั้งแต่ใบหน้าจนปลายเท้า แต่อย่างน้อยเขาก็กำลังนอนหลับพักสบายไม่มีอาการเกร็งแต่อย่างใด เครื่องมือที่อยู่อีกฝั่งของเตียงแสดงผลการเต้นของหัวใจ ความดันของโลหิต และระดับออกซิเจนในเลือดที่เป็นปกติ เจ้าหน้าที่พยาบาลเพิ่งเข้ามาตรวจตามระยะปกติและบอกว่าคนไข้คงจะตื่นในอีกไม่นาน แต่อาจจะมีอาการสลึมสลือไปบ้าง พยายามอย่าเพิ่งให้คนไข้ขยับตัวมากเกินความจำเป็น ถ้ามีความผิดปกติอะไรก็ให้เรียกพยาบาลได้ในทันที

       “น้องวีร์” หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมป้องกันมาไม่ต่างจากที่วีร์ใส่อยู่ เดินเข้ามาในห้อง “ไปหาอะไรกินก่อนลูก ตั้งแต่เที่ยงยังไม่กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ”

       “แต่ว่า...”

       “ไปเถอะ ทางนี้แม่อยู่เฝ้าเอง เดี๋ยวจะเป็นลมหมดแรงไปซะก่อน” เธอมองดูเด็กหนุ่มที่ยังคอยมองลูกชายคนโตของเธอด้วยแววตาที่มีแต่ความกังวล “เดี๋ยวพี่เขาตื่นมาแล้วรู้ว่าวีร์ปล่อยให้ท้องว่างไม่ไปหาอะไรกิน ก็โดนดุอีกหรอก”

      เด็กหนุ่มหันมามองเธอ พร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย

       “ใช่ เดี๋ยวพี่วีจะดุเอาอีก”

       “ใช่มั้ย น้องวีร์ออกไปหาอะไรกินก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่อยู่เฝ้าเอง”

      วีร์หันไปมองดูคนป่วยบนเตียงอีกครั้ง ก่อนที่จะหันมาตอบตกลง

       “ครับแม่”

      เธอตบลงบนบ่าของเด็กหนุ่มเบาๆ และมองดูเขาค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วหันเดินออกไปอย่างช้าๆ ตลอดเวลานั้นเขาก็ยังหันกลับมามองคนที่นอนอยู่ ก่อนที่จะตัดใจเดินออกจากห้องไป

      แล้วเธอนั่งลงตรงที่เด็กหนุ่มเคยนั่งอยู่ก่อนหน้า

       “เฮ้อ หลูกวีเอ้อ แหมม้ายโหร่อีบ๋อกน่องพรือดี๋แล่วนิ”

      เธอได้แต่รำพึงรำพันเบาๆถึงความกังวลใจของตัวเองเกี่ยวกับอาการของลูกชายคนโตที่ยังไม่มีใครกล้าบอกคนรักของเขาให้รู้อาการที่แท้จริงในตอนนี้ เธอทำได้แค่สวดมนต์ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้ลูกชายของเธอหายป่วยเสียที เขาจะได้กลับไปมีชีวิตปกติ ได้ทำสิ่งที่อยากทำอีกมากมาย ไม่ต้องมาจมอยู่บนเตียงอย่างนี้ติดต่อกันมาหลายปี

*****

      ตลอดช่วงสัปดาห์ต่อมา วีร์ยังคงมาเรียนตามปกติดังเดิมแต่มีท่าทีที่เงียบซึมไป เหตุเพราะว่าเขาไม่สามารถไปเยี่ยมวีรดนย์ได้เพราะข้อตกลงที่เคยให้ไว้กับเจ้าตัวตั้งแต่แรก ว่าให้ไปพบได้เพียงวันเสาร์เท่านั้น หรืออย่างมากที่สุดก็วันอาทิตย์อีกหนึ่งวัน จึงได้แต่สอบถามอาการจากแม่ของวีรดนย์ที่ย้ายมาอยู่เฝ้าดูอาการ

      แรกเริ่มที่วีร์ย้ายตามมาใหม่ๆ ตอนที่วีรดนย์รู้เรื่องเข้าก็โกรธเขามาก ว่าทำไมถึงต้องทำให้คนอื่นวุ่นวายกับเรื่องย้ายบ้านย้ายโรงเรียนกะทันหันแบบนั้น ไม่ยอมให้เขาเข้าเยี่ยมเลยแม้แต่น้อย วีร์ได้แต่มานั่งเฝ้าอยู่หน้าทางเข้าหออภิบาลผู้ป่วยปลอดเชื้อ คอยสอบถามอาการจากแม่ของวีรดนย์อยู่นานเป็นเดือนวีรดนย์จึงใจอ่อนยอมให้เข้าเยี่ยมได้

      แต่กระนั้นการเยี่ยมไข้ต้องเป็นไปตามข้อตกลงว่าให้วีร์มาได้เฉพาะวันเสาร์เท่านั้น อนุโลมให้เพิ่มวันอาทิตย์ได้เป็นครั้งคราว ส่วนวันธรรมดาให้วีร์สนใจอยู่กับการเรียน และที่สำคัญวีร์ต้องรักษาผลการเรียนไว้ให้ได้

      ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในวันธรรมดาวีร์จะตั้งใจเรียนเอาสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องเรียน ส่วนในวันเสาร์นั้นวีร์จะทิ้งทุกอย่างไม่ว่าจะสำคัญแค่ไหนเพื่อมาเฝ้าวีรดนย์ ซึ่งก็มีเพียงครั้งเดียวที่วีร์ไม่ได้มาเยี่ยมในวันเสาร์ เพราะพ่อและแม่ของวีร์ขึ้นมาเยี่ยมในช่วงวันหยุดยาว วีรดนย์จึงอนุญาตให้วีร์เลื่อนเป็นวันอาทิตย์ได้

      จนถึงตอนนี้ทุกอย่างยังเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้

      ส่วนเพื่อนๆคนอื่นๆเองก็ไม่ได้สอบถามความเป็นไปของวีร์มากนัก แค่คอยชวนคุยเรื่องทั่วๆไปอยู่เรื่อยๆ แม้แต่คู่แฝดนพชัยและชัยทิศเองก็ไม่ได้กระเซ้าเย้าแหย่วีร์อะไรมากมาย แม้ว่าพวกเขาเองจะไม่ได้รู้เรื่องโดยละเอียด แต่เพราะบรรยากาศรอบๆตัวของเพื่อนแต่ละคนทำให้พวกเขาหยุดความอยากรู้อยากเห็นเรื่องคนอื่นในตอนนี้ไว้ชั่วคราว

      จนวีรดนย์มีอาการดีขึ้น สามารถพูดคุยตอบสนองได้ เพียงแต่ว่าจะอ่อนเพลียง่ายกว่าปกติเท่านั้น วีร์จึงกลับมาสดใสพูดคุยกับเพื่อนๆดังเดิมได้อีกครั้ง

      จนวันเสาร์มาถึง วีร์ก็เตรียมตัวจะออกไปเยี่ยมวีรดนย์แต่เช้าดังเดิม

       “วีร์” เสียงเรียกชื่อของเขารั้งเขาไว้ก่อนที่จะก้าวพ้นหน้าบ้านไป มาจากชายหนุ่มผู้เป็นคนที่จัดการธุระต่างๆทั้งหมด ทั้งการย้ายบ้านและการย้ายโรงเรียนของวีร์ กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับอาหารเช้าที่จัดเตรียมไว้สองที่ “มากินข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยไป” ท่าทีของวีร์ที่กำลังจะคัดค้าน “อ๊ะ... อ๊ะ... อ๊ะ... ไม่มีแต่ ไม่งั้นพี่จะโทรไปบอกเจ้าวีว่าเราไม่ยอมกินข้าวเช้า”

       “โห... ทำอย่างนั้นพี่วีก็ไม่ให้เข้าไปเจออีกอะสิ” เด็กหนุ่มได้แต่เบะปาก เดินย้อนกลับมานั่งที่โต๊ะอาหาร

       “งั้นก็กินให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยออกไป”

      วีร์ได้แต่นั่งเขี่ยข้าวในจาน

       “ลงมือสิ อุตส่าห์ทำให้กิน” ธีร์คะยั้นคะยอให้วีร์เริ่มตักอาหารใส่ปาก

       “ซื้อที่ตลาดเช้ามากกว่ามั้ง” วีร์ได้รับการเขกหัวเบาๆจากคนนั่งข้างๆในทันทีทันใด

       “ของสดน่ะใช่ ก็ไม่ได้เสกขึ้นเองได้ แต่ของปรุงเสร็จเนี่ยทำเอง ลงมือกินได้แล้ว”

      วีร์ทำหน้าล้อเลียนใส่ธีร์ ก่อนที่ละลงมือตักกับข้าวมาใส่จานตัวเอง

       “แล้วพี่เขาเป็นยังไงแล้วบ้าง” ธีร์ถามไถ่ไปถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้เขาและวีร์ย้ายมาอยู่กันที่นี่

       “ก็ดีขึ้นแล้ว แต่ต้องนอนพักเยอะๆ”

       “อืม ก็ดีแล้ว” ธีร์มองดูเด็กหนุ่มตักข้าวกินเอาๆอย่างเร่งรีบ “นี่ ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวก็สำลักหรอก”

       “ก็เวลามีค่า ปล่อยช้าไม่ได้”

       “แล้วไม่อยากจะใช้เวลาอยู่กับคนนี้บ้างเหรอ” ธีร์ทำสีหน้า แววตา และน้ำเสียงเจือปนด้วยความน้อยใจเล็กน้อย แต่วีร์ก็แค่กรอกตามองเพียงหางตา

       “ก็กับคนนี้ยังอยู่ด้วยกันอีกนาน ทำไม หรือคิดจะแต่งงานหาเมียใหม่แล้วถีบหัวส่งเออ”

       “ดูพูดเข้า” ธีร์ขยี้หัวเด็กหนุ่มในเชิงหยอกล้อ ก่อนที่จะปรับสีหน้าและน้ำเสียงกลับมาเป็นจริงจัง “แล้วถ้าพี่คิดจะแต่งงานจริงๆละ”

      วีร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองหน้าชายหนุ่ม

       “กับพี่วาเหรอ”

      ทั้งคู่ต่างส่งสายตามองกันไปมา

       “ถ้าเป็นพี่วา วีร์จะว่าอะไรมั้ย” ธีร์กำลังลุ้นรอฟังคำตอบอยู่ในใจ ในขณะที่พยายามรักษาอาการให้นิ่งเฉยมากที่สุด

      วีร์หันไปมองทางอื่น ใช้ความคิดอยู่กับตัวเอง ก่อนที่จะตอบ

       “ถ้าเป็นพี่วาจริงๆ... ก็... พอได้นะ” พร้อมกับยักคิ้วยักไหล่ จนธีร์ผลักหัวของวีร์เบาๆ “พ่อกับแม่รู้แล้วรึยัง”

       “ยังเลย ยังไม่ได้บอกใครเลย กำลังหาโอกาสบอกอยู่”

       “ก็ดี แต่อย่าไปทำเขาท้องก่อนที่จะได้บอกละ รู้มั้ย” วีร์ชี้หน้าธีร์โดยยังถือช้อนในมือ

       “เอ๊... ยังไงนี่เรา” ธีร์ปัดมือวีร์ลงเบาๆ

      วีร์ยิ้มให้ แล้วรวบช้อนส้อมของตัวเอง เตรียมจะยกจานไปล้านในห้องครัว

       “วางไว้เถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”

      วีร์วางจานลงและหันไปมองพร้อมรอยยิ้ม

       “ขอบคุณครับ งั้นเดี๋ยววีร์ออกไปเลยนะ”

       “เดินทางดีๆละ ระวังรถด้วย แล้วถ้าจะกลับช้าก็โทรมาบอกก่อนนะ”

       “ครับ ไม่ต้องห่วง”

      วีร์หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพาย แล้วจึงเดินออกไปใส่ร้องเท้าที่ชานหน้าบ้านจากนั้นก็รีบออกเดินทางไป ส่วนธีร์ก็ลุกขึ้นยืนและเริ่มเก็บจานชามเตรียมเอาไปล้างในห้องครัว เช้าวันนี้เขาทำอาหารง่ายๆเพียงไม่กี่อย่าง เพราะคิดว่าจะออกไปหาอะไรกินเป็นมื้อเที่ยงข้างนอกบ้านเนื่องจากเหลือเขาอยู่แค่คนเดียว และวางแผนไว้ว่าจะซื้อกินของใช้ที่ขาดกลับมาด้วยเลยทีเดียว

      เวลาผ่านไประยะหนึ่งทุกอย่างในครัวก็ถูกจัดเก็บเรียบร้อย ธีร์จึงเดินออกมาที่ห้องนั่งเล่นแล้วมองดูนาฬิกาที่ฝาผนัง ก็พบว่ายังพอมีเวลาอีกสักชั่วโมงหนึ่งก่อนห้างสรรพสินค้าจะปิด เขาเลยคิดที่จะรดน้ำต้นไม้รอบบ้านก่อนที่จะออกไป

      เพียงแต่เขาเพิ่งจะก้าวเท้าพ้นประตูออกมาข้างเดียวเท่านั้น ยังไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ ก็มีหญิงสาวเปิดประตูรั้วบ้านของเขาเข้ามา แล้วก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหาเขา ถึงแม้ว่าสีหน้าท่าทางดูตื่นตระหนกอยู่บ้างแต่น้ำเสียงยังพอจะบอกได้ว่ายังมีสติอยู่

       “พี่ธีร์” หญิงสาวคนนั้นเอ่ยเรียกพร้อมกับจับแขนของเขาด้วยมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น

       “น้องวา เป็นอะไร หน้าตาตื่นมาเชียว มีใครเป็นอะไรรึเปล่า” ธีร์ถามวนกรด้วยความเป็นห่วง

      วนกรหายใจเข้าลึกๆอยู่สองสามครั้ง

       “เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

       “อะไร มีเรื่องอะไร” ธีร์พาหญิงสาวเข้ามาข้างในบ้าน “หรือว่าพ่อรู้เรื่องของเราแล้ว”

       “ไม่ใช่ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้” วนกรหันหน้าออกไปมองดูรอบๆบ้าน ธีร์ก็เข้าใจได้โดยทันที

       “วีร์ไม่อยู่ ออกไปสักพักใหญ่แล้ว เหลือพี่อยู่บ้านคนเดียว”

      วนกรถอนหายใจโล่งขึ้น แต่ยังคงมีสีหน้าขบคิดอะไรบางอย่าง

       “แล้ว...” ธีร์ย่อตัวลงเล็กน้อยเพื่อให้สายตาของเขาอยู่ระดับเดียวกันกับหญิงสาว กำลังรอฟังเรื่องราวที่เธอกำลังจะบอกเขา อีกฝ่ายก็ชั่งใจอยู่ว่าควรจะบอกอย่างไรดี เธอหายใจลึกๆอีกครั้งก่อนที่จะบอกออกไป

       “วาคิดว่า... วากำลัง... ท้อง” วนกรถึงกับกลั้นหายใจรอดูปฏิกิริยาของธีร์

      จากใบหน้าที่นิ่งเรียบเฉย สายตาที่มองมาอย่างกังวล ก็ค่อยๆเผยรอยยิ้มและประกายในแววตา

       “จริงเหรอ” ธีร์ถามวนกรอีกครั้งให้แน่ใจ เธอก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับ “แน่ใจแล้วใช่มั้ย”

       “ก็ประจำเดือนมันขาดไป วาเลยลองไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาลองดู แล้วก็ออกมาหาพี่ธีร์เลย” วนกรตอบแบบอ้อมแอ้มไม่เต็มคำนัก

      แต่ธีร์กลับยิ่งยิ้มร่าดีใจยกใหญ่ กอดรัดหญิงสาวแล้วอุ้มขึ้นหมุนไปมา จนวนกรต้องเอ่ยปากร้องห้าม

       “พี่ธีร์ เดี๋ยวพี่ธีร์ เบาๆ”

       “โทษทีๆ พี่ดีใจมากไปหน่อย” ธีร์จับไหล่ทั้งสองข้างของวนกร สายตามองดูหญิงสาวด้วยความรัก “งั้นเดี๋ยวเราออกไปหาหมอตรวจกันเลย จะได้แน่ใจ” วนกรยิ้มรับแต่ก็รั้งธีร์ไว้ก่อนที่เขาจะก้าวเดินไป

       “ถ้าเกิดว่าวาท้องขึ้นมาจริงๆ เราจะทำยังไงกันดี”

      ธีร์หันกลับมาหาวนกร ส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นที่สุดที่เขาจะให้ได้ แล้วก็จับมือทั้งสองข้างของวนกรขึ้นมาไว้ในมือของเขา

       “คราวนี้เราไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ เราโตขึ้นและมีหน้าที่การงานรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว จริงอยู่ว่ามันอาจจะข้ามขั้นตอนตามขนบธรรมเนียมประเพณีไปบ้าง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว ครั้งนี้เราจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้กันเอง” ธีร์ลูบผมของวนกรด้วยมือข้างหนึ่ง “ส่วนพ่อของวา เดี๋ยวเราก็เข้าไปบอกท่านด้วยกัน พี่จะได้ไปขอขมาแล้วก็ไปสู่ขอวาอย่างเป็นทางการเสียที”

       “แล้วถ้าเกิดว่าพ่อเขาไม่...” วนกรไม่สามารถหาคำมาพูดต่อไป ธีร์ก็พูดเสริมขึ้นมาให้

       “ถ้าพ่อเขารับไม่ได้จริง วาก็ย้ายออกมาอยู่กับพี่เลยก็ได้” ธีร์กุมมือของวนกรไว้ในมือของเขาอีกครั้ง ทำให้วนกรรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง

       “แต่ว่า... แล้วเราจะบอกลูกว่ายังไง ลูกจะรับได้มั้ย” วนกรยังคงมีความกังวลใจอยู่

       “ลูกเราไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ เขาโตแล้ว แยกแยะอะไรได้ เพียงแต่อาจจะต้องค่อยๆบอกไปทีละเรื่อง” ธีร์เดินกลับเข้าไปข้างในเตรียมตัวปิดบ้านเพื่อพาวนกรไปพบแพทย์ “เรื่องของวา เขาก็รับได้ถ้าพี่จะแต่งงานกับวา ส่วนเรื่องที่ว่าวาเป็นแม่ของ... วีร์”

      เสียงของธีร์ขาดหายไป ตอนที่เขาเดินมาถึงที่หน้าบันไดบ้าน เขายืนนิ่งเงียบไม่ไหวติง สายตามองขึ้นไปที่ชานพักบันได วนกรเห็นท่าทางแปลกๆของธีร์จึงเดินตามเข้ามาใกล้ๆ และหันไปมองทางที่เขากำลังมองอยู่

       “วีร์!!!”

      เด็กหนุ่มที่ทั้งคู่ไม่คิดว่าจะยังอยู่ในบ้าน กลับยืนนิ่งอยู่ที่ชานพักบันไดโดยที่มือข้างหนึ่งกำราวบันได้ไว้แน่น สีหน้าแววตาไม่อาจอ่านออกได้ว่ากำลังตกใจ งุนงง สับสน โกรธ หรืออะไรกันแน่ สายตาของเขามองสลับไปมาระหว่างชายหญิงทั้งสองคน ในความคิดของเขาในตอนนี้กำลังฉายซ้ำข้อความที่เพิ่งได้ยินมาหมาดๆ

       ‘วาเป็นแม่ของวีร์

      ทั้งสามคนต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ ยังไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาก่อน ราวกับกำลังเล่นเกมว่าใครพูดก่อนคนนั้นแพ้ และมีกฎว่าคนที่แพ้ต้องเก็บข้าวของทั้งหมดและออกจากบ้านไปทันที

      วีร์ตั้งสติได้เป็นคนแรก จึงก้าวเท้าลงบันได้แล้วรีบเดินหมายจะออกไปจากบ้านให้เร็วที่สุด เพียงแต่ว่าธีร์คว้าแขนของเขารั้งเอาไว้ได้เสียก่อน

       “วีร์เดี๋ยวก่อน พี่นึกว่าวีร์ออกไปแล้ว”

       “วีร์ลืมของเลยกลับมาเอา” เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง เขาพยายามขืนตัวจะเดินออกไปให้ได้

       “วีร์ ฟังพี่พูดก่อนได้มั้ย”

       “ไม่ใช่ตอนนี้ วีร์ต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวพี่วีจะรอ” เขาพยายามดึงแขนของเขาออกจากมือของชายหนุ่ม

       “แต่วีร์ควรจะอยู่ฟังพวกพี่ก่อน”

       “ฟังแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ วีร์ยังไม่พร้อมที่จะฟังอะไรตอนนี้” วีร์ยังคงพยายามขืนตัวออกห่าง “ปล่อย!!”

      ด้วยท่าทาง ด้วยน้ำเสียงของเด็กหนุ่มทำให้ธีร์ยอมปล่อยแขนวีร์ไป ทั้งธีร์และวนกรต่างมองดูแผ่นหลังเด็กหนุ่มที่เป็นทั้งน้องชายและลูกชายของพวกเขาเดินจากไป เสียงสะอื้นของวนกรทำให้ธีร์ดึงตัวเธอเขามาสวมกอดไว้ ความผิดพลาดในอดีตของเด็กสองที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ปล่อยให้ความอยากรู้อยากลองก่อนวัยอันควรนำหน้าเหตุและผล แล้วผลกรรมมันก็กำลังวนกลับมาหาพวกเขาอีกครั้ง



[โปรดติดตามตอนต่อไป]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 11 ... 7 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 07-06-2021 12:29:45
โอ้ยยยยยยยอะไรกันเนี่ยยยยย :a5: :katai1: :ling1:

สงสารวีร์ :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 11 ... 7 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-06-2021 01:24:16
 :serius2:


โอยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 11 ... 7 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-06-2021 18:24:12
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 12 ... 16 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 16-06-2021 01:58:42
ตอนที่ 12 กาลเวลาไม่หวนคืน

       ช่วงบ่ายของวันหนึ่ง ในขณะที่ทุกคนในบ้านกำลังพักผ่อนกันตามอัธยาศัยหลังจากเสร็จสิ้นอาหารมือกลางวันแล้ว ผู้เป็นพ่อกำลังนั่งดูการแข่งขันกีฬาในโทรทัศน์ ผู้เป็นแม่กำลังคุยสนทนากับเพื่อนๆผ่านแอพลิเคชั่นในโทรศัพท์ พี่สาวคนโตกำลังดูวิดีโอออนไลน์ของศิลปินคนโปรดผ่านโทรศัพท์โดยที่เสียบหูฟังเอาไว้ พี่ชายคนรองและพี่ชายคนเล็กกำลังช่วยน้องชายคนเล็กของบ้านกรอกใบสมัครเพื่อเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1

        “เขียนตัวบรรจง ไม่ต้องรีบ” พี่ชายที่นั่งฝั่งขวาคอยกำกับการกรอกข้อมูล ส่วนพี่ชายอีกคนที่นั่งฝั่งซ้ายกำลังจัดเตรียมเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการสมัครเข้าเรียน

        “พ่อชื่อ...” เด็กน้อยอ่านตามที่ใบสมัครเขียนไว้ให้กรอกลงในช่วงที่ว่างอยู่ “นายยุทธ นามสกุล วรรัญญา แล้วก็แม่ชื่อ นางนุช นามสกุล วรรัญญา เหมือนกัน”

       คนทั้งบ้านหันหน้ามามองกันไปมา เพราะนี่คือสิ่งที่เด็กชายตัวน้อยของบ้านเข้าใจมาโดยตลอด แต่หากปล่อยให้เขียนไปเช่นนี้ก็จะเป็นให้ข้อมูลที่ผิด แต่ถ้าบอกความจริงไปก็ไม่มีใครบอกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ยังไม่มีใครตัดสินใจอะไร เด็กชายตัวน้อยก็กรอกข้อมูลไปเรื่อยๆจนเสร็จ

        “เรียบร้อยแล้ว” เขาตรวจทานดูอีกรอบว่าไม่ได้เว้นว่างช่องไหนไว้อีก

        “แน่ใจนะ” คนข้างๆหันมาถามเขา

        “พี่ภูมิก็เอาไปดูสิ” เด็กชายวีร์ยื่นใบสมัครไปให้ดู อีกฝ่ายก็ทำเป็นตรวจตราดูตั้งแต่หัวกระดาษจนถึงบรรทัดล่างสุด

        “อืมๆ เรียบร้อย” เขายื่นใบสมัครกลับไปให้น้องชายคนเล็ก “เก็บใส่ซองไว้ มะรืนนี้จะได้หยิบเอาไปทีเดียว”

        “ไป ไปกินขนมกันดีกว่า แม่ทำไว้ตั้งแต่เช้า” ธีร์ลุกขึ้นยืนหลังจากยื่นเอกสารทั้งหมดที่ต้องใช้ให้น้องคนเล็กเก็บใส่ซองสีน้ำตาล จากนั้นเจ้าตัวและภูมิก็เดินเข้าไปที่ห้องครัวเพื่อยกขนมออกมา

       ส่วนเจ้าตัวน้อยยังคนง่วนอยู่กับเอกสาร โดยตรวจดูทุกใบว่ามีครบถ้วนตามที่ประกาศการรับสมัครเข้าเรียนได้แจ้งไว้ ส่วนเอกสารใบไหนที่ไม่ต้องใช้ก็เก็บกลับเข้าไว้ในแฟ้มที่ผู้เป็นแม่แยกจัดเก็บเอกสารราชการของแต่ละคนไว้ทั้งหมด แยกของใครของคนนั้นเป็นสัดส่วนเรียบร้อย เมื่อเวลาต้องใช้จะได้ไม่ต้องรื้อกันทั้งบ้านเพื่อตามหา

       พลันมีสายลมเอื่อยพัดมา ทำให้กระดาษบางๆใบหนึ่งปลิวจากโต๊ะตกลงไปที่พื้น

       เด็กชายวีร์จึงก้มลงเก็บเอกสารที่มีตราครุฑตัวแดงๆเห็นเด่นชัด ถัดลงมาเป็นชื่อของเอกสารบอกว่าเป็น ‘สูติบัตร’ เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพราะถือได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใบแจ้งเกิดของตัวเอง จึงหยิบขึ้นมาดูโดยละเอียดทั้งหมด ไม่ว่าเป็นชื่อตัวเขาเอง วัน เวลา และสถานที่เกิด และไล่ลงมาจนเห็นว่าส่วนถัดไปนั้นมีบันทึกไว้ว่า ‘ไม่ปรากฎ’ ซึ่งเป็นส่วนของ ‘มารดา’

       เด็กชายวีร์เกิดความสงสัยในใจว่าเหตุใดจึงไม่ใส่ข้อมูลของแม่นุชลงไป จะว่าเจ้าหน้าที่จะลืมใส่ก็ไม่น่าใช่ แต่นั่นยังไม่ทำเขาแปลกใจมากเท่ากับส่วนของ ‘บิดา’ ว่าทำไมถึง...

        “ทำไมชื่อบิดาเป็นชื่อพี่ธีร์อะ”

       เขาอ่านอีกรอบให้แน่ใจว่าอ่านไม่ผิด แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังอ่านเป็น

        นายธีร์ วรรัญญา x-xxxx-xxxxx-xx-x 16 ปี

       เขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นทุกคนต่างตื่นตระหนกลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเขา ยกเว้นเพียงคนเดียวที่ยืนนิ่งอยู่ที่ประตูห้องครัว ในมือถือจากขนมค้างไว้อยู่

        “หมายความว่าพรืออะ ทำไมถึงเป็นชื่อพี่ธีร์”

*****

       หลังจากที่รู้ความจริงแล้ว เด็กชายวีร์ในตอนนั้นเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกไปไหน ข้าวปลาอาหารก็ไม่ยอมกิน แม้ว่าร่างกายที่อ้วนจ้ำม่ำจะส่งเสียงประท้วงอยู่ตลอดเวลาก็ตาม ไม่ว่าใครเข้าไปคุยด้วยก็ไม่ยอมปริปาก ท้ายที่สุดคนในบ้านก็ต้องเดินไปตามเด็กหญิงข้างบ้านที่อยู่ในวัยเดียวกันกับน้องชายตัวน้อยให้มาช่วยปลอบ และให้ช่วยคะยั้นคะยอให้เด็กชายวีร์ยอมกินอะไรบ้าง

       แต่ขนาดเด็กหญิงแพรไหมมาถึงแล้ว เด็กชายวีร์ก็ยังไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่ร้องสะอื้นให้เธอโอบกอดไว้ปลอบปะโลมไว้ ในเมื่อเธอใช้วิธีหลอกล่อให้เพื่อนของเธอพูดระบายออกมาไม่ได้ เธอจึงเป็นฝ่ายพูดเสียเอง ได้แต่เล่าเรื่องในช่วงนี้ของเธอว่าไปไหนมาบ้าง ไปเจอใครมาบ้าง แล้วก็ไปกินอะไรมาบ้าง

        “อื้อหือ แบ่บหวาหรอยนิ กั๋ดเต๋มคำเลย มันนิเยิ่มไล่เต๋มคางเลย”

        “ไน่หวากลัวอวน”

       เด็กหญิงเกือบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่เมื่อได้ยินเสียงของเพื่อนของเธอ

        “ฮาย มั้นก่อมีบางและ ทีซ่องทีม้ายพรือนิ”

       เธอได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตามมาด้วยเสียงท้องร้อง

        “เนือยม้าย” เธอถามคนที่เธอกำลังกอดไว้เต็มวงแขน แม้ไม่มีเสียงตอบกลับแต่เธอก็รู้สึกได้ว่าเขาพยักหน้า “งั้นรอก๋อนนะ ไป่ห้าข้องกิ๋นมาห้ายนะ”

       เด็กหญิงแพรไหมผละออกจากเด็กชายวีร์ เธอยิ้มให้ก่อนที่จะลุกขึ้นออกจากห้องไป ไม่นานนักเธอก็กลับมาพร้อมจานอาหารที่ใส่ของกินมาเต็มพูน

*****

       วีร์นั่งเหม่อลอยอยู่บนรถประจำทางระหว่างเดินทางไปที่โรงพยาบาล ภาพเหตุการณ์เมื่อเกือบ 5 ปีมาแล้ว กลับมาวนเวียนอยู่ในหัวของเขาอีกครั้ง ในตอนนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารับรู้ว่าคนที่เขาเรียกว่าพ่อแม่มาโดยตลอดแท้จริงคือปู่กับย่า พี่สาวคนโตคือป้า พี่ชายคนเล็กคืออา ส่วนคนที่เขารักมากที่สุดที่คอยตามใจเขาทุกอย่างจะไม่ใช่พี่ชาย แต่เป็นพ่อของเขาเอง

       ส่วนผู้ที่เป็นแม่ของเขานั้นไม่มีใครยอมบอก เขารับรู้เพียงว่าฝ่ายครอบครัวของแม่ของเขาย้ายไปอยู่กันที่อื่น ไม่สามารถติดต่อกันได้ แม้จะลองสอบถามไปยังญาติคนอื่นๆทางฝ่ายนั้นก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน จนเวลาผ่านมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว ทุกคนเลยละความพยายาม และปล่อยให้ช่องข้อมูลมารดาในสูติบัตรของวีร์ว่างไว้ เพราะคิดว่าหากถ้าเขาไม่ได้ต้องการจะเกี่ยวข้องอะไรกันอีก ก็เสียเวลาเปล่าที่จะไปเหนี่ยวรั้งตามตัวกลับมา

       และเป็นเพราะว่าเด็กชายวีร์ในตอนนั้นเรียกคนในบ้านตามเด็กโตคนอื่นๆในตอนนั้นว่า พ่อ แม่ และพี่ ทุกคนจึงปล่อยเลยตามเลยไม่ได้ห้ามปรามหรือแก้ไขอะไร จนเป็นความเข้าใจใหม่ของเด็กตัวน้อยที่เพิ่มเริ่มจะรู้ประสีปะสา และเขาเติบโตขึ้นกับความสัมพันธ์รูปแบบนี้ จนกระทั้งวันที่เขารู้ความจริง

       ในท้ายที่สุดหลังจากที่เขายอมพูดคุยกับคนในบ้านอีกครั้ง ทุกคนกำลังปรับตัวที่จะเปลี่ยนสถานะของตัวเองแทนที่ความสัมพันธ์แบบเดิมที่เคยเป็นมาเกือบ 10 ปี แต่เด็กชายวีร์กลับอยากให้ทุกคนรักษาบรรยากาศในบ้านไว้แบบเดิม ให้เขาได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่และพี่ๆอย่างเดิมแม้ว่าเขาจะรู้ความจริงแล้วก็ตาม และทุกคนก็ตกลงตามความต้องการของเด็กตัวน้อย

*****

        “ไอ่วีร์”

       วีร์เดินออกมาจากลิฟต์ กำลังจะรีบเดินไปยังหออภิบาลผู้ป่วยปลอดเชื้อ แต่ว่าถูกเสียงที่คุ้นเคยเรียกไว้เสียก่อน

        “เอ้า ไซมาโย่วทึ่งนี้อะ” วีร์เห็นวิธูยืนอยู่หน้าหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤต แต่เมื่อมองเลยไปก็เห็นทั้งพ่อและแม่ของวิธูยืนอยู่ด้วย วีร์จึงยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองคน “พรือหล่าวนิ”

        “เค้าหย่ายผีวีมาโย่วทึ่งนี้แหล่ว” วิธูผงกศีรษะไปทางประตูหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤติ

        “ไซอะ”

       วิธูเม้มปากเข้าหากัน ก่อนที่จะสูดหายใจลึก แล้วก็พ่นออกมา

        “ไอ่วี...” วิธูเว้นจังหวะการพูดไว้ พร้อมกับพยายามข่มสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด แต่ในใจภาวนาขอให้เกิดปาฏิหาริย์ก่อนที่เขาจะต้องพูดออกไปจริงๆ และเหมือนจะเป็นระฆังช่วยชีวิตที่ประตูหอผู้ป่วยถูกเปิดออกมา โดยมีคุณหมอหญิงท่านหนึ่งเดินออกมา ทุกคนจึงรีบกรูเข้าไปหาคุณหมอ

        “เป็นยังไงบ้างครับหมอ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามคุณหมอที่ทำการรักษาลูกชายคนโตของเขามาโดยตลอด

        “ตอนนี้อาการคงที่แล้วนะคะ ไม่มีอะไรน่าห่วง แต่ว่าหมอคงต้องให้เฝ้ารอดูอาการอีกสักระยะหนึ่งก่อน ถึงจะบอกได้อีกทีค่ะ”

        “แล้วตอนนี้จะเข้าเยี่ยมได้มั้ยคะ” ผู้เป็นแม่สอบถามคุณหมอ

        “ก็เข้าเยี่ยมได้ตามเวลานะคะ แต่ว่าช่วงนี้เพราะฤทธิ์ของยาที่หมอสั่งไปจะทำให้คนไข้หลับอยู่ตลอด เดี๋ยวถ้าผลแล็บออกมาดีเมื่อไหร่ แล้วหมอจะสั่งปรับยาใหม่อีกทีนะคะ”

        “ได้ค่ะหมอ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ”

       ทั้งสามคนพ่อแม่ลูก รวมถึงวีร์ ต่างยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอ ก่อนที่หมอจะเดินจากไป เธอหันมายิ้มให้กำลังกับวีร์ และชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อกาวน์ก็คือ ‘พญ. กาญจนา อาชา’

        “พี่วีเป็นอะไรหรอครับ” วีร์หันมาถามผู้ใหญ่ทั้งสองคนในทันทีที่คุณหมอเดินออกไปแล้ว สองสามีภรรยาก็หันมามองหน้ากัน โดยที่ฝ่ายภรรยาหันกลับมามองเขาก่อนและยิ้มให้

        “พี่เขาอาการทรุดลงนิดหน่อยนะลูก หมอเป็นห่วงว่าอยู่ที่โน้นเครื่องไม้เครื่องมือจะไม่พร้อมใช้งานได้ทัน เลยย้ายมาอยู่ที่นี่แทน”

        “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ หมอมาดูให้อย่างใกล้ชิด สบายใจได้” ฝ่ายสามีเดินตามน้ำที่ฝ่ายภรรยานำทางมาให้

       วีร์ก็ยิ้มรับ หายใจได้โล่งขึ้น แต่ก็ได้ไม่นานนัก

        “พ่อ แม่” ลูกชายคนเล็กเอ่ยปากเรียกด้วยน้ำเสียงแข็ง สีหน้านิ่ง และแววตาเป็นประกายแก้ว “ถึงตอนนี้แล้ว บอกมันไปตะ” ทั้งพ่อและแม่ต่างหันมาส่งสายตาห้ามปราบลูกชายคนเล็กแต่ก็ไม่เป็นผล “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปิดมันแล้ว”

        “ทำไม เกิดอะไรขึ้น” วีร์หันไปคาดคั้นจากเพื่อนของเขา

       วิธูสูดหายใจลึกอีกครั้ง ปาฏิหาริย์ที่เขารอมันไม่มาอีกแล้ว

        “ไอ้วีร์ ทำใจดีๆนะ” วิธูเอื้อมมือไปจับไหล่ของวีร์ไว้ “พี่เขาจะอยู่กับเราได้อีกไม่นานแล้ว”

        “มึงพูดเล่นอะไรของมึงนิ ใช่เรื่องเออ” วีร์สะบัดมือของวิธูออก

        “กูไม่ได้พูดเล่น อาการพี่วีทรุดลงมาตลอดสักพักใหญ่แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าบอกมึงเพราะพี่วีขอไว้ว่าจะเป็นคนบอกเอง” วิธูจับไหล่ของวีร์อีกครั้ง “แต่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าพี่วีจะยังตื่นมาบอกมึงได้อีกมั้ย กูเลยคิดว่ามึงมีสิทธิ์ที่จะรู้ แล้วก็เตรียมใจไว้บ้าง”

       วีร์ส่ายหน้า เขายังไม่อาจยอมรับได้

        “เราลองหาหมอที่ใหม่ก็ได้ เผื่อว่าเขาจะมีทางรักษาวิธีอื่น”

        “ไอ้วีร์” วิธูเรียกสติของเพื่อนของเขาให้กลับมา “พี่วีเขายอมรับสภาพของเขาได้ มึงเองก็ต้องยอมรับให้ได้”

       วีร์นิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินดังนั้น เมื่อหันไปหาผู้ใหญ่ทั้งสองคนโดยหวังว่าจะมีคำพูดอะไรที่ดีกว่านี้ แต่ทั้งสองคนกลับมองมาด้วยแววตาเศร้าสร้อย ยิ่งเป็นการตอกย้ำความจริงของสิ่งที่วิธูเพิ่งจะบอกเขาว่าเขาต้องยอมรับความจริงอันแสนเจ็บปวดนี้แล้ว

       วีร์ก้มหน้าลงมองไปที่พื้น ริมฝีปากเม้มสนิท กรามที่สั่นเพราะออกแรงเกร็ง มือที่กำจนแน่น เป็นอาการที่บอกได้เป็นอย่างดีว่าเขากำลังพยายามกลั้นความรู้สึกให้เก็บไว้อยู่ข้างในไม่ให้ล้นออกมาก เหมือนเขื่อนที่พยายามฝืนกำลังมวลน้ำในคืนที่พายุฝนกำลังกระหน่ำที่กำลังถาโถมเข้ามาและไม่มีทีท่าจะหยุด

       วิธูเห็นดังนั้น จึงค่อยดึงวีร์ให้ไปนั่งพักที่เก้าอี้ใกล้ๆ พยายามลูบบ่าลูบหลังเพื่อปลอบใจเพื่อน ถึงแม้ว่าในใจของเขาเองก็กำลังอ่อนล้าอยู่เช่นกัน

        “เลื่ออีกชั๋วโมงเลื้อโด่ว หว่าอีทึ่งเวลาเหยียม”

       วีร์ได้แต่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น เหลืออีกชั่วโมงกว่าที่เขาจะปรับสภาพจิตใจให้กลับมาเป็นปกติ พร้อมที่จะเข้าไปเยี่ยมวีรดนย์ ไม่ว่าเขาจะตื่นมารับรู้หรือไม่ก็ตาม

*****

       จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานพอสมควรแล้ว ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวยังคงนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกกันเงียบๆ รอคอยผู้ที่เป็นแก้วตาดวงใจของพวกเขากลับมา รอที่จะอธิบายเรื่องราวทุกอย่างให้เขาเข้าใจ รอแก้ตัว รอยอมรับผิด และรอการให้อภัย

       ต่างฝ่ายต่างคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

       ในวันนี้ไม่ว่าใครวางแผนที่จะทำอะไรไว้ เป็นอันต้องยกเลิกไปทั้งหมด ธีร์ไม่ได้ออกไปซื้อของตามที่ตั้งใจไว้ วนกรเพียงแค่ต้องการมาบอกข่าวและขอคำปรึกษา ทั้งคู่กลับลงเอยด้วยการนั่งรออยู่ในบ้านตั้งแต่เช้าจนถึงเวลานี้

       แม้ว่าวีร์จะกลับช้าเลยเวลาไปจากปกติอยู่มาก และเขาก็ไม่ได้โทรศัพท์มาบอกธีร์เหมือนอย่างเคย แต่ธีร์เองก็ไม่กล้าโทรไปถามเหมือนกัน ครั้งจะโทรไปถามผ่านทางวิธูก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะยิ่งหงุดหงิด ธีร์รู้ดีว่าหากวีร์ยังไม่พร้อมที่จะคุย ไม่ว่าจะเป็นใครทำอะไรก็ไม่อาจโน้มน้าววีร์ได้ง่ายๆ เพราะเขาเลี้ยงเด็กคนนี้เองมากับมือ ดังนั้นจึงได้แต่รอ และรอ

       จนกระทั้งมีเสียงเปิดประตูรั้วดังขึ้น ทั้งธีร์และวนกรจึงรีบลุกขึ้นแล้วหันไปดูที่หน้าบ้าน ก็เห็นคนที่พวกเขากำลังรอมาตลอดทั้งวันกำลังเดินเข้ามา ทั้งสองคนจึงหันมายิ้มเล็กน้อยให้กัน แม้ว่าจะรู้สึกดีใจขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังรู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย ตลอดระยะเวลาที่พวกเขารอคอยมาทั้งวันยังให้ความรู้สึกเทียบไม่ได้เลยกับระยะเวลาที่เด็กหนุ่มเดินจากประตูรั้วเข้ามาถึงในบ้าน แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงสั้นๆแต่มันดูเหมือนจะยาวนานเสียเหลือเกิน

       วีร์พยายามประวิงเวลาที่จะทำอะไรก็ตามในวันนี้ไว้ให้นานที่สุด แม้ว่าจะหมดเวลาเยี่ยมวีรดนย์ไปแล้วก็ตาม พ่อและแม่ของวีรดนย์และวิธูอาสาจะพาวีร์มาส่งที่บ้านแต่เขาก็ปฏิเสธไป วีร์เลือกที่จะนั่งรออยู่ในหน้าหอผู้ป่วยวิกฤติอยู่คนเดียวต่อ จนถึงเวลาที่ต้องกลับจริงๆ วีร์ก็ก้าวเดินอย่างช้าๆจนกว่าจะถึงป้ายรถประจำทางหน้าโรงพยาบาล เมื่อรถที่จะผ่านหมู่บ้านเขามาถึง วีร์ก็ปล่อยให้รถคนนั้นผ่านไป ผ่านไปแล้วผ่านไปเล่าถึงสองสามคันกว่าที่วีร์จะตัดใจขึ้นรถมาได้ ถึงหมู่บ้านแล้วเขาก็เดินอย่างช้าๆ อยากให้เวลาหยุดอยู่ ณ ตอนนี้

       แต่รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อสีน้ำเงินเข้มที่ยังจอดอยู่หน้าบ้านของเขา ทำให้เวลาหมุนกลับมาเดินตามปกติดังเดิม

       เวลาที่ต้องเผชิญกับความจริง

       วีร์เดินเข้าไปถึงประตูหน้าบ้านก็เห็นทั้งธีร์และวนกรยืนรอเขาอยู่ ทั้งสองพยายามที่จะเอ่ยปากแต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา ด้วยเพราะแววตาของวีร์ที่ดูเศร้าสร้อย ไหล่ที่ห่อลงเล็กน้อย และท่าทางการเดินที่ดูเซื่องซึม ยิ่งปิดปากของทั้งสองคนไว้สนิทไม่ให้คำใดเล็ดลอดออกมาก

       จนวีร์เดินผ่านทั้งสองคนเข้าไปในบ้าน

        “วีร์” ธีร์รั้งตัวเขาไว้ด้วยคำพูด

       วีร์หยุดยืนนิ่ง แต่ยังคงหันหน้าไปทางอื่น

        “พี่วีเป็นไงบ้าง”

       คำถามของธีร์ทำให้วีร์เม้มปาก สายตามองขึ้นไปข้างบนและกระพริบตาถี่ขึ้นเล็กน้อย ท่าทางเช่นนั้นทำให้ธีร์รีบเปลี่ยนคำถามใหม่ในทันที

        “หิวมั้ย กินอะไรมาแล้วยัง”

       วีร์หันไปเห็นที่โต๊ะอาหาร ก็พบว่ามีมุ้งฝาชีครอบอาหารอยู่ ถึงจะมองเห็นไม่ชัดแต่ก็พอจะดูออกว่ามีอาหารหลายจานวางอยู่ใต้มุ้งฝาชีนั้น นั้นหมายถึงทั้งธีร์และวนกรต่างก็ยังไม่ได้กินอะไรและรอเขากลับมา

       วีร์ถอนหายใจและหันหน้าไปทางอื่น

        “ถ้ากินมาแล้วก็ไม่เป็นไร ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วพักผ่อนซะนะ วันนี้คงเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ธีร์จะเอื้อมมือไปจับบ่าของวีร์ แต่เขาก็ยั้งมือไว้ก่อน และมองดูเด็กหนุ่มเดินขึ้นบันไดไป

       ธีร์และวนกรหันมามองหน้ากัน ยิ้มให้กันเล็กน้อย ต่างฝ่ายต่างเห็นแววตาที่เศร้าสร้อยของกันและกัน

        “น้องวาจะกินอะไรก่อนมั้ย ตั้งแต่เช้ามาก็กินไปนิดเดียวเอง”

        “วากินอะไรไม่ลงแล้วพี่ธีร์”

        “แต่ตอนนี้น้องวาไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะ” วนกรได้ยินดังนั้นก็ยกมือขึ้นลูบท้องของตัวเอง “ต้องทำเพื่อลูกด้วย” ธีร์เข้าไปใกล้และวางมือของเขาลงไปบนบนมือของวนกร “ทั้งลูกที่อยู่ในท้อง และลูกที่อยู่ข้างบน”

       วนกรสูดหายใจลึกแล้วถอนออก ก่อนที่จะพยักหน้า

        “ไปกัน นิดหน่อยก็ยังดี”

       ธีร์จูงวนกรไปที่โต๊ะอาหาร ระหว่างทางเข้าเงยหน้ามองบันไดที่เชื่อมไปยังชั้นบนครู่หนึ่ง แล้วจึงบ่ายหน้าไปทางโต๊ะอาหารดังเดิม ในตอนนี้เขามีถึงสามชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ เขาต้องเป็นคนที่มีสติมากที่สุด เพื่อให้ครอบครัวเล็กๆของเขาที่กำลังเติบโตขึ้นสามารถผ่านปัญหาในตอนนี้ไปให้ได้



[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 12 ... 16 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 16-06-2021 01:59:33
       วีร์ยังคงไปเรียนตามปกติ แต่เพราะว่าเขากลับมาเงียบขรึมเหมือนที่เคยเป็นก่อนหน้า ทำให้เพื่อนๆคอยแวะเวียนมาถามไถ่แต่วีร์ก็บอกว่าไม่มีอะไรไม่ต้องเป็นห่วง แม้แต่กับแพรพรรณก็ตามวีร์ก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเลยสักนิด

       ในตอนเย็นของทุกวัน วีร์จะแวะไปที่โรงพยาบาลก่อนกลับบ้าน แม้จะไม่ได้เข้าเยี่ยมวีรดนย์แต่ก็ได้เห็นอยู่ไกลๆที่หน้าหอผู้ป่วยวิกฤติ ขอแค่ให้ได้รู้ว่าวีรดนย์มีสีหน้าที่ดีขึ้นเขาก็พอใจแล้ว

       แต่หากไม่เป็นเพราะนับตั้งแต่วีรดนย์ย้ายมาอยู่หอผู้ป่วยวิกฤติ ทุกวันที่วีร์เดินทางมาถึงโรงพยาบาลก็พบว่าวิธูกำลังนั่งอยู่ในหน้าห้อง เขายังไม่ได้เดินทางกลับเลยถึงแม้จะเป็นวันเรียนปกติแล้วก็ตาม หรือสองสามวันหลังนี้ที่พระยศขอตามมากับเขาด้วย โดยอ้างว่าจะมาหาแม่ของเขาที่โรงพยาบาลเพื่อที่จะได้กลับบ้านพร้อมกัน แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็นั่งอยู่กับเขาโดยตลอดจนถึงเวลาที่เขากลับ วีร์จะไม่รู้สึกเป็นกังวลอะไรเลย

       แต่วีร์ก็พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่คิดไปในทางร้าย แม้ว่าท่าทางที่เขากำลังแสดงออกไปให้คนอื่นๆเห็นจะไม่เป็นเช่นนั้น

        “นี่มึงอยากเรียนหมอเหรอ” วิธูที่นั่งข้างวีร์กำลังคุยกับพระยศที่นั่งข้างวีร์อีกฝั่งหนึ่ง

        “ก็อืม”

        “ทำไมถึงอยากเรียนหมอ”

        “ไม่รู้สิ เห็นที่แม่กูทำโน้นทำนี่แล้วอยากเป็นอย่างนั้นบ้างมั้ง”

        “แล้วที่บ้านมึงเป็นหมอกันหมดเหรอ”

        “เปล่า”

        “หือ?” วิธูชะโงกหน้าไปมองพระยศใกล้ๆอย่างสงสัย

        “พ่อกูเป็นตำรวจ พี่กูกำลังเรียนนายร้อยตำรวจ ส่วนน้องกูอยากเข้าเตรียมทหาร”

        “แล้วมึงไม่เอากับเขาด้วยเหรอ” วิธูกลับไปนั่งปกติตามเดิม

        “หึ ไม่เอาอะ” พระยศยักไหล่ตอบ “แต่ก็... คิดๆอยู่ว่าจะไปเรียนแพทย์ทหาร”

       วิธูพยักหน้ารับ

        “ไม่เหมือนบ้านนี้” วิธูชี้นิ้วมาทางวีร์ “พ่ออยู่ศึกษาธิการจังหวัด แม่เป็นครู พี่สาวจบบัญชี พี่ชายคนนึงจบวิศวะ อีกคนกำลังเรียนวิดยา แล้วมึงคิดจะเรียนอะไรนะ” เขาหันมาถามวีร์

       วีร์แค่ยักไหล่ ไม่ได้ตอบอะไร

        “เห็นมั้ยไปกันคนละทางเลย มึงไม่ต้องคิดมาก อยากเรียนอะไรก็เรียนไปเหอะ”

       พระยศพยักหน้ารับ

        “แล้วมึงอยากเรียนอะไร” พระยศหันไปถามวิธู

        “กูเหรอ” วิธูทำท่านึกอยู่ “กูไม่เก่งคำนวณ ท่องจำก็ไม่เอาอ่าว ภาษาก็ไม่ได้เรื่อง ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอะไรกิน”

        “แล้วมึงมีงานถนัดอะไรบ้างมั้ยละ” วิธูขมวดคิ้วนึกไปมา “อะไรก็ได้”

        “อืม กูก็พอเล่นเทนนิสไหวอยู่นะ แต่ก็สู้ไอ้เชี่ยนี้ไม่ได้อยู่ดี” วิธูบุ้ยหน้ามาทางวีร์

        “ห๊ะ จริงอะ” พระยศหันมาหาวีร์ สองคิ้วขมวดเข้าหากันพร้อมกับดวงตาที่หรี่ลง มองดูเพื่อนของเขาด้วยความสงสัย “แล้วไมมึงไม่ลงเทนนิส เห็นมึงไปลงแข่งแบตอยู่”

        “กูก็บอกมันอยู่”

       วีร์ยังคงนั่งเงียบไม่ได้โต้ตอบอะไร

        “มันเล่นเก่งก็จริง แต่มันเป็นพวกตื่นสนาม” มุมปากของวีร์กระตุกเล็กน้อยจนวิธูสังเกตได้ “ไม่กลัวก็ไม่กลัวดิ โด่... แต่มันไม่ชอบลงแข่ง พอเริ่มแข่งแล้วเกิดอยากจะเดินออกจากสนามทันที ไม่รู้เป็นไร”

       วิธูยังคงสนุกสนานกับการเล่าเรื่องราวเก่าๆของเพื่อนเขาต่อไป

        “แล้วมันก็นะ ชอบดูหนัง แต่ไม่ค่อยชอบนั่งในโรงหนัง หนังฉายไปไม่ถึงห้านาทีอยากจะลุกเดินออกซะงั้น”

        “เหรอ เป็นเอามากว่ะ” พระยศหัวเราะเล็กน้อย “งั้นก็รอเช่าหรือซื้อแผ่นมาดูที่บ้านก็ได้มั้ง”

        “ถึงจะดูที่บ้าน ดูได้แป๊บๆมันก็กดพอส แล้วไปทำโน้นทำนี้แล้วค่อยมาดูต่อ เอากับมันสิ”

       พระยศหันตัวมาหาวีร์

        “ไปหาหมอมั้ยมึง” วีร์ขมวดคิ้วหันมามองตอบกลับ “เดี๋ยวให้แม่กูติดต่อให้” วีร์ทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจ “เผื่อว่าเป็นสมาธิสั้น รักษาแต่เนิ่นๆ หายขาดได้”

        “ตั้งใจเรียนเตรียมตัวไปเรียนหมอของมึงต่อไป” วีร์เอ่ยปากพูดกับเพื่อนๆเป็นครั้งแรกของวันนี้

       ทั้งวิธูและพระยศก็พยักหน้ารับโดยไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรนอกจากแค่มองตากัน ความพยายามในสองสามวันนี้ของพวกเขาดูเหมือนจะสำเร็จบ้างแล้วแม้เพียงน้อยนิดแต่ก็เริ่มเห็นเค้าลางที่ดีแล้ว แต่กระนั้นพวกเขาทั้งสองก็ไม่แน่ใจว่ามันจะทันการณ์หรือไม่

       ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ ทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง ก็เห็นสองพี่น้องขาวตี๋ขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ของโรงเรียนกำลังเดินมา คนน้องยิ้มมาแต่ไกล ส่วนคนพี่มีสีหน้านิ่งเฉยกว่าสักหน่อย

        “โอ๊ะ! คู่แฝดกูมาด้วย” แม้โดยคุณลักษณะภายนอกทุกอย่างจะตรงกันข้าม แต่วิธูก็ถือเอาว่าศศิทัศน์เป็นเพื่อนคู่แฝดของวีร์ไปแล้ว เหมือนกับที่แฟนสาวของเขาอย่างแพรไหมจับคู่กับแพรพรรณ “เฮีย หวัดดีครับ” วิธูเอ่ยทักทายวีรมาตุหลังจากที่พยักหน้าทักทายศศิทัศน์ ส่วนวีรมาตุยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้ารับเป็นการทักทายตอบกลับ แล้วเขาก็หันไปมองด้านในของหอผู้ป่วยวิกฤติ ตรงเตียงหมายเลข 3 ที่มีคนที่เขาจำได้เป็นอย่างดีกำลังนอนหลับไม่ได้สติและมีสายระโยงระยางรายรอบตัวเต็มไปหมด

        “โน้น พ่อกับแม่กู นั่งอยู่โน้น” วิธูแนะนำพ่อแม่ของเขาที่นั่งห่างออกไปสักหน่อย ผู้ใหญ่ทั้งสองคนก็ตอบรับไหว้ของวีรมาตุและศศิทัศน์

       วีร์มองทั้งสองคนที่มาใหม่ด้วยความสงสัยจนเจ้าตัวต้องรีบพูดออกมา

        “ไอ้บิ๊ก กูเอานี่มาให้” ศศิทัศน์เปิดกระเป๋านักเรียนแล้วหยิบกระดาษชุดหนึ่งออกมา “อาจารย์ชัยวัฒน์ฝากมาให้มึง เผื่อว่ามึงสนใจ มึงก็ไม่น่ารีบออกมาเลย อาจารย์เขาอยากคุยกะมึงด้วย”

       พระยศรับเอกสารจากศศิทัศน์มาดูก็พบว่าเป็นใบสอบเข้าโครงการแข่งขันคณิตศาสตร์ซึ่งพระยศไม่ได้ตั้งใจจะเข้าร่วมแต่แรกอยู่แล้ว จึงพับเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองไปโดยไม่ได้อ่านรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม

        “อ่านแล้วก็ตัดสินใจด้วย พรุ่งนี้” ศศิทัศน์ย้ำคำขาดของอาจารย์ที่ฝากเขามา

        “ทำยังกะมึงอยากจะเข้าโครงการอย่างนั้นแหละ”

       ศศิทัศน์มีสีหน้าแบบไม่แยแสอะไร เพราะเขาเองก็ไม่ได้คิดจะเข้าร่วมโครงการด้วยเช่นกัน เพียงแต่ว่าอาจจะมีใจอ่อนลงบ้างเพราะลูกตื้อของอาจารย์

        “แล้ว... พี่มึงคนไหนวะ” ศศิทัศน์หันไปถามวิธู

        “เตียง 3” วิธูตอบพร้อมกับบุ้ยหน้าไปทางห้องผู้ป่วย

       เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่ใครจะได้ขยับตัวไปไหนหรือทำอะไรต่อ ก็มีพยาบาลหลายคนรีบวิ่งกรูไปที่เตียงผู้ป่วยหมายเลข 3 ที่ว่านั้น แต่ละคนเข้าประจำที่ในจุดต่างๆที่พวกเขาได้ร่ำเรียนและฝึกฝนมาเป็นอย่างดี คนหนึ่งรีบตรวจดูหน้าจอที่แสดงผลอัตราการเต้นของหัวใจ อีกคนหนึ่งตรวจดูเครื่องช่วยหายใจว่ามีความผิดปกติหรือไม่ คนอื่นๆตรวจตามร่างกายตามจุดต่างๆ และก็มีคนรีบวิ่งกลับไปที่ห้องควบคุมส่วนกลางและเข็นรถอุปกรณ์กลับไปยังที่เตียงหมายเลข 3  ก่อนที่ม่านจะถูกดึงปิดล้อมเตียง

       ในช่วงวินาทีนั้นที่หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายพร้อมๆกัน คนที่นั่งอยู่หน้าห้องทำได้แค่เพียงลุกขึ้นไปยืนอยู่ใกล้ๆกระจกใสบานใหญ่ที่กั้นระหว่างผู้ป่วยและโลกภายนอก สองสามีภรรยาต่างกุมมือของกันและกันไว้ ฝ่ายสามีทั้งกุมมือภรรยาไว้ในมือข้างหนึ่งส่วนมืออีกข้างหนึ่งกำลังโอบอุ้มทั้งร่างกายและจิตใจของผู้เป็นคู่ชีวิต เด็กหนุ่มทั้งห้าคนก็ลุกขึ้นไปยืนอยู่ใกล้ๆ มองดูพยาบาลที่วิ่งเข้าออกระหว่างห้องควบคุมกลางกับเตียงผู้ป่วยที่ถูกม่านปิดอยู่

       ม่านที่แง้มออกเมื่อพยาบาลวิ่งเข้าออกทำให้เห็นเสื้อของผู้ป่วยที่ถูกเปิดออกและเหล่าพยาบาลกำลังติดเครื่องมือบางอย่างลงบนลำตัวของเขา ก่อนที่ม่านจะปิดสนิทอีกครั้ง

       หลังจากนั้นไม่นานนักทีมแพทย์สองสามคนเดินมาอย่างเร่งรีบจนถึงที่หน้าประตูหอผู้ป่วยวิกฤติ

        “แม่ครับ”

       เสียงเรียกทำให้หนึ่งในทีมแพทย์หันมาบุคคลที่เรียกเธอ เธอยิ้มให้ ก่อนที่รีบเดินตามเข้าไปข้างใน

       เนื่องจากบริเวณนี้ไม่ได้อยู่ในส่วนที่จะมีคนเดินผ่านไปมาอยู่แล้ว จึงทำให้เงียบสงบและเป็นผลดีต่อผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไร้การรบกวนจากภายนอกเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่ ณ เวลานี้ แม้แต่เสียงหายใจก็แทบจะไม่ได้ยิน จะมีเพียงก็แต่เสียงของหัวใจที่เต้นรัวระทึกในโสตประสาทของแต่ละคน

       เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ม่านก็ยังคงปิดอยู่ พยาบาลหลายคนยังคงวิ่งเข้าออกไม่หยุด มีแพทย์สองคนออกมาคุยปรึกษากันบางอย่างก่อนที่คนหนึ่งจะกลับเข้าไปที่เตียงผู้ป่วย ส่วนอีกคนเดินไปที่ห้องควบคุมกลางเพื่อโทรศัพท์ ไม่นานนักมีพยาบาลคนหนึ่งเข็นรถอุปกรณ์กลับไปยังที่ห้องควบคุมกลาง ส่วนพยาบาลคนอื่นๆก็ค่อยๆทยอยเดินออกมา แต่ผ้าม่านยังคงปิดอยู่เช่นเดิม

       แพทย์ที่ออกไปโทรศัพท์เดินกลับไปที่เตียงและเรียกแพทย์หญิงคนหนึ่งออกมาพูดคุยอยู่ไม่นาน แพทย์คนนั้นก็พยักหน้ารับก่อนจะหันมามองเหล่าผู้คนที่กำลังยืนรออยู่ด้านนอก แล้วเธอก็เดินออกมาจากห้องผู้ป่วยตรงไปที่สองสามีภรรยาต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันและกัน

        “หมอเสียใจด้วยนะคะ”

       ฝ่ายภรรยารีบโผเข้ากอดฝ่ายสามี แม้ว่าเธอจะเตรียมใจมาบ้างแล้วแต่ตอนนี้เธอห้ามความเสียใจของตัวเองไว้ไม่อยู่จริงๆ ส่วนวิธูยืนอยู่นิ่งไม่ไหวติงเมื่อได้ยินจากปากของแพทย์ โดยมีน้ำตาคลออยู่ในเบ้าพร้อมที่จะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ พระยศจึงตบบ่าวิธูเบาๆเพื่อให้กำลังใจ

        “ไม่เป็นไรครับ เรารู้ว่าหมอทำเต็มที่แล้ว” ผู้เป็นสามีจึงเอ่ยปากแทน แม้ว่าเขาเองก็เสียใจอยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้เขาต้องเป็นหลักยึดให้กับคู่ชีวิตและลูกชายที่ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งคน

        “หมอขอโทษด้วยนะคะ” กาญจนายังคงแสดงความเสียใจต่อผู้เป็นบิดาและมารดาของคนไข้ที่เธอดูแลมานานร่วมปี “ส่วนเรื่องร่างของผู้เสียชีวิต เดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มาดำเนินการเรื่องเอกสารเพื่อขอรับบริจาคเพื่อการศึกษาต่อไป”

        “ได้ครับ”

       กาญจนาตอบขอบคุณแล้วก็หันไปมองเด็กหนุ่มทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ เธอยิ้มให้กับพระยศก่อนที่ผละเดินออกไปพร้อมกับทีมแพทย์คนอื่นๆ

        “บริจาคร่างเหรอ” วีรมาตุหันมาถามวิธู

        “ใช่ครับ เห็นพ่อกับแม่บอกว่าหมอมาขอไว้สักพักใหญ่แล้ว และพี่วีก็ตอบตกลง เห็นบอกว่าพี่วีอยากให้หมอหาวิธีรักษาให้ได้ ถึงไม่ใช่กับเขาแต่ก็ได้กับคนอื่นก็ยังดี” วิธูตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือ เขายังสามารถกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้

        “เดี๋ยว!” เสียงของศศิทัศน์ดังขึ้นมา จนทุกคนหันมามอง “ไอ้วีร์หายไปไหน เมื่อกี้มันยังยืนอยู่ตรงนี้อยู่เลย”

       แต่ละคนต่างมองซ้ายมองขวาสลับไปมา ก็ไม่เจอคนๆนั้น แม้แต่แม่ของวิธูเองที่ยังเสียใจถึงกับหยุดร้องไห้และหันมองดูรอบๆด้วยความตกใจ

        “มันไม่ได้คิดอะไรแผลงๆใช่มั้ย”

       คำพูดของศศิทัศน์ทำให้ทุกคนแยกย้ายเดินตามหาไปทั่วบริเวณนั้น แต่ไม่ว่าซอกมุมไหนก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ ทุกคนจึงกลับมารวมตัวกัน

        “โอเค ทุกคนแยกย้ายกันไปหาที่ต่างๆที่คิดว่าไอ้วีร์น่าจะไป” พระยศพยายามตั้งสติทั้งของตัวเองและคนอื่นๆ “เดี๋ยวกูวิ่งไปดูที่หน้าโรง’บาล เผื่อมันไปที่ป้ายรอรถ”

        “เดี๋ยวกูลงไปดูที่แถวๆคลินิกชั้นหนึ่ง” ศศิทัศน์เอ่ยเป็นคนต่อมา ก่อนที่จะหันไปถามวิธู “มึงรู้จักตึกโรงอาหารที่นี่มั้ย” วิธูพยักหน้ารับ “โอเค งั้นมึงไปดูแถวนั้น มันน่าจะไปไม่ไกลกว่านี้ นอกจากจะออกโรงพยาบาลไปแล้ว”

       พระยศได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งออกไปในทันที

        “ส่วนเฮีย...” ศศิทัศน์หันมาหาพี่ชายของเขา แต่ก็พบกับความว่างเปล่า “ไปไหนแล้ววะ เอ่อ... ช่างก่อน ไปหาไอ้วีร์ก่อนไป” เขาและวิธูก็รีบออกไปเช่นกัน ทิ้งให้ผู้ใหญ่สองคนยืนรออยู่ที่หน้าหอผู้ป่วยวิกฤติตามเดิม

*****

        “แล้วก็... มีอีกเรื่องที่เราอยากจะให้นายรักษาสัญญาไว้” คนที่นอนอยู่บนเตียงหันมาบอกกับเขา

        “อืมม ได้สิ” วีรมาตุตอบรับ

        “เมื่อวันนั้นมาถึง...”

        “อย่าพูดเป็นลางอย่างนั้นสิ” วีรมาตุรีบขัดซะก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ

        “วันนั้นมันมาถึงแน่ๆ อีกไม่นานนี้แล้ว” วีรดนย์ยิ้มรับกับสภาพของตัวเอง “เราอยากจะให้นายสัญญา ว่าจะตามหาน้องให้เจอ”

        “หมายความว่ายังไง” วีรมาตุถามกลับด้วยความไม่แน่ใจ

        “เราไม่คิดว่าน้องจะคิดสั้น” วีรดนย์รีบหยุดความสงสัยของวีรมาตุไว้ก่อน “น้องคงจะหนีไปอยู่คนเดียวเงียบๆ แต่น้องอาจจะเป็นอันตรายเพราะความเหม่อลอยได้ รีบตามหาน้องให้เจอเป็นดีที่สุด”

        “แล้วจะให้เราไปหาน้องเจอได้ที่ไหน”

        “คงไม่ไกลจากแถวนี้หรอก เราก็ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่เคยได้ออกไปไหนเลยตั้งแต่ขอส่งตัวมา” วีรดนย์มองดูสีหน้าครุ่นคิดของวีรมาตุ “สักที่นึงที่โล่งๆ เพราะน้องไม่ชอบที่แคบ และไม่มีคนพลุกพล่าน ไม่มีคนเลยได้ยิ่งดี”

       วีรมาตุพยักหน้ารับ

        “นายต้องนึกให้ออกนะ แล้วหาน้องให้เจอ”


*****

       วีรมาตุนึกไปถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับวีรดนย์ เมื่อคราวที่วีรดนย์นัดเขามาเจอกันที่โรงพยาบาล ในตอนนั้นวีรดนย์ยังคงพักอยู่ที่หออภิบาลผู้ป่วยปลอดเชื้อ ในขณะที่เขากำลังวิ่งไปตามที่ต่างๆไปทั่วตามที่วีรดนย์บอกไว้ ที่โล่งๆแต่ไม่มีคน วีรมาตุพยายามมองหาและนึกว่ามีสถานที่ไหนที่พอจะเป็นไปได้บ้าง

       เขาวิ่งไปมาจนเหนื่อยหอบจนต้องหยุดพักแล้วยกมือขึ้นเท้าสะเอวและเงยหน้าขึ้นเพื่อพยายามสร้างช่องว่างให้ปอดมีพื้นที่ขยายตัวให้ได้มากที่สุด เขาสูดอากาศเข้าไปลึกๆอยู่หายครั้งเพื่อที่จะได้มีแรงวิ่งหาต่อ พลันสายตามองขึ้นไกลจนถึงยอดตึกของโรงพยาบาล แล้วความคิดหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัว

        ‘เราไม่คิดว่าน้องจะคิดสั้น’

        “ไม่คิดสั้น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ขึ้นไปบนนั้น”

       ว่าแล้ววีรมาตุก็ตัดสินใจวิ่งไปที่ลิฟต์โดยสารและตรงขึ้นไปชั้นสูงสุดของตึกโรงพยาบาล ชั้นดาดฟ้าเป็นที่โล่งเพราะมองไปได้ไกลสุดขอบสายตา ไม่มีคนเพราะแทบจะไม่มีใครสนใจขึ้นมาบริเวณนี้กันอยู่แล้ว เมื่อเขาขึ้นมาถึงชั้นสูงสุดที่ลิฟต์โดยสารจะพาขึ้นมาได้ เขายังต้องวิ่งขึ้นบันไดไปอีกชั้นครึ่งถึงจะเป็นชั้นที่มีประตูออกไปยังลานดาดฟ้าของตึก

       วีรมาตุพยายามสงบสติอารมณ์ หายใจเข้าออกลึกๆอยู่หลายครั้งก่อนที่จะเปิดประตูออกไป และพบว่าเป็นที่ๆเขาคิดไว้ไม่ผิดจริงๆ เป็นลานโล่งถึงจะไม่กว้างมากนักแต่ก็ไม่มีตึกใดสูงเท่าตึกนี้ในระยะใกล้ๆ และไม่มีคนพลุกพล่านอยู่บนนี้เลย... สักคน

       ไม่มีใครอยู่เลยสักคน

       วีรมาตุถอนหายใจด้วยความผิดหวัง พยายามนึกถึงที่ต่อไปที่เขาจะต้องไปหา เขาจึงเดินไปที่ขอบกำแพงฝั่งหนึ่ง เมื่อมองลงไปก็เห็นชั้นดาดฟ้าของอีกตึกที่ถูกดัดแปลงให้เป็นสวนหย่อมขนาดย่อมๆให้คนขึ้นมาพักผ่อนได้ แม้ว่าจะเป็นที่โล่งแต่ในตอนนี้ยังมีคนอื่นๆใช้บริการอยู่ วีรมาตุจึงถอนหายใจอีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจหันกลับเพื่อลงไปชั้นล่าง

       พลันสายตาหันไปเห็นขาข้างหนึ่งที่ใส่ถุงเท้าขาวยาวครึ่งน่องและรองเท้าผ้าใบสีดำตามระเบียบของโรงเรียนนั่งอยู่ที่พื้นหลบมุมทางเข้าออกประตูดาดฟ้าอยู่

       วีรมาตุรู้สึกหายใจโล่งขึ้นมาในทันที

       เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วส่งข้อความไปหาน้องชายของเขาว่าเขาเจอวีร์แล้ว

*****

        “ถ้าหาเจอแล้วให้ทำอะไรต่อ”

        “ไม่ต้องทำอะไร”

       วีรมาตุมองดูสีหน้ายิ้มอย่างมีความสุขของวีรดนย์

        “ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ”

        “ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องพูด ไม่ต้องปลอบใจ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแค่อยู่ใกล้ๆก็พอ แค่ให้น้องรู้ว่ามีนายอยู่ใกล้ๆ น้องกำลังมองอะไรนายก็มองอันนั้น น้องกำลังฟังอะไรนายก็ฟังอันนั้น น้องอยู่คนเดียวเงียบๆนายก็อยู่เงียบๆไว้”


****

          วีรมาตุเดินอ้อมมุมผนังด้านข้างของประตูดาดฟ้า เขาเห็นวีร์นั่งชันเข่าพิงผนังอยู่กับพื้น สายตามองตรงไปข้างหน้าแต่แววตาล่องลอยไปไกล สีหน้าเรียบเฉย ไม่มีรอยยิ้มและไม่มีน้ำตา

       วีรมาตุนั่งลงข้างๆวีร์ ชันเข่าข้างหนึ่งที่ติดกับฝั่งของวีร์ส่วนอีกข้างยืนขาตรงไปข้างหน้า สายตามองดูท้องฟ้าที่กำลังถูกฉายไปด้วยสีส้มอมเหลืองอมแดงไปทั่ว มีเมฆบางๆพรางดวงอาทิตย์ที่กำลังใกล้ลาลับไปในอีกไม่กี่นาที ลมเย็นๆพัดเอื่อยมาอยู่เรื่อยๆ ไม่นานนักก็เริ่มเห็นแสงดาวประจำเมืองและหลอดไฟตามมุมตึกก็ติดขึ้นมาเวลาที่ได้ตั้งอัตโนมัติ จนท้องฟ้าก็เริ่มไล่เฉดสีใหม่พร้อมกับแต่งแต้มด้วยดาวระยิบระยับให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ

*****

        “แล้วยังไงต่อ”

        “น้องพร้อมเมื่อไหร่นายจะรู้เอง”


*****

       วีรมาตุนั่งมองภาพตรงหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ บ่งบอกเวลาที่เดินไปอย่างต่อเนื่องและไม่มีวันไหลกลับ ความเหนื่อยล้าจากที่ต้องวิ่งไปมาก่อนหน้านั้นได้หายไปบ้างแล้ว จะบอกว่าเขาสบายใจขึ้นก็ไม่เชิงนัก เพราะเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร อย่างน้อยก็กับคนที่อยู่ข้างๆเขา

       เวลาผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ไม่มีใครได้ทันใส่ใจจะรับรู้

       วีรมาตุรู้สึกได้ถึงแรงกดเบาที่บ่าข้างหนึ่งของเขาพร้อมกับความรู้สึกอ่อนนุ่มของเส้นผมที่ใบหูข้างเดียวกันนั้น เขาลอบมองด้วยหางตาไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังซบศีรษะลงบนบ่าของเขา แล้วเขาก็ย้ายสายตากลับไปมองภาพตรงหน้าตามเดิม

       ดวงอาทิตย์ได้ลาลับไปแล้ว แม้ว่าพอถึงเวลารุ่งเช้าเราจะได้มันเห็นอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็เป็นดวงอาทิตย์ของวันใหม่ วันเวลาที่ผ่านไปแล้วจะไม่หวนคืนกลับมาอีก




[โปรดติดตามตอนต่อไป]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 12 ... 16 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 16-06-2021 07:14:40
 :hao5: :sad11:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 12 ... 16 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 17-06-2021 11:56:18
ชอบบทบรรยายตอนนี้ครับ
แทนความรู้สึกได้ดี
แต่ช่วงบอกว่าแฝดมา เขียนชื่อสลับหรือเปล่าครับ
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 12 ... 16 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 19-06-2021 23:56:38
ชอบบทบรรยายตอนนี้ครับ
แทนความรู้สึกได้ดี
แต่ช่วงบอกว่าแฝดมา เขียนชื่อสลับหรือเปล่าครับ
ชื่อถูกแล้วครับ แต่อาจจะต้องเรียบเรียงประโยคใหม่ให้มีความหมายชัดเจนมากกว่านี้



แล้วก็แวะมาชวนฟังเพลงเพราะๆ ก่อนจะอ่านตอนต่อไป

a1 - Tomorrow
จากอัลบั้ม The A list (2000)

Apple Music (https://music.apple.com/gb/album/tomorrow/298159893?i=298159949) ..... Spotify (https://open.spotify.com/album/5QLf9R6hnPkFFlKsv1VrR1?highlight=spotify:track:5dYG8DH2ZbxnhH2ehu5MyD) ..... Youtube (https://www.youtube.com/watch?v=yRKSJjdlvZg) ..... Joox (https://www.joox.com/th/single/lV3ycWqEmw7pD591c39BCA==?utm_source=google&utm_medium=organic&utm_campaign=Knowledge_Panel&utm_content=Tomorrow)
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 12 ... 16 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-06-2021 09:44:52
โอยยย เข้ามาพร้อมกันอะไรขนาดน้านนน!!
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 13 ... 24 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 24-06-2021 00:28:37
ตอนที่ 13 ก่อนจะถึงวันพรุ่งนี้

       นับตั้งแต่ตอนที่วีรมาตุ และเพื่อนๆของวีร์พาวีร์กลับมาส่งที่บ้าน วีร์ก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนอนไม่ยอมออกไปไหน ถึงจะเบาใจได้อยู่บ้างเพราะอย่างน้อยวีร์ก็กินอาหารตามมื้อเวลาที่ธีร์เอาขึ้นไปให้ แต่กระนั้นจะบอกว่ากินมันก็เหมือนไม่ได้กิน ขนาดแมวดมยังให้ความรู้สึกว่าอิ่มท้องมากกว่าเสียอีก ทำให้ธีร์เป็นกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะเขารู้ว่าวีร์ไม่ได้มีเรื่องกลัดกลุ้มอยู่ในใจเพียงแค่เรื่องเดียว

       แรกเริ่มเดิมทีธีร์คิดไว้ว่าเขาและวนกรจะหาเวลามาเปิดอกพูดคุยกับวีร์ อธิบายเรื่องราวต่างๆให้วีร์เข้าใจโดยละเอียด แล้วจากนั้นเขาก็จะเข้าไปที่บ้านของวนกรไปพูดคุยกับพ่อและแม่ของวนกร ไปขอโทษและยอมรับผิดสิ่งที่เขาทำไว้ในอดีต และขอโอกาสให้เขาได้แก้ไขสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

       แต่เพราะการเสียชีวิตของวีรดนย์ทำให้ทุกอย่างต้องเลื่อนออกไปก่อนจนกว่าสภาพจิตใจของวีร์จะดีขึ้น

       ธีร์ได้พยายามทำทุกวิถีทางก็ยังไม่สามารถดึงวีร์ออกมาจากความเศร้าได้จนเขาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรแล้ว วนกรเองก็แวะเวียนมาที่บ้านบ่อยๆ ถึงแม้ว่าเธอจะยืนเฝ้าดูอยู่แค่ที่หน้าประตูห้องไม่ได้เข้าไปรบกวนวีร์แต่อย่างใด เพราะเธอก็ไม่แน่ใจว่าสำหรับวีร์ในตอนนี้เธอคือแม่ของเขาหรือเป็นเพียงพี่วาคนหนึ่งเท่านั้น หนทางที่จะทำให้วีร์กลับมาสดใสดังเดิมก็ถูกตัดทิ้งออกไปเรื่อยๆ จนในที่สุดธีร์ก็ได้ตัดสินใจไหว้วานไปยังสาวน้อยที่อาศัยอยู่ข้างบ้านเก่าให้รีบขึ้นมาปฏิบัติภาระสำคัญโดยด่วน

       เมื่อแพรไหมมาถึงก็เข้าไปนั่งอยู่ที่พื้นข้างๆเตียงนอนกับวีร์อยู่ตลอดทั้งวัน พยายามชวนคุย พยายามชวนกิน พยายามชวนเล่นไปเรื่อยๆจนถึงเวลาที่ร่างกายอ่อนล้าและต้องการนอนพักผ่อนแบบไม่อาจฝืนต่อไปได้ วีร์ก็นั่งหลับอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับตัวไปไหนเพียงแค่เอนศีรษะลงไปซบบนขอบเตียง แม้ว่าแพรไหมเอ่ยชวนให้วีร์ขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เธอจึงได้แต่ดึงผ้าห่มลงมาคลุมไว้ให้

       เช้าตรู่วันต่อมา เมื่อแพรไหมเปิดประตูห้องนอนวีร์เข้าไปดูก็เห็นวีร์กลับมานั่งอยู่ท่าเดิมเหมือนเมื่อวานก่อนอยู่แล้ว เธอไม่แน่ใจว่าวีร์ตื่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่และได้หลับเพียงพอหรือไม่ แพรไหมได้แต่ทอดถอนหายใจ พลันสายตาหันไปเห็นนาฬิกาบอกเวลา ชั่วพริบตานั้นเธอก็รีบตัดสินใจรีบวิ่งออกจากบ้านไปในทันที จุดหมายคือบ้านอีกสี่หลังถัดไป เธอภาวนาให้คนๆนั้นยังอยู่

       คำขอพรของแพรไหมสัมฤทธิ์ผล เมื่อเรียกชื่อคนที่เธอต้องการเจอที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งที่อยู่ในชุดนักเรียนก็โผล่ออกมาดูอย่างเร่งรีบ คำทักทายเกิดขึ้นเพียงสั้นๆ

        “ทำไมแพรมาอยู่นี่ได้อะ” แพรพรรณเอ่ยถามทันทีที่เธอวิ่งมาถึงประตูรั้วหน้าบ้าน

        “เรามาถึงเมื่อวาน เราขึ้นมาดูวีร์” แพรไหมตอบกลับ

        “หือ วีร์เป็นอะไร ไม่เห็นวีร์ไปโรงเรียนมาสองสามวันแล้ว นี่เราก็ว่าจะแวะไปดูวีร์อยู่เหมือนกัน ไลน์ไปก็ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่รับสาย”

        “แพรยังไม่รู้เรื่องเหรอ” แพรไหมมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย

        “เรื่องอะไร ไม่เห็นมีใครบอกอะไรเลย” แพรพรรณก็มีสีหน้างุนงงตอบกลับมาไม่ต่างกัน

       แพรไหมเม้มปากเข้าหากัน ชั่งใจอยู่ว่าเธอจะทำตามวิธีเดิมที่คิดไว้ หรือจะเปลี่ยนใจไม่บอกแพรพรรณเพื่อไม่ให้มีคนต้องมากังวลใจเพิ่มอีกคน

        “วีร์เป็นอะไร” แพรพรรณมีน้ำเสียงที่ตกใจขึ้นเมื่อห็นท่าทีของแพรไหมที่เปลี่ยนไป

        “เอ่อ... แพรรู้เรื่องแฟนของวีร์แล้วรึเปล่า”

        “ก็พอรู้อยู่บ้างว่าแฟนของวีร์ไม่สบาย วีร์ไปเยี่ยมอยู่บ่อยๆ”

       แพรไหมหยักหน้ารับก่อนที่จะพูดต่อไป

        “พี่เขาเพิ่งจะเสียไปเมื่อสัปดาห์ก่อน”

        “ห๊า!”

        “ตอนนี้วีร์ก็เลยซึมมาก ไม่ยอมพูดกับใครแล้วก็ไม่ยอมกินอะไรเท่าไหร่มาหลายวันแล้ว เรากลัวว่าวีร์จะเป็นอะไรไปอีกคน”

        “แล้วมีใครรู้เรื่องนี้แล้วบ้าง พี่วีรู้เรื่องนี้แล้วยัง” แพรพรรณรีบสอบถามอย่างใจร้อน

        “พี่วี?” แพรไหมทำหน้าสงสัย

        “พี่ชายของต่าย” แพรพรรณจึงอธิบายเพิ่มแต่แพรไหมก็ยังทำหน้างง จนแพรพรรณกำมือขึ้นแน่นๆพยายามคิดหาคำอธิบายที่ชัดเจน “เราหมายถึงเฮียวีที่เป็นพี่ชายของต่ายที่เป็นเพื่อนเราน่ะ”

        “อ๋อ” แพรไหมลากเสียงยาวคลายความงุนงง “เหมือนว่าพวกพี่วี ต่าย แล้วก็ใครอีกคนนะที่สูงๆขาวๆหน่อย”

        “บิ๊กเหรอ” แพรพรรณพยายามนึกไปถึงกลุ่มเพื่อนของวีร์

        “ใช่ๆ คนที่เป็นลูกหมอน่ะ”

        “งั้นก็บิ๊กนั่นแหละ”

        “นั่นแหละ พวกนั้นอยู่ในเหตุการณ์ด้วย”

       แพรพรรณพยักหน้ารับรู้

        “แพร วันนี้หยุดเรียนได้มั้ย” ในที่สุดแพรไหมก็ติดสินใจเอ่ยปากขอสิ่งที่เธอคิดไว้แต่แรก

        “เอ่อ คือ...” แพรพรรณหันกลับไปมองข้างในบ้านสลับไปมา เธอคิดว่าเธอเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายแต่ยังติดปัญหาอยู่ที่พ่อของเธอ “งั้นแพรรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวเราลองไปขอพ่อดูก่อน แป๊บนึง” แล้วแพรพรรณก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน หายไปอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะวิ่งกลับออกมา “ไปแพร พ่อไม่ว่าอะไร”

       แพรพรรณและแพรไหมต่างยิ้มอย่างดีใจให้กันและออกเดินไปยังบ้านของวีร์

       ภารกิจในวันนี้จึงไม่ต่างจากเมื่อวานมากนัก เว้นแต่ว่าฝั่งหนึ่งคือแพรไหมส่วนอีกฝั่งหนึ่งคือแพรพรรณที่นั่งอยู่ข้างๆวีร์ สองสาวต่างสรรหาเรื่องราวต่างๆมาพูดคุย พยายามชวนวีร์กินมื้อเช้าที่ธีร์เตรียมไว้ให้เผื่อทั้งสองคนด้วย ระหว่างนั้นก็เล่าเรื่องราวต่างๆของกันและกัน ทั้งแพรพรรณและแพรไหมไม่ได้จะพยายามจะดึงวีร์เข้าร่วมการสนทนา ไม่ได้คุยโวกแวกเสียงดังให้วีร์รำคาญใจ แต่ละหัวข้อที่พูดคุยเป็นเรื่องทั่วๆไป จนถึงเวลามื้ออาหารกลางวันซึ่งธีร์ก็ได้จัดเตรียมทิ้งไว้ก่อนออกไปทำงาน เหลือเพียงแค่อุ่นร้อนก่อนจะกินเท่านั้น ในช่วงบ่ายทั้งสองสาวก็พูดคุยเรื่องราวจิปาถะกันต่อเรื่อยไปจนถึงเวลาพระอาทิตย์ลาลับของฟ้า

       วีร์ยังคงนิ่งเงียบไม่ยอมพูดคุยกับใคร แม้แต่ตอนที่วีรมาตุและศศิทัศน์ที่แวะมาหาด้วยเช่นกัน

       หลังจากที่สองสาวได้คะยั้นคะยอให้วีร์ยอมกินอาหารเย็น แม้ว่าจะไม่หมดจานแต่ก็ได้มากกว่าวันก่อนหน้านั้น ทั้งคู่มองดูวีร์ที่ขยับตัวขึ้นไปนอนบนเตียง กอดหมอนข้างและหันหลังให้ทั้งสองคน แพรไหมและแพรพรรณก็ยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนที่จะช่วยกันห่มผ้าให้วีร์ จัดเก็บข้าวของต่างๆให้เข้าที่และยกถาดอาหารออกไปจากห้อง โดยไม่ลืมปิดไฟก่อนออกไปเพราะเห็นว่าวีร์หลับตาลงแล้ว

       แพรไหมและแพรพรรณออกมาเจอกับธีร์และวนกรที่ยืนรออยู่หน้าห้อง ทั้งคู่ต่างส่ายหน้าให้กับผู้ใหญ่ทั้งสองคนก่อนที่จะเอ่ยปากขอพยายามอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ เพราะว่าในวันมะรืนนี้พ่อและแม่ของวีรดนย์จะทำบุญครบ 7 วัน และทุกคนยังไม่แน่ใจว่าวีร์พร้อมที่ไปร่วมงานด้วยหรือไม่

*****

       ในเช้าวันทำบุญครบ 7 วันการเสียชีวิตของวีรดนย์ ครอบครัวของวีรดนย์เลือกวัดที่อยู่ในระแวกเดียวกับโรงพยาบาล เหตุเพราะว่าวีรดนย์ได้มาอาศัยอยู่ที่นี่เกือบปี และวางแผนไว้ว่าสำหรับการทำบุญครบ 100 วันนั้นจะกลับไปทำบุญที่บ้าน

       วันนี้จึงมีเพียงบุคคลใกล้ชิดเท่านั้น

       มีพ่อและแม่ของวีรดนย์ และวิธูที่ยังไม่ได้กลับไปเลยนับตั้งแต่วันที่วีรดนย์ถูกย้ายมาอยู่ที่หอผู้ป่วยวิกฤติ จนทั้งพ่อและแม่เป็นห่วงเรื่องเวลาเรียนที่ขาดไป แต่วิธูยืนยันว่าไม่มีปัญหาเพราะบรรดาเพื่อนๆที่โรงเรียนช่วยส่งงานมาให้เขาทำและส่งกลับไปฝากส่งให้กับอาจารย์ รวมถึงแพรไหมก็อยู่ต่อเป็นวันที่ 4 แล้ว หลังจากที่เธอและแพรพรรณมาลองพยายามอยู่เป็นเพื่อนวีร์อีกครั้ง แม้จะไม่สำเร็จได้ตามที่หวังไว้แต่ก็ทำให้วีร์ยอมออกจากห้องในวันนี้ได้ แต่ว่าเธอคงต้องกลับในวันรุ่งขึ้นแล้ว ไม่อาจจะอยู่ช่วยต่อได้อีก

       ธีร์และวนกรต่างลางานมาร่วมการทำบุญด้วย ธีร์แนะนำวนกรให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนได้รู้จักว่าวนกรเป็นคนรักของเขา และยังเป็นแม่แท้ๆของวีร์อีกด้วย ผู้ใหญ่ทั้งสองก็ยิ้มยินดีและเอ่ยปากว่าวีร์จะได้มีครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกเสียที แม้แต่วิธูเองก็ยินดีกับเพื่อนของเขาด้วย เขาเสียดายแค่ว่าวีรดนย์จากไปเสียก่อนที่จะได้รับรู้เรื่องนี้ มิเช่นนั้นแล้ววีรดนย์จะต้องดีใจเป็นอย่างมากที่วีร์ได้เจอแม่แท้ๆของเขาในที่สุด แต่วีร์ก็ยังคงนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้รับรู้อะไร

       แพทย์หญิงกาญจนา อาชา และทีมแพทย์อีกสองคนก็เดินทางมาร่วมงานด้วยเช่นกัน ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลรักษาตลอดระยะเวลาเกือบปีและกำลังเป็นผู้ดูแลร่างของวีรดนย์อยู่ในขณะนี้ ทั้งหมดหวังจะได้เจอกับคำตอบสำหรับคนไข้คนอื่นๆที่มีอาการเหมือนกับวีรดนย์ในอนาคต

       เมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว จึงจะได้เริ่มพิธีกรรมทางศาสนาตามเวลาที่ได้นัดหมายไว้กับพระคุณเจ้า

        “คุณวิรัช” มีเสียงเรียกดังขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนกำลังเดินเข้าไปในศาลา ทุกคนจึงหันกลับไปมอง

        “คุณชื่น” พ่อของวีรดนย์เอ่ยทักทายกลับ เขาหันกลับไปหาภรรยาของเขาและเธอก็พยักหน้ารับ เขาจึงหันกลับมาหาบุคคลนั้น “คุณชื่นมาได้ยังไงครับ”

        “พอดีเพิ่งทราบข่าวค่ะ ก็เลยแวะมา เสียใจด้วยนะคะ” ชื่นฤทัย ล้ำเลิศรัตนทรัพย์ ตอบกลับ “สวัสดีค่ะคุณจิรัสย์” เธอยกมือไหว้และเอ่ยทักทายฝ่ายหญิง

        “สวัสดีค่ะคุณชื่น เชิญข้างในก่อนค่ะ” แม่ของวีรดนย์ไหว้ตอบกลับ และเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้าไปยังศาลา

        “คุณชื่นมาคนเดียวเหรอครับ” วิรัชมองดูรอบๆ จนทั้งจิรัสย์และชื่นฤทัยหันมองตาม

        “อันที่จริง...” ชื่นฤทัยหันทางซ้ายและทางขวาอย่างถี่ถ้วนแล้ว “ช่างเถอะค่ะ เอาเป็นว่าชื่นมาคนเดียวก็แล้วกัน”

        “ไม่เป็นไรครับ เชิญครับ เชิญทุกคนเลยครับ เดี๋ยวจะเริ่มพิธีแล้ว”

       ทุกคนจึงเดินเข้าไปข้างในศาลาที่หมู่พระภิกษุสงฆ์มานั่งรออยู่แล้วพร้อมกับมัคนายก

       ชื่นฤทัยมองดูเด็กหนุ่มที่เธอเพิ่งจะเจอและรู้จักไปไม่นาน เขาดูมีสีหน้าและท่าทางต่างจากที่เห็นเคยเห็น ในวันนี้เขาดูนิ่งเฉย ไม่ได้หันมองสบตาใครและพยายามถอยออกมาอยู่รั้งท้ายตลอดเวลา จนวิรัชสังเกตเห็น

        “นั้นแฟนของเจ้าวี” วิรัชเอ่ยขึ้นมา

        “น้องวีร์นะเหรอคะ” ชื่นฤทัยหันไปถาม

        “คุณชื่นรู้จักด้วยเหรอครับ”

        “ค่ะ เป็นเพื่อนของหลานๆฝั่งแม่รอง เห็นว่าเพิ่งย้ายมาใหม่เรียนอยู่ห้องเดียวกัน”

        “ครับ เพราะเขานี่แหละเราถึงย้ายเจ้าวีมารักษาต่อที่นี่ ไม่งั้นเจ้าวีคงไม่อยู่มานานถึงวันนี้”

       ชื่นฤทัยก็พยักหน้ารับรู้

        “เชิญข้างในเถอะค่ะ จะได้เริ่มพิธีกัน” จิรัสย์ออกมาเรียกทั้งสองคนให้เข้าไปข้างใน

       เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว มัคนายกได้เริ่มนำสวดตามขั้นตอนไปจนจบถึงการกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับ เมื่อเสร็จพิธีต่างคนก็ออกปากลาและแยกย้ายกันกลับ วีร์ยังคงไม่พูดจากับใครแม้แต่กับชื่นฤทัยเองก็ตาม

       ธีร์และวนกรพาวีร์กลับมาถึงบ้าน เดิมทีธีร์อยากจะแวะร้านอาหารก่อนแล้วจึงค่อยเข้าบ้าน แต่เมื่อสอบถามความเห็นของวีร์แล้วไม่ได้รับคำตอบกลับจึงตัดสินใจกลับบ้านกันก่อน อย่างน้อยก็ยังมีของสดให้ทำกินกันได้พอทั้งสามคน

       แต่เมื่อมาถึงที่บ้าน วีร์ก็ลงจากรถแล้วตรงขึ้นไปยังห้องนอนของเขาตามเดิม แม้จะเรียกให้ลงมากินอาหารก็ไม่ยอมลงมา ทำให้ธีร์ต้องยกอาหารไปให้ในห้องเช่นเคย

       จนมาถึงเช้าวันเสาร์ เดิมที่เคยเป็นวันที่วีร์จะต้องรีบออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปที่โรงพยาบาล ในวันนี้วีร์กลับมานั่งอยู่ที่พื้นข้างเตียง สายตาเลื่อนลอยออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกเหมือนวันก่อนหน้า แต่ในวันนี้ไม่มีแพรไหมหรือแพรพรรณมานั่งอยู่เป็นเพื่อน จะมีก็แต่วีรมาตุที่รับรู้เรื่องราวมาจากน้องชายที่ได้รับคำปรับทุกข์มาจากแพรพรรณอีกต่อหนึ่งแวะมาหาตั้งแต่เช้า

       วีรมาตุขออนุญาตธีร์ขึ้นไปเยี่ยมวีร์ซึ่งเขาก็ไม่ได้ห้ามอะไร

       สิ่งที่วีรมาตุทำก็คือนั่งลงข้างๆวีร์เท่านั้น ตั้งแต่เช้าไปจนพระอาทิตย์ตกดิน

       เช้าวันต่อมา ธีร์ก็ประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นวีร์เดินลงบันไดมา ทำให้ตัวเขาตั้งต้นไม่ถูกว่าจะทำอะไรก่อนหลังดี จึงได้เพียงแค่สอบถามว่าวีร์หิวหรือไม่ ส่วนวีร์ก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่เขาเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว ธีร์ก็รีบจัดเตรียมอาหารเช้าให้วีร์โดยทันที ธีร์ไม่ได้พยายามชวนพูดคุยหรืออะไร แค่จัดวางอาหารเช้าลงบนโต๊ะและนั่งลงกินพร้อมกับเด็กหนุ่ม แม้ว่าในใจอยากจะโทรศัพท์ไปหาพ่อและแม่ของเขารวมถึงวนกรใจจะขาดและบอกข่าวดีอันนี้

       เมื่อกินอาหารเช้ากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว วีร์ก็เดินกลับขึ้นไปห้องนอนตามเดิม ส่วนธีร์ก็จัดเก็บจานอาหารเช้าไปทำความสะอาด และคาดหวังว่าจะได้เห็นวีร์ตอนมือกลางวันอีก

       ในช่วงสาย วิธูแวะมาหาที่บ้านพร้อมพ่อและแม่ของเขา

        “พี่ธีร์ครับ ไอ้วีร์เป็นไงบ้าง” วิธูเอ่ยถาม จนธีร์ต้องถอนหายใจก่อนตอบ

        “ก็ยังไม่ยอมพูดจาอะไร แต่ยังดีที่วันนี้ยอมลงมาหากินอะไรบ้างแล้ว”

        “ก็ดูแลน้องดีๆนะธีร์” จิรัสย์คลายห่วงไปได้เล็กน้อยหลังจากที่ได้ยิน “น้ากลัวน้องจะเป็นอะไรไปอีกคน”

        “ผมก็กลัวครับน้าจิ ยังดีว่ามีเพื่อนๆเขาคอยแวะเวียนมาหา ดูเหมือนจะดีขึ้นมาบ้างแล้วครับ”

       จิรัสย์พยักหน้ารับ

        “น้าขึ้นไปหาน้องได้มั้ย” จิรัสย์ถาม

        “ได้เลยครับ วีร์คงนั่งเม่ออยู่ในห้องอย่างเคย แต่ถ้าเป็นน้าจิ วีร์อาจจะยอมคุยด้วยก็ได้”

        “อย่าเพิ่งคาดหวังนะ”

       ธีร์ยิ้มเล็กน้อยตอบกลับแต่ในใจเต็มไปด้วยความคาดหวัง แล้วจิรัสย์ก็ลุกขึ้นพร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าถือของเธอ แล้วก็ฝากกระเป๋าของเธอไว้กับวิรัชก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของวีร์โดยมีวิธูเดินตามไปด้วย ส่วนวิรัชยังคงนั่งคุยเรื่องราวทั่วไปอยู่กับธีร์ข้างล่าง ไม่ได้เดินตามขึ้นไปด้วย

       จิรัสย์เคาะประตูก่อนสองสามครั้ง แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจึงได้แง้มประตูออกดู ก็เห็นวีร์นั่งอยู่ตรงที่ประจำของเขาในช่วงนี้ เธอเดินเข้าไปแล้วคุกเข่าลงนั่งข้างๆวีร์

        “วีร์ ลูกเป็นยังไงบ้าง ไหนให้แม่ดูหน่อยสิ” จิรัสย์จับหน้าจับไหล่หันดูไปมา “ดูสิ ผอมลงไปเยอะเลย ได้กินอะบ้างมั้ยลูก” จิรัสย์ดึงวีร์เข้ามากอดและลูกผมวีร์เบาๆ “เศร้าได้ เสียใจได้ ร้องไห้บ้างก็ได้นะลูก แต่ต้องกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิมให้ได้นะลูก อย่าปล่อยให้เป็นอะไรไปอีกคนนะลูก”

       วิธูเห็นแม่ตัวเองทำแล้วได้แต่กรอกตามองเพราะผิดจากแผนที่วางกันไว้ก่อนจะมาที่บ้านของวีร์ ถ้าเขาไม่สะกิดแม่ของเขาให้ได้สติก็คงจะไม่เลิกกอดเพื่อนของเขาไปอีกนาน

        “แม่เพิ่งจะรื้อของที่โรงพยาบาลเขาเก็บมาให้ แล้วก็เจอนี้เข้า” จิรัสย์ยื่นซองสีน้ำตาลฉบับหนึ่งให้วีร์ ตัวซองปิดสนิทแต่มีลักษณะโป่งนูนให้เห็นได้ชัดว่าข้างในมีของอะไรบางอย่างอยู่ หน้าซองเขียนด้วยลายมือของคนที่วีร์จำได้เป็นอย่างดีว่า ‘ฝากให้น้องวีร์ด้วย

       วีร์มองดูซองสีน้ำตาลฉบับนั้น ใจหนึ่งก็อยากยื่นมือออกไปรับแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากรับรู้ว่าข้างในจะเป็นอะไร จนจิรัสย์จับมือขึ้นมาเองแล้ววางซองสีน้ำตาลนั้นลงบนมือของวีร์

        “แม่ก็ไม่รู้หรอกว่าข้างในเป็นอะไร เห็นเขียนถึงวีร์ ก็เลยไม่มีใครกล้าเปิดออกดู” จิรัสย์มองดูวีร์ที่ยังมีท่าทางลังเลใจอยู่ “วีร์พร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยดูก็ได้นะลูก”

       วีร์รับซองสีน้ำตาลฉบับมา เขาจ้องมองดูลายมือที่เขียนอยู่บนซอง ยิ่งมองก็ยิ่งคิดถึง แม้ว่ามุมปากจะเผย่อยิ้มเล็กน้อยแต่แววตากลับเริ่มเป็นประกายแก้วขึ้นมา

       จิรัสย์ต้องลูบผมของวีร์เบาๆเป็นการปลอบใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกเสียใจหรือทำใจยอมรับได้อย่างสนิทใจ แต่เพราะเธอและสามีได้เตรียมตัวเตรียมใจกับการจากไปของวีรดนย์มานานพอสมควรแล้ว ต่างจากวีร์ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ

       วิธูยกกระเป๋าที่สะพายออกจากบ่าของเขา รูปร่างของกระเป๋าบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าข้างในกระเป๋านั้นเป็นอะไร วิธูวางกระเป๋าใบนั้นลงตรงหน้าของวีร์แล้วก็นั่งยองลงจนสายตาอยู่ระดับเดียวกันกับวีร์

       วีร์เห็นแล้วก็รู้ได้โดยทันที

        “กูเอามาให้” วิธูยื่นกระเป๋าให้วีร์

       วีร์หันมามองวิธูด้วยความสงสัย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรับ แต่นี่ของความสำคัญของวีรดนย์ที่วิธูเองก็อาจจะอยากเก็บไว้เอง

        “เอาไปเถอะ ยังไงกูก็เล่นไม่เป็นอยู่แล้ว ไม่รู้จะเก็บไว้เองทำไม” วิธูเหมือนจะอ่านใจของวีร์ออกจึงได้พูดออกไป

        “แล้วกูเล่นเป็น” วีร์เอ่ยคำพูดมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน

       ทั้งวิธูและจิรัสย์อมยิ้มเล็กน้อย แต่ก็พยายามไม่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจน

        “เอาหน่า กูไม่ได้อยากเล่นกีตาร์เป็น ส่วนมึงก็มีคนที่เล่นเป็นและพร้อมจะสอนให้รออยู่แล้ว”

       วีร์ถึงกับกรอกตาแล้วหันไปจ้องเขม็ง เขาคิดว่าเขาไม่ได้มองผิดว่าคนตรงหน้ายังคงมีรูปร่างสันทัดสูงใหญ่และมีผิวสีคล้ำ ไม่ได้มีรูปร่างพอๆกับเขา ผิวขาวกว่าเขา และหน้าตาจิ้มลิ้มกว่าเขา มองดูว่าคนตรงหน้ายังชื่อวิธู ไม่ใช่ศศิทัศน์

       วิธูยื่นกระเป๋ากีตาร์มาให้วีร์อีกครั้ง และวีร์ก็รับมาด้วยความไม่เต็มใจมากนักด้วยเพราะความรู้สึกมันสับสนปะปนกันไปหมด ทั้งดีใจ เสียใจ เศร้าใจ และคิดถึง

       วิธูหันมามองจิรัสย์ที่ใจตรงกัน เธอพยักหน้าให้กับลูกชายของเธอ

        “เดี๋ยวกูกับแม่ต้องกลับแล้วนะ ออกรถตอนนี้กว่าถึงบ้านคงจะดึก แต่ไม่กลับก็ไม่ได้พรุ่งนี้มีเรียนอีก” วิธูวางมือของเขาลงมือมือของวีร์ที่กำลังกอดกระเป๋ากีตาร์ของวีรดนย์ “วีร์ มีอะไรก็โทรมานะ ไม่โทรหากูก็โทรหาอีดำก็ได้ เข้าใจมั้ย”

       วีร์ได้แต่พยักหน้ารับ

        “งั้นกูไปละ ดูแลตัวเองดีๆนะ”

        “แม่กลับก่อนนะ กินข้าวกินปลาบ้างนะลูก” จิรัสย์ดึงวีร์เข้ามากอดอีกครั้ง ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งลูบผม ทั้งลูบหลัง ก่อนที่จะตัดสินใจผละออก เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะยังได้กอดกันอยู่อีกนาน

       แล้วจิรัสย์กับวิธูก็พากันเดินออกจากห้องนอนของวีร์ไป วิธูเดินรั้งท้ายโดยหันกลับมามองเพื่อนของเขาอีกครั้งที่ยังคงนั่งอยู่ที่พื้นข้างเตียงนอน กำลังลูบคลำกระเป๋าใส่กีตาร์อย่างทะนุทนอม ทำให้วิธูคิดว่าเขาตัดสินใจถูกแล้วที่ยกกีตาร์สุดรักสุดหวงของพี่ชายของเขาให้กับวีร์ไป



[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 13 ... 24 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 24-06-2021 00:29:37
        “เป็นไงบ้างครับ” ธีร์เอ่ยถามทั้งสองคนที่เดินลงบันไดมา

        “น้องก็ยังดูซึมๆนะ แต่ดีกว่าเมื่อวานงานเยอะ” จิรัสย์ตอบกลับชายหนุ่ม

        “ค่อยยังชั่วหน่อย เห็นเดินลงมากินข้าวเช้าแต่ก็กลับขึ้นไปขลุกอยู่ในห้องเหมือนเดิม เลยไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง” ธีร์รู้สึกโล่งใจขึ้นมาอีกหน่อย

        “เดี๋ยวก็คงจะดีขึ้น ให้เวลาเขาสักหน่อย” จิรัสย์ยิ้มให้กำลังใจธีร์ “แล้วเรื่องแม่ของน้องวีร์ เป็นไงมาไง”

       ธีร์นิ่งไปเล็กน้อย แล้วมองดูทั้งจิรัสย์ วิธู และวิรัช สลับกันไปมา

        “ก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้วครับ เพราะว่าก่อนหน้านี้พยายามติดต่อไปทางไหนก็ไม่ได้เลย แต่บังเอิญมาเจอกันที่นี่ครับ พอดีว่าน้องคนเล็กของวาเขาเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับวีร์ ก็เลยบังเอิญได้เจอกัน”

        “แล้วจะทำยังไงต่อละ” วิรัชเป็นคนถาม เขาอยากจะถามตั้งแต่ที่เขานั่งคุยกันอยู่ธีร์แค่สองคนแล้ว แต่ยังไม่อยากละลาบละลวงเรื่องของครอบครัวคนอื่น แต่เมื่อภรรยาของเขาเปิดทางให้เขาจึงเดินตามต่อ อย่างน้อยก็ในฐานะพ่อของคนที่ลูกชายของเขาเคยคบหาดูใจกัน

        “ก็ตั้งใจว่าจะเข้าไปของขมาพ่อแม่ของน้องวา แล้วก็จะได้จะจัดการสู่ขอและแต่งงานกันตามประเพณี”

        “อืม ก็ดีแล้วละ ทำอะไรให้ถูกต้องตามครรลองซะที แล้ววีร์ว่ายังไงบ้างล่ะ น้องโอเคมั้ย” จิรัสย์ถามต่อ

       ธีร์ชั่งใจอยู่ก่อนที่จะตอบ

        “ตอนแรกวีร์ก็ดูโอเคนะครับ แต่ว่าเกิดเรื่องซะก่อน ตอนนี้เลยยังไม่ได้คุยกัน”

        “เจ้าวีก็ดันมาจากไปตอนนี้พอดี” วิรัชถอนหายใจ

        “มันไม่ใช่แค่เรื่องนั้นน่ะสิครับ” ธีร์ยิ้มแบบแหยๆเสียไม่ได้ จนทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียวกันด้วยความสงสัย “เผอิญว่าวันนั้นน้องวาเขาแวะมาหาเพื่อมาบอกข่าว ว่าเขาสงสัยว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์”

        “หา!” ทุกร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

        “แล้ววีร์ก็ดันมาได้ยินพอดี เลยมีเรื่องไม่เข้าใจกันนิดหน่อย แล้วรู้สึกว่าวันนั้นวีเขาย้ายเข้าห้องไอซียูพอดีด้วย ก็เลยยังไม่ได้คุยอะไรกันตั้งแต่วันนั้นเลยครับ”

       ผู้ใหญ่ทั้งสองคนได้แต่ถอนหายใจ

        “เอาเถอะ รีบหาเวลาคุยซะ ปล่อยไว้นานเกินจนท้องโย่ขึ้นมาซะก่อนจะแย่เอา” วิรัชเอ่ย

        “ทั้งกับวีร์แล้วก็ฝ่ายผู้หญิงด้วย” จิรัสย์เสริมคำพูดของสามี

        “ครับ” ธีร์รับคำ

        “งั้นพวกน้ากลับก่อนนะ เดี๋ยวจะถึงบ้านดึกเกิน”

        “ครับ ผมขอบคุณคุณน้าทั้งสองด้วยนะครับที่แวะมา”

        “ไม่เป็นพวกน้าก็คิดว่าน้องวีร์เหมือนลูกแท้ๆคนนึง เป็นห่วงไม่ต่างกัน” วิรัชเอ่ย

        “คนตายก็ตายไปแล้ว เขาหมดห่วงแล้ว เหลือแต่คนเป็นนี่แหละที่ยังมีให้ห่วงอยู่” จิรัสย์ปลงตกกับเรื่องราวที่ผ่านมา

       แล้วทุกคนก็ลาธีร์ออกมาขึ้นรถ เตรียมตัวกลับบ้านกัน

*****

       ถึงแม้ว่าช่วงกลางวีร์จะลงมากินอาหารเหมือนปกติ เพียงแต่ยังไม่ยอมพูดจามากมายอะไร ไม่ว่าธีร์ถามอะไรไปก็มีคำตอบกลับมาไม่กี่คำ แต่ธีร์ก็ยังคงพยายามต่อไปพยายามชวนคุยเรื่องราวทั่วไป จนเสร็จมื้ออาหารวีร์ก็กลับขึ้นไปบนห้องตามเดิม

       ช่วงบ่ายเหล่าเพื่อนๆทั้งสุรศักดิ์ ศศิทัศน์ นพชัย ชัยทิศ และพระยศ แวะเวียนมาหากับครบทีม ธีร์จึงเบาใจฝากให้ทุกคนช่วยอยู่เป็นเพื่อนวีร์ไปก่อน ส่วนเขาต้องออกไปซื้อของกินของใช้ในบ้านที่ขาดไป ทุกคนก็รับอาสาเป็นอย่างดีเพราะตั้งใจนัดหมายมาหาวีร์เพื่อเยี่ยมเยียนและเอางานของโรงเรียนที่เก็บไว้ช่วงที่วีร์ขาดเรียนเอามาให้วีร์ด้วย

       ตลอดช่วงเวลาบ่ายมีเสียงหัวเราะสนุกสนานครื้นเครงดังขึ้นอยู่ตลอดภายในห้องนอนของวีร์ แต่เจ้าของห้องนอนกลับยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ว่าเขากำลังฝืนหรือกำลังเก็กท่าหรืออะไร แต่เขาไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับเพื่อนๆของเขาในตอนนี้จริงๆ สายตาของวีร์จับจ้องไปที่กระเป๋ากีตาร์ที่พิงอยู่ที่ข้างฝาสลับกับทิวทัศน์นอกหน้าต่างเสียมากกว่า

       จนใครบางคนสังเกตเห็น

        “กีตาร์ใครวะ ของมึงเหรอ ไม่ยักรู้ว่าเล่นเป็น”

        “เปล่า ของพี่วี” คำตอบของวีร์ทำให้ศศิทัศน์ชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบค้างไว้ซะก่อน ส่วนคนอื่นๆที่เหลือก็เงียบเสียงลง “ไอ้ต่ายเพิ่งเอามาให้เมื่อเช้า”

        “เพื่อนมึงกลับไปแล้วเหรอ” พระยศลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิตัวตรงจากที่เคยนอนเอกเขนกบนพื้นห้องก่อนหน้านี้

        “อืม ก็พรุ่งนี้มีเรียนนิ”

        “แล้วมึงพร้อมจะกลับไปเรียนแล้วยัง” สุรศักดิ์เห็นโอกาสจึงหันหน้าไปถามวีร์และทุกคนก็รอฟังคำตอบ แม้ว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะกดดันอะไรแต่เพราะต่างคนต่างพร้อมใจกันเงียบลงทำให้ดูเหมือนเป็นเช่นนั้นไปโดยปริยาย

       วีร์ก้มหน้าลงมองพื้นและเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนที่สูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมา

        “ไปเหอะ ดีกว่าอยู่คนเดียวที่บ้าน” “ไม่มีใครมากวนมึงแน่นอน” “ถ้าเกิดว่ามีนะ เดี๋ยวพวกกูตั้งค่ายดาวเหนือปกป้องมึงเอง” ทั้งนพชัยและชัยทิศต่างยกไม้ยกมือขึ้นทำท่าทางอย่างเช่นตัวละครจีนกำลังภายใน ทำให้วีร์อมยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก

        “เออ เดี๋ยวกูกลับไปเรียนพรุ่งนี้”

        “ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อนรัก” “เยี่ยมไปเลย เดี๋ยวกูจะไปฝึกกระบวนท่าให้คล่องขึ้น” แต่ได้รับการประทับฝ่ามือลงหลังศีรษะเบาๆ

        “เพื่อ...” สุรศักดิ์หันมามองทั้งนพชัยและชัยทิศ

       แล้วทุกคนก็กลับมาครื้นเครงกันอีกครั้ง แม้ว่าวีร์จะยังสงวนท่าทีของตัวเองอยู่บ้างแต่ก็มีปฏิกิริยากับเพื่อนๆมากกว่าเดิม จนเมื่อธีร์กลับมาบ้านแล้ว ทุกคนจึงขอลากลับบ้านของตัวเอง

       ธีร์ที่เห็นวีร์เดินลงมาส่งเพื่อนๆแล้วก็นั่งลงดูโทรทัศน์ ไม่ได้กลับขึ้นไปบนห้องนอน ก็รู้สึกเบาใจมากขึ้น พูดคุยอะไรไปก็เริ่มจะมาคำตอบกลับมายาวกว่าเดิม แม้จะยังไม่สดใสร่างเริงแบบเดิมแต่ก็ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

       หลังจากมื้ออาหารค่ำวีร์ก็ขอตัวกลับไปที่ห้องนอน วีร์จัดการเก็บข้าวของต่างในห้องที่เพื่อนๆของเขามาทำรกไว้ให้เข้าที่เข้าทาง แล้วจากนั้นวีร์ก็อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอน จัดเตรียมกระเป๋านักเรียนสำหรับวันพรุ่งนี้ให้เรียบร้อย ก่อนที่จะหันไปมองกระเป๋ากีตาร์และนึกอยู่ในใจว่าควรจะเก็บไว้ที่ไหนดี โดยคิดว่าอาจจะแวะร้านเครื่องดนตรีและซื้อขาตั้งสำหรับวางกีตาร์โดยเฉพาะมาด้วย

       แล้ววีร์ก็พลันนึกไปถึงซองสีน้ำตาลที่จิรัสย์เอามาให้ ลายมือที่อยู่บนซองไม่ได้เปลี่ยนไปไหน

        ‘ฝากให้น้องวีร์ด้วย

       วีร์หยิบซองสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือขึ้นมาดู เขาชั่งใจอยู่นานก่อนที่จะแกะปากซองออกดู ข้างในซองนั้นเป็นกลักพลาสติกใสสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มากนัก ภายในกลักบรรจุอุปกรณ์บันทึกข้อมูลขนาดย่อมไว้ วีร์จึงตัดสินใจเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขาขึ้นมา แล้วก็เปิดลิ้นชักด้านข้างโต๊ะเขียนหนังสือเพื่อหยิบอุปกรณ์ช่วยสำหรับการเชื่อมต่อออกมา

       เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว วีร์ก็เสียบแผ่นบันทึกข้อมูลขนาดย่อมเข้ากับอุปกณ์ช่วยที่เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วเขาก็เปิดโปรแกรมเพื่อเรียกดูข้อมูลด้านใน

       ภาพที่เห็นเป็นภาพตัวอย่างของไฟล์วิดีโอ ถึงแม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่ก็พอจะรู้ว่าเป็นภาพของวีรดนย์ที่อยู่ในชุดคนไข้ของโรงพยาบาล โดยที่มีกีตาร์ที่วีร์เพิ่งได้รับมาอยู่ในมือของวีรดนย์ด้วย

       วีร์ไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมที่จะเปิดดูภาพวิดีโอแล้วหรือไม่ แต่ความคิดถึงก็เอาชนะไปในที่สุด วีร์จึงคลิ๊กไปที่ไฟล์วิดีโอนั้นย้ำๆสองครั้ง แล้วโปรแกรมเล่นวิดีโอก็เปิดขึ้นมา

       สิ่งที่วีร์เห็นเป็นอย่างแรกเหมือนกับภาพตัวอย่างที่เขาเห็นก่อนหน้า แต่ทว่าชัดเจนมากขึ้น

       วีรดนย์กำลังยิ้มให้เขาก่อนที่จะก้มหน้าลงมองมือข้างซ้ายที่จับอยู่ที่คอของกีตาร์

       เสียงเกากีตาร์ขึ้นเป็นอินโทรเพลงที่วีร์เคยได้ยินวีรดนย์เล่นให้ฟังมาก่อน สายตาของวีร์ดนย์จับจ้องไปนิ้วมือของเขา บ่งบอกว่าเขากำลังตั้งใจที่จะเล่นเพลงนี้เป็นอย่างมาก ตัวโน้ตที่ถูกไล่ขึ้นและลงไปตามจังหวะยิ่งทำให้อารมณ์ของวีร์ยิ่งเศร้าหมองลง จนเมื่อนิ้วสะบัดลงบนเส้นสายทุกเส้น เสียงร้องของวีรดนย์ก็ดังออกมา


        You used to say that everyday
        (เธอเคยบอกว่าในทุกๆวัน)

        We will always be this way
        (เราสองคนจะอยู่ด้วยกันเช่นนี้ตลอดไป)

        Flying Angels lifting high
        (เหล่าเทวดาพาล่องลอยขึ้นไป)


        To reach the sun where I belong
        (เพื่อให้ถึงดวงตะวัน ที่ๆฉันต้องไป)

        You know you are the one
        (เธอก็รู้ว่าเธอคือคนนั้น)

        Above the clouds I see you cry
        (คนที่ฉันมองลงมาจากฟากฟ้าเห็นว่ากำลังร้องไห้)


        You know that when you smile you stop the rain
        (รู้ไหมว่าเธอยิ้มเมื่อไหร่ โลกจะสดใสขึ้นมาทันที)

        And we will be together once again
        (และเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง)


        Although I'm gone, remember me
        (ถึงแม้ว่าฉันจะจากไปแล้ว ก็ขอให้ยังจดจำฉันได้)

        Please be strong, I'll never leave
        (จงเข็มแข็ง เพราะว่าฉันจะไม่ไปไหนไกล)

        Just hold on, to the memories
        (เก็บความทรงจำดีๆเหล่านั้นเอาไว้)

        Cause while I'll here, all I'm thinking about is tomorrow Oh!
        (เพราะฉันจะรอคอยให้ถึงวันพรุ่งนี้)


       จังหวะการดีดกีตาร์ที่เปลี่ยนไป แม้ไม่หนักหน่วงเพราะไม่อาจจะทำเสียงรบกวนผู้ป่วยคนอื่นได้ระหว่างที่กำลังบันทึกวิดีโอนี้ แต่กลับบีบคั้นความรู้สึกให้ดำดิ่งลึกลงไปไกลกว่าเก่า


        From the moment that I looked into your eyes
        (นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันได้มองไปในนัยน์ตาของเธอ)

        All of my life I thought I'd be there by your side
        (ฉันก็คิดอยู่เสมอว่าตลอดชีวิตนี้จะอยู่ข้างๆเธอตลอดไป)

        I wish I'd took the time to find the words to say
        (ฉันรู้ว่าฉันควรจะหาโอกาสบอกเธอให้เร็วกว่านี้)


        You know when you stop the rain
        (รู้ไหมว่าเธอยิ้มเมื่อไหร่ โลกจะสดใสขึ้นมาทันที)


       แล้วทุกอย่างก็เงียบลง ทั้งเสียงกีตาร์ เสียงคนร้อง และเสียงคนฟัง วีร์มองดูวีรดนย์ที่เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม ราวกับว่าคนที่เขากำลังมองนั้นกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้จริงๆ

        “วีร์ ยังจำสัญญาที่ให้กับพี่ได้มั้ยครับ เราเกี่ยวก้อยกันแล้ว พี่หวังว่าจะยังไม่ลืมนะ เสียใจได้ ร้องไห้ได้ ไม่เป็นไร แต่สุดท้ายแล้ววีร์จะต้องกลับมายิ้มให้ได้นะครับ วีร์จะต้องเดินต่อไปให้ได้ แล้วพี่จะรอคอยจนถึงวันที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง รอฟังเรื่องราวต่างๆของวีร์หลังจากนี้ วีร์จะต้องมีเรื่องมาเล่าให้พี่ฟังเยอะๆจนไม่รู้จักเบื่อ และรอเห็นรอยยิ้มของวีร์ ไหน... ยิ้มให้พี่ดูหน่อยสิครับ

       วีรดนย์ในคลิปวิดีโอยิ้มกว้างขึ้น แล้วเสียงสะบัดนิ้วลงบนเส้นสายไปตามคอร์ดเพลงก็ดังขึ้นอีกครั้ง


        You know when you stop the rain
        (รู้ไหมว่าเธอยิ้มเมื่อไหร่ โลกจะสดใสขึ้นมาทันที)

        And we will be together once again
        (และเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง)


       แล้วภาพก็หยุดอยู่ที่รอยยิ้มของวีรดนย์ บรรยากาศในห้องเงียบลงไปในทันที จะมีเพียงก็เสียงสะอื้นเบาๆของคนที่นั่งจ้องดูวิดีโอนั้นอยู่ น้ำตาที่ไหลออกมาเพราะไม่อาจจะห้ามไว้ได้แล้ว กระนั้นก็ยังจะเม้มปากเกร็งฝืนไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ยิ่งอั้นไว้ก็เหมือนยิ่งมีแรงผลักออกมาจนไม่อาจเก็บไว้ได้อีกต่อไป

       วีร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นทาบลงบนหน้าจอ ราวกับต้องการจะสัมผัสคนตรงหน้าให้ได้

        “วีร์จำได้ พี่วี วีร์จำได้ แต่ขอหนึ่งวันนะพี่ ขอแค่วันนี้เท่านั้น”

       แล้ววีร์ก็ก้มหน้าลงบนฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง แล้วก็ปล่อยความรู้สึกที่เก็บกดไว้นานให้ไหลถาโถมออกมาไม่ขาดสาย เขาคิดว่าเขาจะเข็มแข็งพอที่จะผ่านเรื่องราวในตอนนี้ไปได้ แค่ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็นก็เพียงพอแล้ว แต่เขาคิดผิด เพราะความหวังและความฝันที่เขาวาดเอาไว้ ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

       หน้าจอที่ดับลงตามการตั้งค่าไว้เมื่อไม่มีการเคลื่อนไหวๆใด บ่งบอกถึงระยะเวลาที่ได้ผ่านไป ความมืดเข้าปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง เหลือเพียงแสงไฟยามราตรีจากถนนด้านนอกที่ยังพอเล็ดลอดเข้ามาได้บ้างทำให้พอจะมองเห็นร่างที่สั่นเทิ่ม ความเศร้าที่ถูกเก็บกดไว้ยังคงหลั่งไหลออกมาไม่หยุด

       และอาจจะยาวนานไปจนถึงวันพรุ่งนี้



[โปรดติดตามตอนจบ]



หมายเหตุ: เนื้อเพลงบางส่วนของเพลง Tomorrow โดยศิลปิน a1
Apple Music (https://music.apple.com/gb/album/tomorrow/298159893?i=298159949)
Spotify (https://open.spotify.com/album/5QLf9R6hnPkFFlKsv1VrR1?highlight=spotify:track:5dYG8DH2ZbxnhH2ehu5MyD)
Youtube (https://www.youtube.com/watch?v=yRKSJjdlvZg)
Joox (https://www.joox.com/th/single/lV3ycWqEmw7pD591c39BCA==?utm_source=google&utm_medium=organic&utm_campaign=Knowledge_Panel&utm_content=Tomorrow)
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 13 ... 24 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 24-06-2021 01:27:11
เขียนได้ดีเลยนะครับ นี่แหละใช่เลย

การก้าวข้ามผ่านการสูญเสีย มันมีกระบวนการของมัน คนที่เงียบๆ มันมีการแปลความหมายได้หลายแบบครับ มันต้องมองตาที่คนที่เงียบหรืออ่านภาษากายแล้วจะรู้ อย่างวีร์ การเงียบของวีร์ไม่ใช่การช็อคแล้วปิดกั้นไม่ให้ใจไม่รับรู้ ไม่ใช่การพยายามเบี่ยงเบนความสนใจหรือการอยากเรียกร้องความสนใจมาเพื่อปิดแผลของการสูญเสีย แต่เป็นความพยายามที่อยากจะทำให้ได้ตามที่สัญญาไว้มากกว่า คาแรกเตอร์ของวีร์เป็นตัวละครที่มีความเข้มแข็งสูงมากนะครับ คงเพราะว่าแฟนป่วยมานาน แล้วเขาก็พยายามจะใช้เวลากับแฟนด้วยการทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง การเห็นบ่อยๆและอยู่กับมันบ่อยๆ จะทำให้คนเข้มแข็งขึ้น

ดังนั้น แม้ว่าจะสัญญากับแฟนแล้ว แต่พอเกิดเรื่องการสูญเสีย เป็นการตอกย้ำว่าเขาทำอะไรไม่ได้เลย ผลสุดท้ายคือเขาต้องสูญเสียแฟนของเขาไป แม้ว่าจะสัญญาไว้แล้ว แต่ความเสียใจ ความอัดอั้น ความคิดถึง ทั้งหมดมันเป็นอารมณ์สะท้อนจากความจริงคือการสูญเสีย มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วีร์คิดว่าเขาต้องเข้มแข็ง เขาต้องผ่านไปให้ได้ มันเลยกลายเป็นเส้นกั้นบางๆที่กั้นระหว่างสัญญาของเขากับแฟน และการระบายความสูญเสียและโศกเศร้าของตัวเอง

วีร์เอาสัญญาตัวนั้นมาบอกว่าตัวเองต้องเข้มแข็ง ต้องไม่ร้องไห้ ต้องไม่โศกเศร้า แต่ความผูกพันและสายสัมพันธ์มันลึกซึ้งเกินกว่าที่สมองและใจเขาจะรับได้ครับ ความเงียบของวีร์คือการพยายามตั้งใจว่าต้องผ่านไปให้ได้ มันเป็นการกดดันและคาดหวังกับตัวเอง แต่พอเจอความจริงและสัมผัสกับความอ่อนโยนของสายสัมพันธ์นั้นจังๆ มันทำให้เส้นกั้นนั้นพังทลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีครับ อย่าหลีกเลี่ยงอารมณ์ที่มันจำเป็นต้องระบายเพื่อให้เกิดการยอมรับ เมื่อยอมรับแล้วคุณจะทำตามสัญญานั้นได้ง่ายขึ้น คุณจะไม่ถูกพันด้วยสัญญาในอดีตหรือเรื่องราวที่คุณคาดหวังกับตัวเองโดยที่ไม่ปลดพันธะนั้นออกจากบ่า
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 13 ... 24 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 24-06-2021 07:47:11
 :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 13 ... 24 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-06-2021 23:31:57
เห้ออ สู้ต่อนะ มันต้องมีความสุขแล้วสิหลังจากนี้
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 13 ... 24 มิ.ย. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 25-06-2021 00:15:41
 :hao5:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 03-07-2021 00:33:06
ตอนที่ 14 วันฟ้าใหม่

       ธีร์ตื่นมาแต่เช้าเพื่อจะเตรียมตัวทำอาหาร ในวันนี้เขามีการประชุมใหญ่ที่เขาจำเป็นต้องเขาร่วมอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นห่วงวีร์กลัวว่าอยู่บ้านคนเดียวทั้งวันจะไม่มีอะไรกิน จึงตั้งใจว่าจะทำอาหารเตรียมไว้ให้ก่อนจะออกไปทำงาน

       แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้เริ่มจัดเตรียมของสด ธีร์ก็ได้ยินเสียงดังมาจากที่บันไดบ้านจึงรีบเดินออกมาห้องครัวมาดู ก็เห็นวีร์ที่ใส่ชุดนักเรียนเรียบร้อยแล้วพร้อมกับกระเป๋าเป้สะพายอยู่ที่บ่าข้างหนึ่ง วีร์กึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านเขาไปยังตู้เย็นแล้วหยิบขวดแก้วใส่น้ำออกมาแล้วยกขึ้นดื่ม แล้วก็รีบเดินกลับไปที่หน้าประตูบ้านทันที

       เพียงแต่ว่าวีร์โดนธีร์รั้งแขนเอาไว้ก่อน

        “รีบไปไหน ไม่กินข้าวเช้าก่อนเหรอ”

        “ไม่อะ เดี๋ยวไปหาอะไรที่โรงเรียนดีกว่า วันนี้พี่ธีร์มีประชุมเช้าไม่ใช่เหรอ” วีร์ถามย้อนกลับ

        “มันก็ใช่...” ยังไม่ทันที่ธีร์จะได้พูดต่อวีร์ก็รีบขัดขึ้นมาในทันที

        “งั้นไปเตรียมตัวได้แล้ว ไปสิ” วีร์สะบัดมือไล่

        “ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้รีบขนาดนั้น” ธีร์ยังคงรั้งแขนวีร์เอาไว้อยู่

        “ไม่ต้อง เสียเวลาเปล่าๆ ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำไม่ใช่เหรอ” วีร์มองดูธีร์ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เสื้อผ้าที่ยังคงเรียบร้อยและมือที่ยังคงสะอาดสะอ้าน

        “ไม่ต้องห่วง ทำแป๊บเดียวเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” ธีร์ยังคงยืนยัน

       วีร์หลับตาเงยหน้าขึ้น แล้วก็ก้มหน้าลงพร้อมถอนหายใจยาวๆ

        “พี่ธีร์ ไปเตรียมตัวไปทำงานเถอะ นะ เดี๋ยววีร์ไปหาอะไรกินที่โรงเรียนเอง” ธีร์เห็นวีร์ดังนั้นแล้วก็ใจอ่อนยอมทำตาม จึงปล่อยแขนวีร์เป็นอิสระ

       วีร์จึงรีบไปใส่รองเท้านักเรียนแล้วก็เดินออกจากบ้านไป แต่ไม่นานนักวีร์ก็ย้อนกลับมาโผล่หน้าที่ประตูหน้าบ้านพร้อมกับรอยยิ้ม

        “เรื่องพี่วา เดี๋ยวเราค่อยหาเวลาคุยกัน วีร์ไปก่อนนะ”

       แล้วก็ทิ้งให้ธีร์กำลังงงแบบไม่ทันตั้งตัวว่าเพิ่งจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าทางของวีร์ที่ดูเหมือนกลับมาเป็นปกติเกือบทุกอย่าง แล้วยังพูดถึงเรื่องของวนกรอย่างไม่มีท่าทีโกรธเคืองหรือไม่พอใจแต่อย่างใด ธีร์จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าจะอะไรต่อไประหว่างจะโทรศัพท์ไปหาพ่อและแม่ของเขา หรือจะโทรไปหาวนกรก่อนดี หรือควรไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมตัวไปทำงาน หรือออกไปตามวีร์ให้กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน

*****

       เวลายามเช้าเช่นนี้ ยังมีนักเรียนมาถึงโรงเรียนไม่มากนัก ไม่จำเป็นจะต้องเดินเบี่ยงซ้ายทีขวาทีเพื่อหลบนักเรียนคนอื่นๆที่ยืนจับกลุ่มคุยกันตามทางเดินแม้แต่หน้าบันไดทางขึ้นตึกเรียนก็ตาม วีร์จึงเดินขึ้นมาถึงห้องเรียนของเขาได้โดยสะดวก

       เมื่อเข้าไปในห้องเรียนแล้ว วีร์ก็คล้องสายกระเป๋าเป้ลงบนพนักเก้าอี้ ในเก๊ะใต้โต๊ะเรียนมีเอกสารจำนวนหนึ่งวางอยู่ วีร์จึงหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นงานกลุ่มส่วนที่เหลือที่เขาจะต้องตามงานให้เสร็จ เขาคงจะต้องรีบวางแผนจัดการงานทั้งหมดก่อนจะเข้าช่วงสอบปลายภาค แต่ตอนนี้เสียงของกระเพาะดังประท้วงออกมาทำให้เขาต้องวางเรื่องนี้ลงก่อน และตัดสินใจไปโรงอาหาร

       อาจเป็นเพราะว่ายังเป็นเวลาเช้ามาก จำนวนนักเรียนที่มีไม่เยอะมากอยู่แล้วและยิ่งคนที่วีร์รู้จักยิ่งมีไม่กี่คนเท่านั้น วีร์จึงทันไม่ได้สนใจว่ามีใครหลายคนกำลังมองเขานับตั้งแต่เขาเดินเข้าโรงเรียนมา ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นนักเรียนใหม่เพราะว่าความใหม่นั้นมันจางหายไปนานแล้วเมื่อเวลาได้ผ่านมาจนจะจบปีการศึกษาแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเขาขาดเรียนไปหลายวันเพราะเรื่องของเขาและวีรดนย์แทบจะไม่มีใครในโรงเรียนที่รู้ แม้แต่กับนพชัยและชัยทิศที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองวีร์ที่เดินมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยแบบไม่วางสายตา นั้นเป็นเพราะว่า...

        “เฮ้ย! ทำไมมึงมานั่งอยู่ตรงนี้”

       คนที่ถูกถามสะดุ้งขึ้นทันทีที่เขาเพิ่งจะนั่งลงบนเก้าอี้ยาว เป็นโชคดีที่เขาวางจานข้าวและแก้วน้ำลงบนโต๊ะก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจมีเรื่องไม่คาดฝันและเดือนร้อนไปถึงแม่บ้านทำความสะอาดเกิดขึ้นได้

        “อะไรของมึง” วีรมาตุหันหน้าไปถามเพื่อนของเขา

        “มึงยังไม่เห็นเหรอ” พร้อมสรรพถามคนตรงหน้า

        “เห็นอะไร” วีรมาตุไม่ได้ใส่ใจในท่าทีของเพื่อนของเขามากนัก เขาจึงก้มลงตักอาหารกิน เพราะเขาต้องรีบไปจัดการงานของชมรมดนตรีให้เสร็จก่อนจะเริ่มเรียนวิชาแรกในวันนี้

        “สี่นาฬิกาไง มึงหันไปดู” ชัชวาลบอกทิศทางให้เพื่อนของเขา วีรมาตุก็หันศีรษะตามแต่กลับโดนไมตรีจิตผลักให้หันไปอีกทาง

        “ไอ้ห่าชัช สี่นาฬิกานั่นมันของมึง ต้องสิบนาฬิกาโว้ย” ไมตรีจิตรีบแก้ความเข้าใจผิดในทันที

        “อะไรของพวกมึ...” วีรมาตุหันศีรษะไปตามแรงผลักของไมตรีจิตจนเขาเห็นในสิ่งที่เพื่อนๆของเขาต้องการให้เขาเห็น

        “เป็นไงๆ อึ้งไปเลยอะสิ” พร้อมสรรพยักคิ้วหลิ่วตามแซวเพื่อนของเขา

        “มึงเดินมาไงวะถึงมองไม่เห็นน้องเขา กูกับไอ้ไมค์เห็นตั้งแต่เดินเข้าโรงอาหารแล้ว” ชัชวาลช่วยเพิ่มระดับการแซว “พูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปเลยเพื่อนเรา”

        “...” วีรมาตุได้แต่นั่งมอง มือที่ถือช้อนและซ้อมยังคงค้างอยู่ในจานข้าว ยังไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากของเขา นับตั้งแต่เขาหันไปเห็นคนที่นั่งอยู่ไกลๆนั้น

        “อุต๊ะ! ไม่ยักรู้ว่าน้องวีร์เขาใส่แว่นด้วย ดูน่ารักจิ้มลิ้มขึ้นเป็นกองเลย” เสียงของสมาชิกอีกคนที่เพิ่งจะมาร่วมทีมมื้ออาหารเช้าในวันนี้

        “เห็นมะ ขนาดไอ้หมูยังเห็นเลย ไอ้เชี่ยวี มึงชอบน้องเขาจริงป่ะเนี่ย” พร้อมสรรพจ้องหน้าวีรมาตุ

        “มึงจะไปเอาอะไรกับมัน ตั้งแต่เดินเข้าโรงอาหารมา หน้านี่ซุกอยู่กับแฟ้มงาน มันไม่เดินชนโน้นชนนี่ก็ดีถมไปแล้ว” ชัชวาลหยิบซ้อมของตัวเองแล้วจิ้มลงไปในจานของวีรมาตุ เพราะเห็นเจ้าตัวคงจะอิ่มทิพย์ไปแล้วเป็นแน่

       คุณกรเอามือโบกตรงหน้าของวีรมาตุอยู่หลายครั้งกว่าที่เจ้าตัวจะปัดมือออกด้วยความรำคาญ

        “จะนั่งอยู่นี่อีกนานมั้ย ยังไม่ลุกไปอีก”

       วีรมาตุมองดูเพื่อนๆของเขาทีละคน ไม่ว่าใครก็คะยั้นคะยอให้เขาลุกไปยังโต๊ะที่วีร์กำลังนั่งอยู่กับเพื่อนๆ

        “ไป ลุกไปเลยมึง ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนคนอื่นจะคาบไปแดก” ไมตรีจิตทั้งผลักทั้งดันให้วีรมาตุลุกขึ้นจนกว่าจะสำเร็จ

        “เออๆๆๆ” วีรมาตุลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงเสื้อนักเรียนให้ตึงขึ้น สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะออกเดินมุ่งหน้าไปยังโต๊ะอาหารที่วีร์และเพื่อนๆของเขานั่งอยู่ ซึ่งรวมถึงศศิทัศน์น้องชายของเขาเองก็นั่งอยู่ด้วยกัน

        “กูไม่ยักจะรู้นะว่ามึงสายตาสั้นด้วย” วีรมาตุเดินเข้ามาในระยะใกล้พอได้ยินเสียงของศศิทัศน์

        “อืม ปกติใส่คอนเทคเลนส์” วีร์ตอบพลางกินข้าวไปพลาง

        “แล้วไมวันนี้ใส่แว่นมาวะ” ศศิทัศน์ถามต่อ

        “ก็ปวดตานิดหน่อย”

       ทั้งศศิทัศน์ นพชัยและชัยทิศ ต่างก็สังเกตเห็นได้ว่าวีร์มีอาการตาแดงอยู่เล็กน้อย แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

        “แต่ก็ดีแล้วมึงกลับมาเรียนสักที หายไปตั้งหลายวัน อาจารย์ถามหาตั้งหลายคน” หนึ่งในฝาแฝดพูดขึ้นมา

        “ถามหากู? เพื่อ?”

        “งานครับงาน มีงานต้องส่งเพียบ เดี๋ยวมึงจะไม่มีคะแนนเก็บ” แฝดอีกคนตอบ

        “อืม รู้แล้ว”

       แล้วต่างคนก็นั่งเงียบไปได้พูดจาอะไรต่อ มองดูวีร์กินอาหารต่อไป

        “อ้าว เฮีย มีไรป่าว” ศศิทัศน์เงยหน้าขึ้นมาแล้วจึงมองเห็นพี่ชายของเขากำลังยืนอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่ยอมเดินเข้ามา ทำให้วีร์เงยหน้าขึ้นมองด้วย รวมถึงฝาแฝดนพชัยและชัยทิศก็หันหลังไปมอง

        “เชิญนั่งครับเฮีย เชิญนั่ง” พวกคู่แฝดต่างขยับที่นั่งของตัวเองไปข้างๆ และเชื้อเชิญให้วีรมาตุนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ตรงข้ามกับวีร์พอดี

       วีรมาตุยังไม่ละสายตาไปจากวีร์ เขายังตกอยู่ในห้วงภวังค์ของภาพที่เห็นแต่ก็ยังพอจะมีสตินั่งลงตรงหน้าวีร์ได้

        “น้องวีร์เป็นไงบ้าง โอเคแล้วยัง”

        “ก็ โอเคแล้วครับ” วีร์ตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มเล็กๆให้ พลอยทำให้วีรมาตุเผลอยิ้มตามด้วย

        “ดีแล้วครับ”

       แล้ววีร์ก็ก้มหน้าลงกินข้าวตามเดิม แต่วีรมาตุยังแน่นิ่งอยู่กับรอยยิ้มของตัวเองและมองดูรุ่นน้องตรงหน้าไปวางตา ศศิทัศน์เห็นโอกาสอันดีเช่นนี้จึงรีบออกตัวในทันที

        “เอ่อ มึง ไอ้กิ่งไอ้ก้าน กินเสร็จแล้วใช่ปะ” ทั้งสองคนนั้นหันมามองศศิทัศน์อย่างงงๆ “กินเสร็จแล้วก็ไป เอ่อ ไป...” ศศิทัศน์พยายามนึกหาเหตุผลที่ดูเข้าทีแบบปัจจุบันทันด่วน นพชัยและชัยทิศก็พลอยลุ้นไปด้วยว่าศศิทัศน์จะหาข้ออ้างอะไร

        “งานอาจารย์ยิ้มเสร็จแล้วเหรอ” สุดท้ายแล้วเป็นวีร์ที่เอ่ยออกมา ทำให้เพื่อนทั้งสามคนของเขาหันมามองด้วยความแปลกใจ วีร์จึงหันไปพูดกับเพื่อนๆเขาต่อ “กูเห็นใบงานใต้โต๊ะกูมีของอาจารย์ยิ้มด้วย ลงวันที่ไว้ว่าส่งวันนี้ ของกูยังพอมีข้ออ้างได้ว่าลาหยุดเลยเพิ่งรู้วันนี้ แต่ของพวกมึงอะ เสร็จแล้วยัง”

        “เออว่ะ” “ใช่ ลืมไปเลย” แล้วทั้งนพชัยและชัยทิศก็หันไปหาศศิทัศน์ “มึง ขอลอกหน่อย นะๆ” “กูรู้ว่ามึงทำเสร็จแล้ว”

       ศศิทัศน์กำลังสองจิตสองใจ เพราะนี่เป็นเหตุผลที่ดีที่จะดึงตัวเองออกมาและปล่อยให้วีร์และพี่ชายของเขาได้อยู่กันตามลำพัง แต่เขาก็ไม่อยากให้เพื่อนลอกงานส่งไปง่ายๆ เพราะอาจารย์ยิ้มหรืออาจารย์ชัยวัฒน์ขึ้นชื่อมากเรื่องตรวจงานละเอียดยิบ ถ้าจับได้ว่านักเรียนลอกงานกันมาส่งมีต้องโดนหักคะแนนเป็นแน่

       แต่ว่าความสุขของพี่ชายชนะทุกสิ่ง

        “จะลอกก็รีบไป เร็ว”

       แล้วทั้งสามคนก็กุลีกุจอลุกขึ้นเก็บจานอาหารแล้วจึงบอกลาวีร์และวีรมาตุไป วีรมาตุมองตามศศิทัศน์ที่ขยิบให้เขาขณะที่เดินออกไปจนพ้นประตูโรงอาหาร สายตาก็ไปสบกับเพื่อนๆของเขาที่มองมาทางนี้กันทุกคน แต่ละคนต่างมีท่าทางลุ้นๆให้เขาเดินหน้าทำคะแนน วีรมาตุส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความระอาใจแล้วก็หันกลับมาพบว่าวีร์กำลังมองเขาอยู่

       ตั้งแต่คนอื่นๆออกไปกันหมดเหลือเพียงพวกเขาที่นั่งอยู่กันแค่สองคน ความเงียบจึงกลับเข้ามาแทนที่เพราะยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา ได้แต่จ้องหน้ากันไปมาเท่านั้น

       วีรมาตุพยายามนึกถึงคำพูดว่าเขาควรจะพูดเรื่องอะไรอย่างไรดี เขาควรจะพูดให้กำลังใจวีร์หรือไม่ เขาไม่รู้ว่าในตอนนี้นั้นวีร์ยังต้องการอีกหรือเปล่า หรือว่าเขาควรจะปลอบใจอย่างไรที่ไม่ทำให้วีร์รู้สึกเศร้าใจไปอีก แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจได้นั้น

        “วีร์มีเรื่องจะถามเฮียหน่อยครับ” วีร์รวบซ้อมส้อมวางลงบนจาน และผลักจานออกไปด้านหน้าตัวเขาเล็กน้อย เขาวางแขนลงบนโต๊ะ มือทั้งสองข้างวางทับกันอยู่

        “อ๋อ ได้ครับ น้องวีร์อยากจะถามอะไรเฮียก็ว่ามาเลยครับ” วีรมาตุที่อึ้งไปเล็กน้อยก่อนที่จะรีบเก็บอาการของตัวเอง และรอคำถามจากคนตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ

        “ถึงตอนนี้แล้ว เฮียบอกได้แล้วยังครับว่าเฮียกับพี่วีคุยอะไรกัน”

       วีรมาตุรู้สึกกระอักกระอ่วนใจไปเล็กน้อยก่อนที่จะตอบ

        “เอ่อ... ก็แค่เรื่องเก่าๆน่ะ ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันนาน”

       แต่สายตาของวีร์ที่มองกลับมาทำให้วีรมาตุรู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันที แม้จะเป็นสายตาภายใต้กรอบแว่นอันนั้นก็ตาม

        “แน่ใจเหรอครับ” วีร์ถามย้ำอีกครั้ง

        “ก็ครับ มีแค่นั้นจริงๆ” วีรมาตุก็ย้ำคำตอบเดิม

        “ถ้าเฮียอยากจะยืนยันอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไรครับ” วีร์ฉีกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย

       ทั้งคู่ต่างหันมองไปทางอื่นรอบๆตัว วีร์ยังคงเห็นกล้องโทรศัพท์มือถือเล็งมาที่พวกเขาบ้างประปราย และคิดว่าเดี๋ยวก็คงจะมีรูปของพวกเขาในสื่อสังคมออนไลน์เป็นแน่ แล้วอีกไม่นานพวกเพื่อนๆเขาก็คงจะเอามาให้ดูอีกตามเคยเหมือนเมื่อคราวที่เขาและวีรมาตุไปเดินเลือกซื้อของขวัญให้คุณกร แต่ยังโชคดีที่ไม่มีรูปตอนที่พวกเขากำลังเลือกซื้อถุงยางอนามัยกัน ไม่เช่นนั้นคงจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นเป็นแน่

        “เอ่อ น้องวีร์จะตามงานที่ขาดทันมั้ยครั้บ” วีรมาตุทำลายความเงียบขึ้นมา

        “ยังไงก็คงต้องให้ทันครบทุกงานละครับ”

        “ยังเหลืออีกเยอะมั้ยครับ ให้เฮียช่วยอะไรมั้ย”

        “ก็งานที่ไอ้ต่ายเพิ่งเอาไปให้เมื่อวันเสาร์กับที่เห็นใต้โต๊ะวันนี้ ก็น่าจะเยอะอยู่นะครับ” วีร์พยายามนึกถึงงานที่ต้องทำส่งอาจารย์ทั้งหมด

        “งั้นเดี๋ยวตอนเย็นเอามาให้เฮียช่วยมั้ยครับ”

        “ไม่เป็นไรครับเฮีย น่าจะทำเองทัน”

        “แต่เฮียอยากจะช่วยจริงๆนะครับ”

        “เฮียครับ งานชมรมดนตรีก็ล้นมืออยู่แล้ว อีกอย่างเฮียต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหา’ลัยแล้วนะครับ”

        “แต่ว่า...”

        “เฮียครับ” วีร์รีบแย้งขึ้นมาก่อน “วีร์รู้ว่าเฮียคิดยังไงกับวีร์ ยิ่งตอนนี้ที่เฮียรู้ว่าวีร์ไม่มีใครแล้วเฮียเลยอาจจะรู้สึกว่าอยากจะรีบทำคะแนน”

       คำพูดของวีร์ทำเอาวีรมาตุนิ่งเงียบไป

        “วีร์ยอมรับว่าวีร์ก็รู้สึกดีกับเฮีย แต่วีร์ยังไม่พร้อมจะเปิดใจรับใครใหม่ในตอนนี้ เฮียเข้าใจใช่มั้ยครับ”

       ถึงวีรมาตุจะไม่อยากเข้าใจแต่เขาก็พยักหน้ารับ เพราว่าเขาคือคนที่มาทีหลัง ส่วนคนที่จากไปนั้นไม่ได้จากไปเพราะหมดรัก แต่จากไปทั้งๆที่รักกันอยู่และไม่มีวันที่จะได้เจอกันอีกแล้ว

        “เฮียเข้าใจครับ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ใครก็เข้าไปแทนที่กันได้”

        “วีร์เองก็ไม่ได้จะมองหาใครมาแทนที่เขา แต่วีร์ยังไม่พร้อมจะคิดเรื่องพวกนี้ในตอนนี้จริงๆ เรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้เหมือนเดิม ส่วนเรื่องอนาคตก็เป็นเรื่องของอนาคต”

       วีรมาตุก็พยักหน้าตามเล็กน้อย และวีร์ก็สังเกตได้ว่าวีรมาตุมีสีหน้าสลดลง เขาจึงตัดสินใจบางอย่าง

        “เฮียครับ เอาไว้ให้เฮียสอบหมอติดก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกันเรื่องนี้ โอเคมั้ยครับ” แล้ววีร์ก็ยื่นนิ้วก้อยข้างหนึ่งออกไปข้างหน้า

        ‘น้องชอบให้สัญญาด้วยนิ้วก้อย แต่ถ้าเกี่ยวแล้วน้องจะยึดตามสัญญานั้นไม่บิดพริ้วเลย’

       วีรมาตุเห็นนิ้วก้อยตรงหน้า ก็พลันนึกไปถึงคำพูดของวีรดนย์ว่าวีร์รักษาสัญญาที่เกี่ยวก้อยไว้ยิ่งชีวิต และขอให้เขายึดคำสัญญาไว้ด้วยเช่นกัน แต่หากว่าเขาไม่มั่นใจว่าจะทำได้ก็อย่าได้เกี่ยวก้อยกับวีร์เป็นอันขาด

       วีรมาตุเงยหน้าขึ้นมองวีร์ แล้วจึงตัดสินใจยื่นนิ้วก้อยของตัวเองออกไปเกี่ยวด้วย ทำให้ในตอนนี้ในใจของวีรมาตุคิดเพียงอย่างเดียวว่าต้องสอบติดคณะแพทย์ศาสตร์ให้ได้ก่อนเท่านั้น

*****

       อีกเรื่องหนึ่งที่แม้วีร์ยังไม่อยากจะเอาเข้ามาคิดให้รกหัวสมองในตอนนี้ แต่ก็ไม่อาจจะมองข้ามไปได้ เพราะสุดท้ายแล้วหากประวิงเวลาไปเรื่อยๆ หน้าท้องที่เริ่มใหญ่ขึ้นทุกวันไม่อาจจะปิดบังไปได้นาน เสียอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี

       สุดสัปดาห์นี้จึงเป็นการอยู่กันกับพร้อมหน้าเกือบครบทั้งครอบครัว นับตั้งแต่วันที่วีร์ได้รู้ว่าแม่แท้ๆของเขาเป็นใคร ทั้งยุทธ นุช และอรรวมถึงเอกแฟนหนุ่มของอร ต่างก็ขึ้นมารวมตัวกันด้วย ยกเว้นก็เพียงภูมิที่ติดภาระเรื่องการเรียนไม่อาจจะปลีกตัวมาได้ทำให้ขาดไปแค่คนเดียว และทันทีที่ทุกคนเดินทางมาถึง ธีร์และวนกรต่างก็เชิญทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหาร โดยวีร์เดินตามมาด้วยอย่างเสียไม่ได้

        “ก็ ไม่รู้ว่าทุกคนจะยังจำน้องวาได้รึเปล่า” ธีร์เริ่มอารัมภบท

        “จำได้สิ ก็เพื่อนห้องเดียวกับภูมิใช่มั้ย” อรพูดแทรกขึ้นมา

        “อร!” นุชส่งเสียงเตือนลูกสาวคนโต

        “อะไรแม่ ก็น้องเขารุ่นเดียวกันกับภูมิไม่ใช่เหรอ”

        “มันก็ใช่ แต่...” นุชพยายามส่งสัญญาณให้อรรู้โดยเพยิดหน้าไปทางวีร์ที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ

        “นุ้ยรู้แล้วว่าพี่วาคือแม่ของนุ้ย”

       เสียงของวีร์ทำเอาคนอื่นๆหันมามองเขาเป็นสายตาเดียวกัน

        “อ๋อ คนนี้เองหรอกเหรอ”

        “พี่เอก!” อรกระตุกแขนแฟนหนุ่มของเธอ จนเอกทำหน้าเหรอหรา แล้วหันมาขอโทษกับทุกคน

        “ก็ นั่นแหล่ะครับ นี่น้องวา เป็นแม่แท้ๆของวีร์แล้วก็...” ก่อนที่ธีร์จะพูดจบวีร์แทรกขึ้นมาซะก่อน

        “เข้าเรื่องเลยเถอะพี่ธีร์”

        “ก็ คือ เราตัดสินใจจะกลับมาคบหาดูใจกันอีกครั้ง แล้วก็เดี๋ยวธีร์จะเข้าไปบ้านน้องวาไปขอ...”

        “พี่ธีร์” วีร์พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามช่วยกรุยทางลัดให้เข้าเรื่องโดยเร็วที่สุด “เข้าเรื่องสักทีเหอะ”

        “นี่ไง พี่กำลังจะบอกว่าเดี๋ยวพี่กับวาจะ...”

        “พี่วากำลังท้อง”

       ทุกคนต่างนิ่งเงียบกันเมื่อได้ยินดังนั้น แต่ละคนต่างนึกว่าที่พวกเขาถูกเรียกตัวขึ้นมาก็แค่ไปเป็นกำลังเสริมเพื่อช่วยเกลี่ยมกล่อมให้พ่อและแม่ของวนกรยอมใจอ่อนยกโทษและยอมให้ทั้งสองคนได้คบหาดูใจกัน แต่หากว่าคนที่บ้านโน้นรู้ว่าสองคนนี้กลับชิงสุกก่อนห่ามเป็นรอบที่สองด้วยแล้วละก็ คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเป็นแน่

       ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือทำอะไรต่อไปดี

        “เป็นลูกผู้ชาย กล้าทำแล้วก็ต้องกล้ายอมรับ” ยุทธพูดขึ้นมา “รอบนี้จะเอายังไง ไม่ใช่เด็กๆแล้ว จะจัดการยังไง”

       ธีร์และวนกรต่างกุมมือของกันและกัน ธีร์มั่นใจอยู่แล้วว่าครอบครัวของเขายังเป็นที่เพิ่งทางใจให้ได้ แต่ว่าทางครอบครัวของวนกรนั้นยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

        “เดิมทีตั้งใจว่าจะเข้าไปขอขมาคุณพ่อน้องวาก่อน แล้วก็จะสู่ขอน้องวาแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่ว่าน้องวาเกิดท้องเสียก่อน แล้วก็...” ระหว่างที่ธีร์กำลังพูดก็มีเสียงพึมพำจากข้างๆว่าทั้งคู่ทำอะไรไม่รู้จักคิด จนธีร์หันไปมองแต่ก็พูดต่อไป “มีเรื่องของเจ้าวีลูกของอาวิรัชกับน้าจิขึ้นมาด้วย ก็เลยยังไม่ได้ทำอะไรต่อ”

       วีร์เสหน้าออกไปทางอื่น เมื่อเรื่องของวีรดนย์ถูกยกขึ้นมาในวงสนทนา แม้ว่าเขาจะทำใจได้บ้างแล้วแต่ร้องรอยแห่งความเสียใจยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่

        “แล้วนี่จะไปกันวันไหนละ” นุชหันไปถามขณะที่เธอกำลังลูบบ่าลูบแขนปลอบใจวีร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ

        “คิดว่าจะไปกันพรุ่งนี้เลย” ธีร์หันมาบอกแม่ของเขา

        “แล้วให้พ่อกับแม่ไปด้วยมั้ย” ยุทธถามธีร์

        “อืมม คิดว่าเข้าไปกันแค่สามคนก่อน มากคนเดี๋ยวเขาจะคิดว่าเราเอาพวกเข้าข่ม”

        “แล้วเราละ คิดยังไง” นุชถามวนกร

        “วาลองคุยกับแม่แล้วค่ะ”

        “แล้วแม่เขาว่ายังไงบ้าง” ในตอนนี้ไม่เพียงแค่นุช แต่ทุกคนหันมาสนใจคำตอบของวนกร

        “แม่ก็ลองเลียบเคียงคุยกับพ่อให้ดูก่อนว่าพ่อยังโกรธอยู่อีกรึเปล่า ส่วนที่จะเข้าไปกันวันไหนให้บอกแม่ก่อน แม่กับเขมจะได้เตรียมตัวกันไว้ได้ทัน”

        “แล้วพ่อเขาโอเคมั้ย” ยุทธเป็นฝ่ายถามบ้าง

        “แม่บอกว่าพ่อเขาไม่ยอมคุยด้วย แค่เกริ่นไปนิดหน่อยพ่อเขาก็ตัดบทเลย” วนกรถอนหายใจยาว

        “แล้วจะรอดกันมั้ยเนี่ย” อรได้แต่บ่นพึมพำ เพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรเหมือนกัน

        “ถึงไม่คิดว่าจะรอดแต่ก็ต้องเข้าไปอยู่ดี ปล่อยยืดเยื้อได้ที่ไหน เดี๋ยวท้องก็โตขึ้นอีกเรื่อยๆทุกวันๆปิดไม่ได้นานหรอก” นุชบอกทั้งธีร์และวนกร

        “บอกแม่เขาแล้วใช่มั้ยว่าจะเข้าไปพรุ่งนี้” ยุทธถามวนกร

        “ค่ะ” วนกรตอบเพียงสั้นๆ ยุทธก็พยักหน้าตอบรับ

        “แล้วนุ้ยละ ว่ายังไง” อรหันไปถามเด็กน้อยของบ้าน

        “อะไร” วีร์แกล้งทำเป็นงงกับคำถาม จนอรถึงกับกรอกตามอง

        “ก็เรื่องนี้ไง นุ้ยจะว่ายังไง โอเคมั้ย” อรถามย้ำอีกครั้ง

        “แล้วนุ้ยเกี่ยวไรด้วย เรื่องของพี่ธีร์กับพี่วา ก็จัดการกันเองดิ” วีร์ตอบกลับแล้วก็ยักไหล่เหมือนไม่ได้ใส่ใจ

        “จนป่านนี้แล้วยังเรียกพี่ธีร์กับพี่วาอีกเหรอ เรียกพ...”

        “ก็เรียกว่าพี่ธีร์มาแต่ไหนแต่ไร จะเปลี่ยนทำไม” วีร์รีบพูดตัดบทก่อนที่อรจะพูดจบ “หรือจะให้เรียกป้าด้วยอีกคน”

        “เอ๊....!” อรถึงกับร้องเสียงหลงขึ้นมาในทันที

        “ทำไม ไม่ดีใจเหรอ ป้าอร” วีร์ทำหน้ายียวนกวนประสาทใส่พี่สาวคนโตที่พ่วงตำแหน่งป้าไปด้วย จนอรแทบจะลุกขึ้นเดินไปหาวีร์แต่เอกรั้งตัวให้นั่งอยู่กับที่ไว้ก่อน การปะทะแบบย่อมๆทางฝีปากระหว่างทั้งสองก็ไม่อาจจะกลบความอึมครึมของว่าที่พ่อและแม่ของลูกคนที่สองไปได้

        “เอาเถอะ เรื่องเกิดขึ้นแล้ว ก็แก้ไขไปทีละจุด” นุชพยายามเปลี่ยนบรรยากาศ “ไป เตรียมตัวกัน เดี๋ยวออกไปหาอะไรกินข้างนอกกัน”

       จากนั้นแต่ละคนจึงลุกออกจากโต๊ะอาหารไป บ้างก็เข้าห้องน้ำ บ้างก็ออกมารอข้างนอก บ้างก็เก็บของเก็บบ้านปิดประตูปิดหน้าต่างให้เรียบร้อย จนทุกคนพร้อมกันในรถแล้ว รถคันนำมีธีร์เป็นคนขับ วนกรนั่งด้านข้างและวีร์นั่งเบาะหลัง ส่วนรถคันตามมีเอกเป็นคนขับ อรนั่งด้านข้าง ส่วนยุทธและนุชนั่งตอนท้าย แล้วทั้งหมดก็มุ่งหน้าสู่ห้างสรรพสินค้า



[อ่านต่อหน้าถัดไป]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 03-07-2021 00:35:41
       เป็นเรื่องธรรมดาของห้างสรรพสินค้าไม่ว่าอยู่ในจังหวัดอะไรที่มักจะมีผู้คนมากหน้าหลายตามารวมอยู่กันโดยเฉพาะในวันหยุดดังเช่นวันนี้ จุดประสงค์ของแต่ละคนที่มาที่นี่มีหลากหลายแตกต่างกันออกไป

       ดังเช่นวีรมาตุที่มาเลือกซื้อชิ้นส่วนเครื่องดนตรีเพื่อไปซ่อมแซมเครื่องดนตรีของชมรมที่โรงเรียนตามงบประมาณที่เสนอไป ในฐานะประธานชมรมที่กำลังจะหมดวาระ เขาจึงพยายามจัดการเรื่องภายในให้เรียบร้อยก่อนที่ประธานชมรมคนใหม่จะมารับหน้าที่ต่อจากเขาได้อย่างราบรื่น แม้ว่าในส่วนเรื่องการเรียนของตัวเองก็ยังวุ่นวายอยู่ไม่น้อยไปกว่ากันก็ตาม

        “อ้าว เฮีย มาทำอะไรเหรอครับ”

       วีรมาตุชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอกันในวันนี้ เขาหันไปเจอวีร์ที่แต่งตัวตามสบายและใบหน้าที่ปราศจากแว่นสายตา แต่นั้นก็ไม่ได้ทำความความน่ารักสดใสของวีร์ในสายตาของวีรมาตุลดลงเลย และเมื่อมองเลยไปก็เห็นกลุ่มคนกลุ่มใหญ่หยุดชะงักไปด้วย ในจำนวนนั้นมีคนที่เขารู้จักอย่างธีร์ พ่อและแม่ของวีร์ รวมไปถึงพี่สาวของเพื่อนสนิทของเขาอย่างวนกรที่ยืนอยู่ด้วยกัน

        “เอ๋... เอ่อ... อ๋อ... เฮียมาซื้อของเข้าชมรมอะครับ” วีรมาตุตอบพร้อมกับหันไปยกมือไหว้ทักทายคนอื่นๆ ทุกคนส่วนใหญ่ก็รู้จักและเคยเจอวีรมาตุกันแล้วจึงยกมือรับไหว้ แม้แต่กับอรและเอกที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกก็รับไหว้เช่นกัน

        “นั้นพี่อร แล้วก็พี่เอกแฟนที่อร วันนี้ขึ้นมาด้วย” วีร์แนะนำคนที่เหลือให้วีรมาตุรู้จัก

        “วีร์ยังเหลือพี่ชายอีกคนใช่มั้ย” วีรมาตุหันมาถามวีร์

        “อ๋อ ใช่ พี่ภูมิ ติดเรียนอยู่ไม่ได้มา”

       วีรมาตุก็พยักหน้ารับ

        “ใกล้จะสอบแล้ว ยังวุ่นเรื่องชมรมอีกเหรอเรา” วนกรหันมาคุยกับวีรมาตุ ในกลุ่มของพวกผู้ใหญ่ก็มีเธอที่สนิทกับวีรมาตุมากที่สุด “พี่ไม่เป็นคุณจะทำอะไรแล้วเลย แถมหนังสือก็ไม่อ่านอีก”

        “ของชมรมฟุตบอลเขาปิดรายงานไปตั้งแต่แข่งบอลม.ปลายจบแล้วครับ กว่าจะคัดตัวใหม่อีกที่ก็เปิดเทอมหน้าโน้นเลย ไอ้คุณมันก็เลยสบายตัวไปแล้ว”

        “ชวนคุณอ่านหนังสือด้วยบ้างสิ เห็นติดโควตานักกีฬาแล้วไม่สนใจอะไรเลย พี่กลัวคุณมันไม่จบแล้วโควตาที่ได้มันจะเสียเปล่า”

        “ผมว่าคุณเอาตัวรอดได้นะครับ ถึงจะไม่ได้เกรดดีเลิศ แต่รับรองได้ว่าจบแน่นอน”

       วนกรพยักหน้ารับ เธอรู้ดีว่าน้องชายของเธอไม่ได้เรียนเก่งอะไรมากมาย ยังดีที่ว่ามีทักษะฝีมือกีฬาดีเลยยังมีโอกาสสำหรับชีวิตที่ดีในอนาคต แต่ละคนก็มีทางเดินที่ถนัดของตัวเอง

        “นี่วากับวีรู้จักกันด้วยเหรอ” นุชเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อเห็นบทสนทนาระหว่างจบลง

        “อ๋อ ค่ะ... วีเขาเป็นเพื่อนสนิทของน้องชายคนเล็กของวาค่ะ” วนกรหันมาตอบนุช

        “ชื่อวีด้วยเหรอเรา” อรพูดแทรกขึ้นมากลางวงด้วยน้ำเสียงแปลกใจปนหยอกเอินเล็กน้อย “นี่ถ้าบอกว่ามีน้องชื่อต่ายด้วยเนี่ย พี่จะนึกว่าเรามาจีบเจ้านุ้ยแล้วนะเนี่ย” แล้วเธอก็หัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะหุบยิ้มลงเมื่อเห็นสีหน้าของแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ น้องชาย แฟนของน้องชาย รวมไปถึงน้องชายคนเล็กที่พ่วงตำแหน่งหลานชายไปด้วย จะมีก็เพียงเอกแฟนหนุ่มของเธอที่ไม่ได้มีอาการเหมือนคนอื่นๆ “อะไร มีอะไรกันเหรอ หรือว่า...”

       วีรมาตุอ้าปากค้างไม่กล้าจะพูดอะไรออกมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากยอมรับสิ่งที่อรพูด แต่เพราะเขาได้ตกลงกับวีร์ไปเรียบร้อยแล้วว่าในตอนนี้เขาและวีร์จะยังคงรักษาความสัมพันธ์แบบพี่น้องไปก่อน จนกว่าเขาจะสอบเข้าคณะแพทย์ได้เสียก่อน

       ส่วนวีร์ถึงกับส่ายหน้ากับพี่สาวที่พ่วงตำแหน่งป้าไปด้วย

        “ครับ เฮียเขาชื่อวีรมาตุ มีน้องชื่อต่าย เป็นเพื่อนห้องเดียวกะนุ้ยเอง พอใจยัง”

        “อันนี้นุ้ยพูดเล่นใช่มั้ย” อรถามวีร์ย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

        “แล้วนุ้ยจะพูดเล่นทำไม”

        “นี่ๆ หยุดเล่นกันได้แล้ว” นุชร้องห้ามทั้งอรและวีร์ก่อนที่เรื่องจะเลยเถิด “อรกับเอกไปจองโต๊ะก่อนเลยไป เดี๋ยวคนจะเต็มซะก่อน”

        “ค่า ไม่อยากรู้แล้วก็ได้” อรทำเป็นสะบัดหน้าไม่สนใจใยดีแล้วก็หันไปจูงมือของแฟนหนุ่มเดินออกไป แต่ก็หันกลับมาเอ่ยถามเสียก่อน “แล้วจะให้จองกี่คน 7 คนเหมือนเดิม หรือว่าจะให้เพิ่มอีก 1 เป็น 8”

        “8 ไปเลย ไปได้แล้ว” นุชรีบรวบรัดตัดความ และมองดูลูกสาวคนโตสะบัดบ๊อบเดินออกไป “วี ยังไม่รีบกลับใช่มั้ย อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะ” นุชเอ่ยชวนวีรมาตุร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน

        “ไม่ดีกว่าครับ ผมเกรงใจ” วีรมาตุอ้อมแอ้มตอบไปอย่างเสียไม่ได้แม้ว่าในใจจะอยากไปด้วยมากก็ตาม

        “เกรงใจอะไรกัน ไปด้วยกันนี่แหละ” นุชยังคงยืนยัน “ไม่มีอะไรต้องไปทำแล้วใช่มั้ย”

        “เอ่อ... ก็ไม่มีแล้วครับ” วีรมาตุยังคงเกรงใจอยู่

        “งั้นก็ไปกินด้วยกัน นุ้ย ชวนพี่เขาไปด้วย” เป็นยุทธที่ยื่นคำขาด แล้วก็บอกให้ทุกคนออกเดินกันได้แล้ว

       เหลือวีร์และวีรมาตุที่ยังยืนอยู่กันสองคนก็หันมามองหน้ากัน

        “ถ้าเฮียติดธุระจริงๆ เดี๋ยววีร์บอกพ่อกับแม่ให้เองครับ”

        “ไม่เป็นไรครับ เฮียเสร็จธุระแล้ว” วีรมาตุรีบตอบในทันควัน จนวีร์สะดุ้ง

        “อ๋อ ครับ... งั้นก็ไปกัน”

       ทั้งสองคนจึงรีบออกเดินตามไปให้ทันพวกผู้ใหญ่ที่เดินนำไปไกลแล้ว จุดมุ่งหมายเป็นร้านอาหารแบบบุบเฟต์อาหารทะเล เพราะตัวอ่อนในครรภ์กำลังเรียกร้องอยากกินปูอยากกินกุ้ง จึงเหลือตัวเลือกไม่มากนัก

       เมื่อไปถึงที่ร้าน อรและเอกได้จัดการสั่งอาหารเรียบร้อยแล้ว คนอื่นๆที่เหลือแยกย้ายกันไปเลือกอาหารที่ตัวเองอยากจะกิน ยุทธและนุชถูกจับให้นั่งลงอยู่กับที่โดยลูกๆจะเป็นผู้บริการยกอาหารมาให้ ธีร์ก็ให้วนกรนั่งรออยู่ที่โต๊ะด้วยเช่นกัน

       ส่วนวีรมาตุก็อาสาจะไปตักอาหารมาเผื่อให้วีร์ด้วยเช่นกันแต่ฝ่ายหลังไม่อยากนั่งรอเพียงอย่างเดียว วีรมาตุเห็นดังนั้นจึงไหว้วานให้วีร์ไปเอาเครื่องดื่มมาให้เขาแทน อีกฝ่ายจึงยอมรับคำ

       ธีร์คอยบริการให้ทั้งยุทธและนุชที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาและวนกรที่นั่งอยู่ข้างๆ คอยแกะเปลือกกุ้งกระดองปูใส่จานของแต่ละคน ส่วนวีร์ที่เห็นท่าทางการแกะเปลือกกุ้งของวีรมาตุแล้วก็อดรนทนไม่ได้ คว้ากุ้งในมือของวีรมาตุมาจัดการแกะให้แล้วจึงวางใส่จานของวีรมาตุ รวมถึงกุ้งตัวอื่นๆด้วย

        “ไอ้เราก็เป็นห่วงนึกว่าจะยังตรอมใจอยู่ ที่ไหนได้มาถึงแล้วก็เห็นนั่งสบายใจอยู่เฉยเลย ตอนแรกก็นึกสงสัยอยู่ ที่แท้ก็มีคนใหม่แล้วนี่เอง” อรเปิดสงครามขนาดย่อมขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เธอมองอากัปกิริยาของสองคนตรงหน้าเธอมานานแล้ว

        “อร!” นุชหันมาปรามลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ “ไม่ใช่เรื่องที่เอามาพูดเล่นกัน”

       อรมองสีหน้าของแต่ละคนบนโต๊ะอาหารแล้วก็สลดลง เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะพูดไปก็คิดได้ว่าเธอพูดแรงไปจริงๆ แต่ก่อนที่เธอจะได้เอ่ยอะไรต่อ...

        “ช่างป้าอรเขาเถอะ” วีร์ก็สวนกลับขึ้นมาเสียก่อนจนอรอยากจะกลืนความรู้สึกผิดลงท้องไปในทันที “พี่เอก ปากป้าอรว่างแล้ว ทำงานด่วน”

        “อะจะ ได้จะ” เอกรีบบริการอาหารและเครื่องดื่มยื่นให้ถึงปากของอรในทันทีจนอรต้องปัดมือหลบหลีกเป็นพัลวัน แล้วก็หันมาชี้หน้าวีร์ที่กำลังยิ้มมุมปากเยาะเย้ยพอเป็นพิธี แต่มือก็กำลังแกะเปลือกกุ้งให้กับวีรมาตุและของตัวเองสลับกันไป

       หัวข้อสนทนาระหว่างมื้ออาหารจึงเปลี่ยนกลับมาเป็นเรื่องทั่วไปตามเดิม จนกระทั่งเสร็จสิ้น

       เมื่อไม่มีใครต้องการจะทำอะไรต่อ ทั้งหมดจึงคิดที่จะเดินทางกลับบ้านกันเลย นั้นหมายถึงเวลาที่ต้องลาจากคนที่หมายปองของวีรมาตุด้วยเช่นกัน

        “เฮียมายังไงเหรอครับ” วีร์หันมาถามขณะที่กำลังเดินตามคนอื่นๆที่เดินผ่านส่วนต่างๆของห้างสรรพสินค้าไปยังลานจอดรถ

        “เฮียเอารถมาครับ แล้วบ้านน้องวีร์เอารถมากี่คัน นั่งกันพอรึเปล่า ให้เฮียไปส่งเอามั้ยครับ”

        “สองคันครับ ของพี่ธีร์กับของพี่เอก”

       วีรมาตุก็พยักหน้ารับ รู้สึกเสียดายอยู่เล็กน้อย

        “อืม ว่าแต่พี่ธีร์กับพี่วาเขาสนิทกันเหรอ” วีรมาตุถามข้อสงสัยมาตั้งแต่ที่เขาเห็นวนกรรวมกลุ่มอยู่กับครอบครัวของวีร์ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามใคร รวมถึงรู้สึกเกรงว่าจะเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

        “เขาก็... กำลังดูๆใจกันอยู่” วีร์เองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะบอกความสัมพันธ์ระหว่างเขากับธีร์และวนกรอย่างไรดี

        “จริงเหรอ”

        “ก็... ครับ”

        “อย่างนี้แล้ว ไอ้หมูกับน้องวีร์ก็มีแววจะดองเป็นญาติกันแล้วละสิ” วีรมาตุนึกไปถึงความสัมพันธ์ว่าถ้าธีร์และวนกรคบหาดูใจกัน วีร์และคุณกรก็จะกลายเป็นญาติทางกฎหมายไปโดยปริยาย แล้วถ้าหากเขาและวีร์สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ไปได้อีกขั้นจริงๆแล้วนั้น เขาก็จะสามารถนับญาติกับเพื่อนสนิทได้อีก

        “ก็... ประมาณนั้นมั้งครับ” ในใจของวีร์ก็คิดว่าระหว่างเขากับคุณกรนั้นไม่ได้ใกล้ชิดกันแค่จะได้ดองเป็นญาติกัน แต่ว่าได้เป็นถึงน้าและหลานกันจริงๆไม่อิงนิยายใดๆเลย

        “ถ้ามันรู้ก็คงจะรู้สึกแปลกพิลึก” วีรมาตุยังนึกขำกับความคิดของตัวเองอยู่

        “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้” วีร์พึมพำเบาๆ

        “ครับ?” วีรมาตุหันมามองด้วยความสงสัยว่าวีร์พูดอะไรไป จนวีร์เลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้างเป็นการถามกลับไป “เมื่อกี้น้องวีร์ว่าอะไรเหรอครับ”

        “ไม่มีอะไรครับ ว่าแต่เฮียอย่าลืมกลับไปทำแผลซะใหม่นะครับ” วีร์มองดูวีรมาตุยกมือของตัวเขาเองขึ้นมาดู ที่ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางข้างขวามีแผ่นพลาสเตอร์ปิดอยู่

        “ครับ จริงๆมันก็ไม่เป็นอะไรมากนะครับ แค่กรีมันตำไปไม่กี่แผลเอง”

        “เฮียครับ นอกจากกรีกุ้งตำนิ้วแล้วเฮียก็โดนกระดองปูบาดด้วยนะครับ อย่าลืมสิว่าเฮียกำลังจะสอบเป็นหมอนะครับ ความสะอาดคือเรื่องสำคัญ ถึงจะเป็นนิดหน่อยก็ระวังไว้ก่อน” วีร์พูดเชิงเล่นเชิงจริงจัง

        “ครับ เฮียรู้แล้วครับ” วีรมาตุยิ้มกว้างตอบกลับ

        “งั้นวีร์กลับก่อนนะครับ ไว้ค่อยเจอกันที่โรงเรียน” วีร์เอ่ยลาวีรมาตุเพราเห็นว่าทุกคนขึ้นรถไปกันหมดแล้ว

        “ครับ ไว้เจอกัน” วีรมาตุรอจนวีร์ขึ้นนั่งด้านหลังของรถยนต์ที่มีธีร์เป็นผู้ขับและมีวนกรนั่งอยู่ด้านข้างคนขับ แล้วเขาก็ปิดประตูให้ ก่อนที่จะยกมือขึ้นโบกลา

*****

       การพบปะกันระหว่างพ่อตาและลูกเขยนั้นไม่ค่อยจะราบรื่นเสียเท่าไหร่ ฤทธิกรยังคงตั้งแง่รังเกียจทุกคนที่มาจากครอบครัววรรัญญา เพราะว่าคนจากครอบครัวนั้นนำความอับอายมาสู่ครอบครัวของเขา แค่เพียงเห็นหน้าธีร์ที่กำลังเดินผ่านประตูรั้วบ้านเข้ามาแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันมานานกว่าสิบห้าปีแล้วก็ตาม ความรู้สึกโกรธและแค้นก็ผุดขึ้นมาเต็มความคิดในหัวสมอง

       ยังดีที่ว่ามีเขมกรคอยฉุดรั้งอารมณ์ที่พลุ่งพล่านให้คลายลงบ้าง

       แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนที่ดีใจ นวลจันทร์เฝ้ารอโอกาสนี้มานานแสนนานจนเคยมีความคิดที่จะเลิกหวังไปเสียแล้ว ถ้าหากว่าเธอไม่ได้เห็นหน้าคร่าตาของวีร์เมื่อคราวงานวันเกิดของลูกชายคนเล็กของเธอตอนวันสิ้นปี แม้ในตอนแรกนวลจันทร์แค่เพียงรู้สึกคุ้นตาเด็กคนนั้นเสียเหลือเกิน แต่ก็เก็บงำความรู้สึกนั้นไว้ จนเธอมาบังเอิญได้ยินว่าเด็กคนนั้นนามสกุลวรรัญญา แม้จะไม่มีอะไรในตอนนั้นมาพิสูจน์แน่ชัด แต่นวลจันทร์ก็เชื่ออย่างสนิทใจในทันทีว่าวีร์คือหลานของเธอ

       วันนี้เธอจึงได้รู้จักหลานของเธออย่างเป็นทางการ

       ส่วนคนที่รู้สึกประหลาดใจมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นคุณกร เพราะตอนที่เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นนั้นเขาเพิ่งจะมีอายุไม่ถึงสองขวบปีดี คุณกรเติบโตมาโดยรับรู้ว่าพี่สาวคนโตต้องไปอยู่กับตาและยาย นานๆถึงจะได้เจอกันเสียที จนกระทั้งวนกรเข้าเรียนมหาวิทยาลัยถึงได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน

       แค่เรื่องที่วนกรกำลังคบหาดูใจกับธีร์ก็ทำให้คุณกรประหลาดใจมากพอแล้ว เพราะเขาเองก็ไม่ได้ระแคะระคายในความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากก่อนเลย ยิ่งได้รู้ว่าตอนนี้วนกรกำลังตั้งท้องแล้วด้วยยิ่งเพิ่มความประหลาดใจมากขึ้นไปอีก พี่สาวคนโตของเขากำลังตั้งท้องก่อนแต่งแม้ว่าจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกยินดีกับทั้งคู่ด้วยเช่นกัน

       แต่การรับรู้ว่าอันที่จริงแล้วนี่เป็นการตั้งท้องครั้งที่สองของวนกรต่างหากที่ทำให้คุณกรงุนงงไปอยู่นาน ในหัวสมองของเขาคิดไปต่างๆนานา พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดว่าถ้านี่คือครั้งที่สองแล้วครั้งแรกคือเมื่อไหร่ จนเมื่อความจริงทุกอย่างถูกเฉลยออกมาว่าเขาไม่ได้กำลังจะเป็นแค่พี่น้องกับวีร์ ไม่ได้เป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องที่โรงเรียน และไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทที่คนที่ชอบวีร์ แต่เขาเป็นน้าแท้ๆของวีร์

       ช่วงสุดท้ายของการสนทนาในวันนั้น ฤทธิกรยังคงไม่ให้อภัยสิ่งที่ธีร์เคยทำไว้ในอดีตแต่ก็ไม่อาจฝืนชะตากรรมที่ว่าทั้งสองคนคงทำบุญบาปร่วมกันมาและให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ นวลจันทร์รู้สึกดีใจที่ครอบครัวของลูกสาวได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้าครบสมบูรณ์รวมถึงได้เจอกับหลานคนโต เขมกรยินดีกับพี่สาวของตัวเองและพร้อมรับตำแหน่งน้าชาย ส่วนคุณกรยังคงงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้

       ถึงทุกคนจะไม่ได้เห็นด้วยในข้อสรุป แต่ธีร์และวนกรตกลงกันว่าจะวางแผนย้ายไปอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกและเตรียมพร้อมรับสมาชิกคนที่สี่ที่จะออกมาลืมตาดูโลกในอีกไม่ช้า หลังจากนั้นพวกเขาจะค่อยบอกกล่าวคนรู้จักอื่นๆ เพื่อนร่วมงานรวมถึงหัวหน้างานของแต่ละคน ไปจนถึงญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย และตัดสินใจจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนเรื่องงานแต่งงานนั้น...

        “จะจัดงานแต่งทำไมอีก จะลูกสองแล้วนะ เสียเวลาเปลืองเงินเปล่าๆ”

       แต่ละคนต่างหันมามองวีร์เป็นตาเดียวทันทีที่เขาพูดโพล่งออกมากลางวงสนทนา เด็กหนุ่มกำลังนั่งกอดอกเสหน้าไปทางอื่นแบบไม่ได้สนใจอะไรในเรื่องพวกนี้มากนักและดูเหมือนจะติดรำคาญนิดหน่อยด้วย ท่าทางแบบนี้ของวีร์ทำเอาทุกคนต่างพูดไม่ออกไปต่อไม่ถูก จะมีก็เพียงคนใจแข็งที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครกำลังพยายามเก็บรอยอมยิ้มเล็กๆไว้ในใจเพราะมีใครได้พูดความในใจออกมาแทนเขาได้เป็นอย่างดี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มเปิดใจยอมรับในตัวหลานชายคนโตของตัวเอง แต่กระนั้นถ้าหากจะให้ยอมรับอย่างเต็มใจก็ยังคงต้องใช้เวลา

*****

        “ว่าไงจ๊ะหลานรัก” คุณกรเข้ามาทักทายวีร์และกลุ่มเพื่อนๆที่กำลังนั่งอยู่ในโรงอาหาร โดยมีเพื่อนๆของเขาเองรวมถึงวีรมาตุเดินตามมาด้วย “ที่นั่งว่างมั้ย นั่งด้วยคนสิ”

        “ก็เอาสิครับ”

       คุณกรนั่งลงข้างๆวีร์พร้อมเอาแขนโอบบ่าของวีร์ไว้ ทั้งพร้อมสรรพ ไมตรีจิต ชัชวาล รวมถึงวีรมาตุต่างงุนงงกับท่าทางสนิทสนมกันระหว่างคุณกรและวีร์ โดยเฉพาะวีรมาตุที่ออกอาการไม่พอใจเพื่อนของเขาค่อนข้างชัดเจน แม้กระทั้งกลุ่มเพื่อนของวีร์เองก็ตามต่างมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าคุณกรจะมาไม้ไหนในวันนี้

       ส่วนวีร์ยังคงนั่งกินอาหารของตัวเองไปตามปกติ

        “กูว่านะ ถึงมึงจะเป็นเพื่อนสนิทแต่ถ้ามึงไม่อยากตายตอนนี้ มึงเอาแขนลงจะดีกว่า” พร้อมสรรพพยักพเยิดหน้าไปทางแขนของคุณกร

        “อะไร” คุณกรตอบแบบยังไม่รู้ตัว

        “ไอ้วีตาเขียวปัดแล้วมึง” ชัชวาลผงกศีรษะไปด้านข้างจนคุณกรมองตามและเห็นแววตานิ่งดุดันของวีรมาตุ

        “โอ้ยมึง กูยังชอบผู้หญิงอยู่ กูไม่แย่งของมึงหรอกหน่า” คุณกรพูดให้เพื่อนคลายใจ แล้วก็ดึงวีร์เข้ามาใกล้ๆเขามากกว่าเดิมจนวีร์ตัวเซตามแรงดึงและหันไปเห็นสีหน้าของวีรมาตุ “แล้วอีกอย่างนะ ถึงกูจะเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชาย กูก็ไม่นิยมอินเซสท์ ยูโนว”

        “อะไรของมึง พูดมาให้มันชัดๆ” วีรมาตุมีสีหน้าอ่อนลงแต่น้ำเสียงยังคงขึงขัง

       แต่ก่อนที่คุณกรจะตอบก็ถูกวีร์กระทืบเท้าเบาๆซะก่อนจนเขาหันหน้ามามองวีร์ ก็พบกับแววตาที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ก็ได้แต่คิดในใจว่าสมแล้วที่เกิดมาเป็นตาหลานกัน แล้วคุณกรก็เอามือของตัวเองออกจากบ่าของวีร์แล้วก็เริ่มลงมือตักอาหารของตัวเองกิน

        “เอาเป็นว่ากูไม่แย่งของมึงก็แล้วกัน ถ้าจะแย่ง กูแย่ง...” คุณกรเหล่ตามองคนสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆวีร์ “...ดีกว่า”

       สุรศักดิ์เองก็ไม่น้อยหน้า ยืดตัวเองขึ้นสูงและขยับบ่าเล็กน้อยพอเป็นพิธี แสดงตัวตนว่าพร้อมสู้รบเต็มที่ ถ้าหากไม่โดนใครมาตัดกำลังใจซะก่อน

        “หึๆ ยังมีหน้ามาอวดเบ่ง แต่ความเป็นจริงก็กากกันทั้งคู่” ชัชวาลตบความมั่นใจของสุรศักดิ์และคุณกรดำดิ่งเหลือศูนย์ในทันที

        “แล้ววาเลนไทน์ที่ผ่านมามีใครได้ชวนน้องแพรไปออกเดทได้บ้าง ห๊ะ ไม่มีสักคน” ไมตรีจิตตอกย้ำด้วยคำพูดอีกคนจนมีเสียงหัวเราะออกมาจากหลายคน

        “ผมนี่ไง” วีร์เอ่ยขึ้นมาลอยๆ

        “ของมึงเขาไม่นับ” พร้อมสรรพสวนกลับในทันที “แล้วก็เลยนึกได้ ไอ้นี่ก็กากเหมือนกัน”

       วีรมาตุกรอกตาหันไปทางอื่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากชวนวีร์ออกไปไหน แต่เพราะว่าเขากับวีร์ตกลงกันไว้ว่าจะรักษาระดับความสัมพันธ์ในตอนนี้ไว้ที่ระดับเดิมจนกว่าเขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก่อน

        “อย่าไปว่ามัน ช่วงนี้ดวงมันกำลังซวยเจ็บตัวโน้นนี่ตลอด อาทิตย์ก่อนเห็นพลาสเตอร์พันนิ้วอยู่หลายนิ้ว เมื่อเช้าก็สะดุดอิฐบล็อกล้มข้อศอกถลอก ปล่อยมันไปก่อน”

       วีร์หันไปมองนิ้วมือของวีรมาตุที่เป็นปกติดีแล้ว แต่เขาเพิ่งจะสังเกตแผลที่ข้อศอก

        “มันแค่ถากๆครับ เฮียไม่ได้เป็นอะไรมาก” วีรมาตุหันไปพูดกับวีร์ วีร์ก็พยักหน้ารับรู้

        “ทำเป็นแกร่ง แต่จริงๆก็อยากให้เขามาดูแผลให้ใช่มั้ยล่ะ” คุณกรออกปกแซวเพื่อนตัวเองจนได้รับสายตาเย็นชากลับมา “แซวนิดแซวหน่อยก็ไม่ได้”

        “มึง ขึ้นห้องเหอะ เกือบหมดเวลาแล้ว” ศศิทัศน์รีบแทรกขึ้นมา แม้ว่าจริงๆแล้วจะยังพอมีเวลาให้นั่งเล่นกันต่อก่อนที่จะเริ่มเรียนวิชาภาคบ่ายก็ตาม แต่ทุกคนก็เริ่มขยับตัวเก็บจานแก้วน้ำไปวางและแยกย้ายกันไปตามห้องเรียนของตัวเอง

        “น้องวีร์ครับ” วีรมาตุเอ่ยเรียกรั้งตัววีร์เอาไว้ก่อน

        “ครับ” วีร์หยุดเดินและหันกลับมา

        “เอ่อคือ... วันเสาร์นี้น้องวีร์ว่างมั้ยครับ” วีรมาตุถามด้วยความลังเลใจ

        “วันเสาร์นี้เหรอครับ” วีร์ถามกลับและวีรมาตุก็พยักหน้ารับ “คงจะไม่ได้อะครับ เฮียมีอะไรด่วนรึเปล่าครับ”

        “จริงๆก็ไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ น้องวีร์ติดธุระเหรอครับ”

        “ก็...ครับ” วีร์มองดูสีหน้าของวีรมาตุที่สลดลงเล็กน้อยแต่พยายามไม่แสดงออกมา “วันเสาร์นี้เป็นวันเกิดพี่วี วีร์จะไปวัดทำบุญให้พี่เขาอะครับ”

       แม้ว่าจะใจชื่นมาเล็กน้อยที่วีร์ไม่ได้หาข้ออ้างมากลบเกลื่อนไม่อยากไปกับเขา แต่ก็วีรมาตุก็รู้สึกใจห่อเหี่ยวเล็กน้อยที่ตัวเขายังมีความสำคัญไม่เท่ากับอีกคน

        “งั้นให้เฮียขับรถพาไปมั้ยครับ เฮียก็อยากไปทำบุญให้เขาเหมือนกัน”

       วีร์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง จากเดิมที่ต้องการจะไปทำบุญที่วัดเพียงลำพังและอาจจะไปนั่งสงบจิตใจต่อจนถึงเย็น แต่เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่แสดงความจริงใจออกมาของวีรมาตุแล้ววีร์ก็พยักหน้ารับ

        “ก็ได้ครับ เดี๋ยววีร์โทรบอกเฮียอีกทีก็แล้วกันนะครับ”

        “ได้ครับ” วีรมาตุยิ้มกว้าง แล้วทั้งคู่ก็เดินจากไปห้องเรียนของแต่ละคน

*****

       การทำบุญวันเกิดให้กับวีรดนย์เป็นไปอย่างเรียบง่าย วีร์เตรียมอาหารสำหรับถวายพระใส่ปิ่นโตไว้สามเถาและนัดเวลากับวีรมาตุไว้ตั้งแต่เช้า ตั้งใจจะไปถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์ เดิมทีทั้งธีร์แล้ววนกรตั้งใจจะเดินทางไปด้วย แต่เห็นว่าวีรมาตุอาสามารับไปส่งแล้วจึงเปลี่ยนใจมาวางแผนตกแต่งบ้านกันใหม่แทน ปล่อยให้วีร์และวีรมาตุเดินทางไปกันแค่สองคน

       หลังจากที่ได้รับฟังหมู่พระภิกษุสงฆ์สวดให้ศีลให้พร เจริญสติภาวนา และกรวดน้ำแผ่อุทิศส่วนผลส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น วีร์และวีรมาตุก็ใช้เวลาช่วงสายเดินเล่นรอบๆวัด ซึมซับบรรยาศที่ร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์

        “น้องวีร์เจอกับเขาได้ยังไงเหรอครับ”

        “พี่วีเหรอครับ” วีร์ถามกลับ และวีรมาตุก็พยักหน้ารับ “อืม ว่ายังไงดีละ วีร์เริ่มสนิทกับไอ้ต่ายประมาณตอนป.5 หมายถึงต่ายคนโน้นอะครับ” วีร์อธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นสีหน้าของวีรมาตุ

        “บางทีเฮียก็งงเหมือนกันครับว่าต่ายคนไหน” วีรมาตุหัวเราะเบาๆ

        “ก็นั่นแหละครับ ก็เลยได้รู้จักพี่วีไปด้วย”

       ทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามเส้นทางภายในวัดมุ่งหน้าสู่ลานวัดที่วีรมาตุจอดรถยนต์ไว้

        “แล้วน้องวีร์เริ่มชอบเขาตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอครับ”

        “เปล่าครับ” วีร์ยิ้มเล็กน้อย “จะว่าเป็นความประทับใจที่สะสมขึ้นเรื่อยๆมากกว่า รู้ตัวอีกทีก็ไปไหนมาไหนกับพี่เขาบ่อยๆ ได้ทำอะไรร่วมกันหลายอย่าง แต่กว่าจะตกลงคบกันจริงๆก็ตอนที่พี่วีเข้าโรงพยาบาลแล้ว”

        “แล้วน้องวีร์ทำใจได้แล้วเหรอครับ” เมื่อถามออกไปแล้ววีรมาตุก็แทบจะหยุดหายใจรอลุ้นกับคำตอบ

        “อืม... เรียกว่าเข้าใจจะดีกว่า” วีร์มองเห็นคิ้วทั้งสองข้างของวีรมาตุขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาจึงอธิบายเพิ่มเติม “เมื่อก่อนวีร์ก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับว่าทำไมพี่วีชอบพูดเรื่องที่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรอยู่ยงไปตลอด ท้ายที่สุดมันก็จะดับสูญไป ไม่ว่าเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่มีอะไรฝืนกฎนี้ได้”

       วีรมาตุก็พยักหน้ารับ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน แต่การจะเข้าใจโดยถ่องแท้อาจจะต้องได้ประสบพบเจอเรื่องราวกับตัวเองเสียก่อนเท่านั้น

        “แล้วน้องวีร์ไม่คิดว่าคุณงามความดีที่เขาทำไว้มันจะอยู่ได้นานเหรอครับ”

        “ถึงอยู่ได้นานก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ได้ตลอดไปนี่ครับ เมื่อไม่มีใครพูดถึงอีกสุดท้ายมันก็จะหายไป ต่อให้มันฝังอยู่ในอินเตอร์เน็ตเรียกออกมาดูได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าวันนึงอีกสักพันปีหรือสองพันปีต่อจากนี้ที่มนุษย์ไม่มีอยู่แล้ว ไฟฟ้าก็ไม่มีใช้ แล้วจะยังเหลือคุณงามความดีอันนั้นอีกต่อไปมั้ยครับ”

       วีรมาตุพยายามคิดตามสิ่งที่วีร์พูด ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังเดินไปเรื่อยๆ

        “แค่เข้าใจและยอมรับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีกาลเวลาของมัน อย่าเอามันมาเป็นทุกข์ให้กับตัวเอง”

       วีรมาตุเปิดกระโปรงท้ายรถยนต์และวางของต่างๆที่นำมาใส่ไว้ให้เรียบร้อยก่อนที่ปิดลงให้สนิท

        “ว่าแต่ตอนแรกเฮียจะชวนวีร์ไปไหนเหรอครับ” วีร์ถามซะก่อนที่วีรมาตุจะเดินไปขึ้นรถ

        “ครับ?” วีรมาตุหันกลับมามีสีหน้างุนงงเล็กน้อย

        “ก็เมื่อวันก่อนที่เฮียมาชวนวีร์แต่วีร์ปฏิเสธไปซะก่อน จะไปไหนเหรอครับ ถ้ายังทันอยู่เราก็ไปกันต่อก็ได้นะครับ” วีร์มองดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือของเขา เห็นว่าตอนนี้ยังเป็นเวลาไม่สายมากนัก ยังจะพอมีเวลาไปทำธุระอื่นกันได้ต่อ

        “ก็ ไม่เป็นไรครับ ถือว่าเหมารวมไปเลยก็ได้ครับ” วีรมาตุมองมองดูวีร์ที่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความสงสัย เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะบอกต่อไป “คือจริงๆแล้ว วันนี้ก็วันเกิดเฮียเหมือนกันครับ”

        “อ้าว... แล้วเฮียไม่บอกก่อนอะครับ”

        “เฮียบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรครับ ก็ถือซะว่าเหมารวมทำบุญร่วมกันไปเลย”

        “แต่ว่า...”

        “ไม่เป็นไรจริงๆครับ” วีรมาตุให้คำยืนยันแต่วีร์ยังคงมีท่าทีลังเลใจอยู่ “เอาไว้ครั้งหน้าก็ได้ครับ”

        “ก็ได้ครับ” วีร์ยื่นนิ้วก้อยของเขาเองไปตรงหน้า “เอาไว้ปีหน้านะครับ”

       วีรมาตุเห็นดังนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้นมาในทันใด แล้วเขาก็ยื่นนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวไว้กับนิ้วก้อยของวีร์

        “สุขสันต์วันเกิดนะครับ”

        “ขอบคุณครับ”

       แล้วทั้งคู่ก็เดินขึ้นรถยนต์เพื่อเดินทางกลับ วีรมาตุขับรถแวะไปส่งวีร์ที่บ้านก่อนอย่างปลอดภัยตามสัญญาที่ให้ไว้กับธีร์และวนกร ส่วนตัวเขาเองนั้นก็กลับไปฉลองวันเกิดกับครอบครัว โดยมีอาม่าเป็นผู้ลงมือปรุงอาหารจานโปรดเตรียมรอไว้แล้ว



[อ่านต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: sarawit ที่ 03-07-2021 00:36:56
       ค่ำวันนั้น วีร์ส่งข้อความผ่านทางแอพลิเคชั่นไลน์ขอบคุณวีรมาตุที่เป็นธุระพาเขาไปวัดเมื่อเช้าวันนี้ และอวยพรวันเกิดให้วีรมาตุอีกครั้ง วีรมาตุก็ส่งข้อความตอบกลับมา ทั้งคู่จึงได้คุยกันต่อผ่านแอพลิเคชั่นอีกพักหนึ่ง ถ้าต่างฝ่ายต่างได้เห็นสีหน้าของกันและกันก็จะเห็นแต่รอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าไม่ขาดช่วงตลอดการสนทนา

       จนกระทั้งวีร์ที่เดินไปมาไปยังมุมต่างๆในห้องนอนของเขาได้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากีตาร์ที่วางอยู่บนขาตั้งที่เขาไปหาซื้อมา วีร์เม้มปากเล็กน้อยและมองกีตาร์อย่างพิจารณา เขายื่นมือไปสัมผัสกีตาร์ตัวนั้นอย่างทะนุทนอม และดีดเส้นเสียงเส้นหนึ่งเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมาอีกครั้ง

       วีร์หันกลับไปนั่งลงบนเตียงนอนของเขาแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา วีร์ค้นหารูปถ่ายที่เขาเก็บบันทึกไว้ในหน่วยความจำของโทรศัพท์จนเขาเจอรูปที่เขาต้องการ

       รูปแรกเป็นรูปสมัยที่วีร์ยังคงมีรูปร่างเจ้าเนื้อพอสมควร กำลังยืนถือไม้เทนนิสตั้งท่าเตรียมพร้อมและมีวีรดนย์ยืนกำกับท่าทางอยู่ข้างๆ

       รูปที่สองเป็นรูปของวีรดนย์ที่อยู่ในชุดนักเรียน และวีร์ที่ใส่เสื้อยืดกางเกงขายาวธรรมดา ทั้งคู่นั่งอยู่ระเบียงของอาคารเรียนสักที่หนึ่ง จากมุมกล้องก็รู้ได้ในทันทีว่าวีรดนย์เป็นคนถ่ายเอง

       รูปที่สามเป็นรูปวีรดนย์ที่อยู่ในชุดผู้ป่วยกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง มีวีร์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ และวีร์เป็นผู้ถ่ายรูปนี้ด้วยตัวเอง

       วีร์นำรูปทั้งสามใส่ลงไปในแอพลิเคชั่นอินสตาแกรมโดยไม่ลืมอ้างอิงบัญชีอินสตาแกรมของวีรดนย์ไปด้วย พร้อมกับคำบรรยายใต้ภาพว่า

        ainararov.v สุขสันต์วันเกิด ยินดีที่ได้รู้จักกัน ดีใจที่ได้อยู่ด้วยกันตลอดมา เสียใจที่ต้องจากกัน สัญญาที่ให้ไว้นั้นจะไม่ลืมแน่นอน’

       แล้ววีร์ก็กดส่งไปและเฝ้ารอการตอบรับจากคนอื่นๆที่ติดตามเขาไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวเขาเอง คนจากครอบครัวของวีรดนย์ซึ่งหมายรวมถึงวิธู ก็ยังมีแพรไหมและแพรพรรณ รวมถึงเพื่อนสนิทบางคนทั้งจากโรงเรียนเก่าและโรงเรียนใหม่ แม้ว่าทั้งหมดโดยรวมแล้วจะมีไม่มาก เพราะเป็นคนที่เขาสนิทใจด้วยจริงๆเท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว

       แต่ก่อนที่จะได้เห็นการตอบรับเหล่านั้น อินสตาแกรมก็แจ้งเตือนขึ้นมาว่ามีการอ้างถึงบัญชีอินสตาแกรมของเขาในเสี้ยววินาทีหลังจากที่เขาลงรูปของเขาไป วีร์จึงปัดเลื่อนหน้าจอลงเพื่อดู

       รูปที่ปรากฏขึ้นมาเป็นรูปของเด็กหนุ่มสองคนที่ใส่ชุดนักเรียนแม้ว่าจะต่างโรงเรียนกัน คนที่อยู่เยื้องมาทางด้านหน้าและดูเหมือนจะเป็นผู้ที่ถ่ายรูปนั้นเองนั่นคือวีรดนย์ ส่วนอีกคนที่อยู่ถัดไปด้านข้างและเยื้องไปทางด้านหลังเล็กน้อยคือเจ้าของบัญชีอินสตาแกรมที่เพิ่งจะเอารูปนี้ลง สิ่งที่น่าแปลกใจมากขึ้นไปอีกคือข้อความบรรยายใต้รูป

        weeramart สุขสันต์วันเกิด ยินดีที่ได้รู้จักกัน ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง เสียใจที่เราต้องจากกัน สัญญาที่ให้ไว้นั้นจะไม่ลืมแน่นอน’

       วีร์รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ข้อความบรรยายใต้ภาพของวีรมาตุและของเขาคล้ายกันมากจนเหมือนว่านัดกันมาก่อน แต่เมื่อพิจารณาดูรูปแล้วคงจะเป็นตอนที่วีรดนย์และวีรมาตุต่างไปสอบชิงทุนการศึกษาเป็นแน่ และวีร์คิดว่าตาของเขาไม่ได้ฝาดไปเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าในรูประหว่างวีรดนย์และวีรมาตุมีใครคนหนึ่งบังเอิญติดเข้ามาในรูป เขายืนอยู่ห่างออกไปไม่ใกล้ไม่ไกล แม้ว่าตัวจะหันมาทางด้านหน้าแต่ศีรษะหันไปทางอื่น เมื่อพิจารณาทั้งจากหน้าตาและเสื้อผ้าแล้วคงจะเป็นใครอื่นไม่ได้

       สัญลักษณ์ด้านล่างซ้ายของรูปบ่งบอกว่ามีการอ้างถึงบุคคลในรูป วีร์จึงกดลงไปบนรูปหนึ่งครั้งและแน่นอนว่ามีแถบข้อความขึ้นบัญชีอินสตาแกรมของวีรดนย์วางไว้ที่ตำแหน่งของวีรดนย์ รวมถึงแถบข้อความที่วางไว้ตรงกลางที่ขึ้นไว้ว่า...

        “ainararov.v


….. ***** …..




ขอขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตามเรื่องราวมาจนจบ
แล้วพบกันใหม่ใน

(Ir)Replaceable Love
รัก...แทนกัน(ไม่)ได้

หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 03-07-2021 01:30:01
 :katai5: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-07-2021 03:02:19
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-07-2021 00:09:36
มารอน้าาา
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 19-07-2021 10:45:58
+1 ครับ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Replaceable Love - รัก...แทนกันได้ ..... (ตอนที่ 14 ... 3 ก.ค. 2564)
เริ่มหัวข้อโดย: fongbeer37 ที่ 31-07-2021 18:18:28
ดีมากกก ตามหานิยายมานานนน เนื้อเรื่องดีมากกกกเลยย เป็น กลจ ให้น้าาา