รักบังตา
Chapter 23
เช้าวันใหม่
[ Pun ]
“แต่ไม่รู้ว่าปันจะอยากเจอแม่รึเปล่านะ”
“ซิก !” ประโยคที่ชวนให้เข้าใจผิดทำให้ผมเผลอหันไปตีแขนคนพูดอย่างไม่ตั้งใจ แต่เขากลับเลิกคิ้วมองผมราวกับไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไป
“แค่นี้ก่อนนะแม่ ถ้ากลับไปแล้วผมค่อยโทรหา”
“ทำไมมึงพูดกับแม่มึงแบบนั้นวะ” เพราะกลัวว่าแม่ของซิกจะเข้าใจผิด ผมถึงได้ถามซิกทันทีที่เขาวางสายโดยลืมคำนึงถึงอะไรบางอย่างไป
“ถามแบบนี้คืออยากเจอแม่กู ?”
“ห้ะ”
“ได้นะ เดี๋ยวนัดวันให้ ว่างวันไหนบ้างอะ” สีหน้าจริงจังของเขาทำเอาผมไปต่อไม่เป็น ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปฏิเสธ เสียงของเฌอแตมก็ดังแทรกขึ้นมาพอดี
“พวกมึงอะ ! มากินข้าวได้แล้ว เนื้อสุกหมดแล้วเนี่ย ช้ากว่านี้ไอ้ฟลุ๊คไม่เหลือให้พวกมึงแน่” ซิกจับมือผมให้เดินไปยังกลุ่มเพื่อนด้วยกัน ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ผมก็รู้สึกว่ามือตัวเองไม่เคยโดนปล่อยว่างเลยแม้แต่นาทีเดียว
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเพื่อนที่มาเที่ยวด้วยกันก็น่าจะเป็นบรรดาน้ำเมาทั้งหลายแหล่ ผมมองขวดเบียร์มากมายที่กลายเป็นขวดเปล่า แล้วได้แต่ส่ายหัว ผมรู้ว่าทั้งซิกและเฮียเตคอแข็งมากกันทั้งคู่ แต่แค่คิดไม่ถึงว่าจะมากถึงขนาดที่ดื่มได้เป็นลังแบบนี้ ตั้งแต่ท้องฟ้าเป็นสีส้มยันตอนนี้มืดจนมองไม่เห็นอะไร พวกเขาทั้งคู่ก็ยังไม่วางแก้วกันเลย
ผมลอบมองคนที่เริ่มหน้าแดงเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ก่อนที่ขวดตรงกลางวงจะถูกหมุนอีกครั้งหนึ่ง ปากขวดหมุนจนชะลอผ่านหน้าผมและไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนที่เพิ่งยกหมดแก้วไป
“ไอ้เวร มึงโกงกูปะ”
“โทษดวงมึงเถอะเพื่อน เลือกมาจะตอบหรือจะทำ ไม่ไหวอย่าฝืนนะครับเพื่อน เลือกตอบมาก็จบละ ความลับมึงเยอะนักเหรอ”
“ทำ”
“หมดแก้วครับเพื่อน”
“ถามจริง มึงไม่มีอย่างอื่นให้กูทำแล้วเหรอ”
“อยากทำอะไรล่ะครับ ต่อให้กูสั่งให้มึงแก้ผ้าลงทะเล มึงก็ไม่ยอมทำอยู่ดี” ผมได้ยินซิกสบถคำหยาบออกมาเบา ๆ ก่อนจะยกแก้วขึ้นดื่มจนหมดอีกครั้ง
“จะเล่นต่อปะ กูเริ่มไม่ไหวแล้วเนี่ย เจ็บคอ” ฟลุ๊คถามขึ้นหลังจากที่เห็นซิกวางแก้วเปล่าลงบนพื้น
“พอก่อนก็ได้ ยังไงก็ไม่ได้ตั้งใจจะเมากันอยู่แล้ว” หลังจากเฮียเตพูดแบบนั้น ก็เป็นอันว่ากิจกรรมไร้สาระหยุดลงที่ซิกเป็นแก้วสุดท้าย
เฌอแตมกับฟลุ๊คเอากีตาร์มาดีดเล่นแล้วร้องเพลงที่ถึงแม้ผมจะไม่มีความรู้ด้านดนตรีก็กล้าพูดได้เต็มปากว่าเพี้ยน ในตอนแรกผมไม่เข้าใจว่าทำไมซิกถึงอยากพาผมมาที่นี่นัก แต่พอได้เห็นภาพที่ทุกคนทำเรื่องไร้สาระด้วยกันแล้วผมก็พอจะเข้าใจสิ่งที่เขาทำแล้ว
ในขณะที่กำลังคิดอะไรอยู่คนเดียว ไหล่ข้างหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่ทิ้งลงมา
“คิดอะไรอยู่” น้ำเสียงของเขาติดแหบเล็กน้อย
“เปล่า นั่งให้ดี ๆ” ผมพูดพลางใช้มือดันหัวของซิกออกไป
“กูง่วง”
“ง่วงก็ไปนอนในห้อง”
“ขอยืมตักหน่อยไม่ได้เหรอ” คำถามของเขาทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก
“..”
“ไม่ได้จริง ๆ เหรอปัน” ผมไม่รู้ว่าเขาพูดเพราะว่าเมารึเปล่า แต่สายตาที่มองมาอย่างมีความหมายทำให้ผมไม่กล้าสบตาจนได้แต่หันไปมองทางอื่น
“ตามใจ” ซิกทิ้งตัวลงนอนโดยที่ใช้ตักของผมแทนหมอนหนุนทันทีที่ผมพูดจบ
ซิกคงจะเหนื่อยมากจริง ๆ เพราะหลังจากที่หลับตาไปได้ไม่นาน ผมก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอจากคนตรงหน้า สายตาของผมมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบว่าเฮียเตหายไปแล้ว ส่วนเฌอแตมกับฟลุ๊คก็เมามากจนพูดไม่เป็นภาษาทั้งคู่ ผมกลับมาสนใจคนที่นอนอยู่บนตักอีกครั้ง ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเอื้อมมือไปเกลี่ยผมที่ปรกหน้าของเขา
“กูรักมึงนะปัน”ผมจำได้ดีว่าหัวใจของตัวเองทำงานหนักแค่ไหนตอนที่ได้ยินซิกพูดประโยคนั้นออกมา
สายตาของผมหยุดนิ่งอยู่ที่ริมฝีปากของซิกอยู่นาน รู้ตัวอีกทีก็โน้มตัวลงไปขโมยจูบของเขาแล้วเรียบร้อย
“กูก็รักมึงเหมือนกัน”
ผมกระซิบบอกเขาในตอนที่ผละตัวออกมา ก่อนจะต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อคนที่คิดว่ากำลังหลับสนิท จู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้นมาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียง
“ซิก.. ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“กูไม่ได้หลับตั้งแต่แรก” ใบหน้าของผมร้อนผ่าวทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
ซิกลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผมอายจนไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองหน้าเขาด้วยซ้ำ รู้สึกแค่ว่าหน้าของตัวเองใกล้จะระเบิดเต็มที เขาเอื้อมมือมายีหัวผมเบา ๆ แล้วเดินออกไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
ผ่านไปสักพัก ซิกก็เดินกลับมาพร้อมกับผ้าห่มในมือ เขาเอาผ้าห่มมาคลุมตัวผมเอาไว้ แล้วนั่งลงข้างกันตรงที่เดิม เพราะยังรู้สึกอับอายจากสถานการณ์ก่อนหน้าทำให้ผมไม่กล้าที่จะปริปากพูดอะไรกับเขา
“พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อยนะ กูมีที่นึงที่อยากพามึงไป”
“อือ” ผมเอ่ยรับคำในลำคอ
“ปัน”
“..”
“ปัน”
“มีอะไร”
“เปล่า แค่อยากได้ยินเสียงมึงเฉย ๆ”
เรานั่งอยู่ด้วยกันแบบนั้นจนถึงกระทั่งแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่สาดส่องกระทบกับท้องทะเลตรงหน้าจนเกิดเป็นประกายระยิบระยับเต็มไปหมด ผมไม่รู้ว่าทำไมซิกถึงไม่ยอมหลับ แต่เหตุผลของผมมีแค่ผมอยากใช้เวลาอยู่กับเขาต่ออีกหน่อย ผมกลัวว่าถ้าหากเผลอหลับไป เวลาที่ผ่านไปก็จะสูญเปล่า
ความสัมพันธ์ของเรากำลังทำให้ผมรู้สึกเสียดาย
“ไปกันเถอะ” มือของผมถูกคนข้าง ๆ ดึงให้ลุกขึ้น
“แล้วคนอื่นล่ะ ไม่ได้ไปด้วยกันเหรอ”
“ไม่ มีแค่มึงกับกูก็พอ”
ซิกขับรถออกจากชะอำและกลับเข้าสู่กรุงเทพ เส้นทางที่ไม่คุ้นเคยทำให้ผมเดาไม่ออกว่าเขาจะพาผมไปที่ไหน วัดแห่งหนึ่งเป็นปลายทางที่เขาเลี้ยวเข้ามาจอดรถ ผมรู้สึกงงไม่น้อยตอนที่เดินตามซิกไป ก่อนที่จะเข้าใจทุกอย่างเมื่อเขาเดินมาหยุดอยู่ที่กำแพงสีขาวซึ่งด้านหลังมีรูปของผู้หญิงคนหนึ่งติดอยู่ ตัวเลขที่เขียนบอกวันชาตะและมรณะทำให้ร่างกายของผมมันเริ่มเย็นไปหมด ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมาจากฝ่ามือของซิกทำให้ผมก้มลงมองมือที่ถูกกุมเอาไว้
“ขอโทษนะพี่ซินที่ผมเพิ่งกล้าจะมาพูดกับพี่ตอนนี้”
“..”
“ผมมาเจอพี่แต่ละครั้งก็เอาแต่พูดคำว่าขอโทษ พี่คงจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่ผมรู้มาตลอดว่าพี่เป็นพี่ที่ดีขนาดไหน ตอนนี้ถ้าพี่ยืนอยู่ตรงหน้าผม ไม่ว่าผมจะพูดอะไร พี่ก็คงจะบอกว่าไม่เป็นไร”
“..”
“ครั้งนี้ผมพาปันมาหาพี่ด้วย.. เขาอาจจะร้องไห้โทษตัวเอง พี่ก็ช่วยปลอบเขาด้วยนะ”
“ซิก..”
“ช่วยปลอบเขาเหมือนที่พี่เคยปลอบผม”
“..”
“ยกโทษให้ปันด้วยนะพี่ซิน เขาจะได้ให้อภัยตัวเองได้สักที” สายตาของซิกมองผมในทุกประโยคที่เขาพูด
รอยยิ้มของคนในรูปทำให้ผมเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะค้างเอาไว้ สายตาของผมมันพร่าไปชั่วครู่ เมื่อผมกระพริบตาเพื่อที่จะมองรูปนั้นให้ชัดขึ้น น้ำตากลับยิ่งไหลลงมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกอย่างมันพร่ามัวไปหมด ไม่ว่าจะกระพริบตาอีกกี่ครั้ง ภาพตรงหน้าก็ยังไม่ชัดขึ้นสักที
“ฮึก..” ผมพยายามอย่างมากที่จะกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้
“กูให้อภัยมึงนะปัน ถ้าพี่ซินอยู่ตรงนี้เขาก็คงจะพูดแบบเดียวกันกับกู”
“..”
“เพราะงั้น.. เลิกโทษตัวเองได้แล้วนะ” เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ความอดทนที่ผมพยายามมาตลอดพังทลายลง
ความรู้สึกหนักอึ้งตลอดสองปีที่ผ่านมาถูกยกออกไปจากใจด้วยคำพูดของซิกเพียงแค่ไม่กี่ประโยค
“ร้องไห้ให้พอนะปัน แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวที่กูจะยอมให้มึงร้องไห้แบบนี้” เป็นอีกครั้งที่อ้อมกอดของซิกช่วยปลอบประโลมผมเอาไว้ สัมผัสที่ลูบปลอบอย่างช้า ๆ ทำให้ผมตระหนักบางอย่างได้
ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เจอกัน หรือตอนที่ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้
ซิกก็ยังเป็นคนที่อยู่ตรงที่เดิมเสมอ
ราวกับว่าเขารอที่จะปลอบผมอยู่ตลอดเวลา
“ดีขึ้นรึยัง” ดวงตาของผมถูกปิดทับด้วยผ้าเย็นที่ซิกเป็นคนเอามาทาบไว้
“ยัง”
“ปวดตารึเปล่า ไปโรงพยาบาลไหม ให้หมอตรวจหน่อยดีกว่า ลุกได้ไหม” คำถามสารพัดอย่างที่ตามมาทำให้ผมต้องคว้าผ้าเย็นที่ประคบตาออกไป พอมองไปที่ซิกก็พบว่าในมือของเขาถือกุญแจรถและกระเป๋าตังค์อยู่แล้ว
“ไม่ได้เป็นอะไร แค่ตาบวม” หลังจากที่ยืนร้องไห้อย่างหนักอยู่ครึ่งชั่วโมง ผมก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่ตาจะบวมมากขนาดนี้ ต่างกับซิกที่พอเห็นสภาพผม เขาก็ตกใจจนเกือบจะพาผมไปโรงพยาบาล แต่ผมเป็นคนบอกให้เขาขับรถกลับบ้านแทน
“เหรอวะ แต่ตามึงแดงมากเลยนะ บวมมากด้วย ไปหาหมอเผื่อ ๆ ไว้หน่อยดีไหม” ผมส่ายหัว ก่อนจะตอบเขา
“มึงเป็นคนบอกให้กูร้องไห้เองนะ”
“ก็.. ไม่ได้คิดว่ามึงจะร้องไห้หนักขนาดนี้” ซิกพูดพลางเดินไปหยิบผ้าเย็นผืนใหม่มาประคบตาของผมต่อ
“..”
“ปัน”
“อะไร”
“เมื่อคืนตอนที่มึงจูบกู..”
“..”
“มึงรู้สึกยังไงวะ” ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นโชคดีได้ไหมที่มีผ้าปิดตาผมอยู่แบบนี้ ผมถึงได้มองไม่เห็นว่าคนถามมีสีหน้าแบบไหน
“ไม่รู้.. จำไม่ได้แล้ว”
“เหรอ ถ้างั้น..” เสียงของซิกเงียบหายไปพักหนึ่ง จนผมสงสัยว่าเขาจะพูดอะไร แต่ในวินาทีถัดมาสัมผัสอ่อนนุ่มที่แตะอยู่บนปากก็กลายเป็นคำตอบของทุกอย่าง จังหวะการเต้นของหัวใจแปลกไปจากเดิมในตอนที่ลิ้นของเขาสอดแทรกเข้ามา ความรู้สึกวาบหวามที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกราวกับกำลังถูกหลอมให้ละลายอย่างช้า ๆ
“อื้อ..” ผมร้องท้วง ก่อนจะผลักไหล่ของซิกออกไป
จูบที่กินเวลาไปหลายนาทีทำให้ผมหายใจหอบ ผ้าที่ประคบตาอยู่หล่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็ดันไปสบตาเข้ากับคนที่กำลังมองมาอยู่พอดี ผมสังเกตได้ว่าใบหูของเขาแดงไม่น้อย
“ตอนนี้มึงรู้สึกยังไง”
“..”
“ถ้าไม่ตอบ กูจะคิดเอาเองว่ามึงก็รู้สึกเหมือนกูนะ”
“ก็คิดไปดิ” ชั่ววูบหนึ่งผมสังเกตเห็นแววตาของคนตรงหน้าเป็นประกายขึ้นมา
“หมายความว่าจะไม่ไปไหนแล้ว ?”
“อือ”
“ไม่ไล่กูแล้วด้วย ?” ผมพยักหน้าให้แทนคำตอบ
“..”
“แล้วจะเป็นแฟนกันไหม”
“เออ..” เพราะไม่ได้สนใจฟังคำถาม ผมจึงเผลอตอบรับไปโดยไม่ตั้งใจ
“โอเค งั้นวันนี้เป็นวันแรกที่เราคบกันนะ”
“เดี๋ยว.. เดี๋ยวนะ”
“ตกใจอะไร ถึงไม่คบกันวันนี้ วันนึงก็ต้องคบกันอยู่ดี คิดว่ากูจะปล่อยมึงไปจริง ๆ รึไง”
“..” ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนออกไปตอนที่ได้ยินซิกพูดแบบนั้น แค่รู้สึกราวกับว่าอยู่ ๆ ก็ตกลงไปในหลุมพรางที่เขาขุดเอาไว้
“หิวรึยัง พี่ปัทบอกจะเลี้ยงข้าวอะ” คำพูดของซิกทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรบอกพี่ปัทว่าไม่ได้กลับห้อง เมื่อทำท่าจะคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ซิกก็พูดสิ่งที่ทำให้ผมต้องแปลกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
“กูโทรบอกพี่ปัทให้แล้วว่ามึงอยู่กับกู”
“มึงคุยกับพี่ปัทด้วยเหรอ”
“พี่ปัทบอกว่าถ้าเป็นแฟนกันเมื่อไหร่จะเลี้ยงข้าว”
“อะไรนะ”
“คงมีแค่มึงคนเดียวนั่นแหละที่มองไม่เห็นความรู้สึกตัวเอง”
“..”
“ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้ออกไปหาอะไรกิน ต้องกินยาด้วยไม่ใช่รึไง”
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วไปหมด เรื่องราวตั้งแต่ต้นคล้ายกับว่าเป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่เมื่อถูกปลุกให้ตื่นขึ้นก็จะค่อย ๆ เลือนหายไป ความวุ่นวายยุ่งเหยิงทั้งหมดในโลกของความเป็นจริงกลับถูกซิกทำให้กลายเป็นเรื่องง่าย ทุกการกระทำของซิกทำให้ผมมั่นใจว่าในทุก ๆ ก้าวที่ผมต้องเดินต่อไปหลังจากนี้จะมีเขาจับมือและเดินไปด้วยกันเสมอ
จู่ ๆ ซิกกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมนึกสงสัยขึ้นมา
โลกใบนี้.. มันเคยสว่างไสวได้มากขนาดนี้เลยเหรอ
- THE END -
-----------------------------------
SPECIAL THANKS สวัสดีทุกคนที่ตามอ่านนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอขอบคุณมากจริง ๆ ที่ติดตามเรื่องราวของซิกกับปันมาจนถึงตอนสุดท้าย นิยายเรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องแรกที่เราเขียนจบ จริง ๆ ก่อนหน้านี้มีนิยายอีกเรื่องที่เราเขียนเอาไว้ แต่เพราะรู้สึกว่ายังไม่ดีพอ เลยปล่อยค้างไว้แล้วก็รอที่จะเขียนใหม่ทั้งหมด มันอาจจะยังมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างในนิยายเรื่องนี้ ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ยังคงตามอ่านกันอยู่ ทุกคอมเมนต์เราได้อ่านหมดเลยนะคะ ดีใจที่ทุกคนชอบ เรายินดีน้อมรับทุกคำติชมและสัญญาว่าจะพัฒนางานเขียนให้ดีมากขึ้นในเรื่องถัด ๆ ไป หวังว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้ทุกคนยิ้มได้ในสักตอนและพบกันใหม่ในนิยายเรื่องถัดไปนะคะ
LYNJIIN
05/03/2021