รักบังตา
Chapter 9
รับน้องที่ชะอำ
[ Pun ]
“กูไปเรียกแท็กซี่นะ” พูดจบซิกก็เดินออกไปเลย
ผมเข้าไปช่วยฟลุ๊คพยุงเฮียเต เมื่อแท็กซี่มาแล้วซิกก็มาช่วยพยุงร่างของคนที่ไร้สติเข้าไปในรถ ฟลุ๊คกับเฌอแตมเป็นคนที่นั่งแท็กซี่ไปกับเฮียเต ส่วนซิกบอกว่าจะตามไปทีหลัง ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ฟลุ๊คก็โทรกลับมาบอกอาการของเฮียเต
“มันไม่เป็นไรมากแล้วใช่ไหม เดี๋ยวกูพาปันไปส่งบ้านก่อนค่อยตามไป”
“เออ อีกอย่าง มึงไม่ต้องโทรไปบอกที่บ้านไอ้เตนะ”
“เชื่อกูเหอะ แค่นี้นะ” ซิกหันมามองผมหลังจากที่วางสายอีกฝั่งไป
“มึงจะกลับบ้านเลยไหม เดี๋ยวกูไปส่ง”
“กลับเลยก็ได้ปัน ดึกแล้ว พรุ่งนี้มีเรียนอีกหนิ” พี่ปัทเป็นคนบอกให้ผมกลับ ผมไม่ได้ถามว่าพี่เขาไปคุยอะไรกับเจ้าคุณบ้าง แต่จากท่าทางของพี่ปัทที่ยังมีความหงุดหงิดอยู่ ก็น่าจะจบกันไม่ดีเท่าไหร่
“ได้ครับ งั้นปันไปก่อนนะ กลับดี ๆ นะพี่ปัท” ผมโบกมือลาพี่ปัท ก่อนจะเดินตามซิกไปยังมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ข้างร้าน
ซิกมาส่งผมกลับบ้านและเขาก็ออกไปหาเฮียเตที่โรงพยาบาลเลยทันที ผมหลับไปก่อนเลยไม่รู้ว่าเขากลับมาตอนไหน แต่หลังจากวันนั้น ซิกก็ตัวติดกับผมแทบจะตลอดเวลา ผมไม่ติดอะไรอยู่แล้ว เพราะการอยู่กับเขาทำให้ผมไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นอีก ช่วงชีวิตตลอดทั้งสัปดาห์ของผมผ่านไปอย่างสงบสุข ผมไม่เจอทั้งผีและเจ้าคุณ จนกระทั่งถึงเย็นวันศุกร์ซึ่งเป็นวันที่รุ่นพี่จะพารุ่นน้องในภาคไปรับน้องที่ชะอำ ผมกับซิกไปถึงช้ากว่าเวลาที่รุ่นพี่นัด เพราะผมมีนัดตัดไหมที่โรงพยาบาล แต่ถึงอย่างนั้นตอนที่ไปถึงเพื่อนในภาคก็ยังมากันไม่ครบ
“เสียดายว่ะ ไอ้เฮียไม่ยอมมาด้วย อุตส่าห์ได้ไปเที่ยวทะเลทั้งที” ฟลุ๊คพูดขึ้นมาในระหว่างที่กำลังรอรุ่นพี่เช็คชื่อ
“ดีแล้วเถอะที่มันไม่มา หมอบอกให้มันพักเหล้าพักเบียร์ ถ้ามันมา ยังไงก็โดนรุ่นพี่บังคับแดก” เฌอแตมที่เพิ่งมาถึงก็บ่นฟลุ๊คทันที
“จะมีสักวันที่มึงคิดเหมือนกูบ้างไหมเฌอ”
“ไม่มี” พูดจบ เฌอแตมก็ลากกระเป๋าไปทางที่รุ่นพี่เรียกชื่อโดยไม่สนใจฟลุ๊คที่หน้าหงิกหน้างอไปแล้ว
รุ่นน้องโดนแบ่งไปนั่งตามกลุ่มพี่สายรหัสตัวเอง ซึ่งบังเอิญที่พี่รหัสของผมกับซิกเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันพอดี เราเลยได้นั่งรถคันเดียวกัน พวกรุ่นพี่เริ่มกิจกรรมแรกที่เตรียมมาตั้งแต่ล้อรถยังไม่ทันเคลื่อนไปไหนเลยด้วยซ้ำ ผมนั่งฟังรุ่นพี่อธิบายกติกาง่าย ๆ นั่นคือ การให้แต่ละคนในรถบัสแนะนำตัวเองและรุ่นพี่ทั้งหมดในสายรหัส ก่อนจะดื่มเหล้าในแก้วให้หมด ผมว่าดื่มเหล้าไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหาคือไม่มีใครรู้ว่าในแก้วผสมอะไรบ้างมากกว่า
“มึงไหวไหม ถ้ากินเหล้าไม่ได้ก็บอกพี่เขาไป” ซิกกระซิบถามผมเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่ใกล้มาถึงที่นั่งของเราแล้ว
“กูไม่เป็นไร” ตั้งแต่เข้ามหาลัยมาผมยังไม่เคยลองดื่มเหล้าเลยสักครั้ง ที่จริงพี่ปัทก็เคยคะยั้นคะยอให้ผมลองอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนั้นผมยังไม่อยากดื่มเท่าไหร่ พอมาตอนนี้เลยอยากลองดูว่าตัวเองจะดื่มได้แค่ไหน
“และแล้วก็มาถึงที่นั่งหนุ่มหล่อสองคนนะคะทุกคน เริ่มจากคนด้านในก่อนดีกว่า หน้าตาเราคุ้น ๆ เหมือนจะเป็นเนื้อคู่เจ้ยังไงก็ไม่รู้” พี่ผู้หญิงที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรบนรถพูดพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้
“สวัสดีครับ ผมชื่อปันนะครับ พี่ปีสองชื่อพี่ติม พี่ปีสามชื่อพี่ซัน แล้วก็ปีสี่ชื่อพี่มินครับ”
“ปรบมือค่าทุกคน นี่ welcome drink ค่ะน้องปัน” ผมรับแก้วที่มีน้ำสีเหลืองอำพันอยู่ข้างในนั้นมา ก่อนจะยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด รสชาติของมันไม่แย่อย่างที่คิด แต่กลิ่นและความแรงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกพะอืดพะอมพอตัว มันเหมือนเป็นเหล้าที่ไม่ผสมมิกเซอร์อะไรเลย
“มึงโอเคไหม” ผมพยักหน้าให้ซิกแทนคำตอบ
“เก่งมากค่ะน้องปัน ต่อไปถึงคิวสมบัติภาคอีกคน เชิญแนะนำตัวได้เลยค่า”
“สวัสดีครับ ชื่อซิก ปีสองพี่แทน ปีสามพี่คิว ปีสี่พี่สตางค์ครับ” ซิกยกแก้วเหล้าดื่มรวดเดียว สีหน้าของเขาเองก็ไม่ต่างกับผมเท่าไหร่นัก ภายในรถปรบมือเสียงดังลั่นเมื่อเห็นเขายกหมดแก้ว
“นี่แค่น้ำจิ้มนะคะ คืนนี้เนี่ย พี่บอกได้แค่ว่าไม่หมดไม่เลิกนะ”
“ถ้ามึงเริ่มไม่ไหว บอกกูนะ”
“โอเค” ผมหลับตาลงเพราะเริ่มมึน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมารถหรือเป็นเพราะเหล้าแก้วเมื่อกี้
เสียงรุ่นพี่ตะโกนเรียกให้ทุกคนตื่นทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย น้ำหนักที่ทับอยู่บนหัวไหล่ทำให้ผมต้องหันไปมอง ก่อนจะพบว่าคนข้าง ๆ นอนหลับอย่างสบายใจโดยใช้ไหล่ผมเป็นหมอนหนุน ผมเขย่าแขนปลุกซิกเมื่อเห็นว่าเพื่อนเริ่มทยอยลงจากรถกันแล้ว
“ตื่นได้แล้วมึง ถึงแล้ว”
“อือ.. ถึงเร็วจังวะ” คำพูดของซิกทำให้ผมต้องบ่นออกมาอย่างเสียไม่ได้
“ถึงสักทีเถอะ แขนกูชาหมดแล้ว”
“เดี๋ยวนี้หัดบ่นแล้วเหรอมึงอะ” ซิกพูดอย่างไม่จริงจังนัก
พวกเรามาถึงที่พักตอนเวลาเกือบหกโมงเย็นพอดี รุ่นพี่ปล่อยให้เราเอาของไปเก็บในที่พักและนัดรวมอีกทีตอนหนึ่งทุ่ม ผมโดนซิกลากไปนอนอยู่ห้องเดียวกันกับฟลุ๊คโดยมีเพื่อนในภาคที่ผมไม่รู้จักอีกสองคน ซึ่งจากที่ฟลุ๊คเล่าให้ฟังถึงกิจกรรมถัดไปที่จะเกิดขึ้น ผมคิดว่าไม่น่าจะมีใครได้กลับมานอนในห้องนี้อีกแล้ว ทุกคนน่าจะเมาเละกันอยู่ข้างนอกแน่ ๆ
พอนาฬิกาบอกเวลาทุ่มหนึ่ง ผมกับคนในห้องก็เดินออกไปข้างนอก เห็นรุ่นพี่ล้อมวงนั่งตามริมชายทะเล ผมเดินตามซิกไปยังที่กลุ่มพี่รหัสผมนั่งอยู่ ก่อนจะพบว่ามีเหล้าหลายกรมถูกยกออกมาตั้งไว้ รุ่นพี่ปีสี่ในกลุ่มต่างพากันยิ้มกริ่มเมื่อเห็นรุ่นน้องปีหนึ่งเดินเข้าไปนั่ง
“นี่พวกเรารู้กันรึเปล่าว่ากิจกรรมถัดไปคืออะไร” พี่มินเอ่ยถามขึ้นลอย ๆ
“กูว่าพวกมันรู้กันหมดแล้วแหละ หน้าอย่างงี้อะ เริ่มเลยเถอะ รีบแดก รีบเมา รีบกลับไปนอน”
“ใจเย็นอีตาง แสร้งอธิบายน้องมันหน่อย เผื่อมีบางคนไม่รู้ มึงพูดต่อเลยมิน”
“เห็นขวดเหล้าตรงหน้าพวกเราใช่ไหม พี่จะให้เรายกเหล้าขวดนี้ดื่ม เหลือเท่าไหร่ พี่ปีถัดไปของพวกเราต้องกินต่อจนหมดขวด” สีหน้าเพื่อนแต่ละคนเปลี่ยนไปตาม ๆ กันที่ได้ยินแบบนั้น
“แต่ ๆ ๆ ใครไม่อยากแดก พวกกูก็ไม่ได้บังคับนะ ยังไงพี่พวกมึงรวมทั้งพวกกูเองก็อยากแดกอยู่แล้ว ถ้าพวกมึงไม่ชอบ ก็แค่ไม่ต้องแดก ไม่ได้มีผลอะไรกับสายหัสทั้งนั้น พวกมึงเป็นน้องพวกกูตั้งแต่วันแรกที่พวกมึงสอบติดแล้ว กิจกรรมนี้แค่อยากให้พวกมึงลองมาสนุกกันเฉย ๆ” พี่ปีสี่อีกคนรีบพูดอธิบายเมื่อเห็นเพื่อนผมบางคนหน้าถอดสีไปแล้ว
“สวยไม่ไหวแล้วอีตาง มงลงมึงแล้ว มารับยาดองจากกูได้เลยเพื่อน”
กิจกรรมสุดแสนประทับใจเริ่มขึ้นหลังจากที่รุ่นพี่ปีสี่คนนั้นพูดจบ ผมนั่งมองเพื่อนแต่ละคนที่กรอกเหล้าเข้าปากตัวเองแล้วได้แต่ภาวนาให้ทุกคนรอดพ้นคืนนี้ไปอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องมีใครเข้าไปนอนเล่นในโรงพยาบาล
“มึงจะกินไหม” ซิกเอ่ยถามผมขึ้นมา
“คงกินแหละ ถ้ากูไม่กิน พี่ติมก็ต้องกินแทน กูสงสาร” เพราะพี่ปีสองของผมเป็นผู้หญิง ผมเลยไม่อยากให้พี่เขาดื่มแทนเท่าไหร่นัก ยังไงถ้าผมเมา ก็คงไม่แย่เท่าเขาเมา
“สงสารตัวเองก่อนมึงอะ มึงไหวเหรอ ปกติไม่กินเหล้าไม่ใช่รึไง”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากก็แค่เมา”
“ถ้างั้นก็อย่าแดกเยอะ เอาเท่าที่มึงไหวพอ”
“ได้ ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมรู้สึกเหมือนซิกเป็นห่วงผมเกินเหตุไปหน่อย ช่วงนี้เขาน่าจะอยู่กับพี่ปัทมากไปเลยติดนิสัยของพี่สาวผมมาด้วยแน่ ๆ
“กระซิบกระซาบอะไรกันคะน้องปันน้องซิก ใครจะเริ่มก่อนดีล่ะสองคนนี้”
“ให้ปันก่อนสิ รหัสน้องกูอยู่ก่อนอะ” พอพี่มินพูดแบบนั้น ขวดเหล้าเลยถูกนำมาตั้งไว้ที่ด้านหน้าผมแทนคนข้าง ๆ
“ได้ค่ะเพื่อน ไม่ใช่ปัญหา แดกก่อนแดกหลังไม่สำคัญ ยังไงก็เมาเหมือนกันอยู่ดี”
เมื่อรุ่นพี่เริ่มร้องเพลงประจำวงเหล้า ผมก็กลั้นใจยกขวดเหล้าขึ้นดื่มและปล่อยให้เหล้ามันไหลลงคอไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งขวดเหล้าถูกดึงออกไปจากมือด้วยฝีมือของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน รุ่นพี่มองหน้าซิกแบบงง ๆ ผมเองก็หันไปมองด้วยเหมือนกัน ก่อนจะพบว่าเขากำลังมองหน้าผมอยู่ แววตาของซิกฉายแววหงุดหงิดลาง ๆ
“ที่เหลือ ผมกินแทนเอง” จบประโยคนั้น เสียงโห่ร้องของรุ่นพี่ปีสี่ก็ดังขึ้นทันที
“เหี้ย ! มึงพูดเองนะซิก รักเพื่อนมากก็ดูแลตัวเองไปมึงอะ ถ้าเมาแล้วโดนเพื่อนกูฉุด กูไม่รู้ด้วยนะ”
ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าตัวเองเป็นคนคออ่อน หลังจากที่ยกเหล้าไปไม่เกินสิบห้านาที สติผมก็เริ่มไม่อยู่กับตัวแล้ว ภาพตรงหน้าเริ่มหน่วงขึ้นจนผมต้องพยายามนั่งนิ่ง ๆ ไม่ให้โลกมันเหวี่ยงไปมากกว่านี้ ไม่รู้ว่าฝืนนั่งอย่างนั้นไปนานเท่าไหร่ แต่ผมคิดว่านานพอที่รุ่นพี่และเพื่อนจะเริ่มเมากันบ้างแล้ว ผมถึงได้หันไปดึงแขนคนข้าง ๆ เพราะจะชวนเขาไปเข้าห้องน้ำ
ไม่รู้ว่าเพราะผมเมาหรือซิกเมา แค่ผมดึงเขาเบา ๆ เขาก็เซลงมาคร่อมทับผม ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้มากจนผมเผลอเอื้อมมือไปจับ ผมจ้องหน้าเขาด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าหล่อขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ติดแค่ตรงที่หน้าของเขาลามไปถึงหูมันแดงเถือกไปหมด พอคิดขึ้นมาได้ว่าซิกเป็นคนที่เมาก่อน ผมเลยยิ้มกว้างออกมา
“มึงเมาแล้วซิก..” ผมรู้สึกว่าใบหน้าของเขาแดงมากขึ้น
“มึงต่างหากที่เมา” เสียงของซิกเบามากจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ ผมนิ่งไปเพราะรู้สึกถึงจังหวะหัวใจของตัวเองที่เต้นเร็วขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
“อีตางอีมินไปดูน้องพวกมึงดิ๊ มันลงไปกองกันทั้งคู่แล้วน่ะ เห็นไหม” ผมผลักคนที่อยู่ด้านบนออกไป ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ไปห้องน้ำนะ” พูดจบผมก็รีบพาตัวเองออกไปจากตรงนั้นทันที
ผมลากสังขารตัวเองมาล้วงคออ้วกในห้องน้ำจนเกือบสร่าง พอได้มาล้างหน้าล้างตาแล้วมันก็รู้สึกดีขึ้น แต่เมื่อคิดไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าทีไร ผมก็รู้สึกว่าหัวใจมันเต้นผิดจังหวะทุกที ผมเปิดน้ำล้างหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนปิดก๊อกและทำท่าจะเดินออกไป แต่ก็หยุดยืนอยู่ที่เดิมเพราะผู้หญิงที่ยืนหันหลังขวางประตูอยู่
ผมหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น พยายามเค้นสมองวิเคราะห์ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่ กระทั่งผู้หญิงคนนั้นก้าวเท้าเดินออกไป ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเดินตามเธอไป เมื่อออกไปจากห้องน้ำกลับเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเดินห่างออกไปไกลแล้ว ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไปก็ยังไม่ทัน มาถึงริมทะเลเธอก็คลาดสายตาผมไปแล้ว ผมมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นเธอหยุดยืนอยู่กลางทะเลที่น้ำลึกจนเกือบถึงเอวและมองมาที่ผม
คราวนี้เธอไม่ได้ร้องขอให้ช่วยแบบหลายครั้งที่ผ่านมา เธอยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ต่างกับผมที่หันหลังและเตรียมจะเดินกลับไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวผมก็ก้าวขาต่อไม่ออก ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาจนรั้งให้ผมต้องหยุดอยู่ตรงนั้น
ถ้าผมไม่ช่วยเธอ เธอจะตายไหม
เพราะผมไม่ช่วยรึเปล่า เธอถึงได้ตาย
ทำไมผมถึงไม่ช่วยเธอ เธอยืนอยู่ตรงนั้น
แค่ตรงนั้นเอง..
ความคิดหลายอย่างตีกันจนผมสับสนไปหมด ท้ายที่สุดแล้วผมก็เลือกที่จะหันหลังกลับและเดินลงทะเลไป ยิ่งใกล้ถึงผู้หญิงคนนั้นมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเดินลึกลงไปในทะเล ผมรีบเดินให้เร็วขึ้นจนสามารถคว้ามือของเธอไว้ได้ หากแต่เธอกลับออกแรงกระชากจนผมเสียหลักจมลงไปในทะเล น้ำทะเลมากมายไหลทะลักเข้าจมูกจนแสบไปหมด เมื่อผมพยายามตะเกียดตะกายจะยืนขึ้น แรงกดมากมายมหาศาลกลับทำให้ร่างกายมันหนักอึ้งจนจมอยู่ในทะเล ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ก็มีเพียงน้ำทะเลเท่านั้นที่อยู่รอบตัว ความทรมานจากการขาดอากาศหายใจทำให้ผมไม่มีแรงจะดิ้นรนอีกต่อไป นั่นเป็นแวบหนึ่งที่ผมคิดขึ้นมา
ถ้าเป็นแบบนี้.. ทุกอย่างจะจบไหม