แฝดสุด (คนละ) ขั้ว <Are we twin? NOT INCEST NO3P> 25 ENDING [22.10.20]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แฝดสุด (คนละ) ขั้ว <Are we twin? NOT INCEST NO3P> 25 ENDING [22.10.20]  (อ่าน 12271 ครั้ง)

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-10-2020 15:17:49 โดย Lambosasha »

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
Re: แฝดสุด (คนละ) ขั้ว <Are we twins? NOT INCEST>
«ตอบ #1 เมื่อ13-10-2020 13:59:53 »

ทำงานประจำเสร็จละ เดี๋ยวมาต่อเรื่องเก่าๆ แต่เอาอันใหม่มาแปะก่อน ระหว่างแปลงานล่าสุด ดันอยากแต่งเกี่ยวกับแฝดนรกขึ้นมา 555

อาจจะดราม่ามั้ง แต่ไม่ใช่รักในสายเลือดแน่นอน

เปิดด้วย INTRO

“ศาลขอตัดสิน ให้เด็กชายธนู ทวีเทพธาดา อยู่กับผู้เป็นบิดา และเด็กชายคันศร ทวีเทพธาดา อยู่กับผู้เป็นมารดา จบการพิจารณาคดี”

***

คันศรยืนอยู่หน้าหลุมศพของแม่ น้ำตาไม่มีจะไหลอีกแล้ว เขากำมือแน่นขึ้นทุกขณะที่ได้ยินเสียงจากเครือญาติ และพ่อเลี้ยง

“ยังไงก็อายุ 20 แล้ว ไม่ต้องมีใครรับเลี้ยงหรอกมั้ง”
“นั่นสิ บรรลุนิติภาวะแล้วนี่”
“ให้ทนายจัดการเรื่องแบ่งมรดกกับเงินประกันเสร็จ ก็จบกัน ต่างคนต่างอยู่”
“แต่มึงมีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยงมันนะ”
“แล้วไงวะ ไอ้เด็กเหี้ยนั่น มันเคยเคารพกูที่ไหน”
“ก็มึงเป็นแบบนี้ไง ไอ้ติณ ฮ่าๆ”

มือที่กำแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อมีเลือดไหลซึม คันศรกัดริมฝีปากล่างที่สั่นระริกเอาไว้ พยายามระงับทั้งความเสียใจและความโกรธ อย่างหาทางระบายออกมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

เขาไม่รู้ว่าพ่อแท้ๆ หน้าตาเป็นยังไง แม่ไม่เคยพูดถึงพ่อของเขามากนัก รูปถ่ายสักใบก็ไม่มีให้เห็น รู้แค่พ่อส่งเงินค่าเลี้ยงดูมาให้จนเขาอายุได้ 12 ปี ก็ขาดหายจากการติดต่อไป แต่แม่ไม่ได้ลำบากเรื่องเงิน เพราะมีงานทำ มีเงินเดือนสูง อยู่กันมาประสาแม่ลูกดีๆ วันหนึ่งแม่ก็ไปคว้าไอ้ผู้ชายเฮงซวยที่หวังหลอกแดก ให้มันมาอยู่กินในบ้าน แล้วก็แต่งงานกันตอนเขาอายุได้ 15 ปี หลังจากนั้นคันศรกับพ่อเลี้ยงที่อายุอ่อนกว่าแม่ถึง 11 ปี ก็มีปัญหากันมาตลอด ถึงขั้นต่อยกันจนเข้าโรงพยาบาลทั้งคู่มาแล้ว

เขาตั้งใจไว้ว่า จบงานศพแม่ จะตัดขาดกับไอ้คนเฮงซวยที่กำลังพ่นน้ำลายอยู่ข้างหลังทันที

“มึงว่าไงนะไอ้ศร!” พ่อเลี้ยงผุดลุกขึ้น หน้าตาของมันถมึงทึงด้วยความโกรธจัด ใบหน้าแดงก่ำ ถ้ามีควันพุ่งออกมาจากหูได้ก็คงแปลกดีพิลึก

คันศรหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบขึ้นมองหน้าของนายติณ พร้อมรอยยิ้มมุมปาก

“ก็ตามที่บอก บ้านนี้แม่ยกให้ผม เพราะงั้น ขอเชิญออกไปจากที่นี่”

“มึง! มันจะมากไปแล้ว ยังไงกูก็เป็นพ่อ...”

“พ่อเลี้ยงที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน และคนละนามสกุล ขอโทษนะ แต่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน” เขาชิงแทรกขึ้นมาก่อน โดยที่รอยยิ้มยังไม่เลือนหาย

ติณพุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อของเขา แต่พอสบสายตาวาวโรจน์ที่จ้องมาอย่างดุดันก็ชะงักไป

ถ้าเป็นตอนที่อายุ 16-17 เขาคงยังสู้มันไม่ได้ แต่ตอนนี้ ตอนที่เขาเติบโตจนอายุ 20 สูงใหญ่ถึง 187 ซม. ทั้งยังฝึกทักษะการต่อสู้มาหลายแขนง ติณรู้ดีว่าไม่มีทางสู้ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนี่ได้อีกแล้ว

พ่อเลี้ยงยอมปล่อยมือ แม้จะไม่พอใจและกรุ่นโกรธ คำพูดประโยคสุดท้ายของคันศร ยิ่งพาให้มันเดือดดาล

“รบกวนออกไปก่อนพรุ่งนี้เช้าด้วยแล้วกัน”

***

คันศรไม่เคยใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในบ้านหลังนี้มาก่อน หลังงานศพแม่เขาจัดการไล่พ่อเลี้ยงไร้ประโยชน์ออกจากบ้านไปแล้ว เพราะถึงมีมันอยู่ในบ้านก็เหมือนอยู่คนเดียว แต่พอไร้ซึ่งเสียงโวยวายก่นด่าชวนทะเลาะของมัน บ้านหลังนี้ก็เงียบลงอย่างน่าวังเวง

ช่วงนี้ยังเป็นช่วงปิดเทอม คันศรทั้งว่างและเหงา เขาไม่ชอบความเศร้า ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับน้ำตา จึงพยายามหากิจกรรมทำให้มากที่สุด แต่ทำอะไรก็ไม่หายเศร้า สุดท้ายจึงชวนเพื่อนมาจัดปาร์ตี้ที่บ้าน ใครจะมองยังไงก็ช่าง คนอื่นไม่ได้มาหาให้เขากิน คนที่เลี้ยงเขามาตลอดคือ แม่ และตอนนี้ แม่ก็ไม่อยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้แล้ว

ไม่มีใครมาแทนที่แม่ของเขาได้

“พี่ศร เมามากแล้วนะคะ” สาวน้อยวัย 17 ปี น้องสาวของเพื่อนในกลุ่มคนไหนสักคนที่เพื่อนดันพามาด้วย เหมือนจะเกาะติดเขาแจตั้งแต่เห็นหน้า เจ้าหล่อนใส่เสื้อเชิ้ตสีเหลืองอ่อนบางมากจนเห็นชุดชั้นในสีแดงข้างใน กับกางเกงยีนส์ขาสั้นเสมอหู เอาแต่นั่งเบียดเขาจนแทบจะขึ้นไปบนตัก และคันศรก็ไม่ได้คิดจะผลักไส

เขารู้ว่าการทำตัวแบบนี้มันดูงี่เง่า แต่ก็สบายกว่านอนร้องไห้คิดถึงแม่ เหมือนพวกลูกแหง่

“ไม่เมาหรอกแค่นี้” เขาว่าพลางกระดกเหล้าเข้าปากอีกแก้ว ไม่ได้นับด้วยซ้ำว่ากินไปเท่าไหร่แล้ว มึนนิดหน่อย แต่ยังมีสติอยู่มาก และคันศรก็รู้ว่าเด็กสาวที่มากอดแขนเอาหน้าอกเบียดอยู่ตอนนี้ต้องการอะไร

“ถ้าไม่อยากให้พี่กินเหล้า ก็หาอย่างอื่นให้พี่ทำสิ” คันศรหันไปส่งยิ้มหวานให้เด็กสาว เจ้าหล่อนหน้าแดงก่ำ แต่กลับยิ่งเบียดเนื้อตัวเข้าใส่ พลางยื่นหน้าไปกระซิบใกล้ๆ หูของเขา

“ไปบนห้องพี่สิคะ เดี๋ยวหวานจะให้พี่ดื่มน้ำหวาน...”

“ไม่ได้!!!”

เสียงโวยวายดังแทรกมาพร้อมแรงกระแทก เด็กสาวร่างบอบบางโดนผลักกระเด็นตกจากโซฟา ก่อนที่ผู้ประทุศร้ายจะกระโดดขึ้นไปนั่งทับบนหน้าขาของคันศร ด้วยความที่นั่งดูและอดทนมานานแล้ว

“พี่ศรเมาแล้ว ไปนอนดีกว่านะ ผมไปส่งบนห้อง”

“อะไรกันยะ ไอ้เด็กลิงนี่!” สาวเจ้าโวยวายหน้าดำหน้าแดง ผุดลุกขึ้นเนื้อตัวสั่นด้วยความโมโห แต่คนตัวเล็กบนตักของคันศรไม่สนใจ

“ผมต้องคอยดูแลพี่ ไปนอนกันนะ ดึกแล้ว” เด็ก (?) ผู้ชายตัวเล็กพอๆ กับสาวน้อยข้างหลังกอดคันศรไว้แน่น แต่สุดท้ายคนโดนกอดก็หิ้วคอเสื้อไอ้ตัวเล็กออกจนได้

“มึงแม่งน่ารำคาญว่ะ กูจะไปนอนกับน้องหวาน มึงนั่งเล่นกับพวกไอ้แทนอยู่ข้างล่างนี่แหละ” เขาเอ่ยเสียงแข็ง แล้วเหวี่ยงคนตัวเล็กไปทางกลุ่มเพื่อนที่ยังดื่มกันอยู่

“เออๆ อย่าไปขัดพี่เขาไอ้เตี้ย มานั่งแดกเหล้ากับพวกกูมา” แทนทัพ เพื่อนในกลุ่มลากคอลิงน้อยกลับไป แม้เจ้าตัวเล็กจะโวยวายดิ้นรน เพื่อจะไปหาคันศร

คันศรโอบเอวสาวน้อยวัย 17 พาเดินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน ไม่สนใจเสียงโวยวายของรุ่นน้องที่พักนี้ชอบมาเกาะแกะจนน่ารำคาญอย่าง อ๋อง

“พี่ศร! แม่งทำไมเป็นคนแบบนี้วะ แม่พี่...”

“มึงหยุดเลยไอ้เตี้ย อย่าพูดเรื่องนั้น ไม่งั้นกูตบปากแหก” แทนทัพรีบคว้าปากของอ๋องไว้ทันก่อนจะหลุดพูดถึงแม่ของคันศร ทุกคนรู้ว่าที่คันศรทำแบบนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงแม่ แม้มันจะผ่านมานานเกือบเดือนแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรคันศรก็ยังเศร้า เพื่อนๆ เลยอยากให้เขาได้ผ่อนคลาย

“พวกพี่แม่ง พี่ศรเศร้าก็รู้ แล้วทำไมต้องหาผู้หญิงมาให้เอาด้วยวะ! มันเกี่ยวเหรอ มันใช่เหรอวะ ทำไมพี่ศรต้องนอนกับผู้หญิงเพื่อทำใจด้วยวะ ผมไม่เข้าใจ”

“ก็มึงมันโง่ไง พวกกูลองมาทุกอย่างแล้ว ถ้าเรื่องนี้ช่วยมันได้ ก็น่าลอง” แทนทัพตอบ คนอื่นๆ ก็พยักหน้า เมื่อก่อนคันศรก็ค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ มีมาให้ควงไม่ซ้ำหน้า แต่ตั้งแต่แม่ป่วยหนัก ก็แทบไม่ยุ่งกับใครเลยจนผ่านมาเกือบปีเข้าไปแล้ว ถ้าได้คลายเครียดบ้างก็คงดีขึ้น

แต่คนตัวเล็กก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทั้งยังไม่พอใจมาก แต่ก็ต้องยอมนั่งกอดอกกัดปากอยู่กลางวงเหล้าของพวกรุ่นพี่ ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที ก็ได้ยินเสียงแตรรถดังลั่นรัวๆ ที่หน้าประตูบ้าน ทุกคนยังเมามาย ไม่มีใครลุกไปเปิดประตู มีแค่อ๋องที่รีบวิ่งออกไป

ปิ๊นๆๆๆ

“ใจเย็นสิวะ! พวกพี่ธันป่ะเนี่ย นี่มัน 5 ทุ่มกว่าแล้วนะเว้ย!” พลันต้องชะงักขาและมือที่กำลังจะเลื่อนประตูให้รถเข้ามาจอด เพราะไม่ใช่รถฟอร์จูนเนอร์สีขาวของรุ่นพี่อีกคนที่บอกว่าจะตามมาทีหลัง

เพราะมัวแต่งง และไม่แน่ใจว่าคนที่มาเป็นใคร กลัวเป็นพวกมิจฉาชีพ แม้รถที่จอดอยู่จะค่อนข้างหรูเหมือนรถนำเข้าก็ตาม อ๋องได้แต่ยืนเหวอ จนเจ้าของรถคันนั้นเปิดประตูเดินลงมา

อ๋องพยายามเพ่งมองใบหน้าที่เป็นเงาดำเพราะโดนแสงไฟหน้ารถส่องย้อนแสงเข้าตา และพอได้เห็นเจ้าของรถคันนั้นเต็มๆ ตาก็ถึงกับอ้าปากค้าง

“ผมเป็นพี่ชายของเจ้าของบ้านนี้ ช่วยเปิดประตูให้หน่อยได้มั้ยครับ”

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดลำลองที่ลงมาจากรถสีดำเงาวับตรงหน้าประตูบ้านเอ่ยน้ำเสียงสุภาพ

อ๋องกะพริบตาปริบๆ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่ก็ต้องเชื่อในคำพูดของคนคนนี้

เพราะใบหน้าของผู้ชายตรงหน้านี้ เหมือนกับของคันศรจนแทบแยกไม่ออก

***


ออฟไลน์ PFlove

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 831
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
Re: แฝดสุด (คนละ) ขั้ว <Are we twins? NOT INCEST>
«ตอบ #2 เมื่อ13-10-2020 14:29:36 »

มาให้ฟินจิกหมอนอีกแล้วนะคะคุณนักแต่ง แต่ชอบค่ะ ปูเสื่อรอเลย o13

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
1
“เฮ้ย...เมื่อกี้ใครวะไอ้ลิงเตี้ย” พวกที่เมาแอ๋ เหมือนจะได้สติคืนมาตอนเห็นผู้ชายตัวสูงโปร่งเดินผ่านหน้าไปแว้บๆ และถ้ามองไม่ผิด มันคันศรชัดๆ แต่คันศรก็เพิ่งขึ้นไปบนห้องนอนกับเด็กชื่อหวาน

อ๋องมองพวกรุ่นพี่ที่เมาเกลื่อนพื้นอย่างเอือมระอา

“เขาบอกว่าเป็นพี่ชายของพี่ศรอ่ะ”

“พี่ชาย!?” ทุกคนตาโต สร่างเมากันเป็นแถบ ที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินคันศรพูดเลยว่ามีพี่น้อง แล้วจู่ๆ โผล่มาได้ยังไง แถมหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ แม้รูปร่างจะต่างกันนิดหน่อยก็ตาม ทุกคนมองตามแผ่นหลังของร่างสูงไป รูปร่างด้านหลังแม้จะไม่หนาแน่นด้วยกล้ามเนื้อ แต่ก็สูงน่าจะพอๆ กับคนน้อง

ขาของคนมาใหม่หยุดชะงักที่ปลายบันได ก่อนจะหันมากวาดสายตาคมกริบมองทุกคน และหยุดสายตาลงที่คนตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม ซึ่งออกไปเปิดประตูให้เมื่อกี้

อ๋องสะดุ้งโหยง ทั้งหน้าและดวงตาของอีกคนเหมือนกับคันศรอย่างน่ากลัว เผลอคิดไปเลยว่าเป็นคนเดียวกัน และคงนิสัยเหมือนกันแน่ๆ คันศรเป็นคนดุดัน ชอบเสียงดังใส่อ๋องเป็นประจำอยู่แล้วด้วย หากแต่น้ำเสียงที่อีกคนเอ่ยออกมา กลับยิ่งทำให้อ๋องตัวแข็งทื่อ ใบหูร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ และไม่รู้สาเหตุ

“คุณ”

“ห๊ะ? ผมเหรอ” อ๋องหน้าเหวอ ยกนิ้วชี้เข้าหาตัวเองอย่างงุนงง ปลายสายตาที่มองมามันหยุดที่ตัวเองชัดๆ ไม่ใช่ใครอื่นแน่นอน แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ เลยต้องถามก่อน

“คุณแหละครับ พาผมไปห้องของคันศรที”

เพราะคนหน้าเหมือนคันศร ที่บอกว่าเป็นพี่ชาย ทั้งน้ำเสียงและคำพูดจา รวมทั้งกิริยาท่าทาง ดูสุภาพอ่อนโยน จนอ๋องรู้สึกใจสั่นแปลกๆ มันเหมือนคันศร หนุ่มรุ่นพี่ที่เขาแอบชอบกำลังพูดกับเขาแบบนั้น อ๋องเลยเดินนำทางให้ด้วยความตื่นเต้นนิดๆ จนมาถึงหน้าห้อง บนประตูไม้สีขาวที่แขวนป้ายรูปธนูสีแดง แทนชื่อของคันศรนั่นเอง และพออ๋องอ้าปากจะบอก

“ห้อง...”

“อ๊า อ๊า พี่ศรขา”

เสียงสองคนที่กำลังเริงรักในห้องของคันศรดังขัดเสียงของอ๋อง คนตัวเล็กแก้มร้อนผ่าวๆ หันหน้าหลบคนข้างๆ ทั้งที่ไม่จำเป็น

“ห้องนี้อ่ะครับ”

“ขอบคุณครับ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของอีกคน ทำเอาอ๋องฟินแล้วฟินอีก แอบบิดมือตัวเองเรียกสตินิดหนึ่ง ก่อนจะรีบวิ่งหนีลงบันไดไป ลืมว่าคนที่ตัวเองแอบชอบกำลังร่วมรักกับคนอื่นไปเสียสนิท

ธนูยืนมองแผ่นหลังเล็กๆ ที่รีบวิ่งลุกลี้ลุกลนหนีไปด้วยความงุนงง ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเคาะประตูอย่างมีมารยาท

ก๊อกๆ

สองครั้ง ไม่มีเสียงตอบรับ นอกจาก...

“อ๊า พี่ศร อูยยย เสียว อร๊ายยย แรงอีกค่า”

ธนูนิ่วหน้าเล็กน้อย เรื่องพวกนี้เป็นธรรมดาของผู้ชายวัยกลัดมันอย่างพวกเขา เขาไม่ติดใจสงสัยอะไรทั้งนั้นกับกิจกรรมบนเตียงของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นน้อง แม้จะไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม

แต่ดูเหมือนคันศรจะจำไม่ได้ว่าเคยมีพี่ชายด้วยซ้ำ

ก๊อกๆๆๆ

เสียงเคาะรัวขึ้นกว่าเดิม จนสองคนในห้องเหมือนจะเริ่มรู้ตัว คันศรผละออกมาจากเนินสะโพกของเด็กสาว หยิบผ้าขนหนูพันเอวลวกๆ แล้วเดินหน้ายุ่งไปเปิดประตู

“อะไรนักหนาวะ เหี้ยเอ๊...”

ปัง!

ทันทีที่เห็นคนหน้าห้อง เขาก็ตกใจจนเผลอผิดประตูเสียงดัง หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ คล้ายกับว่าเจอผี

คันศรเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับด็อพเพิลเก็งเกอร์มาบ้าง มันคือคำในภาษาเยอรมันที่หมายถึง แฝดปิศาจ หรือ Evil Twin (อีวิลทวินส์) ซึ่งมาจากตำนานพื้นบ้านของชาวเยอรมัน ที่ว่ากันว่า หากใครเจอคนที่หน้าเหมือนตัวเอง มันคือลางร้าย หายนะ

แล้วไอ้เมื่อกี้ คันศรเกือบคิดว่าตัวเองตาฝาด เหงื่อกาฬของเขาแตกพลั่ก ไอ้ที่เกือบจะตื่นก็หดหายกลับไปเรียบร้อย

“ศร! เปิดประตู”

“ไอ้เหี้ย แม่งพูดกับกู!” คันศรเหมือนคนสติแตกไปแล้ว ตกใจจนลนลาน วิ่งไปดันหลังน้องหวานที่มองเขาอย่างงุนงงไม่แพ้กัน

“เป็นอะไร ใครมาคะเนี่ย อย่าบอกนะว่าเมียพี่? เอ๊ะ แต่พี่ศรไม่มีแฟน...”

“หวาน ออกไปดูให้ที มันไปยัง” เขาดันหลังเด็กสาวไปทางประตูเรื่อยๆ จนเธอเอื้อมไปจับลูกบิด แล้วเขาก็รีบวิ่งกลับไปที่เตียงแทน ในใจภาวนาว่ามันคือภาพลวงตา

เด็กสาวหน้าตาเหรอหรา นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เปิดประตูออกไป พบกับ...

“กรี้ด!” เธอร้องลั่น หันมองคนหน้าทีคนหลังที ก่อนจะค่อยๆ ตั้งสติได้ก่อน “พี่ศร ใครอ่ะ หน้าเหมือนพี่เลย”

“คันศร!” พี่ชายเบียดร่างเด็กสาวเข้าไปในห้อง เดินตรงดิ่งไปหาน้องแล้วกระชากแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนั่นขึ้นจากเตียง แม้ว่าธนูจะรูปร่างผอมบางกว่า แต่แรงเยอะไม่แพ้กัน

ร่างใหญ่ของคันศรถูกเหวี่ยงลงบนพื้น เด็กสาวที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ยิ่งเลิกลั่กกับสภาพการณ์ในตอนนี้ จนได้แต่อ้าปากพะงาบๆ

คันศรสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ฝ่าเท้าหนักๆ กระทืบลงตรงพื้นที่เขานั่งอยู่ อีกนิดจะกระแทกโดนบั้นเอวอยู่แล้ว ก่อนที่เสียงเย็นๆ กับหน้ายิ้มๆ นั่นจะเคลื่อนลงมาใกล้

“ไง น้องรัก”

***

คันศรลืมไปสนิทว่าเคยมีพี่ชาย “ฝาแฝด”

และตอนนี้คนคนนั้นกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่บนโต๊ะกินข้าว โดยมีพวกเขาทั้งหมด ยกเว้นเด็กสาวที่โดนไล่ตะเพิดกลับบ้านไปแล้ว กำลังนั่งมองผู้มาเยือนอยู่แถวโซฟาหน้าทีวี คันศรกับแทนทัพนั่งบนโซฟา นอกนั้นนั่งกับพื้น และคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มอย่างอ๋องก็นั่งพับเพียบกอดขาคันศร ประหนึ่งเป็นเมียบ่าว

“อาทิตย์หน้าเปิดเรียน ไม่เตรียมหนังสือหนังหาอะไรกันหน่อยเหรอพวกคุณ” เสียงทุ้มนุ่มแต่เย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจกำลังเอื้อนเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งเฉย มือซ้ายถือสมาร์ทโฟนสีดำเรียบหรูกดเช็คข่าวสารบ้านเมืองไปพลางๆ

“แล้วจู่ๆ มึง เอ่อ พี่มาได้ไง” คันศรสับสน ไม่เจอกัน 12 ปีได้แล้ว ไม่รู้สึกเลยว่ามีความสนิทสนมแบบพี่น้อง แต่ก็อายุเท่ากัน เลยไม่รู้จะเรียกยังไงดี

“พูดแบบที่ชินก็ได้ พ่อได้ข่าวจากลุงอิ่ม เรื่องแม่...” คนหน้าเหมือนคันศรขยับตัวเล็กน้อย วางสมาร์ทโฟนลงบนโต๊ะแล้วหันมามองน้องชายด้วยแววตาเศร้าสร้อย

“พ่อเลยขอที่อยู่มา ให้ฉันแวะมาดูนาย”

“อ๋อ” คันศรพยักหน้าหงึกๆ “แล้วจะกลับยัง ดูแล้วนี่ กูสบายดี”

 “ก็ว่าจะกลับแหละ แต่...” ธนูหรี่ตาลง มองสภาพรอบบ้าน และเพื่อนๆ ของคันศร บางคนยังไม่สร่างดีด้วยซ้ำ ธนูถอนหายใจ จ้องหน้าน้องชายตัวโข่งอย่างขุ่นเคือง และมันก็แสดงออกมาในน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จนแทบไม่มีใครสังเกต

“เห็นแบบนี้ ฉันว่า ฉันคงต้องอยู่อีกนานนะ ศร”

***

คันศรเหลือบมองพี่ชายฝาแฝดที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว ท่าทางทะมัดทะแมงคล่องแคล่ว คงเพราะอยู่กับพ่อสองคน เลยต้องทำอาหารกินเอง ไม่เหมือนเขาที่มีแม่ทำให้ทุกอย่าง

พวกเขาหน้าตาเหมือนกัน สูงเท่ากัน ต่างแค่รูปร่างอีกฝ่ายที่บางกว่าเล็กน้อย กับคำพูดและสีหน้าที่อ่อนโยนกว่า แม้บางครั้งคันศรจะรู้สึกถึงรังสีแปลกๆ จากดวงตาคมกริบคู่นั้น

“แล้วพ่อล่ะ เป็นไงมั่ง” คันศรอยากเจอพ่อ อยากรู้จักพ่อมานานแล้ว เลยอดถามถึงไม่ได้

“สบายดี” คนตอบก็ช่างตอบได้สั้นกระชับได้ใจความ

“ไม่ใช่แบบนั้น คือ พ่อเป็นยังไง อยู่ที่ไหน ทำอะไร”

“พ่อไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก ไปต่างประเทศบ่อย คงมีเมียเก็บไว้ทุกที่แหละ” ธนูเผลอกระแทกเสียงนิดๆ ตอนกำลังสับหมู ทำเอาคนที่เดินมายืนข้างๆ สะดุ้งนิดหน่อย

บรรยากาศรอบตัวของธนูดูเป็นมิตรก็จริง แต่มันเหมือนกำแพงบางๆ กั้นอยู่ คันศรก็ไม่รู้ว่ามันมีอะไรที่รู้สึกขัดแย้ง

“เอาหมูนี่ยัดเข้าไปในปลาหมึก อย่าเละ อย่าล้น ค่อยๆ ทำ” พี่ชายส่งหมูสับในชามมาให้ คันศรรับมาด้วยสีหน้ามึนๆ แต่ก็ยอมนั่งลงทำตามที่บอก หยิบปลาหมึกมานั่งยัดไส้หมูเข้าไป

“พี่ศร!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหนุ่มร่างเล็กดังมาแต่ไกล พอเปิดประตูเข้ามา ก็เจอแฝดในครัวด้านซ้ายมือ อ๋องกะพริบตานิดๆ

“อ่า พี่ธนู แม่ผมให้เอาผลไม้มาให้ฮะ” เจอไม่ทันพ้นวันดี คนตัวเล็กก็แยกสองแฝดออกแล้ว เพราะไม่ได้ยากอะไรเลย แค่มองรูปร่างคร่าวๆ กับเสื้อผ้าที่ใส่และทรงผมก็รู้แล้ว

ธนูผอมกว่า สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับแขนปล่อยชาย กับกางเกงยีนส์เรียบๆ ตัดผมทรง Two Block อันเดอร์คัท ไถเกรียนครึ่งล่าง ครึ่งบนเสยขึ้น ส่วนคันศรเป็นผมซอยสั้นธรรมดา มีหน้าม้ายาวประคิ้วปัดไปด้านข้าง กับเสื้อยืดกางเกงขาสั้นธรรมดาๆ

“ฝากขอบคุณคุณแม่ด้วยครับ” ธนูยิ้มหวาน ยื่นมือไปรับตะกร้าผลไม้ “เดี๋ยวพี่ล้างตะกร้าคืนให้นะครับ”

แปลก คันศรกลอกตาไปมา มองคนพี่ที่เสียงอ่อนเสียงหวานกว่าตอนคุยกับน้องแท้ๆ อย่างเอือมๆ ตอนแรกก็คุยปกติ แต่พอรู้ว่าอ๋องอายุน้อยกว่า 2 ปีและเป็นแค่เด็กข้างบ้านที่ชอบมาวุ่นวายกับคันศร ก็มีสีหน้าและแววตาที่อ่อนลงทันที แถมยังขอบอกขอบใจที่คอยมาดูแลคันศรด้วย

“พี่ธนูทำอะไรเหรอฮะ” อ๋องชะโงกหน้าดูอาหารเย็นวันนี้ของบ้านทวีเทพธาดาด้วยความสนใจ

“แกงจืดปลาหมึกยัดไส้กับผัดกะหล่ำปลีครับ” ธนูตอบด้วยรอยยิ้ม มือก็สาละวนกับอาหารตรงหน้า อ๋องทำตาโต

“โห ของที่พี่ศรชอบนี่นา พี่ธนูรู้ได้ไง ไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งหลายปี”

มือที่กำลังหั่นผักชะงักไปชั่วครู่ ก่อนที่ธนูจะยิ้มอย่างฝืนๆ และตอบออกมา

“เพราะพี่ก็ชอบเหมือนกัน”

“อ๋อ ฝาแฝดนี่ ต่อให้อยู่ไกลกัน ก็ยังชอบอะไรเหมือนกันได้เนอะ” อ๋องมองมือที่หั่นผักอย่างสนอกสนใจ เพราะธนูทำอาหารเก่งพอๆ กับแม่ของตน ดูจากท่าทางการจับมีดหั่นก็รู้แล้ว

“แต่ผมก็ชอบนะ ปลาหมึกยัดไส้อ่ะ” อ๋องยิ้มกว้าง ก่อนจะหมุนตัวหันหลังออกจากครัว วิ่งไปนั่งเล่นเกมกับคันศรในห้องนั่งเล่น

ธนูกดมีดลงบนเขียงแรงขึ้น ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วค่อยปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติ

***

ใครนึกภาพทรงผมแฝดไม่ออก เรามีรูปมาแปะนะ ดูได้ป่าวไม่รู้

ธนูดูเหมือนเป็นคนสุภาพเรียบร้อยใช่มั้ย แต่นางแอบเถื่อน
https://www.picz.in.th/image/OMtB8t

อันนี้ทรงผมของคันศร ดูเหมือนนิสัยนางจะเถื่อนๆ นะ แต่เปล่าเลย
https://www.picz.in.th/image/OMtkcl

ปล. ภาพไม่ใช่อิมเมจตัวละครนะฮะ แค่แบบทรงผมเผื่อนึกภาพไม่ออก เราอธิบายไม่เก่ง 55

ออฟไลน์ Tanthai23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
 :hao7: ตามมาอ่านเรื่องใหม่ติดๆ แอบปลื้มคนพี่มากกว่านะ :hao3:
 

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
2
ปกติแล้ว เด็กที่คลอดออกมาก่อน มักจะเป็นพี่ แต่ในกรณีของธนูและคันศร ใช้หลักการที่ต่างออกไป ด้วยความเชื่อของฝั่งพ่อ ที่ให้เด็กแฝดคนที่ออกมาก่อนเป็นน้อง เพราะถือว่าพี่ชายเสียสละให้น้องออกมาก่อน

ดังนั้น คนที่ออกมาดูโลกก่อนก็คือ คันศร แม้จะห่างกันเพียงนาทีเดียวก็ตาม

หน้าตาของพวกเขาเหมือนกันเสียยิ่งกว่าแฝดไข่ใบเดียวกันแท้ๆ แต่เวลามองนานๆ จะรู้สึกถึงอารมณ์ที่แตกต่างบนใบหน้านั้น รูปร่างก็ค่อนข้างต่าง เพราะคันศรชอบออกกำลังกาย เล่นกีฬาพวกศิลปะป้องกันตัวหลายแบบ แต่ที่ถนัดคือยูโด ทำให้รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน สาเหตุที่ต้องฝึกฝนร่างกายก็เพื่อไว้สู้กับติณ พ่อเลี้ยงที่มีปัญหากันมาตลอด เพราะตอนเขาอายุ 14-15 อีกฝ่ายก็แค่ 20 กว่าๆ ยังเลือดร้อนพอกันทั้งคู่ พอมีปากเสียงก็นำพาไปสู่การทำร้ายร่างกาย แรกๆ คันศรสู้ไม่เคยได้ เพราะตัวเล็กกว่า โดนทั้งเตะต่อย ถึงขั้นถูกบุหรี่จี้มาแล้ว ตอนนั้นพอแม่รู้ ก็เลยส่งเขาไปหัดเรียนศิลปะป้องกันตัว ทั้งที่แค่เลิกกับไอ้แมงดานั่นน่าจะง่ายกว่าแท้ๆ

ส่วนฝั่งธนู เพราะอยู่กับพ่อ ทำให้ทำงานบ้านเป็นหลายอย่าง ชอบงานศิลปะ พวกวาดรูป ทำอาหาร เล่นดนตรี แม้ว่าพ่อจะส่งไปเรียนมวย แต่ก็เรียนได้ถึงแค่อายุ 17-18 พอเลิกเล่น กล้ามเนื้อก็ลดลง เลยรูปร่างบางกว่าคันศร แต่ส่วนสูงเท่ากันไม่ขาดไม่เกิน ตอนอายุ 12 พ่อแต่งงานใหม่กับแม่หม้ายลูกติด ซึ่งเป็นช่วงที่ขาดการติดต่อกับทางแม่และคันศร และธนูก็มีปัญหากับพี่สาว ลูกติดของแม่เลี้ยง และพ่อ พอแต่งงานใหม่ได้ไม่นาน ก็ต้องเดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยขึ้น จนธนูจับได้ว่าพ่อมีเมียเก็บอีกมากมายตามประเทศต่างๆ

สาเหตุที่พ่อกับแม่ของพวกเขาหย่ากันตอนพวกเขาอายุ 8 ขวบ ก็เพราะความเจ้าชู้ของพ่อ ใจจริงธนูอยากอยู่กับแม่ แต่ด้วยความเป็นเด็ก จึงไม่มีสิทธิเลือกมากนัก และเขา...ควรต้องเสียสละให้น้อง

“ผมไม่กลับ แค่นี้นะครับ” ธนูเอ่ยเสียงแข็ง ออกจะกระแทกกระทั้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ ก่อนจะกดตัดสายไม่รออีกฝ่ายพูดจนจบ เขาขยี้ผมที่เสยไว้จนมันยุ่งเหยิงอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหมุนตัวหันหน้าออกจากครัว

พลันปะทะเข้ากับใบหน้าของน้องชายที่ไม่รู้ว่ามายืนแอบฟังตั้งแต่ตอนไหน

“ทำไมยังไม่นอน” สีหน้าอ่อนลง หากแต่แววตายังแฝงความเกรี้ยวกราด แล้วคนเป็นน้องแฝดคลานตามกันมา จะไม่รับรู้ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

“เรื่องของกูมั้ยวะ” แต่แววตาของพี่ชายไม่ชวนให้ล้อเล่น คันศรเลยเปลี่ยนมาพูดเบาลง “หิวน้ำ”

ธนูส่งสายตาว่าเข้าใจแล้ว พลางเบี่ยงตัวหลบให้น้องเข้าไปหยิบน้ำในตู้เย็น แต่พอก้าวขาจะออกไปจากครัว เสียงของคันศรก็หยุดเขาไว้

“เมื่อกี้คุยกับใครวะ ดูมึงหัวเสียจัง”

“ไม่มีอะไร”

คำตอบนั้นทำเอาคันศรได้แต่กลอกตา ไม่อยากเซ้าซี้มาก เพราะดูท่าพี่ชายจะอารมณ์ไม่ดี

“แล้วนี่มึงจะอยู่นี่ยาวเลยเหรอ เดี๋ยวเปิดเทอมจะไปกลับยังไง”

ธนูหันหลังไปมองน้องพลางหรี่ตา “นายไม่รู้เหรอว่าฉันอยู่มหาลัยใกล้ๆ นี่”

คันศรสั่นหัวแล้วยักไหล่ ไม่มีทีท่าจะสนใจเรื่องของพี่ชายแม้แต่น้อย และธนูก็คงชอบให้เป็นแบบนั้นมากกว่า เพราะตั้งแต่มาที่บ้านนี้ ธนูไม่เคยพูดเรื่องของตัวเองเลยสักครั้ง

“นอกจากจำฉันไม่ได้แล้ว ยังไม่ใส่ใจกันด้วยสินะ แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะเราต้องต่างคนต่างอยู่” แววตาของธนูที่จ้องมองราวกับหมาป่าที่กำลังสะกดให้เหยื่อถูกตรึงอยู่กับที่

คันศรเคยคิดว่าตัวเองโชคร้ายที่เจอกับพ่อเลี้ยงอย่างติณ แต่บางที การอยู่กับแม่และติณ อาจจะดีกว่าอยู่กับพ่อแท้ๆ หรือเปล่า จากสีหน้าของพี่ชายมันบ่งบอกอย่างนั้น จนเขาเริ่มกลัวขึ้นมาจริงๆ แต่ก็พยายามกัดฟันสู้กลับ

“แต่นี่บ้านกูนะ แม่ยกให้กู”

“เหรอ” พี่ชายเพียงแค่เลิกคิ้วใส่ ใบหน้าที่เหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก ถ้าไม่มีทรงผมที่แตกต่างนั้น กำลังจ้องมาด้วยสายตาที่ดุดันกว่าที่คันศรชอบทำใส่คนอื่นนัก

คันศรสะดุ้ง เมื่อพี่ชายก้าวเท้ายาวๆ เข้ามาใกล้ ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก ทั้งที่ดวงตาไม่มีแววยิ้มแย้มเลยแม้แต่น้อย

“งั้นลองไล่ดูสิ แบบที่นายไล่พ่อเลี้ยงไง”

“!” คันศรเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ “มะ มึงรู้ได้ไงวะ”

“เรื่องของนาย ไม่มีเรื่องไหนที่ฉันไม่รู้หรอก แค่มาช้าไปเท่านั้น” ธนูพูดแค่นั้นแล้วพลิกข้อเท้าหันหน้าออกไปนอกครัว เพราะรู้ว่าคันศรไม่มีทางกล้าไล่ตน แต่มือหนาของน้องชายคว้าต้นแขนเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยว ไอ้นู มึงหมายความว่าไงวะ มึงคอยแอบตามดูกูกับแม่เหรอ”

“ถ้าฉันหาพวกนายเจอเร็วกว่านี้ ฉันคงได้เจอแม่ไปแล้วล่ะศร ขอโทษด้วยที่โกหกเมื่อคราวก่อน ว่ารู้เรื่องจากลุง” ธนูสะบัดแขนออกจากมือของน้องอย่างง่ายดาย รูปร่างสูงใหญ่ของคันศรไม่ทำให้ธนูรู้สึกกลัวเกรงใดๆ

เพราะเขารู้ว่า ยังไงข้างในนั้น ก็คือ คันศรตัวเล็กๆ เหมือนเมื่อวันวาน ที่ชอบร้องไห้งอแงและเอาแต่พึ่งเขาเสมอ แม้มันจะลืมไปแล้วก็เถอะ

ธนูเดินจากไปแล้ว เหลือแค่คันศรที่ยังไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง

***

จริงของธนู มหาวิทยาลัยของธนูอยู่ใกล้บ้านของแม่มาก ห่างกันแค่ไม่กี่กิโลเมตร แต่มหาวิทยาลัยของคันศรอยู่ไกลกว่าเกือบคนละมุมเมือง

ก่อนเปิดเทอม ธนูกลับไปบ้านของพ่อครั้งหนึ่ง เพื่อขนข้าวของมาที่นี่ ธนูมีรถยี่ห้อหรูนำเข้าจากเมืองนอกขับ และมันดูน่าอิจฉาไม่น้อย ในขณะที่คันศรไม่มีรถใช้ เพราะพ่อเลี้ยงได้ไปเป็นมรดกจากแม่

“ขับรถเป็นมั้ย ศร” จู่ๆ พี่ชายก็ถามขึ้น ก่อนเปิดเทอมเพียงหนึ่งวัน

“เป็น”

“งั้นนายเอากุญแจไว้ ขับไปส่งฉันเสร็จ ฉันให้นายขับไปเรียนต่อ และตอนเย็นก็ต้องมารับฉันด้วย” ธนูโยนรีโมทรถให้ คันศรกะพริบตามองรีโมทสีดำในเคสสีแดง

“เอาจริงดิ?”

“อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำ”

พอสบตากัน คันศรก็รู้สึกแพ้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก มันต่างจากพ่อเลี้ยงจนเทียบกันไม่ติด เพราะคนคนนี้คือพี่ชายร่วมสายเลือด แถมหน้าก็เหมือนกันอีก ธนูไม่ใช่คนหยาบคายและชอบโวยวายโดยไม่จำเป็น แต่น้ำเสียงกับแววตาสามารถข่มขู่ได้ดีเยี่ยม ทำเอาคันศรไม่กล้าแม้แต่จะออกความเห็นที่เกินจำเป็นกับพี่ชาย

“ไม่กลัวกูชิ่งหนีเหรอ”

“ถ้านายกล้าทำ ก็ลองดู”

คันศรกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝือน เพราะแววตาของธนูยังคงแฝงความแข็งกร้าวเหมือนเดิม คนเงียบๆ นิ่งๆ เหมือนไม่แสดงออก เวลาโกรธคงน่ากลัวพิลึก และคันศรยังไม่อยากท้าทายมัน

“แล้วมึง จะไม่กลับบ้านนั้นแล้วจริงๆ เหรอ”

“ศร” เสียงขุ่นมัวของพี่ ทำเอาคันศรสะดุ้งโหยง เหมือนจะถามเรื่องที่ไม่ควรถาม แต่ก็แค่อยากรู้ ไม่ได้คิดจะไล่ไปไหน คันศรเลยรีบยกมือยกไม้พัลวัน

“เอ่อ กูไม่ได้จะไล่นะ แค่สงสัย ว่ามึงไม่กลับไปเลยจะดีเหรอ”

“หึ” พอเห็นท่าทางลนลานของน้อง ธนูก็อดขำไม่ได้ ก่อนจะพูดทิ้งท้ายให้ แล้วเดินเข้าครัวไปเตรียมอาหารเย็น

“ไว้อยากกลับจะบอก”

***

วันเปิดเทอมใหม่ กับการขึ้นมหาวิทยาลัยปีที่ 3 ของฝาแฝด ธนูตื่นมาเตรียมอาหารแต่เช้า โดยมีลูกมือเป็นเด็กหนุ่มหัวเกรียนข้างบ้าน

“แล้วเราจะไม่ไปเรียนสายเหรอ อ๋อง” ธนูปิ้งขนมปังไว้ในเครื่อง ก่อนจะหันมาตอกไข่ใส่กะทะ อ๋องคอยดูขนมปังและช่วยหั่นมะเขือเทศกับแตงกวามาแต่งในจาน

“ไม่เป็นไรหรอกพี่นู ปีสุดท้ายแล้ว ไม่ค่อยมีเรียน มีแต่เรียนพิเศษข้างนอกมากกว่าฮะ” คนตัวเล็กตอบอย่างอารมณ์ดี เด็กมัธยมเปิดเทอมไปก่อนหน้าพวกเขาแล้ว ปีนี้อ๋องอยู่ชั้นม.6 กำลังย่างเข้า 18 ปีในอีกเดือนสองเดือนนี้

ธนูคลี่ยิ้ม “งั้นเดี๋ยวพวกพี่ไปส่งเราที่โรงเรียนด้วยแล้วกัน น่าจะทันคาบแรกพอดี”

“ไม่เป็นไรก็ได้พี่นู ผมนั่งรถสองแถวไปแค่นี้เอง” อ๋องส่ายหน้า แต่ธนูแค่กดหน้าลงขมวดคิ้วนิดๆ ก็ไม่กล้าปฏิเสธแล้ว

เล่นทำหน้าดุเหมือนเอ็นดูเด็กตัวเล็กๆ แบบนั้น อ๋องก็เขินน่ะสิ

คันศรเดินลงมาจากชั้นสองหลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ สายตาเหลือบมองกระเป๋าใส่ไวโอลินกับไม้กลองตรงข้างประตูหน้า ก่อนจะหันหน้าไปทางครัว ที่เปิดประตูทิ้งไว้ตลอดเวลา

เด็กหนุ่มร่างเล็กหัวเกรียนที่คันศรเคยเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ และมักจะติดเขาแจจนอายุป่านนี้ ตอนนี้เหมือนจะหันไปติดพี่ชายหน้าเหมือนของเขาเสียแล้ว

“ไง ไอ้อ๋อง” คันศรเดินเข้าไปขัดสองคนที่กำลังคุยกันกระหนุงกระหนิงหน้าเตา พลางเลื่อนเก้าอี้ลงนั่ง

อ๋องรีบหันไปหา พร้อมรอยยิ้มหวานยามเช้า

“พี่ศร วันนี้พี่นูสอนผมทำอาหารเช้าแบบฝรั่งล่ะ”

คันศรมองจานอาหารเช้าที่อ๋องวางลงบนโต๊ะ เป็นขนมปังปิ้งเกรียมนิดๆ แฮม ไส้กรอก สแครมเบิ้ลเอ้ก (ไข่คน) ผักแซมนิดหน่อย กับนมสด

“ให้กูเดานะ ไอ้ไข่นี่ พี่กูทำ ส่วนมึงแค่หั่นผัก”

“แค่นี้ก็ดีแล้วพี่ หรือพี่อยากกินไข่ไหม้” คนตัวเล็กหน้างอนิดๆ เพราะคันศรชอบแกล้งแหย่ประจำ บางทีก็ชวนให้หงุดหงิด แต่ไม่เคยไม่ชอบ

“อ่ะ ชิมๆ มะเขือเทศที่ผมหั่นน่ะสดมากๆ เลยน้า” อ๋องเอาส้อมจิ้มมะเขือเทศไปจ่อตรงปากของคันศร ซึ่งคนตัวโตก็งับเข้าปากแบบไม่คิดมาก

ธนูที่กำลังจะนั่งลงข้างๆ อ๋อง ชะงักไปเล็กน้อย เขาพอจะได้ยินมานิดหน่อย ว่าอ๋องกับคันศรสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว น่าจะช่วงที่แม่พาย้ายมาแถวนี้ เมื่อ 5-6 ปีก่อน ถือว่านานพอสมควร

และหากว่าเขาไม่ได้หน้าตาเหมือนกับคันศร เด็กคนนี้จะยังสนิทสนมกับเขาด้วยหรือเปล่า ก็ไม่แน่ใจ

มือเรียวสวยของธนูแตะลงบนขอบเอวเล็กๆ ของอ๋อง ที่ยืนโก่งโค้ง เอาศอกท้าวบนโต๊ะกินข้าว ตบเบาๆ เพื่อเตือน

“นั่งดีๆ สิครับ”

เด็กหนุ่มหัวเกรียนสะดุ้งตกใจ รีบขอโทษธนูก่อนจะนั่งลงให้เรียบร้อย โดยที่นิ้วมือเรียวสวยพวกนั้นยังเกาะอยู่กับเอว

แล้วไม่รู้ทำไม คิ้วของคันศรถึงต้องขมวดปม ตอนที่เห็นท่าทางแบบนั้นของพี่ชาย


***

มัวแต่คิดเรื่องนี้จนลืมเรื่องเก่าเลย จะพยายามสปาร์คให้ติดน้า หลังทำงานเสร็จ หัวมันอื้อ นึกถึงแต่งาน เลยมีแต่เรื่องพี่ๆ น้องๆ เต็มหัว 55

คืนนี้พอละ ปมปัญหาของเด็กๆ ไม่มีไรมากหรอก น่าจะพอเดากันได้มั้งนะ

ออฟไลน์ Tanthai23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
ฺอ๋องนี้คือนายเอกคนเดียวเหรอ (แอบเชียร์พี่ชาย สู้ๆ)  :hao3:

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
3
“จอดนี่แหละ แล้วเย็นนี้ เลิกกี่โมง เอาตารางเรียนนายมาไว้ที่ฉันเลยก็ได้” พี่ชายออกปากสั่งรัว จนคันศรทำตามแทบไม่ทัน การมีธนูอยู่ด้วยมันก็ไม่เหงา และเหมือนมีแม่อีกคนอย่างบอกไม่ถูก

“ส่งไลน์ไปให้ละกันตารางอ่ะ เย็นนี้ช้านะ มีกิจกรรมรับน้อง ต้องไปดูหน่อยว่าปีนี้เป็นไงมั่ง เพิ่งยกเลิกว้ากปีแรก อาจจะไม่ค่อยเป็นระเบียบ”

“อืม มาถึงก็โทรบอกแล้วกัน ฉันเองก็มีซ้อม”

“ซ้อมดนตรีเหรอ มึงมีวงของตัวเองด้วยเปล่าวะ” คันศรรู้สึกสนใจชีวิตของพี่ขึ้นมานิดหน่อย คนหน้านิ่งๆ ขรึมๆ เวลาเล่นดนตรี จะเล่นออกมาเป็นแบบไหน

“มี”

“โห เจ๋งเว้ย ไว้ให้ดูตอนเล่นสดมั่งดิ หรือมีลงยูทูปไรงี้มั้ย ชื่อวงไรวะ”

“ไว้จะส่งให้ในไลน์ รีบไปเรียนได้แล้ว” ธนูตัดบทก่อนจะก้าวลงจากรถ ไม่มีการโบกมือลา หรือรอยยิ้มส่ง แค่เอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าไวโอลินกับไม้กลองที่เบาะหลังแล้วเปิดประตูลงจากรถ ปิดประตูแล้วก็เดินไปที่ตึกคณะดุริยางค์เลย

คันศรยักไหล่กับตัวเองพลางมองแผ่นหลังของพี่ชายที่เดินไกลออกไป จนขึ้นบันไดตึกคณะไปแล้ว จึงออกรถไปมหาวิทยาลัยของตัวเองบ้าง

ธนูเดินขึ้นบันไดไปถึงโต๊ะไม้ยาวที่มีกลุ่มเพื่อนนั่งรออยู่ ส่วนมากจะเป็นผู้ชายเกือบ 20 คน มีผู้หญิงประปราย 5-6 คน

“ไอ้นู มึงให้ใครเอารถไปใช้วะ” เสียงใครสักคนดังขึ้น ทำให้ทุกคนสนอกสนใจขึ้นมา

“หรือมึงมีแฟนใหม่แล้ว! หล่อมั้ยๆ” มีนา เพื่อนสาวในกลุ่มของเขาตาวาวด้วยความสนใจ เพราะคนควงของธนูไม่เคยมีที่ไม่หล่อ แต่ละคนทำเอาผู้หญิงแถวนี้นั่งน้ำลายหกมาแล้วหลายราย

“...” ธนูอ้าปากเหมือนจะพูด แต่ก็หุบปากไว้แล้วนิ่วหน้านิดๆ ก่อนจะนั่งลง วางกระเป๋าไวโอลินบนโต๊ะ แล้วถือแค่ไม้กลองมาเคาะโต๊ะเป็นจังหวะเล่น

“อะไร มึงอย่าแดกจุด ทำไมไม่ให้เขาลงมาให้เพิ่ลๆ ดูตัวหน่อย ว่าหล่อมั้ย” หนุ่ย เพื่อนผู้ชายที่นั่งข้างๆ มีนาแง้มหน้ามาขอแจมบ้าง

“น้อง”

“หา?”

“นั่นน้องผมเอง” กว่าธนูจะเฉลยได้ พอได้ยินอย่างนั้น เพื่อนๆ ก็เซ็งเป็นแถบ โดยเฉพาะเพื่อนผู้หญิงที่อยากเห็นคนหล่อ

“อ๊ะ แต่น้องมึงก็ต้องหล่อเหมือนพี่สิวะ มาให้เจอเลยๆ” มีนางอแงเกาะแขนเขา

“ใช่ๆ ไม่เคยเจอน้องมึงเลย เห็นว่าแยกกันอยู่ตั้งนานแล้วนี่” เพื่อนเก่าสมัยมัธยมอย่าง พีท ก็พอจะจำเรื่องของธนูได้ ธนูเคยพูดถึงน้องชายนานๆ ครั้ง

“ไว้เย็นนี้น้องมารับ จะแนะนำแล้วกันครับ” เขาเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ ในเมื่อต้องให้มารับส่งทุกวันอยู่แล้ว ไม่มีทางรอดพ้นสายตาของเพื่อนๆ ไปได้

“แล้วไอ้พี่อะไรนะ พี่อิฐ ที่มึงคั่วๆ อยู่ก่อนปิดเทอมอ่ะ เลิกแล้วเหรอวะ”

“อืม” เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องงานเฟรชชี่ไนท์ที่ต้องขึ้นแสดงดนตรีสดกับเพื่อนที่ทำวงด้วยกัน

***

ทางด้านคันศร ตอนที่ขับรถของพี่ชายไปจอดหน้าตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อนๆ ก็สนอกสนใจไม่แพ้กัน แต่พวกที่เคยเจอกับธนูที่บ้านของคันศรแล้ว พอจะจำได้ว่าคุณพี่ชายหน้านิ่งคนนั้นมีรถหรูมาด้วย

“ตกลงพี่มึงมาอยู่บ้านมึงถาวรเลยเหรอ งี้ก็อดปาร์ตี้แล้วสิวะ โธ่” แทนทัพโพล่งขึ้นอย่างเสียดาย

“แต่ก็ดีแล้วนี่ เพราะไอ้ศรจะได้ไม่เหงา” เท็น เพื่อนอีกคนที่อยู่ด้วยวันนั้น แม้จะเมาหนักไปหน่อย ก็ยังพอจำพี่ชายของเพื่อนได้แม่น ก็หน้าเหมือนกันขนาดนั้น

“แต่จริงๆ พี่มึงก็อายุเท่ากันนี่หว่า”
“ไอ้ศรมีแฝดเหรอวะ”
“โห หน้าอย่างนี้มีสองคน ไม่เหลือที่ให้คนหน้าตาบ้านๆ ได้มีที่ยืนเลยครับเพื่อน”

“พอเหอะ เลิกพูดเรื่องมันก่อน” คันศรที่นั่งฟังอยู่นานแล้ว ต้องเบรคเพื่อนๆ ก่อนจะยาวกว่านี้ เขาเบื่อกับเรื่องของพี่ชายเต็มที

“มึงไม่ค่อยโอเคเหรอวะ แต่ก็นะ เป็นกูก็คงแปลกๆ เห็นคนหน้าเหมือนตัวเองทุกวัน” แทนทัพพูดกลั้วหัวเราะ พลางหยิบขนมบนโต๊ะหินมากิน เจ้าของขนมอย่างเท็นก็มองตาม

“ชิ้นสุดท้ายของกู ไอ้เหี้ยแทน”

“แล้วแบบนี้พวกกูต้องเรียกเขาว่าพี่มั้ยวะ หรือเรียกเหมือนเพื่อนกัน แต่พี่มึงสุภาพมาก จนพวกกูไม่กล้าเล่นเลย” แทนทัพไม่สนใจคนข้างๆ ที่ยื่นมือมาจะแย่งขนม เพราะชิ้นสุดท้ายในถุงเข้าปากไปเรียบร้อยแล้ว เท็นสบถอย่างหงุดหงิด ตีแขนแทนทัพไปทีด้วยความโมโห แต่แล้วทั้งโต๊ะที่กำลังพูดคุยเรื่องแฝดก็ต้องสะดุ้งหน้าซีดเผือด เมื่อคันศรทุบโต๊ะดัง ปัง! แล้วลุกขึ้นหน้าถมึงทึง

“กูบอกให้พวกมึงเลิกพูดเรื่องมันไง! ใครพูดอีก กูต่อยปากแหก”

“โอเคครับพ่อ” แทนทัพเป็นหน่วยกล้าตาย ส่งเสียงขานรับเบาๆ อย่างหวาดๆ ไป

***

เกือบ 2 ทุ่มครึ่งกว่าที่รถมาเซราติสีดำคันหรูจะมาจอดหน้าคณะดุริยางค์

“ช้าชะมัด” พี่ชายยืนกอดอก นิ่วหน้าใส่ เมื่อเห็นคันศรเดินขึ้นบันไดมา ยังมีเพื่อนๆ หลายคนนั่งอยู่แถวนั้น เพราะเพิ่งเลิกซ้อมดนตรี แต่มันค่อนข้างมืด เลยมองหน้าคนน้องไม่ค่อยชัดกัน จนคนตัวสูงใหญ่ขึ้นมาถึงบนตึก ทุกคนถึงกับตาโตด้วยความแปลกใจ เพราะรู้แค่เป็นน้อง แต่ไม่รู้ว่าเป็นแฝด

“นี่เพื่อนฉันเอง แนะนำกันเองแล้วกัน” ธนูเบี่ยงตัวหลบ ให้คันศรทักทายคนอื่น

“สวัสดีครับ” คันศรยิ้มให้ทุกคนแบบเร็วๆ เพื่อนของธนูต่างยิ้มรับ

“แล้วจะกลับเลยป่ะ หรือต้องรอเพื่อนมึงทำอะไรอีก” เพราะเห็นบางคนยังนั่งดีดกีตาร์ เคาะไม้กลองกันอยู่ ก็เลยสงสัย

แต่ธนูส่ายหน้า “ไปเลย”

“อ้าว? ไม่ไปแดกเหล้าแถวนี้หน่อยเหรอวะนู ให้น้องไปด้วยได้นะ” พีทปรี่เข้ามากอดคอ

“มันจะสามทุ่มแล้ว กว่าจะถึงร้าน กว่าพวกคุณจะเมา กว่าจะกลับก็คงเกินเที่ยงคืน แล้วพรุ่งนี้ผมมีเทสต์เช้า” ธนูตอบหน้านิ่ง เหลือบตามองพีทที่คบมานาน จนรู้นิสัยกันดี ว่าถ้าไม่ก็คือไม่ พีทยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าน้องชายฝาแฝดของเพื่อนที่ดูน่าจะเป็นมิตรกว่านิดหน่อย

“งั้นให้นูกลับไปคนเดียว ขอตัวน้องไว้ได้มั้ยวะ ชื่อไรนะน้องมึงอ่ะ”

“คันศร” คนน้องรีบตอบให้ เพื่อนของพี่ชายก็ดูไม่ได้มาดคุณชาย สุภาพเรียบร้อย เผลอๆ จะห่ามพอๆ กับเพื่อนของเขาด้วยซ้ำ เลยไม่ค่อยอึดอัดเท่าไหร่ แต่ธนูก็ยังคงความสุภาพเสมอต้นเสมอปลาย ไม่รู้คุยกันรู้เรื่องได้ยังไง

“คันศร? เฮ้ย ชื่อเหมือนกันไปอีก เออๆ ศรไปกับพวกกูดิ วงไอ้บิวมีเล่นสดที่ร้านคืนนี้ด้วย” พีทเปลี่ยนไปกอดคอคนน้องแทน ตีสนิทได้รวดเร็วมาก

“แต่พี่กู...” คันศรเหลือบตามองหน้าพี่ชาย แต่ธนูก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเป็นพิเศษ แค่ถอนหายใจเบาๆ

“ตามใจ เดี๋ยวฉันขับรถกลับเอง” ธนูตอบเสร็จ ก็หยิบกระเป๋าไวโอลินกับไม้กลอง รับรีโมทคืนจากคันศร และก่อนจะเดินไปที่รถ ก็กำชับเพื่อนให้ดูแลน้องชายให้ดีๆ ด้วย

ธนูปล่อยให้คันศรไปกับพวกพีท และตรงกลับบ้านเลยทันที โตๆ กันแล้ว เขาไม่ค่อยห่วงชีวิตของคันศรมากนัก แค่พยายามให้อยู่ในร่องในรอยขึ้นมาบ้างก็พอ จากครั้งแรกที่เจอ ก็เหมือนจะเป็นแค่ปาร์ตี้เพื่อให้ลืมเรื่องเศร้าๆ ไม่ใช่ว่าชอบดื่มชอบเที่ยวเป็นกิจวัตร ส่วนเรื่องชีวิตรัก หรือคันศรจะไปทำอะไรที่ไหนกับใคร ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องยุ่ง

“พี่นู!” พอเห็นรถหรูมาจอดเทียบในบ้าน เจ้าลิงน้อยก็โผล่มาจากตรงกำแพงข้างบ้านทันที ธนูหันไป พลันต้องตกใจ รีบวิ่งไปรับคนตัวเล็กที่ปีนข้ามรั้วบ้านมา แล้วรั้วก็สูงเกือบ 2 เมตร ไม่ใช่เตี้ยๆ

ตุ้บ

“โอ๊ะ” อ๋องอุทานเบาๆ ตอนที่ร่วงปุลงในอ้อมกอดของพี่ชายตัวสูง แล้วก็เงยหน้าขึ้นยิ้มแหะๆ

“ขอบคุณนะพี่นู”

“ทำไมทำอะไรอันตรายแบบนี้ครับ ถ้าหล่นมาแข้งขาหัก พี่ก็ต้องรู้สึกผิดกับคุณแม่ของอ๋องไปด้วยนะ” ธนูอดไม่ได้ที่จะดุเจ้าลิงจอมซน ไม่รู้ว่าทุกทีที่โผล่มาบ้าน เข้าทางประตูหรือปีนมาแบบนี้ตลอด

แต่อ๋องก็ได้แค่ยิ้มแหยๆ “ก็ขี้เกียจวิ่งอ้อมไปหน้าบ้านอ่า เดี๋ยวไม่ทันพี่นูเข้าบ้าน แล้วพี่ศรล่ะครับ”

เขากะแล้วล่ะว่าจะต้องมาถามหาไอ้น้องชายขี้โวยวายนั่น อยากจะถอนหายใจ แต่ก็ทำได้แค่ในใจ

“ศรคงกลับดึกๆ น่ะครับ ไปกับเพื่อน...” ของพี่ เขาละไว้ ก่อนจะพาอ๋องเข้าบ้าน “ว่าแต่เรามาหาศรทำไม จะให้สอนการบ้านอะไรหรือเปล่า”

“ก็มีพวกชีวะ กับเลข ผมไม่ถนัดเลย” อ๋องหยิบสมุดที่เหน็บไว้กับกางเกงออกมาให้ดู

“งั้นให้พี่สอนแทนได้มั้ย” ธนูยิ้มหวาน

“จริงเหรอ พี่นูก็สอนได้เหรอ เห็นพี่เป็นนักดนตรี ผมนึกว่าเรียนพวกศิลป์มาซะอีก” อ๋องตาวาว รีบวิ่งไปนั่งรอที่โซฟา กางสมุดการบ้านลงบนโต๊ะกระจก

“พี่เรียนวิทย์คณิตมา ถึงไม่ได้ใช้นานแล้ว แต่ก็คงพอช่วยได้นิดหน่อยน่ะ” ธนูนั่งลงข้างๆ อ๋อง ช่วยดูการบ้านให้ สมัยม.ปลายเขาถนัดเลขพอดี แต่ชีวะอาจจะจำได้ไม่เยอะมาก

ระหว่างที่ธนูช่วยอธิบายการบ้าน อ๋องก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ มีเหลือบๆ มองใบหน้าด้านข้างของแฝดคนพี่เป็นระยะ

“พวกพี่นี่ ดูยังไงก็เหมือนกันเนอะ”

“เหรอครับ” ธนูยิ้มแกนๆ คนอื่นทักไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่ไม่ชอบให้อ๋องทักแบบนี้เท่าไหร่ แต่เจ้าตัวเล็กคงไม่รู้เรื่องด้วย อยู่กับเขาทีไร พาลจะวกเข้าเรื่องอีกคนตลอด จากสายตาเวลาที่อ๋องมองคันศร ก็พอรู้ว่าทั้งปลาบปลื้มชื่นชม และ...

รัก

“เหมือนตรงไหนบ้าง ลองดูดีๆ อีกทีสิ”

อ๋องผงะ เขยิบก้นหนีแฝดพี่ที่จู่ๆ ก็หันมายิ้มหวาน เอามือท้าวบนโซฟาแล้วโน้มตัวลงให้หน้าใกล้ๆ กัน ทำเอาอ๋องใจสั่น เพราะใบหน้าเหมือนกับคันศร แต่อ่อนโยนกว่าหลายเท่า พอคิดว่าเวลาคันศรมองด้วยแววตาอ่อนโยนจะเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งเขิน

“ฮื้อออ พี่นูอย่าแกล้งดิ” มันใกล้มากเกินไป จนอ๋องต้องยกแขนขึ้นดันแผงอกของอีกคนไว้ เขินจนหน้าร้อนไปหมด

“หน้าแดงแจ๋เลย” ธนูยิ้มขำ

“ก็พี่นูอ่ะ มามองแบบนั้น ด้วยหน้าเหมือนพี่ศร” อ๋องหรุบตาลงมองมือของธนูที่จับมือซ้ายของตนไว้ตอนไหนก็ไม่รู้ มือของธนูเรียวสวยกว่าของคันศร แถมยังอุ่นมากด้วย แต่ตรงนี้เทียบกับของคันศรไม่ได้ เพราะอ๋องไม่เคยจับมือกับคันศรแบบนี้

ธนูมองหน้าแดงๆ ของคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกเอ็นดู ครั้งแรกที่เจอก็คิดอยู่ว่าน่ารักดี ดูซนๆ เหมือนลิง ลุกลี้ลุกลนตลอดเวลา แถมชอบทำหน้าเหวอใส่

แต่สิ่งหนึ่งที่มันติดค้างในใจมาเกือบ 3 อาทิตย์ตั้งแต่เจอกัน ก็คือ...

ธนูกลืนน้ำลาย ก่อนจะเค้นคำคำนั้นออกมาจากลำคอ

“อ๋องชอบศรเหรอ”

***

ในผับที่พวกพีทพาคันศรมาเที่ยว แฝดน้องค่อนข้างชินกับสถานที่แบบนี้อยู่แล้ว เสียงดนตรี กลิ่นบุหรี่ กลิ่นเหล้า และผู้คนมากมายท่ามกลางแสงไฟสลัว

“วู้ววว เยี่ยมเลยว่ะไอ้ศร มึงแม่งสุดยอด 3 ขวดรวดยังไม่เมา” พีทเข้ามากอดคอยกแก้วเหล้ากระดกเอาๆ คันศรก็มองตาม แล้วยกแก้วตัวเองกรอกลงคอบ้าง

“นี่ใคร นายคันศรนะเว้ย ต่อให้เป็นถังกูก็ไม่เมา” คันศรหัวเราะลั่น สนิทกับเพื่อนๆ ของพี่ชายได้เป็นอย่างดี คุยกันถูกคอเหมือนคบกันมานานหลายปี

“เออๆ กูรู้ มึงแม่งเจ๋งสุด แดกเข้าปายยย” พีทหัวเราะตาม “ว่าแต่ อยู่กับไอ้นูเป็นไงมั่ง มันเจ้าระเบียบฉิบหายเลยป่ะ”

“ก็นิดหน่อยว่ะ มันเหมือนแม่กูเลย ฮ่าๆ”

“แหงล่ะ ก็ลูกแม่มึงนี่” แล้วสองคนก็หัวเราะ พลางกระดกเหล้าเข้าปากเรื่อยๆ ตั้งแต่มีธนูมาอยู่ด้วย รู้สึกชีวิตของคันศรมีสีสันขึ้นมาก หายเศร้าไปได้บ้าง แม้ในใจจะยังคิดถึงแม่ แต่พอมองพี่ชาย ก็คล้ายๆ กัน คล้ายตรงนิสัยจู้จี้ขี้บ่นนั่นแหละ

ดื่มไปคุยไร้สาระไปสักพัก วงของเพื่อนของธนูที่บอกจะแสดงที่ร้านก็ขึ้นเล่น เป็นวงที่มีนักร้องนำเป็นผู้หญิง รู้สึกจะชื่อ เป้ย หน้าตาน่ารักแบบหมวยๆ หน่อย ผิวก็ขาวสวย ทำให้คันศรรู้สึกสนใจนิดหน่อย ว่าจะให้พีทแนะนำให้รู้จัก แต่ระหว่างดูการแสดงและรอสาวเป้ยลงจากเวที ก็เกิดอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมาก่อน เขาเลยตบบ่าพีทที่เริ่มเมาหนัก

“เฮ้ย พีท เดี๋ยวกูมานะ ปวดฉี่ว่ะ”

“เออๆ” พีทครางงึมงำตอบในคอ จนคันศรอดห่วงไม่ได้ เด็กวิศวะอย่างพวกเขาก๊งเหล้ากันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่พวกนี้น่าจะไม่ได้เมาบ่อย เพราะต้องประคองสติไว้เล่นดนตรี

“นั่งดีๆ เว้ย” ก่อนไป ก็ช่วยจับพีทนั่งตรงๆ แล้วรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยววงของเป้ยจะเล่นเสร็จก่อน เขารีบทำธุระจนเสร็จเรียบร้อย เดินสะบัดมือออกมาจากห้องน้ำ พลันได้ยินเสียงเรียกดังแทรกเสียงเพลงเพราะๆ ของเป้ย

“ธนู!”

***

ใครมา!

ออฟไลน์ PFlove

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 831
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
ฟินอ่ะ อิจฉาอ่องเลย   :hao6:
ชอบคนน้องนะ


ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
มาอย่างรวดเร็วเหมือนเดิม คือเราเป็นพวก ถ้าปล่อยค้าง จะลืมพลอต555
จดไว้นะ แต่มันจะแต่งต่อยากกว่าออกมาเรื่อยๆ ต้องบิ้วนานถ้าค้างนาน
มีคนเชียร์ทั้งพี่ทั้งน้องเลย แต่นายเอกนี่ใครน้า ใครหว่า ใครอ่ะ ไม่รู้อะ

4
ตอนอายุ 12 ปี พ่อก็เลิกส่งเงินมาให้ แม่เริ่มทำงานหนักขึ้น จนแทบไม่มีเวลาให้ ทั้งงานประจำ ทั้งร้านดอกไม้ พออายุย่างเข้า 14 ปี แม่ก็พาผู้ชายแปลกหน้าวัย 20 กว่าๆ มาที่บ้าน อายุมันห่างจากแม่ตั้ง 11 ปี แทบจะเป็นพี่ชายของเขาได้เลย แต่แม่กลับจะให้เขาเรียกมันว่าพ่อ

“นอนเกะกะไอ้เด็กเวร ลุกไปทำกับข้าวทีดิ แม่มึงไม่อยู่” ติณ พ่อเลี้ยงของคันศรเอาเท้ามาเตะเข้าที่น่องของเขาแรงๆ หลายที จนคันศรที่นอนกลางวันอยู่หน้าโซฟาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา

“พี่ก็ทำเองดิ” เพราะมันกระดากปากที่จะเรียกว่าพ่อ ก็เลยให้ได้แค่นี้ ไม่อยากให้แม่รู้สึกแย่ เวลาแม่อยู่บ้าน มันชอบเอาอกเอาใจ ทำตัวเหมือนเป็นคนดีเต็มประดาจนน่าหมั่นไส้ แต่พออยู่กับเขาสองคน ก็ชอบหาเรื่องกวนประสาท

ติณถลึงตา “เอ้า ไอ้นี่ มึงเป็นลูก ก็ต้องไปทำให้พ่อให้แม่แดก เร็วๆ เอาอะไรง่าย ไข่เจียวก็ได้ กูหิวมาก แม่งเล่นเสียอีกวันนี้ หัวร้อนเว้ย”

คันศรหงุดหงิด นั่งเกาหัวเกาพุงหาววอดๆ ไม่ยอมลุกไปทำกับข้าวให้ติณกิน จนพ่อเลี้ยงชักไม่พอใจมากกว่าเดิม

“ยังนิ่งอีก กูไม่ได้ใจดีเหมือนแม่มึงนะ ไม่ทำกูตีตายแน่” มันทำท่าจะหยิบไม้แขวนเสื้อมาฟาดขาของคันศร เด็กหนุ่มที่ตอนนั้นตัวเล็กนิดเดียว ยังสู้อะไรติณไม่ได้ เลยโดนตีประจำ

“โอ๊ยๆ ทำแล้วๆ แค่ไข่เจียวนะ ผมทำอย่างอื่นไม่เป็น”

ยิ่งนานวัน ติณก็ยิ่งชอบหาเรื่องคันศร คงเพราะคันศรเป็นเด็กหน้าตาดี ใครๆ ก็รักใคร่ มีเพื่อนผู้หญิงมาเที่ยวที่บ้านก็บ่อย

“เราว่า พ่อเลี้ยงของศรเขามองเราแปลกๆ อ่ะ น่ากลัว” ตอนนั้นคันศรเพิ่งมีแฟนคนแรก คบกันมาสามสี่เดือนก็พามาเที่ยวที่บ้าน เพราะไม่มีคนอยู่ แต่วันนั้นติณดันกลับบ้านเร็ว คงเสียพนันมาอีกตามเคย นอกจากหงุดหงิดใส่แล้ว ยังมามองแฟนของเขาด้วยสายตาลวนลาม

“ไม่ต้องคิดมากนะ ไว้เราไปที่อื่นกันก็ได้” เขาปลอบแฟนสาว พอหล่อนกลับบ้านไปแล้ว พ่อเลี้ยงก็เดินเข้ามาคุยกับคันศรที่นั่งดูทีวีอยู่

“น่ารักดีนะ ได้เอายังวะ”

“ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่นี่” คันศรเหลือบตามองมันที่ยืนอยู่ข้างๆ มันเอามาสะกิดจนน่ารำคาญ

“หรือมึงทำไม่เป็นล่ะ แหม ทำตาขวาง ทำไม่เป็นก็บอก กูสอนให้ได้”

“เสือก” เขาหลุดคำหยาบกับมันจนได้ ไอ้พ่อเลี้ยงเดือดจัด กระชากคอเสื้อเขาแล้วเหวี่ยงลงบนพื้น แขนซ้ายกระแทกกับโต๊ะกระจกแบบเฉียดๆ แต่ก็เจ็บไม่น้อย

คันศรพยายามหยัดตัวลุกขึ้นจ้องมันเขม็งด้วยความโกรธ

“อย่ามาปีนเกลียวไอ้เด็กเวร! ปากดีแบบนี้ ต้องกระทืบสั่งสอนหน่อย เดี๋ยวแม่มึงจะหาว่ากูไม่ดูแล” มันยื่นมือกระชากคอเสื้อของเด็กหนุ่มจนตัวลอยขึ้น เสียเปรียบทั้งร่างกายและแรง คันศรตอนนั้นสู้พ่อเลี้ยงไม่ได้ เลยโดนมันต่อยเข้าที่ท้องจนจุกไปหมด แต่มันไม่ทำที่หน้า เพราะแม่ของเขาจะรู้

เขาพยายามปัดมือปัดขาของมัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ท้องถูกต่อยหลายทีจนรู้สึกเหมือนได้กลิ่นสนิมเหล็กที่ปาก ขาก็ชาไปหมด สุดท้ายมันคว้าบุหรี่ที่อยู่ในจานเขี่ยบนโต๊ะมาบี้ใส่ต้นแขนของเขา ความกลัวและความเจ็บปวดในวันนั้น ทำให้เขาต้องพยายามกัดฟันพูดเพราะๆ กับมัน ต้องยอมร้องไห้ขอโทษมัน กว่ามันจะยอมปล่อย

“โอ๊ยยยย พอแล้ว ผมเจ็บนะ ผมจะไม่พูดแบบนั้นแล้ว ผมขอโทษ”

“คราวหน้ากล้าปากดีกับกูอีก มึงจะโดนหนักกว่านี้แน่” มันขู่ก่อนจะโยนก้นบุหรี่ร้อนๆ ทิ้งลงบนพื้น แล้วเตะเข้าที่ลำตัวของเขาอีกที ก่อนจะเดินหายไปที่ชั้นบน

หลังจากนั้น แม่ก็รู้เรื่อง แต่เขาห้ามแม่ไม่ให้ไปพูดเรื่องนี้กับมัน เขาบอกให้แม่เลิกกับมัน แต่แม่ก็ไม่ทำ จะด้วยเหตุผลอะไรเขาก็ไม่รู้หรอก แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ส่งเขาไปเรียนศิลปะป้องกันตัว มีเรื่องต่อยตีกับพ่อเลี้ยงอีกเป็นปีๆ จนถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลกันทั้งคู่ คนหนึ่งหน้าบวมเจ่อ อีกคนกระดูกหัก ซึ่งตอนนั้นคันศรตัวใหญ่ขึ้นแล้ว คนที่กระดูกหักจึงไม่ใช่เขา หลังจากนั้นมา ก็พอจะอยู่กันอย่างสงบได้บ้าง

***

“ธนู!”

คันศรเหลือบตามองรอบๆ เพราะได้ยินเสียงคนเรียกชื่อธนู ไม่คิดว่าเรียกตัวเองแน่ๆ แต่ธนูก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย กว่าจะรู้ตัวว่าคนเรียกเรียกใคร ก็ตอนที่หญิงสาวผมยาวสยายในชุดเกาะอกสีดำเดินเข้ามาตรงหน้า

เขาหรุบตาลงมองก้อนเนื้อสองก้อนที่ทะลักล้นออกมานั่นพลางกลืนน้ำลาย

นี่ไอ้นูมีรสนิยมแบบนี้เองเหรอวะ!

“ธนู ทำไมไม่กลับบ้านเลย พี่เป็นห่วงนะคะ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงกลางหลังยกมือขึ้นลูบแก้มของเขาเบาๆ คันศรรู้สึกขนลุกซู่ซ่าขึ้นมาทันที เห็นสาวทรงโตโชว์อึ๋มขนาดนี้ตรงหน้า ผู้ชายที่ไหนจะไม่รู้สึกอะไร แต่เขาก็พยายามเก็บอาการสุดชีวิต

“เอ่อ ผมว่า...พี่น่าจะทักผิดคนนะครับ”

“อย่ามาอำพี่เล่นสิคะน้องธนู เราสนิทกันตั้งหลายครั้งแล้วน้า พี่จำไม่ผิดคนหรอก เนี่ยคิดถึงมากเลย” หญิงสาวกอดแขนของคันศรแนบอก เขาตัวเกร็งผึงทันที เหงื่อเริ่มตก เพราะนอกจากเธอจะไม่ยอมสังเกตให้ดีๆ ว่าผมมันคนละทรงแล้ว ยังกอดแนบแน่น

แล้วไอ้ที่บอกสนิทกันหลายครั้ง คืออะไรวะไอ้นู!

“เสาร์อาทิตย์ก็แวะไปที่บ้านมั่งนะธนู หรือไปที่คอนโดพี่ก็ได้ รู้ว่าเปิดเทอม มีซ้อมดนตรีตลอด แต่พี่ก็คิดถึงไงคะ”

“เอ่อ...ขอโทษนะครับ แต่ผม...” ไม่ทันได้อธิบายอะไร สาวเจ้าก็โน้มคอเขาลงไปจูบแบบไม่ให้ตั้งตัว

“อื้อออ” คันศรพยายามจะดันร่างหญิงสาวออก เกิดมาเพิ่งเจอคนรุกแรงตัวแม่ขนาดนี้ แถมยังเล่นดีพคิสเลย งงก็งง แต่ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงดี สาวเป้ยที่ตั้งใจจะจีบก็เดินลงมาจากเวทีแล้ว พอเห็นเขากำลังจูบกับพี่สาวคนนี้ก็มองยิ้มๆ แล้วเดินหันหลังให้

ให้ตายสิวะ ไอ้เหี้ยนู! มึงไปมั่วกับใครไว้มั่งเนี่ย!

“พี่ พี่ครับ ขอโทษที ผมไม่ใช่ไอ้นู!” คันศรผละออกมาจนได้ ไม่ใช่ว่าคล้อยตาม แต่แค่ไม่อยากผลักแรง พี่สาวตัวนิดเดียว กลัวจะหัก “ปล่อยก่อนนะพี่นะ ผมชื่อคันศร ไม่ใช่ธนู!”

“เอ๋? อะไรนะคะ” สาวเจ้าขมวดคิ้วฉับ

“พี่ดูดีๆ ดิ ผมไม่ใช่ธนู ผมเป็นน้องมัน”

“ธนู อย่าแกล้งอำกันสิ พี่ไม่เล่นนะ” เธอโวยวายหน้าแดงก่ำ แต่ก็พยายามเพ่งมองหน้าของเขาดีๆ อย่างที่บอก “เอ๊ะ อ้าว? นี่น้องชายของธนูเหรอ?”

“ครับ ผมชื่อคันศร”

“แล้วธนูล่ะคะ ธนูมาด้วยหรือเปล่า” หญิงสาวที่ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ไหนหันซ้ายหันขวา คันศรพ่นลมหายใจแรง คนที่เล็งไว้หายไปไหนแล้วไม่รู้ อุตส่าห์รอตั้งนาน ว่าจะให้พีทแนะนำให้รู้จัก เพื่อนของธนูมีแต่สาวน่ารักๆ ทั้งนั้นด้วย ไม่ทำความรู้จักไว้ก็เสียดายของ แต่จริงๆ พี่สาวคนสวยตรงหน้าก็ดี แต่ยังไม่สเปคเท่าไหร่ แรงไป

“มันอยู่บ้าน ทีนี้พี่เข้าใจถูกแล้วนะครับ”

“คะ ค่ะ เข้าใจแล้ว โธ่ น่าอายจัง ขอโทษด้วยนะคะน้องคันศร” แม้จะเข้าใจแล้ว แต่ดูเหมือนเจ๊แกจะยังไม่ยอมปล่อยเขา เจ้าหล่อนกอดแขนสนิทแนบแน่น แถมยังจ้องมองเขาตาแทบไม่กะพริบ

คันศรก้มมองริมฝีปากที่ทาลิปสีแดงสดนั้นพลางเลียริมฝีปากตัวเอง

แรงไป แต่แค่เล่นๆ ชั่วครั้งชั่วคราว ก็ไม่เลว

“ถ้าพี่ไม่รังเกียจ คืนนี้อยู่กับผมแทนไอ้นูได้นะครับ”

***

คืนนั้น คันศรไม่กลับบ้าน

ธนูโทรหาพีทแต่เช้า เพราะฝากน้องไว้กับพีท แต่ดันหายหัวกันไปหมด ไม่มีใครโทรหรือไลน์บอกเลยสักคน ว่าคันศรไปไหนกับใคร

[เห็นมันหิ้วสาวที่ไหนไปไม่รู้ กูก็เมาๆ ว่ะ เห็นแต่หลังไวๆ]

ธนูนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ “โอเคครับ งั้นผมไม่กวนคุณแล้ว”

[เออ โทษทีนะนู]

เขากดวางสาย หงุดหงิดนิดหน่อยที่คันศรทำตัวแบบนี้ ไม่รู้หรือไงว่าพี่จะเป็นห่วง อย่างน้อยแค่ไลน์มาบอกว่าไม่กลับ ก็ยังพอให้อภัย แต่นี่เล่นหายไปทั้งคืน ไม่ติดต่อมาเลย ถ้ากลับมา ต้องมีสวดกันหน่อย

นอกจากเรื่องน้องชายตัวดีแล้ว ก็ยังมีเรื่องเมื่อคืน...กับอ๋อง

เขาเผลอทำให้เด็กคนนั้นตกใจกลัวไปแล้ว ทั้งที่ไม่ควรจะทำแบบนั้นเลย

ทั้งที่รู้ว่าอ๋องชอบคันศร

Rrr

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดความคิดของเขาพอดี เป็นเบอร์ของคันศร

“อยู่ไหน”

เสียงแข็งจนปลายสายถึงกับสะอึก

[บ้านเพื่อน เดี๋ยวไปมอเลย คืนนี้ก็คงดึกนะ ไม่ก็ไม่กลับ]

“ทำอะไรก็ป้องกันดีๆ ด้วยล่ะ ระวังตัวด้วย” เขาเตือน เพราะพอจะรู้ว่าคันศรคงไม่ไปค้างบ้านเพื่อนเฉยๆ น่าจะมีกิจกรรมอื่นด้วย ไม่งั้นคงไม่หายเงียบไปขนาดนี้

[จ้าๆ ห่วงตัวมึงเองด้วยเหอะ อยู่บ้านคนเดียวไม่นอยนะเว้ย]

“หึ” ธนูหัวเราะในคอ ก่อนหน้านี้ใครที่สภาพดูไม่ได้ จนพี่ชายอย่างเขาต้องรีบถ่อมาอยู่ด้วยกัน แม้จริงๆ ที่ตามหาบ้านหลังนี้ เพื่อจะลี้ภัยก็เถอะ

“วันไหนจะกลับบ้านก็บอกล่วงหน้าล่ะ”

[ทำไม มึงจะพาสาวที่ไหนมานอนกกเหรอวะ ฮ่าๆ] เสียงหัวเราะของคันศร ทำให้ธนูรู้สึกตะหงิดๆ ในใจ เขายังไม่ได้บอก แต่คิดว่าอยู่ๆ ไป เดี๋ยวคันศรก็รู้เอง ว่าเขาเป็นอะไร

“ฉันไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก”

[ให้มันจริง เมื่อคืนกูเจอเด็กมึง โครตเด็ด คงไม่ใช่แฟนมึงเนอะ ดูแล้วมึงไม่น่าชอบแรงๆ แบบนี้]

นั่นไง มันมีอะไรจริงๆ ธนูนิ่วหน้าหนักกว่าเก่า

“ฉันยังไม่มีแฟน”

[ดีๆ กูก็เสียวๆ ว่าไปยุ่งกับคนของมึงแล้วจะมีปัญหา แต่เจ๊เขาบอกไม่เป็นไรไง ของแรงจริงไรจริง กูนี่เสียวสัสๆ เออ ไว้กลับบ้านค่อยคุยดีกว่า ทีหลังซุกเด็กที่ไหนไว้ บอกกูด้วยล่ะ เดี๋ยวเขามาทักผิดอีก กูจะได้อธิบายถูก]

“อืม” ธนูตอบได้แค่นั้น เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าคันศรพูดเรื่องอะไร ก่อนจะวางสายไป

ในเมื่อคันศรไม่อยู่ ธนูเลยต้องขับรถไปเรียนเอง พอตกเย็นพวกพีทก็ชวนให้ไปด้วย เพราะนัดกับกลุ่มของคันศรไว้ ตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ นอกจากจะมีงานแสดง นานๆ ครั้งถึงจะยอมเข้าผับกับเพื่อน แต่พอคิดถึงหน้าของอ๋อง ที่วันนั้นเหมือนจะกลัวเขาและคงไม่กล้ามาหาอีกแล้ว เขาก็อยากจะไปคลายเครียดสักหน่อย ให้ลืมเรื่องคาใจพวกนั้นไป

ทางด้านคันศร ก็เตรียมไปกับพวกแทนทัพ และยังโทรไปบอกพี่สาวคนสวยให้ด้วย เพราะเห็นอยากเจอธนูเหลือเกิน

“โอเคครับพี่เพลิน เจอกันร้านเดิมครับผม”

“แหมๆ คุยกับสาวที่ไหนวะมึง หน้าระรื่น” ธันวาโผล่หน้ามากอดคอคันศร ชะโงกมองหน้าจอสมาร์ทโฟนในมือของเพื่อนรักอย่างสนอกสนใจ “โห สวยอยู่นะมึง”

“เด็กพี่กูว่ะ เขาทักผิด กูเลยได้xxไปด้วย” คันศรยักคิ้วพลางทำนิ้วว่าได้เสียกันแล้ว

“เร็วไปมึงก็” ธันวาหัวเราะพลางตบหัวเพื่อนเบาๆ อย่างหมั่นไส้ “ไม่ตีกับพี่มึงใช่มั้ย”

“ไม่ๆ กูถามมันแล้ว มันบอกไม่ใช่แฟน ทางสะดวก”

“เออ ไว้แนะนำเพื่อนฝูงมั่ง” แล้วสองหนุ่มก็เหล่มองตากันอย่างรู้ทัน

และเพราะคืนนั้น สองแฝดไม่อยู่บ้านทั้งคู่ เจ้าตัวเล็กที่นั่งเกาะขอบหน้าต่างห้องนอนคอยมองแสงไฟในบ้านแฝดว่าเมื่อไหร่จะเปิด ก็ได้แต่รอจนผลอยหลับไป

***

เพื่อนๆ ของสองแฝดต่างเข้ากันได้ดีในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนที่คันศรเข้ากับเพื่อนของธนูได้ดีมาก คันศรยืนคุยหัวเราะกับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนาน มองดูเป้ย ที่พีทแนะนำให้รู้จักแล้วอยู่หน้าเวที ดวงตาของคันศรจับจ้องหญิงสาวร่างบางผมยาวสีทองมัดรวบเป็นหางม้า ที่กำลังร้องเพลงอยู่บนเวที ด้วยแววตาเป็นประกาย

ส่วนธนู นั่งจิบเหล้าทีละนิดอยู่กับพวกพีทและธันวา เพราะคืนแรกที่เขาไปบ้านของคันศร ธันวาไม่อยู่ด้วย ก็เลยไม่ได้รู้สึกเกร็งอะไรกับพี่ชายเพื่อน กลายเป็นคุยกันถูกคอไปอีก

“ไอ้ศรแม่งกลับมาเป็นนักล่าเหมือนเดิมแล้วว่ะ” ผ่านไปร่วม 2 เดือน คันศรตอนนี้ดูหายเศร้าซึมเป็นปลิดทิ้ง แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครรู้หรอก ว่าข้างในนั้นของมันก็ยังเศร้าเหมือนเดิม แค่พยายามที่จะไม่แสดงออกมา และคนที่สื่อความรู้สึกกับคันศรได้อย่างธนู ก็รู้ดีที่สุด แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันมานาน แต่บางเรื่อง แค่มองตาก็รู้แล้ว

“แต่ก่อนเจอสวยๆ น่ารักๆ หน่อยนะ เอาหมด” แทนทัพสมทบ พีทหัวเราะ พลางเหล่ไปทางคนพี่

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ แม่งโครตต่างกับพี่มัน”

ธนูเองก็เหล่มองพีทแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนจะลุกขึ้น

“ขอไปสูดอากาศข้างนอกแป้ป”

“อ้าว ไรวะ เพิ่งมาไม่ถึงชั่วโมงเอง” ธันวามองตามหลังธนูไป

“มันก็อย่างนั้นแหละ ปกติมาแค่เล่นดนตรี ไม่ค่อยชอบแดกเหล้าหรอก” พีทว่าพลางกระดกเหล้าเข้าปาก “บุหรี่ก็ไม่สูบ ผู้ชายในฝันของสาวๆ ฮ่าๆ”

“คือ เพราะหน้าเหมือนกันก็เลยคิดว่าจะเหมือนไอ้ศร แต่ก็ไม่เหมือนเลย” แทนทัพนึกภาพคืนแรกที่เจอกัน สีหน้าท่าทางของธนูออกแนวคุณชายสุดๆ ไม่มีคำหยาบหลุดอออกมาจากปากเลยสักคำ ทั้งที่แววตาตำหนิพวกเขา

“ก็คงเหมือนแค่หน้านั่นแหละ ฮ่าๆ” พีทยังหัวเราะไม่หยุด เหมือนจะสนุกอยู่คนเดียว จนอีกสองคนมองหน้ากันอย่าง งงๆ

ธนูเดินออกไปหน้าผับ หาที่นั่งคนเดียวเงียบๆ ตรงมุมตึก ตอนนี้ในหัวยังครุ่นคิด ว่าจะเข้าไปพูดคุยกับอ๋องยังไงดี เมื่อคืนทำให้อ๋องต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่มันหงุดหงิดที่อ๋องเอาแต่พูดถึงแฝดน้อง ทั้งที่คนที่นั่งข้างๆ คือเขาคนนี้ ก็เข้าใจว่าคนเคยอยู่กันมานาน สนิทกันมานานกว่า แถมอ๋องก็ชอบคันศรมากมาตั้งแต่แรกๆ แล้ว

แล้วเขาที่เพิ่งเข้ามาแค่ไม่กี่อาทิตย์ ยังไม่ทันรู้จักกันดีเลย จู่ๆ ก็ทำแบบนั้น เด็กคนนั้นก็คงตกใจกลัว จนขวัญกระเจิง และคงไม่กล้าเข้ามาคุยเล่นกับเขาอีกแล้วล่ะมั้ง
...
“อ๋องชอบศรเหรอ”

ประโยคนั้นดังก้อง แววตาของธนูที่มองมา ทำให้อ๋องรู้สึกใจสั่น แต่ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น ธนูจ้องมองเหมือนต้องการคาดคั้นเอาคำตอบ ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นลึกล้ำคล้ายกำลังสะกดให้คล้อยตาม จนอ๋องขยับตัวไม่ได้ มือข้างซ้ายถูกกุมไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ

“พะ พี่นู...ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”

“ใช่หรือเปล่า”

น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนกดดันอยู่ในที อ๋องแทบกลั้นหายใจ เมื่อลมหายใจอุ่นๆ มาพ่นรดอยู่ตรงหน้า ปลายจมูกของคนตัวโตกว่าสัมผัสกับปลายจมูกของตนเบาๆ

“ตอบสิครับ”

“ถ้า ถ้าชอบแล้วมันทำไมล่ะ” อ๋องตอบตะกุกตะกัก หน้าร้อนไปหมด

“ถ้าเป็นพี่ พอแทนกันได้มั้ย”

อ๋องเงยหน้าขึ้นทันที เรียวคิ้วบางๆ ขมวดมุ่น ไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะพูด

“รู้ใช่มั้ย ว่าศรชอบผู้หญิง”

อ๋องพยักหน้ารับ รู้สิ รู้มาตั้งนานแล้ว ถ้าชอบผู้ชายด้วยกัน คงหวั่นไหวกับทุกสิ่งที่อ๋องพยายามทำแล้ว ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่คันศรไม่เคยแสดงท่าทีอะไรเลย นอกจากลูบหัว ตบหลัง ทำเหมือนเป็นพี่น้องทั่วไป

แล้วทำไมต้องมาตอกย้ำกันด้วย

“แล้วก็ยังจะชอบมันเหรอ”

อ๋องนิ่งไปสักพัก แต่ก็พยักหน้าอยู่ดี ยิ่งเห็นท่าทางแบบนั้น ธนูยิ่งหงุดหงิด ทั้งที่ไม่มีสิทธิ เขาชอบอ๋อง คิดว่าน่ารักดี ตลกดี แต่พอรู้จักไปสักพักก็ยิ่งอยากรู้จักมากกว่านี้อีก

อยากเป็นมากกว่าพี่น้อง

“แล้วกับพี่ล่ะ”

อ๋องมองหน้าเขา กะพริบตาปริบๆ “พี่นูหมายความว่าไง”

“กับพี่ไม่ได้เหรอ”

“ผมไม่เข้าใจอ่ะ” อ๋องเริ่มรู้สึกถึงการคุกคามจากร่างสูงโปร่ง จึงพยายามจะดึงมือซ้ายออกและงอเข่าขึ้นมาขวางไว้ กลิ่นน้ำหอมของธนูต่างจากกลิ่นของคันศร แม้จะหน้าเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่คนเดียวกัน

แล้วมันจะแทนกันได้ยังไง

“พี่นู...อื้อ” แล้วอ๋องก็ได้เข้าใจคำตอบนั้นอย่างถ่องแท้ เมื่อริมฝีปากร้อนฉกลงมา มันไม่ได้รุนแรงมาก แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยน เหมือนธนูไม่พอใจอะไรสักอย่าง

หลายๆ อย่างของพวกเขาเหมือนกัน ชอบอะไรเหมือนๆ กัน แต่ขอแค่เรื่องนี้ ขอให้มันเป็นข้อยกเว้น ขอให้คันศรไม่มีวันชอบผู้ชาย

ขอแค่นั้นเอง


***

ธนูถอนหายใจยาว เงยหน้ามองท้องฟ้ามืดๆ แล้วยิ่งหดหู่ ไม่รู้ว่าเจอหน้าอ๋องแล้วจะทำหน้าแบบไหนดี เผลอๆ เด็กคนนั้นอาจจะหลบหน้าเขาไปตลอดเลยก็ได้ แต่อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด เพราะเขาพลาดเอง ใจร้อนไปเอง เพราะกลัวว่าคันศรจะเปลี่ยนใจ

คิดไปก็ไม่ช่วยอะไร ธนูลุกขึ้นบิดตัวเล็กน้อย กะจะเดินกลับเข้าไปในผับ ทว่า เสียงของผู้หญิงคนนั้นก็ดังเข้ามาในโสตประสาท และมันไม่ใช่อาการหลอน

“ธนู!” เพลินวิ่งเข้ามากอดเอวของเขาไว้แน่น “คราวนี้ไม่ผิดตัวแน่ๆ ธนูของพี่เพลินจริงๆ”

“ผมไปเป็นของคุณตอนไหน” ธนูนิ่วหน้า พยายามจะแกะมือของเธอออก เขายืนหันหลังอยู่ หน้าอกของเธอแนบสนิทกับแผ่นหลังของเขา

“อย่าพูดแบบนั้นสิธนู กลับบ้านกับพี่นะ คุณพ่อบอกว่าอีก 3 วันจะกลับ ถ้าธนูไม่อยู่ พี่กับแม่จะตอบว่ายังไงล่ะ”

“ก็บอกว่าไม่รู้ไปสิ”

“แต่พี่อยากให้ธนูกลับไปกับพี่นี่ นะธนู พี่รักธนูนะ” หญิงสาวกอดรัดเขาไม่ยอมปล่อย จนธนูคิดว่าจะต้องออกแรงจริงๆ แล้ว

“แต่ผม”

“ทำไรอยู่วะ นู...”

โชคดีที่มีคนออกมาตาม ธันวา เพื่อนของคันศรนั่นเอง คงเห็นเขาออกมาข้างนอกนนานแล้ว ไอ้พีทไม่ต้องพูดถึง รายนั้นไม่เคยห่วงใยเขาอยู่แล้ว แต่พอธันวาเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงก็ยกมือทำเหมือนจะขอโทษแล้วหมุนตัวกลับเข้าร้าน แต่ธนูรีบผลักเพลินออกแล้ววิ่งไปกระชากคอเสื้อของธันวาไว้

“คุณรบกวนเข้าใจใหม่นะครับ ผมเป็นเกย์!”

“หือ?” คนที่ตกใจไม่ได้มีแค่เพลิน เพราะเธอรู้อยู่แล้ว แต่กลายเป็นธันวา คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย ธันวาเลิกคิ้วมองหน้าธนู ก่อนจะตาแทบถลนออกนอกเบ้า เพราะโดนกระชากคอกลับไป

“และไอ้นี่คือเมียผม!” “เฮ้ยยย อุ๊บ”

สิ้นเสียง ธันวากรีดร้องไม่ถึงวินาที ก็โดนปิดปากอย่างแรงจากคนหน้าเหมือนเพื่อนตัวเอง

เอวัง

 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Tanthai23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
กุมขมับแป๊ป!  แฝดน้องฟันไม่เลือก ส่วนแฝดพี่ที่เฝ้าเชียร์อยู่ให้หนูอ่อง(ที่น่ารักของคนอ่าน) ทำไมทำแบบนี้!!
ยังไงก็ยังเชียร์พี่ธนูกับหนูอ่องอยู่นะคะ (ทีมคู่นี้ค่ะ  :hao3:)

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
5
“เดี๋ยวๆๆๆ เมื่อกี้ที่มึงพูด ไม่จริงใช่มั้ย มึงแค่จะหลอกพี่คนนั้นใช่มั้ยวะไอ้นู!” หลังฉากจูบเร่าร้อนของธนู ธันวาก็รีบลากตัวพี่ชายฝาแฝดของเพื่อนหลบไปหลังห้องน้ำโดยไว ทิ้งให้หญิงสาวยืนกรี้ดเป็นบ้าเป็นหลัง ก่อนจะรีบขับรถกลับบ้านไป เพราะหมดอารมณ์จะเข้าไปเที่ยวแล้ว

“อือ ไม่จริง” ธนูกอดอกมองหน้าธันวาที่โวยวายหน้าดำหน้าแดง เหมือนทั้งโกรธทั้งอาย แต่ธนูกลับหน้านิ่งมาก

คำตอบของธนู ทำให้ธันวาโล่งอก แต่ยังไม่ทันได้ถอนหายใจ ก็ต้องตกใจตาถลนอีกรอบ

“เรื่องคุณกับผมไม่จริง แต่ผมเป็นเกย์จริงๆ”

“อ่ะ อ่ะ มะ มะ มึง...” เห็นธันวาอ้าปากพะงาบๆ เหงื่อแตกพลั่กแล้วก็ตลกดี จนธนูเผลอขำออกมานิดหน่อย

“ตกใจอะไรขนาดนั้น ผมไม่ได้ปิดบังอะไรเลย ไม่ซีเรียสนะถ้าคุณจะบอกเพื่อนๆ หรือน้องของผม”

แต่ธันวายังทำหน้าเหวอ “คือ คือ ไม่ ไม่บอกหรอก”

ธนูเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ปกติเรื่องพวกนี้พอมีคนรู้ก็จะแพร่อย่างเร็วและกลายเป็นเรื่องเม้าท์เรื่องแซวตลกๆ ในหมู่เพื่อน เขาโดนมาทุกอย่างตั้งแต่เปิดตัวว่าเป็นเกย์เมื่อสมัยม.ต้นแล้ว

“งั้นก็ขอบคุณครับ”

ธันวามองรอยยิ้มขอบคุณของธนูแล้วหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา พยายามปฏิเสธตัวเองในใจว่าไม่ได้เขิน แต่หน้าร้อน เพราะเมื่อกี้โดนจูบไม่ทันตั้งตัวต่างหาก แถมยังเหมือน...ใช้ลิ้นด้วย ไม่ตกใจจนเผลอต่อยหน้าไปก็บุญแล้ว

“เออ ปะ ไปข้างในเหอะ ไอ้พวกนั้นรออยู่” แล้วคนพูดก็รีบหมุนตัวด้วยท่าทางเกร็งๆ จนดูน่าตลก ก่อนจะรีบวิ่งหนีเข้าไปในร้าน

แต่ถึงจะแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้ ก็ใช่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเลิกตามรังควานธนู จะให้เพื่อนน้องชายมาคอยช่วยทุกครั้ง ดูท่าอีกฝ่ายคงลำบากใจแน่ๆ และถ้าเพื่อนของคันศรเข้าใจว่าธันวาเป็นเกย์ไปด้วย ก็คงยิ่งแย่ไปกันใหญ่ แต่มาคิดหาเหตุผลเอาป่านนี้ คงสายไปหน่อย ไหนจะเรื่องของอ๋องอีก

“เฮ้ย นู วันนี้แม่งแปลกว่ะ แดกเหล้าเพียวๆ” พีทมองเพื่อนที่นั่งซดเหล้าเพียวๆ มาหลายแก้วด้วยความประหลาดใจ ปกติไม่เคยเห็นธนูกินเหล้ามากขนาดนี้ อย่างมากก็จิบๆ สองสามแก้วแล้วพอ เหมือนจะเครียดเรื่องอะไรแน่ๆ

“มึงมีเรื่องไรเปล่าวะ” หนุ่ยสงสัยขึ้นมาบ้าง ไปเต้นกับพวกสาวๆ มาจนเหนื่อย เลยมานั่งพัก แล้วก็เห็นเพื่อนซดเหล้าจนน่ากลัว ส่วนพวกเพื่อนของคันศรไปออกกันอยู่หน้าเวทีหมดแล้ว เพราะคันศรกำลังจะจีบเป้ย

“เปล่า” แต่สายตามองไปที่คนคนหนึ่ง แถวหน้าเวที ที่กำลังหัวเราะอยู่กับเพื่อนๆ ของคันศร

“อย่าบอกว่ามึงติดใจไอ้ธันนะ เห็นมองตลอดเลย” พีทก็ช่างสู่รู้ จนเขาถึงกับต้องเบะปากใส่

“เปล่า” เขาหรุบตาลงมองแก้วเหล้าในมือที่หมดเกลี้ยงแล้ว ก่อนจะหยิบขวดมาเติมอีก แต่พีทรีบเบรคไว้ ด้วยการคว้าขวดเหล้าในมือเพื่อนออกไปถือไว้เอง

“พอได้แล้วไอ้นู มึงเมาแล้ว” คนที่คบมานานย่อมรู้ดี ปกติธนูจะไม่ค่อยแสดงสีหน้า ถึงขั้นเบะปากใส่เหมือนเด็กๆ แบบนี้ แสดงว่าเมาแน่นอน พอไม่ได้เหล้าในขวด ธนูก็ลุกพรวด เดินไปหน้าเวที จนเพื่อนรั้งไว้ไม่ทัน ทั้งที่เมามากแล้ว แต่ธนูดันเดินโครตเร็ว

“เฮ้ย ไอ้นู!” พีทตะโกนพร้อมวิ่งเบียดผู้คนตามไป

ธนูเดินปรี่ตรงเข้าไปหน้าเวที ที่กลุ่มของพวกคันศรยืนอยู่ ก่อนจะดึงต้นแขนของธันวา คนโดนดึงหันมามองอย่างงุนงง หน้าตาเหรอหรา คนอื่นๆ ก็มองพลางขมวดคิ้วกันหมด

“อะไรวะ นู มึงเมาเหรอ” ด้วยความที่เป็นแฝด แค่ได้กลิ่นแปลกๆ ที่ตัวพี่ชายก็รู้แล้ว แต่ที่ไม่รู้คือ มาดึงแขนเพื่อนของเขาทำไม ตอนออกไปข้างนอกด้วยกันเมื่อกี้ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ทันได้ถาม เห็นแค่ธันวาวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา แต่พี่ชายกลับหน้านิ่งเหมือนเดิม

ธันวาสบตากับคนเมา แล้วรู้สึกหูร้อน ก่อนจะยิ่งโครตอาย เพราะใบหน้าคนเมาที่ก้มลงมาจนจมูกเฉียดแก้มกับคำพูดกระซิบข้างหูเบาๆ งงตัวเองไม่น้อยที่ทำไมต้องเขินผู้ชายคนนี้ หรือเพราะหน้าเหมือนเพื่อน ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ เพราะธันวาไม่เคยคิดจะสนใจคันศรเลยสักครั้ง

“ขอเบอร์หน่อย เอาไลน์มาด้วย เดี๋ยวนี้เลยครับ”

“ดะ เดี๋ยวดิ ไปข้างนอกก่อน” ธันวาพยายามจะแกะมือที่จับต้นแขนเสียแน่นออก พลางบอกเพื่อนคนอื่นว่าขอไปคุยกับธนูก่อน แล้วก็พากันออกไปแถวหลังร้าน

“นี่มึงเมามากเลยนะนู” พอออกมาถึงหลังร้าน ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านเหมือนด้านหน้า ธันวาก็เพิ่งสังเกตว่าธนูเมา แก้มนี่แดงระเรื่อ แถมกลิ่นเหล้าคลุ้งมาก

“เออ ช่างมันก่อน ผมขออะไรก็ได้ที่ติดต่อคุณได้ เผื่อต้องให้ช่วย” แม้จะเมา แต่ก็ประคองสติได้ดีอย่างน่าทึ่ง ที่ต้องกินเหล้าขนาดนั้น คงทำใจเรื่องมาขอเบอร์สินะ ธันวาคิดอย่างเอือมๆ

“ขอปกติก็ให้แล้ว มึงแม่งบ้าว่ะ ขอเบอร์เพื่อนมันจะอะไรนักหนา”

“ไม่ใช่แค่เบอร์”

ธันวาที่กำลังจะหยิบมือถือมาเมมเบอร์ของธนูแล้วยิงเบอร์ตัวเองให้ กับแลกไลน์กัน ถึงกับชะงัก

“ไม่ใช่ขอแค่เบอร์ได้มั้ย”

“ห๊ะ?” คนฟังขมวดคิ้ว ก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยจนเกือบเซหงายหลัง เพราะคนเมาโน้มตัวมาใกล้ๆ จนหน้าเกือบชนกัน พลันต้องตะลึงอ้าปากค้าง ตอนที่ธนูทิ้งหัวหนักๆ ลงแปะบนบ่า

“ขอเป็นแฟนด้วย”

***

ธนูกับคันศรกลับมาถึงบ้านตอนเกือบตี 2 คันศรเป็นคนขับรถให้ เพราะไม่ได้ดื่มเยอะ กะจะจีบสาว เลยดื่มมากไม่ได้ เดี๋ยวพูดไม่รู้เรื่อง ส่วนแฝดพี่นอนหลับปุ๋ยมาตลอดทาง คงเมาหนักจริงๆ

“ไอ้นู ตื่นเว้ย” จอดรถเสร็จ คันศรก็เดินอ้อมมาฝั่งข้างคนขับ แล้วตบๆ ที่แก้มของพี่ชายให้ตื่น เรื่องของธันวาก็ยังไม่ได้ถาม เพราะธนูดันหลับไปก่อน

“อือ”

“ถึงบ้านแล้ว มึงเดินไหวมั้ยเนี่ย ต้องให้กูแบกมั้ยวะ”

“ไม่ต้อง” พอตื่นมา ก็เหมือนจะสร่างนิดหน่อย ธนูปัดมือน้องชายที่ยื่นมาจะช่วยพยุง แล้วลงจากรถด้วยตัวเอง เหลือบมองไปที่บ้านหลังข้างๆ ไฟที่หน้าต่างห้องของคนตัวเล็กยังเปิดอยู่

ป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอ? ธนูขมวดคิ้ว ก่อนเสียงของน้องชายจะดังขัดความคิดทั้งหมดทั้งมวลในหัวของเขา

“มึงก็อึดนะ คอแข็งฉิบหาย แดกเพียวขนาดนั้น เป็นกูยังร่วง”

“ไม่ได้ชอบนักหรอก แค่ต้องทำใจนิดหน่อย” ธนูส่ายหน้าช้าๆ สลัดไล่ความมึนเมาออกไป แล้วเดินไปหน้าประตู รอให้คันศรปลดล็อค ก่อนจะเข้าบ้านไปพร้อมกัน เดินไปคุยกันไป

“ทำใจ? เรื่องอะไรวะ ที่มึงไปคุยกับไอ้ธันสองคนหรือเปล่า”

“ทำนองนั้น” ธนูตอบก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำที่ชั้นล่าง อยากอาบน้ำล้างกลิ่นเหล้าเหม็นๆ ออกจะแย่แล้ว ส่วนคันศรก็มองตามพี่ชายไปแบบงงๆ

***

เช้าวันถัดมา ไม่มีอาหารใดๆ บนโต๊ะ และเหมือนธนูจะยังไม่ตื่น คันศรเลยไปเคาะห้องของธนู แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ยังดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ ถ้าเมื่อคืนไม่ใช่วันศุกร์ สงสัยคงไม่ได้เห็นพี่ชายเมาแน่ๆ

“นู ธนูเว้ย มึงไหวป่ะเนี่ย กูเปิดเข้าไปนะ” คันศรบิดลูกบิดดู ไม่ได้ล็อค เลยแง้มประตูเข้าไป

ห้องนี้เป็นห้องนอนเก่าของเขาเอง ตอนนี้ยกให้พี่ชายใช้งาน สภาพทุกอย่างยังเหมือนเดิม ทั้งวอลเปเปอร์สีน้ำตาลอ่อนกับพรมสีแดงบนพื้น โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนจาก PC เป็นโน๊ตบุ๊คสีเงินของธนู เตียงไม้สีเบจและผ้าปูที่นอนลายม้าลาย ผ้าม่านสีขาวปิดหน้าต่างทุกบาน กันแสงจากภายนอก

ธนูนอนตะแคงหันหน้ามาทางประตูพอดี และยังหลับสนิท คันศรจึงเดินเข้าไปดูอาการพี่ชาย เมื่อคืนก็เหมือนจะยังมีสติ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้ แล้วก็เดินขึ้นมานอนเองด้วย แต่ไหงเช้านี้เงียบกริบ

“เฮ้ย ยังไม่ตายใช่มั้ยนู” คันศรลองเอามือตบๆ บนต้นแขนของพี่ ธนูเปิดแอร์ 19 องศา แถมไม่ห่มผ้า คนบ้าอะไรขี้ร้อนขนาดนี้

“นู...”

ธนูเหมือนจะได้สติ ครางงึมงำในคอพลิกตัวหนีมือของคันศร แต่ก็พยายามจะลุกขึ้นด้วย

“อือ”

“ไหวป่ะวะ เอายาแก้แฮงค์มั้ย” คันศรช่วงพยุงพี่ชายให้ลุกขึ้นนั่ง ท่าทางจะแฮงค์หนักแน่ๆ แบบนี้

“ไม่ต้อง” ธนูปฏิเสธ ก่อนจะเขยิบไปพิงหลังกับหัวเตียง “แค่น้ำกับยาแก้ปวดหัวพอ”

“เคๆ เอาพารานะ แต่จะกินไรอ่ะ สั่งข้าวต้มมั้ย”

“ไม่เป็นไร มีขนมปังอยู่ เดี๋ยวหมดอายุ”

“เค งั้นเดี๋ยวกูลงไปเอาขนมปังกับยามาให้” คันศรยิ้มกว้าง แต่พอจะลุกไป พี่ชายก็ดึงมือไว้

“แล้วนายกินอะไร”

คันศรซาบซึ้งจนแทบน้ำตาไหล ขนาดพี่แฮงค์จนลุกไม่ไหว ยังอุตส่าห์ห่วงน้องชายคนนี้

“เออ เดี๋ยวกูหากินเองน่า ห่วงตัวเองเหอะไอ้ควาย” แล้วก็ผลักหัวพี่ด้วยความซาบซึ้งไปที ก่อนจะรีบวิ่งลงไปหาขนมปังกับยาให้ธนู ส่วนตัวเขา คิดว่าจะไปเยี่ยมคุณน้าข้างบ้านสักหน่อย

***

เอ้าๆ เริ่มมีคนมาเพิ่ม อิๆ

ออฟไลน์ Tanthai23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
 :o12: คนพี่ที่อตสาห์ลุ้นให้น้องอ่อง

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
6
จริงๆ ธนูก็แค่ปวดหัวนิดหน่อย พอกินขนมปังกับยาแล้วก็นอนต่อทั้งท่านั่ง เคลิ้มๆ กำลังจะหลับก็ได้ยินเสียงประตูเปิด ทีแรกนึกว่าคันศร เลยไม่ได้ลืมตาดู จนกระทั่งคนคนนั้นเข้ามาใกล้ๆ และนั่งลงบนที่นอน น้ำหนักตัวที่ทิ้งลงมาพอจะเดาได้เลยว่าใคร

“พี่นู ไม่สบายเหรอ”

เขานึกอมยิ้มในใจ ดีใจที่อ๋องอุตส่าห์เป็นห่วง ทั้งที่ทำเรื่องแย่ๆ ใส่ในวันนั้น ธนูแกล้งหลับต่อ อ๋องกวาดสายตามองใบหน้าที่ไร้เลือดฝาดและริมฝีปากซีดๆ ของธนูด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นแตะบนหน้าผาก เพื่อวัดไข้ให้

“ตัวไม่ร้อนนี่ แค่แฮงค์เหรอ” เด็กหนุ่มร่างเล็กพึมพำกับตัวเอง เพราะคิดว่าอีกคนยังหลับอยู่ เมื่อกี้คันศรไปที่บ้าน บอกว่าธนูนอนซม เมื่อคืนกินเหล้าหนัก ไม่รู้ว่าเป็นอะไร พอได้ยินอย่างนั้นอ๋องก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนนั้นขึ้นมา ที่ถูกธนูจูบ เลยผลักด้วยความตกใจแล้วรีบวิ่งหนีกลับบ้าน หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอหน้ากันเลย บางทีธนูอาจจะเครียดเรื่องนั้นก็ได้

ธนูเหมือนหายใจติดขัดนิดหน่อย เพราะรู้สึกว่าคนตัวเล็กอยู่ใกล้มาก จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพู แต่ยังไม่อยากลืมตามองหน้ากันตอนนี้ กลัวว่าอีกคนจะวิ่งหนีไปแบบคราวก่อน

แต่ประโยคที่ออกจากปากของอ๋อง ก็ทำให้เขาแทบทนไม่ไหว

“ผมขอโทษนะ ที่ตอบรับความรู้สึกของพี่ไม่ได้”

เสียงนั้นแผ่วเบาอยู่ใกล้ๆ แค่เพียงเขาลืมตาขึ้นและกอดเอาไว้ ขอร้องให้อ๋องช่วยมองเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่พี่ชายของคันศร

ธนูไม่ค่อยชอบใครง่ายๆ คนคุยก็มีบ้าง แต่ที่ถูกใจมีไม่เยอะ คนที่เรียกว่าแฟนได้ ที่ผ่านมามีเพียงคนเดียวเท่านั้น และคนคนนั้นก็ทิ้งเขาไปแล้ว

รักครั้งนี้ เขายังไม่อยากให้มันจบลงเพียงแค่นี้ แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว

คนที่แอบชอบมาหลายปีกับคนที่เพิ่งรู้จัก มันก็รู้ๆ อยู่แล้วว่าอ๋องต้องเลือกใครก่อน แม้สุดท้ายคันศรจะไม่มีทางชอบผู้ชายด้วยกันได้ แต่เขาก็ไม่มีวันแทนที่มันได้

ในอกเจ็บแปลบ กับความจริงข้อนี้ที่รู้อยู่แต่แรกแล้ว

ไม่น่าทำแบบนั้นกับอ๋องเลยจริงๆ แค่เก็บมันเอาไว้ในใจ แค่ทำเหมือนเป็นพี่น้องกันให้ได้ แค่นั้นก็ไม่ต้องอึดอัดกันแบบนี้แล้ว

“ไปก่อนดีกว่า ไม่อยากกวนพี่ชายแล้ว” เสียงของอ๋องห่างออกไป จนเหลือเพียงเสียงฝีเท้า และเสียงประตูที่ปิดลงอย่างเงียบเชียบ

ธนูลืมตาขึ้น มองไปทางประตูห้องที่เพิ่งปิดลงไป ด้วยหัวใจที่ว่างเปล่า

***

ธนูรู้ตัวว่าชอบผู้ชายด้วยกันตอนขึ้นม.2 อาจเพราะอยู่โรงเรียนชายล้วน ซึ่งจริงๆ ไม่น่าเกี่ยวเท่าไหร่ เขาอยู่กับพ่อมาตลอด และเกลียดนิสัยเสียของพ่อที่เจ้าชู้ พาผู้หญิงมานอนที่บ้านแทบไม่เคยซ้ำ และยิ่งตอนม.1 พ่อพาแม่เลี้ยงคนใหม่เข้ามาอยู่ในบ้าน พร้อมลูกสาวของหล่อนที่ชอบเข้ามาเกาะแกะเขา ยิ่งทำให้เขาเกลียดผู้หญิงพวกนี้เข้าไปอีก

เขาไม่ชอบผู้หญิง และไม่อยากเจ้าชู้เหมือนพ่อ

หลังจากนั้นก็เริ่มสนใจผู้ชายด้วยกันในเชิงชู้สาว จริงๆ จะผู้หญิงหรือผู้ชาย ถ้าเขาสนใจและนิสัยเข้ากันได้เขาก็โอเคหมด เพียงแค่ ชอบมองผู้ชายด้วยกันมากกว่า เขาเริ่มคบหากับเด็กผู้ชายที่โรงเรียน ส่วนมากจะออกตุ้งติ้ง แต่ก็น่ารักดี พวกนั้นมาชอบเขา เขาก็เล่นด้วย คบแบบไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไร เหมือนรักแบบเด็กๆ และพอพ่อรู้ ก็เลยส่งเขาไปเรียนชกมวย หวังจะให้เขาแมนขึ้น กลายเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว โดยหารู้ไม่ว่า ที่นั่นทำให้เขาได้พบกับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ชั่วชีวิตนี้คงลืมไม่ลง

“พี่ไม่สัญญานะว่าจะอยู่ด้วยกันไปได้ถึงไหน เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ แต่ตอนนี้พี่ขอให้ธนูสัญญากับพี่อย่างหนึ่งได้ไหม หรืออาจจะสองสามอย่าง ฮะๆ”

ใบหน้าของคนคนนั้นยังตราตรึง รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ มือที่อบอุ่น ริมฝีปาก และอ้อมกอด

รูปถ่ายก็ยังพกเก็บไว้ตลอดในกระเป๋าสตางค์ รูปใบเดียวที่มีของคนคนนั้น

“พี่อยากให้ธนูตั้งใจเรียนให้จบ และมีชีวิตที่ดี ได้ทำในสิ่งที่ธนูรัก ขอให้ทำให้ได้ตามนี้ ได้มั้ยครับ”

“ผมสัญญาครับ”

***

ธนูมองไม้กลองที่วางอยู่บนกระเป๋าเป้สีน้ำเงินของตัวเอง กระเป๋าใบนั้น คนคนนั้นเป็นคนซื้อให้ตอนวันเกิดอายุครบ 18 และเขายังคงใช้มัน แม้ว่าจะเก่าแค่ไหนก็ตาม

ทุกอย่างยังคงอยู่ในความทรงจำ ไม่ว่าจะพบเจอกับใครอีกกี่คน

เรื่องของอ๋อง คงต้องพักไว้เท่านี้ เพราะพยายามไปก็อาจจะสูญเปล่า อ๋องอาจจะคล้ายคนที่เขาเคยรัก จนเผลอคิดไปว่าเป็นคนเดียวกัน

ธนูลุกจากเตียง เพราะนอนต่อไปไม่ไหวแล้ว หัวที่ปวดก็ยังปวดอยู่นิดหน่อย แต่อยากออกไปสูดอากาศข้างนอกมากกว่า

“อ้าว? ไอ้นู จะไปไหนวะ” ตอนที่กำลังจะเดินออกจากบ้าน ก็พอดีสวนกับคันศรที่ไปอาศัยกินข้าวบ้านข้างๆ เพิ่งกลับมาพอดี โดยมีอ๋องเดินตามมาด้วย

เขาสบตากับอ๋องผ่านๆ ก่อนจะมองหน้าน้องแฝด อ๋องเองก็เหมือนไม่ค่อยกล้ามองหน้าเขาเท่าไหร่ด้วย

“ไปข้างนอกแป้ป เอาไรมั้ย”

“เออๆ เดี๋ยวกูไลน์บอกนะ ว่าในครัวขาดอะไรมั่ง ฝากมึงซื้อมาเลยทีเดียว” คันศรนึกได้พอดี ว่าอาทิตย์นี้ต้องซื้อของ แต่พี่จะออกไปข้างนอกพอดี “กูได้ไม่ต้องออกละ วันนี้จะเล่นเกมทั้งวัน”

“เล่นแต่เกม อ๋องต้องสอบเข้าปีหน้านะ ว่างก็ชวนน้องติวบ้าง” เขาดุไปตามประสาพี่ชายที่ห่วงน้องๆ

“เออน่า พูดเหมือนแม่ไปได้ นี่แม่คนที่สองใช่มั้ยวะ ฮ่าๆ”

“ยังจะพูดเล่นอีก นายมันใช้ชีวิตตามสบายมามากเกินไปแล้ว” ประโยคหลังธนูพูดเบาจนฟังไม่ถนัด

“ว่าไร บ่นไรของมึงวะ เดี๋ยวบ่ายค่อยอ่านหนังสือก็ได้ เนอะไอ้อ๋อง” คันศรหันไปพยักเพยิดให้เด็กหนุ่มข้างหลัง อ๋องก็ยิ้มรับ

ธนูยิ้มอ่อนให้ทั้งคู่ ก่อนจะขับรถออกไป วันนี้คงปล่อยให้สองคนนั้นได้อยู่ด้วยกัน อย่างที่อ๋องต้องการ เขาจะไม่ทำอะไรอีกแล้ว

จะไม่แตะต้องเด็กคนนั้นอีก
...
“ก็เลยเรียกกูออกมา เพื่อนคนอื่นไม่มีหรือไง” เสียงคนข้างๆ ที่มาช่วยเข็นรถใส่ของให้บ่นงุ้งงิ้งใกล้ๆ หู

“ชวนแล้ว พีทไปบ้านแฟน หนุ่ยยังไม่ตื่น คนอื่นก็เหมือนจะนอนกันหมด กว่าจะตื่นคงบ่ายๆ เย็นๆ”

“กูผิดเองที่ตื่นเช้า” ธันวากลอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ กับตัวเอง ที่ดันกดอ่านไลน์ของธนู ทั้งที่เพิ่ง 9 โมงเช้า และดันว่างด้วย ก็เลยเบลอๆ ตอบว่าจะออกมาหา มาถึงห้างเปิดพอดี หาข้าวเช้ากินเสร็จ ก็มาช่วยเข็นรถให้อย่างที่เห็น

แต่ที่ธนูบอกว่าคนอื่นไม่มีใครตื่น จริงๆ พูดไปอย่างนั้นเอง ไลน์ไปหาแค่พีทกับธันวา พีทไปบ้านแฟนจริงๆ เพราะเมื่อคืนดึกไปหน่อย เหมือนแฟนของพีทจะบ่นๆ เลยต้องรีบไปง้อ

“แล้วนี่ต้องซื้อไรมั่งอ่ะ ไอ้ศรก็นะ ไม่ออกมาด้วย” ธันวายังบ่นตลอดทาง แต่ธนูไม่ได้สนใจแล้ว เดินเลือกของตามรายการที่คันศรส่งมาให้ในไลน์ไปเรื่อยๆ

“อีก 2 วันพ่อจะกลับบ้าน” จู่ๆ ธนูก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีเกริ่นนำ ตอนที่กำลังจ่ายเงินตรงแคชเชียร์ คนช่วยจัดของลงรถเข็นก็เงยหน้ามองตามมือของคนพูดแบบงงๆ

“กลับไปด้วยกันนะ”

“ประโยคคำสั่งหรือประโยคขอร้องวะ” ธันวานิ่วหน้า มือก็ยังช่วยหิ้วของมาเก็บลงในรถเข็น

“ผมมีสิทธิสั่งคุณด้วยเหรอ” ธนูเอียงคอเล็กน้อย ดึงการ์ดสีดำออกมายื่นให้พนักงาน เซ็นชื่อจ่ายเงินเป็นอันจบ เด็กมหาวิทยาลัยใช้บัตรเครดิตพรีเมี่ยมวงเงินหลักแสน เป็นของแปลกตาสำหรับธันวาไม่น้อย เพราะเพื่อนที่ว่ารวยก็ยังไม่ได้รูดการ์ดหรูอย่างนี้ ใช้แค่บัตรสแตนดาร์ดธรรมดา พี่ชายของคันศรท่าทางจะรวยจริง สมกับบุคลิกและคำพูดจาแบบคุณชาย

“ก็...ไม่รู้สินะ” ธันวาแกล้งผิวปาก เสมองไปทางอื่น “ถ้าสั่งก็ต้องทำ แต่ถ้าขอ ก็จะคิดดูก่อน”

“งั้นผมสั่ง”

“เผด็จการว่ะ”

ธนูหัวเราะเบาๆ แย่งรถเข็นที่มีของเต็มมาเข็นเอง เพราะเมื่อกี้ใช้งานธันวาไปแล้ว อีกฝ่ายก็มองหน้าเขางงๆ แต่ยังเอามือขวาช่วยจับไว้ข้างหนึ่ง

ทั้งที่คนข้างๆ ก็หน้าตาเหมือนเพื่อนตัวเอง แต่บรรยากาศมันต่างมาก จนรู้สึกแปลกๆ ในบางครั้ง ตอนแรกก็คุยกันปกติ เพราะไม่ได้คิดอะไร แต่พอรู้ว่าเป็น...เกย์ แถมยังจูบกันแล้วครั้งหนึ่ง มันก็เลย...แปลกจริงๆ แหละ

“ตกลงว่าไงครับ คุณจะไปบ้านผมมั้ย ผมอยากให้ผู้หญิงคนนั้นเลิกตามตื้อผมสักที” พอมาถึงที่รถ ธนูที่กำลังเก็บของลงท้ายรถก็ถามขึ้นอีกครั้ง เขาต้องการให้ธันวาตัดสินใจ ไม่ได้บังคับ เรื่องที่ขอเป็นแฟน ก็แค่ให้ช่วยแกล้งเป็นหลอกๆ พ่อกับเพลินจะได้เลิกยุ่งกับชีวิตของเขาเสียที

ธันวาจัดการปิดท้ายรถให้ ก่อนจะวิ่งตามไปนั่งข้างๆ คนขับ และยังไม่ได้ตอบอะไร เหมือนคิดนานพอสมควร สุดท้ายก็ตัดสินใจได้

“กูจะช่วยมึงก็ได้ ในฐานะเพื่อน” ธันวาตอบเบาๆ ในรถที่เงียบสงัด เสียงเลยดังพอให้ได้ยิน ธนูเหลือบสายตามองใบหน้าด้านข้างของธันวาที่ไม่ยอมมองมาที่เขาเลย อาจจะเขิน เพราะเห็นเม้มปากตลอด ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายห่ามๆ แบบน้องชายของเขาก็มีมุมนี้

“โอเค ขอบคุณล่วงหน้าครับ คุณอยากได้อะไรตอบแทนก็บอก”

“ไม่เอาหรอก แค่ช่วยเพื่อนแค่นี้ จะเป็นไรไป” ธันวาสั่นหัวปฏิเสธ

“แต่การช่วยผม คุณไม่ได้ประโยชน์อะไร ทั้งยังเสีย เพราะถูกหาว่าเป็นเกย์”

มันก็จริงของธนู ธันวานิ่งคิด ทั้งที่เป็นแบบนั้น แล้วทำไมถึงยังอยากช่วยก็ไม่รู้

“ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ อีกอย่าง ก็แค่ที่บ้านมึงรู้ ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องรู้”

ธนูเอามือแตะปลายคางอย่างครุ่นคิด “แล้วถ้าจำเป็นต้องให้เพื่อนรู้ล่ะครับ ผมกลัวว่าพี่เพลินจะตามรังควานที่ร้านนั้นอีก”

เออ อันนี้ก็จริง ธันวาคบคิดหนัก นิ่วหน้ากอดอกอย่างจริงจัง แต่ตกปากรับคำไปแล้วว่าจะช่วย และธันวาไม่ชอบผิดคำพูดตัวเองด้วย

“ก็...ถ้าสถานการณ์บังคับ กูก็ไม่คิดมากหรอก ไว้ค่อยอธิบายทีหลังเอา”

“เป็นคนดีจริงๆ”

“นี่พูดแดกกันป่ะเนี่ย” ธันวาหน้าตึงขึ้นมา เผลอหันไปมองคนที่กำลังจะขับรถออกจากลานจอดรถ ธนูกำลังยิ้มทั้งตา เป็นรอยยิ้มที่แตกต่างจากเพื่อนของธันวาจริงๆ นั่นแหละ ไม่เหมือนเลยสักนิด

“ผมพูดจริงๆ คุณเป็นคนดีนะ”

“เออๆ รู้แล้ว อย่าย้ำ” แล้วธันวาก็รีบหันหน้ากลับ ปล่อยให้รถแล่นไปพร้อมกับความเงียบ

***

“มึงมากับพี่กูได้ไงวะไอ้ธัน” คันศรเงยหน้าจากเกมที่กำลังเล่นกับเจ้าตัวเล็ก มองเพื่อนตัวเองที่ช่วยพี่ชายของตัวเองหิ้วของเข้าบ้านมา

“ถามพี่มึงสิ ไอ้สัส” ธันวาแอบเน้นคำหลังสุด

“อ้าว ไอ้เหี้ยนี่ กูถามดีๆ” คันศรด่าไป แต่ก็หัวเราะ พลางเบนสายตาไปทางพี่ชาย ที่เดินเข้าครัวไปแล้ว “มันมากับมึงได้ไงวะ นู”

“ฉันชวนไปช่วยหิ้วของ คนอื่นไม่มีใครว่าง”

“อ๋อ” คันศรทำหน้าว่าเข้าใจ อ๋องก็มองตามสองคนที่เดินเข้าไปในครัวด้วยความสงสัยนิดหน่อย เพราะคืนแรกที่ธนูมาบ้านนี้ ธันวาไม่อยู่ด้วย

“ไปสนิทกันตอนไหนอ่ะพี่ศร สองคนนั้นน่ะ” อ๋องเอนตัวจาบนโซฟาลงไปกระซิบถามคันศรที่นั่งอยู่บนพื้นข้างหน้า

“ทำไมวะ มึงนี่เสือกจัง ไปถามพวกมันเองดิ กูจะรู้เหรอ” ว่าแล้วก็แกล้งตบหัวน้องไปทีด้วยความหมั่นเขี้ยว คันศรชอบเล่นแรงๆ กับอ๋องประจำ เพราะอ๋องทำตัวอ่อนปวกเปียกเหมือนเด็กน้อยตลอดเวลา เห็นแล้วมันน่าแกล้ง แต่ไม่ว่าจะแกล้งแรงแค่ไหน อ๋องก็ยังมาวนเวียนรอบตัวของคันศรเสมอ

“พี่ศรอ่ะ มันเจ็บนะ”

“เจ็บเหรอครับน้องอ๋อง มาให้กูตบอีกที ได้ชิน”

“อย่าเล่นกับน้องแรงๆ ศร” นั่นไง เสียงพี่ชายดังมาเลย เห็นไอ้อ๋องสำคัญกว่าน้องแท้ๆ ตลอด คันศรแอบเบ้ปาก หันไปเงื้อมือจะตีอ๋องแบบแหย่เล่นขำๆ อ๋องรีบเอาหมอนอิงมาบัง แล้วก็เอาหมอนตีคนตัวใหญ่กลับ กลายเป็นเล่นกันสนุกไปอีก

ธนูยืนมองสองคนนั้นนั่งเล่นกันจากเคาน์เตอร์ครัวฝั่งตรงข้าม และธันวาก็สังเกตเห็นเหมือนกัน

“นู...ธนู” ธันวาเอาศอกสะกิดคนที่มัวแต่เหม่อลอย “ไม่ทำเหรอ ข้าวเย็น”

ธนูได้สติกลับมา “อ่า อืม ทำสิ คุณจะช่วยผมทำเหรอ” ถามเพราะเห็นธันวายังไม่ยอมออกจากครัว

“เออ พอทำเป็นอยู่” ธันวาตอบ มือก็หยิบอุปกรณ์มาเตรียมให้ เพราะรู้เมนูของวันนี้จากธนูแล้ว คุยกันตอนนั่งมาในรถ

“งั้นคุณช่วยผมหั่นผักกับเนื้อ ผมจะเตรียมเครื่องปรุงเอง”

“ครับผม” ธันวาขานรับเสียงใส

***
 :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-10-2020 10:11:22 โดย Lambosasha »

ออฟไลน์ Tanthai23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
สรุปคนพี่คู่ธันวาใช่มั้ย สงสัยจะได้เป็นแฟนกันจริงๆแน่ๆ
แฝดน้องจะรู้ตัวหรือยังนะ ว่ามีน้องอ่องแอบชอบอยู่   :mew1:
 :pig4:

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
7
ธนูมองอ๋องที่คอยตักกับข้าวส่งให้คันศร สองคนนั่งคุยกันหัวเราะกันเหมือนไม่มีคนอื่นอยู่ตรงนี้ อ๋องแทบจะไม่มองมาที่เขาเลย ธนูหรุบตาลง ตักข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวช้าๆ เหมือนไม่อร่อย ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจด้วยความเจ็บปวด จนรู้สึกเหมือนมีนิ้วใครมาสะกิดที่แขน พร้อมกับคำพูดแปลกๆ ที่ทำให้ทุกคนต้องมองไปที่คนคนเดียว นั่นคือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ธนู

“คุณๆ หยิบซอสให้ผมหน่อยดิ”

“ห๊ะ?” “หือ?” “อุ้ย” สามเสียงนั้นดังประสานกันจนไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร แต่คนที่งงที่สุดคงเป็นธนู ที่หยิบซอสตรงหัวโต๊ะส่งไปให้ธันวาทั้งที่คิ้วยังขมวดปม

“ทำไมจู่ๆ พูดเพราะวะไอ้ห่า กูขนลุกหมดไอ้ธัน” คันศรนิ่วหน้ามองเพื่อนด้วยสายตาเหมือนมองของแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต

“อยากลองพูดแบบพี่มึงมั่งไง” ธันวาตอบหน้าตาย รับซอสมาเหยาะใส่บนไข่เจียวในจานตัวเองแล้วเอาช้อนขยี้ๆ ให้ทั่วจนมันเป็นสีแดงเถือก ธนูมองไข่เจียวแดงๆ นั่นแล้วเหลือบตาขึ้นมองธันวา

“ชอบกินซอสเหรอครับ”

“ครับ”

“อู้ว” เสียงคันศรดังขึ้นอีกอย่างน่ารำคาญ จนธันวาหันไปถลึงตาใส่ ไหนๆ ก็คงต้องเล่นเป็นแฟนของธนูแล้ว เอาให้มันเนียนๆ ไปเลย พูดแบบเดียวกัน จะได้ดูเหมาะสมกัน

ส่วนธนู เหมือนจะรู้สาเหตุอยู่ เลยแค่อมยิ้มนิดๆ มองคนที่ตักไข่เจียวราดซอสจนชุ่มนั่นเข้าปากแล้วเคี้ยวท่าทางเอร็ดอร่อย อ๋องเองก็คอยเหลือบมองทั้งคู่เป็นระยะ แต่คันศรเลิกสนใจไปแล้ว

“อร่อยนะ ลองมั้ย” ธันวาตัดไข่เจียวราดซอสยื่นไปให้ตรงปากของคนที่กำลังมองอยู่ “เห็นกินข้าวหน้าตาเหมือนไม่อยากอาหาร ลองนี่แล้วจะติดใจ”

“เอ๊ะ?” ธนูเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ไม่ทันรู้ตัวว่าทำหน้าแบบไหนตอนที่เห็นอ๋องคอยดูแลคันศร ทั้งที่ก็เป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้ว

“อ่ะ อ้าม”

ธนูอ้าปาก ยอมกินที่ธันวาป้อนใส่ปากอย่างมึนงง รสชาติของซอสเปรี้ยวๆ ทำเอาน้ำตาแทบเล็ด แต่ก็ทำให้กลับสู่ความเป็นจริงได้ดียิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น

“เปรี้ยว”

“ก็ซอสมะเขือเทศนี่ ลองซอสพริกดิ” ธันวาเหล่สายตาไปทางขวดซอสพริก แต่ธนูรีบเบรค

“เผ็ดๆ ผมก็ไม่ชอบ”

“เรื่องเยอะเนอะพี่มึงเนี่ย” ประโยคนี้ธันวาหันไปพยักเพยิดกับคันศร ซึ่งเพื่อนรักก็หัวเราะครืน ชอบใจที่พี่โดนด่า

“พี่นูชอบกินของจืดๆ ตลอดอ่ะ เห็นทำแต่แกงจืดกับผัดผักประจำเลย” อ๋องขอแทรกบ้าง “แต่ก็จืดแบบอร่อยๆ น้า”

“ยังไงของมึงวะ จืดแบบอร่อยๆ” คันศรงง ความจริงก็ชอบกินคล้ายๆ พี่ แต่คันศรติดเค็ม

เพราะธันวาลองทำอะไรแปลกๆ อย่างใช้คำพูดเพราะๆ กับธนู ชวนทุกคนลองกินซอสเปรี้ยวๆ ราดไข่เจียวให้ชุ่มๆ เลยทำให้บรรยากาศที่เหมือนมีแค่สองคนของอ๋องและคันศรเบาบางลง และสีหน้าของธนูก็ดีขึ้นมานิดหน่อย หลังจบมื้อเย็น ก็ยังนั่งดูทีวีเล่นเกมกันต่อสักพัก จนเกือบ 2 ทุ่ม อ๋องก็ขอตัวกลับบ้าน ธันวาเลยว่าจะเดินออกไปพร้อมกันเลย

“เดี๋ยวผมไปส่ง คุณไม่ได้เอารถมานี่” ธนูอาสา

“เออว่ะ ผมจอดไว้ที่ห้างฯ อ่ะ แต่น่าจะแวะไปเอาทัน”

“หึ” ธนูหลุดขำออกมาจนได้

“ขำบ้าไรวะ” ธันวาหน้ายุ่ง เขินนิดๆ เหมือนกันที่ต้องมาพูดเพราะแบบนี้

“ไม่ต้องฝืนตัวเองขนาดนั้นก็ได้ แต่ถ้าทำเพราะอยากช่วยผมก็ขอบคุณมาก”

ธันวารีบหันหน้าหลบดวงตายิ้มๆ นั่น แล้วเร่งให้อีกฝ่ายไปที่รถ “ช่วยอะไร ไม่ได้ช่วยอะไรสักหน่อย จะไปส่งก็รีบดิ เดี๋ยวผมไปเอารถไม่ทัน”

***

เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา และธันวาก็เป็นคนแบบนั้น ในเมื่อสัญญาว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่ธนูเป็นเกย์ ก็ไม่เคยพูดจริงๆ ตอนไปที่บ้านก็พอจะดูรู้ว่าธนูคิดยังไงกับอ๋อง แต่ก็เลือกที่จะไม่ถาม

“วันนี้กูไปรับไอ้นูเอง” อาทิตย์ต่อมา คันศรก็เอารถของธนูมาใช้เหมือนเดิม พอตกเย็นก็ต้องแวะรับพี่กลับบ้านด้วยกัน แต่วันนี้จู่ๆ ก็มีคนอาสาไปแทน

“อะไรของมึง จู่ๆ จะไปรับมันเนี่ยนะ” คันศรขมวดคิ้ว

“เออ ไลน์ไปบอกแล้ว นี่ไง” ธันวายื่นสมาร์ทโฟนไปให้ดู ว่าธนูตอบโอเคมาเป็นสติ๊กเกอร์แล้ว

“ถามจริง พวกมึงสนิทกันยังไงวะ กูงง” คันศรหยิบมือถือของเพื่อนมาดู ข้อความในไลน์มีตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ ที่ธนูชวนธันวาออกมาข้างนอก ประโยคเรียบง่าย แค่ “ผมอยู่ที่xx มามั้ยครับ” แล้วไอ้ธันก็ดันตอบโอเคแบบไม่มีคิดอะไรเลย แล้วก็ข้อความของวันนี้ที่ธันวาส่งไปว่า “เย็นนี้ผมไปรับนะ” แล้วพี่มันก็ส่งสติ๊กเกอร์ตอบโอเคมา

“เออน่า เจอกันวันนั้นก็คุยถูกคออ่ะ” ถูกทั้งคอทั้งปากด้วย ไม่อยากจะเซด ธันวาคิดในใจแล้วก็หน้าร้อนเอง

“โอ๊ะ มันไลน์มาบอกกูว่ะ ว่าจะกลับกับมึง ให้กูเลยกลับบ้านเลย แหม ดีๆ ได้รถใช้ฟรีแบบนี้ กูไปหาเป้ยดีกว่า” คันศรยิ้มกริ่ม คราวก่อนได้เบอร์ได้ไลน์เป้ยมาเรียบร้อยแล้ว กะจะเดินหน้าจีบเต็มที่ เขาชอบผู้หญิงที่ดูมั่นใจในตัวเอง แต่ไม่แรงเกินจนน่าเกลียด และเพื่อนของธนูคนนี้ก็กำลังดี ดูเป็นสาวห้าว แต่ก็มีมุมที่น่ารัก กะจะให้เป็นแฟน ไม่ใช่แค่คนควงชั่วคราวเหมือนที่ผ่านมาด้วย

“คนนี้มึงจริงจังเหรอวะ” ธันวานึกสงสัย เพราะปกติคันศรไม่ค่อยจีบใครก่อน มีแต่สาวๆ เข้ามาหาเองมากกว่า

“ก็นิดหน่อยมั้ง ต้องลองคุยๆ ไปก่อนอ่ะ แต่เขาน่ารักว่ะ ดูไม่ค่อยเรื่องมาก พี่กูยังเรื่องมากกว่าอีกมั้ง แม่งบางทีจุกจิกยังกับผู้หญิง” คันศรหัวเราะ ธันวาก็แค่พยักหน้าเออออด้วย ไม่มีความเห็นเรื่องนิสัยของธนู เพราะเพิ่งรู้จัก

“งั้นกูไปหาไอ้นูก่อนแล้วกัน มึงจะไปไหนก็ไปเหอะ ขอให้จีบติดแล้วกันเว้ย” แล้วธันวาก็เดินลงจากตึกไป

***

“ไอ้นู รอน้องมึงมารับเหรอ” พีททักขึ้น เมื่อนึกได้ว่าตอนเช้าเห็นคันศรเป็นคนขับรถมาส่งเพื่อน

“เปล่า” ธนูตอบพลางเคาะไม้กลองเล่นเหมือนเคย วิชาที่เรียนช่วงนี้เป็นพวกดนตรีคลาสสิค แต่เขาก็ยังพกไม้กลองมาด้วยตลอด เพราะตำแหน่งในวงที่เล่นกับเพื่อนๆ คือ มือกลอง ว่างก็จะหยิบมาซ้อมตีตลอด จนเพื่อนๆ ชินกับเสียงเคาะโต๊ะของเขาไปแล้ว

“อ้าว แล้วมึงไปไง ให้กูไปส่งมั้ย บ้านมึงก็ไม่ได้ไกลจากนี่มากป่ะ”

“ไม่เป็นไร มีคนมารับแล้ว”

พีทเกาหัวอย่าง งงๆ “อะไรวะ มีคนใหม่แล้วเหรอ รอบนี้แนวไหน”

“อืม” ธนูทำหน้านึก แนวไหนเหรอ ก็เหมือนลูกหมามั้ง ดูลนๆ ซนๆ กวนเท้าหน่อยๆ “ก็...น่ารักดีมั้ง”

และนั่นคือคำตอบจากที่นึกมาทั้งหมด เพื่อนพีทพยักหน้าว่าเข้าใจกัน และนั่งรอเป็นเพื่อน คุยเรื่องงานเฟรชชี่ไนท์ไปพลางๆ ว่าวงใครจะเล่นอะไรบ้าง จะได้ไม่ซ้ำกัน จนกระทั่งรถฟอร์จูนเนอร์สีขาวมาจอดเทียบใกล้ๆ หน้าตึกคณะดุริยางค์

“มาแล้ว โทษทีรถติดว่ะ” เสียงทักดังขึ้นด้านหลัง เพราะธันวาเห็นพวกธนูนั่งกันอยู่บนตึกตั้งแต่ขับเข้ามาแล้ว เลยเดินมาหาถูกที่

ธนูหันไปยิ้มให้คนที่อุตส่าห์มารับ แต่เพื่อนคนอื่นเหมือนจะอึ้งกับผู้ชายใส่ช้อปสีน้ำตาลเข้มข้างหลัง

“อ้าว ไอ้ธัน มึงเองเหรอที่มารับมัน” พีทนิ่วหน้ามองธันวา แล้วเอียงคอจนคอแทบหลุด

“เออ ตาเหล่แล้วเหี้ยพีท” ธันวาตบคอเพื่อนเบาๆ พลางหัวเราะ

“งั้นผมไปก่อนนะครับ เจอกันพรุ่งนี้” ธนูลุกขึ้นบอกลาเพื่อนๆ คนที่ไปร้านเหล้าด้วยกันคราวก่อนรู้จักธันวาอยู่แล้ว ก็แค่อึ้ง ส่วนพวกที่ไม่เคยเจอก็ดูจะสนอกสนใจ โดยเฉพาะสาวๆ ที่ชอบส่องผู้ชายของธนู

พีทมองตามหลังทั้งคู่ที่เดินไปขึ้นรถสีขาวเด่นชัดในความมืดสลัว เพราะตอนนี้เกือบ 2 ทุ่มแล้ว พลางคิดตามที่ธนูพูดเมื่อกี้

“ก็น่ารักดีสินะ” พีททวนคำพูดนั้นเบาๆ กับตัวเอง “เออ ก็น่ารักจริงว่ะ”

***

“เห็นไอ้ศรบอกจะรอรับเป้ยกลับบ้านหลังเล่นเสร็จว่ะ คงดึกแน่ๆ” ระหว่างนั่งมาในรถคันสีขาว ธันวาก็ได้รับข้อความพร้อมกับของธนู

“ไปรอที่ร้านพี่อั๋นน่ะเหรอ” ร้านเหล้าที่เด็กดุแทบทุกวงในคณะต้องไปเล่น เพราะเจ้าของร้านเป็นรุ่นพี่ที่จบไปเมื่อสามปีก่อน ร้านเหล้าเจ้าประจำของพวกพีทนั่นเอง

“อือ ถามมันว่าเอาจริงเหรอรอบนี้ มันก็ว่างั้นนะ เป้ยมันก็ดูห้าวๆ ดุๆ ดี คงเอาไอ้ศรอยู่”

ธนูพยักหน้า นิสัยของคันศรเหมือนพ่อไม่มีผิด เจ้าชู้ไปเรื่อยๆ ใครให้ก็เอา คิดแล้วก็เผลอถอนหายใจเสียงดัง จนธันวาสงสัย

“ไมวะ ไม่โอเคเหรอ หวงน้อง?”

“ห่วงมากกว่า” ธนูตอบตามตรง น้ำเสียงจริงจัง “ผมไม่อยากให้ศรเหมือนพ่อ”

“อ่า” ธันวาหน้าเจื่อน ไม่ค่อยรู้เรื่องของฝั่งธนูเท่าไหร่ แต่น่าจะไม่ใช่เรื่องดี ไม่อย่างนั้นคงไม่บอกว่าไม่อยากให้เหมือน

“พ่อผมเป็นคนเจ้าชู้มาก ไม่เคยหยุดที่ใครได้นาน รวมทั้งแม่ด้วย” 10 ปีคือนานที่สุดสำหรับพ่อแล้วล่ะมั้ง เขานิ่งคิด ส่วนแม่เลี้ยงตอนนี้ เพราะพ่อไม่ค่อยอยู่บ้านแล้ว และแม่เลี้ยงก็เหมือนไม่ได้รักอะไรมากมาย แค่ประจบเอาใจเพื่อเงิน ก็เลยยังอยู่กันมาจนถึงทุกวันนี้

“อืม ก็พูดยากนะ ถึงไอ้ศรมันจะเหมือนเจ้าชู้ แต่ถ้ารักใคร มันก็น่าจะรักจริงแหละ แค่ยังหาคนคนนั้นไม่เจอมากกว่า” ธันวาว่า ไม่ได้คิดเข้าข้างเพื่อน แต่จากที่เห็นก็เป็นแบบนั้น คัศรไม่ได้เข้าหาผู้หญิงพวกนั้นก่อน แต่ถ้าสนใจใครจริงจัง ก็จะเข้าไปทำความรู้จักเอง เหมือนอย่างเป้ย และที่ผ่านมา เป้ยก็เป็นผู้หญิงคนที่สองที่คันศรตามจีบ ส่วนคนแรกนั้นสมัยมัธยมปลาย ซึ่งธันวาไม่ค่อยรู้รายละเอียด

“เป็นแบบนั้นก็ดีครับ” ธนูมองออกไปนอกหน้าต่างรถ วันนี้รถค่อนข้างติดพอสมควร เลยมีเวลาอยู่บนท้องถนนด้วยกันนาน

“แล้วคุณล่ะ มีแฟนหรือยัง ดูท่าทางคุณไม่ใช่คนเจ้าชู้นะ”

ธันวาเม้มปาก ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับใครมาก่อน แต่เห็นว่าธนูยอมเล่าเรื่องส่วนตัวอย่างเปิดเผย ทั้งที่ปกติไม่น่าเป็นคนชอบพูดเรื่องส่วนตัว ธันวาเลยชั่งใจว่าจะเล่าดีมั้ย

“ถ้ามีแฟน คงไม่ตกลงช่วยคุณหรอก แล้วก็...ผมไม่เคยมีแฟนหรอก วันๆ มีแต่เรียน เข้ามหาลัยมาก็คิดว่าจะสนุกเต็มที่ มีสาวๆ มาให้ฟันฟรี คือ นี่พูดกันตรงๆ นะ ในกลุ่มผมแม่งมีแต่เสือสิงห์ทั้งนั้น คุยกันแต่เรื่องใต้สะดือทุกวัน แต่ผม...สุดท้ายก็ทำแบบเพื่อนไม่ได้ว่ะ”

ธนูหันไปมองใบหน้าของคนที่กำลังขับรถอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะเว้ย ถ้าแบบ ได้ก็ดี แต่พอเอาเข้าจริง ผมคิดถึงพ่อแม่ของผู้หญิงว่ะ ถ้าเราพลาดทำเขาท้องขึ้นมาจะทำไง ผมไม่อยากให้พ่อแม่ตัวเองเสียใจด้วย ผมยังเรียนไม่จบเลยนะเว้ย เวลาพวกมันโยนผู้หญิงมาให้ ก็แกล้งรับๆ ไป ทำเป็นคุยเรื่องผู้หญิงกับพวกมันไปงั้น แต่ผมไม่เคยทำอะไรใครเลยนะ”

ธนูคลี่ยิ้มบางๆ มองอีกคนด้วยความเอ็นดู

“นี่เชื่อป่ะเนี่ย คุณต้องไม่เชื่อผมแน่เลย เพราะคิดว่าผมเหมือนไอ้ศรกับเพื่อนคนอื่น” ธันวายู่ปากน้อยๆ แต่ตายังมองไปข้างหน้า

“เชื่อสิ” ธนูเอ่ยเบาๆ “ผมถึงได้บอกว่าคุณเป็นคนดีไง”

แต่ธันวาส่ายหน้า “ไม่หรอก ผมแค่คิดเยอะต่างหาก” พลันต้องสะดุ้ง ก่อนจะกัดปากนิดๆ เพราะหน้ามันเริ่มร้อนขึ้นมา เมื่อมืออุ่นๆ ของคนข้างๆ แปะลงบนหัวแล้วลูบเบาๆ 

“คิดเยอะๆ ก็ดีแล้วครับ”

รถฟอร์จูนเนอร์สีขาวเข้ามาจอดเทียบในรั้วบ้าน เมื่อธนูเปิดประตูให้

อ๋องที่นั่งมองจากบนชั้นสอง พอเห็นรถของธันวาก็จำได้ทันที ร่างเล็กผุดลุกขึ้น วิ่งออกไปปีนกำแพงดู เห็นธันวาเดินตามหลังธนูเข้าบ้านไปแล้ว ไม้กลองในมือของธนู ทำให้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นใคร

“ทำไมมาด้วยกันอีกแล้ว” เด็กหนุ่มหัวเกรียนหน้ามุ่ย ก่อนจะมือลื่นร่วงไถลลงจากกำแพง ก้นกระแทกกับพื้นหญ้าเลยไม่ได้เจ็บมากเท่าไหร่ หรือเพราะมัวแต่คิดเรื่องของธนูกับธันวาอยู่ก็ไม่รู้ เลยลืมความเจ็บไปสนิท

ธนูชวนธันวาให้เข้ามาดื่มน้ำกินขนมก่อนกลับ เพื่อตอบแทนที่มาส่ง และคุยเรื่องวันพรุ่งนี้

“พรุ่งนี้พ่อบอกจะมาถึงไทยประมาณบ่ายโมง เข้าบริษัทแป้ปนึง กว่าจะถึงบ้านคงเกือบทุ่ม” ธนูอ่านไลน์ที่พ่อส่งข่าวมาบอก ทีลูกแท้ๆ ส่งมาก่อนกลับวันเดียว แต่คนอื่นดันบอกล่วงหน้าเป็นอาทิตย์

“พ่อคุณดุมากมั้ยอ่ะ ผมกลัวๆ ยังไงไม่รู้ว่ะ” ธันวาที่นั่งอยู่บนโซฟา ลูบแขนตัวเองพลางถาม

“ไม่ดุหรอก แค่น่ารำคาญ” เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ธันวา เอนหลังพิงอย่างอ่อนล้า ไม่อยากคิดถึงตอนที่ต้องเจอหน้าพ่อ

“ถามตรงๆ นะ พ่อคุณรู้ใช่มั้ยว่าคุณเป็น...เอ่อ เกย์”

“รู้สิ แถมยังพยายามจะให้ผมกลับไปชอบผู้หญิงให้ได้ด้วย”

ธันวาขยับตัว พับขาข้างหนึ่งขึ้น นั่งเอี้ยวตัวไปทางอีกคนด้วยความสนใจ

“ถึงขนาดหาผู้หญิงมาให้เลยเหรอ”

“ไม่เชิง แต่ก็ส่งไปเรียนมวยบ้าง พาไปเที่ยวผู้หญิงตอนอายุ 18 ก็มีนะ คือจะให้ผมเอาผู้หญิงให้ได้” น้ำเสียงของธนูออกจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ มันทั้งหงุดหงิดและขุ่นมัวอย่างชัดเจน

“เพิ่งเคยได้ยินคุณพูดอะไรแบบนี้นะเนี่ย หยาบสุดที่เคยพูดหรือเปล่า ใช้คำว่าเอาเนี่ย” ธันวาแอบขำ ก่อนจะชะงักกึก นิ่งไปเพราะธนูหันหน้ามามองด้วยดวงตาที่ส่องประกายแปลกๆ

“คุณรู้มั้ย ว่าทำไมผมถึงพยายามพูดแบบนี้ ทั้งที่เพื่อนก็หยาบคายทุกคน”

“มะ ไม่รู้อ่ะ” ธันวากะพริบตาปริบๆ

“เมื่อก่อนผมไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก ก็เหมือนคนทั่วไป”

“แล้วตอนนี้ทำไม...”

“ผมประชดพ่ออยู่ไง อยากให้ผมแมนมากนักใช่มั้ย ผมก็เลยทำตัวให้มันเรียบร้อยกว่าเก่า ให้เขารู้ว่าผมไม่ใช่ผู้ชายแท้ๆ ผมสุภาพเรียบร้อย ผมไม่หยาบคายหรือทะโมนเหมือนผู้ชายคนอื่น ทำจนมันติดไปแล้วล่ะ” รอยยิ้มมุมปากของธนู ทำเอาธันวาหูร้อน จนต้องรีบเขยิบตัวนั่งห่างไปอีกนิด

“แต่คำหยาบโลนลามกๆ ผมก็เอาไว้พูดกับคนที่นอนด้วยได้นะ” พูดจบธนูก็ลุกไปทางครัว ทิ้งให้ธันวานั่งหน้าแดงโดยไร้สาเหตุอยู่คนเดียว

***

เอาจริงๆ พวกนางก็นิสัยคล้ายกันนะ ไอ้แฝดอ่ะ 555 แค่อีกคนชอบเก็บอารมณ์ อีกคนโพล่งออกมาเลย
ตอนนี้คือดูเหมือนธันวามาแรงไปป่ะ
อ๋องกับคันศรก็ยังไม่คืบหน้าใดๆ

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
8
แล้ววันที่ต้องเจอหน้าพ่อของธนูก็มาถึงจนได้ ธันวาขับรถไปรับธนูที่มหาวิทยาลัยและเปลี่ยนให้ธนูขับต่อ เพื่อไปยังเป้าหมายในคืนนี้

“คุณๆๆ ผมตื่นเต้นอ่ะ” ธันวาถูมือตัวเองที่มันเย็นเฉียบไปมา เกร็งไปหมดที่จะต้องเจอพ่อของธนู ถ้าไปในฐานะเพื่อนก็คงไม่เกร็ง แต่พอดีต้องแกล้งหลอกเป็นแฟนปลอมๆ มันเลยเครียดไปหมด กลัวโดนจับได้ กลัวพ่อของธนูจะด่าเอา แล้วถ้าเกิดพ่อของธนูไม่พอใจมากจนเข้ามาต่อยหน้าจะทำยังไง

“อย่าคิดเยอะสิ” ธนูเหล่มองคนข้างๆ ที่ดูลุกลี้ลุกลนสุดๆ

“คุณก็รู้ว่าผมชอบคิดเยอะ” ธันวานิ่วหน้า มือสั่นจนหยุดไม่ได้

ธนูพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะยื่นมือซ้ายไปจับมือของธันวา รวบทั้งสองมือกุมไว้ตรงตักของธันวาเอง มันยังสั่นน้อยๆ แต่เขาก็บีบนวดให้ผ่อนคลายลง

“ไม่ต้องกลัว คุณแค่ยืนยิ้มก็พอ ที่เหลือผมจัดการเอง”

“โอ๊ยยย ไม่กลัวได้ไงวะ” เหงื่อไหลซึมตรงไรผม มือก็เย็นไปหมด หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความตื่นเต้น “เกิดมาเพิ่งเคยเจอพ่อแม่แฟน แถมเป็นแฟนปลอมๆ แล้วยังเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก ให้ตายเหอะ ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะต้องเจอเรื่องตื่นเต้นอะไรแบบนี้เลย”

ธนูอมยิ้มขำ อีกไม่กี่กิโลก็จะถึงบ้านแล้ว แต่คงต้องให้เวลาอีกคนทำใจก่อน เลยเลี้ยวรถเข้าไปจอดในซอยเล็กๆ ข้างทาง เปิดไฟในรถให้สลัวๆ จับมือของธันวาไว้ตรงหน้าแล้วสบตากันตรงๆ

“ไม่ต้องกลัว ผมจะไม่ยอมให้พ่อทำอะไรคุณแน่นอน”

“พูดแบบนั้นยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมว่ะ” ธันวาหน้าเสีย หายใจติดขัดขึ้นมา แต่แววตาของธนูที่ส่งผ่านมาอย่างจริงจัง ทำให้รู้สึกเหมือนดีขึ้นนิดหน่อย

ธนูโน้มหน้าลงเล็กน้อย เอาหน้าผากแตะกับหน้าผากของธันวา ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกันในแสงไฟสลัวๆ

“เชื่อใจผมนะ”

ธันวากลืนน้ำลายลงคอ พยายามตั้งสติ และพยักหน้ารับ ก่อนที่ธนูจะขับรถออกไปอีกครั้ง

บ้านของธนูหลังใหญ่โตโอ่อ่ากว่าของคันศรมากจนธันวาตาโต บ้านของคันศรเป็นบ้านเดี่ยวขนาดกลาง เนื้อที่แค่ 50 ตร.วา บ้านของธันวาเองก็เป็นตึกแถวสองคูหา 3 ชั้น ที่มีสองชั้นแรกเป็นร้านอาหารจีน แต่บ้านหลังนี้ของธนู พื้นที่กว้างขวางน่าจะเป็นไร่ ตัวบ้านอยู่ด้านในสุด สร้างแบบโมเดิร์น 3 ชั้น กระจกเพียบ มีสระว่ายน้ำอยู่ด้านหน้าครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็นลานจอดรถที่จอดได้ 3-4 คัน และมีรถยุโรปนำเข้าคันหนึ่งจอดอยู่ก่อนแล้ว 2 คัน กับรถแวนสีขาวหรูหราคันหนึ่ง

“ธนู!” ทันที่ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน พี่สาวคนละพ่อคนละแม่ของเขาก็วิ่งถลาออกมาหา แต่อยู่บ้าน เพลินจะแต่งตัวเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตแบบผู้หญิงแขนยาวพองๆ สีฟ้า กับกระโปรงยาวถึงเข่า คงมีแค่เขากับแม่เลี้ยงที่รู้ว่าตัวจริงของเพลินเป็นยังไง

“เอ๊ะ พี่คนนั้นจริงเหรอวะเนี่ย” ธันวามึนงง กับความเปลี่ยนแปลงอย่างสุดโต่งนี้ วันนั้นจำได้ว่าเจ๊แกแต่งตัวเปรี้ยวเข็ดฟัน เหมือนพร้อมถอดตลอดเวลา แต่วันนี้สาวหวานมาเลย พอหญิงสาววิ่งมาถึงที่พวกเขายืนอยู่ ธันวาก็เผลอหลบข้างหลังของธนู

“พาใครมาน่ะ คุณพ่อมาแล้วนะ ธนูก็รู้ว่าท่านไม่ชอบให้คบพวกตุ๊ดแต๋วพวกนี้”

โอ้โห สาดกลางใจเลยครับพี่ ธันวาหน้าเจื่อน โดนหาว่าเป็นตุ๊ดไปซะงั้น พยายามมองรูปร่างท่าทางตัวเอง ก็ไม่ตุ๊ดนะเว้ย สูง 179 หุ่นก็ฟิตเฟิร์มดี แม้จะยังเข็นซิกแพคไม่ขึ้นเท่าไหร่ก็เถอะ ส่วนไอ้หน้าตี๋ๆ นี่มันแก้ไม่ได้เว้ย แล้วพูดว่าตุ๊ดนี่ ไม่ให้เกียรติเสื้อช้อปวิศวะของธันวาเลย

ธนูคว้ามือของธันวามาจับไว้แน่น

“กรุณาให้เกียรติแฟนผมด้วยครับพี่เพลิน” ธนูเอ่ยหน้านิ่ง ก่อนจะเดินเบียดหล่อน และจูงมือธันวาที่ยังมีแก่ใจหันไปยกมือไหว้เพลิน ให้เข้าบ้านไปด้วยกัน

“เดี๋ยว! พี่จำได้แล้ว มันคือคนวันนั้น นี่เป็นแฟนกันจริงๆ เหรอ ธนู มาคุยกันก่อนสิ”

“เอะอะอะไรคะน้องเพลิน อ้าว? น้องนู มาแล้วเหรอลูก”

ยังไงแม่เลี้ยงก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง เขาเลยต้องยกมือไหว้ “สวัสดีครับ” ก่อนจะหันไปหาธันวา “นี่แม่เลี้ยงผมเอง”

“อ๋อ สวัสดีครับคุณแม่”

“ใครเป็นแม่แกยะ น่ารังเกียจจริง” แม่เลี้ยงมองธันวาอย่างเหยียดๆ จนคนโดนมองได้แต่ยิ้มแหย เสียมือที่ยกไหว้ไปเปล่าๆ เลย

“ถ้าธันน่ารังเกียจ ผมก็คงต้องถูกพวกคุณรังเกียจด้วยแล้วล่ะครับ” ธนูเอ่ยเสียงแข็ง แววตาดุดัน จนแม่เลี้ยงกับเพลินสะอึก แม่เลี้ยงเลยรีบเปลี่ยนท่าทีมายิ้มแย้มให้เขา แต่ยังมองเหยียดๆ ใส่ธันวา

“แหมๆ อย่าพูดแบบนั้นสิคะน้องนู ไปทางนี้กันดีกว่า คุณพ่อรอทานข้าวแล้วลูก”

ธนูยังจับมือของธันวาไว้ไม่ปล่อย แม้ว่าแม่เลี้ยงกับเพลินจะพยายามแยกพวกเขาอย่างไรก็ตาม ทั้งที่เป็นแค่แฟนหลอกๆ แต่ธันวากลับใจเต้นแปลกๆ ขึ้นมา เพราะท่าทางของธนูดูพึ่งพาได้จริงๆ ใครได้เป็นแฟนก็มั่นใจได้เลยว่าธนูจะไม่มีทางทิ้งให้ต้องเผชิญกับความลำบากเพียงลำพังแน่นอน

“มาแล้วเหรอธนู” พ่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยตอนที่เห็นเขาจับมือธันวา และเข้ามาในห้องอาหารด้วยกัน ธันวารีบดึงมือออกแล้วยกมือไหว้ผู้ใหญ่ แต่ธนูไม่แม้แต่จะยิ้มทักทายพ่อตัวเอง

“หมอนี่ใครอีกล่ะ แฟนคนที่ร้อยเหรอ คิดว่าครั้งนี้จะอยู่ได้นานกี่วัน กี่เดือน?” น้ำเสียงของพ่อเอ่ยเหมือนขบขัน แววตามันบอกอย่างนั้น ธันวาหน้าเจื่อน ไม่ชอบบรรยากาศสงครามของบ้านนี้เลย พลันต้องถลึงตา เกือบโวยวายใส่คนข้างๆ

“ตลอดชีวิต”

“ไอ้นู...”

พ่อของธนูหัวเราะอย่างขำขัน “เออๆ เอาเหอะ นั่งลงกินข้าวกันก่อน แล้วเราน่ะชื่ออะไรล่ะ” พ่อพยักหน้ามาทางธันวา

เพราะดูเหมือนไม่ได้รังเกียจและท่าทางใจดีกว่าที่คิด ธันวาเลยค่อยผ่อนคลายลง พวกแม่เลี้ยงก็เหมือนจะเกรงใจพ่อ เลยไม่มีใครพูดหรือแสดงกิริยาอะไรร้ายๆ ออกมา

“ผมชื่อธันวาครับ”

“ธนู กับ ธันวา เหรอ” พ่อจับคางลูบเบาๆ “ชื่อเข้ากันดีนะ”

“อย่างอื่นก็เข้าได้ดีครับ” ธนูตอบหน้าตายพลางนั่งลง ส่วนธันวาถึงกับหน้าม้าน เขินจนหูแดง ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเขินทำไม มันเรื่องสมมติทั้งนั้นแท้ๆ

“ใส่เสื้อแบบนั้น เรียนช่างเหรอ” พ่อยังคงชวนธันวาคุย

“ครับ วิศวะ ปี 3 แล้วครับ”

“อืม อายุเท่ากับธนูสินะ สาขาไหนล่ะ”

“เอ่อ ปิโตรครับ”

“โฮ่” คราวนี้ไม่ใช่แค่พ่อที่มอง แต่ธนูเองก็เพิ่งรู้ว่าธันวาเรียนสาขาอะไร คันศรกับเพื่อนคนอื่นเหมือนจะเรียนพวกโยธากับไฟฟ้า สาขาปิโตรเคมีเป็นสาขาที่คนเรียนไม่เยอะ และมีแววว่าจะหางานทำยาก เลยแปลกใจนิดหน่อย

“แสดงว่าเรียนเก่งใช้ได้นะ สาขานี้คนจบน้อย งานก็ไม่ค่อยมี คิดยังไงถึงเรียนล่ะ” พ่อยกศอกขึ้นวางบนโต๊ะ เอามือประสานกันแล้วท้าวคางไว้ มองธันวาอย่างสนอกสนใจ

“คือ ผมชอบน่ะครับ แต่จริงๆ ที่บ้านก็อยากให้ทำร้านอาหารต่อ เลยคิดว่าเรียนที่ชอบดีกว่า แม้จบไปจะไม่ได้ใช้ก็เถอะ”

“อ๋อ แล้วที่บ้านเป็นร้านอาหารอะไรล่ะ”

“เอ่อ ภัตตาคารอากงน่ะครับ อาหารจีน ไม่ดังเท่าไหร่หรอก แหะๆ”

พ่อของธนูตาโตด้วยความประหลาดใจ “ร้านนั้นพ่อไปกินบ่อยเวลามาไทย” เรียกตัวเองว่าพ่อก็มา ธันวาถึงกับอึ้ง

ไหนธนูบอกไม่โอเคกับเรื่องเกย์ไงวะ

“พ่อของธันวา ใช่คุณเจียงหรือเปล่า วัลลพ เจียงสกุล”

“เอ๋? อ่ะ ครับ” ธันวากะพริบตาปริบๆ รู้สึกถึงลางร้ายตะหงิดๆ

“พอดีเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันสมัยเรียนมัธยม ไปกินทีไรก็เจอทุกที แต่ไม่เคยเจอธันวาเลย เพราะเจียงมันบอกลูกชายเอาแต่หมกตัวเรียนทั้งวัน”

ฉิบหาย! เรื่องรู้ถึงอากงกับพ่อกู มีแววตายแน่ๆ ไอ้ธันนนนนนนนนนนนนน

มื้อเย็นกับคุณพ่อแฟนปลอมๆ ผ่านไปด้วยดี คงเพราะธันวาดูเป็นผู้ชายปกติ ไม่ได้ออกสาว ซึ่งมันก็แหงอยู่แล้ว เพราะธันวาไม่ได้เป็นเกย์ แถมคุยไปคุยมา พวกพ่อดันเป็นเพื่อนกันไปอีก

และไอ้เรื่องซวยๆ ของธันวาคงยังไม่จบง่ายๆ แค่ปลอมเป็นแฟนของธนูแล้ว ขืนที่บ้านรู้ว่าหลานชาย ลูกชายคนโตของตระกูลเป็นเกย์ มีหวังโดนอากงเฉือดแน่ๆ

แถมพ่อของธนูยังเหมือนจะเตรียมจับพวกเขาขึ้นเขียงเรียบร้อยแล้วด้วย

“ไว้อาทิตย์นี้พ่อแวะไปเยี่ยมกงกับเจียงมันหน่อยดีกว่า ธนูก็ไปด้วยเลยนะ ยังไงก็ต้องดองกันอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ หึหึ”

ธันวาวิญญาณออกจากร่างไปเรียบร้อย

***
เริ่มไปกันใหญ่ละ :pig4:

ออฟไลน์ Tanthai23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
สงสัยว่าธันวาจะไม่ใช่แฟนกำมะลอแล้วแหละ 
แอบกลังเพลินอะไรนี้และแม่เลี้ยงอีก แต่เราเชื่อว่าธนูปกป้องได้  ธนูเอาอยู่ อิ อิ  :hao3:

สงสารน้องอ่อง เบื่อแฝดน้อง(แต่ไม่เบื่อคนแต่งอิอิ) แค่แอบนอยด์เฉยๆค่ะ  :ling3:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ PFlove

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 831
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
แล้วเมื่อไหร่แฝดคนน้องจะหยุดเจ้าชู้ซะที  :heaven
เราคิดว่าอ่องแอบชอบพี่ธนูอยู่เหมือนกันนะ ไม่รู้คิดเองหรือเปล่า แต่ธันวาก็น่ารักดูน่าจะเข้ากันดี :hao3:
 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
9
“พี่ศร พักนี้ผมว่าพวกพี่นูพี่ธันมันแปลกๆ อ่ะ” อ๋องวิ่งมาเกาะแขนคันศรที่เพิ่งจอดรถลงมา คืนนี้ธนูบอกว่าจะค้างที่บ้านพ่อ ความจริงเขาก็อยากเจอพ่อ แต่ในเมื่อยังไม่ได้รับเชิญ ก็ไม่อยากบากหน้าไปหา ขนาดแม่ตายทั้งคน พ่อยังไม่เห็นสนใจ

“อะไรของมึง แปลกยังไง” คันศรไขกุญแจเปิดประตูบ้านเข้าไป คว้ารีโมทมาเปิดแอร์ เปิดทีวี หาน้ำเย็นๆ ดื่ม อ๋องก็ยังวิ่งตาม เกาะแกะเป็นลูกลิงเหมือนเคย

“ก็ดูสนิทกัน วันก่อนก็เห็นมาส่งกันที่บ้านด้วย อยู่ตั้งนานเลยนะกว่าจะกลับอ่ะ”

“มึงนี่ก็เสือกเรื่องพี่กูจั๊ง ทำไมวะ มึงเห็นมันทำอะไรกันหรือไง” ไอ้ทำอะไรที่เขาว่าก็คือ มาเล่นพนัน กินเหล้าเมายา อะไรพวกนั้น แต่อ๋องน่าจะคิดคนละอย่าง

“ก็ไม่ได้เห็นหรอก แต่เขาสนิทกันอ่ะ เพิ่งรู้จักกันไม่ใช่เหรอ ทำไมสนิทกันขนาดมาส่งที่บ้าน ไปซื้อของด้วยกันอีก”

“มึงก็ขี้สงสัยไป กูรู้จักเพื่อนไอ้นูแป้ปเดียว ก็สนิทกันแบบนั้นนะ” แต่ไม่ได้ไปเดินเที่ยวด้วยกันกับขับรถไปรับกลับบ้านแค่นั้นเอง คันศรนึกในใจ “เออว่ะ ก็สนิทกันเร็วแบบแปลกๆ”

“ใช่มั้ยๆ แล้ววันนี้พี่นูไม่กลับเหรอ” อ๋องกวาดสายตามองรอบๆ บ้าน เมื่อกี้ตอนเข้ามาก็ปิดไฟมืดสนิท แสดงว่าคันศรกลับมาถึงก่อน

“อ๋อ มันบอกไปนอนบ้านพ่อว่ะ”

“อืม” อ๋องทำหน้าครุ่นคิด เรื่องของธนูน่ะรู้แล้ว ว่าธนูชอบผู้ชายแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่รุกอ๋องขนาดนั้น ธันวานี่สิ เห็นกันมา 3 ปี ไม่เคยมีทีท่าจะชอบผู้ชายด้วยกันสักนิด มาเที่ยวบ้านของคันศรก็มีสาวๆ มาด้วยประจำ

“เรื่องของพวกมันช่างเหอะ มึงอ่ะ กลับไปนอนมั้ย นี่มันกี่โมงแล้ว ยังไม่นอนอีก” คันศรมองนาฬิกาบนผนัง เขาไปรับเป้ยที่ร้านเหล้า พาไปส่งบ้าน กว่าจะมาถึงบ้านตัวเองก็เที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้ว แต่ไอ้เด็กลิงนี่ดันยังไม่นอน

“ก็พี่ศรกลับดึกเอง ผมอยากรอนี่” คนตัวเล็กเบ้ปาก “ไปกับสาวที่ไหนมาอีกล่ะสิ”

“เออ กำลังจีบอยู่” คันศรยกยิ้มพลางยักคิ้ว

อ๋องกำมือแน่น ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้วกับเรื่องพวกนี้ ที่ต้องทนเห็นคันศรกับคนอื่น

“พี่ศรแม่ง บ้าบองี่เง่า!” คนตัวเล็กผลักอกคันศรสุดแรง แล้ววิ่งหนีกลับบ้านไป ทิ้งให้คันศรมองตามหลังแบบงงๆ

***

ทางด้านธนู ก็ต้องค้างที่บ้านของพ่อ กับธันวา เพราะพ่อดันชวนธันวาให้อยู่ค้างด้วย

“ทำไงดีวะ ไอ้นู โอ๊ยยยย กูต้องโดนกงเฉือดแน่ๆ ถ้ารู้เรื่องนี้” วันอาทิตย์นี้พ่อของธนูเอาจริงแน่ๆ แต่ไม่รู้จะโพล่งเรื่องพวกเขาหรือเปล่าเท่านั้น อย่างน้อยน่าจะเกรงใจอากงมั่งล่ะว้า ธันวาคิดพลางเดินวนไปมา เอามือขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไปด้วย คำสุภาพก็ไม่มีแล้ว หมดอารมณ์ผมๆ ครับๆ

“เอาน่า อย่างน้อยพ่อผมก็เหมือนจะโอเคกับคุณนะ” ธนูคว้ามือของธันวาให้หยุดยืนนิ่งๆ ตรงหน้าเขา ธันวาพ่นลมหายใจแรง ก้มมองคนที่นั่งยิ้มอยู่บนเตียงอย่างหงุดหงิด

“ไว้ค่อยหาทางเลิกกันก็ได้”

“เลิกไป กูก็เป็นเกย์ไปแล้วมั้ยล่ะ แถวบ้านกูนี่หูตาไวอย่างกับอะไรดี สาวๆ ไม่มีแลกูอยู่แล้ว ยิ่งไม่แลหนักกว่าเดิมแน่ ทีแรกแค่หลอกพ่อมึงยังไม่เท่าไหร่ป่ะล่ะ ทำไมมึงไม่รู้จักสืบก่อน ว่าพ่อมึงรู้จักที่บ้านกูมั้ย” ธันวาบ่นยาวตามเคย แถมยังเบะปากเหมือนจะร้องไห้ไปอีก เห็นแล้วเอ็นดูปนขำ

“เอ้า ผมผิดอีก ใครจะไปรู้ล่ะครับ” ถึงจะเคยใช้บริการนักสืบ ตอนที่ตามหาที่อยู่ของแม่ แต่กับเรื่องแค่นี้ ไม่คิดว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

“ผมก็ไม่คิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้”

ฟังแล้วไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย ธันวาหน้ามุ่ย หงุดหงิด เครียด หาทางออกไม่ได้

“ผมขอโทษนะธัน ขอโทษจริงๆ” คราวนี้ธนูทำหน้าจริงจังแล้ว น้ำเสียงก็จริงจัง “ให้ผมรับผิดชอบยังไงก็ได้”

“พูดเหมือนมึงจะรับผิดชอบอะไรได้” ธันวาบิดริมฝีปากอย่างหงุดหงิดกว่าเดิม

ธนูครุ่นคิด นั่นสิ จะรับผิดชอบยังไงได้ ยังไม่ทันคุยกันรู้เรื่อง ก็มีคนมาเคาะประตูรัวๆ ขัดจังหวะ

ก๊อกๆๆๆ

“ใครครับ” ธนูถามก่อนเปิด เพราะเขากลัวว่าจะเป็นพวกแม่เลี้ยงมาวุ่นวาย

“ป้าเองค่ะคุณนู เอานมมาให้ทั้งสองคนก่อนนอน”

ธนูพรูลมหายใจอย่างโล่งอก เป็นเสียงแม่บ้านนั่นเอง ป้าจิต คอยดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ธนูปล่อยมือจากคนที่ยังงอแง แล้วไปเปิดประตูรับของจากป้าจิต

แต่ดันมีคนอื่นโผล่มาแทรก

“ตายแล้ว ตกๆๆ คุณเพลิน” ป้าจิตโดนเบียดแทรกจนเกือบทำนมหก ดีที่ธนูรีบคว้าไว้ทัน แต่ก็ไม่ทันได้ขวางเพลิน

“คืนนี้พี่จะนอนด้วย” เพลินยืนเท้าสะเอวจ้องหน้าธันวาอย่างจิกกัด ป้าจิตมองหน้าธนูแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ธนูบอกป้าเบาๆ ว่า เดี๋ยวผมจัดการเอง ป้าจิตก็พยักหน้ารับแล้วปิดประตูให้ เพราะกลัวจะเสียงดังออกไปจนคุณผู้ชายรู้

“คุณจะมานอนได้ไง พวกผมเป็นผู้ชายนะ” ธนูวางแก้วนมลงบนโต๊ะไม้เล็กๆ ข้างเตียง แล้วกอดอก หรี่ตาจ้องหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า ใส่ชุดนอนมาพร้อมเลย

“แน่ใจเหรอว่าอีนี่มันเป็นผู้ชาย” หล่อนชี้หน้าธันวา คนโดนชี้สะดุ้งเฮือก โดนเรียกแบบนั้นมันไม่ชินเอาเสียเลย

“พูดอะไรให้เกียรติกันด้วย อย่าคิดว่าพี่เป็นผู้หญิงแล้วผมจะไม่กล้าทำอะไรนะ” ธนูเสียงแข็งใส่ แต่เขาไม่ยอมแตะตัวหล่อนเลยแม้แต่น้อย ธันวาเองก็มองสองคนไปมา ไม่รู้จะเกิดสงครามอะไรกันอีก

“อยากทำก็ทำสินู แบบที่นูเคยทำ” กลายเป็นเจ้าหล่อนที่เข้าไปกอดแขนของธนู เบียดชิดไปทั้งตัว เห็นแบบนั้นธันวาก็กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝือน ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ผู้หญิงแรงๆ ก็เคยเห็นมาเยอะแล้ว แต่นี่สุดมาก แต่ธันวาไม่กลัวหรอกว่าธนูจะตบะแตกกับผู้หญิงในแบบนั้น น่าจะอยากตบมากกว่า ดูจากสีหน้ารำคาญสุดติ่งนั่นแล้ว

“พี่เพลิน อย่าให้ผมหมดความอดทน” เหมือนมีเส้นเลือดปุดๆ บนหน้าผากของธนูแล้ว ธันวารีบผุดลุกขึ้นจากเตียง พุ่งไปคว้ามือของธนูไว้ ก่อนที่มันจะเงื้อขึ้น

“มึง! พี่เขาเป็นผู้หญิงนะเว้ย”

“แล้วไง?” ธนูกลอกตามองนิ่งๆ เพลินเองก็ยังกอดแขนธนูไม่ยอมปล่อย ไม่กลัวโดนตบด้วย

“ถ้าคุณไม่ปล่อย ผมตบจริงๆ” แต่ธันวาก็ยื้อมือข้างนั้นไว้สุดแรง แม้มือของนักดนตรีอย่างธนูจะเรียวสวย แต่ก็หนักกว่าเท้าของธันวาแน่ๆ โดนไปมีหวังพี่คนนี้หน้าแหกหมอไม่รับเย็บ

“ก็เอาสิ พี่ไม่ปล่อยหรอก!”

“ไม่เอา อย่าทำร้ายเขา” ธันวาแทบจะกอดธนูไว้ทั้งตัว ไม่อยากให้ทำร้ายคนอื่น แต่เข้าใจว่าคงสุดทนแล้วจริงๆ อยู่กับผู้หญิงคนนี้นานๆ ธันวาเองยังอยากจะประสาทกิน

“คุณเห็นมั้ย ว่าแฟนผมเขาปกป้องคุณ ถ้าคุณไม่ออกไปจากห้องนี้ ผมกับธันจะออกไปเอง และจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก”

คำขู่นั้นเหมือนได้ผล เพราะเพลินอยากให้ธนูกลับบ้าน เธอต้องการธนูมากเหลือเกิน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอก็ติดใจมาตลอด แม้จะรู้ว่าธนูเป็นเกย์ ก็ไม่สนใจ พยายามจะเข้ามายั่วเอาให้ได้ แต่ก็โดนธนูไล่ตะเพิดตลอด

“หึ ทำไมล่ะ ทำไมพี่อยู่ด้วยไม่ได้ จะทำอะไรกันรึไง”

พอเพลินว่าอย่างนั้น ธนูก็เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ เลยคว้าเอวของธันวามากอดไว้ แม้อีกคนจะงงๆ จนหน้าตาเหรอหราไปหมด

“ก็ถ้าพี่เพลินอยากอยู่ดู ก็ได้นะครับ” เขายกยิ้มมุมปาก ก่อนจะประกบปากกับธันวาอย่างเร่าร้อนเหมือนตอนอยู่หน้าผับวันนั้น เพลินกำหมัดแน่น สู้ไม่ถอย

“แค่นี้พี่ไม่สนใจหรอก มุกเดิมๆ พี่ไม่เชื่อว่านูคบกับมัน ไม่เห็นมันจะดูเหมือนพวกเก้งกวางก่อนหน้านี้เลย”

ธนูขมวดคิ้วฉับ ผละริมฝีปากออกจากธันวาที่เข่าอ่อนแทบทรุด ต้องกอดคอธนูไว้แน่นเพื่อพยุงตัวเองไว้

“งั้นจะอยู่ดูผมเอากันตรงนี้เลยก็ได้” พูดจบธนูก็เอ่ยขอโทษธันวาข้างหูเบาๆ ก่อนจะผลักร่างของธันวาไปติดผนังห้องแล้วตะโบมจูบทั้งที่ปาก คอ ใบหู แถมยังล้วงมือเข้าใต้กางเกงแบบหลอกๆ จนธันวาอยากร้องดังๆ แต่ร้องไม่ออก เพราะรู้ว่าต้องทำให้เพลินยอมออกไปจากห้อง เลยยอมๆ ไปก่อน

หญิงสาวเริ่มหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เธอกำหมัดแน่น ส่งเสียงกรี้ดก้องไปทั่วห้องเก็บเสียงของธนู ก่อนจะเปิดประตูเดินปึงปังออกไป

“ขะ เขาไปแล้วมึง” ธันวาถอนหายใจ ชะเง้อคอมองข้ามไหล่ร่างสูงตรงหน้ามองพี่เพลินที่ลับสายตาไปแล้ว ก่อนที่ประตูจะปิดเองอัตโนมัติ เมื่อกี้ทุกอย่างฉุกละหุกมาก จนลืมความเจ็บที่คอไปเลย พอนึกขึ้นได้อีกที ก็เหมือนจะเจ็บๆ จริงๆ พอธนูปล่อยมือ ธันวาก็รีบวิ่งไปที่กระจกหน้าตู้เสื้อผ้าทันที

“อะ อะ อะ ไอ้เหี้ยนู!!! มึงกัดคอกูจริงนี่หว่า ฮือออ ไอ้เหี้ย มันเป็นรอย” ธันวาโวยวาย อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ธนูเดินมาใกล้ๆ ก้มมองรอยดูดแดงๆ ที่คอของธันวาอย่างพึงพอใจ

“แบบนี้พี่เพลินจะได้รู้ไง ว่าผมกับคุณมีอะไรกันจริงๆ”

“แผนสูง! กูเจ็บนะเนี่ย” อดทุบไหล่ร่างสูงไม่ได้เลย น่าโมโหสุดๆ พอเริ่มจะทำใจได้ เสียงกระซิบเบาๆ ข้างหูก็ทำเอาควันออกหูอีกรอบ

“แต่ผมไม่ได้กัดนะ เขาเรียกว่าดูด”

***

เช้าวันต่อมา ธนูหาเสื้อนักศึกษามาเตรียมไว้ให้ธันวาเรียบร้อย แม้ไซส์อาจจะไม่ค่อยพอดีมาก แต่ก็ดีกว่าไม่มีชุดเปลี่ยน แต่พอเห็นธันวาจะติดกระดุมที่คอเสื้อ ธนูก็รีบมาปัดมือออก

“ไม่ได้ๆ ต้องเปิดให้เห็นรอยสิครับ”

“กูอายมั้ยล่ะ โว้ย” ธันวาเถียงหน้าแดงหน้าดำ

“แค่ตอนอยู่บ้านนี่แหละ เดี๋ยวตอนอยู่มอค่อยเอาเสื้อกันหนาวใส่ปิดไว้” พูดไป มือก็ช่วยจับให้ปกเสื้อมันเปิดๆ จะได้เห็นรอยดูดชัดๆ

“กูไม่มีเสื้อแบบปิดคอ”

“เดี๋ยวผมเอาให้ อยากได้สีอะไรล่ะครับ”

“สีน้ำตาล”

แล้วธนูก็เปิดตู้เสื้อผ้าสีดำขนาด 5 ประตูที่มีเสื้อผ้าสีเข้มๆ อัดแน่นอยู่ข้างในออก รื้อหาจนเจอเสื้อกันหนาวแบบปิดคอสีน้ำตาลเข้ม หยิบออกมายื่นให้ธันวาเก็บไว้ใส่ ธันวาก็รับมาถือไว้ด้วยสีหน้ายุ่งๆ แต่ก็ไม่ลืมขอบอกขอบใจ

ตอนลงไปกินข้าวข้างล่าง ทุกคนต่างก็มองรอยที่คอของธันวาเป็นตาเดียว คนพ่อออกแนวแปลกใจ ยิ้มๆ นิดหน่อย ส่วนสองแม่ลูกถลึงตาใส่เหมือนจะกินหัวให้ได้ ชีวิตของธันวาช่างอึดอัดจนอยากจะร้องไห้ ได้แต่นั่งตัวลีบกินข้าวต้มไปเงียบๆ กว่าจะได้ขึ้นรถไปเรียน

***

หุๆ คนพี่ฉลาดร้ายนะ คนน้องออกแนวแรงแต่โง่ ทำใจคับ
สู้ต่อไปน้องอ๋องของพรี่

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
https://www.youtube.com/watch?v=6hzrDeceEKc

เพลงประกอบ 55 เป็นเพลงที่เราชอบร้องให้แฟนฟัง แม้นางจะหนวกหูก็ตาม

10
And all the roads we have to walk are winding
And all the lights that lead us there are blinding
There are many things that I
Would like to say to you
But I don't know how
ถนนทุกสายที่เราต้องเดินไปข้างหน้ามันช่างวกวน
และแสงสว่างที่จะนำทางเราก็เริ่มมืดดับลง
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉัน
อยากจะบอกกับเธอ
แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง

Because maybe
You're gonna be the one that saves me
And after all
You're my wonderwall
เพราะว่าบางที
เธออาจจะเป็นคนนั้นที่มาช่วยฉันเอาไว้
และในที่สุด
เธอคือ 'กำแพงวิเศษ' ของฉัน


“หือ? เพลงอะไรวะ เพราะดี” ธันวาเหลือบตาลงมองชื่อเพลงที่กำลังเล่นผ่านเครื่องเสียงในรถยนต์ ซึ่งเชื่อมต่อผ่านบลูทูธกับสมาร์ทโฟนของธนู ปกติธันวาไม่ค่อยฟังเพลงต่างประเทศ เพราะแปลไม่ค่อยออก

“Wonderwall ของ Oasis ครับ เพลงเก่าแล้วล่ะครับ แต่ผมชอบ ว่าจะเอาเล่นในงานเฟรชชี่ไนท์อาทิตย์หน้านี้” ธนูตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ อยู่กับธันวา เขายิ้มและหัวเราะบ่อยมากจนตัวเองก็ยังแปลกใจ

 “โอ๊ะ มอมึงมีงานเหรอ วันไหนๆ” ธันวาทำท่าสนอกสนใจ ตาเป็นประกายแวววับ

ธนูอมยิ้ม “วันที่ 23-24 ครับ วงผมขึ้นเล่น 23 ตอน 2 ทุ่มครึ่ง แต่คิดว่าน่าจะเลทกว่านั้นนิดหน่อย”

“เดี๋ยวกูชวนพวกไอ้ศรไปดูดีกว่า เป้ยก็ขึ้นป่ะ ไอ้ศรน่าจะรู้จากเป้ยแล้วมั้ง” ธันวาทำหน้าครุ่นคิด ช่วงนี้คันศรตามจีบสาวนักร้องผมทองคนนั้น คงรู้เรื่องงานเฟรชชี่ไนท์อะไรนี่แล้ว

“วงเป้ยรู้สึกจะวันที่ 24 นะครับ”

“งี้ก็ต้องไป 2 วันเลยดิวะ แล้ว 24 มึงก็จะอยู่ดูมั้ยอ่ะ”

“ก็คิดว่าจะดูวงเพื่อนๆ ด้วยนะครับ อ้อ ผมมีเพลงใหม่ที่แต่งเองด้วย คุณลองเอาไปฟังมั้ย จะได้มีคนช่วยร้องตาม” ธนูกดเลือกเพลงที่เพิ่งแต่งกับเพื่อนในวงส่งบลูทูธไปให้ธันวา

เป็นเพลงที่ค่อนข้างหนักพอสมควร เนื้อหาแรงนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าเล่นดนตรีแนวฮาร์ดร็อคขนาดนี้ เสียงกลองนี่เด่นเป็นพิเศษ ธันวาคิดพลางเหลือบมองไม้กลองตรงเบาะหลัง

“ไม่เคยเห็นมึงเวลาเล่นดนตรีเลย นึกภาพไม่ค่อยออก”

“เดี๋ยวก็ได้เห็นครับ”

“นอกจากกลองกับไวโอลินนี่แล้ว เล่นอย่างอื่นอีกมั้ยอ่ะ พวกเด็กดุนี่ต้องเล่นเป็นหลายอย่างเลยป่ะ”

“ก็แล้วแต่สาขาที่เรียนนะครับ ของผมก็เน้นพวกดนตรีคลาสสิค แต่เวลาทำวงก็เล่นกลองกับกีต้าร์ได้” ธนูว่า ธันวาก็นึกภาพตาม เพราะเห็นมีกีต้าร์โปร่งในห้องนอนของธนูที่บ้านของคันศรตัวหนึ่ง ที่ห้องนั่งเล่นของบ้านพ่อก็มีเปียโน

“เล่นเปียโนด้วยเปล่า”

“ครับ เล่นได้ เชลโล เบส ทรัมเปต ผมก็เล่นได้ ดนตรีไทยก็เล่นพอไหว แต่ที่ถนัดๆ คงเป็นกลองแหละครับ”

“ดูเก่งจัง กูนี่เล่นดนตรีไม่เป็นสักอย่างเลย กีฬาก็ไม่ค่อยเล่น ไม่มีงานอดิเรกอะไรเลยว่ะ” ธันวากอดอก คิดถึงชีวิตที่ผ่านๆ มา มีแต่เรียนหนักตลอด เพื่อสอบเข้า พอเข้าคณะที่อยากเข้าได้แล้ว ก็ยังเรียนหนักอีก เพื่อจะได้คว้าเกียรตินิยม เพราะแบบนั้นป๊าม๊าจะดีใจ ที่ลูกชายคนโตสร้างผลงานโดดเด่น เป็นที่เชิดหน้าชูตา เอาเรื่องเรียนของลูกไปคุยให้เพื่อนบ้านฟังได้

“ไม่มีอะไรที่อยากลองทำมั่งเลยเหรอครับ”

“ก็...อยากลองเล่นดนตรีเหมือนกันนะ ดีดกีต้าร์จีบสาวแบบพวกไอ้แทนอ่ะ แต่ลองละเจ็บนิ้วว่ะ ฮ่าๆ”

“ขอมือหน่อยครับ”

“ห๊ะ?” ธันวาหันควับไปมองคนที่จู่ๆ ก็พูดแบบนั้นด้วยหน้านิ่งๆ อย่างงุนงง แต่พอเห็นมือซ้ายที่ยื่นมาให้ แสดงว่าไม่ได้หูฝาด เลยส่งมือขวาไปให้จับ ไม่ค่อยเขินมากแล้ว เพราะหลังๆ จับมือกันบ่อยจนเริ่มชิน

“มือนุ่มๆ แบบนี้ เล่นกีต้าร์ก็จะด้าน เสียดายแย่ครับ คุณจับนิ้วผมสิ”

ธันวาลองลูบๆ ปลายนิ้วของธนูอย่างตั้งใจ “อือ ด้านจริงๆ ด้วยอ่ะ”

“นิ้วคุณเรียวสวยดี น่าจะลองเล่นเปียโนนะครับ” ธนูลูบนิ้วกับมือของธันวากลับบ้าง

“จะหลอกให้ไปที่บ้านบ่อยๆ ป่ะเนี่ย” ธันวาทำหน้ารู้ทัน จนธนูอดหัวเราะไม่ได้อีกแล้ว

“จะคิดแบบนั้นก็ได้”

“กูชักจะรู้นิสัยจริงๆ ของมึงละ เห็นเก๊กนิ่งตลอด แต่จริงๆ แม่งโครต...” ม่อ ธันวาขอละคำนี้ไว้ในใจ

ธนูเลิกคิ้ว เหลือบมองแว้บๆ แต่ต้องรีบมองถนนต่อ เพราะยังขับรถอยู่ แต่พอถามไป ธันวาก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ พลางดึงมือกลับไป

“โครตอะไรครับ?”

“เปล่า ไม่มีอะไร”

***

ธนูลงจากรถฟอร์จูนเนอร์สีขาว พลางโบกมือส่งยิ้มให้คนที่เขยิบไปนั่งที่คนขับแทนตนที่ลงมาแล้ว ก่อนจะยืนมองส่งรถของธันวาที่ขับออกไป แล้วค่อยเดินมาขึ้นตึกเรียน

“อารมณ์ดีนะมึง เมื่อคืนได้ข่าวว่าพาไอ้ธันไปบ้านเหรอวะ” นักข่าวตัวพ่ออย่างพีทรีบดิ่งมาสัมภาษณ์ทันที “อย่าบอกนะว่ามึงกับมัน...”

“...” ธนูทำหน้านิ่ง นั่งลงเตรียมเคาะไม้กลองเล่นเหมือนเดิม

“อะไรวะ อะไร เด็กใหม่ไอ้นู คนที่มารับมันวันนั้นป่ะ รถสีขาว กูจำได้” สาวน้อยมีนาที่นานๆ ได้มีบททีรีบโผล่หน้ามา “มึงนี่เลือกแต่คนหน้าตาดีตลอด แต่กูว่าคนนี้ไม่หล่อเท่าคนก่อน”

“ไม่หล่อแต่น่ารักครับเพื่อน ไอ้นูการันตีเอง กูจำได้ มึงอย่าเถียง” พีทรีบชี้นิ้วให้ธนูหุบปาก

“เพื่อนน้องชายมันด้วยนะเว้ย” เสียงเป้ย คนที่คันศรตามจีบดังลอยมาจากอีกมุม

“เหยยย จริงเด่ะ นูมึงเล่ามาเลย ไปได้กันตอนไหน จำได้ว่าเจอกันไม่กี่วันก็ตามติดกันเป็นเงาเลยเหรอวะ ไอ้หนุ่ยบอก” เปปเปอร์ เพื่อนที่ไม่ค่อยได้ไปร้านเหล้าด้วย เพราะต้องทำงานพิเศษ รี่เข้ามาสมทบ แถมตบด้วยโบ้ยเพื่อนข้างๆ ไปอีก

“เอาจริงๆ กลุ่มไอ้ศร แม่งไม่เหมือนแนวมึงสักคนเลยนะเว้ย ไปตกมาได้ไง คนนี้แมนแน่ๆ กูดูออก มึงจะจีบมัน หรือมันเบนมาจีบมึงวะ” พีทสงสัยจนคิ้วขมวดปม

“ก็แค่มีเรื่องให้ต้องช่วยเหลือกันนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ธนูถอนหายใจ

“ไม่มีจริงเหรอวะ ปกติมึงไม่โบกมือยิ้มแย้มกับใครแบบเมื่อกี้ ขนาดแฟนเก่ามึง มึงยังไม่มุ้งมิ้งกับเขาแบบนี้เลย” ด้วยความที่คบกันมานาน ไม่มีอะไรรอดสายตาเหยี่ยวข่าวพีท พงศกร ไปได้

แต่สุดท้ายเพื่อนๆ ก็ยังคงไม่ได้คำตอบใดๆ จากคนปากแข็งอย่างธนู ทวีเทพธาดา

ทางด้านธันวา เพิ่งมาถึงตึกคณะวิศวกรรม ที่มหาวิทยาลัยของตัวเอง และไม่ลืมที่จะสวมเสื้อกันหนาวสีน้ำตาลเข้มรูดซิปปิดคอมิดชิดก่อนลงจากรถ

“มึงหนาวอะไรขนาดนั้นไอ้ธัน” ไอ้คนหน้าเหมือน และสันดานก็น่าจะคล้ายกันในบางส่วน พอโผล่มา ก็ทำให้ธันวาหงุดหงิดแปลกๆ เหมือนเห็นหน้าธนูเมื่อคืน

“ร้อนจะตายห่าแล้วเนี่ย” แทนทัพขมวดคิ้วมองเพื่อน ต่อให้เพิ่งลงจากรถ ก็ไม่น่าหนาวอะไรขนาดนี้

“เออ เรื่องของกู” ธันวานิ่วหน้าใส่เพื่อนๆ ที่สงสัยอะไรไม่เข้าเรื่อง เริ่มร้อนๆ จนอยากจะถอดเสื้อกันหนาว แต่ก็ถอดไม่ได้ กว่าจะเข้าห้องเรียนก็อีกครึ่งชั่วโมง เหงื่อแตกตายห่าแน่ๆ ไอ้ธัน

“อาทิตย์หน้าพวกมึงไปมอพี่กูป่ะ เป้ยบอกมีงานดนตรี มีของขายด้วย” คันศรเปลี่ยนเรื่อง เพราะขี้เกียจยุ่งกับการแต่งตัวของธันวาแล้ว จากนั้นก็คุยกันเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อย

แต่ก่อนจะถึงงานเฟรชชี่ไนท์ที่พวกเขารอคอย ก็ต้องมาเจอด่านวันอาทิตย์โหดหินก่อน พ่อของธนูบอกว่าให้ไปเจอที่ร้านอากงเลย วันนั้นธนูเลยเอารถไปใช้ ปล่อยคันศรนอนเล่นที่บ้านไป

มาถึงร้านอาหารอากง ซึ่งเป็นชื่อร้านแบบง่ายๆ พ่อก็นั่งรออยู่ที่ชั้น 2 ของร้าน ในห้อง VIP แล้ว โดยมีครอบครัวของอากงอยู่กันพร้อมหน้า ทั้งอากง อาม่า พ่อเจียง อาม๊าของธันวา และน้องสาวกับน้องชาย ล้อมรอบโต๊ะทรงกลมหมุนได้ขนาดใหญ่ อาหารกำลังทยอยมาเสิร์ฟจนเกือบเต็มโต๊ะ

“สวัสดีครับ” ธนูยกมือไหว้ทุกคนในที่นั้น ยกเว้นพ่อของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงข้างๆ พ่อ

“นี่ลูกชายมึงเหรอวะไอ้พัน หล่อเหมือนมึงตอนหนุ่มๆ เป๊ะ” เจียง พ่อของธันวาเอ่ยขึ้นก่อน ธนูยิ้มนิดๆ รับคำชมนั้น

“ทำไมไม่เคยพามาเลยล่ะอาพัน” อากงสงสัย

“มันไม่ค่อยชอบไปไหนมาไหนกับผมหรอกครับป๊า” พันตอบ พลางเหล่มองยิ้มๆ ให้ลูกชาย ที่ทำหน้าเจื่อนๆ

“ว่าแต่ ลูกชายคนโตมึงล่ะเจียง ไม่ลงมาเหรอ”

“สงสัยจะแต่งหล่ออยู่มั้ง ตั้งแต่เข้ามหาลัย ก็ชอบเที่ยวชอบแต่งตัวมากขึ้น อั๊วะก็ห่วงๆ แต่ยังไงผลการเรียนมันก็ดีมากอยู่” อาม่าว่า

“เฮียนี่ว่าที่เกียรตินิยมเลยนะลุงพัน” น้องชายของธันวารีบโม้แทนพี่ชาย “แล้วพี่เรียนอะไรครับ”

เหมือนจะถามธนู เขากระแอมนิดๆ “เอ่อ ดุริยางค์ครับ เล่นดนตรี”

“เอ๋? อาธนูเล่นดนตรีเหรอ แบบนั้นจบไปจะทำงานอะไรล่ะ” อาม่าถามบ้าง

“ก็เป็นนักดนตรีครับ ผมชอบแต่งเพลง” ธนูตอบหน้านิ่งเล็กน้อย คนสูงอายุสมัยก่อนมักจะคิดว่าการเล่นดนตรีมันทำมาหากินยาก แต่เดี๋ยวนี้ก็มีช่องทางในยูทูปเยอะแยะ เล่นตามผับตามบาร์ก็พอไหวอยู่ และเขาเน้นงานด้านโปรดิวซ์เป็นหลัก

“โหววว เจ๋งอ่ะพี่ พี่มีคลิปให้ดูมั้ย มีวงมั้ย หล่อๆ อย่างพี่น่าจะดังนะ แล้วพี่เล่นอะไรอ่ะครับ” น้องชายของธันวา รู้สึกว่าจะชื่อ เมษ ดูท่าทางสนใจเรื่องของธนูเป็นพิเศษกว่าคนอื่น เจ้าหนูวัย 16 ปี รีบลุกมายืนข้างๆ ธนู เพื่อจะดูคลิปที่ธนูเปิดให้

“เฮ้ยยยย เมย์ๆ มาดูดิ วงพี่เขาโครตเท่เลยอ่ะ คนติดตามหลักล้านเลยเว้ย” เด็กสมัยใหม่จะค่อนข้างตื่นเต้นกับเรื่องพวกนี้มากกว่า เมย์ น้องสาววัย 18 ปีของธันวาลุกมาขอดูบ้าง

“พี่ธนู แอดไลน์ๆๆๆ ส่งให้ผมที จะไปกดติดตาม พี่ธนูแม่งเล่นกลองอ่ะ โครตเท่เลย”

“มันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเรอะอาเมษ” อาม่าชักอยากดูบ้าง จนกลายเป็นว่าต้องส่งเข้ามือถือของเมษแล้วก็เวียนกันดูรอบวง

พ่อพันมองหน้าลูกชายอย่างปลาบปลื้มนิดหน่อย ซึ่งธนูก็แค่ยักคิ้วใส่พ่อ ว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปเยอะมากแล้ว แม้วงของเขาจะไม่ได้ดังระดับประเทศหรือระดับโลก แต่หลังจากนี้เขาจะพยายามให้มันค่อยๆ เติบโตในวงการ

“พี่ธนูเป็นหัวหน้าวงเองด้วยอ่ะ เจ๋งว่ะเมย์” เมษเขย่าแขนพี่สาวรัวๆ ติดดูคลิปของธนูไม่เป็นอันกินกันแล้วงานนี้

“เท่สุดๆ เลยค่ะพี่ธนู แต่เมย์ชอบนักร้องอ่ะ พี่เขาหล่อจัง อยากรู้จักเลย”

“ฮ่าๆ มันชื่อบีมครับ เสียดายมันมีแฟนแล้ว”

“โห เสียดายจริงค่ะ” เมย์ทำหน้าเศร้า คุยกันสนุกสนานสักพัก พี่ชายคนโตของบ้านก็เดินลงมาจากชั้นสามพอดี ได้ยินเสียงดังลั่นออกมาจากในห้อง VIP ธันวาขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

“อ้าว มาแล้วๆ อาธัน มานั่งข้างๆ อาธนูเลย” เพราะเหลือที่นั่งสุดท้ายพอดี ธันวายกมือไหว้พ่อพันแล้วนั่งลงตามที่อากงบอก

“ไม่เคยเจอกันเลยใช่มั้ย นี่ลูกคนโตกูเองแหละ หาตัวจับยากนัก กว่าจะอยู่บ้านได้” เจียงว่า

“จริงๆ ก็เจอกันแล้วล่ะ เมื่อไม่นานนี้เอง”

ธันวากลืนน้ำลายอึกใหญ่ เหล่มองธนูที่ยังยิ้มแย้มคุยกับพวกน้องๆ ข้ามโต๊ะ ทำเหมือนไม่สนใจกันได้นะไอ้นู ธันวาคิดอย่างหงุดหงิด เผลอเอาเท้าเตะขาของธนู จนคนโดนเตะหันไปยิ้มหวานให้ แทนที่จะโกรธ

“เจอกันแล้ว ยังไงวะมึง” เจียงมุ่นคิ้ว มองหน้าลูกชายคนโตสลับกับเพื่อนเก่าอย่าง งงๆ พอมองไปก็เห็นจังหวะที่ธนูกำลังยิ้มหวานให้ลูกตัวเองพอดี มีสะดุดเล็กน้อย เพราะแววตาของธนูมันแปลกๆ

“ก็...”

“ผมเป็นเพื่อนกันน่ะครับ พอดีพาธันไปที่บ้านเมื่อวันก่อน แล้วเจอพ่อด้วย” ธนูรีบแทรกขึ้นก่อนที่พ่อจะได้พูด ในเมื่อใช้คำว่าเพื่อนไปแล้วก็จบแค่นั้น พ่อพันยักไหล่เบาๆ เพราะเข้าใจว่าธันวาคงไม่อยากให้ที่บ้านรู้

“ใช่ๆ เจอกันที่บ้านผมน่ะครับป๊า ลูกๆ พวกเราสนิทกันดีมากเลยล่ะ รักกันสุดๆ” พ่อพันหันไปคุยกับอากง

“พ่อ” ธนูปรามพ่อตัวเองเบาๆ น้ำเสียงขุ่น พ่อพันเลยเปลี่ยนเรื่องคุย

“แต่เรียนคนละคณะนี่นา” อาม๊า แม่ของธันวานึกขึ้นได้ เพราะลูกชายเรียนวิศวะ

“คนละมหาลัยด้วยนะ” พ่อพันสมทบไปอีก

ธันวาเริ่มหน้าเสีย เพรารู้ว่าจะต้องโดนซักเรื่องที่ว่าเจอกันได้ยังไง รู้จักกันตอนไหน มือของธันวากำแน่นอยู่บนหน้าตัก และธนูก็สังเกตเห็น เลยเอื้อมมือไปจับไว้ ส่งสายตาบอกว่า ไม่เป็นไร

“อ้าว แล้วไปรู้จักกันยังไง”

“นั่นสิ พ่อก็อยากรู้เหมือนกัน วันก่อนลืมถามไป” พ่อพันหันมามองทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม

ธนูเป็นคนตอบ “ธันเป็นเพื่อนกับน้องชายของผมครับ เลยรู้จักกัน”

พ่อพันนิ่งอึ้ง เรียวคิ้วเริ่มขมวด

“เอ่อ ใช่ๆ กง ป๊า นี่พี่ชายไอ้ศรไง หน้าเหมือนกันออก ดูสิ”

“เอ๋?” อาม๊าเหมือนเพิ่งนึกได้ “ก็ว่าคุ้นๆ”

“นี่พี่ชายอาศรเรอะ” อาม่าตกใจบ้าง คันศรเคยมาที่บ้านนานๆ ครั้ง เวลามีงานกลุ่มกัน เลยพอจะจำหน้าค่าตาได้ เพราะเด็กหนุ่มคนนั้นอัธยาศัยดีกับผู้ใหญ่

“เอ๊ะ งั้นอาศรก็...” อาม่ายกนิ้วค้าง และธนูก็คลี่ยิ้มอย่างผู้ชนะ

“ใช่ครับ คันศรเป็นน้องชายฝาแฝดของผมเอง”

***

เอาแหล่วๆ

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
รอครับ

ออฟไลน์ Tanthai23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
แฝดพี่ดูหล่อสุขุมกว่า แต่แฝดน้องออกจะกวนๆและทึมหน่อยๆ (โมโหแทนอ่องหน่อยๆนะเรานะ ฮาๆ)
 :beat: อันนี้ให้เพลิน เขาบอกไม่กินชะนีก็จะเอาเขาอีก
 o13 รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
11
“แกไปเจอศรตอนไหน ทำไมไม่บอกพ่อ”

พอกลับมาถึงบ้าน พ่อก็เริ่มทันที ตอนอยู่บ้านอากงยังเกรงใจผู้ใหญ่อยู่ เลยไม่กล้าถามอะไร แม่เลี้ยงกับเพลินก็ออกมาต้อนรับ แต่เห็นบรรยากาศอึมครึมเลยไม่กล้าเข้ามาทัก

“พ่อเคยสนใจด้วยเหรอ ขนาดแม่ตายไปแล้วยังไม่เห็นสน” ธนูถอดรองเท้าจนแทบจะเขวี้ยง พอนึกถึงตอนที่ต้องไปยืนมองแม่ผ่านป้ายหลุมศพแล้วยิ่งเจ็บใจ ถ้าเขาไม่คิดจะตามหา ชาตินี้คงไม่มีวันได้เจอน้อง

“ไอ้นู แกจะโกรธเกลียดประชดแดกดันอะไรฉันนักหนา” เสียงของพ่อพันขุ่นมัวยิ่งขึ้น แต่เขาก็ไม่สนใจ ไม่รู้สึกอะไรเลย

“ผมไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียด แต่ผมประชดน่ะใช่”

“ธนู!” พ่อตวาดลั่น แต่เขาก็ไม่หลบสายตาเดือดดาลนั้น แถมยังพุ่งเข้าใส่ เพราะตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กอายุ 8 ขวบอีกแล้ว

“พ่อรู้สึกอะไรมั่งมั้ยล่ะ ที่แม่ตายไปแล้ว ผมไม่ได้เจอหน้าแม่เลยสักครั้งก่อนตาย ไม่ได้คุย ไม่ได้กอดไว้ พ่อเข้าใจความรู้สึกของไอ้ลูกคนนี้มั่งมั้ย!”

พ่อนิ่งเงียบ โต้ตอบอะไรไม่ได้

“แล้วพ่อก็ยังจะบังคับผม ให้ผมเป็นผู้ชายปกติ ก็ผมมันไม่ปกติไงวะ ผมเป็นเกย์ ผมชอบผู้ชาย ผมนอนกับผู้ชายด้วยกัน ผมไม่เอาผู้หญิง! เข้าใจผมสักที! หรือถ้าพ่อจะเกลียดลูกที่เป็นแบบนี้ ก็ปล่อยผมไป!”

“ไปพาศรมาหาฉันที ฉันอยากเจอ” พ่อลดเสียงลง พยายามจะให้ทุกอย่างเหมือนเดิม ทะเลาะกับธนูเรื่องนี้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ พอเห็นธันวา ก็พอจะยอมทำใจรับได้บ้าง เลยไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องเก่า

“พ่ออยากเจอน้อง หรือแค่อยากได้ทายาท เพราะผมเป็นเกย์ เลยจะให้น้องกลับมางั้นเหรอ! ถ้าผมไม่เป็นแบบนี้ พ่อก็คงไม่สนใจแม่กับน้องของผม”

“ธนู พ่อขอล่ะ พ่อแค่อยากเจอศร”

“หึ อยากเจอเอาป่านนี้เหรอ ไม่ต้องห่วงนะพ่อ น้องไม่ลำบากหรอก เพราะผมจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่พ่อให้ เลี้ยงน้องของผมเอง หรือพ่อจะให้ผมออกจากบ้าน ไปทำงานหาเงินเองก็ได้!” เขากัดฟันกรอด มือกำแน่น เพลินรีบเข้ามาหา

“ธนู ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ ขอโทษคุณพ่อก่อน อย่าใจร้อนแบบนี้สิ”

ธนูขมวดคิ้วฉับ สะบัดมือของหล่อนออกจนเพลินกระเด็นไปหาแม่เลี้ยง พ่อตกใจ หันมามองเขาตาขวาง

“โมโหก็ลงกับฉัน อย่าไปทำคนอื่น พี่เขาก็แค่ห่วงแก”

“ห่วง? พ่อคิดว่านั่นคือความเป็นห่วงแบบพี่น้องเหรอ” ธนูเหมือนจะยิ้มอย่างเย้ยหยัน ใบหน้านั้นเหยเกเล็กน้อย ก่อนที่เสียงสบถจะดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมนิ้วที่ชี้ใส่หน้าเพลิน ทำเอาสองแม่ลูกสั่นกลัวด้วยความตกใจ เพราะดวงตาของธนูบ่งบอกว่าเอาจริง

“กล้าเข้ามาแตะผมอีก ครั้งหน้าผมจะกระทืบให้ตาย”

“ไอ้นู! ธนู! ไอ้ลูกชั่วนี่! โธ่เว้ย”

***

ธนูกวาดข้าวของเกือบทั้งหมดแล้วเอาขึ้นรถมาเซราติสีดำของเขา ก่อนจะบึ่งรถออกไปจากบ้านหลังนั้น และคราวนี้คงไม่กลับมาอีกนาน

ตอนที่ได้ข่าวว่าแม่ตายไปแล้ว หัวใจของเขามันแตกสลาย จนไม่เหลือชิ้นดี กว่าจะทำใจได้และไปพบหน้าคันศรก็ใช้เวลาเกือบเดือน ต้องปล่อยให้น้องจมทุกข์อยู่คนเดียว

ธนูอยากจับมือของแม่เหมือนตอนเด็กๆ อยากเห็นแม่เป็นครั้งสุดท้าย แต่ทำได้แค่ยืนมองรูปของแม่ตรงหน้าหลุมศพ กับรูปถ่ายที่อยู่ในบ้านของคันศร เขาไม่อาจพูดคุยหรือกอดแม่ได้อีกแล้ว มันเจ็บปวดจนไม่มีที่สิ้นสุด เจ็บลึกๆ อยู่ข้างในมาตลอด แม้จะทำตัวเหมือนปกติดี แต่ความทรมานนี้มันไม่เคยหายไป คันศรที่อยู่กับแม่มานานก็คงไม่ต่าง บางทีอาจจะเจ็บปวดยิ่งกว่าเขาหลายเท่าด้วยซ้ำ แต่น้องก็พยายามเก็บกลั้นมันเอาไว้ น้องยกห้องตัวเองให้เขา เพราะอยากนอนในห้องของแม่ เพื่อให้ได้สูดกลิ่นของแม่ บางครั้งเขาแอบเข้าไปดู ก็เห็นคันศรนอนกอดเสื้อผ้าของแม่แล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น

แต่ชีวิตพวกเขาต้องไปต่อ ไม่ว่าจะคิดถึงคนที่ตายไปแล้วมากแค่ไหนก็ตาม

“นู กลับมาแล้วเหรอวะ ซื้อไรมาให้กินป่ะเนี่ย” พอเห็นพี่ชายหอบข้าวของลงจากรถ คันศรก็รีบใส่รองเท้าแตะแล้ววิ่งออกไปช่วยหิ้ว “ขนไรมาเยอะแยะเนี่ย”

“เดี๋ยวสั่งอะไรมากินแล้วกัน เอามือถือไปกดสั่งเอาเลย” ธนูหรุบตาลงมองที่กระเป๋ากางเกง คันศรมองตามแล้วก็ล้วงสมาร์ทโฟนออกมาแสกนหน้าของพี่ชายเพื่อเปิดเครื่อง แล้วเปิดเข้าแอพสีเขียวเพื่อสั่งอาหาร

“เคๆ กินไรดีน้า มึงเอาไรอ่ะ” คันศรจ้องสมาร์ทโฟน เลือกร้านไม่ถูก

“อยากกินอะไรก็สั่งเลย เอาที่นายอยากกิน ฉันกินอะไรก็ได้” ธนูว่าพลางวางข้าวของที่ขนมาไว้แถวๆ ข้างบันได ส่วนมากเป็นพวกเสื้อผ้ากับของใช้เล็กๆ น้อยๆ ที่ทิ้งไว้บ้านนั้น

“งั้นเอาร้านนี้ละกัน มึงชอบกินแต่ของจืดๆ กินอาหารญี่ปุ่นมั่งก็ดี” คันศรว่าพลางนั่งลงบนโซฟา พอกดเลือกเมนูที่จะกินเสร็จ ก็เงยหน้ามองพี่ชายที่มานั่งข้างๆ แล้วเอาหัวมาพิงที่ไหล่ ท่าทางของพี่เหมือนจะอ้อนแปลกๆ

“เป็นไรของมึง” คันศรหัวเราะ แต่พอได้ยินที่พี่พูด ก็เงียบไป เพราะอยากตั้งใจฟัง

“ขอโทษนะศร ที่ปล่อยให้อยู่คนเดียวตั้งนาน” ธนูเอ่ยเสียงเครือ พยายามกัดริมฝีปากที่สั่นไว้ แล้วพูดต่อ “ขอโทษที่ปล่อยให้นายโดนไอ้พ่อเลี้ยงนั่นรังแก”

“มึงรู้เหรอวะ” คันศรหรุบตาลง นึกถึงตอนเด็กๆ ที่โดนอัดเหมือนกระสอบทรายแล้วก็แค้นขึ้นมา

“อือ เพิ่งรู้ตอนสืบเรื่องพวกนายแหละ ขอโทษจริงๆ ที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”

“บ้าน่า มึงจะมาขอโทษทำไม ถึงมึงอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก มีหวังโดนไอ้เหี้ยนั่นตีทั้งคู่” คันศรหัวเราะเบาๆ “แต่พอกูโตขึ้น มันก็ไม่กล้ากับกูแล้ว กูกระทืบแม่งกลับอ่ะ”

ธนูซุกหน้าลงกับไหล่หนาของน้อง เหมือนน้ำตาจะไหล เพราะคันศรรู้สึกอุ่นๆ จนต้องนิ่วหน้า ไม่คิดว่าพี่ชายจะมีมุมที่อ่อนแอมากขนาดนี้ คันศรถอนหายใจเบาๆ ยกแขนขึ้นโอบบ่าของพี่ไว้ แล้วคอยลูบหัวให้

***

ในที่สุด งานเฟรชชี่ไนท์ก็มาถึง พวกคันศรแบ่งกันไปรถของแทนทัพกับรถของธันวา รวมๆ แล้วประมาณสิบคน ไปถึงที่งาน คันศรก็เข้าไปในหาพี่ที่หลังเวทีก่อน หน้าเหมือนกันแบบไม่ต้องใช้บัตรผ่าน

“ตื่นเต้นป่ะวะ” คันศรแกล้งแซวพี่ชายที่กำลังยืนเคาะไม้กลอง เหมือนเรียกสมาธิ

“นิดหน่อยมั้ง” ธนูตอบตามตรง พลางยักไหล่นิดๆ

“อยากได้กำลังใจมั้ยล่ะ” คนน้องเลิกคิ้วกวนๆ ธนูเหลือบมองแล้วอมยิ้ม

“ได้ก็ดี”

คันศรเอานิ้วถูจมูก อย่างขัดๆ เขินๆ “งั้น...กูคอยดูมึงอยู่หน้าเวทีนะ ถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็มองหน้ากู คงเหมือนมองตัวเองในกระจก มึงจะได้หายตื่นเต้นไง”

แล้วก็คว้าพี่ชายมากอดไว้หนักๆ ตบหลังดังปุๆ “กูนี่แหละ กำลังใจของมึง”

ธนูคลี่ยิ้มทั้งใบหน้า พลางหลับตาลงรับกำลังใจจากน้องชายให้เต็มที่

คันศรเดินกลับออกมาจากหลังเวที ไปสมทบกับเพื่อนๆ ที่จองที่ยืนไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อยู่หน้าเวที เกือบตรงกลาง เพราะต้องเยื้องมาหน่อย เพื่อจะได้เห็นมือกลองชัดๆ

ธันวาเองก็ยืนเกาะไหล่คันศรอยู่ รอดูอย่างตื่นเต้น เพราะจะได้เห็นการรัวกลองสดๆ ของธนูเป็นครั้งแรก

“มาแล้วๆ” ระหว่างที่พิธีกรกำลังจะประกาศวงต่อไป ธันวาก็เป็นคนแรกที่เห็นธนูเดินออกมานั่งที่หลังกลอง ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่ง ทำให้ไม่โดนกลองบัง มองเห็นใบหน้านิ่งๆ ของธนูได้อย่างชัดเจน

“กรี้ด พี่ธนู!” “พี่บีม!” “โอ๊ตอปป้า!” เสียงเรียกชื่อคนในวงของธนูดังลั่นอยู่ข้างหูของพวกเขา เด็กผู้หญิงมาดูเยอะมาก ทั้งที่วงนี้เล่นเพลงค่อนข้างแรง สงสัยเพราะอิทธิพลหน้าหล่อๆ ของเดือนคณะดุริยางค์อย่างบีม ที่เป็นนักร้องนำ

“พวกมันดังขนาดนี้เลยเหรอวะ” ธันวามองรอบข้างอย่างประหลาดใจ

“ไม่รู้ดิ แต่ก็เห็นคนตามเยอะอยู่ แค่ในมอมันก็หมดทั้งมอแล้วมั้ง” คันศรหัวเราะ โบกมือให้พี่ชายไปด้วย ธนูก็แค่พยักหน้าให้ ก่อนจะควงไม้กลองโชว์ เรียกเสียงกรี้ดกระหึ่มสนามบอล ด้วยมาดนิ่งๆ ของมือกลองผู้ไม่เคยยิ้ม แต่อาจจะยกเว้นให้บางคน ที่เขาจะยิ้มให้

บทเพลงแรกเป็นเพลงคัฟเวอร์ Wonderwall ของ Oasis เพลงที่ธนูเคยเปิดให้ธันวาฟังครั้งก่อน สายตาของมือกลองผู้ไม่เคยยิ้ม ทอดมองลงมาแถวๆ ที่พวกคันศรยืนอยู่ กับรอยยิ้มบางๆ ที่ส่งให้ใครบางคน จนสาวๆ กรี้ดลั่นไม่หยุด เพราะได้เห็นธนูยิ้ม

คันศรมองพี่ชาย แล้วก็เหลือบมองคนข้างๆ ที่กำลังยิ้มจนหูแทบฉีกอย่างงุนงง

“มันมองมึงแล้วยิ้มเหรอวะ” คันศรนึกสงสัย แต่ธันวาก็ไม่ได้ตอบอะไร เพราะไม่ค่อยได้ยินที่พูด ไอ้ที่พี่ยิ้มให้น้องน่ะไม่แปลก แต่ขนาดคันศรเป็นน้องแท้ๆ ยังเพิ่งได้รับรอยยิ้มสดใสจากพี่ชายเมื่อไม่นานนี้เอง แล้วนี่...ทำไมเพื่อนของเขาถึงได้ไปง่ายดายขนาดนี้

“...แต่เขาสนิทกันอ่ะ เพิ่งรู้จักกันไม่ใช่เหรอ ทำไมสนิทกันขนาดมาส่งที่บ้าน ไปซื้อของด้วยกันอีก”

คำถามแปลกๆ ของอ๋องผุดขึ้นมาในหัวของคันศร เรื่องนี้แม่งต้องมีเงื่อนงำ!

วงของธนูเล่นจบแล้ว มีทั้งเพลงของตัวเองและเพลงที่คัฟเวอร์ของคนอื่น น่าเสียดายที่เวลาไม่พอ แฟนๆ เลยอดได้ฟังต่อ แม้จะมีเสียงร้องตะโกนให้เล่นอีกก็ตาม

ธนูเก็บข้าวของเดินลงมาจากเวที แปะมือทักทายเพื่อนอีกวงที่ขึ้นไปเล่นต่อ แล้วก็มาหาพวกคันศรที่ยืนรออยู่

“แม่ง พวกมึงโครตเจ๋งเลยว่ะ” แทนทัพชมทันทีที่เจอหน้า “นี่เพิ่งรู้ว่าไอ้บีมแม่งเป็นเดือนคณะ”

“ได้ยินที่พวกสาวๆ เขากรี้ดกันน่ะ ฮ่าๆ” เท็นว่า

“แต่พวกมึงแม่ง เล่นดนตรีขัดกับหน้าตานะ ร็อคซะหัวกระจุย” คันศรแซวพวกพี่ชาย บีมส่ายหน้าขำๆ

“หน้าพวกกูดูน่าไปเต้นบีบอยหรือไงล่ะ”

“เออว่ะ ฮ่าๆๆ” แล้วทุกคนก็หัวเราะกันลั่นอย่างสนุกสนาน “ได้ยินโอ๊ตอปป้าด้วย หน้าเกาหลีมากอ่ะมึง”

“กูหล่อสุดไงไอ้สัส” โอ๊ต มือกีต้าร์ของวงเอาศอกถองคันศรที่แซวมา ระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยกันเฮฮาเรื่องวงของธนูและเรื่องงานคืนนี้ ก็มีสองคนที่เหมือนจะปลีกวิเวก และคันศรก็แอบเหลือบๆ มองอยู่ด้วยความคาใจ

“เดี๋ยวไปเดินดูงานต่อมั้ย หรืออยากดูวงอื่น” ธนูดึงมือของธันวาให้แยกออกมาห่างจากกลุ่มเพื่อนเล็กน้อย แล้วคุยกันสองคน เพราะเสียงเพลงของวงต่อไปดังขึ้นแล้ว ธนูเลยต้องก้มหน้าคุยใกล้ๆ หูของธันวา

“เห็นพวกมันบอกจะเดินอีกสักพักอ่ะ มึงตีกลองโครตเท่เลยนะ” คำชมตรงๆ ของธันวา ทำให้ธนูยิ้มแทบไม่หุบ ยิ้มทั้งตา และมันก็ทำให้คันศรที่คอยสังเกตยิ่งติดใจกับหน้ายิ้มๆ ของพี่ ที่มันไม่เหมือนเวลายิ้มให้น้องหรือเพื่อน ไอ้สายตาที่เหมือนกับเวลาเขามองผู้หญิงแบบนั้นมัน...แถมมือ...มันจับมือกันว่ะ เฮ้ยยย

“ขอบคุณที่ชมครับ เดี๋ยวมีรางวัลให้”

“รางวัลอะไร ไม่ต้องก็ได้ม้าง”

“ไม่เอาจริงเหรอ” ธนูอมยิ้มขำๆ

“บอกก่อนดิอะไร เดี๋ยวมึงแกล้งกู” ธันวาหน้ามุ่ย

“ผมเคยแกล้งคุณที่ไหน”

“ก็แกล้งตลอดแหละ อย่ามาทำหน้าตอแหล เรื่องที่บ้านกูยังไม่เคลียร์เลยเว้ย นี่ป๊ากูเริ่มสงสัยแล้ว”

“งั้นก็ทำให้เขาหายสงสัยไปเลยสิ” ธนูยังคงยิ้มและมองตาของธันวา คันศรเห็นสายตาของทั้งสองคนที่มองกันมันเป็นประกายแปลกมาก อย่างกับ...เป็นแฟนกัน

มือของธนูบีบเบาๆ แล้วค่อยๆ นวดคลึงกับฝ่ามือของธันวา ซึ่งอีกคนก็ไม่ได้คิดจะสลัดออก กลับยังจ้องหน้าของธนูนิ่งๆ ทั้งที่ใจเต้นรัว และแก้มก็ร้อนผ่าว

“ทำให้หายสงสัยยังไง จะให้เลิกโกหกแล้วเหรอ” แล้วธันวาก็หรุบตาลง สีหน้าหมองเล็กน้อย ใจมันโหวงๆ ถ้าเกิดเลิกแกล้งเป็นแฟน ก็เหมือนจะไม่ต้องเจอกันหรือทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว เป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดา ทั้งที่เริ่มจะรู้สึกดีๆ ต่อกัน

“ครับ เลิกโกหกกันดีกว่า” ธนูว่าพลางก้มหน้าลงอีก เพื่อให้ริมฝีปากชิดกับใบหูของอีกคนมากขึ้น ก่อนจะกระซิบเบาๆ ด้วยประโยคที่ทำให้ธันวาต้องเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าคล้ายจะดีใจ

“เรามาเป็นแฟนกันจริงๆ เลยดีกว่า”

***

คันศรเดินตามหลังพี่ชายกับเพื่อนของตัวเองที่เดินคู่กันตลอดทาง ทั้งที่เพื่อนคนอื่นก็อยู่เยอะแยะ แต่ธันวากลับเลือกเดินกับธนู ท่าทางสนิทสนมกันมากด้วย แล้วเมื่อกี้คุยอะไรกันมาก็ไม่รู้ เหมือนธนูจะกระซิบอะไร แล้วธันวาก็พยักหน้ารับ แถมยังยิ้มแก้มปริอีก

มันน่าเผือกยิ่งนัก

“ไอ้ศร กูอยากกินอันนี้ มึงซื้อที” เท็นผู้รักการกินเป็นชีวิตจิตใจพุ่งมาเกาะแขนของคันศร ลากไปเข้าซุ้มขนมหวาน ขัดจังหวะการเผือกจริงๆ คันศรมองหน้าไอ้เท็นอย่างหงุดหงิด

“มึงจะมาอยากแดกของหวานอะไรตอนนี้ ดึกแล้ว อ้วน”

“อ้วนก็เรื่องกู มึงเลี้ยงหน่อย ตังกูหมดแล้ว”

“ไอ้เหี้ยนี่ ทำไมไม่ไปบอกพ่อมึงล่ะเว้ย” พ่อที่ว่าก็หมายถึงแทนทัพนั่นเอง แทนทัพกับเท็นเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่ประถม ดูแลกันเหมือนพ่อลูก แทพทัพเป็นพ่อ เท็นเป็นลูก แต่บางทีก็ตีกันกระเจิง เพราะความกวนตีนของไอ้เท็น

“กูจะกินช็อคกล้วยยยย เร็วๆ เอาตังมึงมา ได้ข่าวพี่มึงรวย มึงต้องรวยเหมือนพี่มึงสิ”

“สัส นั่นเงินพี่กู ไม่เกี่ยวกับกูป่ะล่ะ” คันศรรีบควักเงินให้เพื่อน พยายามจะมองตามหลังพี่กับธันวาไป แต่เหมือนสองคนจะเดินหายไปไหนแล้ว “ไอ้ตัวขับลาภเอ๊ย”

“อะไรวะ กูทำไรขัดลาภมึง เหล่สาวอยู่รึไง เดี๋ยวฟ้องเป้ยนะ” เท็นที่ก้มมองขนมตรงหน้าบูธยืดตัวขึ้น

“ไอ้ห่านี่ รีบแดกเลย จะแดกไรเอามาเร็วๆ” คันศรเร่งยิกๆ แต่เท็นก็กวนตีนจริงๆ ยิ่งเร่งมันยิ่งไม่ทำให้ จนคันศรอยากจะบ้าตาย มองหาแทนทัพก็ไม่เจอ ไม่รู้หลงกันตอนไหน สงสัยไอ้เพื่อนชั่วทิ้งลูกไว้ แล้วไปหาเมียใหม่แหงๆ

***

เร็ววววววเกิ๊นนนน อีคู่นี้ เหลือแค่น้องอ๋องนะ คันศรเริ่มจะสงสัยพี่กับเพื่อนละ มันต้องกระตุ้นอะไรบ้าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-10-2020 09:51:33 โดย Lambosasha »

ออฟไลน์ PFlove

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 831
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-1
ฟินได้อีกคู่ธนู กับ ธันวา  :mew1:
แต่ช่วยหาอะไรไป(ตีหัวคันศรให้รู้ตัวซะทีได้ไหม อยากให้น้องอ่อง(ที่น่ารักออกมาซะที ฮาๆ)

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
12
อ๋องเดินเข้ามาในบ้านของแฝด และพบว่ามีคนคุ้นหน้านั่งอยู่ในบ้านอีกคน

“พี่ธัน?”

“อ้าว ไอ้อ๋อง ไม่เจอหน้ามึงเลยนะช่วงนี้ เรียนหนักหรือไงวะ” ธันวาหันไปทักเด็กหนุ่มหัวเกรียน อ๋องก็มองธันวาเหมือนสงสัยอะไรสักอย่าง ก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆ

“ก็มีพวกรายงานด้วย เรียนพิเศษด้วย เลยไม่ค่อยว่างอ่ะพี่ แล้วพี่ธันมาหาพี่ศรเหรอ จะไปเที่ยวไหนกัน”

“เปล่า ทำไมกูต้องมาหามันด้วยวะ อยู่มอก็เจอจนเบื่อจะตายห่า” ธันวาหัวเราะ อ๋องก็พยักหน้า มองไปรอบบ้าน ไม่เห็นสองแฝดเลย แต่สักพักแฝดพี่ก็เดินลงมาจากบันได

“โทษทีที่ให้รอครับ ไปกัน...อ้าว? อ๋อง มาหาศรเหรอ” ธนูทักคนตัวเล็กข้างๆ ธันวา อ๋องรีบหันไปยิ้มให้ แล้ววิ่งไปกอดแขนของธนูเหมือนที่ชอบทำกับคันศร 

“อื้อ เดี๋ยวจะออกไปเรียนพิเศษ เลยแวะมาดูพวกพี่ ไม่ค่อยเจอเลย ผมคิดถึง”

ธนูรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย ปกติอ๋องไม่ค่อยเข้าหาขนาดนี้ เขากลอกตามองธันวาที่แค่ยักไหล่ให้ ก่อนจะดันตัวอ๋องออก

“เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอกน่ะครับ ติดรถไปด้วยกันมั้ย หรือจะรอเจอศรก่อน มันน่าจะอาบน้ำอยู่ เดี๋ยวคงลงมา”

อ๋องเหมือนหยุดคิดนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้า “ไปด้วยเลยดีกว่า เดี๋ยวสาย”

วันนี้ธันวาขับรถมาหาที่บ้าน แต่ขาออก ธนูเป็นคนขับ โดยมีธันวานั่งข้างๆ และอ๋องนั่งเบาะหลัง เด็กหนุ่มคอยสังเกตทั้งคู่ตลอดเวลา เพราะพักนี้เห็นธันวาที่บ้านบ่อยมาก มาส่งธนูทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็ชอบออกไปไหนด้วยกัน

ทั้งที่ตอนนั้นธนูเคยมาขอแทนที่คันศร แถมยังจูบ...แต่จู่ๆ ก็หันไปสนใจคนอื่น ความรู้สึกแบบเด็กๆ ของอ๋อง ทำให้รู้สึกหวงพี่ชายขึ้นมา มันเหมือนโดนแย่งพี่ชายไป แล้วคันศรก็ไม่สนใจใยดีกันเท่าไหร่ด้วย คนที่คอยใส่ใจทั้งที่เจอกันไม่นาน ก็มีแค่ธนู

ตอนนั้น ไม่น่าปฏิเสธเลย

อ๋องกัดริมฝีปาก ตอนเห็นธนูเอามือขยี้ผมของธันวาเล่น แล้วธันวาก็ปัดออกเหมือนหงุดหงิด แต่ทั้งคู่ก็ยังยิ้มและหัวเราะให้กัน อ๋องเองก็อยากเป็นแบบนั้นกับคันศรบ้าง แต่มันคงเป็นไปได้ยาก ถ้าเลือกธนูแต่แรก...ก็คงได้อยู่ข้างๆ ธนูแบบนี้แล้ว

“ตั้งใจเรียนนะครับ” ธนูชะโงกหน้ามาจากฝั่งคนขับ ตอนที่จอดรถเทียบหน้าโรงเรียนสอนพิเศษของอ๋อง อ๋องยิ้มแกนๆ พยักหน้าให้ทั้งคู่แล้วลงจากรถไปด้วยความรู้สึกโหวงๆ พลางกอดหนังสือเรียนไว้แนบอก แล้วรีบวิ่งเข้าไปในตึกเรียน

***

“นี่ เราตามจีบเธอมาตั้งนานแล้วนะ เมื่อไหร่จะเป็นแฟนเราสักทีอ่ะ”

เป้ยหัวเราะ ผู้ชายตัวโตอย่างคันศรมาทำออดอ้อนเหมือนลูกแมวแบบนี้ ทั้งน่ารักน่าเอ็นดูและอดขำไม่ได้เลย

“จีบอะไร แค่มารับกลับบ้าน คุยไลน์กันเนี่ยนะ วิธีจีบของนายแม่งโครตเด็กว่ะ”

คันศรหน้ามุ่ย “ก็จะให้เราทำไงอ่ะ เราอยากได้เธอเป็นแฟน ไม่อยากทำอะไรให้เธอรู้สึกไม่ดี”

“เราก็ไม่ได้รังเกียจนายหรอกนะศร” เป้ยกอดอก คันศรรีบยืดตัวนั่งหลังตรง มองหน้าหญิงสาวอย่างลุ้นๆ ก่อนที่จะหุบยิ้มแทบไม่ทัน

“แต่เราชอบผู้หญิงว่ะ”

ฟ้าถล่ม โลกทลาย ชีวิตของคันศรเหมือนตกเหวแล้วโดนสิบล้อเหยียบซ้ำทั้งที่ร่างพังไปแล้ว กับคำตอบที่ออกมาจากปากของเป้ย

แล้วไอ้ห่าพี่ แม่งไม่เสือกบอกกูแต่แรก ให้ตามจีบอยู่ได้ตั้งนานสองนาน ไอ้นู!!!

“ฉันจำเป็นต้องบอกเหรอ” ธนูกลอกตามองน้องที่มาโวยวายใส่ พลางวางจานอาหารลงบนโต๊ะ แล้วนั่งลงตรงข้ามกัน

“อย่างน้อยมึงน่าจะบอกกูไง”

“มันเป็นเรื่องส่วนตัวป่ะ ฉันไม่อยากพูด ให้เป้ยมันบอกเองอ่ะดีแล้ว” ธนูตักข้าวเข้าปาก วันนี้เป็นผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้กับหมูทอด จืดเสมอต้นเสมอปลาย

“ก็เข้าใจ ส่วนตัวมากด้วย คนอื่นพูดคงดูไม่ดีแหละ เฮ้อ” คันศรฟุบหน้าลงกับโต๊ะ รู้สึกไม่อยากอาหารขึ้นมาเลย ทำไมช่วงนี้รอบตัวมีแต่แนวนี้ ไหนจะเรื่องของพี่กับเพื่อน

“เออ จริงดิ กูว่าจะถามนานแล้ว” คันศรเงยหน้าขึ้น เหลือบตามองพี่ชายที่นั่งกินข้าวอย่างเรียบร้อย ผู้ดีสุดๆ

“ว่า?” ธนูเหลือบตาลงมองน้องชายที่นอนหนุนแขนมองมา

“พวกมึง มึงกับไอ้ธันอ่ะ มีอะไรกันป่ะวะ”

ธนูเสมองไปอีกทาง พลางทำหน้าเหมือนครุ่นคิด ควรจะบอกดีมั้ย แต่ก็กลัวธันวาจะไม่โอเค อยากจะปรึกษากันก่อน เลยไม่บอกดีกว่า

“ก็ไม่มีอะไรนี่”

“จริงเหรอวะ หน้ามึงบอกว่ามีอะไรน้า” คันศรหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อ แต่ด้วยความหน้านิ่งของธนู เลยจับอะไรไม่ได้เลย

***

ในเมื่อจีบเป้ยก็ไม่ติด และไม่มีสาวที่ไหนน่าสนใจอีกแล้ว คันศรก็เลยได้แค่เที่ยวเล่นสนุกไปวันๆ เหมือนเคย พร้อมกับสอดส่องพี่ชายและเพื่อนรักไปด้วยในตัว

“เนี่ย กูเริ่มสงสัยจริงจังแล้ว แม่งทำเหมือนแฟนกัน” คันศรมอง IG ส่วนตัวของพี่ชายที่เอาไว้สำหรับให้เพื่อนสนิทติดตาม ซึ่งช่วงนี้เป็นรูปของธันวากับของกินต่างๆ ที่ธนูทำ ส่วนมากก็ถ่ายที่บ้านนี้ ธันวามาบ้านของเขาบ่อยมาก ทั้งที่เมื่อก่อนชวนมาปาร์ตี้กินเหล้าเมายาก็ไม่ค่อยจะยอมมา อ้างนั่นนี่สารพัด ก็รู้หรอกว่าเพื่อนเป็นคนไม่ชอบมั่วสุม ออกแนวเนิร์ดๆ เด็กเรียนตัวพ่อ แต่ก็ยังพยายามทำตัวกลมกลืนกับพวกเขามาตลอด จนมาเจอคุณชายธนู เลยเหมือนจะถูกคอกันอีท่าไหนไม่รู้ ตัวติดกันเหลือเกิน

“คงไม่ใช่หรอกมั้ง” อ๋องที่มาให้คันศรช่วยติวให้ นั่งหน้างอ ไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเท่าไหร่ เพราะคนข้างๆ เอาแต่ชวนเล่น แล้วยังมัวส่อง IG คนอื่นอีก ไม่อยากรับรู้เรื่องของธนูกับธันวาแล้ว เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าสองคนนั้นเป็นแฟนกันชัวร์ๆ คนโง่อย่างคันศรเท่านั้นแหละที่ไม่รู้

“อะไรวะ คราวก่อนมึงยังสงสัยอยู่เลย ทีงี้ทำเป็นไม่สน” คันศรตบหัวน้องไปที อ๋องเลยหงุดหงิดใส่

“มันเจ็บนะ ทำไมชอบตบหัววะ”

“อะไรๆ มาขึ้นเสียงกับกูเหรอ เล่นแค่นี้” คันศรมองหน้าอ๋องอย่างเอาเรื่อง ปกติไอ้เด็กลิงไม่เคยขึ้นเสียงหรือทำท่าทีหงุดหงิดไม่พอใจเขา ไม่ว่าจะแกล้งมันยังไง ก็เอาแต่หัวเราะแล้วก็เข้ามาเกาะแกะง้องแง้งใส่

และปกติ ถ้าถลึงตาใส่ อ๋องก็จะกลัวจนแหย แต่ครั้งนี้ คนตัวเล็กกลับมองเขาด้วยแววตาขุ่นเคือง ก่อนจะปาหมอนใส่หน้าแล้วลุกหนีไป

“เป็นอะไรวะ เรียนหนักจนบ้าเหรอไอ้ลิง” คันศรลุกตามไปง้อ เพราะไม่เคยเห็นน้องโกรธมาก่อน สงสัยจะเล่นมากไป อ๋องก็โตเป็นหนุ่มแล้ว คงไม่ชอบให้ทำอะไรเหมือนตอนเด็กๆ

“ผมจะเป็นบ้าอะไรก็ไม่เกี่ยวกับพี่นี่” เพราะไม่เคยสนใจกันแต่แรกอยู่แล้ว

ทั้งที่คนที่สนใจคืออีกคนแท้ๆ

“ช่างผมเหอะ ไม่อยากติวแล้ว ผมกลับบ้านล่ะ” อ๋องถอนหายใจแรงแล้วจะเดินออกจากบ้าน แต่คันศรก็คว้าแขนไว้

“เฮ้ย ไม่ได้โกรธอะไรกูใช่มั้ยเนี่ย ขอโทษที่พามึงออกอ่าว มาเรียนเหอะ พักแป้ปก็ได้ เดี๋ยวสั่งขนมมาให้กิน”

อ๋องกัดปากอย่างหงุดหงิด ก่อนจะยอมเดินกลับเข้าบ้าน พอคันศรง้อแล้วก็ใจอ่อนอยู่ดี

แต่ไม่รู้ทำไม ถึงได้หงุดหงิดเวลาเห็นธันวากับธนู

ไม่เข้าใจตัวเองเลย ทั้งที่ชอบคันศรมาตลอด และคิดว่าจะชอบตลอดไป แค่ได้อยู่ข้างๆ ในฐานะน้องชายแบบนี้ก็ยังดี

แต่พอคิดถึงตอนที่ธนูอยู่กับธันวา ทำไมมันต้องรู้สึกเจ็บที่ใจด้วย

“เฮ้ยยย ไอ้อ๋อง มึงเป็นไร กูขอโทษแล้วไง อย่าร้องดิ” เพราะท่าทางร้อนรนของคันศร ทำให้อ๋องเพิ่งรู้ตัวว่า...น้ำตามันไหล

คันศรทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่ได้เห็นอ๋องร้องไห้มานานมากแล้ว เขานึกถึงเมื่อ 4 ปีก่อน ตอนที่อ๋องอยู่ม.2 ที่เล่นกันแล้วเขาดันแกล้งมันแรงไป ทำมันรถจักรยานล้ม แผลที่เข่าเหวอะหวะ แล้วมันก็ร้องไห้ไม่หยุด

“อย่าร้อง อ๋อง พี่ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ” คันศรโอบคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้ ลูบหัวตบหลังพัลวัน ก่อนจะย่อตัวลง คุกเข่า ตรงหน้าคนตัวเล็ก เอานิ้วจิ้มที่หน้าผาก วาดเป็นวงกลมวนไปมาเหมือนที่เคยทำตอนหัวเข่าของอ๋องเป็นแผล

“โอม เพี้ยง เดี๋ยวก็หายแล้วนะ ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง”

อ๋องหยุดร้องแล้ว และมองหน้าเขาพลางอมยิ้มขำๆ “นั่นมันใช้กับตอนเป็นแผลไม่ใช่เหรอ”

“ก็ตอนนี้มึงมีแผลในสมองไง ฮ่าๆ” คันศรหัวเราะ

อ๋องก็หลุดหัวเราะ เอามือตีแขนของคันศรด้วยความโมโหแบบขำๆ “ไอ้พี่บ้านี่!”

***

น้องอ๋องชักสับสน อารมณ์แบบ เอ้า เขาเคยชอบกูนี่หว่า 555 :pig4:

ออฟไลน์ Tanthai23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
จะว่าไป คู่คันศรกับอ่องก็น่ารักไปอีกแบบ เพราะอ่องยังเด็กด้วยมั้ง เลยไม่ไวไฟเหมือนคู่แฝดพี่  o18

ออฟไลน์ Lambosasha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1

13
อ๋องเปิดดูคลิปในช่องยูทูปของธนู ซึ่งไม่ใช่ช่องของวง เป็นของธนูคนเดียว นานๆ ทีจะมีคลิปตอนธนูดีดกีต้าร์หรือสีไวโอลินมาลง บางครั้งก็ร้องเพลงเองด้วย และคลิปล่าสุดเมื่อสองวันก่อน เป็นคลิปในห้องของธนู ที่บ้านของคันศร ธนูกำลังดีดกีต้าร์และร้องเพลง โดยมีอีกคนคอยนั่งปรบมืออยู่ใกล้ๆ แต่เห็นแค่ด้านหลังก็รู้แล้วว่าใคร

ส่วนใหญ่เป็นคอมเม้นท์ชมเสียงของธนูกับเสียงกีต้าร์เพราะๆ และหลายคนก็ถามว่าอีกคนในคลิปคือใคร มีคนสนใจกันมาก เพราะในคลิปเดี่ยวของธนูไม่เคยมีคนอื่นเข้าร่วม

เด็กหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะกดปิดมือถือแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

***

“พักนี้สนิทกับพี่กูจังนะ ไอ้ธัน” คันศรเอาสันหนังสือเคาะหัวเพื่อนที่กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่หน้าตึกคณะ กับเพื่อนๆ อีกสองสามคน

“อะไรของมึง” ธันวาหันไปส่งสายตาคาดโทษ ลูบหัวตัวเองป้อยๆ ด้วยความเจ็บ มองตามร่างสูงใหญ่ของคันศรที่กำลังนั่งลงข้างๆ คนอื่นๆ เริ่มหันมาสนใจบทสนทนาของพวกเขา แต่แกล้งทำเป็นเล่นเกม อ่านหนังสือ

“ถามจริง พวกมึงมีอะไรกันป่ะวะ”

“มีอะไร คืออะไรล่ะวะ” ธันวานิ่วหน้า จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะปิดบังอะไรใคร ขนาดที่บ้านยังรู้กันหมดแล้ว และดูจะชอบธนูกันหมด ไม่มีข้อคัดค้านเลยทีเดียว พ่อก็เป็นเพื่อนกัน เลยยิ่งคุยง่ายเข้าไปใหญ่ ในเมื่อพ่อๆ ยอมรับ ก็ไม่มีใครค้านได้

“กูเห็นรูปมึงใน IG พี่กูเต็มฟีด จนกูนึกว่าเข้า IG ผิดแล้วว่ะ แล้วไหนจะคลิปเมื่อสองวันก่อนที่ไอ้นูถ่ายติดมึงมาด้วย”

“พวกกูก็เห็น” เสียงคนอื่นๆ ดังลอยมา “มีอะไรก็ควรบอกเพื่อนฝูงนะคุณธันวา”

“กูถามไอ้นูแล้ว แต่อย่างมันไม่มีทางพูดแน่ๆ กูเลยมาเค้นจากมึง ง่ายกว่า” คันศรว่าพลางลูบคางตัวเอง ก่อนจะจ้องหน้าธันวา “ว่าไงวะ พวกมึงสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

ธันวาพ่นลมหายใจแรงๆ กับความขี้เผือกของพวกมัน ก่อนจะกดโทรออกไปหาคนที่ถูกพาดพิง พร้อมเปิดลำโพง เพื่อนๆ ก็มองกันเป็นแถว ว่าธันวาจะทำอะไร

“ถามให้ชัวร์พร้อมกันทีเดียวไปเลยไป”

[มีอะไรหรือเปล่าครับธัน]

“แหม พูดเพราะนี่คือปกติ แต่น้ำเสียงอ่อนโยนมากอ่ะ” เสียงเท็นแว่วมาจากมุมโต๊ะอีกฝั่ง

“นู พวกมันมาถามกูเรื่องกูกับมึง”

ทุกคนหูผึ่งด้วยความตั้งใจ

“เอาไงดีวะ”

[แล้วแต่คุณครับ ผมบอกแล้วนี่ว่ายังไงก็ได้]

“งั้นกูบอกนะ” ธันวาเงยหน้าขึ้น มองเพื่อนทุกคนรวดเดียว ก่อนจะเม้มปาก พยายามเก็บสีหน้า แต่แก้มนี่แดงแป้ดไปแล้ว

เพื่อนก็ลุ้นกันตัวโก่ง ทำเหมือนลุ้นผลบอล ธันวาสูดลมหายใจเข้าแล้วปล่อยออกมาช้าๆ ก่อนจะอ้าปาก

“คือกู”

“ไอ้เหี้ย รีบพูด” แทนทัพโพล่งออกมา เพราะนึกว่าธันวาจะเข้าเรื่องเลย เท็นเลยโบกหัวแทนทัพไปที

“มึงก็อย่าขัดมันสิ”

ธันวากระแอมไอเบาๆ หน้าร้อนไปหมด ตื่นเต้นเหมือนตอนขึ้นประกวดเต้นในงานโรงเรียนสมัยม.ต้น

“กูกับธนู...คือ...”

“อย่าลีลา” คันศรเร่ง แต่ธันวาเหมือนจะเกร็งจนพูดไม่ออก และคนปลายสายที่รอฟังก็ส่งเสียงหัวเราะลอดออกมา สุดท้ายก็เป็นคนตอบคำถามแทนธันวา เพราะถึงไม่เห็นก็นึกหน้าของธันวาออก เลยไม่อยากให้แฟนตัวเองเขินไปมากกว่านี้

[พวกเราคบกันอยู่ครับ แบบแฟน]

“ห๊ะ!” “เฮ้ย” “จริงเหรอวะ” “กูว่าแล้ว”

ธันวารีบเอามือที่เปียกเหงื่อเช็ดกางเกง สีเลือดฝาดแดงไปถึงคอถึงหู เพื่อนก็หันมามองเป็นตาเดียว แต่ส่วนใหญ่จะยิ้มแปลกๆ ส่งสายตาแซวๆ มา ยกเว้นคันศรที่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า

“มึงไม่ได้อำพวกกูใช่มั้ย นู” น้องชายฝาแฝดคว้าสมาร์ทโฟนของธันวามาคุยเองคนเดียว ปิดลำโพงไปเรียบร้อย ทุกคนสะดุ้งเป็นแถบ เพราะเสียงของคันศรดังมาก ธันวายิ่งตกใจหนัก มองหน้าคันศรที่จ้องเขม็งมาอย่างหวาดหวั่น

“ทำไมพวกมึงไม่บอกกูแต่แรก ทำไมมึงไม่บอกอะไรกูเลย นี่กูเป็นน้องมึงหรือเปล่าวะ! ไอ้นู”

“เฮ้ย ใจเย็นศร” แทนทัพรีบเข้ามาห้าม พยายามกันธันวาออกไปก่อน เพราะกลัวมีเรื่องกัน

“แล้วมึงเป็นเพื่อนกูหรือเปล่าไอ้ธัน! ทำไมไม่บอก” คันศรผลักอกธันวา เพื่อนรีบเข้ามาขวางกันพัลวัน เพราะดูไซส์แล้ว ยังไงธันวาก็แพ้แน่นอน ถ้าต่อยกัน

[ศร อย่ายุ่งกับธัน พี่ผิดเอง]

“มึงเงียบไปเลยไอ้เหี้ย!” คันศรตวาดเสียงกร้าว จนคนแถวนั้นยังมองด้วยความตกใจ “เรื่องแบบนี้ ควรบอกให้กูเตรียมใจแต่แรกมั้ยวะ แม่ง เพื่อนกู กับพี่ชายกูเนี่ยนะ! ไอ้เหี้ยเอ๊ย”

คันศรสบถดังก่อนจะปามือถือของธันวาคืนเจ้าของมัน สมาร์ทโฟนแข็งๆ กระแทกเข้าที่มุมปากของธันวา เลือดไหลซึมออกมา แล้วตัวคนทำก็เดินฟึดฟัดหนีไป มีแทนทัพวิ่งตามไปคุย ส่วนคนอื่นๆ เข้ามาดูหน้าธันวา ที่โดนกระแทกเมื่อกี้ และมีคนช่วยเก็บสมาร์ทโฟนที่ร่วงลงกระแทกพื้นให้ธันวา หน้าจอมันแตกร้าวจนน่าจะเปิดไม่ติดแล้ว

“เลือดออกเลยว่ะ ไปทำแผลก่อนมึง” เท็นเข้ามากอดเพื่อนไว้ เพราะตอนนี้ธันวากลัวจนตัวสั่นไปแล้ว จากนั้นก็พากันไปที่ห้องพยาบาล เท็นช่วยโทรบอกธนูให้ เพราะมือถือของธันวาใช้ไม่ได้แล้ว และเจ้าตัวก็ดูยังเบลอๆ งงๆ เหมือนจับต้นชนปลายไม่ถูก

“ไอ้นูบอกกำลังมา เดี๋ยวมึงกลับไปกับมันเลยก็ได้ ไม่มีเรียนแล้วนี่ กิจกรรมไม่ต้องเข้าแล้ว” เท็นว่าพลางตบบ่าเพื่อนเบาๆ “ไม่ต้องเครียดนะเว้ย เดี๋ยวมันก็เข้าใจเอง”

ธันวาไม่ตอบ ไม่พูดอะไรเลย ได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้น จนคนที่รอมาถึง

“ธัน!” ธนูที่ได้เพื่อนของธันวาสักคนนำทางมาห้องพยาบาลให้ รีบเดินเข้าไปดูหน้าของธันวา เขาค่อยๆ จับคางของธันวาให้เงยขึ้น มุมปากเป็นรอยแตกยังแดงๆ

“มันต่อยธันเหรอ”

“เปล่า” ธันวาถอนหายใจ น้ำตาคลอตั้งแต่เห็นหน้าธนูแล้ว ธนูโอบร่างที่สั่นเทานั้นมากอดไว้แน่น

“ผมจะคุยกับศรเอง มาลงที่คุณได้ยังไง”

ธันวายกแขนขึ้นกอดกลับ น้ำตาไหลพราก ไม่เคยมีเรื่องกับคันศรเลยตั้งแต่คบกันมา 3 ปีกว่า เพิ่งเคยเห็นเพื่อนโกรธจัดขนาดนี้ครั้งแรก

ธนูประคองใบหน้านองน้ำตาของธันวาไว้อย่างทนุถนอม ค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเช็ดน้ำตาออกและจูบเบาๆ บนริมฝีปากบาง

“ผมขอโทษนะ ผมควรจะบอกมันเรื่องที่ผมเป็นแบบนี้แต่แรก ผมผิดเอง”

“ไม่มีใครผิดทั้งนั้นแหละ” ธันวาส่ายหน้า ลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง ธนูคอยโอบเอวประคองไว้ เพราะขาของธันวายังสั่น นี่แค่โดนมือถือปาใส่หน้า ถ้าโดนคันศรกระทืบ คงตายแน่ๆ

“เห็นเท็นบอกว่ามือถือคุณพังแล้ว ผมจะซื้อให้ใหม่ อย่าคิดมากนะ ผมรักคุณนะ ผมจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายคุณอีก ผมสัญญา” ธนูเอ่ยปลอบเสียงเครือ จูบที่หน้าผากและข้างแก้มของธันวาซ้ำๆ มือของธนูที่จับมือของธันวาไว้ก็สั่นนิดๆ เหมือนกัน เพราะกลัวว่าคันศรจะทำร้ายธันวา ถึงรีบเรียกแท็กซี่มาถึงนี่

ธันวาอมยิ้มกับคำบอกรัก ที่เพิ่งเคยได้ยินชัดๆ แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว

“คืนนี้ไปคุยกับศรที่บ้านด้วยกัน นะครับ” ธนูเอาหน้าผากแตะกับหน้าผากของธันวาแบบที่ชอบทำ เวลาต้องการให้ธันวามั่นใจและเชื่อใจในตัวเขา ธันวาคลี่ยิ้มได้นิดเดียว เพราะมุมปากยังเจ็บ พลางพยักหน้ารับเป็นคำตอบ

และคืนนั้น ธนูก็ขับรถของธันวากลับไปที่บ้านของคันศร ซึ่งเจ้าของบ้านก็นั่งรออยู่แล้ว แต่ดูเหมือนอารมณ์จะสงบลงพอสมควรแล้ว เพราะแทนทัพช่วยคุยให้เมื่อช่วงเย็น

ธนูจูงมือธันวาลงจากรถและพาเข้าบ้าน โดยที่อ๋องก็มองเห็นทั้งคู่เดินจับมือกัน เลยรีบวิ่งลงจากชั้นสองแล้วมาที่บ้านของคันศรด้วย

ตอนที่อ๋องวิ่งมาถึง และเปิดประตูเข้าไป ก็ได้ยินเสียงของธนูดังขึ้น

“ศร เรามีเรื่องต้องคุยกัน”

***

“สรุป มึงเป็นเกย์ตั้งแต่แรกแล้ว แล้วก็มาจีบไอ้ธัน แล้วมันก็ตกลงคบกับมึงแล้ว เหี้ย โครตเร็ว” คันศรสบถดังในช่วงท้าย เกิดมาไม่เคยสนใจเรื่องรักชอบเพศเดียวกัน เลยทำใจยากหน่อย

“มึงชอบมันเหรอวะธัน”

ธันวาพยักหน้า อ๋องที่ยืนฟังอยู่ห่างๆ กำมือแน่น มันเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ธันวากับธนูคบกันแล้วจริงๆ

“กูไม่ค่อยเข้าใจว่ะ ผู้ชายด้วยกันมันจะรักกันได้เหรอวะ” คันศรขยี้หัวตัวเอง นึกถึงที่เป้ยบอกว่าชอบผู้หญิงด้วยกันขึ้นมา ก็เจ็บจี๊ดๆ อีก จะว่าคันศรใจไม่กว้างพอก็ได้ แต่มันทำใจลำบากจริงๆ แค่พี่เป็นเกย์ไม่เท่าไหร่ แต่ทำไมต้องกับเพื่อนตัวเองด้วย

“มึงไม่ต้องเข้าใจก็ได้ รู้แค่กูชอบพี่มึงก็พอ กูแค่อยู่กับเขาแล้วสบายใจ ได้เป็นตัวของตัวเอง แค่นั้นก็พอแล้ว” ธันวากุมมือของธนูแน่นขึ้น มุมปากยังเจ็บ แต่ไม่ได้กลัวคันศรแล้ว เพราะมีธนูอยู่ข้างๆ

คันศรถอนหายใจแรง มองหน้าสองคนก็ยิ่งคิดหนัก แต่เรื่องความรักคงห้ามกันไม่ได้ ถ้าชอบกันรักกันจริงๆ ก็คงต้องทำใจรับทั้งคู่ให้ได้

“เออๆ กูจะพยายามเข้าใจพวกมึง แล้วก็...” คันศรมองมุมปากแดงๆ ของธันวา “ขอโทษที่ทำมึงเจ็บ”

“ไม่เป็นไร” ธันวาฝืนยิ้มให้ เพราะยังเจ็บปาก แต่ไม่ได้คิดโกรธเคืองอะไรเพื่อนเลยสักนิด

ส่วนอ๋อง ยิ่งเห็นธนูกับธันวาดูรักกัน ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บในอก สุดท้ายก็ทนฟังต่อไม่ไหว จนต้องวิ่งกลับบ้านไป และจังหวะนั้น คันศรก็ลุกขึ้นจะเดินไปทางครัวพอดี เลยทันเห็นหลังของคนตัวเล็กไวๆ เขาหยุดยืนมองด้วยความสงสัย แต่ก็ขี้เกียจจะเรียกไว้แล้ว

เรื่องของธันวากับธนูเป็นอันว่าคันศรเข้าใจเรียบร้อย มันไม่ใช่รู้สึกรังเกียจ แต่มันตกใจและแค่รับไม่ได้ที่เป็นเพื่อนตัวเองกับพี่ชาย เอาจริงๆ ต่อให้เป็นพี่ชายกับเพื่อนผู้หญิงที่เขาสนิทๆ ด้วย ก็คงตกใจเหมือนกัน อย่างน้อยถ้าธนูบอกก่อนว่าจะจีบใคร คงไม่ตกใจเท่านี้ แต่ธนูก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมด ให้คันศรเข้าใจไปแค่นั้นพอ

“เจ็บมากมั้ยครับ” ธนูแตะปลายนิ้วใกล้ๆ มุมปากที่เป็นแผลของธันวาพลางมองด้วยแววตาอ่อนโยน คืนนี้ธันวานอนค้างด้วย เพราะคงขับรถกลับไม่ไหว มันเพลียทั้งกายและใจไปหมด แม้คันศรจะบอกว่าเข้าใจแล้ว แต่บรรยากาศรอบตัวก็ยังอึดอัด

“ผมขอโทษนะที่ทำให้คุณต้องเจ็บเพราะผม”

ธันวาส่ายหน้า “ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นหรอก แค่ตกใจมากกว่า”

“แต่ผมก็ผิดอยู่ดี ที่ทำให้คุณต้องโดนเพื่อนโมโหใส่แบบนี้ ทั้งที่คุณถูกผมลากมาเกี่ยวด้วยเรื่องไร้สาระแต่แรก”

ธันวาโผเข้ากอดเขาไว้แน่น “อย่าพูดแบบนั้นดิวะ ถ้าไม่เพราะเรื่องไร้สาระนั่น กูจะได้อยู่กับมึงตรงนี้ตอนนี้เหรอ”

ธนูคลี่ยิ้มบางๆ กอดตอบธันวา ซึมซาบความอบอุ่นของกันและกัน ทั้งที่ธนูเปิดแอร์แรงถึง 19 องศา แต่ร่างกายของพวกเขากลับอบอุ่นมาก

“ทำไงดี นู กู กู” ธันวาเอ่ยตะกุกตะกัก กอดคอร่างสูงพลางเหลือบตาขึ้นมองหน้าหล่อๆ นั่นแล้วหน้าร้อนพิกล

“ทำไมครับ” ธนูจ้องมองใบหูแดงๆ กับท่าทางน่ารักๆ ของธันวาอย่างตั้งอกตั้งใจ

“คือกูยังเจ็บปากอยู่ แต่ก็...อยาก...อยากจูบมึง”

ธนูยิ้มเอ็นดู ก่อนจะแตะริมฝีปากให้เบาๆ “คุณจูบผมแค่นี้ก่อนแล้วกัน” แล้วก็ค่อยๆ ดันร่างของธันวาที่ตัวเตี้ยกว่า แต่ก็ไม่ได้เล็กกว่ากันมากลงนอนราบไปกับเตียง พร้อมกับเสียงกระซิบเบาๆ ที่ทำเอาธันวาหน้าร้อนฉ่า

“ที่เหลือให้ผมจูบคุณเองนะครับ”

***

คู่พี่เขาแบบผู้ใหญ่ๆ อิๆ ร้อนจนต้องเปิดแอร์ 18-19 องศากันเลยทีเดียว
คันศรเกรี้ยวกราดเหลือเกิน ต้องให้น้องอ๋องจับโขกแล้วล่ะงานนี้

ปล.ที่ตัดไป ไม่มีอะไรนะ เขาจูบกันเฉยๆ จริงๆ

ออฟไลน์ Tanthai23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 252
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
ฟินจิกหมอนก็คู่พี่นี้แหละ  :-[
ส่วนคู่ แฝดน้องกับอ่อง เอามือเท้าค้างรอต่อไป (ไม่กดดันคนแต่งนะ ฮาๆ )

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด