มาอย่างรวดเร็วเหมือนเดิม คือเราเป็นพวก ถ้าปล่อยค้าง จะลืมพลอต555
จดไว้นะ แต่มันจะแต่งต่อยากกว่าออกมาเรื่อยๆ ต้องบิ้วนานถ้าค้างนาน
มีคนเชียร์ทั้งพี่ทั้งน้องเลย แต่นายเอกนี่ใครน้า ใครหว่า ใครอ่ะ ไม่รู้อะ
4
ตอนอายุ 12 ปี พ่อก็เลิกส่งเงินมาให้ แม่เริ่มทำงานหนักขึ้น จนแทบไม่มีเวลาให้ ทั้งงานประจำ ทั้งร้านดอกไม้ พออายุย่างเข้า 14 ปี แม่ก็พาผู้ชายแปลกหน้าวัย 20 กว่าๆ มาที่บ้าน อายุมันห่างจากแม่ตั้ง 11 ปี แทบจะเป็นพี่ชายของเขาได้เลย แต่แม่กลับจะให้เขาเรียกมันว่าพ่อ
“นอนเกะกะไอ้เด็กเวร ลุกไปทำกับข้าวทีดิ แม่มึงไม่อยู่” ติณ พ่อเลี้ยงของคันศรเอาเท้ามาเตะเข้าที่น่องของเขาแรงๆ หลายที จนคันศรที่นอนกลางวันอยู่หน้าโซฟาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา
“พี่ก็ทำเองดิ” เพราะมันกระดากปากที่จะเรียกว่าพ่อ ก็เลยให้ได้แค่นี้ ไม่อยากให้แม่รู้สึกแย่ เวลาแม่อยู่บ้าน มันชอบเอาอกเอาใจ ทำตัวเหมือนเป็นคนดีเต็มประดาจนน่าหมั่นไส้ แต่พออยู่กับเขาสองคน ก็ชอบหาเรื่องกวนประสาท
ติณถลึงตา “เอ้า ไอ้นี่ มึงเป็นลูก ก็ต้องไปทำให้พ่อให้แม่แดก เร็วๆ เอาอะไรง่าย ไข่เจียวก็ได้ กูหิวมาก แม่งเล่นเสียอีกวันนี้ หัวร้อนเว้ย”
คันศรหงุดหงิด นั่งเกาหัวเกาพุงหาววอดๆ ไม่ยอมลุกไปทำกับข้าวให้ติณกิน จนพ่อเลี้ยงชักไม่พอใจมากกว่าเดิม
“ยังนิ่งอีก กูไม่ได้ใจดีเหมือนแม่มึงนะ ไม่ทำกูตีตายแน่” มันทำท่าจะหยิบไม้แขวนเสื้อมาฟาดขาของคันศร เด็กหนุ่มที่ตอนนั้นตัวเล็กนิดเดียว ยังสู้อะไรติณไม่ได้ เลยโดนตีประจำ
“โอ๊ยๆ ทำแล้วๆ แค่ไข่เจียวนะ ผมทำอย่างอื่นไม่เป็น”
ยิ่งนานวัน ติณก็ยิ่งชอบหาเรื่องคันศร คงเพราะคันศรเป็นเด็กหน้าตาดี ใครๆ ก็รักใคร่ มีเพื่อนผู้หญิงมาเที่ยวที่บ้านก็บ่อย
“เราว่า พ่อเลี้ยงของศรเขามองเราแปลกๆ อ่ะ น่ากลัว” ตอนนั้นคันศรเพิ่งมีแฟนคนแรก คบกันมาสามสี่เดือนก็พามาเที่ยวที่บ้าน เพราะไม่มีคนอยู่ แต่วันนั้นติณดันกลับบ้านเร็ว คงเสียพนันมาอีกตามเคย นอกจากหงุดหงิดใส่แล้ว ยังมามองแฟนของเขาด้วยสายตาลวนลาม
“ไม่ต้องคิดมากนะ ไว้เราไปที่อื่นกันก็ได้” เขาปลอบแฟนสาว พอหล่อนกลับบ้านไปแล้ว พ่อเลี้ยงก็เดินเข้ามาคุยกับคันศรที่นั่งดูทีวีอยู่
“น่ารักดีนะ ได้เอายังวะ”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่นี่” คันศรเหลือบตามองมันที่ยืนอยู่ข้างๆ มันเอามาสะกิดจนน่ารำคาญ
“หรือมึงทำไม่เป็นล่ะ แหม ทำตาขวาง ทำไม่เป็นก็บอก กูสอนให้ได้”
“เสือก” เขาหลุดคำหยาบกับมันจนได้ ไอ้พ่อเลี้ยงเดือดจัด กระชากคอเสื้อเขาแล้วเหวี่ยงลงบนพื้น แขนซ้ายกระแทกกับโต๊ะกระจกแบบเฉียดๆ แต่ก็เจ็บไม่น้อย
คันศรพยายามหยัดตัวลุกขึ้นจ้องมันเขม็งด้วยความโกรธ
“อย่ามาปีนเกลียวไอ้เด็กเวร! ปากดีแบบนี้ ต้องกระทืบสั่งสอนหน่อย เดี๋ยวแม่มึงจะหาว่ากูไม่ดูแล” มันยื่นมือกระชากคอเสื้อของเด็กหนุ่มจนตัวลอยขึ้น เสียเปรียบทั้งร่างกายและแรง คันศรตอนนั้นสู้พ่อเลี้ยงไม่ได้ เลยโดนมันต่อยเข้าที่ท้องจนจุกไปหมด แต่มันไม่ทำที่หน้า เพราะแม่ของเขาจะรู้
เขาพยายามปัดมือปัดขาของมัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ท้องถูกต่อยหลายทีจนรู้สึกเหมือนได้กลิ่นสนิมเหล็กที่ปาก ขาก็ชาไปหมด สุดท้ายมันคว้าบุหรี่ที่อยู่ในจานเขี่ยบนโต๊ะมาบี้ใส่ต้นแขนของเขา ความกลัวและความเจ็บปวดในวันนั้น ทำให้เขาต้องพยายามกัดฟันพูดเพราะๆ กับมัน ต้องยอมร้องไห้ขอโทษมัน กว่ามันจะยอมปล่อย
“โอ๊ยยยย พอแล้ว ผมเจ็บนะ ผมจะไม่พูดแบบนั้นแล้ว ผมขอโทษ”
“คราวหน้ากล้าปากดีกับกูอีก มึงจะโดนหนักกว่านี้แน่” มันขู่ก่อนจะโยนก้นบุหรี่ร้อนๆ ทิ้งลงบนพื้น แล้วเตะเข้าที่ลำตัวของเขาอีกที ก่อนจะเดินหายไปที่ชั้นบน
หลังจากนั้น แม่ก็รู้เรื่อง แต่เขาห้ามแม่ไม่ให้ไปพูดเรื่องนี้กับมัน เขาบอกให้แม่เลิกกับมัน แต่แม่ก็ไม่ทำ จะด้วยเหตุผลอะไรเขาก็ไม่รู้หรอก แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ส่งเขาไปเรียนศิลปะป้องกันตัว มีเรื่องต่อยตีกับพ่อเลี้ยงอีกเป็นปีๆ จนถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลกันทั้งคู่ คนหนึ่งหน้าบวมเจ่อ อีกคนกระดูกหัก ซึ่งตอนนั้นคันศรตัวใหญ่ขึ้นแล้ว คนที่กระดูกหักจึงไม่ใช่เขา หลังจากนั้นมา ก็พอจะอยู่กันอย่างสงบได้บ้าง
***
“ธนู!”
คันศรเหลือบตามองรอบๆ เพราะได้ยินเสียงคนเรียกชื่อธนู ไม่คิดว่าเรียกตัวเองแน่ๆ แต่ธนูก็ไม่ได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย กว่าจะรู้ตัวว่าคนเรียกเรียกใคร ก็ตอนที่หญิงสาวผมยาวสยายในชุดเกาะอกสีดำเดินเข้ามาตรงหน้า
เขาหรุบตาลงมองก้อนเนื้อสองก้อนที่ทะลักล้นออกมานั่นพลางกลืนน้ำลาย
นี่ไอ้นูมีรสนิยมแบบนี้เองเหรอวะ!
“ธนู ทำไมไม่กลับบ้านเลย พี่เป็นห่วงนะคะ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงกลางหลังยกมือขึ้นลูบแก้มของเขาเบาๆ คันศรรู้สึกขนลุกซู่ซ่าขึ้นมาทันที เห็นสาวทรงโตโชว์อึ๋มขนาดนี้ตรงหน้า ผู้ชายที่ไหนจะไม่รู้สึกอะไร แต่เขาก็พยายามเก็บอาการสุดชีวิต
“เอ่อ ผมว่า...พี่น่าจะทักผิดคนนะครับ”
“อย่ามาอำพี่เล่นสิคะน้องธนู เราสนิทกันตั้งหลายครั้งแล้วน้า พี่จำไม่ผิดคนหรอก เนี่ยคิดถึงมากเลย” หญิงสาวกอดแขนของคันศรแนบอก เขาตัวเกร็งผึงทันที เหงื่อเริ่มตก เพราะนอกจากเธอจะไม่ยอมสังเกตให้ดีๆ ว่าผมมันคนละทรงแล้ว ยังกอดแนบแน่น
แล้วไอ้ที่บอกสนิทกันหลายครั้ง คืออะไรวะไอ้นู!
“เสาร์อาทิตย์ก็แวะไปที่บ้านมั่งนะธนู หรือไปที่คอนโดพี่ก็ได้ รู้ว่าเปิดเทอม มีซ้อมดนตรีตลอด แต่พี่ก็คิดถึงไงคะ”
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ แต่ผม...” ไม่ทันได้อธิบายอะไร สาวเจ้าก็โน้มคอเขาลงไปจูบแบบไม่ให้ตั้งตัว
“อื้อออ” คันศรพยายามจะดันร่างหญิงสาวออก เกิดมาเพิ่งเจอคนรุกแรงตัวแม่ขนาดนี้ แถมยังเล่นดีพคิสเลย งงก็งง แต่ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงดี สาวเป้ยที่ตั้งใจจะจีบก็เดินลงมาจากเวทีแล้ว พอเห็นเขากำลังจูบกับพี่สาวคนนี้ก็มองยิ้มๆ แล้วเดินหันหลังให้
ให้ตายสิวะ ไอ้เหี้ยนู! มึงไปมั่วกับใครไว้มั่งเนี่ย!
“พี่ พี่ครับ ขอโทษที ผมไม่ใช่ไอ้นู!” คันศรผละออกมาจนได้ ไม่ใช่ว่าคล้อยตาม แต่แค่ไม่อยากผลักแรง พี่สาวตัวนิดเดียว กลัวจะหัก “ปล่อยก่อนนะพี่นะ ผมชื่อคันศร ไม่ใช่ธนู!”
“เอ๋? อะไรนะคะ” สาวเจ้าขมวดคิ้วฉับ
“พี่ดูดีๆ ดิ ผมไม่ใช่ธนู ผมเป็นน้องมัน”
“ธนู อย่าแกล้งอำกันสิ พี่ไม่เล่นนะ” เธอโวยวายหน้าแดงก่ำ แต่ก็พยายามเพ่งมองหน้าของเขาดีๆ อย่างที่บอก “เอ๊ะ อ้าว? นี่น้องชายของธนูเหรอ?”
“ครับ ผมชื่อคันศร”
“แล้วธนูล่ะคะ ธนูมาด้วยหรือเปล่า” หญิงสาวที่ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ไหนหันซ้ายหันขวา คันศรพ่นลมหายใจแรง คนที่เล็งไว้หายไปไหนแล้วไม่รู้ อุตส่าห์รอตั้งนาน ว่าจะให้พีทแนะนำให้รู้จัก เพื่อนของธนูมีแต่สาวน่ารักๆ ทั้งนั้นด้วย ไม่ทำความรู้จักไว้ก็เสียดายของ แต่จริงๆ พี่สาวคนสวยตรงหน้าก็ดี แต่ยังไม่สเปคเท่าไหร่ แรงไป
“มันอยู่บ้าน ทีนี้พี่เข้าใจถูกแล้วนะครับ”
“คะ ค่ะ เข้าใจแล้ว โธ่ น่าอายจัง ขอโทษด้วยนะคะน้องคันศร” แม้จะเข้าใจแล้ว แต่ดูเหมือนเจ๊แกจะยังไม่ยอมปล่อยเขา เจ้าหล่อนกอดแขนสนิทแนบแน่น แถมยังจ้องมองเขาตาแทบไม่กะพริบ
คันศรก้มมองริมฝีปากที่ทาลิปสีแดงสดนั้นพลางเลียริมฝีปากตัวเอง
แรงไป แต่แค่เล่นๆ ชั่วครั้งชั่วคราว ก็ไม่เลว
“ถ้าพี่ไม่รังเกียจ คืนนี้อยู่กับผมแทนไอ้นูได้นะครับ”
***
คืนนั้น คันศรไม่กลับบ้าน
ธนูโทรหาพีทแต่เช้า เพราะฝากน้องไว้กับพีท แต่ดันหายหัวกันไปหมด ไม่มีใครโทรหรือไลน์บอกเลยสักคน ว่าคันศรไปไหนกับใคร
[เห็นมันหิ้วสาวที่ไหนไปไม่รู้ กูก็เมาๆ ว่ะ เห็นแต่หลังไวๆ]
ธนูนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ “โอเคครับ งั้นผมไม่กวนคุณแล้ว”
[เออ โทษทีนะนู]
เขากดวางสาย หงุดหงิดนิดหน่อยที่คันศรทำตัวแบบนี้ ไม่รู้หรือไงว่าพี่จะเป็นห่วง อย่างน้อยแค่ไลน์มาบอกว่าไม่กลับ ก็ยังพอให้อภัย แต่นี่เล่นหายไปทั้งคืน ไม่ติดต่อมาเลย ถ้ากลับมา ต้องมีสวดกันหน่อย
นอกจากเรื่องน้องชายตัวดีแล้ว ก็ยังมีเรื่องเมื่อคืน...กับอ๋อง
เขาเผลอทำให้เด็กคนนั้นตกใจกลัวไปแล้ว ทั้งที่ไม่ควรจะทำแบบนั้นเลย
ทั้งที่รู้ว่าอ๋องชอบคันศร
Rrr
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดความคิดของเขาพอดี เป็นเบอร์ของคันศร
“อยู่ไหน”
เสียงแข็งจนปลายสายถึงกับสะอึก
[บ้านเพื่อน เดี๋ยวไปมอเลย คืนนี้ก็คงดึกนะ ไม่ก็ไม่กลับ]
“ทำอะไรก็ป้องกันดีๆ ด้วยล่ะ ระวังตัวด้วย” เขาเตือน เพราะพอจะรู้ว่าคันศรคงไม่ไปค้างบ้านเพื่อนเฉยๆ น่าจะมีกิจกรรมอื่นด้วย ไม่งั้นคงไม่หายเงียบไปขนาดนี้
[จ้าๆ ห่วงตัวมึงเองด้วยเหอะ อยู่บ้านคนเดียวไม่นอยนะเว้ย]
“หึ” ธนูหัวเราะในคอ ก่อนหน้านี้ใครที่สภาพดูไม่ได้ จนพี่ชายอย่างเขาต้องรีบถ่อมาอยู่ด้วยกัน แม้จริงๆ ที่ตามหาบ้านหลังนี้ เพื่อจะลี้ภัยก็เถอะ
“วันไหนจะกลับบ้านก็บอกล่วงหน้าล่ะ”
[ทำไม มึงจะพาสาวที่ไหนมานอนกกเหรอวะ ฮ่าๆ] เสียงหัวเราะของคันศร ทำให้ธนูรู้สึกตะหงิดๆ ในใจ เขายังไม่ได้บอก แต่คิดว่าอยู่ๆ ไป เดี๋ยวคันศรก็รู้เอง ว่าเขาเป็นอะไร
“ฉันไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก”
[ให้มันจริง เมื่อคืนกูเจอเด็กมึง โครตเด็ด คงไม่ใช่แฟนมึงเนอะ ดูแล้วมึงไม่น่าชอบแรงๆ แบบนี้]
นั่นไง มันมีอะไรจริงๆ ธนูนิ่วหน้าหนักกว่าเก่า
“ฉันยังไม่มีแฟน”
[ดีๆ กูก็เสียวๆ ว่าไปยุ่งกับคนของมึงแล้วจะมีปัญหา แต่เจ๊เขาบอกไม่เป็นไรไง ของแรงจริงไรจริง กูนี่เสียวสัสๆ เออ ไว้กลับบ้านค่อยคุยดีกว่า ทีหลังซุกเด็กที่ไหนไว้ บอกกูด้วยล่ะ เดี๋ยวเขามาทักผิดอีก กูจะได้อธิบายถูก]
“อืม” ธนูตอบได้แค่นั้น เพราะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ว่าคันศรพูดเรื่องอะไร ก่อนจะวางสายไป
ในเมื่อคันศรไม่อยู่ ธนูเลยต้องขับรถไปเรียนเอง พอตกเย็นพวกพีทก็ชวนให้ไปด้วย เพราะนัดกับกลุ่มของคันศรไว้ ตอนแรกเขาก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ นอกจากจะมีงานแสดง นานๆ ครั้งถึงจะยอมเข้าผับกับเพื่อน แต่พอคิดถึงหน้าของอ๋อง ที่วันนั้นเหมือนจะกลัวเขาและคงไม่กล้ามาหาอีกแล้ว เขาก็อยากจะไปคลายเครียดสักหน่อย ให้ลืมเรื่องคาใจพวกนั้นไป
ทางด้านคันศร ก็เตรียมไปกับพวกแทนทัพ และยังโทรไปบอกพี่สาวคนสวยให้ด้วย เพราะเห็นอยากเจอธนูเหลือเกิน
“โอเคครับพี่เพลิน เจอกันร้านเดิมครับผม”
“แหมๆ คุยกับสาวที่ไหนวะมึง หน้าระรื่น” ธันวาโผล่หน้ามากอดคอคันศร ชะโงกมองหน้าจอสมาร์ทโฟนในมือของเพื่อนรักอย่างสนอกสนใจ “โห สวยอยู่นะมึง”
“เด็กพี่กูว่ะ เขาทักผิด กูเลยได้xxไปด้วย” คันศรยักคิ้วพลางทำนิ้วว่าได้เสียกันแล้ว
“เร็วไปมึงก็” ธันวาหัวเราะพลางตบหัวเพื่อนเบาๆ อย่างหมั่นไส้ “ไม่ตีกับพี่มึงใช่มั้ย”
“ไม่ๆ กูถามมันแล้ว มันบอกไม่ใช่แฟน ทางสะดวก”
“เออ ไว้แนะนำเพื่อนฝูงมั่ง” แล้วสองหนุ่มก็เหล่มองตากันอย่างรู้ทัน
และเพราะคืนนั้น สองแฝดไม่อยู่บ้านทั้งคู่ เจ้าตัวเล็กที่นั่งเกาะขอบหน้าต่างห้องนอนคอยมองแสงไฟในบ้านแฝดว่าเมื่อไหร่จะเปิด ก็ได้แต่รอจนผลอยหลับไป
***
เพื่อนๆ ของสองแฝดต่างเข้ากันได้ดีในเวลาอันรวดเร็ว เหมือนที่คันศรเข้ากับเพื่อนของธนูได้ดีมาก คันศรยืนคุยหัวเราะกับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนาน มองดูเป้ย ที่พีทแนะนำให้รู้จักแล้วอยู่หน้าเวที ดวงตาของคันศรจับจ้องหญิงสาวร่างบางผมยาวสีทองมัดรวบเป็นหางม้า ที่กำลังร้องเพลงอยู่บนเวที ด้วยแววตาเป็นประกาย
ส่วนธนู นั่งจิบเหล้าทีละนิดอยู่กับพวกพีทและธันวา เพราะคืนแรกที่เขาไปบ้านของคันศร ธันวาไม่อยู่ด้วย ก็เลยไม่ได้รู้สึกเกร็งอะไรกับพี่ชายเพื่อน กลายเป็นคุยกันถูกคอไปอีก
“ไอ้ศรแม่งกลับมาเป็นนักล่าเหมือนเดิมแล้วว่ะ” ผ่านไปร่วม 2 เดือน คันศรตอนนี้ดูหายเศร้าซึมเป็นปลิดทิ้ง แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครรู้หรอก ว่าข้างในนั้นของมันก็ยังเศร้าเหมือนเดิม แค่พยายามที่จะไม่แสดงออกมา และคนที่สื่อความรู้สึกกับคันศรได้อย่างธนู ก็รู้ดีที่สุด แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันมานาน แต่บางเรื่อง แค่มองตาก็รู้แล้ว
“แต่ก่อนเจอสวยๆ น่ารักๆ หน่อยนะ เอาหมด” แทนทัพสมทบ พีทหัวเราะ พลางเหล่ไปทางคนพี่
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ แม่งโครตต่างกับพี่มัน”
ธนูเองก็เหล่มองพีทแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนจะลุกขึ้น
“ขอไปสูดอากาศข้างนอกแป้ป”
“อ้าว ไรวะ เพิ่งมาไม่ถึงชั่วโมงเอง” ธันวามองตามหลังธนูไป
“มันก็อย่างนั้นแหละ ปกติมาแค่เล่นดนตรี ไม่ค่อยชอบแดกเหล้าหรอก” พีทว่าพลางกระดกเหล้าเข้าปาก “บุหรี่ก็ไม่สูบ ผู้ชายในฝันของสาวๆ ฮ่าๆ”
“คือ เพราะหน้าเหมือนกันก็เลยคิดว่าจะเหมือนไอ้ศร แต่ก็ไม่เหมือนเลย” แทนทัพนึกภาพคืนแรกที่เจอกัน สีหน้าท่าทางของธนูออกแนวคุณชายสุดๆ ไม่มีคำหยาบหลุดอออกมาจากปากเลยสักคำ ทั้งที่แววตาตำหนิพวกเขา
“ก็คงเหมือนแค่หน้านั่นแหละ ฮ่าๆ” พีทยังหัวเราะไม่หยุด เหมือนจะสนุกอยู่คนเดียว จนอีกสองคนมองหน้ากันอย่าง งงๆ
ธนูเดินออกไปหน้าผับ หาที่นั่งคนเดียวเงียบๆ ตรงมุมตึก ตอนนี้ในหัวยังครุ่นคิด ว่าจะเข้าไปพูดคุยกับอ๋องยังไงดี เมื่อคืนทำให้อ๋องต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่มันหงุดหงิดที่อ๋องเอาแต่พูดถึงแฝดน้อง ทั้งที่คนที่นั่งข้างๆ คือเขาคนนี้ ก็เข้าใจว่าคนเคยอยู่กันมานาน สนิทกันมานานกว่า แถมอ๋องก็ชอบคันศรมากมาตั้งแต่แรกๆ แล้ว
แล้วเขาที่เพิ่งเข้ามาแค่ไม่กี่อาทิตย์ ยังไม่ทันรู้จักกันดีเลย จู่ๆ ก็ทำแบบนั้น เด็กคนนั้นก็คงตกใจกลัว จนขวัญกระเจิง และคงไม่กล้าเข้ามาคุยเล่นกับเขาอีกแล้วล่ะมั้ง
...
“อ๋องชอบศรเหรอ”
ประโยคนั้นดังก้อง แววตาของธนูที่มองมา ทำให้อ๋องรู้สึกใจสั่น แต่ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น ธนูจ้องมองเหมือนต้องการคาดคั้นเอาคำตอบ ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นลึกล้ำคล้ายกำลังสะกดให้คล้อยตาม จนอ๋องขยับตัวไม่ได้ มือข้างซ้ายถูกกุมไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ
“พะ พี่นู...ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”
“ใช่หรือเปล่า”
น้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนกดดันอยู่ในที อ๋องแทบกลั้นหายใจ เมื่อลมหายใจอุ่นๆ มาพ่นรดอยู่ตรงหน้า ปลายจมูกของคนตัวโตกว่าสัมผัสกับปลายจมูกของตนเบาๆ
“ตอบสิครับ”
“ถ้า ถ้าชอบแล้วมันทำไมล่ะ” อ๋องตอบตะกุกตะกัก หน้าร้อนไปหมด
“ถ้าเป็นพี่ พอแทนกันได้มั้ย”
อ๋องเงยหน้าขึ้นทันที เรียวคิ้วบางๆ ขมวดมุ่น ไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะพูด
“รู้ใช่มั้ย ว่าศรชอบผู้หญิง”
อ๋องพยักหน้ารับ รู้สิ รู้มาตั้งนานแล้ว ถ้าชอบผู้ชายด้วยกัน คงหวั่นไหวกับทุกสิ่งที่อ๋องพยายามทำแล้ว ทั้งที่อยู่ใกล้กันแค่นี้ แต่คันศรไม่เคยแสดงท่าทีอะไรเลย นอกจากลูบหัว ตบหลัง ทำเหมือนเป็นพี่น้องทั่วไป
แล้วทำไมต้องมาตอกย้ำกันด้วย
“แล้วก็ยังจะชอบมันเหรอ”
อ๋องนิ่งไปสักพัก แต่ก็พยักหน้าอยู่ดี ยิ่งเห็นท่าทางแบบนั้น ธนูยิ่งหงุดหงิด ทั้งที่ไม่มีสิทธิ เขาชอบอ๋อง คิดว่าน่ารักดี ตลกดี แต่พอรู้จักไปสักพักก็ยิ่งอยากรู้จักมากกว่านี้อีก
อยากเป็นมากกว่าพี่น้อง
“แล้วกับพี่ล่ะ”
อ๋องมองหน้าเขา กะพริบตาปริบๆ “พี่นูหมายความว่าไง”
“กับพี่ไม่ได้เหรอ”
“ผมไม่เข้าใจอ่ะ” อ๋องเริ่มรู้สึกถึงการคุกคามจากร่างสูงโปร่ง จึงพยายามจะดึงมือซ้ายออกและงอเข่าขึ้นมาขวางไว้ กลิ่นน้ำหอมของธนูต่างจากกลิ่นของคันศร แม้จะหน้าเหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่คนเดียวกัน
แล้วมันจะแทนกันได้ยังไง
“พี่นู...อื้อ” แล้วอ๋องก็ได้เข้าใจคำตอบนั้นอย่างถ่องแท้ เมื่อริมฝีปากร้อนฉกลงมา มันไม่ได้รุนแรงมาก แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยน เหมือนธนูไม่พอใจอะไรสักอย่าง
หลายๆ อย่างของพวกเขาเหมือนกัน ชอบอะไรเหมือนๆ กัน แต่ขอแค่เรื่องนี้ ขอให้มันเป็นข้อยกเว้น ขอให้คันศรไม่มีวันชอบผู้ชาย
ขอแค่นั้นเอง***
ธนูถอนหายใจยาว เงยหน้ามองท้องฟ้ามืดๆ แล้วยิ่งหดหู่ ไม่รู้ว่าเจอหน้าอ๋องแล้วจะทำหน้าแบบไหนดี เผลอๆ เด็กคนนั้นอาจจะหลบหน้าเขาไปตลอดเลยก็ได้ แต่อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด เพราะเขาพลาดเอง ใจร้อนไปเอง เพราะกลัวว่าคันศรจะเปลี่ยนใจ
คิดไปก็ไม่ช่วยอะไร ธนูลุกขึ้นบิดตัวเล็กน้อย กะจะเดินกลับเข้าไปในผับ ทว่า เสียงของผู้หญิงคนนั้นก็ดังเข้ามาในโสตประสาท และมันไม่ใช่อาการหลอน
“ธนู!” เพลินวิ่งเข้ามากอดเอวของเขาไว้แน่น “คราวนี้ไม่ผิดตัวแน่ๆ ธนูของพี่เพลินจริงๆ”
“ผมไปเป็นของคุณตอนไหน” ธนูนิ่วหน้า พยายามจะแกะมือของเธอออก เขายืนหันหลังอยู่ หน้าอกของเธอแนบสนิทกับแผ่นหลังของเขา
“อย่าพูดแบบนั้นสิธนู กลับบ้านกับพี่นะ คุณพ่อบอกว่าอีก 3 วันจะกลับ ถ้าธนูไม่อยู่ พี่กับแม่จะตอบว่ายังไงล่ะ”
“ก็บอกว่าไม่รู้ไปสิ”
“แต่พี่อยากให้ธนูกลับไปกับพี่นี่ นะธนู พี่รักธนูนะ” หญิงสาวกอดรัดเขาไม่ยอมปล่อย จนธนูคิดว่าจะต้องออกแรงจริงๆ แล้ว
“แต่ผม”
“ทำไรอยู่วะ นู...”
โชคดีที่มีคนออกมาตาม ธันวา เพื่อนของคันศรนั่นเอง คงเห็นเขาออกมาข้างนอกนนานแล้ว ไอ้พีทไม่ต้องพูดถึง รายนั้นไม่เคยห่วงใยเขาอยู่แล้ว แต่พอธันวาเห็นเขาอยู่กับผู้หญิงก็ยกมือทำเหมือนจะขอโทษแล้วหมุนตัวกลับเข้าร้าน แต่ธนูรีบผลักเพลินออกแล้ววิ่งไปกระชากคอเสื้อของธันวาไว้
“คุณรบกวนเข้าใจใหม่นะครับ ผมเป็นเกย์!”
“หือ?” คนที่ตกใจไม่ได้มีแค่เพลิน เพราะเธอรู้อยู่แล้ว แต่กลายเป็นธันวา คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย ธันวาเลิกคิ้วมองหน้าธนู ก่อนจะตาแทบถลนออกนอกเบ้า เพราะโดนกระชากคอกลับไป
“และไอ้นี่คือเมียผม!” “เฮ้ยยย อุ๊บ”
สิ้นเสียง ธันวากรีดร้องไม่ถึงวินาที ก็โดนปิดปากอย่างแรงจากคนหน้าเหมือนเพื่อนตัวเอง
เอวัง