(END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63  (อ่าน 21665 ครั้ง)

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 21 4.05.63
«ตอบ #30 เมื่อ05-05-2020 02:33:47 »

อยู่จ้ะอยู่ ไม่ไปไหนแล้ว

ออฟไลน์ KJH177

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 22 6.05.63
«ตอบ #31 เมื่อ06-05-2020 18:54:57 »

บทที่ 22
ดีขึ้นอีกดีขึ้นอีก

              จากประสบการณ์ที่ผมอยู่กับพี่กูนมา สัญญาณแบบนี้มันบ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของผมกับพี่กูนกำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ถึงแม้จะไม่มีคำพูดยืนยันแต่การกระทำของเราสองคนก็ยังคงเหมือนเดิม แต่อาจจะมีผมที่เพิ่มมากขึ้น

              “พี่กูนเย็นนี้ผมอาจจะกลับดึกนะพี่ มีเลี้ยงสาย”

              “โทรบอกเดี๋ยวมารับ”

              “ผมกลับเองได้พี่ แค่นี้จิ๊บจ้อย”

              “จิ๊บจ้อยหน้ามึงดิ คราวที่แล้วก็เมาไม่รู้เรื่อง...” แต่ทำไมคำว่าเมาไม่รู้เรื่องถึงทำเอาพี่กูนหน้าแดงทำตัวไม่ถูกแบบนี้ หรือว่าระหว่างที่ผมเมาผมลวนลามพี่กุนวะ? อย่างนี้ผมต้องรับผิดชอบรึเปล่าเนี่ย

              “ผมข่มขืนพี่เหรอ? ให้ผมรับผิดชอบพี่ไหม?”

              “เดี๋ยวกูเตะคว่ำเลยไอ้ติ” ผมเบะปากมองบนก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าสะพายด้านเบาะหลังรถ

              “ไปเรียนแล้วนะพี่ จะตั้งใจเรียนสุดๆไปเลย ไม่ทำให้พี่ผิดหวัง”

              “ปากดีนะมึง”

              “นุ่มด้วยแหละพี่ อย่าพึ่งด่าผมไปแล้ว” ผมรีบเปิดประตูลงรถก่อนที่พี่กูนจะอ้าปากด่าผมอีกรอบ หลังจากวันนั้นผมได้ความกล้าและหน้าด้านที่จะหยอดพี่กูนทุกวัน ถ้าทำไปเรื่อยๆสักวันพี่กูนก็จะเปิดใจรับความรู้สึกของผมมากกว่านี้แน่ๆ และวันนั้นไอ้ติคนนี้ก็จะได้เป็นคุณนายตำรวจ

 
              “ยิ้มหน้าบานเลยนะมึง” หลังจากที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องเรียน ไอ้มีนที่มาถึงก่อนแล้วส่งเสียงทักทันที

              “ตีนก็บาน อยากดูไหมล่ะมึง” ผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆไอ้มีน “วันนี้สายมึงเลี้ยงไหม”

              “เลี้ยงดิ หลังเชียร์ เตรียมท้องไว้แล้วกู” ไม่พูดเปล่าไอ้มีนยังทำท่าลูบท้องของมันไปด้วย ผมส่ายหัวให้กับท่าทางของมันก่อนจะหันมานั่งเล่นระหว่างรอคนอื่นๆมา จนกระทั่ง...

              “กูแยกเลยนะ”

              “เจอกันเพื่อน”

              “บาย” หลังจากที่จบกิจกรรมในห้องเชียร์ทั้งหมดต่างพากันไปอยู่รวมกับสายซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน จะว่าโชคดีหรือไม่ผมก็ไม่แน่ใจเพราะพี่รหัสของผมก็จบมาจากที่เดียวกัน... เลือดเด็กช่างมันแรง

              “โคตรบังเอิญเลยไอ้ติ”

              “บังเอิญมากพี่” พี่เดียว พี่รหัสของผมเดินมาตบไหล่แรงๆ “ไม่คิดว่าจะเจอกันอีก”

              “กูก็ไม่คิดว่าจะเจอมึงเหมือนกันครับ” พี่เดียวเดินกอดคอผมออกจากห้องเชียร์เหมือนอย่างพี่รหัสน้องรหัสคนอื่นๆ แต่ต่างตรงที่ผมอยู่กับพี่เดียวสองคน ส่วนปู่รหัสลุงรหัสไม่มี...

              “เออพี่ ทำไมเราไม่มีปู่หือลุงรหัสเลย”

              “ซิ่ว..เหลือกูที่ยังล่อแล่อยู่ว่าจะเอาไง ไปต่อหรือพอแค่นี้”

              “โห่พี่ อยู่กับผมก่อนดิ” ได้พี่รหัสเป็นพี่เดียวก็ดีจะได้ไม่เกร็ง พูดง่ายๆว่าผมจะได้ไม่ต้องสุภาพมาก “จะรีบซิ่วไปไหน”
 
              “เดี๋ยวมึงเรียนก็รู้”

              “แค่ยังไม่เรียนเท่าไหร่ก็เริ่มรู้แล้วเนี่ย” เพราะการเรียนมันต่างจากตอนที่ผมเรียนเทคนิคอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะการเพิ่มทฤษฎีเข้ามาอย่างเข้มข้นขึ้น

              “กินเบาๆก่อนเนอะ ค่อยไปน้ำเมา”

              “จัดไปพี่” ถ้าเป็นสายรหัสคนอื่นคงจะพากันไปจบที่ร้านชาบูหมูกระทะแต่สำหรับสายพี่เดียว จบที่ร้านอะไรง่ายๆอย่างก๋วยเตี๋ยวชามละสี่สิบบาท โดยที่พี่แกให้เหตุผลว่า

              “เอาเงินไว้กินเหล้าดีกว่าไอ้น้อง” ผมก็เลยเออออตามพี่เดียวไป จะว่าไปไอ้พี่เดียวนี่ก็ดูดีขึ้นกว่าตอนที่เรียนเทคนิคอีกนะ โดยเฉพาะหูที่กลับมาเหมือนคนปกติ เพราะตอนนั้นผมจำได้ว่าในเทคนิคไม่มีใครระเบิดหูใหญ่เท่าพี่เดียวอีกแล้ว ส่วนทรงผมก็ดีขึ้นกว่าผมยาวเมื่อก่อน หน้าตาสะอาดสะอ้านขึ้นเป็นกอง ผมหวังว่าในอนาคตผมจะพัฒนาได้อย่างพี่เดียวในตอนนี้

              “กูหล่อขนาดนั้นเลย?”

              “เปล่าพี่ๆ แค่คิดว่าพี่เปลี่ยนไปจริงๆ อยากจะเอารูปมาเทียบชัดๆเลย”

              “คนเราก็ต้องพัฒนาขึ้นดิวะ โดยเฉพาะช่วงมีฟามรัก”

              “พี่มีแฟนแล้วเหรอพี่เดียว”       

             “เออ หล่อๆแบบกูก็ต้องมีแล้วเป็นธรรมดา ให้กูหาให้ไหมล่ะเพื่อนๆแฟนก็ก็แจ่มๆทั้งนั้น”

              “เกรงใจพี่”

              “เดี๋ยวแฟนกูมาด้วย มึงสั่งเลย อยากแดกไรสั่ง” ด้วยความที่สนิทชิดเชื้อมาบ้างแล้วผมจึงไม่เกรงใจอะไรพี่เดียวมันมาก ส่วนมากที่ผมสั่งก็คือ....

              “หิวจัดเลยดิมึง? ไอ้เวร มาร้านเหล้าเสือกสั่งกับมาเต็มโต๊ะ” พี่เดียวมองอาหารที่ถยอยมาเสิร์ฟ เอาจริงๆผมยังเข็ดกับไอ้อาการแฮงค์คราวที่แล้วอยู่เลย เลยไม่กล้าห้าวสั่งมาเยอะ

              “ผมเน้นอิ่มพี่”

              “แดกไม่หมดกูยาหัวมึงแน่” พี่เดียวกระดกแก้วขึ้นดื่มพร้อมกับด่าผมไปด้วย ผมกับพี่เดียวเราสองคนนั่งคุยกันอย่างถูกคอ ก่อนที่จะมาจบที่เรื่องของผม “ได้ข่าวว่ามีเรื่องกับไอ้เต๋า หนักเลยดิเห็นคนพูดๆกัน”

              “พอตัวอยู่พี่”

              “เบาๆบ้างมีเรื่องอะมึง ไม่คุ้ม”

              “พี่กล้าสอนผมเนี่ยนะพี่เดียว” เพราะวีรกรรมพี่เดียวมันไม่ต่างจากผมเลย ออกไปทางโหดกว่าด้วยซ้ำถึงขนาดพกมีดพกปืนไว้ในกระเป๋าทุกวัน

              “กูเลิกแล้ว”

              “ถามจริง”

              “เออ มีแฟนแล้วก็ต้องเบาๆเรื่องพวกนี้ อีกอย่างในมหาลัยมันไม่เหมือนที่เราเคยอยู่ไอ้ติ”

              “ก็จริงพี่” ถ้าเทียบความห้าวก็ยังไม่เท่ากับที่เทคนิคที่ผมเคยเรียนเลย “เอ้า ผมชงให้” เมื่อเห็นแก้วพี่เดียวว่างผมเลยอาสาชงให้พี่มัน

              “เมื่อไหร่แฟนกูจะมาวะ” เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก พี่เดียวก็เริ่มบ่นถึงแฟนที่บอกจะมากินด้วย แต่นี่ก็สี่ทุ่มกว่าแล้วผมยังไม่เห็นมีใครมาเลย

              “โทรดิพี่”

              “รอกูแปบ” ผมพยักหน้าและนั่งดื่มชิวๆฟังเพลงรอพี่เดียวที่ออกไปโทรหาแฟนข้างนอกเพราะข้างในค่อนข้างที่จะเสียงดัง เมื่อผมว่างผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะส่งข้อความหาพี่กูน

              Ti : พี่นอนยัง

              ผมรอไม่นานข้อความที่ส่งไปก็ขึ้นว่าอ่านก่อนที่พี่กูนจะกดตอบกลับมา ซึ่งนั่นสามารถเรียกรอยยิ้มให้ผมได้

              Kun : รอหมากลับบ้านก่อนค่อยนอน

              Ti : คิดถึงผมอะดิพี่

              Kun : กูเริ่มง่วงล่ะ

              ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมเมื่อเห็นว่าพี่เดียวเดินกลับเข้ามา ทำให้ผมไม่ได้เปิดอ่านข้อความที่พี่กูนส่งมาล่าสุด

              Kun : อย่ามีเรื่องนะมึง ถ้ามีกูเอามึงตายแน่

              “เห้ย!พี่เป็นไรวะ!” เมื่อพี่เดียวมาถึงโต๊ะก็กระดกเหล้าเอาอย่างเดียวก่อนจะลามมาที่ดึงแก้วของผมขึ้นไปกระดกด้วย

              “ทะเลาะกันแฟนว่ะ งี่เง่า!”

              “ใจเย็นๆพี่” ด้วยความที่ผมทำตัวไม่ถูกว่าจะทำอย่างไงกับสถานการณ์ตรงหน้า ผมเลยรินเหล้าให้พี่เดียวอยู่อย่างนั้น “เล่าให้ผมฟังได้นะ”         

              “มันแม่งเหมือนมีกิ๊กเลยว่ะ เหมือนกันปิดบังกู”

              “พี่คิดมากรึเปล่า”

              “กูมั่นใจมาสักพักล่ะ ไอ้ติไปเป็นเพื่อนกูหน่อย วันนี้เอาให้รู้ไปกันเลย” ผมรีบคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเองและวิ่งตามพี่เดียวออกไปโดยไม่รู้จุดหมาย รู้ตัวอีกทีผมก็กระโดดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์ของพี่มันแล้ว

              “ให้ผมขับให้ไหมพี่ พี่ไหวเหรอ”         

            “ไหว! ใจกูไหว” ฉิบหายแล้วไหมไอ้ติ ใจไหวแต่ถ้าร่างกายไม่ไหวอิพี่มึงควรพักก่อนไหมวะ กว่าจะถึงมีหวังได้ตายกันก่อนเพราะอุบัติเหตุพอดี

              “พี่...”

              “กูไหว ไอ้ติ!” ผมนั่งเกร็งตลอดทั้งทาง อะไรที่ผมสามารถจับได้ผมก็จับเอาไว้ก่อน จนกระทั่งเหตุการณ์ที่ผมไม่ได้คาดฝันก็เกิดขึ้น...

              “ฉิบหายแล้วพี่มึง!”

              “ไหวกูไหว”     

            “..ผมว่าผมไม่ไหว...” อยากจะกระโดดลงตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

              “จอดครับจอด” ผมถูกตำรวจที่ตั้งด่านอยู่โบกเข้าไปจอดข้างทาง ซึ่งไอ้พี่เดียวก็ว่าง่ายขับไปจอดจริงๆพร้อมกับให้ความร่วมมือกับคุณตำรวจเต็มที่

              “สภาพนี้จับเป่าเลยจ่า” เชี้ย!! ไอ้พี่เดียวไม่รอดแน่ๆถ้าเป่า

              ระหว่างนั้นเองผมก็คิดถึงใบหน้าของพี่กูนขึ้นมา ถ้าพี่เดียวถูกจับผมก็ต้องโดนไปด้วยเพราะผมเองก็มากับพี่เดียวแม้จะไม่ได้ขับก็ตาม

              “ไอ้น้องเป่า” ตอนนี้ผมยืนลุ้นจนเยี่ยวเหนียวเมื่อคุณตำรวจเอาที่วัดแอลกอฮอล์มาให้พี่เดียวมันเป่า แต่ด้วยความทะลึ่งและกวนตีนแทนที่จะเป่าไอ้พี่เดียวกับอม..

              “ไอ้น้องเป่าไม่ใช่อม สภาพนี้พาไปโรงพักเลยจ่า” เสียงสั่งการของตำรวจอีกนายบอกทำให้ไอ้พี่เดียวถูกรวบตัวไป ส่วนผมตอนนี้ก็ได้แต่ยืนเอ๋ออยู่ที่ด่าน

              “แล้วผมล่ะครับ...”         

           “โทรให้ผู้ปกครองมารับ”

              “ผมกลับเองได้นะครับ”         

           “หรือจะให้ผมโทร” ผมจำใจต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและต่อสายหาพี่กูนโดยเร็ว ผมรอไม่นานพี่กูนก็กดรับทันทีด้วยคำพูดที่ว่า

              (ไหนบอกดึก?)

              “คือ...คือพี่ มันเป็นแบบนี้” ผมมองหน้าคุณตำรวจที่ตอนนี้กำลังยืนกอดอกมองหน้าผมอยู่ “ผมมากับพี่รหัสแล้วตอนนี้พี่รหัสอยู่โรงพักส่วนผมอยู่ที่ด่าน”

              (เมา?)

              “ตอนนี้ผมไม่เมาเพราะยังไม่ได้ดื่มเต็มที่ แต่คุณตำรวจเขาให้ผู้ปกครองมารับผม...” ผมเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหูเล็กน้อยเพราะเดาว่าพี่กูนจะต้องด่าอะไรผมแน่ๆ แต่ผิดคาด..

              (ส่งโลฯมา เดี๋ยวออกไปรับ)

              “พี่ไม่ว่าผมเหรอ”

              (แล้วมึงผิดไหมล่ะ)

              “ไม่แน่ใจว่าผิดไหม เรื่องข้อกฎหมายผมไม่แม่น”

              (รออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวกูไปรับ แค่นี้แหละ) พี่กูนตัดสายผมทิ้งทันที ทำให้ตอนนี้ผมยืนจ้องหน้าอยู่กับคุณตำรวจ จะบังเอิญไปไหมถ้าคุณตำรวจท่านนี้กับพี่กูนรู้จักกัน

              “ทะ...โทรแล้วครับ”             

          “ไปนั่งรอ จะยืนมองหน้าผมทำไม” ผมก็อยากถามนะว่าคุณตำรวจมองหน้าผมทำไมเหมือนกัน แต่เลี่ยงการมีเรื่องผมจึงเลือกที่จะสงบปากสงบคำ และรอพี่กูนระหว่างนั้นเองผมเห็นการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนมากจะเป็นเคสของคนเมามากกว่า เรื่องร้ายแรงอื่นๆตั้งแต่ผมนั่งมาผมก็ยังไม่เห็น

              เกือบครึ่งชั่วโมงรถที่แสนจะคุ้นตาขับเทียบท่าด่านที่ผมอยู่ ก่อนที่พี่กูนจะเปิดกระจกรถพูดคุยกับจ่าที่ยืนคุมด่านอยู่ และจ่าชี้มือมาที่ผม

              “มาๆ ผู้ปกครองมารับ” ผมรีบวิ่งไปที่รถก่อนจะยกมือไหว้พี่กูนและจ่าที่อยู่ด่านเพื่อบอกลาพร้อมกับขึ้นรถทันทีโดยที่พี่กูนไม่ได้ลงจากรถ

              “พี่ผมขอโทษ”

              “กูว่าอะไรรึยัง”

              “ขอโทษก่อนไงพี่ แต่ผมอธิบายได้นะว่ามันเป็นอย่างไง ก็คือพี่รหัสผมอะชื่อพี่เดียวบังเอิญว่ามาจากเทคนิคเดียวกันพี่เลยพาผมมาเลี้ยงข้าวแล้วก็ไปดื่มนิดหน่อย แต่ทีนี้พี่เขาทะเลาะกับแฟนเลยขอให้ผมไปเป็นเพื่อน แต่บังเอิญว่าเจอด่านก่อนพี่เดียวเลยไปโรงพักแทน ส่วนผมคุณตำรวจให้อยู่ที่ด่านรอผู้ปกครองมารับครับ” พี่กูนไม่ได้ตอบอะไรได้แต่นั่งฟังในสิ่งที่ผมอธิบาย

              “แล้วไงต่อ”

              “ก็อย่างที่พี่เห็นตอนนี้แหละ ผมสาบานว่าไม่ได้เมาเลย”

              “เด็กน้อยเอ้ย” พี่กูนยื่นมือมาผลักศีรษะของผมเบาๆก่อนจะกลับมาสนใจขับรถต่อ ส่วนผมเองก็เคลิ้มๆจึงแอบพักสายตาไป...
 

Kun’s talk

              ผมมองไอ้เด็กติที่นอนหลับอยู่เบาะข้างๆผม นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่มีใครให้ต้องเป็นห่วง ครั้งล่าสุดก็น่าจะตอนตาเรียนจบ แต่ความรู้สึกที่ผมมีให้ตามันต่างจากที่ผมรู้สึกกับไอ้เด็กนี่ มันอธิบายไม่ถูกเพียงแต่ว่าผมอยากเห็นมันเติบโตโดยที่มันยังอยู่ข้างๆผมแบบนี้ไปตลอด อยากเห็นมันรับปริญญา อยากเห็นมันทำงาน อยากเห็นมันประสบความสำเร็จ แต่สิ่งนั้นต้องมีผมด้วย

              ผมอาจจะเห็นแก่ตัวที่ยังปิดความรู้สึกที่มันชัดเจนมาตั้งแต่ไหนแต่ไหร่ ยอมรับครับว่ากลัว กลัวว่าจะไม่มีมันเหมือนเดิม อีกอย่างอาชีพผมก็เสี่ยงเอามากๆถ้าวันหนึ่งผมต้องอยู่ห่างจากมันโดยที่ไม่มีวันกลับมาหา ผมบอกตามตรงว่าผมทำใจไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจได้ก็คือ การกลับมาของไอ้ทิม....

              วันนั้นวันที่ผมเจอมันอยู่หน้าบ้านพร้อมกับไอ้ติ สติผมแทบแตก ผมอยากจะเดินไปฉุดให้ติเข้าบ้านและสั่งห้ามไม่ให้มันเจอกันอีก แต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมเทียบกับไอ้ทิมไม่ได้เลยในสิ่งที่เคยผ่านมาด้วยกัน แต่สิ่งที่ผมมีเหนือกว่ามันคือความรู้สึกของติที่มีให้ผมที่มากกว่า แม้จะไม่ใช่ในฐานะพี่ชายก็ตาม หลังจากที่ไล่ให้ติเข้าไปในบ้านผมก็มีโอกาสที่ได้คุยกับไอ้ทิมตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม

              ‘กูขอไอ้ติ’ เป็นคำแรกที่ผมพูดกับมัน สีหน้าของไอ้ทิมดูไม่ยอมแต่มันเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะติมันเลือกที่จะเข้าไปในบ้านของผมแทนที่จะอยู่กับไอ้ทิมคนที่มันอยากเจอนักเจอหนาซึ่งอยู่ตรงหน้ามันในตอนนี้ แค่การกระทำนี้ของติก็ทำให้ไอ้ทิมหน้าชา

              ‘ง่ายไปไหม นั่นมันน้องกู’

              ‘ก็รู้ว่าไม่ง่าย แต่มึงอย่าลืมว่ามึงดูแลไอ้ติไม่ได้ ถ้ามึงดูแลได้ไอ้ติคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ สิ่งที่มึงเลี้ยงไอ้ติมามันผิด มึงตามใจมันแบบผิดๆจนมันเกือบจะเสียคน’ ในฐานะคนนอกผมรู้ดีว่าตอนนี้ผมกำลังเสียมารยาท แต่ถ้าการเสียมารยาทครั้งนี้มันทำให้ไอ้ทิมยอมและคิดตามผมก็โอเค

              ‘มึงจะไปรู้อะไร’

              ‘ร้ามากกว่ามึงที่อยู่กับมันมานาน กูจะพูดกับมึงดีๆเลยนะ ถ้าอยากให้ชีวิตของน้องมึงดีก็อย่ามายุ่งกันอีกเลย กูดูแลมันได้สบายๆและรับรองว่าน้องของมึงจะมีความสุข’

              ‘กูยอมรับว่าเมื่อก่อนกูอาจจะเลี้ยงติแบบผิดๆ แต่กูทนเห็นน้องกูหมดอนาคตไม่ได้’

              ‘ตอนนี้อนาคตของน้องมึงกำลังอยู่ในเส้นทางใหม่ ซึ่งมึงไม่มีทางให้ได้ ปล่อยไปเถอะ ให้กูได้ดูแลเหมือนที่กูดูแลอยู่ทุกวันนี้’

              ‘มันง่ายไปไหม? ถ้ามึงไม่ให้ อย่างไงกูก็จะหาทางเอาน้องกูกลับมาให้ได้’ ถึงน้ำเสียงของมันจะไม่ได้ดูโกรธเกรี้ยวอะไร แต่ผมเห็นแววตาไม่ยอมคนของมันที่มองมาที่นัยน์ตาของผม

              ‘ถ้าวันนั้นกูยังอยู่มึงก็อย่าหวัง’ ผมพูดกับไอ้ทิมแค่นั้นก่อนจะเดินตามติเข้าบ้านไป แต่ในหัวของผมมันคิดๆและวนเวียนอยู่ว่า ผมจะขย้ำมันให้เหมือนกันกระดาษที่มันเคยเขียนไว้ให้ติตอนที่ติอยู่โรงพยาบาล ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าผมเคยเจอมันมาก่อน ผมเคยเจอมันตอนที่มันมาเยี่ยมไอ้ติวันนั้น...

ติพี่ทิมนะ พี่ทิมกลับมาแล้ว หายไวๆนะแล้วพี่จะพาเราไปอยู่ด้วย
ทิม

           ผมเว้นระยะเวลาให้ติได้คิดและทบทวนเพราะถ้าผมไปหาตอนนี้น้องมันได้สับสนแน่ๆ จนกระทั่งผมเข้าไปหามันในช่วงดึกคืนนั้น ผมได้ยินมันคุยกับเพื่อนมันทุกอย่าง และนั่นอาจเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ผมเริ่มทำความเข้าใจใหม่กับหัวใจและความรู้สึกของตัวเอง

              ผมรู้สึกเหมือนมันทุกอย่าง เพียงแต่ผมเองที่ไม่กล้า ไม่กล้าที่จะสลัดคำว่าพี่ชายน้องชายทิ้ง ผมเลยเลือกที่จะใช้การกระทำของผมเป็นคำตอบให้มันได้รับรู้ และผมสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ชีวิตของผมจะมีมันคอยอยู่ข้างๆ และแน่นอนว่าผมเองก็จะคอยอยู่ข้างๆมันเหมือนกัน

              “อยู่กับกูต้องเป็นเด็กดีนะมึง” หลังจากที่มาถึงบ้านผมยังไม่ได้ปลุกไอ้ติให้ตื่น เพราะยังอยากมองมันหลับอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันเองที่เป็นฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา

              “ถึงแล้วเหรอพี่?”           

             “ยังมั้ง”

              “งั้นผมนอน”

              “เดี๋ยวกูถีบให้” ไอ้ติหัวเราะออกมาน้อยๆก่อนที่มันจะเอื้อมไปเอากระเป๋าเป้ของมันมา แต่ผมกลับแย่งเอามาถือไว้เองและลงรถหนีมันเข้าบ้านก่อน

              ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องแสดงออกมากขนาดนี้ หรือว่าผมหลงมันไปแล้วว่ะ??


ปล. เราอยากได้ฟีสเเบคของนิยายเรื่องนี้หรือสำนวนรวมถึงการบรรยายเพื่อนำเอาไปปรับปรุงค่ะ รบกวนนักอ่านที่น่ารักของเราทุกๆคนด้วยนะคะ
 
 

ออฟไลน์ tiger2006

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 334
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 22 6.05.63
«ตอบ #32 เมื่อ06-05-2020 21:53:01 »

 o13 o13

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 22 6.05.63
«ตอบ #33 เมื่อ07-05-2020 08:51:16 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ KJH177

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 23 7.05.63
«ตอบ #34 เมื่อ07-05-2020 17:28:48 »

บทที่ 23
ผมไม่กลับไปหรอกครับพี่
Sati’s talk

              หลายวันผ่านไปเหมือนโกหก

 ผมก็ยิ่งกลายเป็นเด็กเสพติดพี่กูนไปแล้ว ไม่ว่าพี่มันจะไปไหนก็มีผมห้อยติดไปด้วยเกือบทุกที่ ถ้าถามว่าพี่มันลำคาญไหมผมก็ว่ามีแหละ แต่ผมดูออกว่าพี่มันก็อยากมีผมอยู่ข้างๆเหมือนกัน ถึงไม่ออกปากไล่เหมือนอย่างทุกที ซึ่งวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมอยู่บ้านกับพี่กูน
“พี่บีบไหล่ให้ผมหน่อยดิ” ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่พื้นส่วนพี่กูนนั่งอยู่บนโซฟา

“เดี๋ยวนี้มึงใช้กู?”     

         “ผมรู้พี่บีบให้ผมแน่นอน นี่เป็นเด็กดีขยันอ่านหนังสืออยู่นะ ให้รางวัลกันหน่อย” พี่กูนถอนหายใจออกมาเบาๆแต่ก็ยอมขยับมาใกล้ๆและบีบไหล่ให้ผม ซึ่งผมเองก็ตั้งใจอ่านหนังสืออย่างที่ผมพูดจริงๆ อ่านหนังสือไม่ทำให้ตายหรอกครับ..

“อ่านหนังสือแล้วเปลืองขนมนะมึง”             

         “เหงาปากอะพี่ มันต้องมีอะไรเคี้ยว”

“เคี้ยวที่ตีนกูหนิ”

“ขู่ผม เดี๋ยวไม่ตัดเล็บขบให้นะ” เขาบอกว่าถ้ารักใครต้องตัดเล็กขบให้ ไม่รู้พี่กูนมันจะรู้รึเปล่า

ผมนั่งอ่านหนังสือไปสักพักโดยที่พี่กูนบีบไหล่ผมไปด้วย แต่จังหวะนั้นเองที่ผมลืมปิดเสียงโทรศัพท์ก็มีคนโทรเข้ามา ถึงไม่เมมชื่อก็รู้ว่าเป็นใคร

“รับดิ”

“เดี๋ยวมานะพี่” ท่าทางตอนนี้ของผมโคตรจะมีพิรุธเลย แต่เอาเถอะผมจะรีบไปคุยแล้วรีบกลับเข้ามาก่อนที่พี่กูนจะออกมาตาม

“พี่ทิม”

(เป็นไงบ้าง ไม่ติดต่อพี่มาเลยนะ แล้วเรื่องที่เราเคยคุยกันติตัดสินใจได้ยัง ตอนนี้พี่ออกมาซื้อของไปทำห้องให้เราแล้วนะ ติอยากได้โทนห้องแบบไหนส่งรูปมาเลย)

“เอ่อ..พี่ทิม ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้พี่”

(ไม่ต้องเกรงใจหรอกติ)

“เกรงใจดิพี่ ผมแค่...” ผมแค่ยังอยากอยู่กับพี่กูนอยู่แค่ผมก็ไม่สามารถที่จะบอกพี่กณได้เต็มปากเต็มคำ “พี่ทิมไว้เราไปกินข้าวกันนะ เดี๋ยวผมเลี้ยงพี่เอง”

(ถ้าเป็นเงินของไอ้นั่นไม่ต้องเอามาเลี้ยงพี่)

“ไม่พี่ เงินที่ผมทำงาน ผมมีอยู่เลยไม่ได้ใช้ ให้ผมเลี้ยงตอบแทนที่นะพี่ทิม เหมือนที่พี่เคยเลี้ยงผมมาไง ไว้ผมบอกพี่ในไลน์นะพี่ทิม” ผมชิงตัดสายพี่ทิมก่อน

ผมว่าผมต้องจบเรื่องนี้โดยที่พี่ทั้งสองของผมจะไม่รู้สึกเจ็บ และผมก็ไม่รู้สึกผิด แต่ว่าจะเป็นวิธีไหนผมเองก็ยังคิดไม่ออก แต่ตอนนี้ผมรีบกลับเข้าไปด้านในดีกว่า

“พี่กูนพี่!” ผมเข้ามาด้านในก็ไม่เห็นพี่กูนอยู่ที่เดิม ผมเลยตามหาพี่กูนตามห้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ห้องเก็บของ ห้องซักผ้า แต่ก็ไม่เจอ แล้วใครมันจะเข้าไปในห้องพวกนั้นวะ ผมเลยตรงเข้าไปที่ห้องครัวแทนและเห็นว่าตอนนี้พี่กูนนั่งดื่มน้ำอยู่ในห้องครัว

“ผมเรียนพี่ไม่ได้ยินหรอพี่” ผมทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ได้ยิน”

“แล้วไม่ตอบผมอะ”

“ไม่อยากตอบ”       

        “เป็นอะไรรึเปล่าพี่”

“ไม่” ไม่..ไม่ปกติแล้ว ผมว่าตอนนี้พี่กูนต้องมีเรื่องไม่พอใจผมแน่ๆถึงได้ถามคำตอบคำแบบนี้ “แล้วมึงคุยเสร็จแล้วรึไง”

“เสร็จแล้ว”

“.....” เมื่อเห็นว่าพี่กูนเอาแต่เงียบผมจึงตัดสินใจพูดให้รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่อาจจะทำให้พี่กูนไม่พอใจ

“พี่ทิมโทรมา” เมื่อผมเอ่ยชื่อพี่ทิม พี่กูนที่ทำเป็นเมินในช่วงแรกตอนนี้กลับมาจ้องหน้าผมเขม็ง “พี่ทิมอยากให้ผมไปอยู่ด้วย แต่ผมยังไม่ได้ตอบอะไร ผมเลยชวนพี่ทิมออกไปเลี้ยงข้าวผมอยากตอบแทนหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่พี่ทิมเคยให้ผมถึงแม้ว่าการเลี้ยงข้าวมันจะเล็กน้อยก็เถอะพี่ แต่...ผมทำไม่ได้หรอกนะพี่ที่จะให้ตัดขาดหรือไม่ติดต่อกับพี่ทิม”         

     “.....”

“อย่างไงเขาก็เป็นพี่ชายของผม เป็นพี่ที่ผมเคารพและรัก”

“แล้วกูไม่ใช่พี่มึงรึไง”

“ก็ใช่ แต่ผมไม่อยากให้พี่เป็นพี่ผมไงพี่กูน” ผมตัดสินใจพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป วันนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด รุกก่อนมันก็ไม่เสียหายอะไรไม่ใช่เหรอครับ “เมื่อก่อนผมก็เห็นพี่เป็นพี่ชายนะ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ความรู้สึกของผมมันเปลี่ยนไป ผมรู้สึกกับพี่มันต่างจากที่ผมรู้สึกกับพี่ทิม”

“ไอ้ติ มึงพูดอะไรรู้ตัวไหม”

“ผมรู้ตัวมาตลอด ผมรู้พี่เองก็รู้ตัวเหมือนกันว่าผมรู้สึกอย่างไง ผมไม่รู้นะว่าพี่รู้สึกเหมือนผมไหมแต่ตอนนี้ผมอยากให้พี่เปิดใจให้ผมพี่กูน..”

“.....”

“ผมไม่อยากเป็นน้องชายพี่แล้วว่ะ” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะโน้มตัวไปหาพี่กูนแม้ว่าจะมีโต๊ะคั่นกลางอยู่ ผมค่อยๆประกบริมฝีปากของตัวเองลงริมฝีปากของพี่กูนเบาๆก่อนจะถอนออกมาอย่างช้าๆ “ผมว่าผมรักพี่ว่ะ”

“....ไอ้ติ”
 

หลายวันผ่านไป

              ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนถูกจัดเตรียมมาไม่มีผิด เพราะอยู่ๆวันนั้นพี่กูนถูกเรียกตัวไปต่างจังหวัดทันทีโดยที่ไม่มีกำหนดกลับ ส่วนผมน่ะเหรอก็อยู่บ้านไปเรียนแบบนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษ จนกระทั่งวันที่ผมนัดพี่ทิมมาทานข้าวตามที่เคยบอกเอาไว้ ซึ่งมันคือวันเกิดพี่ทิม ไม่มีอะไรจะเหมาะเจาะไปมากกว่านี้แล้ว

              “พี่ทิมพี่ผมออกมาหน้ามอแล้ว ให้ผมรอตรงไหน” ผมโทรหาพี่ทิมทันทีที่ออกมาหน้ามอเพราะพี่ทิมบอกว่าจะมารับผมหลังผมเลิกเรียน

              (รอตรงนั้นแหละ พี่ใกล้จะถึงแล้ว) ผมยืนรอพี่ทิมไม่นานก็มีรถคันหนึ่งจอดเทียบฟุตบาทที่ผมยืนรออยู่ ก่อนที่รถคันนั้นจะเปิดกระจกออกมา

              “ขึ้นรถเร็ววัยรุ่น”

              “จัดไปวัยโจ๋” ผมรีบวิ่งอ้อมไปอีกด้านพร้อมกับเปิดประตูรถและกระโดดขึ้นไป เมื่อผมขาดเข็มขัดเรียบร้อยพี่ทิมก็ขับออกไปทันที

              “พี่ทิมหวัดดีครับพี่”

              “จะพาพี่ไปเลี้ยงไหนไอ้น้อง”       

            “พี่อยากกินไรผมเลี้ยงไม่อั้นอะพี่”

              “เก็บตังค์ไว้เถอะไอ้น้อง” พี่ทิมของผมนี่ก็เปลี่ยนไปมากจริงๆดูนิ่งขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่มันมีรังสีประหลาดๆที่ผมเองก็บอกไม่ถูกว่านั่นมันรังสีอะไร

              “แล้วพี่ทำงานอะไร ผมถามได้ไหมพี่”         

             “ถามได้ แต่พี่ไม่บอก”     

             “กวนตีนว่ะพี่”

              “พี่มีเงินมากพอที่จะเลี้ยงเราก็แล้วกัน ไม่ต้องห่วง” เรื่องเงินผมไม่เคยห่วงเลย แต่เรื่องที่ผมห่วงก็คืออาชีพที่พี่ทิมทำ ผมมีลางสังหรณ์แปลกๆว่าพี่ทิมจะทำงานที่เสี่ยงอันตราย

              “ผมเป็นห่วงพี่แปลกๆว่ะพี่ทิม”

              “ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีใครทำอะไรพี่ได้” พี่ทิมยื่นมือมาลูบศีรษะของผมเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย แต่ถึงอย่างไรผมก็รู้สึกไม่ดีว่ะ
 

              หลังจากที่ขับรถมารับผมตอนนี้เราสองคนมุ่งหน้าไปยังร้านหมูกระทะที่พี่ทิมเลือก เป็นร้านไม่เล็กไม่ใหญ่แต่มีพื้นที่ที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว พี่ทิมเลือกมานั่งในมุมที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน เราสองคนสั่งอาหารไปค่อนข้างเยอะแต่ส่วนมากเป็นผมเองเพราะผมอยากให้พี่ทิมกินดีๆโดยที่ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่ทิมอาจจะกินดีกว่าผมแล้วก็ได้ แต่อย่างน้อยผมก็อยากเห็นกับตาว่าพี่ทิมกินของดีจริงๆ

              “สั่งมาเยอะกินหมดเหรอเรา”

              “ให้พี่ไง กินเยอะๆนะเว้ยพี่ทิมผมเลี้ยง”

              “ติก็ด้วยกินเยอะๆ”

              “แค่นี้ผมยังอ้วนไม่พออีกเหรอพี่”

              “กินเถอะ” เมื่ออาหารมาถึงผมก็อาสาจัดการทุกอย่างโดยที่ให้พี่ทิมนั่งอยู่เฉยๆ

              “อะพี่ กินเยอะๆเลย” ผมคีบหมูจากกระทะไปใส่ในจานพี่ทิมจนเต็ม “เอาผักไหมพี่ ไม่ต้องตอบผมตักให้เลย” ผมยังคงตักให้พี่ทิมอย่างต่อเนื่อง พี่ทิมที่ขี้เกียจบ่นผมแล้วก็ได้แต่นั่งยิ้มและกินของที่ผมตักให้ จนกระทั่งเราสองคนเริ่มอิ่ม

              “พี่ทิมพี่ ผมมีอะไรจะให้” ผมเปิดกระเป๋าเป้ของตัวเองออกมาก่อนจะหยิบของบางอย่างที่ผมไปซื้อมา “สุขสันต์วันเกิดนะพี่ชายของผม”

              “ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ติ”     

             “รับเถอะพี่ ผมอยากซื้อให้นานแล้ว ผมอยากให้พี่แต่ตอนนั้นผมมีเงินไม่มากพอ ตอนนี้ผมสามารถซื้อให้พี่ได้แล้วนะ” ผมยื่นกล่องนาฬิกายี่ห้อที่พี่ทิมเคยบอกผมตั้งอยู่วัดแล้วว่าอยากได้ ถึงมันจะไม่ได้มีราคาแพงมากขนาดนั้นแต่ผมก็อยากให้พี่ชายของผมได้ใส่ของที่ผมซื้อให้

              “ขอบคุณนะติ พี่จะใส่เลย” พี่ทิมรีบถอดนาฬิกาข้อมือของตัวเองออก จากสายตาของผมก็พอจะรู้ว่านาฬิกาของพี่ทิมน่าจะแพงกว่าเรือนที่ผมซื้อให้

              “พี่ ของพี่แพงกว่าที่ผมให้อีกนะ”

              “แต่น้องชายพี่ไม่ได้ซื้อให้” พี่ทิมใส่เสร็จก็รีบโชว์ผม “โคตรเท่เลย สมแล้วที่อยากได้มานาน” รอยยิ้มแห่งความดีใจของพี่ทิมมันทำให้ผมดีใจไปด้วย

              “พี่ชอบผมก็โคตรดีใจแล้ว”

              “พี่ก็มีอะไรจะให้ติ”

              “อะไรอะพี่” ผมนั่งลุ้นกับสิ่งที่พี่ทิมกำลังหยิบขึ้นมา “โห่พี่!!!” ทันทีที่เห็นของที่พี่ทิมเอามาให้น้ำตาผมแทบจะไหล

              “มันอาจจะดูปัญญาอ่อน แต่พี่เห็นติอยากได้ตั้งแต่เด็ก มันเป็นปมของพี่วันหนึ่งพี่จะต้องซื้อให้เราได้” ของตรงหน้าผมตอนนี้คือรถบังคับคันใหญ่

              “น้ำตาผมจะไหล” ไม่อยากจะเชื่อว่าสายใยความรักความผูกพันของผมกับพี่ทิมมันจะยังเหนียวแน่นขนาดนี้ เมื่อก่อนอยากได้อะไรก็ได้ดูแค่รูป แต่วันนี้ผมได้เห็นมันเป็นของตัวเองแล้ว

              “ติชอบพี่ก็ดีใจแล้ว” หลังจากนั้นผมกับพี่ทิมก็นั่งกินของหวานปิดท้าย ก่อนจะพากันกลับพี่ทิมอาสาพาผมกลับไปส่งที่บ้านเหมือนเดิม

              “ไว้มากินด้วยกันอีกนะติ”

              “คราวหน้าพี่เลี้ยงนะ”       

            “ไม่มีปัญหา” ผมนั่งเล่นโทรศัพท์ระหว่างที่พี่ทิมขับรถ อยู่ๆสายตาผมดันเหลือบไปเห็นรถยนต์คันหนึ่งที่ขับตามมาติดๆ แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้คิดมากอะไรผมเลยไม่ได้สนใจจนกระทั่ง...

              “ติ นั่งดีๆนะ” อยู่ๆพี่ทิมก็พูดขึ้นมาเสียงเครียด

              “ทำไมพี่”

              “เหมือนเราจะโดนตาม”

              “ตาม?” สายตาผมมองไปยังกระจกข้างทันทีที่พี่ทิมบอกและเห็นว่าไอ้รถที่ผมสงสัยตอนแรกนั้นตามเรามา “คันนั้นเหรอพี่”

              “นั่งเฉยๆ” พี่ทิมเร่งความเร็วเต็มที่ในช่วงที่ถนนโล่ง แต่ตัวผมที่ลุ้นตัวโก่งเลยว่าเราจะรอดจากตอนนี้ไปไหม
              “อย่าบอกนะว่า...”       

            “พี่จะบอกเราทีหลัง” ผมนั่งนิ่งและเงียบปากแต่ในใจผมโคตรจะลุ้น พี่ทิมเองก็เร่งความเร็วเต็มที่พยายามซิกแซกไปยังเส้นทางต่างๆจนตอนนี้เราหลุดมาที่ไหนสักแห่งที่เริ่มไม่มีรถคันอื่นตามมา บรรยากาศในช่วงกลางคืนทำให้เรามองไม่ค่อยเห็น

              “ติหลบ!!!”

              ผมรีบหลบโดยไม่รู้ทิศทางทันทีที่พี่ทิมบอก ก่อนที่จะได้ยินเสียงเหมือนปืน เมื่อเสียงมันเงียบลงผมจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาและเห็นรอยกระสุนผ่านกระจกรถ

              “พี่ทิม..อะไรวะเนี่ยพี่

              “พี่ขอโทษติ พี่ขอโทษ” มือพี่ทิมที่บังคับพวงมาลัยอยู่เริ่มสั่นก่อนที่จะใช้อีกมือควานลงไปที่เบาะข้างๆของเขาพร้อมกับหยิบปืนขึ้นมา

              “พี่มีปืนติดรถด้วย..”

ปัง!!

              พี่ทิมเปิดกระจกข้างก่อนจะยื่นมือออกไปยิงรถคันหลังโดยที่อีกมือยังคงบังคับพวงมาลัยไปด้วย ตอนนี้ผมเหมือนอยู่ท่ามกลางดงกระสุน

              “ให้ผมโทรหาตำรวจไหมพี่ทิม”

              “.....” พี่ทิมไม่ตอบเพียงแต่มองหน้าของผมก่อนที่จะหันหน้ากลับไปยิ่งต่อ “โทร”

              ด้วยความที่มือของผมเองก็สั่นเพราะความกลัวทำให้การต่อสายหา 191 เป็นอะไรที่ยากและลำบากมากกว่าปกติ ในหัวของผมคิดถึงแต่พี่กูน ผมอยากกลับไปหาพี่กูน

              “ฮัลโหลครับ..ตะตอนนี้ ผมถูกไล่ยิ่ง” การกดโทรออกว่ายากแล้วแต่การที่พูดในสถานการณ์นี้ยากกว่า “ครับ เลขทะเบียนเหรอครับ..”

              “อย่า!!ปัง!!”

              เอี๊ยดดดด!!

              โค่ม!!

              จังหวะที่ผมหันไปดูเลขทะเบียนรถอยู่ๆพี่ทิมก็ตะโกนขึ้นมาพร้อมกับกดหัวของผมให้ก้มลง โทรศัพท์ของผมล่วงลงพื้น ก่อนที่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ผมไม่ได้สติอีกเลย....

ออฟไลน์ KJH177

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 24 8.05.63
«ตอบ #35 เมื่อ08-05-2020 17:56:21 »

บทที่ 24
ฟื้นขึ้นมาแล้วเราจะรักกัน

Kun’s talk

            ผมยังคงอึ้งจนถึงวันนี้วันที่ไอ้ติมันบอกว่ารักผมตรงๆ ไม่ใช่ผมไม่เชื่อนะแต่ผมนับถือใจของมันจริงๆที่กล้ายอมรับความรู้สึกของตัวเอง มันเหมือนอะไรๆจะดีขึ้นแต่เปล่าเลยครับ ผมดันถูกเรียกตัวมาสืบคดีที่ต่างจังหวัดงานที่นั่นยุ่งจนผมไม่ได้จับโทรศัพท์เลย กว่าคดีจะปิดผมเองก็แทบจะปิดชีวิตตามคดีไปเลยครับ

              “กลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ” ผมรีบปลีกตัวกลับก่อนทันทีที่มาถึงกรุงเทพฯ จริงๆก็เหนื่อยครับแต่อีกอย่างก็คืออยากรีบไปเคลียร์กับไอ้ติไวๆ

              ผมรีบขับรถกลับมาบ้านแต่ระหว่างนั้นผมแวะพูดคุยกับพ่อแม่ที่บ้านใหญ่ก่อนซึ่งเป็นเวลานานพอสมควรกว่าที่ผมจะกลับเข้าบ้าน จนกระทั่งสี่ทุ่มกว่าผมกลับมาที่บ้านของตัวเอง แต่อดที่จะแปลกใจไม่ได้เพราะบ้านผมตอนนี้มืดสนิท ปกติไอ้ติมันจะเปิดไฟด้านนอกไว้แต่ทำไมวันนี้ไม่เปิด ผมเดินเข้าไปด้านในก็พบว่าประตูล็อก

              “ไอ้นี่ไปเที่ยวไหนวะ” ขนาดผมไม่อยู่มันยังออกไปเที่ยวได้ ถ้ากลับมาผมจะด่ามันให้ดู

              ผมล้วงหากุญแจบ้านในกระเป๋าพร้อมกับต่อสายหาไอ้ติไปด้วย จังหวะที่ผมกำลังไขประตูปลายสายก็กดรับทันที

              “ไอ้ติมึงอยู่ไหน นี่มันกี่โมงกี่...”

              (ตอนนี้เจ้าของโทรศัพท์นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ไม่ทราบว่าคุณ....)

ตุบ!

              กุญแจที่ไขอยู่ร่วงหล่นที่พื้นทันทีที่ผมได้ยินปลายสาย ผมไม่มีสติอยู่สักพักก่อนจะรวบรวมสติถามปลายสายกลับไป

              “ผมเป็นผู้ปกครองครับ ไม่ทราบว่าน้องผม...”

              (รายละเอียดคร่าวๆคือรถคว่ำค่ะ ส่วนเรื่องอื่นๆตอนนี้ทางตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐานแต่คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของคนมาด้วยค่ะ)

              “โรงพยาบาลไหนครับ”

              (โรงพยาบาลXXX) ถ้าบอกว่าตอนสืบคดีหรือจับคนร้ายผมทำได้รวดเร็วกว่า พวกคุณคิดผิดครับเพราะตอนนี้ผมใช้เวลาจากบ้านไปถึงโรงพยาบาลเวลาไม่นาน กฎจราจรอะไรผมไม่สนใจแล้วเพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมสนใจก็คือ ไอ้ติ

              อย่าเป็นอะไรเลย...ผมขอแค่นี้ ขอให้มันลืมตาตื่นขึ้นมา
 

              ทันทีที่ถึงโรงพยาบาลผมเห็นไอ้ทิมนั่งอยู่บนรถเข็นสภาพที่มีผ้าพันแผลอยู่ที่หัวกำลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเขตพื้นที่

              “ไอ้ทิม!” ผมเข้าไปกระชากคอเสื้อของไอ้ทิมที่นั่งอยู่บนรถเข็น “ไหนมึงบอกดูแลน้องมันได้! นี่หรอวะ!! นี่หรอสิ่งที่มึงเรียกว่าดูแล!!”

              “คุณครับอย่า” ตำรวจที่กำลังสอบปากคำไอ้ทิมอยู่เข้ามาห้ามผมที่ตอนนี้แทบจะลากคอไอ้ทิมมันขึ้นมา “อย่ามีเรื่องกันในโรงพยาบาล”

              “มึงตอบกู!!! ถ้าไอ้ติเป็นอะไรไปมึงตายแน่! กูไม่เอามึงไว้แน่ไอ้เหี้ยทิม!!!” กูนแทบจะไม่มีสติเพราะถูกความโมโหเข้าครอบงำ “มึงเอาน้องมันไปเสี่ยง! มึงใช้ส้นตีนอะไรคิดว่ะ! ไอ้ทิมมึงใช้เหี้ยอะไรคิด!!!”

              “กูขอโทษ...” น้ำตาของทิมค่อยๆไหลออกมาด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่ได้ตั้งใจ เขาคาดไม่ถึงว่าอันตรายจากอาชีพของเขาจะตามมาเร็วขนาดนี้

              “เหี้ยเอ้ย!!” กูนใช้เท้าเตะรถเข็นด้วยความโมโห ตอนนี้ยอมรับเลยว่าไม่มีสติ ไม่มีสติที่จะรับรู้อะไรทั้งนั้น เขาโกรธ โมโห โดยไม่สนใจว่าตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล

              “คุณครับ ใจเย็นๆครับ” กูนถูกแยกตัวให้ออกห่างจากทิม ส่วนทิมถูกเข็นไปที่ห้องพัก

              “สติครับ สติ สติเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อกูนได้สติมากขึ้นเขาจึงถามตำรวจที่นั่งอยู่ข้างๆ “น้องผมอยู่ไหนครับ ชื่อสติ”

              “ตอนนี้ยังอยู่ในห้องฉุกเฉินครับ สลบในที่เกิดเหตุ” กูนยังคงโกรธทิมที่ทำให้สติมีสภาพแบบนี้ ตลอดเวลาสติอยู่กับเขาไม่เคยมีครั้งไหนที่สติเจ็บหนักขนาดนี้ แต่นี่เขาไม่อยู่แค่ไม่กี่วันกลับทำให้สติของเขาบาดเจ็บหนัก และสิ่งที่กูนยังคิดวนเวียนซ้ำซ้อนอยู่ในเรื่องของสติ เขากลัวเหลือเกินกลัวว่าสติจะไม่ฟื้น ตอนนี้เขายอมทุกอย่าง ให้เขาทำอะไรก็ได้แต่ขอเพียงอย่างเดียวให้สติฟื้นขึ้นมา....

              “กูขอโทษ...” จังหวะที่กูนนั่งก้มหน้ามองพื้น ทิมเข็นรถเข็นออกมาจากห้องในจังหวะที่ตำรวจเผลอเพื่อมาคุยกับกูนด้วยความรู้สึกผิดอย่างแท้จริง

              “.....” กูนเงยหน้าขึ้นมามองทิมนิ่งๆโดยที่ไม่พูดอะไร

              “กูดูแลติไม่ได้ กูขอโทษ กูขอโทษจริงๆ” กูนมองน้ำตาของทิมที่ไหลออกมาด้วยความร้สึกผิดนิ่งๆ “กูดูแลน้องกูไม่ได้อย่างที่มึงพูดจริงๆ”

              “เลิกซะนะไอ้อาชีพแบบนี้”

              “......”

              “แล้วน้องของมึงไม่ต้องห่วง ถึงมึงไม่พูดกูก็ไม่มีวันให้มันได้อยู่กับมึง” กูนพูดด้งบย้ำเสียงนิ่งๆ “กูจะไม่กีดกันให้มึงเจอน้องมึง แต่ต่อจากนี้มึงอยู่แค่ในที่ของมึงพอ ถ้ามึงยังเคลียร์ตัวเองไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นหน้า”

              “เรื่องนี้กูผิดกูยอมรับ แต่กู...”

              “มึงอย่ามาอ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อน้องของมึง เพราะถ้ามึงคิดแบบนั้นจริงๆมึงจะไม่มีวันทำแบบนี้” กูนพูดเสร็จก็ลุกขึ้นเดินไปที่ห้องฉุกเฉินเมื่อเห็นว่าประตูที่ปิดอยู่ถูกเปิดออกพร้อมกับเตียงที่เข็นร่างของสติออกมา

              “ผมเป็นผู้ปกครองครับ”

              “ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับกำลังย้ายไปที่ห้องพักผู้ป่วย” กูนพยักหน้าตอบรับ ในใจของเขาตอนนี้รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นกับตาว่าสติปลอดภัย

              “ส่วนมึงก็ไปพัก” กูนหันไปบอกทิมที่มองตามเตียงที่เข็นสติห่างออกไปด้วยสายตารู้สึกผิด

              กูนเดินตามบุรุษพยาบาลเข้าไปในห้องพัก รอให้พยาบาลจัดการทุกอย่างให้เข้าที ก่อนที่เขาจะย้ายตัวเองไปนั่งเฝ้าสติอยู่ข้างๆเตียงไม่ห่าง

              “กูบอกว่าอย่าดื้อไง กูไม่อยู่แค่ไม่กี่วันดูสภาพมึงตอนนี้” กูนยื่นมือเข้ามาลูบศีรษะของสติเบาๆพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ “กูตกใจนะที่เห็นมึงในสภาพนี้”

              “.......”

              “เหมือนอยู่ในละครเลยว่ะ มานั่งพูดตอนที่มึงไม่ได้ยิน...กูควรพูดตอนที่มึงได้ยินถูกไหมวะ? กูแม่งไม่กล้าเหมือนมึงไงไอ้ติที่บอกรักกูแบบนั้น”

              “......”

              “ถ้ามึงตื่นตอนนี้นะกูจะขอมึงเป็นแฟนเลย”

              “พี่ผมตื่นแล้ว”

              “......!!”

              “ตื่นตั้งแต่ในห้องฉุกเฉินแล้ว เขินว่ะ”

              “มึง...” กูนตกใจที่เห็นสติฟื้นขึ้นมาด้วยท่าทางปกติหลังจากที่เขาเผลอพูดว่าจะขอเป็นแฟน แสดงว่าก่อนหน้านั้นสติรับรู้ทุกอย่างแต่แกล้งทำเป็นนอนไม่รู้เรื่อง

              “ถ้าผมไม่หลับผมก็ไม่มีทางได้ยินดิพี่ ว่าพี่เองก็คิดเหมือนผม” สติยิ้มทะเล้นออกมาเมื่อเห็นว่าสีหน้าของกูนตอนนี้ช็อกหนักกว่าเดิม

              “ร้ายนะมึง”

              “ผมไม่มีทางเป็นอะไรหรอกตราบใดที่พี่ยังไม่บอกว่ารู้สึกเหมือนผม แต่ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นผมก็ยอมแล้ว”

              “ปากดีนะมึง!” ด้วยความหมั่นไส้ทำให้กูนเผลอตัวผลักไปที่ศีรษะของสติเบาๆ “พอกูรู้สึกเหมือนมึงแล้ว มึงจะตายหนีกูว่างั้น?”       

              “ไม่พี่ แค่เปรียบเทียบให้ดูซึ้งๆ”

              “นอนไปเลยมึง พักผ่อนเยอะๆไม่ต้องพูดอะไร”

              “แล้วเรื่องที่พี่จะขอผมเป็นแฟนล่ะ” ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสามสิบนี่เป็นครั้งแรกที่กูนรู้สึกเสียอาการอย่างออกนอกหน้า

              “......”

              “ขอดิพี่ ผมรอฟังอยู่” สติแกล้งขยับเข้ามาใกล้ๆกูนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ผมจะจับมือพี่เองถ้าพี่เขิน”

              “ช่วยได้มากเลยนะมึง”

              “พี่ขอดิ”

              “มึงก็ขอดิ”           

             “พี่ ใครเขาเกี่ยงกันเรื่องขอเป็นแฟนว่ะ พี่พูดเองนะว่าถ้าผมฟื้นพี่จะขอผมเป็นแฟนอะ” กูนสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา

              “ไอ้ติ”

              “ครับ”

              “มึงอย่าพึ่งตอบดิวะกูเรียกเฉยๆก่อน” สติกลั้นยิ้มและนั่งเงียบๆตามที่กูนบอก

              “ไอ้ติ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่..แต่กูแน่ใจแล้วว่ะว่ากู..เองก็รู้สึกไม่ต่างจากมึง เป็นแฟนกับกูนะ” สติฉีกยิ้มทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เขาอยากได้ยินมาตลอด

              “......”

              “ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ อย่ามากวนตีนกูนะบอกเลย”

              “พี่เขินแล้วน่ารักว่ะพี่” สติอยากที่จะเจ็บเกี่ยวความรู้สึกนี้ของเขาไม่ให้นานที่สุด “ตกลงครับ ผมจะเป็นแฟนพี่แต่ผมอยากเป็นมากกว่าแฟนอีกนะตอนนี้”

              “เรียนให้จบก่อนเถอะมึง”       

             “พี่จะอดใจไหวเหรอ? ผมน่ารักนะเว้ยพี่”     

          “เหนื่อยจะคุยกับมึงจริงๆ” ตอนนี้ทั้งกูนและสติต่างพูดคุยกันอยู่ในห้องพักตลบอบอวลไปด้วยความรักของทั้งคู่ที่มีให้แก่กัน มันอาจจะเร็วไปในสายตาคนอื่นๆแต่สำหรับพวกเขาแล้วนั้นมันอาจจะช้าไปถ้าไม่ได้บอกความรู้สึกกันในตอนนี้

              “พี่ผมจะนอนแล้วนะ”

              “แล้ว?”

              “จูบผมก่อนนอนหน่อยดิ”

              “เกินไป”

              “นะพี่ ผมจะได้ฝันดี ตื่นขึ้นมาร่างกายจะแข็งแรงเลย” ผมยอมมันจริงๆกับไอ้คำเชิญชวนแบบเด็กที่ใครๆก็รู้ว่ามันไม่เป็นจริง แต่ผมก็ยอม ยอมทำตามที่มันร้องขอ

              ผมโน้มหน้าเข้าไปสัมผัสกับริมฝีปากของไอ้ติเบาๆ ไม่ได้ดุดดื่มอะไรมาก เพราะไอ้ติมันกำลังบาดเจ็บ ถ้ามันหายดีเมื่อไหร่ รับรองมันโดนผมจัดหนักแน่ๆ
 
              “ฝากด้วยนะ...” ทิมที่มองผ่านกระจกห้องพักเห็นน้องชายของเขายิ้มอย่างมีความสุขและภาพที่ทำให้เขาปวดหัวใจ เมื่อริมฝีปากของน้องชายตอนนี้ถูกครอบครอง... ในฐานะพี่ชายอย่างเขาก็พลอยสุขใจ แต่ความรู้สึกผิดที่เขาทำไว้มันยากที่จะลบเลือน ตอนนี้เขาไม่พร้อมที่จะสู้หน้าสติ

              “พี่ทิมรักตินะครับ” คำพูดสุดท้ายก่อนที่เขาจะหันกลับไป...และไม่กลับมาอีกเลย
 

ปล.นิยายเราส่วนมากพระเอกจะแก่กว่าเกือบทุกเรื่องเลย เพราะเราชอบคนแก่กว่าเลยแต่งสนองความต้องการของตัวเอง และเรื่องต่อไปพระเอกแก่กว่า 15 ปี ใครมาสายนี้อย่าพลาดนะครับโผมมม
ปล. ส่วนเรื่องที่ค้างอยู่เราจะทยอยอัพนะจ๊ะ ไม่ทิ้งแน่นอน

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8
Re: ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 24 8.05.63
«ตอบ #36 เมื่อ09-05-2020 07:36:55 »

รอๆๆ

ออฟไลน์ KJH177

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-3
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #37 เมื่อ09-05-2020 17:37:58 »

บทที่ 25

ผมตกถังข้าวสาร



Sati’s talk



ทุกคนครับตอนนี้ผมออกจากโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยด้วยสภาพครบถ้วนสมบูรณ์ไม่มีสิ่งไหนผิดปกติ นอกจากหัวใจของผมที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูแทนที่จะเป็นสีแดง ก็หัวใจของคนมีความรักมันก็แบบนี้แหละครับ



“พี่กูนพี่ ผมกินข้าวไม่ได้” ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะทานอาหารในบ้าน



“มึงเป็นง่อยรึไง”



“เปล่า เป็นแฟน”



“......เอ๋อ” พี่กูนส่ายหัวเล็กน้อย ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงโดนด่ามากกว่านี้ แต่ตอนนี้เป็นเวลาแห่งความรักพี่กูนจึงไม่ได้ด่าอะไรผมมาก “แล้วบอกกูได้รึยังว่าจะเอารถรุ่นไหน”



“บอกไปแล้วไงพี่ว่าจะขึ้นรถเมล์ อย่าหาเรื่องเสียตังค์เลย”



“มันสะดวกกว่าเวลาฝนตกรถติดมึงจะได้ไม่ต้องรอรถเมล์”



“ผมมีร่มพี่ ฝนตกก็กลางร่ม หนาวก็ใส่เสื้อ รถติดก็นั่งวิน สบายมากๆ” ผมเถียงกับพี่กูนเรื่องที่พี่กูนจะซื้อรถให้ผมขับไปเรียน ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ไม่จำเนสำหรับผมเลย

“แต่กูคิดว่า....” “เก็บตังค์ไว้เถอะพี่ ผมยังอยู่กับพี่อีกยาว ไว้ผมอยากได้อะไรผมจะบอกพี่นะ ตอนนี้ผมไม่เกรงใจพี่แล้ว” ผมเลิกเถียงกับพี่กูนและหันมารับประทานอาหารแทน ส่วนพี่กูนก็เลิกถามผมเช่นกัน จนกระทั่ง...



“ไอ้ติไอแพดโปรรุ่นใหม่โคตรดีอะ เอาไหมจะได้จองเลย” ยังไม่ทันข้ามวันพี่กูนก็หาเรื่องเสียตังค์กับผมอีกรอบ



“เครื่องเก่ายังใช้ได้อยู่เลยพี่”



“มันน่าจะใช้เรียนดีกว่านะ แล้วโน๊ตบุ๊คเอาเป็นแมคบุ๊คไหม?จะได้ลิงก์กันได้”



“เกินไปครับ ถามจริงพี่คบกับใครก็เปย์แบบนี้ไหม” ผมนั่งกอดอกมองพี่กูนที่เอาแต่สรรหาสิ่งของฟุ่มเฟือยให้กับผมอยู่เรื่อยๆ



“ก่อนที่จะคบกับมึงกูให้ไหม”



“ก็ให้”



“แสดงว่ากูไม่ได้เปย์ใครนอกจากมึง เออนี่รองเท้าลิมิเต็ดน่าจะเหมาะกับตอนที่มึงใช่ช็อปนะ ถ้าใส่ไปเพื่อนมึงอิจฉาแน่” ผมก็คิดนะถ้าพี่กูนมีลูกเขาจะสปอยลูกขนาดนั้น แต่โชคดีแล้วที่ผมไม่สามารถมีลูกให้ได้ พี่กูนก็คงเก็บกดมาเปย์ผมแทน



“ถ้าพี่อยากใช้เงินมากนะ พี่สร้างวัด สร้างโรงพยาบาลไหม ได้บุญเยอะกว่าที่พี่ซื้อของให้ผมอีก”



“ถ้ามึงบวชเป็นพระ หรือมึงต้องนอนติดเตียง วันนั้นกูถึงจะสร้าง จบนะครับ” โอเคครับผมเลิกเถียงพี่กูนทันที คิดได้ไงว่าผมจะบวชเป็นพระหรือป่วยติดเตียง ผมเชื่อเขาเลยว่ะ



หนูตกถังข้าวสารนี่เหมาะกับผมที่สุดแล้วครับ



เช้าวันต่อมา

ผมออกมาเรียนตามปกติ ส่วนพี่กูนอาสาขับรถมาส่งผมเหมือนอย่างเคย การใช้ชีวิตประจำวันของผมก็ปกติเหมือนอย่างทุกที แต่มันต่างตรงที่พี่ทิมหายไปอีกแล้ว...



ผมรู้ว่าพี่ทิมรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุ แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหนีผม ผมไม่ได้โกรธเลย แต่เอาเถอะถึงเขาจะไม่มาให้ผมเห็นแต่ผมเชื่อว่าเขายังอยู่รอบๆตัวผม ผมจะรอจนกว่าพี่ทิมจะพร้อมอีกครั้ง



“ไอ้ติเบิกบานเลยนะมึง”



“คนมีความรักก็ต้องเบิกบานเป็นธรรมดา” ผมมาถึงไอ้ช้างใหญ่ก็เอ่ยปากแซวทันทีโดยที่มีไอ้มีนนั่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ผม เพราะมันรู้ว่าแฟนผมคือใครแต่เพื่อนคนอื่นๆของผมรู้เพียงแค่ว่าผมมีแฟน



“ใครว่ะไอ้ติ”



“ไม่บอกเว้ย” ขอให้พี่ติเป็นที่ประจักษ์แก่ผมเพียงคนเดียวแม้ว่าไอ้มีนมันจะรู้มากก็ตาม



หลังจากที่ผมเรียนเสร็จวันนี้อาจารย์ปล่อยไวผมจึงนั่งรถเมล์กลับบ้าน ว่างๆผมก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ครับทั้งซักผ้าล้างจานรดน้ำต้นไม้ต่างๆนานาจนผมไม่มีอะไรจะทำ ก่อนที่ผมจะเข้าไปที่ห้องนอนที่กูนเพื่อทำความสะอาดแม้ว่าห้องนอนของพี่กูนจะไม่ได้รกก็ตาม แต่อย่างน้อยกวาดและถูก็ยังดี หลังจากที่ผมทำความสะอาดบ้านเสร็จผมจึงออกมานั่งเล่นกีตาร์อยู่ที่หน้าบ้าน อยู่ๆคุณแม่ของพี่กูนก็เดินเข้ามาพร้อมกับกลับกล่องอะไรบางอย่าง ผมจึงรีบวิ่งไปช่วยยก



“คุณแม่ครับผมช่วย”



“ขอบใจจ่ะ” ผมยกกล่องจากในมือของคุณแม่และเดินเข้ามาไว้ในบ้าน



“ให้ผมเอาไว้ตรงไหนครับ”



“วางเลยลูก”



“ตรงนี้นะครับ” ผมวางกล่องลงบนพรมในห้องนั่งเล่น “มันคืออะไรหรอครับ”



“รูปของกูน”



“รูปของพี่กูน?” ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าทำไมอยู่ๆคุณแม่ของพี่กูนถึงยกกล่องอัลบัมรูปมากมายขนาดนี้



“แม่อยากให้ติรู้จักกูนตั้งแต่เด็กผ่านภาพที่แม่ถ่ายเอาไว้”



“ให้ผม?” ทำไมผมรู้สึกว่าสายตาของคุณแม่ตอนนี้มองผมด้วยสายตาแปลกๆ อย่าบอกนะว่า... “คุณแม่..รู้แล้วเหรอครับ?”



“ครับ แม่รู้แล้วพี่กูนเขามาบอกแม่กับพ่อ” ไอ้ความรู้สึกเกร็งแบบนี้มันคืออะไร การที่พี่กูนเอาผมไปเปิดตัวกับพ่อแม่ของเขา จากที่เกร็งอยู่แล้วก็เกร็งหนักกว่าเดิมไปอีก



“ผมขอโทษนะครับ...”



“ขอโทษทำไมลูก?”



“ก็ผม..ผมเป็นผู้ชาย”



“ผู้ชายแล้วไง ไม่ต้องคิดมากขนาดพ่อกับแม่ยังไม่คิดมาก ติก็อย่าคิดมากลูกมานั่งข้างๆแม่นี่มา” ผมนั่งลงข้างๆคุณแม่ของพี่กูน ส่วนคุณแม่ก็เอื้อมหยิบรูปถ่ายของพี่กูนออกมาจากกล่องทีละอัลบัม



“ผมดูเลยนะครับ”



“ดูเลยลูก” มันก็เขินแปลกๆนะครับที่มานั่งดูรูปแฟนพร้อมกับคุณแม่ของแฟนแบบนี้ แต่เอาเถอะผมอาจจะรู้จักพี่กูนผ่านทางรูปภาพมากขึ้นตามที่คุณแม่บอกก็ได้



“น่ารักว่ะ” เปิดมารูปแรกก็เป็นรูปพี่กูนที่นอนแบเบาะในอ้อมอกของคุณแม่ น่าจะเป็นรูปพึ่งเกิดเพราะพี่กูนดูตัวแดงๆน่าเกลียดน่าชังชะมัดเลย ผมเปิดไปเรื่อยๆก็เป็นรูปวิวัฒนาการของพี่กูนตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเรียนอนุบาล สิ่งที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนก็คือสีหน้าเบื่อโลกของพี่กูน



“ต้องถ่ายเก็บไว้” ผมเปิดเจอรูปที่พี่กูนแต่งชุดทักซิโด้ในงานวันเด็กน่าจะตอนประถมต้น พี่กูนหน้าขาวปากแดงตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งรูปตอนที่พี่กูนอยู่มัธยมต้น รูปสมัยนี้พี่กูนเริ่มโตขึ้นจากเดิมเยอะเลย ตัวสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนมากเป็นรูปที่คุณแม่ของพี่กูนถ่าย ไม่ซิครับผมอดที่จะดีใจแทนพี่กูนไม่ได้ที่มีแม่น่ารักแบบนี้เพราะตั้งแต่ผมเกิดมาผมยังไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้เลย ผมเคยคิดนะว่าวันหนึ่งถ้าผมไม่พร้อมผมก็จะไม่มีลูกผมไม่อยากให้ลูกเกิดมาในสภาพแบบผม ถ้าผมเลี้ยงเขาไม่ดีเขาก็อาจจะเป็นภาระสังคมแบบที่ผมเคยเป็น แต่ถ้าวันหนึ่งผมพร้อมผมตั้งใจว่าผมจะเลี้ยงเขาให้ออกมาดีที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะสามารถเลี้ยงได้ แต่ตอนนี้ผมคงไม่คิดจะมีลูกแล้วแหละครับ แค่ผมมีคนที่รักและอยู่เคียงข้างผมแบบนี้ ผมว่ามันก็มีความสุขเหมือนกันนะครับ



“ผมอิจฉาพี่กูนจังเลยครับที่มีแม่ที่น่ารักแบบนี้”



“แม่ก็ตามถ่ายตอนที่พี่กูนเด็กๆพอโตก็ไม่อยากให้แม่ถ่ายแล้ว แม่ก็ต้องแอบเอา ส่วนยัยตานะแม่มีเยอะกว่าพี่กูนอีก รอยัยตามีแฟนเมื่อไหร่คงได้เปิดดูกันทั้งวันแน่ๆ”



ผมหยุดคิดเรื่องดราม่าของตัวเองมาดูรูปพี่กูนต่อน่าจะเป็นช่วงที่พี่กูนเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนเตรียมนายร้อย เพราะหุ่นของพี่กูนเรียกได้ว่าฟิตและเฟิร์มขึ้นมาก บางรูปก็มีโน้ตเล็กๆของคุณแม่ที่เขียนเอาไว้ว่า ‘ลูกกูนสู้ๆ’ หรือแม้กระทั่งคำปลอบโยนและให้กำลังใจในรูปที่พี่กูนนั่งอยู่หน้าคอม ‘ปีนี้ไม่ติดไม่เป็นไรครับ ปีหน้าเอาใหม่นะลูก สู้ๆ’



“แม่เองก็ภาวนาไม่อยากให้พี่กูนติดเพราะพี่กูนต้องไปเรียนไกลบ้าน แต่พี่กูนเขาสู้จนติดในปีต่อมา” ถ้าเป็นผมนะถ้าไม่ติดผมก็ไม่เรียน



ต่อมาเป็นรูปที่พี่กูนอ่านหนังสือแต่รูปพวกนี้น่าจะเป็นรูปแอบถ่ายจากฝีมือของคุณแม่เหมือนเคย ยิ่งผมดูรูปพวกนี้มันก็ทำให้ผมใกล้ชิดกับพี่กูนในแต่ละช่วงวัยมากยิ่งขึ้น



“พี่กูนใส่ชุดเตรียมแล้วเท่มากครับ” ผมเปิดมาในช่วงที่พี่กูนสอบติด เป็นภาพที่คุณพ่อคุณแม่และพี่ตาไปรับพี่กูนที่โรงเรียนนายร้อย



“อันนี้ตอนราตรีกระบี่สั้นแม่กับยัยตาไปเป็นคู่ควงให้พี่กูนเขา” พี่ตากับคุณแม่สวยมากครับโดยเฉพาะตอนที่ใส่ชุดราตรีแบบนี้



“พี่กูนหล่อมาตั้งแต่เด็กเลยเหรอครับ”



“ก็มีช่วงหมองคล้ำตอนที่ฝึกหนักอยู่เหมือนกัน” รูปต่อไปเป็นรูปที่พี่กูนเข้าไปเรียนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจหลังจากที่จบจากโรงเรียนเตรียมฯ ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองนะช่วงนี้พี่กูนมีออร่าบางอย่างที่ทำให้ดูดีและเท่มากกว่าที่ผ่านมา อาจจะเป็นช่วงที่พี่กูนเริ่มโตขึ้น ถ้าเทียบก็น่าจะเป็นช่วงมหาวิทยาลัย



“รูปนี้คุณแม่ร้องไห้”



“แม่ภูมิใจ” คุณแม่หยิบรูปพี่กูนขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจ ภาพที่พี่กูนรับข้าราชการตำรวจในเครื่องแบบพร้อมกับเครื่องหมายนายร้อย “แม่ไม่คิดว่า..กูนจะมาถึงวันนี้”



“ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันครับว่าจะมีวันนี้เหมือนกัน” ถ้าพี่กูนไม่ยื่นมือช่วยผมในวันนั้นผมก็คง...ไม่รู้ว่าชะตากรรมของตัวเองจะเป็นอย่างไร



“พี่กูนเขาอาจจะแสดงความรู้สึกไม่เก่ง แต่แม่เชื่อว่าเขาเป็นห่วงและรักติมากๆนะลูก” คุณแม่ยื่นมือมาสัมผัสที่ศีรษะของผมเบาๆ



“ขอบคุณนะครับที่ไม่รังเกียจผม..ทั้งๆที่ผมเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า”



“ตอนนี้ติมีแล้วนะ เราคือครอบครัวเดียวกัน” เท่านั้นแหละครับจากคนที่ไม่ค่อยจะอ่อนไหวกับคำพูดสักเท่าไหร่ อยู่ๆตอนนี้น้ำตาของผมกลับไหลออกมาเหมือนเด็กๆ เพราะความรู้สึกตื้นตัน ความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน ผมไม่เคยสัมผัสกับคำว่าครอบครัว..



“ผมขอกอดแม่ได้ไหมครับ?”



“เอาซิลูก” เป็นคุณแม่ที่ดึงตัวของผมเข้ามากอดพร้อมกับลูบศีรษะของผมไปดู ทุกสัมผัส ทุกความรู้สึกมันช่วยเติมเต็มในส่วนที่ผมขาดหายและไม่เคยได้รับจากผู้เป็นแม่..



“กอดของแม่มันอุ่นแบบนี้นี่เอง...”





กูนที่กลับมาถึงบ้านมองภาพที่แม่ของเขาที่ดึงสติเข้ามากอด เขาเองก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ เขารู้ว่ากอดของเขาอย่างเดียวมันอาจจะทำให้สติอุ่นแต่มันคงไม่อุ่นเท่ากับอ้อมกอดของคนเป็นแม่ สติมักพูดตลอดว่าอยากลองกอดแม่สักครั้ง อยากรู้ว่ามันจะอุ่นแค่ไหน ถ้าเสกให้เขาเป็นแม่ของสติได้กูนก็ยอมถ้ามันทำให้สติมีความสุข



สำหรับเขาที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อแม่และน้องคงไม่ได้รู้สึกแบบที่สติรู้สึก ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ขาดหายมันเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยความรู้สึกเติมเต็มที่เขาเคยได้รับ ทั้งหมดเขาจะมอบมันให้กับคนที่เขารักในตอนนี้



“ไอ้เด็กขี้แย่เอ้ย”





Sati’s talk



ตอนนี้ผมยืนอยู่ที่หน้าวัด วัดที่เคยเป็นที่อยู่ของผม วันนี้ผมกลับมาเยี่ยมหลวงตาเพราะได้ข่าวว่าหลวงตากลับมาจากอินเดียแล้ว



“บรรยากาศที่คุ้นเคยว่ะพี่” ผมหันไปมองพี่กูนที่ยืนอยู่ข้างๆผมในมือของพี่กูนถือสังฆทานที่เราสองคนจะนำมาถวายหลวงตา



“อยากกลับไปอยู่ไหมล่ะ”



“ถ้าพี่อยู่ด้วยผมก็อยู่ได้”



“อยู่บ้านกูเหมือนเดิมแหละดีแล้ว” ตอนนี้ผมเดินนำพี่กูนเข้ามาที่กุฏิของหลวงตา ซึ่งระหว่างทางจะต้องผ่านกุฏิพระเก่าที่เคยเป็นที่อยู่ของผมตั้งแต่เด็กจนโต



“อันนี้บ้านผม”



“อยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ก็โอเคแล้ว” ถึงสภาพมันจะดูผุพังแต่ผมก็ขอบคุณมันนะที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้ “เข้าไปดูไหม?”



“ครับ” ผมแวะที่กุฏิเก่าของผมเพื่อขึ้นไปดูว่าสภาพมันยังเหมือนเดิมไหม อีกอย่างผมก็อยากรู้ว่าของของผมมันจะอยู่ครบรึเปล่า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเศษกระดาษก็เถอะ



ทันทีที่ผมขึ้นไปด้านบนผมก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้เพราะทุกอย่างมันยังเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือข้าวของเครื่องใช้ของพระ อย่าบอกนะว่าตอนนี้พระเยอะจนต้องเอากุฏิเก่ามาใช้แล้ว เมื่อเห็นว่าเป็นกุฏิที่มีเจ้าของอยู่ ผมจึงรีบออกมา



“เป็นของคนอื่นไปแล้วพี่”



“มึงก็มีบ้านแล้วไง” มันก็อดที่จะใจหายไม่ได้



ผมกับพี่กูนมุ่งหน้าไปยังกุฏิของหลวงตาต่อระหว่างนั้นผมก็พยายามซึมซับความรู้สึกและบรรยากาศเก่าๆของผม ที่ผมเคยอยู่ณ ตอนนั้น จนกระทั่งผมเห็นหลวงตากำลังสนทนาธรรมอยู่กับพระรูปหนึ่งอยู่ก่อนหน้า



“หลวงตาครับ”



“อ่าว มาไม่บอก” ผมรีบถอดรองเท้าออกและพุ่งกอดหลวงตาด้วยความคิดถึง หลวงตาท่านก็กอดผมตอบพร้อมกับลูบศีรษะของผมเหมือนอย่างเคย “โตขึ้นเยอะเลยนะเอ็ง”



“ผมคิดถึงหลวงตา หลวงตาสบายดีนะครับ”



“สบายดี แล้วนี่..มากับคุณตำรวจใช่ไหม” หลวงตาเพ็งไปยังพี่กูนที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ด้านนอก ผมจึงหันหลังไปบอกให้พี่กุนเข้ามาพร้อมกับสังฆทาน



“หลวงตาทิ้งผม” ผมแกล้งเบะปากทำหน้าเศร้าตามคอนเซ็ปต์ของการแสดง



“กลับมาอยู่ไหมล่ะ”



“ไม่ดีกว่าครับหลวงตา” ผมรีบตอบกลับทันทีที่ถาม จะกลับมาอยู่ได้ไงในเมื่อหัวใจของผมไม่ได้อยู่ที่นี้



“ขอบใจนะคุณตำรวจที่ดูแลมันให้”



“ผมก็ต้องขอบคุณหลวงตาที่ให้มันมาอยู่กับผม ถึงแม้ว่ามันจะดื้อและบ้าไปบ้างก็ตาม” ผมหันไปมองหน้าพี่กูนทันทีที่ว่าผมดื้อ ถ้าผมไม่ดื้อพี่ก็ไม่รักผมหรอกกกกก



“ดีแล้ว มาๆจะถวายอะไร” ผมกับพี่กูนถวายสังฆทานและถวายปัจจัยจำนวนหนึ่งให้กับหลวงตา ก่อนจะอยู่พูดคุยสักพักและขอตัวกลับ ผมสัญญากับหลวงตาว่าจะเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน ถ้ามีโอกาสผมจะกลับมาดูแลหลวงตา เพราะผมไม่เคยลืมว่าหลวงตาคือผู้มีพระคุณที่สุดสำหรับเด็กที่ไม่มีอะไรอย่างผม





Kun’s talk



ผมยังจำได้ดีคำพูดของหลวงตาที่ท่านเคยพูดกับผมตอนที่ไอ้ติอยู่ในห้องฉุกเฉิน



‘ไอ้ติ ไอ้ติ มันเป็นอย่างไรบ้างครับ’

‘ ปลอดภัยครับ หมอบอกว่าขาหักและก็ช้ำตามตัวอีกพอสมควร ผมเลยให้หมอตรวจและเอกซเรย์อย่างละเอียดเผื่อว่ามีเลือดคลั่ง’

‘มันหนักขนาดนั้นเลยเหรอคุณตำรวจ ไอ้จ้อย..ดูพี่พวกเอ็งทำกับหลวงตา หลวงตากลัวมันจะเรียนไม่จบจริงๆ อีกไม่กี่เดือน หลวงตาขอมันแล้วแต่ดูมันทำ...’

‘หลวงตาครับ คือเรื่องนี้ลูกศิษย์ของหลวงตาไม่ผิดครับ ทางเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมผู้ก่อเหตุไว้ที่โรงพัก จากการสอบปากคำลูกศิษย์ของหลวงตาเป็นผู้ถูกกระทำ...’

‘คุณตำรวจถ้าหลวงตาขอร้องให้ช่วยบางอย่าง..’

‘ครับหลวงตา ผมพร้อมช่วยเสมอ’

‘หลวงตาขอให้คุณตำรวจช่วยเอาไอ้ติไปอยู่ด้วยได้ไหม ลำพังหลวงตาเองก็ดูแลมันได้ไม่ดี ไม่มีเวลาให้มัน อีกอย่างหลวงตาจะไปอินเดีย ไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่ คุณตำรวจช่วยหลวงตาด้วยนะ’

‘......’

‘ช่วยมันด้วยนะคุณตำรวจ...’

‘ครับ’

ใครจะไปรู้ว่าตั้งแต่วันที่ผมรับปากหลวงตา จนถึงวันนี้ ไอ้ติมันจะอยู่กับผมตลอดไป ถ้ามีผมอยู่มันจะปลอดภัย ผมไม่ยอมใครให้มาทำอันตรายกับมันเด็ดขาด เพราะ...ผมรักมันจริงๆครับ



2 ปีผ่านไป



ใครจะเชื่อว่าไอ้ติจะมีวันนี้!!!!



“ยินดีด้วยนะบัณฑิตใหม่!” ตอนนี้ผมยืนอยู่ในวงล้อมของพวกรุ่นน้องที่มาบูมให้ผมในวันรับปริญญาพร้อมกับเพื่อนๆของผม ไม่น่าเชื่อว่าผมจะเรียนจบแล้ว ไอ้ติเรียนจบปริญญาตรีแล้วเว้ย!!!!



“ขอบคุณครับ” ผมบริจาคเงินสมทบทุนให้พวกน้องๆที่มาบูมก่อนจะวิ่งไปหาพี่กูนที่วันนี้อาสามาถือของให้ผมและทำหน้าที่ซับเหงื่อให้ผมในวันที่อากาศร้อน



“ร้อนจังพี่”



“มึงนี่นะ” ถึงแม้น้ำเสียงจะดูเหมือนไม่อยากทำให้แต่มือพร้อมทิชชูยื่นมาซับเหงื่อผมก่อนเลย ไม่ให้รักได้ไงวะ “จะกลับได้ยัง”



“รอถ่ายรูปก่อนดิพี่ พี่จ้างช่างภาพมาให้ผมนี่ยังถ่ายไม่คุ้มค่าจ้างเลยนะ”



“ไม่เป็นไร กูรวย” ผมยอมความรวยของพี่มันตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ด้วยแล้วแหละครับ เอาจริงๆงานรับปริญญาผมก็ไม่จำเป็นต้องจ้างช่างมาถ่ายรูปทุกฝีก้าวแบบนี้หรอก แต่ด้วยความเวอร์วังของพี่กูนมันก็ต้องมี มีทุกอย่างที่คนอื่นมีแม้กระทั่งพวงมาลัยแบงก์พันหลายพวงที่คล้องอยู่ที่คอของผม “อ่ะ น้ำ”



“ขอบคุณครับ” ผมรับน้ำเปล่าที่พี่กูนยื่นมาให้กระดกดื่ม แต่ยังไม่ทันที่จะยกกระดกพี่กูนกลับตบหัวของผมก่อน “ตบทำไมพี่ เดี๋ยวสำลัก”



“หลอดก็มี”



“มันไม่สะใจ”



“เดี๋ยวเลอะ” ผมก็ต้องยอมใช้หลอดตามที่พี่มันบอก หลังจากนั้นผมก็ไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆคนอื่นเพื่อเป็นที่ระลึกในวันรับปริญญา อีกอย่างถ้าไม่มีเพื่อนๆผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะจบไหม เรียนมหาวิทยาลัยมันต้องพึ่งพาอาศัยกันครับ อย่างน้อยไม่มีปัญหาเรื่องงานกลุ่มก็โอเค



และแล้วเวลาที่พี่กูนรอคอยก็มาถึง เวลาที่ผมยอมกลับบ้าน ตอนนี้ของที่พี่กูนถือล้นมือเพราะส่วนมากมาจากรุ่นพี่รุ่นน้องทั้งนั้น จนกระทั่งตอนนี้เราสองคนขึ้นมาอยู่บนรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำ



“ขอบคุณนะพี่ที่มางานรับปริญญาของผม”



“ถ้าไม่มาก็แปลก”



“ขอบคุณที่ทำให้ผมมีวันนี้นะครับ ขอบคุณที่ส่งเสียผม ทั้งค่าเทอม ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์การเรียน และที่สำคัญคือค่าเหล้า” ด้วยความที่อยากกวนตีนทำให้ผมกราบพี่มันที่อกก่อนจะผละออกมาที่เดิม



“กูดูเป็นเสี่ยเลย”



“ก็เสี่ยกูนไงพี่”



“ไอ้ติ มึงทำให้กูดูแย่”



“แต่ผมรู้ว่าพี่ชอบ”



“ต่อจากนี้ก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะมึง” พี่กูนยื่นมือมาลูบศีรษะของผมเบาๆ “จะทำอะไรก็คิดดีๆ มีสติให้มากๆ คิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังมึงเยอะๆ”



“อย่างน้อยพี่ก็อยู่ข้างๆผมนะ”



“เรียนจบแล้วอยากได้อะไร”



“ได้พี่”



“......”



“พูดจริงๆนะ อยากได้พี่มานานแล้ว พี่บอกว่าผมเรียนจบเมื่อไหร่ค่อยเปลี่ยนสถานะไง ตอนนี้เบื่อเป็นแฟนแล้ว อยากเป็นอย่างอื่น”



“ไอ้ติ มึงพูดอะไรรู้ตัวไหม”



“รู้ตัวทุกอย่าง”



“งั้นกลับกันเถอะ กูก็อยากเป็นอย่างอื่นกับมึงจะแย่แล้ว....”





ตอนจบของผมกับพี่กูนมันไม่จำเป็นต้องจบที่เซ็กส์เสมอไป แต่อย่างไร...ตอนนี้ผมก็อดใจไม่ไหวแล้วครับโดยเฉพาะช่วงลำตัวขาวๆของพี่กูน กล้ามหน้าท้องสวยๆ ไรขนเซ็กซี่แบบนี้ ผมยอม ผมยอมทุกอย่าง พี่กูนจะจับผมใส่กุญแจมือหรืออะไรก็ได้ผมยอม



“มึงพร้อมนะ”



“เวลาพี่จับคนร้ายพี่ต้องถามคนร้ายว่าพร้อมไหมอะครับ”



“มันไม่เหมือนกันนิหว่า”



“พี่ก็คิดว่าผมคือคนร้าย แล้วเรามาเล่นตำรวจจับโจรกันนะพี่” เท่านั้นแหละครับหนุ่มขี้อายที่ยืนงงอยู่ปลายเตียงเปลี่ยนมาเป็นคนละคน



แววตาของพี่กูนตอนนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขามองผมเป็นคนร้ายและตอนนี้เขากำลังเล่นเป็นตำรวจที่กำลังไล่จับผม



“ขอตำรวจจับหน่อยนะครับ”



“จับเลยครับคุณตำรวจ” สิ้นเสียงยอมของคนร้ายอย่างผมพี่กูนก็กระโจนเข้ามาบนร่างของผมทันที และตอนนั้นเองที่ผมได้เรียนคำว่า ‘ไล่ล่า’ พี่กูนต้อนผมจนจนมุม จนผมไม่สามารถหนีเขาไปไหนได้



ท้ายที่สุดแล้วเราก็กลายเป็นของกันและกันอย่างสมบูรณ์



ผมได้เรียนรู้คำว่าเติมเต็มจนครบสมบูรณ์ก็วันนี้ ผมอยากจะขอบคุณที่ทำให้ผมมีความสุข ขอบคุณที่อยู่ในทุกๆความสำเร็จของผม และขอบคุณที่อยู่ข้างๆผมตลอดไป....



“รักพี่นะครับ”



“พี่ก็รักเรา...”





แต่...........!! มันยังไม่จบ เมื่อมีจดหมายซองหนึ่งส่งมาที่บ้านของกูนพร้อมจ่าหน้าซองเป็นชื่อของสติ



“พี่ใครส่งมาให้ผมอะ” สติรีบเปิดจดหมายในช่วงวันหยุดพร้อมกับกูนที่นั่งลูบผมสติอยู่ข้างๆ



“มึงก็เปิดดูดิ”



“.......” สติค่อยๆแกะซองจดหมาย ทันทีที่เขาเห็นลายมือ สติจำได้ทันทีว่าเป็นลายมือของใคร “พี่ทิม...” สตินั่งตัวตรงตั้งใจอ่านโดยมีกูนที่นั่งฟังอยู่ด้วยกัน





ถึงสติน้องรัก

พี่ขอโทษที่เป็นสาเหตุให้เราต้องเจ็บ พี่ไม่รู้ว่าเราจะให้อภัยพี่ไหม แต่ที่พี่อยากให้เรารู้ว่าพี่รักเราเสมอ พี่ดีใจที่เรามีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีกับคนที่เรารัก ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้พี่เองก็สบายดี ได้ข่าวว่าเรียนจบแล้ว พี่ก็ยินดีกับเราด้วยนะ สำเร็จไปอีกขั้นแล้ว ต่อไปก็คงต้องเหนื่อยหน่อยแต่พี่เอาใจช่วยเราอยู่ตรงนี้เสมอ ถ้าพี่พร้อมพี่จะกลับมาหาเรานะ แต่คงไม่กล้าบอกให้เรามาอยู่กับพี่แล้วแหละ พี่มีรูปที่พี่ถ่ายหเราดูด้วยเผื่อคิดถึง ไว้จะติดต่อไปใหม่นะครับ

รักน้องเสมอ

ทิม



สติเปิดดูรูปภาพที่แนบมากับซองจดหมาย เป็นรูปสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ พร้อมกับข้อความมากมายที่บรรยาย สติดีใจที่เห็นว่าพี่ชายของเขาสบายดี แต่คนข้างๆกลับ...



“มึงยิ้มอะไร”



“ก็มีความสุขไงพี่”



“ทีกูมึงไม่เห็นยิ้มแบบนี้เลย”



“ผมก็ยิ้มให้พี่ทุกวัน มีแต่พี่ที่ทำหน้าอมขี้ใส่ผม”



“เดี๋ยวมึงจะโดน”



“โอ๋เอ๋พี่ ผมอ่ะ รักพี่ที่สุดเลย” สติจับหน้าของกูนเข้ามาใกล้พร้อมกับกดจูบแรงๆ



ชีวิตนี้เขาคงไปไหนไม่รอดแล้ว มีที่เดียวที่สติจะอยู่ก็คือในใจของกูน



The End





ปล. จบแล้วพี่กูนน้องติ ขอบคุณทุกคนที่อยู่กับเรามาทุกตอนนะคะ ตอนแรกเรื่องนี้เรากะเอาไว้ว่าอยากไปเริ่มนามปากกาใหม่ อยากเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างเพราะปัญหาที่เราเจอกับนิยายมันเป็นประสบการณ์ที่แย่มากพอสมควร แต่พอเรากลับมาคิดดูแล้วปัญหานั้นมันแย่จริง แต่เราคิดว่าการเริ่มต้นใหม่มันเป็นการหนีปัญหาแต่บางครั้งการหนีปัญหามันก็น่าจะดีกว่าซึ่งตอนนั้นเราคิดแบบนั้น สุดท้ายแล้วเรากลับมาคิดว่าแค่ปัญหานั้นหรือว่าขี้ขลาดของเรากันแน่ จนสุดท้ายเรากลับมาเป็นไก่ทอดเหมือนเดิม ถึงวันนี้ไม่ใช่วันของเราแต่วันพรุ่งนี้หรือวันอื่นๆมันต้องมีสักวันที่เป็นวันของเรา ขอบคุณทุกคนจริงๆนะคะที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เรื่องแรกหรือเรื่องนี้ กำลังใจของทุกคนเป็นสิ่งที่สำคัญกับเรามากๆถ้าไม่มีทุกคนก็คงไม่มีไก่ทอดมาแล้วจ้าในวันนี้

ปล. ถ้าเราอัพช้าหรือหายไปนานเราต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้นะคะ สัญญาว่าจะเป็นไก่ทอดที่ไม่หยุดพัฒนาตัวเองเพื่อนักอ่านที่น่ารักของเราทุกคน แค่คุณยิ้มและมีความสุขไปกับนิยายของเรา นั่นคือความสุขของคนเขียนค่ะ

ปล. 2 เรื่องใหม่เราเปิดแล้วนะคะ #โคอ่อนชอบกินหญ้าแก่

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #38 เมื่อ09-05-2020 18:10:12 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #39 เมื่อ09-05-2020 22:46:31 »

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
« ตอบ #39 เมื่อ: 09-05-2020 22:46:31 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #40 เมื่อ10-05-2020 03:14:35 »

พี่กูนอดทนเก่งมากๆ รักกันนานๆ

ออฟไลน์ natanika

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #41 เมื่อ11-05-2020 19:33:33 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ BuzZenitH

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +170/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #42 เมื่อ11-05-2020 22:38:46 »

แงงงงง :-[ ไม่อยากให้จบเลย
น่ารักกกกกกมากกกกกกก กร๊าวใจสุดๆ
อยากให้มีตอนพิเศษจัง

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #43 เมื่อ13-05-2020 21:11:27 »

 o13

ออฟไลน์ cutelady

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #44 เมื่อ15-05-2020 17:51:28 »

น่ารักใสๆ กันไป
พี่กูน ของน้องติ
จากพี่ ไปพ่อ และ จบที่_ัว 5555
ขอบคุณนักเขียนจะส่งแรงใจ ไปให้ และ ติดตามเรื่องต่อไปน้าาาา
 :pig4: :pig4: :pig4:
 o13 :bye2:

ออฟไลน์ FaX

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #45 เมื่อ18-05-2020 14:55:57 »

โอ๊ย ละมุนละไมมากแม่ แมนๆคุยกันอะ ชอบบ ย้องติของพี่กูน ♥️♥️ ขอบคุณนิยายน่ารักๆแบบนี่มากเลยค่ะ สมูททั้งเรื่อง อร๊ายย

ออฟไลน์ wipor

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #46 เมื่อ18-05-2020 16:26:26 »

เขียนดีมากเลยคะ คำผิดไม่มีให้สะดุดเลย ภาษาดี กะชับ ไม่เร็วไม่ช้า มันน่ารักแบบดิบนิดๆ เอ็นดูทั้งคุณตำรวจและเด็กช่างค่ะ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #47 เมื่อ25-05-2020 20:25:36 »

เป็น​ผลงานที่น่าชื่นชมมากค่ะ การเดินเรื่องก็ไม่ยืดเยื้อ กระชับและเข้าใจ​ง่าย อาจจะมีคำผิดอยู่บ้างแต่ไม่มาก เสียดายที่มาเจอเรื่องนี้ช้าไป แต่ก็ขอบคุณ​เรื่องราวดีๆและเป็นกำลังใจให้กับเรื่องต่อๆไปนะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ nuch-p

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #48 เมื่อ28-05-2020 20:25:34 »

 :กอด1:สนุกค่าาา

ออฟไลน์ RENYINGYING

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #49 เมื่อ29-05-2020 09:57:15 »

ว้าวววววคืออยากบอกคุณคนเขียนมากเลยค่ะว่าสนุกมากกกกกก ชอบมากเลยค่ะ อ่านรวดเดียวทั้งคืนยันสว่าง55 ไม่อยากให้จบเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่าน  :pig4: :3123: :กอด1: เนื้อเรื่องมีกลิ่นอายความrealมากเลยค่ะ จริงๆก็อยากให้เนื้อเรื่องยาวกว่านี้(อยากเห็นเขาสวีทกันมากกว่านี้ > < อยากเห็นNCจุง :haun4: ) แต่แค่นี้ก็แฮปปี้เอนแล้ว รอติดตามเรื่องอื่นของคุณนักเขียนบ้างดีกว่า55 ชอบแนวนี้นะคะ พระเอกแก่กว่านี่ใช่เลย  :m3: :m3: :m3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
« ตอบ #49 เมื่อ: 29-05-2020 09:57:15 »





ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #50 เมื่อ11-06-2020 17:00:28 »

คือดี อะ ละมุนไปหมด   สงสารพี่ทิมเหมือนกันน๊า   :pig4:

ออฟไลน์ politesseone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #51 เมื่อ18-06-2020 17:00:19 »

สนุกมากกกกกก ถ้าบอกว่าเราอยากได้ nc สักนิดนึงตอนจบจะดูหื่นไปไหม 55555
ยังไงก็ตามขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ สนุกมากจริงๆ

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #52 เมื่อ19-06-2020 02:33:43 »

ขอบคุณมากสำหรับนิยายเรื่องนี้ พี่กูนคือนิยามของคำว่าเปย์หนัก55555 ส่วนสตินี่คือแก่นแก้วมาก ซ่าสุดไรสุด เพิ่งได้มาอ่านน่ารักมากๆเลย

ออฟไลน์ pogpax

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #53 เมื่อ19-06-2020 10:57:17 »

 :z13:

ออฟไลน์ BM_CBC

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #54 เมื่อ11-08-2020 11:00:11 »

 :pig4:

ออฟไลน์ airicha

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #55 เมื่อ13-08-2020 11:27:10 »

พี่กูนสายเปย์ที่แท้ทรู
ขอแบบนี้คนนึงค่ะ ^^

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #56 เมื่อ16-08-2020 22:17:50 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ sk_bunggi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 399
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: (END) ผมตกถังข้าวสาร บทที่ 25 9.05.63
«ตอบ #57 เมื่อ23-09-2020 21:37:51 »

สติลุกหนักมาก 55555 :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด