บทที่ 18
พี่อะเป็นพี่ผม
Sati’ s talk
ตั้งแต่คุยกับพี่กูนผมกลับมานั่งคิดตลอดถึงสิ่งที่พี่กูนบอกผม คำพูดของพี่กูนไม่ค่อยถนอมน้ำใจคนฟัง แต่ทั้งหมดที่พี่กูนจะสื่อคือความหวังดี ผมรู้ว่าพี่กูนให้ใจผมเต็มร้อยแต่ผมก็ให้พี่กูนเต็มร้อยเหมือนกันเพียงแต่ว่า..ผมยังคงติดอยู่ในอดีต ผมยังกังวลหลายๆ อย่าง แต่สิ่งที่ทำให้ผมสบายใจก็คือ พี่กูนจะไม่มีวันเป็นเหมือนพี่ทิม
“พี่กูนพี่ ผมขอโทษนะ เรื่องเมื่อวานที่ผมพูดไม่ดีแล้วก็ทำตัวไม่ดีกับพี่” ผมยกมือขึ้นไหว้พี่กูนหลังจากที่พี่กูนออกมาจากห้อง พี่กูนมองหน้าผมด้วยความงงแต่ก็พยักหน้ารับ “พี่โกรธผมไหม”
“โกรธมึงเรื่องอะไร” ผมเดินตามพี่กูนเข้ามาในครัว
“เรื่องที่ผมคุยกับพี่เมื่อวานไง ผมว่าผมพูดไม่ดีกับพี่หลายอย่างเลย” ผมรู้ตัวว่าผมปากหมาและปากไวจนบางทีคนฟังอาจจะรู้สึกไม่ดี
“รู้ตัวด้วยเหรอมึง” พี่กูนยกนมขึ้นกระดกก่อนจะปิดตู้เย็นและหันหน้ามาคุยกับผม
“รู้ดิผมทำอะไรผมรู้ตัวหมดทุกอย่าง และผมก็ยอมรับถ้าสิ่งที่ผมทำมันผิด”
“แมนดีนิมึง”
“ก็ผมเป็นน้องพี่ ผมก็ต้องแมนๆ คุยกันแบบนี้แหละครับ เอาจริงๆ ผมโคตรแคร์พี่เลย” ผมถือวิสาสะยื่นมือไปจับมือพี่กูน “พี่อาจจะงงกับท่าทีของผมในวันนี้ แต่ผมมีเรื่องจะบอกพี่”
“เรื่องอะไร” พี่กูนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ต่อไปนี้ผมจะไม่คิดถึงอดีต แต่ผมจะอยู่กับปัจจุบัน และคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผมตอนนี้คือพี่กูน” ผมพยายามที่จะสื่อผ่านคำพูดส่งไปให้พี่กูนว่าผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ผมอยากให้พี่กูนรับรู้และเชื่อใจผมอีกครั้ง
“มึงเชื่อใจกูไหมไอ้ติ ว่ากูจะเลือกแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิตมึงนับต่อจากนี้” พี่กูนก้าวเข้ามาหาผมพร้อมกับจับบ่าของผมทั้งสองข้างเอาไว้แน่น
“ครับ ผมเชื่อพี่” ผมพยักหน้ารับ “แต่ผมมีเรื่องจะถาม”
“เรื่องอะไรอีก มีเรื่องสงสัยเยอะนะมึง” พี่กูนปล่อยมือออกจากบ่าของผมก่อนจะเดินผ่านมานั่งใส่ถุงเท้าที่โซฟาระหว่างที่รอผมถาม
“ผมไม่รู้ว่ามันจะก้าวก่ายงานพี่ไหม แต่พอดีเมื่อวานที่ผมไปส่งพี่ที่สน.ผมเห็นพี่ติ่ง พี่ที่เป็นหัวหน้าวินของผมเข้าไปและพี่ก็ไปกับเขา พี่ติ่งนี่ใช่ใช่ไหมพี่” พี่กูนมองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยดูเหมือนจะไม่ตกใจกับสิ่งที่ผมถาม
“ใช่ นั่นเพื่อนกูเอง”
“ห้ะ? พี่ยอมรับง่ายขนาดนี้เลยเหรอ”
“แล้วกูจะต้องตอบว่าไงวะไอ้ติ ก็นั่นมันเพื่อนกูจริงๆ กูคิดว่ามึงจะรู้เร็วกว่านี้” พี่กูนส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเริ่มใส่ถุงเท้าคู่ที่สองราวกับว่าสิ่งที่ผมถามออกไปเป็นเรื่องที่ไร้สาระ
“ก็เพื่อนพี่ทำตัวแนบเนียนมาก ผมก็คิดว่าเป็นวินจริงๆ แม้ว่าจะแอบติดใจในบางส่วนบ้างก็เถอะ” แสดงว่าก่อนหน้าที่ผมเห็นพี่ติ่งทำตัวมีพิรุธอยู่บ่อยครั้งทั้งไปทำธุระ ทั้งเข้าไปในซอยอันตรายนั่นก็เพราะอย่างนี้นี่เอง ไอ้ผมก็คิดอยู่ว่าพี่ติ่งเป็นเด็กส่งของ
“รู้แล้วก็อย่าไปทำมันเสียเรื่องละ”
“ไม่เสียเรื่องหรอกพี่ ผมขับวินแค่อาทิตย์นี้แหละ เห็นพี่ๆ บอกมาว่าคนที่เขาไปแต่งงานที่ต่างจังหวัดจะกลับมาอาทิตย์หน้า” ผมเลิกสนใจเรื่องพี่ติ่งและเปลี่ยนมาคุยเรื่องอื่นแทนจนพี่กูนออกปากเตือนว่าตอนนี้เราทั้งคู่กำลังจะสาย
“ไอ้ติวันนี้กูอาจจะกลับดึกหรือไม่กลับเลย ถ้ากูไม่กลับก็ล็อกบ้านดีๆ ละ”
“พี่พูดเหมือนจะไปไหนเลย” ผมลุกขึ้นยืนเตรียมตัวที่จะออกไปทำงาน
“วันนี้มีงานใหญ่ ถ้าจบงานนี้ไปก็ได้พักอยู่บ้าง” งานใหญ่? ถ้าให้ผมเดานะงานใหญ่นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับหน้าที่การงานของพี่กูนแน่ๆ อาจจะไปจับผู้ร้าย หรืออะไรก็ตามแต่
“งั้นผมไปทำงานก่อนนะพี่ เจอกันตอนเย็น”
“เออ ขับก็ระวังๆ แล้วเจอกันมึง” ผมใส่หมวกกันน็อกและขับรถออกมาจากบ้านก่อนพี่กูนที่กำลังล็อกประตู เมื่อมาถึงคิววินผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองปกติ โดยที่ยังทำตัวเหมือนไม่รู้มาก่อนว่าพี่ติ่งคือเพื่อนของพี่กูน จนกระทั่งถึงวันสุดท้ายที่ผมจะขับวิน
“เย็นนี้เลี้ยงฉลองหน่อยไหมไอ้ติ” พี่ๆ ในวินพูดขึ้นหลังจากที่พี่ติ่งบอกทุกคนว่าผมจะขับวินเป็นวันสุดท้าย
“ไม่ได้อะพี่ วันนี้ผมมีนัด” จริงๆ ก็ไม่ใช่นัดหรอก เพียงแต่ว่าผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะเอาเงินที่ทำงานบางส่วนไปซื้อของมาให้พี่กูนและพาพี่กูนไปเลี้ยงข้าว โดยที่ผมลืมไปว่าก่อนจะออกจากบ้านพี่กูนบอกว่าอาจจะกลับดึกหรือไม่กลับเลย แต่ผมก็ยังแอบหวังว่าพี่กูนจะกลับ ถ้าถามว่าทำไมผมไม่รอเลี้ยงวันอื่นก็เพราะ...เดี๋ยวมันไม่คลังครับ
“โห่ ไม่เป็นไรไว้วันหลังๆ” ผมโค้งศีรษะเป็นการบอกลาพี่ๆ อีกครั้ง แต่การลาครั้งนี้ผมก็ไม่ได้ลาลับอยู่ดี เพราะถึงอย่างไรผมก็ต้องใช้วินเป็นเส้นทางประจำในการไปเรียนที่มหาลัย แต่ก่อนที่ผมจะกลับบ้านผมแอบเดินเข้าไปใกล้ๆ พี่ติ่งเพื่อบอกอะไรบางอย่างที่ผมเก็บมานาน
“พี่ติ่งพี่”
“อะไรมึง” พี่ติ่งที่กำลังยืนเล่นโทรศัพท์อยู่รีบเก็บใส่กระเป๋าทันทีที่ผมเดินเข้าไปใกล้
“ผมจะไปแล้วไม่บอกอะไรผมหน่อยเหรอ”
“ให้กูบอกอะไรมึง บ้านมึงก็อยู่แถวนี้เดี๋ยวก็ต้องเจอกันอีกอยู่ดี”
“แต่ผมมีอะไรจะบอกพี่” ผมแกล้งพี่ติ่งโดยการยื่นมือทั้งสองข้างไปกุมมือของพี่ติ่งเอาไว้ “ตั้งแต่ผมทำงานมาที่นี่ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่มองหาพี่ ผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีผมก็รู้สึกว่า...” ผมเว้นช่วงเอาไว้เล็กน้อยเพื่อให้พี่ติ่งคิดตาม
“ไอ้ติมึงกำลังจะพูดอะไร”
“ว่า....”
“.......”
“ว่าพี่เหมือนคนส่งยาแต่จริงๆ แล้วพี่เป็นตำรวจ”
“......!” สีหน้าตอนนี้ของพี่ติ่งดูช็อกไปทันทีที่ผมบอกว่าพี่ติ่งเหมือนตำรวจ จะไม่ให้ช็อกได้ไงก็เพราะพี่ติ่งเป็นตำรวจจริงๆ
“ผมไม่บอกใครหรอก แค่จะมาบอกพี่ว่าผมน่ะรู้แล้ว” ผมไม่รอให้พี่ติ่งด่าหรือพูดอะไรกลับมา เพราะผมใช้จังหวะที่พี่ติ่งช็อกวิ่งหนีและขับมอเตอร์ไซค์ออกมาจากคิววิน
พี่ติ่งเตรียมที่จะเข้าหาผมแต่อยู่ๆ ก็มีสายโทรเข้ามาทำให้เขาชะงักไปก่อนจะคว้ามอเตอร์ไซค์และขับออกไปด้วยความเร็ว แต่ด้วยความรีบหรืออะไรก็ไม่รู้ทำให้กระเป๋าสะพายของพี่ติ่งหล่น
“พี่ติ่งพี่!” ผมรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าและตะโกนเรียกพี่ติ่งตามหลัง แต่พี่ติ่งไม่ได้ยินทำให้ผมถือวิสาสะเปิดกระเป๋าของพี่ติ่งดูว่ามีของที่พี่ติ่งต้องใช้ไหม
“ไอ้เชี้ย!” ถ้าเป็นพี่ๆ คนอื่นในวินไม่รู้คงจะคิดว่าพี่ติ่งพกปืนเถื่อนมาแน่ๆ และอาจจะโป๊ะแตกที่มีบัตรตำรวจโชว์หราอยู่ในกระเป๋า
“เอาไงดีวะ ตามหรือไม่ตาม” แต่ถ้าไม่ตามแล้วพี่ติ่งตกอยู่ในสภาวะคับขันถูกทำร้ายขึ้นมาก็ไม่น่าจะรอด ผมเลยตัดสินใจขับรถตามพี่ติ่งไปทันที
โชคดีที่ผมคิดเอาไว้ว่าพี่ติ่งต้องเข้ามาที่ซอยนี้แน่ๆ ผมเลยขับรถเข้ามาและเห็นว่าพี่ติ่งกำลังคุยอยู่กับชายวัยรุ่นคนหนึ่งด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“ไอ้ติ่งคนของมึงรึเปล่า ถ้าไม่ใช่กูไม่เอาไว้นะ” ผมจอดรถข้างๆ พี่ติ่งก่อนจะชี้มาที่กระเป๋าของเขาที่ผมสะพายอยู่
“น้องกูเอง” พี่ติ่งมองผมด้วยสายตาดุๆ ที่ผมตามเขามา มึงไปรอกูในบ้านก่อนเดี๋ยวกูตามไป
“เออๆ อย่าช้านักนะมึง” ชายวัยรุ่นคนดังกล่าวเดินเข้าไปในบ้าน ทำให้ตอนนี้มีแค่ผมกับพี่ติ่งสองคน
“มึงตามกูมาทำไมไอ้ติ”
“พี่ลืมของ ผมเลยเอามาให้เผื่อพี่..เอ่อต้องใช้” สายตาแบบนี้ผมไม่เคยเห็นพี่ติ่งใช้มองใครมาก่อน แต่ตอนนี้กลับใช้มองผมที่หวังดีตามเขามา
“มึงเปิดดู?”
“ผมขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจ ผมแค่เป็นห่วงกลัวว่าพี่จะได้รับอันตราย”
“อันตรายแน่ถ้ามึงไม่รีบออกไปตอนนี้” ผมถอดกระเป๋าออกจากตัวที่สะพายก่อนจะยื่นไปให้พี่ติ่ง “ขอบใจ แล้วมึงรีบออกไปเลยไอ้ติ”
“แสดงว่า..วันนี้พี่จะ....”
“เออ!! มันจะเสียแผนเพราะมึงนี่แหละ ถ้ามันสงสัยนะไอ้ติ มึงตาย” พี่ติ่งชี้หน้าผมอย่างเอาเรื่องก่อนจะไล่ให้ผมขับรถออกมา
ผมตื่นเต้นนะแต่ก็แอบเสียใจที่ถูกตำหนิเพราะความหวังดีที่ผมมีให้พี่ติ่ง แต่..คนอย่างผมเสี่ยงตายมาเยอะ กับไอ้เรื่องแค่นี้มันไม่ทำให้ผมกลัวหรอก
ด้วยความที่อยากเห็นการจับกุมแบบใกล้ๆ ทำให้ผมจอดรถอยู่หน้าปากซอยถอดเสื้อวินออกและแอบซุ่มอยู่ที่ที่คนไม่สังเกตจากระยะที่ผมอยู่สามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เห็นตั้งแต่ช่วงแรกที่พี่ติ่งเข้าไปในบ้านตามชายวัยรุ่นคนนั้นไป
พี่ติ่งหายเข้าไปในบ้านอยู่นานสองนาน ก่อนที่จะมีวัยรุ่นอีกสองสามคนตามเข้าไปในบ้าน จนกระทั่งมีรถกระบะสีดำที่มีตราสัญลักษณ์ของตำรวจอยู่ด้านหน้าขับไปจอดหน้าบ้าน ก่อนที่จะมีวัยรุ่นออกมาจากบ้านเพื่อดูว่าเป็นใครที่มาจอด เมื่อเห็นว่าเป็นรถตำรวจวัยรุ่นก็รีบตะโกนบอกในบ้านก่อนจะเกิดความวุ่นวายทั้งเสียงปืน เสียงร้องตะโกน มันเป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเร็วมากและจบลงเร็วเช่นเดียวกัน
ตำรวจไทยใครว่าไม่เก่งผมขอเถียงเลย เพราะกว่าที่จะสอดแนม ทำให้ผู้ต้องหาไว้ใจมันต้องใช้เวลาและความอดทน ซึ่งเท่าที่ผมรู้จากพี่กูน พี่ติ่งก็แฝงตัวมานานมากพอสมควรในการจับกุมครั้งนี้ เมื่อควบคุมผู้ต้องหาออกมาจากบ้าน ไม่นานก็มีรถนักข่าวหลายสำนักเข้ามาทำข่าว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมเลยขับรถกลับวินและตรงกลับเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกหลายอย่าง แม้ว่าจะโดนพี่ติ่งด่าก็ตาม
และอย่างที่ผมบอกว่าวันนี้ผมตั้งใจจะเลี้ยงข้าวพี่กูนกับซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ให้ แต่ผมไปคิดๆ มาแล้ว พี่กูนคงไม่อยากได้อะไรพวกนี้หรอก ผมเลยตั้งใจว่าจะให้เป็นเงินก็แล้วกันจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากไปหาซื้อของที่ห้างเป็นซื้อซองธรรมดามาใส่เงิน และกลับมาแต่งตัวหล่อๆ เพื่อรอพี่กูนกลับมาจากที่ทำงาน จนกระทั่งเวลาผ่านไป
“อ่าวพี่ กลับมาแล้วเหรอครับ”
“ไอ้ติมึงจะไปไหนวะ” พี่กูนเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉยแทน “วันนี้มึงไปไหนมา?”
“ก็ทำงานปกติ”
“มึงเข้าไปวุ่นวายกับไอ้ผามันทำไม”
“ผา? ผาไหนพี่” ผมเริ่มงงเมื่ออยู่ๆ พี่กูนก็พูดถึงชื่อคนที่ผมไม่รู้จัก “หรือว่าจะเป็นพี่ติ่ง? ผมก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรเลย”
“กูเคยบอกมึงแล้วไม่ใช่เหรอไอ้ติว่าอย่าไปยุ่งอะไรแบบนั้น”
“ผมก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรนิพี่ ผมแค่เอากระเป๋าไปให้ ผมเห็นว่ามันมีปืนอยู่ในกระเป๋าถ้าพี่ติ่งถูกทำร้ายจะเอาอะไรไปต่อสู้”
“แล้วการที่มีปืนมันจะใช้ยิงกันง่ายๆ รึไงวะ! มึงคิดบ้างดิถ้าพวกมันจับได้ไอ้ผามันจะเป็นอย่างไง!”
“เดี๋ยวๆ พี่ พี่จะโมโหใส่ผมทำไมวะ”
“ก็ดูแต่ละอย่างที่มึงทำดิไอ้ติ มันใช่เรื่องไหม หยุดสร้างปัญหาสักเรื่องได้ไหมวะ?”
“......” ปัญหา? ปัญหาอย่างนั้นเหรอ?
“งานนี้มันเป็นงานใหญ่ เด็กอย่างมึงไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วยซ้ำ ถ้ารู้แบบนี้กูไม่ให้มึงไปทำงานหรอก ถ้าจะไปวุ่นวายกับคนอื่นไปทั่ว”
“ขอโทษถ้าผมวุ่นวายมากไป ถ้าความหวังดีของผมมันทำให้ทุกคนเดือดร้อนผมก็ขอโทษ” ผมจะไปทำอะไรได้ถ้าพี่กูนมองผมเป็นตัวสร้างปัญหา
“มึงสำนึกเป็นด้วยเหรอ? เก็บคำขอโทษของมึงไปเถอะ”
“ถ้าพี่จะดูถูกคำขอโทษของผม..”
“กูแค่เป็นห่วงมึง”
“.......”
“กูไม่อยากให้มึงได้รับอันตราย” เมื่อเห็นว่าผมนิ่งไปพี่กูนจึงขยับเข้ามาใกล้ๆ แต่ผมถอยหลังหนี
“พี่พูดดี ๆ กับผมก็ได้”
“พูดดี ๆ กับมึง มึงจะฟังเหรอ”
“ผมคิดว่าพี่รู้จักผมมากกว่าเดิมแล้วนะ แต่ผมได้ยินที่พี่บอกว่าผมเป็นตัวสร้างปัญหา มันก็คงไม่ต่างจากวันแรกที่เรารู้จักกัน ผมยังเป็นตัวปัญหาสำหรับพี่เหมือนเดิม”
“ไอ้ติ..มันไม่ใช่แบบนั้น”
“ไปนอนเถอะพี่ พี่เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ค่อยคุยกันนะครับ” ความรู้สึกของผมตอนนี้ มันคงเรียกว่าเสียใจ น้อยใจมั้งครับ ไม่รู้ดิ ผมคิดว่าพี่กูนรู้จักผมมากกว่านี้ แต่...ไม่เลย ผมยังคงเป็นตัวปัญหาสำหรับพี่กูน
มันจะไม่มีการเปรียบเทียบเลยหากว่า...พี่ทิมไม่เคยว่าผมแบบนี้
ส่วนสิ่งที่ผมตั้งใจจะให้ เอาไว้เราทั้งคู่ใจเย็นลงกว่านี้ก่อนน่าจะดีกว่า
Kun’ s talk
ผมว่ามันแรงไปรึเปล่า? ผมว่าผมคงว่ามันแรงไปแน่ๆ เพราะสายตาที่มันมองผม ดูก็รู้ว่าน้อยใจผิดหวัง ซึ่งผมก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าไอ้ติเป็นเด็กที่ดื้อ แต่การที่มันตาไอ้ผาไปแบบนั้นมันจะได้รับอันตราย ถ้าเกิดมันได้รับอันตรายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ? อีกอย่างที่ผมโมโหก็เพราะผมเคยพูดเรื่องนี้กับมันไปแล้วหนึ่งรอบ ซึ่งไอ้ติก็รับปากว่าจะทำตามแต่สุดท้ายมันก็ยังทำอยู่ดี
แต่ถึงอย่างไงผมก็ไม่ควรจะพูดว่ามันว่าเป็นตัวปัญหาอยู่ดี
“ผมคิดว่าพี่รู้จักผมมากกว่าเดิมแล้วนะ แต่ผมได้ยินที่พี่บอกว่าผมเป็นตัวสร้างปัญหา มันก็คงไม่ต่างจากวันแรกที่เรารู้จักกัน ผมยังเป็นตัวปัญหาสำหรับพี่เหมือนเดิม”
โดยเฉพาะประโยคนี้ของไอ้ติ เพราะวันแรกผมก็เคยพูดกับมันแบบนี้ ซึ่งมันได้พิสูจน์แล้วตลอดเวลาที่มันมาอยู่กับผม ไอ้ติไม่ใช่ตัวปัญหาอะไรเลย เรื่องนี้จะผิดก็คงเป็นผมที่ปากไวด้วยความโมโห แต่เรื่องที่มันไปแอบดูตอนที่ไอ้ผาปฏิบัติหน้าที่อันนี้มันผิดเต็มๆ และผมก็ควรที่จะลงโทษมันอย่างจริงจังในเรื่องนี้
ก๊อกๆ
หลังจากที่กลับมาสำนึกผิดที่ห้อง ผมกลับออกไปเคาะประตูห้องไอ้ติในช่วงกลางดึก ผมรู้ว่ามันยังไม่นอนเพราะไฟห้องยังเปิดอยู่
“ถ้าพี่จะว่าผมอีก ผมไม่เปิดนะ” เสียงของไอ้ติตะโกนออกมาจากด้านในห้อง
“ไม่ได้จะว่า แต่จะมาขอโทษ”
“พี่จะขอโทษผมเหรอ?”
“เปิดประตูซิ” ผมรอไม่นานประตูห้องของไอ้ติก็เปิดออกพร้อมกับเจ้าของใบหน้าบึ้งตึงที่แสดงออกว่าไม่พอใจ
“.....พี่เข้ามาในห้องผมทำไม”
“ลืมไปรึเปล่าว่าบ้านกู” ผมแอบเห็นว่าไอ้ติแอบมองบนแต่ไม่เป็นไรผมจะไม่โกรธมันไปมากกว่านี้ เพราะผมตั้งใจจะมาขอโทษ
“แล้วพี่มีอะไรจะพูดกับผม”
“กูจะมาขอโทษที่กูพูดไม่ดีกับมึง อันนี้กูผิดกูยอมรับ” ผมเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับไอ้ติมันตรงๆ “มึงจะให้อภัยกูไหม”
“ผมขอถามพี่คำเดียวกันนะ ว่าพี่มองว่าผมสร้างปัญหาให้พี่ พี่มองผมแบบนั้นจริงๆ หรือพี่แค่ปากไว”
“......” ถ้าจะให้ยอมรับกันง่ายๆ ผมก็เสียฟอร์มแย่ดิวะ แต่ถึงอย่างไรฟอร์มมันก็กินไม่ได้อยู่ดี ผมเลยแสดงสปิริตยอมรับความผิดไปโดยปริยาย
“กูปากไวไปเอง”
“ถ้าพี่คิดได้ผมก็ไม่มีอะไรที่จะต้องโกรธ”
“แต่หน้ามึงบอกว่ายังโกรธกูอยู่” หลังจากที่ผมยอมรับออกไปตรงๆ ไอ้ติก็ยังคงมีสีหน้าเหมือนเดิม
“ถ้าผมยิ้มออกไปมันก็จะเท่ากับว่าผมง้อง่าย พี่ก็จะหาเรื่องมาว่าผมแรงๆ อีกแล้วมาขอโทษทีหลัง” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเหนื่อยหรือความง่วงที่ทำให้ผมมองปากของไอ้ติที่พูดอยู่กับผมตอนนี้มันน่าหมั่นไส้ อยากที่จะเอามือไปบีบแรงๆ แต่ก็ต้องระงับเพราะมันคงจะไม่สมควร
“แล้วจะให้กูทำไง”
“พี่หลับตาก่อน”
“มึงจะทำอะไร” อยู่ๆ ก็มาบอกให้ผมหลับตาเป็นใคร ใครก็คิด ถ้าอยู่ๆ ไอ้ติมันแกล้งหอมแก้มผมขึ้นมาผมจะทำอย่างไง แต่ผมว่าตอนนี้ผมคิดมากไปแน่ๆ หลังจากที่มองว่าปากของไอ้ติหน้าบีบ
“ทำไมพี่หน้าแดงอะพี่กูน พี่คิดอะไรแปลกๆ ปะนิ?” ไอ้ติขมวดคิ้วก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมจึงรีบถอยหลังหลบไป
“จะทำอะไรก็รีบๆ กูจะหลับตา” ผมเปลี่ยนเรื่องทันทีก่อนจะกอดอกและหลับตาตามที่ไอ้ติมันบอก
“อย่าลืมนะพี่”
“เออ” หลังจากที่ผมหลับตา ผมได้ยินเสียงไอ้ติเดินห่างออกไปก่อนจะได้ยินเสียงเปิดลิ้นชักและเสียงกระดาษ ก่อนที่มันจะเดินกลับมาที่ผมเหมือนเดิม
“อย่าพึ่งลืมตานะพี่ อันนี้ถ้าพี่รับไว้ผมจะไม่โกรธ”
“......”
“คืองี้นะพี่ จะเริ่มพูดไงดีวะ เขินแปลกๆ ผมทำงานนี้เป็นงานแรก แล้วผมก็ตั้งใจที่จะเอาเงินที่ผมหาได้บางส่วนมาให้พี่ ผมรู้นะว่ามันอาจจะไม่ได้มากมายอะไรแต่ผมตั้งใจ พี่รับไว้เถอะนะครับ” ไอ้ติยัดซองอะไรบางอย่างใส่มือผม
“กูลืมตาได้ยัง” หลังจากที่มันเงียบไปนานผมจึงพูดขึ้น
“ลืมได้แล้วพี่” ผมลืมตาขึ้นมาถึงกับชะงักทันทีที่เห็นว่าหน้าไอ้ติแดง ไม่ใช่แค่หน้าแต่ลามไปถึงคอถึงหู “อย่ามองผมแบบนั้นดิพี่ ผมก็บอกอยู่ว่าเขิน”
“กูรึเปล่าที่ต้องเขิน อยู่ๆ มึงก็ให้เงิน”
“พี่จะเขินทำไมล่ะพี่กูน ผมให้เงินเก็บไม่ใช่มาขอพี่แต่งงาน...เอ่อ ไม่ควรพูดเนอะพี่” ผมหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าไอ้ติเด็กแสบเสียอาการกับคำพูดของตัวเอง
“แต่อย่างไงก็ขอบใจนะที่มึงคิดถึงกู..หมายถึงนึกถึง”
“ก็พี่เป็นพี่ผม ผมก็ต้องคิดถึง หมายถึงนึกถึงเสมออะครับ..โอ๊ย! พี่เขกหัวผมทำไมเนี่ย” ด้วยความหมันไส้จึงเผลอยื่นมือไปเขกหัวไอ้ติเต็มๆ
“กวนตีน”
ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่แปลกใหมี่สำหรับผมมากจริงๆ โดยเฉพาะตอนที่เห็นไอ้ติตั้งใจทำอะไรสำเร็จและนึกถึงผมเป็นคนแรก บอกตามตรงว่าผมพึ่งเคยเข้าใจความรู้สึกของพ่อกับแม่ก็คราวนี้ ความรู้สึกที่ไม่อยากรับเงินเดือน เดือนแรกของลูก
“เป็นเด็กดีนะมึง กูพูดอะไรก็ฟัง” ผมเลื่อนมือไปสัมผัสที่บริเวณศีรษะของไอ้ติเบาๆ หลังจากที่เขกหัวมันไปก่อนหน้า “ขอบคุณสำหรับสิ่งที่มึงตั้งใจจะให้กู”
“แค่พี่รับไว้ผมก็ดีใจแล้ว” ไม่บ่อยนักที่จะเห็นไอ้ติยิ้ม รอยยิ้มที่ไม่ใช้ยิ้มกวนตีน แต่เป็นยิ้มที่ออกมาจากใจจริงๆ ของมัน ผมไม่รู้หรอกนะถ้าวันหนึ่งไอ้ติมันหายไปผมจะทำอย่างไร เพราะแค่มันอยู่กับผมแค่ไม่กี่เดือนผมก็รู้สึกผูกพันธ์กันมันไปแล้ว
“แต่มึงต้องรับโทษ” ผมเบรกเรื่องราวซึ้งๆ เอาไว้และวกกลับมาเรื่องของไอ้ติที่ทำผิด
“โทษอะไรอะพี่”
“ที่มึงขัดคำสั่งกู กูเคยบอกว่าอย่าไปยุ่งเรื่องนั้นมึงก็รับปากกูแล้ว”
“เอ่อ...แต่ผมโกรธที่พี่พูดกับผมแรงๆ อยู่นะพี่กูน”
“มันคนละเรื่อง ต้องแยกแยะนะครับ”
“พี่จะลงโทษอะไรผมอะ”
“ไปเอากระดาษออกมาพร้อมปากกา” ผมเดินหนีมันออกมานั่งรอที่โซฟา ส่วนไอ้ติหลังจากที่มันหยิบของเสร็จมันก็เดินคอตกมานั่งที่พื้นข้างๆ ผม
“คัดว่า ต่อไปนี้ผมจะไม่ขัดคำสั่งพี่กูนอีกแล้วครับ ต่อไปนี้ผมจะเชื่อฟังคำสั่งของพี่กูน หนึ่งร้อยจบก่อนไปนอน”
“โห่พี่ โคตรยาว พี่ตีผมดีกว่าแบบนี้” ไอ้ติบนทันทีที่ผมบอกประโยคให้มันคัด
“ตีไปก็มีแต่เจ็บตัว แต่ถ้าคัดแบบนี้มันจะได้จำเข้าไปในสมองของมึง”
“โห่พี่ เมื่อไหร่จะเสร็จเนี่ย”
“ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ มึงต้องเสร็จคืนนี้”
“แล้วพรุ่งนี้พี่ไม่ไปทำงานเหรอ”
“กูหยุด เฝ้ามึงได้ทั้งคืนจนถึงเช้า”
“พี่....”
“ถ้ายังไม่ลงมือจะเป็นสองร้อยจบ”
“รับทราบครับ!!!” ผมนั่งมองไอ้ติที่ตั้งใจคัดลายมือและคอยจับผิดตัวอักษร ถ้าตัวไหนไม่มีหัวหรือเขียนไม่สวยผมก็จะลบแล้วให้มันคัดใหม่
การทำโทษแบบนี้มันทรมานกว่าตีอีกครับ
นานเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกเอ็นดูใคร