--- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --- รักซ้อนซ่อนรัก | ตอนที่ 41 บาดเจ็บ --- หน้าที่ 9 [28/12/63]  (อ่าน 28764 ครั้ง)

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
หลับฝันดี ทั้ง 3 คน

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
หก
พักผ่อน



          พิชญ์ตื่นมาตอนเช้าพร้อมกับความรู้สึกอึดอัด เขาลืมตาช้า ๆ ก่อนจะพบว่าตัวเองมีสภาพละม้ายคล้ายไส้แซนด์วิช ถูกขนาบอยู่ตรงกลางระหว่างน้องหนูและอริญชย์ น้องหนูนอนหลับปุ๋ย เอาแขนมาก่ายกอดผู้เป็นพ่ออย่างสบายตัว ส่วนอริญชย์ก็วาดวงแขนโอบรัดพิชญ์แน่นจนแทบจะกลายเป็นคน ๆ เดียวกัน

          พิชญ์นิ่วหน้าออกมาเล็กน้อย ค่อย ๆ ขยับตัวออกจากอ้อมกอดของอริญชย์อย่างระมัดระวัง แต่แค่ขยับเพียงนิดเดียว อีกฝ่ายก็รู้สึกตัวทันที อ้อมแขนแข็งแรงกอดรัดเขาแน่นกว่าเดิม ก่อนที่อริญชย์จะยื่นหน้ามากระซิบถามชิดหูพิชญ์

           “ตื่นแล้วเหรอ...”

           “ปะ...ปล่อยผม คุณใหญ่”

          สิ้นเสียงพิชญ์ น้องหนูก็ขยับตัวน้อย ๆ เล่นเอาพิชญ์ถึงกับตัวแข็งทื่อ ก่อนจะชะงักค้างกว่าเดิม เพราะน้องหนูเล่นกลิ้งตัวออกห่าง ปล่อยให้คุณพ่อของตัวเองถูกคุณลุงเอารัดเอาเปรียบแต่เช้า

           “คุณใหญ่ ปล่อยผม เดี๋ยวน้องหนูตื่น” พิชญ์เอ่ยเสียงแข็ง พยายามดึงดันจะพาตัวเองออกจากอ้อมกอดของอริญชย์ให้ได้

           “นายนั่นแหล่ะที่จะทำน้องหนูตื่น” อริญชย์เอ่ยพลางส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างระอาราวกับว่าพิชญ์เป็นคนผิด

           “คุณก็ปล่อยผมสิ”

           “ฉันว่านายรับผิดชอบการกระทำของตัวเองก่อนดีกว่า”

           “หา...”

          พิชญ์ถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เขาตื่นมาก็ถูกอริญชย์ถือวิสาสะกอด แค่พยายามจะหนีออกจากอ้อมกอดของอริญชย์ เขาถึงกับต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองเชียวหรือ แต่ก่อนที่พิชญ์จะงงหนักไปกว่าเดิม ความสงสัยของเขาก็ค่อย ๆ คลี่คลาย เมื่อสัมผัสบางอย่างดุนดันอยู่เบื้องหลังจนพิชญ์ถึงกับหน้าแดงวาบ เขาไม่ใช่คนไม่รู้ประสีประสา จะได้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

           “คุณใหญ่”

          พิชญ์เรียกชื่อคนต้นเหตุเสียงแข็งทันที แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นอาการปกติยามเช้าของผู้ชายทุกคน แต่เจอกับตัวเองแบบนี้ก็น่าเกลียดชะมัด

           “หึ! ความผิดของนายเองนะที่ขยับจนเจ้าหนูของฉันตื่น”

          ถ้าพูดปากเปล่าก็คงจะไม่ใช่อริญชย์ เพราะอีกฝ่ายเล่นคว้ามือพิชญ์หมับก่อนจะเอามาแปะอยู่ที่ส่วนกลางลำตัวของเขา ราวกับจะยืนยันว่าเจ้าลูกชายคนดีของเขาตื่นแล้วจริง ๆ พิชญ์หน้าแดงหนักกว่าเดิม มันปะปนกันระหว่างความอายกับความโมโห แล้วก่อนที่อริญชย์จะทันคาดคิด พิชญ์ก็บีบหมับเข้าที่ลูกชายคนดีของอริญชย์ทันที จนเขาต้องร้องอุทานออกมาเสียงดัง

           “โอ๊ยยยยย...”

           “ลุงใหญ่จ๋า...”

           “คุณใหญ่ครับ...”

          ไม่ใช่เพียงแค่น้องหนูที่ลืมตาตื่นขึ้นมาดูคุณลุงกับคุณพ่อเล่นกัน แม้แต่ตุลย์ก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาเพราะเสียงร้องของผู้เป็นนาย ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเจ้านายนั่งหน้าเขียว ส่วนพิชญ์ก็เอาแต่ส่งยิ้มแหย ๆ ให้ตุลย์อย่างรู้สึกผิด

           “เกิดอะไรขึ้นครับคุณพีท” ตุลย์เลือกที่จะถามพิชญ์แทน เพราะดูท่าทางแล้ว อริญชย์คงพูดไม่ออกแน่ ๆ

          พิชญ์หัวเราะแห้ง ๆ มองหน้าอริญชย์ที่จ้องเขาตาดุสลับกับตุลย์ ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงอ่อย

           “ไม่มีอะไรหรอกครับคุณตุลย์ พอดีว่า...”

          พิชญ์ยังไม่ทันได้เอ่ยให้จบประโยค อริญชย์ก็ยื่นมือมาปิดปากพิชญ์เอาไว้ก่อนที่พิชญ์จะทำให้เขาขายหน้าลูกน้องไปมากกว่านี้ พิชญ์พยายามขยับตัวหนี แต่อริญชย์ก็เอามืออีกข้างที่ว่างล็อกตัวพิชญ์ไว้แน่น แล้วเอ่ยสั่งตุลย์เสียงห้วนจัด

           “ตุลย์ ไปเรียกนวลมาพาน้องหนูไปอาบน้ำที”

          ตุลย์ยังทำท่าสงสัย อยากจะเอ่ยปากถามอริญชย์เต็มแก่ แต่ก็ต้องยอมล่าถอยเมื่อเห็นสายตาดุ ๆ มองมา คนสนิทของอริญชย์รีบถอยออกมาจากห้อง ปล่อยให้คุณลุง คุณพ่อ และคุณลูกอยู่กันสามคน น้องหนูเอียงคอมองผู้เป็นพ่อกับผู้เป็นลุงอย่างสงสัย ก่อนจะเอ่ยถามออกมาประสาซื่อ

           “พ่อพีทกับลุงใหญ่เล่นอะไรกันแต่เช้าคะ”

           “เล่นมวยปล้ำค่ะ” อริญชย์ตอบหน้าตาย ไม่สนใจอาการขัดขืนของพิชญ์

           “ฮื้อ เล่นกันเสียงดั๊งดัง น้องหนูตื่นเลย” น้องหนูเอ่ยต่อว่าอย่างกระเง้ากระงอด

           “พ่อพีทเขาขี้โกง เล่นนอกกติกา”

           “อ้าว ทำไมพ่อพีททำแบบนี้ล่ะคะ”

          คุณพ่อคนดีของน้องหนูขยับปากจะเอ่ยเถียง แต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจคิด เพราะฝ่ามือใหญ่ปิดปากเขาเสียสนิท แถมยังเสียงดุ ๆ ที่กระซิบคาดโทษอยู่ข้างหูเขา

           “อยู่นิ่ง ๆ ก่อนที่ฉันจะจัดการนายตรงนี้”

          พิชญ์มองอริญชย์ตาขวาง จะอารมณ์เสียอะไรนักหนา เขาไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย แค่อารมณ์ชั่ววูบเฉย ๆ

          ช่วยไม่ได้ อยากเอามือเขาไปไว้ตรงนั้นก่อนทำไม ไม่ใช่ความผิดพิชญ์เลยจริง ๆ พิชญ์ยืนยันได้

          นวลที่ถูกตุลย์ตามตัวมา เดินเข้ามาเยี่ยมหน้า ด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ตรงกรอบประตู ไม่กล้าเข้ามาเสียที เพราะเห็นอริญชย์กับพิชญ์อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา จนอริญชย์ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยเรียกเมื่อหันไปเห็นเข้า

           “เข้ามาสินวล จะมามัวยืนลับ ๆ ล่อ ๆ ทำไม”

           “คุณใหญ่เรียกหานวลหรือคะ”

           “จับน้องหนูอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็จัดกระเป๋าเสื้อผ้าให้น้องหนูที ฉันจะพาน้องหนูไปต่างจังหวัด”

          นวลขมวดคิ้วอย่างงุนงง แต่ก็พยักหน้ารับคำสั่งโดยดี รีบตรงเข้ามาอุ้มน้องหนูลงจากเตียง ขณะที่พ่อของน้องหนูถึงกับเบิกตากว้าง

          ต่างจังหวัด?...สาบานได้เลยว่าพิชญ์เพิ่งรู้พร้อมนวลเมื่อกี้ ว่าอริญชย์จะพาน้องหนูไปต่างจังหวัด

           “ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลย” พิชญ์เอ่ยถามทันทีที่ริมฝีปากเป็นอิสระ

           “ฉันกำลังจะบอกนายอยู่นี่ไง ตามมา”

           ‘ตามมา’ ของอริญชย์คือคำสั่งและการบังคับชัด ๆ พอพูดจบอริญชย์ก็ดึงพิชญ์ให้ลุกจากเตียง ก่อนจะลากพิชญ์หัวซุกหัวซุนออกมาจากห้องนอนของน้องหนู

           “คุณใหญ่ เลยห้องผมแล้ว” พิชญ์รีบแย้งทันที เมื่ออริญชย์ลากเขาเดินเลยห้องนอนของตัวเอง

          คนถูกท้วงหันมามองหน้าพิชญ์แวบหนึ่ง ก่อนริมฝีปากจะคลี่เป็นรอยยิ้มร้ายกาจออกมา

           “ไม่คิดจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองหน่อยหรือไง”

          ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย พิชญ์ก็เข้าใจความหมายที่อีกคนต้องการจะสื่อทันที เขาได้แต่ทำหน้ายุ่งยากใจ ถึงจะทำข้อตกลงกันไว้ แต่ถ้าเลี่ยงได้ พิชญ์ก็อยากจะเลี่ยง

           “คุณจะพาน้องหนูไปต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอ ไว้คราวหลังเถอะนะ...ได้ไหม”

           “คราวไหน คืนนี้ คืนพรุ่งนี้ หรือเมื่อไหร่ ระบุเวลาชัด ๆ มาด้วย”

          พิชญ์ยืนเม้มริมฝีปากแน่น เขาเกลียดเวลาที่ถูกอริญชย์ไล่ต้อนมากที่สุด มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ ซึ่งจริง ๆ แล้วพิชญ์ไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย แต่พิชญ์แค่สู้อริญชย์ไม่ได้ก็เท่านั้น

           “ตอนไหนก็ได้ที่น้องหนูไม่ได้อยู่ด้วย” พิชญ์หลับหูหลับตาเอ่ยออกไป หวังจะให้อริญชย์เลิกตอแยเขาเสียที

           “ได้ ถ้าคราวหน้านายเบี้ยวอีก ฉันทบต้นทบดอกหนักแน่ ๆ” อริญชย์เอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะลากพิชญ์ให้เดินตามเข้ามาในห้องของตัวเอง จนคนถูกลากต้องรีบถามเสียงตื่น

           “ไหนคุณบอกว่าคราวหน้าไง”

           “ใช่ คราวหน้า แต่ตอนนี้นายต้องอาบน้ำให้ฉัน”

          ถ้าคิดว่าคราวนี้อริญชย์จะยอมให้พิชญ์ปฏิเสธอีกคงต้องผิดหวัง อริญชย์ผลักพิชญ์เข้ามาในห้องน้ำ ก่อนจะปิดประตูดังปัง มองคนที่กระถดตัวชิดอ่างล้างหน้าเหมือนหมาป่ามองลูกแกะ

           “คุณใหญ่...”

           “ถ้านายไม่อาบให้ฉัน ฉันจะอาบให้นายเอง และมันคงไม่จบแค่การอาบน้ำแน่ ๆ เลือกเอานะพีท”

          ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ พิชญ์สาบานเลยว่า เขาจะบีบลูกชายคนดีของอริญชย์ให้แรงกว่าเดิม เอาให้ไม่มีปัญญาลุกขึ้นมาบังคับเขาได้อีก แต่เหมือนอีกคนจะรู้ทันเขา ถึงได้ชิงดักคอออกมาก่อน

           “แล้วถ้าคิดจะเล่นแบบเมื่อกี้นี้อีก ฉันจะเอาให้นายลุกไม่ขึ้นไปสามวันเลยคอยดู”


.


           “ไหนคุณใหญ่บอกว่าจะไม่ทำอะไรผมไง” พิชญ์เอ่ยถามคนที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ยืนโกนหนวดอยู่หน้ากระจกบานใหญ่เสียงขุ่น พอ ๆ กับใบหน้าที่บึ้งตึง

          อริญชย์ปรายตามองพิชญ์แวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาสนใจใบหน้าตัวเองที่มีโฟมสีขาวฟอกอยู่ตรงคางกับเหนือริมฝีปาก เขาทาบมีดโกนลงกับใบหน้าของตัวเองแล้วลากช้า ๆ อย่างใจเย็น ผิดกับอารมณ์ของอีกคนที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังมองมาที่เขาอย่างขุ่นเคือง

          ...เขาเคยบอกหรือยัง ว่าเขาชอบใบหน้าของพิชญ์ตอนโมโหมากแค่ไหน...

           “คุณใหญ่!”

           “แล้วฉันทำอะไรนายตอนไหน ฉันยังไม่ได้ใส่เข้าไปด้วยซ้ำ”

          พิชญ์หน้าแดงวาบด้วยความอายเมื่ออีกคนเล่นพูดออกมาหน้าด้าน ๆ ถึงเขาจะเป็นผู้ชายเหมือนกันกับอริญชย์ แต่เขาก็ไม่เคยเที่ยวพูดจาลามกแบบน่าไม่อายอย่างที่อีกคนกำลังทำอยู่แน่ ๆ

          คนที่โกนหนวดเสร็จเรียบร้อยแล้วหันกลับมาหาพิชญ์ ก่อนจะเท้าแขนคร่อมพิชญ์ติดกับผนังห้อง กลิ่นอ่อน ๆ ของสบู่ผสมกับอาฟเตอร์เชฟกลิ่นมิ้นท์ลอยมาเข้าจมูกพิชญ์ จนคนที่กำลังจะถูกเอาเปรียบอดยอมรับไม่ได้ว่า อริญชย์เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์จริง ๆ แต่สิ่งที่อริญชย์ทำกับเขามันผิด มันผิดตั้งแต่อีกคนหยิบยกเอาเรื่องบ้า ๆ มาขู่ให้เขายอมมอบกายให้แล้ว แล้วยังความสัมพันธ์บ้า ๆ ของพวกเขาสองคนอีก

           “จะต้องให้ฉันสอนนายอีกกี่รอบ ว่าการใช้มือให้กันเขาไม่ได้เรียกว่ามีเซ็กส์”

           “ผมก็ไม่ชอบอยู่ดี”

          ดวงตาดำจัดสบกับดวงตาเรียวของพิชญ์นิ่ง ๆ ก่อนริมฝีปากหยักจะยกเป็นรอยยิ้มคล้ายจะเย้ยหยัน

           “ไม่ชอบมือฉัน แต่ชอบใช้มือตัวเองมากกว่าหรือไง”

           “ผมไม่ได้โรคจิตเหมือนคุณ”

          ฝ่ามือข้างขวาที่ทาบอยู่บนผนังเปลี่ยนมาโอบเอวพิชญ์เอาไว้หลวม ๆ ถึงแม้อริญชย์จะแค่โอบเขาเอาไว้หลวม ๆ แต่พิชญ์รู้ดี ถ้าหากอริญชย์ไม่ยอมปล่อย ต่อให้อ้อมกอดมันหลวมแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางหนีออกไปได้ ไม่มีทางเลย...

           “ฉันโรคจิตก็เพราะนาย ได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ”

           “คุณมันบ้า ถ้าอยากมากขนาดนั้น ทำไมไม่หาผู้หญิงมาปรนเปรอตัวเองล่ะ”

           “ทำไมต้องหา ในเมื่อนายก็ทำหน้าที่นั้นดีอยู่แล้ว”

          เจ็บ! พิชญ์เจ็บกับคำดูถูกของอริญชย์ แม้ว่ามันจะเป็นความจริงก็ตาม

           “ถ้าไม่รู้ก็รู้เอาไว้ซะ ไม่มีใครสนองฉันได้ถึงใจเหมือนนายซักคน”

          อริญชย์ปล่อยเขาเป็นอิสระแล้ว แต่พิชญ์แทบไม่มีแรงก้าวขา คำพูดร้าย ๆ ของอริญชย์ตรึงเขาเอาไว้ที่เดิม เป็นเขาเองที่ก้าวพลาด ก้าวลงมาในหลุมพรางของปีศาจร้าย ตอนนี้คิดอยากจะปีนขึ้นไปมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ ถ้ามีใครซักคนโยนเชือกลงมาให้เขา

          ไม่แน่ พิชญ์อาจจะรีบคว้ามันไว้โดยไม่ลังเลก็เป็นได้ แต่ใครกันที่จะกล้าโยนเชือกลงมาช่วยเขา ในเมื่อมีปีศาจร้ายยืนเฝ้าอยู่ตรงปากหลุม


.


ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


          พิชญ์เพิ่งรู้ตอนกินข้าวเสร็จว่าอริญชย์สัญญากับน้องหนูว่าจะพาไปเที่ยวทะเล นวลจัดเสื้อผ้าของน้องหนูใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย ส่วนของเขาก็ไม่ต้องสงสัยเลย กระเป๋าเสื้อผ้าของเขากับอริญชย์วางอยู่ท้ายรถเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

           “ทำไมคุณไม่บอกผม” ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะไม่คุยกับคนร้ายกาจ แต่พิชญ์ก็อดถามอริญชย์ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถไม่ได้

           “ฉันบอกนายไปเมื่อเช้าแล้วไง ว่าจะพาน้องหนูไปต่างจังหวัด” อริญชย์เอ่ยเสียงเรียบ ๆ ก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง พ่นควันบางเบาออกมาให้ลอยไปในอากาศช้า ๆ

           “แต่คุณใหญ่ก็น่าจะบอกผมก่อน”

           “บอกก่อนบอกหลังก็ไม่ต่างกันหรอก รีบ ๆ ขึ้นรถได้แล้ว ไม่เห็นเหรอว่าน้องหนูอยากไปเที่ยวมากแค่ไหน ไม่อยากให้น้องหนูมีความสุขหรือไง”

          พิชญ์ขยับจะอ้าปากค้าน แต่พอเห็นใบหน้าน่ารักที่ยื่นออกมาตรงหน้าต่างรถ ก่อนนางฟ้าตัวน้อยจะยิ้มหวานแล้วร้องเรียกเขาจ้อย ๆ มันก็ทำเอาหัวใจของพิชญ์อ่อนยวบ

           “พ่อพีทขา ลุงใหญ่ขา ขึ้นรถเร็ว ๆ ค่ะ น้องหนูอยากไปแล้ว”

          อริญชย์หันมามองพิชญ์อย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่าก่อนจะขยี้บุหรี่ในมือดับ ในเมื่อน้องหนูเป็นจุดอ่อนของพิชญ์ เขาก็จะทำให้น้องหนูกลายมาเป็นจุดแข็งของเขา แล้วทีนี้คนอย่างพิชญ์จะหนีไปไหนรอด

          อริญชย์ผลักพิชญ์ให้ก้าวขึ้นรถไปก่อน แล้วตัวเขาถึงตามเข้าไป น้องหนูนั่งเกาะหน้าต่างข้างในไม่ยอมขยับไปไหน เพราะลูกสาวคนสวยของพิชญ์บอกเสียงอ้อน ๆ ว่าจะดูวิว พิชญ์เลยจำใจต้องนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างอริญชย์กับน้องหนู กลายเป็นไส้แซนด์วิชเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด

           “อาตุลย์ ออกรถเลยค่ะ” คุณหนูตัวน้อยเอ่ยบอกตุลย์เสียงหวาน

          ตุลย์ลอบมองผ่านกระจกมองหลังก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ เจ้านายของเขาดูอารมณ์ดีผิดปกติ คงจะมีเรื่องดีแน่ ๆ คุณหนูตัวน้อยก็สดใสร่าเริงเป็นปกติ มีแต่พิชญ์ที่นั่งทำหน้าแปลก ๆ ยิ่งเห็นอริญชย์เนียนเอามือไปโอบไหล่พิชญ์ ตุลย์ก็ยิ่งนึกอยากแกล้งผู้เป็นนาย เลยกระแอมออกมาเบา ๆ

           “อะแฮ่ม...”

           “อะไรติดคอเหรอตุลย์ ให้ฉันช่วยเขี่ยออกให้ไหม”

           “ไม่เป็นไรครับคุณใหญ่ กลืนน้ำลายสองทีก็หายแล้ว”

          ตุลย์ตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะหันมาสนใจถนนหนทางข้างหน้า อันที่จริงแล้วการเดินทางไปต่างจังหวัดครั้งนี้ อริญชย์ก็แค่เอาน้องหนูมาอ้างเท่านั้น สองวันก่อนเจ้านายของตุลย์ดันไปได้ยินพิชญ์คุยกับแม่พลอยที่อยู่ประจวบคีรีขันธ์ แว่ว ๆ ว่าลูกชายคนเดียวออดอ้อนผู้เป็นแม่ว่าคิดถึง เจ้านายเขาก็เกิดนึกครึ้มอะไรขึ้นมาไม่รู้ ถึงกับสั่งให้ตุลย์เคลียร์งานอะไรให้เรียบร้อย แล้วบอกว่าจะไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัดกันซะงั้น ส่วนจังหวัดไหนคงไม่ต้องเดา ถ้าไม่ใช่จังหวัดบ้านเกิดของแม่พลอย...แม่ยาย เอ๊ย แม่สามีของไอลดา

          พิชญ์นั่งขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด ปกติถ้าไม่ใช่เรื่องงานแล้ว เขากับอริญชย์ก็ไม่ค่อยพูดคุยกันดี ๆ เท่าไหร่ มีอีกเรื่องที่พอจะคุยกันรู้เรื่องอยู่บ้างก็คงจะเป็นเรื่องของน้องหนู

           “คุณใหญ่ เรื่องงานประมูลก่อสร้าง...” แค่พิชญ์เริ่มเอ่ยปาก อริญชย์ก็สวนฉับทันที

           “ฉันจะไปพักผ่อน ขี้เกียจฟังเรื่องงาน”

          พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น จะมีใครที่เอาใจยากอย่างอริญชย์อีกไหม ก็แค่อยากจะหาเรื่องชวนคุย กลัวว่านั่งรถไปนาน ๆ เดี๋ยวจะพาลอึดอัดกันเสียเปล่า ๆ

           “ลุงใหญ่จะพาน้องหนูไปไหนคะ” ดูเหมือนนางฟ้าตัวน้อยจะรู้หน้าที่ รีบหันหน้ามาคลี่คลายสถานการณ์ได้ทันเวลาพอดี

           “พาไปทะเลไงคะ”

           “เย้! น้องหนูจะไปหาคุณปู คุณปลา คุณกุ้ง”

          น้องหนูพูดอย่างเดียวก็กลัวคนฟังจะไม่เห็นภาพ เลยทำไม้ทำมือหมายจะให้ผู้ใหญ่สามคนที่รอฟังนึกภาพออก จนพิชญ์ต้องรวบตัวน้องหนูมาไว้บนตัก

           “น้องหนู นั่งดี ๆ ลูก”

           “ปล่อยน้องหนูเถอะ จะไปบังคับน้องหนูทำไม”

          ประโยคที่อริญชย์เอ่ยออกมา ไม่ต่างอะไรกับการจุดประกายให้พิชญ์ คุณพ่อของน้องหนูยอมปล่อยน้องหนูแต่โดยดี ก่อนจะหันมาหาคุณลุงอย่างหมายมาด

           “นั่นสิ คุณใหญ่ยังรู้เลยว่าไม่ควรบังคับน้องหนู แล้วทำไมคุณใหญ่ถึงได้เที่ยวบังคับคนอื่นล่ะครับ”

           “หมายถึงใครกันล่ะ” อริญชย์ถามหน้านิ่ง ๆ ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไร

           “ผมว่าคุณใหญ่น่าจะรู้ดีว่าผมหมายถึงใคร”

          มือที่วางอยู่บนไหล่เลื่อนลงมาแตะอยู่ที่เอวพิชญ์ ก่อนคำตอบจะหลุดออกมาจากริมฝีปากหยัก

           “เพราะฉันรู้ว่าน้องหนูจะไม่หนีไปไหน ไม่เหมือนกับม้าพยศบางตัว ที่ต่อให้ฉันพยายามขังเอาไว้ในคอกยังไง มันก็ยังหาทางที่จะหนีออกไปอยู่วันยังค่ำ นายว่าจริงไหมพีท...”

           “เพราะว่าม้ามันไม่อยากถูกขังอยู่ในคอก มันถึงได้พยายามหาทางหนีออกไปยังไงล่ะครับ” พิชญ์ต่อปากต่อคำไม่ลดละ

           “แต่ม้าพยศตัวนั้นมันคงลืมไป ว่าตัวของมันเป็นสิทธิ์ของใคร”

          พิชญ์เม้มริมฝีปากแน่น จนปัญญาจะหาถ้อยคำตอบโต้ออกไป

           “ที่ทะเลมีม้าด้วยเหรอคะลุงใหญ่”

           “มีสิ ม้าน้ำไงลูก” อริญชย์ตอบหลานสาวกลั้วหัวเราะเบา ๆ

           “น้องหนูอยากเห็น น้องหนูชอบม้า”

          ดูท่าหลานสาวคนสวยของอริญชย์จะเข้าใจความหมายของม้ากับม้าน้ำผิดไป แต่ผู้ใหญ่อย่างอริญชย์ก็เอาแต่หัวเราะหึ ๆ ก่อนจะเอ่ยสำทับเสียงเรียบ ๆ

           “ลุงใหญ่ก็ชอบเหมือนกัน ลุงใหญ่ชอบ ‘ขี่’ ม้า โดยเฉพาะม้าพยศ”

          พิชญ์ถึงกับหน้าชาทันที คำว่า ‘ขี่’ ของอริญชย์มันกินความนัยไปถึงไหนต่อไหน เหตุใดเขาจะไม่รู้ ได้แต่พึมพำออกไปเบา ๆ

           “ซักวัน ม้ามันจะดีดให้ตกจากหลังไม่รู้ตัว”

          ถึงจะพูดออกไปเบาแค่ไหน พิชญ์คงลืมไปว่าอีกฝ่ายก็ยังได้ยินอยู่ดี อีกคนถึงได้หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงห้าวลึก

           “ไม่เป็นไร ฉันชอบปราบพยศม้า มันท้าทายดี นายว่าไหมพีท...”


.


          รถยนต์คันหรูแล่นผ่านตัวเมืองหัวหินมาไม่ไกล ตุลย์ก็ลอบมองผ่านกระจกมองหลังแวบหนึ่งก่อนจะอมยิ้มมุมปาก อริญชย์ที่ยังตื่นอยู่นั่งวางท่านิ่ง ๆ พิชญ์ที่นอนหลับเอนหัวมาพิงหัวไหล่เขาเอาไว้ ส่วนน้องหนูก็นอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมกอดของพิชญ์อีกที มือใหญ่ลูบหัวหลานสาวตัวน้อยเบา ๆ ก่อนจะเลยมาลูบแขนพ่อของหลานเล่นด้วย

           “คุณใหญ่ชอบแกล้งคุณพีท” ตุลย์แกล้งว่าผู้เป็นนาย

          อริญชย์ไหวไหล่น้อย ๆ ทอดสายตามองสองพ่อลูกที่นอนกอดกันกลม ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ  รอยยิ้มที่พิชญ์คงไม่มีวันเห็น หรือเจ้าตัวอาจจะเคยเห็น แต่ก็ถูกความร้ายกาจของเขาบดบังให้ลืมเลือนมันไป

           “ช่วยไม่ได้ คุณพีทของนายน่าแกล้งเอง”

           “ชอบถูกคุณพีทเกลียดหรือไงครับ”

          อริญชย์ไม่ได้ตอบตุลย์ออกมาเป็นคำพูด เขาได้แต่เฝ้าตอบตัวเองในใจ ใครกันจะไปอยากถูกเกลียด แต่ถ้าถูกเกลียดแล้วได้ครอบครองเอาไว้ จะเกลียดกันให้ตาย เขาก็ยอม...

           “แล้วคุณใหญ่ไม่คิดจะบอกคุณเล็กหรือไงครับ จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”

           “รอให้ถึงเวลาก่อน ถ้ายัยเล็กรู้เข้า คงเกลียดฉันอีกคนแน่ ๆ”

          ตุลย์มองคนที่ทำหน้าหนักใจแล้วก็ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี ทำตัวเองแท้ ๆ กลัวว่าสุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เฝ้ารักษาเอาไว้ อริญชย์อาจจะต้องเสียมันไปทั้งหมด ทั้งพิชญ์ ทั้งไอลดา หรือแม้กระทั่งน้องหนู

           “ถึงแล้วครับ คุณใหญ่”

          ตุลย์เอ่ยบอกพร้อมกับค่อย ๆ ชะลอความเร็งของรถลง จนกระทั่งจอดหน้าบ้านชั้นเดียวที่อยู่ตรงตัวอำเภอปราณบุรี อริญชย์กวาดสายตามองรอบ ๆ ก่อนจะผุดรอยยิ้มออกมาบาง ๆ เขาค่อย ๆ เอื้อมมือไปแตะแขนพิชญ์ที่นอนหลับสบายอยู่ เขย่าตัวอีกฝ่ายเบา ๆ เพื่อปลุกให้ตื่น

           “พีท...ถึงแล้ว”

          ดูท่าว่าเมื่อเช้าเขาจะทำพิชญ์เหนื่อยเอาเรื่อง อีกฝ่ายถึงไม่ยอมตื่นขึ้นมาง่าย ๆ กลายเป็นน้องหนูเสียอีกที่งัวเงียตื่นขึ้นมาก่อนผู้เป็นพ่อ

           “น้องหนู ปลุกพ่อพีทเร็วลูก” อริญชย์เห็นหลานสาวตัวน้อยตื่นแล้ว เลยได้โอกาสใช้เจ้าตัวน้อยทันที

          น้องหนูยังงัวเงียอยู่ เพราะเพิ่งตื่น แต่พอหันมาเห็นพิชญ์นอนหลับอยู่ก็ยิ้มหวานออกมาอย่างน่ารัก ขยับตัว ยื่นหน้าเข้าไปใกล้พิชญ์ ก่อนจะกระซิบข้างหูเบา ๆ

           “พ่อพีทขา ตื่นเร็วค่ะ”

          คนถูกปลุกขยับตัวนิด ๆ ก่อนจะคว้าเอาน้องหนูเข้าไปกอดแนบอก ให้อริญชย์ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอามากกว่าเดิม

           “จะตื่นดี ๆ หรือจะให้ฉัน...”

          ไม่ต้องรอให้อริญชย์ขู่จบประโยค พิชญ์ก็ลืมตาโพลง ผุดลุกขึ้นนั่งทันที เขาตวัดตามองอริญชย์ตาขวาง ที่เขาอ่อนเพลียขนาดนี้เป็นเพราะใครกัน ชายหนุ่มยกน้องหนูลงจากตักเอาไปส่งให้อริญชย์ ก่อนจะยกมือสางผมตัวเองที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทาง

          อริญชย์กับน้องหนูลงจากรถไปก่อนแล้ว พอพิชญ์ทำอะไรเรียบร้อยแล้วถึงตามลงมา ก่อนจะต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าอริญชย์พาเขามาที่ไหน

           “คุณใหญ่ นี่มันบ้านผมนี่”

          ไม่ต้องรอให้อริญชย์เอ่ยตอบ คำตอบของพิชญ์ก็ปรากฏตัว ผู้หญิงวัยกลางคนที่พิชญ์คุ้นเคยมาตลอดชีวิตเดินออกมาเขม้นมองอยู่ตรงชานบ้าน ก่อนจะอุทานออกมาเสียงดังอย่างดีอกดีใจ

           “น้องหนู หลานย่า”

           “คุณย่าขา...”

          ลูกสาวตัวน้อยของพิชญ์วิ่งตื๋อเข้าไปหาผู้เป็นย่าแล้ว เหลือแต่พิชญ์ที่ยังยืนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไหนอริญชย์บอกว่าจะพาน้องหนูไปทะเล ส่วนตัวเองจะไปพักผ่อน แล้วทำไมถึงมาโผล่ที่บ้านของเขาได้ล่ะ

           “จะยืนอึ้งอีกนานไหม ถ้านาน ฉันจะได้เข้าบ้านไปก่อน”

          แล้วคนที่เป็นแขกก็หันมาเอ่ยกับพิชญ์เหมือนตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน ก่อนจะเดินอาด ๆ นำหน้าไป ทิ้งให้ลูกชายเจ้าของบ้านอย่างเขาต้องวิ่งตาม ส่วนแม่พลอย แม่ของพิชญ์ก็ไม่ต้องถาม พอเจอหลานก็ลืมลูกทันที



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า ^^

จริงๆแล้วคุณใหญ่เขาก็มีมุมใจดีเหมือนกันนะคะ
แต่ชอบทำให้พีทเกลียดมากกว่า

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ปากกับใจของคุณใหญ่ละน่าาาาาาไม่เคยตรงกันซักที ทำให้พีทขุ่นเคืองได้ตลอด..
น้องหนูเลยกลายเป็นความสุขหนึ่งเดียวของพีทจริงๆ ละนาทีนี้
ถ้าคุณใหญ่แค่ใจดี(ต่อหน้า)กับพีทซักนิด เดาว่าพีทต้องมองคุณใหญ่ใหม่แน่ๆ

แต่เอาเถอะ เอาที่คุณใหญ่สบายใจละกันนะ 555555 :katai5:


รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
เฮ่อเหนื่อยใจกับคนปากแข็ง o18 ว่าแต่น้องหนูคงไม่ใช่ลูกเสี่ยเล้งนะ   :hao4:

ออฟไลน์ งงปะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-0
เรื่องนี้ไม่แน่ใจว่าเคยอ่านเมื่อหลายปีก่อน จนลืมไปละไม่รู้ว่าใช่ไหม แต่มันนานมากๆ หลายปีเลย 4-5ปีไหมไม่มั่นใจว่าจะใช่เรื่องนี้เปล่า แต่พล๊อตเรื่องนี้แบบนี้

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
คุณใหญ่เอาใจคุณเขาดีแบบนี้ เห็นทีเขาคงจะลดความเกลียดลงให้กะจึ่งนึง 55555 ว้อยยยยสนุกกกกมากกกกก เฮ้ยๆชอบอ่ะ คุณใหญ่ปากร้าย แต่ก็ปกป้องดูแลทุกคน แม้วันนึงพ่อพีทอาจจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดกับน้องหนู เพราะดูท่าเสี่ยเล้งแล้วทะแม่งๆ อะๆยังไง 55555 ความผูกพันธ์ัคงตัดไม่ขาดทั้งกับลูกและกับคุณลุง อีกนานกว่าคุณใหญ่จะปากตรงกับใจ พูดดีๆ ให้เราฟิน ปานนั้นพีทจะยังอยู่หรือป่าว ชอบความมั่นคงของคุณใหญ่ที่อยากจะได้แต่พีทเพียงคนเดียว เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าเขาก็แคร์ตัวเองอยู่มาก ซื้อของกินที่ชอบให้ พากลับบ้านแค่ได้ยินว่าคิดถึง ถึงจะชอบบังคับจนน่าหมั่นไส้ แต่เราก็ชอบอ่ะ 5555555 สนุกจริง อยากอ่านต่อแล้ววววววว ขอบคุณนะคะที่แต่งและมาอัพต่อ รอตอนต่อไปเลยค่ะ รรรรร  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
ไปทะเลกันดีกว่า ..

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
เจ็ด
แปลกไป



          บ้านของพิชญ์ตั้งอยู่ตัวอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นบ้านชั้นเดียวขนาดกะทัดรัดเนื่องจากอยู่กันแค่สองคนแม่ลูก บริเวณนอกบ้านมีแปลงผักสวนครัวเล็ก ๆ ซึ่งแม่พลอยเป็นคนปลูกและดูแลเองกับมือจนออกดอกออกผลสวยงาม

          สมัยก่อนตอนอยู่กันแค่สองคนแม่ลูก พิชญ์ก็คิดว่าบ้านของเขามีขนาดกำลังดี อย่างน้อยก็เหมาะกับครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีแค่เขากับแม่พลอย แต่พอมีผู้ชายตัวใหญ่ ๆ อีกสองคนมายืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางบ้าน พิชญ์ถึงเพิ่งรู้ว่าบ้านของเขามันคับแคบเกินไปสำหรับการรับแขก โชคดีที่บริเวณชานบ้านมีม้าหินสำหรับนั่งรับลมเย็น ๆ แม่พลอยเลยชวนแขกจากกรุงเทพฯมานั่งตรงชานบ้านแทน

           “แล้วนี่ไปยังไงมายังไง ถึงได้มาถึงนี่ล่ะพีท” แม่พลอยเอ่ยถามลูกชายคนเดียวอย่างเอ็นดู ข้าง ๆ มีหลานสาวตัวน้อยที่นั่งเล่นก้อนน้ำแข็งอยู่ เดี๋ยวจับใส่ปากบ้าง เดี๋ยวคายออกบ้าง แล้วก็หัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจอยู่คนเดียวตามประสาเด็ก

          พอถูกผู้เป็นแม่เอ่ยถาม คนที่ถูกพากลับบ้านแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยตวัดตามองอริญชย์ เป็นเชิงให้อริญชย์เป็นฝ่ายตอบแม่พลอยเอง คนถูกมองเองก็ดูจะเข้าใจความหมายจากสายตาของพิชญ์ เลยหันไปยิ้มอ่อน ๆ ให้กับแม่พลอยก่อนจะอธิบาย

           “พอดีน้องหนูบ่นว่าอยากมาเที่ยวทะเลน่ะครับ ไหน ๆ ผมกับพีทก็เคลียร์งานเสร็จแล้ว เลยคิดว่าแวะมาที่นี่ ถือโอกาสมาเยี่ยมแม่พลอย แล้วค่อยพาน้องหนูไปเล่นทะเลที่หาดหัวหินหรือไม่ก็หาดปราณบุรีน่าจะดี”

          แม่พลอยพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะกวาดสายตามองรอบ ๆ ตอนแรกที่ลูกกับหลานมาถึง เธอมัวแต่สนใจหลานสาวตัวน้อยที่วิ่งตื๋อเข้ามาหาเลยไม่ทันได้สังเกตอะไร พอมาดูดี ๆ ถึงเห็นว่าลูกสะใภ้ของเธอไม่ได้มาด้วย ด้วยความเป็นห่วงเลยอดถามออกไปไม่ได้

           “แล้วคุณเล็กไม่มาด้วยหรือพีท”

           “ยัยเล็กเขาติดงานถ่ายแบบครับ พวกผมเลยพาน้องหนูมาเที่ยวกันเอง”

          อริญชย์เป็นคนเอ่ยตอบแทนพิชญ์ ทำให้แม่พลอยคลายความสงสัยไปได้เยอะ เธอเองก็รู้ว่าไอลดาเป็นนางแบบจากการบอกเล่าของพิชญ์ เลยไม่ค่อยมีเวลาว่างเหมือนคนอื่น ๆ มากนัก แต่ตามประสาแม่สามีก็อดถามถึงลูกสะใภ้ไม่ได้

           “พีทมากะทันหัน ไม่ได้มากวนแม่ใช่ไหม” พิชญ์เอ่ยกับผู้เป็นแม่เสียงอ่อน

          ถึงแม้ยามทำงานและยามอยู่กับคนอื่น พิชญ์จะวางมาดเป็นนักธุรกิจที่ดูโตเกินอายุ ด้วยความรับผิดชอบหลาย ๆ อย่างที่แบกรับมา แต่พออยู่กับผู้เป็นแม่ที่เลี้ยงกันมาแต่เล็กแต่น้อย พิชญ์ก็ถอดหัวโขนต่าง ๆ ออก กลายเป็นแค่ลูกชายคนหนึ่งของแม่ และสำหรับแม่พลอยเองแล้ว ต่อให้พิชญ์จะแต่งงาน มีลูกมีภรรยา มีหลานให้แม่อุ้ม แต่ในสายตาของคนเป็นแม่ พิชญ์ก็ยังคงเป็นลูกชายตัวน้อยของแม่พลอยอยู่วันยังค่ำ

           “กวนเกินอะไรกันพีท แม่อยู่คนเดียว มีลูก ๆ หลาน ๆ มาหาแม่ก็ดีใจ” แม่พลอยเอ่ยอย่างยินดี พร้อมทั้งเผื่อแผ่รอยยิ้มไปให้อริญชย์และตุลย์ด้วยเช่นกัน

           “แม่อยู่คนเดียวเหงาหรือเปล่า พีทชวนแม่ไปอยู่กรุงเทพฯด้วยกัน แม่ก็ไม่ยอมไป”

           “ไม่เอาหรอก แม่ไม่ชอบ อยู่ที่นี่ดีแล้ว พีทคิดถึงแม่ก็มาหาแม่ที่นี่ แล้วดูเราสิ โตจนมีลูกแล้ว ยังมาอ้อนแม่ต่อหน้าลูกอีก”

          พิชญ์คว้าเอาเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งตัก ก้มลงกดจมูกที่แก้มยุ้ยแรง ๆ ก่อนจะแย่งน้ำแข็งในมือน้องหนูมาโยนทิ้งลงพื้นพร้อมกับเอ็ดเบา ๆ

           “พอแล้วน้องหนู สกปรกหมดแล้ว”

           “ฮือ...พ่อพีท น้องหนูจะเล่นเย็น ๆ”

           “ถ้าดื้อ เดี๋ยวพ่อพีทไม่พาไปหาคุณปลานะ”

          พอโดนเอาเรื่องเที่ยวมาขู่ น้องหนูที่กำลังเบะปากก็หุบฉับทันทีก่อนจะซุกหน้าเข้ากับอกของพิชญ์ ให้คนอื่น ๆ ได้แต่มองด้วยความเอ็นดู

           “ตายจริง! แม่ลืมไป ไม่ได้บอกกันก่อนว่าจะมา แม่เลยไม่ได้เตรียมที่นอนห้องหับเอาไว้ให้”

           “ไม่เป็นไรครับ พวกผมอยู่กันง่ายอยู่แล้ว” ตุลย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังอริญชย์เป็นคนเสนอหน้ามาตอบ ให้อริญชย์นึกหมั่นไส้จนต้องถามกลับหน้านิ่ง ๆ

           “ใครพวกเดียวกับนาย”

           “โธ่ คุณใหญ่ ผมก็แค่พูดรวมเฉย ๆ”

          แม่พลอยที่ปกติอยู่คนเดียว พอเห็นผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายมายืนเถียงกัน ก็มองอย่างขบขันก่อนจะยกมือปราม

           “ไม่ต้องเถียงกันคุณใหญ่ เอาอย่างนี้ แม่ว่าให้น้องหนูมานอนกับแม่ที่ห้อง แล้วคุณใหญ่กับตุลย์นอนห้องพีท ส่วนพีท...หนูไปเอาฟูกที่แม่พับเก็บอยู่มาปูนอนตรงห้องรับแขกละกัน เพราะถ้าปูนอนในห้องพีท แม่ว่าไม่มีที่เดินแน่ ๆ”

          พิชญ์กำลังจะเอ่ยปากรับคำผู้เป็นแม่ แต่ยังช้ากว่าอีกคนที่รีบชิงขัดขึ้นเสียก่อน

           “ไม่ต้องลำบากพีทหรอกครับแม่ เดี๋ยวให้ตุลย์นอนห้องรับแขกแทน แล้วให้พีทมานอนในห้องกับผมดีกว่า” นอกจากจะเอ่ยเสียงนุ่มทุ้มหูกับแม่พลอยแล้ว อริญชย์ยังหันไปขึงตาดุ ๆ ใส่ตุลย์เป็นเชิงให้หุบปากอีกด้วย

           “แต่คุณใหญ่กับตุลย์เป็นแขก เดี๋ยวจะลำบากกันเปล่า ๆ แม่ว่า...”

           “ไม่ลำบากหรอกครับแม่ ตุลย์มันชิน”

           “ถ้าคุณใหญ่ว่างั้น ก็เอาตามคุณใหญ่เลยละกัน”

          ตุลย์ได้แต่เกาหัวแกรก ๆ เมื่อถูกผู้เป็นนายยัดเยียดให้นอนพื้นหน้าตาเฉย เอาเถอะ...เป็นลูกน้องเขานี่หว่า เจ้านายสั่งอะไรก็ต้องทำตาม อย่าริอ่านไปขัดขวางความสุขเจ้านายให้มาก เดี๋ยวจะได้วอดวายไม่รู้ตัว

          พิชญ์ทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ห้องนอนเขามีเตียงใหญ่อยู่แค่เตียงเดียว ยังไงก็นอนได้แค่สองคน แต่จะให้เขานอนกับอริญชย์ พิชญ์ก็ลำบากใจจริง ๆ

           “อันที่จริง พีทไปนอนในห้องแม่กับน้องหนูก็ได้นะ” พิชญ์หันไปเอ่ยกลับแม่พลอย ทำทีเป็นไม่สนใจสายตาดุ ๆ ของคนที่อยู่ข้าง ๆ

           “จะมานอนเบียดกันทำไม แม่กับน้องหนูจะนอนกันตามประสาสาว ๆ พีทก็นอนกับคุณใหญ่ไปสิลูก ผู้ชายก็อยู่ส่วนผู้ชาย จริงไหมน้องหนู”

          นอกจากผู้เป็นแม่จะไม่เห็นดีเห็นงามด้วยแล้ว ลูกสาวคนสวยของพิชญ์ยังพยักหน้าหงึก ๆ อีก แถมคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หัวเราะออกมาเบา ๆ มีแต่พิชญ์คนเดียวที่ทำหน้ายุ่งยากใจ

          ...แม้กระทั่งอยู่บ้านตัวเอง...พิชญ์ก็ยังไม่มีทางหนีอริญชย์พ้นเลยใช่ไหม...


.


          หลังจากขนข้าวของลงมาจากรถเรียบร้อย แม่พลอยที่มีลูกมีหลานมาเยี่ยมเต็มบ้านก็เกิดอารมณ์ดี อยากจะแสดงฝีมือทำอาหาร พิชญ์เลยเดินเข้าครัวมาช่วยแม่เปิดตู้เย็นดูของสด ปล่อยให้น้องหนูอยู่กับตุลย์และอริญชย์

           “แม่ พีทอยากกินกุ้งอบวุ้นเส้นฝีมือแม่จัง” ลูกชายตัวโตหันมาเอ่ยอ้อนแม่

           “โตจนมีลูกแล้วยังอ้อนแม่อีกนะเรา แล้วเป็นไงบ้างลูก อยู่กรุงเทพฯสบายดีไหม”

          พิชญ์ลากเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ มานั่งในครัว คอยดูแม่พลอยที่แม้อายุอานามจะมากแล้ว แต่ยังคล่องแคล่วอยู่เสมอ เขาเคยนึกอยากจะพาแม่ไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ อาจจะหาบ้านหลังเล็ก ๆ แล้วอยู่ด้วยกันสองคน แต่พอชีวิตพลิกผัน ต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ อะไรหลายอย่างเลยไม่เป็นอย่างใจคิด

           “พีทสบายดี แต่อยากให้แม่ไปอยู่ด้วยจัง”

           “ไม่เอาหรอก บ้านคุณใหญ่เขาหลังใหญ่โต แม่ไม่ชิน แม่ชอบอยู่บ้านเล็ก ๆ”

           “แต่ปล่อยให้แม่อยู่คนเดียว พีทเป็นห่วงแม่นะ งั้นพีทซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ที่กรุงเทพฯให้แม่อยู่เอาไหม”

           “ไม่เอา ๆ ไม่ต้องเลยนะพีท แม่อยู่ที่นี่ดีแล้ว อยู่มาตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่นหรอก” แม่พลอยรีบเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็งทันที

          สุดท้ายแล้ว พิชญ์ก็ต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้เหมือนที่ผ่าน ๆ มา เขารู้ว่าแม่ผูกพันกับบ้านหลังนี้ ผูกพันกับที่นี่ ที่ ๆ มีความทรงจำของแม่กับพ่ออยู่เต็มไปหมด แต่พิชญ์ก็เป็นห่วงแม่ ผู้หญิงตัวคนเดียวในบ้านหลังเล็ก ๆ ถึงจะมีเพื่อนบ้านคอยช่วยสอดส่องเป็นหูเป็นตาให้ พิชญ์ก็ยังอยากให้แม่ไปอยู่ใกล้ ๆ เขาอยู่ดี

           “กับคุณเล็กเข้ากันได้ดีใช่ไหมลูก” แม่พลอยเอ่ยถามเสียงเรื่อย ๆ ไม่ได้หันกลับมามองลูกชาย เลยไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าท่าทางของพิชญ์

           “ครับ คุณเล็กเธอเป็นคนดี”

          กับไอลดาแล้ว พิชญ์ไม่มีปัญหาอะไรในการใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเธอเลย ที่มีปัญหาจริง ๆ คือพี่ชายของไอลดาหรือพี่ภรรยาของเขาต่างหาก แต่เขาก็ไม่คิดจะพูดออกไปให้ผู้เป็นแม่รู้สึกกังวล

           “ดีแล้ว พีทเองก็เป็นคนดี ใครอยู่ใกล้พีทก็ต้องชอบพีททุกคน เวลาเห็นลูกมีความสุข แม่เองก็พลอยดีใจไปด้วย อ้อ...แล้วส่งเงินมาให้แม่ตั้งมากมาย พีทพอใช้เหรอลูก เก็บออมไว้ให้น้องหนูบ้างนะ ยังไงก็อย่าไปรบกวนคุณเล็กกับคุณใหญ่เขามาก”

          แม่พลอยเองก็รู้ว่าทางไอลดามาจากครอบครัวมีฐานะ ความก้าวหน้าต่าง ๆ ของพิชญ์ก็ล้วนแต่มาจากการช่วยเหลือของอริญชย์ แต่เธอก็ไม่อยากให้ใครมาครหาว่าลูกชายเกาะครอบครัวภรรยากิน ถ้าสามารถยืนด้วยขาของตัวเองได้ เธอก็อยากจะให้พิชญ์ทำอย่างนั้น

           “พีทก็ไม่อยากไปรบกวนเขาเท่าไหร่หรอกแม่”

          ...แต่บางทีอริญชย์ก็เป็นฝ่ายหยิบยื่นมาให้ โดยเรียกร้องเอาสิ่งแลกเปลี่ยนที่เขาไม่เต็มใจเลยกลับคืน...นั่นคือสิ่งที่พิชญ์ได้แต่คิด ไม่กล้าเอ่ยตอบผู้เป็นแม่ออกไป

           “เงินที่พีทโอนมาให้แม่ แม่ก็ยังไม่ได้เอามาใช้ซักบาท ว่าจะเก็บให้น้องหนูอยู่เหมือนกัน”

           “แม่เก็บไว้ใช้เถอะ น้องหนูมีคนเอ็นดูเยอะแยะแล้ว”

           “อิจฉาน้องหนูล่ะสิ”

           “เปล่าซะหน่อย แม่ก็ใส่ความพีท พีทเป็นพ่อ เห็นคนมาเอ็นดู มารักลูกตัวเอง พีทก็ต้องดีใจอยู่แล้วสิ”

          พิชญ์ยอมรับนับถือน้ำใจของไอลดาอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าเธอจะตั้งท้องน้องหนูตอนที่ยังไม่พร้อม แต่เธอก็เลือกที่จะเก็บน้องหนูเอาไว้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พิชญ์ก็ขอบคุณเธอเหลือเกินที่มอบของขวัญล้ำค่าที่สุดอย่างน้องหนูให้กับเขา
         
           “ตายจริง!”

          เสียงอุทานของผู้เป็นแม่ดึงความสนใจของพิชญ์ให้หันกลับไปมอง ก่อนจะลุกไปยืนข้างหลังแม่พลอย แล้วชะโงกหน้าไปดูอย่างเป็นห่วง

           “เป็นอะไรแม่ ร้องจนพีทตกใจหมด”

           “น้ำมันหมดพอดีเลย แม่ไม่ได้ซื้อเก็บไว้เสียด้วย”

           “เรื่องแค่นี้เอง เดี๋ยวพีทขี่รถออกไปซื้อให้ เอาน้ำมันอย่างเดียวใช่ไหมแม่”

           “ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว พีทซื้อมะนาวกับวุ้นเส้นกลับมาด้วยเลยแล้วกัน กุญแจรถแขวนอยู่ที่เดิมนะ”

          พิชญ์หันมายักคิ้วให้ผู้เป็นแม่อย่างทะเล้น ก่อนจะเดินออกไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ที่แขวนอยู่ เห็นตุลย์กับอริญชย์กำลังชวนน้องหนูเดินดูปลาในบ่อ พิชญ์เลยเดินผ่านไปใส่รองเท้า แล้วก้าวขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดแอบอยู่ข้างบ้าน เพิ่งจะเสียบกุญแจ ยังไม่ทันได้สตาร์ทเครื่อง เสียงดุ ๆ ก็ดังมาจากข้างหลัง

           “จะไปไหน”

           “ไปซื้อของให้แม่ครับ คุณใหญ่จะเอาอะไรหรือเปล่า”

          อริญชย์ไม่ได้ตอบคำถามของพิชญ์ แต่ก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์หน้าตาเฉย เล่นเอาคนขับถึงกับเหวอไปนิด ๆ

           “คุณใหญ่...” พิชญ์ร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาอย่างไม่เข้าใจ

           “ออกรถสิ ฉันจะไปด้วย”

          รู้ดีว่าเถียงหรือคัดค้านไป ยังไงอีกคนก็ไม่ฟังอยู่ดี ลองว่าอริญชย์ต้องการอะไรแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าตัวจะยอมเลิกราทั้งที่ยังไม่ได้ พิชญ์เลยได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะสตาร์ทเครื่องแล้วขี่รถออกจากบ้าน

          ปกติแล้ว จากบ้านพิชญ์ไปตลาดตรงสี่แยกมักจะใช้เวลาประมาณสิบถึงสิบห้านาที ซึ่งเป็นระยะทางที่ไม่ได้ไกลจากบ้านเท่าไหร่ แต่วันนี้ชายหนุ่มอดรู้สึกไม่ได้ว่า เหมือนระยะทางมันจะไกลเกินไปในความรู้สึกของเขา โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ชายตัวโตซ้อนท้ายมาด้วย แถมยังเกาะเอวเขาเสียแน่น ทั้ง ๆ ที่พิชญ์ก็ขี่ด้วยความเร็วปกติ ไม่ได้ผาดโผนเลยแม้แต่น้อย

          คนขี่..นึกอยากให้ตลาดอยู่ใกล้บ้านกว่าเดิม แต่คนซ้อน...กลับนึกอยากให้ตลาดอยู่ไกลออกไป หรือถ้าเป็นไปได้...ขี่ไปถึงกรุงเทพฯเลยยิ่งดี

          พิชญ์จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ริมถนนเหมือนคนอื่น ๆ ก่อนจะเดินนำไปที่ตลาด โดยลืมไปว่าอีกคนไม่ใช่คนท้องที่อย่างเขา กว่าจะรู้ว่าอริญชย์ไม่ได้เดินตามมาก็ตอนที่เดินมาถึงหน้าตลาด แล้วรู้สึกเหมือนทำอะไรหายไป เขามองย้อนกลับไป เลยเห็นอริญชย์ยังมัวแต่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่แถวรถมอเตอร์ไซค์ จนพิชญ์อดไม่ได้ ต้องตะโกนเรียกอีกฝ่าย

           “ยืนรออะไรครับ คุณใหญ่”

          อริญชย์นิ่วหน้าออกมานิด ๆ เมื่อเจ้าถิ่นเห็นเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับพื้นที่เลยได้ทีข่มเขาใหญ่ ทีใครทีมันแล้วกัน อย่าให้เป็นทีเขาบ้างเชียวล่ะ

          พิชญ์เดินนำอริญชย์เข้าไปในตลาดอย่างคุ้นเคย พยายามผ่อนฝีเท้าลงช้า ๆ คนที่เดินตามมาจะได้เดินทัน ตลาดเช้าวายไปหมดแล้ว ไม่มีของสดเหลือให้จับจ่าย ที่เหลืออยู่ก็มีแต่ร้านขายของแห้งกับของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะหาซื้อได้

          นักธุรกิจใหญ่อย่างอริญชย์ไม่เคยมาเดินตลาดแบบนี้ เลยมีท่าทีประดักประเดิดแปลก ๆ ให้พิชญ์เกือบหลุดหัวเราะออกมาอยู่หลายรอบ นี่ถ้าเกิดพามาตอนเช้าที่มีของสดวางขาย มีพ่อค้าแม่ค้าเข็นรถเข็นกันอุตลุต สงสัยคงได้สนุกกว่านี้แน่

           “อย่ามัวยืนเกะกะครับคุณใหญ่ ตลาดสด ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า” พิชญ์แกล้งเอ่ยค่อนขอดอริญชย์ ให้อีกฝ่ายเจ็บใจเล่น ๆ ก่อนจะเดินนำไปยังร้านขายของแห้ง

           “แสบนักนะ!” คนถูกกัดอ้อม ๆ ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ

          มาถึงร้านขายของแห้ง พิชญ์ก็เดินเข้าไปหยิบน้ำมันที่แม่สั่งก่อนเป็นอย่างแรก ก่อนจะฉวยเอาวุ้นเส้นยี่ห้อโปรดของตัวเองมาด้วย ไหน ๆ แม่ก็จะตามใจทำกุ้งอบวุ้นเส้นให้เขา พิชญ์ก็ขอเลือกวุ้นเส้นยี่ห้อโปรดไปด้วยเลยแล้วกัน เขาปล่อยให้อริญชย์ยืนรออยู่นอกร้าน ส่วนตัวเองเดินเข้าไปจ่ายเงินข้างใน

           “นี่พีท ลูกแม่พลอยที่ทำขนมมาส่งที่ร้านใช่ไหม กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”

          หลายปีที่ไม่ได้กลับบ้าน ทำเอาพิชญ์ลืมเลือนผู้หลักผู้ใหญ่ที่คุ้นหน้าคุ้นตาไป แต่ด้วยความเป็นคนอัธยาศัยดี ชายหนุ่มเลยส่งยิ้มนำออกไปก่อนจะเอ่ยตอบ

           “เพิ่งมาถึงเมื่อบ่ายนี้เองครับ”

           “จ้ะ ไม่เจอกันเสียนาน เจออีกทีกลายเป็นหนุ่มหล่อไปแล้ว แม่พลอยก็ชอบมาพูดให้ฟังอยู่เรื่อย ๆ”

           “ขอบคุณที่ชมครับ ผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวต้องไปซื้อของให้แม่ต่อ”

           “ไปดีมาดีเถอะพ่อคุณ ว่าแต่คนกรุงที่มาด้วยนั่นใครกันล่ะ” คุณป้าร้านขายของเอ่ยถามพลางส่งสายตาบุ้ยใบ้ไปยังอริญชย์ที่ยืนรออยู่นอกร้าน

           “พี่ภรรยาผมเองครับ”

           “ตายจริง แต่งงานแล้วเหรอ นึกว่าจะทาบทามให้ลูกสาวป้าซะหน่อย”

          พิชญ์ได้แต่ยิ้มรับแล้วเอ่ยขอตัว คนที่ยืนรออยู่นานสองนานถึงกับนิ่วหน้าทันที ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ ๆ

           “คุยอะไรกันนานสองนาน เป็นญาติกันหรือไง”

           “ไม่ใช่ญาติครับ แต่คนต่างจังหวัดเขาเจอกันก็ทักทายถามสารทุกข์สุขดิบกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่คนกรุงเทพฯนี่ครับ จะได้ตัวใครตัวมัน”

           “ยังไม่ได้ว่าอะไรซักคำ ทำไมต้องบ่นยืดยาว”

          ถึงปากจะบอกว่าไม่ได้ว่า แต่พิชญ์ก็รู้ว่าอริญชย์คงคิดไม่เหมือนเขา นักธุรกิจอย่างอริญชย์เลือกคบเฉพาะคนที่มีผลประโยชน์ให้กับตัวเองเท่านั้น ต่างจากพิชญ์ที่ยินดีเปิดรับทุกคนเข้ามาด้วยความเต็มใจ เพราะพิชญ์เชื่อว่าถ้าเขาดีกับใคร คนนั้นก็จะดีตอบกลับมา แต่มีเพียงคนเดียวที่ทำให้ความเชื่อของพิชญ์สั่นคลอน...

          ...เขาไม่เคยร้ายใส่อริญชย์ แล้วทำไมอริญชย์ถึงมาทำร้ายเขา...

          ขากลับจากตลาด อริญชย์แย่งเอาของจากมือพิชญ์ไปถือไว้เอง เพราะเห็นพิชญ์ต้องเป็นคนขี่รถกลับ พิชญ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขารู้ดีว่าคนอย่างอริญชย์คงจะเคยนั่งแต่รถยนต์ ไม่เคยต้องซ้อนมอเตอร์ไซค์แบบนี้ ถ้าเลือกได้ พิชญ์ก็อยากให้อริญชย์เป็นคนขี่มากกว่า มือปลาหมึกของอีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องมายุ่มย่ามแถวเอวเขาให้พิชญ์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจแปลก ๆ

          พอขี่รถเข้ามาจอดหน้าบ้าน อริญชย์ก็กวักมือเรียกตุลย์ให้เข้ามาช่วยรับของไปจากเขา แถมยังสั่งคนสนิทให้เข้าไปช่วยแม่พลอยทำกับข้าวในครัวอีกต่างหาก

           “ทำงานบ้างตุลย์ ไม่เคยได้ยินสุภาษิตว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ทำตัวเหมือนวัวเหมือนควายให้ลูกท่านด่าเหรอ”

          ไม่ใช่แค่ตุลย์ที่ชะงักกับสุภาษิตของอริญชย์จนแทบหัวทิ่ม แม้แต่พิชญ์เองก็ยังหันมามองอริญชย์ที่ยืนหน้าตาย ไม่รู้ว่าคนพูดพูดเพราะความไม่รู้หรือจงใจพูดกระทบกระทั่งเขากันแน่

           “มั่วแล้วครับคุณใหญ่ เขามีแต่อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น”

           “งั้นหรือ”

          อริญชย์เลิกคิ้วถามกลับได้น่าหมั่นไส้ที่สุดในสายตาของพิชญ์ เขาส่ายหน้าน้อย ๆ กำลังจะเดินไปหาน้องหนูอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่ได้ยินประโยคถัดมาของตุลย์เข้าเสียก่อน

           “คุณใหญ่ตัวก็ใหญ่อย่างกับยักษ์ ทำไมถึงซ้อนคุณพีทมาล่ะครับ ทำไมคุณใหญ่ถึงไม่ขี่รถ แล้วให้คุณพีทซ้อนแทน”

          อริญชย์หันไปตวัดตามองตุลย์ดุ ๆ แต่คงไม่ทันแล้ว เพราะพิชญ์เองก็หันมาถามอริญชย์เสียงเรียบ ๆ

           “ผมเพิ่งรู้ว่าคุณใหญ่ขี่มอเตอร์ไซค์เป็นเหมือนกัน”

           “ก็แค่พอได้นิด ๆ หน่อย ๆ”

           “แล้วคนที่ชอบขี่มอเตอร์ไซค์วิบากสมัยหนุ่ม ๆ นี่มันใครกันครับคุณใหญ่”

           “ฉันสั่งให้นายไปช่วยแม่พลอยทำกับข้าวไม่ใช่หรือไง”

          ตุลย์ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงไป ทำไมเขาจะรู้ไม่ทันเจ้านายตัวเองล่ะ เนียนซ้อนท้ายเพราะอยากฉวยโอกาสกอดเอวเขาก็บอกไปเถอะ

          พิชญ์เห็นจำเลยเอาแต่ยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก็คร้านที่จะหาความกับผู้ชายตัวโต ๆ ไปเล่นกับน้องหนูให้สบายใจดีกว่า แต่ก้าวขาออกไปไม่ทันไร เสียงห้าวก็ลอยตามลมมา

           “ไม่ใช่ความผิดฉันนะ นายไม่ถามก่อนเอง”

          โอเค! พิชญ์ลืมไปว่าในพจนานุกรมของผู้ชายที่ชื่ออริญชย์ เกียรติกาญจนา ไม่เคยมีการบรรจุความผิดของตัวเองเอาไว้


.


ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
           “อาหารอร่อยทุกอย่างเลยครับแม่...”

           “คุณใหญ่ก็ชมแม่เกินไป แม่ก็ทำตามปกติของแม่นี่แหล่ะ ถ้าชอบก็กินเยอะ ๆ เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

           “แม่เรียกใหญ่เฉย ๆ ก็ได้ครับ ไม่ต้องเรียกคุณหรอก คิดเสียว่าผมเป็นลูกเป็นหลานของแม่อีกคน”

           “ไม่เป็นไร แม่เรียกคุณใหญ่จนชินปากแล้ว”

          พิชญ์นั่งกินข้าวอย่างเซ็ง ๆ ฟังอริญชย์คุยกับแม่พลอยแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตกกระป๋องยังไงไม่รู้ เขาสาบานเลยว่า เพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าแม่เขามีลูกชายอีกคน นอกจากอริญชย์จะเรียกแม่เขาว่าแม่ทุกคำ แม่พลอยเองก็ไม่ต่างกัน นาน ๆ จะได้กลับมาบ้านที แต่พอกลับมาถึงแล้วแม่ได้ลูกชายคนใหม่ พิชญ์ก็ไม่ปลื้มเท่าไหร่หรอกนะ

           “เดี๋ยวหนุ่ม ๆ จัดการที่เหลือกันตามสบายเลยนะ แม่ขอพาน้องหนูไปอาบน้ำแล้วเข้านอนก่อน พีทก็เก็บจานล้างให้เรียบร้อยด้วยนะลูก”

          พิชญ์พยักหน้ารับ นั่งดูแม่พลอยจูงน้องหนูเดินเข้าห้องนอนไปด้วยกันตามประสาผู้หญิง ก่อนจะเหลือแต่เขา อริญชย์ และตุลย์ที่ยังนั่งกันอยู่ตรงชานบ้าน พิชญ์มองจานชามที่วางระเกะระกะก็ทำท่าจะลุกขึ้น แต่กลับถูกคนที่นั่งข้าง ๆ คว้าข้อมือเอาไว้ก่อน

           “จะไปไหน”

           “ไปเก็บจานชามล้างครับ คุณใหญ่จะเอาอะไรหรือเปล่า” พิชญ์ถามไปตามมารยาทเฉย ๆ ต่อให้อริญชย์อยากได้อะไรขึ้นมาตอนนี้ เขาก็ขี้เกียจไปหามาให้อยู่ดี

           “ไม่ต้อง เดี๋ยวให้ตุลย์ไปล้าง”

          ตุลย์ที่นั่งอยู่เฉย ๆ ถึงกับเงยหน้าขวับ เมื่อจู่ ๆ ผู้เป็นนายก็โยนภาระมาให้อีกแล้ว พิชญ์เองก็ถึงกับเหลืออด คำก็ตุลย์ สองคำก็ตุลย์

           “คุณใหญ่ ให้ตุลย์เขาพักบ้างเถอะ คุณจะใช้อะไรเขานักหนา กับแค่เรื่องล้างจานแค่นี้ ผมทำเองก็ได้”

           “ตุลย์ยังไม่บ่นซักคำ”

           “เขาจะบ่นได้ยังไงล่ะ ในเมื่อคุณเป็นเจ้านาย” พิชญ์เอ่ยเสียงห้วน ก่อนจะยกชามกองโตเดินเข้าไปในห้องครัว ทิ้งให้อริญชย์ได้แต่ตวัดสายตามองตุลย์ดุ ๆ

           “เพราะนายคนเดียวเลยนะตุลย์”

           “อย่าโทษผมสิครับคุณใหญ่ คุณใหญ่ชอบใช้งานผมบ่อย ๆ คุณพีทก็ต้องเห็นใจผมเป็นธรรมดา ระวังเถอะ...”

           “ระวังอะไร ตอบดี ๆ ไม่งั้นคืนนี้ได้นอนนอกบ้านแน่”

           “อย่านะครับคุณใหญ่ ที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์เกียรติกาญจนานะ”

          อริญชย์มองตุลย์อย่างรำคาญ พอมีคนยกหางเข้าหน่อยก็เอาใหญ่ สงสัยคงจะลืมไปว่าเจ้านายที่แท้จริงของตัวเองเป็นใคร

           “หยุดกวนตีนฉัน แล้วรีบ ๆ เข้าไปช่วยพีทล้างจาน”

           “แต่คุณพีทเขาจะล้างเองนี่ครับ”

           “ใครเป็นเจ้านายกันแน่ ฉันหรือพีท?”

          ตุลย์หัวเราะออกมาอย่างทะเล้น ก่อนจะยกจานชามที่เหลือเดินตามหลังพิชญ์ไป จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้คิดจะเกี่ยงงานอะไรหรอก แค่อยากกวนประสาทเจ้านายตัวเองเล่นเฉย ๆ ถ้าความสุขของอริญชย์คือการเห็นพิชญ์โมโห ความสุขของตุลย์ก็คงเป็นการเห็นอริญชย์โมโห แต่สาบานได้ว่าเขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับอริญชย์ มันเป็นแค่ความหมั่นไส้ในความท่ามากของคนเป็นนายเฉย ๆ


.


          พออริญชย์อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ก็ไล่ตุลย์ให้เข้าไปอาบน้ำต่อ ก่อนจะต้องยืนนิ่วหน้าเมื่อเห็นพิชญ์ที่อยู่ในชุดนอนลายทางกำลังหอบหมอนกับผ้าห่มจะเดินออกจากห้อง ไม่ต้องถาม อริญชย์ก็เดาการกระทำของอีกฝ่ายออกทันที เขาเดินไปขวางประตูเอาไว้ จนคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเดิน ต้องเงยหน้าขึ้นมามองสบตากับอริญชย์ พิชญ์ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

           “หลบหน่อยครับ คุณใหญ่”

           “ถ้านายทำสิ่งที่ฉันไม่ชอบก่อน ฉันก็จะทำสิ่งที่นายไม่ชอบเหมือนกัน”

          พิชญ์ยืนกอดหมอนกับผ้าห่ม เม้มริมฝีปากแน่นขณะไตร่ตรองหาทางหนีทีไล่ ตอนนี้มีแค่เขากับอริญชย์ที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ แม่พลอยกับน้องหนูเข้านอนเรียบร้อยแล้ว ส่วนตุลย์ก็เพิ่งเดินเข้าไปอาบน้ำ

           “คุณใหญ่ต้องการอะไรจากผม”

           “ฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายถามนายนะพีท ว่านายต้องการอะไรกันแน่ถึงได้คอยแต่จะยั่วโมโหฉันแบบนี้”

           “ผมไม่ได้ทำ”

          ไม่รู้ว่าเป็นความโชคร้ายของพิชญ์ หรือความโชคดีของอริญชย์กันแน่ที่ตุลย์อาบน้ำเสร็จพอดี ตอนแรกพิชญ์ก็ดีใจว่าตุลย์คงมาช่วยเขา ก่อนจะรู้ตัวว่าคิดผิดก็ตอนที่ตุลย์แย่งเอาหมอนกับผ้าห่มไปจากมือเขาหน้าตาเฉย

           “นี่หมอนกับผ้าห่มของผมใช่ไหมครับ ขอบคุณนะครับคุณพีท เดี๋ยวผมจัดการปูที่นอนเอง คุณพีทกับคุณใหญ่นอนกันได้เลยนะครับ ผมไม่กวนแล้ว ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ครับ”

          ตุลย์พูดจบ ก็หอบหมอนกับผ้าห่มเดินออกไปนอกห้อง ปิดประตูให้เสร็จสรรพ อริญชย์เองก็ไม่รอช้า หันไปกดล็อกทันที กันไม่ให้คนสนิทกลับเข้ามาอีกและกันไม่ให้ม้าพยศบางตัวหนีออกจากคอกด้วย ถึงแม้จะชอบกวนประสาทไปบ้าง แต่บางครั้งตุลย์ก็ทำดีจนน่าตบรางวัลให้อย่างงามเหมือนกัน

           “กลับไปที่เตียงได้แล้วมั้งพีท หรือต้องให้ฉันอุ้มไป”

          พิชญ์ได้แต่ก่นด่าทั้งเจ้านายและลูกน้องในใจก่อนจะหันหลังกลับไปทิ้งตัวลงบนเตียง พอล้มตัวลงนอนแล้ว พิชญ์ก็นอนหันหลังให้กับอริญชย์ ไม่สนใจไยดีอีกคน อริญชย์ได้แต่ส่ายหน้าไปมา เอื้อมมือไปปิดไฟ แล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ ก่อนจะดึงพิชญ์เข้ามาหาตัวเอง

           “หันหน้ามานี่ นอนหันหลังให้กันอย่างกับคู่ผัวเมียที่ขาเตียงหักไปได้”

           “คุณใหญ่คงลืมไปว่าผมเป็นสามีคุณเล็ก ไม่ได้เป็นอะไรกับคุณ”

          อริญชย์กระชับอ้อมกอดแน่น ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหู ให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดต้องนอนตัวแข็งทื่อ

           “แน่ใจนะว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ต้องให้ฉันบอกไหมว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน”

           “คุณใหญ่!”

           “นายจะเป็นผัวยัยเล็กก็เป็นไป แต่จำไว้ว่าเจ้าของนายก็คือฉัน”

           “อย่าดูถูกผม”

           “ฉันไม่ได้ดูถูกนาย ฉันแค่พูดความจริง ต่อให้นายไม่ยอมรับความจริง แต่ร่างกายของนายก็ซื่อสัตย์เสมอ สาบานสิ...ว่านายไม่ได้มีอารมณ์เพราะฉัน” ไม่ใช่แค่ริมฝีปากที่เอื้อนเอ่ยถ้อยคำหยาบคาย แต่มือของอริญชย์ยังหยอกเอินร่างกายของพิชญ์ราวกับคุ้นเคยกันมานาน

          เขารู้...ว่าตรงไหนจะทำให้พิชญ์รู้สึก ตรงไหนจะทำให้พิชญ์ทุรนทุราย ตรงไหนจะทำให้พิชญ์ต้องร้องเรียกชื่อเขาทั้งที่ไม่เต็มใจ

           “ผมก็มีอารมณ์กับทุกคนนั่นแหล่ะ”

          ความอวดดีทำให้พิชญ์โพล่งประโยคน่าอายออกไป ก่อนจะรู้เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ก็ตอนที่อริญชย์ชะงักมือ แล้วเปลี่ยนเป็นบีบแน่นเข้าที่ตัวเขา จนพิชญ์ต้องหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บ

           “คิดดีแล้วใช่ไหมถึงได้พูดออกมา จะต้องให้ฉันตอกย้ำอีกแค่ไหน นายถึงจะจำได้ว่าตัวเองเป็นของ ๆ ใคร”

           “อย่านะคุณใหญ่”

          อริญชย์ขบกรามแน่น พยายามข่มอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติอย่างยากลำบาก แค่ประโยคที่พิชญ์บอกว่ามีอารมณ์กับทุกคน มันก็ทำเอาเขาโมโหจนนึกอยากกระทำรุนแรงใส่คนพูด แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่ ๆ เขาจะสามารถทำอะไรอย่างใจคิดได้ อย่างน้อยเขาก็ต้องเห็นแก่หน้าแม่พลอย

          สุดท้ายอริญชย์เลยเลือกที่จะผลักพิชญ์ออกไป ก่อนจะลุกขึ้นนั่งในความมืด เขานั่งสงบสติอารมณ์ตัวเองอยู่นาน แต่มันยากที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในเมื่อต้นเหตุยังนอนอยู่ข้างกายเขา อริญชย์ถอนหายใจออกมาแรง ๆ ยกมือขยี้หัวตัวเองไปมา ก่อนจะลุกออกจากห้องไป ทิ้งอีกคนเอาไว้ในความมืด

          พิชญ์มองตามบานประตูที่ปิดลง ค่อย ๆ ดึงกางเกงนอนตัวเองขึ้นมาสวมให้เรียบร้อย ทั้ง ๆ ที่อริญชย์ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ แต่ทำไมพิชญ์ถึงไม่ได้รู้สึกดีอย่างที่ควรจะเป็น ทำไมกัน?

          นี่เป็นครั้งแรกที่อริญชย์เป็นฝ่ายหันหลังให้กับเขา หรือว่าข้อตกลงบ้า ๆ มันจะจบลงแล้ว

          เขาควรจะดีใจ แต่ทำไมหัวใจถึงได้ปวดหนึบแปลก ๆ



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์มากๆเลยค่ะ
ดีใจที่ยังมีคนจำเรื่องนี้ได้ ตอนนั้นที่ลงน่าจะ4ปีได้แล้ว
ตอนนั้นลงไม่จบ แต่รอบนี้สัญญาว่าจะลงจนจบแน่นอนค่ะ ^^

คุณใหญ่ก็ยังเป็นผู้ชายร้ายๆ รักเค้า แต่ก็ร้ายกับเค้า น่าหมั่นไส้มาก




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
พีทใจร่มๆ นะลูก คุณใหญ่แค่โมโหเฉยๆ
ไอ้เรื่องที่จะเบื่อพีทนั้นคงไม่มีทางเลย :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อาร๊ายย อ๊ายยหวั่นไหวกับคุณเขาแล้วหรอ คิคิ >.< -///- แค่เดินหันหลังให้เพราะโมโหยังหนึบๆหน่วงๆ อย่าว่าแต่คุณใหญ่ปากแข็งเลย พีทเองก็คงไม่ต่างกันละม้างคือไม่รู้ใจตัวเอง สับสนไรงี้ สามนาทีดีสี่นาทีทะเลาะ เหมาะกันจริงคู่นี้ ลูกคงดกถ้ามีได้ 555555 อยากจะตบรางวัลให้ตุลย์หลายๆรอบอ่ะ เออแกล้งเจ้านายให้โมโหบ่อยเถอะจะได้เข้าใจความรู้สึกคนอื่นเวลาโดนแกล้งซักที แต่คิดว่าจะสำนึกไหม คือคงไม่ ด้านแล้ว (เม้นท์หลอกด่าคุณเขาเจ้านาย จุๆ) 55555 รู้จังหวะกวนจังหวะช่วย จะมีแฟนกับเขาเป็นบ้างป่าวเนี้ย หรือว่าจะแอบมีซัมทิงกับคนสนิทอีกคนอักษรย่อ  ก. หาเมียให้แกซะงั้น ชอบเฮียตุลย์ไง 5555555 โว้ยยยยิ่งอ่านยิ่งสนุก อ่านเพลินดีจริง ภาษาดีอ่านลื่นไหล คำผิดไม่ค่อยมี แทบไม่เห็น ค่ะ นะคะ ยังใช้ถูกทุกที่  o13 o13 รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อให้ได้อ่าน รรรรรรรรรรร  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ใจเย็นๆกันนะ

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
มองข้ามความถูกต้องมองข้ามคำว่าสามีน้องสาวไป แล้วมองคุณใหญ่ให้ดีอีกครั้งอาจจะเข้าใจอะไร ๆ มากขึ้นนะพีท เฮ่อ :เฮ้อ: แต่มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากล่ะนะ แต่คุณใหญ่ก็นะพูดให้ชัดเจนอีกสักหน่อยโลกคงจะแตกล่ะมั้ง  :m16:
ป.ล.เราก็คุ้น ๆ เหมือนกันว่าเคยอ่านแล้วหรือเปล่าแต่ก็จำไม่ค่อยได้ แต่ยังใงก็จะจะอ่านอีกนั่นแหละ  :กอด1:

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
แปด
ลอบกัด



ห้องชุดราคาแพงระยับของคอนโดมิเนียมหรูย่านกลางเมือง มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟตรงหัวเตียงที่ส่องกระทบร่างสองร่างบนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ รอยสักมังกรผงาดกลางแผ่นหลังกว้างปรากฏเป็นเงาลาง ๆ  สวยงามราวกับผลงานชิ้นเอกของศิลปินฝีมือเยี่ยม ยามเมื่อร่างสูงเจ้าของรอยสักขยับกายกระแทกกระทั้นแรง ๆ จนเกิดเสียงเนื้อกระทบกัน ก็ดูคล้ายกับมังกรผงาดกำลังเคลื่อนไหวอย่างสง่างามอยู่กลางแผ่นหลัง สมกับชื่อของเขา ชื่อที่แปลว่า... ‘มังกร’ ตามภาษาจีนแต้จิ๋ว

อุณหภูมิในห้องเย็นเฉียบด้วยความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่สองร่างบนเตียงกลับมีแต่หยาดเหงื่อเกาะพราวทั่วตัว หมอนและผ้าห่มถูกปัดจนหล่นลงมากองระเกะระกะเต็มพื้นพรม เสื้อผ้าวางกระจัดกระจายอยู่ทั่วห้อง ราวกับถูกถอดออกด้วยความเร่งรีบแล้วโยนส่ง ๆ ไว้ข้างเตียง

เสียงครางผะแผ่วดังออกมาจากริมฝีปากบางสลับกับเสียงหอบระรัว แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามสะกดกลั้นเสียงครางของตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็ไม่วายมีเสียงครางหลุดออกมาให้ได้ยินเป็นพัก ๆ ปลายทางของความหฤหรรษ์รอเขาอยู่รำไร ริมฝีปากบางเม้มแน่น ร่างกายกระตุกระรัว ก่อนจะเคว้างคว้างราวกับถูกกระชากลงจากที่สูงด้วยฝีมือของคนที่คุมเกมอยู่

ราชันย์ กมลวิลาศน์เหยียดริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มร้ายกาจ ขณะค่อย ๆ ถอดถอนแกนกายออกมาจากร่างเล็ก ทั้ง ๆ ที่เห็นว่าอีกฝ่ายจวนเจียนจะถึงปลายทางอยู่แล้ว หยาดน้ำใสเอ่อคลอรอบดวงตากลมโต แต่เขาไม่สนใจ พลิกตัวลงนอนหงายบนเตียง ก่อนจะดึงเอาร่างเล็กกว่าขึ้นมานั่งทับอยู่บนตัว เรียกสีเลือดฝาดให้ปรากฏบนดวงหน้าขาว ปฐพีทำหน้าราวกับจะร้องไห้ ครางเรียกอีกคนเสียงแผ่ว ๆ

“ฮะ...เฮีย...อึก...”

ราชันย์เพ่งสายตามองผ่านความมืดที่เขาคุ้นชินด้วยท่าทางสบาย ๆ เห็นร่างเล็กทำหน้าไม่ถูกก็ยกยิ้มมุมปาก ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าอีกคนกำลังทรมานด้วยความต้องการมากแค่ไหน ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปตามผิวกายเปลือยเปล่าที่ถูกแต่งแต้มด้วยรอยจูบราวกับจะยั่วเย้า ก่อนถ้อยคำร้ายกาจจะหลุดออกมาจากริมฝีปากหยัก

“ถ้าอยากได้ ก็ขยับเองสิดิน...”

ปฐพีแทบจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ จัง ๆ แม้จะไม่ใช่หนแรกที่ถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่เคยชินเสียที มันทรมาน ทรมานด้วยความปรารถนาที่ถูกปลุกเร้า แต่กลับถูกยื้อเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้เขาไปสุดทาง เขาเม้มริมฝีปากแน่น มองส่วนกลางลำตัวของตัวเองที่อัดอั้นจนจวนเจียนจะระเบิดออกมา ค่อย ๆ ยื่นมือไปหมายจะจับอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แต่อีกคนกลับรู้ทัน ชิงคว้ามือเขาเอาไว้ก่อนจะเอ่ยเสียงดุ

“ฉันบอกให้ขยับเอง ไม่ได้บอกให้ใช้มือ”

ปฐพีรู้ดีว่าถ้าเขาไม่ยอมทำ ราชันย์ก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่ ๆ ชายหนุ่มข่มกลั้นความอับอายของตัวเองอย่างยากลำบาก ยกสะโพกขึ้นช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ กดลงมา ใบหน้าแดงซ่าน เมื่อความแข็งแกร่งของอีกคนจดจ่ออยู่ที่ปากทาง แต่อีกฝ่ายกลับมองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“อ๊ะ...อา...” ปฐพีหลุดเสียงครางออกมาเบา ๆ เมื่อกดตัวเองลงมาจนรับเอาความใหญ่โตของราชันย์เข้าไปได้จนหมด ความรู้สึกอึดอัดระคนคับแน่นตีตื้นอยู่ตรงช่องทางเบื้องล่าง

“ขยับสิ” คำสั่งเรียบ ๆ ดังตามมาอย่างไม่ยินดียินร้าย

ปฐพีมองสบตาราชันย์ ก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ ค่อย ๆ ขยับสะโพกตัวเอง อดยอมรับไม่ได้ว่า ในความอายมันแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกดี ความอบอุ่นที่ทั้งอึดอับและคับแน่นอยู่ในร่างกายเขา มันเติมเต็มความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง แม้จะถูกปฏิบัติไม่ต่างอะไรจากของเล่นชิ้นหนึ่ง แต่เพราะเป็นราชันย์ คนที่เปรียบเสมือนเจ้าชีวิตของเขา ปฐพีจึงไม่มีสิทธิ์ขัดขืนใด ๆ หรือถ้าพูดให้ถูกคือ เขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะขัดขืนอย่างจริงจัง

ร่างเล็กขย่มสะโพกตัวเองลงมาช้า ๆ ใบหน้าแหงนเชิดไปด้านหลัง เขาหลับตาเพื่อข่มความอายของตัวเอง เลยไม่มีโอกาสได้เห็นว่าคนที่นอนนิ่ง ๆ มองมาที่เขาด้วยสายตาแบบไหน

ปฐพีขยับตัวช้า ๆ ปล่อยใจไปตามความปรารถนาที่ถูกปลุกเร้า ก่อนดวงตาที่พริ้มสนิทจะพลันเบิกกว้าง เมื่อหูได้ยินเสียงเคาะประตูจากด้านนอก ทุกอย่างพลันหยุดชะงักราวกับถูกถอดปลั๊ก เขาขยับจะลงจากตัวของราชันย์ แต่กลับถูกอีกฝ่ายยึดสะโพกมนไว้แน่น ดวงตาคมมองเลยผ่านลาดไหล่เขาไปยังบานประตูที่ปิดสนิท ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ ๆ

“เข้ามา”

ปฐพีเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แม้จะรู้ดีว่าคนที่เคาะประตูคือใคร แต่เขาก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นเขาในสภาพน่าอายเช่นนี้ เขาพยายามขืนตัวออกจากการเกาะกุมของราชันย์ แต่ร่างสูงเพียงแค่ตวัดตามองเป็นเชิงปราม ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงห้วนจัด

“จะอยู่เฉย ๆ บนตัวฉัน หรือจะให้ฉันเอานายต่อหน้าปกรณ์”

คนที่ไม่มีทางเลือกอย่างปฐพีได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะยอมนั่งนิ่ง ๆ บนตัวราชันย์ โดยที่ร่างกายส่วนล่างยังคงเชื่อมกันอยู่ เสียงประตูห้องที่ถูกเปิดเข้ามา ทำเอาเขาสะดุ้งน้อย ๆ คนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามากำลังจะเอื้อมมือเปิดไฟ แต่กลับต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังมาจากบนเตียง

“ไม่ต้องเปิดไฟ มีอะไรก็พูดมา”

ปกรณ์ชะงักมือที่กำลังจะเอื้อมไปกดสวิตช์ไฟ เขาหันตามทางที่เสียงดังมา พอสายตาเริ่มชินกับความมืดในห้อง ถึงได้เห็นเงาลาง ๆ ของสองร่างบนเตียง แม้จะมีเพียงแค่แสงสลัวจากโคมไฟหัวเตียง เขาก็เดาออกทันทีว่าผู้เป็นนายกำลังทำอะไรอยู่ คนสนิทของราชันย์เบือนหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะเอ่ยธุระออกมา

“ทางเกียรติกาญจนารู้แล้วนะครับ ว่าเราจะยื่นประมูลโครงการก่อสร้างเดือนหน้า”

“ก็ให้มันรู้ไป” ผู้เป็นนายเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ มือใหญ่ลูบไล้ไปตามร่างเปลือยเปล่าที่คร่อมอยู่บนตัวอย่างเพลินมือ จนปฐพีต้องกัดฟันกลั้นเสียงครางเอาไว้อย่างยากลำบาก

แม้จะรู้ว่าปกรณ์คงเห็นไม่ชัด แต่ถ้าปกรณ์ตาไม่บอด ก็ย่อมรู้ว่าเขากับราชันย์กำลังทำอะไรกันอยู่ เขาอาย แต่ก็ไม่อาจขัดขืนฝ่ามือแข็งแรงที่ยึดสะโพกเขาเอาไว้

“คนของเรารายงานมาว่า ตอนนี้อริญชย์กับพิชญ์อยู่ที่ปราณบุรี”

ราชันย์เลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะรู้สึกถึงอาการเกร็งตัวของปฐพี ยามที่ได้ยินชื่อของเพื่อนเก่า

“จับตาดูมันไปก่อน ถ้ามีอะไรฉันจะสั่งอีกที นายออกไปได้แล้ว ล็อกห้องให้เรียบร้อยด้วย”

ลับร่างของคนสนิทแล้ว ราชันย์ก็พลิกตัวให้ปฐพีกลับลงมาอยู่ใต้ร่างเขา ดวงตากลมโตเสมองไปทางอื่น ก่อนจะถูกมือใหญ่บีบปลายคางเอาไว้ จนต้องยอมหันมาสบตาด้วยความจำนน

“ได้ยินที่ปกรณ์บอกเมื่อกี้แล้วใช่ไหม คงรู้นะว่าตัวเองต้องทำอะไร”

“อย่าทำเพื่อนผมได้ไหม...”

ราชันย์เหยียดยิ้มร้ายกาจออกมา จะเพราะบังเอิญหรือจงใจก็ตามที แต่การที่มือขวาของอริญชย์เป็นเพื่อนกับปฐพี มันก็ทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างง่ายขึ้นสำหรับเขา

“คิดจะต่อรองกับฉันเหรอ”

“ผะ...ผมเปล่า...”

“ระหว่างเพื่อนกับน้องของตัวเอง...ห่วงใครมากกว่ากันล่ะ”

คำถามเรียบ ๆ ที่หลุดออกมาจากริมฝีปากราชันย์ ช่วยตอกย้ำให้ปฐพีตระหนักถึงความเป็นจริงมากกว่าเดิม เพื่อนสมัยมัธยมกับน้องชายแท้ ๆ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเลือกน้องชายของตัวเองอยู่แล้ว คงไม่มีใครบ้าพอที่จะเลือกเพื่อนที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันอย่างเด็ดขาด แต่ถ้าเป็นไปได้ ปฐพีไม่อยากให้ราชันย์ทำร้ายใครเลย ไม่ว่าจะเป็นน้องหรือจะเป็นเพื่อน แต่เขาเลือกไม่ได้ ทุกอย่างมันถึงได้เป็นแบบนี้

“เฮียจะให้ผมทำอะไร...”


.


พิชญ์รู้สึกตัวตื่นมาตอนเช้า แล้วก็ต้องชะงักเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นอริญชย์อยู่ในห้อง ที่นอนข้างตัวเขาเรียบสนิท ไม่มีรอยยับย่นแม้แต่น้อย เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนอริญชย์ได้กลับเข้ามานอนในห้องหรือเปล่า เพราะเผลอหลับไปก่อน แต่ถ้าอริญชย์ออกไปนอนข้างนอกกับตุลย์จริง ๆ พิชญ์ก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ ที่ไม่ได้ดูแลอีกฝ่ายในฐานะแขกให้ดี ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความมึนงง ก่อนจะลุกไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อย

พอเปิดประตูออกมาจากห้องนอน พิชญ์ก็ขมวดคิ้ว เมื่อบ้านของเขาดูเงียบกว่าที่คิด ดวงตาเรียวกวาดมองรอบ ๆ บ้าน ก่อนจะสะดุดเข้ากับตุลย์ที่นั่งอยู่ตรงชานบ้านตามลำพัง เขาเดินเข้าไปหาตุลย์ แล้วเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย

“คนอื่นไปไหนกันหมดล่ะคุณตุลย์”

ตุลย์หันมาตามเสียงเรียก ยิ้มให้พิชญ์เป็นเชิงทักทาย แล้วถึงได้เอ่ยตอบคำถามอีกฝ่าย

“คุณหนูยังไม่ตื่นเลยครับ ส่วนแม่คุณพีทไปตลาดแต่เช้าแล้ว”

พิชญ์เอี้ยวตัวไปมองข้างบ้าน เลยเพิ่งสังเกตเห็นว่ามอเตอร์ไซค์ไม่ได้จอดอยู่ที่เดิม สงสัยแม่พลอยคงขี่รถไปตลาดแน่ๆ  พิชญ์นึกอยากจะถามตุลย์ว่าอริญชย์ไปไหน แต่ความปากหนักก็ทำให้ไม่ยอมเอ่ยปากถามออกไป ได้แต่เดินไปนั่งลงข้าง ๆ ตุลย์ ทำทีเป็นชวนคุยเรื่องอื่นเรื่อยเปื่อย

“เป็นยังไงบ้างครับ เมื่อคืนหลับสบายหรือเปล่า”

“สบายมากครับคุณพีท ผมมันพวกกินง่าย อยู่ง่าย นอนง่ายอยู่แล้ว”

“แล้ว...”

ตุลย์รอฟังว่าพิชญ์จะเอ่ยอะไรออกมา แต่ไม่พยายามแสดงท่าทีอะไรให้มากเกินไป ถึงเขาจะชอบกวนประสาทอริญชย์บ่อย ๆ แต่เขาก็รู้ว่าเวลาไหนควรรุก เวลาไหนควรรับ และเวลาไหนควรรอ อย่างตอนนี้ที่เขากำลังรอให้พิชญ์เป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาเอง โดยไม่คิดจะเร่งรัดอะไร

“แล้วหิวข้าวหรือเปล่า...”

คนที่รอฟังเผื่อพิชญ์จะเอ่ยถามถึงผู้เป็นนาย แทบจะหน้าทิ่มตกจากชานบ้าน นอกจากจะจัดอันดับให้อริญชย์เป็นจอมท่ามากอันดับหนึ่งแล้ว สงสัยตุลย์จะต้องจองที่ว่างอันดับสองให้พิชญ์ด้วย เพราะดูท่าทางแล้วก็ไม่ได้ต่างกันเลย ตุลย์สงสัยเหลือเกิน แค่พูดออกมาอย่างที่ใจคิดนี่มันยากลำบากตรงไหน ก็เพราะว่าต่างคนต่างวางท่าแบบนี้ไง อะไร ๆ มันถึงได้เหมือนกับพายเรือวนอยู่ในอ่าง ไม่ไปไหนเสียที แล้วคนที่เหนื่อยจะเป็นใครกันล่ะ ถ้าไม่ใช่ตุลย์คนนี้

“ผมเฉย ๆ คุณพีทหิวแล้วเหรอครับ”

พิชญ์ขยับจะอ้าปากตอบ แต่เห็นรถมอเตอร์ไซค์ของแม่พลอยแล่นเข้ามาเสียก่อน นอกจากแม่พลอยจะไม่ใช่คนขี่เองแล้ว แม่พลอยยังเป็นคนซ้อนท้าย โดยที่อริญชย์เป็นคนขี่ พิชญ์เลยได้แต่ยืนมองอย่างงง ๆ ก่อนจะตรงเข้าไปช่วยผู้เป็นแม่ถือของทันทีที่รถจอดสนิท

“ตื่นแล้วเหรอพีท แม่ซื้อของโปรดของพีทมาเต็มเลย เดี๋ยวเอาไปแกะใส่จานนะ แม่จะเข้าไปดูน้องหนูหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปดูน้องหนูให้เอง แม่นั่งกินก่อนเถอะครับ” อริญชย์รั้งแขนแม่พลอยเอาไว้ ก่อนจะเดินผ่านหน้าพิชญ์ไป โดยไม่ได้ชายตามองลูกชายเจ้าของบ้านแม้แต่น้อย

พิชญ์มองตามหลังอีกคนที่เดินหายเข้าไปในห้องแม่พลอย ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือว่าอริญชย์ทำตัวแปลกไป แต่เขาก็ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย มันเหมือนกับว่า...อริญชย์กำลังไม่พอใจเขา

“เหม่ออะไรพีท ไปเอาจานมาใส่สิลูก”

“ครับแม่”

พอพิชญ์เดินออกมาจากห้องครัวอีกที อริญชย์ก็อุ้มน้องหนูออกมาจากห้องนอนแม่พลอยแล้ว ลูกสาวตัวน้อยของพิชญ์ยังดูงัวเงีย ตื่นไม่เต็มตา ท่าทางคงถูกผู้เป็นลุงอุ้มขึ้นมาจากเตียงแน่ ๆ น้องหนูเอามือโอบรอบคออริญชย์เอาไว้ ก่อนจะซุกหน้าเข้ากับคอของอริญชย์ จนคนเป็นลุงถึงกับอดไม่ได้ ต้องคลี่ยิ้มออกมาจาง ๆ ด้วยความเอ็นดู

“ง่วงขนาดนี้ แล้วคนเก่งของลุงใหญ่จะไปเที่ยวทะเลไหวเหรอคะ”

“ไหวค่ะ”

พอเจอคำตอบของน้องหนูเข้าไป ผู้ใหญ่ที่เหลือก็หัวเราะกันใหญ่ ถึงจะง่วงนอนมากแค่ไหน แต่เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่ายังไงก็ห่วงเที่ยว

“ถ้าน้องหนูยอมกินผัก เดี๋ยวลุงใหญ่จะพาไปทะเล โอเคไหมคะ คนเก่ง”

“โอเคค่ะ”

“ตกลงคุณใหญ่จะไปทะเลที่ไหนคะ เดี๋ยวแม่เตรียมเสื่อกับขนมนมเนยให้”

“ที่หัวหินน่าจะคนเยอะ ผมเลยว่าจะไปเขากะโหลกแทนครับ”

“แม่ว่าไปที่เขากะโหลกก็ดี นอกจากคนจะน้อย แล้วหาดยังสวยกว่าด้วย เดี๋ยวแม่ไปเตรียมเสื่อกับของว่างให้นะ”

พอบอกว่าจะไปเตรียมขนมให้ แม่พลอยก็ลุกขึ้นเข้าครัวทันที ปล่อยสามหนุ่มกับหนึ่งสาวนั่งจัดการมื้อเช้ากันอยู่ตรงชานบ้าน พิชญ์ฉีกปาท่องโก๋ที่แม่พลอยซื้อมาใส่ชามโจ๊กของตัวเอง ส่วนตุลย์ล่วงหน้านำไปก่อนจนเหลือโจ๊กไม่ถึงครึ่งชาม เหลืออริญชย์ที่เอาแต่ตักโจ๊กป้อนเข้าปากน้องหนูช้า ๆ โดยไม่ลืมที่จะเป่าให้หายร้อนก่อนป้อน

“คุณใหญ่ ไม่หิวเหรอ ส่งน้องหนูมาให้ผมก็ได้” พิชญ์เอ่ยถามคนที่ไม่ยอมตักอะไรใส่ปากซักอย่าง เอาแต่สาละวนอยู่กับน้องหนู

“นายกินไปเถอะ ฉันกินเรียบร้อยมาจากที่ตลาดแล้ว” แม้ว่าจะพูดกับพิชญ์ แต่อริญชย์กลับมองแต่น้องหนู เขาไม่ได้ปรายตามองมาทางพิชญ์เลยแม้แต่น้อย

พิชญ์นั่งนิ่ง เขารู้ ไม่ใช่ไม่รู้ ว่าอริญชย์กำลังไม่พอใจเขา แต่จะให้เขาทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อเขายังไม่รู้เลยว่าอริญชย์ไม่พอใจเขาเรื่องอะไร พิชญ์ได้แต่ถอนหายใจช้า ๆ ก่อนจะก้มลงจัดการกับโจ๊กของตัวเอง


.



ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


หลังจากอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อย อริญชย์ก็อุ้มน้องหนูมายืนรอที่รถ ตุลย์ถือข้าวของเอามาใส่ท้ายรถ ส่วนพิชญ์ยืนคุยกับแม่พลอยอยู่อีกสองสามประโยคก่อนจะผละออกมา

“ผมชำนาญทางมากกว่า เดี๋ยวผมขับแทนให้แล้วกัน” พิชญ์ออกตัวขึ้นมา เมื่อเห็นตุลย์กำลังจะเปิดประตูรถฝั่งคนขับ ตุลย์หันไปมองอริญชย์เป็นเชิงขอความเห็น

“ให้เขาขับไป” อริญชย์ตอบเสียงเรียบ ๆ แล้วพยักเพยิดเป็นเชิงให้ตุลย์ไปนั่งข้างคนขับคู่กับพิชญ์ ก่อนตัวเองจะเปิดประตูขึ้นไปนั่งตอนหลังกับน้องหนูสองคน

พิชญ์ถอนหายใจช้า ๆ คว้ากุญแจรถจากมือตุลย์ ก่อนจะก้าวขึ้นไปประจำที่ คาดเข็มขัดอะไรให้เรียบร้อยแล้วก็เคลื่อนรถออกจากตัวบ้าน

บ้านของพิชญ์อยู่ตรงตัวอำเภอปราณบุรี ไม่ว่าจะไปหัวหินหรือเขากะโหลกก็ใช้เวลาพอ ๆ กัน ชายหนุ่มขับไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน มีเสียงน้องหนูดังเจื้อยแจ้วตลอดทาง ชี้ชวนถามนู่นถามนี่กับผู้เป็นลุงไม่หยุดปาก พิชญ์ยิ้มออกมานิด ๆ เมื่อเห็นลูกสาวตัวน้อยดูมีความสุขกับบรรยากาศรอบข้าง แม้ว่าผู้เป็นลุงดูเหมือนจะมึนตึงใส่เขา

พอเข้ามาถึงถนนเลียบหาด ก็เห็นรีสอร์ทน้อยใหญ่เรียงรายสองข้างทาง บรรยากาศเงียบสงบที่พิชญ์เคยเห็นเมื่อยามเป็นเด็กวัยรุ่น ขี่รถมาเที่ยวเล่นแถวนี้กับเพื่อน ๆ ดูเหมือนจะกลายเป็นแค่ความทรงจำ หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป ปราณบุรีกลายเป็นจุดหมายปลายทางถัดไปของนักท่องเที่ยวต่อจากหัวหิน

“ทะเล...” น้องหนูร้องออกมาด้วยความดีใจ เมื่อมองผ่านกระจกรถแล้วเห็นทะเลอยู่ไม่ไกล

นางฟ้าตัวน้อยของพิชญ์พร้อมจะกระโจนลงทะเลทันทีที่รถจอด แม่พลอยจับน้องหนูใส่ชุดว่ายน้ำไว้ข้างในเรียบร้อย ก่อนจะทับด้วยเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น อริญชย์รีบคว้าร่างเล็กที่ถลาไปเกาะหน้าต่างเอาไว้แน่น

“ใจเย็นก่อนน้องหนู ยังไม่ถึงเลย”

“ที่นี่จะมีคุณปลาหรือเปล่าคะลุงใหญ่” น้องหนูถามพลางเอาหน้าแนบกระจกรถ

“ไม่มีครับ ถ้าอยากเจอคุณปลาต้องไปลึก ๆ แถวนี้คนเยอะ คุณปลาไม่อยู่หรอกลูก”

น้องหนูทำหน้าเศร้าด้วยความเสียดาย อุตส่าห์อยากมาดูคุณปลาว่ายน้ำแท้ ๆ แต่ดูท่าว่าจะไม่เจอ อริญชย์ได้แต่ลูบหัวหลานสาวเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู พร้อม ๆ กับที่พิชญ์ขับรถมาถึงวนอุทยานท้าวโกษาหรือที่มักเรียกกันติดปากว่าเขากะโหลก

บริเวณหน้าหาดเขากะโหลกมีรถราจอดอยู่พอสมควร พิชญ์เลือกที่จอดรถที่เดินไม่ไกลจากหาดนัก ก่อนถึงทางเข้าหาดมีห้องน้ำสาธารณะ ซึ่งให้บริการทั้งห้องน้ำและห้องอาบน้ำ นอกจากนั้นก็มีพวกร้านรถเข็นขายของ ทั้งปลาหมึกย่าง ไก่ย่าง ถั่วต้ม เสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนก็พอมีวางขายให้เห็นอยู่บ้าง อริญชย์กำลังจะคว้าน้องหนูขึ้นอุ้มอย่างที่ทำประจำ แต่เด็กหญิงส่ายหน้าไปมา บอกผู้เป็นลุงว่าจะขอเดินเอง พิชญ์เห็นตุลย์หอบข้าวของพะรุงพะรัง เลยเดินไปช่วยถือของ พอหันกลับมาก็เห็นอริญชย์พาน้องหนูเดินลิ่วไปที่หาดแล้ว

“วันนี้เจ้านายตุลย์ดูแปลก ๆ ไปนะ” พิชญ์เปรยเบา ๆ

“คุณพีทไม่รู้จริง ๆ หรือครับ ว่าคุณใหญ่เป็นอะไร”

“ผมจะรู้ได้ยังไง ไม่ใช่ตัวเขาซะหน่อย ไปเถอะ อย่ามัวแต่ยืนคุยกันอยู่เลย” พิชญ์ตัดบทก่อนจะเดินนำตุลย์ไปที่ชายหาด

ตุลย์ถือตะกร้าของกินกับกระติกน้ำเดินตามพิชญ์ไป เห็นแบบนี้จะไม่ช่วยก็คงไม่ได้ รู้สึกเขาจะทำเกินหน้าที่ไปเยอะเลย ก็ได้แต่หวังว่าผู้เป็นนายจะตอบแทนเขาอย่างสาสม สมกับที่ตุลย์อุตส่าห์ช่วยเป็นกามเทพให้อริญชย์มาหลายต่อหลายครั้ง

พิชญ์จัดแจงปูเสื่อตรงมุมหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้ตุลย์วางตะกร้าของกินกับกระติกน้ำลงบนเสื่อ อริญชย์กำลังสาละวนกับการเป่าลมใส่หวงยางเป็ดสีเหลืองให้น้องหนูที่ยืนลุ้นอยู่ข้าง ๆ พอเห็นเจ้าเป็ดน้อยกลายเป็นรูปเป็นร่าง น้องหนูก็ตบมือแปะ ๆ ด้วยความยินดี กำลังจะยื่นมือไปคว้าห่วงยางเอาไว้ แต่คนเป็นลุงก็ดึงกลับไปเสียก่อน

“ทำยังไงก่อนคะ”

น้องหนูเดินมาหาผู้เป็นลุงอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะกดจมูกลงกับแก้มอริญชย์ดังฟอด แล้วตามด้วยเสียงหวานที่เอ่ยอย่างฉอเลาะ

“ขอบคุณค่ะลุงใหญ่”

อริญชย์ปรายตามองคนที่ก้มหน้าก้มตารื้อตะกร้าแวบหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นจูงมือน้องหนู

“ไปว่ายน้ำกันนะคะคนเก่ง”

“แล้วพ่อพีทกับอาตุลย์ล่ะคะ” น้องหนูอดเอี้ยวตัวมองสองคนข้างหลังไม่ได้

“เดี๋ยวก็ตามเรามา ลุงใหญ่พาน้องหนูไปก่อปราสาททรายก่อนไงคะ”

น้องหนูใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ ก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย สองลุงหลานพากันเดินไปตามหาดทรายเนียนละเอียด เห็นท้องทะเลสีฟ้าอยู่ตรงหน้าไม่ไกล น้องหนูดูตื่นเต้นกับบรรยากาศรอบ ๆ ตัว เด็กหญิงย่ำเท้าซ้ำ ๆ ไปบนผืนทรายเนียนละเอียด ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมาอย่างชอบอกชอบใจ พอเจอบรรดาเปลือกหอยก็เดินอย่างระมัดระวัง มือเล็กทำท่าจะคว้าเปลือกหอยสีสวยขึ้นมาดู แต่ก็ต้องชะงักเพราะเสียงของผู้เป็นลุงเข้าเสียก่อน

“หยิบขึ้นมาดูได้ แต่ห้ามเอากลับไปด้วยนะคะ”

“ทำไมล่ะคะ”

“บ้านมันอยู่ที่นี่ ถ้าน้องหนูพามันไปอยู่ที่อื่น มันจะมีความสุขหรือคะ ยกตัวอย่างถ้าลุงใหญ่พาน้องหนูไปอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านเรา น้องหนูจะชอบหรือลูก”

น้องหนูส่ายหน้าจนเส้นผมกระจาย ค่อย ๆ ย่อตัวลงวางเปลือกหอยสีสวยคืนที่เดิม ก่อนจะต้องเบิกตากว้าง เมื่อเห็นปูเสฉวนโผล่ออกมาจากเปลือกหอยช้า ๆ จนเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่ไหว ต้องร้องออกมา

“ลุงใหญ่ขา ปูค่ะปู”

“เขาเรียกว่าปูเสฉวน มันไม่มีกระดอง เลยต้องใช้เปลือกหอยเป็นที่กำบังตัว เห็นไหมคะ” อริญชย์หยิบเปลือกหอยที่มีปูเสฉวนอยู่ข้างในขึ้นมาให้น้องหนูดูใกล้ ๆ

“แล้วถ้าเกิดคุณปูเขาตัวโตขึ้นล่ะคะ”

“คุณปูเขาก็ต้องไปหาเปลือกหอยที่ใหญ่กว่าเดิมไงคะ”

อริญชย์กำลังจะพาน้องหนูเดินต่อ แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้า เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อดังมาจากข้างหลัง พร้อมกับที่ตุลย์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา อริญชย์นิ่วหน้าออกมาน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยถามคนสนิทที่มาหยุดยืนหอบอยู่ตรงหน้า

“เป็นอะไร”

“คุณพีทเหยียบโดนเปลือกหอยครับ”

อริญชย์ขมวดคิ้วก่อนจะส่งน้องหนูให้ตุลย์ แล้วเอ่ยสั่งเสียงห้วน

“ดูน้องหนูที เดี๋ยวฉันจะไปดูพีทหน่อย”

ตุลย์ยืนมองเจ้านายที่เดินจ้ำไปหาพิชญ์ที่นั่งอยู่บนเสื่อ ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมา

“อาตุลย์ยิ้มอะไรคะ พ่อพีทจะเจ็บมากไหมคะ น้องหนูอยากไปดูพ่อพีทจัง”

“พ่อพีทของคุณหนูไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่เหยียบเปลือกหอยแตกเฉย ๆ มา...เราไปเล่นน้ำทะเลกันดีกว่า เดี๋ยวอาตุลย์พาลงน้ำดีไหมครับ”

“พ่อพีทไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะคะ”

“จริงสิครับ มีลุงใหญ่อยู่ทั้งคน”


.


อริญชย์ก้าวเท้ายาว ๆ มาหยุดอยู่ข้างเสื่อ เห็นคนควรจะเจ็บเท้ากำลังนั่งแกะถั่วต้มใส่ปากก็ต้องขมวดคิ้วออกมา เขาก้มลงนั่งยอง ๆ ข้างเสื่อ คว้าข้อเท้าพิชญ์ขึ้นมาดูโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของอีกฝ่าย

“คุณใหญ่ ทำอะไรน่ะ”

อริญชย์กัดฟันกรอด เมื่อรู้ตัวว่าเสียรู้ให้กับลูกน้องจอมเจ้าเล่ห์อย่างตุลย์เข้าให้แล้ว เขาไม่เห็นว่าพิชญ์จะบาดเจ็บตรงไหน ชายหนุ่มวางเท้าพิชญ์กลับลงที่เดิม เตรียมจะหันหลังเดินดุ่ม ๆ กลับไปหาน้องหนู แต่คนที่นั่งกินถั่วต้มก็รีบคว้าชายเสื้อเขาเอาไว้ อริญชย์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันมามองพิชญ์ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“คุณใหญ่ คุณไม่พอใจอะไรผม”

“ฉันเปล่า”

ถึงพิชญ์จะไม่ได้ฉลาดเท่าอริญชย์ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เขาจ้องตาอริญชย์เขม็ง หมายจะคาดคั้นให้รู้เรื่อง

“แล้วคุณเป็นอะไรตั้งแต่เช้า เมื่อคืนคุณไปนอนที่ไหน”

“นายสนใจฉันด้วยหรือไง”

“ทำไมผมถึงจะไม่สนใจ ในเมื่อคุณเป็นแขก มาค้างที่บ้านของผม”

อริญชย์เผลอยื่นมือไปบีบต้นแขนพิชญ์เอาไว้โดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะพยายามระงับอารมณ์ตัวเองเอาไว้อย่างยากลำบากแล้วก็ตามที อริญชย์มั่นใจว่าปกติเขาไม่ใช่คนที่ความอดทนต่ำขนาดนี้ มีอยู่คนเดียวที่ยั่วจุดเดือดเขาได้ดี จะใครที่ไหน ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ตรงหน้า

“อย่าทำให้ฉันต้องโมโหนะพีท”

ดูเหมือนคำเตือนของอริญชย์จะไม่มีผลแม้แต่น้อย เพราะพิชญ์เพียงแค่เลิกคิ้วน้อย ๆ ทั้งที่เจ็บต้นแขนที่ถูกบีบอยู่จนน้ำตาแทบเล็ด

“อีกเหตุผลที่ผมต้องสนใจคุณก็เพราะว่า คุณเป็นพี่ชายของภรรยาผมยังไงล่ะ”

อริญชย์คำรามเสียงต่ำในลำคอ ถ้าไม่ติดว่ามีคนอยู่รอบ ๆ เขาคงจะลงโทษคนปากดีให้ไม่มีแรงพูดแน่ ๆ ชายหนุ่มสบถออกมาอย่างดุเดือด สาบานได้ว่าผู้ชายอย่างอริญชย์ไม่ได้ไร้สาระพอที่จะมางอนงี่เง่าอะไร แต่เมื่อคืนที่หนีออกไปก็เพราะเกรงใจแม่พลอยล้วน ๆ ขืนเขายังอยู่ในห้องกับพิชญ์ต่อ สาบานได้ว่าเขาต้องเปลี่ยนคำพูดร้าย ๆ ของพิชญ์ให้กลายเป็นเสียงครางแน่ ๆ เหมือนอย่างตอนนี้ที่เขานึกเข่นเขี้ยวอีกฝ่าย จนอยากจะจัดการให้ได้อายกันไปข้าง ต้องขอบคุณพระเจ้า ที่โทรศัพท์มือถือของเขาดังขัดจังหวะขึ้นพอดี

อริญชย์คว้าโทรศัพท์มือถือมาดู พอเห็นว่าเป็นลูกน้องอีกคนก็กดรับสายโดยไม่ลังเล แต่อีกมือก็ยังรั้งพิชญ์ไว้ข้างตัว ไม่ยอมให้หนีไปไหน

“ว่าไง”

“คุณใหญ่ครับ โกดังหมายเลขสามโดนไฟไหม้ครับ”

แน่นอนว่าเสียงจากปลายสายไม่ได้ดังเข้าหูอริญชย์แค่เพียงคนเดียว แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงพิชญ์ จนคนตัวเล็กกว่าถึงกับตัวแข็งทื่อไม่ต่างกัน ก่อนที่อริญชย์จะคำรามออกมาเสียงกร้าว โดยไม่ต้องเสียเวลาสืบสาวราวเรื่องให้เสียเวลา

“ไอ้เล้ง!”



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า ^^
ตอนนี้ก็ต้องตบรางวัลให้ตุลย์อีกแล้ว ทำดีมาก ทั้งหลอกทั้งชง
ส่วนคุณใหญ่กับพีทก็ยังคงตีกันทุกตอน

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
อ่างานเข้าแล้วคุณใหญ่คิดว่าคงเข้ามาหลายทางซะด้วยสิ o18

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ร้ายมาก  :m16:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เพราะเห็นว่าคุณใหญ่ว่างมาทะเลาะกับพีทป่ะ ถึงได้หางานให้ งานใหญ่เลย 5555555 จะยังไงละเนี้ย รีบไปเคลียร์ ว่าแต่อีกคู่ก็น่าสนใจดีเว้ย เล่นบทคนไร้หัวใจ ถ้าพอเขาหายไป จะเสียดายสำนึกขึ้นมา น่าสนๆ แล้วน้องเป็นอะไร ดินถึงได้ยอมตกเป็นทาสบำเรอราชันย์ อยากรู้ววววว 5555 สนุกกมากกค่า รอตอนต่อไปเลย

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ตุลย์ช่างเป็นลูกน้องที่กวนบาทาจริงๆ 555

ไอ่เล้งมันเอาดินไปเป็นนายบำเรอให้ตัวเองไม่พอจะให้ดินมาจัดการเอาความลับจากพีทด้วยแน่ๆ ส่วนพีทอยากหาทางหนีจากคุณใหญ่อยู่แล้ว อาจเป็นไปได้ว่าให้ดินช่วย (เดาล้วนๆ 55)...​ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นขนาดไหนนะ...  :ling2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
ตัวร้ายเริ่มออกโรงแล้ว สนุกละทีนี้ :katai4:

ออฟไลน์ Dee^daY

  • ไม่เคย ทำให้ใครเดือดร้อน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +330/-6
เริ่มมีเรื่องร้ายๆ แล้ว

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25

เก้า
ความเสียหาย



พิชญ์ทำงานกับอริญชย์มาหลายปี บวกลบแล้วก็เกือบจะเท่ากับอายุของน้องหนู แค่ขาดมานิด ๆ หน่อย ๆ อริญชย์มักมีมุมมองด้านการทำงานและการรับมือกับปัญหาที่ทำให้พิชญ์ทึ่งอยู่เสมอ และครั้งนี้ก็เป็นอีกหนที่อริญชย์ทำเอาพิชญ์ต้องตกตะลึง

หลังจากกริชโทรศัพท์มาบอกว่าโกดังหมายเลขสามถูกไฟไหม้ อริญชย์ก็คำรามชื่อ ‘เสี่ยเล้ง’ ออกมาเสียงกร้าว ก่อนจะค่อย ๆ ลดระดับความพลุ่งพล่านของอารมณ์ลงจนเหลือแค่ความนิ่งเฉย ราวกับน้ำทะเลที่เงียบสงบก่อนคลื่นลมพายุจะมา แต่ถึงอย่างนั้น พิชญ์ก็ยังสังเกตเห็นร่องรอยความเคร่งเครียดปรากฏอยู่บนใบหน้าของอริญชย์

พิชญ์ยืนนิ่ง ๆ ฟังอริญชย์สั่งการกับกริชทางโทรศัพท์ เสียงจากปลายสายฟังดูวุ่นวายจนพิชญ์ยังรู้สึกร้อนรนตามไปด้วย เขาเองก็เป็นผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัท ย่อมรู้สึกกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ความกังวลของเขามันคงน้อยนิดนัก เมื่อเทียบกับความกังวลของอริญชย์ แม้จะได้ยินแว่ว ๆ จากกริชว่าสถานการณ์ไม่รุนแรงมากนัก แต่อย่างที่รู้กัน...

...สิบปากว่าหรือจะเท่าตาเห็น...

ถึงตอนนี้ พิชญ์เชื่อแล้วว่า อดีตเพื่อนเก่าของอริญชย์อย่างราชันย์คงเป็นแค่อดีตจริง ๆ

อริญชย์สั่งการทุกอย่างกับกริชด้วยความเด็ดขาดและรอบคอบ ตุลย์กับน้องหนูถูกตามตัวกลับมาตรงที่พวกเขายืนอยู่ แผนการท่องเที่ยวถูกล้มเลิกลงกลางคัน เมื่ออริญชย์หันมาบอกตุลย์ว่า

“เสี่ยเล้งมันเล่นเราแล้ว รีบไปเอารถมาเลย”

พิชญ์รับหน้าที่อุ้มน้องหนูไปล้างคราบทรายและคราบน้ำทะเลออกจากตัว น้องหนูเอาแต่งอแง ไม่ยอมกลับบ้านท่าเดียว เพราะเพิ่งลงเล่นน้ำทะเลไปได้ไม่ถึงห้านาที ตุลย์วิ่งมาอุ้มจนตัวลอยก่อนจะพากลับมาหาพ่อพีทกับลุงใหญ่ เดือดร้อนพิชญ์ต้องปลอบและขู่ลูกสาวคนสวยอยู่นาน กว่าน้องหนูจะยอมอาบน้ำ แต่ยังคงหลุดเสียงสะอื้นให้ได้ยินเป็นระยะ

ตลอดทางกลับบ้านมีแค่เพียงความเงียบ พอรถเคลื่อนตัวออกจากเขากะโหลก น้องหนูที่งอแงจนเพลียก็หลับคอพับคาอกพิชญ์ ปล่อยให้คนเป็นพ่อได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยปนเอ็นดู

พอกลับมาถึงบ้าน พิชญ์ก็รีบอุ้มน้องหนูเดินตรงดิ่งเข้าห้องนอนของแม่พลอย จัดแจงวางลูกสาวตัวน้อยลงบนเตียงด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่นางฟ้าของพิชญ์จะตื่นขึ้นมาโยเย จากนั้นก็ปล่อยให้น้องหนูอยู่กับแม่พลอยตามลำพัง ส่วนตัวเองเดินออกมาสมทบกับตุลย์และอริญชย์ตรงชานบ้าน

“นายกับน้องหนูรออยู่ที่นี่ก่อน หลังจากเคลียร์ธุระเสร็จแล้วฉันจะมารับ” คำสั่งเรียบ ๆ หลุดออกมาจากปากอริญชย์ ที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงชานบ้าน

ตุลย์หันมามองเจ้านายแวบหนึ่ง ก่อนจะง่วนกับการเก็บของตรงท้ายรถต่อ ผิดกับพิชญ์ที่ชะงักกึกทันที เขาเงยหน้ามองอริญชย์ที่ยังคงมีท่าทีนิ่ง ๆ เต็มตา แล้วรีบสั่นหัวปฏิเสธ

“จะขัดคำสั่งฉัน”

“ผมเป็นผู้บริหารคนหนึ่งและยังเป็นมือขวาของคุณใหญ่ เรื่องนี้ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของผมเหมือนกัน จะให้ผมอยู่ที่นี่เฉย ๆ ขณะที่คนอื่นกำลังเดือดร้อน ผมทำไม่ได้เด็ดขาด ผมจะกลับกรุงเทพฯพร้อมกับคุณใหญ่ด้วย”

อริญชย์หรี่ตามองพิชญ์อย่างคาดคะเน เขาดึงบุหรี่ออกจากปากช้า ๆ ขณะมองสบตาพิชญ์อย่างครุ่นคิด นอกจากเรื่องงานประมูลโครงการก่อสร้างแล้ว อริญชย์ก็ไม่อยากให้พิชญ์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องบาดหมางของเขากับราชันย์เลย คนที่คบกันมันมานานอย่างเขารู้ดีว่า...

ราชันย์ กมลวิลาศน์เหลี่ยมจัดมากแค่ไหน

เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ คนอย่างราชันย์ กมลวิลาศน์ไม่เคยเลือกวิธี แม้ว่าจะเป็นวิธีที่สกปรกหรือเลวทราม มันก็ยังเลือกที่จะทำ

ถ้าเป็นไปได้ นอกจากเรื่องงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับทางกมลวิลาศน์แล้ว สำหรับเรื่องอื่น ๆ อริญชย์อยากจะดึงพิชญ์ออกมาห่างจากราชันย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ...

เสืออย่างเขา...เวลาที่มันร้าย มันก็พร้อมจะพังทลายทุกอย่างให้วอดวายเหมือนกัน

“คุณใหญ่...” พิชญ์เรียกชื่อคนที่เอาแต่ยืนนิ่ง มองอีกคนอย่างรอคอยคำตอบ

อริญชย์จ้องหน้าพิชญ์นิ่ง เขารู้นิสัยพิชญ์ดี คนที่ห่วงงานและห่วงลูกน้องมากกว่าตัวเองอย่างพิชญ์มีหรือจะยอมรออยู่เฉย ๆ ท้ายที่สุดแล้วอริญชย์ก็ต้องเป็นฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ อย่างยอมแพ้

หลายคนมักจะคิดว่าเขาอยู่เหนือพิชญ์เสมอ มีแค่เขา...แค่เขาคนเดียวที่รู้จักตัวเองดี รู้ดีว่าตัวเองยอมคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากแค่ไหน

ยอม...เพราะอีกฝ่ายคือพิชญ์ ภัทรกุล ไม่ใช่พ่อของน้องหนู ไม่ใช่สามีของไอลดา และไม่ใช่น้องเขยของเขา เขายอม...เพราะตัวตนที่แท้จริงของพิชญ์

อริญชย์โยนก้นบุหรี่ที่เพิ่งดึงออกจากปากลงกับพื้น ก่อนจะเอาปลายเท้าขยี้จนมอดดับเหลือเพียงเถ้าถ่าน มือซ้ายยกขึ้นเสยผมเร็ว ๆ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็ล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง ท่ามกลางความสงสัยของพิชญ์ที่ยืนดูอยู่เงียบ ๆ

อริญชย์กดหมายเลขสิบหลักที่จำแม่นพอ ๆ กับเบอร์มือถือของตัวเอง ก่อนจะยกโทรศัพท์แนบหู รอสายดังอยู่แค่กริ๊งเดียว ปลายสายก็กดรับทันที จนคนโทรถึงกับเผลอยกยิ้มออกมาน้อย ๆ คิดเอาเองอย่างรู้ทันว่าอีกฝ่ายคงกำลังนั่งเล่นมือถืออยู่แน่ ๆ ถึงกดรับสายเขาได้รวดเร็วทันใจแบบนี้

“ว่าไงคะพี่ใหญ่ คิดถึงเล็กเหรอคะ หนีไปเที่ยวทะเลไม่มีชวนกันเลยนะ”

ปลายสายส่งเสียงกระเง้ากระงอดมาอย่างน่ารัก จนอริญชย์ต้องหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะรีบปั้นหน้านิ่ง แม้ว่าปลายสายจะไม่เห็น แล้วเอ่ยเป็นการเป็นงาน

“ยัยเล็ก ช่วงนี้เราว่างอยู่ใช่ไหม”

“โห พี่ใหญ่รู้ตารางงานเล็กอย่างกับเป็นผู้จัดการส่วนตัวแน่ะ”

“ไม่ต้องพูดมากเลยเรา ตกลงว่าว่างใช่ไหม”

“ก็ว่างนั่นแหล่ะ คิดถึงน้องหนูด้วย พี่ใหญ่จะให้เล็กทำอะไรหรือไง ถามแปลก ๆ นะ”

“ดีเลย พอดีช่วงนี้พี่กับพีทไม่ค่อยว่าง ยังไงมารับน้องหนูไปช่วยดูสักพักนะ”

“มันก็ได้อยู่หรอก แต่เวลาที่เล็กไม่อยู่คอนโดล่ะ”

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพี่ส่งนวลไปอยู่ด้วย แค่นี้นะ” อริญชย์ตัดบทแล้วก็กดวางสายทันที ก่อนที่ไอลดาจะทันเอ่ยปากทักท้วงอะไร

พอเห็นผู้เป็นนายวางสายเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็ขยับไปเปิดประตูรถให้อย่างรู้หน้าที่ เตรียมตัวออกเดินทางกลับกรุงเทพฯกันทันที อริญชย์เดินไปขึ้นรถโดยไม่ลืมคว้าข้อมือพิชญ์มาด้วย เขาดันพิชญ์เข้าไปนั่งข้างใน ส่วนตัวเองนั่งอยู่ข้างนอก พอเรียบร้อยแล้ว ตุลย์ก็ออกรถทันที

ขับรถออกมาจากบ้าน ยังไม่ทันพ้นสี่แยกไฟแดงดี พิชญ์ก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ ร้องเรียกตุลย์เสียงดัง จนอริญชย์ต้องเป็นฝ่ายหันมาเลิกคิ้วดุ ๆ เป็นเชิงถาม

“ผมยังไม่ได้บอกแม่เลยว่าเราจะกลับกันก่อน แล้วน้องหนูอีก...”

อารามรีบร้อนทำเอาพิชญ์ลืมบอกแม่พลอยเหมือนกัน รีบก้าวขาตามอริญชย์มาท่าเดียวด้วยความเป็นห่วงคนงานกับโกดังที่ถูกไฟไหม้ล้วน ๆ

“โทรศัพท์มีไว้ทำไม โทรบอกเอาสิ”

พิชญ์พึมพำว่าขอโทษเบา ๆ แต่ก็อดตวัดตามองอริญชย์อย่างเคือง ๆ ไม่ได้ ถ้าพูดดี ๆ แบบคนอื่นเขาพูดกันมันจะเป็นอะไรขึ้นมาหรือไง

พิชญ์หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาโทรบอกแม่พลอย คุยกับแม่พลอยได้สองสามประโยคว่าต้องรีบกลับก่อนเพราะมีงานด่วนเข้ามากะทันหัน อริญชย์ก็คว้าโทรศัพท์เขาไปคุยกับแม่พลอยแทนอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะจบประโยคสั้น ๆ ว่า

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ยัยเล็กจะมารับน้องหนูเอง แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ”

อริญชย์กดวางสายแล้วก็ส่งโทรศัพท์คืนพิชญ์ ก่อนจะนั่งเอนหลังพิงเบาะนิ่ง ๆ ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมทั่วรถ ตุลย์เองก็ขับรถไปเงียบ ๆ โดยไม่คิดที่จะรบกวนผู้เป็นนายเช่นกัน พิชญ์เลยได้แต่นั่งมองอะไรเรื่อยเปื่อย เขาลอบมองเข็มไมล์ที่ไต่ระดับอย่างช้า ๆ บนเกหน้าปัดแล้วก็เดาได้ทันทีว่า ด้วยความเร็วระดับนี้ ตุลย์คงพาเขากับอริญชย์ถึงกรุงเทพฯเร็วกว่าปกติแน่ ๆ

เอาตามตรง ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนคิดกระตุกหนวดเสืออย่างอริญชย์ แต่เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายตรงข้ามเหิมเกริมถึงขนาดลอบวางเพลิงโกดังเก็บสินค้า ซึ่งเป็นแหล่งขุมทรัพย์มูลค่ามหาศาลของเคเค คอนสตรัคชั่น นับว่ายังโชคดีที่ฝ่ายนั้นเลือกวางเพลิงโกดังหมายเลขสาม ซึ่งส่วนมากล้วนแต่เป็นพวกอะไหล่ซ่อมบำรุง มูลค่าความเสียหายเลยไม่ได้มากมายอะไรนัก

ราวกับว่าคนบงการต้องการเพียงแค่จะข่มขู่อริญชย์เฉย ๆ หรือถ้ามองโลกในแง่ดีมาก ๆ การกระทำแบบนี้ก็คงไม่ต่างอะไรจากการทักทาย

ตลอดเวลาที่ทำงานกับอริญชย์มา พิชญ์เคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้วหลายครั้ง แม้จะไม่รุนแรงถึงขนาดลอบวางเพลิงอย่างคราวนี้ แต่มันก็สอนให้เขารู้ว่า โลกธุรกิจไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน มีเพียงเรื่องเดียวที่พิชญ์ยังคงไม่เข้าใจ

...ทำไมอริญชย์ถึงปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของราชันย์

อะไรที่ทำให้คนอย่างอริญชย์มั่นใจขนาดนั้น ระหว่างอดีตเพื่อนเก่าสองคนที่กลายมาเป็นคู่อริกันในปัจจุบัน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าเขาถามออกไป อริญชย์จะบอกเขาไหม

ไม่สิ! เขามีสิทธิ์ที่จะรับรู้หรือเปล่า

“คุณใหญ่...” พิชญ์เรียกคนที่นั่งนิ่ง ๆ จนดูเหมือนหลับไปแล้ว คนถูกเรียกเพียงแค่ครางรับในลำคอเบา ๆ แต่ไม่ได้หันหน้ากลับมามองพิชญ์ “ทำไมคุณถึงมั่นใจว่าเป็นฝีมือของเสี่ยเล้งล่ะ”

อริญชย์เหยียดริมฝีปากออกช้า ๆ ยังคงมองตรงไปข้างหน้า โดยไม่ได้หันกลับมามองพิชญ์แม้แต่น้อย

“เพราะฉันรู้จักมันดี” เป็นคำตอบสั้น ๆ ที่ไม่ได้ทำให้พิชญ์เข้าใจอะไรมากขึ้นกว่าเดิมเลย

“ผมไม่เข้าใจ”

“เหตุผลที่ฉันคิดว่ามันเป็นคนทำ ก็คือเหตุผลเดียวกับที่ฉันเลิกเป็นเพื่อนกับมัน”

“ผมก็ยังไม่เข้าใจที่คุณพูดอยู่ดี”

“ตอนนี้นายยังไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรหรอก แต่อีกไม่นานนายจะเข้าใจเอง”

อริญชย์ไม่คิดจะอธิบายให้พิชญ์ฟังมากไปกว่านี้ เขาหลับตาลงช้า ๆ เป็นการตัดบท ทั้งที่รู้ดีว่าพิชญ์กำลังมองมาที่เขาอย่างต้องการคำตอบและคำอธิบาย

ไม่ใช่ว่าเขาอยากปิดบังพิชญ์ แต่เอาเข้าจริงแล้ว ถ้าไม่จำเป็นหรือไม่เกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นมา อริญชย์ก็ไม่อยากให้พิชญ์ต้องมารับรู้และยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบ้า ๆ ระหว่างเขากับราชันย์เลยแม้แต่น้อย

ถ้าจะมีใครซักคนดึงพิชญ์ลงมาในกับดักบ้า ๆ นี่ ก็ขอให้เป็นเขา...แค่เขาคนเดียวเท่านั้น!

และถ้ามังกรตัวไหนมันคิดจะมายุ่งกับลูกแกะของเขา อริญชย์ก็จะสั่งสอนให้มันได้รู้ถึงความน่ากลัวของเสือร้าย ที่ไม่ใช่แค่สรรพนามที่เรียกกันโก้ ๆ เพื่ออวดศักดา แต่มันคือตัวตนของเขา

เสือร้าย...ที่ไม่สนใจว่าคู่ต่อสู้ของมันจะเป็นมังกรหรือตัวอะไร แต่ถ้าลองดีมายุ่งกัน เรื่องมันไม่จบง่าย ๆ แน่


.


ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25


กว่าจะมาถึงกรุงเทพฯก็ค่อนข้างเย็นแล้ว รถราแน่นขนัดสมกับเป็นเมืองหลวงของประเทศ อริญชย์ลอบสังเกตคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นพิชญ์แอบยกมือปิดปากหาวหลายรอบ ทั้งที่เพิ่งหกโมงเย็น ก็อดถามออกไปไม่ได้

“จะให้แวะส่งนายที่บ้านก่อนไหม เดี๋ยวฉันกับตุลย์แวะไปดูที่โกดังกันเอง”

สาบานเลยว่าอริญชย์ไม่ได้มีเจตนาจะกวนประสาทพิชญ์แม้แต่น้อย ที่พูดไปก็เพราะความเป็นห่วงล้วน ๆ แต่ดูเหมือนอีกคนจะตีเจตนาของเขาผิดไปไกล พิชญ์ถึงได้เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะตอบกลับมาเสียงแข็ง

“ผมไหว”

ถ้ามีใครซักคนกล้ามาบอกอริญชย์ว่าน้องหนูดื้อ รับรองว่าเขาจะค้านหัวชนฝาอย่างแน่นอน สำหรับอริญชย์แล้ว เขาว่า...พ่อของน้องหนูดื้อกว่าน้องหนูเยอะ

อริญชย์ไหวไหล่เบา ๆ ราวกับจะบอกว่า...ถ้างั้นก็ตามใจเถอะ

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก จนกระทั่งตุลย์ขับรถเข้ามาจอดหน้าโกดัง บรรดาคนงานที่ยังยืนมุงดูความเสียหายอยู่หน้าโกดังค่อย ๆ ขยับแหวกออกเป็นทาง อริญชย์เป็นฝ่ายก้าวลงมาจากรถเป็นคนแรก ก่อนจะตามด้วยพิชญ์ที่ก้าวตามลงมาติด ๆ

ดวงตาคมปลาบมองสำรวจและประเมินความเสียหายคร่าว ๆ ด้วยสายตา สลับกับฟังรายงานจากกริชที่เดินเข้ามาหาทันทีที่อริญชย์มาถึง

ตัวโกดังและทรัพย์สินที่อยู่ข้างในโกดังเสียหายเพียงเล็กน้อย เนื่องจากทันทีที่สัญญาณเตือนไฟไหม้ส่งเสียงดัง บรรดาคนงานที่ถูกฝึกให้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินก็ตรงเข้าควบคุมสถานการณ์ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ มีเพียงทรัพย์สินบางส่วนที่ถูกพระเพลิงเผาทำลายจนเสียหาย แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าที่คิด

พิชญ์ที่กังวลมาตลอดทาง พอมาเห็นกับตาก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เขาต้องยอมรับว่าระบบบริหารจัดการคนที่อริญชย์วางเอาไว้มีประสิทธิภาพมาก จนเกิดความเสียหายขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ถึงแม้มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเทียบได้แค่ขี้เล็บของเกียรติกาญจนา แต่สำหรับอริญชย์แล้ว มันไม่ต่างอะไรจากการถูกหยามศักดิ์ศรีดี ๆ เลย

“จับตัวคนทำได้หรือเปล่า” อริญชย์หันมาเอ่ยถามกริชเสียงเรียบ ๆ ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา

“จับไม่ได้ครับ มันไม่ได้ทิ้งรอยนิ้วมืออะไรไว้เลย เหลือแต่กล้องวงจรปิดที่ผมยังไม่ได้เช็ก รอคำสั่งของคุณใหญ่อยู่ครับ”

อริญชย์พยักหน้ารับ เขาเป็นคนสั่งให้ติดกล้องวงจรปิดเอาไว้เพื่อป้องกันความปลอดภัยในหลาย ๆ ด้านเอง ไม่มีใครรู้ว่าภายในโกดังเก็บสินค้าที่เป็นเหมือนขุมทรัพย์ดี ๆ ของเกียรติกาญจนาจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เขาจึงจำเป็นต้องรอบคอบเอาไว้ก่อน

ประสบการณ์มันสอนว่า...อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน

อริญชย์สั่งการให้คนงานจัดการเก็บกวาดซากความเสียหายต่าง ๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังออฟฟิศ ซึ่งตุลย์ยืนรออยู่แล้ว โดยมีกริชและพิชญ์เดินตามมาติด ๆ

คนคุมกล้องวงจรปิดหันมาทำความเคารพทันทีที่นายใหญ่เปิดประตูเข้ามา อริญชย์พยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจนัก ตาจดจ้องที่มอนิเตอร์ก่อนจะเอ่ยสั่งการ

“กรอเทปดูเหตุการณ์ก่อนจะเกิดไฟไหม้”

ภาพการทำงานในโกดังถูกฉายออกมา ส่วนมากมีแต่เหตุการณ์ทั่ว ๆ ไปในโกดัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเหตุการณ์ชุลมุนช่วงไฟไหม้ ไม่มีอะไรที่ดูมีพิรุธหรือผิดสังเกตแม้แต่น้อย

“พอแล้ว ก๊อปปี้วิดีโอส่งมาให้ฉันหนึ่งชุด”

อริญชย์หันกลับมาหาคนที่ยืนอยู่ข้างหลังก็เห็นพิชญ์ยืนขมวดคิ้วอยู่ พิชญ์ไม่เข้าใจว่ามันเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ได้ยังไง ในเมื่อเขายังหาความผิดปกติจากกล้องวงจรปิดไม่เจอเลยแม้แต่น้อย

อริญชย์พอจะเดาความคิดของพิชญ์ออก เขาปรายตามองพิชญ์แวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาหาตุลย์กับกริช ริมฝีปากหยักบิดออกเป็นรอยยิ้มเย็นชาอย่างที่คนคุ้นเคยเห็นแล้วต้องเสียวสันหลังวาบ

“กริช แกไปบอกพวกคนงานที่เฝ้าโกดังว่า ถ้าครั้งหน้าไฟไหม้อีกแล้วมันจับตัวคนทำได้ ให้มาเบิกเงินก้อนจากฉัน แต่ถ้าจับไม่ได้...โกดังไหนที่โดนไฟไหม้ คนเฝ้าก็เตรียมตัวเก็บของแล้วออกจากงานได้เลย ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งนั้น”

กริชพยักหน้ารับคำสั่งผู้เป็นนาย ก่อนจะแยกตัวไปจัดการตามที่ผู้เป็นนายสั่ง แม้แต่ตุลย์ก็มีท่าทีเฉย ๆ กับคำสั่งของผู้เป็นนาย มีเพียงแค่พิชญ์ที่เบิกตากว้าง เผลอยื่นมือไปกำแขนเสื้ออริญชย์เอาไว้โดยไม่รู้ตัว

“คุณใหญ่ ทำไมถึงสั่งกริชไปแบบนั้น”

“คนที่ไม่มีคุณสมบัติจะทำงาน ปล่อยให้โจรเข้ามาถึงในบ้านได้ ก็ไม่จำเป็นต้องจ้างเอาไว้”

“แต่มันเป็นเหตุสุดวิสัยนะคุณใหญ่ ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหรอก”

“มันไม่ใช่เหตุสุดวิสัยเลยพีท มันเป็นความประมาทเลินเล่อของคนงาน หรือแม้กระทั่งอาจจะมีเกลือเป็นหนอนด้วยซ้ำไป”

“แต่ไม่เห็นต้องถึงกับไล่ออกเลย พวกเขายังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านอีก”

“นั่นเป็นความรับผิดชอบของพวกคนงาน ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นซ้ำสอง ก็จะไม่มีคนถูกไล่ออกจากงาน ชีวิตจริงมันเป็นแบบนี้แหล่ะพีท ไม่มีใครที่จะได้ในทุกสิ่งทุกต้องการหรอก ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับเอาไว้ นายเองก็เหมือนกัน...จริงไหม”

สายตาจริงจังที่จ้องมองมา ทำเอาพิชญ์ต้องเบือนหน้าหนี

ข้างนอกออฟฟิศ กริชกำลังยืนแจ้งข่าวกับหัวหน้าคนงานของแต่ละโกดังถึงคำสั่งของอริญชย์ โดยที่พิชญ์ทำได้เพียงแค่มองพวกเขาด้วยความเห็นใจ ในเมื่ออำนาจและการตัดสินใจขั้นเด็ดขาดล้วนแล้วแต่เป็นของอริญชย์

เขารู้ว่าคนงานทุกคนต่างก็มีภาระที่ต้องดูแล บางคนมีลูกมีเมีย บางคนมีพ่อแม่แก่ ๆ ถ้าจะบอกว่าชีวิตของเขาลำบากแล้ว ชีวิตของคนงานพวกนี้ที่ต้องดิ้นรนเพื่อเลี้ยงปากท้องไปวัน ๆ ยังลำบากมากกว่าเขาอีก ถ้าเกิดต้องออกจากงานไปในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ คนเหล่านั้นจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร คนที่เติบโตมาท่ามกลางกองเงินกองทอง โดยไม่เคยต้องลำบากดิ้นรนอย่างอริญชย์จะไปเข้าใจอะไร

“มันไม่ยุติธรรมเลยคุณใหญ่”

“บนโลกนี้มันไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าความยุติธรรมหรอกพีท คนแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอดได้ แล้วฉันก็ไม่ได้เปิดโรงทาน ฉันเปิดบริษัท อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อบริษัท เราก็จำเป็นต้องกำจัดมันทิ้งไป ตลอดเวลาที่ทำงานด้วยกันมา นายยังไม่รู้อีกหรือว่าต้องทำตัวยังไงถึงจะอยู่รอดในวงการนี้ได้”

สิ่งที่อริญชย์พูดมาก็ถูก มันคือความจริงที่พิชญ์ต้องยอมรับ โลกธุรกิจจริง ๆ แล้วมีแต่การแข่งขันและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น คนโง่มักจะตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด และปลาใหญ่ก็ย่อมกินปลาเล็ก มันไม่เคยมีที่ให้คนอ่อนแออยู่แล้ว

อริญชย์ปล่อยให้พิชญ์ค่อย ๆ ไตร่ตรองสิ่งที่เขาพูด ส่วนตัวเขาหันกลับไปหาตุลย์ สั่งให้จัดเวรยามเฝ้าโกดังให้แน่นหนา ตรวจสอบคนเข้าออกอย่างเข้มงวด และที่สำคัญ...เขาคงต้องปรับเปลี่ยนหน้าที่การทำงานของแต่ละคนใหม่ เพื่อจะที่ได้มั่นใจว่าเขาจะไม่พลาดซ้ำสองอีก

คนอย่างอริญชย์ไม่ชอบถูกลูบคม แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอดีตเพื่อนเก่าก็ตามที

มิตรภาพที่ขาดสะบั้นลงไปแล้ว เขาไม่คิดจะให้มันกลับมาต่อติดได้ง่าย ๆ นักหรอก

กว่าจะเป็นเขาอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้...มันไม่ง่ายเลย

“กลับกันได้แล้วมั้งพีท นายเองจะได้กลับไปพักผ่อนด้วย”

พิชญ์พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินตามอริญชย์ไปที่รถ ถึงจะไม่อยากยอมรับ แต่อริญชย์ก็สอนอะไรเขาหลายอย่าง และทุกอย่างที่อริญชย์พูดและแสดงให้เห็นก็ล้วนแต่เป็นความจริงทั้งนั้น

หลายครั้งที่พิชญ์เองยังนึกสงสัย แท้จริงแล้วตัวเขาเหมาะกับโลกธุรกิจนี้จริง ๆ หรือ ถ้าไม่ได้แต่งงานกับไอลดา ตอนนี้เขาอาจจะเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาซักแห่ง ทำงานกินเงินเดือน ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ

...แล้วแบบไหนที่มันเหมาะกับตัวเขากันแน่?


.


กว่าจะกลับมาถึงคฤหาสน์เกียรติกาญจนาก็ดึกดื่น บรรดาแม่บ้านต่างก็เข้านอนกันหมดแล้ว เหลือแค่เวรยามยืนรักษาความปลอดภัย อริญชย์เห็นตุลย์ขับรถเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน เลยสั่งให้อีกฝ่ายไปพักผ่อน ซึ่งตุลย์ก็ไม่คิดจะปฏิเสธความหวังดีที่ผู้เป็นนายหยิบยื่นให้ รีบตอบรับทันที

“งั้นผมไปนอนแล้วนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับคุณใหญ่ คุณพีท”

พิชญ์ยิ้มรับก่อนจะเอ่ยราตรีสวัสดิ์ตอบกลับไป พอเห็นตุลย์เดินแยกไปแล้ว เขาก็เตรียมจะแยกไปอาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอนเหมือนกัน ติดตรงที่ว่าอริญชย์ดันคว้าข้อมือเขาเอาไว้ จนพิชญ์ต้องหันไปเลิกคิ้วใส่อย่างไม่เข้าใจ

“อะไรครับ คุณใหญ่”

“หิว”

สั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ดูเหมือนพิชญ์จะจับใจความไม่ได้ คนพูดเลยต้องขยายความให้อีกนิดด้วยความหวังดี

“ฉันหิว หาอะไรให้กินหน่อย”

ถ้าเป็นเวลาปกติ พิชญ์คงจะไปเรียกป้าน้อยมาจัดการกับคุณชายของเธอ แต่ในเมื่อตอนนี้ป้าน้อยเข้านอนไปแล้ว เขาจะไปเรียกใครได้ นอกจากแก้ปัญหาด้วยตนเอง

“เดี๋ยวขอผมดูในครัวก่อนว่ามีอะไรพอจะทำกินได้บ้าง”

ห้าทุ่มกว่าแล้ว ถ้าเลือกได้ พิชญ์ก็อยากจะทำอะไรง่าย ๆ ให้คนที่หิวกลางดึกกิน แทนที่จะต้องไปเปิดเตาแก๊สทำกับข้าวอะไรให้วุ่นวาย แต่เขาก็แทบจะไม่เคยแตะครัวที่นี่เลย จนไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เพราะที่ผ่านมา เวลาเขาจะเข้าครัวก็มักจะโดนอริญชย์ห้าม หาว่าเขาไปแย่งงานป้าน้อยอยู่เรื่อย

พิชญ์เดินเข้าไปในห้องครัว ดินแดนมหัศจรรย์ของป้าน้อย โชคดีที่เขาเหลือบตาไปเห็นขนมปังแผ่นตัดขอบพอดี เลยไม่ต้องเสียเวลาเปิดตู้เย็นหาอย่างอื่นให้วุ่นวาย ให้อริญชย์กินขนมปังปิ้งไปก็แล้วกัน เอาง่าย ๆ แบบนี้แหล่ะ

พิชญ์กำลังจะชงกาแฟให้อริญชย์ แต่ก็ต้องชะงักมือเสียก่อน ถ้าเกิดเขาให้อริญชย์ดื่มกาแฟตอนนี้ สงสัยจะไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันทั้งคืน เปิดตู้เย็นหาอย่างอื่นที่พอจะทดแทนกันได้ สุดท้ายก็ได้นมสตรอเบอร์รี่มาหนึ่งกล่องใหญ่

พ่อพีทขอแบ่งนมสตรอเบอร์รี่ของน้องหนูให้ลุงใหญ่ น้องหนูคงไม่ว่ากันนะครับ

เอ่ยขออนุญาตลูกสาวตัวน้อยที่คงนอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขนของแม่พลอยในใจ แล้วพิชญ์ก็จัดการรินนมลงแก้ว ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไปหาคนที่นั่งรออยู่ตรงโซฟา

พอได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ คนที่กำลังเอาคอพาดกับพนักโซฟาอยู่ก็ผงกหัวขึ้นมามอง เอาเข้าจริง ๆ อริญชย์ก็ไม่ได้หิวอะไรมากมาย แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาเอ่ยปากออกไปว่า ‘หิว’ อาจจะเป็นแค่ข้ออ้างง่าย ๆ ที่ยังไม่อยากให้อีกคนเดินหนีไปก็เป็นได้

“ขนมปังปิ้งกับ...” อริญชย์ชะโงกตัวไปดูของเหลวในแก้วก่อนจะพึมพำเบา ๆ หน้าตาปุเลี่ยนแปลก ๆ “นมสตรอเบอร์รี่”

“ครับ นมสตรอเบอร์รี่ คุณใหญ่มีปัญหาหรือเปล่า”

“เปล่า ฉันก็แค่กลัวโดนโกรธที่ไปแย่งนมสตรอเบอร์รี่ของโปรดน้องหนูมากิน”

“นี่ดึกมากแล้ว ดื่มนมน่ะดีแล้วครับ”

“เป็นห่วง?”

พิชญ์ชะงักน้อย ๆ แต่ก็ยอมรับออกมาตามตรงว่าเป็นห่วงอริญชย์ เพียงแต่ความหมายของคำว่าเป็นห่วงระหว่างเขากับอริญชย์อาจจะต่างกัน

“ครับ เป็นห่วง เดี๋ยวคุณเล็กจะคิดว่าผมดูแลพี่ชายเธอไม่ดี”

ริมฝีปากที่กำลังจะคลี่ยิ้มออกน้อย ๆ พลันเหยียดออกเป็นเส้นตรง ระหว่างเขากับพิชญ์แล้ว ใครกันแน่ที่ชอบหาเรื่องชวนทะเลาะ ถ้าถามอริญชย์ เขาคงจะตอบว่าพิชญ์เป็นคนเริ่มอย่างไม่ลังเล

...ทั้งที่เป็นเขาเองที่ยัดเยียดสถานะสามีของไอลดาให้พิชญ์

และก็เป็นเขาอีก...ที่เกลียดเวลาพิชญ์หยิบสถานะความเป็นสามีของไอลดาขึ้นมาเอ่ยอ้าง

อริญชย์หยิบขนมปังที่ทาเนยบาง ๆ แล้วโรยน้ำตาลนิด ๆ เข้าปาก ก่อนจะตามด้วยนมสตรอเบอร์รี่ รสชาติของทุกอย่างที่ผสมกันมันหวานละมุน ต่างจากความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ยังหวานอมขมกลืนเหมือนกาแฟดำใส่น้ำตาล

...บางคราวก็มีรสหวานพอให้วาบหวามใจ แต่พอเผลอเมื่อไหร่ รสขมก็แทรกเข้ามาให้รู้สึกปวดปร่าอยู่ในอก ทั้งหมดทั้งมวลนี้จะโทษใครได้ ถ้าไม่ใช่ตัวเขาเอง...

“ช่วงนี้คงจะมีเรื่องวุ่น ๆ พอสมควร ฉันจะให้น้องหนูไปอยู่กับยัยเล็กที่คอนโดก่อน”

“ผมได้ยินที่คุณคุยกับคุณเล็กแล้ว”

“งั้นก็ดี...”

“คุณใหญ่ ระหว่างคุณกับเสี่ยเล้ง เรื่องมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่ อย่าให้ผมต้องเป็นเหมือนกับคนที่หูหนวกตาบอด ไม่รับรู้เรื่องอะไรเลยได้ไหม”

อริญชย์ค่อย ๆ วางแก้วนมลงบนโต๊ะ เขาอยากจะพูด อยากจะเล่า อยากจะอธิบาย แต่สุดท้าย เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมากไปกว่า

“คนที่ทรยศต่อความไว้ใจของคนอื่นอย่างมัน ชาตินี้ฉันไม่มีวันให้อภัยแน่ ๆ”

ถึงแม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่อริญชย์พูด แต่ความเจ็บปวดที่ถ่ายทอดออกมาทางแววตา ก็ทำให้พิชญ์เผลอยื่นมือไปจับมืออริญชย์ไว้หลวม ๆ

“คุณใหญ่ยังไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณอยากเล่าเมื่อไหร่ ผมก็พร้อมจะฟังคุณ...ในทุก ๆ เรื่อง”

ทุกเรื่องของพิชญ์...อาจจะหมายรวมถึงคำอธิบายดี ๆ ในเรื่องที่อริญชย์ทำกับเขาด้วย



TO BE CONTINUE



ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่า
ช่วงนี้ก็จะมาถี่ๆหน่อยนะคะ ^^

ออฟไลน์ Tassanee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอติดตามตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5
เรื่องเยอะนะคุณใหญ่  o18  o18 o18

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 710
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
 :laugh: มีอะไรก็รีบเล่าสิคุณใหญ่ น้องเขยพร้อมจะฟังอยู่แล้ว
เปิดอกคุยกันไปเลยยยย รับรอง น้องเขยหนีแน่ๆ  o18

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ไม่มีคำอธิบายดีๆที่คุณใหญ่ทำกับพีทหรอกนะนอกจากว่าเพราะฉันรักเธอ อยากได้มาอยู่ข้างกายไง อัยยะ~ >.,<  555 ไม่ได้มีแค่พีทคนเดียวที่อยากรู้ เราเองก็เช่นกัน นี่รอให้เขาเจอหน้ากันดูสิ จะโดดถีบหน้ากันเลยป่ะ  :z6: 555555 มังกรจะผงาดมาจากไหนก็โดนเสือขย้ำได้ โว้ๆ เรื่องอะไรถึงแตกหักกันได้ขนาดนั้น รอฟังเลย อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคนอาจจะได้เตือนพีทอีกทีในสักวัน สนุกกกกกกกกกกกกก ขอบคุณนะคะที่แต่งมาต่อ รรรรรอ่านตอนหน้าค่า  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Renze

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +423/-25
สิบ
สามีภรรยา



บ่ายวันจันทร์ อริญชย์มีนัดหมายเข้าพบอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกะทันหัน พิชญ์ต้องอยู่รอพิจารณางบประมาณงานประมูล เขาเลยขอตัวอยู่เคลียร์งานที่บริษัท ซึ่งพิชญ์ก็นึกขอบคุณอริญชย์ที่ยอมปล่อยเขาสะสางงานอยู่ที่บริษัท ราวกับรู้ว่าพิชญ์เกลียดการเข้าพบบรรดาคนใหญ่คนโต รวมถึงบรรดาลูกท่านหลานเธอต่าง ๆ

ไม่ใช่ว่าคนเดินดินธรรมดาอย่างพิชญ์รังเกียจพวกคนใหญ่คนโต เพียงแต่พิชญ์ไม่อยากทนปั้นหน้า สวมหน้ากากฟังคนนั้นคนนี้ป้อยอกัน ถ้าเลี่ยงได้ก็ขอเลี่ยงเอาไว้ก่อนเป็นดี

พิชญ์นั่งทำงานไปเรื่อย ๆ เขาศึกษาข้อมูลของทางกมลวิลาศน์เท่าที่มีให้ศึกษา ธุรกิจส่วนรับเหมาก่อสร้างของทางกมลวิลาศน์เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ของธุรกิจหลัก ที่สองพี่น้องอย่างราชันย์และรัญญารับสืบทอดมาจากผู้เป็นพ่อ แต่ยังมีแขนงอื่นอีกมากมาย ซึ่งอยู่ในความดูแลของบรรดาญาติคนอื่น ๆ แต่พิชญ์ก็ไม่คิดจะไปแตะต้องในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา

ถ้ามีโอกาสได้พบกับราชันย์ พิชญ์เองก็อยากจะถามถึงสาเหตุความบาดหมางระหว่างอีกฝ่ายกับอริญชย์ แต่ก็แค่บางทีเท่านั้น...

การหายออกไปจากวงสังคมนานกว่าห้าปี ทำให้กลายเป็นเรื่องยากที่จะสืบค้นข้อมูลหรือข่าวคราวของราชันย์ ข่าวส่วนมากที่พอจะค้นหาได้ก็ล้วนแต่เป็นข่าวของน้องสาวอย่างรัญญา ซึ่งเท่าที่พิชญ์ไล่สายตาดูคร่าว ๆ แล้ว เขาเองก็ยังหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับอริญชย์ไม่เจอเลยแม้แต่น้อย

ดวงตาเรียวกวาดไล่ไปตามข้อความยาวเป็นพรืดบนหน้าจอมอนิเตอร์ ก่อนพิชญ์จะเอนหลังลงพิงพนักช้า ๆ กำลังจะหลับตาลง ก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือสั่นครืดคราด พิชญ์รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู เผื่อว่ามีเรื่องด่วน ปรากฏว่าคนที่โทรมาคือไอลดา เขากดรับสายด้วยความงุนงงเล็กน้อย

“พีทพูดครับ”

“เล็กเองนะคะ พี่พีท”

“ว่าไงครับ คุณเล็ก”

“เล็กโทรมากวนพี่พีทหรือเปล่าคะ พอดีเล็กเพิ่งไปรับน้องหนูมาอยู่ที่คอนโด เล็กเลยโทรมาบอกพี่พีทเอาไว้ พี่พีทจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

ดวงตาเรียวของพิชญ์เป็นประกายขึ้นมาทันที ความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งวันพลันหายเป็นปลิดทิ้งราวกับมีเวทย์มนต์ เพียงแค่ได้ยินชื่อลูกสาวตัวน้อย

“น้องหนูงอแงไหมครับ” พิชญ์เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“งอแงน่าดูเลยค่ะ นี่ยังไม่ยอมทานอะไรตั้งแต่เช้าเลย ร้องหาพี่พีทอย่างเดียว ขนาดนวลยังเอาไม่อยู่”

พิชญ์ชั่งใจเล็กน้อย ความเป็นห่วงน้องหนูแล่นพล่าน ต้องยอมรับเลยว่าน้องหนูติดเขามากกว่าไอลดา ดวงหน้าขาวพลันเคร่งเครียดขึ้นมาด้วยความกังวล

“ขอผมคุยกับน้องหนูหน่อยได้มั้ยครับ คุณเล็ก”

“แป๊บนึงนะคะพี่พีท” ไอลดาเอ่ยบอก ก่อนพิชญ์จะได้ยินเสียงแว่ว ๆ มาจากอีกฝั่ง “น้องหนู มาหาแม่เล็กเร็วลูก มาคุยกับพ่อพีทนะคะ”

พิชญ์ถือโทรศัพท์รออย่างใจเย็น ก่อนจะได้ยินเสียงวิ่งตึงตังพร้อมกับเสียงสะอื้นเบา ๆ ของน้องหนูแล่นมาตามสาย หัวใจของคนเป็นพ่อปวดหนึบ เมื่อรู้ว่าเผลอทำให้ดวงใจของตนเจ็บปวดมากแค่ไหน

“ฮึก...ฮึก...พ่อพีทจ๋า ทำไมพ่อพีททิ้งน้องหนูคะ”

“พ่อพีทไม่ได้ทิ้งน้องหนูลูก พ่อพีทมีงานต้องกลับมาทำ”

“แล้วพ่อพีทจะมาหาน้องหนูเมื่อไหร่คะ”

“น้องหนูอยู่กับแม่เล็กก่อนนะคะ เดี๋ยวพ่อพีทรีบไปหา”

“สัญญานะคะ...”

“สัญญาค่ะคนเก่ง”

พิชญ์คุยและปลอบน้องหนูอยู่อีกสองสามประโยค กว่านางฟ้าตัวน้อยของพิชญ์จะสงบลง ฟังจากสุ้มเสียงของไอลดา พิชญ์ก็พอเดาออกว่าหญิงสาวคงจะปลอบน้องหนูมาทั้งวัน เสียงยามเอ่ยกับเขาถึงได้ดูระโหย เพียงแต่ว่าตอนแรกพิชญ์ไม่ทันได้สังเกต

“ขอโทษด้วยนะคะ ลำบากพี่พีทเลย เล็กแค่จะโทรมาบอกให้หายห่วงเสียหน่อย กลายเป็นต้องห่วงมากกว่าเดิมอีก”

พิชญ์คลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ แม้จะรู้ว่าปลายสายคงไม่เห็น ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยนปลอบคนที่เป็นแม่ของลูก

“ขอโทษทำไมครับคุณเล็ก ในเมื่อน้องหนูเป็นลูกของเรา”

“ค่ะ ลูกของเรา” ไอลดาพึมพำคล้ายละเมอ

“เดี๋ยวผมเคลียร์งานเสร็จแล้วจะรีบไปหานะครับ”

พิชญ์วางสายจากไอลดาแล้วก็รีบสะสางงานที่กองอยู่ตรงหน้าให้เสร็จเรียบร้อย เขาเงยหน้าดูนาฬิกา เห็นว่าเป็นเวลาบ่ายสามโมงเศษ ๆ แต่ตัวเขาเองจัดการงานเสร็จหมดแล้ว เลยตั้งใจว่าจะตรงไปคอนโดไอลดาหาน้องหนู ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์มาโทรบอกอริญชย์ อีกฝ่ายจะได้ไม่มาต่อว่าเขาภายหลัง แต่ไม่ว่าจะโทรยังไง ก็ติดต่อไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้พิชญ์แปลกใจนัก เวลาคุยธุระสำคัญ ๆ อริญชย์มักจะปิดเสียงโทรศัพท์อยู่แล้ว หรือบางทีก็ปิดเครื่องตัดรำคาญไปเลย

พิชญ์กดส่งข้อความหาอริญชย์ว่าเขาจะไปน้องหนู อีกฝ่ายจะรับรู้หรือไม่ก็อีกเรื่อง แต่เขาถือว่าเขาได้บอกไปแล้ว จากนั้นก็เก็บของแล้วเดินลงมาเรียกแท็กซี่ที่หน้าบริษัท จากออฟฟิศไปยังคอนโดของไอลดาไม่ไกลนัก พิชญ์แตะคีย์การ์ดในกระเป๋าที่ได้มาจากไอลดา ซึ่งเขาพกติดตัวอยู่ตลอด ก่อนจะใช้แตะผ่านเข้าคอนโด

พิชญ์นึกชมระบบรักษาความปลอดภัยของคอนโดที่ไอลดาอยู่ เท่าที่ดูด้วยตาเปล่า ที่นี่ค่อนข้างโอเคเลยทีเดียว แถมยังสะดวกสบาย ระหว่างรอให้อะไรหลาย ๆ อย่างระหว่างอริญชย์กับราชันย์จะคลี่คลาย พิชญ์ก็วางใจให้น้องหนูอยู่ที่นี่ได้โดยไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก ที่เหลือก็แค่หาวิธีพูดคุยกับน้องหนูให้รู้เรื่อง

พิชญ์เดินมาหยุดหน้าห้องที่ไอลดาซื้อไว้ เขากดออดแล้วรออยู่ครู่หนึ่ง ให้ไอลดาเป็นฝ่ายเปิดประตูให้เอง แทนที่จะแตะคีย์การ์ดเข้าห้อง ไอลดาพอเห็นว่าคนที่มาคือพิชญ์ก็ทำหน้าดีใจ

“พี่พีท มาเร็วจังค่ะ”

พิชญ์เดินตามเจ้าของห้องเข้าไปในห้อง ไอลดาซื้อคอนโดแบบสองห้องนอนเอาไว้ เห็นแล้วเขาก็อดสงสัยไม่ได้ ถ้าไอลดาจะอยู่คนเดียว เธอไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อแบบสองห้องนอนเลย พิชญ์ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยถามถึงน้องหนูแทน

“น้องหนูล่ะครับ”

“หลับไปแล้วค่ะ ส่วนนวลก็ลงไปซื้อของข้างล่าง”

ไอลดาเดินนำพิชญ์เข้าไปที่ห้องนอนใหญ่ทางขวามือ น้องหนูนอนกอดหมอนข้าง หลับปุ๋ยอยู่บนเตียง พิชญ์เดินไปนั่งข้าง ๆ น้องหนู ก่อนจะกดจูบลงบนแก้มยุ้ยเบา ๆ

“หลับไปนานหรือยังครับ” พิชญ์หันมาถามคนที่เดินตามมานั่งข้าง ๆ เขา

“ซักชั่วโมงได้ค่ะ แล้วพี่ใหญ่ไม่ได้มาด้วยกันหรือคะ”

“คุณใหญ่ติดประชุมน่ะครับ เดี๋ยวคงตามมา”

อริญชย์ไม่ได้บอกพิชญ์ว่าจะตามมา แต่พิชญ์ก็เดาได้เองโดยไม่ต้องถาม หลังจากเห็นข้อความที่เขาส่งไป อริญชย์ต้องตามเขามาที่นี่แน่ ๆ

“น้องหนูงอแงมากเลยหรือครับ”

“ตอนอยู่กับแม่พลอย แล้วก็ตอนเล็กไปรับมาก็ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แค่ดื้อนิดหน่อย แล้วก็ร้องจะหาพี่พีท มาปล่อยโฮก็ตอนคุยกับพี่พีทนั่นแหล่ะค่ะ”

“เหนื่อยไหมครับ คุณเล็ก” พิชญ์เอ่ยถามไอลดาเสียงอ่อน เลื่อนมือไปกุมมือเธอเอาไว้

ไอลดาเองยังอายุไม่มากนัก แค่เธอมีความรับผิดชอบยอมอุ้มท้องน้องหนูมาถึงเก้าเดือน โดยไม่คิดทำร้ายน้องหนู พิชญ์ก็นับถือน้ำใจเธอมากแล้ว

พิชญ์รู้ว่าไอลดาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเป็นแม่ เขากับอริญชย์ถึงต้องช่วยกันประคับประคองเธอ และที่สำคัญ...เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา

ถึงน้องหนูจะไม่ได้เกิดมาจากความรัก แต่น้องหนูก็สอนให้พิชญ์รู้จักความรัก วินาทีที่น้องหนูลืมตาดูโลก พิชญ์ก็สัญญากับตัวเองแล้วว่า เขาจะทุ่มเทความรักทั้งหมดที่มีให้กับน้องหนู

“พี่พีทคะ...” ไอลดาเรียกชื่อผู้เป็นสามี ก่อนจะเงยหน้ามองเขาเต็มตา

“ครับ คุณเล็ก”

“เราเป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ ได้ไหมคะ”

บางสิ่งบางอย่างที่สะท้อนออกมาจากแววตาของไอลดามันชัดเจน ชัดมากเสียจนพิชญ์กลัว แต่เขาก็เลือกที่จะสบตาเธอ ไม่หนีไปไหน

“เราเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ” พิชญ์เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน บีบกระชับมือไอลดาแน่น แต่พิชญ์จะรู้บ้างไหม...

บางครั้งความอ่อนโยนที่มอบให้โดยไม่คิดอะไร มันก็ทำร้ายคนรับให้ตายทั้งเป็น...

“เล็กไม่ได้หมายความแบบนั้น เล็กอยาก...” ไอลดาหลุบสายตาลงต่ำ เอาเข้าจริง ๆ เธอก็นึกกระดากอายไม่น้อยที่ต้องมาเอ่ยปากเรียกร้องอะไรแบบนี้ “เล็กอยากให้เราเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ”

พิชญ์ยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะดึงไอลดาเข้ามากอด อย่างน้อย...เขาจะได้ไม่ต้องสบตาของเธอ ดวงตาที่มีแต่ความคาดหวังระคนชอกช้ำ บางทีพิชญ์ยังนึกสงสัยว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ มันคือการเห็นแก่เธอหรือเห็นแก่ตัวเองกันแน่

พิชญ์ไม่อยากมีความสัมพันธ์ทางกายกับไอลดา โดยที่หัวใจเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอ แบบนั้นมันโหดร้ายกับหญิงสาวเกินไป

“ไม่ว่าเมื่อไหร่เล็กก็ได้แต่ร่างกายของพี่พีทอยู่ดี” ไอลดาเอ่ยออกมาเสียงขื่น ๆ

“ผมขอโทษ...”

“เล็กเคยบอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องขอโทษเล็ก การที่พี่พีทไม่รักเล็ก มันไม่ใช่ความผิดของพี่พีทเลย แต่เล็กแค่อยากรู้ ว่าเล็กพอจะมีหวังบ้างไหม”

พิชญ์ถึงกับนิ่งไป ใครกันที่เคยบอกว่า อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง ทำไมชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้าของอริญชย์ถึงได้ลอยขึ้นมา จนพิชญ์ต้องยิ้มออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง

กอดน้องสาวอยู่แท้ ๆ แต่หัวใจกลับไปคิดถึงคนเป็นพี่ชาย...

จะมีใครที่เลวกว่าเขาอีกไหม

ไอลดาค่อย ๆ ดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของพิชญ์ เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบา ๆ ภายในห้องที่เงียบสนิทนี้ ทุกถ้อยคำที่เธอพูดออกมา มันชัดเจนจนกระแทกใจคนฟังให้ปวดหนึบ

“ถ้าเล็กขอให้เราเป็นสามีภรรยากันจริง ๆ พี่พีททำให้เล็กได้ไหมคะ”

อย่า...อย่าให้เขาต้องเป็นคนเลวไปมากกว่านี้เลย

“พ่อพีทจ๋า...”

จังหวะที่ไอลดากำลังรุกไล่พิชญ์ด้วยแววตาและคำพูด จนพิชญ์แทบจะหมดท่าจนมุม เสียงเรียกของน้องหนูก็เปรียบดังระฆังช่วยชีวิต จนคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องถอนสายตาออกจากกัน ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กที่กำลังงัวเงียอยู่

“พ่อพีทมาหาน้องหนูแล้วเหรอคะ”

“มาแล้วครับ แม่เล็กบอกว่าน้องหนูดื้อเหรอลูก”

พิชญ์อุ้มลูกสาวตัวน้อยขึ้นมานั่งบนตัก น้องหนูยกมือโอบรอบคอของพิชญ์ไว้แน่น ๆ ไม่ยอมปล่อย เพราะกลัวผู้เป็นพ่อจะหนีไปอีก

“พ่อพีททิ้งน้องหนู” ลูกสาวตัวน้อยตัดพ้อออกมาเบา ๆ

“ไม่ได้ทิ้งลูก พ่อพีทมีงานต้องทำไงคะ คนเก่ง”

“พ่อพีทจะทิ้งน้องหนูอีกไหมคะ”

“พ่อพีทไม่ทิ้งน้องหนูหรอกครับ แต่งานพ่อพีทเย๊อะเยอะ น้องหนูอยู่กับแม่เล็กก่อนนะ เป็นเด็กดี อย่างอแงนะครับ”

เด็กหญิงตัวน้อยเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะรักผู้เป็นแม่ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาน้องหนูก็อยู่กับพิชญ์มากกว่าไอลดามาตลอด เด็กหญิงมองหน้าพ่อกับแม่สลับกัน ไม่ยอมเอ่ยปากรับคำเสียที จนไอลดาต้องช่วยอีกแรง

“ไหนบอกว่าคิดถึงแม่เล็กไงคะ คนเก่ง”

“แต่...”

“ถ้าน้องหนูคิดถึงพ่อพีทเมื่อไหร่ พ่อพีทจะรีบมาหา สัญญา...”

“พ่อพีทไม่อยู่ แล้วใครจะเล่านิทานให้น้องหนูฟังคะ”

“อ้าว พูดแบบนี้ แม่เล็กน้อยใจแล้วนะ”

“ขอโทษค่ะ แต่น้องหนูอยากอยู่กับพ่อพีทกับแม่เล็กนี่คะ ไม่เลือกไม่ได้เหรอคะ”

พิชญ์ทำหน้าลำบากใจ เอาเข้าจริงแล้ว เรื่องที่เอาน้องหนูมาฝากไว้กับไอลดาก็ไม่ใช่ความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ทำไมถึงเป็นเขาที่ต้องมารับหน้าเจรจากับน้องหนูกันล่ะ

“น้องหนูอยู่กับแม่เล็ก เป็นเด็กดี แล้วพ่อพีทจะรีบทำงาน ถ้างานเสร็จไว เราก็จะได้อยู่ด้วยกันไว ๆ ไงลูก โอเคไหมเอ่ย”

“ก็ได้ค่ะ”

“อยู่กับแม่เล็กอย่าดื้อนะคะ”

“น้องหนูไม่ดื้อ แต่เราจะได้อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูกเร็ว ๆ ใช่ไหมคะ”

พิชญ์ไม่ได้ตอบ เขาโอบกอดน้องหนูและไอลดาไว้ในอ้อมแขน เขาเองก็อยากจะรักษาครอบครัวนี้เอาไว้ แต่พิชญ์รู้ดีว่าความเห็นแก่ตัวของเขาจะต้องทำลายมันเข้าในซักวัน ถึงเขาจะรักน้องหนูมากแค่ไหน แต่ความรักที่ไม่เคยมอบให้ไอลดา มันจะทำให้คำว่าครอบครัวอยู่รอดได้นานแค่ไหนกัน



.


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด