{พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เฮียป๊อกXน้องจุก2}18/5/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เฮียป๊อกXน้องจุก2}18/5/63  (อ่าน 7652 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
พ่อโทนเปิดใจกับเพื่อนแล้วว่าหึงลูกนอกไส้ 5555
เอาน่าพ่อโทน เดี๋ยวไม้รวยและสร้างฐานะมั่นคงเมื่อไหร่
ไม้จะมาขอพ่อโทนแต่งงานนะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4


พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 13 อดีตไม่เคยจาง
   



   “หุ่นยนต์ไหม”

   ผมยกแคตตาล็อกของเด็กที่มีหุ่นยนต์หลากหลายรุ่นที่แบกหน้าไปขอยืมไอ้เด็กแถวตลาดมาวางตรงหน้าไอ้หมาไม้ที่เพิ่งลงมาจากการซ้อมมวยเหงื่อนี้ท่วมตัวแต่แปลกที่ไม่มีกลิ่นเลย กูแอบดมมาแล้วเป็นที่เรียบร้อย อิอิ

   “หึหึ ผม 18 แล้วนะครับ”

   “โทรศัพท์มือถือไหม ของมึงเก่าจนปาหัวหมาแตกได้แล้วนี้ กูนึกว่าซากฟอสซิว” ผมเริ่มหน้าบึ้ง เพราะเหมือนรู้ว่าไอ้เด็กนี้จะพูดว่าอะไร

   “อันนี้ก็ใช้ได้ครับ สิ้นเปลืองเปล่า ๆ”มันยกน้ำขึ้นดื่มและเตรียมจะวิ่งขึ้นไปบนเวทีไปซ้อมกับพ่อผมต่อแต่ผมวิ่งไปดักหน้าไว้ก่อน ไอ้บ้านี้ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเดี๋ยวก็ชกหน้าแหก

   “งั้นเอาคอมไหม” ผมเริ่มมีน้ำโห

   “ของพ่อโทนก็มีครับผมใช้ได้”

   “โน้นก็ไม่เอา นี้ก็ไม่เอา ทำไมเรื่องมากจังวะ”

   “แค่ผมสอบได้ที่ 1 ไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ ผมก็สอบได้มาทุกปีอยู่แล้ว”ไอ้ลูกไม้เหยียดยิ้มก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่และ กระโดดข้ามเชือกขึ้นไป หึ เอาใหญ่แล้วเดี๋ยวนี้เผลอหอมเผลอกอด คิดว่าจะใจอ่อนหรือไงหึ!

   “ยิ้มทำไมวะไอ้โทน” ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ ๆ ไอ้พี่แสงไม่รู้มาจากไหนโผล่หน้าเข้ามาจากด้านหลัง อะไรใครยิ้ม ไม่มีอะแค่แก้มตึงเฉยหรอก

   “ยิ้มบ้านพี่ดิ เขาเรียกว่าแสยะตั้งหาก หึ!” ผมว่าและเดินมากระโดดขึ้นจักรยานปั่นไปปรึกษาไอ้เกื้อดีกว่า

   หึ ก็ผมอยากให้นี้ตั้งแต่เป็นพ่อลูกกันมา ผมยังไม่เคยให้อะไรกับไอ้เด็กนี้เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีเวลาด้วยละ เกือบ 24 ชั่วโมงผมทำแต่งาน ขนาดวันเกิดและวันเทศกาลก็มีแค่คำอวยพรกับทำอาหารกินกันในครอบครัว ถามอะไรก็ไม่เอา ๆ ผมละงงมาก นี้เลี้ยงมันมาเป็นเด็กมัธยัสถ์เกินไปหรือเปล่า ว่าแต่ผมเถอะไอ้ไม้เองก็ไม่ได้สนใจ เรียน ชกมวย อ่านหนังสือ ไม่เคยแม้แต่จะเห็นมันไปเที่ยวกับเพื่อนกับฝูงเลย ผมรู้สึกผิดยังไงไม่รู้ เหมือนช่วงชีวิตวัยเด็กมันหายไปทั้ง ๆ ที่ผมซึมซับช่วงเวลาวัยเด็กจนพ่อผมปวดหัวแล้วปวดหัวอีก นั้นแหละ



           “โทนเครียดเรื่องลูกไม่ขอของเล่นเหรอ”

           “แล้วมึงว่ามันปกติปะ นู้นก็ไม่เอานี้ก็ไม่เอา มันไม่อยากได้อะไรเลยหรือไงวะ” ผมวางคางกับเคาเตอร์ คิดมากง่ะ อยากให้แต่คนรับไม่อยากรับ ทำไงดี เมื่อกี้ขับรถมา ก็เห็นพ่อลูกคู่นึงกำลังยืนเลือกของเล่นกันอยู่ มัน ตะเตือนใต๋ นะ แงงงงงงง

           “คิดมาแล้วนะโทน”

           “แต่มัน ฮือออ ไอ้เกื้อ กูรู้สึกผิดจริงๆนะ” ผมเอาหน้าซุกกับแขนตัวเองอย่าคิดมาก

   หลังจากคืนที่เมาแล้ว ผมก็เลิกคิดทุกอย่างและพยายามค้านความรู้สึกแต่ก็แปลก ๆ ที่ไอ้ลูกไม้ก็ทำตัวห่างผมเหมือนกัน ปกติ ผมต้องมาที่หนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้มวยกับเรียนเท่านั้น เฮ้อ … ปกติเห็นผมวิ่งแจ้นออกมาแบบนั้นแหละจะตามมาทันทีเลยแท้ๆ เป็นอะไรกันแน่นะ

           “โทนรู้สึกผิดหรือตั้งใจจะเอาใจลูกไม้กันแน่” ผมสะอึกฮัก เงยหน้ามองไอ้เกื้อที่ชะเง้อชะแง้มามองหน้าผม … มันสะดุ้งก่อนจะหัวเราะแหะ ๆ และเดินไปที่ชั้นวางยาเลี่ยงผมออกไป เดี๋ยวปั๊ดกัดแม้ม พูดอะไรแทงใจดำกูจัง ฮือออออออออออออออ

           “สวัสดีครับ เอ่อ มีอะไรให้หมอช่วยไหม”

   เสียงไอ้เกื้อดังขึ้นผมรีบกระเด้งตัวลุกเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนจะพรายยิ้มให้ลุงคนที่เดินเข้ามายืนหน้าเคาเตอร์ที่ผมและไอ้เกื้ออยู่ ไม่มีหมาแมวมาด้วยแหะ สงสัยต้องลงพื้นที่อีกแน่ ๆ ผมกระซิบให้ไอ้เกื้อรับแขกไปก่อน ตัวเองเดินมาด้านในห้องเพื่อเก็บของ คนมาหาหมอหมาไม่หมาป่วยก็ควายป่วยเท่านั้นแหละ เก็บของลงพื้นที่เว้ยเฮ้ย!!!

           ไม่มีเวลาคิดมาแล้วสินะ กลับไปถ้าไม่หายเป็นแบบนี้นะจะตีมึนโกรธกลับแล้วนะเว้ยเฮ้ย !!!

           “เดี๋ยว ลุงขอคุยด้วยหน่อย” ผมหันกลับมายกมือชี้มาที่อกตัวเอง … ไอ้เกื้อก็อยู่ทำไมไม่คุย … หรือว่าผมน่าเชื่อถือกว่าไอ้เกื้อ หึหึ ออร่าเทวดาของมึงถูกออร่าซาตานสุดหล่ออย่างกูกลบก็คราวนี้แหละไอ้เด็กน้อย ฮิฮิ

           “มึงไปเตรียมของให้กู” เดินไปกระซิบบอกไอ้เกื้อที่ยิ้มหวานอยู่ตรงเคาเตอร์หันมาพยักหน้าให้ผมและเดินเข้าไปในห้อง ชีวิตมึงนี้นะ เหมือนโลกสวยอยู่ตลอดเวลา ยิ้มเข้าไปสิ ยิ้มเข้าปายยยยย จะมีเมียกับเขาไหมละ ยิ้มหวานกว่าผู้หญิงแบบนี้ ต้องแบบผมนี้มาดแมนเกิดร้อย ทำหน้าเข้มสองทีเด็กหยุดร้องไห้ … หัวเราะแทน

           “ผมชื่อโทนนะครับลุง มีอะไรปรึกษาผมได้ครับ ไม่ทราบว่าสัตว์เลี้ยงอะไรของลุงป่วยเหรอครับ” ผมว่าลุงทำหน้าเลิ่กลั่กมองซ้ายมองขวายื่นกระดาษแผ่นนึงมาตรงหน้าผมและวิ่งออกจากร้านทันที

           “ลุง ๆ เดี๋ยวสิ … อะไรวะ” อ้าวเป็นงงสิกู ผมส่ายหัวและก้มมองกระดาษที่พับไว้แผ่นเล็กนั้น ก่อนจะค่อยๆ คลี่กระดาษออกอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ โอ้ยหน่อ มันคืออิหยังละพ่อ!.... เฮ้ย!

           “โทน เสียงดังอะไร แล้วลุงคนเมื่อกี้ล่ะ”ผมรีบเก็บกระดาษลงกระเป๋าเสื้อกาวส์ตัวเอง

           “เอ่อ … เออ ลุงแกให้ไปดูควายที่บ้านแกน่ะ เดี๋ยวกูไปเอง”

           “ให้เกื้อไปช่วยไหม ว่าแต่ลุงคนนั้นโทนรู้จักหรือเปล่า ทำไมเกื้อไม่เคยเห็นหน้า”

           “มั้ง กูไปละ ไม่แน่กูอาจเลยเข้าบ้านเลยนะ”

           “โอเค ถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วยนะ”

           “เออ อย่ากลับดึกนักละ” ไอ้เกื้อพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะยื่นกระเป๋าหมอแบบพกพาให้ผม

    ภายในมียาที่แก้อาการเบื้องต้นแทบทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับสัตว์ เพราะส่วนมากชาวบ้านจะไม่รู้ว่าสัตว์ตัวนั้นเป็นอะไร ยิ่งวัวควายไก่ยิ่งดูยาก เพราะอาการจะออกช้า ถ้าออกคือหนักแล้วมาก ๆ ไม่เหมือนหมาแมวที่อาการจะออกทันที ผมเลยต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆอย่างเช่นเคสที่ต้องผ่าตัด ก็ต้องขนย้ายมาที่นี้ 

   “ถ้ามีเคสใหญ่โทรหาได้ตลอดเวลา” ผมว่าและเดินมาขึ้นจักยานปั่นออกมา เพราะวันนี้ผมคงไม่ได้ตรวจสัตว์จริงๆ … เพียงแต่ผมต้องไป นั้นแหละเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของผมแต่เป็นเรื่องของลูกผม นั้นแหละผมเลยต้องไป

.

.

.

สวบ สวบ สวบ

   กว่าจะมาถึงก็เกือบบ่ายคล้อยแล้วเพราะต้องข้ามมาอีกจังหวัดเพราะผมขับรถไม่แข็งจึงต้องจ้างลุงแถวตลาดมาส่ง เฮ้อ … ถ้าไม่ติดว่าไอ้ไม้มีสถานะเป็นลูก กูคงเป็นไอ้คนบ้าผู้ชายคนนึงเลยละ ฮ่าๆๆๆ เฮ้อ … ไอ้เวนตะไล ... ผมเดินข้ามแหวกหญ้าคาที่ขึ้นท้วมมาเกือบมิดหัวผม … ไม่ได้เตี้ยนะบอกเลย ในมือก็กำเศษกระดาษแน่น ใจความในกระดาษก็ไม่มีอะไรมาก เขียนไว้แค่ว่า ‘มาตามแผนที่ มันคือผลดีกับลูกชายของคุณเอง’

   ความจริงผมมีบางอย่างที่ปิดบังไอ้ไม้อยู่ ไม่เรียกว่าปิดบังหรอก แค่ไม่เคยพูดกัน ถึงบ้านเก่าและพ่อแม่ที่แท้จริงของไอ้ไม้ ที่เมื่อก่อนถือว่ารวยมาก มีเชื้อเจ้าขุนบุญนายวังเก่า แต่ก็เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้ทั้งพ่อและแม่ของไอ้ลูกผมตายในกองเพลิง ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะพลิกชะตาชีวิต … และหลายปีที่ผ่านมาผมเองก็ไม่เคยเห็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินพี่ป้าน้าอาของไอ้ลูกไม้มาตามหาสักที ปล่อยมันทิ้งอยู่ที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก … กับความโดดเดี่ยวกับเด็กอายุแค่ 5 ขวบในคราวนั้น แต่ก็นั้นแหละถึงมาผมก็ไม่ให้หรอก เพราะเพลิงไฟพรากทุกอย่างไปจากลูกผมแล้ว ซึ่งมันคงเหมือนตายและเกิดใหม่มาบ้านนักมวยนี้แหละ

    ถึงย่างไรไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ผมก็พร้อมที่จะสร้างชีวิตใหม่ให้ไอ้ไม้ เพราะความสุขของลูกผมคือหนึ่งเดียวที่คนเป็นพ่ออย่างผมต้องการ หึ … รอให้ถึงเวลานั้นก่อนแล้วกันค่อยมาดูกันว่าความรักที่ลูกผมพร่ำบอกทุกวันกับผม จะเป็นจริงหรือเปล่า หรือแค่ไอ้เด็กขี้อ้อนร้องหาความรักที่ขาดหายไป บางทีนี้อาจจะเป็นความจริงที่ผมต้องคิดให้ตกผนึกและจัดการความรู้สึกของตัวเองให้ได้เสียที

           แต่จะว่าไปนะ ทำไมต้องนัดที่แบบนี้ด้วยวะ หญ้าสูงแบบนี้มีงูขึ้นมาไอ้โทนมีหวังได้ลงไปนอนยิ้มแอ๊บแบ๊วหาศพกันไม่เจอแน่ ๆ แถวนี้สมัยเด็ก ๆ ผมเคยห้าวแว๊นข้ามจังหวัดมากับพวกไอ้ป๊อก จำได้ว่าเคยเป็นสนามเด็กเล่น ที่มีกำแพงสูงเป็นเส้นกั้นระหว่าง หมู่บ้านที่เจริญแล้ว เอ้อ มึงเคยดูการ์ตูนเรื่องไททันปะ พวกกูเหมือนยักษ์ไททันที่คอยจะปีนเข้าไปในเมืองอ่ะ ฮ่าๆๆๆ จำได้กูเคยปีนจะถึงยอดและหล่นตุ๊บลงมาถลอกไปหมด โดนพ่อด่าอีก หึหึ แต่พอเกิดเรื่องไฟไหม้ครั้งนั้น … ตรงนี้ก็ถูกปล่อยร้างเพราะมีข่าวลือว่าผีดุ พ่อผมก็ห้ามไม่ให้มาเล่นอีก ทำไมไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าแอบมาเห็นกูถูกถีบตกบ้านนั้นแหละ

           “ทางนี้ครับคุณโทน”ผมสะดุ้งหันไปมองลุงคนเดิมที่โผล่ออกมาจากไหนสักแห่งกูไม่พูดอะไรเดินตามแกไป ขี้เกียจพูดละรอถามทีเดียว เจ็บคอขี้เกียจตะโกน

           ลุงแกพาผมเดินมาที่หน้ากำแพงสูงที่ผมบอก ดูตอนนี้มันก็ไม่ค่อยสูงหรอก เพราะตัวผมสูงขึ้นหน่อยล่ะมั้ง ก่อนจะพาเดินไปที่ประตูเหล็กขึ้นสนิมที่ไม่ได้รับการดูแล จำไม่ได้แหะว่ามีประตูตรงนี้ แกหยิบกุญแจในกระเป๋าขึ้นมาไขแม่กุญแจขึ้นสนิมก่อนจะเดินนำผมเข้าไป เฮ้อ … ลึกลับซับซ้อน จะหลอกกูมาฆ่ารึเปล่า ไอ้โทนสู้คนนะ แต่ช่วยเว้นระยะห่างกันบ้างก็ได้นี้กูเพิ่งจะปางตายมาแหมบ ๆ  ผมกระชับมีดพับในปกเสื้อกาวส์สีขาวของตัวเองแน่น คิดผิดเปล่าวะที่ไม่พาเพื่อนมาด้วย   

           ผมสูดหายใจเข้าปอดลึก ก่อนจะเดินเข้าตามลุงแกไป … แอบผิดคาดนิดนึงที่ภายในกำแพงสูงโทรมกลับกลายเป็นสวยภายในบ้านที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามดูแล้วสบายตา ประดับตกแต่งด้วยไม้เล็กใหญ่คละสีกันไปแต่มันขัดกับบ้านทรงไทยที่ไหม้เป็นตอตะโก ช่างสวยและเศร้าสร้อยซะจริงๆ

           “เชิญนั่งตรงนี้ครับผมจะเอาน้ำในรถมาให้” ลุงแกพ่ายมือให้ผมลงนั่งที่เก้าอี้ในซุ้มดอกไม้สวยสดที่มีดอกไม้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว

           “ไม่ต้อง ลุงเป็นใครแน่ และที่นี้คือที่ไหน”

           “เฮ้อ ผมชื่อศักดิ์เป็นพ่อบ้านของ อาริณมณี ที่นี้คือบ้านของนายช่างเชษฐากับคุณหญิงภรรยาท่าน” ผมกัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลง นี้หรอคือหลังกำแพงที่ผมอยากพบเจอ … อดีตของลูกไม้ที่ผมไม่กล้าที่จะนั่งฟังด้วยใจที่เข้มแข็งเพราะความสงสาร ลุงศักดิ์จ้องมองผมผ่านกรอบแว่น เขาดูดีแลพสุขุมกว่าคนแก่ที่มีอายุเท่ากัน  ร่างสูงโปร่ง แก้มตอบ ผิวสีแทนเหี่ยวย่นตามอายุ รวมถึงการแต่งตัวที่สุภาพราวกับอยู่ในหน้าที่พ่อบ้านตลอดเวลา ถ้าตัดเสื้อผ้าออกไป… ผมเคยเห็นที่ไหนนะทำไมรู้สึกคุ้นตานัก

           “ลุงเคยไปหาลูกผมหรือเปล่า” ผมถามขึ้นและยังไม่ยอมนั่ง หรี่ตามองตาแก่คนนี้ด้วยความสงสัย

           “นายน้อยไม่ใช่ลูกคุณ เขาเป็นลูกของนายหัวเชษฐาและคุณหญิงดอกอ้อ”

           “พวกเขาเสียไปแล้ว ไอ้ไม้เป็นเด็กกำพร้า ผมไปรับมาเลี้ยง ลุงมีปัญหาอะไร”  ผมวางท่าบ้าง

   ทำไมละ ผมพูดผิดตรงไหน ถ้าเกิดไอ้เด็กนี้เป็นลูกเต้าคนใหญ่คนโตเหมือนที่ตาแก่นี้ว่า

   ในระหว่างที่ไอ้เด็กนั้นอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า เขาเฝ้ามองเด็กคนอื่น ๆ ด้วยสายตาเหยียดหยามและโกรธแค้นต่อโลกใบนี้ ทำไมไม่มีคนรับมันไปเลี้ยงต่อเข้ามาช่วยเหลือให้มันสบายบนกองเงินกองทองมรดกที่พ่อแม่มันทิ้งไว้…ทำไม …ทำไมถึงถึงปล่อยให้ไอ้ไม้อยู่ในโลกของความโหดร้ายเพียงลำพัง ปล่อยให้มันร้องไห้แบบไม่มีน้ำตาในทุกคราที่แสงจันทร์สาด

   ผมยังจำแววตาแรกที่เจอกันได้…และผมไม่ยอมให้ใครมาพามันไปไหนทั้งนั้น ไม่ยอม ได้ยินไหมวะ ว่ากูไม่ยอม!!!!!

   “แล้วยังไงต่อ” ผมว่าท่ามกลางบรรยากาศเดดแอร์

    นายน้อยก็ไม่สมควรอยู่ในสถานที่แบบนั้น ที่ผมเรียกคุณมาวันนี้ผมจะขอเจรจา…”

           “ถ้าอยากจะเจรจา ไปว่ากันต่อในศาลแล้วกันนะลุง ผมเป็นพ่อไอ้ไม้โดยถูกกฎหมาย” ผมยกมีดขึ้นมาชี้ไปที่ตาแก่ที่นั่งทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว หึ !

   “มันสายไปแล้วลุง หลายปีแล้วนะลุง ที่มันอยู่ตรงนี้ มันกินข้าวคลุกปลาทู กินน้ำบาดาล มันขี่จักรยานคลุกฝุ่นทุกวัน มันชกมวยตัวเขียวช้ำมาเป็นประจำ หึ จะบอกอะไรให้นะ ไอ้เด็กนั้นมันถูกผมตบหัวทุกวัน จะลูกคนใหญ่คนโตมีบรรดาศักดิ์อะไรก็มาเถอะ แต่ตอนนี้ ไอ้ไม้คือลูกของผม … เก็ทนะ และไม่ต้องไปให้ลูกผมเห็นหน้าอีก ไม่งั้นผมเอาตำรวจมาลากคอคุณเข้าตารางแน่ ชัดนะ!”

   ว่าแล้วก็กระแทกมือลงโต๊ะเสียงดังลั่นและหันหลังเดินกลับมาทางเดิม นี้เรียกกูให้ฝ่าแดดฝ่าต้นไม้ใบหญ้าคมกริบพวกนี้มาเถียงเรื่องไร้สาระ กับคนแก่โลกแคบแบบนี้เนี้ยนะ เหอะ !

           “คุณโทน … ผมจะพานายน้อยไปอยู่ในที่ที่เหมาะสม เพราะพวกเราพร้อมดูแลเขาต่อจากคุณแล้ว ไม่เช่นนั้น … ที่นี้จะวอดวาย และพวกมันจะไม่เลิกรา”

           “ก็ให้มันมา” ผมหันไปบอกแกก่อนจะเดินลอดประตูออกมา หึ ทำไมต้องกลัว … ถ้ามันจะมาก็ต้องมาเจอกันผมสักที จะได้รู้ว่าไอ้โทนจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงของรักของไปเด็ดขาด ไม่มีทางซะหรอก

.

.

.



           “กินดิ”

   ผมเท้าคางมองไอ้ลูกไม้ที่นั่งหน้าแปลก ๆ บนแคร่ มันเพิ่งลงมาจากเวทีมวย หลังจากที่ซ้อมทั้งวันไม่มีพักเลย ผมออกไปตั้งแต่เช้านี้กลับมาค่ำแล้วเพิ่งเลิก พอดีผมกลับไปที่ร้านน่ะ ครับไอ้เกื้อบอกให้ไปช่วยผ่าตัดหมาที่กินกระดูกเยอะเกินไป ทำให้ไปอุดอันลำไส้ ใครเลี้ยงหมาอย่าให้หมากินกระดูกนะครับ เพราะหมาจะย่อยได้ไม่หมดและตกค้าง เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตอีก

           “เอ่อ … มันละลายแล้วครับ มานั่งข้างบนเถอะมันสกปรกผมยังไม่ได้ถูพื้น”

   มันวางไอติมกระปุกใหญ่ที่ผมแวะซื้อที่ตลาดมาให้และลงมาคุกเข่าพาผมขึ้นไปนั่งด้านบนด้วย แต่ผมไม่ยอมเลยฉุดมันลงมานั่งข้างล่างด้วยกัน นั่งข้างบนเบื่อแล้วงะ อยากนั่งข้างล่างบ้าง ผมบุ้ยปากเชิงให้กินไอติมที่ซื้อมา … ตอนเด็ก ๆ ถึงละลายผมก็กินนะเพราะถือว่ามันก็เป็นไอติม อย่าไปยึดติดสิ ไอติมก็คือไอติม เนอะ

           “มึงเป็นไรกัน พากันลงมานั่งข้างล่าง” พ่อทายเดินผ่านพวกเราไปไม่วายแขวะใหญ่โต เรื่องของผมปะ บุ้ยยยยย

           “กินดิ อุตส่าห์ซื้อมาให้”

           “ครับ ๆ พ่อโทน พรุ่งนี้ผมไปเล่นเกมบ้านเพื่อนนะ” มันคว้ามาตักไอติมกะทิเหลว ๆ เข้าปากก่อนจะหันมาพูดตะกุกตะกักเหมือนเกร็ง ๆ

           “คนไหน” ถามไปงั้นแหละความจริงดีใจจะตาย มันไม่เคยไปไหนเลยนะ ผมอยากให้มันไปใช้ชีวิตจะตาย

           “ไอ้โบ้ครับ”

           “เออ ไปดิ วันหยุดนี้ แต่ต้องทำงานบ้านและกินข้าวก่อนไป เดี๋ยวกูฝากกับข้าวไปให้บ้านโน้นด้วย”

   ผมว่าและลุกขึ้นยืนยีหัวไอ้เด็กบ้าเล่นก่อนจะเดินเข้าครัวมาทำกับข้าวกับปลาและพยายามที่จะไม่คิดเรื่องรกหัวในวันนี้มากนัก ทำไมน่ะเหรอ เพราะผมเชื่อว่า ผมปกป้องลูกผมได้ ผมทำได้ และเชื่อว่าลูกผมดูแลตัวเองได้ เก่งซะขนาดนี้ เตะก้านคอให้หักไปเลยลูกพ่อสนับสนุน ฮิฮิ 

.

.

.

           “เดี๋ยวนะ เอ็งบอกลูกเอ็งดูแลตัวเองได้ แต่เอ็งตามมันมาเนี้ยนะไอ้โทน โอ้ย!” ผมตบป๊าบเข้าที่ไหล่พี่แสง เสียงดังจังเป็นอะไร มันจะเรียกมาซุ่มดูได้ยังไงถ้ามาเสียงดังแบบนี้

           เอ่อ … คือกู ไม่ได้ตามลูกกูมานะ กูแค่ว่า เอ่อ … ส่งมันโดยมันไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง แค่นั้นเอง แหะๆ

           ตกเย็นวันต่อมาหลังจากทำอะไรเสร็จไอ้ไม้ก็ออกมาประมาณทุ่มนึง พอมันขับมอเตอร์ไซค์ออกมาปุ๊บกูก็วิ่งมาจับจักรยาน ลากไอ้พี่แสงที่เดินมาใกล้ ๆ มือมาด้วยอีกคน ชลมุนกันอยู่พักนึงในที่สุดผมก็ตามไอ้ลูกผมมาจนถึงบ้านไอ้โบ้ที่ตั้งอยู่ในเมืองเป็นห้องแถวสามชั้น บ้านมันขายน้ำเต้าหู้จนรวยนั้นแหละครับ

           “มันถึงแล้วกลับกันเหอะ ยังไงมันก็ค้างที่นี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง ยุงกัดกูจะตายห่าละ”

           “แปปนึงดิ นี้ให้มาเป็นเพื่อนนะไม่ใช่มานั่งบ่น” ผมโวยขึ้นก่อนจะลากไอ้พี่แสงเข้ามาในซอกลืบเมื่อเห็นไอ้ไม้โผล่หน้าออกเอาถุงกับข้าวที่รถ ดูเหมือนมันจะรู้ตัวว่าโดนแอบมองเลยหยุดมองซ้ายมองขวาอย่างไม่ไว้วางใจและเดินเข้าไปในบ้านต่อ

           “โรคจิตฉิบหาย” ผมตาขวางใส่พี่แสงก่อนจะคว้าเอาโทรศัพท์ตัวเองที่สั่นเป็นเจ้าเข้าขึ้นมาดู และถึงกับมือไม้สั่น ไอ้ห่าลูกไม้มึงรู้รึเปล่าเนี้ยว่ากูตามมา โทรมาทำม้ายยยยยยยยยยย

           “พี่รับให้หน่อย”

           “มึงก็รับดิ๊”

           “ไม่เอาถ้าพี่ไม่รับผมจะฟ้องพี่เมฆว่าเมื่อวานพี่แอบกินขนมส่วนของพี่เมฆ”

           “ว้อยยยยยย เออ กูรับให้ และมึงจะให้กูบอกว่าอะไร”

           “ไป … ไป ไปอาบน้ำ เร็ว ๆ พี่มันจะวางแล้ว” ผมคะยั้นคะยอให้พี่แสงรับเพราะถ้าไม่รับมันจะต้องสงสัยแน่ ๆ ไอ้พี่แสงถอนหายใจและยอมกดรับสายให้

           “เออ กูแสง ไอ้โทนไปอาบน้ำ เออ ๆ เดี๋ยวกูบอกมันให้” แล้วพี่แสงก็ส่งโทรศัพท์คืนผมทันทีที่พูดจบ ก็รีบกดวางสายและเก็บเข้ากระเป๋า

           “มันบอกถึงบ้านไอ้โบ้แล้ว ตอนจะนอนให้มึงโทรหามันด้วย” ผมพยักหน้า

   หันไปยืนมองหลังคาบ้านไอ้โบ้อยู่ไม่นาน ก็พากันกลับมาบ้านกูก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาปะแป้งหอมฟุ้งออกมานั่งแคร่หน้าบ้าน โทรเช็คไอ้ไม้ว่ายังอยู่ดี ให้มันออดอ้อนอยู่พักนึงก็วางสาย เงยหน้ามองฟ้าในคืนนี้ที่ส่องประกายดาวนับล้านอย่างสวยงาม … ป่านนี้ไอ้ลูกไม้ของผมคงสนุกอยู่บ้านของไอ้โบ้นั้นแหละ ดีแล้ว… ดีแล้วที่เป็นแบบนี้ ….

           “ยืนทำอะไรไอ้โทน” ผมสะดุ้งหันไปมองพ่อที่ลงมาจากรถกระบะปิ๊กอัพ อ้าวนี้ตาลุงออกไปไหนมากลางค่ำกลางคืนแบบนี้เนี้ย ผมคิดว่านอนอยู่ในห้องซะอีก

           “ดูดาวอะพ่อ แล้วพ่อไปไหนมา”

           “เรื่องของกู แล้วมึงเป็นอะไร ลูกมึงไม่อยู่หงอยขนาดนั้น ?”

           “หึ ไม่หรอกพ่อ พ่อวันก่อนโทนไปบ้านเก่าไอ้ไม้มา”

           “หื่อ … เอ็งว่าอะไรนะ” พ่อผมขมวดคิ้วและเดินเข้ามายืนข้างผม ตัวผมเองก็ซุกลงกับเข่าตัวเองที่ชันขึ้น

           “โทนไปคุยกับตาแก่ที่ชื่อศักดิ์ เขาบอกว่าไอ้ไม้คือลูกของนายเชษฐาไม่ใช่ลูกของโทน พูดเหมือนจะเอามันกลับไป บอกถ้าอยู่กับเราจะฉิบหาย”ผมพูดอู้อี้อยู่ในลำคอ แต่ผมรู้ว่าพ่อฟังรู้เรื่อง มือหนาวางบนกระหม่อมผมก่อนที่เสียงแหบพ่านของพ่อจะดังขึ้น

           “เอ็งกลัวหรือไง” ยังไม่วายแขวะ ไม่ได้กลัวหรอก แต่มันแค่ตึง ๆ เหมือนกำลังจะเสียมันไป ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่มีทางยอมถ้ามันไม่เต็มใจไปและจะยื้อไว้ให้สุดกำลัง

           “ผมไม่อยากเสียมันไป แต่ถ้ามันอยากที่จะไปอยู่ที่สบายกว่าค่ายมวยป่าเถื่อนแบบนี้ ผมก็ห้ามไม่ได้ถูกไหม”

           “กูไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้มึงแค่ทำหน้าที่ของมึงให้ดีที่สุด ปกป้องให้สุดกำลัง แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว และถ้าวันนั้นมาถึง มึงก็จะรู้เองนั้นแหละว่ามึงควรจะทำอะไร”

    เสียงพอเงียบลง แต่ด้วยอะไรสักอย่างอาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้ผมรู้ดีว่าไอ้ไม้ไม่กลับมากอดผม … ผมเลยคว้าเอวของพ่อทายมากอดเอาไว้แทน … ผมขาดแม่ตั้งแต่เด็ก … แต่ผมมีพ่อที่สุดแสนจะป่าเถื่อน มีวิธีสอนแปลก ๆ แต่ผมก็รักนะ …

           “ขี้แยฉิบหาย โอ้ย ปล่อย กูจะไปอาบน้ำ!!!”

           “อื้อออออออออ ขอกอดหน่อย” ผมขื่นตัวกอดตาลุงที่พยายามแกะมือผมออก ไม่พอยังเอามือมายันหน้าผมด้วย นี้ถ้ายกตีนขึ้นมาถีบได้คงทำไปแล้วใช่ไหม =_=’

           “ไอ้โทน ไอ้ห่า ไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

           “ไม่อาววววววววว โทนจากอดดดดดดดดดดด”

           “กวนตีนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!”

แฮ่ๆๆๆๆๆ

           เสียงไอ้หมาน้อยลูกสมุนของผมวิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลังเราสองพ่อลูกไม้ เหมือนอยากจะเล่นด้วย

.

.

.

           ค่ำคืนที่เงียบสงบเวลาเกือบเช้า ร่างสูงใหญ่ของเด็กหนุ่ม ก้าวเข้ามาภายในห้องนอนที่คุ้นเคยของตนเองและพ่ออันเป็นที่รักด้วยฝีเท้าย่องเบาที่สุดในชีวิต เขาพยายามนอนหลับบนเตียงฟูกหนานุ่มมีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำที่บ้านของสหายแล้วแต่ไม่ว่าจะหลับตาลงยังไงก็มองเห็นแต่หน้าใสยามหลับตาที่ส่งเสียงกรนพร้อมกับน้ำลายที่ยืดเต็มหมอนในทุกคืน คิดถึงร่างน้อย ๆ ที่ปล่อยให้เขาโอบกอดตักตวงความอบอุ่นใต้ผ้าห่มผืนหน้าปกคลุมให้พ้นสายลมหนาว

           ร่างสูงของลูกไม้นั่งลงที่ข้างเตียงจ้องมองใบหน้าขาวใสที่หลับอยู่บนเตียงอย่างไร้เดียงสาก่อนจะเหยียดยิ้มที่ฝืนใจและลำบากใจออกมาท่ามกลางความมืดที่มีจันทร์ส่องสะท้อนกันดวงตาคมกริบที่เต็มไปด้วยแววตาเศร้าสร้อย …

           “ลูกรักพ่อ … ในแบบคนรัก … ผมรู้มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าหากผมจะต้องจบความคิดแบบนี้แลกกับการได้อยู่ใกล้พ่อโทนที่รักของผมตลอดไป … ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหน ลูกก็จะทำ …” เสียงกระซิบเจ็บปวดเหมือนมีดเล่มใหญ่กรีดกระชากวิญญาณออกจากร่างของผู้เป็นลูก … โดยที่คนตัวเล็กที่นินทราอยู่บนเตียงไม่รู้เลยว่าลูกรักของตนกำลังร่ำไห้อยู่อย่างไร้ซึ่งน้ำตา …

           มือเล็กละเมอวาดแขนที่กอดหมอนข้างของตัวเองไว้แน่นลงมาตรงหน้าของลูกไม้ที่นั่งมองดวงตาใสอยู่ไม่กล้าที่จะแตะต้องใดๆ กลัวว่าจะหักห้ามใจตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป … ริมฝีปากหน้าจรดลง บนมือบางอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองดวงตาใสอย่างเจ็บปวดและหลับไปพร้อมกับความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ …

           รักเหลือเกิน พ่อโทนของลูก …







====================

อะไรจะเกิดก็ต้องเกินเน้อ <3' อดทนนะจ้ะ ทั้งคู่

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

(ลุงทายXเกื้อกูล 2)




*** เขียนไว้ช่วงสงกรานต์ปีโน้นนนนนนนนนน ถือว่าชดเชยสงกรานต์ปีนี้ให้ทุกคนนะคะ




           “ทำอะไรอยู่” ผมเงยหน้าจากเอกสารตรงหน้ามองลุงทายที่เดินขึ้นมาบนบ้านผม … หนึ่งทุ่มพอดีเป๊ะเลย

           “เอกสารที่ประชุมของบริษัทน่ะครับ” ผมตอบและยิ้มให้เขาก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ

   ทางบริษัทส่งเอกสารมาให้ผมพิจารณาความจริงมันก็ไม่ใช่หน้าที่ผมหรอก แต่คุณแม่บอกให้ผมฝึกตัดสินใจดู เลยส่งเอกสารซื้อขายรายเล็กมาให้ผมตัดสินใจ ผมยังสงสัยเลยว่าแม่ผมและพี่กายต้องทำงานน่าปวดหัวแบบนี้ตลอดเลยหรือไง เฮ้อ ปวดหัวกันน่าดูเลยนะครับ

   ขนาดแค่เอกสารชิ้นเดียวที่ผมต้องเซ้นต์ชิ้นนี้ ผมยังต้องคิดแล้วคิดอีกว่าบริษัทจะเสียผลประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพราะการลงทุนในแต่ละครั้งถึงจะเป็นบริษัทเล็กหรือใหญ่ก็ต้องมีผลกำไรเป็นการตอบแทนที่สมราคาที่เสียไป … คุณแม่ผมบอกผมมาแบบนี้ เฮ้อ …

   “หน้ายุ่งมัดจุกเป็นหมาเชียว กินข้าวกินปลาหรือยัง” ลุงทายเอามือมาจับจุกผมด้านหน้าของผมที่เริ่มยาวแล้ว ไม่มีเวลาไปตัดสักที

   “ยังเลยครับ ไม่ค่อยหิวเลย ลุงทายละครับ” ผมถามและวางปากกาลงเงยหน้ายิ้มตาหยี๋ให้ลุงทาย

   เดี๋ยวนี้ลุงทายอบอุ่นน่ารักเป็นพิเศษ มาหาผมตรงเวลาทุกวันอยู่เป็นเพื่อนกันจนดึกส่งผมเข้านอนและเขาก็ค่อยกลับไปตอนผมกลับไปแล้ว ในตอนเช้าบางวันลุงทายก็ขับรถมารับผมไปส่งที่หน้าตลาดอีกด้วย ในวันที่ผมจะกลับกรุงเทพ เขาก็มักจะโทรมาส่งผมตลอด … เป็นคุณลุงที่น่ารักมาก ๆ

   วันนั้นที่โทนมีเรื่อง ผมแทบช็อกเมื่อเห็นสภาพของลุงทายและโทนทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่เลือด ร้องไห้ซะตั้งหลายชั่วโมง น่าสงสารโทนมากตัวแค่นั้นต้องมาโดนอะไรหนักแบบนั้น ส่วนน้องไม้ก็เป็นเด็กที่แข็งแกร่งจริง ๆ … ถึงจะเป็นครอบครัวที่ดูน่ากลัวแบบนั้น แต่ผมว่า อบอุ่นและรักกันมากๆเลยนะ แต่ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับหัวใจของโทนตอนนี้สิเรื่องใหญ่ … เฮ้อ เป็นผม ผมก็ไม่รู้ว่าต้องจัดการความรู้สึกตรงนั้นยังไง ผมตอนนี้ก็เช่นกัน ที่ไม่สามารถควบคุมมันได้เลย …

   “กินแล้ว ข้าเอามาฝาก ฟังอยู่เปล่าไอ้ตัวเล็ก” ผมกระพริบตาถี่ ๆ มองหน้าลุงทายที่เอามือมาสะกิดแก้มผมเบา ๆ เอ่อ … เมื่อกี้ลุงทายว่าอะไรนะ ผมไม่ทันฟัง

   “เอ่อ ว่าอะไรนะครับ แล้วนี้ถุงอะไร” ผมมองถุงผ้าที่เห็นตั้งแต่ลุงทายเดินเข้ามาแล้ว มีกลิ่นต้มหอม ๆ ออกมาด้วย กับข้าวฝีมือโทนอีกแน่ ๆ โอ้ย ท้องร้องจ๊อก ๆ เลย

   “เหม่ออยู่นั้นละ เอ๊า กินซะสิ ต้องให้เอาไปใส่ชามมาป้อนไหม”

   “มะ ไม่ต้องครับเดี๋ยวผมทำเอง” ผมรีบกุรีกุจอวิ่งไปเอาถุงกับข้าวเข้าไปในครัว โอ้โห ต้มผัดกาดดองกับผัดน้ำมันหอยแล้วก็น้ำพริกผักต้ม … หอมสุดๆ

   

ฟอดดดดดด

   ผมตกใจเมื่ออยู่ ๆ ลุงทายคนบ้าก็เอี้ยวตัวมาหอมแก้มผม ลำแขนใหญ่โอบตวัดผมเข้าไปพิงอกหนาไว้อย่างอบอุ่น … ยะ แย่แล้ว หัวใจของผมกำลังเต้นแรง ผมจะหันไปหาลุงทายแต่พอหันไปก็ต้องหันกลับมา เพราะลุงจะก้มหน้ามาจุ๊บผม

           “อะ ลุงทาย มาหอมผมแบบนี้ได้ยังไง” ผมดุเบา ๆ ตีแขนลุงทาย จู่โจมแบบนี้ผมตกใจนะ ผมไม่รู้เลยความสัมพันธ์ของผมกับลุงทายจะลงเอยแบบไหน ตั้งแต่วันงานแต่งของพี่กาย ความรู้สึกของผมก็เพิ่มมากขึ้น ผมรักลุงทาย นั้นคือความจริงที่ไม่เคยเสื่อมคลาย …

            ‘กูไม่ยอม ไอ้เด็กนี้ของกู อย่าเสือก’

           ผมหน้าร้อนฉ่าเมื่อนึกถึงประโยชน์สุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะสลบไปรอบนั้น ความรู้สึกเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง กลิ่นของไวท์และลมหายใจอุ่นๆความรู้สึกที่ร้อนวาบไปมาในอก ตอนนั้นกลับมาอีกแล้ว …

           “รีบยกมาเดี๋ยวกินเป็นเพื่อน” ผมเม้มปากพยักหน้าก่อนที่ลุงทายจะปล่อยผมและเดินไปนั่งรอด้านนอกเหมือนเดิม …

    ถึงผมจะคิดกับลุงแบบนั้น และลุงก็บอกกับพี่กายว่าผมเป็นของเขา และเราสองคนก็เจอกัน กอดกันหอมกันแต่เราไม่เคยบอกรักกันเลยสักครั้ง ความสัมพันธ์ทุกอย่างมันทำให้ผมสับสนจนแทบจะเป็นบ้า แต่ทุกครั้งที่เขาอยู่ด้วย ผมมักจะมีความสุข จนลืมที่จะทุกข์ในเสียงหัวใจตัวเองที่ดังครวญครางและผมก็พึงบอกตัวเองในใจว่า เรา 2 คนจะอยู่ในสถานะไหนคงไม่สำคัญ อีกต่อไปขอแค่อยู่แบบนี้ ซึมซับความสุขและหากวันนึงจะห่างหายกันไปเอง ก็อย่าเสียใจเพราะผมทำวันนี้เต็มที่แล้ว สำหรับความรักครั้งแรกของผม …

           “พรุ่งนี้พวกไอ้โทนจะขึ้นกระบะไปเล่นน้ำสงกรานต์จังหวัดข้าง ๆ เอ็งจะไปด้วยไหม” ลุงทายถามขนาดที่ผมกำลังนั่งทานข้าวฝีมือแสนอร่อยของโทนอยู่ชานบ้าน บรรยากาศตอนนี้ท้องฟ้าโปร่งลมพัดเอื่อยๆ แสงไฟสีนวลจากหลอดไฟตรงชานบ้านส่องประกายหน้าลุงทายที่นั่งจิบเหล้าอยู่ จนผมไม่กล้าสบตามากนัก … เขิน

           “เอ่อ … พรุ่งนี้คนที่บ้านมารับกลับกรุงเทพครับ” ผมตอบและตักเนื้อปลาเข้าปาก… ถ้าวันไหนลุงทายไม่มา ผมคงได้กินแค่มาม่า ผัดมาม่า นม หรือไข่แน่ๆ

           “ไอ้โทนจะยอมเหรอ”

           “…” ผมส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อเย็นโทนก็โวยวายไปรอบนึงแล้ว

   แต่ทุก ๆ ปีผมก็ไม่เคยไปเล่นสงกรานต์ที่ไหนกับเขาหรอก แม่กับพี่กายไม่เคยปล่อยผมไปไหนตัวคนเดียวเลย เพราะพี่กายและคุณแม่ไม่ชอบเล่น ตอนเรียนผมเคยไปกับโทนในตัวจังหวัดรอบเดียวก็โดนลวนลาม จนโทนต้องสวมบทโหดและพาผมกลับ จากนั้นมาโทนกับผมก็ไม่เคยไปเล่นสงกรานต์อีกเลย เพราะปีต่องานก็เยอะขึ้น เยอะขึ้น เพราะเราไม่รู้หรอกว่าสัตว์จะป่วยตอนไหน แต่ปีนี้ … มีลุงทายไปด้วย อาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ …

   “ตามใจนะ แต่คุยกับไอ้โทนเอาแล้วกัน”

   “แล้วลุงอยากให้ผมไปด้วยหรือเปล่า” ผมถามขึ้นเบา ๆ ลุงทายวางแก้วเหล้าริมฝีปากเหยียดยิ้มขึ้นเอื้อมมือหยิกแก้มผมอย่างแรง

   “โอ๊มเอ็บ” แก้มผมยืดจนเหมือนมาสเมโล่โดนไฟ ทำไมต้องรังแกผมด้วย ฮืออออออออ

   “ไอ้ตัวดื้อด้าน หึหึ ” ลุงทายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมก่อนจะจุ๊บปากผมที่ยู้ ก่อนมือหนาจะปล่อยแก้มผมออกและลูบแก้มผมอย่างเบามือ

   “ข้าอยากให้เอ็งมีความสุข อยากให้เอ็งได้รับสิ่งดี ๆ และข้าอยากให้เอ็งอยู่กับข้าแบบนี้ตลอดเวลา …” เสียงกระซิบของลุงทายทำให้ผมแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเข้าไปอยู่อ้อมอกที่แสนจะอบอุ่นของลุงทายตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าตอนนี้ผมมีความสุขมาก ๆ เลย …

.

.

.

           “ครับ คุณแม่ ครับ เกื้อจะดูแลตัวเองดี ๆ ครับ ครับ”

   ผมวางสายจากคุณแม่และหันไปพยักหน้าให้โทนที่นั่งมองตาแป๋วด้วยสายตาระทึกใจคะยั้นคะยอ ผมตั้งแต่เช้า ผมยังซักผ้าไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ หน้าขาวที่ถูกปะแป้งมาบ้างแล้วคงจะฝีมือพี่ ๆ ที่ค่ายมวย เสื้อลายดอกสีดอกสดกับกางเกงสามส่วนเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย มัดจุกสูงขึ้นไปเป็นน้ำพุเปิดเหม่งใสแจ๋ว โทนคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองน่ารักแค่ไหนที่แต่งตัวก๋ากั่นขนาดนี้ ให้อารมณ์เหมือนละครลูกสาวกำนันประมาณนั้น จะตลกก็ไม่ใช่ผมว่าน่าเอ็นดูมากกว่า   

           “ไปได้จริงอะ”

           “อื้อ” ผมยิ้มพยักหน้าอีกรอบ ดูเหมือนโทนจะเป็นคนที่ดีใจมากกว่าผมซะอีก ดูจากปฏิกิริยายกมือยกไม้เป็นลิงตอนนี้ละนะ

           “โอ้ยยยยยยยยย ไป ๆ มึงไปเลยไอ้เกื้อไปแต่งตัว ฮ่าๆๆๆ กูเตรียมชุดไว้ให้แล้ว นี้!!!!”

   โทนโชว์เสื้อลายดอกสีฟ้าให้ผมเป็นการใหญ่ ผมรับเสื้อมาก่อนจะเดินเข้ามาอาบน้ำอาบท่าในห้องนอนของตัวเอง … เมื่อคืนลุงทายกลับไปตอนไหนนะ ผมหลับไปรู้เรื่อง เฮ้อ …

   “อาบนานเป็นบ้าเลยเอ็งเนี้ย”

   “อ่ะ!ลุงทายเข้ามาได้ไงครับ”

   ผมรวบเสื้อคลุมอาบน้ำที่ใส่หน้ามิดชิดเข้าหาตัวเองอีกเป็นอัตโนมัติเมื่อออกมาเห็นลุงทายนั่งกอดอกอยู่ที่เตียงของผม มะ มาได้ไง ผมค่อนข้างตื่นเต้นเพราะผมไม่เคยเห็นลุงทายอยู่ในห้องนี้ตอนเช้าเลย … ทั้งอาย ตื่นเต้น ดีใจ ประมาท จนผมไม่รู้จะพูดความรู้สึกหรือแสดงมันออกมายังไง

   “ผะ ผมว่าลุงทายออกไปก่อนนะครับ ดะ เดี๋ยวโทนจะมาเห็น”

   “ไอ้โทนป่านนี้มันเล่นน้ำอยู่หน้าบ้านกับพวกไอ้ไม้ไม่สนใจหรอก มีแต่เอ็งนี้แหละที่ชักช้า จนข้าต้องขึ้นมาตาม เอ๊า แต่งตัวซะสิ จะได้ไปกันสักที”

   “คะ ครับ แต่ลุงออกไปก่อนได้ไหม” ผมหดคอเข้าเมื่อลุงทายเดินย่ามกายเข้ามาหาผมที่ยืนชิดอยู่ในซอกตู้เสื้อผ้า

   “ทำไม อายข้าเหรอ … หึหึ ขี้อายจังนะเด็กน้อย ไหนขอข้าดูหน่อยสิ” อือออออออ ทำไมต้องแกล้งผม ผมปัดมือลงที่จะล้วงเข้ามาในคอเสื้อผม แต่ผมหนาก็รวบมือทั้งสอง ของผมขึ้นไปเหนือหัว ทำให้เสื้ออาบน้ำของผมร่นขึ้นไป ด้านล่างเลยหวิว ๆ ฮือออ

   “ละ ลุงทาย เสื้อตัวนี้เชือกมันไม่ค่อยแน่นนะอย่าเล่นแบบนี้สิ”

   “หึหึ ถ้าเอ็งไปพูดแบบนี้กับคนอื่น เอ็งอาจจะ … ถูกกินก็ได้นะ” ผมเอียงคอมอง แต่ลุงทายไม่พูดอะไรต่อนอกจากยิ้มและปล่อยผมให้เป็นอิสระ เดินออกจากห้องไปซะเฉยๆ …. ผมแค่บอกว่าเสื้อผมจะหลุด ทำไมต้องบอกผมจะถูกกินด้วย ผมไม่ใช่อาหารนะ สงสัยจะหิวใช่ไหม ?

           “อะ อะไม้ อย่าแกล้งพ่อมึงสิ อ๊ากกกกกกกก อย่าเอาน้ำแข็งมาสาดข้า อ่ะ!”

โครม!

           ผมตกใจทันทีที่กะละมังใส่น้ำแข็งถูกน้องไม้ยกขึ้นและสาดโครมใส่พ่อตัวเองที่ถูกหิ้วปีกด้วยผีแสง … เอ่อ คือ เล่นรุนแรงไปไหมพ่อลูกคู่นี้

           “ปล่อย”

   เสียงโทนสั่นไม่ใช่เพราะโกรธแต่เป็นเพราะหนาว ทำให้พี่แสงต้องปล่อยและเจ้าไม้ก็วิ่งเอาผ้าขนหนูไปห่มหัวทั้งๆที่กำลังหัวเราะในผลงานของตัวเอง อย่างสนุกสนาน โดยมีพี่เมฆยืนหัวเราะอยู่ข้างพี่แสง และอย่างที่คาด น้องไม้ก็โดนกัดหูแก้แค้นไปตามระเบียบ ผมยืนมองภาพเหล่านั้นอยู่บนชานบ้าน พวกเขาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ

   แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อมองเห็นลุงทายยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถกระบะ ลุงทายเป็นอะไรหรือเปล่านะ เป็นห่วงจังเลย …

           “อ่ะ ไอ้เกื้อออกมาแล้ว พี่แสงพี่เมฆ จัดการ!!!”

           “ดะ เดี๋ยวๆๆ อื้อออออออออออออ” ผมร้องสุดเสียงเมื่อถูกจู่โจมด้วยความเร็วสูง ก่อนที่น้ำเย็นเจี๊ยบจะสาดโครมใหญ่เข้าหน้าผม เปียกหัวจรดเท้า … นะ นะ หนาวววววววววววววววววว

           “ขอปะแป้งหน่อยนะจ๊ะน้องสาว วี๊ด วิ๊ววววว”

    พี่แสงหัวเราะกิ๊กพาผมหัวเราะไปด้วยหนาวก็หนาว ขำก็ขำ … แต่หนาวมากกว่า เท่านั้นยังไม่พอ แป้งแคร์ผสมน้ำก็ปาดเข้าหน้าเข้าตาผมกันเต็มที่ เอาเต็มที่เลยครับพี่ ๆ แต่ดีนะที่พวกเขาไม่เล่นดินสอพองกัน เพราะผมแพ้ดินสอพอง ถ้าโดนมาก ๆ จะมีผืนขึ้นด้วย

           “สรุปจะเล่นกันอยู่ตรงนี้ใช่ไหม?” ผมหันไปมองลุงทายที่กอดอกมองพวกเราอยู่ แต่พอสบตาผมเขาก็ยิ้มน่ารักให้

           “เปล่าคร้าบบบบบบบบ” ทั้งหมดขานเป็นเสียงเดียวกัน มีแต่ลูกไม้ที่นั่งยิ้มมองพ่อตัวเองที่ยิ้มแป้นไม่หุบ เหมือนเด็กน้อยที่ได้ไปสนามเด็กเล่นครั้งแรกในชีวิต อย่าว่าแต่โทนเลยผมเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมจะได้ไปเที่ยวกับครอบครัวนี้  ตื่นเต้นจัง

           “ไปนั่งหลังกระบะสิ จะเล่นด้วยไม่ใช่หรือไง ” ผมหันไปเอียงคอใส่ลุงทายและยิ้มแป้นให้เขาหันมาคาดสายนิรภัยของตัวเอง จะให้ผมทิ้งเขาให้ขับรถอยู่คนเดียวได้ยังไง

           “หึหึ อยากอยู่ใกล้ข้าหรือไง”

           “… ลุงจันทร์กับลุงทิมไม่มาด้วยเหรอครับ”

           “ตอบไม่ตรงคำถามนะ อยากอยู่ใกล้ข้าหรือไง” ผมสะดุ้งเมื่อลุงทายมากระซิบข้างๆหูผม พอหันไปปากผมก็สัมผัสกับกลิ่นบุหรี่จาง ๆ จากริมปากฝีปากหนาของลุงทาย …มะ ไม่ได้นะ พวกโทนอยู่หลังรถนะ

           “ต่อได้ไหม” ผมเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของลุงทายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ไม่ได้นะครับ ถึงฟิล์มรถจะดำขนาดนี้ แต่ … แต่ว่า

           “มะ มะ ไม่ได้ครับ พวกโทน เอ่อ”

           “หึหึ พวกมันไม่สนใจหรอก เห็นไหมเล่นน้ำกันสนุกอะไรปานนั้น” ผมดันหน้าลุงทายออก ก่อนจะเปิดกระจกเรียกพวกโทนขึ้นรถ ลุงทายจะได้หายหื่นกามสักที แต่ลุงทายก็ไม่สลดผมยังได้ยินเสียงหัวเราะของคุณลุงอยู่เลย … บ้าจังผมเขินจะตายแล้วรู้ไหมละ

           “หัวเราะอยู่นั้นแหละ” ผมหันไปขู่ฟ่อมึงเอาผ้าคุมตัว เพราะลุงทายแกล้งเปิดแอร์ซะเย็นเฉียบ คนบ้า ทำไมชอบแกล้งผมนักนะ …

           วันนั้นลุงทายพาพวกโทนขับรถรอบเมืองหยุดเล่นเป็นระยะๆ ผมก็ลงไปเล่นบ้าง แต่ถ้าจะโดนแป้งผมมักจะหลบอยู่หลังลุงทายตลอดเวลา จนลุงทายต้องแหงมปากผม ถึงรู้ว่าผมแพ้แป้งดินสอพอง จากนั้นเขาก็ไม่ปล่อยให้ผมละสายตาเลย เขาคอยกันผมตลอดเวลามีใครจะมาปะแป้งผม โทนกับไม้เองก็เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน โดยมีแบล็กกาวส์เป็นพี่แสงเกี้ยวสาวอยู่โดยมีพี่เมฆยืนดูอยู่ไม่ห่างถึงจะมีสาวแวะเวียนมาขอแปะแป้งไม่ขาดสาย โดยไม่ทันสังเกตว่าแขนหนักๆของลุงทายก็กอดพาดอยู่ที่หัวไหล่ของผมไว้เช่นกัน …

           “ขอปะแป้งลูกสาวหน่อยได้ไหมครับคุณพ่อ” ผมมองหนุ่มหล่อที่เดินมาหยุดตรงหน้าเราสองคน ก่อนที่จะเงยหน้ามองลุงทายที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ ผม

           “ข้าเป็นผัวมัน”

           “ลุงทาย!!!” ผมกัดฟันอุทานอย่างตกใจตาโต ก่อนจะหันไปมองพ่อหนุ่มคนนั้น ที่เดินหน้าซีดคอตกออกไปแล้ว … บ้าที่สุด ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!!!

           “ทำไม หรือเอ็งอยากจะให้มันปะแป้ง”

           “เปล่านะครับ” ผมโบกมือไปมา

           “งั้นก็อยู่เฉย ๆ ถ้าไม่อยากให้ข้าจะพากลับบ้านเดี๋ยวนี้” ผมยู่หน้าก่อนจะฉีดน้ำใส่เด็กน้อยที่เดินผ่านมา ก่อนจะหันมาฉีดใส่ลุงทายและหัวเราะออกมาเบ าๆ ทำให้บรรยากาศของคุณลุงขี้งอนหายไป นี้แหนะๆ ฉีดเลย อิอิ

           พอตกเที่ยง เรา 6 คนก็พากันมากินก๋วยเตี๋ยวเรือชื่อดัง เติมพลังกันก่อนที่จะตะเวนเล่นกันอีกพักใหญ่ และตีรถกลับในเวลาบ่ายแก่ ๆ พอมาถึงบ้านโทนได้ ทุกคนก็พากันแยกย้ายไปอาบน้ำ ผมเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมมาด้วย เฮ้อ เมื่อยตัวไปหมดเลย แต่สนุกดีจัง

           “พ่อๆๆๆๆ นั่งๆๆๆๆ”

   ผมที่นั่งเล่นกับพวกสมุนน้อย ๆ ของโทนที่มีแกนนำคือมีมี่ โทนก็ผลักหลังของลุงทายที่ใส่แค่ผ้าขาวม้าตัวเดียวแป้งหอม ๆ ปะไปตามตัวขาวจั๊วะ เหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินผ่านหลังไป … ซะ ซิกแพคลุงทายสวยมากเลย -//////-

           “อะไรของเอ็งวะไอ้โทนนนนนนนนนนนนนน”

           “พ่อก็นั่งดิ ดิ้นแบบนี้ผ้าหลุดขึ้นมาทำไง” ผมก้มหน้างุดทันที อย่าหลุดเชียวนะผมเขิน

           “เออๆ เล่นอะไรกันวะ”

   ลุงทายนั่งลงที่เก้าอี้ลานหน้าบ้าน ผมรีบอุ้มเจ้าเด็กมะเขือตัวอ้วนตั๊บ วิ่งไปดูด้วย พอลุงทายเห็นผมก็เหยียดยิ้มและหลบตาไปตะโกนด่าโทน พอเห็นแบบนั้นผมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพื่อผมทำท่าทีลุกลี้ลุกลนหันไปมองลุงจันทร์และลุงทิมที่ถูกพี่แสงและพี่เมฆหิ้วปีกมาอยู่

           “วะ! พวกมึงนี้อะไรกันวะ ข้ากำลังส่องพระกันอยู่”

           “เอาน๊าลุง ไปเล่นก็ไม่ไปมาอยู่กับพวกฉันหน่อยแค่นี้ทำบ่น”

           “เอ๊า!ไอ้ห่าจะทำอะไรกันวะ” ลุงจันทร์ยั๊วะขึ้นมาอีกเมื่อนั่งลงข้าง ๆ ลุงทายได้ ลุงทิมหัวเราะน้อย ๆอย่างรู้เกมก่อนจะเดินไปนั่งลงแต่โดยดี พอทุกอย่างพร้อมจนโทนพอใจก็หันไปส่งสัญญาณให้น้องไม้ที่ยืนรอท่าอยู่แล้ว

           “ไม้จัดการ”

   เจ้าไม้พยักหน้าทำท่าตะเบะกวนๆก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนบ้าน สักพักลงมาพร้อมขันน้ำสีเงินใบใหญ่ผมหันไปเอียงคอมองยิ้ม ๆ ใส่โทนที่ยิ้มหน้าแดง รับขันน้ำมาถือไว้ในมือของตัวเองเดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าลุงทาย ลุงจันทร์และลุงทิม ผู้อาวุโสของบ้าน … หึ ลุงทายแก่จัง อิอิ ผมแอบเห็นลุงทายแยกเขี้ยวใส่ผมจนผมต้องหยุดหัวเราะยกอุ้งมือของมะเขือโบกให้อย่างหยอกล้อ คิกๆ 

   โทน น้องไม้พี่แสงและพี่เมฆลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าพวกลุง ๆ ก่อนที่ภาพน่ารัก ๆ ตรงหน้าจะทำให้ผมยิ้มตามไม่หุบ พิธีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่แสนสนุกที่ทำให้พวกลุงตัวหอมไปด้วยกลิ่นน้ำอบกับดอกไม้นานาชนิดก็เริ่มขึ้น จนลุง ๆ ตัวเปียกกันยกใหญ่ ที่หนักที่สุดก็ลุงทายที่มีดอกไม้อยู่บนหัวด้วย และทุกคนก็ต้องอ้าปากค้างเมื่ออยู่ ๆ พี่เมฆเดินมาพร้อมกับถังน้ำใบใหญ่สาดโครมเข้าให้ แรงจนลุงจันทร์ไม่ทันตั้งตัวตกจากเก้าอี้ไปเลย นั้นแหละครับ สักพักตัวโทนคนคิดริเริ่ม ก็ถูกยกตัวลอยไปนั่งหน้างออยู่ในถังน้ำ หึหึ ผมเคยบอกหรือยังว่าบ้านหลังนี้มีความสุขขนาดไหน

.

.

.

           “พรุ่งนี้ผมกลับบ้านนะครับ”

    ผมกระซิบบอกข้างหูลุงทายที่นอนกอดผมอยู่บนเตียงหนาของผม … ตกเย็นผมกลับมาบ้านก่อนหลังจากตั้งวงกินข้าวเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อยด้วนบรรยากาศครอบครัวสุขสันต์ ลุงทายจะตามผมออกมาในเวลาเดิม อบอุ่นจังเลย อยากอยู่อย่างนี้นานๆ คำว่ารักกับสถานะคงไม่สำคัญถ้าผมมีลุงอยู่ตรงนี้ …

   “หึหึ เอ็งจะกลับไปเล่นน้ำกับหนุ่มที่ไหน”

   “คิก เปล่านะครับ ผมจะกลับไปไหว้แม่กับพี่กาย ผมอิจฉาครอบครัวลุงมากเลยนะครับ” ผมเอาจมูกเล็กของตัวเองสีไปมากับจมูกโด่งเป็นสันของลุงทาย … เขาลูบกระหม่อมผมเหมือนเด็กน้อยก่อนจะหอมหน้าผากของผมอย่างอ่อนโยน

   “เอ็งเป็นเด็กดีนะไอ้เกื้อ ถ้าวันไหนไม่มีข้าอยู่ เอ็งต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะ”

   คิ้วของผมขมวดปมก่อนจะมองหน้าลุงทายเขม็ง … ทำไมพูดจาแบบนี้เค้าไม่รู้หรือไงถ้าไม่มีเขาอยู่ผมคงอยู่ไม่ได้ ไม่สิ ผมอยู่ได้ แต่ผมคงต้องเสียใจมาก เสียใจจนไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้นเพราะหัวใจของผมถูกกระชากหายไปแล้ว …

   “หึหึ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ นอนซะนะเด็กน้อย” เขากระชับกอดผมเอาไว้แน่น อย่างปลอบโยน จนผมเข้าสู่ห้วงนินทรารมณ์ในความฝันที่โบยบิน … ลุงทาย … เกื้อรักลุงทายมากๆเลยนะ …





==================



หว๊านเก๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง





ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โว้ยยยเขิน  >.,< อ่านทีไรก็เขิน ชอบๆ   :pig4:

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :katai3:  อยากเห็นโทนมาจับผิดสองคนนี้ละ :z1: :z1: :z1:

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 14 อดีตห้วนคืนปัจจุบัน จากกันไม่อาจนานนับ




แกรก แกรก แกรก


           เสียงของไม้กวาดทางมะพร้าวดังขูดกับพื้นคอนกรีตยามเช้ากวาดเศษใบโพธิ์ใหญ่ที่หล่นลงมาจากต้นของมัน ใบหน้าคมเข้มของลูกไม้ส่องกับแสงอาทิตย์ที่สว่างจ้าขึ้นมาจากขอบฟ้าหลังจากกลับมาจากไปช่วยหลวงตาบิณฑบาตเสร็จก็ถูกไหว้วานจากลูกศิษย์ของวัดให้ช่วยกวาดแทนเพราะตนนั้นต้องเข้าไปดูแลลูกวัดอีกคนที่ป่วยจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย

           ในวันหยุดของไม้ เจ้าตัวมักจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ถ้าวันไหนปู่ไปต่างจังหวัดเช่นวันนี้ ลูกไม้ก็จะมาช่วยงานที่วัดจนถึงสาย ๆ ถึงจะกลับไปที่บ้านเพื่อรับพ่อโทนไปทำงานและตัวเองก็จะกลับมาซ้อมมวยตลอดทั้งวัน

   เมื่อตกเย็นก็จะผละมาทำความสะอาดบ้านและขับรถออกไปรับพ่อโทนมาทำอาหารเย็นให้คนในค่ายส่วนตัวเองจะผละมาอาบน้ำ พอกินข้าวเสร็จทำงานล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อยถึงจะขึ้นห้องมาอ่านหนังสือ โดยมีพ่อโทนอยู่เงียบๆเป็นเพื่อน แต่หากวันไหนพ่อโทนต้องอยู่ร้านจนดึกจนดื่น เค้าก็จะแบกหนังสือไปนั่งอาบที่ร้าน และรับพ่อโทนกลับมาพร้อมๆกัน กิจกรรมในแต่ละวันมักจะวนเวียนอยู่เช่นนี้ และลูกไม้ก็มีความสุขมากที่สุดเพราะมีพ่อโทนอยู่เคียงข้างกัน

   “เจ้าไม้เอ็งกวาดเสร็จขึ้นมาหาหลวงตาในโบสถ์ด้วยนะ”

   “ครับพี่มาด” ลูกไม้ขานรับลูกวัดที่ตะโกนมาจากบ้านพักของพวกลูกวัดที่อยู่ไม่ไกลมากนัก ก่อนจะหันกลับมารีบกวาดใบไม้เสียให้เสร็จสิ้น

   “พี่ไม้จ๋า พี่ไม้” เจ้าลูกวัดจำเป็นชะงักไม้กวาดก่อนจะหันไปมองตามแรงกระตุกชานเสื้อ และใบหน้าคมเข้มก็แย้มยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเจ้าเด็กหัวจุกแก้มยุ้ย

   “พี่ไม้มาเล่นบอลกับจุกหน่อย ลุงมาดซื้อมาฝากจุก พี่นตไม่สบายไม่มีคนเล่นกับจุก จุกอยากเล่น จะไปชวนหลวงตาเล่นก็กลัวจะโดนไม้ตะพดเคาะหัวเอา”

   เจ้าไม้หัวเราะก่อนจะนั่งลงไปลูบหัวทุยที่มีหางจุกยาวถักเปียเล็กยาวไปถึงหลังอย่างนึกเอ็นดู เจ้าจุกเด็กวัดที่อายุน้อยที่สุดในวัด มันอายุเพียง 5 ขวบ ถูกพ่อแม่ทิ้งไว้ที่หน้าวัดในคืนที่ฝนตก ดีที่ลูกวัดมาเจอเสียก่อนที่จะเป็นปอดบวม นำเข้ามาอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ เจ้าจุกตัวน้อยมันได้รับการเรียนการสอนเชิงวิชาการจากหลวงตาอย่างตามมีตามเกิด เพราะวัดป่าแห่งนี้ไม่มีเงินมีทองมากนัก ครั้นจะส่งเจ้าจุกไปอยู่สถานสงเคราะห์เจ้าตัวก็ไม่อยากจะไปเสียนี้เพราะความผูกผันมาตั้งแต่เด็กที่วิ่งเล่นอยู่ภายในวัด แต่ถึงอย่างงั้นเจ้าจุกยังโชคดีที่ได้รับการศึกษาจากอดีตดอกเตอร์อย่างหลวงตาที่ละจากทางโลกมาศึกษาทางธรรมอย่างสงบเพียงรูปเดียวในวัดป่าแห่งนี้ นอกจากนี้เจ้าจุก ยังได้รับการดูแลจากรุ่นพี่ในวัดอย่างสนุกสนานในทุกวัน ลูกไม้รู้ดีว่าเจ้าจุกรู้สึกยังไง เพราะเขาเองก็เป็นที่ไม่อยากจะไปไหนไกลจากคนที่รัก

   “เอาไว้ข้าทำงานเสร็จ ค่อยเล่นนะ”

   “ก็ได้จ้ะ งั้นจุกไปเล่นคนเดียวอยู่ตรงโน้นนะ พี่ไม้รีบตามจุกมาน้า” ว่าแล้วเจ้าจุกก็วิ่งพุงล้ำหน้าไปที่ลานต้นปริกที่ส่งกลิ่นหอมรันจวนไปทั่ววัดเจ้าไม้หัวเราะก่อนจะลุกขึ้นมากวาดวัดด้วยความขยันขันแข็ง

   เมื่อจัดการทางทั่วทั้งทางเดินสะอาดเรียบร้อยก็รีบวิ่งขึ้นไปบนโบสถ์ ที่สร้างขึ้นจากอิฐปูนและเก่าแก่จนมีคราบของน้ำฝนและหลุดลอกตามกาลเวลากว่า 80 ปี และไม่มีงบประมานพอที่จะบูรณะถึงจะมีผู้ใจบุญบริจาคเป็นระยะแต่ก็ไม่เพียงพออยู่ดี ไม้ได้แต่เฝ้าบอกกับตัวเองว่าถ้าเขามีเงินถุงเงินถังเมื่อไหร่จะบูรณะเสียใหม่ให้สวยสดเช่นวัดในตัวเมือง

   “มาแล้วเหรอเจ้าไม้”

   ไม้ก้มลงกราบนมัสการหลวงตาที่นั่งสมาธิอย่างสำรวมหันหน้าเข้าองค์พระประทานใหญ่ที่สร้างจากปูนสูงเกือบถึงเพดานของโบสถ์ที่บรรจงวาดลายศิลป์วาดอย่างสวยงามวิจิตรอยู่เหนือศีรษะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ลูกไม้ย่างก้าวเข้ามาภายในโบสถ์ความสงบก็ครอบงำจิตใจที่บอบช่ำ จากเรื่องต่าง ๆ มามากมาย

   “ครับหลวงตา” เจ้าไม้กล่าวขานรับอย่างนอบน้อมก่อนจะคลานเข่าเข้าไปนั่งอยู่ตรงชานแท่นที่หลวงตาท่านที่นั่งอยู่บนเสนาสนะ

   หลวงตาท่านค่อย ๆ ลุกขึ้นหันมานั่งมองลูกไม้ด้วยแววตามิตรไมตรี หลวงตาท่านเป็นภิกษุมีอายุ ที่ค่อนข้างร่างกายแข็งแรงไร้โรคภัยไข้เจ็บและเป็นที่นับหน้าถือตาของลูกศิษย์มากมายเดินทางสายธรรมมะละซึ่งกิเลสแล้วทั้งปวง เจ้าไม้เองก็อยากที่จะบวชทดแทนคุณ อยู่เป็นลูกศิษย์ลูกหาหลังตัวเองเรียนจบมหาลัยเพื่อทดแทนบุญคุณของพ่อโทนและปู่ทายเสียกับหลวงตา

   “ไอ้ทายกับไอ้โทนสบายดีนะ เมื่อเช้าข้ายุ่ง ๆ เลยไม่ได้ไถ่ถามเอ็ง”

   “สบายดีครับหลวงตา ปู่ยังแข็งแรง ส่วนพ่อโทนก็น่ารักเหมือนเดิมครับ”

   “ฮ่าๆๆๆ เออดี ๆ แล้วเอ็งเป็นยังไงการเรียนกับอาชีพมวยของเอ็ง”

   “ดีครับหลวงตา เดี๋ยวอีกสัปดาห์ผมจะปิดเทอมใหญ่แล้วขึ้น ม . 6 แล้วครับ ส่วนมวยตอนนี้ก็เรื่อยๆครับหลวงตา”

   “เออดี ๆ ที่ข้าเรียกเอ็งมาคุยส่วนตัววันนี้ข้าอยากจะถามเอ็งเสียหน่อย”

   “มีอะไรหรือครับหลวงตา” เจ้าไม้นึกสงสัยเพราะหลวงตานั้นนาน ๆ ทีจะแสดงปฏิกิริยาเคร่งเครียดเช่นนี้ เหมือนกับมีลางสังหรณ์บางอย่างกระซิบบอกให้ลูกไม้รับรู้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องไม่ดีนัก

   “เมื่อวานเจ้ามาดมาบอกข้าว่ามีโยมรูปร่างสูงใหญ่หลายคนมาที่วัด ขู่ไอ้มาดสารพัดพวกมันเลยช่วยกันไล่ออกไปจากวัดกันเรื่องใหญ่โต เอ็งไปทำอะไรใครเขาไว้หรือเปล่าเจ้าไม้”เจ้าไม้ขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะเม้มปากและส่ายหัวเบาๆ …

   ทั้ง ที่รู้อยู่เต็มอกแต่ยอมพูดปดเพื่อให้หลวงตาคลายกังวน … เรื่องนี้จะไม่มีใครเกี่ยวข้องทั้งนั้น เจ้าไม้รู้ดีว่ายังไงวันนี้ก็ต้องมาถึง วันที่ชะตาลิขิตไว้แล้ว ยังไงเลือดเนื้อเชื้อไขก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ยังไงชะตากรรมก็ต้องหวนกลับ … ก็ดี … จะได้สะสางกันเสียให้เสร็จสิ้นไป

   “ผมกราบลาละครับหลวงตา นึกได้ว่าต้องกลับไปรับพ่อโทนไปทำงาน”

   “เออ ๆ โชคดี มาที่วัดนี้ได้ทุกเมื่อ ไอ้จุกคงรอเอ็งคอยาวอยู่นั้นแหละ”

   “ครับหลวงตา สวัสดีครับ” เจ้าไม้ก้มลงกราบอย่างนอบน้อมก่อนจะลุกขึ้นยืนและหันหลังเดินออกไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อหลวงตากล่าวขึ้น

    “โชคชะตามันเป็นแค่สิ่งลวงตาไอ้ไม้ จำคำหลวงตาไว้” เจ้าไม้ก้าวเดินออกมาจากโบสถ์ภายในใจมีแต่คำถามมากมายที่ยังหาคำตอบไม่ได้

   “พี่ไม้จ้าพี่ไม้ เล่นกับจุกได้หรือยังงงงงงงงงง”

   เจ้าจุกวิ่งเข้ามาทวงสัญญาทันทีที่เจ้าไม้เดินลงจากโบสถ์ไปลูกบอลอัดส้มสีส้มแปร้นที่อยู่ในมือทำให้เจ้าไม้ถอนหายใจวูบใหญ่ … ไม่ใช่ไม่อยากเล่นแต่เวลานี้เห็นทีจะไม่ควร ในเมื่อพวกมันตามหา เขาก็จะออกไปซัดกับมันสักตั้งอยากจะรู้เหมือนกันว่าใครจะอยู่ใครจะไป

   “พี่ไม้จ้า เล่นกันๆๆๆๆ” เจ้าจุกปีนไตร่ขึ้นมาอยู่บนไหล่ของเจ้าไม้ที่ยืนปักหลักอยู่หน้าโบสถ์ จิตใจของเจ้าเด็กตัวยักษ์ตอนนี้หาได้อยู่ที่นี้แล้วไม่ แต่ก็ยังพอที่จะมีสติไม่สะบัดเจ้าตัวน้อยไร้เดียงสานี้ทิ้งให้หัวกระแทกพื้นได้รับบาดเจ็บ มันยกมือขึ้นพยุงจุกไว้ไม่ให้หล่นแต่ก็ไม่พูดจาอะไรทั้งสิ้น

   “ไอ้จุกเอ็งไปโหนไอ้ไม้มันแบบนั้นได้ยังไง ขึ้นมาหาหลวงตานี้!”

   “จ้าหลวงตา พี่ไม้จุกไปก่อนนะ ไว้มาเล่นกันนะครับ” เจ้าจุกขานรับหลวงตาที่ตะโกนลงมาจากประตูโบสถ์ทำให้เจ้าจุกยอมที่จะลงจากคอลูกไม้วิ่งพุงล้ำขึ้นไปหาหลวงตา

   เจ้าไม้หันไปยกมือไหว้ให้หลวงตาและยกมือบ๊ายบายเจ้าจุก ยิ้มที่เต็มกลืนและเก็บกดทุกอย่างไว้ในใจ ก่อนจะเดินออกมาจากวัดโดยตรงกลับบ้านค่ายมวยในทันที คิดถึงพ่อโทนอยากกอดเอาไว้แนบกายโดยไม่ต้องสนใจใครทั้งสิ้นแต่ก็ทำแบบนั้นได้ยากเหลือเกิน … โดยหารู้ไม่ว่าตนเองถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา

   “เจอตัวแล้วครับนาย” ชายร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนธรรมดา ที่แอบมองอยู่ข้างกำแพงวัดต่อสายตรงหาผู้เป็นนายทันทีที่มองเห็นหลังไวๆของลูกไม้ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากวัดแยกไปอีกทาง

   “งั้นแสดงว่าไอ้พวกที่วัดมันก็โกหกน่ะสินะ หึ จัดการให้มันรู้สำนึกสิว่าถ้าโกหกคนอย่างฉันจะเป็นยังไง” เสียงแหบพล่านดังรอดออกมาจากปลายสาย

   “ครับนาย”

   “อย่าให้มันเหลือซากมากวนใจฉันได้อีก”

   “รับทราบครับนาย”

   ชายร่างสูงเก็บโทรศัพท์เครื่องเก่าตัวเองลงกระเป๋า ก่อนจะลอบมองเข้าไปในช่องกำแพงวัด เห็นเจ้าจุกกำลังเล่นบอลอย่างสนุกสนานอยู่เพียงลำพัง โดยมีหลวงตายืนมองมันอยู่ไม่ห่างมากนัก วัดป่าร่มกาสาวพัสตร์ที่แสนสงบ ดูสิถ้าเจอกับไฟนรกจะทนทานความสงบอยู่ได้หรือไม่ …

   

-โทน-

           “พี่เมฆไอ้ไม้ไปไหนอะ!”

           “ไปวัดช่วยหลวงตาบิณฑบาตน่ะ”

           “แต่นี้จะ 9 โมงแล้วนะ ไหนบอกจะมารับไปทำงานไง ฮ่วย!!! ไปตอนไหนก็ไม่บอกไม่กล่าวตื่นมาไม่เจอก็นึกว่าหายไปไหน!!!”

           “เฮ้ยยยยยยยย เมนมาหรือไงไอ้โทน หงุดหงิดไปทั่ว ไอ้ไม้มันก็ไปแบบเนี้ยประจำนั้นแหละ เอ็งนั้นแหละเลือดลมไม่เดินหรือไงวะ” ผมหันไปค้อนขวับใส่พี่แสงที่ชะงักทำท่ารูดซิบปากและโยนกุญแจทิ้ง

   หึ พี่แสงนั้นแหละไม่รู้อะไรเลย ไม่มีใครเข้าใจอะ ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ไอ้ไม้อยู่ในสภาวะอันตรายแค่ไหน ไอ้ลุงบ้าบอนั้นจ้องจะมาเอาลูกผมไปอยู่แล้ว มันไม่ธรรมดาอะ ผมไม่อยากเสียลูกผมไปอะ ไม่มีใครเข้าใจหรอก ถ้าเป็นพ่อคนแล้วจะรู้ หึ ถ้าต้องเสียไอ้ไม้ไป ผมคงต้องร้องไห้หนักมาก และผมไม่อยากร้องไห้ แค่คิดว่ามันหายไปใจผมก็แทบจะไม่มีแรงอยู่แล้ว

   จะว่าผมพาลก็ได้ แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อความรู้สึกตอนนี้ไม่รู้มันจะอยู่ในขอบเขตที่ผมสามารถควบคุมได้ไหม … ผมรู้อย่างเดียว ผมไม่อยากเสียไอ้ไม้ไปแค่นั้นแหละ ผมแค่เป็นห่วง …

           “นั้นไงพ่อตัวดีกลับมาแล้ว” ลุงจันทร์ส่งเสียงแซวมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเมื่อเห็นไอ้ไม้ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาในบ้าน เหอะ มอมแมมไปหมด นี้ไปขลุกฝุ่นที่ไหนมาตอนแรกก็ว่าจะด่าหรอกนะ แต่เห็นแล้วด่าไม่ลง ไม่รู้ทำไม

           “พ่อโทนผมหิวจังครับ” อะ พอเจอหน้ากูได้ก็ร้องหิว ๆ ไปไหนมาไหนได้แต่กินข้าวต้องกลับมาตายรังตลอดให้ตายสิ

           “ห่อข้าวไว้แล้ว ไปส่งที่ร้านและไปกินด้วยกันที่โน้น สายแล้วๆๆๆ”

   ผมพูดและวิ่งเข้าไปตะโกนรัว ๆ ที่หูตึงของไอ้ลูกบ้า ไอ้ไม้ย่นคอหนีหัวเราะคิดออกมาก่อนจะรีบทำตามบัญชาผมโดนด่วน ผมก็ไม่รอช้ากระโดดขึ้นไปเกาะเอวเด็กตัวยักษ์ที่โตวันโตคืนจนตัวใหญ่กว่าผมไปเยอะมากแล้ว มีแต่ผมนี้แหละที่หยุดการเจริญเติบโตไปแล้ว เศร้าใจแปป

.

.

.

   “ไปวัดมาเป็นไงบ้าง” ผมถามขณะที่นั่งกินข้าวอยู่ที่ห้องกินข้าวในโรงพยาบาลสัตว์ไอ้เกื้อมองผมกับลูกไม้สลับกันก่อนจะยิ้มหวานและก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่คนเดียวเงียบ ๆ

   “ก็ดีครับ ไปช่วยบิณฑบาต กวาดลานวัด แล้วก็คุยกับหลวงตา ตอนแรกว่าจะเล่นกับเจ้าจุกต่อ แต่กลัวพ่อโทนรอนาน”

   ผมหัวเราะแก้เขินไม่ถามอะไรมันต่อ พอกินเสร็จมันก็เก็บจานชามล้างพอดีกับที่เคสผ่าตัดใหญ่สุนัขโดนรถชนเข้ามาพอดี ผมเลยให้ไอ้ไม้เป็นลูกมือช่วยไอ้เกื้อหยิบจับโน้นนี้จนเสร็จก็เกือบบ่ายโมงกว่าๆ

   “เดี๋ยวผมไปซื้ออะไรมาให้กินดีกว่านะครับ”

   “ไม่ต้องงงงงงงงงง”

   ผมร้องห้ามสุดเสียงจนไอ้เกื้อที่นั่งปลอบเจ้าของหมาที่นั่งร้องไห้ดีใจเพราะหมาอาการปลอดภัยแล้วอยู่แอบสะดุ้ง ทางที่ดีผมต้องเซฟเอาไว้ก่อนดีกว่า ผมต้องห้ามๆๆๆ ห้ามให้ไอ้ไม้อยู่ห่างจากตัวโดนเด็ดขาด ดดดดดด ด จนกว่าผมจะแน่ใจว่าไอ้ไม้ปลอดภัยจากทุกอย่าง ผมว่าคงอีกสักพักนั้นแหละ

   “ไม่เป็นไรครับพ่อโทน ไม้ไปได้ ไม่ต้องห่วง”

   “ไม่เอา เดี๋ยวข้าไปเอง ไอ้เกื้ออยู่ดูร้านนะเดี๋ยวข้ามา” ผมรีบวิ่งแจ้นออกมาจากร้านทั้งๆเสื้อกาวน์ไม่สนใจเสียงห้ามของไอ้ไม้

   “อ่ะ ไอ้โทนนนนนนนนนนนนนนน มานี้ๆๆๆๆๆๆ” ผมตกใจจักยานแทบคว่ำ เมื่ออยู่ ๆ เจ้ขายไอติมกะทิเจ้าประจำที่ผมชอบพาไอ้ไม้มากินก็กวักมือเรียกผมยิก ๆ ผมมองเข้าไปในร้านที่ไม่มีคนแม้แต่คนเดียว แหมมม เรียกลูกค้าแบบนี้เลยหรอเจ้!!!

   “เจ้ผมหิวข้าวไม่อยากกินไอติมอะ”

   “เออ ไม่แดกก็ไม่แดก มาคุยกับข้าแปปนึง เร็วๆๆๆ เรื่องสำคัญ”

   ผมขมวดคิ้วเอียงคอก่อนจะยอมเดินเข้าไปในร้านอีเจ้ และยังไม่ทันจะแจ้มแจ้งแดงชัดว่าเจ้แกเรียกผมมาทำไม เจ้แกก็วิ่งไปปิดประตูร้านไม่พอล็อคกลอนแน่น เอ๊าแล้ววววว เห็นกันมาตั้งแต่ไอ้โทนคนนี้ตีนเท่าฝาหอยคิดจะปลุกปล้ำกันได้ง่ายๆเหรอ ขนลู๊กกกกกกกกกกก 

   “เจ้ๆ เดี๋ยวใจเย็นค่อย ๆ คุยกันดีกว่านะ” ผมแกล้งหยอกแกเมื่อเห็นแกเอามือสองข้างขยับผ้าถุงที่ใส่อยู่

   ความจริงเจ้แกก็มีดีกรีเป็นนางงามละมุดนะออกจะสวยซะด้วยซ้ำถ้าไม่ติดแกอินดี้ ปากปลาร้านะ ผมว่าแกคงมีสามีไปนานละ แต่นี้แกเลือกที่จะเป็นโสดอยู่ด่าเด็กในตลาดกับออกเที่ยวไปวัน ๆ มีบางวันผมอยากกินไอติมแต่เจ้แก่ดันปิดร้านไป 2 เดือน เต็มทัวร์ฮ่องกง!!!! ขายไอติมกะทิจนรวยหัวการค้าจริงจริ๊งงงงง ชีวิตแกมีสีสันไปอีกแบบ

   “ปากหมาจริง ๆ เลยเอ็งเนี้ย มานั่งนี้ดิ! ข้าถามอะไรหน่อย” แกสะบัดกระบังลมบนหัวแกหนึ่งทีก่อนจะนั่งอย่างไร้กุลสตีที่โต๊ะในร้าน ผมก้าวฉับ ๆ ลงไปนั่งตรงหน้าแกพอนั่งได้คำถามก็พุ่งมาเป็นลูกกระสุน

   “ไอ้โทนข้าถามจริง ๆ นะ ไอ้ไม้มันไม่สร้างปัญหาอะไรไว้หรือเปล่า มีหนี้มีสินเล่นการพนันมีเรื่องกับเจ้าพ่อ หรือทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับวะ อ่อ ค้ายาไอ้ไม้มันค้ายาอยู่หรือเปล่า หรือว่ามัน …”

   “โอ้ย พอแล้วเจ้ ลูกผมไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีทั้งนั้นแหละ แล้วเจ้เป็นอะไรเนี้ยมาว่าลูกผมเนี้ย!!!” ผมตะโกนขึ้นอย่างหงุดหงิดเดินไปตักไอติมในตู้ขึ้นมากินอย่างไม่สนใจอีเจ้ หึ โทษฐานที่ว่าลูกผมจะกินให้หมดตู้เลย แง่ม ๆ อร่อยจัง

   “ไอ้ห่าโทน โมโหแล้วมาลงกับไอติมข้าอีกละ เอ็งนี้มันจริงจริ๊งงงง กวนตีนตั้งแต่เด็นยันโต” เจ้แกบ่นๆๆๆ แต่ก็ไม่เห็นห้ามผมไม่ให้กินสักที ปากปลาร้าใจดีไม่มีสามีน่าสงสารจริงจริ๊งงงงงงงงงงงง

   “ว่าแต่ทำไมเจ้ถามผมแบบนี้อะ มีไรเปล่า”

   “ก็เมื่อวานน่ะสิ มีคนมาถามข้า แต่ข้าบอกไปว่าไม่รู้จัก คนในตลาดก็บอกไม่รู้จักเพราะกลัวไอ้ไม้ตาย แต่อีป้าร้านขายหมูไปเม้ากันให้แซดว่าไอ้ไม้ไปทำเรื่องไม่ดีมา ข้าเลยเป็นห่วงมันกลัวว่ามันจะตายเสียก่อนจะโต ข้าเสียดายหน้าตาหล่อเหลาของม้านนนนนนน”

   แหมอีเจ้ ผมก็นึกว่าเป็นห่วงอะไรที่แท้กลัวเสียทรัพยากรไอเทมแรร์ของโลกไปนี้เอง เฮ้อ… เป็นอย่างที่ผมคิดจริง ๆ นั้นแหละ พวกไอ้ตาเฒ่านั้นต้องมาเอาลูกผมไปแน่นอน แต่ผมกลับสงสัย ไอ้เฒ่านั้นมันก็รู้อยู่แล้วว่าไอ้ไม้อยู่กับผม ทำไมมันยังให้คนออกมาตามหาแบบนี้อีก แสดงว่าอาจจะไปที่โรงเรียน สถานสงเคราะห์มาแล้วก็ได้ผมควรจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี สักวันมันต้องเจอกับไอ้ไม้แน่ๆ

   “นานหรือยังที่มันมาตามหานะเจ้”

   “เพิ่งจะเมื่อวาน มีอะไรบอกเจ้ได้นะ เจ้มีผัวเป็นตำรวจใหญ่หลายคน” 

   “ไม่มีอะไรหรอกน้าเจ้ ขอบคุณเจ้มากนะ ผมไปซื้อข้าวซื้อปลาให้ไอ้ไม้ก่อนดีกว่า”ผมว่าและหยิบไอติมออกมาถังนึงแปะโป้งแกไว้เอามาจ่ายงวดหน้า เจ้แกบ่นแล้วบ่นอีก ฮ่าๆๆๆ อร่อยง่ะ ถือซะว่าเป็นของหวานให้หลานมันล้างปากหลังกินข้าวแล้วกันนะเจ้นะ

   “ทะ ทะ โทน อยู่นี้เอง แฮกๆๆๆ” ผมหันไปมองไอ้เกื้อที่วิ่งมาจากไหนไม่รู้เหงื่อกายท้วมตัวจนแก้มมันแดงระเรื่อขึ้นเป็นทาง

   “ใจเย็น ๆ ไอ้เกื้อมีอะไร แล้วไอ้ไม้ละ”

   “มะ มีคนโทรมาบอกไม้ว่าวัดป่าบนเขา ถะถูกไฟไหม้ มะไม้ไปแล้ว ทะ โทนลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้าน” ผมเม้มปากรับโทรศัพท์มือถือตัวเองมาถือไว้ และคอยลูบหลังไอ้เกื้อให้มันหายใจสะดวก ฝืนขนาดนี้ถ้าโรคหอบมันกำเริบขึ้นมาทำไง ไม้ … ไอ้ไม้ไปวัดป่างั้นหรอ ?

   “เอ็งว่าไงนะไอ้หนู ไฟไหม้งั้นเหรอ แล้วมีคนโทรแจ้งดับเพลิงหรือยัง” เจ้แกวิ่งออกมาจากในร้านคิ้วขมวดปม เมื่อคนอื่นได้ยินว่าวัดป่าถูกไฟไหม้ก็พากันแตกตื่นโกลาหนไปกันใหญ่

   “มะ ไม่รู้จ้ะ ไม้รีบร้อนออกไปไม่ทันได้พูดคุยอะไรกัน ฉันโทรหาโทนไม่ติดเลยออกมาตามหา”

   “ตายๆๆๆๆ ไอ้โทนเอ็งพาไอ้หนูนี้ตามไอ้ไม้ไปก่อน เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องอื่นเอง ไปเร็วไป!!!” ผมพยักหน้าก่อนจะลากไอ้เกื้อวิ่งผ่าฝูงคนในตลาดออกมา … อย่าให้ภัยพาลใด ๆ มีรังควานร่มโพธิ์ใหญ่ที่สงบสุขแห่งนั้นเลย ไอ้ไม้ … รอพ่อมึงก่อนนะ …

   

-ไม้-

           ไฟไหม้ … ไหม้ได้ยังไง วัดป่าแบบนั้นการจะจุดไฟสักครั้งต้องใช้เตาถ่าน พวกพี่มาดไม่เคยสับเพร่าแบบนี้… เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดจากคนใน พอคิดได้แบบนั้นมือผมก็บิดเร่งความเร็วมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขามากขึ้น อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดมันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของผม … ภาวนา … ภาวนาว่าอย่าให้มีคนเป็นอะไร ขอให้เหตุไฟไหม้เป็นเพียงไฟไหม้เพียงเล็กน้อย ภาวนาต่อพระคุณเจ้าของให้เรื่องราวทั้งหลายไม่ได้มีต้นเหตุจากผม … ไม่เช่นนั้นผมคง …

           “หลวงตา”

   ผมอุทานขึ้นมาเบา ๆ เมื่อขับเข้ามาใกล้วัดและเห็นหลวงตาที่นั่งพักกายอยู่บนที่นั่งพลาสติกหน้าวัดรอบกายมีกระป๋องที่ใช้ตักน้ำวางอยู่ระเกะระกะ … ก่อนจะนึกโล่งใจเมื่อภายในตัววัดไม่ได้เกิดความเสียหายอะไรมากนักตัววัดยังคงเติมแต่รอบกำแพงวัดกลับมารอยไหม้ของไฟ พอมองเข้าไปก็เห็นแต่เพียงต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่ยืนต้นตายเพราะไฟไหม้ เหมือนเป็นคำเตือนที่ทำให้ผมรู้ตัวเสียก่อน

           “เป็นยังไงบ้างครับหลวงตา ไม่เป็นไรนะครับ”

   พอจอดรถได้ผมก็เดินลงไปนั่งลงกับพื้นตรงหน้าหลวงตาที่นั่งพักกายอยู่ที่เก้าอี้ หลวงตายิ้มให้ผมก่อนจะเอามือมาวางบนศีรษะอย่างอ่อนโยน… สัมผัสนั้นทำให้ผมรู้สึกผิดเพราะบางสิ่งบางอย่างบอกกับผมว่าคำภาวนาข้อสุดท้ายของผมเป็นโมฆะ …

           “ไม่เป็นไร แต่ข้ายังเข้าไปในวัดไม่ได้ ไอ้มาดกับตำรวจเข้าไปตรวจตราในวัด”

           “แล้วมีอะไรเสียหายมากไหมครับ”

           “ไอ้ไม้!!!!!!”

   ยังไม่ทันที่หลวงตาจะได้ตอบอะไร พี่มาดก็เดินออกมาจากวัดและปรี่ตรงเข้ามาหาผมกระชาดคอเสื้อผมขึ้นและทำท่าจะเงื้อหมัดตรงเข้าหน้าที่ แต่หลวงตาร้องห้ามพร้อมกับที่เจ้าจุกวิ่งมากระชากเสื้อด้านหลังของพี่มาดเอาไว้เสียก่อนจะร้องไห้โฮออกมา … เป็นเพราะผมจริง ๆ สินะ 

           “พวกมันมาหามึงและมาเผาวัดของพวกกู เพราะมึงคนเดียว บอกกูมาเดี๋ยวนี้ว่ามึงไปทำอะไรไว้!!!!!” พี่มาดผลักอกผมจนไปชิดกับกำแพงปากระดาษที่ถูกขยำเป็นรวมเป็นก้อนไม่ต้องเดาผมก็พอรู้ว่าข้อความด้านในมันคืออะไร

   คงจะเป็นคำขู่จากไอ้พวกที่มาเผาวัดวาอารามแห่งนี้จากคำพูดที่บอกว่าผมเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทุกอย่าง ผมไม่โทษใครทั้งสิ้นถ้าหากจะโทษผม เพราะมันก็เป็นเช่นนั้นอยู่วันยังค่ำ ตัวซวย หึ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ฉิบหาย

           “พี่มาดอย่าทำพี่ไม้ ฮึก ไม่เอาอย่าแกล้งพี่ไม้ หลวงตาจ้ะ หลวงตาห้ามพี่มาดที ฮึก”

   พี่มาดฮึดฮัดแต่ยอมปล่อยผมออกจากการล็อกด้วยแขนของแกและถอยไปยืนมองผมตาขวางพร้อมกับพวกผู้ใหญ่อีกนับ 10 คนที่มองมาที่ผมอย่างไม่ไว้ใจ … มันก็สมควรที่จะเป็นแบบนี้แล้ว มีแต่เจ้าจุกคนเดียวที่วิ่งเข้ามากอดขาของผมไว้แน่น

           ผมคุกเข่าลงไปนั่งอีกครั้งก่อนจะก้มลงกราบหลวงตาที่ยืนสงบนิ่งอยู่อีกด้าน

           “ผมกราบลาอีกครั้งนะครับหลวงตา ต้องขอโทษกับเหตุการณ์แบบนี้ด้วย ผมสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ผมต้องขอโทษพี่ ๆ ด้วยนะครับที่สร้างความเดือนร้อนให้” พูดเสร็จ ผมก็ค่อยๆลุกขึ้น

           “พี่ไม้ไม่ผิดนะ พี่ไม้ใจดี เล่นกับจุกตลอด ไม่ผิดหรอก”

   “ไอ้จุก เอ็งก็ตั้งใจเล่าเรียนเป็นเด็กดีนะ” ผมวางมือบนหัวเหม่งของไอ้จุกก่อนจะเหยียดยิ้มยกมือไหว้ให้ทุกคนอีกครั้งและเดินลงจากเขามาอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ ทั้งนั้นเพราะทุกอย่างมันเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเป็นเพราะใคร และใครต้องรับผิดชอบ …



ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4

.

.

.

           ลูกไม้เดินลงมาจากเขาด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ในใจร้องหาแต่พ่อโทนคล้ายเป็นคำอ้อนวอนเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ทำให้จิตใจของมันหวั่นไหวไปมากกว่านี้ มันไม่อาจมีหน้าไปพบกับใครทั้งสิ้นแต่ยังอยากที่จะอยู่กับพ่อโทน มันพร้อมที่จะทิ้งใครต่อใครก็ไปในโลกนี้ แตกหักกับใครก็ได้ แต่คนเดียวที่ไม่อาจปลงตกและห่างหายได้คือพ่อตัวเล็กของเขา เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจลูกไม้เป็นอย่างมากถึงภายนอกดวงตาคมคู่นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ในใจลึก ๆ ลูกไม้ก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุเพียง 18 ที่ต้องเผชิญกับคำถามและทุกสิ่งทุกอย่างมาทั้งชีวิต

   พอมันได้ที่พักพิงที่อบอุ่นกลับเป็นได้เพียงความฝันดีเพียงช่วงคราว และถ้าหากมันยังฝืนอยู่ที่นี้ จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกมันก็ยังไม่รู้ มันเป็นแค่เด็ก … เด็กที่ความจริงไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะหักห้ามเรื่องราวร้าย ๆ ได้แม้แต่อย่างเดียว …

           “นายน้อย …”

   ร่างสูงใหญ่ของลูกไม้ชะงักฝีเท้าที่เดินลงมาจากเขาอย่างไร้จุดหมายเมื่อรถตู้คันสีดำมาจอดตรงหน้าพร้อมกับชายวัยกลางคนรูปร่างผอมที่เดินลงมาจากรถ ในสมองตอนนี้ไม่ได้ร้องหาที่จะไปที่ไหน ร้องหาพ่อโทนแต่กลับไม่มีหน้าที่จะไปเจอตอนนี้ … ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจสู้หน้าได้ เพราะเขาเอง เพราะเขาเองที่จะทำให้ทุกอย่าง ณ ตอนนี้แย่ลงกว่าเดิม สถานที่อันสงบสุขกำลังที่จะลุกเป็นไฟ

   “หึ สะใจไหมละลุงศักดิ์ นายน้อยของลุงที่เคยถูกฆ่าล้างครอบครัวตอนนี้กำลังจะหมดสิ้นทุกอย่างอีกครั้ง หึหึ น่าสมเพช น่าสมเพชจริงๆ”

   ลูกไม้กล่าวขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะที่สั่นเทาเพราะรู้ตัวเองดีกว่าต่อจากนี้ชีวิตของตนจะต้องเป็นอย่างไร หัวใจมันเจ็บปวดเหลือเกิน แค่คิดว่าทุกอย่างจะต้องกลายเป็นศูนย์อีกครั้งก็แทบจะขาดใจ มือแกร่งทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหน้า แต่มันก็ไม่อาจปกปิดความเสียใจที่รินไหลออกมาจากตาทั้งสองข้างได้ไม่ 

   ร่างผอมของอดีตพ่อบ้าน ตระกูล อริณมณี ทรุดตัวคุกเข่าลงตรงหน้าของนายน้อยผู้ร่ำไร้แด่ทรัพย์สมบัตินอกกายที่ทำให้ต้องเจ็บปวดมากเพียงนี้ …

   “ยังก่อนครับ ไม่ใช่ตอนนี้ นายน้อยมีทุกอย่าง ทั้งพลังและอำนาจ เพียงแต่ตอนนี้นายของไอ้ศักดิ์ต้องยอมรับชะตากรรมเสียก่อน … พวกมันจะไม่หยุดถ้าคุณยังอยู่ที่นี้ เชื่อผมสักครั้งนะครับ ไปกับผม ไปเริ่มต้นใหม่และกลับมาอีกครั้ง…ผมสัญญาว่าครั้งนี้ผมจะไม่ทิ้งนายน้อยไว้เพียงคนเดียวในเงามืดอีก ... อริณมณียังคงต้องการคุณอยู่…”

    ไร้ซึ่งคำตอบ … มีเพียงความเงียบและเสียงของป่ารอบข้างที่สงัดลงพร้อมกับหัวใจของลูกไม้ที่แทบจะขาดใจเสียให้ได้ตรงนี้ …

.

.

.

-โทน-

           “ไอ้เด็กบ้า”

   ผมวิ่งเข้าไปตบหัวไอ้เด็กบ้าที่นั่งเล่นกับหมาอยู่ในคอก!!! คือทำกูหัวหมุนไปหมดขึ้นไปบนเขาหลวงตาก็บอกมันออกมาตั้งนานแล้ว แถมไอ้พี่มาดก็ยังมีพูดจาไร้สาระจนผมอยากจะฟาดปากให้หยุดพูดมาก!!!!  ตามหากันไปทั่วด้วยความเป็นห่วงสุดท้ายมาเจอไอ้หน้าแมวนั่งเล่นกับหมาอยู่ที่บ้าน!!!!! โอ้ยยยยยย อยากจะฆ่าเด็กจังโวย!!!!!!! 

           “พะ พ่อโทน” มันหันมาทำหน้าเอ๋อใส่ผมและรีบยกแตกกวาขึ้นมาบังอย่าเมื่อเห็นว่าผมจะถวายมะเหงกให้มันอีกรอบ หึ ทีนี้ละทำเป็นกลัว กูนี้สิกลัวเสียมึงไปแค่ไหน!!!!

           “ไปไหนมาวะ รู้ไหมเนี้ยตามหากันไปทั่ว และไอ้ทิ้งมอเตอร์ไซค์ไว้บนเขาพ่อมึงผลิตตังค์หรือไง!!!!” ผมโวยวายเพราะผมกับไอ้เกื้อกับขับรถกันไม่แข็งทั้งคู่กว่าจะพากันกลับมาได้นี้เกือบตกเขาตายทั้งคู่ ไอ้เกื้อต้องกลับไปคลีนิคทันทีเพราะมีเคสเข้ามา ผมขอกลับมาดูที่บ้านก่อนเพื่อความสบายใจและก็เป็นอย่างที่คิด!!!! ฮึ้ย ใจก็ร้อน อากาศก็ร้อน ไอ้ลูกบ้ากลับมานั่งสบายใจอยู่ที่บ้านแล้ว!!!

           “น้องโทนเป็นอะไรครับ ใจเย็น ๆ ไอ้ไม้เอ็งไปเอาน้ำมาให้พ่อเอ็งกับน้องไม้สิ”

   ไอ้ลูกบ้าวิ่งเข้าไปในครัวทันที ฮึ้ย … โมโหนัก แต่ก็ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร ดีแล้วแหละที่ยังดูร่าเริงเหมือนเคย … ไม่ต้องไปสนใจคำพูดใครทั้งนั้น ถ้าไอ้เด็กนั้นอยู่ที่นี้ผมจะปกป้องลูกผมเอง ผมจะให้มันไปไหนทั้งนั้น ผมไม่อนุญาต …

           “พี่เมฆ”

           “ครับ?”

   “พ่อกลับวันไหน”

   “พรุ่งนี้ครับ น้องโทนเป็นอะไรหรือเปล่า”

   “ผมแค่ …”

   “พ่อโทนน้ำเย็น ๆ ครับ”

   ยังไม่ทันที่จะได้พูดไอ้ไม้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำในขันน้ำสีเงิน ผมหน้างอมองค้อนแต่ก็ยอมรับน้ำเย็นมาถือไว้ ผมวางขันลงหลังจากกินเสร็จจ้องหน้าไอ้ไม้ที่นั่งอยู่ด้านล่างแคร่ที่ผมนั่งอยู่ มันมองผมตาแป๋วก่อนจะยิ้มแบบที่มันชอบยิ้มให้ผม มันทำให้ผมอบอุ่นใจเหลือเกินเพราะเหมือนมันกำลังบอกว่า รักผมแค่ไหน …

   “เอ็งจะอยู่กับข้าตลอดไปใช่ไหม” ผมกระซิบถามมันให้ได้ยินกันเพียงสองคน มันหุบยิ้มก่อนจะก้มหน้าสลดลง เพียงแวบเดียวเท่านั้นมันก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาที่เหมือนเฉกเช่นเดิม

   “ครับ” เพียงคำเดียวก็ทำให้ผมชื้นใจ … อย่าไปไหนนะ อย่าไปไหนเลยนะ …

.

.

.

           ค่ำคืนเดือนมืดในราตรีอันสงบสุข ร่างสูงของลูกไม้ก้มลงบรรจงจูบริมฝีปากอวบอิ่มของพ่อโทนที่หลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน มือหนาคู่แกร่งวางทาบลงบนแก้มใสตรงหน้าอย่างเอ็นดูและรักใคร่ ริมฝีปากที่เคยยิ้มแย้มให้กับพ่อโทนเพียงคนเดียวเหยียดยิ้มอีกครั้งเมื่อมองคนตรงหน้าและนึกถึงอดีตหลายปีที่อยู่ด้วยกันมาก รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นและจริงใจของพ่อโทน ความรักที่ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้มีไอ้แก่พ่อโทน ความเศร้าของการแยกจากกันตอนที่พ่อโทนไปเรียนไกล ความดีใจที่ได้เจอกันในที่สุด มีความสุขเหลือเกิน … ทุกวันมีความสุขเหลือเกิน แต่ทุกอย่างสมควรแล้วที่จะจบลง …

           “ไม่นานนะครับพ่อโทน … ไอ้ลูกไม่รักดีคนนี้จะกลับมา … จะกลับมา ผมขอโทษ …ขอโทษนะครับ”

   เสียงแหบพล่านดังขึ้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน ก่อนที่ไม้จะก้มลงไปจูบขมับใสอีกครั้งด้วยความรักที่มากเกินกว่าจะพรรณนา เขาค่อย ๆ เหยียดตัวลุกขึ้นยืนทั้งตัว มีเพียงเสื้อผ้าที่ตนใส่อยู่กับสร้อยพระที่พ่อโทนเคยให้ไว้เมื่ออดีตที่เป็นของขวัญอันล้ำค่าของตน …

   ลูกไม้ไม่มีแม้แต่คำจากลา เพียงแค่ค่อย ๆ เดินลงมาจากบ้านเงียบ ๆ ด้วยหัวใจที่แทบจะถูกแช่แข็งซะเดี๋ยวนี้ … ฝันดีกำลังจะจบสิ้นเค้าต้องตื่นแล้ว … ตื่นขึ้นมารับความจริงตรงหน้า

   รถตู้คันเดิมจอดรอลูกไม้อยู่หน้าบ้าน พร้อมกับร่างผอมของลุงศักดิ์ที่ยืนรออยู่ตรงประตูรถอยู่ก่อนแล้ว ลูกไม้หายใจเข้าเต็มปอด เก็บงำทุกอย่างไว้ในใจ ความทรงจำดี ๆ ทั้งหลายที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือน เขารู้ดี รู้จักพ่อโทนดีกว่าใครว่าถ้าตื่นมาแล้วรู้ว่าลูกไม้ทำผิดสัญญา จะโกรธแค่ไหน จะร้องไห้หนักแค่ไหน แต่เขาจะกลับมา กลับมาแน่นอน ไม่รู้จะกี่เดือน กี่ปี หรือนานแค่ไหน … แต่จะต้องกลับมาหาดวงใจที่ร่ำไห้ของพ่อโทน กลับมาโอบกอดเอาไว้ให้ให้ได้ …

   “บอกลาทุกคนแล้วเหรอครับนายน้อย”

   “จะไม่มีการจากลา … เพราะผมจะกลับมา” ลูกไม้เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งกอบกุมสร้อยพระเอาไว้แนบหัวใจก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปท่ามกลางความมืดในคืนราตรีที่แสนเศร้า …

   อดีตกลับคืนสู่ปัจจุบัน …



 

           “ที่วัดไม่มี ที่ตลาดไม่มี ที่โรงเรียนไม่มี … ไม่มีเลย …” โทนทรุดลงนั่งที่ริมคันนาเพียงลำพัง

         อากาศยามสายอุ่นขึ้นจากความหนาวเหน็บเมื่อคืน ในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนถึงตัวเอง ข้อความด้านในมีเพียงประโยคเดียว ประโยคเดียวที่ทำให้น้ำตาของโทนตกใน ถึงแม้จะพยายามสะกดกลั้นอารมณ์แค่ไหน แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเศร้าภายในดวงตาได้ …

           ‘พ่อโทนครับ ไม้รักพ่อโทนที่สุด … รอนะครับรอวันที่ผมกลับมา’

           “โธ่เว้ย!!!! รอห่าอะไร มึงให้กูรอห่าอะไร” น้ำตาเม็ดใสหยดลงแหมะลงข้างแก้ม ก่อนจะถูกเช็ดออกอย่างรวดเร็ว

   จมูกแดงแปร๊ดถูกขยี้และลุกขึ้นยืนออกเดินขึ้นไปบนทางเดินลูกรังด้วยเท้าเปลือยเปล่าและพุพองขึ้นจากการใช้งานอย่างหนัก เสื้อผ้าชุดนอนถูกคลุมด้วยเสื้อกันหนาวเก่าที่ยังไม่ทันได้ซัก … ณ เวลานั้น โทนไม่ได้คิดถึงอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่รู้ว่าตื่นมาไม่มีลูกไม้อีกต่อไปแล้ว นั้นก็ทำให้เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะมานั่งร้องไห้ … ทั้ง ๆ ที่ในใจแทบบ้า ไม่เข้าใจ สับสน และเสียใจ … สุดท้ายไม่พ้นคำว่าเป็นห่วง …

   เสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นด้านหลังของเขาทำให้ร่างเล็กหันไปมองและเกือบจะร้องออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ลูกไม้ใช่เป็นประจำ แต่เมื่อมองชัด ๆ แล้วคนที่เป็นคนขับมันกลับไม่ใช่ลูกชายของตน … แต่ก็เป็นอีกคนที่โทนอยากเจอมากในเวลาแบบนี้

   “พ่อ …”เสียงแหบแห้งเปล่งออกมาเบา ๆ เกือบที่จะห้ามน้ำตาที่พร้อมจะไหลเอาไว้ไม่อยู่ มือเล็กกำกระดาษจากสมุดเรียนของลูกชายตัวดีไว้แน่นหักห้ามอารมณ์ที่คลุกรุ่นออกมา

   ปู่ทายในชุดสูทที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าที่ดื่มเพื่อเข้าสังคมมาเมื่อคืน พ่อลูกนิสัยเหมือนกันอย่างกับแกะเมื่อรู้ว่าสิ่งสำคัญหายไปก็พร้อมที่จะทิ้งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลังเพื่อตามหา … แต่เขาโชคดีที่ของสำคัญยังคงอยู่ไม่ห่างกาย ต่างจากอีกคนที่หัวใจแทบสลายกลายเป็นผุยผง

           “ขึ้นรถ” ปู่ทายจอดรถตรงหน้าของโทนที่ยืนก้มหน้าอยู่ไม่ห่าง

   เขามองสภาพของร่างของลูกชายและแทบจะสบถคำหยาบออกมา ทั้งโทรมและน่าสงสาร ถ้าเขาไม่มาเจอเสียก่อนเจ้าเด็กไม่รู้จักโตคนนี้คงมุ่งหน้าเดินหาต่อไป พ่อโทนยืนนิ่งไม่ไหวติงก่อนจะถูกกระชากให้ขึ้นมาซ้อนท้ายถึงจะยอมขึ้นมานั่งเกาะเสื้อของปู่ทายที่อารมณ์เสียจากสภาพของลูกชายและปัญหาที่กลับมาแต่เช้าตรู่หวังที่จะพักผ่อนกลับต้องมาเผชิญกับข่าวร้ายที่ส่งกลิ่นโชยถึงความไม่ชอบมาพากล

   “ตามหาไม้ก่อน” ร่างเล็กซุกลงแผ่นหลังหนาของผู้เป็นพ่อพูดจาอู้อี้อย่างน่าสงสาร ปู่ทายถอนหายใจเฮือกใหญ่และสตาร์ทรถขับออกมา

   “ดูสภาพมึงด้วย”

   “ฮึก ไม่เอาอยากเจอไม้”

   ใบหน้าเล็กซ่อนอยู่ด้านหลังหลั่งน้ำตาออกมาไม่ให้ใครเห็น ปู่ทายเลือกที่จะไม่สนใจ ขับรถกลับมาที่ค่ายเงียบๆ ทุกอย่างเอาไว้ก่อน ณ ตอนนี้สภาพจิตใจของลูกชายเขาสำคัญที่สุด อีกใจนึงก็ทั้งเป็นห่วงเจ้าไม้เด็กหัวรั้นนั้นไม่ต่างกัน …

   ป่านนี้จะเป็นยังไงอยู่ตรงไหนไม่มีใครรู้ แต่เมื่อนึกถึงวิชาอาชีพที่เขาได้ถ่ายทอดไปให้แทบจะหมดสิ้นแล้ว ก็เบาใจกระเปาะนึงเพราะอย่างน้อยไอ้เด็กนั้นก็พอที่จะดูแลตัวเองได้ ถึงเขาจะไม่รู้รายละเอียดมากนักรู้อยู่หรอกว่าอดีตของเจ้าไม้น่าเจ็บปวดและมีตื้นลึกหนาบางแต่ไม่คิดว่าเรื่องจะใหญ่โตได้เพียงนี้ ทำไมวันเวลาถึงล่วงเลยมาได้อย่างสงบและทำไมอยู่ ๆ ถึงเกิดเรื่องขึ้น แต่อีกไม่นานเขาก็จะสืบให้กระจ่าง …

.

.

.



           อีกด้าน ณ สนามบินในเมืองหลวงของประเทศไทย เด็กชายร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อแขนยาวมิดชิดสีเทากับกางเกงยีนต์เนื้อดีรองเท้าผ้าใบสีดำคู่ใหม่ทั้งหมดลุงศักดิ์อดีตพ่อบ้านประจำตระกูลเป็นคนจัดการหามาให้ลูกไม้ที่นั่งใบหน้าเศร้าสร้อยอยู่บนเก้าอี้ของสนามบิน รอไฟท์บินต่อไป ที่เมืองบาเด็นไวเลอร์ ประเทศเยอรมนี เพื่อหลบซ่อนและตั้งหลักจนกว่าจะถึงเวลาอันเป็นสมควรที่จะกลับมา

           ลุงศักดิ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีพอจะปลอบใจอย่างไร ในเวลานี้ได้เพราะตั้งแต่ตอนนั่งเครื่องกลับมาเพื่อจะต่อไฟท์บินที่กรุงเทพ เขาได้พูดปลอบไปสารพัดไม่ว่าจะพูดเช่นไรเด็กคนนี้ก็ยังคงเงียบ ไม่กินและทำอะไรที่แสดงถึงความรู้สึกไปมากกว่าจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง เงียบๆเหมือนหุ่นกระบอก ที่ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ป้อนข้อมูลให้ เงียบจนเขารู้สึกเป็นห่วง …

           “นายครับ อีก 10 นาทีจะเดินทางแล้ว ก่อนจะไปอยากโทรหาใครก่อนไหมครับ” ตาสีดำสนิทของลูกไม้เป็นประกายขึ้นเพียงชั่วครู่ก็ดับวูบเฉกเช่นเดิม

   ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ ถ้าหากเขาได้ยินเสียงยอดดวงใจของไอ้ไม้ … เขาคงกระโจนกลับและไม่สนใจใครต่อให้เมืองจะทลายหรือสาบสูญลง ก็จะไม่มีทางแยกจากพ่อโทนอีกเป็นครั้งที่สอง … ซึ่ง ณ ตอนนี้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ขืนถ้าเขายังอยู่ตรงนั้น ก็รังแต่จะทำตัวเสมือนแม่เหล็กดึงดูดภูติมารให้มาทำร้ายคนที่เขารักอยู่ดี และเขาจะเสียใจมากกว่านี้ถ้าหากพ่อโทนเป็นขึ้นมาอีก เพียงแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวในตอนนั้นก็ย่ำแย่เกินพอแล้ว … ต้องยอมรับความเป็นจริง ว่าตอนนี้เขานั้นเป็นแค่เด็ก … ที่ไม่สามารถปกป้องใครได้เลย

           “ถ้าไม่โทรตอนนี้ … ขึ้นเครื่องและไปถึงที่โน้น จะไม่มีโอกาสแล้วนะครับ”

ไม่ … ไม่ได้ … 

           ไม้กำหมัดแน่นในทันที ฟันคมขบเข้าหากันจนสันกรามขึ้นอย่างหักห้ามใจ แต่ก็ไม่แต่ปริปากหรืออ้อนวอนต่อสิ่งใด ใจแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ลุงศักดิ์ถอนหายใจอีกครั้งนั่งลงข้างกายและถือวิสาสะลูบปลอบด้านหลังแกร่ง ไม่น่าเลยจริง ๆ ที่จะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเด็กคนนี้ ถ้าหากเด็กคนนี้ไม่เป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงระดับจังหวัด ไม่โดดเด่นเหนือคนอื่น บางทีไอ้พวกนั้นอาจจะไม่สงสัยแล้วก็ได้ อาจจะคิดว่านายน้อยของเขาตายไปในกองเพลิง …

   ซึ่งมีแต่เขาคนเดียวที่รู้เพราะเขาเป็นคนช่วยนายน้อยออกมากองไฟและเลือกที่จะซ่อน ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเอาไว้ในซอกลืบที่แต่กลับปลอดภัยที่สุด … และใช้ชีวิตอย่างขมขื่นใต้เงาเท้าของปิศาจร้ายเพื่อหลบซ่อนภัยให้แก่ตนเองเช่นก่อน ระหว่างนั้นก็คอยดูลาดลาวความเคลื่อนไหวด้วยความขมขื่นและฝืนใจจนแทบจะดิ้นตาย ในทุก ๆ คืนที่เฝ้าฝันร้ายถึงใบหน้านายช่างเชษฐาและคุณหญิงดอกอ้อที่ตามหลอกหลอนในจิตใจ และสุดท้าย ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทางและเพียบพร้อมพอที่จะรับนายคืนสู่ความเป็นจริง เพื่อตระกูลและตัวของไม้เองอย่างเหมาะสม

           เสียงประกาศไฟท์บินดังขึ้นลุงศักดิ์ลุกขึ้น ก่อนจะยื่นมือหนาให้นายน้อยของเขาจับเอาไว้ แต่ลูกไม้กลับเลือกที่จะยืนขึ้นด้วยขาแกร่งที่ไร้เรี่ยวแรงเดินก้าวนำหน้าผู้เป็นบ่าวไปตามทางที่ชะตากำหนด ถ้าขื่นรอให้นานกว่านี้ เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะเลือกสิ่งที่ถูกหรือสิ่งที่หัวใจเรียกร้องในเวลานี้หัวใจร้องหาพ่อโทนราวกับระเบิดเวลาที่พร้อมจะแผดเผาให้ตายช้า ๆ จากด้านใน อย่างไรก็ตามลูกไม้ยังมีความคิดแบบเด็ก ๆ คือรีบไปจะได้รีบกลับ ไม่อยากจะยืดยื้อเวลาให้นานกว่านี้เขาจะได้กลับมาตามง้อพ่อโทนและกลับไปสู่ที่พักพิงของดวงใจอันแตกสลาย

           แผ่นหลังหนาสูงโปร่งของลูกไม้ห่างไกลแผ่นดินเดียวกับพ่อโทนเข้าไปทุกที … ทุกที … ทุกที เหลือไว้เพียงใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อโทนที่ตราตรึงในใจ … แล้วไม้จะรีบกลับมานะครับพ่อโทนที่รัก





========================



จากไป เพื่อให้ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่นานนับกี่ปีกันถึงจะได้เจอ

ตอนนี้ปาปา ไรท์ไปร้องไห้ไป TT_TT

ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2
อดทน ตอนนี้ท่องคำนี้ไว้ ต้องแข็งแกร่งเพื่อปกป้องคนสำคัญของตัวเองให้ได้ และไม่ให้คนรอบข้างต้องเดือดร้อนเพราะตัวเองซ้ำอีก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
โอ้ย รอตอนหน้าๆๆๆ สงสารทุกคน โดยเฉพาะลูกไม้นี่หล่ะ

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :m31: แล้วรีบกลับมาเอาคืนพวกมันให้หมดเลยนะ

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
สงสาร สงสารพ่อโทนเหลือเกิน :ling3:  :ling3:

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4


พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 15 วันคืนผ่าน ใจไม่พบพา + {ลุงทายXเกื้อกูล3}




           “น้องโทน”

   เสียงเรียกของใครสักคนดังขึ้นในโสตประสาทอันว่างเปล่าของผม … มันไม่ได้ว่างเปล่าซะทีเดียวหรอกนะ มันมีแค่ความทรงจำของไอ้เด็กคนนั้น คนที่ทิ้งผมไปและบอกให้ผมรอ หึ ผมยังนึกสงสัยนี้ผมอ่อนแอขนาดปกป้องมันไม่ได้เลยเหรอ ทำไมถึงเลือกที่จะจากไป ฮึก …

   … และอีกนานแค่ไหนถึงจะกลับมา คิดถึง คิดถึงที่สุดเลย ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านมานานแค่ไหนแล้ว กี่วัน กี่สัปดาห์ หรือกี่เดือนที่ผมเหมือนคนไม่มีแรง ไม่มีกำลัง ไม่มีความรู้สึก คอยออกจะตามหามันไปทุกทีแต่ก็ไม่เจอและก็ต้องกลับมาด้วยความช้ำใจ

   ให้มันตายจากกันไปซะดีกว่าที่จะต้องมานั่งเป็นห่วงแบบนี้ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าไม่มีไอ้ไม้ลูกรักของผมอยู่บนโลกนี้แล้ว แต่นี้ … ทุกความทรงจำยังชัดเจน มันยังคงมีตัวตน แต่มันเลือกที่จะไปจากผม คนที่รักมันสุดหัวใจ …

           “น้องโทนครับ” มือหนาอังเข้าที่หน้าผากของผมที่หลับตานิ่ง ไม่ใช่นี้ไม่ใช่สัมผัสของไอ้ไม้ … ไม่ใช่ … ปกติต้องเป็น ‘พ่อโทนครับ’ สิ ไม่ใช่ประโยคแบบนี้ ไม่ใช่ลูกผม

           “พี่เมฆ โทนอยากอยู่คนเดียว” น้ำเสียงของผมแหบพล่านจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน … คิดถึง คิดถึงที่สุด

           “ไม่ได้แล้วครับ น้องโทนอยู่ในห้องมาจะ 3 วันแล้ว ทุกคนเป็นห่วง” เสียงของพี่เมฆนุ่มนวลเป็นปกติเพราะพี่เมฆเป็นพี่ชายที่อ่อนโยนไม่เหมือนพี่แสงและลุงๆคนอื่นๆ

   เขาเป็นคนที่ช่วยผมทุกอย่างดูแลกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยเหมือนเกราะป้องกันภัยเวลาผมโดยรังแก แต่เวลานี้ เสียงของเขาช่างดูน่ารำคาญจนผมอยากจะตะคอกไล่ไปให้ไกล เสียงเดียวที่ผมอยากได้ยินและอ้อมกอดที่ผมอยากกอดคือ ไอ้ไม้ ไอ้ไม้คนเดียว ไม่เอาใครทั้งนั้น ไม่เอา!!!

           “พี่รู้ว่าโทนเป็นห่วงเจ้าไม้ แต่ตัวของน้องโทนก็สำคัญนะครับ น้องโทนจะเอาแต่อยู่ในห้องไม่พูดไม่จากับใครแบบนี้ไม่ได้นะครับ พ่อทายกับน้องเกื้อรออยู่ด้านนอก เป็นห…”

           “อย่าพูดได้ไหม หยุดพูดสักที!!!!” ผมลุกขึ้นนั่งสะบัดมือของพี่เมฆที่จับแขนผมอยู่ออกและตะคอกไปเสียงดังอย่างรำคาญใจ

   พี่เมฆมองผมนิ่งก่อนจะยิ้มออกมาและเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อประตูห้องผมเปิดออกพร้อมกับพ่อและไอ้เกื้อที่เดินตามหลังมามองผมและน้ำตาคลอเบ้าปรี่เข้ามานั่งข้างผมจมูกแดง ๆ ของเจ้าเกื้อทำให้ผมใจอ่อนฮวบ …

           “ร้องไห้ทำไมวะ!” ผมขึ้นเสียงถามไอ้เกื้อที่น้ำตาหยุดแหมะลงมาข้างแก้มไม่หยุด กูนี้สิสมควรจะต้องร้องไห้ ฮึก แม่งเอ้ย !

           “ฮึก เกื้อสงสารโทนกับลูกไม้ ฮึก ไม่ร้องสิ ไม่ร้องนะ”

   ผมสะบัดตัวเองไม่ยอมให้ไอ้เกื้อกอดเพราะอยากให้คนที่กอดคนแรกคือไอ้ไม้ ก่อนจะดึงคอเสื้อขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไม่ยอมให้ใครเห็นน้ำตาความอ่อนแอที่เผลอพุ่งพวยออกมา ฮึก บ้าเอ้ย มันไปอยู่ที่ไหนวะ ป่านนี้จะเป็นยังไงเด็กคนเดียวจะไปทำอะไรได้ คิดอะไรอยู่วะ ฮึก!

           “ทะ ทะ โทนจะไปไหน”

   ผมไม่สนใจไอ้เกื้อลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มาคุมตัวเองไว้ ชะงักเมื่อเห็นพ่อที่ยืนกอดอกมองผมไม่วางตาอยู่หน้าประตู ก่อนจะเดินออกมาโดยไม่สนใจเสียงห้ามปรามไม่มีใครกล้าเข้ามาจับตัวผมเพราะรู้ดีถ้าหากผมหงุดหงิดขึ้นมา ผมเองก็ไม่เอาใครทั้งนั้น คนเดียวที่ผมต้องการตอนนี้คือไอ้ไม้ ผมเป็นห่วงมัน อยากเจอ อยากกอดเอาไว้ และบอกมันดัง ๆ ว่าผมจะปกป้องมันให้ได้ ผมต้องตามหาดวงใจของผมที่หายไป … ผมชัดเจนในความรู้สึกแล้ว

   ยอมรับแล้ว ฮึก ยอมแล้ว … ผมไม่สามารถจำกัดขอบเขตความรู้สึกของตัวเองได้ … ต่อให้ใครจะว่ายังไง ต่อให้ใครจะตีตราว่าผมนั้นแสนเลวที่คิดไม่ซื่อกับลูกตัวเอง ผมก็ไม่สนใจเพราะผมรักไอ้ไม้ นั้นคือความจริงที่ผมไม่อาจปฏิเสธ หัวใจตัวเอง ไม่คิดที่จะครอบครองแค่อยากจะปกป้องเอาไว้ด้วยชีวิต นั้นคือความรักอันบริสุทธิ์ของหัวใจของผม … แต่ในวันที่ผมชัดเจน ผมกลับทำส่วนสำคัญของหัวใจตัวเองหายไป

   “เฮ้อ …ดูเหมือนเด็กแถวนี้จะไม่อยากรู้เรื่องของทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลอาริณมณี” ผมชะงักหันไปมองพ่อและเหมือนหมาเห็นกระดูกกูพุ่งเข้าไปหาด้วยความเร็วสูงสุดลืมความอ่อนล้าที่ไม่ได้นอนไม่ได้กินข้าวทั้งหมดสิ้น

   “อะไรพ่อ พ่อไปรู้อะไรมา” พ่อทายยกยิ้มขึ้นและหันไปมองไอ้เกื้อที่ยืนลุกลี้ลุกลนเหมือนเด็กไม่รู้ความยักคิ้วลิ่วตาให้จนไอ้เกื้อต้องหลบสายตาแก้มแดงกล่ำ ... อะไรก๊านนนนน

   “ไหนลองอ้อนข้าสิ ถ้าอยากรู้ ทำเหมือนที่เอ็งเคยอ้อนข้าตอนเด็ก ๆ อะ” พี่เมฆหลุดหัวเราะออกมาและต้องยกมือขึ้นขอโทษขอโพยเมื่อผมหันไปมองพร้อมตะปบ

   “จะบอกก็รีบบอกลีลาจังอะไรเนี้ย”

   “ไม่ทำก็ไม่ต้องรู้ มันไม่กลับมาหรอกไอ้เด็กนั้นอ่ะมันหลอกเอ็ง ฮ่าๆๆๆๆ”

   “พ่อ!!!!!!”

   “มัวแต่แว๊ดๆน่ะ ไม่อยากรู้ใช่ไหม ได้งั้นข้าไปทำอย่างอื่นและเสียเวลา เชิญเอ็งออกไปตามหามันให้ตีนพองต่อไปเถอะ เพราะยังไงเอ็งก็ไม่มีทางเจอมัน”

   ท่าทางของพ่อทายยียวนกวนประสาทมาก แต่ผมก็ต้องยอมจำนนยื่นมือเข้าไปจับชายเสื้อเน่าๆของพ่อและเงยหน้าขึ้นไปมองเขาขอความเห็นใจจากคนแก่ใจร้าย … เห็นสายตาวิ้ง ๆ ของผมไหม ไม่สงสารผมเหรอ หัวใจตอนนี้ของผมแหว่งไม่มีชิ้นดีแล้ว

   “บอกหนูหน่อยนะพ่อจ๋า … หนูไม่อยากเสียลูกไม้ไป หนูรักลูกไม้ ฮึก ได้โปรดบอกหนูหน่อยนะ”

   “โธ่โทน” ผมหัวอ่อนลงเมื่อไอ้เกื้อเดินมากอดไหล่ผมที่อยู่ในระดับเดียวกันผมก้มหน้าลงนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไร้ความอาย มือกำชายเสื้อของพ่อทายแน่น …

   “เออ ๆ จะร้องทำไมนักหนา แต่ก่อนอื่น เอ็งต้องไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวปลาให้เรียบร้อยและค่อยไปเจอข้าที่ลานบ้าน”

   “แต่ …”

   “ไม่มีแต่ไอ้เกื้อพาเพื่อนเอ็งไปกินข้าวซะไป น่ารำคาญจริงๆ” ผมมองตามหลังพ่อออกไป ไม่มีทางเลือกผมรีบวิ่งหยิบข้าวของวิ่งไปอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกะละมังใหญ่ ๆ ในห้องครัวท่ามกลางเสียงเตะกระสอบทรายของลุงจันทร์ลุงทิมที่สอนเชิงมวยพี่แสงอยู่

   แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ที่ไหนในบ้านก็ไม่วายคิดถึงไอ้ไม้อีก ไม่มีคนคอยเตะมวยปั๊กๆเป็นจังหวะที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครคอยเอาใจหาน้ำหาท่าให้กิน ไม่มีใครคอยถามว่าเหนื่อยไหม ไม่มีใครกวาดทุกส่วนในบ้านได้สะอาดหมดจด ไม่มีใครคอยหยอกล้อ กอดปลอดทุกครั้งที่ผมเสียใจ … หายไปหมดเลย …

   “เฮ้ย น้ำตาจะท่วมจานละเฮ้ย!” ผมเงยหน้าขึ้นไปชูมะเหงกให้พี่แสงและก้มลงกินต่อเคี้ยวตุ้ยๆไม่สนใจ ไอ้เกื้อเดินออกมาจากในครัวพร้อมกับซุบชามเล็ก ๆ

   “อ่ะ เดี๋ยวโทนมันร้อนนะ”ผมซดโฮกเข้าไปและกินน้ำตามไม่สนใจลิ้นจะพองหรืออะไรตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจตัวเอง

พอหมดแล้วผมก็รีบเดินมาหาพ่อที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนแคร่หน้าบ้าน ที่ที่ไอ้ไม้เคยให้คำสัญญาว่าจะ

ไม่ไปจากผม เฮ้อ … เจอเมื่อไหร่พ่อจะกระทืบก่อนและค่อยกอด ฮึ ไอ้เด็กบ้าผมไม่เคยที่จะมองมันเป็นภาระเลยสักนิด ผมสนุกในทุก ๆ วันที่อยู่ด้วยกัน ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้มองหน้า และตลกทุกครั้งที่นึกถึงว่าผมไปเอามันมาอยู่ด้วยในเหตุผลที่อยากจะเป็นพ่อคนเพราะมันเท่ขาดใจ แต่ดูตอนนี้สิ ผมแทบอยากจะดิ้นตายวันละหลาย ๆ รอบ อยากร้องไห้ออกซะให้หมดความเสียใจ แต่ไม่ใช่ตอนนี้

           “บุหรี่ยังไม่ทันหมดตัว นี้มึงเสร็จแล้วเหรอไอ้โทน” ผมพยักหน้าก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ถ้าสูบบุหรี่เป็นป่านนี้ผมคงขอต่อไฟไปนานละ

           “เล่าให้ฟังได้หรือยัง”

           “เออๆ ข้าไปสืบมาให้เอ็งละ อุตส่าห์ไปกินไปนอนบ้านขุนพิพัฒน์มา แดกเหล้าอย่างกับน้ำกว่าจะได้ข้อมูลมาครบ” ผมเอียงคอขมวดคิ้วมองหน้าพ่อที่สูบบุหรี่โฮกใหญ่เข้าปอดที่หายไปหลายคืนนี้ไปกินไปนอนบ้านเขามางั้นเหรอ แล้วเรื่องมันเป็นไงมาไงต้องไปหาขุนอะไรนั้นด้วย

           “ปากพูดไม่ได้เหรอวะ เฮ้อ เออ ๆ กูเล่าก็ได้ มึงจำเรื่องไฟไหม้ครั้งนั้นได้ไหม บ้านพ่อแม่ไอ้ไม้นั้นแหละมึงก็รู้ว่าบ้านนั้นตายกันทั้งบ้านออกข่าวครึกโครม แต่ไม่มีระบุไว้ว่าตายกี่ศพอะไรยังไง” อ่า … ผมจำได้ดีเลยวันนั้น …

   วันที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ไม้ต้องสูญเสียทุกอย่างไปในวันเดียว แล้วยังไง … ไม่เข้าใจ เป็นแบบในหนังไทยหรือเปล่าที่มีคนวางเพลิงข้ายกครัวแล้วไอ้ไม้รอดมาคนเดียว โคตรน้ำเน่า!!! แต่ถ้ามันเป็นจริง ก็น่าสงสารมากเช่นกัน

           “ต้องให้ไขลานไหมถึงจะเล่าต่อ”

           “บร๊ะ เดี๋ยวสิโว้ยขอระลึกชาติแปป กูก็แดกมาเยอะมึน”

           “เล่ามาเร็วๆเด้!!!!”

           “เออๆ ขุนพิพัฒน์แกเป็นคนใหญ่คนโตและที่สำคัญสนิทกับนายช่างเชษฐาเหมือนพี่น้องตามกันมา แกรู้ทุกอย่างในครอบครัวของไอ้ไม้ เรื่องในวันนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ มีคนลอบวางเพลิงในตอนที่คนในบ้านนายช่างนอนหลับหมด แต่แล้วทุกอย่างก็ถูกเก็บงำและปิดคดีไปด้วยเงินสูงค่า ที่สำคัญ ท่านไม่เคยรู้เลยว่าไอ้ไม้คือทายาทของอาริณมณี เฮ้อ ภายนอกเอ็งอาจจะนึกว่าบ้านหลังนั้นเป็นชนชั้นระดับกลางๆ แต่เอาเข้าจริงๆ คุณหญิงดอกอ้อ เป็นคุณหลวง คุณนายที่สืบเชื้อสายดั่งเดิมจากชาวล้านนามีทรัพย์สมบัติมากมายและนายช่างเชษฐาเองก็มีกิจการอยู่ในหลายจังหวัดทำให้มีเงินเก็บพอที่จะสบายไปทั้งชีวิต เอาทรัพย์สมบัติของทั้งคู่มารวมกัน … เอ็งคิดว่ามันจะไม่เป็นตัวดึงดูดมารร้ายเหรอวะ” พ่อทายจุดบุหรี่มวลใหม่ขึ้นก่อนจะวางมือใหญ่บนหัวผมเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

           “ทั้งสองหลบออกมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ ในบ้านสวน ให้กำเนิดลูกชายหนึ่งคนและท่านเองก็ยังร่วมอยู่ในงานวันเกิดของหลายชายของท่านด้วย พูดไปก็น้ำตาไหลไป ใครมาเห็นต้องหัวเราะแน่ท่านขุนพิพัฒน์ผู้แกร่งกล้าในอำนาจหลั่งน้ำตากับความน่าสงสารของครอบครัวที่พังทลาย”

   ในตอนนี้ผมสามารถประติดประต่อเรื่องราวต่าง ๆ แทบจะได้หมด ทั้งเรื่องของคนลุงศักดิ์คนที่พาผมไปบ้านหลังนั้น เรื่องที่ผมถูกทำร้าย และเรื่องที่มีคนจะเอาชีวิต เพียงแต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาถึงป่านนี้เท่านั้นเอง ไอ้พวกนั้นต้องการอะไร ในเมื่อทรัพย์สมบัติทั้งหมดถ้าทุกคนตายก็ไม่สามารถมีใครมาแก่งแย่งได้อีก … ทำไมต้องตามราวีพวกเราอีก 

   “คนที่ทำการแบบนี้คือเขยของฝั่งคุณหญิงอ้อ รู้ตัวคนทำแต่ไม่มีหลักฐานที่จะไปเอาผิด คดีนี้ท่านพิพัฒน์เองก็ตามมานานถึงจะมีเส้นสายแค่ไหนก็เอาผิดไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานจริง ๆ ชื่อเดิมของไอ้ไม้คือ ชื่อเล่นที่ท่านเรียกมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยและรู้จักกันในครอบครัวคือ นายน้อยฟ้าคราม หรือ ยุทธการ อริณมณี คราวนี้เอ็งคงประติดประต่อเอ็งได้แล้วใช่ไหม”

   ไม่มีไอ้ไม้ตั้งแต่ต้น มีแค่ฟ้าคราม มีแค่ ยุทธการ อริณมณี ไม่มี ไอ้ไม้ … ไม่มีชื่อปลอมและนามสกุลปลอมที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อหลบซ่อนจากภัยพาล ไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว ถึงขนาดที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้ให้ขุนอะไรนั้นไปออกหน้าแทนคดียังไม่เดิน แสดงว่าแบล็กหลังดีมาก ยากที่จะเอาผิดได้ … แบบนี้ไงเวลาถึงล่วงเลยมาถึงป่านนี้ พวกมันรู้ จากการมีชื่อเสียง และถูกจับจ้องผ่านเวทีมวยน้อยใหญ่ในฐานะนักมวยหนุ่มไฟแรง ที่ไม่เคยพ่ายให้กับใคร ว่าไอ้ไม้ยังมีตัวตนเ…แบบนี้ไงผมถึงโดนดักทำร้ายและมีคนจะเอาชีวิต แบบนี้ไงวัดถึงถูกไฟเผาเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย … แบบนี้ไงไอ้ไม้ถึงต้องจากไปเพราะไม่อยากให้พวกเราได้รับอันตราย

   ฮึก ยังไงก็ไม่เอา ต่อไปต้องถูกทำร้ายแค่ไหน ผมก็ไม่อยากจากกัน ผมยอมแล้วยอมเข้าใจทุกอย่าง ช่วยกลับมาได้ไหม ฮึก กลับมาสักที

           “ดีแล้วที่มันจากไปตั้งหลักแบบนี้ เพราะข้าเอ็งก็ไม่มั่นใจว่าจะปกป้องพวกเอ็งได้ เพราะยังไงเอ็งก็สำคัญที่สุดสำหรับข้า ข้าคงทำใจไม่ได้เหมือนกันถ้าเอ็งต้องเป็นอันตรายไปอีกคน เฮ้อ ไอ้โทนเอ้ยไอ้โทน” พ่อดึงผมเข้าไปกอดปลอบ ผมคว้าหมับเข้าที่เอวพ่อและซุกอยู่อย่างงั้น

   แหกปากร้องไห้เสียให้พอใจในวันนี้ ก่อนจะลืมตาขึ้นมายอมรับความเป็นจริง และรอคอยวันที่ไอ้ไม้หรือฟ้าคราม กลับมาเป็นไอ้ไม้เด็กบ้านนอกของผมอีกครั้ง ฮึก รีบๆกลับมานะ คิดถึง อยากกอด อยากหอม อยากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากปากของเอ็งไอ้ไม้ … ข้ารักเอ็ง ฮึก ข้ารักเอ็ง โทนรักไม้มากๆ ฮึก …


.
.
.

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4
-3ปีผ่านไป-



 -เกื้อกูล-



          “โทน ส่ง NSS (น้ำเกลือ) ให้หน่อย” ผมที่กำลังง้วนจัดของในร้านหลังจากที่เอาของมาลง เพราะเมื่อวันก่อนมีคนวางยาน้องหมาทั้งซอย กว่า 10 ตัว เลยต้องใช้เยอะมากกว่าเดิม

   ณ ตอนนี้ ช่วยน้องให้รอดได้ประมาน 5 ตัวแล้ว ย้ายพวกเจ้าตูบไปไว้ในศูนย์พักพิงสัตว์ในตัวเมืองแล้ว เสียไป 1 ตัว เหลืออีก 4 ที่อยู่ในปกครอง ผมกับโทนแทบจะไม่ได้หลับได้นอน เนื่องจากเคสที่ต้องไปตามบ้านก็เลี่ยงไม่ได้เพราะยังมีน้องโคน้องควาย น้องไก่ ที่ยังต้องรอให้โทนเดินสายไปดูอาการ ส่วนผมก็รับบทอยู่ดูแลที่โรงพยาบาลพร้อมกับก้อย สัตว์แพทย์จบใหม่ที่ทำงานเป็นลูกมือของผม ส่วนโทนเองก็มี กั้ง บุรุษพยาบาลหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับก้อย

   ผันตัวมาเป็นสัตว์แพทย์โดยเหตุผลที่ว่า “ชอบหมา” ผมก็งง ๆ ว่าทำไมไม่เรียนสัตว์แพทย์ถ้ายอมทิ้งอาชีพมาสมัครเป็นลูกมือพวกผมแบบนี้ แถมไม่ใช่รักษาสุนัขโดยตรงเสียด้วย ส่วนมากจะเน้นรักษาสัตว์ใหญ่เสียมากกว่า โทนเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนโทนสวนทวารน้องวัว เจ้ากั้งอ้วกด้วย ผมเลยคิดว่าอาจจะต้องปรับตัวไปตามเลือก แต่ผ่านมา ปีนึงแล้ว กั้งก็ยังคงไม่ชิน

   ส่วนผมเองก็ค่อย ๆ ย้ายตัวเองมาอยู่ที่นี้ถาวรแล้ว เพราะพี่กายเลื่อนเป็นผู้อำนวยการใหญ่มีหน้าที่ในการตัดสินใจทุกอย่างแทนคุณแม่ในเรื่องบริษัท เลยให้จ้างพนักงานมาแทนตำแหน่งเลขาแทนผม และช่วยคุยกับคุณแม่ว่าอยากให้ผมตามทำในวิชาชีพที่ผมชอบและเรียนมาอย่างเต็มที่ คุณแม่เลยมีเงื่อนไขคือต้องกลับบ้านอย่างน้อยสามเดือนครั้ง และ ให้คุณแม่มาเยี่ยมได้ตามที่คุณแม่ต้องการ ผมเองก็ไม่ขัดข้อง แต่ต้องบอกผมล่วงหน้าก่อนนะครับ เดี๋ยวลุงทายจะมาหาผมผิดจังหวะ -////-

   “โทน เกื้อขอลังถุงน้ำเกื้อหน่อยครับ” ผมร้องบอกโทนอีกรอบเมื่อเห็นว่าโทนยังไม่ยกลังน้ำเกลือมาให้ผม เฮ้อ …

   ส่วนเรื่องลุงทาย เราสองคนก็ยังสม่ำเสมอ ลุงไปมาหาสู่ผมเป็นปกติ และผมมั่นใจว่าหลายปีที่ผ่านมา มันมั่งคงพอแล้ว ผมอาจจะดีไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่สิ่งเดียวที่ผมเชื่อคือลุงทาย … อีกไม่นานเราคงจะได้บอกกับคนอื่น ๆ ได้เต็มปากเสียที ว่าเรากับลุงทาย … รักกัน หลายครั้งที่ลุงทายอยากจะไปกราบแม่ผมในฐานะแฟนผม และ บอกโทนกับคนอื่นในความสัมพันธ์ของพวกเรา ในตอนแรก ผมเห็นด้วยสุด ๆ เพราะผมเองก็ไม่อยากหลบซ่อน แบบนี้แล้วเวลามองตาใส ๆ ของโทนแล้วผมรู้สึกผิดทุกครั้ง หลายครั้งอึดอัดใจจนต้องแอบไปร้องไห้คนเดียว แต่ … มันไม่ง่ายแบบนั้น พอถึงเวลาที่จะต้องบอกจริง ๆ ผมเองที่เป็นฝ่ายร้องห้ามเสียทุกครั้ง … มันไม่ง่ายเลย เชื่อผมสิ …

   “เอ่อ … พี่โทนพี่เกื้อ … เอาอะไรไหมคะหนูจะไปซื้อของที่เซเว่น” ผมสะดุ้งหันไปมองก้อยที่ยื่นหน้าเข้ามาหาผม เหลือบมองไปทางโทนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ห่างนัก ที่มองผมและก้อยสลับกันอย่างเอ๋อ ๆ

   เฮ้อ … ผ่านมา 3 ปีแล้ว ที่น้องไม้จากไปอย่างไม่มีแม้แต่ข่าวคราว ถึงโทนจะบอกมาเสมอว่าไม่เป็นไร ไม่ได้คิดถึง ไม่ได้เฝ้ารอ ไม่มีน้ำตา ไม่แสดงถึงอาการเสียใจให้ใครเห็น แต่ผมก็รู้อยู่มาโดยตลอด ว่าโทนนั้นปากแข็งแค่ไหน กับการที่จะบอกรักใคร คิดถึงใครสักคน และรู้ดีว่าโทนเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องรออย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้อีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ต่อจากนี้ที่โทนจะต้องรอ … แต่โทนก็เลือกที่จะรอด้วยความเต็มใจ พอคิดแค่นั้น น้ำตาผมก็พาลจะไหลทุกที บางทีผมก็คิดนะ ว่าน้ำตาทั้งหมดของโทนคงส่งผ่านมาทางผมทำให้ผมร้องไห้แทนเองเสียหมด

   “เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ โทษทีพอดีกูเหม่อไปหน่อย”

   “อุ้ย พี่เกื้อเป็นอะไรคะ ร้องไห้ทำไม” ผมรีบหลบตาของโทนที่มองมาที่ผมอย่างงง ๆ ใช้หลังมือเช็ดแก้มทำลายหลักฐานก่อนจะหันมาก้มหน้าก้มตาเก็บของเข้าคลังต่อไป ก่อนที่จะต้องไปดูแลน้องหมาที่นอนอยู่ในห้องฉุกเฉินต่อ

   “ปะ เปล่า ไม่มีอะไร พี่ฝากซื้อมักกะโรนีไก่สองกล่องนะ” ผมหยิบเงินส่งให้ก้อย และสั่งข้าวกลางวันของผมและโทนไปด้วยเลย

   น้องก้อยรับเงินและออกไปจากโรงพยาบาลสัตว์เล็กๆของพวกเรา ทันใดนั้นทั้งร้านก็เกิดความเงียบในทันที เจ้ากั้ง วันนี้เองก็ลาไปทำธุระ ตอนนี้ผมเลยอยู่กับโทนสองคน มองเห็นโทนแล้วก็ทั้งสงสารและสะท้อนบางอย่างกับตัวเอง แต่ในกรณีของผม … คนที่ผมรักยังคงอยู่ตรงนี้เป็นหลักประกันว่าความรักของผมมันยังคงไม่แตกสลาย แต่ของโทน … ไม่มีอะไรเลย ไม่มีทั้งหัวใจ ทั้งความรู้สึก ไม่ใช่โทนคนเดิม ถึงเจ้าตัวจะพยายามทำให้มันเหมือนเดิมขนาดไหนก็ตาม

   “ไอ้เกื้อ”

   “ฮะ ว่างายยยยย” ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติ หันไปยิ้มให้โทนที่เดินมานั่งยองๆลงข้างๆ ท่าทางเหมือนจิ๊กโก๋แต่หน้าน่ารักเหมือนเด็กซนๆนั้นไม่ให้เอาซะเลย

   “กูไม่เป็นไร มึงอย่าห่วงให้มันมากนัก ไม่มีใครตาย มึงจะร้องไห้ทุกครั้งที่มองหน้ากูแบบนี้ไม่ได้ สามปีแล้วมึง สามปีแล้วที่กูรอ กูชิน สบายๆ ฮ่าๆๆๆๆ” โทนพูดไปหัวเราะไป เอามือมาวางบนหัวผมและยีเหมือนผมเป็นลูกหมา เท่านั้นเหมือนทั้งเรื่องผมและเรื่องโทนมันตีผสมปนเปกันมั่ว ผมพุ่งเข้าไปกอดโทนซุกตัวร้องไห้อยู่อย่างงั้น… สู้ๆนะโทน เดี๋ยวเกื้อรอเป็นเพื่อนนะ

.

.

.

         “เป็นอะไรวะ”

   เสียงลุงทายกระซิบขึ้นข้างหูของผม ก่อนจะกระชับกอดจากด้านหลังแน่นเข้าไปอีกหน้าอกซิกแพคหนาของเขาแนบชิดกับแผ่นหลังเปลือยของผม ผมหันไปยิ้มก่อนจะหอมแก้มสากนั้นเบาๆ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่หนวดเริ่มขึ้นเป็นตอเล็ก ๆ ตาสีดำสนิทคมเข้ม โครงหน้ากรามชัดหล่อเหลา ริมฝีปากหยักได้รูป ที่ทำให้ทุกคนหลงใหล … คน ๆ นี้คือคนที่ผมรักหมดใจ

           “ดึกแล้วนะครับ กลับไปดูโทนเถอะ” ผมกระซิบบอกเขากลับ

   แต่อย่างลุงทายหรือจะยอมทำตามที่ผมบอกพลิกตัวไปนอนหงายเอาแขนหนุนหัวตัวเอง เหมือนจะเป็นสัญญาณว่า อยากจะนอนอยู่บนเตียงอันคุ้นเคยนี้ตลอดทั้งคืน ผมหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะหันไปเอาแก้มหนุนอกแกร่งและกอดลุงทายเอาไว้ ทำตัวเป็นเด็กเลยดูสิ

           เราสองคนพัฒนาความสัมพันธ์มาอีกขั้นเมื่อปีที่แล้ว ในคืนนั้นผมจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่รู้ว่าในคืนนั้นลุงทายมาหาผมปกติ แต่ตอนจะกลับดันติดฝนกลับไม่ได้ … -/////- เรื่องราวมันก็เลยลงเอยอย่างที่เห็น ลุงทายก็เลยรั้นหนัก ในช่วงหลังที่จะพาผมไปกราบเท้าแม่ผมตลอด ใจนึงผมก็ดีใจ อีกใจ ผมก็คิดว่ายังไม่ถึงเวลานั้นเลย ถึงผมจะรู้สึกผิดมากก็ตามแต่ … ผมยังไม่มีความกล้ามากพอกับการที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ให้บุคคลที่สามรู้ อยู่แบบนี้ก็ดีนะ …

           “ไม่เป็นห่วงโทนเหรอครับ”

           “หยุดคิดเรื่องไอ้โทนสักนาทีได้ไหม” ลุงทายทำเสียงอ่อนอย่างรำคาญและพลิกตัวตะแคงข้างหันหลังให้ผม หว่า ผู้ใหญ่งอนซะแล้ว เฮ้อ …

           ผมหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นเอื้อมตัวไปหยิบเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ที่หล่นอยู่ที่พื้นมาใส่ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำใหม่ ก่อนที่จะลงมือง้อเด็กโข่ง ผมน่ะนะเป็นห่วงโทนอยู่แล้วลำพังผมหลับคนเดียวได้ไม่เป็นไร แต่คนที่ต้องการกำลังใจที่สุดคือโทนต่างหาก ไม่ใช่ผม อีกอย่าง ช่วงนี้ลุงทายมาที่นี้บ่อยมาก กลัวว่าสักวันถ้าโทนอยากคุยกับใคร จะไม่มีใครไว้ให้คุย …

.

.

.



           ร่างเล็กขี้อายของเกื้อเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยกลิ่นตัวคลุ้งหอมไปทั่วทั้งห้องนอนที่เปิดไฟหัวเตียงไว้เพียงแสงสลัว กะจะปลุกคนตัวใหญ่ที่ตนคิดว่าเผลอหลับไปแล้วด้วยอารมณ์กรุ่น แต่ก็หารู้ไม่ว่ากำลังโดนแกล้งกลับ

   ลุงทายหลับตานิ่งก่อนจะได้ยินเสียงเกื้อเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่ตั้งอยู่เยื้องกับหัวเตียง มือขาวหยิบแป้งเด็กขึ้นมาทาทั้งตัวเหมือนเด็กตัวน้อย ๆ ชุบแป้งทอด เกื้อรู้เพียงว่าทำแบบนี้แล้วหลับสบายแถมหอมด้วย ทาไปก็เหลือบมองลุงทายไป แอบเห็นว่าลืมตาขึ้นมามองหน่อย ๆ ด้วยเลยยิ้มหวานให้ แต่ลุงทายก็ทำเป็นหลบหน้าพลิกนอนคว่ำไปเสียนี้

           เกื้อหัวเราะอย่างอ่อนใจ ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปนั่งพับเพียบลงที่พื้นฝั่งลุงทายเนื้อตัวหอมนั้นทำให้คนแกล้งหลับแทบจะตวัดเด็กน้อยขึ้นมาจับกดอีกสักรอบเสียให้ได้แต่ต้องอดใจไว้รอดูภรรยาสุดที่รักว่าจะทำอย่างไร

           “ลุงทายครับ” เจ้าของชื่อแอบสะดุ้งเมื่อมือเย็นของสุดที่รักแตะลงมาที่แผ่นหลังเปลือยของเขาแต่ด้วยความใจแข็งดั่งเหล็กกล้าที่ถูกหลอดละลายมาด้วยน้ำมือของเด็กน้อยแล้ว ก็ต้องนิ่งเอาไว้ก่อน

           ความจริงก็ไม่ได้โกรธอะไรเจ้าเด็กเกื้อขี้เป็นห่วงแถมขี้แยนั้นหรอก แต่ออกจะรำคาญไปสักนิดที่วัน ๆ เอาแต่มองเรื่องของคนอื่น ทั้งที่เรื่องของตัวเองก็เยอะพออยู่แล้ว ปู่ทายนั้นเลี้ยงพ่อโทนมากับมือทำไมจะไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นนิสัยยังไง ไม่ได้อ่อนแออะไรขนาดนั้น และเลือกที่จะปรับตัวไปตามสถานการณ์ได้ดี จิตใจมั่งคง แนวแน่ และที่สำคัญ เข้มแข็งเสียยิ่งกว่าผู้ชายแมน ๆ กล้ามใหญ่บางคนเสียอีก

           จริงอยู่ที่ ณ เวลานี้โทนเองก็ยังคงเฝ้ารอความรักที่จากไป แต่ก็ยังทำกิจกรรมอย่างอื่นได้ในชีวิตประจำวัน ยิ้มได้ หัวเราะได้ กินได้ หลับได้ มีบางครั้งที่อาจจะเหงาเพราะความคิดถึงบ้างก็ไม่แปลกเท่าไหร่นี้ มีเพียงเด็กคนนี้เท่านั้นที่ยังไงหวงไม่เข้าเรื่อง จนต้องทะเลาะกันหลายยก และส่วนมากปู่ทายเองนั้นแหละที่หงุดหงิดเสียเหลือเกิน

           “ลุงทายครับ ไปอาบน้ำนะจะได้นอนสบาย ๆ ไง”

           “ทำไม ไม่ไล่ข้ากลับแล้วหรือไง”

           “อ้าวตื่นแล้วเหรอครับ คิก” เกื้อเอามือปิดปากและหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นว่าคนตัวใหญ่พลิกตัวมาถามอย่างรวดเร็วเหมือนเด็กๆ

   ลุงทายรู้ทันทีว่าเสียรู้เด็กเลยแกล้งตวัดแขนพาร่างเล็กของเกื้อขึ้นมานอนบนอกแกร่ง เกื้อไม่แม้แต่จะโวยวายหรือแสดงความดีใจออกมา ได้แต่หลับตาตักตวงความสุขไว้ให้มากที่สุด ลุงทายถอนหายใจอย่างอ่อนใจกับเด็กคนนี้ ที่ไม่เคยเรียกร้องอะไรให้ตัวเองเลย มีแต่ความหวังดี จริงใจให้กับคนอื่น แต่กับเรื่องของตนเองกับมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่จำเป็นต้องสนใจ สำหรับลุงทาย ไม่ว่าจะโทน หรือ เกื้อ ก็สำคัญด้วยกันทั้งสิ้น

   ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ ลุงทายก็พร้อมจะจัดการให้จบสิ้นเพียงแค่ใครสักคนเอ่ยปากบอกตามบัญชา ถ้าโทนต้องการให้ตามหาเจ้าไม้ เขาพร้อมที่จะตามหาให้อาจจะยากไปสักหน่อย แต่ก็เชื่อว่า เส้นสายในวงการก็ไม่ใช่น้อย ๆ น่าจะพอได้ข่าวอะไรบ้าง แต่โทนเองก็ไม่เคยร้องขอให้เขาออกตามหาเพราะเชื่อในกระดาษแผ่นนั้น คำสัญญาที่ให้ไว้ ว่าสักวันลูกไม้จะกลับมาด้วยตัวของเขาเองจนล่วงเลยผ่านมาหลายปี

   เช่นเดียวกับเกื้อ เองที่มีแต่ความลังเลในความรู้สึก มันชัดเจนเพียงความรักและความกลัว แต่ไม่เคยสะท้อนความมั่นใจที่จะปลดปล่อยความหนักใจให้หมดสิ้น ต่างจากตัวลุงทายเองเป็นชายชาติไทยแท้ พร้อมที่จะชนกับทุกอย่าง พร้อมที่จะปกป้อง และรับความจริงเพราะอย่างไรลุงทายเองก็ไม่คิดที่ปล่อยมือเกื้ออีกแล้ว มันชัดเจนมาตลอดหลายปีว่าไม่มีผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนทำให้เกราะกำบังที่ปิดกั้นความรักพังได้เท่ากับสายตาอันอ่อนโยนของเด็กน้อยใจอ้อมกอดคนนี้ได้อีกแล้ว เหมือนดั่งโชคชะตาที่ทำให้ผูกติดกับเด็กคนนี้เพียงคนเดียว …

   “ลุงทาย”

   “…” ลุงทายไม่ตอบอะไรเพียงแต่หยุดนิ่งฟังสิ่งที่เกื้อจะพูด

            “มีความสุขไหมครับ”

           “เออ” เขาตอบและลืมตาก้มมองหน้าใสที่ซบอยู่หน้าอกเปลือยของเขาว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ แต่ก็มองไม่ชัดเห็นเพียงกลุ่มไรผมสีน้ำตาลอ่อนที่ดูนุ่มนวลเช่นเดียวกับเจ้าของ ณ เวลานี้คงจะมีแต่ตัวของเกื้อเองที่จะอธิบายความรู้สึกเวลานี้ได้

           “ถ้าเราบอกทุกคนไป แล้ว … เราต้องเลิกกัน เราจะทำยังไงกันดี เราปิดบังทุกคนมานานมากเลยนะครับ นานจริงๆ ผมกลัวจังเลย กลัวมากๆเลย ฮึก … ผมอ่อนแอมากเลย ฮึก แต่ผมกลัวจริงๆนะ กลัวทุกคนผิดหวัง คุณแม่ พี่กาย พี่เมย์ โทน น้องไม้ ลุงจันทร์ ลุงทิม พี่แสง พี่เมฆ ฮึก ป้าที่ตลาด ลุงคนขับรถ กลัวมาก ๆ เลย … แต่ผมก็รักลุงทายมากเลยนะ ฮึก รักจริง ๆ นะครับ”

           “พูดจบหรือยัง”

           “ฮึก ผมขอโทษ…” ร่างเล็กซุกหน้าเช็ดน้ำตากับอกแกร่งนั้นซ่อนใบหน้าเด็กขี้แยเอาไว้ใต้ความแข็งแกร่ง

   ลุงทายถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ถึงภายนอกจะดูนิ่งขรึมแต่ภายในใจนั้นลุกลี้ลุกลนและไม่เคยชินกับน้ำตาของเด็กคนนี้สักที ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เห็นเด็กคนนี้ร้องไห้ ก็เหมือนกับความเศร้าของทุกคนในโลกมารวมกันอยู่ที่เกื้อ มันทำให้เขาเกิดอารมณ์ที่ไม่เหมือนคนอื่นเท่าไหร่ นอกจากเอ็นดูสงสารยังผสมปนเปไปกับความหื่นอีกด้วย

           “เฮ้อ เลิกกลัวอะไรไร้สาระสักทีได้ไหมวะ” ลุงทายดันเกื้อให้ลงไปนอนข้าง ๆ ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นนั่งคว้าเอาผ้าขาวม้ามาผูกเอวและหันไปหยิบบุหรี่หัวเตียงเดินออกไปที่ระเบียงห้องนอน

   ปล่อยให้เกื้อนอนซบหมอนร้องไห้ฮัก ๆ อยู่บนเตียงอย่างน้อยอกน้อยใจ แต่เด็กน้อยก็ไม่เคยรู้เลยว่า ตอนนี้ลุงทายเองก็กำลังสงบสติอารมณ์ไม่จับเด็กน้อยกดให้ช้ำไปมากกว่านี้ เพราะความสงสารกลัวจะบอบช้ำเกินไป เห็นบอกว่าพรุ่งนี้มีงานเช้าต้องรีบกลับไปดูอาการน้องหมาที่โรงพยาบาลแทนก้อย

           ควันบุหรี่ถูกพ่นออกมาตามจังหวะลมหายใจ ตาคมเหม่อมองไปบนฟ้ายามดึกที่ดวงดาวกำลังส่องประกายไปทั่วทั้งฟ้า จันทร์ทรายามนี้ดูสวยสดไม่เหมือนกันเด็กน้อยของเขาที่เศร้าหมอง ไม่รู้จะโอบกอดยังไงถึงจะทำให้เด็กคนนี้หายหวาดกลัว หลายต่อหลายครั้งที่คุยกัน เกื้อไม่เคยเข้าใจเลย ว่าเขาสามารถปกป้องเขาได้ แต่ไม่เคยเข้าใจเลย ว่าเขารักเด็กคนนี้มากขนาดไหน ไม่มีทางที่จะเลิกด้วยเหตุผลไม่เข้าเรื่องแบบนั้นแน่นอน อีกอย่าง เกื้อเองก็อายุไม่น้อยแล้ว การตัดสินใจทุกอย่างสมควรที่จะเด็ดขาดด้วยตนเองได้แล้ว ลุงทายเชื่อว่า คนที่บ้านใหญ่ของเกื้อต้องเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่อย่างงั้นมีหรือที่จะปล่อยให้เด็กตาดำๆไม่รู้เรื่องรู้ราวมาอยู่ห่างหูห่างตาแบบนี้ ยิ่งพี่ชายของเกื้อที่รู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดียิ่งกว่าใครยิ่งไม่ต้องเป็นห่วง ที่จะห่วงก็ตัวของภรรยาตัวน้อยของเขาเองกับความรู้สึกของเจ้าโทนนั้นแหละ

           “ฮึก …” เสียงสะอื้นเล็ก ๆ เย็น ๆ ดังขึ้นเบื้องหลังของร่างแกร่ง เขาเหลือบไปมองก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ เหยียดยิ้มน้อยๆกับตัวเองและบี้บุหรี่ในมือทิ้ง

           ก่อนจะหันไปมองเด็กน้อยอย่างเต็มตา ตอนนี้ภาพตรงหน้าช่างดูเหมือนเทวดาน้อย ๆ ที่ใส่เพียงเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของเขามือทั้งสองข้าวกำชายเสื้อของตัวเองแน่น ผิวกายขาวละเอียดชมพูระเรืองขึ้นเพราะร้องไห้หนัก หน้าที่ที่อ่อนโยนและน่ารักแดงไปทั่วทั้งหน้า ปากน้อยเบะร้องไห้เหมือนเด็ก ตากลมหลั่งน้ำตาใสออกมาไม่หยุดด้วยความน้อยอกน้อยใจ พยายามสกัดกั้นอารมณ์ความรู้สึกที่ล้นปรี่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ความกลัวที่เกาะกินหัวใจอันบริสุทธิ์แทบจะทุกส่วนทำให้ปิดกั้นความรู้สึกเข้มแข็งไปด้วย

           “เอ็งจะร้องทำไมนักหนาไอ้เกื้อ” เสียงแหบของลุงทายเหมือนจะดุน้องน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่มีความแข็งกระด้างอยู่ในตัวเองที่สิ่งทำให้เด็กขี้แยและอ่อนต่อโลกนั้นหลงรักมานานแสนนานเพราะมันไม่มีความเสแสร้งเจือปนอยู่ในคำพูดนั้น ถึงจะแข็งกระด้างแต่จริงใจเป็นที่สุด

           ร่างเล็กปล่อยโฮออกมาเสียงดังก่อนจะวิ่งเข้าไปหาลุงทายและกอดร่างนั้นเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ใบหน้าขาวซุกอยู่ที่อกอยู่อย่างงั้น สมกับเป็นพ่อของโทน ความอบอุ่นในอ้อมกอดนั้นแทบจะเหมือนกันเพียงแต่ว่าของลุงทาย แข็งแกร่งและปลอบปะโลมเทวดาตัวน้อยได้มากกว่า

           “ขอโทษ ฮึก ผมขอโทษที่ทำให้รำคาญ ฮึก แต่อย่าไม่รักเกื้อเลยนะ ฮึก ” ร่างสูงเกือบจะหัวเราะออกมาเมื่อคำพูดน่ารักๆของน้องน้อยในอ้อมกอดเปล่งออกมาพร้อมสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารและก็น่ารักซะเหลือเกิน

           “พอๆ พอแล้ว จะร้องทำไมนักหนา น้ำตาจะท่วมโลกแล้ว”

           “ฮึก ผมขอโทษษษษษษษ”

           “เออๆ รู้แล้วน่า หยุดร้องสักที ข้าไม่ทิ้งเอ็งหรอก อยู่กันมาตั้งนานถ้าเอ็งเป็นผู้หญิงคงท้องไส้ไปนานแล้วขนาดนี้ หึหึ ”

   แทนคำตอบหมดทุกสิ่งคนปากแข็งใจกระด้างอย่างลุงทายก็คว้าเอาเด็กน้อยขึ้นมาจูบเสียให้หายคิดมากอย่างที่เด็กน้อยไม่ทันจะตั้งตัว น้องเกื้อดิ้นคลุกคลักๆในอ้อมกอดแกร่งนั้นเล็กน้อย ก่อนจะยอมศิโรราบแต่โดยดีเมื่อโดนจู่โจมหนักขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะดูป่าเถื่อนแต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงแหนและความรักอยู่เต็มความรู้สึกนั้นของลุงทาย ถึงอายุจะห่างกันมาก ในสถานะที่แตกต่าง มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับความรักที่เริ่มใหม่ของลุงทายและรักแรกของเด็กน้อย …

           “ไอ้เกื้อกูนอนไม่หลับมากินเหล้ากัน โว้วววววววววววววววววววววววววววว!!!!!!!”

           “ทะ ทะ โทน!”

.

.

.



-ทาย-

           ให้ตายสิ ไอ้เด็กเวรตะไลเสือกมาขัดจังหวะพ่อมันเสียได้ เกือบจะได้แอ้มอีกสักดอกแล้วแท้ๆ ไม่รู้สิทุกครั้งที่ไอ้เด็กนี้ร้องไห้ข้ามักจะมีอารมณ์ตลอด อาจจะดูโรคจิต แต่เวลามันร้องมันกลับดูเซ็กซี่เย้ายวนใจข้าอย่างประหลาด เอาความจริงนะ ข้าไม่รู้จะปลอบใจยังไงที่เมียข้าร้องไห้กับเรื่องพันธุ์นี้เพราะยังไงก็คิดมากอยู่ดี ข้าเลยคิดว่าที่ไอ้เด็กห่าเวรตะไลลูกผมมาเจอให้เห็นเองกับตาในคืนนี้มันอาจจะดีกับทุกคนแล้วก็เป็นได้ ความสุขพ่อกับเมียพ่อมันที่เป็นเพื่อนมันด้วย ยังไงมันก็ต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว ข้ารู้จักลูกข้าดี แต่เอ็งก็มาผิดจังหวะไปหน่อยหรือเปล่าวะไอ้โทน

           ข้านั่งกอดอกอก มองไอ้โทนที่ตาค้างยังไม่เลิกจ้องมองมาที่ข้ากับไอ้เกื้ออย่างไม่ละสายตา ก่อนจะก้มลงมามองไอ้เกื้อที่นั่งก้มหน้ามองมือตัวเองอยู่ข้าง ๆ อย่าร้องไห้นะโวยเดี๋ยวข้าจะหักห้ามใจตัวเองไม่ไหว ฮ่าๆๆ

           หลังจากที่ไอ้โทนแหกปากร้องลั่นบ้าน ก็ได้ข้อสรุปว่ามันนอนไม่หลับเลยปั่นจักรยานออกมาซื้อเหล้าซื้อเบียร์กะจะมาก๊งกับไอ้เกื้อ แต่ดันเห็นภาพเด็ดช็อตสำคัญซะได้ ข้าเลยต้องพามันสองคนที่จิตตกและเอ๋อพอกันมานั่งที่โซฟาในห้องรับแขกเสียก่อนที่จะพากันมานั่งจ้องหน้าอย่างที่เห็น

           “พะพ่อกับอะ ไอ้เกื้อ … อะเอ่อ … จั๊กดึมดึ๊ย กันหรอ”

           “จะ 10 ปีละ” ข้าตอบแทนแต่ก็โดนเมียรักฟาดที่แขนดังเพี๊ยะ เจ็บนะเนี้ยเดี๋ยวก็จับฟั๊ดมันตรงนี้ซะเลย

           “ห๊า!!!! งั้นก็ตั้งแต่ผมไปเรียนเลยอ่ะดิ๊ พ่อนะพ่อ ทำไมต้องแอ้มเพื่อนผมวะ!”

           “มะ ไม่ใช่นะโทน … ไม่ใช่ 10 ปี แค่หลังจากมาอยู่ที่นี้เท่านั้น …” ไอ้เกื้อพยายามแก้ต่างด้วยเสียงอ่อย ก้มหน้าทำท่าจะร้องไห้เมื่อรู้ว่าไอ้โทนจ้องมองอยู่

   ผมเริ่มสงสารมากขึ้นเพราะรู้ดีว่าเมียรักหวงความรู้สึกของไอ้โทนมากแค่ไหน แต่จะช้าหรือเร็วมันก็ต้องรู้อยู่ดีนั้นแหละ สำหรับข้า ข้าว่าดีแล้วที่เป็นแบบนี้ รำคาญไอ้เกื้อที่มาร้องไห้ทุกครั้งที่คิดมากนั้นแหละจะได้แฮปปี้เอนดิ้งสักที

           “เฮ้ย ๆ จะร้องไห้ทำไมวะ กูว่าแล้ว มึงชอบแอบไปคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้บ่อยๆบางทีก็หายไปซะเฉย ๆ ตาลุงเองก็ชอบหายไปตอนหัวค่ำทู๊กคืนนนนนนนน สาดดดดดดด มีที่ไหนจากเพื่อนจะมาเป็นแม่เลี้ยงกู พ่ออีกคน อะไรวะ ผู้หญิงตามจีบทั้งตำบลดั๊นนนนนมาเอาเพื่อนผมเนี้ย!” ไอ้โทนโวยวายไปตามภาษาคว้าเอาก้อนน้ำแข็งในถุงที่เริ่มละลายของมันออกมาเคี้ยวกรุบ ๆ จ้องมองมาที่ผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

   ไอ้ห่าว่าแต่กู มึงเองก็เก้งกวางกับไอ้ไม้เหมือนกันละว๊า อย่าคิดว่ากูโง่สิ ยังไงความรักก็บังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว กูน่ะชอบผู้หญิงนะ ถ้าให้นอนด้วยอะกูไม่ขัด แต่สำหรับคนที่กูรักและอยากจะปกป้องอะ ก็มีแค่ไอ้เกื้อเท่านั้นแหละ

   “รู้งี้แล้วก็กลับบ้านไปได้และข้าจะนอนกับเมียข้าสักที มาป่วนซะได้ไอ้ห่า”

   “ลุงทาย!!!!” ไอ้เกื้อเงยหน้าขึ้นมาตะคอกและปัดมือข้าที่โอบไหล่มันลง … โอ้ววววว ตั้งแต่ได้เสียกันมาก็มีรอบนี้นี้แหละที่มันกล้าหือกับข้า ดูเหมือนจะไม่พอใจเอามากๆซะด้วย

   ไอ้เมียรักไม่สนใจข้าปรี่เข้าไปหาไอ้โทนและจับมือทั้งสองข้างของไอ้โทนมากุมเอาไว้ในมือเล็กๆของมันก่อนจะพรำขอโทษออกมาไม่ขาดสาย น้ำตาไหลออกมาเช่นเดียวกับคำขอโทษนั้น ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่มองเหลือบขึ้นข้างบนอย่างเซ็ง ๆ ไอ้โทนมันไม่ได้อ่อนแอข้าเคยบอกไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ๆ และมันไม่ได้เป็นคนที่หวงพ่อมันขนาดนั้น บางทีมันอาจจะหวงไอ้ไม้มากกว่าพ่อมันซะอีก เพราะความเป็นพ่อลูกกันมันเลยทำให้ข้ารู้เรื่องความรู้สึกของมันดี เลี้ยงมากับมือ ทำไมจะไม่รู้ว่าตอนนี้มันรู้สึกยังไง มีแค่ไอ้เมียรักเท่านั้นแหละที่กังวลอะไรไม่เข้าเรื่อง

   “โอ้ยยยยยยยยย พอแล้วๆๆๆ จะร้องทำไมนักหนา ก็บอกไม่ได้โกรธไง … แล้วบ้านใหญ่รู้เรื่องหรือยัง”

   “ยะ ยังเลย”

   “พ่อ ทำไมไม่ไปสู่ขอเพื่อนผมอะ ปล่อยเวลามานานแบบนี้ได้ยังไง โว๊ะ ! เซ็งจังโว้ย แก่แล้วยังจะกินเด็กอีก โอ๊ย!เจ็บนะ” ก็เขวี้ยงให้เจ็บนะสิไอ้ห่า

   ข้าคว้าเอากล่องใส่กระดาษชำระใกล้มือปาหัวไอ้ลูกเวร ลามปรามดีนักและถือเป็นเรื่องปกติ เพราะกูเลี้ยงมันมาแบบนี้มันถึงได้โตมาอย่างที่เห็น หน้าตามันเหมือนมะลิแม่ของมัน แต่ความกวนตีนนี้ไม่รู้เหมือนใคร

   “เชอะ เอ็งรักไปได้ไงวะ ป่าเถื่อนฉิบหาย”

   “… ทะ โทนไม่โกรธแน่นะ”

   “เออสิวะ จะโกรธทำไม … เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วนี้ไอ้สาดดดดดด”

   ไอ้โทนตะโกนใส่หูไอ้เกื้อ จนมันต้องย่นคอและทำหน้าสลดออกมาแต่ก็ต้องหัวเราะคิกคักเมื่อเงยหน้าเห็นหน้าไอ้โทนที่ทำจมูกเชิดขึ้นเหมือนนางร้ายในละครน้ำเน่า  เห็นมันยิ้มได้ก็รู้ว่าตอนนี้มันคงโล่งใจไปหลายกระเปาะ หึหึ

   “หัวเราะอะไรวะ”

   “ปะ เปล่า ๆ โทนทำหน้าตลกเฉย ๆ”

   “เฮ้อ แล้วนี้จะมีน้องให้กูอุ้มเมื่อไหร่”

   “บะ บ้า”

   กูหัวเราะออกมาทันทีที่เห็นไอ้โทนเย้าเมียรักของกูเล่นจนไอ้เกื้อต้องมุดหน้าหนีอย่างเขินอาย ไอ้โทนหัวเราะร่าตบบ่าตบหลังไอ้เกื้ออย่างแซว ๆ ก่อนจะหันมามองผมและชูกำปั้นทำหน้าเอาเรื่องใส่ … สรุปข้าหรือไอ้เกื้อกันแน่ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของมัน แต่ก็เอาเถอะ กูถือว่าแฮปปี้เอนดิ้งละนะ จะเหลือก็ฝั่งไอ้เกื้อนั้นแหละ ที่กูไม่ยอมแพ้หรอก ความจริงถ้าไอ้โทนมาพร้อมแม่ไอ้เกื้อเห็นช็อตเด็ดเมื่อกี้ก็จบละ จะเอาสินสอดสักกี่ล้านดีละคุณนายครับ ยังไงลูกเขยก็อายุเท่า ๆ กับคุณแม่ เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคุยสักคนแล้วกัน ฮ่าๆๆๆๆๆ

   “ยิ้มอะไรพ่อ คิดแผนจะแอ้มเพื่อนผมหรือไง พอเลย ต่อจากนี้ไอ้เกื้อไปอยู่บ้านกับผมส่วนพ่อก็มานอนนี้ จนกว่าจะไปสู่ขอให้ถูกต้องซะก่อน”

   “เฮ้ย ! ได้ไงวะ ไอ้เกื้อมานี้” ข้ารีบเรียกไอ้เกื้อเมียรักที่นั่งเอ๋อไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่ไอ้โทนไม่ยอมหันไปทำตาถลนใส่ จนไอ้เกื้อต้องยอมนั่งเฉย ๆ ส่งสายตาลูกหมามาหาข้าแทน

   “พอเลย ไปไอ้เกื้อกลับบ้านดีกว่าไม่ต้องไปสนใจตาแก่นี้หรอก”

   “เฮ้ยยย ไม่นะโว้ย”ข้าร้องโวยวายขึ้นอีกรอบวิ่งตามไอ้เกื้อที่ถูกไอ้โทนลากลงจากบ้านไปแล้วด้วยความเร็วสูง แต่ก็ต้องชะงกเมื่อรู้สึกว่าตัวเองใส่แค่ผ้าขาวม้าผืนเดียว

   ไอ้แต่ยืนมองไอ้เกื้อซ้อนจักรยานไอ้โทนไปไม่วายหันมาปิดปากหัวเราะเยาะผมอีกแหนะ … สาดดดดดดดดดดดดดด ไอ้ลูกเวรตะไลขโมยเมียพ่อมัน!!!!!!!! เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนพรุ่งนี้ธนาคารเปิดเมื่อไหร่ข้าจะไปเบิกขึ้นและแห่ขันหมากเข้าเมือง!!!!!!







===============



ป๊าดดดดดดดดดดดดดด ยอมรับว่าตัดตอนผิดใน ตอนที่แล้ว เลยอัพรวมไปเลย



ใครรอลูกไม้อยู่ภาวนากันไม่ให้พ่อโทนแก่ก่อน อีกกี่วันกี่คืน กี่ปีจะกลับมานะลูก

 

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :m20: เรื่องลุงทายรอดแล้ว
เหลือลูกโทนละ จะกลับมาแบบไหน :hao5:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โทนกวนตีนอ่ะ พรากเมียพรากผัว 55555 อาร๊ายยยยเขินฉากกอดฉากจูบของลุงทายน้องเกื้อไม่ไหวแล้ว >.,< -///- ชอบอ่ะชอบ  :-[ รีบไปขอรอเมียมานอนด้วยนะลุง 555

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ไม้จะกลับมาตอนพ่อโทนแก่เลยเหรอ  :hao6:

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4



พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 16 6 ปี ผ่านไป ไวเหมือนโกหก


   

   ปฏิทินที่ฉีกแล้วฉีกอีก เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ไม่รู้ว่ากี่ทีกี่รอบแล้ว ผมเองก็ไม่ได้นับเหมือนกัน แต่ดูจากตัวเลขแล้ว บวกลบคูณหาร อายุก็ปาขึ้นไปเลขสามละ เฮ้อ เลขสวยซะด้วย 30 ขวบ น้องโทนยังน่ารักนะเอ่อ ไม่แก่สักหน่อยแค่ สิ้นเดือนนี้ก็ 31 และ เฮ้อ … ไม้จากไปตอนอายุ 18 เลขอาถรรพ์ ซะด้วย  นั้นละ 6 ปีละ 6 ปีที่ไม่ได้รับข่าวคราวอะไรจากมันเลยไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง จะอยู่จะกิน จะนอนยังไง …

   ผมได้แต่เห็นห่วงมันเช้าเย็น จากที่มีแต่ความเศร้าในทุก ๆ วัน มันกลายเป็นความชินเฉยชา กลายเป็นบุคคลที่ไร้ความรู้สึกได้แต่พึ่งหน้ากากสวมไว้ให้ทุกคนสบายใจ นานแล้ว นานมาก จนผมไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ที่ไอ้ความรู้สึกชินชานี้จะหายไป เมื่อไหร่ … ผมจะได้ถอดหน้ากากนี้สักที เฮ้อ … ป่านนี้มันคงอายุ 24  ปี สินะ หึหึ เท่ากับตอนข้าเรียนจบใหม่ ๆ เลย … หึหึ รีบกลับมาสิเฮ้ย ก่อนที่พ่อมึงจะหง่อมตายห่าซะก่อน แต่ถ้ายังไม่พร้อมแล้วอยากให้รอต่อไป … เอาเถอะ ยังไงก็จะรอ … จะรอจนกว่าจะทำตามสัญญาที่เคยให้กันไว้ …

   “โทนกลับมาพอดีเลย กินข้าวได้แล้วนะ”

   ผมที่เลี้ยวจักรยานเข้ามาในบ้านปุ๊บ ไอ้สามเสือตระกูลผักก็วิ่งดุ๊กเข้ามาหา เสียงเห่าของหมาเกือบแก่อย่างพวกมันดังสะเหนาะหูดีจัง เฮ้อ…แต่พิษของกาลเวลา มันรังแกมีมี่น้องสาวของผมก็หมดอายุขัยไปในอ้อมกอดของผม … ผมเป็นหมอหมาก็จริง แต่ผมไม่สามารถหมุนเวลากลับไปเพื่อรั้งชีวิตของมีมี่ได้ … แต่ผมก็ได้ทำให้น้องผมไม่ทรมานและจากไปท่ามกลางความรักและอาลัยของพวกเรา

   “เสร็จแล้วเหรอ โทษทีนะที่ต้องให้ช่วยอยู่ตลอด ช่วงนี้งานลงพื้นที่เยอะมากเลย”

   “ไม่เป็นไร นี้ไงละเกื้อบอกเกื้ออยากช่วยก็ไม่เอา” ไอ้เกื้อที่เดินมาแย่งกระเป๋าหมอของผมไปถือเอาไว้ทำหน้ามุ่ย

    ตั้งแต่มีผัวเป็นตัวเป็นตนนี้ รู้สึกออร่าความสาว จะสวยขึ้นเยอะเชียวนะ ไม่อยากจะเมาส์วันที่ไปสู่ขอถึงบ้านคุณหญิงนะ น้ำตาไอ้เกื้อนี้แตกราวกับจะกำเนิดแม่น้ำใหม่ของประเทศไทยผ่าตัดผ่านหน้าบ้านมันจนมาถึงหน้าบ้านผม แต่สุดท้ายคุณหญิงก็ได้พ่อผมไปเป็นลูกเขยพ่วงท้ายด้วยตำแหน่งเพื่อนคุยเพราะอายุเท่ากัน ค่อนข้างผิดคาดกับพี่ผมคิดไว้ว่าจะเกิดดราม่า แต่เห็นว่าพี่กายพี่ชายไอ้เกื้อรู้เรื่องตั้งนานและพยายามกระแซะ ๆ คุณหญิงแม่ไว้ให้ บวกกับท่านไม่คิดว่าลูกชายคนเล็กจะมีเมียกับเขาแหละมั้ง กูดูหน้ามันสิ หวานซะขนาดนี้ เอาเถอะคุณหญิง มีลูกเขยเป็นเพื่อนนี้ไม่เหงานะครับคุณหญิงแม่  ฮิฮิ

   ไอ้เกื้อก็กลายเป็นแม่เลี้ยงผมไปโดยปริยาย ถึงจะมีพวกขี้เม้า แต่ก็ไปเรื่อยแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรับรู้ แต่ถ้าใครจะรู้จะเสือกก็ตามสบาย ผมถือว่า ณ ตอนนี้ครอบครัวผมมีความสุขก็พอ อีกอย่างไอ้เกื้อมันก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ทำงานเหมือนเดิม ต่างก็ตรงที่พ่อผมมักจะไปเฝ้ามันนี้แหละ เด็กมันไม่ได้ติดลุงหรอก ตาลุงนั้นแหละติดเด็ก ฮ่าๆๆๆ

   “อยู่กับผัวไปเถอะ”

   “โทน!!!” ผมหัวเราะก่อนจะหันไปมองไอ้กั้งกับหนูก้อยที่ขับจักรยานพากันซ้อนท้ายตามมาอีกคัน

   โอ้ย พอคุณแม่คุณกระหนุงกระหนิงกันจริง ๆ คู่นี้เขาเพิ่งแต่งงานกันไปเมื่อปีที่แล้ว แหม นายกั้งนี้ตั้งท่าจีบผมมาตั้งนาน พอโดนตอกหน้าด่ากลับไปอกหักไปซบน้องก้อยเลยได้กันซะงั้น เอาเถอะ ดีแล้วละอย่ามายุ่งกับคนอย่างผมเลย ผมมันมีความสุขที่ได้รอ และภูมิใจที่มั่นคงในความรัก ต่อให้มันจะไม่กลับมาหรือกลับมาแล้วอุ้มลูกอุ้มหลานมาฝากผม ผมก็พร้อมกับอ้าแขนรับและโอบกอดเอาไว้ … แต่ก่อนอื่นขอเตะก่อนเลยแล้วกัน ค่อยว่ากัน

   “พี่โทนกลับมาแล้วก็มากินสิไม่กิน จุก แย่งกินหมดนะ”

   ผมรีบเข้าไปแจกมะเหงกไอ้จุกเด็กใหม่ในค่ายมวยที่หลวงปู่วัดป่าฝากเอาไว้เพราะไอ้จุกมีความศรัทธาในตัวไอ้ไม้และอยากที่จะต่อยมวยให้ได้เหมือนไอ้ไม้ นั้นคือเหตุผลหลักที่พ่อผมรับมันมาอุปการะตามคำหลวงปู่ ส่วนหลวงปู่ท่านเองในตอนนี้ก็มีอายุมากขึ้นยังคงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงลูกวัดช่วยกันดูแลอยู่ตามเดิม ไอ้จุกมันย้ายมาอยู่ค่ายได้สามปีละ

    มีมาก็มีจากไป ตอนนี้ลุงทิมก็ผันตัวเองมาเป็นเซียนพระชื่อดัง ย้ายไปอยู่ที่บ้านเกิดแกกับเมียแก เห็นว่ามีบ้านสวน อยู่กันสองผัวเมียใช้ชีวิตบันปลายชีวิตอย่างมีความสุข ส่วนลุงจันทร์ก็ผันตัวไปเป็นครูมวยค่ายดังที่บ้านเกิดเหมือนกัน เห็นว่าแกมีเมียหลายคนนะตอนนี้ แถมในค่ายก็มีนักมวยดัง ๆ หลายคนชีวิตแกก็ บู๊สุดๆเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ

   “น้องโทนวันนี้มีหมูทอดจานโปรดเราด้วยนะ” ผมเดินไปนั่งข้าง ๆ พี่เมฆจังหวะเหมาะที่ไอ้เกื้อตักข้าวมาวางตรงหน้าผม

   พี่เมฆเองก็ยังล้ำบึกสูงโปร่งขาวใส เรียกน้ำลายอีสาวทั้งประเทศ ใช่ครับทั้งประเทศเพราะฝีมวยฝีเท้าก็อัพเลเวลขึ้นเป็นมวยผู้ใหญ่ชกตีทีเวทีสนั่นไม่ใช่เสียงหมัดนะเสียงกรี๊ดนี้แหละ แถมยังอัพไปชกมวยสากลระดับโลกอีกต่างหาก กลายเป็นนักมวยหน้าหยกของยุคไปเลยทีเดียว ทำให้ค่ายผมค่อนข้างมีชื่อเสียงเข้าไปอีก แต่พ่อผมจะไม่รับมั่ว นอกจากจะทำให้เห็นว่าสามารถทนทานต่อการฝึกอันหนักหน่วงของค่ายได้ ถึงจะรับ

   จนถึงปัจจุบัน ก็มีคนเข้าออก ๆ แต่ไม่ทนเลยสักคน ล่าสุดพ่อผมกระทืบไล่ไปอีกฝูงนึงเพราะมันเข้ามาขโมยของ ดีที่ไอ้หมาตระกูลผักสามสหายทำหน้าที่ดีเกิดคาดเลยจับส่งตำรวจซะนอนคุกกันไป เพราะงี้ พ่อผมเลยสร้างเรือพักของนักมวยขึ้นอีกหลังในพื้นที่นาของบ้านผมที่อยู่ไม่ไกลมากนัก ปลูกเป็นเรือนไม้แถวขึ้นมา ให้พวกนักมวยอ่อนหัดที่อยากจะเข้ามาในค่ายนี้ได้ทดลองงานกันไปก่อนเพราะค่ายผมไม่คิดเงินในการฝึก คือใครเข้ามาอยู่ได้ถือว่าสบายไปครึ่งนึงเลยละ มีข้าวกินมีที่ซุกหัวนอน อะไรมันจะดีไปกว่านี้ละ

   “ของกูด้วย” แหนะ พูดถึงพี่เมฆแล้วก็ลืมพี่แสงไม่ได้

   ตอนนี้เทพแล้วนะในมวยระดับประเทศและพยายามจะไปมวยโลกตามคู่ปรับไปอยู่ จากมวยวัดขี้ก้าง ดูตอนนี้สิ ร่างกายสมบูรณ์แบบมาก ฝีมวยเองก็พัฒนา หล่อไปเลยนะครับแหม แต่ก็ยังปัญญาอ่อนและเกรียนเหมือนเดิม

   “พ่อละไปไหนเนี้ย” คนอื่นเขาตั้งวงเตรียมกินกันพร้อมละ โดยเฉพาะไอ้จุกที่ตอนนี้น้ำลายจะไหลลงจานข้าวอยู่ละ ไอ้เด็กตะกละนี้นะ ถึงจะมีอะไรเหมือนไอ้ไม้สักอย่าง ฝีมือไม่เท่า ออกจะโง่เรื่องเรียนไปสักนิด แต่มันก็ทำตัวน่ารักใช่เล่น เหมือนเป็นเพื่อนเล่นผมไปในตัว เพราะเวลาผมอยากจะแกล้งใครสักคน ไอ้จุกนี้แหละเป้าหลายที่ผมจะพุ่งตรงไปดึงจุกที่หัวมันทันที หึหึ ตอนนี้ก็เช่นกัน

   “โอ้ย พี่โทน ดึงจุก จุกทำไมง่ะ ใจร้ายยยยยยยยยย”

   “หมั่นไส้ น้ำลายจะหกและไอ้ห่านี้”   

   “ทะเลาะกันอยู่นั้นแหละพวกมึงนี้นะ”

   พ่อผมเดินลงมาจากบ้านด้วยสภาพหล่อคมและล้ำบึกจนไอ้เกื้อเผลอก้มหน้ามองมือตัวเองแก้มแดง … นี้อยู่กันจนจะมีหลานให้กูอยู่และมึงยังจะเขินอีกเหรอไอ้เกื้อ แต่พ่อนะพ่อ ไอ้ผ้าขาวม้านี้นะ โยนทิ้งไปได้ไหม มันเน่าฉิบหายและครับ แหมมมม

   ตาลุงเดินมาตบหัวผมทิ่มไปหนึ่งที ก่อนจะเดินไปนั่งข้างเมียรักของแก หอมกันหยอกล้อไม่เกรงใจไอ้คนโสดอย่างผมเลย บรรยากาศแม่งมุ้งมิ้ง จนเหมือนมีแต่ผมกับไอ้จุกที่นั่งกันตัวแข็ง … แง๊ม ทำไมพี่เมฆกับพี่แสงถึงมีบรรยากาศแบบนี้กับเขาไปด้วยวะไม่เข้าใจเลยแสดดดดดดดดด ดดดดด ดดดด

   “โอ้ย!!! จะมุ้งมิ้งอะไรกันนักหนา หิวแล้ว!” ผมแกล้งตะโกนก่อนจะจ้วงเอาไก่ขึ้นมาแทะกินไม่สนใจ ไอ้จุกกลัวไม่ทันผมเลยเอาบ้าง และหลังจากนั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขเหมือนเดิมในทุกๆวันก็เกิดขึ้น …

   เห็นไหมไอ้ลูกไม้ ตอนนี้บ้านเรามีความสุขมากแค่ไหน ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหนวะ เมื่อไหร่จะกลับมา อยากให้เอ็งอยู่ที่นี้ด้วย อยากให้เอ็งมีความสุขเหมือนแต่ก่อน …

.

.

.

           อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ผมก็เข้ามาในห้องตัวเองที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ขอทุกอย่างที่ไอ้ไม้ไม่ได้เอาติดตัวไป ก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม ชั้นหนังสือ โต๊ะเขียนหนังสือ ม่านมุ้งก็อันเดิม ที่นอนที่มันเคยนอนอยู่ข้างเตียงของผม ก็ยังคงม้วนเก็บอยู่ในตู้ เดือนนึงผมจะต้องเอามันออกมาซักเผื่อวันไหน มันกลับมาจะได้มีนอนได้สบายตัว เฮ้อ ผมมานั่งเช็ดผมบนเตียง มองออกไปเห็นพระจันทร์ดวงกลม  เมื่อก่อนนี้จะมีเด็กที่ไหนไม่รู้ตัวอย่างควายมานั่งเช็ดหัวให้จนผมแห้ง จะหลับจะนอนก็ต้องพัดหวี่เป่ากล่อมจนผมหลับไป … แต่ตอนนี้ 6 ปีแล้ว ที่ผมต้องนอนคนเดียว ในห้องเล็ก ๆ นี้ คิดถึงวันแรกที่เจอกัน ไอ้เด็กที่มีแววตาเศร้าสร้อย ไม่เอาใครทั้งสิ้น แต่พอเอามาอยู่ด้วยกันกลับน่ารักแบบแปลก ๆ บูชาผมอยู่เหนือหัว คอยเอาอกเอาใจ พร่ำบอกรัก เป็นห่วงเป็นใย  จนป่านนี้คำพวกนั้นยังก้องอยู่ในหัว

           มันยังเหมือนเดิมอยู่ไหม … เจ้าไม้ … หรือที่เอ็งพร่ำบอกข้ามันเป็นแค่ความคิดของเด็กที่หลงพ่อกันแน่ … แต่สำหรับข้า มันชัดเจนตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้เลยนะ … ข้าไม่สามารถแสดงความรู้สึกนี้ได้กับใคร … มีแต่ตัวเองที่รับรู้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดกับแผลที่ไม่มีวันสมานนี้ มันเจ็บปวดเพียงใด ที่ทำได้แค่รอ … รอ … รอวันที่จะได้เจอกันอีก อย่างไร้จุดหมาย …

           “พี่โทน” ผมสะดุ้งหันไปมองไอ้จุกที่โผล่หน้าขาวโป๊ะแป้งเย็นหอมฉุยที่หน้าประตู อีกละ ไอ้นี้ กลัวผีอีกละ

           “มึงอยู่บ้านนี้มาจนจุกมึงยาวจนเดือนหน้าจะตัดอยู่แล้วนี้ มึงยังไม่กลัวอีกเหรอวะ!” ผมแกล้งด่ามัน แต่ไอ้จุกไม่สนใจหอบข้าวหอบของมาปูนอนข้างเตียงผมที่ที่ไอ้ไม้เคยนอนนั้นแหละ

   ไอ้จุกมันไว้จุกเพราะหลวงปู่ท่านบอกว่ามันนั้นเกิดมามีเคราะห์ดวงตามมา เลยต้องไว้จุกแก้เคล็ด เมื่อมันอายุ 15 ปีบริบูรณ์ ซึ่งเป็นต้นปีหน้าถึงจะตัดจุกออกได้ไว้ผมทรงอื่นได้ปกติ ตอนนี้จุกมันยาวจนถักเปียได้ถึงหลังละ จะใครละที่ถักให้ถ้าไม่ใช่ผมกับไอ้เกื้อ ถ้าไอ้เกื้อก็สบายหนังหัวหน่อยแต่ถ้ากูก็เจ็บแสบๆคัน ๆ ไปตามเรื่อง

   “ฉันไม่ได้กลัวนะพี่ แต่มันสยึยอะ พี่แสงกับพี่เมฆก็ไม่ให้นอนด้วย ครั้นจะไปขอนอนกับลุงทายก็ไม่อยู่อีก ฉันขอนอนด้วยอีกคืนนะ”

   “เมื่อวานเอ็งก็พูดแบบนี้”

   “โธ่ …”

   “เออ ๆ จะนอนก็นอน แล้วทำการบ้านหรือยังวะ”

   “เสร็จแล้วจ้ะ”

   “แน่นะ อย่าให้ข้ารู้ว่าเอ็งแอบไปลอกเพื่อนตอนเช้าและครูมาฟ้องอีก คราวนี้แหละเอ็งโดนดีแน่”

   “เอ่อคือ …”

   “ไปเอามาทำเลย!!!!” หน่อย! ไอ้นี้กะล่อนดีนักแหละ!!!!

   แล้วไอ้จุกก็วิ่งหางจุตูดออกจากห้องไปหยิบการบ้านมานั่งทำจนเสร็จช่วย 3 ทุ่มกว่า ๆ ผมเลยบอกให้มันไปปิดไฟและนอน เพราะพรุ่งนี้มันจะต้องไปเรียนแต่เช้า ผมหลับไปในเวลาไม่นานดีเหมือนกัน ที่มีไอ้จุกมานอนด้วยแบบนี้ ผมจะได้ไม่ต้องคิดถึงไอ้ไม้ให้เลอะเทอะใจร้าว ๆ ของผมไปมากกว่านี้

           “ไอ้ทาย!!!! ไอ้โทนโว้ย!!!!” ผมสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมานั่ง ใครมาโหวกเหวกโวยวายอะไรตอนนี้วะ ผมเหลือบไปมองไอ้จุกที่นอนสลบน้ำลายยืดท่านอนแหกแข้งแหกขาอยู่ ฝันเหรอวะ …

           “ไอ้โทน ไอ้ทาย!!!!!!” ไม่ฝันละ ผมรีบลุกขึ้นเดินออกไปเปิดประตูห้องมองซ้ายมองขวา เห็นพี่เมฆกับพี่แสงเดินออกมาจากห้องเหมือนกัน

           “ใครวะ ดึกดื่นป่านนี้มาแหกปากโวยวาย” พี่แสงทำท่าหงุดหงิด ผมไม่สนใจ รีบวิ่งลงไปดู ชะเง้อดูก็เห็นลุงไก่คนในตลาด อะไรละคราวนี้ วัวควายบ้านใครป่วยกลางดึกอีก

           “โอ้ย อย่าตะโกน ได้ยินแล้วจ้า!!!!!” ผมตะโกนและวิ่งลงไป บอกไอ้พวกสามทหารเสือหยุดเห่า และไปเปิดระตูให้ลุงไก่เข้ามาในบ้าน แกเหงื่อกายแตกซิกพูดจาไม่รู้เรื่อง จนผมต้องบอกให้แกใจเย็นๆ บอกให้พี่เมฆเข้าไปเอาน้ำมาให้ลุงแกกินซะก่อนจะได้ใจเย็นๆ

           “ฟะ ฟะ ไฟไหม้คอกหมู บ้านไอ้เชื่อมมันให้ข้ามาตามเอ็ง!!!!”

           “โอ้ย แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรก พี่เมฆเอารถออกด้วยครับโทนวานหน่อยส่วนพี่แสงอยู่เป็นเพื่อนไอ้จุกมันเดี๋ยวตื่นขึ้นมาไม่เจอใครมันจะโวยวายเอา” ผมว่าและขึ้นห้องไปหยิบกล่องพยาบาล กวาดเครื่องมือยาทุกอย่างลงกระเป๋า ไม่ลืมที่จะโทรหาไอ้เกื้อให้มันไปที่ร้านเพื่อสแตนบายรอเคสนี้เลย

           พอทุกอย่างเสร็จสรรพก็กระโดดขึ้นกระบะท้ายโดยมีพี่เมฆเป็นคนขับส่วนลุงไก่ก็นั่งด้านใน ไม่รู้ป่านนี้หมูจะเป็นยังไงบ้างหวังว่าจะดับไฟและช่วยไว้ทันบ้างนะ ขออย่าให้เป็นอะไรกันมากเลย …

.

.

.



           “เฮ้อ ”

   9 โมงเช้า … กว่าจะเสร็จ หมูตายไปครึ่งคอก โชคดีที่แม่พันธุ์และเจ้าลูกตัวน้อยทั้งหลายที่อยู่แยกอีกคอกไม่เป็นอันตรายมาก ส่วนตัวที่รอดก็มีแผลไฟลวกกันเต็มไปหมด … สืบได้ใจความลุงแกไปยืนสูบบุหรี่ข้างคอกหมู ด้วยความสับเพร่าทิ้งก้นบุหรี่ลงไปในกองฟาง ไฟเลยลามไปติดคอกหมู …มีหมูที่เลือดออกในช่องท้องเลยต้องลงมือผ่าตัด เรื่องมันเลยเป็นอย่างนี้แหละ กว่าจะเสร็จทุกอย่างก็เช้าเลยจ้า … จะตายเอากูเนี้ย 

   “โทนกินน้ำเต้าหู้ก่อนไหม แล้วกลับไปนอนที่บ้าน” ผมที่ฟลุบพักสายตาที่โต๊ะพยักหน้าก่อนจะเงยขึ้นมาเอาคางเกยโต๊ะ จมูกฟุดฟิดดมแก้วน้ำเต้าหู้หอมกรุ่น งืออออออออออ คิดถึงไอ้ไม้อ่า

   “เอ็งก็ไปนอนด้วยดิ ให้ไอ้กั้งกับไอ้ก้อยมันเฝ้าไป”

   “เกื้อไม่ง่วงเลย ไม่คืนก็ไม่ได้บู๊แหลกเหมือนโทนซะหน่อย เดี๋ยวเกื้ออยู่เฝ้าดีกว่า”

   “งื้อ … ก็ได้ งั้นข้ากลับไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันมึง” ผมว่าและกระดกน้ำเต้าหู้ลงกระเพราะเดินโต๋เต๋ออกมาจากร้าน ไม่มีรถก็ต้องเดินกลับละนะ อีกหน่อยเดียวก็ถึงแล้ว … หน่อยเดียวที่ไหนวะ 

   พอเดินมาถึงบ้าน ก็เห็นพ่อกำลังนั่งดูพี่แสงกับพี่เมฆซ้อมมวยกันอยู่ในลานกว้างเสียงดัง ปุ๊ ๆ ผมไม่สนใจเดินขึ้นบ้าน ก่อนจะหลับเป็นตายในทันที …

   “พ่อโทนครับพ่อโทน” แหมเว่ย … ใครมันขยันมาเรียกกูนักหนาวะ ผมพลิกตัวมาอีกข้างอย่างรำคาญใจ

   “พ่อโทนครับ ลูกไม้คิดถึงพ่อโทนจังเลย” ผมสะดุ้งลุกขึ้นมานั่งทันที … ไหนละ ไหนไอ้ไม้ … ฝันเหรอ … หึ มึงไอ้โทนมึงคิดถึงไอ้ไม้มันมากเกินไปแล้วนะ …

   ไอ้โทนคนโง่เดินออกจากห้องที่ว่างเปล่าลงมาด้านล่าง ล้างหน้าล้างตาก่อนจะมานั่งดูไอ้จุกซ้อมมวยอยู่เยาะ ๆ … มองไอ้จุกแล้วก็คิดถึงไอ้ไม้ … ถึงตัวมันจะเตี้ยกว่า หน้าตามันจะออกเจ้าเล่ห์ไม่หล่อเหลาเหมือนไอ้ไม้ แต่การที่เด็กอายุเท่า ๆ กับไอ้ไม้ ก็ทำให้ผมอดคิดถึงไม่ได้ เพราะบ้านหลังนี้ มันมีแต่ความทรงจำของไอ้ไม้ทั้งสิ้น … คิดถึง คิดถึงที่สุดเลย

   

ครืดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดด

           “ฮัลโหลลลลลลลลลลล” ผมลากเสียงยาวกรอกสายลงไปในโทรศัพท์ที่สั่นงึกๆอยู่เมื่อกี้

           “ไอ้โทน ไปเที่ยวทะเลกัน”

           “อารมณ์ไหนของมึงไอ้ห่าป๊อก” ผมถามไอ้ป๊อกยิ้มๆ

   ไอ้ป๊อกมันเป็นเจ้าของบริษัทรับออกแบบบ้านและสวนแล้วนะ ใหญ่โตเลยทีเดียว ส่วนไอ้ทิมมี่กับไอ้เบสตอนนี้มันก็ร่วมหุ้นกันทำหนัง ซึ่งตอนนี้ได้รับความนิยมในชื่อผู้กำกับคู่ของพวกมัน ไม่ได้ติดต่อกันมาพักใหญ่ ๆ เพราะต่างคนต่างทำงาน พอติดต่อกลับมาไอ้ป๊อกก็ก่อกวนผมทันที   

   “กูเซ็งกูอกหัก ชวนบ้านมึงมาด้วยก็ได้”

   “วันไหนวะ”

   “พรุ่งนี้ เดี๋ยวกูไปรับมึงแต่เช้ามืด แค่นี้แหละ”

   “อ้าวเฮ้ย …”

   ผมมองโทรศัพท์อย่างง ๆ ไอ้ห่าคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป พรุ่งนี้บ้านผมมีขึ้นชกดูท่าจะไปกันไม่ได้ ไอ้จุกก็ติดเรียน เดี๋ยวลองชวนไอ้เกื้อดูและเปิดร้านให้ไอ้ก้อยกับไอ้กั้งดูร้าน ไปวันสองวันคงไม่เป็นไรหรอมั่ง …

   ในขณะที่ผมกำลังนั่งงงอยู่ภายในรั้วบ้าน หันไปเห็นไอ้สามทหารเสือที่กำลังเล่นกันอยู่หน้าบ้านแต่แปลกที่มันไม่ได้เหมือนเล่นกันเอง แต่กำลังชะเง้อชะแง้กระดิกหางคล้ายกำลังเล่นกับใครอยู่ ผมมองไม่ชัดนักเพราะต้นไม้มันบังอยู่

   “มะเขือ กะหล่ำ แตงกวา ทำอะไรกัน!!!” ไอ้สามทหารเสือหันมามองผมก่อนจะวิ่งดุ๊ก ๆ เข้ามา มีแต่ไอ้แตงกวาที่ยังส่ายหางดิก ๆ และเห่าเหมือนกำลังเห่าส่งใคร จากนั้นผมก็ทิ้งความสงสัยไม่สนใจเพราะไอ้จุกวิ่งเอาการบ้านที่ได้เกินครึ่งมาโชว์ผม

.

.

.

           “สุดท้ายมึงก็มาคนเดียวเนี้ยนะ”

    ผมหันไปพยักหน้ากับไอ้ห่าป๊อกที่ขับรถหรูสะบัดมารับผมตอนตี 5 ของวันรุ่งขึ้น ไอ้ห่านี้กวนตีนไม่บอกเวลาว่าจะมาตอนไหนโทรไปก็เสือกปิดเครื่อง ให้กูลุกขึ้นมารอตั้งแต่ตี 4 นี้ก็ไม่ได้เห่อเลยนะ กะจะนอนต่อแหละไอ้เวนตะไลนี้เสือกบีบแตรซะลั่นทุ่ง จนไอ้แผนที่จะย่องหนีไอ้จุกออกมาแตกโป๊ะ ทิ้งให้ไอ้จุกยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้านเฉยเลย ช่วยไม่ได้ก็ไอ้จุกมันติดเรียนเองนี้หว่าไอ้เกื้อเองก็อดเพราะสามีไม่ให้ไป ฮึ ตาแก่หวงเมียไม่หวงลูก บุยยยยย ส่วนไอ้ทิมมี่กับไอ้เบสก็ไม่ว่าง เลยต้องมากับไอ้ป๊อกสองคนจนได้   

   “มึงไปอกหักจากสาวที่ไหนมาวะ”

   “อย่าไปพูดถึงแม่งเลย”ปากมึงบอกว่าไม่ต้องคิดถึงแต่หน้ามึงนี้นะ ฮ่าๆๆๆๆ หมาป๊อกกูหมดสิ้นลายเลยไอ้ห่า

   เราสองคนคุยเรื่องราวสารพัดสารเพที่เจอมาส่วนมากผมจะเป็นคนพูดซะมากกว่าเพราะไอ้ป๊อกพูดไม่ทัน ฮ่าๆๆๆ มันขับรถโดยไม่แวะที่ไหนถึงแม้ว่าผมจะปวดขี้ก็ตาม จนต้องกระโดดงับหัวมันถึงจะยอมจอดปั๊มให้ได้ เราถึงที่หมายกันในเวลา 8 โมงกว่า ๆ ตะเวนหาที่พักกันมาจนได้บ้านพักทาวน์เฮ้าส์สองชั้น ราคากลางๆถึงจะไม่ติดกับทะเลแต่เดินไปอีกหน่อยก็ได้ลงไปเล่นแล้ว มีเซเว่นอยู่หน้าซอย เครื่องอำนวยความสะดวกครบ ตามประสาหนุ่มโสดสองคน

            ผมเดินคาบขนมปังเดินออกมาจากเซเว่น ถุงเหล้าเบียร์ขนมกับแกล้มเต็มไปหมด คือกูกับไอ้ป๊อกเป่ายิ้งฉุบและผมเสือกแพ้เลยต้องออกมาแบกเอง สาดดด แขนจะหักเอา พอกลับไปถึงบ้านเราสองคนก็ตั้งวงกันเลยทีเดียวข้าวปลาไม่กินกินแต่เหล้าและกับแกล้ง ก่อนจะเมากลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นมากแล้ว เห็นว่าไอ้ห่าป๊อกไม่ตื่น ผมเลยกะจะออกมาเดินเล่นและค่อยซื้อข้าวซื้อปลาเข้าไป ฝากมัน

           เวลานี้น้ำทะเลขึ้นมาสูงลมพัดโหมกระหน่ำจนถ้าผมเผลอลงไปเล่นน้ำตอนนี้ อาจจะถูกพัดหายไปเลยก็ได้ แต่ท้องฟ้ายามนี้สวยเอาซะมากๆ เป็นสีส้มนวลสวย อาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ผมมองไปเห็นลุงที่กำลังเก็บเรือเจ็ทสกีเข้าฝั่งและผูกเอาไว้ให้เข้าที่ ต่างจากด้านหลังของผมยามนี้ที่กำลังมีแสงสีของยามราตรีผับบาร์ที่เปิดตอนกลางคืน ในที่ที่เดียวกลับมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน มันก็ดูแปลกดีเหมือนกันนะ เฮ้อ … นานๆทีได้มาเที่ยวแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ทำไมนะ … ทำไมมันถึงรู้สึกเหงาทั้ง ๆ ที่ปลอดโปร่งแบบนี้ ถ้าไอ้ไม้มาด้วย ผมคงมีความสุขมากกว่านี้ เด็กคนนั้นคงจะดูแลผมเป็นอย่างดี … เฮ้อ … คิดถึงจะตายแล้ว …

           “แม็กกี้หยุดก่อนนนนนนนนนนน” เสียงเล็กลากยาวนั้นทำให้ผมหันไปมองตาม

           เด็กตัวน้อย ๆ อายุไม่เกิด 5 ขวบ เดินจูงสุนัขตัวใหญ่เดินเต๊าะแตะมาทางผม ดูเหมือนคนจะไม่ได้จูงหมาแต่หมาจูงคนนะ … ผมเอียงคอมองดูว่าไอ้เด็กน้อยน่ารักนี้จะทำยังไง ไอ้หมาพันธุ์โกลเด้น ตัวยักษ์มาหยุดฟุดฟิด ๆ อยู่ที่เท้าผม ก่อนจะนึกครึ้มอะไรไม่รู้โหม่งมาที่ท้องกูอย่างแรงจนกูลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า และมันก็เข้ามาเลียหน้าเลียตาอย่างไม่ได้รับอนุญาต!!!! เฮ้ยยยยยยย ยยยยย ยยย มึงนี้นะ มึงมันหมาใจง่ายยยยยยยยยยยยย

           “แม็กกี๊!!!!” มัวแต่แหกปากไอ้ห่าเด็กนี้ เอาหมามึงออกปายยยยย ยยยยย ยยยยย

           “ยะ หยุด ๆ”

    ผมร้องห้ามก่อนจะเอาแรงเฮือกสุดท้ายผลักไอ้หมานี้ออกจากตัวไป พอหลุดมาได้ก็เกือบหลุดขำรอบสองเพราะเห็นไอ้เด็กตัวน้อยพยายามดึงเชือกอย่างเต็มกำลังหลับตาปี๋ ฮ่าๆๆๆๆ น่ารักจังวะ ผมรีบลุกขึ้นก่อนที่ไอ้หมายักษ์จะล้มมาใส่ผมอีกยกใหญ่ น้ำลายมึงนี้นะเต็มหน้ากูไปหมดเลยไอ้หมาเวร กูน่ะรักสัตว์นะ แต่แหม … เล่นซะน้ำลายเต็มหน้ากูขนาดนี้ เฮ้อ ไอ้หมานะไอ้หมา

   “นิ่งซะแม็กกี้” ผมร้องสั่งแม็กกี้ ก่อนจะเอามือวางบนหัวมันเมื่อมันทำตามคำสั่งผม ก่อนจะนั่งยอง ๆ ลงไปลูบหน้าลูบคอมันให้รางวัลที่เชื่อฟังคำสั่งผม

   “เก่งจังเลย”

   “หึหึ ชื่ออะไรไอ้หนู แล้วเอ็งมาเดินอะไรริมทะเลคนเดียว” ผมเงยหน้าขึ้นไปถามไอ้เด็กน้อยที่ยื่นทึ้งอยู่ มันสะบัดหัวก่อนจะยิ้มหวานให้ผมพูดจาแจ๋วแว๋วไปนอกโลกแล้ว สักพักจับใจความได้ว่าบ้านอยู่แถวนี้ ก่อนจะเริ่มแนะนำตัว

   “ผมชื่อ น้องจิน อายุ 5 ขวบเรียนอยู่โรงเรียนสายน้ำอยู่ตรงสุดหัวมุมถนน เป็นลูกพ่อยักษ์กับแม่สาย ส่วนสูง …”

   “พอ ๆ อะไรจะละเอียดขนาดนี้” ผมยืนเล่นกับไอ้เด็กน้อยสักพัก

   ก่อนที่พ่อของมันจะมาเรียก เลยได้เวลาโบกมือลากัน ทิ้งให้ผมยืนยิ้มส่งอยู่ชายทะเลคนเดียว ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มแล้ว ทั้งตัวมีแต่น้ำลายหน้าและทราย เลยตัดสินใจเดินลงทะเลไปล้างตัว … คลื่นแรงชะมัดเลย ถ้าคลื่นแรงแบบนี้ บางที ถ้าผมตะโกนออกไป เสียงของผมอาจจะโดนเสียงคลื่นนี้กลบไปก็ได้ บางทีนะ …

   ผมสูดลมเข้าไปในกระเพราะ ก่อนที่จะเปล่งคำที่อยากจะตะโกนให้ทุกคนรับรู้ ที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดมา…

   “คิดถึง!!!!!!!! คิดถึงไอ้ไม้ ไอ้ลูกเวร ฮึก คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงง เมื่อไหร่จะกลับมา กลับมาสักที … กลับมา”

    เสียงสุดท้ายเหมือนใจผมจะขาด ล้มตัวลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรงสู้กับคลื่นที่พัดกระแทกตัวจนรู้สึกเจ็บแต่มันไม่เจ็บเท่าหัวใจของผม เจ็บจนเผลอร้องไห้ออกมา … ทะเลจ้า … โปรดส่งลูกไม้มาหาโทนที โทนไม่ไหวแล้ว คิดถึงมาก ๆ เลย …

   ผมเช็ดจมูกที่รู้สึกแสบไปหมด ก่อนจะคลานขึ้นมาบนฝั่ง เศษหินเศษเปลือกหอยก็แหลมไปหมด ฮึก ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย พอขึ้นมาริมทะเลได้ ก็นอนแผ่มองฟ้าที่มืดสนิทแล้ว ดวงดาวตอนนี้ถึงจะยังไม่เยอะมาก … แต่มันก็สวยมาก ฮึก สวยมากเลย …

   ผมเอามือปิดหน้าและร้องไห้ออกมา ให้เสียงน้ำเสียงทะเลกลบความเสียใจทั้งหมดสิ้น อย่างน้อยแค่วันนี้ที่ผมอ่อนแอ อย่างน้อยแค่วันนี้ที่ผมได้ปลดปล่อย … 6 ปีแล้วนะ … 6 ปีแล้ว ฮึก คิดถึง … คิดถึงจะตายอยู่แล้ว ได้โปรดเถอะ พระสงฆ์องค์เจ้า พระผู้เป็นเจ้า เจ้าแม่ เจ้าพ่อ เจ้าป่า เจ้าเขา ได้โปรด … ดะ ได้โปรด …

   “พ่อโทนครับ” หยุดเลยนะ อย่าหลอกหลอนกันแบบนี้ได้ไหม รู้แล้วว่าคิดถึง แต่อย่าเอามาหลอกตัวเองแบบนี้ ไอ้โทน ฮึก ไม่เอา จะเอาตัวจริง

   

จุ๊บ …



           ผมรู้สึกความร้อนและชื้นที่ริมฝีปาก ถึงแม้จะเบาบาง แต่ผมก็รับรู้ถึงลมหายใจ ใครมาลักจูบกูวะ!!!!! ผมเปิดหน้าขึ้นมาดู แต่แล้ว … ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาที่เป็นประกายแห่งความเศร้าแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น … ผมค่อย ๆ ยกมือขึ้นจรดสันกรามชัดนั้น … ริมฝีปากแบบนี้ ใบหน้าแบบนี้ …กลิ่นแบบนี้ …ระ รอยยิ้มแบบนี้ ไม้ … ลูกไม้ของผมใช่ไหม ฮึก ลูกผมใช่ไหม …

           “กลับมาแล้วครับ” น้ำตาหยดใสนั้นหยดลงแก้มของผมก่อนที่จะได้รับรู้อะไร ผมกลับทำตามสัญชาติญาณ มือทั้งสองข้าง รวบคอแกร่งนั้นโน้มเข้ามาก่อนจะจรดริมฝีปากเข้าริมฝีปากหน้าตรงหน้าทันที … อบอุ่น อบอุ่นเหลือเกิน



ถ้าเป็นฝัน …



โปรดอย่าให้ผมตื่นเลย …   



 

========================

น้องไม้กลับมาแน้วววววววววววววววววววววว

แต่คูมพ่อโทนไปจูบน้องแบบนั้นผิดผีน้าาาาาาา ไม่นับที่อิน้องมันแอบลักจูบหลายครั้งที่ผ่านมานะจ๊ะ 5555

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ลูกกลับมาแล้วนะจ้ะพ่อโทน
ลูกไม่ได้กลับมาเป็นลูก.. แต่ลูกจะกลับมาเป็นหลัว  o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอ๊ยยยยยกลับมาซักที ดีใจ พ่อโทนคิดถึงจะบ้าแล้ว  :katai2-1: อัยยะไปขอกันแล้ว ลุงทายยยย >.,< -///- พี่ป๊อกอกหักมารักจุกมา 5555 รอๆ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4


พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 17 ไม่เคยไม่คิดถึง
   

   เมื่อ … ผมเสือกไปจูบลูกตัวเอง ความบรรลัยจึงเกิดขึ้น …

   “พ่อโทนคร้าบบบบบบ ขอไม้เข้าไปหน่อยคร้าบบบบบบบบ”

   “ไม่โว้ย!!!!”

   ผมตะโกนกลับออกไป พลางเอาหลังพิงประตูบ้านพักเอาไว้ พยายามไม่สนใจเสียงหงิง ๆ ของไอ้หมาหน้าบ้าน … ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง มันกลับมาหาผมแล้ว ผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือควรจะโกรธดี ยังสับสนแต่ที่รู้ ตอนนี้ผมโคตรอาย เสือกไปจูบมัน พอได้สติก็ถีบมันจนตัวลอยวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้ามาในบ้าน โดยมีไอ้ซอมบี้กินความรักของผมวิ่งตามมาติด ๆ ฮึ้ยยยยยย จะไปไหนก็ไปก่อนไป๊ ตอนนี้ไม่พร้อมจะเจอหน้าจริง ๆ มันตื้อไปหมด หลายปีผ่านไปมันดูโตขึ้น บึกบึนและหล่อเหลาสมชายชาตรีในแบบที่ผมคิดเอาไว้ แต่ผมไม่รู้ว่า ตอนนี้มันยังเป็นไอ้ไม้ … หรือเป็นนายน้อยฟ้าครามไปแล้วกันแน่

   ให้ตายสิวะ … ผมปรับอารมณ์ตัวเองไม่ถูกเลย ปากคอสั่นหนาวนอกกายยังไม่พอ ใจยังสับสนปวดตึ๊บ ๆ ไปหมด มันมีทั้งความคิดถึง สับสน ปลื้มใจ และความโกรธเคืองสารพัด รวมเอาไว้ด้วยกัน จนน้ำตาไม่ยอมหยุดไหล … แก่ก็แก่แล้วนะ ยังจะต้องมานั่งร้องไห้เป็นเด็กแบบนี้อีกมันใช่เหรอวะ!!!!

   “ห๊าววววววววววว เอะอะโวยวายอะไรกันวะ มึงไปหาเรื่องใครเขาและเขาตามมากระทืบเหรอไง ไอ้โทน เฮ้ย เป็นห่าอะไรวะร้องไห้ทำไม โดนกระทืบมาแล้วเหรอ ใครๆ บังอาจทำเพื่อนกู มันอยู่ข้างนอกใช่ไหม ถอยกูจะออกไปคิดบัญชีกับมัน”

   “พ่อโทนครับ”

   ไอ้ป๊อกที่เดินมาทำห้าวอยู่ชะงัก เมื่อเสียงไอ้ไม้จากด้านนอกดังขึ้นราวกับจะกระซิบแต่มันดังพอที่จะดังลอดประตูไม้บาง ๆ เข้ามา มันทำท่างงและชี้ไปที่ประตู ผมเบะปากน้ำตาไหลปอย ก่อนจะพยักหน้า มันถอนหายใจตบไหล่ผมสองสามทีอย่างปลอบใจและหันหลังเดินขึ้นไปบนชั้นสองทันที ทั่วทั้งบ้านชั้นล่างสงบเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นของผมที่ดังขึ้นอย่างน่าอายเป็นระยะๆ

   “ผมขอโทษที่ไปไม่ลา แต่ผมอยากเล่าว่าตลอดระยะเวลา 6 ปี ผมทำอะไรไปบ้าง ประสบความสำเร็จอะไรไปบ้าง ให้พ่อโทนของผมฟังเป็นคนแรก”

   “ฮึก …” ผมเอามือปิดปากที่เผลอสะอึกแรงไปหน่อยจนหน้าดำหน้าแดง น้ำตาไหลออกมาเป็นทางขี้มงขี้มูกไม่ต้องพูดถึงหน้าตาตอนนี้ผมคงแย่เอาซะมากๆ

    ผมดีใจจะตายอยู่แล้วที่มันคิดถึงผมเป็นคนแรก แต่ผมก็ยังโกรธ โกรธที่มันไม่ได้คิดผมเป็นคนแรกเวลามันมีปัญหา มันไม่ยอมให้ผมช่วยแก้ไข เลือกที่จะจากผมไปเพื่อปกป้อง ไม่ถามผมสักคำว่าผมสามารถปกป้องมันได้ไหม และไม่ต้องสงสัยในคำตอบของผมนะ กับมัน … ทั้งชีวิตผมก็ให้ได้ ผมยอม … ยอมทุกอย่าง ฮึก ผมแพ้มันในทุกๆทาง แต่ไม่เคยเข้าใจเลย ว่าทำไมมันถึงทิ้งผมไป … ไม่เคยเข้าใจเลย

   “ไม่ร้องนะครับพ่อโทษ ให้ผมเข้าไปนะครับ ให้ผมเข้าไปเช็ดน้ำตาให้พ่อโทนและผมจะเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง เหตุผลทุกอย่าง และให้พ่อโทนลงโทษให้สมกับที่ไอ้ลูกดื้อด้านคนนี้ไม่เชื่อฟัง ขอแค่อย่างเดียว เชื่อผมนะครับ ว่าไอ้ไม้คนนี้ ยังเป็นคนเดิมของพ่อ … ผมยังคงเป็นไอ้ไม้เด็กบ้านนอกที่พ่อโทษเก็บมาเลี้ยงคนเดิม … ผมรักพ่อโทนนะครับ รักสุดหัวใจ … ”

   “น้ำเน่า!!!!” ผมตะโกนออกไปเผลอหลุดขำออกมาหน่อยทั้ง ๆ น้ำตานั้นแหละ แสดดดดดทำไมมัน เสี่ยวจังเลยวะ ใครสักใครสอนนักหนา ฮ่าๆๆๆ ฮือออออ

   “ให้ผมเข้าไปเถอะนะพี่โทนที่รัก ไม้รักพ่อโทนสุด ๆ อยากกอดอยากหอม คิดถึงมากด้วย พ่อไม่อยากเห็นหน้าหลานที่ผมพามาเหรอ”

ผลั๊ว!!!

           “ไอ้เด็กบ้านี้มึงไปไข่กับอีสาวที่ไหน!!! อะ! ปล่อย!!!!!” ไอ้เด็กบ้า ยังจะกล้ามากอดกูอีกเหรอมึงไปอยู่ไข่มีลูกมีเต้าแล้วแบบนี้ พ่อขอต่อยสักทีสองทีได้ไหม ไอ้บ้าๆๆๆๆๆๆ ไอ้เด็กเลว!!!

           “ชู่ว… นิ่งนะครับ ผมล้อเล่น ผมจะมีลูกได้ยังไงก็ผมมีพ่อโทนอยู่แล้วทั้งคน” ผมย่นหน้าอย่างหมั้นเขียวไอ้เด็กเจ้าเล่ห์ที่ขนมหอมแก้มผมไปฟอดใหญ่ เสียรู้มันอีกจนได้!!!!

           “จะด่าจะว่าจะตีอะไรผมก็ได้นะครับ แต่อย่าไล่ผมไปไหนอีกเลย ผมกลับมาแล้ว และจะไม่ไปไหนอีก เพราะวันนี้ผมสามารถปกป้องพ่อโทนดวงใจของผมได้แล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”

   ผมเม้มปากก่อนจะหมดทางต่อกรกับมันเอาหน้าซุกกับอกแกร่งของมัน … โอโห้ ไม่เจอกันนานตัวมันแข็งแกร่งสูงโปร่งมากขนาดนี้เลยเหรอ ตอนนี้คงสูงกว่าผมไปตั้งหลายคืบ แถมแข็งแรงแบบนี้อีก ก็สมควรที่ไม่ต้องกลัวอะไรหรอกนะ … แต่มันสมควรจะต้องกลัวผม!!!!

ผลั๊ก!!!!

           “โอ้ย!!!!!” มันร้องเสียงหลงสะดุ้ง

   เจอหมัดพ่อมึงเข้าไปหายคิดถึงบ้างไหมละ ผมลูบกำปั้นตัวเองเบา ๆ หลังจากที่ต่อยเข้าให้ที่ท้องมันในระยะประชิดถึงเนื้อถึงตัว จนไอ้เด็กตัวยักษ์ถลาออกห่างผมไปก้าวนึงหน้าตาบูดเบี้ยวลูบท้องตัวเองปอย ๆ ฮึฮึ ดูไปดูมามันก็ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อก่อนเลยนี้หว่าถึงหน้าตามันจะคมเข้มถูกใจสาว ๆ รวมถึงกูด้วยก็ตาม ไอ้อ่อนลูกไม้ก็ยังเป็น ไอ้อ่อนของกูวันยังค่ำ!!!!

   “นั่งคุกเข่าลงไปกับพื้น!!!!”

   “ครับ!”

พรึบ!

   ไอ้ไม้ไม่ห่วงสูทหรูของมันลงไปคลุกดินที่พื้นทันทีที่ผมออกคำสั่ง ผมเดินกอดอกไปยืนตรงหน้าของไอ้เด็กบ้าที่เงยหน้าขึ้นมามองอ้อนของความปราณีจากพ่อมัน เสียใจ กูต้องทำโทษมันก่อน ไม่งั้นมันจะเหลิงเอา มันจะไปสุขสบายมีคนตามใจที่ไหนมาก็ช่าง แต่ถ้ามันอยู่กับผมมันต้องเป็นเด็กดีของผม

   “เล่าให้กูฟังให้หมดว่า หลายปีที่ผ่านมา มึงไปทำอะไร ที่ไหนมาบ้าง”

   “ตรงนี้เหรอครับ”

   “เออตรงนี้แหละ หรือติดสบายจนเคยตัว ถ้าอยากสบายนักก็กลับไปไม่ต้องมายุ่งกับกู” ผมเชิดหน้าไปที่อื่น ก็ลองมันไปอีกสิ ผมจะหยิกให้เนื้อเขียวเลย!!!

หมับ !

           ผมตกใจเมื่ออยู่ ๆ มันก็กอดขาผมเอาไว้ … เฮ้ย มึงดูนางทาสเยอะไปเปล่าเนี้ย!!!!! ผมพยายามเอาแขนมันออกแต่ขอโทษเถอะ เหนียวฉิบ หายไปนี้มึงกินกาวเป็นอาหารเช้าหรือเปล่าเนี้ย!!!

           “กอดไว้แบบนี้พ่อโทนจะได้ไม่หนีไปไหน”

           “เออ ปล่อยสิวะไม่หนีหรอก!!!” ไม่ว่าผมจะพูดยังไงมันก็ไม่ยอมปล่อย จนแล้วจนรอดก็ต้องปล่อยให้ไอ้เด็กเอาแต่ใจกอดอยู่อย่างงั้น เฮ้อ … อย่าทำให้หลงไปมากกว่านี้ได้ไหมวะ อย่าให้ผมต้องรู้สึกผิดที่คิดกับลูกตัวเองเกินกว่าความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นได้ไหม …

           “พ่อโทนรู้แล้วใช่ไหมครับว่าประวัติผมเป็นมายังไงผมจะไม่ขอเล่าถึงมันอีก ตลอด10 ปีที่ผ่านมา ในช่วง 3 ปีแรกผมไปอยู่ที่บ้านพักของแม่ผมที่สเปน จนเรียนจบ ย้ายมาอยู่บ้านพ่อที่ประเทศรัสเซีย เรียนมหาลัยไปฝึกบริหารกิจการของแม่ที่รัสเซียอยู่เงียบๆ จนตอนนี้ผมเรียนจบและเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการประธานของบริษัทแล้ว ผมเฝ้าตั้งเป้าหมายกับตัวเองเอาไว้ ทุ้มสุดพลัง ไม่สละทั้งชีวิตไม่สนใจเพื่อนฝูง สู้ทำงานทุกอย่างไต่ระดับเอาชนะเอากะทิทุกคนในบริษัท เพื่อวันนี้ที่ผมจะกลับมาหาพ่อโทนด้วยความภาคภูมิ … ”

           “ตอนนี้เอ็งอายุเท่าไหร่” ผมตีหน้าเข้ม ก้มไปถามมันพ่อแววตาหมาน้อยเงยหน้ามามองผมผมก็ต้องเซหน้าหนีไปทางอื่นเดี๋ยวใจจะอ่อนซะหมด

           “24 จะ 25 ครับ”

   บอกตรง ๆ นะ ผมอดภูมิใจไม่ได้ที่ไอ้หมาตัวนี้มันเก่งได้ขนาดนี้แถมยังมีผมเป็นฝ่ายสนับสนุนด้านกำลังใจให้อีก นั้นยิ่งทำให้ผมแทบกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ แต่ผมต้องเข้มเอาไว้ก่อน บร๊ะ ตอนผมเรียนจบใหม่ๆยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่านี้เลย จะเก่งไปไหนวะ !!!

           “แล้วทำยังไงถึงไม่ให้ไอ้พวกห่านั้นรู้ตัว ขนาดเอ็งขึ้นเป็นประธานแล้วเนี้ยนะ”

           “ผมเปลี่ยนชื่อครับ และพวกนั้นได้เงินทองที่ประเทศไทยของพ่อกับแม่ผมไปหมดแล้ว คงไม่ได้สนใจบริษัทเล็กๆที่เมืองเล็กๆของประเทศห่างไกลอย่างนั้นหรอกครับ แต่ตอนนี้บริษัทของผมมั่นคงแล้วและมีแปลนว่าจะร่วมหุ้นกับบริษัทใหญ่ที่ประเทศมหาอำนาจทั้งตะวันออกและตะวันตกครับ และไม่นาน บริษัทของพ่อกับแม่ผมก็ยิ่งใหญ่จนพวกนั้นคาดไม่ถึง และพ่อโทนกับคนที่ค่ายก็พลอยสบายไปด้วย อีกอย่างผมกลับมาไม่ได้จะมาทวงทรัพย์สมบัติที่เสียไป แต่ผมกลับมาเผื่อดูหน้าไอ้คนที่ฆ่าพ่อแม่ญาติพี่น้องแท้ๆของตัวเองได้ลงคอและจะลงโทษมันให้สมกับที่มันทำเอาไว้”

    ผมใจไม่ดีเมื่อมันพูดความแค้นด้วยสีหน้าเดิมๆ … ไม่มีท่าทีแค้นเคืองหรือทุกข์ร้อนเหมือนคนอื่นเขา … มันระงับความโกรธของตัวเองได้หรือจะมีคลื่นใต้น้ำอันหน้ากลัวอยู่ในตัวเด็กคนนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

           “ไม่ต้องแก้แค้นได้ไหม … อยู่แบบเดิม ๆ แบบนี้ต่อไปยังไงไอ้พวกนั้นสักวันก็ได้รับผลกรรมของตัวเองอยู่ดี”

         “… ผมนี้แหละครับ ผลกรรมของพวกมัน … ถึงอย่างงั้น พ่อโทนก็เบาใจได้นะครับ พ่อโทนกับคนในค่ายจะปลอดภัยและผมจะไม่หายไปไหนอีกแล้ว อาจจะมีกลับไปต่างประเทศบ้าง แต่จะไม่นานเกินรอแบบนี้อีก”

        “ไม่ใช่แบบนั้น ไม่เข้าใจหรือไงว่าเป็นห่วงอะ คือมึงเข้าใจปะวะ กูรอมึงมา 6 ปี และอยู่ ๆ มึงก็จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอีก กูไม่อนุญาต เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปสิวะ มึงมีกู มีคนที่ค่าย มีบริษัทที่มึงต้องดูแลแล้ว แค่นี้พอแล้วได้ไหม … ขอร้อง อย่าแค้นอะไรให้มันมากนักเลย หยุดวงจรอุบาทนี้ได้ไหม … ถือว่าเป็นของขวัญที่กลับมาเจอกันอีกก็ได้”

   ผมลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้ามัน แรกๆ ก็คุยกันดี ๆ อะ หลัง ๆ กูเริ่มสติแตกเอาหน้าผากไปชนหน้าผากมัน น้ำตาที่หน่วงอยู่ก็ไหลแหมะไหลแหมะลงมาไม่ไว้ฟอร์มกูสักนิด แค่ตอนนี้กูไม่อยากให้มันเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอะไรอีกแล้ว แววตาที่จ้องมองมา ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย มันมีทั้งความคม เท่ และเต็มไปด้วยความอ่อนโยนหากแต่ในความอ่อนโยนตอนนี้มันมีความรั้นแฝงอยู่ด้วย … ผมไม่สนว่ามันเข้าใจที่ผมพูดไหม แต่ถ้าหากมันทำให้ได้ … ผมก็คงต้องห้ามมันอยู่อย่างนี้ต่อไป ต่อให้ต้องคุกเข่าขอร้อง ผมก็จะทำ เพราะชีวิตของมันตอนนี้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของผม

   “ครับ …” มันตอบเพียงสั้น ๆ … ที่ทำให้ผมมั่นใจว่ามันจะทำตามที่ผมขอร้อง ไม่จำเป็นต้องสัญญาอะไร เพราะถ้ามันฝืนทำ ผมจะได้ถวายพระบาทได้อย่างไม่ต้องคิดอะไรมากมาย

   “ผมกอดได้ไหม”

   “ก็กอดอยู่” ผมว่าจ้องเขาไปในตาคมดุคู่นั้น อ้อมกอดของมันทำให้ผมลืมความทุกข์จากการรอคอยทั้งหมดสิ้น … การรอคอยของผมสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

   “ผมหอมได้ไหม”

   “…เออ” มันหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะหอมมาที่แก้มของผมอย่างแผ่วเบาทั้งสองข้างก่อนที่จมูกโด่งๆของมันจะเอามาสีกับจมูกของผมอย่างหยอกล้อและบรรจงหอมที่หน้าผากของผมเบาซะจนผมไม่รู้สึกอะไรเลยหรือเพราะสติสตางค์ของผมเวลานั้นมันไม่มีแล้วก็ไม่รู้

   “จูบนะครับ”

   “ทำเป็นหรือไง”

   “หึหึ ลองดูนะ” ผมไม่พูดอะไร ปล่อยให้ลมทะเลพัดผ่านไปตามอย่างที่มันจะเป็น มันไปอยู่ต่างประเทศมา การจูบการกอดคงเป็นการบอกรักในรูปแบบธรรมดาของตะวันตกละนะ ผมจะไม่คิดมากแล้วกัน … ได้แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้วเนอะ …ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรอีกหรอก …

.

.

.

         “ไม่” อือฮื้อ คำคำเดียวของพ่อผมทำเอาไอ้ไม้ไปไม่ถูก หันมามองผมอย่างขอความช่วยเหลือ ผมก็ได้แต่ทำหน้าเฉย ๆ เหยียดยิ้มยินดีปรีดาให้กับมัน หึหึ

         วันรุ่งขึ้นผมพาไอ้ไม้กับไอ้ป๊อกกลับบ้านทันทีที่ฟ้าสว่าง หลังจากที่เมื่อคืนผมนอนเป็นหมอนข้างให้ไอ้เด็กขาดความอบอุ่นซะจนผมจะขาดใจตาย ก็มันรัดซะแน่นจนผมหายใจไม่ออก ตื่นเช้ามานึกว่าโดนหินทับที่ไหนได้โดนควายทับอยู่นี้เอง โอ้ยยยยยย รู้แล้วว่าคิดถึงแต่จะฆ่าจะแกงกันแบบนี้มันเกินไปนะไอ้ลูกบ้า ตัวกูก็ต๊อยเดียวตัวมึงอย่างกับตอม่อช่วยสงสารกันหน่อยเซ่ กระดูกกระเดี้ยหักไปใครจะรับผิดชอบ หึ เคือง

   พอมันมาถึงบ้าน ไอ้จุกก็ออกไปเรียนแล้วกลับมาคงกรี๊ดลั่นบ้านที่ไอดอลมันกลับมาแล้ว พวกสามทหารเสือก็ยังจำไอ้ไม้ได้วิ่งออกมาต้อนรับเห่ากันเกรียวกราว พี่แสงกับพี่เมฆที่ซ้อมมวยอยู่บนเวทีโดยมีพ่อของผมยืนกำกับอยู่ข้าง ๆ ก็หันมามองด้วยความตะลึงก่อนจะพากันกรูเข้ามาเฮฮาปาจิงโกะ แต่พ่อผมดูจะไม่ปลื้มเท่าไหร่ ไอ้ไม้พอทักทายกับพวกพี่ ๆ เสร็จก็เดินไปหยุดตรงหน้าพ่อของผมก่อนจะนั่งคุกเข่าลงกราบแทบเท้าขอขมาตาลุงที่นั่งหน้าตายไม่พูดไม่จาอยู่และขอกลับมาอยู่ที่นี้ด้วย และเรื่องราวก็เป็นอย่างที่เห็นนี้แหละ สม! ปล่อยให้โดนพ่อผมแก้เผ็ดไปอย่างงั้นแหละ ชิชะ

         “ทำไมละครับปู่ทาย ให้ผมอยู่ด้วยนะครับ ผมไม่มีที่พักเลย” กระแดะ! บ้านรวยโรงแรมมีเยอะแยะ ผมยืนมองลูกผมง้องอนปู่มันอย่างบันเทิงใจ รอให้มันจนตรอกก่อนเดี๋ยวค่อยช่วย หึหึ

         “เรื่องของเอ็งสิวะ” ตาลุงพูดหน้าตาเฉยยืนเล่นกับไอ้จ่อยนกแก้วสีสวยที่ชอบด่าผมเวลาผมเดินผ่าน ไม่รู้ไปจำใครมา

         “เรื่องของเอ็งสิวะ!” เสียงเล็กๆแหล่มๆของไอ้จ่อยดังขึ้น พูดตามพ่อผมทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา พี่แสงกับพี่เมฆที่ยังไม่หายดีใจที่ได้เจอไอ้ไม้ก็พลอยลุ้นตัวโก่งไปด้วย อย่าไปเชียร์มันเลยพี่ ไอ้เด็กนี้มันเจ้าเล่ห์ให้มันเผชิญชะตากรรมซะบ้าง

         “โธ่ … จะให้ผมทำอะไรก็ยอม ให้ผมอยู่ที่นี้ด้วยนะครับ”

         “เฮ้อ … พูดมาจังวะ ข้าบอกไม่คือไม่ เอ็งออกจากค่ายข้าไปแล้ว จะกลับเข้ามาคงไม่ง่ายนักหรอกว่ะ”พ่อผมพูดหน้าตาเฉยไม่สนใจไอ้ไม้สักนิด ไอ้เด็กนี้ก็ทำหน้าตาหน้าสงสารได้อีก หึหึ  แหมปู่ พอเมียไม่อยู่นี้เข้มตลอดเลยนะ ผมโทรไปบอกไอ้เกื้อตั้งแต่เช้าและ มันดีใจและร้องไห้ออกมายกใหญ่ แต่มันต้องไปเฝ้าร้านก่อนและกำชับนักหนาว่าให้ผมพาไอ้ไม้ไปหามันที่ร้านด้วย มันคิดถึงหลาน

   “แล้วจะให้ผมทำยังไงครับ ปู่ถึงจะยอม”

   “ก็ทำตามธรรมเนียมนั้นแหละ ไอ้โทนพามันไปพักที่บ้านพักปลายนา ให้มันมาซ้อมมวยที่นี้ทุกเช้าถ้าฝีมือมันถึง ข้าจึงจะให้มันเข้ามาในค่ายข้าอีก แต่อย่าหวังจะได้ขึ้นมาบนเรือนข้าเลยไอ้ห่า”

   “จัดไปพ่อ” ไอ้ไม้หันขวับมามองผมเมื่อผมตกลงเห็นด้วยกับพ่อ ก่อนที่มันจะคอตกและยอมทำตามแต่โดยดี

   “ทำใจไอ้ไม้ บททดสอบของเอ็งยังอีกเยอะ” พี่แสงเข้ามาตบบ่าไอ้ไม้ ไม่แน่ใจว่าปลอบใจหรือซ้ำเติมกันแน่ ฮ่าๆๆๆ

   “ครับ ผมเข้าใจแล้ว แต่ผมขอขึ้นไปดูข้าวของผมหน่อยได้ไหม ผมไม่มีของติดตัวมาเลย”

   “ไม่ได้”

   “โอ้ยพ่ออย่าแกล้งมันนักหนาเลย ไปไอ้ไม้ ไปดูของเอ็งไป แต่เสื้อผ้าเอ็งคงใส่ไม่ได้แล้วนะ” ผมดันหลังไอ้ไม้ขึ้นบันไดบ้านไปไม่สนใจตาลุงที่แยกเขี้ยวแยกฟันใส่ผมอยู่ อย่างหมั่นไส้ผมเต็มปะดา ผมยอมรับว่าผมดีใจมากที่ไอ้ไม้กลับมาที่บ้านนี้อีกครั้งถึงแม้ร่างกายมันจะโต แต่มันก็ยังเป็นเด็กน้อยของผมอยู่ดี

   ผมเปิดประตูห้องนอนของผมให้ไอ้ไม้ที่อยู่ด้านหน้า ทันทีที่มันเห็นภายในห้องก็ชะงักและหันมามองผมทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบเด็ก ๆ ของมัน แน่ละสิ ก็ทุกตารางนิ้ว ไม่เคยมีตรงไหนเลยที่เปลี่ยนไป โต๊ะนักเรียน เตียงนอน ตู้เสื้อผ้าข้าวของทุกชิ้นยังวางอยู่ตรงที่เดิม เต็มไปด้วยความทรงจำ

    ผมจับมือมันเดินเข้าไปในห้อง ก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงที่เตียงมองมันจากด้านหลังที่สูงโปร่งสง่าผ่าเผยอยู่ในเสื้อเชิ๊ตสูทหรูสีน้ำเงินอ่อน ทรงผมที่ตัดตกแต่งมาอย่างเรียบร้อยแต่ไม่ดูแก่เลยสักนิด กับดูเท่ในลุคของนักธุรกิจใหม่ไฟแรง แต่ใครจะคิดเห็นอายุแค่นี้กลับมีบริษัทใหญ่โตเป็นของตัวเองแล้ว

   เด็กคนนี้เก่งและห่างไกลจากไอ้ไม้คนเดิมจากที่เจอกันครั้งแรกเมื่อ 12 ปีก่อนโข … ดูจากตัวเลขมันมากนะ และสำหรับผมการรอคอยมันก็ทรมานมากแค่ไหนคงอยากที่จะอธิบายให้ใครเข้าใจ ผมไม่โกรธและไม่เกลียดมันอีกแล้ว เพราะผมอยากทำให้ตัวเองและมันมีความสุข … ต่อจากนี้และตลอดไป เพราะแค่เวลาที่จากกันมันมากเพียงพอแล้ว

   แต่ก่อนอื่น มันต้องโดนดัดนิสัยซะบ้าง ! หึหึ

   “เก็บข้าวเก็บของใช้มึงใส่กระเป๋าซะนะ เดี๋ยวจะพาไปบ้านปลายนา” ผมว่าและเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางวางไว้ตรงหน้ามัน พยายามไม่สนใจหน้าตาเด็กน้อยขอความช่วยเหลือของมันเด็ดขาด สักเดือนสองเดือน ค่อยว่ากันแล้วกันนะหนูน้อย หึหึ

.

.

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-04-2020 12:55:37 โดย pa_pa »

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4



-ไม้-

           ผมกลับมาเมืองไทยก่อนมาหาพ่อโทน 1 สัปดาห์ เพื่อจัดการเรื่องของธุรกิจที่จะเปิดในเมืองไทย และเดินทางมายังบ้านเกิดด้วยหัวใจที่ถวินหาความรักของพ่อโทน คิดถึงเหลือเกิน อยากเจอใจแทบขาด ตลอดเวลาที่ผมอยู่ต่างแดด ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ได้นอนหลับเต็มตา ทุก ๆ วันผ่านไปอย่างทรมาน แต่ผมใช้จุดนี้เพื่อผลักดันตัวเองขึ้นสู่จุดสูงสุด ผมยอมทำงานหนัก ผมยอมเรียนหนัก ต่อสู้กับผู้ใหญ่หลายคนที่เล็งตำแหน่งประธานบริษัทของพ่อและแม่ของผม แย่งตำแหน่งเพื่อนสนิทพ่อที่ดูแลกิจการส่งออกอะไหล่รถยนต์ ให้อย่างขาวสะอาด ทำทุกอย่างไปพร้อมๆกัน เพื่อกลับมาให้ไวที่สุด และตอนนี้ผมทำได้แล้ว … ทั้งหมดทั้งมวลเพราะพ่อโทนคนเดียวที่เป็นแรงผลักดันให้ผม มีวันนี้ได้ …

           ทันทีที่ลงจากรถโดยมีลุงศักดิ์พ่อบ้านมาส่ง ผมก็สัมผัสได้ถึงเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาวัยเด็ก ผมสูญเสียครอบครัวไปเพราะความโลภ ในตอนนั้นผมทั้งแค้นทั้งเกลียด แต่ด้วยความเป็นเด็กผมจึงทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ในเงามืด แต่แล้วก็มีเทวดาอย่างพ่อโทนมาฉุดรั้งผมออกไปในแสงสว่าง เขามอบชีวิตใหม่ให้ผม มอบความรักความห่วงใยและผมก็ตกหลุมรักเขาตั้งแต่วันนั้นจนมาถึงวันนี้ ถึงผมจะต้องกลับไปตกนรกทั้งเป็นถึง 6 ปี ก็เถอะ … กี่ปีแล้วนะจากครั้งแรกที่เราเจอกัน 12 ปี ก่อนหรือเปล่า ผมมีความสุขทุกครั้งที่นึกถึงมัน

           ผมเดินเข้าซอยบ้านที่เป็นถนนลูกรังอันคุ้นเคย บ้านช่องแถวนี้ก็ยังเหมือนเดิม ลูกนกลูกการ้องต้อนรับผมกันเกรียวกราว จนมาหยุดยืนอยู่ที่มุมรั้วของอนาเขตที่ผมไม่มีวันลืม …ค่ายมวยที่เต็มไปด้วยความทรงจำ … บ้านของผม

           เสียงปั๊ก ๆ ของกระสอบทรายทำให้ผมคิดถึงดังเข้ามาโซนประสาท ก่อนที่เสียงหงิง ๆ จะดังขึ้นจากด้านในรั้ว ผมมองลอดต้นไม้สูงที่ระย้ากิ่งลงมาบังตัวผมจนมิด ก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นเจ้าสามทหารเสือ แตกกวา กะหล่ำและมะเขือ ผมดีใจมากที่พวกมันจำเป็นผม มีมี่แม่ของพวกมันคงไปอยู่บนดาวหมาแล้วสินะ ... น่าเสียดายที่ผมไม่ได้อยู่ปลอบใจพ่อโทนในยามนั้น

    ก่อนจะลอบมองไปเห็นด้านในของบ้านที่เหมือนเดิมทุกประการ น้ำตาของผมก็แทบไหลออกมาเมื่อมองไปเห็นร่างเล็กที่แสนจะคิดถึง พ่อโทนยังน่ารักเหมือนเดิม ใบหน้าขาวพราวไปด้วยรอยยิ้มที่สดใจ แก้มแดง ๆ นั้นไม่เคยเปลี่ยนไปจนทำให้ผมแทบจะอดใจไม่ไหวกระโดดข้ามรั้วไปหายอดดวงใจของไอ้ไม้ซะให้ได้ แต่ต้องห้ามอกห้ามใจไว้ ขื่นเข้าไปตอนนี้ ผมอาจจะโดนปู่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักกระทืบเอาก็ได้

   อ่อ … เด็กตัวเล็กที่เตะกระสอบทรายอยู่เยาะ ๆ เจ้าจุกใช่ไหมโตขึ้นแล้วนี้หนา มาอยู่ค่ายมวยนี้กับเขาด้วยสินะ ว่าแต่หลวงตาบนวัดป่าท่านคงสบายดีนะ พี่เมฆกับพี่แสงก็ดูแข็งแรงดี แต่ไม่ยักจะเห็นลุงจันทร์กับลุงทิม สงสัยแกคงกอดคอกันไปเที่ยวที่ไหนแน่ ๆ … หึหึ ดูบ้านหลังนี้ยังมีสีสันเหมือนเดิม … คิดถึงจังเลย …ไอ้ไม้กลับมาแล้วนะทุกคน

         “มะเขือ กะหล่ำ แตงกวา ทำอะไรกัน!!!” เสียงพ่อโทนดังขึ้น

   ทำให้ผมต้องหลบฉากออกมายอมถอยทัพ กลับมาที่โรงแรมในตัวเมืองอย่างเหี่ยวเฉาใจ … คิดถึง แต่ส่งไปไม่ถึงเลย …คืนนั้นผมหลับไปด้วยความอัดอั้นตันใจ อยากกอด เหลือเกินพ่อโทนยอดดวงใจของไอ้ไม้ … ตลอดหลายปีที่ผ่านมาโทรศัพท์ผมพักนับไม่ถ้วนเพราะความใจร้อนของตัวเอง อยากจะโทรหาพ่อโทน อยากไถถามสารทุกข์สุกดิบ ผมเคยกลั้นใจโทร เพียงได้ยินคำว่า ฮัลโหล คำเดียว … กลัวใจตัวเองว่าถ้าหากได้ยินเสียงร้องไห้ … ผมจะไม่สามารถทำภารกิจต่าง ๆ ได้จนลุล่วงอย่างวันนี้ ผมดีใจตลอดมาที่เขายังใช้เบอร์เดิมไม่เปลี่ยน … ทำให้เหมือนว่าเขายังรอผมกลับมาเสมอ … พ่อโทนครับ คนจากไปอย่างผมก็แทบเจียนตายวันหลาย ๆ ครั้ง ที่รักของไม้ จะรู้ไหมครับ …

         เช้ามืดเวลาประมาณตี 4 ของอีกวัน ผมมายืนส่องอยู่ที่เดิมเหมือนคนโรคจิต ไม่แม้แต่จะนอนหลับเพราะใบหน้าของพ่อโทนตามมาหลอกหลอนผมทุกครั้งที่ผมหลับตา ก่อนที่รถยนต์ที่ไม่คุ้นตาจะขับผ่านผมไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นผม และเสียงแตรก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เสี้ยววินาทีต่อมาเสียงด่าของพ่อโทนก็ดังสวนกลับมาดังยิ่งกว่า … คิดถึงพ่อโทนด่าจังอยากโดนบ้าง

   ผมที่ยืนหลบฉากอยู่มองภาพของพ่อโทนที่แบกกระเป๋าเป้ขึ้นหลัง เดินด่ามุบมิบมาตลอดทางก่อนจะโยนกระเป๋าเป้ขึ้นรถอย่างหงุดหงิดและปีนขึ้นรถไป จะไปไหนกันแต่เช้ามืดน่ะ…พอรถออกไป ผมก็ไม่คิดอะไรให้เสียเวลา กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ตัวเองและขับตามหลังไปในทันทีห่างพอที่จะไม่ให้เขารู้ตัว จนติดตามมา  จอดรถอยู่หน้าซอยบ้านพักของพ่อโทน ณ.สถานที่ท่องเที่ยว ก่อนจะเห็นว่าที่รักของผมเดินเข้าไปในบ้าน ตัดสินใจนั่งรออยู่อย่างงั้นเผื่อว่าเขาจะออกมา ไม่นานเขาก็ออกมาจริง ๆ ดูเหมือนว่ากำลังจะไปซื้อของ … ถ้าผมวิ่งเข้าไปกอดเขาตอนนี้เลยได้ไหม … ยังก่อนดีกว่า ผมแอบตามเขามาที่ร้านสะดวกซื้อที่ไม่ไกลนัก ถือของพะรุงพะรังพอเห็นแบบนั้นก็เกิดสงสารจับใจ ตัวก็เล็กยังจะต้องมาถือของหนัก ๆ แบบนั้นอีก ผมลุกขึ้นวางหมวกกันน็อกไว้บนอานรถ … พ่อโทนครับไม้มาแล้วนะ

เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด โครม!!!

           “กรี๊ดดดดดดด ช่วยด้วย มีคนแก่โดนรถชน!!!!” ผมชะงักฝีเท้าที่กำลังจะถลาเข้าไปหาพ่อโทนที่เลี้ยวเข้าบ้านไปแล้ว

   ก่อนจะหันมามองเหตุการณ์ที่อยู่ไม่ไกลนัก ไทยมุงเริ่มทำหน้าที่ และผมไม่ลังเลเข้าไปช่วยประถมพยาบาลเบื้องต้นให้คุณลุงคนเก็บขยะ ประสานส่งลุงไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ไม่วายถูกลากตัวมาในฐานะผู้ช่วยเหลือและถูกเอาตัวไปให้ตำรวจสอบปากคำหารถผู้ต้องหาอีก … ขอโทษนะครับ แต่โคตรจะซวย ผมมาหาพ่อโทนแท้ ๆ กลับต้องมานั่งเสียเวลาไปทั้งวันไม่ได้อะไรสักอย่าง เฮ้อ … สุดท้ายก็ต้องเดินกลับมาที่รถด้วยความเหนื่อยอ่อน … นั่งหมดแรงกินน้ำอยู่ริมถนน เฝ้ามองหลังคาบ้านพักของพ่อโทน

   ผมถอนหายใจก่อนจะวางขวดน้ำลงกับฟุตบาทลุกขึ้นออกมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสายที่ชายทะเล ช่วงเย็น ๆ ลมทะเลแรงมาก แต่มันก็ทำให้ผมหัวโล่งได้เหมือนกัน เดินมาเรื่อยจนมาหยุดนั่งที่ชายทะเลปล่อยให้คลื่นน้ำซัดพาความอึดอัดใจนี้ไปให้หมด … อยากเข้าไปหาพ่อโทน เขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ผมจากไปนานหลายปีแบบนี้ … มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เขาจะลืมไปหรือยังนะ … ถ้าเขาลืม ก็คงไม่แปลกเพราะผมทำผิดกับเขาไว้มาก เขาอาจจะเกลียดผมไปแล้วก็ได้ … และจากนี้ผมจะอยู่ยังไง … ผมจะอยู่ได้ยังไง

   “คิดถึง!!!!!!!! คิดถึงไอ้ไม้ ไอ้ลูกเวร ฮึก คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงง เมื่อไหร่จะกลับมา กลับมาสักที … กลับมา” ไอ้ไม้สะดุ้งดีดตัวลุกขึ้น เสียงของพ่อโทนนี้ พอคิดได้แค่นั้นร่างกายของผมก็ตอบสนองล้มลุกคลุกคลานไปตามเสียงที่คุ้นเคยนั้น คิดถึง ผมคิดถึงพ่อโทน ผมมาแล้ว ผมกลับมาแล้ว ผมมา … แล้ว

   ขาคู่นี้เหมือนจะหมดแรงเอาซะดื้อ ๆ เมื่อเห็นสภาพของพ่อโทนที่ล้มทั้งยืนอยู่ไม่ไกล ตัวน้อยของเขาเปียกปอนไปด้วยน้ำทะเลและทรายที่พัดอยู่รอบตัว เขาล้มตัวลงนอน ร้องไห้อย่างไม่จักเหน็ดเหนื่อย ชื่อของผมออกมาจากริมฝีปากเล็กนั้นแทบขาดใจ น้ำตาที่ผมเฝ้าสกัดกั้นหลั่งออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ขาทั้งสองข้างค่อย ๆ ทำหน้าที่ของมัน ก้าวไปหาพ่อโทนอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะนั่งลงข้างเขาอย่างแผ่วเบา …

   เขาหลับตาทั้งๆที่ยังร้องไห้อยู่อย่างน่าสงสาร … ผมเป็นคนทำทั้งหมด ผมมันเลวที่ทำให้คนที่รักต้องมานั่งเจ็บช้ำน้ำใจแบบนี้ …

   “พ่อโทนครับ” ผมฝืนเสียงชื่อของเขา …

   นานแค่ไหนแล้วที่คำนี้ไม่ได้ออกมาจากปากของผม แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังดังสะท้อนในใจตลอดมา … ไม่ร้องไห้นะครับ ไอ้ไม้ขอโทษ อยากจะบอกให้ได้มากกว่านี้แต่ผมเอง … ผมเองไม่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ … รู้ตัวเองทีก็สัมผัสเขาไปอย่างละลาบละล้วงและหยาบคาย … คิดถึง ผมคิดถึงพ่อโทนเหลือเกิน …

           ผมผละริมฝีปากออกจากริมฝีปากเล็กตรงหน้า ก่อนที่ตากลมบ๊องแบ๊วนั้นจะจ้องผมผ่านม่านน้ำตาที่แดงช้ำไปเสียหมด แก้วนวลของเขาเปล่งประกายสีชมพูระรื้น เขามองผมเหมือนกำลังฝัน …น่ารัก น่ารักเหลือเกินพ่อโทนจากลูกไม้

           “กลับมาแล้วครับ” ผมยิ้มทั้งน้ำตายกมือหนาของตัวเองปัดปอยผมที่โปะหน้าของพ่อโทนอย่างทะนุถนอมสุดดวงใจ … ดวงใจของไอ้ไม้ … ที่รักของไอ้ไม้ …

           ทันใดนั้น ทุกอย่างรอบข้างก็ราวกับหยุดเคลื่อนไหว … ผมกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของดวงใจที่จากกันไปแสนนาน ท้องฟ้าท้องทะเลเป็นพยานว่า ไอ้ไม้จะรักมั่นพ่อโทนเช่นนี้ตลอดไป …จะไม่ไปไหนอีกแล้ว … ไม่มีวันยอมให้ใครรังแกยอดดวงใจดวงนี้ได้ … ไม่มีทาง …

.

.

.

           “ดึกแล้วนะครับ”

         ผมร้องบอกพ่อโทนที่ปูที่นอนให้ผมอยู่บนบ้านพักปลายนาที่สร้างขึ้นจากไม้สัก 2 ชั้น มันแข็งแรงและทนทาน และใหญ่โต ประกอบด้วยห้อง 5 ห้อง และผมเลือกอยู่ห้องชั้นล่างฝั่งขวาจากหน้าประตูบ้าน เห็นว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ให้คนที่มาขอเข้าค่ายของปู่พักอยู่ในช่วงที่ปู่ยังไม่รับเข้าค่ายมวย และดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีใครทนบททดสอบของปู่ได้เลยแม้แต่คนเดียว ผมเลยต้องอยู่ที่นี้ลำพัง ถึงแม้รอบข้างจะมืดสนิทเพราะอยู่ปลายนา

           “ทำไมจะไล่ข้ากลับแล้วเหรอไง ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี้” พ่อโทนย่นหน้าใส่ผมอย่างหงุดหงิด เขาก็หงุดหงิดอย่างงี้มาทั้งวันนั้นแหละ

   ไม่ว่าจะพาผมไปหาพี่เกื้อหรือจะพาผมไปหาหลวงตาบนวัดป่าก็หน้านี้ไม่เปลี่ยน น่ารักจนไอ้ไม้อดใจแทบจะไม่ไหวแล้วนะเนี้ย ผมหัวเราะนิด ๆ ทำเอาเขาขู่ผมฟู่เป็นลูกแมวตัวน้อย ไหนว่าโกรธผมไง หาข้าวหาปลา หาเสื้อผ้าดูแลผมเป็นอย่างดีแบบนี้ จะไม่ให้รักได้ยังไงไหว เฮ้อ … ผมรักพ่อโทนจัง อยากหยุดเวลาไว้อย่างนี้นาน ๆ …

           หลายปีที่ผ่านทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง ปู่กับพี่เกื้อแต่งงานอยู่กินตามภาษาผัวเมียกันแล้ว คลินิกของพ่อโทนก็มั่นคงจากหมอฝึกหัดกลายเป็นคุณหมอใหญ่ มีลูกจ้างเป็นคู่ผัวเมียอีกคู่ที่น่ารัก เจ้าจุกถูกเอามาเลี้ยงในค่ายมวยโตวันโตคืน พี่แสงกับพี่เมฆก็ขึ้นเป็นนักมวยมีชื่อเสียงทำให้ค่ายของปู่ทายโด่งดังระดับประเทศถึงอย่างงั้นก็ยังเลือกที่จะอยู่กันอย่างอัตคัด

    หลวงตาถึงแม้อายุจะมากขึ้นโขแต่ก็ยังดูท่านแข็งแรง พี่มาดเองก็ยังคงดูแลท่านอยู่ไม่ห่างเห็นทีจะมีแต่วัดที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และผมเองก็คงจะช่วยตอบแทนได้ในส่วนของปัจจัยนี้แหละ ส่วนลุงจันทร์กับลุงทิมก็แยกย้ายไปมีชีวิตบันปลายที่ตนเลือก เห็นจะมีก็แต่พ่อโทนนี้แหละที่น่ารักไม่เปลี่ยนแปลง

ตุบ …

           “ปล่อยนะโวยยยยยยยยยยย” พ่อโทนโวยวายเมื่อผมล้มตัวลงไปกอดเขาจนหงายท้องนอนให้ผมกอดเป็นหมอนข้างตัวนิ่มอยู่ข้างกาย … หอมจังเลย ตัวของพ่อโทน นุ่มนิ่มจังเลย น่ารักจังเลย … รักจังเลย …

           “ดึกแล้วนอนนี้นะครับ กลับไปอันตราย”

           “ไม่กลัวปู่เอ็งมาฉีกอกเหรอไง”

           “ถ้าต้องแลก ผมยอมครับ”

           “ปากดี” เสียงของพ่อโทนเงียบหายไป ลมหายใจแผ่ว ๆ ของเราสองคนดังขึ้นประสานกันในห้องที่มีเพียงแสงไฟสลัว เสียงจิ้งหรีดเรไรดังคลอขึ้นกลอมบรรเลงเพลงธรรมชาติขึ้น สายลมพัดเอื่อยทำให้หนาวขึ้นจับใจ แต่อบอุ่นเมื่อรู้ว่าตอนนี้ผมไม่ได้เดียวดายอยู่ในห้องหรูระดับ 5 ดาวอีกแล้ว …

   “หลายปีที่ผ่านมา ข้าคิดถึงเอ็ง ใจจะขาดรู้ไหม”

   “ครับ…” ผมขานรับก่อนจะรอฟังเสียงของยอดวงใจต่อ … ไม่ต่างกันเลยครับพ่อโทน ผมดีใจมากที่พ่อโทนไม่เคยลืมผม … ขอบคุณที่ยังรักผมอยู่ … ในวันที่เราต้องไกลกันยาวนานเช่นวันวาน

   “ทำไมไม่โทรหาข้าเลย … ข้าโทรหาเอ็งแต่เบอร์มันถูกยกเลิกไปแล้ว” เขาพูดเสียงสั่น ผมกอดเขาเอาไว้ให้แน่นขึ้น … ขอโทษ

   “ข้ากลั้นน้ำตาเอาไว้ทุกครั้งเลย คิดถึงจนแทบบ้า รอคอยวันนี้มานานมาก ฮึก วันนี้เอ็งกลับมาแล้ว” เสียงสะอื้นนั้นทำให้ผมโอบกอดร่างนั้นแน่นขึ้นไปอีก …

   “ผมกลับมาแล้ว ไม่ร้องนะครับ ผมขอโทษ” ผมรู้ดีว่าขอโทษเป็นร้อยครั้งก็ไม่สมกับที่ทำกับเขาเอาไว้ … ทุกอย่างผมผิดเอง ผมเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาเสียใจ …

   “ฮึก เอ็งใจร้ายมาก ข้าปกป้องเอ็งได้ ทั้งชีวิตข้าก็ให้ได้ แต่เอ็งไม่เคยบอกข้าเลย และจะให้ข้ารู้ได้ยังไง ฮึก จะให้ข้าปกป้องเอ็งได้ยังไง และสุดท้ายเอ็งก็จากข้าไป ฮึก … ข้าไปทำอะไรให้ถึงได้ทำกับข้าแบบนี้”

   ร่างเล็กสะอื้นซุกกับอกเปลือยของผม น้ำตาชื้นของเขาซับลงที่อกด้านซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี ลงโทษไอ้ไม้เลยครับพ่อโทน ทำให้ไอ้ให้ไม้เจ็บให้มากกว่านี้ ให้มันปวดร้าวให้มากกว่านี้ ให้สมกับที่มันทำร้ายคนที่มันรักให้เจ็บใจและปวดร้าว

   “แต่ตอนนี้เอ็งกลับมาแล้ว … อย่าทิ้งข้าไปอีกนะ ฮึก อย่าทิ้งกันอีกนะ”

   “ไม่ทิ้งครับ … ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว”

   ผมกระซิบบอกเขาที่ร้องไห้ใจแทบขาด ก่อนจะหอมลงขมับบางอย่างรักใคร่ และโอบกอดร่างเล็กที่สั้นสะท้านด้วยความหวาดกลัวนั้นไว้ตลอดทั้งคืน … เป็นประจักพยานว่าผมจะไม่หนีหายไปไหน … ผมจะไม่ทิ้งหัวใจของผมไว้ด้านหลังอีก …

   “ผมรักพ่อโทน… ยอดดวงใจของผม”





=======================
กลับมาแล้ว เดินเกมต่อได้แล้วไม้ <3'

ยกขันหมากสู่ขอเลยดีเปล่า ฮิฮิ อิลุงทายทำเป็นเข้ม ชิชิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-04-2020 13:01:28 โดย pa_pa »

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
มาคราวนี้ไม่ทิ้งดวงใจแล้ว ไม่งั้นเจอลุงทายเอาตายแน่ ไม้ไหวอยู่แล้ว เคยอยู่ค่ายมาก่อน แค่นี้จิ๊บๆ 5555  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
ข้าไปทำอะไรให้ ถึงได้ทำกับข้าแบบนี้...​สงสารพ่อโทน  :ling1:

กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็อย่าทิ้งพ่อเอ็งไปไหนอีกนะไอ้ไม้

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 18 ในฐานะที่ไม่ใช่พ่อลูก




      กลับมาครั้งนี้ รวม ๆ ได้ 2 อาทิตย์กว่าแล้ว ผมอยู่กับพ่อโทนสลับกับกลับไปดูธุรกิจในกรุงเทพบ้างแต่ไม่ได้ไปค้างคืนเลยสักครั้งต่อให้เย็นและดึกแค่ไหนก็ต้องกลับมานอนที่บ้านชายนา เพื่อที่ตอนเช้าจะได้ไปซ้อมมวยที่ค่ายของปู่ทาย แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักจริง ๆ หรอก ก็อย่างที่รู้กันว่า ผมอยากเจอพ่อโทนทุกวัน ทุกเวลา และอยากเอาพ่อโทนพับใส่กระเป๋าห้อยคอพาไปด้วยในทุกที่ ถึงแม้พ่อโทนจะตัวเล็กน่ารัก แต่ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้ น่าเสียดายจริงๆ เฮ้อ … ใครว่ากลับมาคราวนี้ทุกอย่างมันจะสงบสุขละ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนแต่เรื่องหัวใจไอ้ไม้ตอนนี้ มันไม่สงบเอาเสียเลย

           หลังจากวันนั้น พ่อโทนก็ไม่ยอมไปหาผมที่บ้านชายนาอีกเลย และผมเองก็แทบจะกระติกตัวไปไหนไม่ได้เพราะปู่กั๊กตัวผมไว้ ให้ฝึกเช้าจรดเย็นไม่เคยได้เจอพ่อโทนเลย ซึ่งแปลกมาก ถ้าปกติในตอนที่ผมยังเด็ก เขามักจะกลับมาที่บ้านในช่วงกลางวันทำกับข้าวกับปลาและรีบกลับบ้านในตอนเย็นเพื่อเราสองคนพ่อลูกจะได้มีเวลาร่วมกัน แต่นี้ … เหมือนกันกำลังหลบหน้าผมยังไงอย่างงั้น ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เลย ว่าทำอะไรผิด คิดว่าทุกอย่างควรที่จะดีแล้วแท้ ๆ เฮ้อ …

ผลั๊ว!!!!

           ผมหน้าสะบัดลงไปนั่งกับพื้นเวทีมวย เมื่อปู่ทายสะบัดหมัดเข้าตะบันหน้าผมอย่างแรง ถือว่าเป็นดอกที่เรียกสติผมกลับมาได้เต็ม 100 เลยทีเดียว … โหด เมื่อก่อนว่าโหดแล้วเดี๋ยวนี้ โคตรโหดเลยก็ว่าได้

   “อูยยยยยย ลุง ลุงทำมันแรงไปเปล่า” พี่แสงที่เช็ดน่วมอยู่ข้างสังเวียน โผล่หน้ามาตรงด้านหลังผม ยื่นผ้าห่อน้ำแข็งมาให้ ผมรับมาถือไว้อย่างนอบน้อมเหมือนเมื่อก่อน ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็มักจะเป็นลูกไล่ให้พี่ ๆ เขาเสมอ ถึงตอนนี้ผมก็ยังคงเป็นไอ้ไม้เด็กธรรมดาคนนึง

   “ช่วยไม่ได้ไอ้ห่าอยากเหม่อเอง” ปู่พูดพร้อมกับถอดน่วมโยนใส่ผม ลงจากเวทีไปทิ้งให้ผมกองอยู่ที่พื้นเวทีอยู่อย่างงั้น เฮ้อ ... ปู่ยังไม่หายโกรธผมอีกเหรอ นิสัยเหมือนกันจริง ๆ พ่อลูกคู่นี้ เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ …

   “เกิดเป็นไอ้ไม้ต้องอดทน ฮึบๆ” พี่แสงสะกิดหลังผมพอผมหันไปมองก็ชูสองนิ้วให้ … อดทนและอดกลั้นครับ ฮึบๆ เพื่ออนาคตที่มีพ่อโทนที่น่ารักและขี้อ้อนคนเดิมของผมกลับคืนมา ผมยอมได้!!!

   “มึงนี้เป็นใบ้เหมือนเด็ก ๆ ไม่เปลี่ยนเลยนะไอ้ห่า” พี่แสงตบหัวผมเบา ๆ อย่างหยอกล้อก่อนที่จะให้ผมไปอาบน้ำอาบท่าและมากินข้าวกลางวันที่ดูเหมือนพี่เมฆจะเป็นคนทำ และวุ่นวายอยู่คนเดียวหลังครัว

   เฮ้อ … พ่อโทนงานยุ่งมากเลยสินะ ถึงไม่มาให้ไอ้ไม้เด็กหน้าโง่คนนี้เห็นหน้าเลย … หรือมันจะเป็นการลงโทษที่ผมเคยทำให้พ่อโทนหม่นหมองใจรอคอยผมมานานแสนนานกันแน่นะ … ก็ได้ งั้นผมก็จะเป็นฝ่ายรอพ่อโทนบ้าง … แต่ก่อนอื่น ผมขอเห็นหน้าบ้างได้ไหม ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน จนหัวใจมันด้านชาแทบจะไม่มีความรู้สึก ถึงอย่างงั้นคงเจ็บและทุกข์ทนได้ไม่เท่าหัวใจที่บอบบางของพ่อโทนเป็นแน่ … โธ่ พ่อโทนของไอ้ไม้ …

   “มึงจะไปไหน”

   เสียงดุนั้นทำให้ผมสะดุ้ง หันไปมองปู่ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ลานโพธิ์ภายในบ้าน มีเจ้าสามทหารเสือมานอนอยู่ใกล้ ๆ ผมเม้มปากก่อนจะสวมเสื้อยืดสีขาวใส่ให้เรียบร้อยเสียก่อน … เมื่อกี้ปู่ยังอยู่หลังบ้านอยู่เลย แล้วทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ หมดกันแผนการย่องออกไปหาพ่อโทนที่โรงบาลสัตว์ในตลาดที่ทำงานของยอดดวงใจไอ้ไม้

   “กลับไปเอาของที่บ้านชานนาครับ”

   “มึงลืมอะไร” … ลืมหัวใจไว้ที่พ่อโทนครับ

   “… ปู่ครับ”

   “กลับไปซ้อม”

   “…” ผมไม่มีทางเลือกจึงต้องเดินคอตกกลับมาที่สังเวียนแทน จะใครในโลกล่า ผมไม่เคยเกรงกลัว นอกจากพ่อลูกคู่นี้เพราะผมรู้ดีว่า ผมไม่อาจสู้กับเค้าสองคนได้ทั้งกายและใจ…เฮ้อ จะทรมานไอ้ไม้ไปถึงไหนนะ …

           เวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็นกินข้าวกินปลาเสร็จ ปู่ทายก็ไล่ผมกลับจากบ้านตามระเบียบ เลยต้องมาเดินทอดน่องไปตามทางคันนา …ป่านนี้ไม่รู้พ่อโทนกลับบ้านไปหรือยัง … ไปดูสักหน่อยดีกว่า

 

ปี๊ดๆๆๆๆ



           เสียงแตรดังลั่นทุ่ง ผมเอามือบังแดดยาวเย็นที่ส่องหน้าผมจนแสบตาทำให้เห็น รถกระบะคันโตของพี่ป๊อกที่ผมจำได้ขึ้นใจ เขาขับมาตามทางวันเวย์ดินแดงปลิวคลุกฝุ่นมาจอดตรงหน้าผม จนต้องก้าวลงจากคันนาไปข้างทางแทน อะ เอาที่สบายใจครับพี่ ถนนเป็นทางพี่แล้วละ

           “ว่าไงไอ้น้อง โตขึ้นและหน้ายังโหดเหมือนเดิมเลยนะ”

           “ครับ?” ผมไม่เคยเข้าใจคำพูดของคนๆนี้เลย ตั้งแต่เล็กยันโต

           “ขึ้นมา เอ็งถูกเนรเทศไปอยู่ท้ายนาใช่ไหม เดี๋ยวข้าไปส่ง” เขาเปิดประตูรถให้ก่อนจะโบกมือให้ผมขึ้นไป

           “ไม่เป็นไรครับ”

           “ขึ้นมาน่ะ ไม่อยากฟังเรื่องไอ้โทนใช่ไหม โอ๊ะ เบา ๆ เดี๋ยวรถกูฟัง ไอ้ห่าเด็กอะไรตัวใหญ่อย่างกับควาย” ผมกระโดดขึ้นรถจนรถขย่มนิดหน่อย แต่ผมไม่สนใจ รีบให้เขาออกรถ ไปหาอาจจะไม่เจอก็ได้ แต่ผมอยากจะรู้ 6 ปีที่ผ่านมาพ่อโทนเป็นยังไงบ้าง …เพราะเขายังไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลย น่าน้อยใจจริงๆ … แต่ก็ไม่เป็นไรไอ้ไม้ทนได้เสมอ

.

.

.

           รถกระบะคันโตขับมาจรดริมคันนาที่ใกล้กับบ้านพักของเจ้าไม้ที่ตั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมทุ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะช่วยกันขนเหล้า เบียร์พร้อมมิกเซอร์ ที่ป๊อกแวะซื้อ ณ.ร้านขายของชำก่อนมาถึง และดีที่ลูกไม้เองก็ไม่ซีเรียสเรื่องกินเหล้าเพราะที่ต่างบ้านต่างเมืองลูกไม้ก็กินเพื่อเข้าสังคมเป็นประจำ ออกจะคอแข็งกว่าใครหลาย ๆ คนด้วยซ้ำ และในเวลานี้เขารู้สึกเบื่อกับทุกสิ่งสิ่งเดียวที่ปลอบประโลมหัวใจที่แห้งผากของเขาได้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

           สองอาหลานเดินขึ้นมาบนบ้านที่สร้างด้วยไม้และดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ขยับตัว ก่อนที่ป๊อกจะรู้งานเดินไปคว้าเอายาจุดกันยุงและกระติกน้ำเล็ก ๆ เดินนำไปรอที่ระเบียงบ้านที่ยกสูงจากพื้นประมาน 2 ฟุต ก่อนที่เจ้าไม้จะเดินไปหยิบน้ำขวดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ หัวเตียง เดินตามเจ้าป๊อกออกไป

           “ว๊ะ กูนึกว่าจะไปหยิบแก้วหยิบกระบอกมาเสือกหยิบแค่น้ำมา แดกเหล้าเป็นปะเนี้ย!” เจ้าไม้ไม่ตอบโต้อะไร แต่ทำท่าจะเดินเข้าไปหยิบแก้วในห้องอีกรอบ แค่หมดกำลังใจจนมึนอึน แต่เสียงเพื่อนพ่อดังห้ามเสียก่อน

           “นั่ง ๆ ไอ้สาด แค่เดินไปเดินมากูก็หดหู่ละ เป็นไงละ พ่อมึงไม่ค่อยสนใจหรือไง”

   เจ้าป๊อกคว้าเอาขวดน้ำไปถือไว้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเทน้ำในขวดทิ้งลงไปในกระติกใบเล็กและประดิษฐ์แก้วเหล้าจากคัตเตอร์เล็ก ๆ ในมือคำพูดนั้นเหมือนเข็มนับพันที่แทงทะลุหัวใจแกร่งแต่ก็ยังคงเก็บอาการ นั่งรอฟังสิ่งที่ป๊อกจะเล่าให้ฟังอย่างใจจดใจจ่อ

           จนเวลาล่วงเลยมาพอสมควร ฟ้ายามหัวค่ำมึนครึ้ม เสียงจิ้งหรีดเรไรดังในความเงียบสงัด มีเพียงแสงสว่างและเสียงร้องเพลงเพี้ยน ๆ ของเจ้าป๊อกที่ดังแข่งกับเสียงจิ้งหรีด เจ้าไม้นั่งมองแก้วเหล้าที่ผลิตจากขวดน้ำเปล่าของตัวเองและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

           “เล่าให้ผมฟังเถอะครับ” หลังจากที่เจ้าไม้ซัดไปสามแก้วก็หมดความอดทนลง

           “เล่า ? เล่าเรืองไรวะ… เออๆ ไม่เห็นต้องโหดเลย เล่าๆๆๆๆ” เจ้าป๊อกชะงักเมื่อหลานชายเริ่มจะหงุดหงิด เอาเรื่องเลยต้องยอมหลานมัน ก่อนที่จะโดนชกหลับเอาซะตั้งแต่หัวค่ำ

           “เอาตรง ๆ เลยนะ กูจะได้กินเหล้าสักที” เจ้าป๊อกวางแก้วเหล้า ก่อนจะทำวางแขนเท้าบนเข่าทำหน้าขึงขัง ยกมือชี้หน้าเจ้าไม้ที่นั่งจ้องเขานิ่งประหนึ่งรูปปั้น

   “พ่อมึงอะนะ … 6 ปีที่ผ่านมาแม่งเหมือนสต๊าฟตัวเองไว้ในน้ำแข็งเลยไอ้ไม้เอ๊ย!!!  ผู้หญิงผู้ชายเข้าใกล้ไม่ได้ กำแพงแม่งหนาตั๊บ!”

   “ผู้ชาย ?” เจ้าไม้ขมวดคิ้ว ในใจแทบคลั่ง พ่อโทนมีคนมาจีบ … ใครมันจีบพ่อโทน อย่าให้ไอ้ไม้จับได้นะ ฮึ่ม!

   “เออ เสน่ห์แรงฉิบหาย พ่อม้ายลูกติด ไอ้หนุ่มเมืองหลวง บลาๆ นี้ยังไม่รวมแม่สาวทั้งหลายที่แอบหลงผิดคิดว่ามันแมนด้วยนะ ไอ้ห่าหน้าอย่างงั้นหุ่นอย่างงั้น เตี้ยอย่างงั้น ใครมันจะหาเมียให้เสียชาติเกิดวะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” ว่าแล้วก็กระดกเหล้าเข้าไปอีกอึกใหญ่ๆ ก่อนจะวางแก้วน้ำพลาสติกลงอย่างแรง จากที่ผิวแทนอยู่ก่อนแล้วเมื่อโดนฤทธิ์แอลกฮอล์เข้าไป ทำให้แดงไปทั้งตัวจนเจ้าไม้แอบคิดไม่ได้ว่าคืนนี้เห็นทีจะต้องสละพื้นที่ให้เพื่อนพ่อที่รักนอนด้วยกันที่นี้เสียแล้ว

   “กูเองยังนับถือน้ำใจมันเลย ตอนแรกกูก็ไม่รู้หรอกว่ามันปล่อยให้ตัวเองโสด ไม่มีผัว  มันก็ไม่ค่อยอยากจะบอกอะไรก็ซะด้วย จนกูเห็นเองที่ทะเลนั้นละ ว๊าเว้ย มั่งคงในรัก ทั้งที่มึงเองอาจจะมีลูกมีเมียไปแล้วด้วย แต่ก็โชคดีนะ ที่มึงเองก็คิดอย่างเดียวกับมัน หึหึ แต่งเมื่อไหร่ร่อนการ์ดด้วยนะ อย่าให้เหมือนปู่มึงที่แต่งไม่บอกห่าอะไร อยู่ ๆ ก็ไม่คว้าเพื่อนไอ้โทนมาเป็นเมีย ไอ้เหี้ยผู้หญิงร้องไห้ทั้งตำบล ฮ่าๆๆๆๆๆ”

   คำพูดของป๊อกแทบไม่ได้เข้าหัวของลูกไม้เลย เพียงแต่ว่าบางประโยคมันกลับฝั่งลึกอยู่ในโสตประสาทที่หัวใจสั่งให้ทำงานแทนสมอง … พ่อโทนครับ เราทั้งคู่คิดตรงกันใช่ไหม … เรารักกัน ในความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่พ่อลูก … เรารักกันในฐานะที่ใช้หัวใจคิดไตร่ตรองแล้วทั้งสองฝ่าย … ใช่ไหม ???

           ลูกไม้เหม่อมองออกไปทั้ง ๆ ที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ … เขาอาจจะฉลาดเรื่องความคิดแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพรสวรรค์แต่กับความรักนั้นกลับเป็นเด็กตัวน้อยที่ไร้เดียงสา มีเพียงความรักอันบริสุทธิ์ที่ไม่เคยคิดหวังสิ่งใดตอบแทน ขอแค่ได้รัก ขอแค่ได้เห็นหน้า …

           “มึงละ รอเหี้ยอะไรทำไมไม่เดินหน้าจีบแม่งให้เป็นเรื่องเป็นราว เดี๋ยวก็แก่ตายห่ากันพอดี อย่าช้านะโว้ย รีบ ๆ เข้าอย่าไปสนใจใครมาก แค่ไอ้โทนและมึงแค่นี้มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอวะ”

   เจ้าไม้ไม่ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มเพียงมุมปากให้กับสหายร่วมดื่มในคืนนี้ และนั่งกินเหล้าเป็นเพื่อนหนุ่มใหญ่สังสรรค์ตามภาษาหนุ่มโสดที่หาที่กินเหล้าไปเรื่อยๆอย่างนั้นจนค่อนคืน ในใจแกร่งของลูกไม้ฮึกเฮิมอย่างประหลาด จะมีสิ่งไหนที่น่าดีใจไปยิ่งกว่าการที่ได้ล่วงรู้หัวใจของคนที่รักกันละ …

.

.

.



           “แม่งอยู่เป็นหมาหงอยเลยนะมึง น่าสงสาร”

    พี่แสงที่เข้ามาเล่นเกมในห้องผม เล่นไปก็เล่าเรื่องไอ้ไม้ให้ผมฟังไป เป็นอย่างงี้มาตลอด พี่แกพยายามเหลือเกินให้ผมไปถวายตัวเอาอกเอาใจไอ้ไม้ แต่เสียใจด้วย ผมยังโกรธมันอยู่ ไม่ให้อภัยง่าย ๆหรอก ตอนคิดจะกลับก็กลับมาดื้อ วันนั้นที่ไปนอนกับมันที่ปลายนา เพราะสงสารมันหรอกน่า เฮ้อ วันเวลาผ่านไป ผมพยายามหลบหน้ามันและทำหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติ ใครถามอะไรก็เลี่ยงตลอด ไม่อยากจะพูดถึงมันให้มากนัก

   ถามว่าคิดถึงไหม … ก็คิดถึงนะ บางวันผมยังมาแอบดูมันที่บ้านตัวเองเลย วันดีคืนดีก็ถือตะเกียงไฟฉายไปปลายนาเพื่อดูว่ามันปิดไฟนอนหรือยัง นอนได้ไหม เป็นห่วงว่ามันจะกินอะไรหรือยัง แต่ยังไงก็ยังไม่อยากจะเจอหน้ากันตรง ๆ กลัวจะเข้าไปกอดมันนะสิ … ผมน่ะตัวหลงลูกเลย หรือใครยังไม่รู้ เฮ้อ …

   มันน่าเจ็บใจที่ความรู้สึกของผมมันกลับประหลาดออกไป กลับกลายเป็นว่า ผมรักมันไปเองซะแล้ว รักแบบที่ไม่ใช่พ่อลูก รักแบบที่คน ๆ นึงจะรักคนอีกคนได้ … ผมคิดว่าถ้ามันกลับมา ถึงเวลานั้นความรู้สึกนั้นมันจะหายไป แต่เปล่าเลย ผมกับโลภมากขึ้นเรื่อยๆ … จนผมไม่อยากจะเจอหน้ามันกลัวความรู้สึกตัวเองที่มันแสนอันตราย …

   “เฮ้อออออออออออออออออออออออ!!!!!!” ผมถอนหายใจออกมาลั่นห้องก่อนจะพลิกตัวคว่ำหน้าลงซุกกับหมอนใบเก่าของมัน แม่ง ยิ่งได้กลิ่นหน้าไอ้ห่าลูกไม้ลอยเต็มไปหมด ยิ่งรู้ว่ามันอยู่ใกล้ ๆ ผมยิ่งเต้น …. แม่งเอ้ย แม่งเอ้ย !!!!!!

   “ไอ้โทน”

   “ไรพี่ ทำไมวันนี้กวนผมจัง พี่เมฆไม่อยู่หรือไงวะ”

   ผมเงยหน้าขึ้นไปค้อนใส่ไอ้พี่แสงที่ใช้เท้าสะกิดผมอยู่ยิก ๆ มือกับตาก็จ้องจอตรงหน้าไม่ได้สนใจผมหรอก … แก่แล้วนะเล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้ งี้แหละ พี่เมฆไปธุระกับพ่อที่จังหวัดอื่นนี้หน่า คนเคยอยู่ด้วยกันทุกวัน ประหนึ่งสามีและภรรยานั้นแหละ หึหึ นี้แหนะ!

   “โอ้ย ไอ้ห่าถีบกูหาพ่อมึงเหรอ”

   “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก อย่าทับบบบบบบบบ โฮ๊ก ตัวหนักอย่างควาย”ผมบ่นไปก็ดิ้นออกจากก้นหนาของไอ้พี่แสงเวรที่เอาหัวนมคิดมานั่งทับผม อึดอัดฉิบ งื้ออออออออออออออออออออออออ

   “กูพี่มึงนะ หัดเคารพบ้าง ” 

   “มีอะไรให้เคารพวะ โอ้ยยยยยยยยยย ไอ้พี่แสงลุกไป!!!!!!” ผมเอามือกุมหัวตัวเองเพราะมะเหงกหนักของคนแรงควายทุบเข้าให้ปั๊กใหญ่ กะโหลกร้าวแล้วมั้ง นี้หัวหมอนะ นั้นหมัดนักมวย!!!!! 

   “มึงนี้นะ น่าตบให้กบาลแยก มึงอดทนมาตั้ง 6 ปี มันมาแล้วก็เสือกโกรธมัน เป็นห่าอะไรวะ ”

   “… ไม่ได้โกรธ”

   “เฮอะ ไม่ได้โกรธ แล้วไอ้เด็กที่นั่งหน้าเป็นตูดอยู่นี้ละ อายุมึงก็เยอะแล้วนะเสือกเล่นตัวอยู่นั้น”

   “ไม่คุยแล้ว ลงไปสิวะ โอ้ย เจ็บนะ จะทุบทำไมนักหนา!” ผมโวยวายเพราะไอ้พี่แสงมันยังไม่เลิกทุบหัวผม ฮึ้ย! ใครเล่นตัววะ ไม่ได้เล่นตัวสักหน่อย

           “โอ้ย ไอ้ห่าอย่ากัดหลังกู!!!!!!”

           “ไอ๊!!!!”สมน้ำหน้าชอบแกล้งผมดีนัก กัดให้เนื้อขาดเลย แง่มๆๆๆๆๆๆ

           กว่าจะไล่ไอ้พี่ตัวแสบออกไปจากห้องได้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้วนั้นละ ตอนแรกว่าจะไปแอบดูไอ้ไม้สักหน่อย ดึกขนาดนี้คงไม่ไปแล้วละ เฮ้อ … พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแต่เช้ายังจะมาก่อกวนผมอีก ดูดิ เล่นจนผมตัวเหนียวเหงื่อไปหมดอายุเท่าไหร่กันแน่วะ ตาแก่คนนี้เนี้ย

           พอบ่นหนำใจแล้ว ผมก็คว้าเอาผ้าเช็ดตัว ลงมาอาบน้ำใหม่ที่ด้านล่างนอนไม่หลับหรอกแบบนี้ ฮึ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวจะไปหาซื้อประทัดมาจุดหน้าห้องไอ้บ้าพี่แสงให้กระจุยกระจายเลย แก้แค้น ๆ พออาบน้ำเสร็จไอ้โทนก็ปะแป้งเย็นพอกให้ทั่วเพื่อความสดชื่น ส่องกระจกตัวเองและแอบเหมือนแคปเปอร์เล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ก็น่ะตัวผมตอนนี้หอมฉุยน่ารักน่าชัง จนต้องวิ่งหนีแฟนคลับบรรดายุงกับเจ้าสามทหารเสือที่พากันมานั่งเฝ้าผมหน้าประตูห้องน้ำ ขึ้นมาบนห้อง ปิดไฟและกระโดดลงเตียง  อ๊า สบายจังเตียงนุ่มๆ หอมๆ ง่วงๆ



… แต่ถึงยังไงก็นอนไม่หลับ

           “โธ่เว้ยยยยยยยยยยยยยยยย!”

   ผมตะโกนออกมาลั่นห้อง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งและมองไปที่ริมเตียง ถอนหายใจเฮือกใหญ่กลิ้งตัวเองลงไปนอนข้างล่าง ที่ไอ้เด็กเปรตนั้นเคยนอน … ถึงจะกวาดถูไปหลาย ๆ รอบ แต่ผมก็ลงมานอนตรงนี้ทุกครั้งที่นอนไม่หลับ … เพราะมันทำให้ผมหลับง่ายขึ้นอาจจะเป็นเพราะพื้นไม้ตรงนี้มันเย็น หรือมันอบอุ่นเพราะไออุ่นที่ไม่เคยจางหายกันแน่นะ … เฮอะ … นอนแล้ว ไม่สนใจหรอก



แก๊ก …

           เสียงอะไรวะ …

           ผมที่ยังนอนหลับไม่เต็มตานัก ลืมตาขึ้นมาในความมืด เมื่อเสียงบางอย่างมากระทบกับหน้าต่างไม้ที่ติดกับเตียงของผม ขโมยเหรอ ….

แก๊ก แก๊ก

           หน่อยยยยยยยยยยยยย ไอ้เวรนี้ ไม่รู้ซะแล้วว่านี้บ้านใหญ่ คิดจะมาขึ้นบ้านครูมวยงั้นเหรอ หาที่ตายชัด ๆ ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหยิบเอาไม้ตะพด ที่แขวนอยู่ริมห้อง พ่อซื้อมาเป็นของฝากจากเชียงใหม่ บอกว่าให้ผมเอาไว้ใช้ตอนแก่เพราะรู้ว่าผมหาเมียไม่ได้ไม่มีลูกดูแล … ชิ ขยันแซว ตัวเองนั้นแหละที่จะแก่ก่อนผมแท้ ๆ น่าหมั่นไส้ชะมัด ผมเห็นว่ามันสวยดี เลยเอามาทำเป็นของประดับห้องซะเลย ไม่คิดว่าจะได้เอามาใช้แพ่นกบาลคนวันนี้

           เสียงนั้นก็ดังมาเป็นจังหวะคล้ายเสียงคนเดิน แต่น่าแปลกที่ไอ้สามทหารเสือไม่ยักจะเห่า ปกติใครเข้าบ้านมาแปลกหน้านี้ เห่าฉิบหายวายปลวก ผมตัดสินใจย่องเข้าไปใกล้กับหน้าต่างเพื่อชะโงกออกไปดูว่าไอ้โจร 500 นั้นเป็นใคร มันมากันกี่คน กันแน่ ฮึ ต่อให้มาสัก 10 คนก็ไม่กลัวหรอก แต่กูแค่ขอวิ่งไปตั่งหลักนอกบ้านแค่นั้นเอง อย่างนะโว้ย ไอ้โทนคนนี้โหดยิ่งกว่าหมาแม่ลูกอ่อนอีกนะ สาดดดดดดดดดด

แก๊ก แก๊ก แก๊ก

           เสียงห่านั้นดังขึ้นถี่ ๆ เหมือนกำลังจะขึ้นมาถึงห้องผมแล้ว ผมที่แอบอยู่ด้านข้างหน้าต่างเหงื่อแตกซิก ใจหนึ่งก็อยากจะชะโงกไปมองแต่คิดอีกที ถ้ามันมีปืนผาหน้าไม้ ผมอาจจะตายก่อนเล่นตัวชนะไอ้ไม้ก็ได้ แง่มมมมม บ้านอื่นมาตั้งเยอะแยะไอ้ลูกหมาใจทรามกลับเลือกขึ้นบ้านหลังนี้ จิตใจมันทำด้วยอะไรวะ แล้วไอ้พี่แสงตายแล้วหรือไง ขโมยขโจรขึ้นบ้านไม่รู้สึกตัวเนี้ย!!!

           “ไอ้เหี้ยขโมย!!! บ้านกูอยู่กันเยอะ มึงขึ้นมามึงตายแน่!!!!!! ถ้ามึงลงไปตอนนี้ยังทันนะ!!!!!!”ผมตะโกนโม้ลั่นแต่ไอ้เสียงนั้นก็ยังไม่หยุด เอาวะ จะลองดีกับกูใช่ไหม ได้!!!!!

           กูง้างไม้ตะพดขึ้นเหนือหัว กะว่าถ้าขึ้นมาเมื่อไหร่ พ่อฟาดไม่เลี้ยงแน่ๆ นาทีนั้นเหมือนหัวใจผมหยุดเต้น เดี๋ยวนะ และถ้าผมฟาดลงไปและมันตกลงไปตายละ … ผมก็ฆ่าคนน่ะสิ แต่มันเป็นโจรนะ … แต่ผมไม่อยากฆ่าคนเลยอะ … ฮื่ออออออ

           ผมทิ้งไม่ตะพด และทำท่าจะวิ่งออกมาด้านนอกห้อง แต่ระหว่างที่กำลังจะปลดล็อกกลอนประตู เสียงวิ่งก็ดังมาจากด้านหลัง ไอ้โทนขี้ขลาดไม่แม้แต่จะกล้าหันไปมอง

หมับ!!!!

           “ปล่อย ไอ้เหี้ยปล่อย!!!!!!” พ่อมึงเป็นตุ๊กแกเหรอกอดกูแน่นขนาดนี้เนี้ย!!!!!!!

           “พ่อโทนครับ นี้ไม้เอง”

   เสียงที่ผมจำได้ขึ้นใจไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปีดังขึ้น กูหันไปมองทันที ร่างทะมึนตรงหน้าอยู่ใต้เงาจันทร์ที่ส่องเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าคมสันที่อยู่สูงกว่าหน้าผมกว่าศอกครึ่ง กำลังยิ้มอยู่ รอยยิ้มไร้เดียงสาของไอ้เด็กที่ทำพิษกับผมไว้มาก …. ไอ้ไม้!!!!

           “มะ มึงมาไง”

           “คิดถึงครับเลยมาหา”

           “มึงปีนขึ้นมาเนี้ยนะ”

ผลั๊ว!

           ผมฟาดลงหัวไอ้ไม้หนึ่งทีเบาะ ๆ มันหัวสะบัดนิด ๆ แต่ก็ยังยิ้มอยู่ แขนใหญ่ของมันตวัดผมเข้าไปกอดอีกรอบ ถึงผมจะโวยวายแค่ไหน มันก็ไม่ปล่อยผมหรอกผมรู้ดี เลยต้องปล่อยให้ไอ้ยักษ์กอดผมอยู่อย่างงั้น … คิดว่าจะอึดอัดนะแต่ไม่ใช่เลย ผมกลับรู้สึกอบอุ่นและโหยหาซะมากกว่า … คิดถึงคนเดียวหรือไง … กูรอมึงมาตลอดแท้ ๆ สองอาทิตย์ที่ผ่านมากูก็ไม่ได้ไปไหนนอกจากที่ทำงานและก็บ้าน มึงยังไม่พยายามไปหากูเลย …กูไม่คิดถึงมึงเลยสินะ กูไม่น้อยใจเลยใช่ไหมละ… ฮึ

           “พ่อโทน”

           “อะไร”

           “ผมรักพ่อโทนนะครับ”

           “อือ” ผมขานรับ ในใจนี้แทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ มึงจะย้ำทำไม แค่นี้กูก็รู้แล้วว่าไม่ควรคิดไปไกลให้มากเกินกว่าคำว่าพ่อลูก มึงย้ำแบบนี้กูเสียใจนะ

           “รักแบบไม่ใช่พ่อลูก … รักแบบผู้ชายคนนึงจะรักอีกคนได้ รักแบบนี้มาตั้งแต่เราเจอกันครั้งแรก เข้าใจไหมครับพ่อโทน”

           “ห๊ะ …”

           “ผมรักพ่อโทน และจะเดินหน้าจีบแล้ว ผมไม่สน ปู่ ไม่สนใครทั้งนั้น ไม่สนคำว่าพ่อ ของพ่อโทนด้วย เตรียมตัวไว้ได้เลยนะครับที่รัก”

           “แต่กูพ่อมึงนะไอ้ไม้ ดะ เดี๋ยว อย่าจูบกู!!!อื้อ!”

จุ๊บ!

           “ไม่สนครับ ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น เราไม่ใช่พ่อลูกกันจริงๆ อีกอย่างพี่ป๊อกก็บอกผมแล้วว่าพ่อโทนรักผม หึหึ ที่รัก ต่อไปนี้ผมจะเดินหน้าเต็มที่แล้วนะครับ ให้สมกับที่รอคอย 12 ปีเลย” มันไม่พูดเปล่าก้มลงมาจูบผมอีกรอบ กลิ่นเหงื่ออ่อน ๆ กับกลิ่นเหล้าทีคลุ้งไปทั่ว แทบทำให้สติผมดับสูญซะตรงนั้นมือไม้ไม่มีแม้กระทั่งแรงที่จะผลักออก ไอ้ป๊อก ไอ้เพื่อนเวร มึงชวนลูกกูกินเหล้ามาใช่ไหม …

           “พะ พอแล้ว!” ผมดันหน้าไอ้เด็กหื่นที่ลวนลามกูไม่เลิก

   แม่งกลายเป็นเก้งเป็นกวางตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ย ถึงมันจะบอกว่ามันเป็นเด็กบ้าน ๆ เหมือนแต่ก่อนแต่ความจริงตอนนี้มันมีหน้าที่ใหญ่โตในสังคม ถ้าเกิดสมมุติมันมีผมขึ้นมาจริง ๆ แล้วสังคมรอบข้างของมันละ … ผมยังครองสติได้อยู่นะ พอที่จะแยกแยะได้ … อาจจะดูคิดมากไป แต่ถ้าผมไม่คิดเผื่อเอาไว้ วันไหนเกิดมีปัญหาขึ้นมาจะทำยังไง …

   ผมเองก็รักมัน และผมก็ดีใจที่มันคิดตรงกับผม … แต่มันแตกต่างกันเกินไปไหม ไอ้ไม้ควรที่จะได้แต่งงานแต่งการกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่าง สร้างครอบครัวที่แสนอบอุ่นขึ้นมาสิ … นั้นคืออนาคตที่ถึงเจ็บเจียนตายผมก็อยากให้มันเกิดขึ้น

           “มึงเลิกบ้าไปเลยไอ้ไม้ กลับไปนอนบ้านมึงได้แล้ว ทุกอย่างคืนนี้มึงลืมไปให้หมด กูเป็นพ่อมึงนะ” ผมเสียงแข็ง ทั้ง ๆ ที่ในใจแม่งอยากจะร้องไห้ ถ้าตอนนั้นผมรับมันมาอยู่ในฐานะ อื่นที่ไม่ใช้คำนำว่าว่า ‘ลูก’ ผมคงไม่กระดากใจแบบนี้

           “ผมจะอดทนรอวันที่พ่อโทนยอมรับและมองข้ามความสัมผัสจอมปลอมของเราออกไป ผมไม่ใช่ลูกพ่อนะครับ ผมเป็นไอ้ไม้ เด็กที่บ้านไฟไหม้ พ่อแม่เสีย เป็นลูกกำพร้า และวันนึงผมก็ได้เจอคนที่ฉุดผมขึ้นมาจากหลุมพรางชีวิต และผมก็หลงรักเขาหมดใจ … ไอ้ไม้คนนี้ไม่มีทางไปรักใครได้ … ไม่มีวันไม่รักพ่อโทน ผมจะรอ … จะรอจนกว่าถึงวันที่พ่อโทนยอมรับผม” มันพูดจบก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน เวลานั้นขอบตากูร้อนผ่าว ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ดีใจ เสียใจ ตื้นตัน เพียงแต่มันอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆใส่หน้าไอ้เด็กแก่แดดตรงหน้า   

           “มะ มึงพูดอะไร กูฟังไม่รู้เรื่อง” ผมผละเดินออกมาหันหน้าเข้ามุมห้อง ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองไอ้เด็กตัวยักษ์ด้านหลัง ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกจากห้องไป กลัวว่าจะทำร้ายจิตใจมันมากจนเกินไป

           “หึหึ หันมาหาไม้นะครับ” เสียงขอมันอ่อนโยน มือแกร่งค่อย ๆ จับไหล่ผมหันไป จนผมต้องย่นหน้าใส่จมูกแทบติดกับปาก

   ฮึบ ไม่ร้อง ผมไม่ใช่เด็กแล้ว อายุจะ 30 แล้ว เป็นหนุ่มแล้วแท้ ๆ ไอ้เด็กบ้ายิ้มก่อนจะใช้หลังมือสาก ๆ แต่อุ่นลูบไปตามแก้มของผม ผมปฏิเสธยกมือปัดมันออก แต่มืออีกข้างก็ถูกจับเอาไว้เหมือนกัน เลยทำได้แต่ก้มหน้าชิดอก ไม่ได้เขิน ไม่ได้อายโว้ย ระดับนี้แล้ว ไม่มีทาง!!!!

   “ก็บอกว่าผมจะรอ รอจนกว่าพ่อโทนจะพร้อม ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็จะรอ”

   ลมหายใจของมันเป่าที่แก้มผม ก่อนที่ลมหายใจแผ่วๆนั้นจะลากยาวมาที่จมูก จรดที่หน้าปาก และทำวนอยู่อย่างงั้น และมอบความอบอุ่นให้ริมฝีปากของผม … ต่อจากนี้ … จะเป็นยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน … แต่ผมรู้เพียงอย่างเดียว ว่าผมรักไอ้เด็กนี้มาก มากจนไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ไม่รู้จะหักห้ามหัวใจยังไงไม่ให้พองโต ไม่รู้จะกู่ร้องยังไงให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไป … คงได้แต่เฝ้าดู ว่าไอ้เด็กคนนี้จะทำอย่างไร จะเติบโตได้อีกแค่ไหน … ได้แค่นี้จริงๆ

   “คืนนี้ผมนอนที่นี้ได้ไหมครับ” ไอ้เด็กนี้ละริมฝีปากออกจากผม ก่อนจะเอาหัวมาถูไถกับซอกคอของผมอย่างออดอ้อนผมเต็มที่ เหมือนหมาตัวใหญ่ ๆ ที่เชื่องมากๆ ระริกระรี้น่าหมั่นไส้

   “ที่แอบปีนขึ้นมานี้ ไม่ใช่ว่ากลัวพ่อกูหรือไง” ผมแกล้งเหย้ามัน ผลักอกผละออกมาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเปิดออกค้นหาอะไรในตู้ไม่สนใจไอ้ไม้ที่ครางหงิง ๆ หูตกหางตกอยู่ด้านหลัง

   “กลัวครับ แต่ผมบอกแล้วไง ต่อจากนี้จะสู้หัวชนฝา”

   “ถุ้ย แน่จริงมึงก็เข้าทางหน้าบ้านสิ หึหึ” ผมหัวเราะกับเด็กบ้านี้ ก่อนจะค้นหัวผ้านวมกับหมอนใบเก่าของมันออกมา … ไม่เคยเอาไปทิ้งหรือย้ายที่ไปไหนเลย ทุกอย่างที่เป็นของมัน ยังคงวางอยู่ที่เดิม รอคอยวันนี้ วันที่มันกลับมาในห้องนี้อีกครั้ง

   “เอ๊า ยืนอยู่นั้นละ ใจคอจะให้กูทำคนเดียวใช่ไหม!” 

   ไอ้ไม้รีบแบกหน้าบานเป็นกระด้งของมันเข้ามาช่วยผมถือผ้าน่วมดิ่งตรงไปวางไว้ข้างเตียงของผม ก่อนจะปูอย่างเชี่ยวชาญ แต่ผมมองสภาพมันแล้วถ้านอนในสภาพนี้ตื่นเช้าขึ้นมากลิ่นละมุดต้องหึ่งไปทั่วห้องผมแน่ ๆ เลยต้องเตะตูดมันให้ไปอาบน้ำด้านล่าง มันทำหน้านิ่งไปสักพักอย่างลังเล ไม่รู้มันฝั่งใจอะไรกับพ่อผมนัก หึหึ ไม่ให้เก่งเหมือนปากว่าเลยวะ

   “พ่อไม่อยู่กลับมะรืน”

   “จริงเหรอครับ งั้นรอผมแปปนึงนะพ่อโทนที่รัก” ทีงี้ละหูกระดิกเชียว หึหึ

   ว่าแล้วมันก็วิ่งวุ่นหาอุปกรณ์อาบน้ำของตัวเอง และมันก็ชะงักนิด ๆ เมื่ออุปกรณ์อาบน้ำทุกอย่างอยู่ที่เดิม แต่ยังใหม่กิ๊ก เพราะผมหมั่นซื้อมาเปลี่ยนอยู่เสมอ ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จนมันออกจากห้องไป ถึงจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นจับริมฝีปากที่ยังอุ่น ๆ อยู่เลย …

   ไอ้เด็กบ้า ลามปามเชียวนะ หึ! นอนแล้ว ไม่สนใจมึง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2020 20:33:27 โดย pa_pa »

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4
.

.

.



           ร่างกำยำในผ้าขาวผ้า เดินเข้ามาภายในห้องที่มืดสนิทอันคุ้นเคย ก่อนจะค่อย ๆ มุดมุ้งเดินขึ้นไปบนฟูกนอนอันคุ้นเคยนั่งลงข้างเตียงของคนตัวเล็กที่หายใจเป็นจังหวะ ที่นอนดูเล็กไปเมื่อเทียบกับตัวของเขาที่ใหญ่ขึ้น ใบหน้าขาวของพ่อโทนส่องประกายกับแสงจันทร์ เสียงจิ้งหรีดรีไรกับลมธรรมชาติที่พัดผ่านในยามราตรีนี้ ทำให้ไอ้ไม้จิตใจสงบดีเหลือเกิน นานแค่ไหนแล้วที่มันไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ สมัยเด็กๆนั้น มันเคยมีช่วงเวลาที่มีความสุขแค่ไหนมันไม่เคยลืม

   จากวันแรกที่มันเจอคนตัวเล็กที่แก่นแก้วแบบเด็ก ๆ และลากมันมาเล่นพ่อลูกด้วยกัน คนยาวมาถึงบัดนี้ มันจำได้ว่า ตอนที่พ่อโทนของมันไปเรียนต่างบ้านต่างเมืองมันนั้นคิดถึงดวงใจของมันแค่ไหน คิดถึงจนต้องพาตัวเองขึ้นรถทัวร์เดินทางไกลไปหาพ่อโทนเพียงลำพัง มันยังจำวันที่พ่อโทนกลับมาหามันหลังเรียนจบได้ดี และที่สุด ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ ตอนที่ไอ้ไม้คนนี้ต้องจากไปอย่างไม่ได้ล่ำลา รู้สึกผิด  เป็นห่วง ต่างๆนาๆ และต้องทนอยู่ในความเหงา โดดเดียว บนเส้นทางที่แสนอันตราย หลายครั้งที่มันท้อ อยากจะทิ้งชีวิตทีสวยหรูเหล่านั้นและกลับมาใช้ชีวิตเป็นไอ้ไม้

   แต่พอได้คิดถึงหน้าตาที่ต้องดีใจในความสำเร็จของมัน ของพ่อโทน มันก็มีแรงฮึดขึ้นอีกครั้ง และวันนี้มันก็ได้เห็น จากนี้ไปมันจะทำให้เต็มที่ ต่อให้ทำอีกสักกี่อย่างพร้อมๆกัน มันก็ยอม … เพื่อพ่อโทน เพื่ออนาคตที่มั่นคง และเพื่อสิ่งที่มันต้องการทุกอย่าง ต่อให้อุปสรรคมากมายจะถาถมเข้ามา มันก็ไม่หวั่นอีกต่อไป เพียงแค่มีพ่อโทนอยู่ข้างๆ … เพียงแค่นี้จริงๆ

   ไอ้ไม้ค่อย ๆ บรรจงกอบกุมมือเล็กของพ่อโทนขึ้นมากุมเอาไว้ จรดจมูกโด่งหอมลงบนหลังมือน่ารักนั้นอย่างทะนุถนอมบูชา … วางแก้มสากลงบนมือนั้น อย่างมีความสุข

   “ทำบ้าอะไร”

   เจ้าไม้ชะงักเมื่อเสียงแผ่วเบาของคนปากแข็งดังขึ้นในความมืด มันเงยหน้าขึ้นสบกับตาใสที่มองมาที่นั้น ริมฝีปากบางเบะคว่ำรั้นเอาแต่ใจ แต่ในสายตาของเจ้าไม้ ช่างน่ารักน่าชังเหมือนตุ๊กตาแก้วที่มันอยากจะทะนุถนอมไปตลอดชีวิตของมัน

   “ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”

   “ใครจะหลับลง” พ่อโทนบ่นพึมพำออกมาในลำคอ

   เจ้าไม้เหยียดยิ้มก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นก้มลงไปสบตาแก้วนั้นอย่างเจ้าเล่ห์ มือบางของพ่อโทนถูกกอบกุมเอาไว้เสียตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตาจ้องตากัน ใบหน้าขาวนั้นแดงซ่าน ต่างกับผิวหม้อใหม่ของไอ้ไม้เด็กบ้านนอกที่แสดงถึงเล่ห์เหลี่ยมจัด

   “รักนะครับ”

   “อะ ไอ้ไม้ จะหอมให้แก้มกูช้ำเลยหรือไงวะ” โทนโวยวายเมื่อเจ้าตัวดีก้มลงมาหอมไม่แก้มจนหน้ายู่

   “ขอบโทษครับ หึหึ งั้นแบบนี้ได้ไหมครับ” 

   เด็กบ้านนอก ใช้แขนหนา ๆ ของมันตวัดกอดรัดร่างเล็กเอาไว้ในอ้อมอก พ่อโทนลืมตากว้าง โวยวายหงุงหงิงไปตามภาษา ก่อนที่จะเงียบลงเพราะมือหนาหมันลูบหลังกล่อมเด็กน้อยอยู่ร่ำไป สุดท้ายพ่อโทนก็หลับไปในอ้อมอกแกร่งที่สมบูรณ์แบบ ไอ้ไม้เองก็ดิ่งเข้าสู่นินทราอย่างมีสุข … ถ้าหากมันตายไปเสียตอนนี้ มันคงเสียใจไปหลายร้อยชาติ เพราะมันอยากจะอยู่กับดวงใจของมันตราบนานเท่านาน

.

.

.



           รุ่งเช้าภายในวัดป่าอารามวัดที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เจ้าจุกที่หยุดเสาร์อาทิตย์ขึ้นมาอยู่ดูแลหลวงตาที่ป่วยเพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยบวกกับอายุอานามที่มากขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนผัน เจ้าตัวน้อยถึงจะดื้อแต่น่ารักไม่เคยขี้เกียจ ขยันตื่นแต่เช้าเพื่อตามหลวงตาไปบิณฑบาต และคอยห้ามไม่ให้ไปไกลมากนักเพราะความเป็นห่วง พี่มาดเองที่กวาดวัดอยู่ก็พลอยปวดหัวไปด้วยเพราะเสียงแจ๋ว ๆ ของเจ้าจุกที่วุ่นวายแต่เช้า

           “หลวงพ่อจ๋า หลวงพ่อต้องทำร่างกายให้อบอุ่นนะจ๊ะ” เจ้าเด็กตัวน้อยหนวดหมับ ๆ ที่ขาของหลวงตา ที่นั่งเหยียดขาให้เจ้าลูกศิษย์วัดหนวดผ่อนคลายเส้นให้

           “เจ้าจุก เอ็งไม่ต้องขึ้นมาหาข้าทุกเสาร์อาทิตย์ก็ได้นะ เอ็งไปทำหน้าที่ของเอ็งที่ค่ายเถอะ หยิบโน้นจับนี้ ตอนแทนบุญคุณโยมทาย โยมโทนให้มากๆ”

           “จุกกวาดบ้านถูบ้านก่อนมาแล้วจ้ะ หลวงตาพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวจุกกวาดถูกุฏิกับโบสถ์พระให้นะจ๊ะ” เจ้าจุกขยันเอาใจใหญ่โต ก่อนที่จะยกชุดน้ำชาที่ปู่ทายเอามาถวายไว้เมื่อหลายเดือนที่แล้วไปเก็บกระโดดโลดเต้นหยิบผ้ากับถังน้ำเดินไปที่โบสถ์พระเพื่อทำความสะอาด

           “ไอ้หนู”

   เจ้าจุกชะงัก ก่อนจะหันไปมองและต้องขู่ฟ่อใหญ่เมื่อเห็นว่าคนที่เดินมาเป็นคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้าเอาซะมาก ๆ กี่ครั้งก็ตามที่คนนี้มาที่บ้านปู่ทายพ่อโทน เจ้าจุกเองก็จะรีบวิ่งหาที่หลบ เจอที่ไหนก็หลีกเลี่ยงให้มากที่สุด ไม่อยากให้คนนี้เจอ ได้แต่แอบดูและส่งสายตาพิฆาตไปข่มขู่ในมุมมืด โดยที่เจ้าป๊อก ไม่รู้เลยว่ามีเด็กแอบขู่ตัวเองอยู่

   “อย่าเข้ามานะ” เจ้าจุกชูถังน้ำกั้นเจ้าป๊อกก่อนจะวิ่งผมหัวฟูหนีเข้าซอก

   “เฮ้ย! มึงจะไปไหนวะ กูจะถามหลวงตาอยู่ไหม … อะไรของมันวะ ” เจ้าป๊อกเกาหัวแกรกๆ มองตามหลังเจ้าจุกไป ถอนหายใจยกเครื่องดื่มแก้แฮงค์ขึ้นดื่ม ล้วงเอาจดหมายในกระเป๋าออกมาอ่านทบทวนเนื้อหาในจดหมายอย่างละเอียดก่อนจะเปิดกระดาษแผ่นหลังที่เป็นเช็คสั่งจ่ายถึงบริษัทของตน

   “ใครมันใจดีขนาดไม่เอ่ยชื่อวะ ทำบุญใหญ่บูรณะวัดทั้งที เอาเถอะ เงินมางานไป” เจ้าตัวบิดขี้เกียจจากอารมณ์แฮงค์เมื่อคืน

   ตื่นขึ้นมาไอ้เด็กเวรก็ไม่อยู่ที่บ้าน เขาเลยต้องขับรถกลับไปที่บริษัททั้ง ๆ ที่ยังเมาและมึนๆอยู่ ดีแค่ไหนที่ไม่ตกคันนาตายโหง แต่พอมาพนักงานเอาเช็ดมาให้อาการเมาก็แทบหมดสิ้น เพราะวงเงินมันเยอะซะจนไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้จับ พร้อมจดหมายไม่ระบุชื่อและแนบวัตถุประสงค์เพื่อธรรมนุบำรุงวัดป่าบนเขาที่ห่างไกลความเจริญเฉกเช่นที่นี้ เขาเองเป็นเปิดบริษัทตกแต่งภายในตามวิชาชีพที่ศึกษามา แต่ก็มีเพื่อนวงการในสายงานที่ตรงกับความต้องการที่จะทำนุบำรุงวัดแห่งนี้ได้อย่างดี เงินที่ได้มา มากพอที่จะฟอร์มทีมใหม่ขึ้นและทำงานได้อย่างราบรื่น

   ในระหว่างที่เจ้าป๊อกกำลังยืนสูดอากาศอยู่นั้น เจ้าจุกที่แอบดูอยู่ ก็หัวเราะคิกคักขึ้นเมื่อสังเกตเห็นดอกหญ้าเจ้าชู้ติดอยู่กับกางเกงยีนต์ตัวเก่าของเจ้าป๊อก แต่เมื่อร่างสูงหันกลับมามอง เจ้าจุกเด็กวัดก็รีบผลุบเข้ามาเหมือนเจ้าเต่าที่ขี้เล่น…   



====================



คูมพ่อรอมานานจะงอแงก็ไม่แปลก ฮิฮิ

ลูกไม้เอ็งต้องสู้ๆ นะ <3' #หนึ่งคอมเม้น์เท่ากับหนึ่งกำลังใจนะฮับ <3'


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-04-2020 20:34:03 โดย pa_pa »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด