{พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เฮียป๊อกXน้องจุก2}18/5/63
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เฮียป๊อกXน้องจุก2}18/5/63  (อ่าน 7667 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 19 เดินหน้าจีบจนกว่าจะยอม




    เกลียดอะ ผมเกลียดไอ้ลูกไม้ตอนนี้มาก หลังจากที่มันแอบปีนบ้านตัวเองขึ้นมาหาผมที่กำลังจิตตกขนาดหนัก จากนั้นพฤติกรรมที่เมื่อก่อนยังคงเส้นคงวา กลับดูเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รั้นขึ้น ดื้อขึ้น เดินทางจีบผมตามคำที่มันบอก จนผมทั้งอายทั้งปวดหัว เขินตัวจะแตก แทบแทรกแผ่นดินหนีไปไกล ๆ ไม่อยากเจอหน้า แต่ไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงนะ คิดถึงมันตลอดแหละเพราะผมก็ผู้ใหญ่แล้วรู้ใจตัวเองดีเหมือนกันว่าไม่สามารถคิดกับมันได้แค่ลูก แต่ … มันไม่ชินอ่ะ เขินจะตาย ใครจะไปทำใจได้วะ อยู่ ๆ ลูกก็มาจีบอะ คิดว่าตัวเองต้องเสียใจอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้มันทั้งดีใจทั้งประหลาดใจ แล้วก็เสียใจที่ยังไงเด็กคนนี้ก็ไม่ได้ใช่ชีวิตเหมือนเด็กผู้ชายปกติ ทั้งที่เลือกเองและไม่ได้เลือกเอง เฮ้อ …

   นั้นไง พูดยังไม่ทันขาดคำไอ้ตัวกวนเดินมาแต่ไกลอีกละ ผมรีบมุดลงล่างเคาเตอร์เป็นการใหญ่ ทำเอาไอ้ก้อยกับไอ้กั้งที่ยืนเช็ดสต๊อกยาอยู่ไม่ไกลนักหันมามองอย่างตกใจ และก็พากันหัวเราะคิกๆคักๆเดินเข้าไปในห้องตรวจ ทิ้งให้ผมอยู่กับไอ้ไม้ที่ผมแอบเห็นใต้ช่องว่างของด้านล่างโต๊ะว่าลากอีแตะกำลังเดินเข้ามาหาผม แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ไอ้เกื้อก็หายหัวกลับกรุงเทพไปกับพ่อด้วย ทางสะดวกเลยสิมึงน่ะ! ไอ้เด็กบ้า!!!

   “พ่อโทนฮะ ทำอะไร” ผมจิ๊ปาก ก้มหน้านั่งจุมปุ๊กลงกับพื้นนิ่งเมื่อเจอไอ้ห่าเด็กนี้ตามหาเจอหน้าง่ายดายแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลย เดี๋ยวนะ กูใช้สมองอันฉลาดล้ำ หาคำพูดแก้ตัวกับมันก่อน

   “หะ หาคอนแทคเลนส์ ”ผมอยากจะตบปากตัวเอง ที่ตอบออกไปเหมือนละครหลังข่าวแบบนั้น และที่สำคัญ กูไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์ ไม่เคยใส่ และไม่คิดจะเอาอะไรมาใส่ตาตัวเองด้วย อ๊ากกกกกกก

   “ฮืม … ของใครครับ พ่อโทนไม่เคยใส่นี้ครับ” ผมกัดฟันกรอด เหมือนเด็กที่กำลังโดนอาจารย์ตีตูดด้วยไม้หน้าสาม

   “กะ ก็กำลังจะหัดใส่ ดันหล่นก่อน อ่ะ เจอแล้ว นี้ไง” ผมทำเอามือแปะลงพื้นและซ้อนมือไว้ใต้เสื้อกาวส์ทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนเซมองไปอีกทางไม่กล้าสบตาไอ้เด็กรู้มากคนนี้

   “พ่อฮะ”

   “อะไร อ่ะ! อย่าจับหน้าเซ่ … เดี๋ยวสิวขึ้น” ปลายเสียงผมแผ่วลงผลุบตาเซมองลงต่ำหน้าเชิดเพราะถูกมืออันหยาบกร้านจากทำงานหนัก เมื่อกี้แอบเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่น่าไว้วางใจมองผมอย่างยิ้ม ๆ เหมือนจะรู้ทันด้วย

   “มองหน้ากันหน่อยนะครับ ผมอยากเห็นตาของพ่อโทนจังเลยครับ” ไม่ว่าเปล่ามันก้มลงมาหอมแก้มผมอย่างหยอกล้อไปอีกหนึ่งที ผมที่เคลิ้มอยู่ผงะออก เอามือดันแต่มันก็ไม่ยอมออกจากผมเอาแต่หัวเราะและจับหน้าผมไว้อย่างงั้นจนหน้าผมยู้ไปหมด ดูดิ ๆ มันเคารพผมตรงไหน ยังไงผมก็พ่อมันนะ เศร้า!

   “เอาใหญ่แล้วนะ ไอ้เด็กบ้า!”

   มันหน้าหงายเมื่อผมยันเข้าให้ที่ปลายคาง แต่ก็ไม่วายยิ้มหัวเราะอยู่อีก อารมณ์ดีจังนะ แต่ผมงี้หน้าแดงไปหมดแล้ว ไม่รู้จะเจ็บใจหรือจะเขินดี อีกด้านนะถ้ามันไม่จู่โจมแบบนี้ ผมอาจจะไม่สามารถมองข้ามความเป็นพ่อลูกที่ติดอยู่ในสมองผมมาได้ และก็ต้องอมยิ้มออกมาเมื่อมันจงมือผมไปหอมมืออีกข้างก็ลูบแก้มผมไปด้วยก่อนจะยกมือผมไปแนบแก้มสากไปด้วยเคราอ่อนของมัน …

   “กูเพิ่งไปเข้าห้องน้ำล้างตูดมา ยังไม่ได้ล้างมือเลย”

   “หึหึ ไม่สนครับ แต่สกปรกไปหน่อยนะ อย่างงี้ต้อง ….”

   “พอเลย!” ผมยันหน้ามันไว้อีกรอบ แม่งจ้องจะลวนลามผมอยู่นั้นแหละ นิสัยเสียมากเลยไอ้หมาบ้าไม้!

   “หิวไหมครับ ไม้ซื้อข้าวมา มากินด้วยกันนะ” มันชูถุงข้าวแกงตักเจ้าอร่อยในตลาดที่ผมชอบกิน ก่อนจะหน้ายิ้มเดินไปที่ชั้นเก็บจาน ไม่ลืมที่จะไปเคาะประตูเรียกไอ้กั้งกับไอ้ก้อยที่ป่านนี้เอาหูแนบกับประตูแล้วมั้งออกมากินข้าวกลางวันด้วยกันด้วย

   “มึงโดดซ้อมมาใช่ไหม อีกสามวันพี่แสงไปชกที่กรุงเทพไม่ใช่เหรอไง ทำไมมึงไม่ช่วยเขาซ้อม”

   “เสร็จแล้วครับ เลยมาหาพ่อโทนได้”

   ผมที่ก้มหน้าจิ้มปลาร้าสับอยู่ชะงัก ช้อนตามองมันที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้าม แล้วต้องหลบตามันลงมองจานข้าวบนตักตัวเอง จ้วงข้าวเหนียวเข้าปากอย่างลน ๆ ไม่ทันได้สัมพงสัมผัสหรอกรสชาติของปลาร้าสับน่ะ … พักนี้มันยิ้มเก่ง รุกไล่ผมเหลือเกิน ใจผมจะทนทานไปได้อีกสักกี่น้ำ มีหวังได้ใจอ่อนกันพอดีแน่ๆ … เฮ้อ เอาจริงเหรอ นี้จะเอาพ่อมึงเป็นแฟนจริง ๆ ใช่ไหมไอ้ไม้ …

   “ลูกไม้นี้หล่อจังเลยน๊า ” ผมหันไปมองไอ้ก้อย ที่นั่งข้างชมไอ้ไม้ต่อหน้าต่อตาหน้าตาเคลิ้มๆ ก่อนจะหันมาเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ มองหน้าไอ้ไม้ ทำไมผมรู้สึกขัดใจขัดหูจังเลย

   “ไม่เห็นจะหล่อ กวนตีนก็กวนตีน”

   “ยิ่งด่ายิ่งน่ารัก”

   “อ๊ายยยยยยยยยยยยย” ผมละเครียดกับเสียงกรี๊ดของไอ้ก้อยจริงๆ =_=’

   “ดูเมียมึงด้วยไอ้กั้ง”

   “ดูทำไมพี่เห็นทุกวันเบื่อจะตาย”

   “เดี๋ยวมึงจะโดน” ผมชูมะเหงกใส่หน้าไอ้กั้ง มันหัวเราะคิกคักกับเมียมันไม่สนใจผม เดี๋ยวก็เจอกูฟรีคิกและจะหาไม่เตือนนะ ได้แต่คิดสุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ได้ออกจากโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปตามภาษา

   หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็ออกมาลงพื้นที่ โดยมีไอ้ไม้เป็นลูกมืออย่างไม่รู้จะห้ามยังไงเพราะยังไงไอ้เด็กคนนี้ก็อยากจะแกล้งรวนผมอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว โดยที่ขึ้นกระโดดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่ไม่รู้กี่ปีแล้วไม่ได้นั่งแบบนี้ โดยนั่งหันหลังชนกับหลังกว้างๆเข้มแข็งของไอ้เด็กเปรตที่สูงใหญ่จ้ำพรวดพราดจนน่าใจหาย มันคงสูงสัก 190 ซม.ละมั้งเมื่อก่อนก็ว่าสูงผิดเด็กคนอื่นแล้วแท้ๆ แถมหน้าตามันก็ทำอีสาวบ้านเหนือบ้านใต้เล่าลือกันไปทั่วสารทิศ ว่าค่ายผมรับนักมวยคนใหม่ โดยที่ทุกคนลืมไอ้ไม้เด็กคนนั้นไปแล้วเรียบร้อย

   ทำไมนะ ทุกคนถึงลืมมันง่ายดายขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับมันเหมือนผมก็ได้ … ผมน่ะนะ ในขณะที่ใครต่างก้าวกันต่อไป แต่ผมเลือกที่จะรอ … รอ และรอตามที่มันได้ขอร้องเอาไว้ ไม่เคยนับวันนับปี ใช้ชีวิตต่อไปอย่างตายด้าน และสุดท้าย มันก็กลับมาในฐานะที่แตกต่างกันสุดขั้ว

   “คิดอะไรอยู่ครับ” ในขณะที่ขับไปตามคันนา ที่มีนารายล้อมทั้งซ้ายและขวาไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีต่อกี่ปี ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยนยกเว้นคนที่เปลี่ยนไป

   มีญาติผู้ใหญ่ย่ายายหลายคนจากผมไปบ้างก็ไปอยู่กับลูกในเมืองมีชีวิตสุขสบาย บ้างก็เจ็บไข้ได้ป่วยหมดเวรหมดกรรมไปตามหนทางวนเวียนของชีวิตคนมีมี เกิดแก่ เจ็บ และตาย ทุกคนต้องผ่านมันไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่มีใครหนีพ้น สักวัน … ผมก็เช่นกัน สักวันมันก็ต้องมาถึง เพียงแต่ในตอนที่อยู่ ผมอยากที่จะมีความสุข เห็นคนที่ผมรักมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต แต่คนเรา จะมีแต่ความสุขอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ ต่อให้อยากแค่ไหนก็ตาม … ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมว่าผมได้เลือกหนทางที่สมควรแล้ว ต่อให้จะต้องทุกข์แค่ไหนก็ตาม

   “เปล่านี้ แค่คิดว่าวันนี้อากาศดีจัง”

   “จะเข้าหน้าฝนแล้วครับ อากาศเลยครึ้ม ๆ เห็นดีแบบนี้ก็จริง แต่เป็นไข้ได้ง่ายมากเลยนะ พ่อโทนต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับ เอ้~ หรือจะให้ไม้ดูแลดีครับ”

   “ต้องขอด้วยเหรอ” ผมเย้าเล่น ไอ้ไม้เบรกรถหัวแทบทิ่ม ผมเลยต้องหันไปมองและก็เจอใบหน้าจริงจังที่หันมามอง จนผมต้องเหยียดยิ้มและเขกกะโหลกไปหนึ่งที มึงนี้นะ จริงจังได้ทุกเรื่องจริงๆ จะเอากูให้ได้ว่างั้นเถอะ

   ไอ้ไม้ขับต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงบ้านลุงเข้มที่มีนัดมาดูแม่มะลิ วัวแม่พันธุ์ในคอกแกที่แกบอกว่าไม่ยอมกินข้าวกินน้ำมาสองวันแล้ว ผมไม่รอช้าลงมือตรวจและก็วางใจลงได้เมื่อรู้ว่าแม่มะลิตั้งท้อง ผมเลยให้ยาบำรุงไว้ ก่อนที่จะมาที่บ้านป้าชงดูหมูบ้านแก ตามด้วยบ้านลุงอินบ้านไก่ชนที่ไก่ราคาแพงของแกล้มป่วยก่อนขึ้นตี ดีนะที่ไม่เป็นตอนตี ไม่งั้นกลายเป็นไก่ต้มแน่เพราะคณะไก่ชนเล่นกันทีเป็นแสนเป็นล้าน เห็นแบบนี้รวยยิ่งกว่าเศรษฐีบางคนในเมืองซะอีกนะพวกลุงๆป้าๆน้าๆบ้านนาแบบนี้

   ถึงพวกเขาจะไม่ได้มีหน้าตาทางสังคมที่สูงแต่ถ้าจะให้พูดถึงการทำมาหากินนั้น พวกเขาก็มีทางของพวกเขา หนทางที่จะรวยจากธรรมชาติ ถึงบางอย่างจะผิดจรรยาบรรณอย่างเช่นชนไก่หรือประกวดวัวสวยโคการตัดโน้นแต่งนี้ของวัว การรีดนมของมันเลี้ยงดูปูเสื่อในสถานที่จำกัดไม่ปล่อยให้มันเป็นอิสระ หรือจะเป็นโรงงานเนื้อหมูครบวงจรที่ไม่น่าดูเอาซะเลย แต่นั้นก็คือหนทางของหนึ่งชีวิตที่เลือกจะทำ เพราะต้องการเงินตรามาเจือหนุนครอบครัว พวกเขาไม่ได้มีทางเลือกมากนัก คิดว่าซะ นานาจิตัง แล้วกัน จะได้สบายใจ

   “พี่จ๊าย!”

   เสียงหวานของหนูเล็ก หลานสาวอายุ 5 ขวบ บ้านป้าไก่ที่ผมมาดูอาการพ่อมั่น กระบือแก่อันเป็นที่รักของบ้านที่ประกอบอาชีพทำนาหลังนี้ ป้าไก่เดินลงมาจากเรือนพร้อมลุงทิม สามีของแกตามหลานสาวที่วิ่งมาในชุดเสื้อกระเช้าสีชมพูตัวเล็กและผ้าถุงถักเปียยาวถลาเข้ามาหาผมที่อ้าแขนรับ แต่พอเหลือบไปเห็นไอ้ไม้ก็เบรกเอี๊ยด คิดอยู่เสี้ยววินาที ก่อนจะยิ้มหวานพุ่งเข้าไปหาไอ้ไม้ที่ยืนอยู่ข้างๆผมแทน ผมนี้เอ๋อไปเลย

   “น่ารักจังเลย ชื่ออะไรเอ่ย” เจ้าไม้อ้าแขนรับเด็กน้อยคนนั้นอย่างเต็มใจ อุ้มขึ้นมาในท่าเด็กและถามเสียงอ่อนเสียงหวานน่าหมั่นไส้ ยัยหนูเล็กก็หัวเราะคิกคักคุยกันหงุงหงิงอยู่กันสองคน

   “หนูเล็ก ทิ้งพี่โทนแล้ว เสียใจจัง กระซิก” ผมพูดพร้อมกับหันไปสวัสดีลุงและป้าเจ้าของบ้าน ก่อนจะหันหน้าไป ท่ากระซิกๆ เหมือนนางเอกใน TV ที่ใช้น้ำตาเทียมและไม่มีความเนียนในการแสดง

   “พี่โทนเดะน้อย น้องเละไม่เฉื้อหรอกว่าจาร้องไห้จี อย่ามาลอกเดะฉาหลาดอย่างหนูเละนะ”เอาเถอะพูดชื่อตัวเองยังไม่ชัดแต่รู้ทันผู้ใหญ่น่ารักแบบผม

   “ไอ้โทนมาทันอาหารว่างพอดี วันนี้ยายไก่ทำขนมตาลหอมเชียว ว่าแต่ไอ้หนุ่มนี้ใครกันหน้าตาหล่อเหลาเอาการเลยนะเนี้ย ผัวเอ็งรึ!” ลุงอินพูดซะไอ้ไม้ยิ้มล่าเชียว ผมนี้สิเหมือนสำลักน้ำลายตัวเองชักกล นี้ผมต้องตอบคำถามอย่างงี้ไปอีกสักกี่บ้านเนี้ย!

   “โอ้ยลุง นี้ไอ้ไม้ไง ไอ้ไม้ลูกผมไง เด็กๆลุงก็เคยเห็นมันอยู่”

   “ไอ้ไม้เหรอเนี้ย โตสูงใหญ่ขึ้นเยอะเลยนะลูก ว่าแต่ไปอยู่ที่ไหนมาเนี้ย ป้าไม่ได้เห็นเอ็งมาซะนาน”เชื่อแล้วว่าไอ้ไม้นี้ ขวัญใจสาวๆทุกวัยจริงๆ

   “ไปเรียนในเมืองมาจ๊ะป้า แต่ต่อจากนี้คงไม่ไปไหนแล้ว สบายดีนะจ๊ะ” 

   หลังจากนั้นผมก็เดินไปตรวจอาการของพ่อมั่นควายแก่ที่นอนอยู่ใต้ต้นกระถิ่นในคอก แยกออกมาจากควายอีก สิบกว่าตัวอยู่อีกคอก และมีเจ้าควายน้อย ๆ อีกสามตัวอยู่ในคอกอนุบาล ยังไม่ถึงหน้านา เลยต้องเลี้ยงอยู่ในพื้นที่จำกัดเสียก่อน ถูกแล้วละ จะได้ปลอดขโมยขโจรด้วย หลังจากที่ตรวจดูอาการพ่อมั่น รวมไปถึงตัวอื่นๆด้วยเสร็จแล้ว ผมกับไอ้ไม้ที่นั่งเล่นอยู่กับหนูเล็กที่แคร่ใกล้ๆ

   ก็พากันเดินขึ้นเรือนไปฝากท้องกับขนมตาลป้าไก่ พลางพูดคุยกันสารพัดเรื่อง จนบ่ายแก่ผมเลยต้องขอตัวกลับ หนูเล็กที่หลับคาตักผมพาดเท้าไปทางไอ้ไม้ที่อยู่ข้างกัน ทำให้เราจากมาได้โดยไม่มีเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยส่ง พร้อมกับขนมตาลอีกตะกร้าใหญ่ที่ป้าไก่ฝากไปที่บ้านด้วยจะพิเศษหน่อยก็ ส่วนไอ้จุกลุงอินฝากปลาตะเพียนสานมาให้อีกพวงใหญ่ ๆ

   ไอ้เด็กนี้ไม่ว่าใครได้อยู่ใกล้หรือรู้จักก็จะพากันหลงรัก เพราะมันทั้งขี้เล่น ขี้อ้อน แถมหน้าตามันก็บ๊องแบ๊ว ถึงจะไม่หวานเหมือนไอ้เกื้อ แต่ก็น่ารักแบบเด็กซน ๆ ของมัน เพิ่งตัดจุกมันไปทำให้หัวมันเหม่งเหมือนเณรน้อย คิ้วดกทำให้มันดูเหมือนเด็กฉลาด ทั้งที่จริงมันปัญญาอ่อนสุด ๆ แต่เห็นแบบนั้นมันก็พยายามนะ พยายามช่วยงานบ้านผม พยายามต่อยมวย ทั้งที่ไม่ได้ตัวเองไม่ถนัดสักเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นเด็กน่าสงสารถูกพ่อถูกแม่ทิ้งให้อยู่กับหลวงตามาตั้งแต่เกิด จนบ้านผมรับมาเลี้ยงให้การศึกษา ผมก็เห็นว่ามันเป็นน้องชายนั้นแหละ ไม่ได้คิดรังเกียจรังงอนอะไรเลย ดูไปมันก็น่ารักตามภาษาเด็กของมันไป

   “พ่อโทนฮะ เราหยุดคุยกันแถวนี้ก่อนได้ไหม”

   “คุยไร กูเหนื่อย” ผมถามขมวดคิ้ว ในขณะที่ตายังมองทิวภาพที่บ้านนาในแสงแดดสีอ่อนตรงหน้า โคตร สโลไลฟ์เลยสาดแต่หลังจากที่กูทำงานหนักมาอะนะ เหนื่อยจะตายห่าปล่อยกูไปพักเถอะ ไอ้ไม้เอ้ย!

   “ครับ ผมจะพาพ่อโทนกลับไปพักนะครับ”

   “เออ ๆ จะคุยอะไรก็ว่ามา แต่บอกไว้ก่อนจะลวนลามกู รับรองกูเตะมึงหมกนาแน่” เสียงไอ้ไม้หัวเราะอย่างที่ผมเกลียดแววมา ทำเอาตาผมกระตุกตุ๊ก ๆ เหมือนจะโมโห แต่ก็โมโหไม่ลง ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะโกรธไอ้เด็กนี้ลง

   มันพาผมมานั่งที่แคร่กลางนา ห่างออกไปเป็นป่าไผ่ ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนผมเคยมากินเหล้าที่นี้กับพวกไอ้ป๊อก ไอ้เบส แล้วก็ทิมมี่บ่อยๆ และมีครั้งนึงที่มันมาแบกผมกลับบ้านด้วย พูดไปก็คิดถึงไอ้เบสกับไอ้ทิมมี่เนอะ นาน ๆ ทีพวกมันถึงจะกลับมาแต่ก็มักเวลาไม่ตรงกัน ทำให้ชวดกันตลอด ต่างจากไอ้ป๊อกที่มาตั้งหลักปักฐานบริษัทรับออกแบบเล็ก ๆ ในตัวเมือง ทำให้มันเป็นสัมภเวสีมากินข้าวปล้นทรัพย์ยากรบ้านผมอยู่บ่อย ๆ บางครั้งก็พาผมไปเสียคนกินเหล้าจนตื่นไปทำงานไม่ไหว แต่ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่กินเหล้ากัน ตอนเช้ามันจะเป็นคนที่ไม่ค่อยแฮงค์ทำงานได้ปกติ ต่างจากผมที่เห็นเหล้าปุ๊บ ตอนเช้ากูตาย!

   “คิดถึงใครอยู่ครับ อยู่กับผมคิดถึงแต่ผมสิ”

   “เรื่องอะไรกูจะคิดให้รกสมองวะ” ผมหันไปย่นปากใส่ มันหัวเราะก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม จนผมต้องอมยิ้มเพราะมันเหมือนจะให้ผมหอม แต่เสียใจ ผมไม่หลงกลไอ้หน้าหล่อๆหรอก เลยเอามือไปบิดจมูกจนมันร้องเจี๊ยก หึหึ เดี๋ยวกูจะกัดให้จมูกขาด หึหึ

   “ใจร้ายจังเลย แต่รักนะครับ ผมรักพ่อโทนมากเลย”

   “ปากมึงนี้นะ ขยันพ่นคำหวานจัง ทำไมไม่พูดกับคนอื่นให้มันได้แบบนี้บ้างวะ”

   ผมพูดทีเล่นทีจริง ไอ้ไม้หัวเราะก่อนจะล้มตัวนอนตักผมอย่างตาเฉย จะเขกหัวมันก็จะยังไงอยู่ อยากนอนก็นอนไปแล้วกัน ไม่เสียหายอะไรนี้ ตอนเด็กๆผมบังคับมันให้นอน กว่ามันจะยอมนอนตักผมก็นานอยู่ แต่ตอนนี้มันเต็มใจที่จะนอน … ผมก็เต็มใจที่จะให้มันพักกายเหมือนกัน

   “ลำบากมากไหม อยู่ที่นี้” ผมปัดเส้นผมที่เริ่มยาวของมันขึ้นไป ตาคมหลับพริ้มตะแคงข้างเข้าหาผม หึหึ เด็กน้อยจัง ไม่เหมือนตอนอยู่กับคนอื่นที่ไล่ขู่เขาเหมือนเสือจนมีแต่คนเกรง ร้ายนักนะ

   “ไม่เลยครับ ผมมีความสุข มีความสุขกว่าตอนที่นอนบนเตียงอีก”

   “งั้นถ้ากูยันมึงลงไปนอนกับพื้น มึงจะมีความสุขไหม”

   “ถ้าเป็นบาทาพ่อโทน ยังไงผมก็มีความสุขครับ”

   “งั้นเอาซะหน่อย”

   “โอ๊ะๆ อย่าถีบผมเลยนะครับ ไม่สงสารผมเหรอ ผมน่าสงสารนะ” ถุ้ย น่ากระทืบสิไม่ว่า หลังจากนั้นมันก็ไม่พูดอะไรอีกแต่วาดมือมากอดผมรอบตัวผม ซุกหน้าเข้ากับพุงของผมจนแน่น …

   “จะแอ้มกูเหรอไง”

   “ได้ไหมละครับ”

   “ทะลึ่งอ่อ!” ผมจิกหัวมันเสยขึ้นมาจนมันหน้าหงาย มันหัวเราะไปร้องโอดโอยไป เพราะผมทึ้งมันอยู่อย่างงั้นไม่ยอมปล่อย

   “เอ๊า ก็พ่อโทนบอกเองอ่ะ”

   “เถียง เดี๋ยวนี้เถียง!”

   “โอ้ยๆ ยอมแล้วครับ ยอมแล้ว ยอมทั้งหัวใจเลยครับ” มันถลามากระซิบข้างหูในขณะที่มือผมก็ยังทึ้งหัวมันไม่เลิก นิสัย มึงมันนิสัยไม่ดี!!!

   “เอาหน้าออกไปเลยนะ” ผมกัดฟันกรอดเมื่อรู้ตัวอีกที หน้ามันอยู่ห่างจากผมแค่คืบเดียว … สาดดดดดดดดดดดด หัวใจกูจะช็อกแล้ว มึงนะ มึงนะไอ้ห่าไม้ !!!!

   “รักพ่อโทนนะครับ …”

   “มึงบอกกูบ่อยไปแล้ว!” ผมตะคอกมันไม่สนมือกร้านที่ลูบไปตามสันแก้มของผม

   “ไม่ดีเหรอครับ”

   “ไม่ดี เพราะมันจะไม่ขลัง!”

   “หึหึ ต่อให้ผมบอกพ่อโทนทุกวินาที ยังไงมันก็ขลังครับแล้วพ่อโทนละไม่รักผมเหรอ”

   “ดูก่อน” ผมว่า ก่อนที่จะยิ้มเมื่อมันโฉบหอมแก้มผมเสียงดังฟอด ก่อนจะหันหน้าหนีเมื่อมันจะหอมอีก บ๊ะ ไอ้หมานี้!

   “คืนนี้ผมนอนด้วยได้ไหม ผมอยากกอดพ่อโทนจังเลย”

   “นอนบ้านมึงสิ”

   “มันเหงานะครับ ไม้กลัวผีด้วย” ผมมุบมิบปากอย่างหมั่นไส้ อยู่มาได้เกือบเดือนเสือกเพิ่งมาบอกว่ากลัวผี อย่างไอ้เด็กนี้มีอะไรต้องกลัวอีกเหรอไง กูว่าทั้งคนทั้งผีก็กลัวในความน่าเกรงขามของมันหมดละ ยกเว้นผมกับพ่อผมอ่ะนะ คิดจะหือสิ ฟาด ป๊าบๆ ให้ดูเลย ชิชิ

   “นะครับ ผมขอไปนอนด้วยนะ แค่คืนนี้ก็ยังดี เดี๋ยวปู่ก็กลับมาแล้ว”

   “เฮอะ นี้มึงยังกลัวพ่อกูอีกเหรอ”

   “ก็ … นิดนึงครับ แต่ยังไงผมก็ไม่มีวันยอมถอดใจจากพ่อโทนแน่”

   “สัด” ผมพึมพำออกมาเบา ๆ ก้มหน้าหลบตาคมที่จ้องผมไม่ลดละมันยิ้มก่อนจะล้มตัวลงนอนบนตักผมเหมือนเดิม

   เราพูดอะไรกันอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องอดีตตอนที่มันยังเด็ก ตอนที่ผมแยกไปเรียนและไม่ได้กลับบ้านอยู่หลายปีเพราะติดพันธ์กับการใช้ชีวิตนักศึกษา ตอนที่มันหนีไปจากอ้อมอกของผม และรอคอยเป็นเวลานาน ตลอดจนถึงปัจจุบันที่มันเล่าให้ฟังเกี่ยวกับบริษัทของพ่อมันที่เริ่มอู้ฟู่ขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำมือของมัน ไม่รู้สิ ถึงผมจะรู้ว่าอีกไม่นานไอ้ไม้อาจจะจากผมไปอีก แต่ก็ไม่รู้สึกเสียใจหรือใจหายเท่าไหร่ เพราะอย่างน้อย ผมก็รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน อย่างไร และสุขสบายแค่ไหน ก็แค่นั้นแหละที่ผมเคยต้องการจากมัน

   “หลับแล้วเหรอ” ผมกระซิบถามไอ้เด็กน้อยที่ซุกหน้าเข้าท้องผมหายใจแผ่วเบาอยู่อย่างสม่ำเสมอ ผมอดไม่ได้ที่จะวาดกอดตรงไหล่ของมันเอาไว้ กลัวว่าจะกลิ่งตกลงไป ปล่อยให้นอนอยู่อย่างงี้สักพักก็ได้ มันก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี้เนอะ

   ผมมองขึ้นไปบนฟ้ายามบ่ายคล้อยที่นกตัวเล็กๆพากันบินกลับรัง เมกไม้เมไรธรรมชาติอันน่าหลงใหลทำให้ผมสุขใจยิ่งมีไอ้เด็กตัวยักษ์นี้อยู่ข้าง ๆ ยิ่งทำให้ผมสงบ … อยากหยุดเวลานี้ไว้จริงๆ

   มึงนี้นะ ร้ายชะมัดเลยให้ตายสิ กูไม่รู้จะทำยังไงกับตัวกูเลย รออีกหน่อยได้ไหม … เพราะตอนนี้ถึงจะมองผ่านๆอาจจะมองเห็นว่าเรานั้นไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย แต่ใจผมรู้ดี ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ไอ้ไม้ยังมีอนาคต มีแฟนดีๆ มีครอบครัวดีๆ ที่มันจะสร้างด้วยตัวของมันเอง … แต่ถึงอย่างงั้น ถึงอย่างงั้นผมก็ยังคงคิด เห็นแก่ตัวอยู่ดีละวะ หึ … ตอนนี้ไอ้เทวดา กับ ปิศาจในตัวผม มันเอาแต่พูดกอกหูเข้าข้างฝั่งตัวเองกันทั้งนั้น ไม่รีบใช่ไหมไอ้ไม้ ไม่รีบที่จะเอาคำตอบแล้วหายไปอีกใช่ไหม …

   อยู่ ๆ ไอ้ไม้ที่คิดว่าหลับไปแล้วก็ เงยขึ้นมามองผมใช้มือเอื้อมขึ้นมาและใช้นิ้วมืออันอบอุ่นนั้นลอบปาดใต้ตาของผมอย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ … ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน

   “ผมอยู่ตรงนี้นะครับ”

   “เออ พูดอะไรนักหนา แล้วก็ลุกได้แล้วก็เมื่อย”

   “โธ่ คนดีของไม้” ไอ้ไม้ดื้อดึง กอดรอบเอวผมซุกอยู่กับพุงผมที่เดิม มึงเอาพุงกูกลับไปเล่นเลยไหมสาด กูรู้ว่ามันนุ่มนิ่มไปด้วยไขมันของกู ไม่แข็งปั๊กเหมือนหน้าท้องซิกแพคของมันนี้หว่า หึ!

   “ออกไป กลับได้แล้วมึงคิดว่าอยู่ในหนังเพลงรักลูกทุ่งหรือไงวะไอ้สัด ยุงเริ่มกัดกูแล้ว! เอ้ย!เดี๋ยวตก!!!”

   มันทำตัวน่ารำคาญจนผมต้องผลักหน้ามันออกไปจนหงายขึ้น ผงะเกือบตกแคร่ ผมตกใจเลยรีบตะครุบมันเอาไว้ก่อนกลัวจะเจ็บตัว แต่แล้วผมก็ถูกไอ้ไม้กอดคอผมโน้มลงจุ๊บอย่างแรงที่ปากของผมอย่างถือโอกาสและผละออกอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นเดินนำผมออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่วายหันมาหัวเราะคิกกับผมที่นั้นหน้าเอ๋อ หน้าแดงอยู่ด้วยความโกรธระคนกับอายฉิบหายวายปลวกอยู่ที่เดิม ไอ้เด็กห่านี้ เห็นทีต้องตบให้หัวลั่นสักทีเป็นการตอบแทนที่คุ้มค่าซะหน่อย ฮึ่ม กะล่อนเหลือร้ายจริงๆเล้ยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!

.

.

.

   “เมื่อไหร่มึงจะนอน”

   ผมร้องถามไอ้เด็กโข่งที่นั่งเล่นเกมเครื่องเก่าหน้า TV เหมือนในสมัยก่อนที่มันเคยเล่นเป็นประจำ มันนั่งหันหลังเล่นเกมเดิมที่มันเคยเล่นเอาไว้ใน ท่าทีสงบเหมือนกำลังสนุกกับสิ่งที่เคยเป็นมาในอดีต ตั้งแต่กินข้าวที่รายล้อมไปด้วยตัวชอบแซวทั้งหลายเสร็จอาบน้ำเล่นกับเจ้าสามทหารเสือสักพัก จนขึ้นมาบนห้องผมยังไม่เห็นมันทำอะไรสักอย่างนอกจากเล่นเกม ปัญญาอ่อนของมันไป หึหึ จนผมที่ปะแป้งขาวไปทั้งหน้าอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เหมือนจะเห็นภาพซ้อนไอ้เด็กตัวเล็ก ๆ แววตาแข็งกระด้างไร้ความรู้สึกของมันเลยแฮะ

   “ทำเป็นจริงจังนะ เล่นด้วยเด้!”

   ผมลงไปนั่งข้าง ๆ หยิบจอยเกมขึ้นมาจะเล่นบ้าง แต่มันเล่นแบบคนเดียวอยู่ หันมามองหน้าผมเพิ่งสังเกตุว่ามันเอาที่คาดผมสีดำอันเล็กที่ผมเคยซื้อให้มันไว้คาดตอนอ่านหนังสือสมัยเด็ก ๆ ก่อนจะยิ้มให้และยอมยื่นจอยเกมที่มันถือให้ผม … โธ่ กูไม่แย่งมึงเล่นหรอกไอ้เด็กน้อย!

           “เล่นเฮอะ กูไม่แย่งมึงเล่นหรอก หึหึ”

   ผมว่าและยีหัวมันเบา ๆ ไอ้ไม้หัวเราะก่อนจะหันไปเล่นเกมของมันต่อไป ส่วนตัวของผมเองนั่งดูสักพักก็คลานเข้ามุ้งมานอนหมอบที่ฟูกนอนของไอ้ไม้ หอมหมอนสูดกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มไปสองสามที ก่อนจะคลานขึ้นไปนอนบนที่นอนของตัวเอง ล้มตัวลงนอนมองแผ่นหลังนั้นจนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้

   รู้ตัวอีกดีกลิ่นตัวที่ผมคุ้นเคยก็เข้ามาใกล้ซะแล้ว แรงกอดรักจากใครบางคนที่ทำให้ผมทั้งหัวเราะและร้องไห้มานับครั้งไม่ถ้วน ในเวลานั้นผมไม่มีแรงที่จะขัดขืนด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะความง่วงหรือภวังค์อันมีความสุขก็ได้ละมั่ง เสียงกระซิบของไอ้ไม้ที่ผมฟังไม่รู้เรื่องจับใครความไม่ได้กระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบารวมไปถึงสัมผัสอันอ่อนโยนที่ซึมซาบไปทั่วใบหน้าของผมหยุดสงบนิ่งที่ริมฝีปากของผมเนินนาน ประกอบกับแรงตบเบา ๆ ที่หลังผมเหมือนกล่อมเด็กน้อยตัวแดงๆจนผมเคลิ้มหลับไปอีกครั้งในความอบอุ่นเหมือนนอนอยู่ในผ้านวมผืนใหญ่ๆที่ทั้งอบอุ่นและวางใจได้ในตลอดทั้งคืน

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4
.

.

.

           “ลงมาหัวฟูเลยนะมึงเมื่อคืนหนักสินะ โอ้ย ไอ้เด็กเปรต ต่อยมาได้”

   ผมที่เดินหัวฟูตาปรือเพราะต้องตื่นแต่เช้ามืดไปเปิดร้าน เห็นว่าวันนี้มีเคสเช้าด้วยต้องรีบไป ถือขันน้ำเตรียมจะไปอาบน้ำอยู่ ต้องแวะต่อยเข้าหน้าท้องแข็งของอดีตนักเลงข้างวัดอย่างพี่แสงที่ตื่นมาซ้อมแต่เช้ามืด ไอ้ซ้อมน่ะไม่ขยันหรอก แต่ไอ้ขยันแซวนี้ขย๊านขยันเหลือเกินพ่อมึง

           “หนัก หนักอะไรหรือจ้ะ พี่โทนต่อยมวยเหรอ” ไอ้จุกที่เดินออกมาจากครัวกลิ่นตัวคลุ้งไปด้วยกลิ่นต้มข่าไก่นั้นเอียงคอมองผม ก่อนจะพุงเข้ามาหาให้ผมลูบหัวเล่นเหมือนหมาตัวน้อย ๆ ผมก็ทำตามที่มันชอบแบบเบลอ ๆ ไม่ทันได้สังเกตอะไรนัก พาตัวเองมาเข้าห้องน้ำหลังบ้านซะก่อน

แก๊ก

           “เฮ้ย! ไอ้ไม้!!!!!” ตาผมสว่างโผล่นขึ้นมาทันทีที่เปิดประตูเข้าห้องน้ำไปเห็นไอ้เด็กห่าแก้ผ้าหันหลังให้ผมอยู่พอหันมาเห็นแทนที่จะตกใจเสือกยิ้มซะนี้!!!!! กลอนมีล็อกทำไมมึงไม่ล็อก กูถึงว่าตื่นมาแล้วไม่เจอ!

           “จะอาบน้ำเหรอครับ รอแปปนึงนะครับจะเสร็จแล้ว” มันพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่กูตอนนี้ไม่ปกติเลยมึง!!!!!

           “อะ อะ แม่ง!!!!”

โครม!!!!!!

           ผมปิดประตูดังปั๊ง ด้วยมือที่เหลือว่างจากยกขึ้นปิดหน้า ขันเขนกูทิ้งแม่งอยู่ตรงนั้นแหละเดินกระแทกเท้าไปยืนสงบสติอารมณ์ใต้ต้นโพธิ์กลางลานบ้าน แม่ง ภาพยังติดตาผมอยู่เลย ทำบุญด้วยอะไรวะทำไมมาดแมนแฮนซั่มขนาดนั้น โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ถึงกูจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน กูก็ไม่มีรูปร่างเหมือนมึงนี้!!!!!!!!

           “ไอ้เหี้ย”

   ผมพึมพำกับตัวเองเอามือปิดหน้าก้มซบเข่าตัวเองที่ชันขึ้นมาหน้าร้อนผ่าวไปหมด ไอ้สามทหารหมาตระกูลผักก็พากันหงิง ๆ มากระแซะผมแต่ผมไม่มีเวลาสนใจเอาความรู้สึกของตัวเองให้สงบก่อนในเวลานี้ จะมีเวลาที่เหี้ยกว่านี้อีกปะวะ คืองานก็ต้องทำ ใจแม่งก็สับสนฉิบหาย!!!!

   “พี่โทนจ๋า” เสียงเล็ก ๆ ของไอ้จุกดังขึ้นผมหันไปและก็ต้องผงะน้อย ๆ เมื่อไอ้เด็กหัวจุกยิ้มหวานยิงฟันมาให้ผมเหมือนกุมารทอง

   “มีอะไร” ผมแข็งใจเงยหน้ามามองไอ้จุก ที่ถือซองจดหมายอะไรสักอย่างอยู่ในมือ

   “พรุ่งนี้จุกมีงานโรงเรียนและครูอยากให้มีผู้ปกครองไป พี่เมฆกับพี่แสงต้องไปชกในอำเภอหนูไม่กล้ารบกวนพี่ไม้ แล้วปู่ทายก็ไม่อยู่ … พี่โทนว่างไหมจ๊ะ” น้ำเสียงในช่วงประโยคหลังแผ่วเบา ก้มหน้ามองจดหมายในมือ ผมมองมันอึดใจก็ยกมือวางบนหัวมันและหยิบจดหมายในมือออกมาถือไว้ มันเงยหน้ามองหน้าผมประกายตาของมันวิ้ง ๆ เหมือนตัวการ์ตูนเลยวะ!

   “ได้ดิ เดี๋ยวกูกับไอ้ไม้ไป มึงนี้ไม่ต้องคิดน้อยอกน้อยใจเลยนะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีว่าแต่งานโรงเรียนมึงทำไรวะ”

   “วันภาษาไทยจ้ะ ห้องหนูทำทาโกะยากิขาย”

   “วันภาษาไทย แล้วทำไมอาหารญี่ปุ่น”

   “… มุขหรอจ้ะ?” มันถามอย่างุนงง ผมหัวเราะออกมามันถึงหัวเราะตามยกมือไหว้ผมก่อนจะวิ่งเข้าไปบ้านไปซ้อมมวยต่อ

   “ห้องน้ำว่างแล้วนะครับ” ไอ้ไม้ตะโกนมาในขณะที่เดินเข้ามาหาผมในชุดเสื้อยืนกางเกงมวยและเสื้อยืนตัวเก่าของมัน ยังมีหน้ามายิ้มอีกนะไอ้ห่า!

   “ถอย”

   ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดในขณะที่แข็งใจลุกขึ้นยืนจะเดินไปแต่ไอ้ไม้แกล้งดักหน้าไว้ ยิ้มยียวนกวนประสาทอีก จากที่หัวเราะกลายเป็นยิ้มธรรมดาก่อนจะหลบทางให้เมื่อเห็นว่าผมจ้องเขม็งไม่ลดละ ฮึ! เดี๋ยวกูก็กัดหูซะหรอกไอ้เด็กเวร เล่นมากนัก!

   หลังจากนั้นผมก็มาทำงานและอยู่ที่คลินิกจนถึงบ่ายแก่ ๆ ข้าวปลายังไม่ได้กินเพราะติดพันกับเคสรักษาที่มีอยู่ ไม่ได้ให้ความสนใจกับไอ้หมาที่มานั่งเฝ้าอยู่เท่าที่ควรนัก มันพยายามให้ผมกินข้าวแต่ก็เจอผมตะคอกไปยกใหญ่ พยายามให้ผมกินขนม ผมก็ไม่พอใจเพราะหงุดหงิดมากที่ผมกำลังทำงานอยู่แต่มันก็ชอบมายุ่ง จนมันไปนั่งคอตกอยู่ที่ริมร้านเหมือนหมาหงอย ถึงอย่างงั้นมันก็ไม่หนีไปไหน คุยกับผมบังคับผมไม่ได้ มันก็ไปนั่งจ้องอยู่อย่างงั้นแหละ เอาเท่าที่มันสบายใจและพอใจ

   พองานซาลง ผมก็เพิ่งได้สติ และคิดได้ว่าตัวเองงี้เด็กน้อยชะมัด แค่เห็นมันอาบน้ำเอง ผมก็ไปเปิดประตูด้วยมือของตัวเอง และผมจะไปโกธรอะไรมันวะ … แต่แหม ภาพยังติดตาอยู่เลยอะ ขนาดด้านหลัง ยังเห็นกล้ามเนื้อในทุกส่วนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อดูเต็มไม้เต็มมือไปหมดจะว่ากูอิจฉาก็ได้ หรือกูเขินเพราะกูไม่มีก็ได้ หรือเพราะความกระแดะของกูก็ได้ มันกระดากอายนี้หว่า!!!! นี้แค่ด้านหลังนะ ถ้าด้านหน้ากูคงเลือดกำดาวไหลไปถึงขาอ่อนแน่ๆ

   “ไม่มีอะไรทำหรือไงเฝ้าอยู่ได้” ผมร้องถามอย่างไม่ตรงกับในใจเท่าไหร่นัก มันยิ้มนิดๆส่ายหน้าไปมา งอนอะไรกูปะเนี้ย

   “มึงหิวไหมไปกินข้าวกัน” ผมออกปากชวน ทั้งที่ก็รู้ว่ามันซื้อกับข้าวมาเต็มไปหมด … คือกูไม่รู้จะพูดอะไรก็ก็พูดไปงั้นแหละ

   “พ่อโทนอยากกินอะไรครับ” มันถามเสียงนิ่งๆ มุมปากยกยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด ดูก็รู้ว่างอนกู

   “มึงงอนกู”

   “เปล่าครับ” มันตอบเสียงนิ่ง ในขณะที่ผมขยับเข้าไปยืนตรงหน้าแต่มันก็ไม่ทำอะไรผมเหมือนเคย นี้ไง งอนกู!!!!

   “งอน”

   “…” มันเงียบไม่ตอบโต้ผม เอาแต่มองหน้าผมนิ่งอยู่แบบนั้น ไอ้เด็กเวร เด็กน้อย!!!!!

   “มึงงอนกูที่กูตะคอกมึง” ผมว่าเสียงนิ่ง มันยกยิ้มขึ้นไม่พูดอะไร ยืนขึ้นเต็มสัดส่วนและก้มมามองผมด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง

   “ผมไม่มีสิทธิครับ เพราะผมรักพ่อโทน” มันกล่าวเสียงนิ่งก่อนจะเดินออกจากร้านไป ทิ้งให้ผมยืนกัดปากตัวเองนิ่งอยู่กับที่ … ไม่มีสิทธิอะไรของมันวะ!

   “เดี๋ยว! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่อง เป็นเด็กหรือไงเดินหนีอยู่ได้!”

   ผมวิ่งออกไปแหกปากหน้าร้าน โชคดีที่ไม่ค่อยมีคนในเวลานี้ ไอ้ไม้ที่เพิ่งสตาร์ทเครื่องมอเตอร์ไซค์ออกไป แตะเบรกหยุดชะงักหันมาขมวดคิ้วมองผมนิ่ง ผมย่นหน้าไม่พอใจเดินก้ามสามขุมเข้าไปใกล้มันอยากจะซัดผลั๊วเข้าให้ที่กบาลมันสักที แต่ไม่อยากทำกลัวมันจะเจ็บเลยได้แต่เคยจ้องมันอย่างงั้น

   “กูขอโทษ!”ผมร้องบอกออกไปแบบนั้นมันทำหน้าตกใจนิดหน่อย

   ก่อนจะเหยียดยิ้มและก้าวลงจากรถที่ค่อมอยู่วาดมือเหมือนจะมากอด แต่ผมก้าวถอยหลังจนหลังติดประตูบ้านเก่าของอาแปะร้านขายของชำที่ปิดร้านไปอยู่ในเมืองกับลูกหลานของแก ไม่ยอมเพราะกลัวมีใครจะมาเห็น มันไม่ยอมก้าวเข้ามาหาผมและท้าวแขนลงมาไว้เหนือหัวของผม ใช้ตัวเองคร่อมผมเอาไว้จนผมมองไม่เห็นด้านหลังของมัน ก้มหน้าลงมามองผมพลางเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เหมือนเคย … หายโกรธกูแล้วสินะ ง้อง่ายจัง แต่ทำกับพ่อมึงแบบนี้ไม่ดีเลยนะไอ้ไม้!!!

   “ผมไม่เคยโกรธพ่อโทนนะครับ อาจจะนอยส์บ้าง แต่รักมากกว่า”

   “นอยส์กูทำไมมึงก็รู้กูเป็นคนแบบนี้” ผมก้มหน้าพูดงุบงิบๆ มันหัวเราะก่อนจะเชยคางขึ้นให้ผมมองหน้ามัน

   “ก็เพราะแบบนี้ผมถึงรักพ่อโทนไงครับ”

    เสียงกระซิบนั้นแทบจะทำให้ผมกลั้นใจตายซะตรงนี้ … จะทำให้กูละลายไปถึงไหน จะทำให้กูมั่นใจไปถึงไหน จะทำให้กูคิดเข้าข้างและเห็นแก่ตัวไปถึงไหนไอ้ไม้ … แค่นี้กูก็จะตายให้ได้แล้วเมื่อขาดมึง ถ้าวันไหนมึงกลับไปสู่โลกของมึงอีกในขณะที่กูยังอยู่ตรงนี้ กูจะทำใจได้ยังไง

   “รักผมบ้างหรือยังครับ”

   มันกระซิบข้างหูผมด้วยเสียงอันแหบพล่าน จมูกไล่บรรจงหอมขมับจมูกพวงแก้มถึงปลายคางคลอเคลียอยู่ที่จมูกของกูไม่หนีไปไหน … จะให้กูตอบว่าอะไรไอ้ไม้ … จะให้กูตอบได้ยังไง ถ้ามึงเป็นไอ้ไม้เหมือนแต่ก่อน กูคงไม่กลุ้มใจแบบนี้ แต่ตอนนี้ … มันไม่ใช่

   “กูไม่รู้” ผมเซหน้ามองไปทางอื่นสะกดกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ มันใช้มือช้อนแก้มของผมให้หันไปมองตาของมันก่อนจะหัวเราะนิดๆ เช็ดน้ำตาที่ขอบตาให้ผมอย่างเบามือและพูดขึ้นเบาๆ

   “รอได้ครับ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ไอ้ไม้ก็จะรอ” ผมไม่ตอบอะไรอีก เพียงปล่อยให้ตัวเองที่เหน็ดเหนื่อยจากทุกอย่างตกอยู่ในอ้อมกอดของไอ้เด็กคนนี้และอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตราบนานเท่านาน …

   

   อารมณ์สาวน้อยของกูมันพอจะทำให้มุ้งมิ้งบ้างไหมน่ะ …





==================

จีบกันๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-04-2020 19:46:18 โดย pa_pa »

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :hao5: :hao5: :hao5: ได้ๆกันไปเลยยย
รอกันมาตั้งนาน  :impress2: :impress2:

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
อย่าเล่นตัวนานนักนะพ่อโทน เดี๋ยวจะแก่ไปซะก่อนนะ :m20:

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

{พี่ป๊อกXน้องจุก 1 }


   แฮงค์สัด … นี้กูแก่จนแดกเหล้าและตื่นขึ้นมาจะเป็นจะตายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เมื่อก่อนกินยันเช้ากูยังไม่สะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นแบบนี้มาก่อน ผมลุกขึ้นจากที่นอนที่แฉะไปด้วยอ้วก …. เออที่สำคัญไม่ใช่บ้านกูด้วยไง เมื่อคืนจำได้ลาง ๆ ว่านั่งคุยกับไอ้ไม้อยู่ ตื่นขึ้นมาอีกทีนอนซมจมกองอ้วกตัวเองแบบนี้ผมนอนมองเพดานไม้เก่าตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจลุกขึ้นสะโร่สะเร่คลานลงไปห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาด้านล่างใต้ถุนบ้าน ยังโชคดีนะที่ไอ้ไม้ขยันไปตักน้ำที่ริมธารใกล้ ๆ เอาไว้เต็มถังตลอด ว่าแต่ไอ้หมานั้นไปไหนละ

           หลังจากตักน้ำราดหัวตัวเองจนชุ่มแล้ว หูตาก็พอจะโล่งได้ยินเสียงไก่ขัน กับจริงไอป่ายามเช้าที่แสนสดใส ลืมตาได้เต็มตามองเห็นหมอกสีจางที่ปกคลุมไปทั่ว ใบไม้ที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ที่เป็นตามธรรมชาติของมันในทุกๆเช้าของต่างจังหวัดบ้านเกิดของผมที่ผมได้ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ในทุกๆวัน หึ ว่าไปนั้น สโลไลฟ์กับกองอ้วกน่ะสิกูเนี้ย เมาแม่งทุกวัน ไอ้ห่า เดี๋ยวต้องเข้าบริษัทอีก น่าเบื่อชะมัด

   หลังจากพอได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง อ่อ ลืมแนะนำตัวไป ผมไม่ใช่พระเอกอย่างไอ้เด็กไม้นั้นและไม่ใช่นางเอกเจ้าน้ำตาอย่างไอ้โทน เป็นแค่ตัวปลากรอบ เอ้ย ประกอบเท่านั้นแหละ นี้ป๊อกเอง จำได้ไหม ป๊อกสุดหล่อ พ่อไม่รวย และตอนนี้เมาหนักมาก และเสือกอกหักเพราะผู้หญิงไม่รักนี้มันเศร้า จริงๆ

   “โห ไอ้ห่าถ้ากูตายเพราะตับแข็งนี้ไม่แปลกเลย”

    ผมบ่นกับตัวเองหลังจากเห็นสภาพบ้านที่เต็มไปด้วยกระป๋องเบียร์และขวดเหล้าที่วางกระจายอยู่ พร้อมอ้วกใกล้ที่ผมนอนแทบไม่เชื่อว่าผมคนเดียว เพราะเมื่อคืนไอ้ไม้แทบจะไม่ได้กระเดือกเหล้าเลย ดี กินเองเมาเองได้ไม่ต้องมีเพื่อนรู้งี้กูนั่งแดกอยู่บ้านดีกว่าไม่มาหาเพื่อนแดกให้เปลืองน้ำมันหรอก ว่าแต่มันไปไหนวะ

'จดจำไว้ในความทรงจำ ความบอบช้ำของตัวเราเอง ล่วงถลำกล้ำกลืนฤทธิ์ยา ปรารถนา......สรรค์สร้างสิ่งใด'

           เสียงเพลงกัญชาลุงแอด วงคาราบาว ไอดอลหนึ่งในใจชายวนิพกอย่างผม ดังขึ้นลั่นบ้าน จนต้องรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้ซากขวดริมระเบียงมากดรับสาย ยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าใครโทรมา หึ เช้า ๆ แบบนี้ไม่มีใครหรอกนอกจากไอ้เลขาส่วนตัวที่ไปทำงานตรงเวลา เหลื๊อเกิ๊นนนนนนนนนนนนนน เจ้านายมึงยังตื่นไม่เต็มตาเลยไอ้ห่าขยันเจรงงงงงงงง

           “ว่าไงไอ้ตังค์” ผมกรอกสายไปมองเหลือบรอฟังมันพูด แต่เมื่อเสียงกระหืดกระหอบเหมือนคนเหนื่อยหนักดังออกมาจากปลายสาย ทำให้ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย

           “พะ พะ พี่ พี่อยู่ไหน”

           “ปลายนามาเยี่ยมน้องมึงมีไร”

           “ขะ เข้าบริษัทด่วนพี่! เงิน เงิน เงินอย่างเยอะ!!!!!!”

           “อะไรของมึงวะ เงินเหี้ยไร”

           “งานพี่งานบูรณะวัดป่า เงินค่าแรง 5 ล้าน ไม่รวมค่าอุปกรณ์! พี่ กูจะช็อก!!!”

           “เฮ้ย!!!! ละ ล้าน …”

   โทรศัพท์กูแทบตก ผมพูดสั่งมันอีกสองสามคำก็วางและรีบออกมาจากบ้านข้าวของไม่ได้เก็บเอาไว้กูเคลียงานเสร็จค่อยให้คนมากวาดบ้านให้ไอ้ไม้ละกัน ตอนนี้เงินล้านอยู่ตรงหน้ากูแล้ว ค่าแรงที่เยอะที่สุดในอาชีพกูสัดๆ ปกติออกแบบภายใน กูจะตกแต่งพวกคอนโดหรือบ้าน แต่นี้บูรณะวัด … งานใหญ่นะ … ช็อกแปป

.

.

.

           “พี่!!!!”

           “ไหนลูกค้า”

   ลงจากรถได้ไอ้ตังค์เลขากูก็พุ่งเข้ามาทันที ตัวอ้วน ๆ ของมันเหงื่อแตกซิกยื่นเอกสารแผ่นหนึ่งให้ผมใจความไม่ได้มีอะไรมาก แค่บอกวัตถุประสงค์ว่า ให้บูรณะวัดป่าบนเขาที่ผมเคยไปเล่นบ่อย ๆ ในตอนเด็ก พร้อมทั้งบอกด้วยว่าค่าแรงไม่รวมอยู่กับค่าอุปกรณ์ ระบุอีกด้วยว่าเช็คเงินสดอยู่คู่กับจดหมาย ทันใดนั้นไอ้ตังค์ก็ยื่นแผ่นเช็คมาให้อีก ผมรับมาอ่านและพิจารณา 0 ทีละตัว …. 5 ล้านจริง ๆ ไม่มีผิดมีเพี้ยน 

   “ตัวลูกค้าล่ะ?”

   “ไม่มีครับพี่ ผมมาเปิดบริษัทคนแรก เห็นกระดาษแผ่นนี้อยู่ที่กล่องจดหมาย ปิดผนึกมาในซองสีน้ำตาลอย่างดี ไม่รู้มันคืออะไรเลยเปิดดู แม่งแจ็ตพอตเลยพี่!”

   “เรียกประชุมผู้รับเหมา ให้ผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์ด้านการบูรณะวัดด้วย ย้ำ ชำนาญและมีประสบการณ์ เดี๋ยวอีก 3 ชั่วโมงกูมา ” ผมว่าและกระโดดขึ้นรถต่อทันที ไอ้ตังค์รับคำผม

   ส่วนตัวผมเองอยากจะขึ้นไปบนวัดป่าดูสถานที่ที่ระบุแจ้งความจำนงเอาไว้ให้ไวที่สุด เพราะอะไรเศรษฐีใจดีปริศนาคนนี้ถึงอยากที่จะบูรณะวัดที่ไม่มีชื่อแบบนั้น จะต้องมีอะไรที่พิเศษแน่ ๆ ตัวผมเองก็ไม่ได้ขึ้นไปไหว้หลวงตาท่าน 7-8 ปีแล้วมั้ง ไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านจะเป็นยังไงบ้าง นึกและก็คิดถึงสมัยก่อน ที่ผมยังไม่มาภาระอะไรให้หนักใจ วิ่งเล่นขับจักรยานขึ้นไปบนเขาไปกับพวกไอ้โทน หึ รู้สึกดีจริง ๆ ที่มีคนใจดีเห็นค่าวัดป่าอารามที่เหมือนจะร้างนั้น ระดับผมแล้วไม่ต้องกลัว ผมจะทำให้มากกว่าค่าจ้างซะอีก คิดอยู่เหมือนกันถ้ามีโอกาสจะทำ แต่เงินและบุญของผมเห็นจะไม่ถึงละนะ

   ผมขับรถเข้ามาจอดเทียบท่าที่ลานกว้างของวัด มองไปรอบๆ สำรวจไปทั่วและนึกครึ้มใจยิ้มออกมานิดๆ ไม่เปลี่ยนไปจริง ๆ ขนาดที่เกือบ 9 โมงแบบนี้ แต่วัดยังคงมืดครึ้มเหมือนเวลา 6 โมงเช้า เพราะอยู่สูงบนเขาและต้นไม้ยังขึ้นปกคลุม จนทึบไปหมด แต่ก็เป็นสถานที่อันสงบสุข ภายในวัดมีสิ่งที่ยืนยันว่าเป็นวัดอยู่เพียงหนึ่งเดียว คือโบสถ์ที่สร้างจากปูน สีหลุดร่อนจนเห็นเนื้อสีแดงของอิฐด้านใน สูงเทียมยอดไม้ที่ตระหง่านอยู่ใกล้ๆ

   มองไปก็ไม่เห็นมีเด็กวัดหรือพระสักองค์หวังว่าจะยังไม่ร้างหรอกนะ ยังไม่ทันที่จะตัดสินใจอะไรได้ ผมก็สังเกตเห็นไอ้เต่าตัวเล็ก ๆ เดินออกมาจากโบสถ์ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ผมจอดรถมากนัก แต่มันไม่ได้คิดจะสนใจผมไปมากกว่ากระป๋องน้ำสีแดงที่แกว่งไกวไปมาปากก็พึมพำเพลงอะไรของมันไปเรื่อย ถ้าจำไม่ผิด ไอ้หนูหน้าเหมือนเต่านั้นจะชื่อไอ้จุกลูกน้องไอ้โทน หึ ผมหวังว่ามันโตขึ้นมาจะไม่นิสัยเหมือนลูกพี่มัน

           “ไอ้หนู” ก้าวลงไปจากรถได้โดยไม่ทันระวังก่อหญ้าเจ้าชู้จะอยู่ตรงข้างทางลงพอดี เต็มตีนเลยกู

           มันหันมามองผม หุบยิ้มหยุดร้องเพลงพลัน ตาโตใสของมันเบิ่งกว้าง ผิวสีน้ำตาลที่ค่อยไปทางเหลืองขาว ๆ กับร่างเพรียวอยู่ในเสื้อยืดสีน้ำเงินตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นสีดำที่ซ้อนอยู่ในเสื้อ รองเท้าหูหนีบ รู้อยู่ว่ามันเป็นเด็กวัดและไอ้โทนรับไปเลี้ยงให้ที่อยู่ให้วิชา แต่ไม่เห็นจะรู้ว่ามันก็ยังทำตัวเป็นเด็กวัด    “อย่าเข้ามานะ” มันชูอาวุธกระป๋องน้ำสีแดงของมันขึ้นมาตรงหน้า ทั้งที่ตัวมันแค่เอวผม … บร๊ะ ตลกแท้ อะไรไม่รู้ละผมแทบจะหลุดขำออกมากับท่าทีมัน อยากรู้เหมือนกันถ้าผมแกล้งตลึงตาใส่ ไอ้เต่านี้จะเป็นยังไงแต่พอมันเห็นผมถลึงตาใส่ไม่ถึง 3 วินาที ก็สะดุ้งถอยหลังก่อนจะออกตัววิ่งหายไปในซอกกำแพงโบสถ์

           “เฮ้ย! มึงจะไปไหนวะ  กูจะถามหลวงตาอยู่ไหม อะไรของมันวะ ” ดูเอาเถอะ เห็นกูเป็นยักษ์ไปได้ เฮ้อ … ไอ้ห่าหญ้าเจ้าชู้นี้ก็น่ารำคาญชะมัด บ่นไปก็กระดกยาแก้แฮงค์ไป มึนสัด ดีนะขับขึ้นเขามาไม่ตกเขาตาย

           “มาหาใครครับ” เสียงแหบพร่านของชายวัยกลางคน ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง … ถ้าจำไม่ผิดนะ พี่ที่ตัวผอมแกร่นดูขี้เหล้าคนนี้คนนี้น่าจะชื่อพี่มาด

           “พี่มาดใช่ไหมครับ ผมป๊อกเอง”

           “ไอ้ป๊อก!!!! ไม่เจอกันตั้งนานหายไปไหนมาวะ” พี่มาดวิ่งมาหาผมด้วยความดีใจถามสารทุกข์สุขดิบมาเป็นชุด พลางจับเนื้อจับตัวด้วยความปิติ “โตขึ้นเยอะเลยไอ้ห่าไม่ขึ้นมาหาข้ากับหลวงตาบ้างวะ! ข้าเห็นแต่ไอ้โทนกับอาทายที่ขึ้นมาอยู่บ่อย ๆ”

           “โธ่พี่ ผมไม่ว่างเลย ว่างก็กินเหล้าแล้วก็หลับไป ฮ่าๆๆ พี่สบายดีนะ” ผมว่าอย่างติดตลก

           “ก็ตามอัตภาพละมึง หลวงตาอยู่ในโบสถ์ไปหากราบท่านสิ”

           “ว่าแต่พี่อยู่กับหลวงตาและไอ้จุกแค่นี้เหรอพี่”

           “พี่ไอ้สนกับไอ้เท่งอีก แต่มันไปทำงานในเมืองเดี๋ยวเย็น ๆ ก็กลับ”

           “อ่อ แล้วไอ้เด็กจุกนั้นมาที่นี้ทุกวันเลยเหรอ” ผมเหลือบไปเห็นไอ้เต่าที่แอบขู่ผมอยู่หลังโบสถ์ ก่อนจะหันมาถามพี่มาดที่ยืนยิ้มยิงฟันอยู่ตรงหน้า

           “มันมาทุกอาทิตย์นั้นละ มันน่ะ โชคดีอาทายเมตตามัน”

           “อ่อ พี่เดี๋ยวค่อยคุยกัน ผมขอไปคุยธุระกับหลวงตาก่อน”

           “เออ ไปเถอะ” ทักทายพี่มาดเสร็จ ผมเสี่ยงออกมาหันหน้าเดินเข้าโบสถ์โดยมีไอ้เต่ามองตามอยู่ไม่เลิก … คือ แม่งเหมือนมีจูออนตามติด ฮ่าๆๆๆ เฮ้อ เอาที่สบายใจนะไอ้เต่า

           “นมัสการครับหลวงตา” ผมที่กำลังถอดรองเท้าอยู่หน้าหน้าประตูโบสถ์กล่าวขึ้นทันทีที่เข้าไปยังไม่ทันเห็นท่านเลยด้วยซ้ำ

           “โยม โยมป๊อกสินะ เป็นไงมาไงละนั้น เข้ามาๆ”

   ผมที่ถอดรองเท้าเสร็จพอดีเงยหน้ามองท่านหลวงตาที่นั่งอยู่บนอาสนะสีเหลืองโทรม ๆ แขนข้างหนึ่งเท้าอยู่ที่หมอนอิงข้างกายมีตะกร้าหมากวางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะยกมือไหว้ท่านอย่างนอบน้อมก่อนจะคุกเข่าลงคลานเข้าไปหาท่านยังไม่ทันที่จะพิจารณาภายในโบสถ์สักเท่าไหร่ แต่ดูคร่าว ๆ สิ่งที่ยืนยันได้ดีว่าที่แห่งนี้ยังเป็นวัดอยู่ก็คือ พระพุธรรูปสร้างด้วยปูนสีขาวที่ลอกจนเห็นสีดำของปูนภายในองค์ใหญ่สูงเกือบติดเพดานของโบสถ์ตรงหน้า

   “หลวงตาสบายดีนะครับ”

   “เออ ก็ตามอัตภาพแหละโยม เป็นไง มาไง ไม่เจอกันตั้งนาน” ท่านเหลือบข้างหลังผมพลางกวัดมือเรียก ใครสักคน ก่อนเอ่ยทักด้วยเสียงแหบพล่าน“เจ้าจุก! อย่ามัวแต่ไปยืนแอบอยู่ตรงนั้น ไปยกน้ำยกท่ามาให้โยมพี่เขาเข้าสิ”

   “จ้า”

   เสียงใส ๆ นั้นดังขึ้นหงอ จนผมต้องเหลือบไปมอง ไอ้เด็กน้อยที่ยืนแอบอยู่หลังประตูโบสถ์และกำลังเดินเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมผ่านผมไป และก้มลงคลานเข่าไปด้านหลังหลวงตา เปิดกระติกและใช้ขันตักน้ำที่ผมคาดว่าจะบรรจุน้ำแข็งและน้ำเย็น ๆ เอาไว้เต็มที่น่าชื่นใจ ก่อนจะคลานกลับมายื่นให้ผมโดยไม่สบตา

    “นี้จ้ะ”

   “เป็นผู้ชายทำไมพูดจ๊ะจ๋า” ผมกระซิบถามในขณะที่เจ้าจุกก้มมาใกล้จนได้กลิ่นแชมพูอ่อน ๆ จากตัวมัน กลิ่นเดียวกับไอ้โทนนั้นแหละ ก็มันอยู่บ้านเดียวกันนี้หว่า

   “…” มันไม่ตอบแต่เหลือบขึ้นมองและก้มลงไปอีก เหมือนจะด่าผมอยู่ในใจและคลานหนีออกไปนั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ หลวงตา

   “ดื่มน้ำดื่มท่าเสียก่อนแล้วค่อยพูดจากัน โยมดูเพลียนะ เสพสุราเมรัยให้มันน้อย ๆ หน่อยสิ หึหึ”

   “หึหึ ครับหลวงตา” ผมหัวเราะรับมุขท่านก่อนจะยกน้ำเย็นขึ้นดื่มแก้กระหาย ชื่นใจดีแท้ เหมือนความมึนเมาหายไปเป็นปลิดทิ้งเลยให้ตายสิ

   “ว่าอย่างไรโยมป๊อก ลมอะไรหอบหิ้วมาถึงที่นี้”

   “ผมขึ้นมาหลวงตาก่อนจะลงไปประชุมต่อครับ เอาเป็นว่าถ้ามีเวลาผมจะขึ้นมานมัสการใหม่นะครับ”

   “เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรกัน รีบร้อนขนาดนี้”

   “ผมได้รับคำสั่งจากลูกค้าให้ทำการบูรณะวัดป่าแห่งนี้ครับหลวงตา ในวงเงินที่ไม่จำกัด ผมขึ้นมากราบขออนุญาตหลวงตาซะก่อนที่จะการอะไรลงไป ถ้าอย่างไรเดี๋ยวผมจะให้ผู้รับเหมาขึ้นมานำเสนอแบบแปลนการบูรณะวัดให้ไวที่สุดนะครับ”

   “… โยม … วัดแห่งนี้น่ะนะ เก่าแก่และมีสิ่งก่อสร้างที่ผุกร่อนมาก อาตมาไม่อยากให้ต้องเป็นอันตราย ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง”

   “หลวงตาจ๊ะ แต่ …”

   “ไม่ใช่เรื่องของเด็กนะเจ้าจุก ถ้าเอ็งว่างก็ออกไปช่วยไอ้มาดกวาดลานวัดซะสิ”

   “ก็ได้จ้ะ …” หง่อยเลยไอ้เต่า อย่าว่าแต่มันหง่อยเลย กูก็หง่อย           

   ผมมองเจ้าจุกที่คลานคอตกผ่านไป ก่อนจะหันกลับมามองหลวงตาที่กำลังยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ เปลี่ยนท่านั่งเป็นพับเพียบ ยกมือขึ้นพนมไว้กลางอก ก้มลงกราบและเงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างนอบน้อม

   “หลวงตาครับ ผมขอพูดในฐานะเด็กที่เคยเข้ามาวิ่งเล่นในนี้ตั้งแต่เด็กได้ไหมครับ … ในตอนนั้นวัดแห่งนี้ก็เก่ามากแล้ว” ผมถอนหายใจอย่างอ่อนใจเมื่อนึกถึงความเด็กที่ยังเยาว์วัย อยู่เป็นแก๊งเป็นก๊วน ขับจักยาน ขึ้นเขาลงห้วยได้ดี

   “ผมก็จำได้ดี ว่าพวกผมเคยไปวิ่งไปชนกุฏิหลวงตาจนเสาแทบพัง ดีที่ตอนนั้นไม้มันยังไม่ผุมาก แต่ในตอนนี้ ไม้ตรงนั้นถูกซ่อมไว้เพียงลวก ๆ และมันก็ไม่ปลอดภัยเอาซะเลยครับ ไม่เพียงแค่วัดแห่งนี้ที่ผมอยากจะบูรณะ แต่ผมต้องการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับทุกชีวิตในนี้ด้วย ถ้าหลวงตาเป็นอะไรไป เจ้าจุก พี่มาด พี่สิน และญาติโยมที่เคารพรักในตัวหลวงตา เขาคงจะเสียใจมาก แบบนั้นหลวงตาจะไม่บาปหรือครับ แล้วถ้าเกิดวัดแห่งนี้บูรณะเสร็จสิ้น จะมีคนที่ผ่านไปผ่านมาเข้ามากราบไหว้สะการะ วัดป่าเก่าแก่แห่งนี้ที่วัตถุประสงค์ตั้งแต่แรกคือเผยแพร่ศาสนา แล้วจะมีประโยชน์อะไรละครับถ้าวัดแห่งนี้ผุพังลงไปตามที่หลวงตาว่า ไว้ใจผมเถอะนะครับ ไว้ใจไอ้ป๊อกเด็กบรรลัย ที่หลวงตาเคยวิ่งเอาไม้หวดตอนเด็ก ๆ เถอะนะครับ”

   “… หึ เอ็งนี้ช่างพูดช่างเจรจาจริงเชียว ไอ้ป๊อก ก็จริงของเอ็งหลวงตาจะไม่ขัดศรัทธาเอ็งอีก แต่ข้าละสงสัยจริง ๆ ใครกันนะที่มาเห็นค่าของวัดป่าอันห่างไกลเช่นนี้” สีหน้าของหลวงตาที่พูดยังคงนิ่งสงบสำรวมอยู่ในทีของพระภิกษุแก่พรรษาผู้ปฎิบัติธรรม

   “นั้นสินะครับ … ผมก็อยากรู้” ประโยคหลังผมพูดกับตัวเอง ใช้เวลาอีกไม่นานในการคุยรายละเอียดกับหลวงตา ผมก็ปลีกตัวออกมาเพราะต้องกลับไปฟังผลการประชุมที่บริษัทและนัดกับหลวงตาเอาไว้ในวัดพรุ่งนี้เพื่อคุยรายละเอียดอีกครั้ง

   ในขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ ตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าจุกที่กำลังนั่งยอง ๆ ใส่โซ่จักรยานคันเล็กที่หลุดออกจากรางของโซ่ ผมยืนดูมันสักพักว่าจะทำได้ไหม พอมันทำได้ดูเข้าท่าแล้ว ก็ใช้มือยันที่ถีบให้ล้อหลังหมุนเล่นซะอย่างงั้น รอยยิ้มซน ๆ กับดวงตาที่เป็นประกายเปล่งออกมา คือ ดีใจกับเรื่องแค่นี้เนี้ยนะ เป็นเด็กที่แปลกมาก ๆ แหนะยังจะเอามือไปลูบหน้าตัวเองอีก มันก็เปื้อนอะดิ โง่จริง ๆ สมแล้วที่เป็นเต่า

   “หน้าดำแล้วไอ้เต่า”

   พอได้ยินเสียงผมมันก็เงยขึ้นมองอย่างตื่นตระหนก และรีบขึ้นคร่อมจักรยานทำท่าจะปั่นหนีผม แต่โชคร้ายที่โซ่เจ้ากรรม ขาดเสียงดังแป๊ะ รถก็ล้มทับอยู่ดังแอ๊ก กูจะหัวเราะก็ไม่ได้ เลยต้องรีบวิ่งไปยกรถขึ้น จะเอามือไปฉุดมันขึ้นด้วย แต่มันไม่ยอมปัดมือผมทิ้งและยันตัวลุกขึ้นเอง สภาพมันตอนนี้มอมแมมเป็นเต่าตกถังโคลนเลย หึ

   “ซ่าดีนัก เจ็บตรงไหนปะเนี้ย”

   “ไม่ อย่าจับหนูนะ” มันทำท่าจะปัดมือผมทิ้ง แต่ผมไม่สนใจฉุดแขนมันยืนขึ้น ยังจำเป็นอยู่ไหมแขนมึงเนี้ย

   “เอ้ย เป็นผู้ชายแทนตัวเองให้มันดี ๆ ผม ไม่ใช่หนู ครับไม่ใช่จ้ะ ไหนพูดสิ”

“ไม่พูด หนูจะแทนตัวว่าหนูและใช้คำว่าจ้ะต่อ” มันเถียง! มันเถียงได้น่าตบหัวให้ลั่นติดมือมาก!

   “ดื้อจังวะ” ผมสบถ ออกมาอย่างยิ้ม ๆ แต่ดูเหมือนว่ามันจะคิดว่าผมจริงจัง อึ้งไปเสี้ยววินาทีและก็ปั้นหน้าขึง ผมไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันทำอะไร แต่กลับรู้สึกจุกที่ท้องน้อยและขาก็ไม่มีแรงลงไปนั่งกับพื้น โอ้ ไอ้สัด กูลืมไปมันเป็นมวย

   “สมหน้าหน้า หนูไม่ได้อ่อนแอนะถ้ามีใครคิดจะรังแกลุงทายก็บอกแล้วว่าให้ต่อยได้เลย ฮิฮิ ”ว่าแล้วมันก็ยกจักรยานไถแก๊ก ๆ เดินลิ่วหายไปหลังกุฏิ นี้กูถูกไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมล้มหรือวะเนี้ย รู้ถึงไหนกูอายเขาไปถึงนั้น สัดเอ้ย!!!

   “ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้เต่า เจอที่ไหนกูจะจับฆ่าแม่ง!”

.

.

.

           “ไอ้จุกเนี้ยนะทำร้ายมึง”

   ผมนั่งเคาะโต๊ะเคาน์เตอร์โรงพยาบาลสัตว์ของไอ้โทน ความจริงก็ไม่อยากจะฟ้องหรอกนะ แต่เด็กมันกิริยาไม่ดีก็ต้องแจ้งผู้ปกครอง หึ เจตนาของกูแค่อยากทุบไอ้เด็กนี้สักหนึ่งที หึหึ จะว่ารังแกเด็กก็ได้แต่อย่างไอ้ป๊อก ฆ่าได้หยามไม่ได้ ไม่งั้นประชุมเสร็จกูไม่รีบมาหาผู้ปกครองมันอย่างงี้หรอก แค้นนัก เล่นเอากูประชุมไม่เป็นสุขเลย หน้าตากวน ๆ ของไอ้เต่าตามหลอกหลอนกูตลอด เจอมันก็บ่อยนะที่บ้านไอ้โทนแต่ไม่มีโอกาสได้คุยกับมัน พอคุยกันครั้งแรกก็ต่อยกูละ ฮึ้ม

           “มึงไปทำอะไรมันล่ะ มันถึงต่อยเอา และมึงขึ้นไปบนวัดป่าทำไมวะ กราบหลวงตาหรอ” ไอ้โทนพูดอย่างไม่ได้สนใจมากนัก รับบิลใบเสร็จจากเกื้อที่ยื่นมาให้ใส่แฟ้มอย่างเป็นระเบียบ เพื่อนไอ้โทนพอเห็นหน้าผม ก็หัวเราะคิกออกมาก่อนจะเดินมานั่งเท้าคางมองผมสลับกับไอ้โทนอย่างอยากรู้อยากเห็น เชี้ย แม่งสวยจังวะ เมียลุงทาย

           “ทำห่าอะไร กูแค่บอกมันว่า เป็นผู้ชายให้พูดครับไม่ใช่จ๊ะจ้า มึงสอนเด็กมันยังไงแทนตัวเองว่าหนูอยู่ได้ ปัญญาอ่อน”

           “อ้าวไอ้ห่านี้ เดี๋ยวกูก็ซ้ำซะนี้ อยู่ดีไม่ว่าดี” มันเงยหน้ามองผมเหลือบตาอย่างเอาเรื่อง ทำเอาผมชะงักถอยหลังนิด ๆ สัดเอ้ย กูเพื่อนมึงนะ!

           “นี้ไง มึงเป็นแบบนี้ไง เด็กมันเลยทำตาม”

           “ก็มึงสู้เด็กมันไม่ได้ไง แดกเข้าไปสิเหล้าอะ ร่างกายมึงไม่มีแรงก็เพราะไอ้เหล้านี้แหละ” นั้นไงครับไอ้บ่าวช่างเสือกเทศนากูละ

           “จริง ๆ ลุงทายก็กินเหล้าเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ออกกำลังบ่อยเลยเพลาเรื่องเหล้าไปได้บ้าง”

           “ฟิตปั๋งเลยใช่ม๊า!”

           “ใช่ ๆ … โทน!” ผมหัวเราะออกมาเมื่อคนสวยเกื้อที่นิ่งคิดตรองว่าไอ้โทนเล่นทะลึ่งหน้าแดงขึ้นไปถึงหู มุ้งมิ้งน่ารักไปอี๊กกก กกกกก กกกก

           “ว่าแต่ เมื่อคืนไอ้ไม้ไปนอนไหนมึงพอรู้ปะ” จากนั้นทั้งร้านก็เงียบเสียงหัวเราะลง ไอ้โทนนิ่งอึ้งในคำถามของผม หันมองหน้าผมทีไอ้เกื้อที ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเอง … นั้นแหนะ ไอ้ห่านี้มีพิรุธ

           “หึ ผัวเมียกันแล้วสิ”

           “พ่องงงงงงงงงงง ปากมึงงี้ไงผู้หญิงถึงไม่เอามึงอะ”

           “จ้า ๆ ก็ดีกว่ามีผัวแล้วกัน”

   ผมด่าชิ้งมันทั้งสองคน มันหน้าเหวอ ไอ้เกื้อก้มหน้าแดงเดินหนีแต่ไอ้โทนหน้าแดงแต่เสือกวิ่งไปหยิบไม้กวาดไล่ตีผมจนต้องวิ่งหนีให้วุ่น สุดท้ายก็หนีออกมาขึ้นรถ ไอ้โทนมาเคาะกระจกกูดังผลักๆ แหนะ ตัวก็แค่นี้ทำเป็นซ่า แน่จริงมึงทะลุเข้ามาให้ได้สิไอ้เตี้ย!

           ผมหัวเราะแกล้งทำหน้าล้อเลียนมัน ก่อนจะเปิดกระจกให้คืบหนึ่ง ได้ยินเสียงมันตะโกนแง้ว ๆ จับใจความได้แค่ประโยคสองประโยคและกูก็หัวเราะออกมาก๊ากใหญ่เพราะสิ่งที่มันพูดเพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ มันบอกกับกูว่า

           “ขอให้มึงมีเมียเป็นผู้ชายและทำให้มึงหลงจนอกแตกตายไปเลยไอ้สาดดดดดดดดดดดดดดด”

   ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับมันอีก เลยขับรถออกมา ท่ามกลางเสียงสาปแช่งของไอ้ห่าโทน แม่ง กูแค่พูดความจริงไม่เห็นต้องด่ากันหน้าดำหน้าแดงขนาดนั้น สงสัยจะเขิน หึหึ เอาเถอะ ผมก็แค่หยอกมันเล่นไปงั้นแหละ แค่มันมีชีวิตที่ดีและมีความสุขกับสิ่งที่มันรอคอย ผมที่เป็นเพื่อนทำไมจะไม่ดีใจด้วยวะปากกูก็แบบนี้ละ พวกมึงควรชิน เพราะกูจะไม่ปรับตัวเข้าหาใครถ้ากูไม่อยาก

   จะว่าไปกูสมควรไปเอาเหล้าเกรดเอบ่งนานเกือบ 20 ปี ของพ่อกูคืนจากบ้านไอ้ห่าไม้นะ เมื่อคืนกูกะจะเอาไปกินแต่เสือกเมาหลับไปก่อนเอาเถอะ ไหน ๆ ก็ว่างไม่มีอะไรทำละ เผื่อจะเอามากระดกเล่นให้หายแค้นไอ้เต่าได้บ้าง เด็กเหี้ยอะไรทำกูโมโหได้ทั้งวัน


ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4

   กูมาถึงบ้านไอ้ไม้ที่อยู่ปลายนา ในเวลาบ่ายแก่แดดใกล้จะหมดแล้ว ก่อนลงจากรถไม่ลืมที่จะหยิบถุงขยะลงไปเก็บซากที่กูทำทิ้งเอาไว้เมื่อคืนด้วย ผมเดินดุ่ม ๆ ลงไปที่คันนาและตรงไปที่บ้านที่ปลูกเดียวเอาไว้ ก่อนจะชะงักเพราะได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังเอาขวดกระทบกันเบา ๆ มีคนมาเก็บกวาดแล้วเหรอวะ คงเป็นไอ้ไม้ละมั้ง

   “เฮ้ย โทษที กูรีบเลยลืมเก็บ… ไอ้เต่า! ยะอย่า!!!!”

เคร้ง!!!!

           หมดกัน เหล้า 20 ปีของพ่อกู !!!!!!!! ผมรีบถลาไปนั่งมองซากขวดเหล้าที่แตกละเอียดเพราะไอ้เด็กห่านั้นเผลอทำหลุดมือเพราะตกใจผม อ๊ากกกกกกกกก กูเกลียดเด็ก โดนเฉพาะเด็กที่มันทำเหล้าของกูแตก!!!!

           “ขะ ขอโทษ นะ หนูแค่ตกใจ หนูขอโทษ” ไอ้จุกพยายามเข้ามาช่วยผมเก็บเศษแก้ว แต่พอเจอกูทำตาขวางใส่มันก็ถลาถอยหลังกรูไปยืนชิดริมกำแพงไม้

           “โถ่ ลูกพ่อ” ผมอุทานออกมาอย่างเสียดาย หยิบชิ้นท้ายขวดที่ยังพอมีน้ำหลงเหลืออยู่ขึ้นมาจ่อที่ปากด้วยความเสียดาย อยากจะชิมมันสักอึกก่อนจะต้องอำลา แต่ก็ต้องชะงักอีกรอบเมื่อไอ้จุกพูดห้ามเอาไว้ก่อน

           “เดี๋ยวแก้มบาดนะจ๊ะ” ผมจิ๊ปาก ก่อนจะกระดกพรวดเข้าไป และก็ต้องสะดุ้งเมื่อสัมผัสกลิ่นคาวเลือดแปลก ๆ ได้ ไอ้สาดดดดดดด นี้กูเป็นอะไร แก้วบาดปากกูเฉยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

           “หนูบอกแล้ว”

           “รำคาญโว้ย ! ” ผมตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะวิ่งมาถมน้ำลายหวังให้เลือดมันหยุดไหล แม่งบาดตรงปากล่างด้านในกูด้วย เจ็บฉิบหาย โอ้ยยยยยยยยยยย วันซวยอะไรของกูวะเนี้ย!!!!!

           “จะ จุกขอโทษนะจ๊ะ … เอ่อ ครับ” เสียงเล็กดังขึ้นมาจากด้านหลังประโยคหลังเหมือนฝืน ๆ ผมหันไปมองหน้ามันก่อนที่อารมณ์ที่โกรธจะเย็นลงได้บ้างเพราะหน้าตาที่ไร้เดียงสาแต่เสือกดื้อของมันกำลังก้มสำนึกผิดอยู่ตรงหน้า แม่งเลือดกูยังไม่หยุดไหลเล้ยยยยยยยยยย

           “พ่อโทนเคยสอนว่าถ้าเป็นแผลในปากอย่าถมน้ำลายให้กลืนเข้าไปจ้ะ มันจะหายไวกว่า เดี๋ยวจุกทำแผลให้นะ”

           “ไม่ต้อง” กูพูดและทำถ้าจะเดินหนีลงจากบ้าน แม่งกูกะจะมาเอาเหล้าแต่เสือกโดนเด็กคนเดิมรังแกเอา นี้กูอายุเท่าไหร่แล้วมันเท่าไหร่วะเนี้ย โอ้ยยยยยยยย เป็นพ่อเป็นลูกกันได้แล้วมั้งสัด!

           “พะ พี่ป๊อกจ้า ยะ อย่าฟ้องพ่อโทนนะ จุกไม่ได้ตั้งใจ”

   เป็นอีกครั้งที่กูชะงักก้มไปมองไอ้จุกที่นั่งนวดเข่าผมอยู่อย่างเอาใจ ขณะที่กูเลือดกลบปาก! แม่งไปเรียนวิชามารมาจากไหนวะ กูถอนหายใจเฮือกใหญ่ไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ ๆ ชานบ้าน สงบสติอารมณ์ และพยายามกลืนเลือดกลืนน้ำลายอย่างที่มันบอก ตาก็มองมันไปด้วยอย่างไม่มีความหมาย จะโกรธก็โกรธไม่ลง ก็ดูแม่งทำหน้าดิ!

           “จะทำแผลก็มาทำ ยืนอยู่ได้”

           “จ้ะ … ครับ”

           “โว้ย จะพูดอะไรก็เรื่องของมึง มาอึกอัก ๆ อยู่ได้ รำคาญ!!! ” ผมตะคอกไปเสียงดังจนมันสะดุ้งและแอบค้อนกูนิด ๆ ด้วย ร้าย ไอ้เด็กห่านี้มันร้าย!!!!!

           “จุกทายาให้นะพี่ป๊อก” เจ้าจุกที่เดินออกมาจากการไปค้นอะไรในบ้านไอ้ไม้ หอบหิ้วเอากล่องปฐมพยาบาลขนาดพอเหมาะและเดินตรงมาที่ผม ก่อนจะวางกล่องลงและเงยขึ้นมาพูดกับกูด้วยน้ำเสียงจริงจังจนกูผงะเพราะหน้ามันใกล้กูมากจนเห็นว่าตามันโตเป็นไข่ห่านแค่ไหน

           “อะไร” ผมตั้งคำถามกับแววตามัน

           “อย่ากัดจุกนะ”

           “กูจะแดกมึงถ้ายังไม่เลิกกวนตีน” ไอ้จุกหัวเราะคิกไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะก้มลงไปหยิบเอาแอลกอฮอล์ราดลงบนสำลีและใช้นิ้วเล็ก ๆ ของมันจับปากล่างผมอ้าออกอย่างเบามือ … นี้มึงไปเรียนวิธีปฐมพยาบาลหมากับไอ้โทนมาใช้กับกูหรือเปล่าเนี้ย

           “เด็กดีนะ ไม่เจ็บนะ” นั้นไงไอ้ห่าชัดเจนเลย!!!!!!

    ผมหงุดหงิดอยู่สักพักก็นิ่งลงเพราะรู้สึกถึงความแสบเล็ก ๆ ที่ริมฝีปาก ก่อนที่ไอ้จุกจะเอายาแดงมาหยอดและเช็ดแผลเอาไว้ให้เรียบร้อย กูมองหน้ามันเพลินจนเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัว ไม่ได้อะไรหรอก แค่มองไปงั้นมันสบายตาดี ไม่มีเครื่องสำอาง ไม่มีสิ่งเสแสร้งให้เห็นที่ในตา … มันซื่อเกินไปอย่างที่ผมไม่เคยเห็นจากมนุษย์คนไหน แม้แต่ตัวผมเอง

   “เสร็จแล้วจ้ะ จุกไปเก็บของต่อนะ เดี๋ยวพี่ไม้จะกลับมาจากซ้อมแล้ว จะว่าเอาที่จุกทำไม่เสร็จ”

   “ข้าช่วย” ผมเสนอตัว เออ ทั้ง ๆ ที่กูเลือดกลบปากนี้แหละ

   “เดี๋ยวจุกทำเอง พี่ป๊อกเป็นคนเจ็บนี้เนอะ” มันยิ้มล่า ก่อนจะเหมือนนึกอะไรออกก้มหน้าจับชายเสื้อตัวเองสำนึกผิด “ … เมื่อตอนนั้นจุกขอโทษนะที่ชกไป จุกแค่นึกว่าพี่ป๊อกจะรังแก แต่พี่ป๊อกช่วยยกจักรยานออกจากตัวหนู เพราะพี่ป๊อกเป็นคนดี หนูไม่น่าไปชกพี่เลย” ดาเมจแรงฉิบหาย …

   “เออช่างมันเหอะ แล้วนี้เอ็งจะกลับบ้านหรือไปไหนต่อ”

   “กลับบ้านจ้ะ เดี๋ยวจุกมีซ้อมมวยต่อ ลุงทายห้ามจุกโดดแล้ว”

   “เออ งั้นรีบทำให้เสร็จและเดี๋ยวข้าไปส่ง” ไอ้จุกทำหน้าฉงน ก่อนที่ผมจะออกปากไล่ให้มันเข้าไปทำต่อให้เสร็จโดยไวมันถึงเดินเข้าไปเก็บของต่อ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งรอมันอยู่ตรงที่เดิมแหละ … เออ พูดกันดี ๆ ก็เป็นนี้หว่า พูดตั้งแต่นี้ตั้งแต่แรก กูก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว หึ

.

.

.

   

   “ตัวมึงเล็กแค่นี้แดกข้าวบ้างไหมเนี้ย”

   ผมถามขึ้นในขณะที่ขับรถออกมาจากบ้านไอ้ไม้ในเวลาใกล้พลบค่ำ ซ้ำต้องเสียแรงยกจักรยานของไอ้เด็กเต่าขึ้นบนกระบะท้ายอีกต่างหาก แม่งแกล้งกูตลอดอะ ใครบอกเด็กไร้เดียงสา มันหาวิธีแกล้งคนอย่างกูได้ตลอดแหละทั้งทางตรงและทางอ้อม ไอ้ห่าเต่าเด็ก

   “… หนูกินเยอะกว่าพี่อีก” มันตอบขึ้นเบา ๆ แต่ไม่ได้สนใจกูไปมากกว่าตุ๊กตาเต่าล้มลุกที่วางอยู่หน้าคอนโซนรถ นั้นของเมียเก่าคนที่ 3 ของกูให้ไว้ก่อนทิ้งกูเพราะกูไม่ยอมแต่งงาน

   “ถึงว่าหน้าเป็นเต่า”

   “พี่ป๊อกก็เหมือนป๊อกกี้หมาที่โรงเรียนเหมือนกัน”

   “เดี๋ยวเถอะ!”

   “อย่ารังแกจุกนะ จุกฟ้องพี่โทนแน่!”

   “คิดว่ากูกลัวเหรอ”

   “ก็อย่าทำจุกสิ!”

   “กวนตีนกูก่อน”

   “จุกไม่ได้กวนตีน ก็พี่ป๊อกว่าจุกเป็นเต่าก่อน”

   “มึงเลยว่ากูเป็นหมางั้นดิ”

   “จุกไม่ได้ว่า จุกบอกว่าเหมือน”

   “โอ้ยยยยยยยยยย ยยยยยยยยย ยยยยยยยยยยย !!!! กูจะบ้าตาย!”

   “อย่าตายนะ จุกขอลงก่อน จุกไม่อยากตาย” กูหันไปทำตาขวางใส่ไอ้เด็กห่าที่จับสายคาดนิรภัยไว้แน่น จนกูเผลอหัวเราะออกมาและอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปยีหัวฟู ๆ มันเล่น หึหึ มันทำให้กูโมโหและก็ทำให้กูหัวเราะได้ในเวลาเดียวกันจริงๆ ไอ้เด็กเต่าเอ้ย!

   “พี่ป๊อกไม่ลงมากินข้าวเหรอ เย็นแล้วนะคงเวลาข้าวสุกพอดี”

   ไอ้จุกหันมาพูดตอนที่ถึงหน้าบ้านมันแล้ว และกูก็ทำตัวเป็นคนดียกจักรยานลงจากท้ายให้มันแล้วด้วย ผมส่ายหัว และไล่มันเข้าไปในบ้าน ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้สนใจ เดินอ้อมมาขึ้นรถฝังคนขับ หวังที่จะกลับไปทำงานต่อที่บ้านตัวเอง 

   

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

   เสียงเคาะกระจกฝั่งคนนั่งดังขึ้นผมที่กำลังจะออกรถหันไปมองก็เห็นมือเล็ก ๆ กำลังเคาะอยู่ที่ริมกระจกเกือบจะไม่เห็นอยู่แล้ว นี้ตัวมันเตี้ยขนาดนั้นเลยเหรอวะไอ้เต่าเนี้ย อดสงสารมันไม่ได้เลยต้องเปิดกระจกลงไปสุด ก่อนที่มือเล็กคู่เดิมจะจับอย่างมั่นคง แต่ออกแรงโยนตัวเองขึ้นมา หน้าแป้นแล้นของมันปรากฏอยู่ที่ตรงนั้น … มึงจะยิ้มให้โลกบันทึกไว้เลยหรือไงหน้าแป้นซะไอ้เต่าเอ้ย!

   “มีไร มาโหนรถกูแบบนี้เป็นรอยกูคิดเงินนะ”

   “ไม่เป็นรอยหรอกจ้ะ จุกแค่อยากจะขอบคุณเฉย ๆ ขอบคุณนะจ๊ะ”

   “เออ … อะนี้เอาไป”

   ผมรับคำก่อนจะเอื้อมตัวไปหยิบไอ้ตุ๊กตาเต่าที่มันจ้องตาเป็นมันโยนให้ มันปล่อยมือรับเอาไว้ ก่อนที่หน้าแป้นแล้นของมันจะหายไปจากสายตาผม ผมอดยิ้มกับท่าทีตลก ๆ ของมันและขับรถจากออกมา มองกระจกหลังเห็นไอ้จุกกำลังเข็นรถเข้าบ้านโบกมือให้ในมืออีกข้างถือตุ๊กตาเต่าเอาไว้ไม่ห่าง หึ … ดูเอาเถอะ เด็กมันก็ยังเป็นเด็กละนะ

   

   แล้วนี้กูเป็นอะไร ยิ้มอยู่ได้ หึหึ แต่มันตลกชะมัดหน้าตาของไอ้เต่าน่ะ





================================

สมพรปากพ่อโทนนะคะ ฮ่าๆๆๆๆๆ บวกลบคูณหาร อิพี่อายุห่างน้อง รอบนิดๆ อะคะ

1 คอมเม้นท์ 1 กำลังใจ ไม่มีแรงมาหลายวันแล้ว แงงงงงงงง #อากาศเปลี่ยนดูแลสุขภาพนะคะ  :hao7:

       

ออฟไลน์ Caramel Syrup

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-2

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เราเองก็ยิ้มไปกับนายเหมือนกันละป๊อก 55 คิดถึงงงงงป๊อกจุก ได้อ่านแล้ว รอๆตอนต่อไป ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อูยยย จำได้ว่าเคยอ่านเมื่อหลายปีมาแล้ว พ่อโทนน่ารัก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 20 พาพ่อโทนเข้ากรุง
                                                                              

    “ไอ้จุกไปไหน”

   ผมถามหาไอ้จุกเมื่อกลับมาไม่เห็นหัวเพราะปกติจะมีไอ้ลูกกรอกวิ่งป้วนเปี้ยนกวนประสาทข้าง ๆ ตามปกตินิสัยที่ชอบเอาอกเอาใจผมเสมอ บางครั้งก็มองผมเป็นพ่อ บางทีก็เป็นพี่ ตลอดจนเป็นเพื่อนมันเลยก็มี ส่วนไอ้ไม้ที่เนียนเข้ามาในบ้านจนได้ ผมเหลือบมองไอ้หน้าหล่อที่นั่งยิ้มกะล่อนอยู่ข้าง ๆ หลังจากที่มันโดดซ้อม โดดงาน เททุกอย่างไปเฝ้าผมที่โรงพยาบาล

   “มองอะไรนักหนา” ด้วยความหมั่นไส้เลยยันคางไปหนึ่งที ไอ้ไม้หน้าหงายหัวเราะร่า ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียงกระแอมของพ่อผมที่ท้าวคางยิ้มมุมปากอยู่หน้าต่างบนบ้าน อ่อ วันนี้เมียแกไปกรุงเทพนี้หว่า ตาลุงเลยต้องหง่อยอยู่บ้าน คนเดียวที่ไอ้ไม้เกรงกลัวยิ่งกว่าใครก็คือพ่อทายนี้แหละ

   “เยอะนะมึง จะกลับไปดี ๆ หรือจะให้กูไล่”

   “ปู่ครับ ที่บ้านปลายนามีผี” มันหยุดอึดใจเพราะคงนึกได้ว่ามุขผีพ่อผมคงไม่เชื่อก่อนจะอ้อนวอนต่อ “ผมขอนอนที่นี้นะครับ”

   “หึ อยู่มาได้ตั้งนาน วันนี้เสือกมีผีวันนี้ อย่าให้กูต้องพูดซ้ำนะไอ้ไม้”

   “เอาน่ะพ่อ ใจเย็น ๆ … ให้มันกินข้าวกินปลาก่อนแล้วค่อยกลับก็ได้” ผมรีบประนีประนอมเพราะยังไงก็ครอบครัวเดียวกันละนะ

   ตาลุงขี้หวงได้ทีก็ยักไหล่หันหลังเดินเข้าห้องไป ส่วนไอ้ไม้ก็หันมายิ้มกว้างให้ผมอย่างไร้เดียงสา หึ ดูยิ้มเข้าเถอะ น่ารักเหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด จะต่างก็ตรงที่ตัวโตเป็นควายและคิดไม่ซื่อกับพ่อมันนี้แหละ

   “หน้าฟินเชียวนะมึง” ผมปัดมือของไอ้พี่แสงที่โยกหัวผมอยู่นั้นแหละ คนนะไม่ใช่ตุ๊กตาล้มลุก แซวจบก็เดินไปช่วยพี่เมฆยกกระสอบทรายเก็บเข้าห้องเก็บของ เตรียมพักผ่อนเพราะในวันพรุ่งนี้ทั้งคู่ต้องไปขึ้นสังเวียนมวยกระชับมิตรระหว่างค่ายกันในอำเภอ

   “ไม่มีใครเห็นไอ้จุกเลยเหรอ” ผมบ่นกับตัวเอง ไอ้ไม้ที่เดินออกมาพร้อมขันน้ำที่มันแอบไปเด็ดดอกมะลิมาลอยไว้ สองสามดอกดูชื่นใจ ยื่นมาให้ผมตรงหน้า ผมก็ไม่ปฏิเสธเพราะคอแห้งเป็นผงอยู่นานแล้ว

   “ป่านนี้เจ้าจุกคงไปวิ่งเล่นอยู่ที่ไหน อีกสักพักคงกลับมาละมั่งครับ นี้แค่บ่าย 4 โมงเอง ถ้าเกิด 6 โมงเจ้าจุกยังไม่กลับเดี๋ยวไม้ไปตามให้นะครับ”

   “อื้อ จะคุยเรื่อง วันภาษาไทยของเจ้าจุกพรุ่งนี้น่ะสิ เห็นว่าให้ผู้ปกครองไป”

   “พรุ่งนี้พ่อโทนไปกรุงเทพไม่ใช่เหรอครับ เห็นว่ามีประชุมสัตวแพทย์ทั่วประเทศด่วนนี้ครับ”

   “นั้นน่ะสิ ใครจะไปให้เจ้าจุกละ ในเมื่อพ่อพาพี่แสงพี่เมฆไปชก กูก็ไม่อยู่ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเด็กมีปัญหานะ” ผมพึมพำทีเล่นทีจริงแต่ลึก ๆ ก็เป็นห่วง

   “หึหึ งั้นให้ผมไปให้ไหมครับ”

   “มึงไม่ไปกับกูเหรอ” ผมเลิกคิ้วถาม … คิดว่าจะไปด้วยกันซะอีก พอเห็นแบบนั้นไอ้ไม้ก็หัวเราะออกมา นั้นละผมถึงได้รู้ว่าพลาดมาก

   “จะว่าไปมึงไปกับไอ้จุกก็ดีนะ กูจะได้หมดห่วง”

   “ยังไงก็ได้ครับ” ผมคิ้วกระตุก … ไอ้เวรนี้กวนตีนนี้หว่า

   “หึ” ผมหันหน้าไปทางอื่นก่อนจะหลบเดินหลบเข้ามาทำกับข้าวในครัวแทน ทำต้มหัวปลาอาหารประจำชาติไอ้ไม้ ประชดแม่งเด็กอะไรโตมาด้วยต้มยำหัวปลา น่ารักเนอะ กูเนี้ยน่ารัก ส่วนไอ้ไม้อ่ะ น่ากระทืบ ฮึ้ม!

   “มึงมาไงเนี้ย”

   พอยกกับข้าวออกมาจากครัวได้ สิ่งแรกที่ขัดหูขัดตาผมก็คือไอ้ห่าป๊อกที่นั่งเสล่อคุยกับพ่อผมอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ไอ้ไม้เห็นผมเดินถือหม้อขนาดใหญ่มาก็รีบปรี่ทิ้งไม้กวาดมาช่วยผมถือทันที เจ้าจุกที่ผมตามหาตัวอยู่ยิ้มแป้นจะเข้ามาช่วยยกด้วย แต่ผมไล่ให้ไปยกกับข้าวกับปลาในครัว ที่มีอยู่อีกสามสี่อย่างโดยมีพี่เมฆเดินตามหลังไปด้วย

   “ก๊งเหล้ากันแต่หัวค่ำเลยนะ” ผมเดินเข้าไปนั่งยอง ๆ ลูบหัวไอ้สามทหารเรือที่ดาหน้ากันเข้ามาออดอ้อน ก่อนเงยหน้าขึ้นพูดกับมนุษย์เหล้า ที่ตั้งก๊งกันแต่หัววันนำทีมโดยพ่อทายไอ้ป๊อกและพี่แสง ข้าวปลายังไม่ทันจะได้กินเลยดูเอาเหอะ

   “มันเป็นสไตล์ไอ้น้อง กูอุตส่าห์พาลูกน้อยมึงมาส่ง เห็นมันเล่นอยู่ชายนากับเพื่อนตัวมอมแมม ไม่ยอมกลับบ้าน” มันพูดถึงไอ้จุกที่เดินเต๊าะแตะออกมาพร้อมกับข้าว พอรู้ว่าตัวเองโดนพาดพิงก็หันมามองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว แทรกตัวมานั่งเอาหัวซบไหล่ผม จิ้มพุงเจ้ามะเขือที่นอนแผ่หลาให้เล่นอยู่ตรงหน้า

   “ไง เล่นเหนื่อยละสิ เหงื่อเต็มหัวขนาดนี้” ผมเอามือขยี้หัวไอ้จุกที่ตอนนี้มีแต่เหงื่อเต็มไปหมด มันก็ซนภาษาเด็กละเห็นหงิม ๆ แบบนี้แม่งเล่นได้ก็เล่นไม่ลืมหูลืมตาเหมือนกัน

   วันก่อนกูแทบช็อกไปตามมันกลับบ้านเห็นมันลอยตัวอยู่คว่ำหน้าอยู่กลางน้ำคนเดียว กูก็ทิ้งจักรยานวิ่งถลาลงไปทั้ง ๆ เสื้อกาวน์ โคลนเอยตมเอยเกาะเต็มหัวกูไปหมด สรุปแม่ง พุ่งพรวดขึ้นมาก่อนที่กูจะเข้าไปถึงตัวทำหน้าเอ๋อและบอกกูว่า มันกำลังดำน้ำดูปลาแต่ไม่เห็นอะไรเพราะน้ำขุ่น … ไอ้สาด โทรศัพท์ที่เพิ่งซื้อมาของกูน้ำเข้าต้องเอาไปซ่อมเสียเป็นพัน เพราะลงไปดำน้ำดูปลากับไอ้ห่าเด็กเวร พอกูจะโกรธก็โกรธไม่ลงเพราะหน้าตาบ๊องแบ๊วของมัน … ดูรักเด็กนะ จะบอกกูจิตใจดีก็ได้ อิอิ

   “ไม่จ้ะ วันนี้โจ้พาไปเล่นกับพี่สวยมา”

   “พี่สวย?”

   “ควายบ้านของโจ้จ้ะ พี่สวยมีลูกด้วย ตัวนิดเดียวเองน่ารักมาก แถมพี่สวยยังไม่กลัวคนด้วยให้จุกขึ้นไปขี่ด้วย”

   “ดีไม่ตกมาหัวแตกตาย”

   “ไม่หรอกจ้ะ” มันทำหน้าเอ๋อใส่ … ไอ้จุกกับไอ้ไม้เหมือนกันอยู่อย่างคือชอบตีมึนใส่ แต่ไอ้จุกมันมึนจริงไอ้ไม้อะกะล่อน

   “เออ ๆ ไปล้างมือล้างหน้าล้างตาและมากินข้าวซะ” ผมบอกไอ้จุก ”แดกข้าวฟรีสินะมึงน่ะ” ก่อนหันมาหาไอ้เพื่อนสนิทที่กำลังคุยกับพ่อผมอยู่อย่างคนคอเดียวกัน

   “ถะ ถูกต้องนะคร้าบ มึงนี้รู้ใจกูตลอด”

   “หางมึงเก็บไม่มิดอยู่แล้วนี้หว่า” ผมแกล้งพูดหยอก

   ไอ้ป๊อกพยักหน้ารับหัวเราะแบบที่ไม่ว่าจะกี่ปีก็ไม่เปลี่ยน กวนตีนเหมือนเดิม  สักพักกับข้าวกับปลาก็ถูกยกมาตั้งเกือบเต็มแคร่แต่มีแค่ผม เจ้าจุก และเจ้าไม้ที่นั่งล้อมวงกินข้าว ส่วนคนจะกินเหล้า ผมให้ไปกินที่อื่นเพราะไอ้จุกนั่งตาปริบ ๆ อยู่ ผมไม่อยากให้ไอ้เด็กที่อยู่ในวัยลอกเลียนแบบต้องเลียนแบบตัวอย่างที่ไม่ดี ถึงจะรู้ว่าเจ้านี้มันฉลาดและแยกแยะได้ แต่ก็ไม่สมควรอยู่ดีนั้นละ

   “พ่อโทนฮะ ทานข้าวสิครับค่อยเล่นโทรศัพท์ที่หลังก็ได้นะ”

   “กูไม่ได้เล่นโทรศัพท์กูเล่นไลน์” ผมคาบช้อนพูดอู้อี้ตอบไอ้ไม้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ น่าเบื่ออะ บ่นเป็นตาแก่เลย

   “ไหนบอกจะไม่ให้เจ้าจุกเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีไงครับ” ผมชะงักเหลือบไปมองไอ้ไม้และมองไปที่เจ้าจุกที่นั่งเคี้ยวข้าวตุ้ยมองผมตาแป๋ว ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงข้างตัวเอาช้อนออกจากปากก่อนจะกินข้าวต่อ

    ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องต้องคุยกับไอ้จุกเรื่องวันภาษาไทยนี้แหละ ผมว่าจะให้ไอ้ไม้นี้แหละไป … หึ เมื่อกี้ที่งอนผมแค่หยอกเท่านั้นเองความจริงก็ผู้ใหญ่กันหมดแล้ว อีกอย่างผมไปกรุงเทพจนชินแล้วไปก็นักเจอกับไอ้เกื้อที่งานอยู่ดีนั้นละ ผมไม่งอแงหรอกน่า อีกอย่างผมกับไอ้ไม้ก็เป็นพ่อลูกกันนี้หว่า … ทำไมมองผมแบบนั้นละทุกคน พ่อลูกกันจริงจริ๊งง งงงหงง

   “ไอ้จุก พรุ่งนี้ให้ไอ้ไม้ไปแทนข้านะ”

   “เอ๊ะ … จ้ะ” เจ้าจุกเงยหน้าขึ้นมาอย่างสงสัยก่อนจะก้มหลบสายตาไปอย่างผิดหวังแต่ก็ไม่งอแงเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ที่เวลาโดนขัดใจจะโวยวาย ถ้าเป็นผมตอนเด็ก ๆ นี้ บ้าน 8 บ้าน ก็เก็บเสียงผมไม่อยู่หรอก

   “พรุ่งนี้ข้าไปกรุงเทพ ปู่เอ็งก็พาพี่แสงพี่เมฆไปขึ้นเวที”

   “จ้ะ … จุกเข้าใจ แต่พี่โทนไปคนเดียวหรอจ๊ะ”

   “เออ แต่นัดเจอไอ้เกื้อที่งาน”

   “แต่พี่โทนขับรถไม่เป็นนะ … วันก่อนขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งจุก ยังเกือบหล่นคันนาแหนะ”

   เอ๊า ไอ้ห่านี้เล่นแฉกูต่อหน้าไอ้ไม้แบบนี้ ไอ้ไม้ก็ขำแย่ดิ ผมหันไปจิ้มกบาลไอ้เด็กโข่งหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้เพราะมันลั่นขำจนหน้าแดง ก่อนจะหันมากัดฟันมองไอ้เด็กหน้าอึนที่จ้องผมอย่างไม่รู้เดียงสา ไม่รู้มันไร้เดียงสาจริงหรืออะไร แต่เหมือนจะแกล้งกูนิด ๆ ด้วยนะ

   “ข้าก็นั่งรถทัวร์ไปสิวะ”

   “อันตรายนะจ๊ะ ล่าสุดหน้าหมู่บ้านเราก็มีรถทัวร์แหกโค้งไป โจ้บอกจุกมา” น่ะ มีขู่กูอีก

   “โม้อะดิ ข้าไม่เห็นได้ข่าว พูดแบบนี้คือจะไม่ให้ไอ้ไม้ไปหรือไง”

   “หนูอยากให้พี่ไม้ไปกับพี่โทนมากกว่า”

   “แล้วเอ็งละ”

   “จุกไม่เป็นไร” ไอ้จุกยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงไปกินข้าวต่ออีก ผมกัดปากมองไปที่ไอ้ไม้ที่มองอยู่ก่อนแล้ว และเห็นรอยยิ้มเด็กน้อยของมันทำให้ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   มองซ้ายมองขวาสุดท้ายก็หันไปเห็นไอ้ป๊อกกำลังเดินตรงมาหาผม พร้อมกับชามแกง ก่อนมาหยุดหน้าหม้อและลงมือจับกระบวย คน ๆ ในหม้อต้มก่อนจะตักเอาเนื้อปลาไปหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยักคิ้วให้ผมที่นั่งจ้องมันอยู่ก่อนแล้วหันหลังเดินกลับไป

   “เดี๋ยว!”

   “โอ้ย ไอ้โทน!!! ไอ้เชี้ยเดี๋ยวแกงหก”ผมวิ่งไปล็อกคอมันจากด้านหลังทำให้มันแทบหงายท้องแต่นับว่าประสาทมันยังดีนะ สามารถประคองชามต้มหัวปลาได้ไม่หล่นพื้น … เห็นแก่กินจริงๆ

   “พรุ่งนี้มึงว่างไหม?”

   “กูนัดน้องลูกจันทร์ อะ โอ้ย เออว่าง ๆ แต่ช่วงบ่ายนะ โอ้ยยยยย ปล่อยได้แล้ว” ผมปล่อยแขนที่ ล็อกคอมันไว้พอขาผมสัมผัสกับพื้นได้ไอ้ป๊อกก็บิดเอวที่เอนของมันให้กลับที่ดังก๊อก ก่อนจะหันมาขมวดคิ้วทำหน้ายักษ์ใส่ผม

   “จะเอาอะไรอีกละ” ผมยักไหล่ก่อนจะชี้ไปที่ไอ้จุกที่นั่งตาปริบ ๆ อยู่บนแคร่

   “พรุ่งนี้มึงไปงานวันภาษาไทยของไอ้จุกด้วย”

   “ฮะ! กูเนี้ยนะ” มันชี้ไปที่ตัวเอง คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันคิดจะทำในโลกแล้วละครับ

   “มึงนี้แหละ หัดทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง”

   “แต่กูไม่เคยนะ”

   “ไม่เคยก็ต้องทำ เพราะพวกกูไม่ว่าง” ผมเท้าเอวบอกมันทีละคำเน้น ๆ

   “เออ ๆ ไปก็ไป” มันบอกปัด “มึงก็ไม่ต้องทำตาปริบแบบนั้นหรอกไอ้เต่า” ก่อนจะหันไปด่าไอ้จุก … เต่า เต่าพ่อมึงดินี้ไอ้จุก จำชื่อผิดแล้วไอ้บ้าเอ้ย!

   “ดีมาก ไว้กูทำข้าวให้กินตอบแทน” ไอ้ป๊อกย่นหน้าก่อนจะเดินกลับไปที่วงเหล้าต่อ … ผมก็หันมานั่งกินข้าวได้อย่างสบายใจเหมือนเดิม ดีเหมือนกันฝากไอ้จุกไว้กับไอ้ป๊อกที่ไว้ใจได้พอสมควรแล้วก็มีคนขับรถให้ผมด้วย หึหึ สบายไปอีก

.

.

.

   “ปู่ครับ พรุ่งนี้ผมต้องไปส่งพ่อโทนที่กรุงเทพแต่เช้า คืนนี้ผมขอนอนกับพ่อโทนนะครับ” เสียงห้าว ๆดังขึ้นจากลานชกมวยแลนส์มาร์ควงเหล้า ดังเข้ามาถึงในห้องครัวที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ผมที่กำลังล้างจานอยู่ปิดน้ำและเงี้ยหูฟังทันที พนันกันสิว่าไอ้เด็กกะล่อนจะมีการเกลี้ยกลอม พ่อผมยังไง หึหึ

   “แล้วใครบอกให้มึงไปกับมัน”

   “โธ่ปู่ครับ ถ้าพ่อโทนไปคนเดียวอันตรายนะครับ รถทัวร์ก็อันตราย กว่าจะเจอน้าเกื้ออีก ถ้าพ่อโทนเป็นอะไรไปปู่ทายและผมคงจะเสียใจ” อดอมยิ้มกับดราม่าของมันไม่ได้จริง ๆ กับคนอื่นอาจจะไม่มีใครได้เห็นมุมแบบนี้ ตราบใดที่ข้างกายของไอ้ไม้ไม่มีผมหรือไม่ได้เหยียบเข้าเขตบ้านมวยแห่งนี้

   “มันก็ไปของมันมาได้ตั้งหลายปี ไม่เห็นมีอันตรายอะไร”

   “แต่อันตรายไม่เข้าใครออกใครนะครับ วันนั้นไม่เกิด วันนี้อาจจะเกิดก็ได้” อะ ไอ้เวรแช่งกูอีก

   “หึ … หลายปีที่มึงไปเคยคิดแบบนี้ไหม” สิ้นสุดเสียงของพ่อทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบ ผมเม้มปากและไม่อยากจะสนใจอะไรอีก เปิดน้ำให้เสียงดังเข้าไปลงมือล้างจานต่อไปเพียงลำพัง

   จนแล้วจนรอด ไอ้นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงขี้ประจบสอพลอ ก็มานั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ในห้องนอนของผม ที่นอนผืนเดิมถูกปูด้านล่างเตียงของผมที่ถูกจัดเปลี่ยนผ้าปูปลอกหมอนดูนุ่มนิ่มน่านอน มุ้งสีขาวสะอาดถูกกางไว้อย่างเรียบร้อย ผมเดินไปนั่งเช็ดผมที่เปียกจากการสระที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ อันเป็นเฟอร์นิเจอร์ใหม่เพราะผมต้องใช้ทำงาน หันหลังให้ไอ้เด็กผีที่นั่งอยู่ในมุ้ง

   “ผมเช็ดให้นะครับ พ่อโทนจะได้นอนไว ๆ ” ผมไม่ขัดศรัทธาปล่อยให้ไอ้ไม้ที่ย่องมาด้านหลังเช็ดผมให้ ส่วนตัวเองก็เปิดคอมเล่นเงียบ ๆ

   “ผมขอโทษนะครับพ่อโทน”

   “เรื่อง ?” ผมถามกลับ

   “ทุกเรื่องที่ทำให้พ่อโทนเสียใจ” เพียงแค่มันพูด ใจผมก็กระตุกวูบแล้ว ทรมานฉิบหายช่วงเวลาที่ผมผ่านมา … พอคิดถึงอนาคตที่ไม่มีมันแล้ว ก็เจ็บแสบมากกว่า จนอยากจะร้องไห้ออกมาซะตรงนี้

   “ถ้ามึงกล้าทำอีกก็ลองดู” ผมกัดฟันพูด หันไปโน้มคอมันลงมาขบหัวมันเล่น แง๊ม หูมึงนี้ยังจำเป็นอยู่ไหม!!!!   

   “อ๊ากกกก หูขาดแล้ว” มันโวยวายแต่ไม่ผลักผมออกกลับกอดผมแน่นเข้าไปอีก ขาดอะไรกูงับไว้เบา ๆ หึ สำออย กระล่อน!

   “เวอร์!” ผมตะโกนใส่หูมันก่อนผลักอกมันออกห่าง แต่ดูเหมือนจะติดกับแล้ว เพราะมันกอดผมไว้ซะแน่น 

    “เชื่อผมอีกสักครั้งนะครับ” มันกระซิบก่อนผละผมออกและมองเข้าไปในดวงตาของกันและกัน “ตอนนี้ไม้มั่นคงแล้ว มีอำนาจพอแล้ว ผมจะปกป้องทุกคน และจะไม่ไปไหนไกลจากพ่อโทนแก้วตาดวงใจของผมอีกแล้วครับ” 

   ผมไม่พูดอะไรต่อเพียงแต่อิงกายลงที่อกหนาและปล่อยให้ไอ้ไม้เช็ดผมอยู่อย่างงั้นผ่อนคลายสายตาที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ก็ได้ … ผมเชื่อ … และจะไม่เสียใจ … ต่อให้ถ้อยคำที่ออกมาจะเป็นเรื่องที่โกหกทั้งเพก็ตาม

   

-ไม้-

           พ่อโทนหลับแล้ว ใบหน้ายามนอนของเขาดูไร้เดียงสาไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ ปากนิดจมูกหน่อย แก้มเนียน แดงระรื้นทุกครั้งที่ดีใจ เสียใจ เขินอาย หรือว่าดุผม ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ ผมดีใจจริงที่จะได้มีโอกาสอยู่กับพ่อโทน 1 วัน 1 คืนตอนไปกรุงเทพ ในระหว่างที่พ่อโทนทำงาน ผมเองก็จะต้องแวะเข้าบริษัทเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยด้วยเหมือนกัน เห็น ปราณ เลขาของผม หลานของ ลุงปรเมศ อดีตคนสนิทของแม่ดอกอ้อ ผู้ดูแลบริษัทก่อนที่จะถูกหุบไปก่อนหน้านี้

   ผ่านการแย่งชิงสารพัดสารเพ ก่อนที่จะตกมาเป็นของผมทายาทที่แท้จริงโดยสมบูรณ์แบบ บอกว่ามีปัญหาด้านบัญชีนิดหน่อย และดูเหมือนข่าวคร่าวที่ผมยังมีชีวิตอยู่และกลับมาที่เมืองไทย จะแพร่กระจายไปถึงหูพวกคนเลวแล้ว ก็ว่าจะแวะไปหาสักหน่อยเหมือนกัน

ครืดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดด

           “อื้อออ”

           “ชู่ว์ หลับนะครับ”

   ผมกดตัดสายทิ้ง ก่อนจะวางไว้ที่หัวเตียงนอนเหมือนเดิม ไม่ได้สนใจไปมากกว่าคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมอกของผม …ไม้จะไม่ไปไหนอีกแล้วครับที่รัก 

.

.

.

-วันใหม่ เวลา 05.30 น-

           “นั่งนิ่ง ๆ นะครับ”

   ผมลูบหลังปลอบประโลมพ่อโทนที่นั่งสัปหงกที่หน้าบ้านในเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงสแล็คดูเรียบร้อย ในมือกอดเสื้อสูทสีขาวไม่ห่าง เพราะบรรยากาศในชนบทยังสงบสุขและมืดสนิทในเช้ามืด ทำให้พ่อโทนลืมตาไม่ขึ้น ผมเลยต้องทำทุกอย่างแทนเสียหมด น่าเสียดายที่พ่อโทนรู้ทันไม่ยอมให้ผมอาบน้ำให้ หึหึ ต้องออกกันเช้าหน่อยครับ เนื่องจากพ่อโทนมีประชุมช่วงห้าโมงเย็นครับ เป็นการสัมมนา 2 วัน 1 คืน

           “ง่วงแล้ว ไม่ไปได้ไหม” เขางอแง

           “ไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ” ผมถามกลับนึกขำคนตาปรืออย่างเอ็นดู

           “อือ ไม่ได้หรอก แต่ไม่อยากไปแล้ว วันนี้อากาศดี”

    พ่อโทนไม่พูดเปล่ายังย่นหน้าจนเนื้อแก้มออกเป็นปล่อง ก่อนจะอ้าแขนให้ผมทั้งสองข้าง ผมยิ้มกว้างอุ้มเขาไว้เหมือนเด็กตัวน้อยที่เกาะคอผมไว้เหมือนลูกลิง กระเตงกันมาที่รถกระบะที่ปู่ทายอนุญาตให้เอาไปใช้ได้ ปรับเอนเบาะบรรจงวางสุดที่รักของผมและเอาเสื้อสูทของเขาคลุมทับให้อีกที ก่อนที่ตาโต ๆ ของเขาจะพริ้มหลับไปอีกครั้งอย่างง่ายดาย อดไม่ได้ที่ยิ้มให้กับใบหน้าไร้เดียงสานั้นก่อนจะก้มลงไปจูบหน้าผากมน เดินอ้อมมาอีกข้าง โยนกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ด้านหลัง เพื่อพาพ่อโทนไปส่งยังจุดหมาย

.

.

.

   “หิวแล้ว”

   ขับออกมาจากบ้านได้ประมาน 3 ชั่วโมง พ่อโทนก็ตื่นขึ้นมานั่งหน้ามุ่ย ท้องร้องจ๊อก ๆ รู้เลยว่าที่ตื่นไม่ใช่เพราะหายง่วงแต่หิว ผมเองก็ลืมนึกไปว่าพ่อโทนเป็นคนที่ติดกินข้าวเช้ามาก ถ้าไม่ได้กินจะงอแงและโวยวาย หึหึ ไม่ว่าจะกี่ปีก็ไม่เคยเปลี่ยนจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้แวะซื้อที่ตลาดมาเลย

   “อีก 10 นาทีจะถึงปั๊มนะครับ”

   “หิวแล้ว สายแล้ว ทำไมไม่เอาข้าวจากบ้านมา อุตส่าห์เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแท้ ๆ”

   “ขอโทษนะครับ”

   “ชิ” พ่อโทนมุ่ยหน้ากอดอกหันไปนอนลงที่เบาะหันหลังให้ผมอย่างงอน ๆ หึหึ เหมือนเด็กน้อยเลย สรุปผมหรือเขากันแน่ที่เป็นเด็กตัวน้อยน่ะ

   “มีข้าวเหนียวไก่ด้วย”

   พอถึงปั๊มได้ สิ่งแรกที่พ่อโทนเห็นไม่ใช่ของในร้ายสะดวกซื้อแต่เป็นร้านไก่ย่างที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับห้องน้ำ เครื่องยังไม่ทันที่จะดับดี พ่อโทนก็วิ่งลงจากรถไปยืนหน้าแป้นอยู่หน้าร้านขายไก่ย่างแล้ว ผมจอดรถเสร็จสรรพก็เดินเข้าร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ ๆ เลือกซื้อขนมของกินจุกจิกกับน้ำ หวังให้เขาอารมณ์ดีตลอดเส้นทาง

   “ได้ซื้อป๊อกกี้รสบูลเบอรี่มาให้กูไหม” ออกจากร้านสะดวกซื้อมาได้คนแก้มใสเขลอะไปด้วยน้ำมันจากไก่ที่อยู่ในมือก็ถามผมถึงของกินทันที ผมยิ้มก่อนจะชูถุงให้ดูว่าในนั้นมีขนมทุกอย่างที่พ่อโทนชอบ เขาทำท่าพอใจและเดินนำผมขึ้นมานั่งบนรถก่อนแล้ว

   “กินก่อนสิ ค่อยขับรถต่อ” 

   “จะไม่ทันเอานะครับ” ผมหันไปยิ้มและสตาร์ทเครื่องจะหักพวกมาลัยเพื่อเดินทางต่อ แต่พ่อโทนจับมือผมเอาไว้และพูดด้วยน้ำเสียงเชิงดุนิด ๆ แต่ผมมองว่าน่ารักน่ะนะ

   “แปปเดียวเท่านั้นแหละ”

   “งั้นเอางี้ไหมครับ พ่อโทนก็ป้อนผมและผมก็ขับรถ เราแบ่งหน้าที่กันดีไหม” ผมยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มใสที่เลอะไปด้วยมันของไก่ยางและใช่ลิ้นเลียอย่างหยอกล้อ ถึงมันจะเป็นแค่มันไก่แต่มันหอมหวานมาก ๆ

เพี๊ยะ!

           “ทะลึ่ง ขับไปเลย!”

   โดนไปหนึ่งดอกเน้น ๆ กลางกระหม่อม ผมเลยทำได้แค่ขับรถออกมาตามคำสั่ง แต่ยังไม่ทันที่จะน้อยใจ เนื้อไก่พร้อมข้าวเหนียวก็เสริฟมาถึงปากของผม เหลือบไปมองก็เห็นพ่อโทนเคี้ยวข้าวเหนียวอยู่จนแก้มป่อง หน้างี้แดงขึ้นไปถึงหู หึหึ พ่อโทนยังไงก็คือพ่อโทน น่ารักยังไงก็น่ารักแบบนั้นไม่เคยเปลี่ยน

   “กินไปดิ จะได้ไม่ต้องมานั่งน้อยใจ น่ารำคาญ”

   “ปากไม่ตรงกับใจเลยนะครับ”

   “เอ๊ะ! งั้นไม่ต้องแดก”

   “ขอโทษครับ” ผมพูดและยื้อมือพ่อโทนเอาให้งับเข้าที่ข้าวเหนียวไก่ในมือของพ่อโทน … อร่อยมาก อร่อยยิ่งกว่าอาหารมื้อหรูในภัตตาคารระดับ 5 ดาว ซะอีก

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4

.

.

.

   บ่าย 2 กว่า เราสองคนถึงโรงแรมที่พัก กลางเมืองกรุงเทพมหานคร น้าเกื้อเองก็นั่งรออยู่ที่ล็อบบี้อยู่แล้วพร้อมกับเพื่อนหมอของพ่อโทนที่ผมจำชื่อไม่ได้ ได้แต่ยกมือไหว้และยืนนิ่งทำตัวเป็นเด็กดียืนอยู่ด้านหลังพ่อโทนอย่างสำรวม

   พ่อโทนคุยกับพวกเพื่อนอีกไม่เกิน 5 นาที ก็ปลีกตัวออกมาและพาผมขึ้นมาบนห้องชั้น 25 ของโรงแรม เมื่อเปิดได้พ่อโทนก็พุ่งหาโซฟาในห้องรับแขกหรู ด้านหน้ามีเฟอร์นิเจอร์ความบันเทิงครบครัน ภายในมีห้องแยกอยู่อีกสองห้องและห้องครัวขนาดใหญ่อยู่อีกด้านขวามือ นี้ในแต่ละครั้งที่พ่อโทนมากรุงเทพต้องมาอยู่ในห้องกว้าง ๆ นี้เพียงลำพังงั้นเหรอ

   “งานจะเริ่มตอน 5 โมงนะ กูจะนอนต่ออีกหน่อย”

   “ครับ พักผ่อนนะครับ” ผมว่าและนั่งลงข้าง ๆ เขา พ่อโทนยกหัวขึ้นและหนุนตักผมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตากลมนั้นกลับจ้องมองมาที่ผมที่ก้มลงไปมองเขาอย่างไม่หลบสายตา แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยแต่ไร้เดียงสา

    “กูกลัวทุกครั้งที่ตื่นเลยนะไอ้ไม้ กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่เจอมึงอีก กลัวมึงจะหนีกูไปอีก” เขากลั้นใจก่อนจะพูดต่อ “กูจะไม่ถามมึงอีกแล้ว และจะไม่รั้งถ้าหากมึงจะไป แต่ถ้ามึงจะไปไหนก็บอกกูมาตามตรงก็พอ”

   ผมยิ้มกับแก้มแดงที่หนุนตักผมอยู่ คว้ามือที่ลูบไปตามโครงหน้าของผมเอาไว้แต่หอมมือข้างนั้นจับให้อังแก้มตัวเองเอาไว้ ก่อนจะก้มลงไปบรรจงจูบอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระรื้นตรงหน้า น่าแปลกที่พ่อโทนไม่โวยวายหรือดื้อดึงเหมือนที่คาดเอาไว้

   “ถ้าไม่ห้ามผมตอนนี้ ผมจะไม่หยุดแล้วนะครับ”

   เสียงลมหายใจที่คลอเคลียกันอยู่ห่างยังดังไม่เป็นจังหวะปลุกเร้าอารมณ์ที่เก็บกดมานานของผมให้หลงระเริงจนแทบจะระเบิดออกมา จะเป็นใครไม่ได้ … ไม่ได้เลยจริง ๆ สำหรับผม ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายที่ไหน ก็น่ารักสู้พ่อโทนของผมไม่ได้สักคนเดียว

   “…”

   เขาไม่พูดอะไรเพียงแต่ใช้มือลูบไปตามโครงหน้าและวางบนไหล่ของผมนิ่ง ดวงตาใสนั้นมีน้ำตาที่คลอหน่วย ริมฝีปากเม้นแน่นแก้มแดงระรื้นอย่างน่ารักน่าชัง ผมยิ้มให้เขาก่อนจะค่อยๆอุ้มพ่อโทนขึ้นมาแนบอกในท่าเจ้าหญิงไปที่ห้องนอนใหญ่ที่อยู่ทางขวามือ ผมไม่ได้สนใจองค์ประกอบใด ๆ นอกจากจะบรรจงวางร่างสุดที่รักของผมไว้บนเตียงสีขาวสะอาด

   ก่อนจะยืดตัวยืนขึ้นเต็มสัดส่วน คลายเนคไทออกมองสำรวจกายขาวที่อยู่ในชุดที่หลุดลุ่ยอย่างล่อแหล่มตรงหน้าอย่างเคลิบเคลิ้ม เมื่อเห็นว่าผมจ้องมองก็เตรียมจะดึงผ้ามาคลุมและวิ่งหนี แต่ผมไม่ยอมปล่อยอีกแล้วคล่องลงไปสกัดกั้นไม่ให้เขาหนีผมไปไหนอีก

   ผมไม่อยากเป็นลูกพ่อโทนแล้ว … ผมต้องการในสิ่งที่มากกว่านั้น อยากจะพันธนาการเขาเอาไว้แนบกาย ปกป้องดูแลให้พ้นจากภัยอันตราย จากนี้ไปต่อให้ปู่ทายจะฆ่าผม ผมก็จะยอมให้เขาฆ่า แต่ผมจะไม่ยอมตาย … เพราะคนที่ผมรัก เขายอมที่จะเชื่อใจผมแต่จับมือคู่นี้เพื่อก้าวผ่านกำแพงหนาของเราสองคนนี้ไป …

ผลั๊ก!!!

           แรงอะไรสักอย่างกระแทกเข้าที่ห้องของผมและมันแรงพอจะทำให้ผมจุกกลิ้งตกเตียงไป เสียงตุ๊บตั๊บๆดังขึ้นบนเตียงไม่นานพ่อโทนก็กระโดดข้ามผมเข้าห้องน้ำไป ไม่สนไอ้ไม้ที่จุกแอ้ที่ตะโกนเรียกเขาอยู่แม้แต่น้อย … ปิศาจ ปิศาจชัดๆ

           กว่าจะหายจุกและตั้งตัวได้ ก็เกือบ 5 นาที ผมเดินไปที่ประตูห้องน้ำและลองบิดลูกบิดดูปรากฏว่ามันล็อกตามที่คาดเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ไม่ใช่เพราะเอือมระอาหรือว่าผิดหวังอะไร ผมแค่เสียดายโอกาสที่ดีขนาดนี้ แต่ก็เอาเถอะ ยังมีเวลาอีกทั้งชีวิตละนะ

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก



           “พ่อโทนครับ ออกมาเถอะครับ”

   “ไม่ มึงหื่น” เขาตอบกลับมา

   “ผมไม่ทำอะไรแล้วครับ ออกมามานะครับ”

   “…”

แกร๊ก …



           เสียงช่วงอึดใจประตูห้องน้ำถูกเปิดออก พ่อโทนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของผมใส่เสื้อผ้าแล้วเรียบร้อยตัวสั่น ไม่กล้าสบตาที่จ้องมองเขาอยู่ พอเห็นสภาพเขาแล้วใจผมก็อ่อนฮวบ ถลาเข้าไปกอดเขาเอาไว้ ร่างกายของพ่อโทนสะดุ้งและสั่นเคลิ้มเข้าไปอีก เมื่อกี้ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไปบ้าง แต่ ณ ตอนนี้ ปากของพ่อโทนเจ่อแดง คอบริเวณไหปลาร้าของเขาแดงเป็นปื้น กลัวว่าจะเขียวหรือช้ำ แขนทั้งสองข้างก็เช่นกัน … ช่วงที่ผมขาดสติไปผมทำอะไรไปบ้าง ผมไม่รู้ตัว สมควรแล้วที่โดนบาทาของเขาสั่งสอน

           “ขะ ขอโทษนะครับ ขอโทษ”

           “ไม่เอาแบบนี้ มันเจ็บ ฮึก มึงทำแรงมาก เรียกก็ไม่รู้ตัว กูเจ็บ ฮึก” เขาสะอื้นอยู่ในอกอย่างน่าสงสาร

   “ครับ ผมผิดเอง ผมขอโทษจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”

   “สัญญานะ”

   นิ้วก้อยเล็กถูกยกขึ้นมา ผมจูบที่นิ้วก้อยนั้นอย่างแผ่วเบา สัญญาสิครับ ไม่ว่าพ่อโทนอยากได้อะไรไอ้ไม้ก็จะหามาให้ต้องการอะไร จะเอาแต่ใจแค่ไหน ไม่ว่าจะในฐานะนายน้อยหรือไอ้ไม้ ยังไงมันก็คือทาสของพ่อโทน คนที่ผมรักจนแทบคลั่ง

.

.

.

           “ไหนว่ามันตายห่ากันไปหมดแล้วไง แล้วนี้อะไร!”

   เสียงผรุสวาทของหญิงสาวดังขึ้นลั่นห้องรับแขกในคฤหาสน์หรูกลางกรุง ตามด้วยเสียงกระแทกแฟ้มลงบนพื้น นั้นไม่ได้ทำให้ร่างสันทัดที่นั่งเอนกายพิงกับพนักโซฟาสีดำนั้นสะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย ชุดสูทสีดำสนิทสวมทับเสื้อเชิ๊ตสีแดง ชายวัยกลางคนใบหน้าเจ้าเล่ห์เลิกคิ้วสูง ไม่ได้สนใจกับท่าทางโมโหโกรธาของคู่สนทนาแต่อย่างใด

   “แกตอบฉันมาสิ ไอ้ธีร์ ทำไมมันยังเสนอหน้าได้อยู่”

   “จะไปรู้หรือ!”

   ธีร์ หรือ คุณชายธีรภัทร ผู้ช้ำชองด้านสุรานารี เพลบอยอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย อำนาจล้มมือเพราะธุรกิจอาบอบนวด ที่เฟื้องฟูแต่เงินที่ได้มานั้นล้วนมาจากการโกงและเปื้อนเลือดของตระกูล อริณมณี ถ้าเทียบกันด้วยศักดิ์ เขาก็คือน้องชายของคุณหญิงดอกอ้อ แต่ด้วยเหตุผลบางประการและความไม่พอในทรัพย์สมบัติ ทำให้เขาต้องฆ่าและแย่งชิง และถึงแม้เรื่องราวจะผ่านมาหลายปี แต่ก็ยังมีเสี้ยนหนามคอยตำอยู่ไม่ยอมไปไหน ไม่ว่าจะสั่งเก็บเท่าไหร่ ไอ้เด็กที่เปรียบเสมือนมารคอหอยของเขาก็มักจะรอดไปได้ทุกครั้ง

   เสียงตะคอกของธีรภัทร ทำให้ หญิงวัยกลางคนผงะนิด ๆ เธออยู่ ในชุดสีขาวลายลูกไม้ สวมผ้าถุงลายไทยที่ถัดทอขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงด้านบนรัดเกล้าและมีปิ่นปักผมสีแดงอร่ามติดอยู่เสริมสง่าราศี เธอเป็นคนสวย แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความริษยาแตกต่างกับการแต่งตัวที่ดูเรียบร้อยอย่างสิ้นเชิง  ถ้าตามพาดหัวข่าวในหน้าสังคมคุณหญิงคุณนายที่เธอมักปรากฏกายอยู่ในงาน อัญมณี เครื่องเพชร หรืองานรวมเซเลปคนดัง ในชื่อ คุณหญิง นริศา ภรรยาแสนรักของคุณชายธีรภัทร แต่นั้นแค่ เบื้องหน้า เบื้องหลังทั้งคู่ก็แค่คู่ธุรกิจที่พร้อมจะร่วมมือเมื่อมีผลประโยชน์ ไม่ได้หมายถึงแค่งาน แต่เป็นหน้าตาทางสังคมก็ด้วย 

   “อย่าโวยวายจะได้ไหมสา สายของฉันรายงานมาว่า ตอนนี้ไอ้เด็กนั้นมันอยู่ที่กรุงเทพ … ไม่เกินคืนนี้มันต้องตาย” ใบหน้าทมึงตึงของหญิงสาวเริ่มคลายลง ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงห้ามและยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ มองไปที่ธีร์พร้อมกับเบ้ปากพึมพัมออกมาอย่างดูถูกดูแคลน แต่ธีรภัทรก็ไม่ได้เห็นค่าคำพูดของผู้หญิงคนนี้ไปมากกว่าเศษขยะ ที่ไม่จำเป็นต้องสนใจ

   “ต่อให้มันมี 9 ชีวิต คืนนี้มันก็ต้องตาย”

   เขาพูดต่อพร้อมกับแสยะยิ้มออกมาอย่างเย้อหยิ่ง ดวงตาลุกโชนไปด้วยแผนการดั่งหมาป่าที่หิวกระหายเหยื่อที่เฝ้าติดตามมาแสนนาน … ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าตอนนี้บริษัทของอริณมณีเติบโตแค่ไหน แต่แค่จะดูว่าจะไปได้อีกสักกี่น้ำ และเจ้าป่าอย่างเขาก็แค่รอจังหวะเผลอพุ่งตัวเข้าขย้ำให้ตายอย่างทรมานและฮุบทุกอย่างมาเหมือนที่เคยทำก็แค่นั้น  ทุกคนบนโลกมันเป็นแค่เพียงเศษสวะ ที่มีฆ่าให้ใช้งานและเขี่ยทิ้งเท่านั้นเอง



 

           หลังจากที่ คุยกับกับปราณ เลขา ของผมเรื่องธุรกิจในกรุงเทพที่กำลังก่อตัวและมีปัญหาอยู่เสร็จก็เดินเข้ามาในห้องที่เปิดแอร์ไว้เย็นเฉียบมีร่างน้อยที่พันผ้าห่มจนตัวเองกลายเป็นดักแด้ โผล่ออกมาแค่หน้าขาวเนียนกับแก้มที่แดงปลั่ง ..มันน่านัก … หึ แต่ ยังก่อนครับ อย่าเพิ่งทำให้ไก่ตื่นตอนบ่ายผมก็ทำพลาดไปหนึ่งทีละ ไม่มีการจะพลาดครั้งที่ 2 หรอก อย่างพ่อโทน ต้องใช้ความเนียนเข้าหาเท่านั้นกะโตกกะตากไป แห้วเหมือนเมื่อตอนบ่ายนั้นละ คิดแล้วก็เสียดายเหมือนกันนะครับ แต่ไม่เป็นไรหรอก เวลาของเรายังมีอีกเยอะ เพราะพ่อโทนอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างหน้าของผม อยู่ในอ้อมกอดของผม

           “4 โมงแล้ว”

ปึ๊ก !

   “งานมี 5 โมงและหยุดลวนลามกูสักที” แต่ตอนนี้ผมอยู่ในเงื้อมือของพ่อโทน … โดนพ่อโทนโหม่งหน้าอกจนจุกแอ๊กไปหนึ่งทีโทษฐานลูบบั้นท้ายพ่อโทนไปแค่วูบเดียว … ร้ายกาจนักนะขนาดเป็นดักแด้อยู่แท้ๆ แต่ก็น่ารัก

ฟอดดดดดดดดดดด

           “อื้ออออออออออ หอมกูหาพ่องงงงงงงงงงงงงงง” พ่อโทนกระเด้งตัวลุกทำท่าจะเอามือออกจากดักแด้แต่ก็เอาออกไม่ได้เพราะดูเหมือนจะพันแน่นเกินไป ผมเลยรวบเอาดักแด้ตัวน้อยเข้ามากอด และหอมหน้าผากเนียนไปอีกหนึ่งที คราวนี้แดงทั้งหน้าเลยครับ หึหึ

           “ไม่ได้หอมหาพ่อครับ หอมหาเมีย …” ผมกระซิบที่ใบหูเล็กก่อนจะงับเบา ๆ พ่อโทนนิ่งไปนิด กัดริมฝีปากของตัวเองหน้าแดงเหมือนมะเขือเทศ ก่อนจะออกฤทธิ์โวยวายดิ้นไปมาดุ๊กดิ๊กในอ้อมแขนของผม โอ้ยยยยยยยย ใจไอ้ไม้จะละลาย

           “สัด เอาใหญ่แล้วนะ !!!!! แง่ม!!!!”

   “อะ โอ้ยๆๆๆๆๆ ขอโทษครับ หูจะขาดแล้ววววว” ลืมไปว่าอาวุธรอบตัวของคนน่ารักรอบตัว หึหึ 

   หลังจากที่หยอกล้อ(?)กับพ่อโทนพอหอมปากหอมคอ ผมก็พาพ่อโทนที่อาบน้ำตัวหอมฉุย มากินข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรม พ่อโทนบ่นอยากกินน้ำพริกเล็กน้อยแต่ไม่ได้งอแงอะไร ยอมกินน้ำพริกกะปิรสชาติไม่ได้เรื่องของโรงแรมไปเงียบ ๆ ผมเห็นก็อดสงสารไม่ได้ ตลอดเวลาที่เข้ากรุงเทพพ่อโทนไม่เคยมีความสุขเลยสินะ ผมเองก็ชินกับทั้งสองอารยธรรม ไม่ว่าจะเป็นบ้านไร่บ้านนาที่แสนสงบสุข หรือความ ศิวิไลของเมืองกรุงทั้งไทยและต่างประเทศ และเห็นดีด้วยที่พ่อโทนจะไม่ชอบเมืองกรุงเพราะผมเองก็อยากที่จะกลับไปอยู่กับพ่อโทนที่บ้านนาของเรา … ถึงแม้ผมจะย้อนไปเป็นไอ้ไม้คนเดิมไม่ได้แล้วก็ตาม

   “คิดไรวะ”

   “คิดว่าทำไมพ่อโทนน่ารักจัง”

   ผมว่าและหยิกแก้มไปหนึ่งที ส้อมของพ่อโทนที่ถือติดมือเอาไว้จ่อมาที่หน้าของผมอย่างเอาเรื่อง ผมหัวเราะชอบใจก่อนจะยกมือยอมแพ้ พลางเหลือบไปมองงผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้เราสองคนที่กำลังมองมาด้วยสายตามึนงง ก่อนจะหันไปกระซิบกระซากกันพลางทำท่าทางขนลุกเอามือไม้ลูบเนื้อลูบตัว …

   หึ เจอพวกมดปลวกที่คิดว่าตัวเองเป็นเทวดานางฟ้า ไล่เที่ยวรังเกียจคนอื่นที่คิดว่าไม่ใช่เผ่าพันธุ์ตัวเองแล้วสินะ

   “มึงไม่เอา ไม่มีเรื่อง”

   “หึหึ ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผมว่าและก้มไปจูบ เบา ๆ ที่กระหม่อมของพ่อโทน คนตัวเล็กของผมเม้มปากก่อนจะก้มหน้ามองจานว่างเปล่าของตัวเอง

   “หล่อชะมัด แต่เสียดายไม่น่าเป็นเลย เฮ้อ” อยู่ ๆ แม่สาวเสื้อสีส้มอ่อนก็พูดขึ้น แถมทำหน้าไม่รู้ไม้ชี้พ่อโทนเงยหน้ามองไปรอบร้านก่อนจะเงยหน้ามองผมนิ่ง ก่อนจะหันขวับไปมองเป้าหมายตรงหน้า

   “คนตัวเล็กก็น่ารักนะ เฮ้อ เสียดายชะมัด ถ้าเป็นผู้ชายปกติคงดี เสียดายผิดเพศ” แหม … สมกับเพื่อนกันจริงๆอีกคนนึงชงอีกคนนึงตบ

กึก

           “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

           ผมค่อนข้างอึ้งเล็กน้อย ที่คนตัวเล็กของผมก้าวฉับ ๆ ไปหาทั้งคู่ที่บังอาจพูดจาไม่เข้าหู ไอ้ไม้จะทำอะไรได้ละครับก็นั่งดูความสนุกสิ หึหึ เรื่องแบบนี้เขาไม่ยอมใครหรอก ผมท้าวคางมองพ่อโทนที่ยืนเอามือข้างนึงวางบนโต๊ะของแม่สองสาว อีกข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสะบัดเสื้อกาวน์สีขาวตัวใหญ่ปัดชายไปด้านหลัง ท่าทางเหมือนจิ๊กโก๋ แต่ทำไมผมเห็นเหมือนลูกแมวกำลังขู่ฟ่อ ๆ นะ 

           “อะไร ฉันไม่ได้พูดถึงนาย อย่ามาแสดงกิริยาต่ำ ๆ กับฉันนะ ไม่รู้หรือไงฉันเป็นใคร” แม่สาวเสื้อสีส้มเปิดฉากก่อน พ่อโทนของผมทำหน้าฉงนเอียงคอถามออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย

           “อ้าว สมองเสื่อมหรอกเหรอ”

           “อะไรของนาย” คราวนี้เสื้อฟ้าจอมตบมุขก็เอากับเขาบ้าง

           “ก็เห็นถามว่า ‘ฉันเป็นใคร’ ก็เลยนึกว่าสมองเสื่อมจำตัวเองไม่ได้” ผมหลุดขำพรืดออกมาเมื่อพ่อโทนจีบปากจีบคอพูดตามหญิงสาว

           “เอ๊ะ! ไอ้เด็กนี้!!! ผิดเพศแล้วยังจะมาหาเรื่องพวกฉันอีกเหรอ!!! กรี๊ด!!!”

โครม!!!

           พ่อโทนเตะโต๊ะข้าง ๆ จนเกิดเสียงดังสนั่น แม่สองสาวสะดุ้งตัวลอย ผมหัวเราะนิดๆส่ายหัวไปมาก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว่ห้างเอาอีกมึงข้างคางมองพ่อโทนแผงฤทธิ์ บริกรที่ดูแลอยู่ในโซนนั้นพยายามเดินเข้ามาห้าม แต่ผมปรายตามองและโบกมือไล่ไปซะก่อน … คนกำลังสนุกอย่าเพิ่งเข้ามาสอดจะได้ไหม หายไปหลายปีอยากเห็นพ่อโทนแผงฤทธิ์แบบเต็ม ๆ สักทีเหมือนกัน หึหึ 

           “นี้ป้า!!!!เป็นบ้าอะไรวะ!!!!” พ่อโทนตะคอกออกมาเสียงดัง หน้าแดงกล่ำด้วยความโกรธ ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงพ่อโทนคงหนุมารถวายแหวนไปแล้ว

           “โทษนะ ผมไปทำอะไรให้ญาติคุณตายหรือไง กรุณาอย่ามา ส เกือ กอ เสือก กับชีวิตผมนักเลยครับ ผัวน่ะมีหรือยัง หาได้หรือเปล่า อ่อ สงสัยไม่มีใครเอาเลยคบกันอยู่แค่สองคน ถ้าจะให้ผมแนะนำนะ เบี้ยนกันไปดิจะได้ไม่ต้องไปเป็นภาระของผู้ชาย ไม่ต้องไปเป็นภาระของเด็กที่จะเกิดมาจากคนไร้สมองอย่างพวกคุณ!”

           “ทะ โทน …”

           “อ้าว น้าเกื้อ สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักทายน้าเกื้อที่เดินเข้ามายืนข้าง ๆ ผม ตากลมของเขามองไปทางพ่อโทนอย่างอึ้ง ๆ ก่อนจะนั่งหันมารับไหว้ผมก่อนชี้ไปที่พ่อโทนอย่างตั้งคำถาม

           “สวัสดีครับไม้ … โทนทำอะไรน่ะ ไปว่าเขาแบบนั้นได้ยังไง”

           “หึหึ ไม่มีอะไรหรอกครับ น้าเกื้อก็รู้ถ้าพ่อโทนไม่โดนกระทำก่อนคงไม่เกเร”

           “อะ อืม … พี่ครับ ผมขอเมนูด้วยนะครับ” น้าเกื้อขานรับผมก่อนจะหันไปบอกบริกรที่เข้ามาเสริฟอาหารพอดิบพอดี ก่อนที่บริกรที่จะแก้มแดงไปถึงหูเพราะใบหน้าดวงสวยของน้าเกื้อที่เฉิดฉายขึ้นก่อนจะโค้งรับและเดินไป

           ผมมองพ่อโทนที่ทำหน้ายักและกำลังเทศแม่สองสาวอย่างดุเดือดจนทั้งสองถลาเข้ามากอดกันอย่างกลัว ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปโอบไหล่พ่อโทนเอาไว้ เขาชะงักก่อนจะหันมามองผม และเชิดหน้าไปทางอื่น อย่างแง่งอน

           “กรุณาขอโทษเขาด้วยนะครับ ไม่งั้นเขาคงไม่ยอมหยุด”

           “ขะ ขอโทษค่ะ”

           “แล้วกรุณาจำเอาไว้ด้วยอย่าไปดูถูกใครเขาอีก”

           พ่อโทนทิ้งท้ายก่อนจะเดินกระแทกส้นมานั่งที่โต๊ะข้างน้าเกื้อที่ยื่นมือมาลูบหลังให้ใจเย็นลง พอพ่อโทนเดินไป แม่สองสาวก็รีบเก็บข้าวเก็บของเดินออกไปจากร้านไม่วายอวดดีบ่นจะเอาเรื่องอย่างโน้นอย่างงี้อีก ผมมองตามและถอนหายใจออกมาเบา ๆ คนแบบนี้ก็มีในโลกด้วยแฮะ

           “มันน่าโมโหชะมัด”

           “เอาน่าพ่อโทน อาหารมาแล้ว ทานกันดีกว่านะครับ” ผมเลื่อนข้าวคลุกน้ำพริกกะปิโรงแรมหรูไปตรงหน้าพ่อโทน หึหึ มีโรงแรม 6 ดาวเพื่อกินข้าวคลุกกะปิ พ่อโทนของผมนี้น่ารักจริงๆ

           “มึงอ่ะ ไม่ช่วยกูด่าเลย” พ่อโทนทำจมูกบานใส่ผมก่อนจะตักข้าวเข้าปากคำโต น้าเกื้อมองอย่างยิ้ม ๆ ก่อนจะสั่งข้าวมาทานบ้าง

           “ให้ผมไปด่าผู้หญิงได้ยังไงละครับ” ผมว่าและกลับมาหันสเต็กหมูของตัวเองใส่ไปในจานของพ่อโทน เขาหันมามองผมตาเขียวแก้มป่อง จิ้มเนื้อหมูเข้าปากเบ้บ่นไปกินไปสนุกสนาน

           “งั้นกูก็ด่าไม่ได้เพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่เสียใจด้วยด่าไปแล้ว”

           “หึหึ สำหรับพ่อโทนกับน้าเกื้อ เป็นกรณียกเว้นครับ”

           “เดี๋ยวมึงจะโดนไอ้ห่า กวนตีนกูเข้าไปสิวัน ๆ อะ”

            พ่อโทนเอาส้อมชี้หน้าผมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม  จะว่าไปพ่อตัวเล็กของผมกับน้าเกื้อก็แตกต่างกันเลยนะครับ ทั้งหน้าตาและนิสัย พ่อโทนจะออกแนวน่ารักกวนๆ มาดแมนแฮนซัม(?) ส่วนน้าเกื้อจะหน้าสวย กิริยาอ่อนหวาน สเป็คปู่ทายเขาละ

           “มองหน้าอยู่ได้” พ่อโทนบ่นออกมานิดๆก่อนจะจิ้มเอาแครอทจานผมไปเคี้ยวเป็นกระต่าย



====================



เกือบได้รวบหัวรวบหางแล้วอีกนิดเดียว //ตบเข่า




ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
โอ้ยยยยย!! เกือบแล้ว เกือบแล้วไอ้ไม้
้เกือบได้เมีย  :hao6:

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 21 ความโลภนำพาความแค้น



           “เดี๋ยวระหว่างนี้ผมไปบริษัทหน่อยนะครับ”


   ผมขยับเนคไทของคุณพ่อตัวเล็กให้เข้าที่หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ก็เตรียมความพร้อมให้เด็กน้อยของผม ก่อนเข้าไปในงานสัมมนา ตาโต ๆ ที่กำลังเซมองไปทางอื่น หันมามองผมตาโตก่อนจะทำปากยื่นโวยวายออกมา

           “ไปทำไมอะ นี้บริษัทในกรุงเทพสร้างเสร็จแล้วเหรอ ทำไมกูไม่รู้ กูนึกว่ามึงแค่วางแปลนไว้เฉยๆ”

           “เสร็จมาสักพักแล้วครับ พอดีมีปัญหานิดหน่อย ไม่ต้องห่วงนะครับ” ผมว่าและก้มลงไปหอมหน้าผากน้อยของเขา มือเล็กทุบที่อกผมเบา ๆ หึหึ น่ารักจัง

           “ใจกูไม่ดีเลย” เขาแสดงความเป็นห่วง

           “เป็นอะไรครับ ใจไม่ดี”

           “มึงมีปัญหากับใครก็ไม่รู้อยู่” เขาเม้มปากอย่างหนักใจก่อนพูดต่อ “กูกลัวว่ามึงจะเป็นอันตราย”

           “หึหึ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ 2-3 ชั่วโมงแค่นั้นเอง ไม่ต้องเป็นห่วงไม้นะ กลับมาผมจะซื้อขนมเค้กมาด้วย โอเคไหม” ผมเกลี่ยผมข้างหน้าเขาที่เริ่มยาวมาคลอเคลียใบหน้าของเขาอย่างเบาพลางก้มลงไปถามย้ำ

   “พ่อโทนชอบเค้กนมสตอเบอรี่ใช่ไหมครับ” เขาทำแก้มป่องและถอนหายใจออกมา ก่อนจะยอมพยักหน้า

           “มึงถึงแล้วโทรหากูนะ” หึหึ นี้เด็กน้อยของผมงอแงอะไรเนี้ย

           “ครับ” ผมรับคำ

           “ออกจากที่ทำงาน ก็ต้องโทรนะ”

           “หึหึ ครับ”

           “แล้วพรุ่งนี้พากูไปดูบริษัทมึงด้วยนะ”

           “โอเคครับ”

           “ต่อจากนี้ต้องเล่าให้กูฟังทุกเรื่องนะ … ได้ไหม”

           “แน่นอนที่รัก” ผมว่าและก้มลงไปจุ๊บเบา ๆ ที่ริมฝีปากสีอ่อนอย่างหยอกเย้าเอาใจ วางมือลงบนแก้มใสลูบไปมาอย่างปลอบปะโลมคนคิดมาก

           “อื้อออออออ อึก กะ เกินไปแล้วนะ”

           “เข้างานเถอะครับ เดี๋ยวจะสายเอานะ” เขาพยักหน้าขานรับในลำคอ ยังไม่วายขมวดคิ้วจนย่น

           ผมจับมือพ่อโทนกระชับแน่น พามาส่งที่ห้องสัมมนา ยืนมองแผ่นหลังเล็กที่หันมามองเป็นระยะ ๆ ผมยิ้มและโบกมือให้เขา ก่อนจะหันหลังเดินออกมา พอพ่อโทนคาดสายตาจากผม ชายร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีดำ ลูกน้องที่เลขาผมส่งมาดูแลความเรียบร้อยภายในโรงแรม ก็เร้นกายออกมาจากที่ลับตาคน ผมเป็นคนออกคำสั่งเองว่าไม่ได้ปรากฏตัวให้พ่อโทนหรือคนที่รู้จักของผมเห็น เดี๋ยวจะเป็นเรื่องซะเปล่า ๆ

           “เดี๋ยวฉันจะเข้าบริษัท จัดกำลังดูแลที่นี้ให้ดี อย่าให้คนของฉันเป็นอะไรเด็ดขาด”

           “ครับนาย”

           หมอนั้นโค้งรับคำสั่งผม ในขณะที่ผมเดินเลี่ยงมาที่ลานจอดรถ ระหว่างทางที่เดินก็จะพบลูกน้องของผมอยู่ในโรงแรมไม่ต่ำกว่า 20 คน บางคนก็ปลอมเป็นเด็กเสริฟ บริกรที่ดูแลสถานที่ต่าง ๆ โรงแรมนี้บังเอิญอยู่ในลิสต์ผู้ร่วมหุ้นของบริษัทอริมณีด้วยเลยง่ายต่อการดูแลและแน่นอนทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้ดูแลผม แต่ผมมอบหมายให้ดูแลหัวใจของผมต่างหาก



ครืดดดดดด ครืดดดดดดดดดด



           ผมยิ้มออกมาทันทีที่โทรศัพท์ที่ผมถืออยู่มีสายเรียกเข้าจากคนตัวเล็กที่ผมคิดว่าตอนนี้เขาคงอยู่กับเพื่อนร่วมงานสนุกสนาน แต่ดูเหมือนความเป็นห่วงและคิดมากของเค้าจะมากซะจนทำอะไรไม่สนุกสินะ หึหึ จะทำให้ผมหลงไปถึงไหนที่รักของไอ้ไม้

           “อยู่ไหน” ยังไม่ทันจะกดรับสายดี เสียงเข้มก็รอดออกมาทำให้ผมชะงักนิด ๆ ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงผมเอามาก ๆ 

           “ลานจอดรถชั้น 2 ครับ”

           “รออยู่ตรงนั้นละ ห้ามไปไหนนะ!!!!”

           ว่าแล้วก็วางไป … ผมยืนยิ้มกับโทรศัพท์ของตัวเองก่อนจะจุดบุหรี่พิงกำแพงที่อยู่ใกล้ ๆ รอพ่อโทนอย่างไม่รีบร้อน ไม่เกิน 5 นาที บุหรี่ที่สูบเป็นมวนที่ 2 ก็ถูกกระชากออกจากปาก และถูกเท้าเล็กกระทืบซ้ำอีกต่างหาก ดูเอาเถอะคนปากแข็ง ปากก็ชอบโวยวายแต่เอาจริง ๆ ก็ทั้งรักทั้งห่วงผมยิ่งกว่าอะไร หึหึ

           “พ่อมึงสั่งสอนให้สูบหรือไง” ผมยิ้มรับ ไม่ตอบอะไร ขณะที่คนตัวเล็กกว่าโมโหกระฟัดกระเฟียดเหยียบซ้ำจนมันแบน “ฮึ้ย ยังจะมายิ้มอีก อยากโดนดีหรือไงวะ!!!”

   ผมก้มลงไปรวบพ่อโทนมากอดเอาไว้แน่นทำให้เขาคลายอารมณ์โกรธลงได้บ้าง เกยคางไหล่เล็กอย่างทะนุทนอม ลอบมองเห็นลูกน้อง 4-5 คนที่กำลังวิ่งเข้ามาหาจากด้านหลังเขา ก่อนโบกมือไล่ให้อย่ามาทำเสียงบรรยากาศ พวกนั้นเบาฝีเท้าลงก่อนโค้งรับและหลบฉากไปทันที หึหึ ดูท่าคนตัวเล็กของผมจะทำให้ลูกน้องของผมวิ่งตามกันให้วุ่นเลยสินะ

           “มึงนี้เอะอะกอด เอะอะจูบ เอะอะม่อกู สรุปไม่เห็นกูเป็นพ่อแล้วใช่ไหม” พอเราผละออกจากกันพ่อโทนก็ดีดจมูกผมไปหนึ่งทีก่อนที่แก้มแดงๆ ตรงหน้าทำให้ผมอยากจะลวนลามพ่อโทนต่ออีกนิด

           “ผมไม่เคยคิดว่าพ่อโทนเป็นพ่อมาตั้งแต่เราเจอกันแล้วครับ” เขาส่งเสียงฮึดฮัดผละปผมออกอย่างแง่งอน  “แต่ผมเห็นว่าพ่อโทนเป็นหัวใจของผม” เขาย่นปากก่อนจะก้มหน้าลงพื้นนิ่งไม่กล้าสบตากัน หึหึ เกิดอะไรขึ้นเนี้ย ทำไมไม่โวยวายเหมือนปกติ

           “ขึ้นไปงานเลี้ยงดีกว่านะครับ”

           “ฮึ … ไปด้วย” หัวเล็กส่ายไปมาก่อนจะพึมพำพูดเหมือนกระซิบกับมดที่พื้น

           “ไปทำไมครับ อยู่นี้ละเดี๋ยวผมก็กลับมาแล้ว”

           “ไม่เอา …”

           “มีอะไรครับ หึ ไหนบอกไม้สิ” ผมย่อตัวลงไปให้ตัวเสมอกับพ่อโทน ที่ยืนก้มหน้าจับชายเสื้อของผมเอาไว้แน่น หน้าขาวเงยมองผมก่อนที่แววตาจะลั่นระริกพูดตะกุกตะกักออกมา

           "... แต่ กะกู กลัวมึงมีเรื่อง"

           "หึ ...ไม่มีหรอกครับ"

            "แต่..."

 เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด

           เสียงล้อเบียดกับถนนดังสนั่นไปทั่วบริเวณพอดิบพอดีกับที่ผมมองไปเห็นมอเตอร์ไซค์คันสีดำที่มีคนคนขับและซ้อนอยู่ใต้หลักกันน็อคติดฟิมล์ทึบและเสี้ยววินาทีต่อว่าพวกมันก็ชักปืนออกมาจากขอบกางเกง … บัดซบเอ้ย!!!!!!



 เปรี้ยง!!!!

 

 

           "ไม้!!!!!"

           เสียงของพ่อโทนดังสนั่นดังกว่า ทำให้ผมรวบเขามากอดเอี้ยวหลังใช้ตัวกำบังพ่อโทนเอาไว้ แผ่นหลังเล็กติดแนบชิดกับเสาทำให้ผมสบายใจว่าจะไม่มีภัยอันตรายไปถึงเขา ทั้งหมดเป็นกลไกของร่างกายที่ผมเคลื่อนไหวไปตามสัญชาติญาณตัวเอง

 

เปรี้ยง!!!!



โครม!!!!

           ผมไม่ลังเลที่จะเอาคืน คว้าเอาปืนที่อยู่ในเสื้อสูทออกมาลั่นไกไปที่ด้านหลังของไอ้พวกจังไรที่ปองร้ายผมในขณะที่พ่อโทนอยู่ด้วย กระสุนเจาะเข้ากลางหลังของไอ้คนซ้อน ก่อนที่เสียงโหยหวนของมันจะดังขึ้นและรถของพวกมันก็เสียหลังส่ายไปมาจนล้มลงไปทับมันทั้งสองคนกองอยู่กับที่ หึ … ต้อนรับกันอย่างงี้เลยสินะ ไอ้พวกไม่รู้จักพอ

           “อ๊ากกกกกกกกกกก”

           “ชู่ว ไม่มีอะไรครับ” เสียงของพวกมันทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดของผมกอดและซุกหน้าเข้ากับอกของผมแน่นเกร็งตัวแข็งไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ผมวางมือลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลของพ่อโทนกอดปลอบปะโลมทิ้งปืนลงข้างกายอย่างไม่ใยดี …

           “นายน้อยไม่เป็นไรนะครับ” ลูกน้องนับสิบของผมวิ่งกรูกันเข้ามา ผมจะเจ็บจะปวดไม่ได้เพราะพ่อโทนจะขวัญเสียไปมากกว่านี้

           “ไม่”

           ผมว่าและอุ้มพ่อโทนขึ้นมาในท่าอุ้มเด็กน้อยโดยใช้มือข้างหนึ่งช้อนก้นเขาเอาไว้กันตก กดศีรษะไม่ให้มองเห็นเหตุการณ์เบื้องหลังของพวกเรา ก่อนเดินออกมา เสียงสะอื้นดังขึ้นจนผมรู้สึกสงสาร … สำหรับพ่อโทนอะไรทุกสิ่งทุกอย่างตอนนี้ใหม่ซะหมด แต่สำหรับผม มันเป็นเรื่องที่ธรรมดา เพราะอยู่ที่ต่างประเทศ ผมเองก็ถูกปองร้ายอยู่บ่อยครั้งจากผู้ขัดผลประโยชน์ มันทำให้ผมรู้ว่าตัวเองเข้าสู่วงการสีเทาแล้วอย่างเต็มรูปแบบ ต่างจากตอนที่พ่อและแม่ผมยังอยู่ เมื่อเวลาเปลี่ยน ธุรกิจขาวถูกความโลภเข้าครอบงำ … มันจึงแปรสภาพไปเหมือนฝัน … และนี้คือมรดกที่ผมมี อำนาจ เงิน … และความแค้น

           หึ แต่ต่อจากนี้ ไอ้พวกสารเลวคงต้องชดใช้เวรกรรมที่ก่อเอาไว้อย่างสาสม …

.

.

.

           ร่างสูงกระชับกอดคนตัวเล็กเอาไว้แน่น เสียงสะอื้นนั้นทำให้เขาปวดร้าวไปทั้งใจ โดยไม่ทันสังเกตว่าตัวเองก็มีแผลจากการถูกกระสุนถากที่ต้นแขนด้านซ้าย ยังถือเป็นโชคดีที่กระสุนไม่โดยจุดสำคัญ ขาทั้งสองข้างก้าวอย่างมั่นคง เดินเข้าไปในโซนของโรงแรมเพื่อพาร่างสั่นเคลิ้มที่เกาะเขาเอาไว้แน่นในอ้อมแขนขึ้นไปยังห้องพักของทั้งสอง

           “ไม้มีอะไรหรือเปล่า และโทนเป็นอะไร เรามีแผลด้วยนี้ไปเจออะไรมา” เสียงหวานของเกื้อดังขึ้นอย่างตื่นตระหนกเมื่อตนเห็นว่าโทนออกมานานและตั้งใจจะออกมาตามหา แต่ดันเจอทั้งสองคนในสภาพนี้ซะก่อน

           “ไม่มีอะไรครับอาเกื้อ ผมพาพ่อโทนขึ้นห้องก่อน ฝากน้าเกื้อดูงานให้พ่อโทนด้วยนะครับ”

           “อะ โอเค ไม้ไม่เป็นไรนะ ถ้ายังไงโทนหายงอแงแล้วบอกให้โทรหาอานะ”

           ร่างสูงพยักหน้ารับเกื้อที่เอามือลูบหลังของโทนอย่างเอ็นดู ก่อนที่ลูกไม้จะกระเตงพ่อขึ้นมาบนห้องโดยไม่สนใจว่าเลือดของตัวเองจะหยดเป็นทาง และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนเดินตามมาทางด้านหลัง คอยอารักขาทั้งคู่เผื่อมีอะไรที่พอจะช่วยได้อย่างเต็มความสามารถ

           ทันทีที่คีย์การ์ดสับลง ไฟทั้งห้องก็สว่างขึ้น ร่างแกร่งพาเด็กน้อยที่อยู่ในชุดกาวน์ขาวสะอาด วางไว้บนโซฟาอย่างเบามือ ก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงตรงหน้าคนที่ก้มหน้านิ่ง เอาแต่ร้องไห้ไม่พูดจา มือใหญ่ยกขึ้นลูบไปตามโครงหน้าเรียวที่เขาหลงใหล ดวงตาแดงกล่ำเขลอะไปด้วยคราบน้ำตาจะเงยขึ้นมามองเขาด้วยความรู้สึกที่สับสน

           “มะ มึง … ฮึก เลือดออก ไม่เอาแล้ว กะ กู ไม่ให้มึงมากรุงเทพแล้ว ฮึก อันตราย ฮึก ไม่เอาแล้ว”

           มือเล็กลูบไปที่แขนข้างซ้ายที่บาดเจ็บของลูกชาย ก่อนจะโถมใช้แขนเล็ก ๆ ทั้งสองข้างกอดคอร่างสูงเอาไว้ ทำให้ลูกไม้ต้องโน้มตัวมาซุกอกเล็กที่กำลังสะอื้นเหมือนจะขาดใจ

           “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เป็นไร”

           “เดี๋ยวไปทำแผลนะ ฮึก ทำแผลก่อน ไม่เอาแบบนี้ ไม่เอาแล้ว แค่ 6 ปีที่มึงจากกูไป กูก็แทบจะตายแล้ว กูไม่เอาแบบนั้นอีกด้วย” เสียงสะอื้นนั้นทำให้ไม้เผลอน้ำตาไหลไปด้วย พ่อโทนเช็ดน้ำตาให้ร่างแกร่งก่อนจะจูบลงที่กระหม่อมของไม้ ดึงเข้ามากอดอย่างหวงแหน ทั้งสองคนไม่พูดจากันอีก ปล่อยให้ร่างกายและหัวใจสัมผัสถึงความอบอุ่นที่ระคนไปด้วยสถานการณ์ที่แสนจะหน่วงหัวใจของทั้งสองคน



-โทน-



           “โอ้ย! เจ็บนะครับพ่อโทน”

            เสียงไอ้เด็กบ้าที่นั่งถอดเสื้อโชว์ซิกแพคอันน่าอิจฉาอยู่ข้าง ๆ ผม บนโซฟาดังขึ้นเบื้องหน้าบนโต๊ะที่อุปกรณ์ทำแผลที่ขอจากโรงแรมวางเต็มไปหมด ทำให้ผมชะงักสำลีราดแอลกอฮอล์ทำความสะอาดแผลอยู่ ดูดิโดนยิงไม่เห็นจะบ่นมาบ่นตอนทำแผล เชอะ นี้แหนะ! ไม่ยอมไปหาหมอดีนัก ดีนะไอ้โทนเรียนหมอมา ถึงจะหมอหมาก็เถอะ

           “เจ็บสิดี บอกให้ไปหาหมอก็ไม่ไป”

           “ไปให้พวกมันยิงอีกหรอครับ” ผมย่นปากกับคำพูดทีเล่นทีจริงของไอ้ไม้ ก็จริงของมัน ขื่นออกไปตอนนี้ได้เป็นเป้านิ่งให้มันยิงอีก ก่อนจะทำแผลไปเงียบๆ

           ผมไม่อยากถามอะไรทั้งนั้น … ถ้าไอ้ไม้อยากจะเล่า คงจะเล่าให้ผมฟังเอง ทั้งเรื่องบริษัทเปิดใหม่ที่กรุงเทพ หรือจะเรื่องที่โดนยิงเหมือนในหนังงี้อีก … ถ้าไอ้ไม้คิดว่าผมไม่ควรรู้ ผมก็จะไม่อยากรู้ เพราะยังไง ผมก็เลี้ยงมันได้แค่ตัว แล้วอีกอย่างผมก็รู้ดีว่ากำพืดแท้จริงของไอ้เด็กแก่แดดนี้ไม่ธรรมดา ช่วงเวลา 6 ปี มันต้องฝ่าฟันอุปสรรค์นานาที่ผมคาดไม่ถึง … แต่ยังไง ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ ผมเจ็บที่เห็นมันเจ็บ ผมแค้นที่เห็นมันโดนทำร้าย จนอยากที่จะฆ่าไอ้คนที่ทำ … นี้โชคดีแค่ไหนที่ไอ้ไม้ไม่เป็นอะไรมาก ถ้าเป็นมากกว่านี้ผมคงจะเป็นบ้าแน่ๆ

           “มีคำถามเยอะเลยใช่ไหมครับพ่อโทน”

           “อือ” ผมพยักหน้า แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาทำแผลต่อไป ทั้งที่ขอบตาผมเองร้อนผ่าวและเหมือนจะลืมไม่ขึ้นเพราะร้องไห้สาวแตกมากไปหน่อย ถึงผมจะห้าวแค่ไหนก็ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ยิงกันแบบนี้นี้หว่า

           “เอาไว้ เรากลับบ้านกันก่อนและผมจะบอกโอเคไหมครับ”

           “ทำไมบอกตอนนี้ไม่ได้” ผมถามเสียงนิ่ง ก่อนจะหยอดยาอย่างเบามือ เอื้อมตัวหยิบผ้าพันแผลสีขาวสะอาดออกมาวางเตรียมเอาไว้ นี้เป็นการทำแผลแบบช่วงคราว พรุ่งนี้ไอ้เด็กนี้ต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อมมากกว่านี้

           “เอาไว้ให้ผมจัดการทั้งหมดก่อนดีกว่านะ”

           “อือ ก็ไม่สำคัญอยู่แล้วไม่ต้องบอกก็ได้”

หมับ !

           ผมถลาตามแรงกระชากไปเกยกับอกแน่นของไอ้ไม้ก่อนที่ความรู้สึกอ่อนวูบจะสัมผัสเข้าที่กระหม่อมของผมนิ้วเรียวของมันเชยคางผมขึ้นไปสบตา ก่อนที่ ริมฝีปากหนาก่อนจะบรรจงจูบที่ขมับลามมาถึงแก้มทั้งสองข้างและจมูกของผม ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันเหมือนถูกสะกดเอาไว้ … ผมกำลังหลงกลไอ้ราชสีห์หุ้มหนังกระต่ายอยู่ใช่ไหม

           “หึหึ สำคัญสิครับ”

           สิ้นเสียง ริมฝีปากคู่ก็ประทับลงบนปากของผม ด้วยความโหยหาและหวาดกลัวผมลืมตัวไปในช่วงขณะปล่อยให้ลิ้นชื้นแฉะนั้นไล่ต้อนตวัดลิ้นของผมอย่างอ่อนโยนและเร้าร้อนไปพร้อมกัน แขนทั้งสองข้างตวัดรัดตัวผมเข้าไปกอดอย่างหวงแหน เราทั้งสองต่างลืมความเจ็บปวดต่าง ๆ ไปช่วงคราว …

           “รักนะครับ” เสียงกระซิบนั้นทำให้ผมหน้าร้อนวูบวาบ ก่อนที่มันจะจู่โจมจูบผมอีกรอบ รอบนี้ผมไม่ยอมแพ้หรอก จูบมาจูบกลับไม่โก  นี้ใคร นี้โทนนะ ไม่ได้อ่อนปวกเปียกนะจะบอกให้!

           “อื้อ พอแล้ว!” ผมดันอกไอ้เด็กบ้าออกเมื่อเห็นว่ามือปลาหมึกของมันจะล้วงเข้ามาในเสื้อของผม ตีแขนข้างที่เป็นแผลไปหนึ่งที มันร้องโอดโอยอย่างตอแหล หึ คนบ้าอะไรเจ็บและยิ้มแบบนั้น กะล่อน!!!!!!!

           “ติดไว้ก่อน” ผมว่าและจุ๊บเบา ๆ ที่จมูกโด่งเป็นสัน ไม่ให้มันน้อยเนื้อต่ำใจไปมากกว่านี้ และคิดว่าเป็นรางวัลให้คนที่ปกป้องผมแล้วกัน หึ … แต่จะว่าไปไอ้เด็กนี้มันเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ติดไว้ก่อน’ หรือเปล่า ผมหมายถึงจูบนะ ไม่ใช่อย่างอื่น

           “ไว้กลับไปบ้าน จะเอาคืนนะ จ๊วบบบบ”

           “อ๊ากกกกกกกกกกก ดูดคอกูหาพ่องงงงงงงงงงงงง” ผมตะโกนลั่นเมื่ออยู่ๆมันก็ก้มมาดูดคอผม เป็นรอยแน่ๆ ไอ้บ้าๆๆๆๆๆๆ ไอ้กะล่อนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!!!

           “พ่อโทนฮะ รู้ใช่ไหมผมรักและห่วงพ่อโทนมากแค่ไหน”

           หลังจากที่รังแกทุบตีมันเสร็จก็นั่งทำแผลให้มันจนเสร็จ ก่อนที่ผมจะโดนรวบเข้าไปกอด นั่งเกยอยู่บนตักหันหน้าออกพิงหลังลงกับบอกแกร่งโดยมือคางมนของมันวางเกยอยู่บนไหล่ของผม ลมหายใจของเราแทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน … ผมอบอุ่น … และรู้สึกโหยหาอ้อมกอดนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่อยากให้หายไป … ไม่อยากให้ห่างกาย เพราะกลัวว่าถ้าผมออกจากอ้อมแขนนี้ ทุกอย่างมันจะสูญสลายไปอีก ถึงเวลานั้น ผมคงทำใจไม่ได้ …

           “เท่ากับที่กูห่วงมึงหรือเปล่า”

           “หึหึ … ไม่รู้สิครับ แต่ไม้มอบทั้งชีวิตให้พ่อโทน มอบทั้งหัวใจไว้แทบเท้าของพ่อโทน” น้ำเสียงของมันปลอบประโลมอ่อนหวานออดอ้อนปนเปไปพร้อมกับความแข็งแกร่งจนผมแทบละลาย

           “…” กูก็ไม่ต่างกันหรอกไอ้ไม้ …

           “ผมขออะไรพ่อโทนหน่อยได้ไหม”

           “ถ้าไม่ทำให้กูเสียตัวก็ได้”

           “อะไรกัน ยังไม่ยอมไม้อีกเหรอ”

           “รอไปก่อน” ผมว่าและกัดไปแขนข้างที่ไม่เจ็บของมันไปเบา ๆ … เขินนะว้อยยยยยยยยยยย มึงไม่มาเป็นกูมึงไม่รู้หรอก!!!

           “เท่าที่ต้องการครับ” ว่าแล้วมันก็เอี้ยวตัวมาหอมผมหนึ่งทีก่อนจะซุกไซไปตามลำคอของผมอย่างถือสิทธิ์เอาไว้ก่อน

           “อยากเหรอ” ผมกลั้นใจถามมันเบา ๆ เสียงในลำคอของมันขานรับผมแต่ยอมที่จะเงยขึ้นจากลำคอของผม … มึงจะหลงอะไรกับคอกูนักหนาเนี้ย!!!!

           “มะ มึงเข้าไปใช้ ห้องน้ำไหม ?” ผมถามมันซ้ำอีก ย่นคอหนี แต่มันไม่ยอมเลิกหื่นจับหัวผมให้อยู่นิ่งด้วยมือข้างเดียว สัด! เห็นกูเป็นพระอิฐพระปูนไงวะ!!!!

           “มะ มึง เดี๋ยวเป็นรอย”

           “ก็ดีจะได้รู้ว่าคนนี้มีเจ้าของ” มันเงยหน้าขึ้นมาตอบ ก่อนจะยกตัวผมขึ้นจับหมุนไปสบตากับมัน เราจ้องตากันอยู่นานสองนานก่อนจะเป็นผมที่ละสายตาไปก่อน อะ ไอ้บ้า มึงหื่นอ่ะ กูเขิน

           “นะครับ … แค่ภายนอกนะ”

           “กูเขิน”

           “หึหึ น่ารัก” มันยกตัวผมลอดขึ้นในท่าเด็กน้อย ด้วยความตกใจผมเลยคว้าคอมันไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนที่มันจะพาผมเข้ามาในห้องด้านใน … สัด … แพนกล้องไหมล่ะมึง ?

.

.

.

           ภายในห้องในโรงแรมหรูกลางเมือง ร่างบางของพ่อโทนอยู่ใต้ผ้าห่มหนาดวงหน้าน่ารักหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดู ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เสื้อผ้าถูกผลัดเปลี่ยนเรียบร้อยหลังจากที่ตามใจร่างแกร่งที่ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เปลือยท่อนบนมองคนตัวเล็กที่อยู่ข้างกายอย่างสุขสมไปหลายต่อหลายรอบถึงจะเป็นเพียงการสัมผัสกันแค่ภายนอก แต่ถือว่าเป็นผลกำไรสำหรับการรอคอยที่ยาวนานมากแล้ว มือหนาที่โอบศีรษะร่างน้อยเอาไว้ลูบไปมาที่แก้มนวลอย่างเบามือเหมือนเล่นกับสัตว์ตัวน้อย ๆ ก่อนจะก้มลงหอมขมับอย่างรักใคร่

            “ผมต้องไปทำธุระก่อนนะครับ แล้วในตอนเช้าทุกอย่างจะเรียบร้อย” เสียงกระซิบนั้นคงดังไปไม่ถึงภวังค์ของความฝันของคนตัวเล็ก

           ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงนอนอย่างเบากริบ ปล่อยให้สุดที่รักอยู่บนเตียงเพียงลำพัง เขาจัดการใส่เสื้อผ้าโดยไม่ให้มีเสียงดังเกิดขึ้น จนอยู่ใต้เครื่องแต่งกายเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสะอาดพอดีตัวพับแขนขึ้นในระดับข้อศอก กับกางเกงยีนต์ขายาวเข้ารูป ดวงตาคมชัดมองตัวเองที่ยืนจ้องเงาเขม็งสะท้อนใบหน้าเรียบเฉยดวงตาทะมึนทึบไร้ความปราณีก่อนที่ริมฝีปากหนาจะยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเหยียดหยาม นาฬิกาสีเงินถูกบรรจงใส่อย่างใจเย็น

   เมื่อออกมาภายนอกห้องรับแขก ร่างแกร่งที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ถลาลุกขึ้นยืน ใบหน้าเรียบเฉยใต้แว่นตาไร้กรอบนั้นจ้องมองมาที่เขาก่อนจะโค้งให้หนึ่งทีเป็นการเคารพ

           “ทุกอย่างพร้อมแล้วครับนาย”

           “หึ … ขอบใจมากไอ้ปราณ … ไปเยี่ยมมันกันสักหน่อยสิ”

           ไม้ หรือนายน้อยฟ้าคราม เดินนำออกมาจากห้องโรงแรมหรูซึ่งตอนนี้ทั้งชั้นถูกปิดทั้งชั้นรักษาความปลอดภัยโดยคน ยืนตามจุดต่าง ๆ ซึ่งเปิดใช้แค่ 2 ห้องคือห้องของโทนและเกื้อ ที่อยู่ติดกันและตอนนี้ทั้งสองก็นอนหลับใหลอยู่บนเตียงกว้าง

           ขายาวก้าวไปตามทางที่คนของอริณมณีโค้งคำนับ ดวงตาลุกโชน ริมฝีปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หมดเวลาของเขาในคราบกระต่าย ได้เวลาที่คมเขี้ยวของราชสีห์ที่ซุ่มจู่โจมจะเข้าตะปบเหยื่อผู้น่าสงสารกันสักที 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-04-2020 12:18:42 โดย pa_pa »

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4

 

           ย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปี ก่อนที่เรื่องราวอันน่าสะเทือนใจจะเกิดขึ้น สายลมที่พัดเอาดอกอ้อจากข้างคันนาพัดปลิวไปตามสายลม เด็กชายอายุ 4 ขวบ นั่งอยู่บนบ่าแกร่งของผู้เป็นบิดาที่ร่างกายสูงใหญ่ใบหน้าคมสันราวกับภาพปั้นแม้อายุจะอยู่ในเลข 3 กลาง ๆ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ชายคนนี้หมองหม่นลงไปได้

           “อ้าว นายช่างพาคุณครามมาเดินเลยเหรอครับ”

           ตาแหวนที่กำลังทำความสะอาดเจ้าทุยคู่ใจอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ผลิดอกออกใบสวยงามดังขึ้น ทำให้ร่างสูงหันไปก่อนจะเหยียดยิ้มกว้างทักทายกลับไป ก่อนจะพาลูกชายไปหาตาแหวนที่กุลิวกุจอลุกขึ้นปัดกางเกงที่มอมแมมของตัวเองอย่างเก้ๆกังๆ ชายแก่เองก็ไม่คิดว่าผู้ดี จากเมืองกรุงที่ย้ายมาหาความสงบในบ้านนอกคอกนาได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ จะมีอัธยาศัยดีเหลือเกิน สมแล้วที่ชาวบ้านในตลาดเขาลือกันว่านายช่างเชษฐาและคุณหญิงดอกอ้อ ภรรยาของท่านทั้งสองว่าใจดีเหลือเกิน มีอะไรก็แบ่งสันปันส่วนให้บ้านใกล้เรือนเคียง ไม่มีการถือเนื้อถือตัวให้แคลงใจ มีข่าวลือหนาหูว่า นายช่างเชษฐานั้นจะเปิดโรงเรียนสอนเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย

           “ครามไหว้ลุงเขาสิลูก” พ่อลูกอ่อนวางเด็กน้อยร่างป้อมลงกับพื้น เท้าน้อย ๆ ที่ปราศจากรองเท้าสัมผัสกับพื้นดินสาก แต่เจ้าเด็กน้อยไม่ได้มีท่าทีงอแงแต่อย่างใด ทำเอาตาแหวนหวั่นใจว่าผิวเนื้ออ่อนจะถูกเสี้ยนตำไปซะก่อน

           “สวัสดีฮับ” เสียงของเด็กน้อยที่ยังไม่ค่อยเป็นภาษานักดังขึ้นพร้อมพนมมือป้อม ๆ ตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ ตาแหวนหัวเราะร่ายิ้มให้เด็กน้อยอย่างเอ็นดู  เงยหน้ายกมือขึ้นไหว้นายช่างเชษฐาอย่างเกรง ๆ แต่ร่างสูงแกร่งกลับหัวเราะและยกมือไหว้ลงแหวนซะเอง

           “ลุงเป็นผู้ใหญ่จะมาไหว้ผมได้ยังไงละครับ ว่าแต่เจ้าทุยชื่ออะไรตัวมันใหญ่ล่ำสันเขาโค้งงอน ดูเป็นพ่อพันธ์ที่ดีได้เลยนะครับ”

           “อ่อ เจ้านี้ชื่อพ่อทองน่ะครับ อ่ะ นายน้อยอย่าเดินไปทางนั้นครับเดี๋ยวเสี้ยนตำตีน” ลุงแหวนร้องห้ามปรามนายน้อยตัวเล็กที่เริ่มซนเดินเตาะแตะไปทั่วตามภาษาคนบ้านนอก ทำเอาคนที่ยืนฟังหัวเราะร่า ก่อนจะยกมือขึ้นปรามลุงแหวนเอาไว้ ไม่ให้ถลาไปประคบประงมลูกชายตัวเอง

           “ปล่อยเขาไปเถอะครับ ปล่อยให้เขาได้เอาเท้าสัมผัสกับพื้นดินพื้นหญ้าบาง เพราะสุดท้ายตอนที่เราสิ้นใจร่างก็ต้องจมธุลีดินอยู่ดี ถือว่าเป็นการสั่นสอนให้เด็กคนนี้ได้เรียนรู้ด้วยตนเองเถอะครับ”

           “เอ่อ … ครับ”

   ตาแหวนที่ก้มต่ำก็เพิ่งสังเกตเช่นกันว่าคนเบื้องหน้าเองก็ไม่ได้สวมรองเท้าเฉกเช่นเดียวกับลูกชาย และนึกแปลกใจในการสอนที่แปลกประหลาดของพ่อหนุ่มตรงหน้าอยู่ไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความนับถือใจใหญ่ของเขาซะเหลือเกิน

   

“ฮึก แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”



           ไม่ทันขาดขำเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยจอมซนก็ดังขึ้น ทั้งสองที่คุยกันถูกคอหันไปมองพร้อมกัน ก่อนที่เชษฐาจะหัวเราะออกมาอีก เมื่อเห็นลูกชายที่สะอาดสะอ้านของเขาบัดนี้เนื้อตัวเต็มไปด้วยปักโคลนสำหรับเจ้าทองที่นอนหมอบนิ่งอยู่ใกล้ ๆ ตาคมของเชษฐาส่องแววมองไปยังเด็กหนุ่มวัยซ่าที่ยืนออกันอยู่ใกล้ ๆ แต่มีเจ้าตัวแสบหนึ่งคนที่ก้าวล้ำออกมา ชะโงกเอามืออุดหูตัวเองเพราะเสียงของลูกชายเขา แต่ปากสีลูกตำลึงอมยิ้มราวกับว่ากำลังดูเรื่องสนุกอยู่

           “ไอ้จิ๋วโง่เดินตกโคลน ฮิฮิ” เสียงแตกหนุ่มใสของเด็กชายวัย 9 ขวบ ในชุดนักเรียนประถมตัวเล็กน่ารักแต่ท่าทางเก๋า เอาเรื่องอยู่ดังขึ้นอย่างทะเล้นพร้อมกับสหายร่วมกระบวนอีก 3 หนอที่ถอยไปยืนกรูกันด้านหลัง

           “ไอ้โทน เดี๋ยวพ่อเขาก็มากระทืบมึงหรอก”

           “ก็กูไม่ได้ทำอะไรนี้หว่าไอ้ป๊อก แค่จะเข้ามาทักไอ้เปี๊ยกนี้ก็ล้มไปเอง โอ๊ย ลุงแหวนเขกหัวฉันทำไม” เด็กชายที่ทำคอไม่รู้ร้อนโดนมะเหงกเสียกบาลแทบแยกหน้ามุ่ย ดูกวนโอ้ยตามภาษาเด็กๆ

           “แสบนักนะเอ็ง ไป ๆ ไปขอโทษคุณเชษฐาซะ!” ร่างแกร่นของลุงแหวนตวาดเจ้าโทนวัยเด็กก่อนจะถลาเจ้าไปอุ้มนายน้อยที่ร้องงอแงอยู่ที่พื้นโคลนขึ้นมา

           “ซวยแล้วมึงไอ้โทน กูบอกให้ไปเล่นเกมที่ตลาดไม่เชื่อ เสือกอยากมานา เป็นไงละมึง”

           “อะไรวะไอ้ทิว ก็กูอยากเล่นปีนต้นไม้นี้หว่า ไปกับกูเลยพวกมึงอะ”

           เชษฐาหัวเราะรับเด็กน้อยที่ตัวเปื้อนโคลนให้มานั่งข้างๆ ตรวจดูแล้วร่างน้อยก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพียงแค่มอมแมมไปหน่อยเท่านั้นเองและเขาก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเจ้าหัวโจกทั้งหลาย และเข้าใจดีว่าเด็กพวกนั้นไม่ได้ตั้งใจ ทุกอย่างคืออุบัติเหตุเพียงแค่เจ้าโทนตัวเล็กซ่าไปหน่อยเท่านั้นเอง

           “ขอโทษนะลุง ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เสียงของเจ้าโทนตะโกนมาก่อนที่จากคันนาด้านบน ที่ทั้งก๊วนไปกระโดดค่อมรถจักยานและปั่นออกไปแล้วด้วยความไวแสง

           “ข้าจะบอกไอ้ทายแน่ไอ้โทน!!!!” จักรยานคันที่โทนขี่อยู่เซนิด ๆ แต่ก็ประคองต่อไปได้ไม่หันหลังกลับมาให้ตาแหวนเขกหัวอีก

           “อย่าไปถือสามันเลยนะครับนายช่าง มันก็แบบนี้แหละจริง ๆ ก็เป็นเด็กดีไม่มีพิษมีภัยกับใคร”

           “หึหึ ครับ ผมเองก็ไม่ติดใจ เอาความอะไรอยู่แล้ว ดีซะอีกเด็กคนนี้ได้เจออะไรใหม่ ๆ บ้าง ผมต้องขอเอาเจ้าเด็กนี้กลับไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ลาครับลุง” เชษฐายกมือไหว้ตาแหวนก่อนจะพาลูกชายอุ้มขึ้นอยู่บนแขนข้างเดียวก่อนจะพาสาวเท้าเดินออกมาเพื่อกลับมายังบ้านอันสงบสุขของครอบครัวที่แสนจะสงบสุขที่เขาใฝ่ฝันจะให้ลูกชายเติบโตอย่างสมถะ

.

.

.

           เชษฐาพาลูกชายเดินเข้ามาในบ้านสวน ขนาดไม่เล็กหรือไม่ใหญ่ปลูกตั้งอยู่หลังกำแพงหนาสูงกว่า 3 เมตร พอที่จะเลี้ยงดูคนรับใช้ 2 ผัวเมียคนสนิท ศักดิ์และชะเอม พร้อมทั้งครอบครัวของเขาได้อย่างไม่ให้อึดอัด ต้นไม้น้อยใหญ่ถูกปลูกไว้อย่างร่มรื้นรอบเรือนปูนผสมไม้ผสมสไตล์ยุโรปร่วมสมัย การออกแบบวางแปลนรวมไปถึงการปลูกสร้างอยู่ใต้ความดูแลของนายช่างใหญ่ส่วนการตกแต่งทุกส่วนในบ้านก็แบ่งให้คุณหญิงดอกอ้อภรรยาสุดที่รัก

           “ตายแล้ว ลูกของน้องไปโดนอะไรมาคะเนี้ย”

           น้ำเสียงตกใจของหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ่มในชุดกระโปรงสีดอกลำดวน สวมผ้ากันเปื้อนทำครัวร้องขึ้นเมื่อเห็นสภาพของลูกชายตัวเองที่เดินแก้มแดกจมูกแดง รองเท้าไม่ใส่ทั้งพ่อทั้งลูก ตอนออกไปทั้งพ่อทั้งลูกก็สะอาดสะอ้านมีร้องเท้าใส่กันดี ๆ แต่ทำไมขากลับถึงเละเทะมาเช่นนี้ คุณหญิงดอกอ้อตั้งคำถามกับตัวเองในใจ มือขาวสะอาดสะอ้านวางถาดขนมไทยลงบนโต๊ะใกล้ ๆ ก่อนจะถลามาอุ้มลูกชายขึ้นไปแนบอก ปลอบประโลมอย่างรักใคร่

           “เดี๋ยวเราคุยกันแน่ค่ะพี่เชษ ป้าชะเอม อ้อ! ฝากดูครัวด้วยนะคะ” ร่างอรชรพาลูกน้อยขึ้นไปชั้นบนของบ้านเพื่ออาบน้ำอาบท่าให้สะอาดเอี่ยมเหมือนคราวก่อนออกไปจากบ้าน  ทำเอาผู้เป็นสามียิ้มแหยะ ๆ

           “ฟ้าคราม”

   เสียงทุ้มต่ำของเชษฐาที่นั่งอยู่ภายในซุ้มดอกกุหลาบ พร้อมกับภรรยาแสนสวยที่กำลังยกอาหารหลากหลายมาเสริฟบนโต๊ะด้านหน้า เด็กแสนซนที่นั่งเล่นดอกหญ้าอยู่ลุกขึ้นเดินเต๊าะแตะมาหาในเสื้อผ้าสะอาด แก้มเดงเต็งตึงยิ้มอย่างร่าเริงบริสุทธิ์ราวกับเมฆสีขาวที่ลอยอยู่บนฟากฟ้ายามที่ฟ้าสดใส

           “ฮับป๋อ”

           “พูดชัดๆสิลูก”

           “ฮับพ่อ”

           “หึหึ ครับ ไม่ใช่ฮับ”

           “หะ คะ ฮับ”

           “ฮ่าๆๆ ๆๆๆๆ มานี้มามานั่งตักพ่อมา” เจ้าตัวเล็กกระโดดอยู่ที่พื้นดึ๊ง ๆ เพราะขึ้นตักพ่อไม่ได้ อ้าแขนเล็กให้อุ้มขึ้นไปแต่ผู้เป็นพ่อกลับนั่งยิ้มดูท่าทีว่าลูกของเขาจะทำยังไง

           “เดี๋ยวเถอะแกล้งลูกอีกแล้วจะฝึกแกให้ไปเป็นยอดมนุษย์หรือไงคะ” ดอกอ้อพูดขำ ๆ ทำท่าจะถลาเข้าไปอุ้มเจ้าตัวน้อย แต่ผู้เป็นสามีร้องห้ามไว้เสียก่อน 

   ทันใดนั้นสองสามีภรรยาก็ต้องแปลกใจเมื่อร่างเล็กของเด็กชายวัย 4 ขวบ เดินไปลากเก้าอี้เล็ก ๆ มาทางเขาก่อนจะเลื่อนให้ชิดกับเก้าอี้ของผู้เป็นพ่อและปีนขึ้นมายืนพร้อมกับโถมตัวลงบนตักหนาของบิดายิ้มล่าจนแก้มปิด และค่อย ๆ ตะเกียดตะกายขึ้นมาด้วยตัวเอง โดยมีเชษฐาคอยจับประคองอยู่ไม่ห่างเพราะกลัวว่าจะตกพื้นไปหัวล้างค้างแตกซะก่อน

           “เย้” เจ้าตัวน้อยร้องออกมาอย่างดีใจเมื่อขึ้นมาอยู่บนตักแกร่งได้แล้ว ก่อนที่เชษฐาจะหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับภรรยาที่มองมายิ้ม ๆ

           “เราสองคนจะช่วยกันเลี้ยงดูเจ้าเด็กคนนี้ให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีนะครับ”

           “คะ …” ภรรยาสาวขานรับเสียงกระซิบของสามีอย่างอ่อนหวานก่อนจะนั่งลงทานข้าวพร้อมกันทั้งครอบครัวอย่างมีความสุขท่ามกลางเมกไม้ที่สวยงามและสงบสุขภายในบ้านสวนอันอบอุ่นแห่งนี้



           แต่ความสงบสุขนั้นไม่อาจอยู่คงทนเมื่อความโลภไม่เข้าใครออกใคร …



           “คราม! เสร็จหรือยังลูกเดี๋ยวจะสายเอานะครับ”

           “เสร็จแล้วครับแม่” เด็กชายที่เคยตัวจ้อย บัดนี้สูงโปร่งแขนขายาวขึ้นหลายเท่าอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อยสะอาดสะอ้านพร้อมที่จะเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนชั้นประถมศึกษาในเมืองเป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียน ถึงตัวจะสูงใหญ่กว่าเด็กรุ่นเดียวกันแต่เจ้าตัวเล็กก็ร่าเริงสมวัย สายตาคมส่อแววสดใสริมฝีปากจิ้มลิ้มสยายยิ้มอยู่ตลอดเวลา อย่างเด็กสุขภาพจิตดี

           “หึหึ หนุ่มน้อยของแม่หล่อเชียว เดี๋ยวให้คุณลุงศักดิ์ไปส่งนะลูกวันนี้มีแขกมาบ้าน พ่อกับแม่ต้องอยู่ต้อนรับ”

           “ครับผม คราม 8 ขวบแล้ว โตแล้วแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนายนะ” เด็กชายยิ้มล่าพูดอย่างภูมิอกภูมิใจในอายุที่มากขึ้นในทุกทีของตัวเอง ฟ้าครามหรือนายน้อยของตระกูลอยากโตขึ้นไว ๆ จะได้ดูแลแม่ดอกอ้อ และเป็นลูกมือให้พ่อนายช่างของตัวเอง ในตอนนั้น นายน้อยคิดเพียงเท่านั้นตามภาษาเด็กชาย

           “จ้า ๆ งั้นเดี๋ยวแม่ไปส่งที่รถนะ นี้ครับอาหารเช้าไปกินบนรถเนอะเดี๋ยวไม่ทัน” ข้าวกล่องหน้าตาน่าทานถูกส่งให้นายน้อยถือเอาไว้ด้วยตัวเอง

           “ขอบคุณครับ ว่าแต่พ่อละครับ”

           “เห็นว่าได้รถเก่ามา คงสนุกอยู่โรงรถนั้นแหละจ๊ะ” นายน้อยพยักหน้ายิ้มรับก่อนที่คุณหญิงดอกอ้อจะพาลูกชายมาส่งขึ้นรถยนต์คันเก่าที่ลุกศักดิ์พ่อบ้านยืนรออยู่แล้ว เพื่อนำไปส่งยังโรงเรียนในตัวเมือง

           คุณหญิงดอกอ้อเหยียดยิ้มเมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนลับตาไปแล้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และเดินเข้าบ้านไป ตกสายรถเก๋งคันหรูสีดำสนิทก็ขับปาดเข้ามาในบ้านสวนอันสงบสุข คุณหญิงดอกอ้อที่กำลังทำครัวอยู่หันมามองทางหน้าต่างและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หันไปบอกหญิงวัยกลางคนที่ยืนเป็นลูกมืออยู่ด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมมือขาวปลดผ้ากันเปื้อนสีเรียบออกจากตัว ก่อนจะเดินออกมาจากครัวยืนหน้าบ้านสวนของเธอด้วยกิริยามารยาทไว้ตัว

           ชายหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก้าวลงมาจากรถด้วยท่าทีโอหัง ร่างสูงสง่าใบหน้าคล้ายคลึงกับคุณหญิงเพียงแต่ดูคมเข้มสมชายชาตรีเท่านั้น คุณชายธีร์ภัทร ชายตามองไปรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างสมเพช

           “บ้านนอกชะมัด”

   เสียงฝาดหูของนริศา หรือ สา ภรรยาของธีร์ภัทร ที่บัดนี้ใบหน้าบึงตึงเห็นรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากความริษยาอย่างชัดเจนถึงแม้จะห่อตัวอยู่ในผ้าไหมไทยชั้นดีดูมีสง่าราศีก็ตาม คุณหญิงดอกอ้อที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าได้ยินและเห็นทุกอากัปกิริยา ถ้าเธอเป็นคนแข็งกระด่างกว่านี้อีกหน่อยคงไล่สองสามีภรรยาคู่นี้ออกจากบ้านไปแล้วเป็นแน่

           “ทน ๆ ไปแล้วกัน อะ สวัสดีครับพี่”

           “สวัสดีคะคุณหญิงนริศา”

   คุณหญิงดอกอ้อรับไหว้ธีร์ภัทร ก่อนจะหันมายกมือไหว้คุณหญิงนริศาที่มีอายุมากกว่า นริศามองนิดๆก่อนจะยกยิ้มอย่างหยิ่งผยองให้เธอ ก่อนจะเดินนำเข้าบ้านไปอย่างไม่ได้เชิญ

           “ขอโทษแทนนริศาด้วยนะครับพี่ดอกอ้อ” ประโยคหลังธีร์ พูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงจนดอกอ้อสัมผัสหาความจริงใจไม่เจอ … ตั้งแต่เกิดมา เธอกับน้องชายคนนี้ไม่เคยญาติดีกันได้เลยสักครั้ง

           สองพี่น้องโตมาในตระกูลใหญ่และโด่งดังของทางภาคเหนือ มีธุรกิจครอบครัวเป็นจำนวนมหาศาล และเมื่อเสาหลักพ่อและแม่ของคุณหญิงดอกอ้อจากไป เธอจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองจากสาวน้อยแสนอ่อนหวานกลายเป็นนักธุรกิจ ที่สามารถต่อยอดครอบครัวต่อไปได้ในตัวเลขของบัญชีบริษัทสูงขึ้น บวกกับสมบัติเก่าที่สืบทอดกันมาตามรุ่นทำให้ ‘อริณมณี’ เป็นที่น่าจับตาและต้องใจเป็นแรงแม่เหล็กดึงดูดทั้งมิตรและศัตรูในคราเดียวกัน

           คุณหญิงดอกอ้อนั้นแม้จะมีผู้ชายมากหน้าหลายตาเจ้ามาพยายามกอบโกยหัวใจของเธอ แต่ไม่มีใครที่เอาไปได้เพราะหัวใจของเธอนั้นฝากไว้ที่นายช่างใหญ่เชษฐาเจ้าของกิจการรถยนต์ขนาดใหญ่นั้นไปเสียแล้ว และเมื่อถึงจุดที่ทั้งคู่ทำเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว พร้อมกับข่าวดีเมื่อคุณหญิงดอกอ้อตั้งครรภ์อ่อนๆ เธอจึงมอบธุรกิจให้อยู่กับคนที่ไว้ใจได้ โดยไม่สนใจธีร์ภัทรลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของเธอ จับมือสามีดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ณ บ้านสวนที่ปลายนาในพื้นที่ห่างไกลบ้านเกิด โดยละทิ้งปัญหาใหญ่อย่าง ธีร์เอาไว้เบื้องหลังเพราะไม่คิดว่า จะทำอะไรได้ไปมากกว่าการเที่ยวเล่นไปวัน ๆ       

           “ในเมื่อธุรกิจของพี่ไม่ได้บริหารแล้ว ทำไมไม่ปล่อยให้ผมบริหารจะไปจ้างคนนอกมาให้เสียเงินเสียทองทำไม” ทันทีที่คุณหญิงดอกอ้อ นั่งลงบนโซฟาลายดอกผกากรอกพื้นขาวลายดอกสีแดงสดนั้น ธีร์ที่ยืนมองดูนาฬิกาลูกตุ้มเก่าแก่อยู่อีกทางก็พูดขึ้น ทำให้คุณหญิงนริศาที่จิบชาดอกมะลิที่ป้าชะเอมมาเสริฟอยู่โซฟาฝั่งตรงข้างนั้นชะงักเงี้ยหูฟัง

           “พี่ไม่คิดว่าธีร์จะดูแลธุรกิจของพ่อพี่ได้” เสียงหวานตอบด้วยน้ำเสียงปราณี

           “แล้วไอ้ปรเมศ นั้นมันดีกว่าผมหรือไง” คิ้วหนากระตุกเล็กน้อยแต่ริมฝีปากหนายังแสยะยิ้มอยู่ ต่างจากคุณหญิงดอกอ้อที่ยังท่าทีสงบในกิริยาที่เหมาะสม

           “ตอนนี้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดไม่ใช่ของอาริณมณี”

           “พี่จะบอกผมว่า มันเป็นของไอ้ตระกูลโสโครกของผัวพี่งั้นเหรอ พี่จะชุบมือเปิ่บเอาบริษัทไปสังเวยให้มัน!!!! นี้บริษัทของคุณพ่อนะ!!!!!”

           “พูดใหม่ตาธีร์ พ่อของพี่ ไม่ใช่พ่อของเธอ” ดอกอ้อ พูดพลางจิบชาอย่างสงบใจ 

           “คุณหญิงพูดอย่างงี้หมายความว่ายังไงคะ”

           “ขอเรียนคุณสา ดิฉันว่าคุณอยู่เฉย ๆ ดีกว่านะคะ นี้คือเรื่องในครอบครัว … ตาธีร์ พี่ให้เงินเธอไปแล้วหลายร้อยล้าน มันพอที่จะทำให้เธอตั้งตัวได้ ในขณะเดียวกัน พี่เองก็เฉียดเงินเพื่อออกมาหาความสงบสุข และพี่ไม่เห็นว่า ใครจะดูแลบริษัทคุณพ่อได้”คุณหญิงดอกอ้อ ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “อีกอย่างถ้าไม่มีคุณปรเมศ เขาจะไม่มีวันหักหลังพี่ และถ้าเธอกล้าพอที่จะไปแย่งบริษัทมาจากเขาได้ พี่ก็จะรอดูว่าเธอจะทำได้ไหม”

           “พี่ดอกอ้อ”  ธีร์ภัทรกัดฟันแน่นเสียงดังกรอด ๆ และทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาคุณหญิงที่นั่งมองสายตาตรงมาอย่างไม่เกรงกลัว ประสบการณ์ในสายธุรกิจที่ต้องเจอยักษ์เจอมารในคราบหน้ากากของมนุษย์ทำให้เธอไม่เกรงกลัวต่อสุนัขที่เห่าหอนอยู่ตรงหน้าเธอแม้แต่น้อย

           “มีอะไรกันหรือเปล่า” เสียงเข้มดังขึ้นจากหน้าประตู ร่างสูงใหญ่ที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันเครื่องเดินถือประแจอุปกรณ์ซ่อมรถอันใหญ่เข้ามาในบ้าน ทำให้ธีร์ภัทรและนริศายืนนิ่งและสงบลงได้

           “ผมขอตัว” ธีร์ภัทรสะบัดตัวเดินออกไปจากบ้านพร้อมกับภรรยาที่อายุมากกว่าเดินตามหลังออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก เชษฐามองตามหลังทั้งคู่ด้วยสายตานิ่งและตรงไม่มีคราบรอยยิ้มที่เจือจางอยู่ตรงเวลา

           “ผมออกไปส่งแขกก่อน”

           “ไม่ต้องค่ะพี่เชษ ให้ลุงศักดิ์ส่งไปเถอะนะคะ … แอบฟังอยู่เหรอคะคุณพี่”

           ดอกอ้อขำนิด ๆ ในท่าทีของสามีที่นานทีจะได้เห็น ท่าทางเคร่งครึมน่าเกรงขามเช่นนี้ ตาคมจ้องมองภรรยาอย่างแสนรักก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่ง เพราะเขารู้ดีว่าภรรยาคนนี้หมดไปกับน้อยชายของเธอมากแค่ไหนแล้ว ในตอนที่ภรรยาสาวนั่งแท่นตำแหน่งประธานบริษัท ธีร์ภัทรไม่ทำอะไรแม้แต่นิดเดียวเพื่อบริษัท

           แต่เมื่อครั้นที่คุณหญิงดอกอ้อสลับมือกับปรเมศคนสนิทกลับเดือดร้อนเพราะรู้ว่าต่อไปนี้เงินทั้งหมดที่ดอกอ้อหามาได้เมื่อคราก่อนจะไม่มีมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยให้ตนเองอีกแล้ว เชษฐารู้ดีถึงแม้ปรเมศจะดำรงตำแหน่งประธานบริษัท แต่ดอกอ้อก็ไม่ทิ้งให้น้องชายต้องอดอยากอยู่แล้ว เพียงแต่ตัวเงินจะน้อยลงตามความเหมาะสมเท่านั้นเอง โดยเหตุผลที่เธอเลือกปรเมศคนสนิทให้รับตำแหน่งประธานบริษัทแทนนั้น มีเหตุผลหลักอยู่เพียงข้อเดียวคือ

            เธอไม่อยากเห็นบริษัทของคุณพ่อที่เคารพรัก พังทลายไปต่อหน้า ยอมถูกคนนินทาว่าร้ายว่าทรยศดีกว่าให้ทุกอย่างสูญสลายหายไปด้วยน้ำมือของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่าง ธีร์ภัทร

           “หึ เสียงดังกันขนาดนั้น พี่ไม่เอาประแจฟาดหัวน้องเธอก็ดีแค่ไหนแล้วดอกอ้อ คนอะไรโลภมากชะมัด พี่ว่าเราให้เขามากเกินไปแล้วแท้ ๆ ”

           “ยังไงเขาก็น้องอ้อ ว่าแต่พี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเถอะคะ เหม็นน้ำมันเครื่องจัง”

           “ครับคุณผู้หญิง”

   เชษฐาหยอกล้อกับภรรยารักนิดๆก่อนจะวิ่งขึ้นห้องมาเพื่อชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานที่รัก โดยไม่รู้เลยว่าจากเหตุการณ์ในวันนี้จะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีให้ไฟริษยาของความโลภโมโทสะ ประทุขึ้นอย่างเงียบๆ …

.

.

.

           “บ๊ายบ่ายน้ำ”

           เด็กชายตัวน้อยในชุดนักเรียนประถมศึกษา 4 หัวเราะคิกคักเมื่อเลิกเรียนและได้เวลากลับบ้าน โบกมือล่ำลาเพื่อนคนแรกของโรงเรียนใหม่ที่ซ้อนรถจักรยานคันเก่าของพ่อเธอไป ส่วนตัวของเขาก็ย้ายมานั่งรอพ่อเชษฐาที่สัญญากันไว้เมื่อคืนว่าจะมารับที่ชิงช้าใกล้ ๆ รั้วโรงเรียน

   บรรยากาศของโรงเรียนประถมศึกษาในตอนเลิกเรียนดูคึกคักจนเด็กน้อยยิ้มให้กับโลกอันสดใสเมื่อมองเห็นทุกคนมีความสุข และดูเหมือนว่าวันนี้พ่อเชษจะมารับผิดเวลาไปเสียหน่อยเพราะตะวันเริ่มทอแสงและเสียงจอแจของเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเริ่มน้อยลง นายน้อยกอดกล่องข้าวนั่งเชยคางมองไปยังประตูรั้วอย่างไร้จุดหมาย พลางคิดในในว่าถ้าพ่อเชษฐามาจะแกล้งงอนเอาซะเลย

           “เปี๊ยก ชื่อไร” เสียงเล็ก ๆ ที่นายน้อยไม่คุ้นหูดังขึ้นทำให้ตาใสหันไปมองและก็พบกับรุ่นพี่ตัวเล็กผิวขาวหน้าตาน่ารัก ม.ต้น ต่างโรงเรียน ที่ยืนเกาะลูกกรงอยู่ เด็กชายเม้มปากก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดออกไป

           “ฟ้าครามครับ”

           “ชิ คนอะไรชื่อฟ้าคราม กูชื่อโทนนะ”

           “มีธุระอะไรเหรอครับ”

           “ก็เปล่าเห็นนั่งอยู่คนเดียวเลยเข้ามาทัก พ่อทิ้งเหรอไง”

           “ไม่ครับ พ่อผมกำลังมา” นายน้อยพูดแต่ตาเหลือบมองด้านหลังของคนที่เพิ่งรู้จักร่างสูงใหญ่สมชายชาตรีเดินเข้ามาเงียบ ๆ โดยที่เจ้าโทนตัวแสบไม่ทันได้ระวังตัว

           “อ่ออออออออ ที่แท้ก็โดนทิ้ง แว้! โอ๊ย อะไรเนี้ยพ่อ!!!!” มะเขกลูกเบอเรอหล่นใส่หัวของโทนอย่างเลือกไม่ได้ เจ้าตัวหันไปโวยวายกับพ่อทายของตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ จะให้โทนโชว์นักเลงบ้างไม่ได้เลยเหรอไงนะ !

           “ไปก่อกวนอะไรเขา มึงนี้นะไอ้โทน! ไปกลับไปทำกับข้าวกับปลาได้แล้ว”

           “โอ้ย ๆ จะบ่นอะไรนักหนาเนี้ย ไปแล้วก็ได้ ชิ ไอ้เด็กบ้า แว้!!!” ยังไม่วายที่โทนจะหันมาแลบลิ้มปลิ้นตาใส่ฟ้าคราม ที่นั่งเอ๋อมองอยู่ไม่ได้ขยับไปไหน เมื่อร่างเล็กของเจ้าตัวแสบโทนห่างออกไป พ่อเชษฐาของเด็กน้อยก็เลี้ยวมอเตอร์ไซค์เข้ามารับนายน้อยในเวลาที่ไม่นานนัก


ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4
.

.

.

           “ฝันดีนะลูกแม่”

           เสียงกระซิบหวานดังแผ่วเบาก่อนจะห่มผ้าผื่นหนาให้เจ้าตัวเล็กที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหายใจอย่างสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าตอนนี้เด็กน้อยได้หลับไปแล้วภายในห้องนอนสีฟ้าอ่อน ที่เปิดไฟหัวเตียงแสงสีส้มไว้สลัว ๆ ก่อนจะหอมที่ขมับใสอย่างรักใคร่และค่อยๆผละกายออกมาจากห้อง พบกับสามีที่ยืนคอยท่าอยู่หน้าห้อง เมื่อทั้งคู่ส่งเจ้าตัวน้อยเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินกลับมาพักผ่อนที่ห้องที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก

           “ฝันดีครับดอกอ้อที่รักของพี่” นายช่างเชษฐากระซิบแผ่วเบาอย่างอ่อนโยนให้แม่ของลูกที่เหนื่อยเหน็ดมาแล้วทั้งวันก่อนจะพยุงกายเล็กให้นอนลงกับเตียงหนาในห้องที่กว้างใหญ่ และล้มตัวนอนเคียงข้างกอดร่างเล็กเอาไว้อย่างหวงแหนไม่ต่างกัน

           ท่ามกลางความเงียบสงัดในบ้านสวนที่แสนอบอุ่น เงาดำคืบคลานเข้ามา ชายฉกรรจ์ 3-4 คนลอบเข้ามาในบ้างสวนที่การป้องกันต่ำเพราะไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเข้ามาทั้งที่รู้ว่าเป็นเขตของนายช่างเชษฐา ประจวบที่บ้านของเขาไม่เคยไปทำความเตือนร้อนให้ใครจึงไม่จำเป็นต้องวางกำลังยามเฝ้าให้รำคาญใจ ครั้งจะเลี้ยงสุนัขไว้เฝ้าบ้านคุณหญิงก็มีอาการแพ้จึงไม่สามารถเลี้ยงสัตว์อะไรได้เลย จึงเป็นช่องโหว่ที่ทำให้บ้านหลังนี้กำลังตกอยู่ในอันตราย

           หนึ่งในเงาปิศาจย่องเบาเข้ามาในบ้านที่หลับสนิท มาล็อกทั้งประตูหน้าและประตูหลังอย่างรอบครอบ ก่อนที่น้ำมันก๊าดอันเป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่ดีถูกเทสาดไปทั่วบริเวณ อย่างไม่มีการบอกกล่าว เสียงตะกุกตะกักทำให้ลุกศักดิ์คนสวนประจำบ้านที่พักอยู่ชั้นร่างสุดผวาตื่นขึ้น ร่างแกร่นค่อยๆลุกขึ้นยืนก่อนจะคว้าเอาไม้น้าสามใกล้ๆมือมาถือไว้

           “มีอะไรตาศักดิ์”

           “เอ็งอยู่ในนี้ชะเอม ข้าจะออกไปดูอะไรหน่อยและล็อกห้องเอาไว้ห้ามเปิดให้ใครทั้งนั้น  ถ้าเห็นท่าไม่ดีให้โทรบอกคุณๆที่บ้านใหญ่ และโทรแจ้งตำรวจ ตกลงไหม”

           “ขโมยหรือ”

           “ไม่รู้” ลุงศักดิ์พูดตอบป้าชะเอมที่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์

   ร่างแกรนของแกค่อย ๆ ออกมาจากห้องพร้อมไม้หน้าสามคู่มือ ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปทางบ้านใหญ่ และต้องชะงักเมื่อกลิ่นของน้ำมันก๊าดคลุ้งไปทั่ว จนต้องเอามือปิดจมูก ทันใดนั้นลุงศักดิ์ก็เบิ่งตากว้างเมื่อเห็นภาพของชายร่างสูงใหญ่สามสี่คนกำลังช่วยกันราดน้ำมันก๊าดอย่างเอาเป็นเอาตายใต้ต้นไม้และตัวบ้านที่เป็นไม้ด้านล่างของบ้านสวนของเจ้านาย

           “เฮ้ย! อั๊ก!!!”

ผลุบ

           ลุงศักดิ์ล้มหน้าคว่ำไปกับพื้นเมื่อเจอกับสันมือที่สับลงบนคออย่างรุนแรงจนแกสลบไปทำให้ทั้งบ้านสงัดลงไปอีก และทั้งหมดก็ส่งสัญญาณให้เร่งทำงานที่ได้รับมอบหมายมาต่อโดยไม่รู้เลยว่าป้าชะเอมแอบยืนมองอยู่ไม่ไกลนัก ด้วยความเป็นห่วงสามีเลยตามออกมาดู จึงเห็นภาพทั้งหมด สาววัยกลางคนรีบวิ่งเข้าไปในห้องพักห้องเดิมหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ด้วยความสั่นเทา ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกถีบออก

           “คะ คุณธีร์ !!!!!!”

           “ใช่ผมเอง!”

           “ยะ อย่านะคะ อย่าเข้ามา กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!!!!!”

ปัง!!!!

           เสียงกรีดร้องของป้าชะเอมร้องออกมาสุดเสียงและเสียงปืนดังขึ้น ทำให้เชษฐาที่หลับสนิทอยู่สะดุ้งตื่นพรวดขึ้นมา ด้วยสัญชาติญาณเขาพุ่งไปหยิบปืนในลิ้นชักออกมาถือพร้อม ก่อนที่คุณหญิงดอกอ้อจะลุกขึ้นนั่งด้วยความมึนงง

           “อ้อไปดูลูก”

           “มีอะไรคะพี่”

           “พี่บอกให้ไปดูลูก!”

           คุณหญิงดอกอ้อไม่ถามเซ้าซี้ต่อรีบลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องด้วยความรวดเร็ว เมื่อชายกระโปรงชุดนอนสีชมพูอ่อนของภรรยาสาวหลบพ้นไป เชษฐาก็พุ่งพรวดออกจากห้องวิ่งลงบันไดมายังชั้นล่างและไม่ว่าจะเปิดประตูยังไงก็เปิดไม่ออกราวกับว่าถูกล็อกจากด้านนอก ไม่ว่าจะประตูหน้าหรือประตูหนังก็ตาม หน้าต่างทุกบานถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวนราวกับจะกักขังพวกเขาสามแม่ลูกไว้ในนี้

   เชษฐาใจร้อนดั่งไฟเผาและเมื่อได้กลิ่นของน้ำมันก๊าดก็ยิ่งทำให้เขาแปลกใจ ไม่มีเวลาจะให้คิดอะไรร่างแกร่งรีบวิ่งไปที่โทรศัพท์บ้านพร้อมกดโทรออกหาเบอร์ตำรวจพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเสียมิได้ เพราะเหตุการณ์ดั่งกล่าวไม่ชอบมาพากลจนแปลกประหลาดไปเสียแล้ว

           “สวัสดีครับ ตำรวจโรงพัก XXX ครับ”

           “คุณนาราผมเชษนะครับ”

           “อ่อ โทรมาซะดึกเลยคุณเชษ จะแจ้งอะไรหรือครับ”

           “ช่วยมาดูที่บ้านผมที ผมว่าเหตุการณ์มัน … ไฟ!!!!” โทรศัพท์ที่เชษฐาถืออยู่หล่นลงพื้นเมื่อควันไฟลอยเข้ามาในบ้านที่ปิดทึบ เขารีบวิ่งขึ้นมาชั้นบนเพื่อหาภรรยาและลูกของตนโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ในเวลานั้นภรรยาและลูกเขาต้องรอด ต้องรอดจากไฟโลกีย์พวกนี้ !!!!

           “ไม่เป็นไรนะ” เมื่อเข้ามาถึงในห้อง สองแม่ลูกนั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางตื่นตระหนก นายน้อยไม่แม้แต่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเด็กน้อยยังไร้เดียงสาเกิดกว่าจะรู้อะไร ได้แต่กอดแนบอกของคุณหญิงดอกอ้อไว้อย่างหวาดกลัว

           “เกิดอะไรขึ้นคะพี่”

           ดอกอ้อพูดอย่างร้อนรน เมื่อเห็นสามีเดินไปเปิดหน้าต่างชั้นบนและสบถ มองลงไปชั้นล่างเป็นเพียงพื้นวางเปล่าที่ถูกสุมด้วยหญ้าแห้งและบัดนี้ไฟก็ลุกท่วมไปเสียแล้ว เขาปาดเหงื่อก่อนจะเข้าไปอุ้มเด็กชายไว้ในอ้อมอกแกร่งและฉุดภรรยาให้ลุกขึ้น เดินไปที่ห้องน้ำชั้นบนอย่างร้อนรนไม่เปิดโอกาสให้ใครถามอะไรทั้งสิ้น

           “พี่เชษคะ เกิดอะไรขึ้นพี่จะทำอะไร”

           ภรรยาสาวถามขึ้นเมื่อสามีเข้ามาในห้องน้ำได้ก็ส่งให้เด็กชายอยู่ในอ้อมอกภรรยาส่วนตัวเองก็ขึ้นไปยืนบนชักโครกและเอื้อมตัวไปปิดประตูบานเล็ก ๆ ไม่เปิดหนึ่งศอกที่อยู่ด้านบน มันกว้างพอ … พอที่จะให้เด็กอย่างนายน้อยรอดออกไปได้ …

           “ลูกต้องรอด”

   เชษฐาพึมพำเพียงลำพังเหงื่อกายแตกผลักใช้สายตาสอดส่องไปด้านล่างและเมื่อเห็นว่าด้านล่างเป็นต้นไม้ล้มลุกขึ้นปกคลุมและมีสระบัวอยู่ด้านหลังด้วย เขารู้ดีว่าลูกชายเขาแข็งแรงและว่ายน้ำได้ดีเกิดกว่าเด็กรุ่นเดียวกันแค่ไหน … เขารู้ดี

           “พี่เชษ” ดอกอ้อพูดขึ้นเมื่อได้กลิ่นควันไฟ ก่อนจะตาโตขึ้นน้ำตาไหลพรากกอดลูกไว้แน่นเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไร … ไฟ … ไฟกำลังจะมอดไหม้ทุกอย่าง

           “แม่ครับร้องไห้ทำไม …” 

           “ลูกรัก แม่รักลูกนะครับ แม่รักลูก หนูจำนิทานที่แม่เล่าให้ฟังได้ไหมครับ เด็กชายผู้อ่อนแอ จะเติบโตขึ้นเพราะความเข้มแข็งและกล้าหาญ มีชีวิตอยู่ต่อไปนะครับลูกแม่” คุณหญิงพูดพลางสะอึกสะอื้น ก่อนจะอุ้มลูกชายขึ้นและส่งให้สามีที่รอคอยรับอยู่แล้ว

           “พะ พ่อครับนี้มันเกิดอะไรขึ้น” เด็กชายพยายามถามผู้เป็นพ่อ มองสลับกับแม่ที่ยืนหันหลังให้ร้องไห้จนแผ่นหลังเล็ก ๆ นั้นสั่นสะเทือน

           “พ่อรักลูกนะนายน้อย … พ่อกับแม่รักลูกเสมอ อยู่ต่อไปนะลูก …”

           “พะ พ่อ!!!!”

ตุบ!!!

           ร่างเล็กของนายน้อยถูกผู้เป็นพ่อค่อย ๆ สอดเข้าไปในช่องระบายอากาศและหย่อนลงบนเครือเถาว์ของไม้ล้มลุก เมื่อเด็กชายลงไปนั่งอย่างมึนงง ก็ต้องตาโตด้วยความตกใจเมื่อหันไปเห็นสภาพบ้านสวนมุมสูงเปลวไฟสีแดกฉานไล้โลมเลียไปทั่วทั้งพื้นอาณาเขตของบ้าน

   ตาคมสั่นระริกเงยขึ้นไปมองที่ช่องระบายอากาศนั้น เห็นมือแกร่งของผู้เป็นพ่อห้อยลงมาอย่างอาลัยอาวรณ์รัก เด็กน้อยพยายามไขว้คว้าหาแต่ทำเท่าไหร่ก็ไม่ถึงเพราะตัวนั้นเล็กเกิดกว่าจะเอื้อมถึงไป ทันใดนั้นเท้าเล็ก ๆ ก็ก้าวพลาดและหล่นลงไปในสระบัว

           ภายในห้องน้ำบนชั้นสอง นายช่างเชษฐาค่อย ๆ ลงมาจากชักโครกด้วยน้ำตาที่เอ่อล้ม ค่อยๆนั่งคุกเข่าคลานเข้าไปหาภรรยารักที่คุดคู้อยู่ใกล้ ๆ แขนแกร่งโอบกอดร่างเล็กเอาไว้อย่างหวงแหน

           “ลูกรักของเราต้องรอดนะอ้อ … เขาจะต้องรอด”

           “ฮึก อ้อขอโทษ น้องขอโทษคะคุณพี่ น้องไม่คิดว่า ฮึก ไม่คิดเลยว่า ฮือออออออออ”

           “ไม่ร้องนะครับคนสวย … ไม่ว่าเราสองคนจะเป็นยังไง อย่างน้อยเราก็สบายใจได้ว่าลูกของเราจะไม่ตาย … เขาจะมีอนาคต และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี”

           “ค่ะ … ฮึก พี่เชษฐา ดอกอ้อรักคุณพี่นะคะ”

           ภรรยารักกระชับกอด พลางไอกระแอมออกมาอย่างติดขัดเพราะควันพิษที่หนาทึบขึ้น เชษฐาก้มลงหอมไรผมนุ่มก่อนจะพึมพำบอกรักภรรยาคู่ชีวิตของเขาอย่างอ่อนน้อมและรักใคร่ แขนแกร่งกอดรัดร่างอรชนเอาไว้และค่อย ๆ หลับตาปล่อยให้ชะตากรรมพาไป … ลูกของเขา … จะเติบโต … นั้นคือสิ่งที่ทั้งคู่มั่นใจถึงแม้จะต้องตายอยู่ตรงนี้ก็ตาม …

           “แคกๆๆๆ”

           ร่างเล็กของนายน้อยตะเกียดตะกายขึ้นมาบนฝังด้วยแรงที่เหลือน้อยลงไปเต็มที ตาเล็ก ๆ เงยหน้าขึ้นเหม่อมองผ่านม่านน้ำตาและความเหนื่อยล้าเห็นเพียงเปลวไฟที่โหมลุกโชนกระหน่ำไปทั่วทั้งบ้านที่เด็กน้อยแสนรัก ก่อนที่เขาพยุงกายลุกขึ้นยืน ก้าวขาด้วยแรงที่เหลืออันน้อยนิดและสั่นเทาอย่างอ่อนแรง

           “มะ แม่ …. พะ พ่อ ฮึก พ่อ … แม่ ฮึก พ่อ แม่!!!!! อุ๊บ …”

           มือหนาของใครสักคนคว้าร่างเล็กจากด้านหลัง แผ่นหลังอ่อนแรงกระแทกเข้ากับอกแกร่นของลุงศักดิ์ ก่อนที่ดวงตาเหม่อลอยจะดับวูบลงไป ด้วยความอ่อนเพลียจากความตกใจและช็อกกับเหตุการณ์ตรงหน้า … ทิ้งไว้เพียงภาพที่แสนชลมุนและวุ่นวายที่เสียงรถตำรวจดังไปทั่วทั้งบริเวณ …





//////////////



ตอนหน้าใครมีปืนเกียมปืน มีมีดเกียมมีดรอเลยนะคะ //ไรท์ตอนนี้ไปก็หมั่นเขี้ยวไป สงสารลูกไม้

ปล. ลูกไม้-พ่อโทน เขาสองคนเจอกันมาตั้งนานแล้ว  อีตาโทนก็แสบเหลือเกิน <3'

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 22 จุดสิ้นสุด


           หลังจากนั้นวันนั้นลุงศักดิ์ ก็นำผมไปซ่อนอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าภายในตัวจังหวัดตั้งแต่อายุ 8  ขวบ เพื่อไม่ให้คนพวกนั้นรู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่เพราะถ้านำผมออกประเทศ จะทำให้พวกนั้นจับผมได้และฆ่าผมทิ้ง ในเมื่อพ่อและแม่ของตาย ผมก็เสมือนนกที่ปีกหัก ไม่สามารถบินได้

   ในช่วงเวลาที่ผมไม่มีอำนาจจึงต้องซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ที่อันตรายที่สุด เพียงแต่ว่า มันปลอดภัยที่สุด ความแค้นบ่มเพาะอยู่ภายในเด็กตัวเล็ก ๆ ดึงให้เด็กคนหนึ่งดำดิ่งสู่นรกบนดินแผดเผาความสดใสและความสวยงามยามเด็กเหลือเพียงความมืดมนและไฟแค้นในจิตใจ

           … ความจริงนั้นไม่เคยเป็นอดีตถึงแม้สำนวนคดีทางกฎหมายจะถูกสรุปไปแล้วก็ตาม

           มีหลายครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมา และคิดว่าจะลืมความอัปยศที่เคยได้รับได้ ทิ้งความเป็นฟ้าครามและเป็นแค่ไอ้ไม้เด็กบ้านนอกธรรมดา ๆ มีชีวิตอยู่เพื่อพ่อโทนและมวย แต่พวกมันต่างหากที่ไม่เคยปล่อย หลายต่อหลายครั้งสะกิดเตือน โคตรน่ารำคาญ  ซึ่งผมขอเป็นคนที่สนองความแค้นแทนแล้วกันและเมื่อจบงานนี้เมื่อไหร่ ผมก็จะอโหสิกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรบวชให้จบให้สิ้น ชีวิตของผมจะได้เป็นอิสระจากทุกสิ่งและมีชีวิตอยู่กับคนที่ผมรักสักที

           “นายครับ” ผมลืมตามองขึ้นในความมืดของรถยนต์ที่แล่นออกมายังชานเมือง ถนนที่ผมไม่รู้จักและไม่เคยเห็น บางทีในตอนที่ผมย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้นผมคงเด็กเกินกว่าจะจำอะไรได้ละมั่ง

           “ใกล้จะถึงหรือยัง”

           “อีกประมาน 3 กิโลเมตรครับนาย”

           “ขับระวัง ๆ แล้วกันพวกมันคงรู้ตัวแล้วว่าเรามาเยี่ยมมันแล้ว”

           นายปราณรับคำก่อนที่ผมจะหลับพักสายตาลงอีกครั้ง มาในครั้งนี้ ผมไม่มีแผน เดินทางออกมาจากโรงแรมที่พักเพียงแค่ผมและปราณเลขาคู่ใจเท่านั้น เพราะไม่รู้จะวางแผนไปทำไม ในเมื่อฝั่งนั้นคาดเดาอะไรไม่ได้ เพียงแต่พร้อมที่จะรับมือตลอดเวลาเท่านั้น จะว่าผมบ้าบิ่นก็ได้ แต่มาถึงขนาดนี้แล้วผมไม่มีอะไรจะต้องเสีย ถ้ามันอยากจะฆ่านัก ขอให้มีปัญญาที่จะฆ่าได้ก็แล้วกัน หึ

ครืดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดด

           “ซวยละ”

   ผมสบถในลำคอเมื่อโทรศัพท์เครื่องเก่าสมัยที่ผมยังเป็นเด็กที่มีแค่พ่อโทนเท่านั้นที่จะโทรเข้ามา นึกไม่ออกเลยถ้าสุดที่รักของผมรู้ว่าผมออกมาจากห้องและปล่อยเขานอนเหมือนเจ้าบ่าวที่หนีออกมาจากคืนเข้าหอแบบนั้น เฮ้อ ความจริงผมก็ไม่อยากออกมาหรอกอยากจะนอนกอดตัวอุ่น ๆ เอาไว้จนเช้าชะมัด

           “ครับพ่อโทน” ผมกลั้นในรับสายอย่างเสียมิได้ ปั้นเสียงให้ดูร่าเริงเข้าไว้

           “อยู่ไหน?” น้ำเสียงห้วนได้อีก

           “บริษัทครับ” ผมปาดเหงื่อที่อยู่ ๆ ก็ไหลออกมาซะงั้น

           “แน่ใจ๋?” ผมมองค้อนไอ้ปราณที่หัวเราะขึ้นเบา ๆ ไอ้เวรนี้เห็นเรื่องความเป็นความตายของผมเป็นเรื่องตลก

           “ครับ…นอนต่อเถอะครับพ่อโทนผมทำธุระเสร็จแล้วจะรีบกลับไปหานะ”

           “ไอ้ไม้ … กูเลี้ยงมึงมานะ ทำไมกูจะไม่รู้ว่ามึงนิสัยยังไง บอกกูมาตอนนี้มึงอยู่ไหน ?”

           “พ่อโทน …” เคยหนีพ่อเที่ยวไหมครับ นั้นแหละความรู้สึกของผมในตอนนี้

           “มึงอยู่ไหน กูให้เวลามึงคิด 3 วินาที ถ้าไม่บอกกูมึงโดนกูฆ่าแน่ 1 … 2 … สะ”

           “ผมอยู่ที่บริษัทครับ พอดีมีประชุมด่วนผมเลยต้องรีบมาครับ” ผมแข็งใจโกหกต่อ… ประชุมบ้าบอกลางค่ำกลางคืน ข้ออ้างโง่ชะมัดเลยไอ้ไม้เอ้ย!

           “ก็ได้ บริษัทก็บริษัท งั้นกูขอคุยกับปราณ อยู่ด้วยกันสินะ”

           “ครับ … ” ผมรับคำ ก่อนยื่นโทรศัพท์ไปให้ปราณพลางพยักหน้าให้เล่นตามนั้น รายนั้นอึกอักนิดหน่อยแต่ก็ยอมรับโทรศัพท์ไปเมื่อผมคำรามในลำคอเตือนมันอีกรอบ

           “ครับ …. ครับผม ! ผมเอ่อ อยู่บริษัทกันครับ ครับ … ได้รับคุณโทน ครับ สวัสดีครับ ” ไอ้ปราณส่งโทรศัพท์กลับมาที่ผม และหน้าจอก็แสดงผมว่าพ่อโทนวางไปแล้ว เฮ้อ โทรมาขู่แล้วก็วางไป น่ารักชะมัด

           “ว่าไงบ้าง”

           “เขาบอกถ้าตี 5 นายไม่ถึงห้อง เขาจะฆ่าทั้งผมและนายทิ้งครับ” ผมรีบก้มมองนาฬิกาข้อมือทันที ตอนนี้ตี 1 มีเวลาอีก 4 ชั่วโมงก่อนที่ผมจะโดนเฉียดทิ้ง

           “ดูนายกลัว คุณโทนมากกว่าที่จะปะทะกับศัตรูซะอีกนะครับ”

           “อืม เสียเส้นเลยละ พูดแล้วคิ้วกระตุกเลยว่ะ” ผมสบถเบา ๆ นึกถึงตอนเด็กที่โดนพ่อโทนทำโทษและเสียวสันหลังเลยครับ มันเจ็บกว่าแผลที่ถูกยิงสดร้อน ๆ เมื่อตอนเย็นซะอีก



เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ด

           เสียงล้อบดกับถนนเงาของวัตถุประหลาดกระชากออกมาจากทางลูกรังที่รถของผมกำลังจะขับผ่าน ทำให้ไอ้ปราณเลี้ยวหลบไปอีกทางและเหยียบเบรกจนรถหยุดสนิทไม่ตกลงข้างทางให้ตายสิ หมายังไงก็ยังเป็นหมา ลอบกัดกันเข้าไปไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าแม้แต่น้อย

           “ผมบอกนายแล้วไงครับว่าให้เอาพวกเรามาด้วย”

           “เออ” ผมขานรับแต่ตาก็จับจ้องรถตู้ที่ออกมาดักทางพวกเราเอาไว้ ออกมาต้อนรับกันถึงที่นี้เลยนะ หึ

           “พร้อมไหมที่จะตายไอ้ปราณ”

           “ไม่ครับ” ไอ้ปราณพูดพร้อมกับสอดส่ายไปทั่ว

   ผมเหยียดยิ้มก่อนจะเปิดประตูลงไปไม่สนเสียงเลขาที่ร้องเรียกเสียงหลง แต่ก็ไม่ทันแล้ว ผมลงมายืนเอามือล้วงกระเป๋า เอียงคอมองจับจ้องไปที่รถตู้คันตรงหน้าที่ติดฟิมล์หนาทึบ ไฟหน้ารถสีเหลืองแสดสาดมาที่เราจนแสบตา เอาสิ ผมก็อยากรู้ว่ามันจะยิงผมร่วงให้มันจบ ๆ ไปเลยไหม

           “นายผมว่าเราวู่วามไปนะครับ” ไอ้ปราณเดินมาดักหน้าผมเอาไว้ ผมผลักหัวมันทำให้มันเซถลาไปอีกด้าน

แก๊ก

           ประตูรถตู้ถูกเปิดออกพร้อมกับที่ชายในรถเดินลงมา ร่างสูงใหญ่กำยำเดินลงมาจากรถ 2 คน พร้อม พวกมันอีกเต็มคันรถ … เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ในเมื่อกลัวก็ต้องเอาพวกเข้าข่มกันเป็นธรรมดา

           “ขับรถตามมา พวกฉันจะนำทางไปเจอเจ้านายเอง”

           “ใครคือนายพวกแก” ผมลี้ตาถาม มันทำท่าฮึดฮัดเล็กน้อย

           “ก็คนที่คุณมาหาไง”

           “ใครล่ะ”  ดูเหมือนหมอนี้จะเป็นคนยุง่ายชะมัด ใบหน้าเข้มทะมึนตึงขึ้นอย่างไม่แสร้งอารมณ์ทำให้ผมพอใจที่ได้ยั่วประสาทคนเล่น

           “จิ๊! คุณธีร์ภัทร ไง!!!!”

           “อ่อ …” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางยิ้มเย้ยมุมปากหรี่ตามองเหยียดแบบที่พ่อโทนไม่ชอบเพราะเขาบอกว่าเหมือนคนเจ้าชู้ เจ้าเล่ห์ พูดภาษาพ่อโทนก็ดูเหี้ยนั้นแหละครับ

           “หึ ขับตามมาอย่างตุกติกแล้วกัน”

           “จะไปไหนละ”

           “จะถามอะไรนักหนาวะ ขับตามมาก็สิ้นเรื่อง”

           “หึ” ผมหันไปมองไอ้ปราณก่อนจะพยักหน้าให้มัน ไอ้ปราณปาดเหงื่อที่ซึมออกมาก่อนจะเดินไปขึ้นรถอีกฝั่ง ในมือกุมปืนลูกซองเอาไว้ ผมก็หันหลังและก้าวขึ้นรถด้วยท่าทีที่เงียบสงบ

           “นายทำแบบนี้ใจคอผมไม่ดีเลยนะ” นายปราณพูดเชิงตัดพ้อเมื่อผมขึ้นมานั่งเรียบร้อย ปลอดภัยไม่มีรอดขีดข่วน

           “หึ ถึงมันอยากจะฆ่าก็ฆ่าไม่ได้”

           “หมายความว่าไงครับ”

           “…” ผมยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร ไอ้ปราณก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ต่อ เพราะเลขาของผมทำงานและรู้นิสัยผมดี

           “ครับนาย แต่ผมว่าพวกมันต้องเบนไปทางอื่นที่ไม่ใช่บ้านอรินมณีแน่”

           “ตามมันไปก่อนแล้วกัน” เสียงถอนหายใจของไอ้ปราณดังขึ้น ก่อนจะเคลื่อนตัวตามรถตู้คันหน้าไปอย่างทันท่วงที เส้นทางที่รถตู้คันนั้นพาไปซึ่งผมไม่รู้ได้เลยว่าพวกมันจะพาผมไปไหน ก็อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรจะรออยู่ หึ อยากรู้จนตัวสั่นเลย

.

.

.

           อารามวัดเก่าที่ถูกทิ้งรกร้างเหลือไว้เพียงซากของความเก่าแก่ของอารยธรรมเมืองพุทธที่ชำรุดเกินกว่าจะบูรณะให้สวยงามโดยไวได้ ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นรกไปทั่วบริเวณทำให้เกิดบรรยากาศอึมครึมและน่ากลัวระทึกสำหรับคนขวัญอ่อน แสงสีเหลืองนวลส่องมาจากไฟหน้ารถของรถตู้ที่ขับนำเข้ามาก่อนที่จะตามมาด้วยรถเก๋งสีดำขัดจนเงาทะยานเข้ามาจอดที่ลาดจอดรถกลางวัดที่ปรกไปด้วยใบไม้แห้ง บรรยากาศขมุกขมัวกลิ่นไอฝนที่คลุกรุ่นท้องฟ้าแดงสว่างโล่งประกอบกับสายอัสนีที่ส่องประกายโกรธเกรี้ยว … พายุแรกของหน้าฝนใกล้เข้ามาแล้ว

           “วัด …หึ ไอ้พวกบาปกรรม”

   เสียงแหบพร่านของไม้ในพึมพำขึ้นอย่างอ่อนใจ เอื้อมไปเปิดประตูลงไปยืนพิจารณาเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ยากจะเดาได้ ขณะที่ เลขาหนุ่มเองก็ก้าวมายืนอยู่เบื้องหลังด้วยท่าทีสุภาพ ก่อนที่คิ้วหนาใต้กรอบแว่นสีดำจะฉงนขึ้นเล็กน้อย เพราะนอกจากกองพลกว่า 5 ที่ลงมาจากรถตู้แล้วยังมีอีกกว่า 20 นาย ที่ออกมาจากการซุ่มอยู่โดยรอบ รายล้อมทั้งเขาและเจ้านายเสมือนกรงหนาม

           “ไอ้โจ ไม่มีใครตามมันมาแน่นะ”

   ชายร่างหนาเดินออกมาจากกลุ่มกองพลอาวุธครบมือ ใช้ศอกสะกิดหัวโจกที่นำทางทั้งคู่มาที่นี้แต่ก็จ้องมองมายังพวกเขา แต่ก็ต้องหลบตาวูบไม่จ้องตรงๆมาที่นายน้อยที่ยืนมองอยู่อย่างอัตโนมัติ พลางคิดหวั่นในใจกลัวว่าศัตรูของนายใหญ่ธีร์ภัทรคนนี้อาจจะชักปืนมายิงเขาตอนเผลอก็เป็นไปได้

           “ไอ้พวกที่ซุ้มสังเกตการณ์อยู่ตลอดทั้งเส้นทาง บอกพวกมันมาแค่ 2 คน หึ ดูท่าพวกมันจะอยากตาย”

                      “อย่าเหิมเกริมให้มันมากนัก” เป็นปราณที่เอยขึ้น ทำให้ความเงียบเข้าครอบงำช่วงครู่ก่อนเสียงหัวเราะจะดังขึ้นไปทั่วบริเวณ นายน้อยกระตุกยิ้มนิด ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ปราณใจเย็น ลูกน้องผู้ภักดีก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อม หายใจเข้าลึกและค่อย ๆ หายใจออก เดิมทีเขานั้นเป็นคนใจเย็นแต่เรื่องที่มีใครมาหยามนายเขากลับยอมไม่ได้

           “นายของพวกแกอยู่ไหน” นายโจโบกมือให้เดินตามไปยังอุโบสถเก่าที่อยู่ไม่ไกลมากนัก นายน้อยเหยียดยิ้มก่อนที่ขายาวจะก้าวตามไปอย่างมั่นคง 

           “โอ้ มาแล้วงั้นเหรอหลานรัก”

           เสียงชายวัยกลางคนดังออกมาจากภายในอุโบสถ ไม้ค่อย ๆ เงยขึ้นมองก่อนที่ใจแกร่งของเขาจะกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ ธีร์ภัทร … คนที่เผาทำลายทุกสิ่งไปจากเขา อาแท้ ๆ ที่พรากพ่อและแม่ไปอย่างเลือดเย็น นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางพื้นอุโบสถที่ปูด้วยพรมเนื้อดีสีดำสนิท บนเก้าอี้โซฟาสีทองดูมีสง่าราศีใต้เสื้อเชิ้ตสีเลือดหมูนั้น เบื้องหลังเป็นองค์พระพุทธรูปปูนองค์ใหญ่ รายล้อมไปด้วยกองพลอีกจำนวนหนึ่งแทบทุกตารางนิ้ว คนบาปอย่างบุคคลนี้ เหตุใดจึงเรื่องสถานที่สะสางหนี้แค้นครั้งนี้ในวัด … มันช่างแปลกประหลาด และเขามั่นใจว่าจะได้คำตอบในอีกไม่ช้า

           “เชิญนั่งก่อนสิ ฟ้าคราม หึ ไม่สิ ไม้”น้ำเสียงเย้ยยั้นนั้นทำให้ไม้เหยียดยิ้มก้มหัวให้เชิงรับคำ ก่อนที่ธีร์ภัทรจะหันไปสั่งลูกน้องใกล้ ๆ “ไอ้รบ ไปเอาน้ำเอาท่ามาให้หลานข้าหน่อยเร็ว”

           “เกรงใจจัง อ่อ ขอกาแฟแล้วกันนะ” นายน้อยเดินไปนั่งโซฟาตรงข้ามที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้

   รอยยิ้มกับท่าทีกวนโอ้ยนั้น ปราณรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจสำหรับฝั่งตรงข้ามเป็นแน่ ถึงปากของนายน้อยจะพูดกับเขาอยู่เสมอว่าไม่มีแผนอะไร ตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่เขาก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าคนอย่างนายเขาไม่มีทางที่จะประนีประนอมง่าย ๆ แน่ … แต่ทำไมเขาถึงไม่รู้นะว่าแผนของนายคืออะไร … หรือว่า …

           ปราณที่ยืนอยู่เบื้องหลังนายหยิบเอาสมาทโฟนที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเช็คบางสิบางอย่างด้วยความสงสัย ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเมื่อลูกน้องกระจอกของธีร์ที่บังอาจมีปากมีเสียงขึ้น อย่างไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นเครื่องเล่นสนุก ๆ ให้นายเล่นแก้เบื่อ

           “มีแต่น้ำเปล่าครับนาย” คนชื่อรบเอ่ยขึ้นกับผู้ที่นาย

           “อาริกาโน่นะ” เลขาหนุ่มเหยียดยิ้มกับความหน้ามึนของไม้ ก่อนจะก้มลงดูหน้าจอที่แสดงผลของฐานข้อมูลบริษัทอยู่

           “แต่เวลานี้จะปะ อั๊ก…!!!!”

เปรี้ยง!!!

           เสียงปืนดังสนั่นขึ้นจากปลายกระบอกปืนของธีร์ และในทันทีที่เหยื่อล้มลงกับพื้นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทั่วทั้งอุโบสถแห่งนี้เจ่อนองไปด้วยกลิ่นคาวเลือด …

   นายน้อยนิ่งสงบมือเผลอกำแน่นจนสั่นสะท้าน ไม่ได้กลัว แต่โกรธ… สุนัขยังภักดีแล้วทำไมมนุษย์ต่ำทรามคนนี้ถึงเลวกว่าสุนัข ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ ๆ ของเขา ไม่อยากจะเชื่อเลย … แต่เพียงไม่กี่วินาที ความโกรธเกลียดภายในใจก็ทุเลาลง ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มเพียงมุมปากเชิดตามองราวกับราชสีห์ที่เตรียมกระชากเนื้อเหยื่อในกรงเล็บ

           “ลากมันออกไป และพวกมึงไปหากาแฟให้หลานกู” เขากราดออกคำสั่ง ก่อนที่สองคนที่อยู่ใกล้ประดูโบสถ์จะรีบบึ่งออกไปอย่างร้อนรนอย่างกลัวตาย

           ร่างนองเลือดถูกแบกห่ามออกไปจากบริเวณทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทาง ก่อนที่ร่างสันทัดของผู้เป็นอาจะหันมาแสยะยิ้มน่ารังเกียจให้ไม้ จังหวะเดียวกับที่เลขาหนุ่มที่ยืนเบื้องหลังเงยหน้าขึ้นมามองนายด้วยความฉงนและเกือบที่จะหลุดหัวเราะออกมาเสียมิได้เมื่อได้รู้ว่านายนั้นแสบขนาดไหน

           “ระหว่างรอ เรามาคุยเรื่องธุรกิจกันดีกว่า อาได้ข่าวว่าแกกว้านซื้อหุ้นของบริษัทที่ร่วมหุ้นกับอาซะจนเกลี้ยง หึหึ แสบนักนะไอ้หลานรัก คิดจะฮุบบริษัทกูหรือยังไง!!!!!”

           น้ำเสียงโกรธกริ้วนั้นทำให้กองพลอาวุธครบมือที่รายล้อมอยู่เคลื่อนไหวเตรียมลั่นไกมาจากทุกทิศทุกทาง แต่ก็ยังชะงักมือไว้ไม่ผู้เป็นนายยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน ธีร์ภัทรจะหายใจเข้าออกอย่างสงบสติอารมณ์เอาไว้ ยกแก้วไวท์ขึ้นจิบด้วยท่าทีที่สงบลง

           ระดับนายน้อยแล้วปราณเลขาหนุ่มรู้ดี ไม่ใช่แค่การซื้อหุ้นธรรมดาเท่านั้นที่จะคุ้มครองไม่ให้ฆ่าเขาได้ แต่เป็นการเข้าถึงกระดูกดำของบริษัทต่างหาก กรรมสิทธิ์ของบริษัทคู่ค้าของธีร์วัตรเปิดให้บริการปรึกษาในระบบการเงินของบริษัทน้อยใหญ่ ซึ่งเบื้องลึกเบื้องหลังแล้วเป็นบริษัทที่ปล่อยเงินกู้รายใหญ่ เป็นลักษณะบริหารการถือหุ้นร่วมกันและผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือธีร์ภัทร แต่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาระบบผู้ถือหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างประหลาดเมื่อนายน้อยกลายเป็นผู้ถือหุ้น 40% อีก และอีก 40 % ที่เป็นของตระกูล ท่านขุนพิพัฒน์ ขัตติวิเศษศิลป์ ที่คอยให้ความอุปถัมภ์นายน้อยหลังจากที่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่เพราะความสนิทสนมสนิทชิดเชื้อกับตระกูลอาริณมณีมาตลอด ให้ความไว้วางใจจากคุณหญิงดอกอ้อผู้เป็นแม่และนายช่างเชษฐาผู้เป็นพ่อของเขา และถึงแม้ในตอนนี้ท่านขุนพิพัฒน์จะสิ้นชีพลงด้วยโรครุมเร้าและวัยชรา แต่ท่านขุนคณิต ผู้เป็นบุตรก็ยังสืบสานความสัมพันธ์อย่างลับ ๆ ของสองตระกูลมาด้วยดีและรู้ดีว่าในตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร ควรจะเลือกอยู่ฝั่งไหนด้วยความที่วัยของทั้งคู่ต่างกันเสมือนพ่อลูก

           นายน้อยจึงฝากเนื้อฝากตัวและเคารพรักท่านขุนคณิตเสมือนพ่อ ให้การดูแลไปมาหาสู่สร้างสายสัมพันธ์อันดี ทำให้อำนาจของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างไร้ข้อกังขา นั้นหมายความว่า ถ้าหากนายน้อยสิ้นชีพเพราะธีร์ภัทร หุ้นอีก 40 % จะถูกโอนถ่ายไปยังตระกูล ขัตติวิเศษศิลป์ และบริษัทของธีร์ภัทร ก็จะถูกยึดโดยหุ้น 80 % ในทันที

   โทษใครไม่ได้นอกเสียจากความไม่เอาไหนในการบริหารที่มีช่องโหว่รากฐานไม่มั่นคงทำให้มีหนอนบ่อนไส้ได้ง่ายทำให้ระบบบริหารของบริษัทอาริณมณี ที่ธีร์ภัทรบริหารอยู่เกิดความสั่นคอนและพังทลายลง และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลย อีกไม่นานบริษัทแห่งนี้ก็ต้องพังทลายลง เช่นเดียวกับระเบิดเวลา

           “ดูเหมือนจะกลัว ผมมากเลยนะครับคุณอา” เพียงประโยคเดียวนั้นทำให้คู่เจรจาสำลักไวท์นิด ๆวางแก้วลงด้วยมืออันสั่นเทา 

           “พูดเรื่องอะไรของแก”

           “งั้นก็ฆ่าผมซะสิ ถ้ากลัวผมขนาดนั้น”

           “กะ แก”

           ร่างสันทัดกระโดดเข้ากระชากคอของร่างสูงของนายน้อยที่แสยะยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่า ก่อนที่มือหนาจะกระชากแขนที่ผอมบางกว่าตนให้ออกจากคอเสื้อและสะบัดทิ้งทำให้ร่างนั้นเซถลาเล็กน้อย ก่อนที่ร่างสูงจะยืนขึ้นจ้องทะมึนไปที่ใบหน้าของธีร์ภัทร แสยะยิ้มก่อนจะเปล่งถ้อยคำเยาะเย้ยและถากถางออกมา

           “ถ้าแค่นี้อกจะแตกตายแล้ว งั้นโทรหาลูกสาวของเมียน้อยลับ ๆ แก้วตาดวงใจของคุณอาหน่อยไหมว่ายังอยู่ที่ยุโรปสบายดีไหม หรือว่าจะโทรหาคุณหญิงนริศาที่เข้าไปเล่นการพนันในบ่อนของผมหน่อยไหมว่าตอนนี้ตายหรือยัง หึ”

           “มะ มึง มึงทำอะไรลูกกู!!!!”

           “นั้นสินะครับ ทำอะไร … จับถ่วงน้ำ ยิงหัว หรือจับเผาดี … อำนาจเงินมันน่ากลัว ใช่ไหมละครับคุณอา”

           “ฆ่ามัน!”


ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4
กริ๊ก!

           สิ้นเสียงของธีร์ภัทรเสียงขึ้นไกก็ดังไปทั่วบริเวณ ความชลมุนเพียงเสี้ยววินาทีที่กองพลของธีร์ภัทรต่างยกปืนขึ้นเล็งมาที่นายน้อยและเลขาส่วนตัวจากทั่วทุกสารทิศ และเขาเองก็ใจร้อนดั่งไฟเผาคว้าเอาปืนที่เหน็บเอาไว้ที่เอวขึ้นมาจ่อที่ขมับของคู่อริ ร่างสูงจ้องดวงตาสีเข้มของคนตรงหน้าสะท้อนความแค้นตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ไม่มีรอยยิ้มมีเพียงแววตาที่ลุกโชนความความเกรียวโกรธ ธีร์ภัทรเองแม้กายจะสั่นเล็กน้อยแต่ก็จับจ้องกลับเฉกเช่นเดียวกับเสือหนุ่มและสิงค์แก่ที่ไม่มีวันประนีประนอมได้แม้จะต้องตายกันไปข้างนึงก็ตาม

กริ๊ก

           เสียงขึ้นนกดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ธีร์ภัทรเหงื่อตก เหลือบไปมองเบื้องหลังก่อนจะเหงื่อตกเมื่อปราณชักปืนสั้นออกมาจ่อไปที่กระหม่อมจากเบื้องหลังจากเขา นับว่าเป็นข้อผิดพลาดและประมาทในการที่ไม่ยึดอาวุธและตรวจตราคู่เจรจาก่อนจะให้เข้าถึงผู้เป็นนาย และถึงแม้ปราณเองจะถูกตกเป้าเบ้านิ่งในยามนี้ไม่ต่างกัน แต่ก็ไม่มีลูกน้องของธีร์ภัทรคนไหนกล้าทำอะไรเพราะมัจจุราชหนุ่มเตรียมพร้อมจะลงดาบผู้เป็นนายอยู่เช่นเดียวกัน

           “ประโยชน์ของการดิ้นรนมีชีวิตรอด มันเป็นยังไงรู้ไหมครับอา”

           “มึง ทำไมไม่ตายไปซะ พ่อแม่มึงก็ตายห่าไปแล้ว ทำไมมึงไม่ตายห่าตามไปด้วย!!!!!!!!!!”

เปรี้ยง!!!! เปรี้ยง!!!!!!!!!

           สิ้นเสียงตวาดลั่นของธีร์ภัทรหัวใจเหมือนจะหยุดเต้นเมื่อเสียงปืนจากปลายกระบอกที่จ่อขมับของไม้ดังขึ้นและในทันทีนั้น ด้วยทักษะการต่อสู้ที่ร่างสูงสั่งสมมาเขาตวัดตัวหลบได้ทันท่วงทีก่อนจะตวัดแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บไปสะบัดเอาข้อมือแกร่งของธีร์ภัทรทำให้กระบอกปืนหล่นลงพื้นก่อนที่ขาแกร่งจะตวัดปัดขาของคู่ต่อสู้อย่างฉับพลัน ทำให้กล้ามเนื้อกระตุกคุกเข่าลงกับพื้นเพราะกลไกของร่างกายก่อนที่มือหนาของนายน้อยจะตะปบลงบ่าแกร่งของผู้เป็นอาและบีบเต็มแรงสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

           “โอ้ยยยยย! ไอ้เด็กเหี้ย พวกมึงรออะไรกันยิงมันเซ่!!!”

           “นะ นาย …” เสียงอ่อยอิงของลูกน้องทำให้ธีร์ภัทรที่ตอนนี้เหมือนสิงห์แก่ที่พิการหันไปมอง ก่อนจะฉงนระคนเจ็บกล้ามเนื้อราวกับไฟเผาบ่าของเขาอยู่ตอนนี้เมื่อภาพของลูกน้องของเขาจำนวนหนึ่งถูกกดบ่าให้นั่งลงกับพื้น และอีกครึ่งหนึ่งใช้กุญแจมือรวบจับกุมและใช้อาวุธปืนในการควบคุมดูแลเอาไว้โดยหนึ่งในนั้นที่โดยจับคือโจลูกน้องคนสนิทของธีร์ภัทร

           “แล้วพวกมึงทำอะไรกัน!!!!”

            คำตวาดนั้นทำให้ร่างสูงโปร่งใบหน้าคมสันรุ่นราวคราวเดียวกับนายน้อย หนึ่งในผู้จับกุมถอนหายใจเฮือกใหญ่และเดินออกมาด้วยความสง่า พร้อมกับโชว์สัญญาลักษณ์แห่งผู้พิทักษ์สันติราษฎ์ที่คว้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงให้ธีร์ภัทรที่เบิ่งตากว้างลืมความเจ็บที่บ่าไปช่วงคราว

   ก่อนจะหยิบเอากุญแจมือออกมาควงเดินเข้าไปหานายน้อยพร้อมกับยิ้มทักทายก้มหัวให้อย่างเกรงใจและเหลือบลงมามองธีร์ภัทรที่มองด้วยแววตาสั่นระริกฉาบไปด้วยความหวาดกลัวก่อนจะกระตุกยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

           “ผมพลตำรวจเอก สหัสวัตร ขัตติวิเศษศิลป์ ขอจับกุมพวกคุณในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาหลายคดี ปล่อยหนี้นอกระบบ และค้ายาเสพติด คุณมีสิทธิที่จะไม่พูดแต่ถ้าคุณพูดทุกคำพูดของคุณจะใช้เป็นการให้การในศาล” ตำรวจใหญ่แนะนำตัว ทันใดนั้น ธีร์ภัทรก็เบิ่งกว้าง ไม้ยืนมองอยู่ก่อนนิ่งและนึกขอบคุณพ่อที่สร้างมิตรแท้ที่ดีไว้ ตั้งแต่รุ่นพ่อยันรุ่นลูก … สหัสวัตร หลานชาย ขุนพิพัฒน์ ลูกชายขุนคณิต

           “ยะ อย่า อย่าจับกู มึงมีสิทธิอะไรไหนหลักฐานมึง ไหนหลักฐานมึง!!!!!!” ธีร์ภัทรคำราม

           “ถ้าอยากเห็นหลักฐานมากนัก ก็ดูนี้”

เปรี้ยง!

            นายน้อยยิ้มกว้างบัดมือที่บีบบ่าของผู้เป็นอานิด ๆ ก่อนจะหยิบเอาปืนที่ซ้อนอยู่ใต้ชายเสื้อด้านหลังออกมา เล็งไปที่พระพุทธรูปปูนองค์ใหญ่จรดเพดานโบสถ์เบื้องหลัง ก่อนจะลั่นไกเสียงดังสนั่นท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคนวินาทีต่อมาพระพักตร์รูปไข่ขององค์พระค่อย ๆ แตกออกและลาม จนเกิดเป็นช่องโหว่เห็นวัตถุห่อปริศนาสีน้ำตาลภายในองค์พระ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปลอมตัวมาเป็นลูกน้องของธีร์ภัทรสามนายจะวิ่งเข้าไปตรวจสอบ ไม่ถึงนาทีก็เดินกลับมารายงานผู้บังคับบัญชาที่ยืนรออยู่พร้อมกับผู้ต้องหาที่นั่งพึมพำอะไรที่ไม่ได้ศัพท์อยู่

           “สารเสพติดจำพวกผงครับ คาดว่าวัดแห่งนี้จะใช้เป็นโกดังเก็บของครับ”

           “ตรวจค้นดูให้ทั่วนะจ่า และเรียกกองกำลังเสริมด้วย”

           สหัสวัต ออกคำสั่นก่อนที่ลูกน้อยจะรับคำและเดินออกไป ก่อนที่ร่างสูงจะยกมือเรียกลูกน้องใต้บังคับบัญชาให้มานำตัวของธีร์ภัทรไปอยู่รวมกับลูกน้องฝั่งตัวเองแต่โดยดี แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อธีร์ภัทรสะบัดตัวออกมาจากการจับกุม พุ่งเข้าหาร่างสูงของไม้ที่ยืนจ้องอยู่ก่อน ในเสี้ยววินาทีนั้นเด็กหนุ่มตั้งกาดมือขึ้นรอรับการโจมตีที่แสนจะเชื่องช้าหากเทียบกับคู่ต่อสู้บนสังเวียนมวยที่เขาเคยเจอ

           “มึง! อั๊ก!!!!!!”

   สันจมูกของธีร์ภัทรแตกตามแรงกระแทกทำให้ดั้งหักอย่างไม่ต้องเช็คอาการ ฟันหน้าหลุดกระเด็นและล้มลงกับพื้นร้องอย่างเจ็บปวดที่พื้น ก่อนที่นายน้อยจะเดินเข้าไปค้ำหัวของธีร์ภัทรมองลงต่ำด้วยสายตาที่เหมือนมองสัตว์ที่ต่ำชั้น ธีร์ภัทรเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาที่เคียดแค้นพูดอะไรสักอย่างที่ไม่ได้ศัพท์

   

ผลั๊ก!



           “อั๊ก!” แรงกระแทกจากเท้าของไม้ยกสูงกระแทกลงกับหน้าท้องน้อยเต็มแรง เลือดกระอักออกมาจากปากอย่างน่ากลัว แววตาที่แข็งกระด้างกลายเป็นอ่อนลง แต่แค่นั้นไม่พอ เท้าของเขาถูกยกสูงขึ้นและกระแทกลงอีกครั้งที่เดิมเลือดเป็นลิ่ม ๆ ทะลักออกมาซ้ำอีกเต็มแรง

           “ยะ อย่า อย่าทำกู จะ จะ ตะ ตายแล้ว” เสียงแผ่วเบาของธีร์ภัทรดังขึ้นอย่างน่าสงสาร สหัสวัตรและปราณยืนมองอยู่ห่างๆด้วยสายตาเวทนาแต่นั้นไม่ได้ทำให้แววตาแข็งกร้าวของนายน้อยอ่อนลงแม้แต่น้อย

           “กลัวเหรอ ร้องขอชีวิตสิ”

           “กะกูขอโทษ ขะ ขอโทษ ขอ ขอ อั๊ก!!!!”

           “เฮ้ยพอเดี๋ยวมันตาย”

   ตำรวจหนุ่มรีบถลาเข้ามาหลังจากที่นายลงบาทาไปอีกทีอย่างเต็มแรงและเหมือนรอบนี้จะหนักกว่าสองรอบที่ผ่านมา ทำให้ธีร์ภัทร์งอตัวอย่างน่าสมเพช ก่อนที่นายน้อยจะเหยียดยิ้มใช้เท้าเขี่ยใบหน้าของผู้เป็นอาให้หันมามอง ถึงแม้ดวงตาจะหรี่เต็มทีแต่สติสัมปชัญญะของธีร์ภัทรก็ยังครบถ้วน นี้แค่เริ่มต้นของการใช้เวรใช้กรรม

           “ลูกสาวของคุณยังอยู่ดี ผมไม่เลวทรามต่ำช้าเหมือนมึง ที่ฆ่าได้แม้กระทั่งคนในครอบครัว แต่สำหรับคุณหญิงเมียของคุณ ป่านนี้ก็คงนอนรออยู่ในซังเตแล้ว จากนี้และต่อไป ขอให้โชคดีกับการอยู่ในคุกตลอดทั้งชีวิต ผมอโหสิกรรมให้” เท้าแกร่งสะบัดอย่างแรงส่งท้ายทำให้หน้าของธีร์ภัทรหันไปตามแรง ก่อนจะหันไปมองผู้กองหนุ่มและพูดขึ้นเบาๆ

           “กูฝากทางนี้ด้วยไอ้สหัส”

           “ได้มึง มันเป็นหน้าที่ แล้วไว้ไปแดกเหล้ากัน” ไม้พยักหน้าจ้องมองธีร์ภัทรที่ถูกนายตำรวจคนหนึ่งลากไปอีกด้วยร่างกายที่บอบช้ำ

           จบสิ้นแล้วความแค้น … เขาจะไม่ฆ่าถึงจะฆ่าได้ง่ายๆ แต่จะให้กฎหมายที่จะศักดิ์สิทธิ์ได้หากไม่ปล่อยให้ศาลเตี้ยตัดสิน … พอกันทีกับวงจรแค้นอันโสมม พอกันที …

           “กี่โมงแล้ว” นายน้อยหันไปถามปราณที่สงบนิ่งอยู่ด้านหลัง

           “ตี 3.45 ครับ”

           “1ช.ม ถึงคอนโดได้ไหม”

           เขาหันหลังเดินออกมาจากโบสถ์ไปที่รถอย่างรวดเร็วอย่างไม่สนใจอดีตอีก ในครานี้ถือว่าจบสิ้นและละทิ้งไว้เหลือเพียงฝุ่น ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามกรรมและหน้าที่ของตำรวจ ... เวลาที่ผ่านมา จะปิดเกมส์ให้ไวกว่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก … แต่การเลี้ยงดูให้หมูได้กินอิ่มหนำสำราญ และเชือดทิ้งอย่างเลือดเย็น …มันน่าสะใจกว่าเยอะสำหรับราชสีห์นายของเขา

   ปราณเผลอหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะเดินไปขึ้นรถทางฝั่งคนขับอย่างรวดเร็วให้ทันใจผู้เป็นนาย รถเก๋งคันสีดำเคลื่อนออกจากลานวัดร้างสวนทางกับรถตำรวจที่ขับสวนเข้ามา

.

.

.

           ภายในห้องพักคอนโดหรูที่เปิดไฟไว้สลัว ๆ ร่างเล็กนอนขดกายหายใจสม่ำเสมอในผ้าห่มผืนบางอยู่บนโซฟาหน้า TV ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ นาฬิกาฝาผนังบอกเวลา อีกครึ่งชม. จะตี 5 ประตูบานใหญ่ค่อยเปิดออกอย่างเบากริบร่างสูงเดินย่องเข้ามาภายใน ก่อนที่เสียงหัวเราะในลำคอจะดังขึ้นก่อนจะค่อย ๆ เข้าไปใกล้โซฟาหยิบรีโมต TV ปิด และอุ้มร่างน้อยขึ้นมาไว้ในอก เสียงครางในลำคอของร่างน้อยดังขึ้นนิดๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกตัวแต่อย่างใด นายน้อยที่กลับมาเป็นลูกไม้คนดีคนเดิมของพ่อโทนพาพ่อโทนมานอนบนเตียงหนาภายในห้องก่อนจะก้มจุมพิตที่หน้าผากอย่างอ่อนโยนและอบอุ่น ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ และออกมาด้วยกางเกงขายาวเปลือยอกและมุดเข้าผ้าห่มผืนเดียวกับพ่อโทนดึงร่างน้อยเข้ามากอดเอาไว้อย่างออดอ้อน

           “งืม กี่โมงแล้ว” เสียงแหบพร่านของร่างน้อยที่ปรือตากลมขึ้นมอง ก่อนจะยกมือเล็กของโอบกอดอกแกร่งอย่างหวงแหนและออดอ้อนไม่ต่างกัน

           “ตี 4 ครับ”

           “อืม มึงเหม็นจัง”

           “หึหึ ขอโทษครับ”

           “เจ็บแผลไหม”

           “ไม่ครับ จุ๊บ” ริมฝีปากหน้าก้มจูบปากเล็ก หอมหวานตรงหน้า ก่อนจะหลับตาลงคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขเพราะบัดนี้ยอดดวงใจของไอ้ไม้สงบนิ่งยอมให้เขากอดอย่างว่าง่ายและน่ารัก

           “อืม งั้นนอนกันเถอะ กูรอมึงไม่ได้นอนเลยเนี้ย” คนกร่างยังไงก็ยังกร่างแต่ถึงจะกร่างและขี้โม้ก็ยังน่ารักสำหรับไม้อยู่ดี

           “หึหึ ขอโทษครับ ไม้รักพ่อโทนนะ”

           “กูก็รักมึง อย่าไปไหนอีกนะ” คำบอกรักของพ่อโทนเสมือนยาสมานแผลในอดีตให้เข้าที่ เขาดีใจเหลือเกินที่มีพ่อโทนอยู่ในวันนี้ วันที่เขาจะละทิ้งบาปกรรมและวงจรแห่งความแค้นลง … และกลายเป็นเพียงแค่ไอ้ไม้ของพ่อโทน… เป็นแค่นั้นแต่มีความสุข

           “ครับ … ไม่ไปไหนแล้ว มันจบแล้วครับ … มันจบแล้ว” แขนแกร่งกระชับกอดร่างเล็กเข้ามาก่อนที่จะพากันเข้าสู่ห้วงนินทราไปด้วยกันในอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นของกันและกัน





==============



จากนี้จะสงบแล้วล่ะ <3

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
มันจบแล้ว ทำดีแล้วลูกไม้ ต่อไปก็สงบซักที  o13

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
จากนี้ไม้เกียมตะล่อมพ่อโทนอย่างเดียววววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :impress2: จากนี้จะหวานกันแล้วใช่ป่าว

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 23 ชีวิตที่เดินต่อ 


       ผ่านมา 1 เดือนหลังนั้น แผลที่โดนยิงของมันตอนนี้แห้งแล้วแต่ยังไม่หายดี แต่สภาพร่างกายมันกลับเต็มร้อย มาซ้อมมวยกับพ่อของผมทุกวันซึ่งพักหลังมานี้ มันก็มักจะเนียนขึ้นมานอนกับผมเหมือนตอนเด็กๆ โดยที่ไม่ทำอะไรผมเลย ก็ถ้าขืนทำสิ พ่อได้เพ่นกบาลแยก … =////= ใครเขิน ใครหน้าแดงไม่มีทั้งนั้น

           ที่น่าแปลกใจ คือ รุ่งเช้าของวันที่ไอ้ไม้โดนยิง ข่าวจับพ่อค้ายา นามสกุลเก่าของไอ้ไม้ดังคึกโครมไปทั่วประเทศ ผมนึกสงสัยเลยต้องเคล้นหาความจริง จากไอ้ลูกชายที่บังอาจปิดบังเรื่องต่าง ๆ กับผม จนมันเผยไต๋ออกมาหมดว่าคืนนั้นมันไปทำอะไรมาบ้าง ทำเอาผมหัวใจแทบวาย

   โชคดีที่มันวางแผนทั้งหมดไว้อย่างรอบครอบและไม่ไปฆ่าใครตายซะก่อน ไม่งั้นมันก็คงต้องติดคุกและผมก็จะต้องเสียใจ โชคดีจริง ๆ ที่มันยังมีสติ ฉลาดพอที่จะรู้ถึงจิตใจของผมดี และหลังจากเราสองคนก็อยู่จัดการเรื่องที่กรุงเทพ ทั้งเรื่องคดีและบริษัท กับกิจการบ่อนที่มันเปิดเอาไว้โดยที่ผมไม่รู้ แน่นอน ผมสั่งปิดบ่อนการพนันของมันทันที แถมบิดหูให้ซะหูเกือบขาด สอนไม่จำไอ้เรื่องอบายมุขเนี้ย แต่ก็เอาเถอะ ผมขี้เกียจจะโกรธจะงอน ในเมื่อตอนนี้มันออกปากแล้วว่าจะกลับมาอยู่ที่นี้

           อาจจะมีบ้างที่ต้องกลับไปดูบริษัทที่กรุงเทพแต่ก็ไม่บ่อยนัก ในระหว่างที่ตัวของไอ้ไม้อยู่ที่นี้บริษัทก็คงต้องฝากไอ้ปราณลูกน้องของมันเอาไว้ ส่วนไม้เองก็ต้องบริหารงานผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่นี้ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ห้าม และโชคดีที่แถวบ้านผมถึงแม้จะเป็นทุ่งนาและป่าเขา แต่สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างก็ครบครัน มาถึงแล้วไม่งั้นได้วุ่นวายกันใหญ่ เฮ้อ บาปกรรมที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่นในที่สุดก็จบลงสักที แต่ที่ดีกว่านั้นคือไอ้ไม้ไม่ต้องไปเสี่ยงอะไรที่ไหนอีกแล้ว นั้นคือที่ผมดีใจที่สุดแล้ว



ผลั๊ก ผลั๊ก ผลั๊ก



           “สอนกูบ้าง” ผมนั่งหน้างอ กอดอกมองไอ้ไม้ที่นั่งยอง ๆ ยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ตรงห้าผมด้านล่างเวทีมวย พร้อมกับเด็กอีก 10 กว่าคนที่พ่อผมรับมาฝึกศิลปะป้องกันตัวโดยไม่คิดเงิน ซึ่งผมเห็นดีเห็นงามด้วย

           “เดี๋ยวปู่ด่าครับ” ผมย่นหน้า อยากจะทุบให้จมูกหักนักไอ้บ้า!

           “มึงกลัวกูหรือกลัวพ่อกู”

           “กลัวพ่อโทนครับ แต่ก็กลัวปู่ด้วย เดี๋ยวปู่ไม่ให้ผมเข้าบ้านนี้ทำไง” ยังไม่สำนึกอีกผมหันไปเขม่นไอ้เด็ก ๆ ที่พากันหัวเราะคิกคัก พอผมมองก็เงียบกันหมด ฮึ ไอ้จุกมึงอะตัวดีเลย นำทีมเพื่อนตัวแสบมึงนักนะ

           “มึงก็สอนกูหน่อย กูอายุปานนี้แล้วยังป้องกันตัวไม่ได้ พอมีปัญหาใจสู้อย่างเดียวทำอะไรไม่ได้อยากนะมึง”           

           “พี่โทนก็ให้พี่ไม้ปกป้องไงจ้ะ” ไอ้จุกโผล่หน้ามาหนุนตักผมก่อนจะพูดจากวนโอ้ย

           “ไอ้จุกมึงนะ เดี๋ยวก็เตะคอหัก” ไอ้จุกหัวเราะคิกคักลุกขึ้นไปพร้อมกับเพื่อนมัน ประจวบเหมาะกับที่พี่แสงและพี่เมฆกลับมาจากออกกำลังกายพอดี

           “มึงสอนกูหน่อยสิ สอนกูพร้อม ๆ กับเด็กพวกนี้ก็ได้”

           “เฮ้อ ก็ได้ครับ ผมยอมแล้ว … ยอมทั้งใจเลย” ประโยคหลังพ่อคุณเขากระซิบมาข้างหูผม เลยโดนบ้องไปด้วยความมือไวผสมกับความหมั่นไส้ส่วนบุคคล

เพี๊ยะ

           “อย่ามาทำรุ่มร่ามแถวนี้ ถ้าปู่มึงมาเห็นไม่ให้เข้าบ้านกูไม่รู้นะ”ผมลุกขึ้นยืนยิ้มแป้น เพราะในที่สุดผมก็ได้เรียนมวย เดินตามพวกเด็ก ๆ ไปหาพี่เมฆที่กำลังสอนยืดกล้ามเนื้อเพื่อเตรียมความพร้อมอยู่ ฮิฮิ วันนี้พ่อไปอยู่กับไอ้เกื้อเมียเด็ก เสร็จโจรแหละฮะ

           “น้องโทน ไอ้ไม้ยอมให้ฝึกแล้วหรือไงครับ”

           “ช่ายยยยย ต่อไปนี้ก่อนไปทำงาน ผมจะซ้อมมวยแล้วนะ ฮิฮิ” ผมโชว์หมัดแยบให้เด็กดู ทำเอาโห่ร้องกันสนุกสนาน

           “ให้ผัวปกป้องไม่ดีกว่าเหรอ เดี๋ยวเขียวช้ำขึ้นมามึงก็บ่นอีก”

   ผมหันไปค้อนพี่แสง … ก็จริงที่ผมเคยจะฝึกมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ล้มเลิกเพราะทนความเจ็บความปวดของร่างกายไม่ได้เพราะมวยเป็นกีฬาปะทะ เลยต้องยอมแพ้ไป แต่รอบนี้ผมเอาจริงนะ จะเจ็บจะปวดแค่ไหนผมก็จะทน

           “ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวผมคอยเซฟพ่อโทนเอง”

           “เออ ๆ ก็แล้วแต่ก็เตือนด้วยความหวังดี ไอ้จุกแยกน้องเป็น 3 กลุ่ม แบ่งไปให้กู ไอ้เมฆ ไอ้ไม้ ส่วนมึงไอ้โทนเลือกเอาจะอยู่กับใคร” และไอ้จุกก็แบ่งเพื่อนตามคำสั่งของพี่แสง ซึ่งไอ้ไม้พาเด็ก 4 คนที่อยู่กลุ่มมันเดินไปยังลานหน้าบ้านเพื่อทำกายบริหารยืดกล้ามเนื้อ

           “ชิ ทำมาเป็นสั่ง เมื่อก่อนก็ขี้ก้างเด็กแว้นนั้นแหละ” ผมพูดและทำเป็นมองนก มองไม้ไม่สนใจย่นหน้าเพราะแขนใหญ่ ๆ ของพี่แกพาดมาบนบ่าผม ก่อนจะก้มมากระซิบข้างหูด้วยความสูงที่แตกต่างกันกว่า 30 เซนติเมตรกว่า ๆ

           “อย่างน้อยตอนนี้กูก็มีซิกแพควะ ไอ้น้องไม่เหมือนมึงมีแค่พุง แดกเข้าไปสิ เดี๋ยวไอ้ไม้ไม่รักกูจะขำให้”

           “ปากเสีย พี่นั้นแหละ ที่พี่เมฆจะไม่รัก ”

           ผมป้องหูกระซิบกลับไป หึหึ อยากมากระตุกหนวดเสือดีนัก ว่าจะไม่พูดแล้วเชียว  ถึงใครจะไม่เห็นแต่ผมเห็นนะ มิตรภาพลูกผู้ชายที่สะสมมา 30 กว่าปี ที่กลายเป็นความรักลับ ๆ ซึ่งแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ ทั้งที่ทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วยกันเยอะทั้งคู่แถมหน้าตาดีทั้งคู่ แต่ก็ต้องกลับมาดูแลกันและกัน น่าสงสารจริง ๆ คิกๆ

           “อะ อะ ไอ้ พูดเหี้ยไรของมึง กูกับไอ้เมฆเนี้ยนะ” ไอ้พี่บ้าผละออกจากผมพูดออกมาให้ฟังกันรู้เรื่องแค่ 2 คน หน้าตาประหลาดใจสุดๆ ประหลาดใจอะไร รักก็บอกรักสิ ผู้ชายรักกันไม่ผิดสักหน่อย ก็แค่ความรัก ไม่มีใครบอกนี้ว่าผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชายเท่านั้น

           “คิกๆ คู่รักซิกแพค อย่าคิดว่าไม่รู้นะ คิกๆ” ผมล้อเลียนต่อ และต้องอุดหูเมื่อคนเลือดร้อนตะโกนออกมาชี้หน้าผม หน้างี้แดงเป็นตูดลิงเลย

           “อะ อะ ไอ้เหี้ยไม้ มาเอาเมียมึงไป!!!!! … มองเหี้ยอะไรละ!!!!” ยังไม่พอหันไปว๊ากใส่พี่แสงที่กำลังมองมาด้วยความสงสัยอีกต่างหาก ผมรีบเดินเลี่ยงมาหาไอ้ไม้ไม่วายหัวเราะคิกคักจนท้องคับท้องแข็ง

           “แสงต่อหน้าเด็ก” พี่เมฆปรามมา จนพี่เมฆต้องหยุดและเดินกระฟัดกระเฟียดไปสอนเด็กสามคนที่ยืนหัวหดรออยู่ ก็มีแค่พี่เมฆกับพ่อผมนี้แหละ ที่เอาพี่แสงอยู่ เป็นคนขึ้นมาได้ก็เพราะสองคนนี้เป็นแรงเสริมนั้นแหละ

           “ไปกวนอะไรพี่เขาครับพ่อโทร”

           “ไม่มีอะไร สอนสิสอน” ไอ้ไม้ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเริ่มสอนด้วยความชำนาญที่ไม่เคยหายไปทันที เก่งจังเดี๋ยวเย็นนี้พ่อทำต้มยำหัวปลาให้กินนะ

.

.

.

           เวลาผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมงที่ไม้อนุญาตให้พ่อโทนลองฝึกมวยดู โดยขั้นพื้นฐานจะให้ยืดกล้ามเนื้อ และฝึกวิธีการตั้งท่าใช้ขาใช้แขนโดยให้ต้นกล้วยเป็นหลักประลองเพราะต้นกล้วยนั้นมีความอ่อนกว่ากระสอบทรายที่จะแข็งกว่า อาจจะทำให้มือของพ่อโทนและเด็ก ๆ บาดเจ็บได้เพราะท่าที่ยังไม่ถูก 100 เปอร์เซนต์ ร่างสูงยืนมองพ่อโทนด้วยความขบขัน เพราะวิธีการตั้งท่านั้นถูกต้องแต่แรงที่ปล่อยออกไปยังไม่มีแรงส่งที่มากพอ ซึ่งเมื่อเทียบกับเด็ก ๆ แล้ว ถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งไม้เองเห็นดีเห็นงามด้วยอยู่แล้วที่จะให้พ่อโทนฝึก เพียงแต่ว่าความคิดเห็นแตกต่างจากปู่ทายที่เกรงกลัวว่าลูกชายจะเจ็บจากกีฬาที่ใช้ร่างกายปะทะ จึงพยายามทำให้โทนอยู่ห่างจากศิลปะแขนงนี้

           “นะ เหนื่อย พักก่อนเถอะ” คนเก่งที่แสดงความคึกมาตลอดนั่งลงกับพื้น เจ้าตัวจิ๋วที่อยู่โดยรอบเองก็พากันนั่งลงงอแงตามด้วย                       

           “หึหึ พักก่อนทุกคน เจ้าไนท์ เจ้ากาย เข้าไปหยิบน้ำในครัวมานะ”

           “ครับพี่ไม้” เด็กชายอายุ 15 ที่เป็นพี่ใหญ่ของลูกน้องเด็กน้อยทั้งหลายลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัวสภาพเหงื่อตกเหมือนกัน เพราะการฝึกที่ไม่ได้พักของค่ายมวยอินทรารักษ์ แห่งนี้

           “ดื่มน้ำ ดื่มท่ากันให้เสร็จ แล้วไปรวมตัวกันที่แคร่ใต้ต้นโพธิ์หน้าบ้าน” พี่เมฆที่เปรียบเสมือนหัวหน้าค่ายในขณะที่ปู่ทายไม่อยู่ประกาศขึ้น เด็ก ๆ พากันขานรับทั้งที่กำลังงอแงอยู่จากการฝีกอย่างหนักโดยไม่ปราณีว่าจะเป็นเด็กอายุเท่าไหร่ เพราะนี้คือขั้นแรกของการฝึก

           “ไงครับพ่อโทนลิ้นห้อย ขอพักก่อนเด็กมันอีก” เจ้าไม้ทรุดร่างสูงลงมาตรงหน้าร่างน้อยที่นั่งทรุดกางขากางแขนอยู่ที่พื้นดินหน้าบ้านเพียงลำพัง เพราะเด็ก ๆ พากันไปกินน้ำในพื้นที่สนามฝึกใต้ชานบ้าน

           “ทะ ทำไมรอบก่อนที่ฝึกมันไม่ขนาดนี้อะพี่” คุณพ่อตัวเล็กงอแงออกมา มือหนายกขึ้นซับเหงื่อที่ไรผมให้ก่อนจะยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

           “หึหึ ก็จะหาเพชรเม็ดงามก็ต้องแบบนี้ละครับ”

           “หมายความว่าไง ไม่ใช่แค่ฝึกให้เด็กป้องกันตัวเฉยๆเหรอ”

           “ก็ด้วยครับ แต่ถ้าคนไหนมีแวว ปู่ก็จะขอมาให้เป็นหนึ่งในค่ายอินทรารักษ์  เพราะพี่เมฆกับพี่แสงเองก็อายุเยอะแล้ว กลัวจะปั้นเด็กไม่ทันครับ”

           “ไม่บอกกูเลย”

           “ก็เห็นว่าพ่อโทนไม่สนใจงานค่าย และไม่อยากรบกวน เพราะพ่อโทนเองก็มีโรงพยาบาลสัตว์ที่ต้องดูแลนี้ครับ” โทนกัดริมฝีปากเพราะเถียงไม่ออก ก่อนที่จะลุกขึ้นไปนั่งบนแคร่ปล่อยให้ไม้หาน้ำหาท่าพัดหวี่ให้ไม่ขาดมือ จนลูกเล็กเด็กแดงมานั่งกันตาแบ๋วบนพื้นดินที่ปัดจนเรียบแล้ว มีเจ้าแตงกวากะหล่ำและมะเขือนั่งอยู่ใกล้ ๆ วงนักมวยเด็กหน้าใหม่ในอนาคต

           “ไอ้โทนลงไปนั่ง” แสงที่เดินเข้ามายืนด้านหน้า ใช่มือสะกิดที่หัวทุยของคนที่กำลังสบายเบา ๆ จนไม้ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะตัวเองเป็นเด็ก

           “อะไรอะ” เจ้าตัวหันไปมองแบบงง ๆ แต่ก็ยอมลงไปนั่งกับพื้นแทรกกลางระหว่างเจ้าจุกกับเจ้าไนท์ที่นั่งอยู่

           “มึงก็มาฝึก ถึงจะเป็นลูกชายบ้านนี้และอายุเยอะจนจะเป็นพ่อพวกมันได้ก็เถอะ ไม่มีอภิสิทธิโว้ย” แสงพูดอย่างถือไพ่เหนือกว่า และก็ถูกศอกหนักๆของพี่เมฆกระทุ้งที่ท้องไม่แรงมากนักพอให้รู้สึกจุกนิดๆ

           “นี้ไม่ได้แค้นส่วนตัวใช่ปะ”  โทนพูดพึมพำแต่ก็ไม่ได้โมโหอะไรมากนัก เพราะตัวเองก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน 

           “เป็นไงเหนื่อยกันไหม” เมฆพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ผิวขาวที่โชว์ซิกแพคทำให้เด็ก ๆ ที่จ้องมองมาเกิดความอิจฉาและมองเขาเป็นแบบอย่างได้

           “เหนื่อยจ้ะ ขนาดจุกที่ฝึกทุกวันยังแย่เลย”

           “หึหึ นี้แค่ซ้อมรอบแรก เพื่อวัดความอดทน ไม่มีเกี่ยงอายุหรือร่างกาย เพราะเมื่อพวกเอ็งสมัครใจจะเข้ามาแล้ว สภาพร่างกายของพวกเอ็งจะถูกฝึกแบบนี้ในทุกวัน จนแกร่งขึ้น ถึงจะแค่ 8 ขวบ อย่างเจ้าดิว เองก็ด้วย” แสงพูดเสริม

           “ตะ แต่มวยก็แบ่งเป็นรุ่นไม่ใช่หรอพี่” เด็กไนท์ที่อายุ 15 อย่างคลาแคลงใจ

           “แน่นอนสิ แบ่งเป็นรุ่นตามชั้นการฝึก แต่เพื่อให้เอ็งพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจรวมไปถึงประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ การฝึกจึงเป็นเรื่องจำเป็น และจะหนักขึ้นตามอายุของพวกเอ็ง เป็นไงถอดใจกันหรือยัง” แสงถามต่อ

           “… ผม ผมไม่รู้ครับ ผมอยากเป็นมวย เพื่อป้องกันตัวแต่ไม่ได้อยากฝึกแบบนี้ทุกวัน”

           “หึหึ เอาเป็นว่าใครอยากจะมีฝึกเพื่อป้องกันตัวมาได้ แต่ถ้าหากใครอยากที่จะพัฒนาทางเชิงมวยขึ้นไปอีกขั้นก็ไปตัดสินใจกันเอา และให้มาบอกข้าพรุ่งนี้แต่เช้า ข้าจะเตรียมใบสมัครไว้ให้”

           “พี่แสงครับ ค่าสมัครเท่าไหร่” พจน์ หนุ่มน้อยวัยสิบขวบรูปร่างอ้วนท้อนสมบูรณ์ใบหน้าแห้งเกรียมเพราะเล่นกลางแดดบ่อยๆ

           “ไม่มีค่าใช้จ่ายเว้ย”

           “เจ๋ง!” เจ้าพจน์ เจ้าไนท์ และเจ้ากาย ร้องออกมาขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย แต่เด็กคนอื่น ๆต่างนั่งก้มหน้าคิดอย่างลำบากใจ อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองนั้นยังเด็กและไม่รู้จักความลำบาก แต่เมื่อมาเจอกับความทรหดที่ไม่คิดว่าอายุแค่นี้จะต้องมาเจอ ก็เลยนึกถอดใจกันไปบ้าง

           “เด็ก ๆ อยากฟังนิทานกันไหมครับ” อยู่ ๆ ร่างสูงผิวเข้มของลูกไม้ที่ยืนอยู่กลางวงล้อมของเด็กๆ ทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา พ่อโทนเองก็แอบกระตุกยิ้มเพราะรู้ว่าไม้เองตั้งใจจะทำอะไร

           “เชิญครับมอบเวทีให้”

   พี่แสงพูดอย่างล้อเลียนก่อนจะดันหลังให้พี่เมฆเดินออกจากแคร่ด้านหน้า ไม้เองก็หัวเราะและเดินเข้ามานั่งลงบนแคร่ช้าๆ ก้มลงไปอุ้มเจ้าดิวที่อายุ 8 ขวบขึ้นมานั่งข้าง ๆ ด้วยความที่ดิวเป็นเด็กตัวเล็กไม้เลยสามารถอุ้มได้เป็นภาพที่น่าเอ็นดู

           “ดิวอายุเท่าไหร่ครับ”

           “แปดขวดครับ”

           “เรียนอยู่ ป.3 เนอะ”

           “ครับ” เจ้าดิวตอบงง ๆ มองหน้าไม้ทีเพื่อนที

           “เด็กชายคนนึงเป็นเด็กกำพร้า อายุ 8 ขวบ ไม่มีเพื่อน ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีใคร บ้านของเขาถูกไฟไหม้ เหลือเพียงคนเดียวบนโลก ไม่มีความหวังแล้วในจิตใจ เป็นอย่างงั้นอยู่นานกว่า 5 ปี … แต่สุดท้าย อายุได้ 13 ขวบ ก็ถูกชุบเลี้ยงโดยค่ายมวยที่ได้เห็นการฝึกซ้อมที่หนักหน่วงในทุกวันของพี่ ๆ แบบนี้ รู้ไหมครับเด็กคนนั้นทำยังไง”

           “หนีมวย”

   “ชกมวย” เด็ก ๆ ต่างตอบไปคนละทาง มีสามหัวโจก พจน์ กาย และไนท์ ที่เถียงคนอื่นขาดใจว่าเด็กคนที่ไม้กล่าว

           “หึหึ เด็กคนนั้นชกมวยต่อครับ เขาฝึกหนักทุกวันและผ่านการทดสอบที่หนักกว่าพวกเราวันนี้เป็น 2 เท่าเชียวนะ”

           “แต่เด็กคนนั้น 8 ขวบเองนะพี่ไม้ ทำไมเขาเก่งจังครับ”

           “อายุ หรือสภาพร่างกาย ไม่เกี่ยวครับเด็ก ๆ มันเกี่ยวกับตรงนี้” ไม้เอามือวางลงไปที่หน้าอกด้านซ้ายของเจ้าดิว ทำเอาทำเอาเจ้าตัวน้อยขนลุกซู่ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่พี่ชายหน้าโหดแต่ใจดีคนนี้อธิบาย

           “หัวใจต่างหากละครับเด็ก ๆ กำลังกายไม่สำคัญเท่ากำลังใจ ถ้าตัวเองคิดว่าอยากที่จะพัฒนาตัวเอง ร่ายกายก็ไม่มีวันทรยศจิตใจเป็นแน่”

           “แล้วเด็กคนนั้นปัจจุบันเป็นยังไงบ้างครับพี่ไม้” เจ้าเล้งลูกชายห้างทองในตลาดถามขึ้นด้วยความอยากรู้และตื่นเต้น

           “ก็เป็นพี่ไม้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกเอ็งนี้ไง” โทนพูดขึ้นอย่างภูมิใจ ทำเอาเด็กทุกคนต่างตื่นเต้นและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแม้แต่เจ้าจุกเองก็ตาโตเป็นไข่ห่านเพราะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน

           “เอาเป็นว่าลองกลับไปนอนคิด ถามพ่อแม่ก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาบอกก็ได้ ว่าไงครับพี่เมฆพี่แสงให้เด็กๆกลับบ้านเลยไหมครับ”

           ไม้หันไปถามรุ่นพี่ของตัวเองที่ยืนมองความสุขุมของรุ่นน้องที่หายหน้าหายตาไปเมืองนอกมา 9 ปีกลับมาทั้งนิสัยและฝีมือไม่มีเปลี่ยนหรือตกลงไปแม้แต่น้อย เผลอๆตอนเด็กๆว่าโหดสู้กับผู้ใหญ่ได้สูสีแล้ว ตอนโตยิ่งเก่งเข้าไปใหญ่อีกเขาเองก็ไม่รู้เพราะยังไม่ได้ทดสอบฝีมือของไม้อย่างจริงจัง

           “เออ แล้วให้พ่อแม่พวกเอ็งหาน้ำอุ่นมาให้แช่กันด้วย ก่อนที่จะเคล็ดไปทั้งตัว” พี่แสงพูดสรุป

           เจ้าพจน์ลุกขึ้นพุ่งเข้ามาถามถึงรายละเอียดของการฝึกเพราะเจ้าเด็กอ้วนให้ความสนใจกับกีฬามวยเป็นอย่างมาก ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ก็พากันพูดคุยกันบ้างก็เข้ามาคุยกับไม้ที่กลายเป็นไอดอลเด็ก ๆ ไปซะแล้ว บ้างก็เดินไปจับน่วม กระสอบทรายขึ้นไปสัมผัสเวทีมวยอย่างคิดไตร่ตรอง ด้วยสติปัญญาของเด็กน้อย ก่อนจะทยอยกันกลับไป จนเหลือแค่เจ้าจุกและพ่อโทนที่นั่งเล่นกับเจ้าสามเสือ กะหล่ำ มะเขือ และแตงกวาอยู่ที่ลานหน้าบ้าน

           “จุกไปเอาน้ำให้พี่หน่อยครับ”       

           “จ้า” จุกรับคำลูกไม้ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปในครัว เมื่อลูกไม้เห็นน้องสุดท้องของบ้านเดินลับไปแล้วก็นั่งขัดสมาธิลงข้างๆพ่อโทน อุ้มกะหล่ำที่ตัวใหญ่กว่าน้องอีก 2 ตัวมาวางบนตักพ่อโทนเหลือบมองแต่ทำเป็นไม่สนใจ

           “แล้วเด็กคนนี้ละครับ จะฝึกต่อไหม”

           “แน่นอน”

           “แล้วพี่ไม้จะสอนให้เป็นพิเศษเลยนะครับ”

           “ทะลึ่ง!!!” โทนตวัดตามองอย่างโกรธๆ

           “เอ๊า ไม่ได้ทะลึ่งก็จะสอนมวย” มือหนาจับที่แก้มนิ่มทำให้หน้าแดงระรื้นขึ้นอย่างเสียมิได้ ทำเฉไฉลุกขึ้นเดินหนี   

   “มึงอ่ะเจ้าเล่ห์ ไม่สนละ กูไปอาบน้ำไปคลินิกดีกว่า” ไม้มองตามคนเอาแต่ใจแต่น่ารักที่เดินขึ้นบ้านไปอย่างยิ้ม ๆ

           “พี่ไม้จ้ะ น้ำจ้า” แรงกระตุกที่แขนทำให้ไม้ก้มไปมอง เห็นเจ้าจุกถือขันน้ำดื่มเข้ามาหา เจ้าไม้รับมาอย่างใจดีก่อนจะวางมือลงบนหัวเล็กๆของเจ้าจุกน้ำเสียงอ่อนโยนถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง

           “หลวงตาเป็นยังไงบ้างจุก”

           “หลวงตาสบายดีจ้ะ มีบ้างที่ถามหาพี่นะจ๊ะ พี่ไปเยี่ยมแกหน่อยนะพี่ไม้”

           “อืม แล้วพี่มาดสบายดีนะ” ไม้ถามถึงลูกศิษย์วัดคนสนิท

           “สบายดีจ้ะ เมื่อต้นเดือนไม่สบายแต่ตอนนี้หายแล้วจ้ะ”

           “แล้วตอนนี้วัดเป็นยังไงบ้าง”

           “เอ่อ หนูเห็นพี่ป๊อกไปนมัสการ และพาพวกพี่ ๆ คนงานขึ้นไปเยอะอยู่จ้ะ แต่พักนี้จุกไม่ค่อยได้ขึ้นไปเพราะจุกมีเรียนพิเศษวันอาทิตย์อะ” จุกพูดอย่างซื่อ ๆ ย่นหน้าเพราะคิดถึงวัดไม่ต่างกัน

           “อืม ดีแล้วตั้งใจเรียนนะ โตมาจะได้สบายๆ”

           “จ้ะ” จุกยิ้มตาหยี

           ไม้คุยเล่นกับเจ้าจุกประเดี๋ยวก็ผละเดินขึ้นบ้านมาบนชั้นสอง ตรงไปยังห้องของพ่อโทนที่คุ้นเคย พอเปิดเข้าไปก็เจอพ่อโทนกำลังเตรียมของเพื่อไปอาบน้ำจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ กอดเอวบางเอาไว้จากด้านหลัง เจ้าของร่างเล็กสะดุ้งนิด ๆ แต่ไม่ได้ว่าอะไรที่ลูกไม้กอดเอาไว้แบบนี้แต่หยุดกิจกรรมทุกอย่างและหลับตาซึมซับสัมผัสของลูกไม้อย่างเต็มใจ เมื่ออยู่ในสถานที่ลับตาคนอันเป็นส่วนตัวเช่นนี้

           “พ่อโทนครับ” เสียงเข้มร้องเรียกชื่อของคนรักออกมาด้วยความเคยชิน โดยที่ไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์จะเป็นไปอย่างสัพนามเลย

           “อะไร” คนที่หน้าแดงระรื้น ตอบกลับมาอย่างสงสัย

           “ไม้ขอบวชนะ”  ตากลมลืมขึ้นอย่างฉงน หันไปมองตาคมที่จ้องมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอียงคอทำให้ไม้นึกเอ็นดูยิ้มรับและก้มลงมาจุ๊บที่ริมฝีปากบางตรงหน้า

           “เอาไม้บวชเสร็จเรามาแต่งงานกันนะครับ”

           “มึงจะบ้าเหรอ” โทนด่าออกมาทั้งที่ยังงง ๆ ทำให้ร่างสูงหัวเราะออกมาโอบกอดร่างน้อยเอาไว้อย่างหวงแหน



ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4

-โทน-



           บวชเหรอ … จริงสิหน้าที่ของลูกผู้ชายคือการบวชนี้นะ ตอนผมอายุ 27 ผมบวชไปแล้วที่วัดป่าบนเขาที่ไอ้ไม้ชอบไปบ่อย ๆ เพราะมันเป็นทางเดียวที่ผมจะสงบจิตใจได้ การบวชทำให้ผมรู้อะไรหลายอย่าง บาปบุญคุณและโทษบนโลกมนุษย์ที่หมุนไปตามกาลเวลาที่ไม่มีวันหวนกลับ การเข้าถึงพระธรรมคำสอนด้วยจิตที่ตั้งมั่น ได้ตอบแทนบุญคุณของพ่อและผู้มีประคุณทั่งปวง ร่วมอโหสิกรรมให้แก่ เจ้ากรรมนายเวร ทั้งสิ้น 1 พรรษา ที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์อันสงบสุขทำให้ผมมีจิตใจที่ตั้งมั่นและหลงลืมความหมองหม่นลงไปได้บ้าง เฮ้อ นี้โชคดีนะที่ผมเรียน รด ไปตอน ม ปลาย ไม่งั้นคงต้องไปเป็นทหารอีก ความจริงหน้าที่ของรั้วประเทศก็สำคัญ แต่หมอหมาของผมก็สำคัญไม่แพ้กัน ผมขอรับใช้ชาติใสส่วนของสวัสดิ์ภาพของสัตว์แล้วกัน เอ๊ะ ว่าแต่ไอ้ไม้ไปจับใบดำใบแดงมาหรือยัง … มันคงไม่ได้เรียน รด ที่เมืองนอกแน่ๆ … ตายละหว่า จากกันไป 6 ปี ยังต้องจากกับมันอีก 2ปี ผมไม่ยอมนะ !

           “กั้งเห็นโทรศัพท์กูปะ” ผมหันไปถามไอ้กั้งที่เช็คสต๊อกอยู่ โดยมีไอ้เกื้อคอยบอกรายการในใบสั่งของ

           “อ้าวที่วางเองแล้วไปไหนละ” มันพูดทั้งๆที่ไม่หันมา แต่เป็นไอ้เกื้อที่หันมาจ้องผมตาแป๋ว เมียอยู่นี้แล้วผัวไปไหนละแม่เลี้ยง

           “กูถามมึงไม่ใช่ให้มึงมาถามกู” ผมพูดพร้อมกับหาอะไรโยนไปที่หัวของไอ้กั้ง

           ไอ้โทนยอมรับนะว่าช็อก ที่ไอ้ไม้มาบอกว่าบวชซึ่งผมเห็นดีเห็นงามด้วยและจะไปเยี่ยมพระเมื่อไหร่ก็ได้อนุโมทนาสาธุอย่างไม่มีเหตุผลอะไรต้องรั้งเอาไว้ เพราะไอ้ไม้เรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว ไม่มีหน้าที่อะไรที่ต้องเป็นห่วง แต่ผมอยากรู้เรื่องทหารนี้ละ ในความจริงถ้าจำเป็นต้องไปรับใช้ชาติจริง ๆ ผมก็ยอมเพราะนั้นคือหน้าที่ของชายไทย หืออออ โลกของความจริงมันโหดร้ายกับผมชะมัดเลย 

           “มีอะไรหรือเปล่าโทน เดี๋ยวยืมของเกื้อก่อนไหม”

           “อื้อก็ได้ แต่มันหายไปไหนนะ” ผมรับโทรศัพท์ขอไอ้เกื้อมาและกดเบอร์โทรออกที่จำได้แม่นยำ

           “สวัสดีครับ” รอสายสักพักเสียงเข้มปลายสายก็รับ เสียงรอบข้างค่อนข้างดังเหมือนอยู่ด้านนอกไม่ใช่ที่บ้าน

           “มึงอยู่ไหน”

           “อ้าวพ่อโทนผมเพิ่งไปส่งมาเอง คิดถึงผมเหรอครับ” ทะเล้นเดี๋ยวก็เจอตีนหรอก           

           “มาคุยกับกูหน่อยสิ”

           “มีอะไรครับที่รัก” ยังไม่เลิก แต่ระงับอาการโกรธไว้เพราะอยากให้ไอ้ไม้สบายใจก่อนบวช ผมตัดสินใจว่าจะไม่โกรธมัน

           “เหอะน่า จะถามอะไรหน่อย”

           “ตอนนี้ไม้กำลังช่วยป้าแป๋วตำข้าวอยู่ครับ”

           “แล้วทำไมไปโผล่บ้านป้าแกได้ ไปจีบลูกสาวแกหรือไง” ผมถามเล่นๆ เพราะรู้นิสัยมันดี หึ ลองนอกใจกันสิพ่อได้เอายาสลบช้างฉีดและหมกเอาไว้แถวๆนี้ละ

           “พ่อโทนก็รู้ผมรักพ่อโทนคนเดียว” อือหื้อ เสียงออดอ้อนออเซาะไปอีกไอ้ไม้มาดเข้มที่สอนกูชกมวยเมื่อกี้ไปไหนนะ

           “เออ เสร็จแล้วมาหากูที่โรงบาลด้วย”

           “รับทราบครับ อีกประมานชั่วโมงผมจะซื้อขนมไปฝากนะอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมที่รัก”

           “กินมึงได้ไหม” ผมหยอกๆ ด้วยความทะเล้นและอยากแกล้งมัน หึหึ อึ้งสิมึงเจอกูรุกใส่

           “หึหึ เดี๋ยวให้กินแล้วห้ามงอแงนะครับ”

           “เร็วเหอะมึงอะ” ผมตัดสายทันที ไอ้บ้าเขินชะมัด แกล้งกูได้แกล้งใหญ่เลยนะ

           “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะ มีอะไรหรือเปล่าโทน”

           “ไอ้ไม้มันบอกจะบวชน่ะ” ผมว่าและส่งโทรศัพท์คืนให้ไอ้เกื้อ จะว่าไป … ผมก็ตื่นเต้นนะที่ลูกผมจะบวชถึงสถาณะมันจะอัพเดตแล้วก็เถอะ

           “จริงเหรอ ดีจังเลย เกื้อเองบวชรอบนั้นพร้อมโทนได้อะไรตั้งเยอะแต่เสียดายเกื้อบวชแค่ 15 วันก็ต้องสึกแล้ว” ลืมบอกไปเลยว่าตอนนั้นผมบวชพร้อมไอ้เกื้อเลย ทำไงได้ละ จะให้มันไปบวชคนเดียวน่าสงสาร ยิ่งเป็นเด็กที่กลัวผีอยู่

           “เอาน่ะ อย่างน้อยก็ได้บวชแล้ว ตอนที่มึงเป็นพระนะ หัวมึงเหม่งน่ารักสุด ๆ ” ผมว่าพร้อมเอามือวางบนหัวของไอ้เกื้อ มันหัวเราะคิกอย่างอารมณ์ดี อยู่ด้วยกันมานานจนมันเลิกเขินผมไปนานแล้ว

           “โทนนั้นแหละ ลุงทายเกือบหลุดขำตั้งหลายครั้งตอนมาถวายเพล… เอาเป็นว่าเกื้ออนุโมทนาสาธุด้วย ว่าแต่บอกคนอื่นหรือยัง”

           “ยังหรอก รอให้เจ้าตัวมาบอกดีกว่า คงไม่จัดงานใหญ่หรอกไอ้ไม้ไม่ชอบคนเยอะ เดี๋ยวต้องไปหาฤกษ์เตรียมงานอีก … มึงกูถามไรหน่อย” ผมท้าวแขนลงจ้องหน้าไอ้เกื้อที่จ้องผมตาเป็นไข่ห่าน

           “อะไรเหรอ” มันทำท้าวแขนเลียนแบบผม อ้าว กวนตีน

           “ตอน ม ปลายหน้าอย่างมึงคงไม่เรียน รด แล้วไปจับใบดำใบแดงมาหรือยังวะ ตอนมหาลัยก็ไม่เห็นเลย”

           “อะไรโทน เกื้อก็เรียน รด นะ ตอนนั้นดำสุดๆ” มันทำท่าฮึดฮัด

           “จริงดิ โอ้ย กระดูกไม่หักเหรอวะ” ผมยกมือปัดหน้าตัวเองทำย่นจมูก

           “เห็นแบบนี้ ฮึ่ม เกื้อก็แข็งแกร่งนะ” ไอ้เกื้อยกแขนของมันเบ่งก้างให้ผมดู น่ารักเชียวมึง ฮ่าๆๆๆๆ

           “ไม่งั้นจะมีผัวเป็นนักมวยได้ไง ถูกปะ”

           “บะ บ้า นี้เกื้อเป็นแม่เลี้ยงโทนนะ พูดแบบนี้ได้ไง” หน้ามันแดงระรื้น โอ้ย พ่อหนุ่มทำมาเป็นเขิน

           “อ๋อ เดี๋ยวนี้ถือยศถืออย่างเหรอ กูเพื่อนมึงนะไอ้แม่เลี้ยง”

           “คิกๆ ล้อเล่นครับเพื่อนรัก เอาเป็นว่าโทนก็สถานะเดียวกับเกื้อนั้นแหละ”

           “ตั้งแต่มีผัวเป็นตัวเป็นตนนี้ เอาใหญ่เลยนะ” ผมว่า ก่อนที่มันจะหัวเราะเขิน ๆ พอดิบพอดีกับที่มีเคสแมวโดนยาเบื่อมาพอดี ผมกับมันเลยต้องพักความหรรษาและมาช่วยเพื่อนร่วมโลกก่อน

           “อ้าวมาแล้วเหรอ ปลอดภัยดีแล้วนะครับ โชคดีที่คุณลุงป้อนไข่แดงดิบไอ้โชค ทำให้สารพิษดูดซับและสำรอกออกมาพอสมควร จากนี้ก็ขอให้ไอ้โชคนอนอยู่ที่นี้ 2 วันเพื่อดูอาการนะลุงนะ” ผมหันไปทักไอ้ไม้ที่นั่งเจียมเจี้ยมอยู่ข้างๆลุงเสมเจ้าของแมว เจ้าของเจ้าโชคแมว 9 ชีวิตที่ผมช่วยไปแล้ว 1 ชีวิต คงเหลืออีก 8 ชีวิต ฮ่าๆๆๆๆ

           “ขอบคุณมากเจ้าโทน เจ้าเกื้อ ถ้าไอ้โชคตายลุงต้องเสียใจมากแน่ ๆ ”

           “ไม่เป็นไรครับลุงมันเป็นหน้าที่ ลุงทำใจดี ๆ นะครับ น้องปลอดภัยแล้ว” ไอ้เกื้อเดินเข้าไปจับมือลุงเสมที่สั่นระริก ลุงแกอายุเยอะแล้ว เมียก็ชิงด่วนเสียชีวิตไปก่อนลูกชายก็ไปทำงานกรุงเทพ คงมีแต่เจ้าโชคนี้ละที่เป็นเพื่อนแก จึงไม่แปลกที่แกจะหวงแหนเจ้าโชคเหมือนลูกคนนึงของแก

           “นี้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ลุงให้นะ ค่ารักษา” ลุงยื่นแบงค์ร้อย 2 ใบให้ไอ้เกื้อ มันยกมือไหว้รับมาก่อนจะเดินเอาไปใส่กล่องบริจาคเอาไปเป็นค่ายาของคลินิค ถือว่าเป็นการทำบุญที่ส่งต่อไปเรื่อย ๆ

           “ขอบคุณครับลุง เอาเป็นว่าฝากกระจายข่าวด้วยนะครับว่าถ้าสัตว์ตัวไหนป่วยให้พามาหาผมได้เลย หรือถ้าสัตว์มีขนนาดใหญ่เดี๋ยวผมจะไปรักษาถึงที่ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขอเป็นข่าวสักมื้อก็พอครับ” ผมบอกแกยิ้ม ๆ

           “เจริญ ๆ นะ” ผมยกมือท้วมหัวท่าทางตลก ๆ หวังให้ลุงอารมณ์ดีขึ้น

           พอลุงเสมกลับไปแล้ว ผมก็หันไปย่นหน้าใส่ไอ้ไม้ที่นั่งมองผมอยู่ตาแป๋ว ด้วยสายตาที่หยอกล้อของไอ้เกื้อที่ผมสัมผัสได้เลยต้องหันไปค้อนขวับและลากไอ้ไม้ออกมาที่ร้านไอติมในตลาด ไม่ใช่ร้านเจ้ปากมากที่ผมเคยพาไอ้ไหม้มากินบ่อย ๆ ตอนเด็กหรอกนะ เพราะเจ้แกมีผัวเป็นฝรั่งไปอยู่แคนาดาแล้ว

           “พี่โทนสวัสดีค่ะ วันนี้เอาเหมือนเดิมใช่ไหมคะ อ่อ น้องไม้ที่เล่าให้ฝ้ายฟังบ่อย ๆ หรือเปล่า”

           เสียงทักของไอ้ฝ้ายที่เห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เรียนจบแล้วก็มาเปิดร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ในสไตล์ร่วมสมัยมีทั้งโซนอินดอร์ที่ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าขาวน่ารักฟรุ้งฟริ้ง แล้วเอ้าดอร์เป็นชานบ้านที่ยื่นออกไปที่แม่น้ำ มีต้นไม้เล็ก ๆ เป็นของตกแต่งได้อารมณ์ไปอีกแบบ พอเห็นผมเดินเข้าไปก็ทักถามขึ้นทันที

           “เออ จีบได้มันยังไม่มีแฟน” ผมว่าชี้ไปทางด้านหลังที่ไอ้ไม้ยืนยิ้มเป็นมิตร และเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำติดพนังอีกฝั่งของร้าน เวลาเซ็ง ๆ ผมก็ชอบมาที่นี้แหละ

           “กรี๊ดดดดดดดดด งั้นรับหนูเป็นลูกสะใภ้นะบ”

           “ไม่ได้หรอกครับ ถึงผมจะไม่มีแฟน แต่ก็มีพ่อโทนที่ต้องดูแล หึหึ”

           “โอะโอ่ ล้อเล่นนะคะ แหะๆ” ไอ้ฝ้ายรีบลี้ภัยเดินมาหาผมเพราะเจอไอ้ไม้ทำหน้าน่ากลัวใส่ … ไม่ต้องหนีมา กูก็กลัวเลย

           “พะ พี่โทน ไม้โหดอย่างที่พี่บอกจริงด้วย”

           “เออ ๆ พี่เอาเหมือนเดิม และเอาโกโก้เย็นมาให้ไอ้ไม้ด้วย” ไอ้ฝ้ายรับคำก่อนจะเดินเข้าไปหลังเคาเตอร์ ร่างสูงของไอ้ไม้นั่งลงตรงข้ามกับผม มันยิ้ม แต่เป็นยิ้มแบบที่อารมณ์ไม่ดี ซึ่งรู้เลยว่ามันไม่พอใจที่ผมพูดเมื่อกี้

           “มึงอย่าเป็นงี้ดิ ไอ้ฝ้ายรู้ว่ากูเป็นพ่อมึง แต่เขาไม่รู้ว่ากูเป็น … นั้นแหละน่ามึง เข้าใจกูหน่อย”     

           “หึหึ แล้วแต่เลยครับ ยังไงก็ได้”

           “เฮ้ย อย่างอนเด้ … ไว้คืนนี้ค่อยลงโทษกูก็ได้แต่อย่างอนเลยนะ มึงก็รู้กูง้อคนไม่เป็น”

           “พูดแล้วนะครับ” แหมไอ้ห่า ทีนี้ยิ้มแป้นได้เลยนะมึงอะ เด็กอะไรน่าเกลียดชะมัด ผมย่นหน้าก่อนที่เค้กสตอเบอรี่กับกิวี่ปั่น และโกโก้เย็นจะมาเสริฟ

           “หึหึ รู้ใจผมจัง ว่าผมชอบกินโกโก้”

           “แน่นอน” ผมยักไหล่ ก่อนจะดูดน้ำกิวี่กิน อ๊า ชื่นใจ อาการเมื่อยขบจากเมื่อเช้าก็คลายลงทันที

           “ว่าแต่พ่อโทนแสนน่ารักของผม เรียกผมมาทำไมครับ”

           “เออ ลืมเลย กูจะถามมึงว่าเรื่องทหาร มึงไปจับใบดำใบแดงมายัง”

           “นึกว่าเรื่องอะไร ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ ลุงศักดิ์พ่อบ้านผมทำเรื่องผ่อนผันให้แล้ว และตอนกลับมาถ้าพ่อโทนสังเกต ก็น่าจะรู้ว่าเป็นช่วงที่เขาจับใบดำใบแดงกัน ผมไม่นั่งโชว์หัวนมมาแล้วครับ”

           “จริงดิ คนรวยอย่างมึงเนี้ยนะ ทำไมไม่ยัดเงินไปละ” ผมพูดอย่างไม่คิด

           “คนรวยก็ไม่มีสิทธิจะเอาเปรียบใครนี้ครับ และผมก็ไม่ซีเรียทว่าต้องไปเป็นทหารอย่างน้อยก็จะกลับมาลาพ่อโทนอีก แต่พ่อโทนคงช็อกน่าดูที่เพิ่งเจอผมหลังจากที่ผมหายไป และก็ต้องไปอีก 2 ปี คนที่จะทนไม่ได้เป็นพ่อโทนละมั่งครับ”

           “มึงพูดมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมว่าและก้มกินเค้กกลบความเขินไป ก็จริงของมันทุกอย่างนั้นแหละ

           “แล้วเรื่องบวชละมึงจะบอกทุกคนเมื่อไหร่”

           “เย็นนี้ผมจะบอกทุกคนในบ้าน … พ่อโทนจะว่าไหมถ้าผมจะบวชวัดป่าบนภูเขาและขออยู่ใต้เงาพระพุทธศาสนาสัก 3 เดือน”

           “กูจะไปว่าอะไรละ ได้แต่อนุโมทนาสาธุนั้นแหละ เอาที่มึงพร้อมเลยไม้ กูไม่ขัดอะไรอยู่แล้ว”

           “น่ารักที่สุด” มันพูดแบบไม่มีเสียง ผมเลยหมั่นไส้ป้อนเค้กให้มันคำโต

.

.

.

           ตกเย็นในมื้ออาหารบ้านทุ่ง ไอ้ไม้ได้บอกเรื่องจะบวชให้แก่ทุกคนได้รู้ ปู่ทายไม่ว่าอะไรและยินดีกับทุกสิ่งและเป็นธุระที่จะหาฤกษ์บวชให้ พวกพี่แสงและพี่เมฆที่ผ่านพิธีการมาก่อนแล้ว ก็ทั้งแนะนำและคุยโวต่าง ๆ นา ๆ ยิ่งอีตาพี่แสงนะบอกตัวเองเข้าถึงพระธรรมจนสามารถมองเห็นอนาคตได้ทั้ง ๆ ที่บวชแค่ สัปดาห์เดียวเท่านั้น เพราะต้องสึกออกมาชกแมชสำคัญ ผมละหัวเราะจนฟันแทบหักตอนพี่แสงถูกไอ้ไม้ไล่ต้อนจนมุม สุดท้ายก็โวยวายสารภาพเองว่าตัวเองน่ะขี้โม้

           “ปู่ครับผมขอนอนที่นี้นะคืนนี้”

           “บ้านปลายนามึงมีทำไมไม่นอน มานอนบ้านกูทำไม” ตาลุงที่นั่งชันเข่านั่งแคะฟันโชว์ซิกแพคนุ่งผ้าขาวม้าไม่อายฟ้าอายดินอยู่ที่แคร่หลังกินข้าวเสร็จตอบไอ้ไม้ โดยมีผมและไอ้เกื้อช่วยกันเก็บสำรับและพี่เมฆกับพี่แสงรับหน้าที่เช็คอุปกรณ์การฝึกสำหรับเด็ก ๆ ที่จะมาฝึกมวยในวันพรุ่งนี้

           “ก็วันนี้ปู่จะไปนอนบ้านบนเขากับอาเกื้อ ผมเป็นห่วงพ่อโทนครับ”

           “ไอ้เมฆไอ้แสงก็อยู่ มึงไม่ต้องมาอ้างไอ้ไม้ ทำไมกูจะตามเกมมึงไม่ทัน”ควันบุหรี่พ่นออกมาฉุยหลังพูดจบ

           “อย่ามาทะเลาะกันเหมือนผมเป็นผู้หญิงได้ไหม” ผมว่าและเอาจานเดินตามไอ้เกื้อเข้ามาในครัว

           “มึงไปเถอะ เดี๋ยวกูล้างเอง ต้องกลับไปรีดผ้าอีกไม่ใช่หรือไง” ผมวางจานและผลักไอ้เกื้อที่ทำท่าจะล้างอยู่ มันยิ้มและยอมวางมืออย่างว่าง่าย

           “งั้นเกื้อฝากด้วยนะ ลูกไม้อยู่ด้วยเกื้อคงไม่ต้องเป็นห่วง”

           “กูบอกให้ย้ายมาอยู่บ้านนี้ก็ไม่เชื่อ เทียวไปเทียวมาอยู่ได้”

           “เกรงใจน่ะ อย่าห่วงเลยบ้านบนเขาไม่ได้ลำบากอะไรหรอก อีกอย่างทุกคนก็เทียวไปนอนเป็นเพื่อนตลอดนี้”

           “เออ ๆ รีบไปเถอะก่อนผัวมึงจะฆ่าลูกกู”

           “คิกๆ ไปนะและเจอกันพรุ่งนี้ตอนเช้า” ไอ้เกื้อเดินออกไป ผมก็ลงมือล้างจานอย่างเงียบๆ

หมับ

ฟอดดดดดดดดด

           “หอมจัง”

           “ไอ้เหี้ย” ผมเรียกชื่อเล่นของมันอย่างไม่จริงจังนัก ไอ้ลูกห่านี้อยู่ ๆ มากอดและยังมาหอมอีก อยากจะด่าแรงกว่านี้แต่ก็กลัวมันโกรธ

           “วันนี้ผมนอนด้วยนะ”

           “พ่อกูยอมแล้วหรือไง”

           “หึหึ พี่เกื้อเดินออกไปเขาก็ไปกันทันทีเลยครับ”

           “เฮ้อ เออๆ ไปอาบน้ำอาบท่าซะ”

           “คร้าบบบบบบ ฟอดดดดด” ผมโดนมันกอดรัดฟัดเหวี่ยง อยู่สักพักก่อนยอมปล่อยเดินออกไปอย่างว่าง่าย อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ไอ้บ้า เขินนะเว้ย !

           “มึงจะทำอะไรเดี๋ยวไอ้โทนเห็น” ผมชะงักมือที่ล้างจานอยู่เมื่อด้านหลังครัวที่เป็นลานซ้อมทางปีกขวามีเสียงของไอ้พี่แสงดังขึ้น … อะไรกันวะ! ไม่เห็นแต่กูได้ยิน !!!

           “ก็มึงดื้อ” เสียงแหบเสน่ห์ทุ้มต่ำที่จำได้ดีว่าเป็นเสียงพี่เมฆดังขึ้น เฮ้ยๆๆๆ อย่ามาซัมกันตรงนี้นะเว้ยยยยยย ถึงจะรู้อยู่ก่อนแล้วแต่ไม่อยากเห็นซิกแพคเบียดกัน… อยากเห็นนิดเดียวก็ด่ะ เชี้ย เลือดกำดาวไอ้โทนจะไหล

           “กูไม่ได้ดื้อ อื้อ มึงอย่าเพิ่ง ไอ้สัด”

           “งั้นไปกลับห้อง”

           “กูอาบน้ำก่อน” เอาแต่ใจจังวะ คึ ๆ

           “ไปอาบที่ห้องน้ำโน้น”

           “เชี้ย อย่าลากกู” เสียงของพี่แสงถูกลากห่างออกไปยังเรือนหลังเล็กในรั้วบ้านผม น่าเสียดายชะมัด

           “แอบมองคนอื่นไม่ดีเลยนะครับ”

           “เชี้ยตกใจ” ผมอุทานผละออกจากกำแพงฝั่งนั้น อย่างเสียไม่ได้เมื่อไอ้ไม้โผล่มายืนพิงประตูอยู่หน้าห้องครัวมีผ้าขนหนูพาดบ่าอยู่

           “หึหึ” มันหัวเราะก่อนจะเดินผ่านไป … ไม่ว่าจะกี่ปีกี่ชาติก็เกลียดเสียงหัวเราะแบบนั้น ฮึ่ย ว่าแต่อยู่ ๆ ก็อยากย่องไปแอบดูที่เรือนหลังเล็กแฮะ หุหุ

.

.

.

           “พ่อโทรหลับแล้วเหรอครับ”

           เสียงทุ้มต่ำเข้มของไม้กระซิบเบา ๆ ที่ริมหูของร่างเล็กที่นอนขดตัวบนเตียงอันคุ้นเคยในห้องที่แสนสงบสุขและมีความทรงจำที่ดีตลอดมา ก่อนที่ริมฝีปากบางของลูกไม้จะยิ้มขึ้นอย่างเอ็ดดู เพราะเพียงแค่เขาลงไปตรวจตรารอบบ้านรอบสุดท้ายไม่กี่นาที พอขึ้นมาคนที่เพิ่งตาสว่างก็หลับไปแถมยังมีกลิ่นกายที่หอมฉุยจนจมูกโด่งได้รูปจะค่อยๆลงไปหอมขมับบางด้วยความเสน่ห์หา และเหมือนยังไม่พอ ริมฝีปากชื้นยังจูบไปทั่วใบหน้าก่อนจะทาบลงเบา ๆ ที่ริมฝีปากอวบอิ่มของผู้ใหญ่ตัวจิ๋วที่แสร้งเก่งไปในทุกเรื่อง แต่จริง ๆ ก็เหมือนเด็กสำหรับเขาอยู่ดี

           “อื้อ อะไอ้ไม้ พรุ่งนี้กูมีงานเช้านะ” เสียงกระเซ้าตอบกลับมาเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกโจมตีจากร่างสูงที่คร่อมอยู่บนร่างแล้ว

           “หึหึ แค่นี้ก็ชื่นใจแล้วครับ นอนนะครับ นอนบนอกของไอ้ไม้นี้ละ”

           เจ้าไม้ว่าก่อนจะนอนลงรวบตัวบางเข้ามากอดก่ายเอาไว้ ใบหน้าน่ารักวางแก้มนิ่มลงบนอกเปลือยก่อนจะหลับตาลงอย่างสบายใจแตกต่างจากอีกคนที่คลุกรุ่นด้วยอารมณ์ แต่ระงับทุกสิ่งเอาไว้เพื่อรอวันที่เขาทำหน้าที่ของลูกเสร็จสิ้น

           “ตอนไม้ไม่อยู่คอยดูแล พ่อโทนต้องดูแลตัวเองนะครับ”

           “อื้อ … แค่ 3 เดือนกูรอได้ มึงไปเถอะ ไปทำจิตใจให้สงบนะ”

           “รักพ่อโทนนะครับ”

   เสียงเล็กครางในลำคอ ก่อนจะค่อย ๆ หายใจในจังหวะสม่ำเสมอ และหลับไป ทิ้งให้ร่างสูงกอดก่ายร่างน้อย ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่าง รอยยิ้มบนใบหน้าคมที่แสนสบายใจปรากฏขึ้น … เสียงจิ้งหรีดเรไร และคลื่นกระแสลมที่ทำให้ใจสงบสอดส่ายรับกับเสียงลมหายใจ และจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผ่อนคลายและแนบแน่นของคนรัก ไม่มีอะไรที่ไอ้ไม้ เด็กหนุ่มบ้านนอกคนนี้จะพึงปรารถนาอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว



//////////

ทำหน้าที่ลูกก่อนนะคะ ค่อยทำหน้าที่สามี กรี๊ดดดดดดดดดดด

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

ออฟไลน์ PsychePie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 256
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
เจ้าไม้ไม่น่ามาขัดจังหวะเลย พ่อโทนกำลังจะตามไปส่องสองคนนั้นแล้วเชียว ถถถถถถ

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก


{เมฆXแสง ตอนที่1 คู่รักซิกแพค}



           ฮะ แฮ่ม ถามหาไอ้โทนกับไอ้ไม้คู่ผัวตัวผู้กันอยู่หรือไง ฮะฮะ ไม่ให้เจอหรอกว้อย ตอนนี้เป็นของพี่ ไอ้แสงยอดชายผู้ปราบคู่ต่อสู้บนสังเวียนมาแล้วนัดต่อนัด ฉายา ไอ้หนุ่มเหนือแสง ทำไมถึงได้ฉายานี้มาอะหรอ หยุดเลย ๆ ไม่ได้โดนน็อคไวเหนือแสงหรอกนะ ไอ้นั้นมันสมัยก่อน แต่เดี๋ยวนี้หมัดเดียวก็ล่มคู่ต่อสู้ได้ ถ้ามันไม่สู้อะนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ เอ้อ นี้พูดอะไรอยู่วะ

           เริ่มไงดี…จะบอกว่าเป็นเด็กกำพร้ามาแต่เกิดก็ดูจะน่าสงสารเกินไปนัก เอาเป็นว่าบ้านหลังแรกของผมคือที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วกัน พี่น้องคนละท้องมีมากมายกว่า 50 ชีวิต ชื่อที่พี่เลี้ยงเก่าแก่ที่ตอนนี้แกเสียไปแล้วตั้งให้ คือ แสง ที่มาจากแสงสว่าง นามสกุลตอนนี้ใช้สกุลเดียวกับลุงทาย ที่เหมือนพ่อผมนั้นแหละ แล้วหนึ่งในพี่น้องนอกไส้ผมก็คือไอ้เมฆ อยู่ที่นี้มาตั้งแต่ตัวเท่าลูกแมว แต่ไอ้เมฆน่ะ มันถูกทิ้งตอนมัน  4 ขวบ เพราะแม่มันเสียและพ่อของมันทิ้งมันไปมีเมียใหม่ ไม่มีญาติที่ไหนมันเลยได้มาอยู่ที่นั้นด้วยกัน

   ครั้งแรกที่เจอมันผมจำไม่ค่อยได้หรอกเพราะผมเองก็อายุเท่ามัน แต่แววตาเศร้าโศกคู่นั้นเป็นสิ่งที่ผมจำได้ดี จากนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้หรอกที่ผมกับมันสนิทกันรู้อีกทีถ้ามีผมก็ต้องมีมัน ถ้ามีมันและไม่มีผมนั้นสงสัยหลับอยู่ 

           “อะให้” ไอ้ผมที่ยังเด็ก ยื่นรถบังคับคันตัวเท่าฝ่ามือ ให้ไอ้เมฆที่นั่งอยู่บนชิงช้ามองออกไปที่รั้วของบ้านเด็กกำพร้า มันหันมามอง รอยยิ้มของมันตอนนั้นผมจำได้ไม่ลืม มันยิ้มแบบโลกทั้งใบเป็นของมันและหยิบเอารถบังคับในมือผมไปกอด … นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมคุยกับมันละมั้ง

           พอสักอายุ 15 ปี ความคิดความอ่านผมก็เพิ่มขึ้น แต่จุดแตกต่างระหว่างผมกับมันกลับชัดเจนขึ้น เมื่อผมเลือกที่จะคบเพื่อนที่เหลวแหลก สูบบุหรี่ กินเหล้า และขับมอเตอร์ไซค์ไปเรื่อย ๆ ไม่เรียนหนังสือถึงแม้จะมีทุนสำหรับเด็กกำพร้าอย่างพวกเรา แต่โชคดีที่ยังไม่ถึงขั้นไม่หลงผิดคิดเสพยา

   ส่วนไอ้เมฆน่ะหรอ มันกลับชอบช่วยเหลือคนอื่น ออกกำลังกายและรักกีฬามวยเป็นชีวิตจิตใจ รวมไปถึงเกรดเฉลี่ยมันก็ดีเอาซะมาก ๆ เรียกง่าย ๆ ว่าผมน่ะรักเลว ไอ้เมฆน่ะรักดี

           “ไอ้เมฆกูไปขี่มอเตอร์ไซค์นะ มึงไม่ไปกับกูเหรอวะ” ผมที่นอนอยู่บนเตียงภายในห้องพักเด็กกำพร้าใช้เท้าสะกิดไอ้เมฆที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ปลายเตียงกับพื้น แม่งจะขยันไปไหนก็ไม่รู้

           “กูเคยขอ มึงไม่คิดจะทำให้กูเลยหรือไง”

   มันหันมาถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง อ่อ อีกอย่างที่แตกต่างกัน คือรูปร่างที่สูงใหญ่แข็งแรง ผิวขาวละเอียด ใบหน้าคมคายคิ้วเข้มของมัน ส่วนผมน่ะหรือก็ไอ้ขี้ก้างหัวโตเหมือนที่ไอ้โทนเคยด่าไว้นั้นแหละ ย้ำนะเว้ย ว่านั้นมันแค่อดีตอะ! ตอนนี้กูสูงหล่อสุด ๆ

           “ก็ใจกูมันรักนี้หว่า”

           “มึงแน่ใจหรือว่ารักหรือว่าแค่เห่อหมอย”

           “ไอ้เชี้ยมึงแม่ง กูไม่คุยกับมึงแล้ว” ผมถีบมันไปหนึ่งทีแต่มันก็ไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะลุกยืนสวมเสื้อกับกางเกงภาษาเด็กแว้น อ่อ สมัยนั้นแม่งต้องทาปากแดงผมนกหัวขวานด้วยใช่ไหมวะ ฮ่าๆๆๆๆ

           “กูเป็นห่วงมึง เพราะมึงก็เหมือนน้องกู” มันพูดในขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูห้องออกไป ผมชะงักนิดๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมัน ก็ตอนนั้นผมเด็กแค่อยากทำอะไรก็ได้ที่มันแหกกฎเกณฑ์ไม่เหมือนไอ้เมฆที่อยู่ในกฎเกณฑ์ได้ แถมเสือกมีประสิทธิภาพเป็นคนดีของสังคมสาวติดตรึมอีกต่างหาก ก็รู้ว่ามันผิดละครับ แต่ทำไงได้หัวใจมันเรียกร้อง

           “โธ่เว้ย!!!!”

เคร้ง !

           กระป๋องเจ้ากรรมถูกผมเตะไปไกลจนผมตกใจ เฮ้ย หรือว่าเราจะมีพรสวรรค์ด้านกีฬาปะวะ มึงคอยดูนะ เดี๋ยวคอยดูมึงจะเห็นกูเติบโตในวงการลูกหนัง … ฟุตบอลนะมึงไม่ใช่ให้กูจะไปขัดรองเท้า

           “ไอ้หนู”

           “ใครหนู”

   ผมหันขวับไปมองก่อนจะชะงักเมื่อร่างสูงใหญ่หน้าโหดกำลังยืนกอดอกจ้องผมอยู่ นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมเจอกับลุงทาย …. เป็นการพบเจอที่หดหู่สำหรับผมมาก เพราะตอนนั้นพ่อบุญธรรมของผมเหมือนจะฆ่าผมเพราะแค่เตะกระป๋องข้ามรั้วไปโน้น

           “พูดจาให้มันดี ๆ ” เขาก้าวสามขุมเข้ามายืนตรงหน้าในขณะที่ผมยืนตัวลีบๆอยู่หลังเค้าต่อยอะ ใครจะคิดว่าเจ้าของค่ายมวยจะมาที่นี้ละ

           เอ๊า แล้วผมรู้จักไปรู้จักแกได้ยังไงอะเหรอ ผมน่ะคล่ำหวอดอยู่ในวงการแว้นมาตั้งแต่ 10 ขวบ สถานที่ใหญ่ ๆก็ไปก่อกวนมาหมดแล้ว นับภาษาอะไรกับค่ายมวยของลุงแกละหว๊า! ตอนที่ไปเกือบโดนปืนโป้งเข้าที่หัวด้วย คิดแล้วยังเสี่ยวกบาลไม่หาย

           “กะ ก็ลุง จะทำไมล่ะ”

           “เรียกพี่ก็พอ เดี๋ยวกูทุบตายห่า” ผมสะดุ้ง ก็ตอนนั้นเขายังไม่ 30 เลยละมั่ง

           “พะ พี่ ทายจ๊ะ อย่าทำอะไรผมเลยนะ” ผมเริ่มเลียแข้งเลียขาลุงแก ไม่งั้นผมคงโดนแกต่อยสลบ

           “เออว่านอนสอนง่ายดี พี่ชายมึงล่ะ” เขาอ่อนลง

           “คะ ใครครับ”

           “ว๊ะ! ก็ไอ้เมฆไง ครูเอื้อยบอกข้าว่าเอ็งกับไอ้เมฆเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือไง”

           “เรียกผมมีอะไรครับ” เสียงเข้มของไอ้เมฆดังขึ้นก่อนที่ผมจะยิ้มกว้างและรีบวิ่งไปอยู่ด้านหลังไอ้เมฆที่ยืนอยู่ด้านหลังลุงทายทันที อย่าน้อยไอ้เมฆก็เป็นมวย ถึงจะเป็นมวยวัดที่ชกชนะแค่ 2 ครั้งก็เถอะ

           “เอ็งหรอไอ้เมฆ” ลุงทายหันหน้ามามองเราสองคนยิ้ม ๆ ผมที่แอบอยู่ด้านหลังชะเง้อออกมาดูหน่อย ๆ

           “ครับผมเอง ถ้าไอ้แสงไปทำอะไรชั่ว ๆ เอาไว้ ต้องขอโทษด้วยนะครับ แล้วผมจะผ่อนจ่ายค่าเสียหายให้”

           “กูเปล่านะ!” ผมร้องบอกมันทันที ใครไปทำอะไรวะ ตอนที่ไปก่อกวนที่ค่ายมวย ผมไม่ได้ทำนะ เพื่อนแว้นทั้งหลายต่างหากที่ทำผมแค่ไปด้วยเฉย ๆ ผมจะไปกล้าได้ยังไง แค่หมาเห่าก็วิ่งตายห่าแล้ว

           “หึหึ น้องมึงที่ไปก่อกวนกูไม่เป็นไรกูให้อภัย” เฮือก เห็นกูด้วยเหรอ ผมรีบผลุบหัวไปอยู่ข้างหลังไอ้เมฆทันที

           “แต่ที่กูอยากจะถามมึง และต้องได้คำตอบตอนนี้ว่า มึงอยากจะเป็นนักมวยในค่ายกูหรือไม่” ผมตะลึงนิ่ง … รู้แล้วละว่ามันเป็นเด็กมีอนาคต และในอนาคตนั้นก็คงไม่มีผมด้วย

           “หมายความว่ายังไงครับ” มันถาม

           “กูจะเลี้ยงดูมึงในฐานะพ่อครูมวยของมึง ให้มีที่อยู่ที่กินได้เรียนหนังสือ และมีอาชีพเป็นนักมวยให้ค่ายกู”

           “… ถ้ามึงไปแล้วกูจะอยู่กับใคร” ผมกระซิบถามมันจากด้านหลัง ในตอนนั้นผมเหมือนไอ้ตัวที่ถ่วงความเจริญของไอ้เมฆเอาซะมากๆ

           “ทำไมถึงเป็นผม”

           “กูพาลูกกูไปเดินงานวัด และเจอมึงต่อยมวยอยู่ นัดนั้นมึงแพ้ แต่แววตามึงที่สู้สุดใจ กูชอบ … และกูก็เห็นไอ้ห่านั้นเกาะข้างล่างเวทีเชียร์เย้ว ๆ น่ารำคาญด้วย” ผมไม่ได้ร้องเย้ว ๆนะตาลุง!

           “ถ้าลุงจะพาผมไปเลี้ยง ผมขอให้รับไอ้แสงไปอีกคนได้ไหมครับ” ผมเงยหน้ามองมันจากด้านหลังงงๆ

           “ไอ้ห่าลิงนั้นอะนะ” ถ้าไม่กลัวจะโดนเตะนี้กระโดดกัดหูไปแล้ว

           “ครับ ถ้าไอ้แสงไม่ไป ผมคงจะไปไม่ได้ เพราะผมคือพี่ชายของมัน”

           “เฮ้อ เอา ๆ  ดื้อกันให้เต็มที่ไอ้ห่านี้ไม่รู้จะเจอกับไอ้โทนจะยิ่งคูณ 2 หรือเปล่า ตามใจอยากจะไปก็ไป แต่กูบอกไว้ก่อนนะ ถ้ายังคบไอ้พวกสร้างความเดือนร้อนกลุ่มนั้นอยู่ กูเตะตกบ้านไล่มึงไปนอนข้างถนนแน่”

           “ครับผมจะดูแลมันอยากดี”

           “กูไม่ได้ถามมึง ว่าไงไอ้แสง ไปอยู่กับกูมึงจะทำตัวดี ๆ ไหม”

           “กะ ก็ได้” ผมพูดกระซิบอยู่ด้านหลังไอ้เมฆ แต่ก็ถูกไอ้เมฆกระชากออกมายืนตัวลีบอยู่ข้าง ๆ มัน สาดดดดดดดดดด ไหนบอกพี่ชายกูขอหลบหน่อยไม่ได้เลยนะ

           “เข้มแข็งและมีหางเสียงหน่อย!!!!”

           “ครับผม !!!! ผมจะไม่แว้นแล้วครับ!!!!” ผมตกใจและตะโกนออกมาทำให้ไอ้เด็กตัวเล็กตัวน้อยที่วิ่งเล่นกันอยู่ตกใจหันมามองกันเป็นแถว

           “ดี งั้นไปเก็บของและตามกูไปหาครูเอื้อย กูจะทำเรื่องขอรับเลี้ยงพวกมึง” พูดเสร็จแกก็เดินจากไป ผมกับไอ้เมฆมองตามหลังแกไปอย่างงง ๆ ก่อนจะหันมามองหน้ากันและยิ้มออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย วินาทีนั้น ผมก็ได้รู้จักความดีใจของคนมีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว …

.

.

.

           “พวกมึงรอนี้ก่อน”

   ผมที่ขนของตัวเองลงมาจากรถแล้ว หันไปมองลุงทายที่เดินไปยืนท้าวเอวที่บันไดขึ้นบ้าน และต้องสะดุ้งเฮือกไม่อยู่ ๆ ลุงแกก็ตะโกนออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

           “ไอ้โทน ไอ้ห่าโทน! ลงมาช่วยขนของ ของมึงทั้งนั้นเลยไอ้ลูกจอมขี้เกียจ!!!!!”

           “โว้ย ไอ้โทนมันไปตลาดพระกับไอ้ทิมโน้น”

   ผมหันไปมองชายร่างสันทัดแต่ดูแกร่งไปทั้งส่วน สีผิวดำแดงเดินพาผ้าขาวม้าถือนวมเข้ามาหาจากทางหลังบ้าน และนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบลุงจันทร์เมียเยอะ ไม่ต้องตกใจทำไมผมถึงเรียกแกงั้น เห็นแกแบบนี้หญิงติดตรึมนะ แถมเมียเยอะจนตบกันแย่งชิงอย่างกับลุงแกเป็นณเดช

           “อ้าวไอ้จันทร์ แล้วมันไปทำอะไรละ” ลุงทายถาม

           “ก็ตามติดไอ้ทิมไปส่องพระนั้นแหละ อยู่บ้านมันก็ซนอย่างกับลิงปล่อยให้มันไปซนที่อื่นบ้างเถอะกูปวดหัว ว่าแต่ไอ้สองคนนี้น่ะหรือที่เอ็งบอก ไหนเอ็งบอกแค่ไอ้เมฆคนเดียวไง แล้วไอ้กุ้งแห้งนี้ใคร” ผมที่กำลังยืนฟังเพลิน ๆ หันมามองแกและชี้มาที่ตัวเองงง ๆ อุตส่าห์ยืนสงบนิ่งแล้วเชียว

           “แนะนำตัวกับลุงจันทร์สิวะ แล้วยกมือไหว้สวย ๆ ด้วย”

           “อะ จ๊ะ ฉันชื่อแสงจ้ะลุง”

           “ว่าแต่เอ็งนี้หน้าคุ้น ๆ นะ” ลุงแกเดินมาส่องหน้าผมใกล้ ๆ จนต้องย่นคอหนี ไอ้เมฆเองก็หัวเราะไปกับเขาด้วย สาด ใช่สิมึงเข้ามาบ้านเขาถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่างนี้ มีกูเป็นกาฝากเฉย ๆ นี้ แม่งๆๆๆๆๆ

           “ก็จะใครซะอีกละก็แก๊งไอ้โชคนั้นแหละ แต่ดันเป็นน้องไอ้เมฆ มันก็เลยต้องเอามาชุบเลี้ยงทั้งคู่” ลุงทายพูดพร้อมกับเดินมากอดคอผมทั้งคู่ เกร็งสุดชีวิต

           “ว๊ะ! ไอ้แสบนี้เอง เอาเถอะ ๆ ไปเอาข้าวของเก็บหาน้ำหาท่ากินให้สบายใจแล้วค่อยมาคุยกัน”

           ผมกับไอ้เมฆถูกให้มาอยู่ที่เรือนหลังเล็กที่เดียวกับลุงจันทร์และลุงทิม แต่คนละห้อง แม้จะเป็นบ้านไม้ แต่ก็แข็งแรงต้านทานแรงลมแรงฝนได้ดี แถมเย็นอีกต่างหาก ผมเองก็ไม่มีปัญหาในการอยู่กับไอ้เมฆด้วยเพราะเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว

   หลังจากเก็บของเสร็จ ไอ้เมฆกับผมก็พากันลงมาหาลุงทายและลุงจันทร์ที่นั่งรออยู่ที่ลานหน้าบ้านเพื่อฟังกฎเกณฑ์ของค่ายมวยแห่งนี้ การซ้อมเช้า ซ้อมเย็น และการขึ้นชกที่จะมาถึงเร็ว ๆ นี้ผมน่ะไม่ค่อยตื่นเต้นหรอก แต่ถ้าไอ้เมฆนะตาเป็นประกายวิ้ง ๆ เลยละ ผมก็ดีใจที่ไอ้เมฆกำลังก้าวหน้าละนะ

           “พ่อจ๋า พ่อจ๋า พ่อ” (ทำนองเพลง พี่จ๋าพี่ของคุณแม่พุ่มพวง ดวงจันทร์)

   เสียงแจ๋วแว๊วของเด็กผู้ชายทำให้ผมทั้งสี่คนที่นั่งคุยกันอยู่หันไปมอง ก่อนที่จะเป็นการพบเจอไอ้เด็กหัวโปก ที่กวนส้นตีนที่สุดในโลก ไอ้โทนวัยเด็กขี่จักรยานดริฟเบรกหัวทิ่ม มาจอดข้าง ๆ ผมที่นั่งอยู่ริมสุดจนผมต้องยกขาหนี ไอ้ห่านี้นิ

           “โย่ว น้องโทนมารายงานตัวแล้วครับ” มันยกมือขึ้นก่อนจะพูดทักทายตามภาษามันยิ้มนี้แก้มแทบปริ มันเป็นคนน่ารักแต่เด็กเพราะได้เชื่อแม่มะลิเมียลุงทายที่ด่วนจากไปก่อนมาเยอะ ถ้าไม่ติดนิสัยห่าม ๆของมันอะนะ

           “มึงเจอคู่แข่งแล้ว”

           “แข่งเหี้ยไรล่ะ” ผมหันไปค้อนไอ้เมฆขวับ ไอ้ห่าหมาเกิด

           “ถ้ามึงเบรกและหัวทิ่มกูจะโบกให้หัวลั่นไอ้โทน”ลุงทายว่าเสียงเรียบ

           “ไม่หรอกน่า น้องโทนเก่ง อ่ะ พี่สองคนนี้ใครอะ คนนี้หล่อ แต่คนนี้ ยี๋! ผมทรงประหลาดอะ” ไอ้เด็กเหี้ยว่าทรงผมกู มึงไม่รู้จักทรงไก่ฟ้าประจำแก็งกู แล้วอย่ามาพูด

           “นี้ไอ้เมฆ นี้ไอ้แสง พี่ชายมึง จะมาเป็นนักมวยค่ายนี้” ลุงจันทร์แนะนำ

           “อะเหรอ แล้วแต่นะ พ่อมีไรกินบ้างอะโทนหิว” มันทำไม่สนใจก่อนจะกระโดดมาเอาหัวทุยอ้อนลุงทายดูเหมือนกวนตีนอยู่กราย ๆ มากกว่า

           “งั้นเดี๋ยวพี่ไปทำให้นะครับ” ไอ้เมฆเสนอตัว รีบทำคะแนนเลยนะมึงอะ

           “เย้ สอนโทนทำด้วยนะ” ว่าแล้วพี่น้องคนใหม่ก็เดินคู่กันไปในครัว ส่วนกู ก็หมาหัวเน่าไง ไอ้เชี่ยเมฆน้องมึงอยู่นี้!!!!

.

.

.

           วันเวลาผ่านไปกว่า 5 ปี เราสองคนอายุ 20  ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบตามวิถีชีวิตนักมวยของผมและไอ้เมฆ พี่ชายผมเริ่มมีชื่อเสียงในวงการและเนื้อหอมมากขึ้นมีแฟนคลับตามตูดมาเฝ้าถึงค่าย จนผมกับไอ้โทนต้องแพคทีมไล่กันสนุก ถ้ามากรี๊ดไอ้แสงสิจะหาข้าวหาน้ำเลี้ยงด้วย ชิ

   ส่วนผมน่ะเหรอผมหายเป็นทรงไก่แล้วแต่ก็นะ ชกทีแพ้ตลอดร่างกายก็ยังไม่แข็งแรงเท่าไหร่ เพราะผมมันเด็กขี้เกียจหนีซ้อม มีจังหวะดี ๆ ก็ไปแว้นตลอด และก็โดนไอ้เมฆไปลากกลับมาประจำ มีครั้งนึงขึ้นโรงพักเพราะติดรางแหไปกับที่โดนตำรวจจับ ผมงี้ร้องไห้ออกมาเลยเพราะกลัวทุกอย่างผมยังเด็กครับ ในตอนนั้นยังมีความสดความสนใจกับสิ่งเร้าทั้งหลาย และขี้ขลาดกลัวทุกสิ่งอย่างแต่ก็รั้นจะทำทุกอย่างเหมือนกัน แต่ลุงทายและไอ้เมฆก็ไปประกันตัวผมออกมา

   จากนั้นผมก็เลิกแว้นอย่างจริงจัง ประจวบเหมาะกับที่ไอ้โทนไปลากไอ้ไม้มาเป็นลูกพอดี นั้นก็เป็นครั้งแรกที่เจอไอ้เด็กหน้าโหด นิสัยผู้ใหญ่ยิ่งกว่าให้โทนที่สำคัญเป็นเด็กกำพร้ามาในสถานรับเลี้ยงเด็กเหมือน ๆ กับผมเช่นกัน

           “ไอ้เมฆ กูอยากนมใหญ่เหมือนมึงบ้าง มึงดูหุ่นกูแห้งอะ มึงดูเซ่ ไอ้เหี้ยดูมวยเหี้ยไรนักหนา ดูกู๊วววววววววววว”

   ผมกระโดดไปดักหน้าโชว์พุงน้อย ๆ ที่ไม่ขึ้นเป็นซิกแพคสักที มีแต่ก้างย้วย ๆ กับหัวนมสีชมพู แต่มันไม่สนใจเลยแถมเอาแขนปัดผมอย่างกับแมลงวันอีกต่างหาก ผมเลยต้องใช้ไม้เด็ด …

   

ผลั๊ว

           “ไอ้แสงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง! ไอ้สัดพี่เข้มกูน็อคเลยมึง!!!!” เป็นไงละ ผมหัวเราะเมื่อตวัดรัดรอบพุงมันจากด้านหลังและเอนตัวไปข้างหลังล้มลงเตียง ส่วนมันม้วนหน้าหนึ่งตลบหัวกระแทกเตียงดังผลัก ประจวบเหมาะกับที่มวยแพ้พอดี ฮ่าๆๆๆ เป็นไงละ

           “ก็มึงไม่สนใจกูอะ ถ้ามึงไม่ยอมสนใจกูกูจะไม่ปล่อย”

           “ไอ้ห่า กูเจ็บนะ มานี้เลยอยากให้กูสนใจนักนี้”

พรึบ โป๊ก!!!

           “อะ จะ เจ็บ มึงหัวกูกระแทกขอบเตียงเลย!” ผมผวาร้องลั่นเมื่ออยู่ ๆ มันก็ตวัดผมจนมาอยู่ใต้ร่างมันเพียงแวบเดียว ทำให้ผมหัวผมกระแทกขอบเตียงด้านบน มันต้องปูดแน่ ๆ ไอ้เหี้ยเมฆ ไอ้พี่เวรตะไล

           “ก็มึงดื้อเอง ร่างกายปวกเปียกแบบนี้ไงถึงสู้แรงใครเขาไม่ไหว ขนาดมึงอยู่ที่ค่ายมวยมึงยังไม่เอาวิชาเลย กูไม่รู้จะว่าไงแล้วไอ้แสง” มันพูดในขณะที่หน้าของเราห่างหันไม่ถึงคืบ ตาผมจ้องตามันอย่างไม่ลดละจนผมต้องเซมองไปทางอื่นร้อนวูบที่ใบหน้าอย่างหาสาเหตุไม่ได้

           “กะ กะ กูกลับใจแล้วไง แต่กูแค่ช้าไปหน่อยแค่นั้น …” น้ำเสียงผมอ่อนลงเพราะมันพูดถูกทุกวิชา ลุงทายพร่ำสอนผมสารพัด แต่ก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ผมกากเอาซะมาก ๆ ในตอนนั้น

           “หึ ให้มันจริง ขนาดไอ้ไม้เข้ามาใหม่ ๆ มันยังขยันกว่ามึงเลย อย่าให้อายเด็ก รู้ไหมจ้ะ น้องแสงของพี่ จุ๊บ!” มันพูดน้ำเสียงหยอกล้อไม่พอยังยื่นปากมาจุ๊บผมอีก ถึงจะเป็นจุ๊บสั้น ๆ เหมือนใช้ปากแตะกันเฉย ๆ แต่ก็ทำให้ผมอึ้งทึ้ง หน้าแดงทำอะไรไม่ถูก

           “อะ ไอ้เหี้ย!!!!! มึงแม่ง แหวะๆๆๆๆๆ” ผมยกมือเช็ดปากตัวเองพัลวันอีกข้างก็ผลักอกของมันให้มันลุกไปจากตัวของผม มึงเห็นกูเป็นกล้วยหรือไงถึงทับกูอยู่ได้

           “เวอร์นักนะมึง จุ๊บ” ผมช็อก นอกจากจะผลักไม่ออกแล้วยังจุ๊บแกล้งผมอีกที

           ก่อนที่มันจะลุกขึ้นและเดินหยิบผ้าขาวม้าพาดบ่าออกจากห้องไป … ทิ้งให้ผมนั่งอยู่บนเตียงคนเดียวอย่าง งง ๆ กับความรู้สึกตัวเอง อาจจะเป็นเพราะนั้นแม่งคือ จูบแรกของผมที่มันปล้นไปซะอย่างงั้น



           จากนั้นมา นั้นก็ไม่ใช่จูบแรกของผมและมัน เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่ 2 3 4 5 6 7 ไปเรื่อย ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เราไปไหนมาไหนด้วยกันปกติ จนเรียนจบ กศน. ในวุฒิการศึกษา ม.6  จนผมเองก็รู้สึกชินและเสพติดไปซะอย่างงั้น มันอาจจะประหลาดก็ได้ แต่ผมก็อธิบายความรู้สึกของผมไม่ถูก ทั้งผมและมันต่างมีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวพัน แต่ก็ได้ไม่นานหรอกครับ อาจจะเป็นเพราะเราเป็นนักมวย วัน ๆ ชีวิตจึงมีแต่การฝึกซ้อม คู่ต่อสู้ สังเวียน และเพื่อนพ้องเท่านั้น พัฒนาการของผมเปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้า

   จนวันเวลาที่ไอ้ไม้จากไป ทั้งบ้านจึงมีแต่ความโศกเศร้าเพราะไอ้โทนกลายเป็นเหมือนคนบ้าในช่วงแรก ๆ  เอาแต่ร้องไห้ งานการไม่ทำ ไม่มีใครช่วยปลอบประโลมจิตใจของมันได้ แม้แต่ตัวของมันเอง แต่สุดท้ายมันก็กลับมาตั้งหลักได้ด้วยตัวเอง ผมและทุกคนก็ได้แต่เฝ้ามองมันอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ

           “มึง” ในขณะที่ผมนอนอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน มองดูพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ไอ้เมฆครับ มันเดินมานั่งข้างๆผม ผมมองมันนิดนึงและก็หันกลับมามองพระจันทร์ต่อ

           “กูไม่เป็นไร” ผมพูดเบา ๆ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกครับ

           ผมแค่รู้สึกว่าความรักแม่งประหลาดนะ คนๆหนึ่งยอมเสียน้ำตาให้กับคนที่รักเหมือนคนบ้าแบบไอ้โทน แล้วผมเองละ จะหาคนที่ผมอยากรักแบบนั้นได้ไหม … ผู้หญิงคนไหนที่จะมารักจริงกับนักมวยต๊อกต๋อย แถมยังมีพี่ชายขี้หวงฉิบหายอย่างผม 

           “อ่อนไหวเหลือเกินนะ ความรักของใครก็ให้เขาจัดการกันเองสิวะ มึงจะไปคิดแทนเขาเพื่อ ?”

           “มึงจะมาเทศกูทำไมวะ นอนลงดิ ยืนอยู่ได้” ผมดึงมือมันให้นอนลง มันหัวเราะในลำคอก่อนจะนอนลงข้าง ๆ ผู้ชายสองคนนอนมองพระจันทร์บนแคร่เล็ก ๆ ก็เป็นภาพที่ตลกดีนะครับ

           “มึงว่าตอนนี้พ่อกูทำอะไรอยู่วะ” อยู่ไอ้เมฆก็ถามขึ้น ผมหันไปมองก่อนจะลุกขึ้นนั่งและมองมันอย่างสงสัย แต่ไอ้เมฆไม่มองผมมันยังเหยียดยิ้มมองพระจันทร์อยู่แบบนั้น

           “ทำไมมึงพูดเรื่องนี้วะ”

           “กูไม่โกรธเขาหรอกพูดถึงได้ กูไม่อะไรแล้ว เพราะกูไม่อยากแค้นใคร รู้ไหมเพราะอะไร” มันหันมามองผมและเอื้อมมือขึ้นมาเกี่ยวปอยผมของผมทัดหู และจับค้างอยู่ที่แก้มของผม มันเป็นมือที่สากที่คุ้ยเคย

           “อะไรวะ” ผมมองตาของมัน และด้วยความคุ้ยเคยผมก็โน้มตัวลงเข้าไปใกล้ … ผมบอกแล้วว่าผมเสพติด

           “ก็เพราะตอนนี้ กูมีความสุขมากไงละ”

   ผมหัวเราะก่อนจะก้มลงไปจูบมันอย่างไม่มีความลังเลใจในเวลาแบบนี้สมองผมมักโล่งและสะอาดปราศจากความยับยั้งชั่งใจ … เป็นเพราะอะไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกันรู้เพียงแรงดึงดูดของโลกมันดึงเราเข้าหากัน เพียงแต่รอบนี้ มันเกินเลยไปหน่อย …

   

ผลัก!

           แรงผลักของไอ้เมฆทำให้ผมลอยไปติดกับประตูห้องที่พึ่งปิดลง ก่อนที่มันที่มีแววตากระหายจะโหมตัวเข้าหาผมราวกับสัตว์ป่าที่ผมไม่รู้จัก ลิ้นร้อนเกี่ยวพันกับลิ้นของผมอย่างไม่มีใครยอมใครโดยที่ผมยกแขนโอบไหล่ของมันให้เข้ามาใกล้อีก อกเปลือยเบียดเสียดกันพร้อมๆกับไฟราคะที่เพิ่มทวีขึ้น ขาแกร่งของมันสอดเข้ามาใน หว่างขาของผมก่อนที่ลิ้นร้อนจะดูดเลียไปตามลำคอของผมอย่างโหยหา … ผมไม่ปฏิเสธมันเพราะความโหยหาที่ไม่ต่างกัน

           “ต่อจากนี้ กูจะไม่หยุดแล้วนะไอ้แสง” มันกระซิบเสียงแหบพล่าน

           “กูบอกให้มึงหยุดเหรอ” ผมกระซิบจูบลงเบา ๆ ที่ไหล่ของมัน

           จากนั้นร่างผมก็ลอยขึ้นจากพื้นด้วยความตกใจจึงใช้ขาตวัดรอบเอวของมันเอาไว้และก้มลงไปจูบมันอีกครั้ง เราสบตากันท่ามกลางเสียงจูบที่โหยหาดังไปทั่วทั้งห้อง มันพาผมมาวางที่เตียงและถอดกางเกงของมันและผมออกในไม่กี่วินาที ก่อนจะทาบทับตัวลงมาจูบไล่ผมไม่ทั่วทั้งตัว กายของผมสั่นเทา และก็เสี่ยวซานจนไม่อาจจะหยุดเอาไว้ได้

           “มะ เมฆ กะกู อื้อ สกปรก” ผมดันหัวมันออกเมื่อรู้สึกถึงลิ้นแฉะที่กำลังฉกช่องทางหลังเหมือนกับงูที่เกรี้ยวกราดทำเอาร่างกายของผมระทวยไปหมด เชี้ยเอ้ย! ทำไมมันเก่งนักวะ

           “ผิวมึงแม่งเนียนฉิบหาย” มันสบถออกมา ก่อนจะจูบซับที่ขาอ่อนด้านในของผม ขณะที่ผมเองก็ขยุ้มหัวของมันไม่ปล่อย  ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อมันสอดนิ้วเข้ามาในส่วนนั้นของผม ไอ้สาดดดดดดดดดดดดด  เจ็บฉิบหาย แต่แม่งก็เสี่ยวด้วย นี้กูกู่ไม่กลับแล้วใช่ไหม!!!

           “กะ กูเจ็บ กูไม่ไหว มึง มะมึง อื้ม…” มันยืดตัวขึ้นมาจูบผมอย่างร้อนแรงกระแทกนิ้วเข้าไปอย่างแรงด้วยความมหมั่นไส้ จากหนึ่งเป็นสอง และสาม จนผมจุกไปทั่งท้องน้อย

           “กูขอนะ”         

           “ขอหาพ่อมึงหรอ” ผมด่ามันใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมดก่อนจะสะดุ้งและร้องออกมาด้วยความเจ็บเพราะมันกระแทกส่วนหัวเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว 

           มือทั้งสองข้างยันท้องที่มีแต่กล้ามเนื้อของไอ้เมฆ หวังให้มันออกไปแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธจูบของมัน ก่อนที่ไอ้เมฆจะจับแขนของผมไปคล้องบ่าแกร่งของมันเอาไว้แทน ขาของผมสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตวัดรัดรอบเอวของมันเอาไว้ เหงื่อกายของเราทั้งสองคนแตกพลั่กด้วยความร้อนของที่กระจายไปทั่วทั่งร่าง

           “อื้อ!” ผมร้องออกมาเมื่อมันกระแทกเข้าไปสุดลำ และก็เริ่มขยับร่างกายในทันที

           จากช้าเป็นเร็ว จากเร็วเป็นแรง จนร่างกายของผมสะเทือนขยับไปตามแรงของมัน เจ็บนะ แต่มันก็รู้สึกดีด้วย ในสมองของผมตอนนั้นโล่งไปหมด มันขยับอยู่อย่างงั้น ก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นอีกหลายท่าที่ผมเคยดูหนังเอ็กซ์ และตอนนี้ผมก็กลายเป็นผู้ถูกกระทำซะเอง

           “กะกูไม่ไหวแล้ว อะ อ๊า อื้อ!” ผมที่ถูกไอ้เมฆจับพลิกคว่ำหน้าลงกับเตียงโดยที่มันคุกเข่ากระแทกอยู่ด้านบนมือทั้งสองทำหน้าที่เป็นปลาหมึกลูบไล้ผมไปทั่วทั้งร่าง ด้วยความเสียวผมคว้าเอาผ้าห่มขึ้นมากัดเอาไว้แน่น

           “กูด้วย อ๊า แสง” มันว่าก่อนจะคว้าเอาแกนกลางของผมไปชักด้วย สาดดดดดกูเสี่ยวจะตายแล้ว

           “อ๊า!!!!!!” ผมและมันร้องออกมาพร้อมกัน กับความสุขสมที่เต็มเปี่ยม

           ผ้าปูที่นอนเละเทะด้วยฝีมือของผม ส่วนด้านในของผมเองก็เต็มไปด้วยน้ำของมัน คืนนั้นมันไม่จบเพียงครั้งเดียว ผมจำไม่ได้ว่าถูกมันกดไปแล้วกี่ครั้ง เพราะไม่ได้นับรู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายของอีกวันพร้อมชุดสะอาดและผ้าปูที่นอนผื่นใหม่แล้ว … และกูก็เปรียบเสมือนคนป่วยที่ขยับร่างกายไม่ได้ไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ โชคดีที่ไอ้เมฆโกหกให้ว่าผมเป็นไข้ ไม่งั้นคงอายแทบมุดดินหนีเป็นแน่

           จากนั้นมา อย่าคิดว่ามันจะจบแค่นั้น ความสัมพันธ์ของเรายังคงเปรียบเสมือนพี่น้อง แต่พี่น้องที่เอากันได้นะ และที่หน้าแปลก ไม่ว่าผมจะไปกับผู้หญิงคนไหน ผมไม่เคยอิ่มเอมเลยสักครั้ง แต่ผมก็ยังโหยหาผู้หญิงอยู่นะ อาจจะเป็นเพราะอย่างที่บอกไว้แล้วว่าผมน่ะ เสพติดไอ้เมฆจนถอนตัวไม่ขึ้นก็เป็นได้ ชีวิตของผมก็มีมันอยู่ตลอดมา ตั้งตอนที่ขึ้นชกนัดใหญ่ ตอนฝึกซ้อม ตอนที่ผมดีใจ ท้อแท้ หรือต้องการกำลังใจ มันไม่เคยไปจากผมเลย และมันก็เป็นเช่นนี้จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะกี่ปีกี่ชาติ ผมก็ไม่เคยไปไหนรอดเลยสักครั้ง จนผมเลิกถามความรู้สึกของตัวเองไปนานแล้วครับ เพราะไม่ว่ายังไงผมก็จะอยู่กับมันแบบนี้ตลอดไป ไม่ว่ามันจะวางความสัมพันธ์ไว้อย่างไรก็ตาม ถึงแม้มันจะมีเมียมีลูก ผมก็จะคอยอยู่ตรงนี้ …

 

ออฟไลน์ pa_pa

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 469
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +414/-4
          เรื่องราวดำเนินไปกว่า 6 ปี ความเปลี่ยนแปลงมากมายได้เกิดขึ้น ลุงจันทร์จอมเจ้าชู้แต่งเมียย้ายอยู่จังหวัดอื่นใช้ชีวิตบั่นปลายกับครอบครัวที่สงบสุข ลุงทิมเองก็ผันตัวไปเป็นเซียนพระมือขมัง ทำให้ค่ายขาดมวยมือดีไปถึงสองคน และไอ้ไม้ก็กลับมา

   คราวนี้มันกลับมาหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวพร้อมประกาศตัวเป็นผัว อย่างเป็นทางการของไอ้โทนด้วยความภาคภูมิ ตัวไอ้เกื้อเองก็บริหารโรงพยาบาลสัตว์จนใหญ่โต และลุงทายเองก็แต่งเมียกับน้องเกื้อเป็นที่เรียบร้อยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ต่างกัน ผมและไอ้เมฆต่างเติบโตเป็นมวยมือดีของค่ายได้รับการยกย่องในหลายเวที ร่างกายของผมเองก็แข็งแกร่งขึ้นพอ ๆ กับไอ้เมฆแล้วด้วย แถมหล่ออีกต่างหาก มึงจะดูถูกกูไม่ได้แล้วนะเว้ย ฮ่าๆๆๆๆๆ

           “ให้ผัวปกป้องไม่ดีกว่าเหรอ เดี๋ยวเขียวช้ำขึ้นมามึงก็บ่นอีก” ผมล้อเลียนไอ้โทนที่มาขอเรียนมวยทั้งๆที่พ่อมันไม่ให้ จนมันหันมาค้อนผมขวับ

              “ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวผมคอยเซฟพ่อโทนเอง” ไอ้ไม้ตอบแทนผมย่นหน้าอย่างหมั่นไส้

            “เออ ๆ ก็แล้วแต่ก็เตือนด้วยความหวังดี ไอ้จุกแยกน้องๆเป็น 3 กลุ่ม แบ่งไปให้กู ไอ้เมฆ ไอ้ไม้ ส่วนมึงไอ้โทนเลือกเอาจะอยู่กับใคร” ผมหันไปพูดกับไอ้จุกเด็กที่มาอยู่ใหม่ ไอ้จุกมันน่ารักนะครับ

           เห็นหงิม ๆ ก็แสบฉิบหายชอบเล่นอะไรแผลง ๆ ให้พวกกูใจหายเลย ยกตัวอย่างนะ นี้กูแค่ยกตัวอย่างนะ วันนึงกูกำลังยืนกินน้ำอยู่แล้วก็น้ำต้องพุ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นไอ้จุกอยู่บนหลังคาและโน้มตัวจะเด็ดมะม่วงที่สูงเทียมบ้าน ผมนี้ร้องเรียกมันปากจะฉีกมันหันมาส่งยิ้มให้ ก่อนจะโดดขวาเอามะม่วงมาถือไว้ ก้าวไปเหยียบกิ่งของต้นมะม่วง หน้าซีดเกาะอยู่แบบนั้นลงไม่ได้ จนแล้วจนรอด ผมนี้แหละต้องขึ้นไปเอามันลงมา อยากจะฆ่ามันก็ตรงนี้แหละ เล่นอะไรไม่เข้ากับหน้าตาบ๊องแบ๊วเลยไอ้สาดดดดดด

             “ชิ ทำมาเป็นสั่ง เมื่อก่อนก็ขี้ก้างเด็กแว้นนั้นแหละ” ผมเหลือบมองมันก่อนจะเหยียดยิ้มนิด ๆ โอบมือไปวางบนไหล่ไอ้โทน ไอ้ห่าตัวเล็กจิ๊ดเดียวแต่เวลาแดกนี้กูนึกว่าห่าลง

              “อย่างน้อยตอนนี้กูก็มีซิกแพควะไอ้น้องไม่เหมือนมึงมีแค่พุง แดกเข้าไปสิ เดี๋ยวไอ้ไม้ไม่รักกูจะขำให้”  ผมกระซิบ

            “ปากเสีย พี่นั้นแหละที่พี่เมฆจะไม่รัก ” มันกระซิบกลับ ทำเอาผมนิ่งงันไป อะไอ้เด็กเหี้ยนี้รู้อะไรมาวะ ?

            “อะ อะ ไอ้ พูดเหี้ยไรของมึง กูกับไอ้เมฆเนี้ยนะ” ผมปล่อยมันกรูถอยหลังพูดให้พอได้ยินกัน 2 คน โชคดีที่แถวๆนั้นไม่มีใคร

            “คิกๆ คู่รักซิกแพค อย่าคิดว่าไม่รู้นะ คิกๆ” มันล้อเลียน

   “อะ อะ ไอ้เหี้ยไม้มาเอาเมียมึงไป!!!!! … มองเหี้ยอะไรละ!!!!” ผมตะโกนเรียกไอ้ไม้ ก่อนจะหันไปด่าไอ้เมฆ หน้ากูร้อนวูบไปหมด

             “แสงต่อหน้าเด็ก” ไอ้เมฆเดินมาปรามก่อนที่ผมจะหันมามองไอ้เด็กที่ยืนอยู่ สัด ไอ้เด็กเหี้ยโทน เดี๋ยวรอก่อนเถอะ กูจะเอาคืนให้อ้วกแตกเลย

.

.

.

           วันรุ่งขึ้นหลังจากที่รู้ข่าวว่าไอ้ไม้จะลาบวช และผมก็โดนไอ้เมฆจัดให้หนึ่งชุดใหญ่ๆ เช้าขึ้นมาเช้ามืด ผมก็ลุกขึ้นมาวิ่งออกกำลังกายที่คันนา อาจจะเป็นเพราะร่างกายผมนั้นแข็งแรงก็ได้ ถึงไม่ค่อยเพลียและเจ็บมากนัก ถึงแม้ส่วนนั้นของไอ้เมฆโดนไปกี่ทีก็ก็ไม่ชินเพราะความใหญ่โตของมัน แต่หลังจากได้พักก็ดีขึ้นไม่มีอาการปวดเมื่อยตามมาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

           ไอ้สัด นี้ผมเป็นอะไรวะ ทั้งที่เมื่อก่อนพอคิดถึงเรื่องของผมและไอ้เมฆไม่เคยหงุดหงิดขนาดนี้มาก่อนในความสัมพันธ์ที่โคตรน่าปวดหัวแบบนี้ แล้วกูจะโหยหาความชัดเจนทำไมละ ก็แค่พี่น้องที่เอากันได้ แค่นั้นที่ผมเข้าใจมาตลอดไม่ได้หรือไงวะ ไอ้แสง มึงเป็นอะไรวะ

           “แม่งเกะกะ”

เปรี้ยง!

           “เป็นอะไรของมึงอะ” ผมตกใจยกตีนที่เพิ่งเตะก้อนหินก้อนเขื่องค้างเอาไว้ หันไปมองไอ้เมฆที่วิ่งตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมมองหน้ามันก่อนแต่ไม่ได้พูดอะไร วิ่งนำมันไปอีก มันเองก็วิ่งมาตีข้างผมอีกครั้งส่งยิ้มเท่ๆฉบับสาวกรี๊ด แต่กูไม่กรี๊ดให้อีกหนึ่งที

ควับ !   

           มันคว้าตัวผมให้หยุดดันตัวไปชนกับต้นไม้ที่ตั้งอยู่แถวนั้น ก่อนจะก้มลงมาหมายจะจูบผมอีก ด้วยความสับสนผมเลยดีดมันออกไป และตวาดมันเสียงดัง โชคดีที่แถวนั้นยังไม่มีชาวบ้านออกมาดูนากัน เพราะฟ้ายังมืดอยู่

           “ไอ้เหี้ยอย่าจับ ต่อไปนี้ห้ามจับกู ห้ามจูบกู และห้ามเอากูด้วย !”

   ผมพูดและเดินหนีออกมา … กูก็ไม่รู้กูเป็นอะไร แต่อยู่ห่าง ๆ กูเถอะ ก่อนที่กูจะทนความในใจของกูไม่ไหว ปล่อยให้กูสับสนอยู่กับปัญหาที่กูไม่เคยอยากรู้แต่วันนี้กลับเปลี่ยนใจซะอย่างงั้น

    

           จากนั้นมา ผมก็ย้ายมานอนบ้านไอ้ไม้ที่อยู่ชายนาเพราะไอ้ไม้ย้ายไปนอนที่บ้านมวยแล้ว ตอนเช้าก็ไปซ้อมมวยเหมือนเดิมปกติ แต่พยายามเลี่ยงคุยกับไอ้เมฆให้มาก ตกเย็นก็เดินกลับมาที่บ้านชายนา เบื่อๆก็ซื้อเหล้ามาดื่ม เมาแล้วหลับไป ไม่ต้องพูดถึงเที่ยวหญิงหรอกครับ ผมไม่มีอารมณ์เลย มันหมดไปกับความสับสนที่เพิ่มพูนของผม… ทำไมมีแต่กูคนเดียวที่ไม่มีความสุขเลยวะ นี้กูเป็นอะไรวะ …

           “พี่แสง ๆๆๆๆ ” เสียงไอ้จุกดังแจ๋ว ๆ มาแต่ไกลขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนดราก้อนบอลคลายหัวร้อนอยู่

           “ไอ้จุกเดี๋ยวบ้านพัง มีเหี้ยอะไร” ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เห็นไอ้จุกยืนหอบอยู่หน้าประตูหน้าตาตื่น

           “พะ พี่เมฆ พี่เมฆโดนซ้อมจ้ะ พี่เมฆ พะ พี่เมฆอยู่โรงพยาบาล ลุงทายให้จุกมาตามพี่” ผมอึ้งตาค้างก่อนจะรีบคว้ากางเกงยีนต์มาสวมทับบ๊อกเซอร์ ก่อนจะรีบคว้าไอ้จุกขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์เก่าของผมไปที่โรงพยาบาลที่ไอ้จุกมาบอกที่หลัง

            … มึงเนี้ยนะโดนซ้อม ไอ้เมฆ มึงเนี้ยนะ ?



           “ไอ้เมฆ!”

           ผมร้องลั่นเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องพิเศษรวมเตียงคู่ ซึ่งภายในห้องมีไอ้โทนกับไอ้ไม้ยืนอยู่ และสิ่งต่อมาที่ผมมองเห็นคือใบหน้าเละเทะของไอ้เมฆที่นอนหลับอยู่บนเตียง มีสายเลือดสายน้ำเกลือโยงไปมั่วหมด และที่ขาข้างขวากับแขนซ้ายใส่เฝือกเอาไว้ รวมถึงหัวของมันที่โพกผ้าอยู่มีเลือดซึมออกมาเหมือนไม่ใช่สภาพไอ้เมฆผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดของกู … เหี้ยอะไรวะเนี้ย ใครทำมันวะ!!!!!!

           “มะ เมฆ” เสียงสั่น ๆ ที่ไม่น่าออกจากปากผม พร้อมกับขาที่ก้าวเข้าไปยืนข้างเตียงมัน

           “พี่เมฆอาการไม่เป็นอะไรมาก แค่สลบไปน่ะครับ แต่ก็ต้องดูอีกทีตอนตื่นขึ้นมา เพราะหัวได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก” ไอ้ไม้ว่า

           “ใคร ใครทำพี่กู” ผมหันไปมองมันสลับกับไอ้โทนพูดลอดผ่านไรฟันออกมา

           “ไอ้พวกแก๊งแว้นในตลาดน่ะพี่”

           “มึงว่าไงนะ” ไอ้เหี้ยชายอะนะ ?

           “พวกไอ้ชายเพื่อนเก่าพี่นั้นแหละ ดีที่ไอ้ไม้ไปช่วยไว้ได้ก่อน ไม่งั้นพี่เมฆจะเป็นไงบ้างแล้วไม่รู้ แล้วพอไอ้ไม้คาดคั้นให้มันก็บอกว่าเพราะพี่เมฆมาทำให้พี่แสงออกจากกลุ่มไป แต่พี่เมฆก็สู้นะแถมเป็นคนเปิดก่อนด้วย แต่คนมันเยอะกว่าตั้ง 20 กว่าคน สู้ได้ก็ซุปเปอร์ฮีโร่แล้ว สภาพเลยไปอย่างที่เห็น ทั้งไม้ทั้งกระแจของหนัก ๆ ทั้งนั้นที่มันรุมพี่เมฆ แม่ง ที่มึงทำไปมันยังน้อยรู้ปะ” ไอ้โทนหันไปพูดกับไอ้ไม้ในประโยคหลังอย่างโมโห

           เพราะผมเหรอ ? เพราะผมที่ทำให้ไอ้เมฆอยู่ในสภาพแบบนี้งั้นเหรอ ผมเนี้ยนะ … แล้วมันจะไปสู้ทำไมวะ ทั้งที่ไอ้พวกนั้นมันโง่จะตาย หลอกให้วิ่ง และชิ่งหนีออกมาก็รอดแล้ว มันจะเอาอนาคตมวยของมันไปทิ้งทำไม มันไม่รู้หรือไงถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป อนาคตในวงการมันจะเป็นยังไง!!! ไอ้เหี้ยชาย!!!

           “มันอยู่ไหน!!!!!”

           “พวกลูกน้องมันถูกจับหมดแล้วครับพี่ ส่วนไอ้ชาย … นอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ห้องรวมข้างล่าง เฮ้ย!!!!” ผมเดินออกมาจากห้องลงไปชั้นล่างทันที ไอ้เหี้ยชาย ไอ้เหี้ยชาย ไอ้เหี้ยชาย!!!!!!

           ผมยืนมองร่างที่นอนหลับอยู่บนเตียงสภาพทั้งร่างกายมีแต่รอยช้ำดำเขียว สภาพมันดูน่ากลัวกว่าไอ้เมฆแต่ไม่มีร่องรอยกระดูกหัก ก่อนจะวางมือที่คอของมันเบา ๆ จนมันสะดุ้งลืมตาขึ้นมามอง

           “มึง” มันมองผมอย่างตกใจ ผมกัดฟันกรอด ไอ้ไม้เดินเข้ามายืนข้างผมทำเอามันสะดุ้งนิด ๆ มองเราสองคนสลับกันอย่างหวาดกลัว

           “มึงทำไอ้เมฆทำไม”ผมถามมันเสียงเรียบทั้งที่ในใจอยากจะสบันคอของมันให้ขาดคามือที่วางทาบบนคอของมัน ด้วยความลืมตัวจึงกดมือลงไปนิด ๆ

           “กะ ก็ มันทำให้มึงออกจากกลุ่มไป”

           “อะไรอีก” ผมจ้องหน้ามานิ่งเพิ่งแรงบีบที่คอของมัน สมน้ำหน้าอยากจะยกมือขึ้นมาปัดป้องก็ทำไม่ได้แค่มันมีแรงพูดก็นับว่าพระเจ้าอวยพรมันแล้ว ชะตาชีวิตมึงอยู่ในมือกูแล้วไอ้สัตว์นรก

           “กะ กู”

           “พูด!” ผมตวาดมันจนสะดุ้งคนอื่น ๆ หันมามองแต่ไม่มีใครสนใจ คงคิดว่าผมเป็นเพื่อนของไอ้ชาย

           “กะ กูไปพูดกับมันว่า มะ มึงเป็นนักมวยตุ๊ดแอบเอากัน แล้วพ่อมันก็หนีไปกับอีตัว ยะ อย่าทำอะไรกูเลย” ผมร้องไห้ออกมาและฉี่มันก็แตก ผมมองมันเหยียด ๆ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหูมัน

           “ถ้ากูไม่ติดว่าอยู่ในโรงพยาบาล กูจะส่งให้มึงไปอยู่ในโลงแล้ว กูจะเป็นอะไรแล้วหนักหัวมึงหรือไง พ่อไอ้เมฆจะเป็นยังไงแล้วมันมีปัญหาเหี้ยอะไร มึงเคยทำอะไรให้ครอบครัวมึงได้บ้าง ดีแต่เก่งตอนอยู่ในฝูง ไล่กระทืบคนอื่นไปทั่ว มึงมันแค่ขยะสังคมไอ้ชาย มึงมันแค่เดนมนุษย์ จำเอาไว้ อย่าให้กูเห็นหน้ามึงอีก ถ้ากูเจอมึง กูจะฆ่ามึงให้ตาย” มันตัวสั่นพยักหน้างึก ๆ น้ำตาไหลอย่างน่าสมเพช

           “แล้วอีกอย่าง ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป กูก็จะฆ่ามึงด้วย” ผมกระซิบทิ้งท้ายก่อนจะสะบัดตัวลุกขึ้น ก้าวหันหลังออกมา โดยมีไอ้ไม้เดินตามหลังมาด้วย

           ไอ้เมฆกูขอโทษ กูขอโทษนะมึง อย่าเป็นอะไรนะ กะ กู กูรักมึง กูว่ากูรักมึง …

           ผมนั่งมองไอ้เมฆอยู่ข้างเตียง ผ่านมา 2 วันแล้วทำไมมันยังไม่ตื่นสักที ทำไมมันถึงหลับไปนานนัก มึงรู้ไหมใครต่อใครต่างเป็นห่วงมึง ทั้งลุงทายพ่อของเราไงมึง ลุงจันทร์กับลุงทิมที่ถ่อมาเยี่ยมมึงถึงนี้ ไอ้ไม้ ไอ้โทนน้องพวกเราไง แล้วไอ้จุกด้วย กูด้วยนะมึง

   ไอ้เมฆ … กูด้วย มึงรู้ไหม กูยังไม่ได้นอนเลย มึงไม่สงสารกูเหรอ เห็นปกติเฮี้ยบให้กูนอนไวตลอด กูไม่นอนมึงก็จะเข้ามากอดกูแล้วหลับไปพร้อมกัน กูไม่ดูแลตัวเองมึงก็จะคอยหาของมีประโยชน์มาให้กินเคี่ยวเข็ญกูสารพัดดูแลตลอดเลย มึงไม่สงสารกูเหรอ ไม่ลุกขึ้นมาด่ากู ไม่ลุกมายิ้มให้กู และไม่ลุกขึ้นมาจูบกูแล้วเหรอ

           “ตื่นเถอะ มึงโดนกระทืบแค่นี้เองนะ ทำไมยังไม่ตื่นสักที กูคิดถึงมึงอะ”

           ผมพึมพำออกมา ในห้องตอนนี้มีแค่ผมกับมัน … รอยช้ำตรงใบหน้าของมันยังเห็นชัดอยู่เลย น่าสงสารฉิบหาย กูไม่น่าไปรู้จักกับไอ้พวกนั้นเลย ทำให้คนที่ผมรักต้องเจ็บแบบนี้ … มันไม่สมควร … ไม่สมควรเลย

           “ไอ้เหี้ย ฮึก ไอ้เหี้ย” ผมด่ามันไปก็เช็ดน้ำตาไป ฟุบลงกับที่นอนของมันฟูมฟายอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ แม่ง มึงแม่ง …



หมับ

           

           “อย่างร้อง” เสียงแหบพล่านที่ผมจำได้ดีดังขึ้น พร้อมกับความอบอุ่นของฝ่ามือที่ยกขึ้นมาวางบนหัวของผม … ไอ้เมฆ



หมับ



           “มะ มึง ฮึก มึงตื่นแล้ว มึงตื่นแล้ว”

           “กูเจ็บ …” ผมผละออกจากมันทันที เผลอกระโดนขึ้นไปนั่งคร่อมกอดมันซะเต็มแรงเลย ผมพึมพำขอโทษ ก่อนที่มันจะส่ายหน้าไปมาเหยียดยิ้มให้ผม

           “จูบกูหน่อย”

           “หื่นเหี้ยอะไรจะตายอยู่แล้ว”

           “เออน่า” ผมหัวเราะก่อนจะก้มลงไปจูบมันเบา ๆ จากนั้นมือข้างที่ไม่บาดเจ็บของมันก็ยกขึ้นมากดหัวผม ลิ้นของเราเกี่ยวพันกันอย่างโหยหา

           “กูรักมึง” มันกระซิบบอกผมหลังจากที่เราผละออกจากกัน …

           “กูก็รักมึงไอ้พี่ชาย” ผมว่า … น้องชายก็ได้ ต่อจากนี้จะไม่ห่างจากมันอีกแล้ว ในฐานะน้องชายก็ได้

           “ไม่เอาแค่พี่ชาย”

           “อะไรของมึง” ผมเงยหน้าที่ซบกับซอกคอมันขึ้นมามองหน้าเละๆเทะๆของมันอย่างสงสัย

           “กูรักมึง ในฐานะเมียของกู”

           “หะ ห๊ะ? อื้อ!!! ” มันกระชากผมเข้าไปจูบอีกรอบ … จริงเหรอ จริงหรือเปล่า … สรุปมันรักผมแบบผัวเมียจริง ๆ น่ะเหรอ

           “หึหึ กูไม่ได้โกรธที่มันว่ามึงว่าเอากับกูเพราะมันคือเรื่องจริง แต่กูโกรธที่ด่ามึงเป็นลูกกำพร้า มึงไม่ใช่ลูกกำพร้านะแสง … มึงมีกู มีกูที่จะเป็นทั้งคนในครอบครัวมึง และเป็นคนของมึงด้วย” ผมหน้าร้อนวูบ ก่อนจะก้มลงไปเอาหัวเขกกับหน้าผากมันเบาๆ …

           “กูก็รักมึง … รักมึงแบบที่มึงรักกู...แล้วก็ขอโทษด้วยทุกเรื่องที่กูดื้อกับมึงทุกอย่าง”

           “รู้ด้วยเหรอว่าดื้อ” มันเอียงคอถาม

           “ไอ้เหี้ย … มึงอะ ทำบรรยากาศเสียหมด” ผมกะจะกระโดดลงจากเตียง แต่มันกลับไปยอมให้ผมลงกอดเอวผมไว้แบบนั้น

           “จูบกูและบอกรักกูอีกที”

           “พอแล้ว” ผมพูดขำ ๆ

           “เอาหน่อยน่าที่รัก” มันอ้อนนี้มึงเพิ่งตื่นจริงๆหรือเปล่าเนี้ย

           “เออ ๆ ” ผมก้มลงไปจูบมันอีกครั้ง ด้วยความอ่อนโยนและทะนุถนอมคนที่ผมรัก ก่อนจะกระซิบบอกเบาๆ

           “แสงรักเมฆนะ”

           “เมฆก็รักแสง แล้วอย่าห่างกันอีกนะ” มันกระซิบบอกและยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่หล่อที่สุดเท่าที่ผมเห็นมาเลย … ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมมีความรู้สึกแบบนี้ แต่รู้ตัวอีกทีมันก็ไม่ไหนไม่รอดแล้ว … ไปไหนไม่รอดแล้วจริงๆ … มึงเป็นเหมือนกันใช่ไหมเมฆ …

           “ฮันแน่!!!!!!!! ทำอะไรกันอะ”

           “ไอ้โทน ไอ้เด็กเหี้ย!!!!!”

           ความรักของผมกับไอ้เมฆ คือความรักที่เพิ่มพูนมาจากความเห็นใจและความผูกพัน อาจจะเป็นเพียงหนึ่งความรักเล็ก ๆ ธรรมดาบนโลกใบนี้ที่กว้างใหญ่ แต่สำหรับเราสองคนแล้ว … มันยิ่งใหญ่และยากลำบากมากกว่าเวทีไหน ๆ ที่เคยขึ้นชก … แต่ไม่ว่ายังไงเราก็จะชนะและแพ้ไปพร้อม ๆ กัน

           ‘กูรักมึงไอ้เมฆ’

           ‘หึ แล้วคิดว่ากูไม่รักมึงเหรอไอ้แสง’



 

//////////////

ปาปากรี๊ดคู่นี้มากกกกกกกกกกกกกกก อ่านกี่ทีก็กรี๊ดเคมีมันได้ 5555555



ออฟไลน์ prympws

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด