พิมพ์หน้านี้ - {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เฮียป๊อกXน้องจุก2}18/5/63

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: pa_pa ที่ 11-04-2020 19:34:35

หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เฮียป๊อกXน้องจุก2}18/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 11-04-2020 19:34:35
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


สวัสดีค่ะ ขอโทษที่หายไปนาน ขอโทษพี่ ๆ ผู้ดูแลเล้าเป็ดด้วยนะ


วันนี้ ปาปา ขออนุญาตินำผลงานเก่าในฉบับปรับปรุงมาลงให้อ่านกันอีกครั้ง

.
.
.

Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

หากถามว่าความรักสำหรับผม คืออะไร ผมตอบได้เลยครับ ว่าคือ 'พ่อโทน'ของผม


หากถามผมว่า 'ไม้' คือใคร ผมตอบได้เหมือนกันว่า คือลูกชายที่ผมรักดั่งแก้วตาดวงใจ ... ซะเมื่อไหร่ แหว๊! มันคือไอ้หมาเด็กที่ผมเก็บมาเลี้ยงต่างหาก ฮิฮิ



ฝากเพจนะคะ

https://www.facebook.com/YaoiStoryPaPa/ (https://www.facebook.com/YaoiStoryPaPa/)


หัวข้อ: Re: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 11-04-2020 19:37:43
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 1 พบเจอกับตัวแสบ

   จะเริ่มยังไงดี … เริ่มที่ว่าผมชื่อ ‘ไม้’ ก็แล้วกัน ความหมายของมัน คือความแข็งกร้าว ราวกับเสาหลักที่ปักลงบนบ่าทั้งสอง ตลอดโลกของเด็กอย่างผมมันสวยงามยามวิ่งเล่นเพียงช่วงครู่และดับวูบลงราวกับฝัน เมื่อมัจุราชร้ายพรากเราพ่อแม่ของผมไปสิ้น ทำให้ช่วงชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ ผมถูกตราหน้าไว้จนกว่าจะตายว่า ไอ้ลูกพ่อ แม่ตาย เหตุการณ์ครานั้นผมจำไม่ได้ชัดเจนนัก รู้เพียงเจ็บจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่บนสามัญสำนึกนั้นมันสิ้นแล้วความสง่างามของชีวิต ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงไร้ญาติขาดมิตรถูกส่งตัวมาอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า … วันแล้ววันเล่า ที่ผมอยู่ที่นี้ ...จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี นับเวลาไป ก็ล่วงเลยมากว่า 5 ปี จนอายุของผมตอนนี้ 13 ปี แล้ว ...

   ผมมองลอดซีกไม้กระดาษห้องเรียนออกไปเห็นเด็กคนอื่นทั้งเด็กกว่าและรุ่นราวคราวเดียวกันกำลังต่อแถวรับของบริจาคจากผู้ใจบุญที่กำลังถ่ายทำรายการ TV กันอยู่หน้าลานเสาธงเบื้องหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสนุกสนานตื่นเต้น บางคนที่ได้มาแล้วก็พากันเล่นอย่างดีอกดีใจ

   “ไง ไอ้ตัวเล็ก ไม่ไปเอาของแจกหรือไง” เสียงที่เหมือนยังไม่แตกหนุ่มดีนักดังขึ้นผมหันไปมองด้านหลังก่อนจะเห็นผู้ชายตัวเล็ก ๆ ดวงตาคมกริบแต่ดูเหมือนผู้หญิง แต่ดูท่าทางจะแสบไม่ใช่เล่น จับจ้องมายังผมพร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองเขาสวมเสื้อผ้าของลุงพนักงานภารโรงที่ดูจะใหญ่จนน่าตลกของสถานสงเคราะห์ยืนถือไม้ขนไก่มองมาที่ผม … ใครกันผมไม่เคยเห็นที่นี้สักนิด

   “น้าเป็นใคร”

   “พี่ก็พอไอ้ห่า กูอายุแค่ 18” หน้าตากับคำพูดไม่ได้ไปด้วยกันแม้แต่น้อย เขาเด็กเข้ามาหาผมก่อนจะนั่งลงข้างๆและมองออกไปในจุดที่ผมมองเมื่อกี้

   “มึงอายุเท่าไร” 

   “…”

   “ถ้าไม่ได้เป็นใบ้ก็ตอบมา”

   “13”

   “หางเสียงอยู่ไหน ?”

   “13 ครับ”

   “เออดี และชื่ออะไร”

   “…”

   “ถ้าอมทุกข์นักทำไมไม่ตายๆไปซะเลยล่ะ อายุแค่10กว่าขวบเสือกทำตัวแก่แดด หน้าตาก็น่ารักดีหรอก แต่นิสัยแบบเนี้ยคงไม่มีคนจะรับไปเลี้ยงหรอก”

   “ทำเป็นพูดดี ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าผม” ผมเม้มปากทันทีที่พูดจบ … เขาเริ่มก่อน

   “หึ … ปากดีแบบนี้มันน่าเอาไปให้คนในค่ายชกแทนกระสอบทราย เอ๊าลุกขึ้น!!!” เขาตีหัวผมเบาๆก่อนจะฉุดให้ผมลุกขึ้นจนตัวลอยและลากผมออกมาจากห้องจนขาผมขูดกับพื้นแสบไปหมด ทำไมตัวก็เล็กนิดเดียว แต่แรงเยอะนักนะ แต่จะเจ็บให้ตายยังไงผมก็ไม่ได้ขอให้เขาพอ…

   “เจ็บก็ไม่พูด ปวดก็ไม่บอก เดี๋ยวกูจะดัดนิสัยมึงเอง” เขาคำรามขึ้นในจังหวะนั้นก็ลากผมมาถึงห้องอาจารย์ใหญ่พอดี … ผมไม่เข้าใจที่เขาทำเลยสักอย่าง ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรบ้างในห้องนั้น แต่ผมกลับจำประโยคที่เขาพูดกับผมตอนออกจากห้องอาจารย์ใหญ่ได้ดีขึ้นใจ …

   “ต่อไปนี้มึงไปอยู่กับกูที่ค่ายมวย และ จำใส่กะลาหัวเอาไว้ กูชื่อโทนและกูนี้แหละพ่อคนใหม่ของมึง”

   แล้วใครจะคิดว่านั้นคือสัญญาณการเริ่มต้นที่ราวกับเกิดใหม่ในชีวิตของผม...



หัวข้อ: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก ​ตอนที่ 2 ผมจะเป็นพ่อใครมีปัญหา ?
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 11-04-2020 19:39:34
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก
ตอนที่ 2 ผมจะเป็นพ่อใครมีปัญหา ?

      ผมชื่อโทน เป็นลูกชายคนเดียว ของตาลุงบ้ามวย ที่ชื่อ ทาย ที่ชื่อน่ารักกว่าผมมากแต่หน้าตางี้โหดเหี้ยมอำมหิตสุด ๆ ต่างจากผมที่ชื่อแม๊นแมน ดันมีหน้าตาหวานหยดไปทางแม่ซะมากกว่า และนั้นคืออุปสรรคการใช้ชีวิตผมมาก อยากชกมวยแต่พ่อไม่ให้ขึ้นชก เพราะตัวเล็กขาสั้นเตะไม่เคยเลยใต้เข็มขัดผู้ต่อสู้ จีบหญิงหญิงบอกน่ารักเกินไป แต่ด้วยบ้านเป็นค่ายมวยเลยโชคดีที่มีวิชาไว้ไล่เตะไอ้พวกตัวผู้มาจีบได้บ้าง ล่าสุดไปกินเหล้ากับเพื่อนไอ้ห่าป๊อกมันเสือกผสมเหล้าจนผมเมานิดหน่อย ย้ำว่านิดหน่อย ขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้านโดนตำรวจเรียกเป่า! แจ็กพ็อตแตก!!! กูได้ไปนอนคุกมาหนึ่งคืนเต็ม ๆ และอย่าหวังว่าพ่อจะไปประกันเลยรายนั้นเลี้ยงลูกด้วยลำแข้งอยู่แล้วแค่มาดูหน้าและโบกหัวข้ามลูกกรงมาหนึ่งที ก่อนจะยอมมาประกันตัวตอนเช้า แต่แหม ยังให้ผมไปบำเพ็ญประโยชน์ตามกฎของค่ายที่ห้ามเมาแล้วขับอีก โดยการไปกวาดทำความสะอาดที่สถานสงเคราะห์เด็กจังหวัดใกล้เคียงอยู่อาทิตย์กว่าๆ

           แล้วเป็นไงมาไงไม่รู้ผมได้ลูกมาหนึ่งคนโดยไม่ต้องแต่งเมียเลย … ก็ผมเห็นเด็กมันซ่าอะเลยอยากเอามาดัดนิสัย!!!!! และอีกอย่างพ่อผมต้องดีใจแน่ ๆ ลดแลกแจกแถมขนาดนี้ แค่ผอ้างชื่อพ่อ ครูใหญ่ ก็เห็นดีเห็นงามเพราะหน่วยก้านไอ้ไม้ลูกชายผมเหมาะเหม็งสุด ๆ ที่จะเอามาขัดเกลาในค่ายมวยของพ่อผม

           “พ่อนี้ไม้ ไม้นี้พ่อ นี้ปู่มึงชื่อทาย และนี้ชื่อไม้ลูกโทน ไอ้ไม้ไหว้ปู่มึงซะ” ไอ้ไม้ยกมือขึ้นไหว้พ่อผมที่ยืนคิ้วกระตุกอ้าปากค้างนวมในมือหล่นตุบลงพื้น ไม่ต่างจากคนอื่นในค่ายอ้าปากค้างหยุดกิจกรรมทุกอย่างเหมือนมีใครมากดปุ่มสต๊อปเอาไว้ … ดีใจเกินไปก็เงี้ยแหละ

           “เฮ้ย! มึงไปทำลูกมาตั้งแต่เมื่อไรวะ ขนกระเจี้ยวยังไม่ทันขึ้นเลยไอ้ห่า!” ลุงจันทร์นักเลงมวยมือต้น ๆ ของค่ายเดินมาเอาแขนวางบนหัวไอ้ไม้ ที่ยืนนิ่งงัน ผมหน้างอทันที ใครว่าไม่มีมันแค่มีน้อย!!!

           “ไม่ได้ทำใครท้องนะลุงจันทร์ผมไปรับเด็กคนนี้มาจากสถานสงเคราะห์อ่ะ และผมก็มีขนแล้วนะ! เอ๊ะอย่าไปจ้องมันขนาดนั้นสิลุงจันทร์!”ผมโวยวายขึ้นเพราะลุงจันทร์นั่งยองๆลงไปมองหน้าไอ้ลูกหมา ก่อนจะเอามือวางบนไหล่เล็กๆ ที่ไม่ไหวสะท้าน และเงยหน้าเลิกคิ้วมองผม

   “เฮ้ย! ไอ้เด็กนี้ใช่ลูกนายช่างเชษฐากับเมียเขารึเปล่า ที่บ้านไฟไหม้เมื่อหมายปีก่อน” ผมงงเป็นไก่ตาแตก ... ใครคือนางช่างเชษฐาอ่ะ ?

           “โชคดีและไอ้หนูเอ้ย” ลุงทิมเดินมาลูบหัวไอ้ไม้ที่ยืนนิ่งอยู่เหมือนเดิมไม่หนีไม่ตอบโต้และก็ทำท่าจะไม่สนใจแบบเดิม ตามองมาที่ผมนิ่ง 

           “ว่าแต่ไอ้เด็กนี้ก็หน้าตาเหมือนนายช่างเหมือนกันนะพี่ ดูดิตาแม่งอย่างดุเลย” ผมมองไอ้ไม้ที่เงยหน้าขึ้นมองไอ้พี่แสงนักมวยสมัครเล่นที่เพิ่งเข้ามาในค่ายที่เดินมาขยี้หัวและพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันแบบไม่คิดตามนิสัยด้วยสายตาว่างเปล่าแบบเดิมมีเพียงความรู้สึกที่คุกรุ่น จนผมรู้สึกได้

   “อ่ะๆ ไอ้เด็กนี้มองหน้าเดี๋ยวตบหัวทิ่ม!”

   “อย่านะ...” ผมโวยวายขึ้นห้ามเอาตัวเข้าป้องทันทีที่ไอ้พี่แสงจะง้างมือฟาดลูกผม แต่เสียงของพ่อผมไวกว่า

   “เฮ้ย! พอเลยไอ้แสง มึงนี้วอนโดนกูเตะ พวกมึงมีอะไรก็ไปทำกันได้ล่ะ!!!!ไอ้เมฆไปเอาน้ำมาให้ไอ้หนูนี้ ส่วน ไอ้โทนตามกูมานี้” พ่อผมหันไปสั่งพี่เมฆนักมวยดาวรุ่งตัวขาวจั๊ว พี่เมฆเดินพาไอ้ไม้เข้าไปในบ้านทันที ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายไปฝึกซ้อมต่อ แต่ก็ยังไม่วายพูดคุยเรื่องไอ้ไม้จนหนาหู โอ้ย น่ารำคาญ เด็กก็คือเด็กไหมละ จะลูกใครใครจะตายยังไง แต่ตอนนี้มันอยู่กับผม และผมเองก็เป็นพ่อมัน … ว๊าว คำนี้เท่ชะมัด … คึคึ

           บ้านของผมเป็นค่ายมวยที่มีเนื้อที่หน้าบ้านทำเป็นลานฝึกซ้อม และภายในรั้วมีบ้านอยู่สองหลังคือบ้านที่ผมและพ่ออยู่กับอีกหลังบ้านที่ให้พวกนักมวยอยู่ด้วยกัน ทั้งสองหลังทำจากไม้ชั้นดีทนทานต่อแรงมือแรงตีของนักมวยร่างยักษ์รุ่นเดอะ ซึ่งที่ค่ายมวยมีนักมวยอยู่ 5 คน

    คือลุงจันทร์นักมวยรุ่นใหญ่ร่างบึกตัวดำฉายาทมิฬหักศอก ต่อมาคือลุงทิม หน้าตาแกเป็นคนใจดีและชอบเข้าวัดเข้าวา จนเป็นลูกศิษย์พระมีคาถาอาคมแข็งแกร่งปราบผีได้รึเปล่าไม่รู้แต่ห้องที่แกอยู่พระเต็มไปหมดเลย แต่พอแกขึ้นเวทีเมื่อไรคู่ต่อสู้ก็มักจะน็อคคามัดแก ฉายาแกคือ นักบุญใจยักษ์ ไม่อยากจะนะนำคนนี้เลย แต่ก็เอาเหอะไอ้พี่แสงนักมวยมือสมัครเล่นที่เพิ่งเข้ามาได้ไม่นาน ที่มักจะอวดเก่ง ทำเป็นนักเลงจิ๋กโก๋ แต่พอขึ้นชกจริง ๆ ก็แพ้ตลอด ที่พ่อรับเลี้ยงมันไว้เพราะพ่อมันที่เป็นเพื่อนพ่อผมฝากเอาไว้และเป็นเพื่อนของพี่เมฆที่โตมาด้วยกันด้วย และก็ พี่เมฆ นักมวยดาวรุ่ง ที่ขัดเกลาฝีหมัดอีกสักนิดน่าจะเป็นที่จับตา แถมหน้าตาหล่อจนสาวกรี๊ดสลบและนิสัยดีแบบนี้ด้วยแล้ว ผมละอิจฉาจริง อย่างที่บอกไปว่ามี 5 คน คนสุดท้าย ก็พ่อผม นี้ละครับที่แขวนนวมมานานละ ทั้งๆ ที่กำลังรุ่งแท้ๆ เลนผันตัวมาเป็นโค้ชและเจ้าของค่ายซะแทน และอีกนัยหนึ่งผมก็คือผู้สืบทอดคนต่อไปนั้นเอง ทะด้า!!!

   “มีไรอ่อพ่อ ถ้าจะเรียกมาชมนี้ไม่ต้องหรอกนะ” ผมหยุดยืนตรงหน้าพ่อที่นั่งกุมขมับอยู่ที่ข้างแคร่ไม้ไผ่ข้างเทวีมวย อะไรดีใจจนปวดหัวเลยหรอน่ะ

   “มึงไปเอาไอ้เด็กนั้นมาได้ยังไง” พ่อถามเสียงนิ่ง

   “ก็เข้าไปบอกครูว่าพ่ออยากได้นักมวยเด็กหน้าใหม่ และ ถูกใจหน่วยก้านของไอ้เด็กไม้ แค่นี้เอง เขาก็ให้มาเลย ฉลาดเนอะ”

   “และมึงจะทำยังไงกับไอ้เด็กนั้น มึงอายุแค่นี้ เด็กอายุแค่นี้ เด็กเลี้ยงเด็กมันจะไปรอดหรอวะ!”

   “พ่อก็เลี้ยงเดะ โทนเอามาให้พ่อเลี้ยงนะ แต่โทนจะเป็นพ่อนะ”

   “มะเหงกนี้ เดี๋ยวกูก็เตะออกจากบ้านไอ้ห่า เออๆ ไหนๆมึงก็เอามันมาและ ต่อไปนี้มึงก็ดูแลมัน”

           “โอ้ยพ่อสบายมาก”

           “มึงต้องดูแลเรื่องอาหารของมัน”

           “รับรองมันโตเป็นควายแน่” ผมทำอาหารเก่งอย่าบอกใครเลยนะ

           “มึงต้องดัดนิสัยแข็ง ๆ ของมัน”

           “ฉันจะไปเหลาไม้เรียวเตรียมไว้” พ่อมองผมนิ่งก่อนจะเหยียดยิ้ม ท่าทางผ่อนคลายกว่าเดิม

           “มึงต้องดูแลเรื่องคุณภาพชีวิต การเรียน สังคม เพื่อน ของมัน”

           “รับรองไม่ผิดหวัง”

           “และมึงต้องรักมันให้มากๆ”

           “…. ตะ ต้องด้วยหรอ ?”

           “ก็เออสิวะ! มีพ่อคนไหนไม่รักลูกบ้าง … ทำไม มองกูแบบนั้นหมายความว่ายังไง” ผมเหลือบมองพ่อด้วยหางตาก่อนจะโดนมะเหงกจนหัวลั่น ชิๆ ก็พ่อนั้นแหละชอบดุลูกแต่ผมก็รักพ่อนะ มากอดที แต่ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวโดนถีบออกมา

           “แต่ว่า … มึงเป็นพ่อไอ้เด็กนั้นไม่ได้หรอก”

           “ได้ไง! ผมจะเป็น!!!! โอ๊ย เจ็บนะทำไมชอบเขกหัวนัก!”ไม่ยุติธรรม!!! ไม่ยุติธรรมเลย!!!! ผมเป็นคนไปพาไอ้เด็กไม้มานะ ผมต้องเป็นพ่อดิ!!!!

           “ก็มึงดื้อ!!! กูจะเป็นพ่อให้มันเอง! ”

           “ไม่เอา!!!!” ผมเถียงอีก ได้ไงอ่ะไอ้ไม้ลูกผมนะ!!!! ไอ้ไม้ที่นั่งชันเข่ามองคนอื่นซ้อมอยู่ที่พื้นบ้านสะดุ้งหันมามองผม ถึงสายตาจะนิ่งแต่มือมันกำชายเสื้อตัวเองไม่ปล่อยตั้งแต่มาถึงบ้าน

           “เดี๋ยวมึงจะโดนไอ้โทน มึงคิดว่าเป็นพ่อนี้มันง่ายหรอว่ะ มึงคิดว่าจะดูแลมันได้หรือไง ตัวมึงก็แค่นี้! ไป! เย็นแล้วไปทำกับข้าวได้แล้ว!!!!” เชอะ กินผักต้มกันก็แล้วกันนะวันเนี้ย!!!!!

           “ปะ ไปช่วยข้าทำกับข้าว” ไอ้ไม้มองผมสลับกับการซ้อมมวย แต่ก็ยอมลุกตามขึ้นมายืนข้าง ๆ

           “อยากทำแบบนั้นหรือไง”

           “…”

           “ถ้ามึงไม่พูดกูจะให้มึงขึ้นไปเป็นกระสอบทราย”

           “อยาก” มันพูดเสียงเบา ยังไงไอ้เด็กนี้ก็เด็กกว่าผม เจอดุเข้าไปหน่อยก็หงอแล้ว

           “หางเสียง!”

           “อยากครับ” ผมพยักหน้าก่อนจะหันไปมองพ่อที่ยืนกอดอกมองอยู่

   “ไปหาปู่มึงและบอกอยากเป็นนักมวยเอาซะสิ”

   ผมว่าก่อนจะวางมือบนหัวของเด็กที่ตัวเตี้ยกว่าผมไม่มาก ก่อนจะเดินผละออกมาเข้าครัวทำกับข้าว ฮึ่ย! คอยดูนะ ชีวิตของไอ้ไม้ผมจะทำให้เด็กคนอื่นอิจฉาให้ดู!!!! เริ่มจากต้มยำหัวปลานี้แหละ!!!!

.

.

.

   “มึงนอนห้องนี้นะ เดี๋ยวกูไปเอาผ้าห่มมาให้ เฮ้อ ! มีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด มึงเป็นภูมิแพ้รึเปล่า ?”

   พ่อคนใหม่ของผมที่ตัวกับผมเดินนำเข้าไปในห้องว่างเปล่าที่มีเพียงตู้ไม้ใบเก่ากับเตียงซอมซ่อ หน้าต่างไม้ถูกเขาดันออกไปจนฝุ่นฟุ้งกระจายไปหมดเมื่อลมพัดเข้ามา พ่อโทนตัวเล็กไอเล็กน้อยก่อนจะวิ่งมาหลบหลังผม และไอต่อหน้าดำหน้าแดงต่อ เห็นทีคงเป็นเขานี้แหละที่เป็นภูมิแพ้ ผมไม่พูดอะไร แต่เดินเข้าไปในห้องและปิดหน้าต่างลงเหมือนเดิม หมายมั่นว่า พรุ่งนี้คงต้องทำความสะอาดยกใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ เอาผ้าขนหนูในกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองออกมาเช็ดไปตามเตียงนอนของตัวเองที่ฝุ่นเกาะหนาเตอะ ให้พอนอนได้ก่อนในคืนนี้… พ่อโทนให้ผมอยู่ที่นี้ผมก็จะอยู่ มีที่ซุกหัวนอนที่ไหน แม้แต่เป็นกองขยะ ผมก็จะอยู่ถ้าเขาบอกให้ผมนอน …

   “พอแล้วไม่ต้องทำแล้ว … ไปนอนห้องกูก่อนคืนนี้ พรุ่งนี้กูจะทำความสะอาดให้” เขาเดินเข้ามาจับไหล่ผม … ไม่อยากจะคิดเลยถ้าผมอายุเท่าเขา ผมจะสูงกว่ามากแค่ไหน ไม่รู้ว่าผมสูงเกินวัย หรือเขาตัวเล็กกว่าคนอื่นกันแน่

   “ไปเร็ว ฮัดชิ้ว! จะตายแล้วนะ” ผมลุกขึ้นเดินตามเขาที่วิ่งนำออกไป ห้องเขาอยู่ข้าง ๆ ของลุงทายที่ถูกยัดเหยียดให้มาเป็นปู่ผม เป็นผมก็คงช็อกที่อยู่ ๆ ลูกก็หิ้วเอาหลานมาให้แบบไม่บอกไม่กล่าว พ่อตัวเล็กเปิดประตูเข้าไป ผมแทบผงะ เพราะห้องสะอาดยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก เตียงไม้ถูกปูด้วยฟูกสีฟ้าผ้าห่มสีน้ำเงินเข้ม ผ้าม่านที่พัดไปมาตามลมที่ถ่ายเทเข้ามาในห้อง ตู้ที่ตกแต่งลายการ์ตูนที่วาดเองจากสีช็อก น่าจะบ่งบอกได้ถึงวีรกรรมตอนเด็กของเขา มุมห้องมี TV เครื่องเล็ก ๆ กับเครื่องเล่นเกมว่างสุ่มกันอย่างระเกะระกะ

    “ยืนทำอะไร เข้ามาดิ นี้ … ถ้ามึงเป็นพ่อคน มึงจะให้ลูกมึงนอนข้างล่างหรือข้างบน” เขาถามผมสีหน้าจริงจัง ผมมองหน้าเขาสลับกับพื้นห้อง ก่อนจะพูดออกมาเสียงเบาๆ

   “ผมนอนด้านล่างก็ได้ครับ”

   “เอาดีๆดิ” เขากอดอกหน้ามุ่ยมองผมอย่างคนเอาแต่ใจ…น่ารัก

   “ข้างล่างครับ” ผมตอบในทันที

   “จริงอ่อ! งั้นมึงนอนด้านล่างนะ อ่อ แปปนึง” เขาลุกขึ้นจากเตียงเดินตุบปะตุบเป๋ไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะรื้อเอาชุดเครื่องนอนหมอนมุ้งออกมากองตรงบนเตียง เหยียดยิ้มกว้างซะตาแทบปิด …นึกไปมาผมก็ละสายตาจากเขาไม่ได้แล้ว

    “กางมุงนะ ยุงเยอะ กางเป็นใช่ไหม เอาเชือกนี้แขวนตะปู อ่ะ และก็เขยิบเข้ามาใกล้ๆเตียงนะจะได้อยู่ในมุงได้ อ่อ เดี๋ยวมานะ” เขาวิ่งออกไปจากห้องท่าทางเลิ่กลั่กของเขาทำให้ผมกังวนใจ ผมนั่งลงบนเตียงเขาก่อนจะค่อยๆจัดการคลี่มุ้งออกผมไม่เคยกาง เคยเห็นแต่ใน TV คงเอาสี่มุมแขวนบนตะปูสี่มุมที่เห็นอยู่ตอนนี้ล่ะมั่ง …

   ว่าแล้วผมก็จัดการกางมันออกและยืนขึ้นเอื้อมตัวไปแขวนเชือกที่ตะปู แต่แล้วยังไม่ทันจะเอื้อมถึงพ่อตัวเล็กของผมก็วิ่งเข้ามาตีขาผมดัง เพี๊ยะ จนผมตกใจ ผมหันไปมองเห็นเค้ายืนทำหน้าโหดใส่ผมในมือมีหมอนสองสามใบมาด้วย

    “ขึ้นไปเหยียดเตียงกูล้างเท้ารึยังไอ้เด็กบ้า!!!” เขาแหวเสียงดังขึ้นจนผมเด้งลงมาจากเตียง ก้มหน้าสำนึกผิด ผมไม่ได้ตั้งใจผมไม่รู้

   “ไปเลย ไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวกูปูที่นอนเอง เด็กนิสัยไม่ดี เหยียบเตียงคนอื่นได้ยังไง” เขาบ่น หงุดหงิดผมได้แต่คอตกเดินออกมาจากห้องพร้อมกระเป๋าเป้ของตัวเองที่ไม่เคยห่างตัวมาด้วย เดินลงมาด้านล่างที่เป็นห้องน้ำ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นคนที่ชื่อแสงจอมกวนโอ๊ย กำลังนุ่งผ้าขาวม้าเดินมาทางนี้ตอนแรกเขาก็ไม่เห็นผมหรอก แต่พอเห็นก็เดินปรี่เข้ามาทันใดผมได้แต่ยืนนิ่งมองเขาไม่วางตา

   “ไงมึง แดกข้าวเสร็จก็จะมาอาบน้ำเหมือนกันล่ะสิ โทษทีที่บ้านโน้นน้ำมันไม่ไหล กูเลยมาขออาศัยเฉย ๆ จะไปอาบก็ไปอาบเหอะ กูเสร็จล่ะ” และเขาก็ยกมือขึ้นวางบนหัวผมอย่างแรงก่อนจะเดินไป…ก็ดูไม่เลวร้ายอะไรนี้หน่า

   ผมมองตามเขานิดๆ ก่อนจะรื้อของออกจากกระเป๋าก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ … ผมไม่มีสบู่ ตัวต้องเหม็นแน่ๆ ทำไงดีล่ะทีนี้ ใช้ใบไม้ขัดคงไม่เข้าท่า …

   “ยืนทำอะไร นี้มึงลืมเอามา” ผมหันไปตามเสียงที่ยังไม่แตกดีของพ่อโทนที่เดินหน้างอมาพร้อมกับขันใส่อุปกรณ์อาบน้ำครบ ยันเป็ดสีเหลืองตัวเล็ก ๆ ที่แอบใส่ลงมาด้วย ถึงจะงอนผมยังไงเค้าก็ยังเป็นห่วงผมอยู่ดีสินะ ผมรับขันมาก่อนที่จะพูดขอบคุณเขาเบาๆ

   “ไม่ต้องขอบคุณหรอกคนเป็นพ่อก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ รีบอาบดิ๊! จะได้อาบบ้าง ต้องให้อาบให้ไหม ? เอ๊ะ เด็ก ๆ พ่อก็เคยอาบให้กูนี้หว่า มาๆ กูอาบให้” ผมรีบวิ่งเข้าห้องน้ำทันทีก่อนที่เขาจะจู่โจมถึงตัว



-โทน-



           ผมมองไอ้เด็กบ้าที่วิ่งเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะนึกขำ เด็กอะไรนิสัยไม่ดี เย็นชาแถมไม่ค่อยพูดอีกต่างหาก แบบนี้จะไปสู้กับใครเขาได้นะ แต่มาอยู่กับผมแล้วรับรองเด็กนี้ต้องมีพัฒนาการแน่ ๆ เอาล่ะเรื่องแรกเลย เจ้าไม้ต้องมีที่เรียนก่อน ต่อมาคือโปรแกรมซ้อมมวย เรื่องนี้คงต้องให้คุณปู่เป็นคนดูแล จากนั้นก็เพื่อนที่ดี พรุ่งนี้พักกลางวันผมจะไปติดต่อฝ่ายทะเบียนที่โรงเรียนดีกว่า ดีนะโรงเรียนผมมีตั้งแต่ อนุบาล ยัน มัธยม 

           “มานั่งตบยุงอะไรตรงนี้ไอ้โทน” ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ ๆ พ่อผมก็เดินเข้ามาเขกหัวผมดังโป๊ก แถมปะแป้งหน้าขาว นุ่งผ้าขาวม้าเดินไปเดินมาอีก ไอ้เสือเผ่นที่หน้าอกก็เต็มไปด้วยแป้งเสียชาติเสือหมด

           “โห นี้หรอคุณทายเจ้าของค่ายมวยชื่อดังประจำจังหวัด โอ๊ย! อย่าเขกเยอะเจ็บนะพ่อ!!! เป็นปู่คนแล้วนะ!!!” ผมแว๊ดใส่เสียงดัง ก่อนจะเอามือป้องเพราะพ่อง้างมือจะตีอีก ตาลุงทายหัวเราะนิด ๆ อย่างหมั่นเขี้ยว สะบัดมือไล่ยุงก่อนจะถามขึ้นท่าทางไม่สนใจ

           “ไอ้ไม้ล่ะ”

           “ลูกผมอาบน้ำอยู่”

           “กูจะบอกให้นะ กูไม่ให้มึงเป็นพ่อมันหรอก”

           “ก็จะเป็นอ่ะ!!!” ผมย่นหน้าก่อนจะยืนขึ้นกอดอก ก่อนจะตจะโกนออกมาสุดเสียง!

           “วะ!!! ไอ้นี้!!! คุยกันให้รู้เรื่องสิ!!!” ผมไม่สนใจวิ่งขึ้นมาบนบ้านและเข้าห้องตัวเองปิดประตูดังปังทันที ทำไมพ่อชอบขัดผมตลอดเวลา ขัดใจชะมัดง

   ไม่สนแล้ว! ผมมุดเข้าไปในมุงที่กางเสร็จแล้วล้มตัวลงนอนมองไปข้าง ๆ เตียงเห็นผ้าที่ปูไว้ให้ลูกผมนอน มันดูนุ่มนิ่มดีจัง ไอ้เด็กบ้าต้องนอนสบายแน่ ๆ อีกอย่างไม่ต้องกลัวยุงกัดด้วยผมเอาหมอนกั้นไว้หมดแล้วรับรองไอ้เด็กไม้ไม่เอาตัวไปชิดมุ้งให้ยุงกัดแน่ ๆ นี้แหละสิ่งที่พ่อที่ดีเขาทำกัน อิอิ ผมอมยิ้มกับฝีมือการปูที่นอนของตัวเอง ก่อนจะเอาหูฟังที่เสียบกับเครื่องโทรศัพท์ ก่อนจะหลับไปในเวลาไม่นาน เหนื่อยชะมัดเลยวันนี้

           มารู้สึกตัวอีกทีตอนได้กลิ่นเย็นใกล้ ๆ ตัว ลืมตามองเห็นไอ้ไม้เด็กบ้ากำลังนั่งมองผมตาแป๋วอยู่ข้างเตียง ผมเปียก ๆ ของมันทำให้มันดูน่ารักผิดไป ผมยิ้มก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ

           “เช็ดผมให้แห้งนะค่อยนอน เดี๋ยวไม่สบาย …” ก่อนจะหันหน้ามาอีกทางและหลับต่อไปอีก ในความฝันผมเห็นไอ้ไม้โตเป็นผู้ใหญ่ที่ภูมิฐานหน้าตาหล่อเหลาเอาการ เป็นนักมวยชื่อก้องโลก … และผมก็ดีใจมาก ๆ ในความฝันนั้น …

.

.

.

           ผมตื่นขึ้นมาตี 5.30 มันเป็นนิสัยแล้วอยากจะตื่นสายก็นอนไม่หลับแล้ว เซ็งอ่ะ วัยรุ่นคนอื่นเขานอนโน้นตื่น 9 - 10 โมง มีเรียนก็โน้น 7 โมง ถ้าผมตื่นแบบนั้นซอมบี้มนุษย์จอมหิวคงแห่กันมาฆ่าผมหมกที่นอนนั้นแหละ ไอ้เด็กดื้อไม้ยังนอนหันหายใจเบา ๆ เป็นจังหวะอยู่บนฟูกนอนแสดงว่าหลับแล้วของจริง ผมค่อย ๆ ย่องออกด้วยความเงียบสนิทเชียบแต่ยังไม่ทันจะพ้นมุ้งก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ค่อยๆกันไปมองด้านหลัง เห็นไอ้เด็กที่เป็นลูกผมกำลังนั่งขัดสมาธิขยี้ตาสะลึมสะลือมองผมอยู่

           “นอนต่อเหอะมึง”

           “กี่โมงแล้ว…ครับ” คงกลัวว่าผมจะด่าไม่มีหางเสียง เลยจำใจพูด ‘ครับ’ น่ารักนะเนี้ย

           “ตีห้าครึ่ง นอนต่อเหอะมึง เดี๋ยวข้าวเสร็จแล้วจะมาปลุก” ผมผลักหัวไอ้เด็กบ้าให้นอนลงกับหมอนเหมือนเดิม เขาหลับต่ออย่างว่าง่าย หึ ผมเอ็งก็นิ่มเหมือนกันนะเนี้ย ถ้าทำตัวน่ารัก ๆ กว่านี้หน่อยจะพาไปกินไอติมที่ตลาดนะลูกพ่อโทน อิอิ

           ผมลงมาล้างหน้าแปรงฟันก่อนจะวิ่งเข้าห้องครัวทำกับข้าวกับปลาอาหารเข้าให้ซอมบี้หิวโซที่จะตื่นกันตอน 6 โมงครึ่ง เมนูเช้านี้ต้องเอาหนักๆเพราะลุงจันทร์มีขึ้นชกวันนี้ด้วย เสียดายผมไม่ได้ไปเพราะติดเรียน 

           “มีไรกินน้องโทน” ผมหันไปเจอซิกแพคของพี่เมฆที่ย่องมาด้านหลังเงียบ ๆ เกือบแล้วมีดในมือเฉาะกบาลพี่แล้วรู้ตัวหรือเปล่าเนี้ย!!!! แล้วนี้นอนถอดเสื้อหาพระแสงอะไร อากาศก็เย็นขนาดนี้แท้ ๆ เชอะ ไม่มีบ้างก็อิจฉาปะวะ

           “ยังไม่รู้พี่”

           “พี่อยากกินต้มข่าไก่”

           “แต่พี่ควบคุมน้ำหนักอยู่อีกสองวันจะชกแล้วนะ ต้มจืดก็พอแล้ว” ผมบอกพี่แกยิ้มก่อนจะเอามือมาจับแก้มผมบิดเล่นพี่แกเล่นกับผมแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เพราะเขาเคยแกล้งผมแรง ๆ และโดนพ่อทายเตะเอา 

หมับ!

           ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆถูกรวบกอดจากด้านหลัง ผมหันไปมองเห็นไอ้เด็กไม้ซุกหน้ากับคอผมอย่างออดอ้อน  … นี้มันอ้อนผมหรอ นี้ลูกผมอ้อนผมงั้นหรอ … อ๊ากกกกก! ฟินไปอี๊กกกกกกกกกก!!!!

           “เฮ้ ไอ้หนู!” ผมที่ยืนฟินอยู่ยกมือห้ามพี่เมฆที่จะเดินมาแกะไอ้แมวนี้ออก คิกๆ จั๊กจี้อ่ะ แต่ก่อนผมก็เคยทำกับพ่อผมแบบนี้นะ พอมาโดนทำเองบ้างแล้วรู้สึกดีเป็นบ้า นี้สินะความรู้สึกของคนเป็นพ่อ ถึงลูกมันจะตัวใหญ่ไปหน่อยก็เถอะ ผมว่าผมเริ่มรักมันแล้วอะ ไม้ลูกพ่อโทน อิอิ

           “เป็นอะไร”

           “ฝันร้ายครับพ่อ” มันพูดอู้อี้จนผมต้องหดคอเพราะจั๊กจี้ ฮ่าๆๆ ไอ้เด็กนี้ดูมืดมนแต่พออ้อนแล้วทำเอาพ่อคนนี้ละลายเลยนะเนี้ยยยยยยย

           “ก็แค่ฝันไม่เห็นมีอะไรเลย”

           “…” ผมว่าแล้วลูบหัวเด็กโข่งอย่าเบามือ แต่มันก็เงียบไม่ตอบผมเหมือนเดิม

           “เออ ๆ ไปล้างหน้าล้างตาและมาช่วยกูทำกับข้าวแล้วกัน”

   ผมแกะมือไอ้เด็กนี้ออก โอโห้ ขี้ตาเต็มเลย ฮ่าๆๆๆๆ ผมหัวเราะคิกเมื่อเห็นหน้ามัน มันพยักหน้าเขินเล็กน้อยอย่างว่าง่ายมองผมและเหลือบไปมองพี่เมฆที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่อ … ถ้ามองไม่ผิดเมื่อกี้มันมองตาขวางใส่พี่เมฆด้วยแหะ

   “ครับ” ไอ้ไม้ขานรับก่อนจะเดินออกไปจากห้องครัวไม่วายเอื้อมตัวมาหอมแก้มผมอีกหนึ่งที

           “มันร้ายจริงๆแหะไอ้เด็กนี้” ผมเอียงคอมองพี่เมฆที่ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยก่อนจะเดินออกตามลูกผมออกไปอีกคน คิก … นี้สินะความรู้สึกของคนเป็นพ่อออออออออ!
หัวข้อ: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ ​ตอนที่ 3 เรียนรู้ที่จะเป็นพ่อที่ดี
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 11-04-2020 19:42:03
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 3 เรียนรู้ที่จะเป็นพ่อที่ดี





         “อาจารย์คร้าบบบบบบบบ!” ผมวิ่งหน้าสลอนลากไอ้ป๊อกสหายสุดแสนจะเหี้ยมมมมมม! เข้ามาในห้องพักครูอาจารย์พิมพ์ที่รักสาวสวย แกเป็นครูประจำชั้นผมที่สำคัญน่ารักสุดๆ แต่ชอบตีผม แกบอกผมดื้อ ผมไม่ดื้อสักหน่อยยยยยยย ยยยย!

           “มีอะไร อย่าโวยวายสิไอ้ดื้อ” ผมปากยื่นก่อนจะยิ้มอย่างเอาใจ

           “คือลูกผมจะเข้าโรงเรียนอ่ะครับ ตอนนี้ 13 ขวบแล้ว อาจารย์ว่าจะให้ลูกผมเรียนชั้นไหนดีครับ”



……….. เงียบกริบ …. ทั้งห้อง =_=’ ผมพูดอะไรผิดงั้นหรอ ก็ไอ้ไม้นั้นลูกผมนี้หน่า



           “ใจเย็นครับอาจารย์ ที่ไอ้เด็กหน้าหอยนี้พูด คือมันไปรับเด็กมาเลี้ยงเป็นลูกครับและตอนนี้พ่อมันก็ดูแลเด็ก ส่วนเด็กที่ว่าก็ดูแลมันอีกทีครับผม” ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้บ้าป๊อกที่ยืนทำหน้าตายบอกอาจารย์ผมที่นั่งกุมขมับอยู่ทำไมอะ มันน่าหนักใจขนาดนั้นเลยหรอไง เชอะ ผมเลี้ยงของผมได้น่า!!!!

           “ผมมาปรึกษาจริง ๆ นะอาจารย์” ผมลงไปนั่งคุกเข่าทำหน้าอ้อนวอนลูกแมวน้อยใส่อาจารย์ อาจารย์แกมองผมอย่าเหนื่อยใจก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และพูดขึ้น

           “ต้องดูพื้นฐานของเด็กคนนั้นก่อน ว่าแต่ชื่ออะไรล่ะ”

           “ไม้ครับ”

           “ชื่อจริง”

           “… ผะ ผมไม่ได้ถามเพิ่งไปรับมาเลี้ยงเมื่อวานเอง”

           “นี้เธอ! เด็กทั้งคนนะจ๊ะ ไม่ใช่หมาแมว ที่จะพูดอะไรง่ายๆแบบนั้น เฮ้อ … พรุ่งนี้พาเด็กคนนั้นมาหาฉัน แค่นี้แหละพวกเธอกลับไปเรียนได้แล้ว” ผมขานรับและเดินคอตกออกมา เชอะๆ ทำไมต้องทำท่าเหนื่อยใจกันทุกคนด้วยนะ ถึงผมอายุแค่นี้ ไม่เคยเลี้ยงเด็ก ไม่เคยชอบเด็ก ผมก็จะเลี้ยงให้มันเป็นคนดีด้วยมือของผมนี้แหละ ตั้งใจๆ นะไอ้โทน ฮูเร่!

           “มึงนี้นะ มันดื้อด้านจริงๆ” ไอ้ป๊อกหัวมือมาตบหัวผมดังเพี๊ยะและวิ่งหนีผมไป หน่อยยยยยยย ด่ายังไม่พอยังทำร้ายร่างกายกันอีกจะเล่นแบบนี้ใช่ไหม ด๊ายยยยยยยยยยยยยย!!!! รู้จักโทนความไวแสงน้อยไปซะแล้ว อย่าหนีนะว้อยยยยยยยย!!!!!!



.

.

.



ผลั๊ก เฮ!!! ผลั๊ก เฮ!!!! ผลั๊ก!!!!



           เสียงหน้าแข้งเตะคู่ต่อสู้ของลุกจันทร์บนเวทีมวยดังแข่งกับเสียงเชียร์ที่โห่ร้องด้วยความสะใจเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ที่กำลังโชว์แม่ไม้มวยไทยกันอย่างถึงรสถึงชาติ กำลังถึงจุดตัดสิน ไม้ เด็กน้อยที่ยืนมองอยู่ข้างสนามตื่นตาตื่นใจกับภาพตรงหน้า เขาเหมือนได้เปิดโลกใหม่ ได้เจอสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ … และรู้สึกอยากที่จะขึ้นไปยืนบนนั้น

           วันนี้พ่อทายพาลูกชายคนใหม่ของลูกตัวเองมาเปิดหูเปิดตาที่เวทีมวยใหญ่กลางเมืองเพราะต้องการหยั่งเชิงว่าเด็กคนที่มีหน่วยก้านดีเช่นนี้จะสนใจในกีฬามวยนี้หรือไม่ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับเด็กคนนี้ เขาปลงอานิจังแล้วเรียบร้อยและไม่คิดจะโทษลูกชายของตนที่ไปเอาเด็กมีปัญหาบ้านไฟไหม้ตายทั้งครอบครัวนี้มาอีกแล้ว ถือว่านี้คือบาปบุญเก่าลูกชายเขาได้ทำเอาไว้และถ้ามองไม่ผิด ไม้คือคนที่จะดูแลลูกชายเขาได้อย่างดีเยี่ยม  และเขาตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะให้เด็กคนนี้ได้ยืนบนจุดกลางเวทีมวยในฐานะนักมวยยอดเยี่ยมอีกด้วย …



กริ๊ง.

           ระฆังสิ้นสุดการชกดังขึ้นเสียงเฮกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก ไม้มองภาพบนเวทีก็รู้ได้ทันทีว่าลุงจันทร์เป็นฝ่ายชนะ เพราะนาทีนี้ คู่ดวลดุของลุงจันทร์น็อกลงไปกับพื้นแล้ว เมฆทำหน้าที่โดยการให้น้ำลุงจันทร์ส่วนแสงนั้นวิ่งขึ้นไปบนเวทียกตัวลุงจันทร์ขึ้นแบกไปทั่วทั่วเวทีอย่างดีอกดีใจยิ่งกว่าตัวของลุงแกเองเสียเอง แววตาของเด็กน้อยส่องประกายวิบวับ อย่าน่าเอ็นดู ทันใดนั้นเองมือใหญ่ของพ่อทายก็วางลงบนกลุ่มไรผมนุ่มของเด็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นที่พอจะได้ยินกันสองคนท่ามกลางเสียงโฮ่ร้องดีใจของคนทั่วทั้งสนาม

           “เอ็งจะไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก แต่ข้าจะสร้างเอ็งให้เหนือกว่านั้น ว่าไงสนใจไหม”

   คำพูดนั้นดูแข็งกระด่างแต่มือใหญ่นั้นกลับอบอุ่น … ไม้ไม่แปลกใจเลยที่พ่อเขากับปู่เขา จะนิสัยเหมือนกันอย่างกับแกะเช่นนี้

   .

   .

   .

   

   “ฮัลโหลวววววววววววว! ไม้อยู่หน่ายยยยยยยยย”

   ผมหันไปตามเสียงพ่อตัวเล็กที่วิ่งถลาเข้ามาในบ้านในชุดนักเรียน เขาหยุดอยู่ในท่าแปลงร่างของอุนตร้าแมนทำท่ายิ่งลำแสงใส่ผมที่กำลังถูพื้นสังเวียนมวยอยู่เรียกเสียงหัวเราะจากลุงจันทร์นั่งกินมะยมดองจิ้มพริกตาเกลืออยู่ข้าง ๆ ลุงทิมที่นั่งส่องพระ พี่แสงเห็นเขาแกก็นึกเอ็นดูวิ่งเข้าไปจะเตะ แต่พ่อโทนเอามือปัดขาและสับเข่าเข้ากลางกล่องดวงใจจนอีกฝ่ายจุกลงไปนั่งกองกับพื้น เจ้าตัวพอเล่นคนตัวใหญ่กว่าได้ก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากใหญ่ เอ๊า ! เล่นกันให้พอใจครับพ่อ พอเล่นจนพอใจเขาก็ยิ้มร่าและกระโดดขึ้นมาบนสังเวียนมวยทำท่าตั้งกาดขึ้นปล่อยหมัดแย็บใส่ผม

   “พรุ่งนี้เช้าไปโรงเรียนกับกูนะ”

   “มึงจะเอาไอ้เด็กนั้นไปไหน” ลุงทายที่เดินผ่านมาพอดีได้ยินก็ถามขึ้น

   “เรียนน่ะสิพ่อ แหมถามได้” พ่อตัวเล็กของผมหันไปมุ่ยปากใส่

    “ใครจ่ายค่าเทอม ?”

   “ก็พ่อไง”

   “ตลกแดกไอ้ห่า มึงก็จ่ายเองสิ”

   “ได้ไง! กระปุกหนูมีแค่ 50 บาทเอง เก็บมาทั้งชีวิตนะนั้น!”

   “ทีงี้มาแทนตัวเองว่าหนู ไอ้ห่าหนูผีน่ะสิ ไม่ต้องเลย เอาไงไอ้ไม้จะเรียนไม่เรียน” ผมไม่ตอบ แต่หันไปมองหน้าพ่อโทนที่ตอนนี้หน้าเหลือสองนิ้ว กัดปากตัวเองผมล่ะกลัวเขาจะเป็นห่อเลือดจริง ๆ คงอยากให้ผมเรียนมากจริงๆ… ผมไม่คิดว่าจะได้เรียนต่อ ไปเคยคิดตั้งแต่วันที่เห็นแม่ตัวเองนอนตัวไหม้เกรียมอยู่ในกระสอบของกู้ภัย …

   “ไอ้ไม้” ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่าตัวเองถูกรวบเข้ามากอดด้วยวงแขนเล็ก ๆ ของพ่อโทนเขาโอบรัดหัวผมไว้แน่นจนผมแทบหายใจไม่ออก แต่หน้าแปลกที่ตอนนี้หน้าผมร้อนและเปียกแฉะไปหมด

   “ร้องไห้ทำไมว่ะ!” นี้ผมร้องไห้หรอ …

   “อ้าว...ดราม่าและไอ้ห่า ไอ้เด็กนี้อยู่ ๆ ก็ร้อง ไอ้เด็กโข่งสมองลิงนี้ก็ร้องตาม โว๊ะ !” เสียงลุงทายบ่นงุบงิบพ่อโทนไม่เถียงอะไรเหมือนเคยและยังกอดผมไว้แน่น

   “กูไม่รู้หรอกว่าอะไรเป็นยังไง แต่กูก็รู้ว่าถ้ามึงไม่เรียนอนาคตมึงจะแย่ถึงมึงจะเป็นนักมวย แต่ถ้าเกิดชีวิตมึงพลิกขึ้นมาชกมวยไม่ได้และมึงอ่านหนังสือไม่ออกเขียนไม่ได้ จะเอาอะไรกินวะ” พ่อโทนพูดไปก็สะอื้นไปแก้มใสถูไถกับหัวผมเหมือนผมเป็นลูกหมาลูกแมว

   “ผม … จะเรียน”

   “มึงว่าอะไรนะ ”เขาผลักผมออกเบา ๆ ก่อนจะถามย้ำขึ้น

   “ผมอยากเรียน ถ้าพ่อโทนให้ผมเรียนผมก็จะเรียน”

   “ฮึก จริงๆนะ”

   ผมพยักหน้าก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดขอบตาแดงๆให้พ่อโทน กลายเป็นว่าตอนนี้พ่อโทนร้องไห้แทนผมไปแล้วเรียบร้อย ผมไม่รู้ว่ามันจะดีไหมถ้าผมกลับไปอยู่ในสังคมแบบนั้นอีก … แต่ผมอยากทำให้พ่อโทนสบายใจ…นั้นคือวินาทีที่ผมคิดอย่างงั้นจริง ๆ แต่วินาทีต่อมายังไงผมก็ต้องเรียน เรียนเพื่อกลับไปยืนที่ๆผมควรจะอยู่!

   “ผมจะทำงานครับปู่ ผมจะผ่อนค่าเรียนส่งให้ลุงโดยแรงกาย ลุงใช้ผมได้ทุกอย่าง ผมจะทำ ผมจะเรียน ผมจะฝึกมวย ผมจะทำทุกอย่าง” ผมเดินเข้าไปยืนตรงหน้าลุงทายก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่มีอะไรต้องคิดอีกแล้ว โอกาสของผม ไม่ปล่อยให้หลุดมือเด็ดขาด ไม่มีทาง!

.

.

.



           ด.ช. ชนาธิป ญาณวรุตม์ ผมยืนมองชื่อที่ปักลงอกเสื้อนักเรียนชายของลูกผมอย่างประณีตโดยฝีมือผมเอง อิอิ เรื่องแค่นี้เองผมทำได้สบายมาก คึคึ พรุ่งนี้ลูกผมจะไปเรียน ม.1 ที่โรงเรียนเดียวกับผมแหละนั้นแหละ หลังจากที่ไปทำประวัติใหม่และจัดการเรื่องอื่น ๆ เรียบร้อย ก็พาแวะไปตัดผมพร้อมเข้าเรียน ผมไม่เคยเห็นเด็กคนไหนหล่อเท่าลูกผมเลย ลูกผมหล่อที่สุดในโลกแล้ววววววว

           “มึงนี้ก็เห่อจัง” ผมหันไปค้อนพี่แสงที่นั่งล้อมวงกินข้าวกันอยู่หน้าลานบ้าน ไอ้บ้าไม่ต้องมาพูดเลย ผมเห่อก็เห่อของผมคนเดียวป่ะ ผมอุตส่าห์นั่งตาแข็งปักเสื้อให้ตั้งสามตัวนะ ตั้งสามตัว ไม่รู้หรอว่าต้องแลกกับแผลที่นิ้วกี่แผลกันจนมันออกมาสวยได้ขนาดนี้!!! ดีใจอ่ะ!!!!

           “สวยอะ มีไรไหม พี่ทำได้ปะละ!”

           “สวยห่าอะไร ตัวอักษรเบี้ยว ๆ บูด ๆ กูว่าไอ้ไม้อายเพื่อนแน่”

           “ผมไม่อายหรอกครับ”

           “ฮ่าๆๆๆๆ ลูกผมไม่อายเห็นม่ะ กินข้าวไปเลยเงียบๆ ก่อนที่ผมจะเทให้ไอ้มีมี่กิน”พี่แสงรีบคุ้ยข้าวเข้าปากเมื่อผมบอกจะเทให้มีมี่ลูกหมาพันธุ์ทางขนเกรียนตัวเมียอายุ 4 เดือนกว่าที่ถูกคนเอามาทิ้งหน้าบ้านผมเมื่อไม่นานมานี้ ผมแอบดูให้ข้าวให้น้ำ จนรู้แน่ว่าไม่มีเจ้าของเลยพาเข้าบ้าน และแน่นอน ...พ่อผมก็แทบกินหัวไอ้โทนเช่นเคย

           “พรุ่งนี้เปิดเรียนแล้ว นี้ไม้ลุงให้ พระดีไว้คุ้มครองตัวเอง” ลุงทิมยื่นสร้อยพระสมเด็จให้ไอ้ลูกชายผม เชอะ ทีผมได้แต่องค์เล็ก ๆ ไอ้เด็กนี้ได้องค์ใหญ่จัง ลำเอียง!!!!

           “เออ กูก็มี นี้เอาเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น ตั้งแต่มึงมากูยังไม่ได้ให้อะไรรับขวัญมึงเลย”ลุงจันทร์หยิบแบงค์พันส่งให้ไอ้ไม้ผมมองตาโตเป็นไข่ห่าน!!! ชีวิตนี้ผมยังไม่เคยจับแบงค์พันเย้ยย ยยยย ยยย!

ควับ!

           “ขอบคุณลุงสิ” ผมบอกในขณะที่ตาจ้องแบงค์พันในมือตัวเอง

           “ไอ้ห่าโทนกูให้ไอ้ไม้”

           “ไม่เอาเดี๋ยวใช้เงินเกินตัว”

           “มึงนั้นหละจะใช้ของลูกมึงหมด! เอามานี้กูเก็บเอง”ผมพยายามยื้อเอามาจากพ่อทาย เชอะ ไม่ต้องทำหน้าดุหรอกให้ก็ได้ ไม่ง้อหรอก จำไว้นะลำเอียง

           “กินกันไปเลยนะ ไม่กินแล้ว งอน!!!!”

   ผมกระแทกเสียงก่อนจะเดินออกมากระทืบเท้าเสียงดังปึงปังลงพื้น เสียงพี่เมฆเรียกตามมาแต่ผมไม่สนใจ คนอื่น ๆ ก็เอาแต่หัวเราะ เชอะ! จะงอนสามวันไม่คุยด้วยเลย ข้าวก็หากินกันเอาเอง แต่ถ้าเอาแบงค์พันมาเก็บไว้ที่ผม ผมจะยอมคืนดีด้วยก็ได้ ผมจะเอาไว้ในกระปุกหมีที่เปิดไม่ได้นอกจากทุบ จะเก็บไว้ให้ตอนที่ไอ้เด็กนั้นโตขึ้นและไม่มีเงินกินอ่ะ !!! ทำไมไม่เข้าใจผมบ้าง!!! ผมเป็นพ่อนะ!!!

           ผมเดินเข้ามาในห้องก่อนจะเดินปึงปังไปนั่งลงหน้า TV เปิดเครื่องเกมและเอาแผ่นเกมต่อสู้ใส่ลงไป นี้! เตะก้านคอเลย อะโช๊ะ ศอก เป็นไงล่ะหนุมานก็มา รู้จักไอ้โทนน้อยไปซะแล้ว!!!

           อ๊ะ … ว๊ากกกกกกกกก เสื้อยับหมดเลยยยยยยยยยยย!  ฮืออออออ ผมเผลอขยำมันอ่ะ รีดใหม่เลยสินะ เซ็งจริง =_=’



แอ๊ดดดดดดดดดด …



           ผมชะงักท่าลิงจ๋อเมื่อประตูห้องเปิดออกในขณะที่ผมกำลังลุกไปเสียบปั๊กรีดผ้า ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นเจ้าไม้เดินเข้ามาหน้านิ่ง … ไอ้เด็กหัวลูกชิ้นนี้จะมาไม้ไหน  ผมงอนอยู่นะ =_=’

           ผมต้องเอียงคอเมื่อมันมาหยุดตรงหน้าและยื่นแบงค์พันให้ผมหน้าตามันนิ่งมาก นี้มึงเป็นกระไรเส้นยึดหรอ!!!!

           “ผมฝากนะครับ… ช่วยเก็บไว้ให้ผมหน่อย … ผมอยากให้พ่อโทนเก็บ”เสียงเบาหวิวเต็มไปด้วยความออดอ้อนจากหางเสียง … ฟินกระจายยยยยยย!!!!!!! คร่อก ตายสนิท!!!!!

           “อะ อะ อะ … อ๊ากกกก! ปะ ไปอาบน้ำมานอนได้แล้วมึงต้องไปเรียนนะ!!!”

   ผมพูดเสียงดังก่อนจะหันหลังให้ก้าวฉับ ๆ มาริมห้องเอาที่รีดผ้าขาสั้นแบบพับออกมากางและนั่งลงเอาเครื่องเสียบปั๊ก คว้าเอาเสื้อผ้านักเรียนลูกผมขึ้นมาสะบัดและจัดการรีด … ทุกอย่างผมทำไปด้วยจิตใจฟินกระจายเหมือนหุ่นยนต์สนิมเกาะ!!!!

           “ผมจะตั้งใจเรียนนะครับพ่อโทน” เสียงประตูค่อยๆปิดลงในขณะที่ผมกลั้นยิ้มแทบไม่ไหวต้องหน้าบานเป็นจานดาวเทียม!!!



   พะ พอได้แล้วไอ้เด็กบ้า … จะน่ารักเกินไปแล้ว!!!!



 

    “พ่อครับ” ผมที่กำลังนั่งผูกเชือกรองเท้าอยู่บันไดหน้าบ้านหันไปมองตามเสียง และแทบหัวใจหยุดเต้น น่าย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก! ผมบอกแล้วว่าเสื้อที่ผมปักเองมันต้องเปล่งประกายเป็นยองใย

   “เรียกทำไม?” ผมดึงหน้าและหันมาผูกเชือกต่อ ไม่เอาผมจะไม่ยิ้มเดี๋ยวลูกมันได้ใจและไม่กลัวผม ผมต้องครึม หุหุ แต่ฝีมือผมดีจริงๆนะ ใส่แล้วหล่อขึ้นเป็นกองเลย รับรองว่าสาวติดกันตรึมแน่ ลูกโผ้มมมมม

   “ไปกินข้าวก่อนก่อนนะ เดี๋ยวกูตามไป”

   “ไปไหนครับ”

   “เออน๊า ถามมากจริง” ผมว่าและผละตัวเองวิ่งออกมาห้องครัวด้านล่าง

   ดูเหมือนภารกิจการเป็นพ่อมันจะซับซ้อนกว่านั้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าต้องทำต้มซุปหัวปลาสูตรบำรุงสมองและร่างกายไอ้ไม้ไว้เป็นมื้อกลางวันด้วย ผมเลยจัดแจงเอาปิ่นโตลาย อุนตร้าแมนใบเก่าของผมสมัยผมเด็กๆ คดข้าวใส่ก่อนจะเอาผสมโรงลงไปด้วยไส้กรอกทอดกับไก่ทอดไม่ลืมต้มซุปที่ใส่ถุงให้เป็นอย่างดี อย่างงี้แหละไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองซื้อข้าวกินฝึกไว้จะได้ประหยัด ยืนมองปิ่นโตด้วยความภาคภูมิใจพักนึงก่อนจะเดินออกมาจากห้องครัว อ่ะ!ผมลืมกล้วยตอนเช้าแบบนี้ต้องให้ลูกกินกล้วย ลูกผมไม่ใช้ช้างแต่จะต้องท้องไม่ผุ พ่อทายเคยบอกว่ากินกล้วยบ่อยๆจะไม่เป็นริดซี่ ! และยังเสริมกล้ามเนื้อได้อีกด้วย ยิ่งหลังออกกำลังกายนะ กล้ามจะโตๆๆๆ เลยแหละ คิกๆ แค่กล้วยไม่พอผมเตรียมนมไว้ให้ลูกกินอีกแก้วนึงด้วย

   คิดได้แบบนั้นผมก็เปิดตู้เย็นที่ใหญ่ท้วมหัว เฮ้อ ผมละเบื่อที่จะต้องปีนขึ้นไปหยิบของที่อยู่ช่องบนสุดทุกที ทำไมนะ ทำไมตัวผมมีแค่นี้ ทั้ง ๆ ที่ผมก็กินนมกินกล้วยแถมต้มหัวปลาแทบทุกวัน มีแค่ผักที่ไม่ชอบกินแค่นั้นเอง ไม่ยุติธรรมเลยถ้าลูกผมตัวโตแถมลูกกว่าผมจะทำยังไง

   ผมชักลังเลแล้วสิว่าจะให้ลูกกินกล้วยกับนมดีไหม …

   “พ่อครับ”

   “ตะ ตกใจหมด”ผมสะดุ้งเอามือกำอก เมื่ออยู่ ๆ ไอ้บ้าเด็กไม้แม่งย่องมาด้านหลังเงียบๆ นึกว่ากุมารทอง!!! ฟู่ … ดีนะไม่หัวทิ่มตกลงไปไม่งั้น ได้กล่าวสวัสดีพื้นเป็นไงบ้างสบายดีไหม เนื้อแกแข็งดีเนอะดูสิหัวกูแตกเลย

   “ทำอะไรน่ะ ถ้าตกลงไปจะว่ายังไง” ว่าแล้วก็ค่อย ๆ ปีนลงมาจากเก้าอี้และมายืนแยกเขี้ยวใส่ไอ้เด็กผี

   “เข้ามาทำไม ทำไมไม่กินข้าว”

   “ลุงทาย…”

   “กูบอกให้มึงเรียกเขาว่าปู่ไง”

   “… ปู่ทายให้ผมมาตามครับเขาบอกถ้าไม่รีบไปกิน จะเทส่วนของพ่อให้มีมี่กิน” ผมมุ่ยปากก่อนจะยื่นกล้วยกับนมให้ไอ้เด็กบ้าถือไว้ก่อนจะคว้าปิ่นโตของตัวเองและของลูกผม เดินนำออกไปกินข้าวเช้าก่อนจะโดนเทให้หมาแดกซะก่อน

.

.

.

           



           

           “อ่อ คนนี้หรอ แหม โตเกือบเท่ามึงเลย แน่ใจหรือวะอายุแค่13 น่ะ”

           “ไอ้ห่าป๊อก เดี๋ยวกูกระโดดเตะก้านคอหลับเลย แม่ง!!!”  ผมยืนมองพ่อโทนที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ...  เมื่อกี้ยังคุยโวกับผมอยู่เลยว่าตัวเองเป็นคนที่สูงที่สุดในห้องนี้แค่เพื่อนคนแรกที่ผมเห็นเขาก็สูงกว่าพ่อโทนเกือบศอกแหนะ ขี้โม้จังพ่อใครเนี้ย

   ผมมองไปรอบ ๆ โรงเรียนของพ่อโทนไม่ได้เป็นโรงเรียนที่ใหญ่มากนัก แต่เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดที่มีตั้งแต่ชั้นอนุบาลยัน ม.6 ความจริงแล้วผมเคยมาแล้วรอบนึงตอนมาปรึกษาเรื่องเรียนต่อกับพ่อโทน แต่ผมก็ไม่ได้สนใจที่จะจดจำมากนัก ถึงวันนี้ผมต้องไปสำรวจตึกของพวกพี่โตบ้างแล้ว เผื่อจะได้แอบไปหาพ่อโทนบ้าง

           “ไงไอ้หนู โชคร้ายเนอะมีพ่อแบบนี้” ผมหน้านิ่งไม่ขยับเขยื้อนเมื่อเพื่อนพ่อผมที่ชื่อป๊อกเอามือมาวางบนหัวผม …ไม่ชอบเลยแฮะ … แต่ต้องอดทน ผมจะไม่แสดงออกก้าวร้าวต่อหน้าพ่อโทน … ลับหลังค่อยว่ากัน

           “ว๊ะ!ไอ้นี้พูดด้วยไม่พูดด้วยหยิ่งหรอวะ! โอ๊ย!!!”

ผลั๊ว!!!

           ผมแอบอมยิ้มสะใจเมื่อพ่อโทนกระโดดตบหัวเพื่อนตัวเองจนเสียงดังผลั๊วขึ้นสนั่นจน พี่สาว ม ปลายที่เดินผ่านไปมาสะดุ้งและรีบวิ่งหนีพ่อโทนมือหนักอันนี้ผมรู้อยู่แก่ใจดีและไม่คิดจะทดลองเหมือนนายป๊อกคนนี้

           “บังอาจแกล้งลูกกูไง ไปไอ้ไม้ไปเข้า ม. 1/1 นะ อ่อ และใครแกล้งจดชื่อมันว่า เดี๋ยวกูไปจัดการให้ ”

   ผมพยักหน้าและยกมือไม้พ่อโทนที่ทำหน้าปลื้มปริ่มอยู่ พ่อชอบให้ผมเคารพและชอบให้อ้อน เพราะทุกครั้งที่ทำเขาจะทำหน้าฟิน จมูกบาน แก้มแดง ปากยิ้มกว้าง จนแก้มพอง ๆ ของเขาแทบปริ มันเป็นภาพที่น่ารักมาก และผมก็ชอบเห็นมันบ่อย ๆ ด้วย

   พ่อโทนผละออกจากผมไปพร้อมกับทิ้งปิ่นโตอุนตร้าแมนไว้ที่ผม … สงสัยพ่อโทนจะชอบอุนตร้าแทนจริงๆแฮะ เอาเถอะ ยังไงผมก็ไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว ดีแล้วที่พ่อโทนเค้าทำกับข้าวมาให้ผมทานที่โรงเรียนผมจะได้เก็บเงินที่ปู่ทายให้มา 30 บาทไว้ เก็บเล็กผสมน้อยเผื่อวันนึงจะกลายเป็นเงินก้อนโตได้

   “เฮ้ย … มึงเด็กใหม่หรอ ไม่เคยเห็นหน้ามาจากไหนวะ!”

    ผมเหลือบตามองตามเสียงก่อนจะเห็นเด็กผู้ชายตัวอ้วนใหญ่แต่เตี้ยกว่าผมยืนกร่างพร้อมกับลูกสมุนอีกสองคน … แค่วันแรก ผมก็โดนหาเรื่องซะแล้วหรือเนี้ย … เหมือนเมื่อก่อนจริง ๆ ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็จ้องแต่จะหาเรื่องผม คงเป็นเพราะร่างกายของผมที่มันใหญ่โตเกินหน้าพวกเขา จนทำให้พวกเขาอิจฉาละมั่ง

   “เฮ้ย!!! พูดด้วยไม่พูดด้วยเดี๋ยวปั๊ด!”

   “นายอ้วน!!!!”

   “ตายห่าล่ะเจ้ศรีมา … ฝากไว้ก่อนนะมึง” ผมไม่สนใจกับพวกกระจอกที่วิ่งหนีไม้เรียวของครูที่เดินมา ผมหันไปยกมือไหว้แกก่อนจะก้มหน้าลงต่ำ

   “เด็กใหม่ใช่ไหมเธอ เดี๋ยวครูจะพาไปเข้าแถว อยู่ชั้นไหนล่ะ”

   “ม.1/1ครับ”

   “เข้าแถวเสร็จและไปหาครูที่ห้องพักครูด้วยนะ”

   ผมพยักหน้าก่อนจะเดินตามครูไปยังไม่ทันที่จะเดินถึงแถวเสียงเพลงมาร์ช โรงเรียนก็ดังขึ้นซะก่อน อาจารย์จึงรีบให้ผมเดินตามแกไปที่สนามหญ้ากลางลานโรงเรียนที่ตอนนี้นักเรียนเริ่มพากันเดินไปเข้าแถว และในที่สุดผมก็มาอยู่ในแถวของตัวเอง…โดยที่อยู่หลังสุดเพราะตัวสูงที่สุดและผมไม่ได้แปลกใจที่ใครต่อใครต่างมองมาที่ผมเหมือนตัวประหลาด

.

.

.

           “เด็กใหม่!” ผมชะงักเท้าที่กำลังเดินไปหาครูที่ห้องพักหลังจากเลิกแถวแล้ว และดูเหมือนคนนักเรียนคนอื่นจะเข้าห้องกันหมดแล้วทำให้ชั้นทางเดินไม่มีคนอยู่เลย …จะว่าไปเสียงนั้นมันคุ้น ๆ เหมือนจะเป็นเสียงของแมงหวี่ที่บินมาตอมตามหลอดไฟ ผมหันไปมองไอ้หัวโจกอ้วนกับลูกน้องสองคนเดิมที่เดินก้าวเข้ามาหาผมอย่างกร่าง ๆ สรุปมันจะหาเรื่องผมให้ได้เลยใช่ไหม

           “มึงเด็กใหม่รู้จักกูรึยังวะ กูอ้วนคุม ม.1 ทั้งสายชั้น”

           “…” ผมแสร้งทำหน้างงใส่ ใครจะคิดว่าโรงเรียนเก่าหรือใหม่สถานการณ์ไม่ได้แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย

           “หน่อย ลูกพี่มันทำเงียบ” หมายเลข1 กล่าว

           “กวนตีนชัดๆเลยลูกพี่” โฮ่ะ หมายเลข 2 ตาม … นี้มันสเตปหลังตลกนี้หว่า

           “นี้มึงกวนตีนกูหรอ!!!!” ปิดท้ายด้วยหัวโจก

           “…” ผมไม่พูดอะไรเพียงแต่เหยียดยิ้มมุมปากให้มัน หึหึ ตลกชะมัดไอ้อ้วนกับแก๊งหมาขี้ก้างนี้



เพี๊ยะ!

           ผมหน้าสะบัดเมื่อหมัดกระจอกปะทะเข้ากับหน้าผมข้อหาหมั่นไส้เป็นการส่วนตัว เบาจัง ยังไม่ได้ครึ่งของ พ่อโทนเลย ผมเหยียดยิ้มให้มันอีกครั้ง ก่อนจะค่อย ๆ วางปิ่นโตและกระเป๋าหนังสือลงกับพื้นอย่างเบามือ ไอ้หัวโจกอ้วนทำท่าจะถลาเข้ามาหาผมอีก แต่ช้าไปปู่ทายสอนมาว่าถ้าคู่ต่อสู้มาไว ให้จงไวกว่า …..และจบเกมให้ไวที่สุด...

ผลั๊วะ!

           ร่างอ้วนล้มหน้าฟาดกับพื้นโดยที่เจ้าตัวทำอะไรไม่ได้ ทันทีที่ขาผมสะบัดเกี่ยวข้อเท้าจนอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวสะดุดล้ม ร้องโอดโอยเลือดกำดาวพุ่งอยู่กับพื้น … ผมมองมันอย่างสมเพช จังหวะนั้นดูเหมือนไอ้ขี้ก้างสองคนก็ใจกล้าเหมือนกันเข้ามาจับผมล็อก ...แต่แรงเท่ามด ผมเลยสะบัดออกได้และจัดให้อีกคนละหมัด ลงไปนอนนับดาวกันเลย พอเห็นว่าหมดน้ำยาแล้ว ผมก็จะก้มเก็บของเพื่อไปหาครูที่นัดหมายไว้

           “ทำอะไรกันน่ะ!!!!”เสียงร้องไห้ระงมของไอ้3หัวโจก ขึ้นดังจนครูที่อยู่ในห้องพักครูที่ไม่ไกลมากนักเดินออกมาดู



           ให้ตายสิทำไมตอนผมโดนรังแกถึงออกมาดูกันไม่ทัน เฮ้อ … เป็นเรื่องจนได้ ปวดหัวชะมัด



 

           ผมนั่งกอดอกกระดิกเท้ามองไอ้ลูกชายตัวแสบที่มาโรงเรียนวันแรกก็ทำเรื่องซะแล้วภายในห้องปกครองที่แอร์ช่างหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจวัยรุ่นโดยมีสายตาของครูฝ่ายปกครองนั่งจ้องไม่ละสายตา และอย่าคิดนะครับว่าพ่อทายผมจะรู้สึกกับเรื่องนี้ยังไง แค่โทรไปบอกว่าไอ้ไม้มีเรื่อง ก็หัวเราะล่าแถมยังเอ่ยชมมันไม่ขาดปากบอกว่ามันนิสัยเหมือนแกตอนสมัยห้าวเป้ง ลูกผู้ชายมันต้องอย่างงี้อย่างงั้น และบอกว่านี้มันเป็นหน้าที่ของผมให้ผมจัดการเองแกไม่เกี่ยว ให้ตายเหอะ นั้นพ่อนะ แต่นี้ลูกผม!!! ใครจะอยากให้ลูกตัวเองมีเรื่องตอนกำลังเรียนอยู่วะ และนี้ก็วันแรกนะ นี้แค่วันแรก!!!!

           “มีอะไรจะแก้ตัวไหมไอ้ไม้”ผมถามมันขึ้นในขณะที่พ่อแม่ของไอ้เด็กสามคนนั่งหน้ายักษ์มองมาที่ผมอย่างหยาบคาย เดี๋ยวกูก็หนุมานถวายแหวนให้หลับซะนี้ ไอ้ห่ามองจัง

           “ไม่ครับ”

           “ฮึก แม่จ้า มันทำอ้วน อ้วนเจ็บ” อ้าว ไอ้นี้ก็สำออย แค่หน้าฟาดพื้นเลือดกำกาวไหลทำเป็นคุย หน้าลูกกูก็บวมเหมือนกัน ชักหมั่นไส้ละ อีกอย่างผมเชื่อว่าลูกผมไม่ได้เริ่มก่อน … วัน ๆ มันคุยกับใครที่ไหน

           “นี้ไอ้หนู เล่นเป็นพ่อลูกกันหรือไง ทำไมไม่ตามพ่อมา ฉันจะเรียกร้องค่าเสียหาย” ผมหันไปค้อนพ่อไอ้เด็กลูกขี้ก้างที่นั่งเอาน้ำแข็งประคบหน้าอยู่ก่อนจะกัดฟันกรอด

           “ขอโทษนะลุง นี้ลูกผม และถ้ามีอะไรก็คุยตรงนี้เลย” ผมว่า ไม่ได้ตั้งใจจะหยาบคายกับผู้ใหญ่ แต่ในเมื่อผู้ใหญ่หน้าเงินไม่ถามเหตุการณ์ว่าอะไรเป็นอะไรก่อน ผมก็ไม่ควรจะนับถือ ถ้าอยากได้เงินมากนัก เดี๋ยวพ่อจ่ายด้วยลำแข้งสักป๊าบสองป๊าบ

           “ว๊าย ตายแล้วจะบ้าหรอ เธออายุเท่าไหร่ถึงมีลูกโตขนาดนี้ ลูกแม่อย่าไปฟังลูก โอ๋ๆเจ็บไหมจ๊ะ ดูสิบวมใหญ่เลย ฉันจะแจ้งตำรวจ!!!” เจ้แม่ไอ้เด็กอ้วนนั้น มั่นหน้าแจ้งตำรวจหรอ ก็ได้ถ้าจะแจ้งผมขอจับหน้ากระแทกพื้นอีกสักทีจะได้คุ้ม ๆ กับค่าปรับและนอนคุก

           “นี้คุณ ไม่คิดจะถามลูกคุณหน่อยหรอว่ามันเกิดอะไรขึ้น ไหนไอ้ไม้เล่าสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น ห้ามตอแหลไม่งั้นกูนี้แหละจะชกมึงให้กลายเป็นกระสอบทราย”

   ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่สนใจอาจารย์ปกครองที่นั่งหน้าเคร่งเครียด คนอย่างผมเล่นคือเล่นแต่ถ้าจริงจังขึ้นมาเมื่อไรผมไม่เล่นกับใครทั้งนั้น นี้คือลูกผมและถ้าใครมาใส่ร้ายลูกผมผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน และผมเชื่อว่าไอ้ไม้ไม่ทำใครก่อน เด็กอย่างมันนิ่งเกินไปจะทำร้ายใครก่อน

           “ผม…”

           “กูย้ำอีกทีนะ ถ้าโกหกมึงได้เห็นดีกับกูแน่”

           “แง แม่จ๋า มะ มัน…”

           “เงียบไอ้อ้วน!!!!!” ผมตวาดลั่นไอ้เด็กอ้วนซุกอกแม่มันทันที ภายในห้องเงียบสนิทลง บอกแล้วอย่าให้กูโมโห ถ้าโมโหอ่ะเรื่องใหญ่

           “ผมจะไปห้องพักครูตามที่ครูศรีบอกไว้ แต่ระหว่างทางพวกเขามาหาเรื่องผม ผมแค่ป้องกันตัว”

           “จริงรึเปล่า ?” ผมหันไปถามไอ้สายหนอจิ๊กโก๋เด็กที่กร่างทั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยที่ซุกอกพ่ออกแม่มันอยู่ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

           “กูถามว่าจริงรึเปล่า”ผมถามย้ำขึ้นอีกครั้ง ไอ้เด็กอ้วนบ่อน้ำตาแตกร้องไห้ออกมายกใหญ่ทันที ผมเหยียดยิ้มก่อนจะหันไปหาครูปกครอง

           “แค่นี้ลูกผมก็ไม่ผิดแล้วใช่ไหมครับครู”ครูปกครองเหยียดยิ้มให้ผมนิดนึงก่อนจะส่ายหน้า

           “ยังไงก็ผิดที่ใช้กำลังกันเข้าใจรึเปล่านายโทน แต่คุณพ่อคุณแม่คะ ถือซะว่าเรื่องของเด็กทะเลาะกันยอมกันเถอะนะคะ เพราะอย่างไรหากสืบสาวเรื่องกันจริง ๆ จะผิดทั้งคู่กรณี ซึ่งดิฉันเกรงว่าจะไม่ดีนัก” ครูพูดอย่างใจเย็น ใช่ครับ เรื่องนี้ผิดทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับว่าใครผิดมากผิดน้อย ผมเลิกคิ้วมององค์ประชุมลอบห้องก่อนที่ต่างฝ่ายต่างอ่อนลงและยอมความกันในที่สุด เพียงแค่ว่าอย่าให้มีซ้ำสองเท่านั้น ผมลุกขึ้นและฉุดไอ้ไม้ให้เดินตามออกมาด้วย … เฮ้อ นี้สินะหน้าที่ของคนเป็นพ่อ

           “พ่อโท…”

ผลั๊ว!!!

           ยังไม่ทันพ้นห้องปกครองดี ผมหันไปตบซ้ำรอยแผลเดิมของไอ้ไม้ … เอาให้จำจะได้ไม่ทำอีก!!! มันหน้าสะบัดไปอีกทาง และนิ่งงันไป ดูเหมือนเสียงจะดังจนในห้องปกครองผวากันพอสมควร ครูฝ่ายปกครองถึงกับกุมขมับส่ายหน้าไปมาและชี้ไม้เรียวมาทางผมอย่างคาดโทษ

           “นี้แค่สั่งสอน ถ้ามีอีก เจอหนักกว่านี้” ผมว่าก่อนจะเดินออกมาไม่สนใจมันอีก โมโห ยอมรับว่าโมโหมาก ถึงมันจะป้องกันตัว แต่มีหลายวิธีกว่านี้ในการหลบหลีก การยอมไม่ใช่ว่าไม่ขี้ขลาด และไอ้ไม้ไม่รู้จักข้อนี้ ผมยอมให้ลูกผมมีเรื่องได้แค่บนสังเวียนมวยเท่านั้น … ผมจะไม่สอน แต่จะให้มันซึมซับและสำนึกด้วยตัวเอง

.

.

.
หัวข้อ: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ ​ตอนที่ 3 เรียนรู้ที่จะเป็นพ่อที่ดี
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 11-04-2020 19:42:53

   ทาย โค้ชใหญ่ ชายผู้ที่ทั้งรูปร่างหน้าตาลักษณะสมชายชาตรีไทยอย่างแท้จริง น้อยคนนักที่จะรู้ประวัติการชกของเขาอย่างแท้จริง เพราะไฟล์สุดท้ายที่เค้าขึ้นชกคือระดับโลกในรุ่นเฮวี่เวทแต่กลับถูกคู่ต่อสู้ที่ชกพลาดเข้าจุดสำคัญจนเกือบเป็นอัมพาตยังโชคดีที่สามารถกายภาพบำบัดทำให้กลับมาเดินได้วิ่งได้ แต่ร่างกายนั้นก็ยังคงไม่เหมือนเดิมเขาจึงเปลี่ยนตัวเองจากผู้ชกมาเป็นครูฝึกสอนเสียเอง โดยเปิดเป็นค่ายมวยเล็กๆ ซึ่งในประวัติที่โลกลืม เขามีภรรยาหนึ่งคนที่จากไปด้วยโรคประจำตัวและลูกน้อยอีกหนึ่งที่ทั้งน่ารักและหน้าเตะไปด้วยในคนเดียวกัน

           “ครูทายคะ ครูทาย”



โฮ่งๆๆๆๆ



           เสียงมีมี่เจ้าหมาพันธุ์ทางเห่าขู่คนแปลกหน้าที่มาร้องตะโกนอยู่หน้าบ้านทำให้พ่อทายที่กำลังม้วนยาเส้นดูเจ้าแสงซ้อมเตะกระสอบทราย และเตรียมจะด่าในท่าทีเหยาะแหยะของเจ้าแสง ต้องหันกลับไปมองที่หน้าบ้านก่อนจะรีบวิ่งออกไปไล่เจ้ามีมี่ให้ไปหลังบ้าน พร้อมเปิดประตูรั้วต้อนรับให้ชายหญิงคู่หนึ่งที่มาจากสังคมสงเคราะห์จังหวัดใกล้เคียงให้เข้ามาภายในบ้าน

           “อุตส่าห์มากันถึงนี้ขอบใจมาก เข้ามากินน้ำกินท่าก่อน ค่อยคุยกันก็แล้วกันนะ”

   เขาว่าก่อนจะเดินนำเข้าไปในลานบ้านข้าง ๆ พื้นที่ซ้อมมวย ซึ่งมีต้นหูกวางต้นใหญ่ปลูกไว้เพื่อบังแดดและสร้างความร่มรื่น ก่อนจะพาแขกมานั่งพักบ่นแคร่ไม้ไผ่และออกคำสั่งให้เจ้าแสงไปจัดแจงหาน้ำหาท่ามาให้แขกแก้กระหายเสียก่อน

           “น้องไม้เป็นยังไงบ้างคะลุง”

           “ก็สบายดีนั้นแหละ นี้พ่อมันก็ดูแลอย่างกับไข่ในหิน แต่ข้าชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครดูแลใคร ฮ่าๆๆๆ” พ่อทายหัวเราะเสียงดังออกมาทำให้สองหนุ่มสาวพลอยหัวเราะตามไปด้วยถึงจะไม่เข้าใจก็เถอะ

           “วันก่อนเห็นเจ้าโทนบอกอยากได้น้องไม้ไปเป็นนักมวยในค่าย ผมยังงงๆอยู่แต่พอเอ่ยชื่อลุงผมก็ยอมให้เขามา เพราะถึงอย่างไร ลุงเองก็เป็นคนมีชื่อเสียงมาก วันนี้ที่ผมมาก็อยากจะมาให้ลุงช่วยเซ็นต์ใบยืนยันว่าอยากจะให้น้องไม้มาเป็นลูกบุญธรรมจริง ๆ น่ะครับ”

           “ความจริงข้าก็ไม่ใช่พ่อมันหรอกนะ ถูกยัดเหยียดให้เป็นปู่ แต่ก็นั้นล่ะนะตามกฎหมายข้าก็ต้องรับรองใช่ไหมล่ะ เอ้อ และวางใจได้ข้าจะไม่ให้มันอด ๆ อยาก ๆ หรอก”

   พ่อทายลงมือเซ็นต์รับรองบุตรบุญธรรมไปก็บ่นบลา ๆ ตามภาษาแกไปด้วยสร้างความโล่งใจให้แก่เจ้าหน้าที่ทั้งสอง ไม้เป็นเด็กเรียนดีหัวไวร่างกายที่เติบโตไวกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน เหมาะกับสถานที่นี้อย่างยิ่งและที่โล่งใจไปอีกคือคนบ้านนี้มีจิตใจเมตตากันทุกคน ยิ่งคนตรงหน้ายิ่งไม่ต้องพูดถึงใครไม่รู้จักพ่อทายครูมวยไทย คงไม่ใช่คนแถวนี้อย่างแน่นอน

   “เอ๊าล่ะ แค่นี้ใช่ไหม มีอะไรอีกไหม ?”

   “ไม่มีแล้วครับลุง ยังไงถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาตามนามบัตรนะครับ”

   พ่อทายรับนามบัตรมาก่อนจะที่แขกทั้งสองคนจะพากันขอตัวกลับไป สำหรับการรับเลี้ยงบุตรนั้นถือเป็นเรื่องยากเพราะต้องดูถึงความเหมาะสมและอีกหลาย ๆ เรื่องประกอบกัน แต่ในเมื่อคนที่ไปรับมาก่อนหน้านี้มีเครดิตดีและสามารถไว้วางใจได้ คงไม่มีปัญหาอะไรที่จะไปขีดกั้นอนาคตของเด็กคนหนึ่งไว้ อีกอย่าง ทั้งเจ้าเมฆที่เป็นนักมวยประจำค่ายนี้ก็มาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้านี้ทั้งสิ้น

   “มึงไม่ต้องไปบอกไอ้โทนมันนะ”

   “ทำไมอ่ะจ๊ะลุง” เจ้าเมฆที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดขึ้น พ่อทายถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปไม่วายบ่นหงุงหงิงอย่างหนักใจไปด้วย

   “มันอยากเป็นพ่อก็ให้มันเป็นไป กูไม่ไปแย่งมันหรอก”

   “แหมะ! บอกก็ด่าก็บ่นแต่ก็ตามใจมันตลอดเวลาแหละเนอะ ฮิฮิ” เจ้าแสงหัวเราะคิกคักออกมาแต่ก็ต้องหยุดชะงักเงียบปากลงเมื่อเจอสายตาพิฆาตจนต้องหงอและเดินตามหลังแกไปพร้อมกับเจ้าเมฆโดยไม่รู้ว่าพ่อทายปลงอานิจังกับตัวเองมาตั้งนานแล้ว



   ‘จะพ่อหรือจะปู่ยังไงกูก็ต้องดูแลมันทั้งคู่แหละวะ’



.

.

.



           “สั่งดิ มองหน้าอยู่ได้” ผมเบ้ปากบอกกับไอ้ลูกบ้าที่นั่งมองหน้าผมอยู่ได้ไม่ยอมสั่งไอติมกินสักที

           หลังเลิกเรียนผมลากมันมาที่ร้านไอติมในตลาด ร้านนี้อร่อยนะมีหลายรสด้วย ไม่อยากจะคุยผมมากินจนเจ้าของเขาเพิ่มไอติมให้ตั้งลูกนึงแหนะ อิอิ อร่อยกว่าในห้างอีกแถมไม่แพงด้วย แบบนี้ไอ้ลูกผมมันจะกินสักเท่าไรก็ได้แต่บอกไว้ก่อนนะมีงบแค่ 50 บาท ฮิฮิ ถ้ากินเกินงบก็นั่งล้างจานแล้วกันนะลูกรัก

           “ป้าจ๋า หนูของกะทิกับสตอเบอรี่นะใส่ข้าวเหนียวกับลูกชิดแล้วก็มะยมดอง”

           “ไม่มีมะยมดองโว้ยอยากแดกไปแดกร้านอีหมวยโน้น!!!”

           “แหม ล้อเล่นหรอกน๊า อิอิ” โดนด่าแล้วสดชื่นจริงๆ

   ผมหัวเราะคิกคักก่อนจะหันมามองไอ้เด็กบ้าที่ยังจ้องผมไม่เลิก แก้มก็บวมตุ่ยขนาดนั้นยังทำซ่าอีก อุตส่าห์พามาเลี้ยงปลอบใจแล้วนะหรือว่าโกรธที่ผมตีซ้ำนะ ก็มันน่าไหมล่ะว่าเรียนวันเดียวเป็นเรื่องเลยอะ ผมไม่เตะแถมอีกทีก็ดีถมแล้ว

           “เป็นไรโกรธกูหรอ”

           “เปล่าครับ”

           “แล้วทำไมไม่กินอ่ะ”

           “ผมไม่ชอบกิน”

           “และทำไมไม่บอก”

           “…”

           “งั้นลองกินกับกูก่อนก็ได้ อ่ะมาพอดี อ่ะ กินสิ” ผมตักไอติมในถ้วยยื่นไปให้ตรงปากช้ำ ๆ ของเจ้าไม้ เด็กนั้นทำหน้านิ่งมองผมก่อนจะยอมงับช้อนผมเข้าไปในปากและกลืนอย่างรวดเร็ว ... บร๊ะ ไอ้นี้ไม่ยอมลิ้มรสสัมผัสเลยให้ตายสิ แง๊ม!

           “อร่อยไหม” มันไม่ตอบ … เป็นอะไรของมันผมชักหงุดหงิดแล้วนะ!!! ถ้าโกรธก็บอกจะได้เตะซ้ำอีกทีให้หาย นิ่งเป็นหุ่นอยู่ได้น่ารำคาญ!!!!

           “ไอ้โทนนี้ใครวะ ผัวเอ็งหรอ” ไอติมแทบพุ่งเมื่อป้าแกมากระซิบข้างหูผม ผัวเผออะไร! นี้ลูก ลูกโผ้ม!!!! และอีกอย่างผมผู้ชายนะเผื่อใครยังไม่รู้ กูผู้ฉ๊ายยยยยยยยยยย!!!!!

           “ลูกผมป้า!!!!”

           “ห๊ะ กูไม่เชื่อ!!! อย่ามามึง กินเด็กก็บอกข้ามาว่าแต่ไอ้หนุ่มนี้หน้าตาใช่ได้นี้หว่า ถ้าไม่ใช่ผัวเอ็งงั้นมาเป็นผัวป้าไหมลูก” ผมรีบเข้าไปแทรกกลางเมื่อป้าแกจะมาหอมแก้มลูกผม ไอ้นี้ก็แข็งเป็นท่อนไม้ไม่หือไม่อืออะไรเลย แง๊ม เดี๋ยวปั๊ดกัดหูซะนี้

           “บร๊ะ! ขัดใจกูจัง เออ ๆ ไม่ต้องทำหน้าขู่กูแบบนั้นหรอก เอ้อ! ว่าแต่พ่อเอ็งล่ะว่างหรือยังข้ารออยู่” ผมย่นจมูกใส่ป้าแกทันที ทำไมป้าถึงไม่รู้จักแก่บ้างเลยนะอายุอานามก็จะ 50อยู่และยังแต่งตัวแซ่บเป็นเสาตกน้ำมันอยู่เลย บรึ้ย อย่าหวังจะมาเคมพ่อผมเลย พ่อทายอ่ะรักแม่มะลิคนเดียววววว!

   พอป้าแกเดินไปเฝ้าหน้าร้านอย่างเดิมผมก็กลับมานั่งกินไอติมที่ของตัวเองป้อนลูกคำตัวเองก็กินคำ ไอ้นี้ก็ทำหน้าเป็นศพตายด้าน อ้าปากเมื่อผมยื่นช้อนไปให้นอกจากนั้นก็เอาแต่จ้องผมอย่างเดียว เดี๋ยวปั๊ดต่อยให้ปากเขียวอีกข้างเลยนิ ไม่น่ารักเอาซะเลยไอ้ลูกไม้เนี้ย!!!

.

.

.



           “ไอ้ไม้เดี๋ยวก่อนนอนไปสวดมนต์ที่ห้องพระนะ ข้าจะสอนเอ็งสวดชินบัญชร”ลุงทิมเอ่ยชวนเจ้าไม้ที่นั่งกินข้าวร่วมวงอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาที่ลานหน้าบ้าน ผมเบ้ปากนิดๆเพราะมันไม่มองหน้าผมเลย ชิ โกรธจริง ๆ สินะ

           “น้องโทนเป็นอะไรไม่ยอมกินข้าว” ผมหันไปส่ายหัวและก้มกินข้าวในจานตัวเองเงียบๆเหลือบมองไอ้บ้าไม้ก็ยังไม่มองผมอีก ทำไมไม่มองผมล่ะ เมื่อตอนเย็นยังจ้องเขม็งแท้ ๆ พอกลับมาบ้านก็ไม่มองผมเลย

           “ที่เอ็งโทรมาบอกข้าเมื่อตอนกลางวันว่าไอ้ไม้มีเรื่องเป็นไงบ้าน ทางโน้นเขาเอาเรื่องไหม”

   ผมส่ายหน้าแทนคำพูดแต่ก็ยังไม่เงยหน้าจากจานข้าวในตักตัวเองและอยู่ ๆ ข้าวผมก็มีน้ำใสหยดลงไปบนช้อนเฉยเลย ผมรีบเช็ดมันออกและนั่งกินเงียบ ๆ ต่อไปไม่คุยกับใคร นอกจากจะเหลือบมองเจ้าลูกบ้าที่เอาแต่คุยกับลุงทิมและลุงจันทร์เรื่องพระกับเรื่องมวยแต่ไม่สนใจผมเลย

           จะโกรธอะไรนักหนาก็ไม่รู้ผมแค่ต่อยเองนะ ก็เจ้าเด็กบ้าทำผิดอะ ไปมีเรื่องได้ยังไง ผมไม่ได้ทำรุนแรงสักหน่อย แถมตอนเย็นผมก็พาไปกินไอติมแล้ว ยังไม่พอใจอีกหรอไง ไอ้เด็กเรื่องมาก ฮึก แกล้งพ่อตัวเองแบบนี้น่าจับมาเตะซะให้เข็ด ผมแค่อยากให้รู้ว่าถ้าทำแบบนี้อีกผมจะโกรธมากๆและจะต่อยก็แค่นั้นเอง ไม่เห็นต้องเย็นชาอย่างงั้นเลย ไอ้ลูกบ้า!!!

เคร้ง!

           ผมวางช้อนก่อนจะลุกขึ้นเอายกชามของตัวเองเดินออกมาไม่สนใจเสียงใครต่อใครเรียกเลี่ยงขึ้นมาห้องตัวเองและวางจานข้าวไว้โต๊ะเขียนหนังสืออย่างหงุดหงิด ไอ้เด็กบ้านั้น ผมต้องทำให้มันรู้ให้ได้ว่าผมโกรธมันนะถ้ามันยังเป็นแบบนี้อยู่เรื่องอะไรมาตีมึนกลับโกรธผมแบบนี้อ่ะ!!!!

           “พ่อโทน…” ผมหันไปมองก่อนจะเบ้ปากกระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อเห็นเจ้าของเสียงเดินเข้ามาในห้อง

           “มะ มะ มีอะไร ตามมาทำไม ไม่อยากคุยไม่ใช่หรอไง”

           “ผมไม่ได้โกรธพ่อโทน แต่ผมแค่น้อยใจ”

           “น้อยใจ ? น้อยใจทำไม ที่กูต่อยมึงอ่ะหรอ!” ผมเผลอตะคอกเสียงดัง

   ผมไม่ได้ตั้งใจแต่น้ำตามันจะไหลผมเลยต้องใช้เสียงกลบมัน ไอ้เจ้าไม้บ้ามันก็พยักหน้าและก้มหน้านิ่ง … จริงๆด้วย มันโกรธผมเพราะผมต่อยมันนี้เอง … ผมทำแรงไปหรอ ผมว่าผมต่อยมันเบา ๆ นะ … อยากขอโทษ

           “ผมรู้ว่าผมผิด แต่คนเดียวที่ผมไม่อยากให้เกลียด โกรธ หรือทำร้ายผม … คือพ่อโทน … ถือซะว่าเป็นข้อเดียวที่ผมขอได้ไหมครับ … ยะ อย่าตีผมอีกเลย”

   ผมใจอ่อนฮวบรู้สึกตัวอีกทีก็เดินไปกอดมันแล้ว … ความจริงผมน่าจะรู้ว่าไอ้เด็กนี้ผ่านอะไรมาบ้าง พ่อแม่ตายต่อหน้าต่อตา ไม่บ้าก็ถือว่าเข้มแข็งมากแล้ว และนี้ผมกลับไปทำให้จิตใจของเด็กคนนี้แย่ลงไปอีก … บางทีนะบางที ผมอาจจะเป็นพ่อคนไม่ได้ …

           “ผมไม่โกรธพ่อโทน … และไม่คิดจะโกรธด้วย เพราะงั้นอย่าร้องไห้เพราะผมอีกนะครับ” ไอ้เด็กบ้า! ยิ่งพูดผมก็ยิ่งร้องสิวะ … ฮึก …

           “ก็ได้ จะไม่ตีแล้ว ต่อจากนี้กูจะไม่ตีมึงแล้ว ความจริงกูไม่รู้ว่าต้องสอนมึงยังไงด้วยซ้ำ แต่ต่อไปนี้กูจะไม่ตีมึง และกูก็จะเรียนรู้ความเป็นพ่อคนด้วย อย่าน้อยใจนะ อย่าน้อยใจ” ผมว่าไปก็เอาหน้าตัวเองถูกับผมนิ่ม ๆ ของไอ้เจ้าไม้ไปด้วย ผมมันนุ่มและหอมมาก ไอ้เด็กนี้ไม่ร้องไห้สักแอะ มีแต่ผมที่ร้องเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว …

   ผมคงได้รับบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่แล้วล่ะ …

           แต่ผมก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ว่าคนเป็นพ่อเค้าจะสอนลูกกันยังไง … ผมคงต้องเรียนรู้อีกมาก แต่ยังไง ผมก็จะเป็นพ่อที่ดีของลูกให้ได้



   ฮึบ พ่อโทนไฟล์ติ้ง!!!!



///////

สู้ๆ นะคะคูนพ่อววววววววววว
หัวข้อ: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ ​ตอนที่ 4 ความฝันของพ่อโทน
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 11-04-2020 19:44:47

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 4 ความฝันของพ่อโทน

   กระเตง กระเตง กระเตง นั้นคือเสียงของ ม้าไม้ของผม อิอิ น่ารักมากเลยนะ วันนี้วันเสาร์ผมตื่นมาไม่มีอะไรทำเลยผมตอกม้าไม้ให้ไอ้เจ้าลูกผมแหละ ดูสิเหมือนหมา เอ้ย เหมือนม้าฟุดๆ ดูดิมือผมถลกหมดเลย อิอิ แต่ก็ภูมิใจอ่ะ ผมกะเตงม้าไม้ที่ผูกกับเชือกฟางเดินไปหน้าบ้านเห็นพ่อทายกำลังยืนคุมเจ้าไม้เตะกระสอบทรายอยู่ก็กระเตงม้าไม้เข้าไปหาเจ้าไม้ แต่พ่อทายกลับหันมามองแปลก ๆ ผมทำหน้าง๊าวใส่ก่อนจะกะเตงม้าไปหาเจ้าไม้

   “ตัวห่าอะไร โอ้ย ไอ้โทนนนนนนน” ผมแกล้งเหยียบเท้าพ่อก่อนจะวิ่งลากเจ้าโทนออกมาจากบ้านโดยมีมีมี่วิ่งตามหลังมา ฮ่าๆๆๆ อยากว่าผมทำไมอ่ะ ม้าผมออกจะน่ารักไม่ห่าสักหน่อย

   “จะไปไหนครับพ่อโทนและม้าไม้นั้นอะไร มือไปโดนอะไรมา” โว๊ะถามมากจริง ผมเบรกหันไปมองไอ้ลูกบ้า ชิ ถามอะไรเยอะแยะเดินตามมาก็จบเรื่อง ไม่อยากไปกับผมหรอไง ผมพ่อมันนะ!!!! มันมองหน้าผมนิ่งก่อนจะเหยียดยิ้มและเขย่งตัวนิดหน่อยมาจิ้มแก้มผม

   ฟู่!!!! ลมออกหมดเลยอุตส่าห์จะเป็นปลาปักเป้านะ!!!! ผมงับเข้าที่นิ้วมันก่อนจะยื่นม้าไม้ส่งไปให้ เจ้าตัวมองก่อนจะยิ้มกว้างและรับไป

   “กูทำให้ ขี่สิขี่ อุตส่าห์ตอกจนเจ็บมือหมดแล้วไม่ขี่โกรธนะ รู้ไหมทำพ่อตัวเองโกรธมันบาป” ไอ้เด็กบ้าไม่สะทกสะท้านยังคงยิ้มแป้นอยู่ น่ารักอ่ะ … ไม่สิ ไม่น่ารักสักนิด เทียบกับมีมี่ยังไม่ได้เลยยยยยย!!!!

   “ยิ้มอะไร!” ผมยื่นมือไปหยิกแก้มของมันจนยืดออก

   “ผมขี่ก็ได้ แต่พ่อโทนต้องซ้อนนะ”

   “อะไรเล่า ทำให้แล้วยังจะเรื่องมากอีก … ไม่ต้องทำหน้างั้นเลย จะเข้ายังไงเชือกมันเข้าไปได้คนเดียว”

   “แบบนี้ครับ” อ่ะ …. จะ จับมือ… นี้เป็นครั้งแรกรึเปล่าที่เจ้าไม้จับมือผม … หึหึ รู้สึกดีโคตร นี้สินะสัมผัสของคนเป็นพ่อววววววววววววววว!!!!

   “ไอ้โทน!” ผมชะงักขณะที่กำลังยืนมองลูกชายสวมม้าไม้อยู่หันไปมองไอ้คู่อริที่ไม่ค่อยถูกกันนักในย่านนี้ ผมแค่น่ารักกว่าแหละเอาจริง

           “ไอ้โจ๊ก วันนี้ก็ไม่มีเวลามาเล่นกับเอ็ง จะไปไหนก็ไป” ผมว่าพร้อมกับลากไอ้ไม้ที่จับมือผมอยู่ผ่านหน้ามันไป แต่แล้วสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยมันก็เกิดขึ้นเมื่อไอ้บ้าโจ๊กมันเตะก้นผมดังป๊าบและวิ่งหนีไป อ๊ากกก

           “พ่อโทน …” ผมที่กำลังจะวิ่งตามไอ้บ้านั้นไปชะงักเมื่อไอ้ไม้รั้งตัวผมไว้ ฝากไว้ก่อนเหอะถ้าไม่ติดว่าจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ลูกผมล่ะก็ไอ้บ้าโจ๊กไอ้เละเป็นโจ๊กสมชื่อแน่ เชอะกล้าดียังไงมาเตะผม!



           ผมพาไม้มาที่คันนา ที่นี้อากาศดีมีลุง ๆ ป้า ๆ มีทำนาเกี่ยวข้าว แถมมีอาหารอร่อยด้วย อิอิ ก็พวกลุงๆป้าๆเค้าจะพกข้าวมานี้หนา แล้วของแต่ล่ะคนนี้แค่น้ำพริกก็ฟินแล้วอ่ะ ยิ่งน้ำพริกป้าปูนี้นะ โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย!!!! อร่อยมาก ผมขอสูตรแกหลายทีแกไม่ยอมให้แกบอกเอาไว้ผมโตมีผัวก่อนแกถึงจะบอก ตอนนั้นนะผมโกรธแกแทบตาย ดีเลยวันนี้เอาไอ้ไม้มาด้วยต้องเอาไปแนะนำสักหน่อย อิอิ

           “พ่อโทน” ผมหันไปมองก่อนจะเห็นเจ้าไม้ที่สวมม้าที่ผมทำให้ทำหน้านิ่งใส่ ไอ้เด็กนี้ผมเริ่มเกลียดสีหน้ามันแล้วสิ หน้านิ่ง ๆ แบบเนี้ยผมต้องเสียเวลาถามอีกว่ามันรู้สึกยังไง ทำไม อะไร ที่ไหน โว๊ะ เดี๋ยวพ่อก็งอนซะนี้

           “มีอะไร … มือหรอ กูไม่ใช่หมานะ!!!!” ผมด่ามันแต่ก็ยอมวางมือบนฝ่ามือที่มันยืนออกมาให้ ก็บอกว่าไม่ใช่หมาไงเหล่า!!!! อะเด๊ะ … พาสเตอร์ลายอุนตร้าแมน …

           “ขอบคุณนะครับ ที่ทำม้าไม้ให้ … ดูแลตัวเองนะครับพ่อ ไม้เป็นห่วง”… ให้ตายเถอะโรบิ้น ฟินเป็นบ้า …

           “ป้าปูคร้าบบบบบบบบบบบบบบบบบ” ผมวิ่งลงไปในทุ่งนา เมื่อส่องเห็นป้าปูกำลังดำนาอยู่ อุ้ยๆ จะหล่น อ่ะ จับหัวไอ้ไม้ไว้ได้พอดี ฮิฮิ

           “อ้าวเจ้าโทน พาใครมาด้วยล่ะนั้น” ป้าปูเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับป้าๆลุงๆ

           “ลูกโผ้มมมมมมมมมมมมม”

           “ไม่เชื่อ!!!!!!” ผมบุ้ยหน้าเมื่อป้าๆลุงๆพูดขึ้นพร้อมกับ ใช่ซิ๊!!!!

           หลังจากนั้นกับเจ้าไม้ก็ร่วมกินข้าวกับป้า ๆ ลุง ๆ กลางนาที่มีเจ้าทุยกำลังเล็มหญ้าอยู่ในระหว่างนั้นผมก็เล่าเรื่องเจ้าไม้ให้ฟังเกือบหมด แต่เจ้าตัวก็เอาแต่นั่งนิ่งคอยมองควายเป็นระยะๆ อะไรนี้ลูกผมกลัวควายหรอ อุ้ยๆ มีเรื่องให้ล้อแล้วแหละ หึหึ เสร็จโจร

           “ไม้ลองขี่ควายหน่อยไหม ? เดี๋ยวกูสอนให้”

           “เจ้าโทน ไม่ดีมั่ง อารมณ์วันนี้ของไอ้แดงมันไม่ค่อยดี” ผมหันไปมองลุงชาติก่อนจะยิ้มให้อย่างมั่นใจ ระดับไอ้โทนขี่ควายมาตั้งแต่เด็กๆ แค่สอนลูกตัวเองมันจะไปยากอะไร

           “ไม่เป็นไรหรอกน่าป้า ลูกผู้ชายต้องลองสักครั้งในชีวิต มาลุกขึ้นมาไอ้ไม้”

    ผมจับมือไอ้ไม้ที่ไม่พูดไม่จาเดินเข้าไปหาไอ้เด็กที่นอนหมอบอยู่ พอผมเดินเข้าไปหาไอ้แดงก็ลุกพรวดก่อนจะเข้ามาคลอเคลียผมเหมือนมีมี่ มีมี่พอเห็นไอ้แดงคลอเคลียผมก็ไม่ยอมแพ้เอาหัวมาถูๆขอผมบ้าง แหม เรานี้เสน่ห์แรงจริงๆ ผมพูดคุยกับไอ้แดงแปปนึงก็ให้ไอ้ไม้เอามือไปลูบหัวไอ้แดงบ้าง ทำความคุ้นเคยซะก่อนนะ เดี๋ยวจะถูกมันดีดลงมาแข้งขาหัก ตอนนั้นผมต้องโดนพ่อกระทืบแน่ แง๊ม!!!

   “อ่ะ ขึ้นได้” ผมบอกเจ้าไม้ เจ้าไม้ก็กล้าๆกลัวๆ ไอ้เด็กนี้ไม่เคยกลัวอะไรมากลัวควายเนี้ยนะ อยากจะขำให้ฟันหัก แต่ยังก่อนถ้าขำตอนนี้ไอ้เด็กนี้ต้องไม่ขึ้นแน่ๆ

   เนื่องจากเจ้าแดงค่อนข้างสูงเลยลำบากนิดหน่อย ป้าปูกับลุงชาติที่เป็นเจ้าของไอ้แดงลุกขึ้นมาคอยคุมเชิงอยู่ด้านหน้า พอผมส่งเจ้าไม้ขึ้นไปได้ ก็กระโดดขึ้นตามไป อ้า บนหลังควายนี้ทำให้ผมมองโลกทั้งโลกเปลี่ยนไปจริงๆนะ

   “กลัวอยู่รึเปล่า” ผมถามขึ้นเสียงเบาๆ ไอ้ไม้ที่อยู่ด้านหน้าส่ายหัวไปมา ไม่กลัวห่าอะไรตัวสั่นเป็นลูกนกขนาดนี้ ผมเม้มปากอย่างคิดคำนึงว่าจะทำให้ยังให้ลูกผมหายกลัว …

   

 ปัง!!!!!



           “เฮ้ยยยยย!ไอ้แดง!!!! ไอ้ไม้!!!!!”

           เสียงอะไรสักอย่างดังสนั่นขึ้นลั่นนา นาทีนั้นผมจำได้ว่าผมตะโกนสุดเสียงและจากนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเจ้าแดงเป็นยังไงรู้แต่ว่าผมกับลูกถูกสะบัดตกลงมาอย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัวผมทำได้เพียงกอดเจ้าไม้ไว้ให้แน่นที่สุด … และผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย

.

.

.



           “ไอ้ไม้หยุดอย่าเพิ่งเข้าไป!!!!”

   เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้น ผมลืมตาขึ้นมามองเพดาน … อ้า นี้ห้องผมนี้หน่า … แล้วนี้ก็ลูกผม ทำไมลูกผมหน้าตาแตกตื่นขนาดนี้ และผ้าพันแผลที่หัวลูกผมมาได้ยังไง … ไอ้ไม้ไปโดนใครตีหัวมา ใครทำลูกผม ผมจะไปกระทืบมัน!!!! …

    “อะโอ้ย”

   “นอนนิ่งก่อนครับ ฮึก … เจ็บมากไหมครับพ่อ”

    ผมรู้สึกชาที่ขาก่อนจะเอามือข้างที่ไอ้ไม้ไม่ได้กุมเอาไว้ไปคลำ ๆ ดูปรากฏว่าโดนใส่เฝือกเฉยเลยอ่ะ … ตายห่าและขากูขาดไหมเนี้ยยยยยยยย!!!! ผมเอ๋ออยู่พักนึงจะว่าช็อกก็ช็อกแหละแต่เหมือนขาจะแค่หักนะก่อนจะเหลือบไปมองเจ้าไม้ที่นั่งสะอึกสะอื้นหมอบอยู่ข้างเตียงกุมมือกุมแขนข้างที่พันผ้าพันแผลของผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อยถอนหายใจออกมาเบาๆ ยกมืออีกข้างวางไปที่หัวทุย

           “ต๊ายล่ะ! มีลูกเป็นเด็กขี้แย ฮ่าๆๆๆๆ พ่อไอ้เด็กนี้เด็กขี้แยแหละลุงจันทร์ลุงทิม พี่แสง พี่เมฆ ดูดิน้ำตามันไหลใหญ่เลย อิอิ เด็กยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำแหละ ดูกูดิขนาดขาใส่เฝือกอันเบอเริ้มยังไม่ร้องสักแอะ” ความจริงๆนะ ความจริงผมรู้สึกร้อนที่ขอบตาแต่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ผมจะไม่ร้องเพราะถ้าผมร้องได้เด็กนี้ยิ่งอ่อนแอ ต้องหัวเราะ ต้องขำ แค่ไอ้เด็กนี้ไม่เป็นไร ผมก็พอใจแล้ว ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร …

           พ่อผมเดินเข้ามานั่งที่ขอบเตียงนอนของผมก่อนจะเอามือวางที่เฝือกเบาๆ มองไปที่ไอ้ไม้และพูดขึ้นเบาๆ

           “ ไอ้แดงมันตายแล้ว” ผมสะอึก ทันใดนั้นน้ำตาที่ผมอุตส่าห์อดกลั้นมาก็ไกลออกมาไม่เป็นชิ้นดี อะไรกัน ไม่ใช่ความผิดไอ้แดงสักหน่อย มันตกใจ … ทะ ทำไมต้องฆ่ามัน ใจร้ายอ่ะ ใจร้ายที่สุด!!!!!

           “คะ ใครฆ่ามันอ่ะพ่อ ฮึก ที่ผมเป็นแบบนี้ไม่ใช่ความผิดมันนะ มันตกใจเฉยๆ ไม่เห็นต้องฆ่ามันเลย มีมี่อะ แล้วมีมี่น้องผมล่ะ” ผมตะกุกตะกักถามขึ้น

           “ไอ้มีมี่ก็นอนอยู่หน้าบ้านนั้นแหละ ส่วนไอ้แดงมันตายเพราะกระสุนปืนที่มีคนจงใจจะยิงมาที่มึงกับไอ้ไม้ ” ผมอึ้งหันไปมองลุงจันทร์ที่พูดขึ้น … กระสุนปืน ?



           ตลกเหอะ … เรื่องอะไรจะมาฆ่าผมกับไอ้ไม้ ตลกเหอะจะละครมากเกินไปแล้ว … 

           “ผมเอง พวกมันจะฆ่าผม ผมขอโทษ ผมจะไปจากที่นี้พ่อโทนกับทุกคนจะได้ไม่ลำบาก ผมขอโทษ” พี่แสงกดไหล่เจ้าไม้ลงนั่งกับที่เหมือนเดิมก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ

           “พ่อมึงได้อกแตกตายกันพอดีไอ้ห่า มึงอยู่ที่นี้แหละไม่มีใครทำอันตรายมึงได้หรอก ถ้าอยู่ในสายตาพวกกู” เป็นครั้งแรกที่ผมมองพี่แสงว่าเท่ห์ ผมเช็ดน้ำมูกที่จมูกก่อนจะเอามาป้ายหัวลูกผมที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ ดูดิขนาดแกล้งขนาดนี้ยังร้องไห้อยู่อีก หมดกับมาดเท่ห์ของไอ้เด็กหน้าตาตายด้าน รักษาคาแรคเตอร์หน่อยสิโว้ยยยยยยย!!!!

           “เห็นกูเจ็บแล้วเสียใจไหม ?” ผมถามมันเสียงดังเท่าที่เสียงแหบๆตอนนี้ผมจะทำได้

           “…”มันพยักหน้ากัดปากจนแทบเป็นห่อเลือด

           “มึงกลัวไหมไอ้พวกที่จะทำร้ายมึง”

           “…” มันส่ายหน้าหัวแทบสะบัดมือทั้งสองข้างของมันกำแน่น

           “อยากปกป้องกูไหม”

           “คะ ครับ ผมอยากปกป้อง” หึหึ น่ารักจริงๆลูกผม เอ้ย ไม่น่ารักสักนิด!!!!

           “งั้นก็เข้มแข็งซะ วันไหนที่ไอ้พวกนั้นมาอีก ก็ชกมันให้ปลิวไปเลยยยยยยยยยยยย” ผมตะโกนเสียงดังเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ดี แต่แหมเผลอเหวี่ยงแขนกระดูกลั่นดังกร๊อบเลยให้ตายสิ แต่ก็ดีแล้วที่อย่างน้อยผมก็ได้เห็นหน้าตาของไอ้เด็กคนนี้ยิ้มออกมาได้ ถึงจะทั้งน้ำตาก็เถอะนะ …

   หึ … อย่าให้ผมรู้แล้วกันว่าไอ้พวกเลวนั้นเป็นใคร ผมจะหนุมารถวายแหวนตามด้วยจระเข้ฟาดหางให้สลบคาตีนเลย!!!! บังอาจมาให้ลูกผมร้องไห้ได้ยังไง!!!!!!



 สอบเข้ามหาลัย … แง๊ม …. โว๊ะ!!! ไม่องไม่อ่านแม่งแล้ว!!!!!

   ผมปาเอกสารติวภาษาโยนไปทั่วห้องหันมาซุกหน้าลงกับที่นอน เฮ้อ เจ็บปวดกว่าตอนตกควายขาหักแขนเดาะหัวแตกอีก เฮ้อ เหตุการณ์นั้นมันก็ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้วและถึงจะได้ถอดเฝือกอันโคตรพ่อโคตรแม่ใหญ่ออกไปได้แต่หมอก็บอกว่าต้องรอให้กระดูกมันติดกันสนิทก่อน ผมเลยอดวิ่งเล่นเยอะเลยอะ แถมฤดูกาลนี้ก็เป็นใกล้สอบเข้ามหาลัยด้วย และผมเล็งมหาลัยในตัวเมืองไว้แหละ ไม่อยากไปไกลบ้าน ฮืออออออ ไม่อยากอยู่หออะ ไม่เอาอ่ะๆๆๆ ผมดิ้นพล่านอยู่บนเตียงต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก

           “พ่อครับ” ผมลุกขึ้นนั่งยื่นปากใส่ไอ้เด็กบ้า ฮึ่ม สนใจผมได้แล้วสินะ เอาแต่ชกมวยแบบนั้นน่ะ เชอะ

           “อะไร”ผมเอื้อมตัวไถไปกับพื้นข้างเตียงหยิบเอกสารที่ปาทิ้งไปเมื่อกี้มาอ่านต่อ ไอ้เด็กบ้าหัวเราะน่าหมั่นไส้ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ผมและพูดเบาๆ

           “ปู่ให้มาตามไปทำกับข้าวครับ”

           “ไม่! ต้มมาม่ากินกันเองสิ!”

           “แต่ว่า … ผมหิวมากเลยนะครับ” … ชิ เออ ๆ ก็ได้วะ เห็นแก่ลูกนกลูกกาหรอกนะ ไม่ได้อยากจะทำหรอก

   ผมสะบัดตัวลุกขึ้นเดินลงมาที่ครัว ทำกับข้าวอย่างชินมือก็ได้ออกมาเป็นข้าวผัดถาดใหญ่กับซุปกระดูกหมูที่เคี้ยวไว้ตั้งแต่เมื่อวานอีกหม้อโดนมีเจ้าไม้เป็นลูกมือชั้นดีคอยช่วยหยิบจับ พอผมกับเจ้าไม้ยกออกไปเท่านั้นแหละ พวกซอมบี้หิวโซก็วิ่งเข้ามารุมกินทันทีและหมดลงอย่างรวดเร็ว

   “ไอ้โทน อ่านหนังสือไปถึงไหนแล้ว”

           “ไม่ต้องมายุ่งหรอก แย่งลูกคนอื่นเขาไปและยังจะมาพูดดีอีกนะ เชอะ” ผมพูดและสะบัดตัวจะเดินหนี แต่ต้องหันไปแง๊มใส่พ่ออีกรอบ

           “ว๊ะ! ไอ้นี้ สะดิ้งเหมือนแม่มันไม่มีผิด ”

           “เดี๋ยวก็เทให้มีมี่กินให้หมดซะหรอก”

   ผมว่าและเดินขึ้นมาบนห้องอีกรอบ เฮ้อ … เออๆ กูอ่านก็ได้ อ่านล่ะถ้ามันจะทำให้กูสอบเข้าใกล้ๆบ้านได้ล่ะนะ ไม่เอาอ่า ไม่อยากไปไกลบ้าน แงงงงงงงงงงง! ว่าแต่ … จะเข้าคณะอะไรดีนะ …

.

.

.



           “ มึงว่ากูจะเข้าคณะไรวะ”

   ผมถามในขณะที่กำลังเมาได้ที่เอาคางเกยกระติกน้ำแข็งรอบข้างแคร่ข้างทุ่งนากับป่าดง คือที่นี้มันเป็นที่ประจำของผมและเพื่อนสนิทที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ที่สำคัญใกล้บ้านผมสุดเลยไม่น่าเป็นห่วงเพราะเดี๋ยวไอ้ป๊อกขับรถไปส่งไม่มีเมาและขับจนต้องไปนอนคุกอีกแน่ โดยกลุ่มผมมีไอ้ป๊อกไอ้ห่าที่พาผมแหกด่านและถูกจับจนต้องไปทำความสะอาดสถานสงเคราะห์นั้นแหละครับ

   คนที่สองไอ้เบส หน้าฝรั่งหัวใจลูกทุ่ง คือพ่อมันเป็นคนเยอรมันแต่มาได้กับแม่มันที่บ้านนอกคอกนาน่ะครับ แต่เป็นฝรั่งที่ภาษาอังกฤษเรียกได้ว่าเหี้ยมาก A-Z มันท่องถูกรึเปล่าไม่รู้แต่ภาษาลาวนี้เปะทุกคำ

   สุดท้าย ไอ้ทิว ไอ้เด็กตัวควาย คือมันสูงมากกกกกกก สูงกว่าผมตั้งเท่านึงแหนะ ไม่ต้องมองงั้นเลยมันสูงจริง ๆ ผมไม่ได้เตี้ย ชิ ! มันเป็นลูกคนขายทองในตลาดรวยสุดในกลุ่ม ที่บ้านมันมีโมเดลการ์ตูนเต็มห้องไปหมด ผมไปนั่งเล่นบ้านมันบ่อยจนมีช่วงนึงบ้าการ์ตูนไปกับมันด้วยข้าวปลางานบ้านไม่ทำโดนด่าฉิบหายวายปลวกหมด

           “จะไปรู้มึงหรอ” ไอ้ป๊อกกระดกจิบเหล้าและหันมามองผมที่ตาจะหลับ ก็แหม กำลัง กรึ่มๆ แถมอากาศดีแบบนี้ถึงจะมีกลิ่นยากันยุงที่จุดซะแทบรมควันตายห่าก็เถอะ แต่มันก็ทำให้ผมตาจะปิด หึหึ ลูกผมน่ารักเนอะพ่อมันมากินเหล้าไม่โทรตามสักแอะ ใช่สิมวยสำคัญกว่าพ่อมันนิ ชิชะ

           “ช่วยกูคิดหน่อย” ผมเลาหลือไอ้ป๊อกด้วยการเอาหน้าไปถู ๆ กับแขนมัน

           “เอาแล้วไง แม่งแดกเหล้าทีไรมุ้งมิ้งตลอด โว๊ย เอาหน้าออกปายยยยย!” มันผลักหัวผมแทบทิ่ม เหอะ หน้าผมออกจะนุ่มนวลกว่าตูดเด็กไม่มีรสนิยมเอาซะเลย ผมเมินมันก่อนจะหันไปหาไอ้เบสที่มองมาที่ผมอย่างหวาด ๆ พอเห็นผมยิ้มหวานตาเยิ้มให้มันก็รีบบอกขึ้นเสียงดังลั่นทุ่

           “บัญชี!!!!”

           “โนว” ผมปากยื่นส่ายหัว โง่เลขก็โง่ คำนวณขนาดใช้เครื่องกูยังคิดผิด อย่าส่งกูไปฆ่าเลย

           “วิศวะ” ไอ้ทิวพูดเสียงหล่อขึ้น แหมมึงนี้นะ บัญชีกูยังคิดเลขไม่ถูกให้กูไปจำสูตรอีก

           “ไม่เอา”

           “นิเทศ” ขนาดกล้องนิ่งกูยังยืนแข็งทื่อ และกล้องวีดีโอกูไม่เป็นท่อนไม้เลยหรอ อีกอย่างนะ กูไม่สันทัดเรื่องนี้ด้วย!!! แค่พูดกับพวกมันยังไม่รู้เรื่องเลยบอกตรงๆ

           “ไม่!’”

           “แพทย์”

           “มึงดูหน้ากูด้วย” ผมชี้ไปที่หน้าตัวเองก่อนจะทำท่าจะเข้าไปกัดไอ้เบสมันทำท่ากลัวผมก่อนจะวิ่งไปหลบหลังไอ้ทิว สองผัวเมียสินะ ไอ้ห่าได้กันเมื่อไรกูจะจุดพุประกาศให้เค้ารู้กันลั่นซอยเลย

           “เลี้ยงควาย”

           “เอออันนี้เข้าท่า ถุ้ย! หือออออ ” ผมปาน้ำแข็งใส่ไอ้ห่าป๊อก มันไม่สะทกสะท้านแถมอ้าปากรับไปเคี้ยวกรุบ ๆ แสนรู้ดีจริง ๆ

           “มึงอยากทำอะไรมากที่สุดละ”

           “กูเหรอ … กูอยากเลี้ยงไอ้ไม้”

           “โว๊ะ!!! ไอ้ไม้พาพ่อมึงกลับบ้านด่วนเรื้อนฉิบหาย พูดมาได้อยากเลี้ยงลูก แม่ศรีเรือนซะจริงเพื่อนกู” อะไรลูกกูมาเหรอ ผมหันไปด้านหลังก่อนจะยิ้มหวานเมื่อเห็นไอ้ไม้เดินมากับพี่เมฆ ฮิฮิ สนใจพ่อได้แล้วสินะ ไหนมมาหอมเหม่งทีสิ

           “ม๊ายยยยยยย ยยยยยยย ยยยยยย”ผมเรียกมันเสียงดังเจ้าตัวพอเห็นผมเรียกก็รีบเดินเข้ามาและเข้ามากอดตามแรงดึงของผม ฮิฮิ กอดกันนะลูกนะ กอดกัน

           “เมาแล้วกลับบ้านกันนะครับ”

           “ไม่เอา ดูพวกมันสิแกล้งพ่อ มันบอกจะให้พ่อเลี้ยงควาย”ผมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของไอ้พวกบ้านั้น กูไม่ถูไถพวกมึงแล้วไม่ต้องดีใจ ลูกกูมาแล้ว จะบอกอะไรให้นะ ลูกกูนะเก่งอย่างงี้(ชูนิ้วโป้ง) ที่สำคัญหล่ออย่างงี้ (ชี้หน้าตัวเอง) น่ารักสุด ๆ ไปเลยล่ะ ผมซุกหน้าลงกับหัวหอม ๆ ของลูก

           “สนใจพ่อได้แล้วเหรอ เหงานะตอนไม่สนใจกันอะ ดูสิเหงาจนตัวเตี้ยเลย คิกๆ ” ผมหัวเราะคิกคักเมื่อได้ด่าตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาด่าผมหรอก ด่าเองเจ็บเอง น่ารักไปอีกแบบ

           “ครับ ๆ คราวหลังผมจะสนใจพ่อนะ กลับบ้านกันนะครับ”

           “ก็ได้ อุ้มโหน่ยยยยยย” ว่าแล้วผมก็ชูไม้ชูมือขึ้น เจ้าไม้ก็ทำท่าจะเอาจริง โธ่ไอ้เปี๊ยก!

           “มาเดี๋ยวพี่อุ้มเอง” ว่าแล้วผมก็ถูกยกลอยไปขี่คอหลังพี่เมฆ ด้วยสายตาอาลัยอาวอนของลูกไม้ทำให้ผมใจอ่อนฮวบ

   “ไว้เอ็งโตค่อยมาอุ้มพ่อเอ็งนะ” พูดแค่นั้นมันก็ยิ้มเล็กยิ้มน้อยก่อนจะเดินเคียงข้างผมกลับมาจนถึงบ้าน อุ้ย ลืมลาเพื่อน คิดได้แบบนั้นผมก็หันไปมองไอ้สามคนที่นั่งโบกมือบ๊ายบายตามหลังผม

   “กับผู้หลักผู้ใหญ่ยกมือไหว้ซะอีหนู”ผมตะโกนลั่นพวกมันหน้าเอ๋อก่อนจะพากันหัวเราะออกมาจากนั้นผมก็ไม่สนใจพวกมันอีกซบลงกลางหลังพี่เมฆแต่มือจับกับลูกผมไม่ยอมปล่อย … เฮ้อ … ง่วงจังเลย

.

.

.

           “อื้อ ไม่เอา อย่าเอามาเช็ดสิมันเย็นนะ” คนตัวเล็กที่หลับอยู่บนเตียงร้องตะโกนขึ้น เฮ้อ พ่อโทนเวลาเมาขี้โวยวายชะมัด ขนาดจะเช็ดตัวให้ยังไม่ยอมเลย

    แต่ผมชอบเขาตอนเมานะ เพราะเขาเรียกผมลูก ไม่พูดจากู ๆ มึง ๆ ให้แสลงหู แถมแก้มแดง ๆ ที่ชอบเนียนมาคลอเคลียกับผมก็น่ารักเหมือนแมวน้อยเลย ผมจัดการจรดผ้าเย็นลงแก้มใสตรงหน้า เจ้าตัวก็โวยวายแต่พอเช็ดไปสักพักก็นิ่งและกรนออกมาอย่างสบายตัว ช่วงนี้พ่อโทนดูเครียดเรื่องสอบเข้า เพราะเห็นบอกว่า อยากเอ็นให้ติดใกล้บ้าน และยังไม่รู้อยากเข้าคณะอะไร และชีวิตข้างหน้าอยากทำอะไร แต่เมื่อกี้ผมแอบดีใจนะ ที่บอกอยากเลี้ยงผม … ไม่นานผมคงโตได้เลี้ยงเขาก่อนแน่ ๆ

   “ไม้ พ่อรักเอ็งนะ …” ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้คน ๆ นี้เป็นคนดีจริง ๆ เขารักผมในขณะที่ไม่สนใจอดีตที่ดำมืดเลยแม้แต่น้อย … ที่ผมเฝ้าฝึกซ้อมมวยทุกวันหลังเลิกเรียนจนสามสี่ทุ่ม ก็เพราะอยากที่จะปกป้อง … ปกป้องพ่อโทน ไม่ให้โดนไอ้พวกนั้นรังแกอีก … ถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าพวกมันเป็นพวกไหน แต่ที่แน่ๆ มันตามผม … และใช่ครับ มันรู้แล้วว่าผมเองยังมีชีวิตอยู่ …

   “ไม้ก็รักพ่อโทน …” ผมกระซิบข้างใบหูเล็ก ก่อนจะจุ๊บลงที่แก้มใสของเขาเบาๆ … รักในแบบของเด็ก 13 ปี คุณคิดว่ามันเป็นแบบไหน … ใจบริสุทธิ์รึเปล่า ? … หึหึ ไม่รู้สิ ผมอาจจะเป็นเด็กฉลาดก็ได้ …

   “ไม้รักพ่อโทนมาก” ริมฝีปากบาง ๆ ของเขาถูกผมสัมผัสลงด้วยริมฝีปากลูกอย่างผม

   ขอบคุณที่ดูแลผม … ต่อจากนี้ขอแค่ให้ตัวเองแข็งแกร่งอีกสักนิด ผมจะดูแลพ่อโทนเอง …







///////

ขอคนละ1 คอมเม้นท์ให้กำลังใจ พ่อโทนลูกไม้ และ ปาปานะคะ <3
หัวข้อ: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ ​ตอนที่ 5 เปลี่ยนแปลง
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 11-04-2020 19:46:53
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 5 เปลี่ยนแปลง

แกรก แกรก แกรก

           ผมนั่งเหลาไม้อยู่แคร่หน้าบ้านมีเสียงปุ๊ ๆ ของพี่เมฆที่กำลังโชว์ซิกแพคเตะกระสอบทรายอยู่…ผมน่ะนะกะจะทำว่าว ให้ไอ้ไม้เพราะสังเกตมาหลายวันละว่าลมดีเหมาะมากที่จะเล่นอะไรแบบเด็กคนอื่นเขาบ้าง นอกจากการชกมวยที่ตะบี้ตะบันซ้อมเช้าเย็นกับปู่มัน

   แย่ชะมัด! ผมนึกไม่ออกว่าชีวิตข้างหน้าผมจะทำอะไรเป็นอาชีพ!!! ผมน่ะนะ อยากชกมวยแต่พ่อก็บอกผมเตี้ยไปจะให้ไปชกกับเด็กอนุบาล ฮึ้ย! ผมไม่ใช่เด็กนะ ผมอยากเลี้ยงไอ้เจ้าไม้ก็โดนด่า ฮึ้ย! ไม่ได้ดั่งใจ ไม่ได้ดั่งใจเลยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!

   “โอ๊ะ เย็นอะ ” ผมหันไปย่นคอใส่ไอ้ลูกที่เอาขวดน้ำลำไยที่ผมทำแช่ตู้เย็นเอาไว้เมื่อวานมาแนบหน้าแถมยังยิ้มแป้นให้อีก

   ดูสิเรียนเสร็จกลับมาก็ไปซ้อมมวยเลย ผมแอบเห็นมันกระโดดเตะก้านคอพี่แสงได้แล้วด้วยกระโดดได้อย่างสูง ไม่น่าล่ะผมได้ข่าวลือว่าไอ้เด็กแสบนี้เป็นหัวโจกประจำ ม.ต้นซะด้วย หึ ลูกผมเก่งไหมล่ะเห็นแบบเนี้ยผมว่าแอบเจ้าเล่ห์มากเลยนะ

   “นั่งลงสิ” ไอ้เด็กเหงื่อซกทำหน้างงใส่ ก่อนจะนั่งลงอย่างว่าง่ายที่พื้น

   “มานั่งด้านบนสิไปนั่งแบบนั้นสกปรก”

   “ไปเป็นไรครับ ผมอยากนั่งมองดูพ่อโทนจากมุมนี้”อะ อะ ไอ้ลูกบ้า!!! ผมเชิดหน้าหนีไปอีกข้าง ไม่สนแล้วอยากจะนั่งก็นั่งไป ชิ เด็กบ้า

   “ได้ข่าวว่าเป็นหัวหน้าแก๊งหรอ เก๋าจังนะตัวแค่เนี้ย”

   “… ผมเปล่า” ไอ้เด็กนั้นหน้าสลดลง … ผมยังไม่ได้พูดอะไรรุนแรงเลยนะ ผมแค่ … ผมแค่

   “ผมไม่ได้เกเรนะครับ พวกเขาพากันกลัวผมและเรียกผมว่าลูกพี่เอง ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ” … ทำไมนะ ผมถึงรู้สึกผิดทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ฮึ้ย น่าโมโห!

   “เออ ๆ ฮ่วย ทำหน้าเศร้าทำไมวะ ขึ้นมานั่งตรงนี้และจับฉลากอันนี้ขึ้นมาอันนึงด้วย”ผมว่าและฉุดไอ้ตัวแสบมานั่งข้าง ๆ ไอ้เจ้าไม้ก็ปรับอารมณ์ไวดีเหลือเกิน ยิ้มร่าโชว์ฟันขาวน่ารักไปอี๊กกกกกกกกก

   “อะไรหรอครับ” ไอ้เด็กบ้าหยิบขันใส่ฉลากของผมไปก้มมองและเงยหน้าขึ้นมาเอียงคอมองผม

           “บอกให้จับก็จับไปเถอะน๊า พูดมากจัง” ผมกะพูดให้ขำแต่ดูไอ้เด็กนี้ทำหน้าเข้าสิ อย่างกับผมไปตีมันด้วยไม้เรียวสัก 10 ทีอย่างงั้นแหละ ผมอดใจไม่ได้เลยเอื้อมมือไปคว้าแก้มมันออกมายืดดดดดดดดด! อิอิ อย่างงี้น่ารักกว่าเก่าเยอะเลยอ่ะ คิกๆ

           “อออมเอ้อ (ผมเจ็บ)”

           “อะไรนะ อิอิ ฟังไม่รู้เรื่องเลย”

           “อออืบอ่ะ (ผมเจ็บอะ)”

           “หือ อะไรน๊า ไม่ได้ยินเลย”

           “ออโอนอ่าอัก” อ่ะ ไอ้เด็กนี้ มันชมผมว่าน่ารักอ่ะ ใช่ม่ะ … มันพูดว่า “พ่อโทนน่ารัก”ใช่ไหม หน่อย ไอ้เด็กแก่แดด ผมปล่อยมือออกจากแก้มไอ้เด็กบ้าทันที

           “พ่อโทนน่ารัก”

           “ไม่ต้องพูดเลย จับไปซะ”

           “พ่อโทนน่ารัก”

           “เอ๊ะ! เดี๋ยวพ่อก็เตะก้านคอเลยนี้ จับซะเร็วๆ!!!!”

           “พ่อโทน … อ่ะ จับครับจับ” พอผมจะลุกขึ้นเท่านั้นแหละไอ้เด็กนี้ก็เลิกกวนตีนทันที แง๊ม กัดหูซะดีไหมไอ้เด็กบ้านี้

           ผมหันหน้าไปอีกด้าน ไอ้เด็กคนนี้น่าหมั่นไส้ชะมัดยาก คิดดูนะแค่ตอนเด็กตัวกะเปี๊ยกแค่เนี้ยยังขนาดนี้และถ้าโตขึ้นจะม้อสาวเก่งขนาดไหน ผมไม่ชอบอะ เดี๋ยวมันทิ้งผมไปทำไง กระซิก เลี้ยงได้แค่ตัว ใจผมเลี้ยงไม่ได้หรอก แงงงงง ผมต้องโดนลูกทิ้งตอนโตแน่เลย

           อะเด๊ะ ฉลากสีชมพูที่มาแกว่งตรงหน้าผมนี้มันอะไร ผมตะครุบ แต่ก็ไม่ได้ อะไรอ่ะ ง่ะย้ายมาอีกข้างแล้ว พอตะครุบอีกก็หายไปอีก … หน่อย! ไอ้ลูกบ้า!!!!

           “นี้แหนะ!” ผมหันไปเขกหัวไอ้เด็กบ้าคนนี้ดังโป๊ก มันหัวเราะร่าก่อนจะยื่นกระดาษให้ผมมา เชอะ กว่าจะจับได้ลีลาชะมัด เด็กผีเอ้ย!!! ไม่น่ารักเอาซะเลย ผมหยิบมาก่อนจะคลี่ออกทันที … อะ แอบลุ้นเหมือนกันนะเนี้ย

           “ว่าแต่ไอ้นี้มันคืออะไรหรอครับ”

           “ก็ … ฉลากคณะน่ะ”

           “เอ้ … และทำไม”

           “ข้าตัดสินใจเองไม่ได้เลยใช้ดวงเอ็งตัดสินไง … สาธุ ขอให้ได้คณะดี ๆ ด้วยเถอะ” ผมยกขึ้นไหว้สามจบ ขอให้ได้ขอให้โดนด้วยเถ๊อะ!!!

           “แต่พ่อโทน …”

           “เอาน๊า เชื่อสิมันต้องดีแน่นอน … ลุ้นชะมัด” ผมว่าและค่อยๆคลี่กระดาษออก … ผมได้เลี้ยงควายจริงๆนั้นแหละ … แหมนะ เอาจริงดิกับคณะสัตวแพทยศาสตร์เนี้ย!!!!!!!!

.

.

.

           “อะไรนะ สัตวแพทย์ โห ไอ้โทนตัวมึงยังจะเอาไม่รอดเลยนี้มึงจะไปดูแลสัตว์!!!!” ผมตกใจจานข้าวในมือแทบหล่นทำไมต้องเสียงดังด้วยหนอ แกงหนอไม้ออกจะอร่อยขนาดนี้แท้ๆยังจะโหดร้ายอีก โว๊ะ

           “อย่าหยาบคายสิพ่อ ผมน่ะนะ เก่งนะ อิอิ แค่พ่อไม่รู้ ผมตัดสินใจแล้วต่อไปนี้ผมจะเป็นหมอ!!!! … หมา อิอิ” ผมพูดอย่างอารมณ์ดีเพราะได้ตัดสินใจอนาคตตัวเองเรียบร้อยแล้วทุกอย่างมันก็โล่งน่ะสิ แต่ดูเหมือนทุกคนไม่ดีใจกับผมเลยอ่ะยิ่งไอ้เด็กบ้ายิ่งเงียบไปกันใหญ่อีก อะไรกันล่ะ อะไรกันนนน ผมแค่อยากเป็นหมอสัตว์นะ ทำไมอ่า =_=’

           “ไอ้ห่า … เออ ๆ จะทำอะไรก็ทำ ตั้งใจแล้วกัน” ผมทำอะไรตั้งใจอยู่แล้วนะไม่ต้องบอกก็รู้น๊า ชิ ทำเป็นเข้มกันอยู่ได้ ไม่เห็นต้องกลุ้มใจขนาดนั้นเลยนี้หน่า

           “ไม่รู้สัตว์อีกกี่ตัวต้องตายเพราะไอ้เด็กนี้เนอะ”

           “ลุงจันทร์!!!!!” ผมแว๊ดใส่ลุงจันทร์ ทำไมต้องหัวเราะกันด้วยอะ ไม่เข้าใจเลย ผมหันไปหาเจ้าไม้ที่ทำหน้านิ่งอยู่ อีกแล้วทำหน้าแบบนี้อีกแล้วอะ ไม่รู้ไม่สนแล้วอยากจะทำอะไรกันก็ทำไปเหอะ

           ผมก้มหน้ากินข้าวจนหมดด้วยความรวดเร็วก่อนจะเดินเอาจานตัวเองไปเก็บไม่สนใจใครอีกเดินไปแคร่หน้าบ้านจัดการเหลาไม้ไผ่ทำว่าวต่อไป ฮึ นิสัยไม่ดีกันทั้งนั้น ผมแค่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรในอนาคตแค่นั้นเองแต่พอผมแน่ใจแล้ว ทำไมไม่ให้กำลังใจกันบ้าง น้อยใจนะ



หงิงงงงง หงิงงงง



           ผมก้มไปมองมีมี่ที่เอาคางวางบนเท้าผมก่อนจะอุ้มมันมานอนบนตักลูบหัวลูบพุงไม่เล่น หึ คงมีแต่มีมี่ที่เข้าใจผมแหละนะ ผมน่ะนะ แค่อยากให้ใครต่อใครเข้าใจผม … ผมก็ไม่มีใครเข้าใจเลย แม้แต่เจ้าไม้เองด้วย ผมน่ะนะ …

           “พ่อไม้ยุงเยอะนะครับ”

           “ไม่รู้อ่ะ ไม่สน ไม่ต้องมาสนใจ” ผมหันหน้าไปอีกทาง มีมี่ตกใจกระโดดลงไปนั่งมองอยู่ด้านล่าง ไอ้ลูกบ้านิสัยไม่ดี

           “งอนผมหรอครับ … พ่อโทนเลือกแบบนี้ไม่ดีหรอกนะครับ ผมว่าเอาที่พ่อโทนชอบดีกว่าไหม”

           “ก็ชอบหมาชอบควายอะ!!!!” ผมหันไปตวาดแววตาร้อนผาวเพราะผมเกลียดคนไม่เข้าใจผมที่สุด ผมน่ะนะชอบมีมี่กับไอ้แดงที่ตายไปที่สุด ไอ้เด็กบ้าหน้าเอ๋อไปสักพัก ก่อนจะยอมยิ้มให้ผมและรวบมือสองข้างไปกุมไว้ ชิ จะอ้อนเอาอะไรอีกล่ะ!

           “หึหึ เข้าใจแล้ว … งั้นมาพยายามให้เต็มที่นะครับ”

           “เข้าใจแล้วหรอ”

           “ครับ ปู่กับทุกคนก็เข้าใจ แต่บางทีพวกเขาก็แค่เป็นห่วง”

           “จริง ๆ นะ”

           “ครับผม”

           “งั้นเวลาอีก 2 เดือนข้าจะอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลังเลย!!!!!” ผมตะโกนลั่นบ้าน จนพ่อผมต้องตะโกนด่าออกมา ชิชะ ผมน่ะนะ จะเป็นสัตวแพทย์ล่ะ อิอิ หมาของคุณจะไม่ป่วยอีกต่อไป ควายของคุณจะเขางามสุด ๆ เลยนะจะบอกให้ !!!

.

.

.



           วันเวลาผ่านไป 3 เดือนไวเหมือนโกหก ผมสอบเสร็จเรียบร้อยวันนี้เป็นวันประกาศผมแอดมิชชั่น โหยกว่าจะถึงวันนี้ผมต้องอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลังเลยไหนจะสอบแอดมิชชั่นไหนจะสอบปลายภาคอีก สมองแยกส่วนไม่ออกเลยทีเดียวพรุ่งนี้ผมต้องไปงานอำลา ม. 6 แล้วนะ ไวเหมือนกันเนอะดูเหมือนเพิ่งผ่านมาไม่นานเอง … พรุ่งนี้คงจะเศร้าน่าดู …แต่วันนี้ถ้าผมไม่ติด คงเศร้าหนักแน่ ๆ ฮืออออออออออ

           “พ่อโทนมือเย็นเฉียบเลยตื่นเต้นหรอครับ” ผมหันไปหาไอ้เด็กไม้ที่นั่งจับมือผมอยู่ตาผมก็คอยจ้องเวลา 16 นาฬิกาที่ระบบจะให้ตรวจเช็คได้ … หือออออออออ เร็ว ๆ เถอะก่อนที่ค่าร้านเนตจะแพงไปมากกว่าเน้!!!! และไอ้เด็กเกรียนที่เล่นเกมไปด้วยโวยวายไปด้วยก็เบาเสียงหน่อยโว้ย!!!!!!!

           “ใจเย็น ๆ ครับพ่อโทนต้องติดแน่ ๆ เชื่อไม้สิ”

           “ฮือออ ตื่นเต้นอ่ะ … อ่ะ ไอ้ป๊อกโทรมาอ่า !!!” ผมล่นลานกับโทรศัพท์ก่อนจะกดรับทันที

           “ว่าไงมึงติดปะ”

           “ติดห่าอะไร … ยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย”

           “อะไรของมึงนี้มัน 16.20 แล้ว ไอ้ห่านาฬิกามึงตายแล้ว!!!!!!” ผมก้มมองดูนาฬิกาปรากฏว่ามันไม่เดิน …เอิ่บ มันหยุดเดินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ … และทำไมกูไม่ดูในคอม ในโทรศัพท์กูก็มีนาฬิกานี้หว่า … เงอะงะเป็นบ้า!!!!!

           “ละ ละ แล้วมึงติดนิเทศที่มึงอยากเรียนไหม”

           “ติด … แต่กูติดที่กรุงเทพ ไอ้ทิวติดศิลป์กรรมที่เชียงใหม่ ส่วนไอ้เบสติดที่เดียวกับไอ้ทิว”

           “จริงดิ … ดีใจชะมัด ฮึก … กูต้องจากมึงกันแล้ว ตะ แต่ กูก็ดีใจที่พวกมึงติดนะ ดีใจด้วย ฮึก ดีใจด้วย”

           “นี้มึงดีใจแล้วหรอวะ รีบเช็กของตัวเองเหอะ เดี๋ยวเย็นนี้จัดฉลองชุดใหญ่!!!”

           “อะ โอเค” ผมพูดยังไม่ทันจบไอ้บ้าป๊อกก็วางสายไป กะ กูต้องคิดถึงพวกมันมากแน่ๆ ฮึก ต้องคิดถึงมากแน่ ๆ ผมมือเล็กของเจ้าไม้ปัดน้ำตาเม็ดโป้งออกจากขอบตาผม ก่อนยิ้มให้มันก่อนจะเอาหน้าเช็ดกับคอเสื้อและกรอกรหัสตัวเองเข้าสู่ระบบ          …

.

.

.



           ให้ตายสิ ติดเฉยยยยยยยยยยยย



   พอผมดีใจเสร็จ … ในระหว่างทางที่ผมเดินกลับมาบ้านโดยมีไอ้เด็กไม้เดินตาม ผมก็คิดมาตลอดพอมาถึงบ้านผมก็นั่งเท้าคางคิดไม่ตก ทำกับข้าวก็คิด แถมตอนดูการ์ตูนก็คิดอยู่ตลอดเลยละ

   คะ คือว่านะ … คิดไปคิดมาผมเริ่มไม่อยากไปเรียนแล้วอ่ะ =_=’ ผมเอ็นติดมหาลัยในขอนแก่น …ห่างจากบ้านผมเยอะเลย…ตอนแรกไม่ทันคิดเพราะมัวแต่ตื่นเต้นดีใจที่มหาลัยดังกล่าเป็นแนวหน้าของประเทศอีกเลยคึกลงไป ยื่นคะแนนไป แต่ตอนนี้พอมาคิดว่าต้องไปเรียนแล้ว ผมก็ใจหายแวบเลย ฮืออออออออออ ผมเอาลูกใส่กระเป๋าไปได้ไหมอ่ารับรองลูกผมไม่ส่งเสียงดังรบกวนใครหรอก นะๆๆๆ อ้อนๆ อ้อนแล้วนะ อ้อนแล้ว พรีทททททททททททททท!!!

           “ไอ้โทน มึงไปรายงานตัววันไหน”

           “ฮือออออออออออออ ไม่อยากไปแล้วอะ พ่อทายหนูอยากเข้าแถวบ้าน”

   ผมเข้าไปเกาะเอวพ่อและถู ๆ หน้าอย่างออดอ้อน แงงงง อ้อนแล้วนะ นะนะนะนะ ไม่อยากไปอ่า แค่คิดว่าต้องไปแล้วเหงา ต้องอยู่คนเดียว ต้องทำอะไรคนเดียว ต้องนอนในห้องเล็กๆ ฮืออออออออออออ ไม่มีไอ้ไม้ไม่มีใคร ผมต้องอกแตกตายแน่ๆ ฮืออออออออออ

           “เอ๊า ไอ้นี้ … ไอ้ไม้ไปคุยกับพ่อมึงโน้นไม่ต้องซ้อมแล้ว!!!”พ่อดันหัวผมออก แงงงงงงงงง ไม่อยากไปอ่ะ โอ๋ผมหน่อยสิโอ๋ผมหน่อยยยยยยยย ฮือออออออ ออออออ ผมหันไปมองไอ้ลูกบ้าที่มายืนมองผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แค่มองหน้าก็น้ำตาจะไหลแล้วอะ ผมต้องจากไปจริง ๆ หรอ ไม่อยากไป กว่าจะได้กลับแต่ล่ะทีก็ไม่รู้นานแค่ไหน ฮึก ไม่อยากไป!!!! ผมวิ่งเข้าไปกอดไอ้เจ้าไม้เอาไว้หัวมันเหม็นกลิ่นเหงื่อแต่ผมไม่สนอ่ะ ไม่เอาอ่า เอาใส่กระเป๋าไปได้ไหม ฮือออออออ จะเลี้ยงอย่างดีเลยนะ จริงๆนะ

           “ไปด้วยกันเหอะนะ ไปด้วยกันเหอะ”ผมเกลี้ยกล่อมลูกผม แต่ไอ้เด็กคนนี้ไม่หือไม่อือเลย … ฮึก จะทิ้งพ่อมึงจริง ๆ ใช่ไหม ฮืออออออ ใช่สิมีคนอยู่ด้วยนี้ผมต้องไปเผชิญชะตากรรมคนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบ ผมจะอยู่ยังไงอ่ะเพื่อนผมก็ไม่มีไปคนเดียวเลยนะ คนเดียวเอง ฮึก คนเดียวเลยนะ

           ผมร้องไห้นั่งลงกับพื้นแต่มือก็ยังกอดไอ้เด็กบ้านี้ไว้ พ่อก็ไม่สนใจ ลูกก็ไม่สนใจ ฮึก ไม่มีใครสนใจเลย ฮึก

           “พ่อโทน …”

           “ไม่ต้องมาพูดเลย เอ็งไม่รักข้าเลย ไม่มีใครรักข้าเลย” ผมกอดมันไปร้องไห้ไป ไม่มีใครรักผมเลย ผมจะไปก็ไม่มีใครห้ามผมไม่มีคนโอ๋ผมเลย ฮึก ใจร้ายกันมากๆเลย ผมเกลียดที่สุดเลย ฮืออออออออ ไม่รักผมกันเลย

           “ไอ้โทน ไอ้เด็กขี้แย” ผมตะเบ็งเสียงร้องไห้ขึ้นอีกเมื่อได้ยินเสียงพ่อพูดจากด้านหลัง ฮือออออ ใช่สิ ฮึก ผมมันขี้แย ก็ผมไม่มีคนรักนี้

           “แต่นี้ คือสิ่งที่พ่อโทนเลือกไม่ใช่หรอครับ พ่อโทนเลือกเอง มันต้องดีสิครับ”

           “ตะ แต่ไม่อยากไปแล้ว ต้องห่างกันมากๆเลยนะ”

           “ผมจะโทรหาทุกวัน”

           “ไม่เอาไม่อยากได้ยินเสียง”

           “ผมจะไปหาทุกสัปดาห์”

           “ฮึก ไม่เอาไม่อยากเจอ”

           “ผมจะคิดถึงทุกวัน”

           “ฮึก ไม่ต้องคิดถึงเลย” ผมหอมแก้มมันไปหนึ่งที ฮึก ไม่รักจริง ๆ นะ ผมไม่รักเจ้านี้จริง ๆ อ่ะ ไม่อยากเจอด้วย ไม่อยากได้ยินเสียงด้วย ไม่เอาอ่ะ ไม่อยากไป …

           “คิดถึงกัน ก็มาหากันบ่อย ๆ นะครับพ่อโทน”

           “มันเหงานี้ ต้องไปอยู่คนเดียว”

           “เอ็งก็หารูมเมทสิไอ้ห่า ร้องอยู่ได้”

           “ไปเจ้าไม้เก็บของ” ผมลุกขึ้นจูงมือเข้าไม้จะเดินขึ้นห้องไปเก็บของใส่กระเป๋า ถ้าพ่อทายบอกอย่างงั้นไอ้แมวนี้แหละก็รูมเมทผม อิอิ เสร็จโจรรรรร

           “เดี๋ยววววววววววววววว ! ตลกแดกไอ้ห่า สรุปมึงเลิกงอแงได้แล้วนะ วันหยุดค่อยกลับเดี๋ยวกูไปรับเอง ไอ้ห่าร้องเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ลูกมึงต้องมานั่งโอ๋มึงไม่อายมันมั่งหรือไง”พ่อสวดผมเป็นชุดแถมยังเขกหัวผมดังโป๊กอีกต่างหาก ผมหน้าง๊าว ทำไมล่ะ นี้ลูกผมนะ อีกอย่างผมจะงอแงยังไงก็เรื่องของผมอายุ 50 ผมก็ยังจะงอแง มีอะไรไหมมันเป็นสไตล์ อีกอย่างนึงคนอย่างพ่อไม่เข้าใจวัยรุ่นหรอก เช้ออออออออ

           “ไปเรียนที่ขอนแก่นไม่ได้หรอ นะๆ”

           “ไม่ไป อย่ามาเห็นแก่ตัวไอ้โทน ลูกมึงเพิ่งจะปรับตัวกับโรงเรียนใหม่ได้ และตอนนี้มันกำลังฝึกมวยกำลังจะเข้าที่เข้าทาง มึงจะให้มันเริ่มใหม่ได้ยังไง เรื่องอื่นกูตามใจมึงหมด แต่เรื่องไอ้ไม้นี้กูไม่ตามใจ อีกอย่างมึงก็โตแล้วไปเผชิญโลกภายนอกซะบ้าง”

           “… ถ้าพูดถึงขนาดนั้น ก็ได้ … อยากให้ไปนักก็จะไป”

   ผมว่าหน้างอเดินขึ้นห้องไปแง๊ สิ ใครจะไปอยู่ก็ไม่รู้จะเถียงอะไรนี้ เฮ้อ … นึกสภาพตัวเองไปอยู่หอคนเดียวไม่ออกเลยบางทีเนอะถ้า ผมเป็นลูกสาวของพ่ออาจจะห่วงผมมากกว่านี้ก็ได้เนอะ … ผมไม่ได้บอกว่าอยากเป็นผู้หญิงนะแค่สมมุติ ผมอยากมีเมีย อิอิ

           ไม่คิดแล้ว ปวดตาชะมัด ร้องไห้ไปตั้งเยอะผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม … ช่างเถอะ ข้างหน้าจะเป็นยังไงก็ช่างมัน … ผมไม่สนแล้ว แค่รู้ไว้ว่าผมจะทำให้ดีที่สุด แค่ 6 ปีเอง แค่ 6 ปีที่ผมต้องไกลบ้าน … แค่ 6 ปีที่ผมต้องยิ้มหัวเราะกับเพื่อนใหม่ แค่ 6 ปีที่ผมไม่ได้เจอหน้าคนที่บ้านบ่อยๆ ไม่ได้ตื่นมาทำกับข้าวตอนเช้า ไม่ได้ไปโรงเรียนพร้อมเด็ก ป.2 ไม่ได้ไปกินข้าวที่คันนากับลุง ๆ ป้า ๆ เหมือนตอนนี้ ไม่ได้เจอมีมี่ … ชีวิตผมต้องเปลี่ยนไปมากมาย … และคนเดียว



           ผมไม่อยากคิดนะ แต่น้ำตามันก็ไหล อยู่ดี …

.

.

.



           “เอ๊าชนนนนนนนนนน นนนน นนนนนนน!!!!!” ซดน้ำตาอยู่ดี ๆ วันต่อมาผมก็ถูกลากมาซดเหล้าคราวนี้ไม่ใช่กลางทุ่งนาเหมือนยังเคยแต่เป็นร้านลาบในตัวเมือง ที่วันนี้มีแสดงดนตรีสดวงที่ผมชอบพอดี แหมนะ เมื่อตอนเช้าก็ไปที่โรงเรียนไปเขียนเฟรนชิบไปเขียนเสื้อจนลายพร้อยทั้งตัว ไปกอดคอร้องไห้ก็หน้าเสาธงแบบแบ๊วๆมาแล้วตกดึกก็รวมตัวกันอีก

           .”ไอ้โทนมึงแน่ใจหรอว่าจะไปรักษาสัตว์ได้” ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่ไอ้ทิว

           “แน่นอนสิวะ คะแนนแอดกูสูงขนาดนั้นกูเรียนได้สบาย”

           “ได้ข่าวว่าเฉียดฉิวเลยไม่ใช่เหรอวะฮ่าๆๆๆๆ” ผมหันไปถุยน้ำแข็งใส่ไอ้บ้าป๊อกอีกตัว นิสัยแม่งไม่น่าคบกันเลย แต่ก็ช่างเหอะไม่นานมันก็ไม่ได้มากวนตีนผมแล้ว และไม่รู้อีกกี่ปีถึงจะกลับมาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีก พอไปเรียนทุกคนมันก็มีงานมีการทำกันหมด … คงยากที่จะเจอกันแบบนี้อีกอะ …

           “อ้าวไอ้ห่า ร้องเลย” ไอ้ป๊อกพูดเสียงเบาอย่างเซ็งๆและถุยน้ำแข็งใส่หัวผมที่กำลังเช็ดน้ำตาหัวคอเสื้ออย่างไว ใครร้องวะ ไม่มีอะ อิอิ มโนสัดอ่ะ !!!

           “ไม่ร้องดิ เดี๋ยวก็เจอกันอีก แค่เชียงใหม่ทิมมี่ลงมาได้” ไอ้ฝรั่งลาวพูดกับผมและเอาแขนมาเกาะไหล่ผมโยกไปมา อะไรใครร้องไม่ร้องสักหน่อยยยยยยยยยยยยย!!!

           “ไอ้ห่า เช็ดน้ำมูกมึงด้วยนี้จะลงกับแกล้มแล้วไอ้โทน!!!!”

           “บ้านมึงเด้!!! ฮึก ไม่มีสักหน่อย!!!!” ว่าแล้วผมก็เอาขี้มูกป้ายไปที่หน้าไอ้ป๊อก นี้แหนะกวนตีนดีนัก!!! ไอ้ป๊อกโวยวายใหญ่ แต่ผมหนีมานั่งแทรกอยู่ข้างๆทิมมี่ดีกว่าไม่อยากไปเสี่ยงตีนไอ้หมาบ้า ชิชะ หล่อน้อยกว่าและยังซ่า

           “พวกมึงน่าอิจฉา จบก่อนกูตั้ง 4 ปี กูเรียน 6 ปีแหนะ”

           “ก็เรียนหมอนี้หว่า ฮ่าๆๆๆ หมอหมาซะ ดีแล้วมึงจะได้ไปงานรับปริญญาพวกกู และกูก็จะได้ไปงานมึงพร้อม ๆ กันไง ไม่ดีหรือไงวะ” ไอ้ทิวพูดพร้อมกับโยนถั่วเข้าฝาก โยกย้ายตามเพลงอีสานที่กำลังร้องอยู่บนเวที

           “นี้มึง 6 เดือนเรามารวมตัวกันหนึ่งครั้งได้ปะวะ” ผมถามพลางกระดกเหล้าผสมเปปซี่ไปอึกใคร พวกมันหันมามองผมและพยักหน้าอย่างไม่แยแส มีทิมมี่คนเดียวที่ยิ้มและพยักหน้าให้ผม เพื่อนรักผมมีคนเดียวเท่านั้นแหละคนอื่นเพื่อนเหี้ยไม่น่ารักเลย

           คืนนั้นแก๊ง4 หน่อห่อกระทงกินเหล้ากันเกือบร้านปิด ผมไม่เมาสักแอะเพราะไม่อยากกินแต่น้ำอัดลมกับกับแกลมซะท้องอืดแทบตาย กลับมาถึงบ้านเกือบตี 3 ล้างหน้าล้างตาจากห้องน้ำข้างล่างเสร็จก็เดินขึ้นห้องไปเพราะความเหน็บเหนื่อย …แค่เท่านี้ผมยังเหนื่อยเลยและในวันข้างหน้าที่ผมไม่มีใครละ ผมจะเป็นยังไง … น้ำตายังไม่ทันไหลผมก็เปิดประตูเข้าห้องไปเห็นเจ้าไม้นอนอยู่ข้างเตียงผมเหมือนเดิม ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ทำให้ผมนึกหมั่นเขี้ยวผมเลยเดินเข้าไปทิ้งตัวนอนเบียดบนฟูกเล็ก ๆ ก่อนจะกอดไอ้เด็กบ้านั้นเป็นหมอข้างและหลับไปในที่สุด…ผมไม่ได้รักไอ้เด็กบ้านี้เลยนะ … เปล่าเลย





           “พ่อโทน ขึ้นรถได้แล้วครับ เดี๋ยวไม่ทันรถทัวร์นะ”

           “แปปนึงขอบอกลามีมี่มากกว่านี้อีกหน่อย”

   ผมตะโกนออกไปหน้าบ้านที่เจ้าไม้ยืนอยู่ข้างรถปิกอัพโดยมีพ่อทายนั่งเคาะพวกมาลัยรอจ้องมาที่ผมอย่างโหด ๆ อะไรเล่า! ก็อยากลาน้องสาวผมก่อนนี้หน่า … ผมต้องไปรายงานตัวที่มหาลัยพรุ่งนี้แล้วครับ จากนั้นอีก 2 วันผม ก็เปิดเทอมเลย ผมเลยต้องไปอยู่หอตั้งแต่วันนี้

   พ่อเองก็ให้คนที่รู้จักเช่าหอพักใกล้ ๆ มหาลัยไว้ให้แล้วและขนของไปไว้บ้างบางส่วนเหลือแต่เสื้อผ้าของผมที่ต้องแบกไปเอง เฮ้อ … นี้ผมต้องนั่งรถทัวร์คนเดียวเหรอเนี้ย แค่คิดก็ไม่อยากแล้ว บอกพ่อให้ไปส่งก็ไม่ได้เพราะวันนี้พ่อมีประชุมค่ายมวยระดับประเทศ อีกอย่างอยากจะฝึกผมด้วย … และถ้าผมนั่งเลยป้ายละ … แต่คงไม่เลยหรอก ผมน่ะนะลงป้ายสุดท้ายเลย ผมใช้เวลาเดินทางจากนี้ก็ประมาณ 5 ชั่วโมงได้แหละมั้ง

           “ไอ้โทน!!!! ถ้ามึงยังไม่วางไอ้มีมี่ลงนะกูไปกระทืบมึงเดี๋ยวนี้แหละ!!! ทำไมมึงดื้อจังวะ!!!!”

           “คร้าบบบบบบบบบ ไปนะมีมี่ และจะโทรมาคุยด้วยนะ”

   ผมว่าและหอมหัวเหม่ง ๆ ของมีมี่ไปหนึ่งทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบ้านตัวเองที่มีชาวค่ายทุกคนกำลังยิ้มมาทางผม เมื่อคืนเรากินหมูกระทะกันที่บ้านหลังนี้แหละ พวกเขาอวยพรให้ผมเรียนจบตามเกณฑ์ให้ได้ เพราะผมหัวทึบกลัวไม่จบ เชอะ !!! ผมเหยียดยิ้มกว้างก่อนจะโบกมือบ๊ายบายและวิ่งขึ้นรถมาทันที ยังไงผมก็ตั้งใจแล้วว่าจะกลับบ้านเดือนละครั้ง อิอิ แค่ 29 วันที่ผมต้องโดดเดียว แค่นั้นเอง

.

.

.

           “พ่อโทนครับหัวผมหอมนะ หอมหัวผมหน่อย” ผมหันไปกัดปาดกลั้นยิ้มเมื่อไอ้ลูกชายผมมันพูดขึ้นก่อนที่ผมจะขึ้นรถทัวร์ไป หึหึ ดูดิไม่น่ารักเลยเนอะลูกผมเนี้ย ผมตั้งใจละ ในระหว่างที่ผมเรียนผมจะหาแม่ให้ลูกไปด้วย ฮ่าๆๆๆ สาวมหาลัยคงแจ๋มแจ๋วกันน่าดู แค่คิดก็หมั่นเขี้ยวแล้ว

           “ไหน ๆ แหวะหัวเหม็น” ผมหอมหัวไปหนึ่งที ก่อนจะหอมแก้มไปอีกหนึ่งทีดูดิขนาดโดนด่ายังยิ้มแป้นเลย ผมจะไม่ร้องไห้ ผมกำลังสะกดจิตตัวเองอยู่ …

           “อ่ะ ไอ้โทน จดหมายข้า เอ็งลงจะรถทัวร์แล้วจะมีคนมารับเอ็งชื่อลุงแห้ว”

           “ผมเรียกเขาสมหวังได้ไหม แห้วมันดูการเรียนในวันข้างหน้าของผมมันจะแห้วซะหมดอ่ะพ่อ”

           “ส้นตีน!”

           “จ้า ๆ แห้วก็ได้” ผมว่าทำไมต้องดุกันด้วยแต่ยังไม่ทันจะได้ทำหน้างอผมก็ถูกดึงเข้าไปกอดลูบหัวและก็หอมแก้ม ทุกอย่างมันไวมากโดยทีพอรู้ตัวอีกทีคนทำก็เดินเก๊กหันหลังไปซะแล้ว แหมมมมมมม! ทำเป็นอายพ่อใครน๊า อิอิ ว่าแต่พ่อไม่ได้หอมแก้มผมมานานแค่ไหนนะ … อบอุ่นชะมัด

           “ใกล้เวลารถออกแล้วครับพ่อ … ถ้าหลงทางโทรมาหาปู่ทายนะครับผมจะเก็บเงินซื้อมือถือเป็นของตัวเองให้ไวที่สุด จะได้เอามาคุยกับพ่อโทน ”

           “ดีมาก อย่าดื้ออย่าซนนะ และข้าจะกลับมาตอนสิ้นเดือน ดูแลตัวเองด้วยนะ” ผมว่าและวางมือลงบนหัวเจ้าไม้ลูบไปมาก่อนจะตัดใจเดินหันหลังออกมา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเสียงของเจ้าไม้พูดขึ้นพอที่ผมจะได้ยินมันชัดเจน

           “ไม้รักพ่อโทนนะครับ … ไม้รักพ่อโทนที่สุด” … ตะ แต่ … ฮึก ผมไม่รักไอ้เด็กบ้านี้สักนิด ฮึก ไม่สักนิดเลย!

           ผมเม้มปากพยายามกลั้นน้ำตาที่หล่นแหมะลงมา ก่อนจะวิ่งขึ้นรถทัวร์มาให้ไวที่สุด … พอหาที่นั่งได้ก็ปิดม่านเอาผ้าห่มมาคลุมตัวร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่คนเดียวบนที่นั่งรถทัวร์ในโป่งผ้าห่ม … ไม่อยากเห็นหน้าไอ้เด็กนั้นอีก … ผมกลัว ผมกลัวว่าผมจะทิ้งทุกอย่าง ไม่ชอบเลยกับการจากลา ผมไม่ชอบเลยจริงๆ …





////////



ไม่ร้องสิ <3
หัวข้อ: Re: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ ​​(ตอนที่ 5 เปลี่ยนแปลง)
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 11-04-2020 20:40:34
เย้ๆๆ  ดีใจที่กลับมานะ ติดตามต่อแน่นอน น่าเอ็นดูพ่อโทนจริงๆ
หัวข้อ: Re: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ ​​(ตอนที่ 6 5 ปีผ่านไปหัวใจคิดถึง)
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 12-04-2020 19:05:08


พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 6 5 ปีผ่านไปหัวใจคิดถึง



- 5 ปี ต่อมา-



   2 วันมาแล้ว ที่พ่อโทนสัญญาว่าจะกลับมา แต่ผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา โทรไปก็ปิดเครื่อง ผมนั่งมองโทรศัพท์ขาวดำเครื่องล่ะไม่กี่ร้อยบาทที่ผมเก็บเงินจากค่าขนมที่ปู่ทายให้เพื่อเอามาโทรหาพ่อโทนโดยเฉพาะ ความจริงในช่วงปีสองปีแรกที่พ่อโทนไปเรียนก็กลับบ้านสม่ำเสมอ ทุกเทศกาลและวันหยุด รวมถึงงานวันเกิดเขาและของผมด้วย แต่ในช่วงหลังปีหลัง ๆ พ่อโทนเริ่มบอกว่ามีงานเยอะ ปิดเทอมไม่ได้กลับบ้านโทรคุยกับผมสัปดาห์ล่ะไม่กี่ครั้ง ครั้งล่ะไม่กี่นาที และมันเป็นแบบนั้นมาตลอด ผมเองหลายครั้งที่อดใจไม่ไหว กระโดดขึ้นรถทัวร์ไปหาเขาบ้างในบางครั้ง ทำเอาเขาหากันให้วุ่น กลับมาผมโดนปู่ลงโทษไปหลายวัน ช่วง 5 ปีกว่า ที่ผ่านมา มันเหมือนบทบดสอบทั้งจิตใจและร่างกาย ณ.ตอนนี้ผมอายุ 18 ปีแล้ว เป็นพี่ ม.5 เรื่องการเรียนก็ไม่ทำให้ที่บ้านผิดหวังเอาเกรด 4 มาอวดได้ทุกวิชา ส่วนเรื่องชกมวย ก็ไปได้ด้วยดี ถึงจะมีขึ้นชกบ้างแต่ไม่ใช่เวทีใหญ่นัก พอให้หายเหงาได้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามบริบท มีเพียงใจผมที่เคว้งคว้าง อยากที่จะเจอ อยากที่จะกอดให้สมใจ และข่าวดีครับ …ล่าสุดพ่อโทนบอกจะกลับมาอยู่บ้าน และอีก 4 เดือนถึงจะไปรับปริญญาที่มหาลัยพ่อโทนจบก่อนกำหนดเพราะความตั้งใจและความเก่งของตัวเอง ผมรู้ว่าการเรียนอยู่มันไม่ง่าย เขาต้องพยายามผมเข้าใจและผมเองก็… คิดถึง รอคอย … อยากจะเห็นรอยยิ้มนั้น ได้ยินเสียงมันไม่เท่าเห็นหน้ากัน …

   “พี่ไม้จ๊ะ น้องมู่ลี่ทำกับข้าวมาฝาก” มู่ลี่เด็กข้างบ้านที่เพิ่งย้ายมาเธอกว่าผมปีเดียวและน่ารำคาญ เธอมักจะมาที่บ้านผมเสมอและจะทำตัวเป็นพ่อโทนดูแลอาหารการกินทุกคนในค่าย …ถึงแม้เธอจะทำตัวเป็นพ่อโทนแต่ไม่ใช่พ่อโทนของผม …

   “พี่ไม้คะ”

   “หยุดพูดสักที” ผมหันไปพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย … ผมหงุดหงิด ใช่! ผมไม่ต้องการเธอ คนเดียวที่ผมอยากเจอคือเขา

   “พะ พี่ไม้” ผมเดินออกมาจากตรงนั้น คิดถึง … อยากได้ยินเสียง …อยากเจอ

.

.

.



ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก!!!

           “เฮ้ย ไอ้ไม้กระสอบทรายจะขาดแล้วไม้ห่า นี้มึงอายุ 18 จริงปะวะ”

   พี่แสงกระโดดขึ้นมาบนเวทีร้องห้ามเด็กชายไม้ที่อารมณ์กรุ่น ๆ มาหลายวันแล้ว โดยมีปู่ทายยืนกอดอกมองอยู่ด้านล่างช่วงเวลา ที่ผ่านมาแสงเองก็มีพัฒนาการทางด้านร่างกายแบบก้าวกระโดดเช่นกัน จากที่เป็นนักเลงขี้ก้างตอนนี้กลับมากล้ามเนื้อขึ้นมา แถมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมายังขึ้นชกชนะเป็นครั้งแรกอีกด้วยถึงจะชนะด้วยสภาพที่ยับเยินแต่ก็เป็นชนะน๊อคในยกสุดท้าย จากแสงที่ว่าร่างกายเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดแล้วแต่กับไม้เด็กชายอายุ 18 ปี กับร่างกายสูงใหญ่มากกว่าเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ใบหน้าเริ่มหล่อเข้มมากกว่าเดิม ผิวที่ออกแทนน้ำตาลเนียนสวยอย่างนักกีฬากับก้ามเนื้อที่เริ่มก่อตัวขึ้นใต้ร่มผ้าอีกไม่นานคงเห็นได้อย่างชัดเจน

           ไม้แสร้งยิ้มให้เพียงมุมปากก่อนจะเดินลงจากเวทีมาถอดเชือกที่รัดอยู่ที่ฝ่ามือของตัวเองออกอย่างหงุดหงิดใจ ใจของเค้าไม่สงบเอาเสียเลย พักนี้เด็กน้อยกลายเป็นคนโมโหง่ายและมักจะพกโทรศัพท์ติดตัวอยู่ตลอดเวลาเฝ้ามองมันจนคนข้าง ๆ พลอยหดหู่ใจไปด้วย

           “ไอ้ไม้ เสาร์นี้เอ็งขึ้นชกนะ” ปู่ทายเดินมาหาไม้ที่นั่งมองโทรศัพท์อยู่โต๊ะข้าง ๆ เวทีโดยมีมู่ลี่ยืนแอบมองอยู่ด้วยความหลงใหล

           “ครับ” ไม้ตอบอย่าไม่แยแส ไม่ว่าใครไม้จะไม่แพ้ ให้พ่อโทนกับปู่ทายผิดหวังอยู่แล้ว

           “เออและนี้เอ็งไปส่งของให้ข้าหน่อยสิวะ นี้ที่อยู่และนี้ก็ของ”

   ของในห่อผ้ากับกระดาษที่เขียนที่อยู่ถูกวางไว้ตรงหน้า เจ้าตัวหยิบเศษกระดาษนั้นขึ้นมามองก่อนจะลอบถอนหายใจ เขาไม่แม้แต่จะอยากออกไปเจอใครข้างนอก อยากจะรอพ่อโทนอยู่ที่นี้กลัวว่าถ้าพ่อโทนกลับมา … จะไม่เจอเป็นคนแรก แต่ในเมื่อปู่ทายสั่งก็ต้องไป

.

.

.



           ไม้ขับจักยานออกมาจากบ้านในบ่ายแก่ ๆ ของวัน ผ่านทุ่งนากว้างใหญ่เงียบสงบตามคันนามาไม่กี่กิโลก็เข้าสู่เขตตัวเมืองมีตลาดสดขายในตลอดทั้งวัน และมีห้างเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลมากนักตามความเจริญที่ต่างจังหวัดพึงจะมี เขาขับจักยานไปจนสุดถนนที่ตั้งของตลาดเป็นร้านเปิดใหม่ พอถึงก็หยุดมองขึ้นไปบนตึกคูหาไม้สามชั้นที่ด้านหน้าเหมือนร้านเปิดใหม่ทั่วไปที่ยังไม่ได้จัดของเข้าที่เข้าทางประตูก็เปิดออกอ้าซ่าไม่กลัวขโมย ไม้ยังดูไม่ออกว่าร้านนี้จะทำเป็นร้านอะไร แต่คงเป็นคนที่ปู่ทายรู้จักถึงให้เอาของด้านในห่อผ้ามาส่ง เขาจัดการลงจากรถจักรยานคู่กายและเดินเข้าไปในคูหาเปิดใหม่นั้นแต่ยังไม่ทันที่จะเข้าไปเสียงโครมครามจากด้านในก็ดังขึ้น

           “อย่าทำมันหล่นนะ แพงนะโทน”

           “เออน่ะ ไว้ใจป๋า สิอีหนู”

   เสียงนั้นไม้จำได้ดี … ถึงแม้ยังไม่เห็นหน้าก็จำได้ … เสียงขอพ่อโทน แต่อีกคนไม้ไม่ได้สนใจไม่ทันจะได้ตัดสินใจอะไรเจ้าตัวก็วิ่งเข้าไปในร้านไม่คิดชีวิต ภาพที่เห็นคือผู้ชายตัวเล็กสองคนกำลังวุ่นวายกับการปัดกวาดเช็ดถู โดยไม่ทันสังเกตเห็นเขาหนึ่งในนั้นคือคนที่ไม้อยากเจอมากที่สุด … ทำไมถึงมาอยู่นี้ได้ ทำไมถึงไม่กลับบ้าน คำถามมากมายถูกทดแทนด้วยการที่เค้าวิ่งเข้าไปสวมกอดพ่อโทนจากด้านหลัง …. คิดถึง คิดถึงจริง ๆ



-โทน-

           ผมตกใจขวดยาแทบจะหล่นลงพื้นอีกรอบเมื่ออยู่มีแขนใครก็ไม่รู้มารัดผมจากด้านหลัง ผีหรอ ! แต่อาแป๊ะเจ้าของตึกก็บอกนี้ว่าที่นี้ไม่มีคนตาย ผมกลับมาได้สัปดาห์นึงแล้วครับพ่อทายรู้ดีเพราะเป็นคนไปรับผมมาจากท่ารถ ผมอาศัยอยู่ตึกแถวนี้เพื่อที่จะทำการเปิดร้านที่ตัวเองใฝ่ฝันมาตลอดก่อนที่จะกลับไปเซอร์ไพร์ทลูกของผม ที่พ่อทายบอกงอแงตลอด ผมเรียนหนักเพื่อให้กลับมาที่นี้โดยถาวร ผมไม่ได้กลับมาคนเดียวนะมีไอ้เกื้อกลับมาด้วยเพื่อนที่คนละขั้วกับไอ้ป๊อก ไอ้เบสและก็ไอ้ทิวเลยล่ะ เพราะไอ้เกื้อมันเป็นลูกคุณหนูชีวิตนี้ไม่เคยพูดคำหยาบและอ้อนคุณหญิงแม่มันตั้งนานกว่าจะได้มาร่วมหุ้นทำร้านกับผม จะว่าผมจบเร็วกว่ากำหนดได้ครึ่งเทอมเพราะไอ้เกื้อก็ว่าได้ เราสองคนมันก็บ้าไม่ต่างกันที่พากันเรียนแบบหัวชนฝาอ่านหนังสือจนตาแทบหลุด จนผมไม่ได้กลับบ้าน อดทนรอคอย ด้วยใจที่ภาวนาคิดถึงทุกค่ำคืน …เกือบจะเป็นบ้าแล้ว

   ไอ้เกื้อไม่ได้อยู่ประจำที่นี้แบบผมหรอกนะครับ เขาไป ๆ มา ๆ เพราะมันมีคนขับรถส่วนตัวมารับมันกลับทุกสัปดาห์  อ่อ จะบอกอะไรให้อยากภาคภูมิใจนะ ผมนะตัวสูงกว่าไอ้เกื้อตั้งสองเซนแหนะ ฮิ๊ฮิ๊

           “พ่อโทน …” เสียงกระซิบออดอ้อนนั้นทำให้ผมอึ้งไปเสี้ยววินาที … มันมาได้ไง หมดกันแผนที่วางไว้

           “คิดถึง” ตายๆ เจอแบบนี้เข้าไปไอ้ผมก็อ่อนระทวยหน้าตึงเลยทีนี้ น้ำตาที่กลั้นเอาไว้เริ่มปริ่มออกมา ก่อนจะพูดอะไรผมก็หันไปกอดตอบลูกชายผม … ตัวใหญ่เป็นบ้าไอ้เด็กอะไร ตัวมันสูงกว่าผมที่อายุจะ 24 แบบนี้

   “เอ่อ คือ … ” ผมหันไปทางไอ้เกื้อที่ยืนบิดไปมาอย่างทำตัวไม่ถูกก่อนจะผละออกจากไอ้เด็กที่เกาะผมหนืบเป็นตุ๊กแก โห่! หล่อขึ้นเยอะเลยนะเนี้ยลูกผม เอ้ย ไม่สิอย่าไปบอกมันนะเดี๋ยวจะได้ใจ อิอิ

           “นี้ลูกกูชื่อไม้ ส่วนนี้เกื้อเพื่อนกู ไหว้ซะสิ” เจ้าไม้ยกมือไหว้ไอ้เกื้อที่ยืนแก้มแดงอยู่ … อย่าบอกนะคิดลึกว่าผมมีเมียจนมีลูกแล้วอ่ะ  ไอ้หมอนี้ชอบคิดทะลึ่งชอบคิดลึกครับและที่ฮากว่าคือจับได้ง่ายมาก ไม่รู้ทำไมถึงคบกันมาได้

           “ไม่ต้องคิดลึกเลยไอ้ห่า แหมกูก็จะจะเซอร์ไพร์ทสักหน่อยดันมาเจอซะก่อน งั้นคืนนี้ไอ้เกื้อไปนอนบ้านกูนะ”

           “จ๊ะ เหมือนที่โทนเคยเล่าเลย ไม้น่ารักที่สุด…” ไอ้เกื้อตอบอย่างเบาหวิวและยิ้มหวานให้ไอ้โทนที่ยังเกาะผมแน่นเป็นตุ๊กแกไม่ยอมห่าง เออ ๆ รู้แล้วว่าคิดถึง แหมเกาะขนาดนี้เอากูใส่ไว้ในกระเป๋าหน้าท้องเลยไหมละ! แหมมมมมมมมมม หึหึ

.

.

.



           พอจัดการเก็บร้านเสร็จก็พากันกลับมาที่บ้านทางคันนาในยามเย็นที่แดดส่องแสงสีแดงทำให้หน้าของลูกผมแดงกล่ำเป็นมะเขือเทศไหม้ อิอิ

    ไอ้ไอ้คะยั้นคะยอให้ผมเล่าทุกอย่างให้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นโปรเจคจบมหาโหดที่ผมทำพร้อมตอนฝึกงานเพื่อที่จะได้จบเร็วขึ้น และวีรกรรมต่าง ๆ รวมทั้งวิชาบังคับที่เลี่ยงไม่ได้ จนตาเป็นหมีแพนด้าเพราะแทบไม่มีเวลานอน ทุก ๆ ถ้อยคำไอ้เด็กนี้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ และผมก็บอกถึงร้านที่ผมกำลังจะเปิดนี้ด้วย ผมใช้เงินพ่อ  เงินตัวเองทำมันขึ้นมา เพื่อสัตว์ป่วยที่ยากไร้ … โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพื่อทำประโยชน์ให้กับบ้านเกิด โดยไม่หวังผมตอบแทน อยากให้สัตว์ทุกตัวมีสุขภาพที่แข็งแรง นั้นแหละคือร้านที่ผมกำลังจะสร้างเสร็จ ใบรับรองจดทะเบียนแบบนิติบุคคล รอผลอีกไม่เกิดสองวันก็จะได้แล้ว โรงพยาบาลสัตว์ที่เป็นของผม อนาคตที่ผมอยากสร้างด้วยตัวเอง พอผมมีเงินก้อนผมก็จะเอาไปคืนพ่อด้วย

           “รู้แบบนี้ก็ไม่ต้องโกรธกูนะ” ผมพูดแค่นั้นไอ้ไม้ก็หัวเราะออกมาได้ ก่อนจะหัวมาถูแขนผม โว๊ะ! ไม่น่ารักเลยสักนิด ตัวก็โตเป็นควายและ เฮอะ!

           “ยิ้มอะไรอะโทน”

           “ยุ่งน่า” ผมหันไปผลักหัวไอ้เกื้อ ไอ้นี้ก็กวนตีนเดี๋ยวเหอะจับโยนลงทุ่งนาให้เสี้ยนตำตูดเลย

   พอถึงหน้าบ้านน้องสาวผมที่ไม่ได้เจอกันมานานก็ส่งเสียงเห่าทักทาย มีมี่ที่อยู่ในวัยสาวเดินพุ่งเข้าหาผมพร้อมลูก ๆ ที่กลมเหมือนบอลสีขาววิ่งตามออกมาด้วย ผมลงไปนั่งกับพื้นปล่อยให้มีมี่ฟัดผมให้หนำใจให้สมกับที่คิดถึงกัน

   “ตัวนี้ชื่อกะหล่ำตัวนี้ชื่อมะเขือ ส่วนตัวนี้คือแตงกวาครับ”

   ไอ้เจ้าไม้นั่งลงข้างผมก่อนจะอุ้มลูกหมาที่ชื่อแตงกวาตัวเล็กกว่าพี่ ๆ ของมันและเข้าไม่ถึงผมนั่งมาวางไว้ผมหน้าขาของตัวเอง ผมหันไปเอาจมูกชนกับจมูกสีชมพูแบ๊ว ๆ ของแตงกวาก่อนจะหันมาหอมหัวเหม่ง ๆ ของน้องสาวและหลาน ๆ ตระกูลผักของผมทีล่ะตัว น่าร๊ากกกกกกก

           “ใครอะ! อย่าแตะพี่ไม้นะ” ผมงงงวยเมื่ออยู่ ๆ มือผมที่จับมือเจ้าไม้อยู่ก็ถูกปัดทิ้งเฉย … อีหนูแก่แดดนี้ใครน่ะ ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้าและมาอยู่ในบ้านผมได้ยังไง แถมยังเกาะแขนไอ้ไม้แน่นอีกด้วย ว๊ะ ลูกผมมีเมียแล้วงั้นหรอเนี้ย

           “เดี๋ยวเถอะนางมู่ลี่กลับบ้านเอ็งไปได้แล้ว” พ่อผมเดินมาผลักหัวเด็กคนนั้นเบา ๆ และกอดอกมองผมสลับกันไอ้เกื้อที่ยืนบิดไปมาอย่างเอียงอาย

           “สะ สะ สวัสดีครับ” ไอ้เกื้อยกมือไหว้ก่อนที่ผมจะตึงขามันเพื่อพยุงตัวเองลุกขึ้นโดยที่อุ้มแตงกวาตัวเล็กขึ้นมาด้วย ไอ้ลูกหมาตัวนี้ได้กินนมเหมือนพี่ ๆ มันรึเปล่าเนี้ยทำไมแคระจัง สงสัยต้องจับตรวจหน่อยซะแล้ว

           “ไงไม่คิดจะสวัสดีพ่อมึงหน่อยหรือไง”

           “สวัสดีอะไรนักหนาก็เจอกันทุกวัน” ผมว่าก่อนจะเดินผ่านไอ้ไม้ที่กำลังเกาะแกะกับสาวเข้าบ้าน เชอะ รู้จักมีฟงมีแฟนละพ่อมึงคงไม่มีความหมายแล้วใช่ไหม

           “ลุงจันทร์ ลุงทิม พี่เมฆ พี่แสง สวัสดีจ้า” ผมยกมือไม้ทุกคนโดยมีแตงกวาอยู่บนไหล่ พวกเขากำลังซ้อมอยู่บนเวทีพอเห็นผมก็พากันวิ่งมาหาถามสารทุกข์สุขดิบกันวุ่นวายจนไอ้โทนตามไม่ทัน แหม รู้สึกฮอตจริง ๆ นะเนี้ย เหอะๆ

           เย็นวันนั้นผมไม่ต้องเข้าครัวเลย เพราะยัยเด็กแก่แดดมู่ลี่ทำไว้หมดแล้ว ถึงจะไม่อร่อยที่ผมทำก็เถอะแต่เด็กอายุ 12 ทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งแล้วมารู้ที่หลังว่าเป็นลูกข้างบ้านที่มาช่วยงานในค่ายผมก็สบายใจคิดว่าเป็นแฟนไอ้ไม้ซะอีก ถ้าเป็นอย่างงั้นเห็นทีต้องจับตีก้นซะให้เข็ดทั้งคู่ ริอาจมีแฟนแต่เด็กได้ยังไง ชิชะ !!! แต่คิดถึงจังน๊า บรรยากาศแบบนี้ …

           “พี่ไม้กินนี้นะ มู่ลี่ทำเต็มที่เลยน๊า” ผมมองเจ้าไม้ที่เมินหน้าหนีไข่พะโล้ที่ยื่นมทั้งลูกและอดขำไม่ได้ แหม เสน่ห์แรงเหมือนพ่อมันไม่มีผิด

           “นางมู่ลี่กลับบ้านนนนนนนนนน!”

           “จิ๊! ก็ได้ ๆ มู่ลี่กลับก่อนนะพี่ไม้” เสียงตะโกนเรียกทำให้เด็กแก่แดดวิ่งออกจากบ้านผมไปไม่สายขโมยจุ๊บแก้มไอ้ไม้ไปหนึ่งที ผมอึ้ง อึ้ง และอึ้ง เชี้ยไรเนี้ย!!!

           “บ๊ะ ไอ้เด็กนี้ผู้ใหญ่นั่งหัวโด่กันอยู่สี่ห้าคนเสือกลาไอ้ไม้คนเดียว เหอะๆ”ลุงจันทร์พูดอย่างขำ ๆ ก่อนจะหันไปเสวนาเรื่องพระกับลุงทิมต่อ ไอ้เกื้อนั่งกินข้าวเงียบ ๆ อยู่ข้างผมคอยส่งสายตาให้ผมเป็นระยะๆ คงยังปรับตัวไม่ทันกับครอบครัวของผมละมั่ง

           “คืนนี้นอนกับข้านะ”ไอ้เกื้อพยักหน้างึก ๆ ให้ผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมตาหวานฟรุ้งฟริ้ง พอผมพูดแค่นั้นแหละไอ้ไม้ทิ้งช้อนดังเคล้งเลย ช่วยไม่ได้ไปนอนกับยายเด็กแก่แดดนั้นแล้วกัน ชิชะ !

.

.

.



           คืนนั้นผมกับพวกลุง ๆ อยู่คุยกันจนดึงโดยมีไอ้เกื้อนั่งฟังอยู่ด้วย เกือบเที่ยงคืนผมถึงพาไอ้เกื้อขึ้นมาบนห้องนอนของผมที่ตอนนี้สะอาดเอี่ยมทุกซอกมุม และต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นไอ้เด็กควายตัวใหญ่นอนขดอยู่ข้าวเตียงของผมเหมือนตอนเด็กๆที่มันเคยนอน … 

           “เอ่อ … เกื้อนอนข้างไม้ก็ได้นะ” ไอ้เกื้อฉุดแขนผมที่กำลังจะเดินไปปลุกไอ้เด็กบ้าให้ลุกไปนอนที่อื่น ได้ยังไงมุ้งนี้นอนได้สองคน ถ้านอนเบียดกันยุงได้ห่ามไอ้เกื้อไปกินแน่มีหวังคุณหญิงแม่ต้องฆ่าไอ้โทนแน่ๆ

           “ไปนอนห้องข้าก็ได้” ผมขนลุกซู่เมื่ออยู่ๆเสียงทุ้มต่ำของพ่อทายดังขึ้น มายืนเป็นยักปักหลักตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และยังไม่ทันอะไรพ่อผมก็ลากไอ้เกื้อไปแล้ว … วาเว้ย … จากเพื่อนจะเปลี่ยนเป็นแม่เลี้ยงกูปะเนี้ย!!!

           แค่คิดก็ขนลุกล่ะ ผมถอนหายใจก่อนจะเดินมุดเข้าไปในมุ้งยังไม่ทันจะได้คลานขึ้นเตียงขาผมก็ถูกจับเอาไว้ แว๊กกกกกก! ตะ ตะ ตกใจ

           “กอดไม้นะครับคืนนี้”… จึ๊ก กูตาย กูตายยยยยยยยยยยยยยยย!

           “นะครับ”

           “อะ เออ!!!” ผมกระแทกเสียงก่อนจะล้มตัวลงไปนอนเบียดกับไอ้เด็กผีและกอดมันไว้แน่นส่วนไอ้เด็กผีก็ซุกผมเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น … ความรู้สึกตอนนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมได้กลับบ้านแล้ว …

   พรุ่งนี้จะเจออะไร ผมก็ไม่กลัวแล้ว …

           กูเกลียดเด็ก !!!! โดยเฉพาะเด็กแรด!!!



           “พี่ไม้จ๋า ที่นี้เหม็นจัง พามู่ลี่กลับเถอะนะ” มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งกันมากแต่กระผมจะทำงานเปล่าวะ แล้วแม่คุณนี้ก็คอกวัวไม่ให้เหม็นได้ยังไง ผมเหลือบมองนางเด็กนอแรดกำลังเกาะแขนลูกชายผมแจ ส่วนไอ้เด็กบ้าก็ให้เกาะแกะจ้องผมไม่กระดุกกระดิกเหมือนเป็นหุ่น  ตายด้านแล้วไหมละ!!! ฮุ้ย น่ารำคาญเสียงแมงหวี่แมงวันชะมัด

           ผมปัดแมลงวันที่ตอมวัวแก่ชื่อแม่ดอกขมิ้นแม่พันธุ์ที่ผมมาตรวจเช็คอาการของแม่ขมิ้น ลุงสมเจ้าของแกบอกว่าแม่ขมิ้นไม่ค่อยกินหญ้า ผมบอกให้ลองกินพิซซ่าดูก็ไม่เชื่อ

           “เป็นไงบ้างเจ้าโทน หวังว่าเอ็งจะไม่เผลอใส่ยาอะไรให้แม่ขมิ้นข้านะ”

           “โธ่ลุง ฉันเป็นหมอนะลุง เดี๋ยวฉันจ่ายยาให้และจะมาดูอาการพรุ่งนี้เย็นๆนะลุงนะ”

           “โอเค๊ๆ” แกพูดเลียนแบบฝรั่งอย่างน่ารัก ผมยิ้มก่อนจะหยิบอาหารเสริมที่เตรียมมาให้แกก่อนจะเก็บของเดินออกมาตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ ผมก็ อายุ 24 แล้วปะคงไม่ไปนั่งอิจฉาเด็ก 12กับ 13 หรอกนะ แต่หลายวันมานี้ ยายเด็กมู่ลี่ไม่เห็นหัวผมสักแอะ ถึงผมจะเตี้ยแต่ส่วนสูงก็พอๆกับเจ้าหล่อนนะ แถมยังคอยเป็นก้างระหว่างผมกับลูกอีกต่างหาก หงุดหงิดอ่ะ ไปทำงานกลับบ้านไปก็เจอหน้านั้งมุ้งมิ้งกับอยู่ได้ ตามไปได้ทุกที่ น่ารำคาญชะมัด ขวางหูขวางตา ฮึ้ย!!!

           “พ่อโทน กินข้าวก่อนไหมครับ ”

           “ไม่เอาจะไปกินพร้อมไอ้เกื้อ อยากกินก็ไปกินกันสองคนซะ”

           “แต่พ่อโทนไม่ได้กินข้าวกลางนามาหลายปีแล้วนะครับ …นะครับ ตรงโน้นก็ว่างอยู่ นี้ก็บ่ายโมงแล้วด้วย ผมถือมาเยอะแยะเลยเห็นไหม มีน้ำพริกกุ้งเสียบที่พ่อโทนชอบด้วยนะ” ผมทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ก่อนจะเดินลงคันนาไป เชอะ เห็นแก่น้ำพริกกุ้งเสียบหรอกนะ

           “มู่ลี่ ข้าลืมแกงส้มไว้ที่บ้านเอ็งช่วยไปเอาให้ข้าหน่อยได้ไหม” ผมนั่งลงบนแคร่ใต้ต้นหูกวางและมองไปทางอื่นแต่ก็เหลือบมองเจ้าไม้ที่พูดแจ้ว ๆ กับยังมู่ลี่ หึ หมั่นไส้

           “ตะ แต่”

           “ขอวานเอ็งหน่อยไม่ได้หรือ?” ทำเป็นอ้อน เดี๋ยวปัดหน้าคว่ำจมกองขี้ควาย!

           “ได้จ้ะ รอแปปนึงนะพี่ไม้” ไม่รอดหรอก ขนาดพ่อมันเองยังไม่รอดเลยนับภาษาอะไรกับเด็กยังไม่แตกเนื้อสาวอย่างยายมู่ลี่ พนันได้เลยไอ้เด็กเจ้าเล่ห์นี้ไม่ได้ลืมหรอก ความจำไอคิวระดับอัจฉริยะอย่างหมอนี้น่ะหรือจะลืม เฮอะ ! ไม่มีทาง!!!

           พอยายเด็กผมติ่งมู่ลี่วิ่งออกไปผมก็คว้าหมับเข้าที่ปิ่นโตกับข้าวและเปิดดู ปรากฏว่าแกงส้มโชว์อยู่ตั้งแต่ชั้นแรก ฮึ ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์

           “ทำไมล่ะ เด็กนั้นแฟนไม่ใช่หรือไง ไล่ไปทำไม” ผมว่าด้วยอารมณ์กรุ่น ๆ ไอ้เด็กบ้าอมยิ้มก่อนจะบรรจงจัดแจงวางกับข้าวไว้ตรงหน้าผม

           “ผมอยากกินข้าวกับพ่อโทนสองคนมากกว่า อีกอย่าง มู่ลี่กับผมแค่คนรู้จักกัน” แก้ตัวเป็นเซเลปเลยนะ ผมบุ้ยปากหันหน้าไปทางอื่นก่อนจะตกใจเมื่ออยู่ ๆ ไอ้เด็กตัวยักษ์เดินมาโผล่ตรงหน้าผมก่อนจะยิ้มหวานกระแทกใจ … อะ ไอ้เด็กนี้ตัวอันตราย!!!!!

           “อย่าสนใจใครเลยครับ ชีวิตนี้ผมมีแค่พ่อโทนคนเดียว” … เขินอะ ไม่สิ ผมไม่เขินสักหน่อย! ผมหันหน้าหลบมาอีกทาง จ้วงข้าวเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย ร้อน ทำไมร้อนแบบนี้นะ เมื่อกี้ไม่เห็นจะร้อนแบบนี้เลย พระอาทิตย์อยู่ใกล้โลกเกินไปรึเปล่านะ …

           “พ่อโทน ค่อย ๆ นะครับเดี๋ยวติดคอ”

           “อุ๊ก แคกๆๆๆๆ”

           “เห็นไหม” ผมตาขวางใส่ไอ้เด็กบ้า ยังไม่ช่วยกันอีก เชอะ! ไอ้เด็กบ้ารีบเข้ามาตบหลังผมเบาๆ ก่อนจะรีบหยิบน้ำยื่นให้ผม ให้ตายสิ เกือบตายแหนะ

           “โกรธอะไรผมหรอครับ” ผมอมน้ำจนแก้มป่องมองหน้ามันแบบเคืองๆก่อนจะหันไปบ้วนน้ำทิ้งและกลับมากินข้าวต่อไม่สนใจ ไม่ได้งอนอะไรทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องมายุ่งด้วย น่าเบื่อฉิบ !

           “ไม่รักผมแล้วหรอ”

แก๊ก …

           ผมปล่อยช้อนลงบนจานเสียงดังก่อนจะกอดอกมองไอ้ลูกบ้าที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เจ้าเล่ห์ คิดว่ารู้ไม่ทันหรือไงไอ้น้ำตาจระเข้เนี้ย!!!!

           “พ่อโทน”

           “เรียกทำไมนักหนา” ผมเลิกคิ้วถามไม่ละสายตาจากใบหน้าคมๆของไอ้ลูกบ้าที่จ้องมาทางผมเช่นกัน ทำเป็นจะร้อง ฮึ เจ้าเล่ห์นะสิไม่ว่า ไอ้คนเจ้าเล่ห์!!!!

           “พ่อโทนโกรธผม”

           “เออ รู้ตัวก็ดี”

           “โกรธผมทำไม ไม่รักผมแล้วหรอ”

           “เอ็งอายุเท่าไหร่แล้ว”

           “18 ครับ”

           “แค่ 18 ยังมีสาวมาติด แล้วถ้ายายมู่ลี่ท้องขึ้นมาจะเอาอนาคตไว้ที่ไหน”สิ่งที่ผมอยากพูดไม่ได้มีแค่นี้ … แต่ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมอยากพูดคืออะไร ผมนึกไม่ออก …

           “ผมกับมู่ลี่แค่คนรู้จัก ไม่ว่าจะพูดสักกี่ทีผมก็ไม่มีวันทำให้พ่อโทนผิดหวัง เชื่อใจผมสิครับ”

   ผมเม้มปากก่อนจะหยิบดอกแคจิ้มน้ำพริกและยัดเข้าปากไอ้ลูกบ้า หึหึ เออ ไม่โกรธแล้วก็ได้ ถ้าไม่นับเรื่องเจ้าไม้กับยายหนูมู่ลี่ตอนนี้ชีวิตผมก็ทำท่าจะลงตัวเอาซะมากๆ โรงพยาบาลสัตว์ของผมกับไอ้เกื้อเป็นไปด้วยความสงบ และราบรื่น คือผมกับไอ้เกื้อทำไม่หวังผลกำไรอยู่แล้วครับ เลยไม่ต้องซีเรียสอะไรมากกับเรื่องเงินทอง มีสัตว์เข้าออกให้รักษาตลอดไม่ขาดสาย ได้ค่ากับข้าวไปวัน ๆ พอค่าน้ำค่าไฟแต่ล่ะเดือน ส่วนเรื่องอุปกรณ์กับยาเรื่องนี้บ้านไอ้เกื้อเป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการครับผม

           คิดไปคิดมา หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน …ผมมองเจ้าไม้ที่กำลังเก็บปิ่นโตลงข้างล่าง ตาปรือทำท่าจะหลับเพราะอากาศที่เย็นสบายของท้องทุ่งไม่เหมือนกับในเมืองที่มีแต่ควันรถ ดีจังที่ได้กลับมา คิดได้แบบนั้นมือเย็นๆก็แตะเข้าที่แก้มผมจากด้านหลังก่อนจะค่อยๆดึงตัวผมลงไปนอน เสียงกระซิบเบาหวิวคล้ายเพลงกล่อมให้ผมหลับทันทีที่หัวผมสัมผัสกับตักแข็งทื่อของเจ้าลูกบ้า

           “พักบ้างนะครับพ่อโทน” ผมเหยียดยิ้มก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง ทิ้งความสับสนให้เลื่อนลอยไป



-ไม้-

           ผมลูบเส้นผมสีน้ำตาลของพ่อโทนอย่างเบามือ ใครกันนะสรรสร้างผู้ชายคนนี้ขึ้นมาให้น่าหลงใหลได้ถึงขนาดนี้ ผมจงใจพิสูจน์ความรู้สึกของเขาโดยการตัวติดกับมู่ลี่และก็จริง ๆ ที่พ่อโทนมีอาการออกมาอย่างเห็นได้ชัด อาจจะดูบ้าบอแต่ผมก็รู้สึกดีใจที่ผมเป็นคนสำคัญของเขา หน้าตาน่ารักแบบเด็กดื้อของเขาไม่มีวันที่จะมีใครมาแทนได้ ถึงเราจะห่างกันถึง  6 ปี หรือเกือบครึ่งรอบ ถือว่าเป็นอีกสิ่งที่ยืนยันไทม์ไลน์ได้เป็นอย่างดีว่าเราทั้งคู่ไม่มีสัมพันธ์ทางสายเลือด…และไม่ผิดศีลธรรม และผมเองมีสิทธิ …ถึงแม้ว่าตอนนี้จะต้องทนอยู่ในสภาพของลูกของเขาก็ตาม ผมจะรีบโต เพื่อที่จะได้คู่ควรกับพ่อโทน … ผมก็จะไม่มีวันเสียใจ พ่อโทนจะต้องรักผม รักผมคนเดียว ในวันข้างหน้าจะต้องเจออะไรหนักแค่ไหน ปู่จะยอมไหม หรือชีวิตผมต้องเสี่ยงกับไอ้พวกเดรนรกที่จ้องจะเอาชีวิตอีกสักเท่าไหร่ … ขอแค่มีพ่อโทนอยู่ข้างๆผม … ขอแค่มีพ่อโทน ผมก็ไม่สนอะไรอีกแล้ว …

           ผมบรรจงก้มลงหอมขมับของพ่อโทนที่นอนหนุนตักพยายามให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เขารู้ตัว ก่อนจะลากริมฝีปากมาที่แก้มใส … ไม่พอ สำหรับคน ๆ นี้สัมผัสแค่ไหนก็ไม่พอ … ริมฝีปากน่ารักของเขาถูกผมมอบความรักให้อย่างแผ่วเบา …

เคร้ง!

           “พะ พะ พี่ไม้ …” ผมเหลือบมองมู่ลี่ที่มาจากไหนไม่รู้ … ก่อนจะเหยียดยิ้มให้มุมปากและยกมือขึ้นจรดริมฝีปาก ส่งสัญญาณให้เสียงเบา ๆ … และดูเหมือนเธอก็จะรู้ดีว่าถ้าหากไม่ทำตาม ผมจะโกรธแค่ไหน ก่อนจะรีบพยักหน้าด้วยตัวสั่นเทาและวิ่งออกไป … พอสำหรับเกมส์นี้ …

   เด็กอย่างผม อาจจะโตเกินเด็กไปซะหน่อย แต่ยังไง พ่อโทนก็คือคน ๆ เดียวที่ผมต้องการ … ยอม ผมยอมทิ้งทุกอย่างบนโลกเพื่อแลกกับการได้อยู่กับเขา …



หัวข้อ: Re: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ ​​(ตอนที่ 7 เกื้อกูล)
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 12-04-2020 19:06:59
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 7 เกื้อกูล



-โทน-

           “ไอ้เกื้อ วันนี้เอ็งกลับบ้านปะ”

   ผมถามไอ้เกื้อที่นั่งอยู่ที่เคาเตอร์ยา หลังจากกลับมาจากทุ่งนาบ่ายแก่ ๆ ของวัน โดยมีไอ้เด็กหน้าโหดติดสอยห้อยตามมาด้วย แต่แปลกนะไม่เห็นวี่แววของไอ้เด็กมู่ลี่เลย ช่างเถอะคงไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้นหรอกมั้งนั้นก็ละแวกแถวๆบ้าน ผมลองถามเจ้าไม้ดูแล้วก็ไม่ได้ความอะไร เซ่อซ่าจริง ๆ ไอ้เด็กนี้ ชิชะ รู้นะว่าผมต้องกลับมาทำงานต่อก็ไม่ยอมปลุกผม หึ เดี๋ยวปั๊ดกัดหูให้ซะนี้

           “เอ่อ คือ พอดีว่า”

           “อะไร แล้วนี้เป็นอะไรหน้าแดงเชียว เขินอะไรวะ” ผมเดินเอาเนื้อตากแห้งที่ชาวบ้านให้มาระหว่างทางไปวางไว้ด้านหน้าไอ้เกื้อที่ยืนบิดไปบิดมา =_=’ ปวดฉี่มั้งนี้เปล่าเพื่อนกู

           “ไอ้เกื้อสติ” ผมเดือนมันเมื่ออยู่ๆตามันก็ลอยหน้าแดงปั๊ด แถมยิ้มกริ่มๆอีกต่างหาก เฮ้ยยยยยย!!!! เป็นเอามากกกกก

           “คือว่า พี่ชายเกื้อจะแต่งงานอะ”

           “แล้ว ?”

           “แล้วเขาชวนให้เกื้อไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว!!! เกื้อตื่นเต้น” … แล้วเพื่อนผมก็ยืนบิดต่อไป ผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลยครับเพราะพี่ชายไอ้เกื้อก็คือรุ่นพี่ที่คณะผม แถมแกยังมีแปลนจะแต่งงานทันทีที่เรียนจบกับดาวคณะบัญชีอีกด้วย แต่ที่ทำให้ผมตาลุกวาว คือโต๊ะจีนระดับพรีเมียมที่กำลังจะได้กิน

   “โทนไปด้วยกันนะ ชวนลุง ๆ น้า ๆ ที่บ้านโทนด้วย อ๋อ ไม้ด้วยนะ แล้วก็ … เอ่อ … ละ ลุงทายด้วยนะโทน” เอ๊ะ … พูดชื่อพ่อผมแล้วทำไมหน้าแดงกว่าเดิมล่ะ …

           “นี้ไอ้เกื้อ เอ็งไม่ได้จะมาเป็นแม่เลี้ยงข้าใช่ไหม” ผมถามเชิงหยอกล้อแต่กะเอาคำตอบจริงๆ ความจริงผมก็ไม่ได้แอนตี้อะไรหรอกนะมันเป็นปกติของสังคมสมัยนี้ แต่แหม … ถ้าจะเปลี่ยนสถานะก็ขอทำใจหน่อยเถอะ

           “จะ จะ จะบ้าเหรอออออออ” แล้วทำไมต้องหน้าแดงยืนบิดแถมยังหลบตาอีกด้วย … เปอร์เซ็นมีเพื่อนเป็นแม่ใหม่สูงถึง 50 เปอร์เซนต์  ตาเฒ่านั้นทำอะไรเพื่อนผม … เดี๋ยวเถอะต้องเคล้นเอาความจริงให้ได้เลย คอยดูนะ!!!



-เกื้อกูล-

   เกื้อ นั้นคือชื่อผม ที่มาจากคำว่าเกื้อกูล บ้านของผม มีพี่ชายและก็คุณแม่  ส่วนคุณพ่อท่านเสียไปตั้งแต่ผมยังไม่เกิด วันแรกที่ผมเจอโทน คือตอนเปิดภาคเรียนของคณะสัตว์แพทย์ เขาดูลุกลี้ลุกลนมากประหลาดโดดเด่นกว่าคนอื่น ในขณะที่ผมเองก็มีคนมองด้วยสายตาแปลก ๆ ซึ่งผมไม่เคยจะคุ้นชิน และไม่มีคนเข้ามาคุยกับผมเลยสักคนเดียว อาจจะเป็นเพราะผมขี้อายเกินไปก็ได้ แต่กับโทนในตอนนั้นเจิดจ้ามาก เพราะเป็นคนยิ้มเก่งแถมเข้ากับคนง่าย เขาดึงดูดทุกคนรวมถึงผมด้วย

           “นี้”

   ในวันต่อมาผมยืนมองลูกวัวเกิดใหม่ที่ตัวแดง ๆ ขณะที่รุ่นพี่ที่อยู่ในจ้ำสูทสีเทาของคณะสัตว์แพทย์กำลังช่วยมัน โดยไม่ทันสังเกตว่าโทนเองก็มายืนอยู่ข้างผม ตัวเราแทบจะเท่ากัน แต่เขาเฮี้ยวกว่าผมเยอะ ดูจากการแต่งตัวที่ใส่จ้ำสูทเฉพาะกางเกงส่วนท่อนผมก็เปิดใส่เสื้อกล้ามสีดำที่ตัดกับสีผิวขาวของเขา

           “กูชื่อโทนนะมึงอะ”

           “ระ ระ เรา ?” ผมชี้มาที่ตัวเองเพื่อย้ำให้เค้ารู้ว่าเค้ากำลังพูดกับผมอยู่ใช่ไหม … ในตอนนั้นผมทำตัวไม่ถูกจริงๆ ทั้งอายทั้งดีใจ ที่สำคัญยังเป็นคนที่เจิดจ้าซะขนาดนี้

           “อยู่กันสองคนปะวะ และนี้เป็นไร ปวดฉี่อ่อ บิดซะขนาดนี้ เฮ้! ช่วยเก็บออร่าสีชมพูพวกนี้ได้ปะ คลื่นไส้อ่ะ” อะไรคือออร่าสีชมพูหรอ มีออกมาจากตัวผมด้วยเหรอผมไม่ได้ปวดฉี่นะ ตอนนั้นผมคิดว่าคนอะไรหน้าตาก็น่ารักแต่พูดจาไม่น่ารักเลย ตาแป๋วจ้องผมเขม็งปากก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบ 32 ซีกเลย มีลักยิ้มด้วย

           “เราชื่อเกื้อ”

           “อ่อ เออนี้แล้วลูกคุณหนูมาทำอะไรในคณะแบบนี้ล่ะ ถามได้ปะ”

           “เอ่อ … ทำไมล่ะ แปลกหรือไง ?” ผมเอียงคอถาม จากนั้นโทนก็เอียงคอตามผมและอยู่ ๆ ก็ยื่นมือมาหยิกแก้มผมดังหมับ เจ็บอ่า!!!!!

           “หมั่นไส้อะ ทำให้นึกถึงลูกที่บ้านเลยรู้ปะ”

           “เอ๊~”

           “ไม่เชื่อหรือไง ฮ่าๆๆๆ เห็นแบบนี้กูมีลูกแล้วนะ ชื่อไม้ ถ้าไม่ติดเรียนนะ กูก็ได้อยู่อ้อนลูกแล้ว นี้ๆ ดูรูปสิ” และโทนก็หยิบรูปของเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักและหล่อเกินเด็กที่กำลังยิ้มหล่อมาจากในรูปให้ผมดู ผมจ้องสลับกับเงยมองโทนที่กำลังทำหน้าภาคภูมิใจเป็นที่สุดอยู่ ไม่เหมือนอะ ดูยังไงเด็กคนนี้ก็ดูโตกว่าเค้าเป็นไหนๆ

           “เอ๊า งง อยากรู้ปะ ถ้าอยากรู้คืนนี้มานอนเป็นเพื่อนกันหน่อยสิ นอนคนเดียวมันเหงา นะๆๆๆๆ” และเขาก็เข้ามากระแซะอย่างน่ารักน่าชัง ตายละสิ ผมงี้อายม้วนเลย พี่คนที่กำลังทำย้ายลูกวัวอยู่หันมามองและทำหน้าฟินแปลก ๆ ใช่สิ ก็โทนน่ารักนี้หน่า

.

.

.

           “เอ้~ ไม่ใช่ลูกจริง ๆ หรอ”

   ผมกอดหมอนตั้งอกตั้งใจฟันโทนที่อยู่ในชุดผ้าขาวม้าเสื้อกล้ามที่พยักหน้ายืนยันด้วยสีหน้าจริงจัง ในขณะที่ผมอยู่ในชุดนอนแขนขายาวสีชมพูที่แม่ผมเป็นคนซื้อให้

           “แต่นะ ไอ้เด็กบ้านั้นน่ารักแถมหล่อเหมือนพ่อมันด้วย” เขายักคิ้วเหมือนหล่อเต็มประดาและเปล่าเลยมันดูตลกมากกว่า ผมแอบหลุดขำนิดหน่อยแต่ก็ยังฟังเขาโม้ใหญ่โตต่อไป สักพักผมก็เคลิ้มๆ จนผมหลับไปในหูของผมยังได้ยินเสียงของโทนเรียกอยู่ไม่ขาดสาย … นี้รึเปล่านะที่เค้าบอกกันว่าพูดจนลิงหลับ



           วันต่อมาเราสองคนพากันมาเรียนสายทั้งคู่เพราะไม่มีใครปลุกใครผมก็ลืมตั้งนาฬิกาปลุกตื่นมาอีกทีเห็นหน้าโทนกำลังน้ำลายไหลย้อยอยู่ตรงหน้า เกือบจะขำแต่พอหันไปมองเวลา 10 โมงกว่าเท่านั้นแหละไฟลนก้นเลย เรียนวันที่สองผมก็สายแล้วนี้สิ ฮืออออออ

           ในวันนั้นอาจารย์ได้ทำโทษที่เข้าชั้นเรียนสายด้วยการให้เราสองคนไปกวาดโรงเรือนเลี้ยงสุกร ซึ่งผมก็ไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ นอกจากต้องมากวาดเล้าหมูจริง ๆ ที่นี้กลิ่นค่อนข้างแรง เลยต้องมีการทำความสะอาดทุก ๆ 3 วันซึ่งในนี้แบ่งเป็นโซนอนุบาลและโซนหมูแม่พันธุ์พ่อพันธุ์ความจริงที่โหดร้ายคือลูกหมูน้อยตัวที่ไม่แข็งแรงจะถูกนำไปฆ่าเพื่อมาแปลรูปเป็นอย่างอื่น… ผมทำใจรับไม่ได้นานพอสมควรแต่โลกนี้มันอนิจัง อีกอย่างผมอยากที่จะช่วยสัตว์ทุกตัว ผมต้องอดทน

           “เหม็นอะ” โทนย่นจมูกแต่มือก็ยังลูบหัวลูกหมูตัวสีชมพูน่ารักอยู่

   ผมได้แต่ยิ้มและก้มทำงานต่อไป จนเมื่อเสร็จงานผมเอาขยะมาทิ้งด้านหน้ามหาลัย แต่ต้องรอรถขยะมาด้วยตัวเองเพราะรุ่นพี่บอกว่าถ้าวางทิ้งไว้จะโดยอาจารย์ดุ ส่วนโทนก็ยังไงล้างเอาน้ำฉีดใส่มูลสัตว์อยู่ในโรงเรือน

           ในระหว่างที่ผมยืนรอนั้น ผมรู้สึกเสียงสันหลังวาบใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ หันไปดู วินาทีนั้นถุงขยะผมแทบร่วง เมื่อเห็นชายร่างสูงใหญ่สมส่วน ดูมีอายุ และยังดูเท่และหล่อมาก กำลังยืนจ้องผมอยู่ไม่ไกลมากนัก ในตอนนั้นผมอยากที่จะก้าวเข้ามหาลัยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่ดูเหมือนขาผมจะแข็งจนเหมือนจะชาเลย T^T ฮือออออออออออออออเขาเข้ามาหาผมแล้ว ฮึก ผะ ผมกลัวอะ ใครก็ได้ช่วยผมด้วย เขาจะต่อยผมแล้ว ฮึก

           “เฮ้ ไอ้หนู”

           “ผะ ผมหรือครับ”

           “เออ เอ็งนั้นแหละ ร้องไห้ทำไมวะ” ผมส่ายหัวไปมา ฮึก ใครจะไปกล้าบอกว่าผมกลัว ผมกำถุงดำแน่น ก่อนจะก้มหน้าคางชิดหน้าอก ไม่เอาอะ เขาน่ากลัว ผมไม่เคยเจอคนน่ากลัวแบบนี้

           “เอ๊าเอา ร้องไห้ใหญ่ ไอ้นี้เดี๋ยวใครก็คิดว่าข้าทำอะไรเอ็งหรอก มานี้มา”

   เขาว่าและลากผมออกมา ผมถูกลากไปพร้อม ๆ กับถุงขยะ พอเขาหันมาเห็นก็จับถุงขยะโยนทิ้งไปฮึก ผมต้องโดยอาจารย์ดุแน่ ๆ และนี้เค้าจะพาผมไปไหนอะ สุดท้ายแล้วรู้ตัวอีกที ก็พาผมมาที่สวนสาธารณะข้าง ๆ มหาลัย ที่ไม่มีใครอยู่เลย

           “กลัวหรือไง ข้าไม่ใช่คนร้ายหรอกนะ ข้าชื่อทาย” ผมสะอื้นฮัก และดูเหมือนเค้าจะอ่อนโยนกว่าที่คิด เขาวางมือใหญ่โตลงบนไหล่ของผม

           “ผมชื่อเกื้อ ฮึก ผมเป็นเด็กดีนะ ไม่เคยทำร้ายใคร ลุงอย่าทำผมเลยนะ ฮึก ผมกลัวแล้ว”

           “ว๊ะ ไอ้นี้ ข้าจะไปทำอะไรเอ็ง ขี้แยจริง ข้าแค่จะถามว่ารู้จังไอ้โทนลูกข้าไหมแค่นั้นแหละ”

           “ทะ โทน … สัตว์แพทย์หรือครับ ฮึก ถ้าโทนนั้น พะ เพื่อนผมเอง ลุงเป็น พะ พ่อโทนหรอ ”

           “ก็เออสิ แล้วเอ็งรู้จักด้วยหรือไงไอ้ลูกบ้านั้นน่ะ” ผมพยักหน้า และยกมือไหว้เขาที่จ้องผมนิ่งจนผมต้องหลบสายตา ก่อนจะได้ยินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และก็เดินออกไป ผมไม่กล้าแม้แต่มองตาม เขาไปแล้วหรอ … ตอนนั้นผมงงมาก เขาไปไหนและก็กลัวมากด้วย แต่ยังไม่ทันที่ผมจะคิดอะไรได้ แพนเค้กกลม ๆ ที่วาดเป็นรูปโดเรม่อนบูดเบี้ยว ๆ ก็ยื่นมาตรงหน้าผม …

           “กินซะจะได้เลิกงอแง ข้าไม่ใช่โจรนะเว้ย”

   ผมกลั้นสะอื้นเงยหน้ามองเค้าก่อนจะรีบรับแพนเค้กเสียบไม้รูปโดเรม่อนมาทันที เพราะตอนนั้นลุงทายทำหน้าดุมาก ตกลงเาจะปลอบผมหรือจะดุผมซ้ำอีก อันนี้ผมไม่แน่ใจนัก แต่แพนเค้กอันนั้นผมเอาเข้าปากทันทีเมื่อฌเขาย้ำมาอีกรอบ

           “เอ็งเป็นเพื่อนไอ้โทนหรือไง” ผมพยักหน้าทั้ง ๆ ที่ยังก้มกินแพนเค้กอยู่ มันอร่อยมากเลยนะ

           “มันเป็นไงบ้าง”

           “… นะ น่ารักครับ”

           “หึหึ เออ มันน่ารัก กวนตีนด้วยใช่ไหม”

           “…” ผมเม้นปากอยากจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก

           “งอแงจังวะ”

           “…” ผมเบะปากจะร้องอีกรอบ แต่ก็ต้องเงียบเมื่อมือใหญ่โอบหลังผมและตบหลังผมอย่างปลอบโยนเบาๆ

           “หึ เหมือนได้เลี้ยงไอ้โทนตอนเด็กอีกรอบเลยวะ เฮ้อ ข้าไม่ทำร้ายเอ็ง ข้าแค่จะเข้ามาถามเฉยๆ กลัวอะไรนักหนา”

           “ผะ ผมขอโทษ”

           “เออ ๆ แล้วนี้ไอ้โทนมันอยู่ไหน”

           “โรงเรือนเลี้ยงสุกรครับ โดนลงโทษไปเรียนสาย ลุงจะไปดูไหมครับผมพาไป”

           “ไม่ล่ะ แล้วเอ็งก็ไม่ต้องบอกมันนะว่าข้ามา ไปล่ะ เดี๋ยวข้าจะมาใหม่” ลุงทายหันหลังเดินออกไป … ผมเอียงคอมองตามเขาปาดน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุด นิสัยเหมือนกันมากเลยนะ พ่อลูกคู่นี้ ในตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรอีกนอกจากเดินไปเก็บถุงขยะที่ลุงทายโยนทิ้งไว้กลางทาง โชคดีที่รถขยะมาพอดีผมเลยทิ้งได้เลย หลังจากนั้นผมก็กลับเข้ามหาลัยตามปกติ

           แต่ใครจะคิดว่าผู้ชายตัวใหญ่ จะมาหาลูกเขาทุกสัปดาห์ แถมยังไม่บอกให้เจ้าตัวรู้อีก ส่วนมากเขาจะมาถามข่าวคราวจากผมเสียมากกว่า เขาอยากรู้ทุกเรื่องในแต่ล่ะสัปดาห์ของโทน ดูมีความสุขและเป็นห่วงโทนมากด้วย เขาพาผมไปทานข้าว พาผมไปเที่ยวพาให้ผมต้องคอยโกหกโทนไปด้วย ผมจะร้องไห้ทุกครั้ง แต่หลัง ๆ มันกลายเป็นความสุขไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตั้งแต่ได้อยู่ด้วยกัน ลุงทายอ่อนโยนถึงแม้จะมีร่างกายอันแข็งแกร่ง และเป็นอย่างนี้มาตลอดจนเราเรียนจบ …

.

.

.



           “เกื้อ กูจะเปิดร้านหมอสัตว์นะ มึงจะเอากับกูด้วยไหม”

   โทนถามผมขึ้นในขณะที่กำลังทำโปรเจคจบอยู่ ผมไม่มีอะไรต้องคิดอีกต่อไปแล้วเพราะโทนพูดเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอน ปี 2 เขาอยากจะเปิดร้านที่เป็นการทำบุญอย่างแท้จริงคือไม่คิดเงินคนที่มา ลำพังผมคุณแม่ก็ไม่ได้ห้ามปรามในการกำหนดชะตาชีวิตอยู่แล้วเพราะท่านบอกว่าทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเองรวมทั้งผมด้วย ท่านพร้อมที่จะผลักดันผม และเมื่อผมตั้งตัวได้ท่านจะปล่อย … และวันนี้ท่านก็ปล่อยจริงๆ จริงอยู่ที่ท่านจะออกค่าใช้จ่ายคายาให้กับโรงพยาบาลสัตว์ของผมและโทน แต่ทุกเสาร์อาทิตย์ผมจะต้องกลับมาทำงานบริษัทเป็นข้อตกลง โทนไม่เคยรู้เรื่องนี้อย่าไปบอกเขานะครับ เขารู้เพียงคุณแม่เป็นคนรักสัตว์ และที่สำคัญไม่ใช่ที่ผมทำงานให้ท่านเท่านั้น แต่เป็นเพราะโทนเองก็เป็นขวัญใจของท่านและพี่ๆของผมอีกด้วย

           เราสองคนจะช่วยกันดูแลโรงพยาบาลที่เป็นของเราสองคน ผมชักอยากจะเห็นแล้วสิว่ารูปร่างหน้าตาของสิ่งที่ผมและโทนสร้างให้แก่สังคมนี้จะเป็นยังไง และอย่าไปบอกใครนะครับ … ผมตื่นเต้นมากที่จะได้เห็นลุงทายในทุก ๆ วัน … เขาคือคนที่สอนให้ผมแข็งแกร่งในทุกด้าน …  ผมเคารพเขาในฐานะที่ควรจะเป็น

.                           

.

.



           คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมมาที่บ้านของโทนทุกคนดูเป็นมิตรมาก ลูกไม้เองก็น่ารัก เป็นวิถีชีวิตที่คนเมืองอย่างผมไม่เคยเจอมาก่อน การที่ต้องนอนในมุ้งบาง ๆ ไว้กันยุงไม่มีแอร์ มีเพียงพัดลมและลมจากธรรมชาติที่พัดเอื่อย ๆ จนหนาวเหน็บ แต่ผมกลับถูกอ้อมกอดจากคนตัวใหญ่ที่ผมคุ้นเคย โอบกอดผมไว้อย่างปราณี ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพาผมมานอนห้องเขาและกอดผมไว้ … แต่ตอนนี้หัวใจของผมมันสงบสุขเหลือเกิน สงบจนผมอยากจะจมปักอยู่อย่างนี้ตลอดไป … ความรู้สึกที่ไม่ใช่ในฐานะผู้ใหญ่ที่ควรเคารพ แต่เป็นอะไรสักอย่าง … ที่ผมไม่คุ้นเคย …


//////////

เจอกัน พรุ่งนี้ค่ะ<3'

หัวข้อ: Re: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ ​​(อัพตอนที่ 6 -7)
เริ่มหัวข้อโดย: kunkai ที่ 13-04-2020 11:04:21
โว๊ว! ลุงทายเปรี้ยวมาก
หัวข้อ: Re: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ ​​(อัพตอนที่ 6 -7)
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 13-04-2020 12:06:54
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Little daddy พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ ​​(อัพตอนพิเศษวันพ่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 13-04-2020 15:31:19

*เนื่องด้วยเขียนไว้ในวันพ่อปีก่อนโน้นนะคะ

Little daddy

ตอนพิเศษ วันพ่อ




-ไม้-

           ย้อนกลับไปตอนที่พ่อโทนไปเรียนที่ต่างจังหวัดใหม่ ๆ ได้ 5 เดือน ผมเองก็ยังอยู่ ม.ต้น ใช้เงินที่มีซื้อโทรศัพท์เครื่องเล็ก ๆ เพื่อโทรหาพ่อโทนทุกวัน ในครั้งนี้โอกาสสำคัญคือใกล้วันพ่อแล้ว และก็นั้นแหละครับพ่อแท้ ๆ ของผมเขาไปสบายแล้ว ชีวิตของผมตอนนี้มีแค่พ่อโทนและปู่ทาย ตั้งแต่พ่อโทนไปเรียน ผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือน ๆ เดิม ตื่นเช้าทำอาหารให้พวกลุง ๆ กิน พวกเขาพากันบ่นตลอดว่าไม่อร่อยเพราะคุ้นชินกับรสมือเดิม แต่ก็เห็นเขากินหมดกันตลอด ไปเรียนกลับมาก็ซ้อมมวยและทำงานบ้านทุกอย่างก่อนจะโทรหาพ่อโทนก่อนนอนเหมือนทุกวัน

           “ทำไรไอ้ตัวแสบ” ผมยิ้มมองพระจันทร์ผ่านทางหน้าต่าง

           “อ่านหนังสือครับ พ่อโทนเหนื่อยไหมวันนี้”

           “เหนื่อยมั้ง ไม่เหนื่อยมั้ง” ง่ะ! หึหึ เราคุยกันเกือบชั่วโมงก่อนที่พ่อโทนจะวางสายไปเพราะต้องไปอ่านหนังสือเหมือนกัน ไม่เห็นสนใจเรื่องวันพ่อเลย อยากเจอหน้าจัง คิดถึงไม่เจอกันตั้งนานแล้ว ผมเหยียดยิ้มก่อนจะปิดหนังสือลงเอื้อมไปหยิบกระปุกหมูน้อยที่พ่อโทนซื้อให้ขึ้นมาวางไว้ตรงหน้า มันหนักแล้วนะ เพราะพ่อโทนแท้ ๆ ที่หยอดให้ผมตลอด …

.

.

.



           วันที่ 5 วันพ่อ แง๊ม อยากกลับบ้านไปกวนตีนพ่อชะมัด!!!

           “โทนหยิบปากกาให้เราหน่อยสิ”

   ผมส่งปากกาให้ไอ้เกื้อที่นั่งเขียนรายงานอยู่ข้าง ๆ ตาผมก็มองหมูที่กำลังร้องอู๊ด ๆ อยู่ เฮ้อ … คิดถึงบ้านจัง แต่ติดว่าพรุ่งนี้ผมมีเวรดูแลไก่แถมไม่มีเวรเปลี่ยนด้วยเขากลับบ้านกันหมด เฮ้อ … ป่านนี้ไอ้เจ้าไม้จะทำอะไรอยู่นะ เมื่อคืนก็ไม่ค่อยคุยกับผมมัวแต่ให้ผมพูดอยู่คนเดียวอยู่นั้นแหละ เอ้ แต่ปกติผมก็พูดคนเดียวอยู่แล้วนะ แฮ่ๆ

           “โทน!!!! ฟังอยู่รึเปล่า” 

           “อะไรตะโกนทำไม!” ผมหันไปค้อนใส่ไอ้เจ้าเกื้อที่อยู่ ๆ ก็มาตะโกนใส่หูผม พอผมหันไปก็หลบตาไม่กล้ามองหน้าแก้มงี้แดงเทือก อู้ย! ใครเอาสีมาทาแก้มมันวะ พ่อจะตีให้มือหัก ไม่แมนเลออออออออออออออ!

           “เอ๊า แล้วเอาซ้อมไปถือไว้ทำไม หิวหรอ อะ แบ่งกันกิน” ผมผลักข้าวกล่องไปด้านหน้าเจ้าเกื้อ มันทำหน้าจะร้องไห้ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ

           “เรา … บอกให้โทนหยิบปากกา แต่โทนหยิบซ้อมมาให้เรา …”

           “อ่า ขอโทษ” ผมว่าและหยิบปากกาให้มันเขียนรายงานต่อไป เฮ้อ …



คืดดดดดดดดดดดดดดดดด คืดดดดดดดดดดดด



           ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหลังจากที่มันสั่นเป็นเจ้าเข้า ยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าคนที่โทรมาเป็นตาลุงขี้เก็ก

           “ฮาวเหลลลลลลลลลลลล่”

           “ไอ้ไม้อยู่กับมึงรึเปล่า” ผมยิ้มกว้าง มามุกไหนอีกล่ะ ผมอยู่นี้แล้วเจ้าไม้มันจะมาอยู่กับผมได้ยังไงตลกล่ะ ชอบหลอกลูกเล่นอยู่เรื่อย ไม่มีอะไรทำหรือไงหรือว่าวันนี้วันพ่อเลยโทรมาหยอก กิ้วๆ น่ารักจังเลย

           “คิดถึงกันล่ะซิ๊ กลับสิ้นเดือนนะพ่อ จุ๊บๆ”

           “จุ๊บพ่อง ไอ้ไม้มันเขียนจดหมายว่าจะไปหามึงที่ขอนแก่น ไอ้หมานั้นหายไป” ผมสตั้น 2 วิ … พ่อเล่นบ้าอะไรไอ้เด็กนั้น 13 ขวบ นะและจะมานี้ได้ยังไง

           “อย่ามาล้อเล่นน่ะพ่อ ไม่มีอะไรทำหรือไง”

           “กูไม่ได้ล้อเล่นไอ้ห่า!”ผมสะอึกทันที … ห่าอะไรวะเนี้ย ไอ้เด็กนั้น … บ้าเอ้ย แล้วตอนนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง

           “ไอ้โทน ฟังกูรึเปล่า!”

           “พ่อโทรหามันหรือยัง”

           “โทรแล้วไม่ติด ยังไม่ครบ 24 ชั่วโมงเค้าไม่รับแจ้งความ แต่ข้าให้เพื่อนที่ขนส่งเช็คแล้ว บอกมีเด็กเดินตามหลังผู้ใหญ่มาซื้อบัตร บอกพ่อให้มาซื้อ ไอ้ห่านี้มันแสบจริง ๆ ” ตอนนี้สมองผมไม่ได้ฟังพ่อบ่นแล้วแต่กำลังวิตกกังวนอย่างหนัก ไอ้ลูกบ้ามาทำไม ตัวแค่นิดเดียวป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง ไอ้เด็กบ้านั้นจับได้นะ พ่อจะเตะให้ขาหลุดเลย!!!!!!

           “โทนๆ เป็นไรรึเปล่า ใครโทรมา ทำไมทำหน้าแบบนั้น จะไปไหนโทน ”หลังจากที่วางสายพ่อไปผมก็รีบเก็บของลงกระเป๋าในขณะที่นิ้วก็กดเบอร์ไอ้ห่าไม้แม้มเด็กผี พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน!!!

           “ครับพ่อโทน”

           “อยู่ไหนวะ! ไอ้เด็กเหี้ยมึงจะมานี้ทำห่าอะไร!!!” ผมตะหวาดเสียงดังลั่น จนไอ้เกื้อที่วิ่งตามผมมาสะดุ้งเฮือก

           “…”

           “เงียบทำห่าอะไร มึงอยู่ไหน!!!!!”

           “ขนส่งครับ … เพิ่งถึง”

           “มึงรอกูอยู่ตรงนั้นเลยนะ ถ้ากูไม่เจอมึง กูจะโกรธมึง ไอ้ลูกเวร!” หน่อย!!! มันคิดอะไรของมันอยู่

           “ไอ้เกื้ออยู่ดูแลหมูไปนะมึง เดี๋ยวกูจะรีบกลับมาช่วย” ผมว่าและบอกให้ลุงออกรถไปขนส่งให้ไว เจอตัวนะจะเตะให้ก้นลายเลยไอ้ลูกบ้า!!!!!

.

.

.



           หึ … แดกเป็นผีลงแบบนี้หิวมากล่ะสิ น่าจะปล่อยให้อดตายไม่น่าจะมาตามหา ผมมองไอ้เด็ก 7 ขวบที่สมองโตเป็นควายมากกว่าเด็กที่อายุเท่ากัน กำลังนั่งกินข้าวอาหารตามสั่งหน้าขนส่งอย่างเอาเป็นเอาตาย ภาพแรกที่ผมมาเห็นคือไอ้เด็กที่ไหนไม่รู้มาก็มาตัวเปล่า เงินติดตัวก็ใช้เป็นค่ารถหมดเหลือติดอยู่ที่ตัว 20 บาท ยังดีที่มีโทรศัพท์ติดตัวมาไม่อย่างงั้นจะเป็นยังไง คงไม่ได้มานั่งกินข้าวแก้มป่องอยู่ตรงหน้าผมหรอก

           “เอาเงินที่ไหนมา”

           “… งะ เงินเก็บครับ”       

           “มึงทุบกระปุกหรอ”

           “…” โมโหก็โมโห แต่พอเห็นหน้ามันแล้ว ผมก็โกรธได้ไม่สนิทใจ มันไม่ได้หนีเที่ยว ไม่ได้ตามเพื่อน แต่มันมาหาผม … โอ้ยจะบ้าตาย มันคิดอะไรของมันอยู่วะ แถมไม่บอกใครที่บ้านหรือให้ใครพามาด้วย       “แล้วมาทำไม”มันเงยหน้าผมอย่างกลัว ๆ ก่อนจะก้มลงไปค้นในกระเป๋าตัวเอง คว้าเอาถุง พลาสติกเน่า ๆ ขึ้นมาและทำอะไรยุกยิกอยู่ใต้โต๊ะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมเหมือนจะไม่ให้ผมแอบมอง ผมมองการกระทำมันอย่างหงุดหงิด ยังไม่ได้คิดบัญชีที่หนีมา และนี้เกิดบ้าอะไรอีกก็ไม่รู้

           “ทำไรว …”

           “วันนี้วันพ่อ พอดีผมทำไว้ในชั่วโมงหัตถกรรม ผมอยากให้พ่อโทนผมเลยมาหา …”  ผมนิ่งมองพวงมาลัยที่เริ่มเหี่ยว แถมสภาพยังดูบิดเบี้ยวๆดอกกุหลาบตรงปลายๆก็กลีบหลุดหมดแล้วด้วย หึ น่าหมั้นเขี้ยวชะมัดใครสั่งใครสอนให้น่ารักแบบนี้วะ … เดี๋ยวนะ ไม่ใช่สิผมต้องโกรธมันที่หนีมา

           “เอ่อ … มันไม่สวยแล้วไว้ผมทำให้ใหม่นะ”

           “ไม่ เอามา” ผมว่าและเอื้อมตัวไปคว้าเอาพวงมาลัยตัวเองมา นี้ผมเข้าใกล้คำว่าพ่อคนมาอีกก้าวนึงแล้วสินะ คึก คึก

           “ชอบไหมครับ”

           “ชอบ เอ้ย! ไม่ต้องมาคุยเลยกูยังโกรธอยู่ กินเสร็จยังเสร็จแล้วก็ตามมา”ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นไปจ่ายตัง ป้าเจ้าของร้านพาไอ้เด็กหัวโต อยากจะพามันไปเช็คจริงๆว่าไอคิวในสมองมันนี้ทะลุ 300 รึเปล่า อยู่ ๆมือผมก็ถูกจับเบา ๆ สงสัยไม่เคยเจอคนเยอะ หึ กล้ามากที่มาโดยไม่รู้อะไรเลย

           “พ่อโทน … ผม” ไอ้เด็กนี้อึกอักเหมือนจะพูดอะไร แน่ล่ะ ผมพามันมาต่อแถวซื้อตั๋วนี้หน่า ฮ่าๆๆๆ สงสัยกลัวผมจะพากลับบ้าน เฮ้อ วันนี้วันเสาร์ค่อยให้พ่อมารับมันพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้ขอแกล้งมันคืนนิดนึง นิสัยแบบนี้ต้องแกล้งซะให้เข็ด วันหลังจะได้ไม่ทำอีก ผมรู้ว่าเด็กนี้เก่งเอาตัวรอดได้ แต่ไม่โชคดีแบบนี้เสมอไปหรอกนะ

           “อะไร” ผมแกล้งดึงมือออกจากมือไอ้เจ้าไม้ มันนี้รีบตะครุบมือผมก้มหน้านิ่งสลดหดหู่เลย ฮ่าๆๆๆๆ

           “ผมขอโทษ … ผมแค่อยากเจอพ่อโทน ผมคิดถึง ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เหล่มองไปทางอื่น ไม่ผมจะไม่สบตาประกายวิ้ง ๆ นี้เด็ดขาด!

           “ผมแค่คิดว่า วันพ่อ ผมควรจะอยู่กับพ่อโทน แต่พ่อโทนก็ไม่ว่างกลับบ้าน ผมก็เลยมาหา”

           “รู้ไหมมันอันตราย ใครต่อใครเขาก็เป็นห่วง”

           “…” มันพยักหน้าน้ำตาคลอเบ้าเงยมองผม

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพาเดินออกมาจากขนส่ง พาขึ้นรถเม เออ! ขามากูรีบโดนค่าแท็กซี่ไป 200 ขากลับกูชิว ๆ พาลูกขึ้นรถเมเผชิญโลกกว้าง ฮ่าๆๆๆ พอหาที่หลังเหมาะได้ผมก็เริ่มที่จะซักถามไอ้เด็กบ้า

           “มาถึงนี้กี่โมง”

           “ถึงตอนที่พ่อโทนโทรมาพอดีครับ”

           “ไม่คิดจะโทรบอกกูเลยใช่ไหม” ผมถาม ไอ้เด็กนั้นหลบตาผม แต่ยังจับมือผมไม่ปล่อย มืออีกข้างก็กำพวงมาลัยที่ให้ผมแต่ผมฝากไว้ก่อน แน่นจนพวงมาลัยช้ำหมดแล้ว สงสัยจะกลัวผมโกรธเอาจริงๆ ตอนแรกก็โกรธแหละแต่หลังจากเจอสายตามุ้งมิ้งบีมเข้าไปก็หายล่ะ แต่บอกเลยแอ็คไว้ก่อนเดี๋ยวเด็กได้ใจ

           “ถามทำไมไม่ตอบ”

           “… ผมรู้ว่าพ่อโทนจะไม่ให้มา … ผมรู้ว่าปู่ทายจะไม่พามา ผมเลย…”

           “หนีมา”

           “ค ครับ พ่อโทนอย่างโกรธผมเลยนะ ผมขอโทษ ผมแค่อยากเจอพ่อโทน” ผมก้มหน้าก้มตาพูด สาดดดดดดดดดดด เขินเว่อร์ ผมนี้มีลูกน่ารักขนาดนี้เลยอ่ะ คิกๆ นี้สินะความเป็นพ่อคน บอกแล้วไม่มีเมียก็เป็นพ่อคนได้ เชอะๆ ต้องสมน้ำหน้าผู้หญิงทั้งหลายที่มองข้าม ผู้ชายหน้าหล่อมาดแมนแฮนซัมอย่างโผ้มมมมมมมม

           “พรุ่งนี้เย็น ๆ กูจะให้พ่อมารับมึง คืนนี้นอนกับกูได้คืนนึง แต่ห้ามรบกวนเวลาอ่านหนังสือ ห้ามงอแง เข้าใจไหม”

   ไอ้เด็กนั้นยิ้มร่าก่อนจะพยักหน้าเข้ามากอดเอวผมไว้แน่น หัวซุกตักออดอ้อนเหมือนลูกแมวตัวน้อย หึ โตก็โตเป็นควายและไอ้เด็กน้อย ไม่ทันไรก็หลับคาตักผมไปไม่สนใจรถเมที่โคลงเคลงไปมาน่าเวียนหัว ผมเอามือรองหัวไว้ไม่ให้ขยับมากนัก ตบเบาๆที่หลังเหมือนกล่อมให้หลับสนิท ก้มมองดูหน้าตาน่ารักน่าชังแล้วก็อดยิ้มอย่างอ่อนใจไม่ได้ไอ้เด็กโง่เอ้ย เหนื่อยมากสินะ พักซะไอ้ลูกรัก

           “นี้ใครอะโทน ไม้หรอ” ไอ้เกื้อวิ่งมาหาผมที่แบกเด็กตัวยักย์หนักเป็นควายขึ้นหลังเดินเข้ามาในมหาลัย ต้องมาหาไอ้เกื้อก่อนยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยนเวร โดยการหอบหิ้วไอ้เด็กหลับลึกที่ไม่รู้หลอกให้ผมแบกรึเปล่า ตอนแรกก็ซึ้งๆล่ะนะ แต่แหม พอมันให้กูแบกปุ๊บ หายซึ้งเลยครับ อยากจะเตะตูดให้ลาย งึมๆๆๆๆๆ

           “น่ารักจังเลย แก้มยุ้ย ขนตาเยอะด้วย คิกๆ ตัวก็สู๊งสูง”

           “เอ่อ … กูขอกลับหอพาเด็กนี้ไปนอนก่อนได้ปะวะ” ผมพูดขึ้นอย่างเกรงใจในขณะที่ไอ้เกื้อเดินมาส่องเจ้าไม้บนหลังผมวันทั้งวันไอ้เกื้อเป็นคนอยู่ดูแลคนเดียว

           “ไปได้เลย เดี๋ยวเกื้อก็จะกลับแล้วรอพี่โชคมาแทน อีกครึ่งชั่วโมงก็มาแล้ว”

           “ไอ้เกื้อวันนี้ขอบใจมึงมาก”

           “มะ มะ ไม่เป็นไร” บิดอีกล่ะ บิดอีกล่ะ แหมนะ ระวังไส้บิดนะเอ็งนะ!!!

.

.

.



           6 ปีแล้วมั้ง หลังจากวันนั้น ที่ผมต้องไปรับไอ้เด็กบ้าที่เสร่อไปหาผมถึงขอนแก่น เพียงเพราะวันนั้นเป็นวันพ่อ ผมหัวเราะคิกคักก้มดูรูปในโทรศัพท์ตัวเองที่มีรูปไอ้เด็กหัวฟูหน้ามอมชูสองนิ้วยิ้มหวานใส่กล้อง ในขณะที่อยู่หน้าเตาหมูกระทะ เลื่อนต่อมาก็รูปผมกับเจ้าเด็กบ้า ในรูปไอ้เด็กนั้นป้อนหมูใส่ปากผม วันนั้นเรามีความสุขกันมาก ซึ่งหลังจากวันพ่อปีนั้นวันพ่อทุกปีไอ้เด็กนั้นก็จะอ้อนให้ปู่ทายพาไปหาผมถึงมหาลัยผมนี้ห้ามแล้วห้ามอีก มีสองสามปีหลังนี้แหละที่ผมห้ามไม่ให้มาเด็ดขาดเพราะผมไม่อยากคิดถึงจนไม่เป็นอันทำอะไรอีก เพราะหลังจากนั้นผมค่อนข้างที่จะเรียนหนักมาก ถ้าผมมัวแต่คิดถึง เป้าหมายที่ผมมีในวันนี้คงไม่สวยงามแบบนี้ผมยังเก็บพวงมาลัยป๊องแป๊งก๊องแก๊งพวงแรกที่ไอ้ลูกบ้านั้นไว้ในกล่องสมบัติอย่างดี สภาพมันแห้งกรอบแต่นั้นก็มีความหมายต่อจิตใจผมมาก แล้ววันนี้ก็วันพ่อ ลูกผมจะให้อะไรรึเปล่าน้า

           “ไอ้โทน ไอ้ไม้ อยู่แถวนี้รึเปล่า” พ่อผมโผล่เข้ามาในคลินิกของผม ผมเงยหน้ามองก่อนจะขมวดคิ้ว มาตามหาอะไรถึงนี้ไอ้ไม้วันเสาร์แบบนี้ก็ต้องซ้อมมวยอยู่แล้วนี้

           “ไม่อยู่อ่ะพ่อ”

           “มันไปไหนวะ อ้าวแล้วนี้เพื่อนเอ็งล่ะ”

           “ถามไมอะ”

           “ว๊ะ ไอ้นี้ ถามไม่ได้หรือไง”

           “อ้าวขึ้นเสียงทำไมอ่ะ! โด่ววววว มันก็กลับไปหาพ่อหาแม่มันมั่งสิ ”

           “กวนตีนไอ้ห่า วันพ่อพูดจาดี ๆ หน่อย”

           “แง๊ะ บอกตัวเองก็เถอะตาลู๊งงง งงงงงงงงง งงงงงงง”

   ผมขึ้นเสียงสูงก่อนจะวิ่งไปหลบหลังเคาเตอร์เมื่อเห็นพ่อจะวิ่งเข้ามาเอามือเพ่นหัวผมแยก พูดเล่นนิดหน่อยไม่ได้เลย ผมเม้มปากก่อนจะค่อย ๆ ล้วงเอาถุงสีแดงเล็ก ๆ ด้านในเสื้อกาวออกมา วางมันลงหน้าเคาเตอร์แต่ยังไม่กล้าจะโผล่หัวขึ้นไป ตาลุงตัวยักษ์จะตีผมอ่ะ แง๊ม ๆ เดี๋ยวก็ไม่ให้ซะหรอก แบร่ๆ ขี้แกล้ง!!!

           “อะไรของมึง”

           “ทองไง เอาไหมซื้อให้” ผมโผล่หน้าขึ้นไปแค่ครึ่งหน้าและพูดเสียงดัง เขินอะ ซื้อให้เฉยๆนะ ไม่รักหรอก ตาลุงเม้มปากก่อนจะเดินเข้ามากนากถุงทองผมไป แม้มมมมมมมมมม 2 บาทเลยนะ น้ำพักน้ำแรงผมเลยนะ โด่ววววววววทำดี ๆ หน่อยสิ เดี๋ยวปั๊ด เอาคืนซะนี้!!!

           “ว้าเว้ย ทองปลอมปะวะ น้ำหน้าอย่างมึงซื้อทองให้กูเนี้ยนะ ทองม้วนกูว่าหรูแล้ว หึหึ” หยาบคาย!!! ผมหน้างอ ยืนขึ้นวิ่งไปแย่งทองคืน แต่ตาลุงนี้สูงเกินเอาไม่ถึงอะ

           “หึ ไปแดกนมให้ตัวสูงๆนะ เอ๊ะ แต่กูว่าไม่สูงล่ะ กูไปละตามหาไอ้เด็กเปรตก่อน โดดซ้อมกูเฉยเลยไอ้ห่านี้”แล้วตาลุงก็เดินออกไปจากร้านผม หึ น้อยใจแล้ว งอนๆๆๆๆๆ มาว่าแค่ทองม้วนก็หรูแล้วได้ไง ได้เลยปีหน้าจะให้ทองม้วน!!!!!!

           “… ปู่ไปแล้วหรอครับ” ผมสะดุ้งหันไปมองช้าๆ กูนึกว่าผีไอ้ห่า เข้าไปแอบในห้องตรวจผมตั้งแต่เมื่อไหร่ เข้ามาตอนไหน และเข้าไปทำไม !!! ไอ้เด็กผี ดีก็ไม่ลั่นขี้เยี่ยวแตก

           “เออ แล้วไปแอบตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมว่าและเดินเข้าไปหามัน เด็กอายุ 18 นี้มันโตกว่าผมได้ยังไง ตัวสูงเป็นเปรตเลย สงสัยตาลุงเลี้ยงดีไปนิด(ส์)

           “อย่าเพิ่งเข้ามาครับ ผมมาทางหน้าต่าง เอ่อ ถอยออกไปก่อนนะครับแปปนึง” และไอ้เด็กแสบก็หายเข้าไปในห้อง ปิดประตูดังปัง คือแบบว่า …อะไรจะลึกลับปานนั้นหรือพาสาวมาแนะนำวะ เฮ้ยๆๆๆๆ และมาทางหน้าต่างอีก … บ้าล่ะ กูเนี้ยบ้าล่ะ!!!

           ไม่ทันอึดใจประตูก็เปิดออก ไอ้เด็กหน้าตาทะเล้นค่อย ๆ ยื่นหน้าออกมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผมก่อนจะเดินออกมาแต่ที่หน้าแปลกคือมันหันหลังเดินถอยหลังออกมา แปลก … ยังไม่ทันที่ผมจะงงไปมากกว่านี้ก็ต้องตาโตเป็นไข่ห่านสะดุดกับเค้กปอนใหญ่ที่ตกแต่งเป็นรูปดอกมะลิสีขาวสวยงาม … เอ่อ มันก็ไม่ได้สวยแบบในรูปที่ผมเห็นหรอกอาจจะเบี้ยวอาจจะเละไปบ้างแต่มันสวยในสายตาผมมาก แค่นั้นยังไม่พอที่มือมันยังมีช่อดอกมะลิที่ห่อด้วยใบตองเล็กๆติดมือมาด้วย … ถึงว่ากลิ่นเค้กอุ่นๆนี้มาจากไหน มาจากตัวไอ้เด็กน้อยนี้เอง …

           “พ่อโทนครับ”

           “อะ อะไร” ผมตะกุกตะกักหันไปทางอื่น แต่ก็เหลือบมามองเค้กเป็นระยะๆ จะกินได้ไหมนะ ไปซื้อจากร้านไหนมานะ น่าอร่อยจัง

           “นั่งก่อนนะครับ ผมหนัก” … แง๊มมมมมมมมมมมมมมม ! นึกว่าจะพูดว่าอะไร !!! ผมกัดปากเดินไปนั่งเก้าอี้ใกล้ๆเคาเตอร์ ไอ้ลูกบ้าเดินตามมาเอาเค้กวางไว้ข้างๆผม ตัวเองนั่งคุกเข่าลงกับพื้น คะ คือ บะ แบบว่า ฮืออออออออ จะทำอารายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

           “ดะ เดี๋ยว จะทำอะไร”

           “หึหึ … ผมรักพ่อโทนนะครับ ขอบคุณที่ดูแลผม ขอบคุณที่รักผม ขอบคุณมากๆ ผมรักพ่อโทนจริงๆ เค้กนั้นผมก็ทำให้พ่อโทนคนเดียว อยากให้พ่อโทนกินเยอะ ๆ จะได้อ้วนน่ารัก ๆ สุขสันต์วันพ่อนะครับ” แล้วไอ้เด็กนี้ก็ก้มลงกราบแนบเท้าผมไม่พอยังจูบลงเท้าผมด้วย ฮือออออออออออออออออ ผมรีบลงไปคว้าหัวลูกผมขึ้นมาทันที

           “ไอ้เด็กบ้า สกปรก ขึ้นมานั่งดี ๆ ” ไอ้เด็กไม้เหยียดยิ้มก่อนจะส่ายหัวไปมาช้าโถมเข้ากอดผมเหมือนเด็กๆ ผมเม้มปากเป็นทางยาวก่อนจะลูบหัวของมันเบา ๆ …เจ้าเล่ห์นักนะ ฮืออออออออ เขินอะ !

           “รักมากๆเลยนะครับพ่อโทนของผม ”

           “เออ รู้แล้ว” ผมว่าและจูบลงขมับมันเบาๆ หึ ตัวมันมีแต่กลิ่นเค้กวานิลลา …ไปหัดทำที่ไหนมา และเด็กผู้ชายตัวโตๆอย่างมันไปทำเค้ก ไม่เหมาะกับหน้าเอาซะเลยนะ

           “อะ แอ่ม!!!!”

           “ปู่!!!!” ไอ้เด็กนั้นสะอึกพูดขึ้นเมื่อหันไปเห็นตาลุงยืนทำหน้าตาเจ้าเล่ห์โหดเหี้ยมอยู่ ตายล่ะลูกกูจะโดนยักษ์ฆ่าฉลองวันพ่อไหมเนี้ย!!!!

           “พ่อมึงมาแล้วข้ามหัวกูเลยนะไอ้ห่า ไปซ้อมฉลองวันพ่อกันหน่อยไหม”

           “โด่วพ่อ ให้พ่อลูกเขาฉลองกันหน่อยไหมล่ะ” ผมว่าและกอดเจ้าไม้แน่น ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของไอ้ลูกผม ชอบใช่ม๊า โดนกอดเนี้ย ฮ่าๆๆๆ นี้แหนะ ผมกอดแน่นขึ้นเหมือนแกล้ง เจ้าไม้แต่แหมไม่บ่นสักคำ อึดเป็นควายเลยยยยยย!!!

           “หึหึ เออ ๆ ไหนมีไรให้ข้ากินบ้าง โอ้ เค้กหรอ ขอนะ จะเอาไปให้พวกไอ้แตงกวากินกับนังมีมี่กิน” ว่าแล้วเค้กของผมก็ถูกแย่งไปและหายไปอย่างรวดเร็ว ผมมองหน้ากับเจ้าไม้ก่อนจะพากันวิ่งโวยวายตามหลังตาแก่ขี้ขโมยไป ฮือออออ เค้กของผมจะเอาไปให้หมากินได้ยังไง ไม่ยอมนะ ไม่ยอม

           “ผมรักพ่อโทนนะ”

           “พูดอะไรตอนนี้เล่า!” ผมหันไปแว๊ดใส่ กำลังจะไปเอาเค้กคืนนี้ก็พูดมากจัง

           “รักนะครับ รักมากๆ”

           “เออ รักเหมือนกัน” ผมยิ้มแป้นหน้าแดงมากแน่ๆ

           

สุขสันต์วันพ่อ สุดๆไปเลยคร้าบบบบบบ …



หัวข้อ: พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์ พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ {ปู่ทายXเกื้อกูล 1} 14/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 14-04-2020 12:52:12

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

{ปู่ทายXเกื้อกูล 1}



-เกื้อ-

           “หนูเกื้อ ตื่นหรือยังลูกแม่”

           “ตื่นแล้วครับ” ผมยิ้มให้กับคนสวยในโทรศัพท์ที่โทรมาปลุกผมแต่เช้า เพราะเดี๋ยวสายๆผมต้องเข้ากรุงเทพเตรียมตัวสำหรับงานแต่งพี่กายกับพี่เมย์ในวันมะรืนนี้ ทั้งคู่มีชีวิตที่น่าอิจฉามาก คบกันตั้งแต่ มัธยมปลายคบไปคบมาแต่งงานกันซะแล้ว มันเป็นความรักที่สวยงามมาก …

           “ครับผม ทานข้าวทานปลานะครับ สักพักคนขับรถน่าจะไปถึงแล้ว แล้วนี้หนูโทนกับครอบครัวจะมาด้วยใช่ไหม” ผมขานรับ โทนกับลุงทายลูกไม้และคนอื่นๆจะไปร่วมงานเช่นเดียวกันทันทีที่พวกเขารู้ข่าว เขาก็โทรไปจองโรงแรมใกล้บ้านผมกันทันที ตอนแรกผมอยากให้พวกเขาไปพักที่บ้านผม แต่ลุงทายไม่ยอม … ผมก็ไม่อยากขัด ลุงทายดูดุเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น … แต่เขาอ่อนโยนนะ …

           “เกื้อลูก” ผมสะดุ้งจากเสียงคุณแม่ที่เรียกผมจากในสาย … เผลอกุมแก้วโกโก้ร้อนแน่นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ …

           “แม่ครับ เกื้อขอไปดูร้านก่อนนะครับ โทนคงกำลังไปขนของเข้าร้านและเตรียมปิดแล้ว แล้วเจอกันนะครับแม่” คุณแม่ขานรับผมก่อนจะวางสายไป

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่มองออกไปที่หน้าต่างใบหลิวพัดปลิวไปตามลม โยกสะพัดคล้ายกับเต้นระบำให้ดู ผมเดินออกไปนั่งเก้าที่ชานบ้านวิวตรงนี้เห็นทุ่งนาใกล้สุดลูกหูลูกตา ผมซื้อบ้านหลังนี้ต่อจากคุณลุงที่เป็นเพื่อนกับลุงทายในราคาที่คุ้มกับบรรยากาศรอบข้างมาก ...  ในตอนแรกลุงทายกับโทนจะให้ผมพักอยู่ที่บ้านเขาถาวร แต่ผมเกรงใจดื้อรั้นจนออกมาซื้อบ้านอยู่ได้ เขาพากันโกรธผมอยู่หลายวันเลยทีเดียว … แต่ผมก็ไม่เหงาแม้แต่น้อยถึงจะอยู่บ้านหลังน้อย ๆ นี้คนเดียว … เพราะลุงทายนักจะแวะเวียนมาอยู่เป็นเพื่อนผมตลอดในเวลากลางคืนที่ผมต้องอยู่คนเดียว …

           “ทำไร” ผมสะดุ้งขนลุกซู่ หันไปมองด้านหลังช้าๆ ละ ลุงทายมายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แถมการแต่งตัวก็แปลกไปจากเดิมด้วย … ใส่สูทแล้วหล่อจัง

           “มะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

           “ก็นานพอจะเห็นท่าทีเอ๋อ ๆ นี้แหละ ข้าจะมาบอกเอ็งว่างานแต่งพี่เอ็งข้าไปไม่ได้แล้วนะ”

           “… ครับ” ผมก้มหน้ามองแก้วโกโก้ตัวเอง … ทำไมล่ะ นัดกันไว้แล้วว่าจะไปด้วยกัน ทำไมถึงไปไม่ได้ละ

           “หึหึ ทำไมทำหน้าแบบนั้น เอ๋อนักหรือไง” ผมส่ายหน้าไม่อย่างมองหน้าแล้วลุงทายบ้า

           “ดื้อนะ ไม่ฟังกันเลยหรือไง”

           “ไหนบอกว่าว่างไง” ผมตะกุกตะกักพูดขึ้น หน้าผมร้อนฉ่าเมื่อเขาเข้ามาใกล้ผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมที่เคยรุงรังของเขาถูกเก็บเรียบไปด้านหลังใบหน้าที่ถูกตกแต่งหนวดให้น่าดูนั้น ชุดสูทสีน้ำตาลเข้มกับเนคไทนั้นทำให้เขาดูเป็นหล่อขึ้นอีกขั้น …

           “หึหึ ข้าว่าน้อยคนนะที่จะมาเห็นด้านความดื้อของเอ็งแบบนี้ … ข้าจะต้องไปงานเลี้ยงประธานจังหวัด ข้ากลัวไปงานพี่ชายเอ็งไม่ทันคืนพรุ่งนี้ ...”

           “ทันสิ … ยังไงก็ทันถ้าลุงจะไป”

           “เอ็งไม่อายหรือไงที่บ้านนอกอย่างพวกข้าไปงานหรูหราแบบนั้น” ผมส่ายหัวจนผมสะบัด … ใครที่ไหนจะอาย ไม่มีใครอายสักหน่อย บ้านนั้นเขาดูดีกันทั้งบ้านอีกอย่างผมก็ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นบ้านนอกสักหน่อย และถึงเขาจะเป็นบ้านนอกหรือบ้านไหน แต่ผมก็ไม่แคร์สักนิด ทำไมต้องแคร์ด้วย คนเหมือนกันนี้หน่า … ทำไมเขาคิดแบบนั้น

           “เลิกหน้างอได้แล้ว ทันก็ทัน ข้าอาจจะไม่ได้กลับบ้านคืนนี้และอาจจะไปไม่ทัน”

           “ใครสน”

           “เอ็งนี้! ดื้อด้านจัง” เขาเอานิ้วมาจิ้มแก้มผม เหอะ … คนบ้า

           “หน้าเอ็งนี้มีเส้นเลือดใหญ่เยอะเกินไปนะ โกรธก็หน้าแดง เขินก็หน้าแดง ข้าล่ะอย่างให้ใครต่อใครเวลาปากเอ็งจะเชิดขึ้นไปปิดจมูกตอนนี้จริง ๆ ” ใช่สิ ผมมันนิสัยไม่ดีนี้ ลุงทายนั้นแหละไม่ดีที่สุด ผมไม่ได้เป็นเหมือนที่คนอื่นเห็นและผมก็ไม่ได้อ่อนแอด้วย … เชอะ ไม่ต้องมายุ่งเลยนะ

           “งอนได้งอนดี ข้าต้องไปแล้วนะ กว่าจะเดินทางไปถึงคงเย็นแล้วล่ะ”

           “ไปตอนนี้เลยหรอครับ”ผมหันไปถามหน้าแดงผ่าว … อยากจะร้องไห้ งอนก็งอน เป็นห่วงก็เป็นห่วง

           “เออ จากนี้หลายกิโลกว่าจะถึง ข้าจะต้องแวะรับเพื่อนอีกหลายคนด้วย เอ็งก็อย่าดื้ออย่าซนและข้าจะพยายามไปให้ทัน” มือใหญ่วางแหมะลงที่ศีรษะของผมขยี้เบา ๆ รอยยิ้มอ่อนโยนแบบนั้นก็น้อยคนเหมือนกันแหละที่จะได้เห็นไม่ต่างจากนิสัยดื้อของผมหรอก

   “มาให้ทันนะครับ”ผมก้มหน้าอยู่ ๆ ก็รู้สึกเขิน … ก็ไม่เคยเห็นเค้าแบบนี้นี้หน่า … 

.

.

.



           “ไอ้ไม้ ยืนเฉยๆ”

   เสียงโทนดุไม้ที่หลุกหลิกไปมาเพราะความรำคาญชุดสูทสีฟ้าของตัวเอง แต่ก็ต้องอยู่นิ่งเมื่อโทนดุขึ้น … เรามาถึงกรุงเทพกันเมื่อชั่วโมงที่แล้วคุณแม่ก็โทรตามให้ไปกินข้าวที่บ้าน โทนเลยต้องจับไม้แต่งตัวยกใหญ่ ทั้งที่ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องเกร็งแต่ไม่ว่าจะครั้งโทนก็มักจะเกร็งเวลาต้องไปบ้านผมเสมอๆ น่ารักจริง ๆ โทนดูเป็นคนก้าวร้าวแค่ภายนอกแต่ด้านในแล้วเป็นเด็กน้อยง๊องแง๊งมาก มองไปมองมา ลูกไม้ยังดูโตกว่าโทนด้วยล่ะ คิกๆ

           “หัวเราะอะไร”  ผมส่ายหน้าพรืดเมื่อโทนหันมาดุผมด้วยอีกคน อิอิ เขินอ่ะ เห็นด้วยว่าผมแอบขำ แต่ก็น่ารักจริงๆนะพ่อลูกคู่นี้ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะ

           “เชอะ ข้าแต่งตัวบ้างล่ะ ลูกหล่อแล้วเดี๋ยวพ่อจะสู้ไม่ได้ ” ว่าและโทนก็วิ่งเข้าห้องน้ำไป ผมหันไปมองไม้ที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ หล่อครบสูตรอยู่ ดูทำหน้าเข้าจะเกร็งไปไหน เขามองไปรอบห้องอย่างกลัวๆ จริงอยู่ที่โรงแรมที่ผมจองให้อาจจะใหญ่และหรูไปสักหน่อย แต่ก็ไม่เห็นต้องทำท่าทางแบบนั้นเลยนี้หน่า

           “ไม้ดูหนังไหม ดูได้นะ เดี๋ยวพี่เปิดให้ดู”

           “ขะ ขอบคุณครับ” ไม่ดื้อไม่ซนเลยแหะ ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวจัง ผมเปิดหนังให้ไม้ดู ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ เหลือบมองด้านข้างของลูกไม้อยู่ไม่ให้เจ้าตัวรู้ตัว เด็กคนนี้โตไปต้องหน้าตาดีแน่ๆ

           “พี่เกื้อตอนที่เรียนกับพ่อโทน มีคนมาเกาะแกะพ่อโทนไหมครับ” ผมตกใจเมื่ออยู่ๆไม้ก็หันมาถามผม จนต้องก้มหน้าหลบตาแทบไม่ทัน

           “กะ กะ ก็มีนะ”

           “ใครหรอครับ แล้วผู้หญิงหรือผู้ชาย”

           “อ่า …. รุ่นพี่น่ะ ผะ ผู้ชาย แต่โทนไม่สนใจเลยนะ ใจแข็งมาก ๆ ” ผมว่าต่อ ละทำไมผมต้องลนลานแก้ตัวให้ด้วยล่ะ ก็ไม้อ่ะทำหน้าตาโหดอ่ะ ผมกลัวแล้วนะ

           “…แล้ว”

           “ไม้เข้ามานี้หน่อยยยยยยย” เสียงโทนดังออกมาจากในห้อง ไม้หน้าบึ้งตึงก่อนจะยิ้มเหี้ยม ๆ ก่อนจะเปลี่ยนหน้าเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์น่ารักภายในพริบตาและเดินเข้าไปในห้อง ฮูย … เด็กอะไรกันเนี้ย

ครืดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดด

           ผมมองโทรศัพท์ในมือตัวเองที่สั่นอยู่และต้องยิ้มอย่างไม่รู้ตัวเมื่อขึ้นสายว่าใครโทรมา … จนบัดนี้โทนยังไม่รู้เลยว่าผมมีเบอร์ลุงทาย ก็ผมไม่ได้เมมชื่อตรงๆแต่เมมว่า คุณโหด นี้น่า … มันเขินอ่ะ …

           “ครับ”

           “ถึงกันแล้วใช่ไหม”

           “ครับผม … ตอนนี้ลุงทายทำอะไรครับ”

           “คั่วโคโยตี้”

           “… ขี้จุ๊” ผมบ่นหงุบหงิบ … นิสัยไม่ดี ขี้แกล้ง รอบข้างออกจะเงียบขนาดนั้นจะมีโคโยตี้ได้ยังไง

           “หึหึ ไอ้โทนกับไอ้ไม้ดื้อก็อย่าไปถือสามันละ เดี๋ยวพวกไอ้จันทร์จะเข้าไปพรุ่งนี้พร้อมข้า”

           “ไหนบอกว่ามาไม่ทันไง”

           “ก็ขี้จุ๊ไง”

           “… แว่” ผมแลบลิ้นปลิ้นตาใส่คนในโทรศัพท์

           “รีบมานะครับ”

           “เออ พูดมากจังมึง”

           “อย่าดุนักสิครับ”

           “พี่ทายคะ คุณอธิการเรียกแล้วค่ะ”

           “แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน” แล้วลุงทายก็วางไป … ผมยังไม่ทันได้บอกฝันดีเลย … เมื่อกี้เสียงใครนะ เสียงหวานมากเลย …

           “คุณหญิงคะ คุณหนูเกื้อกลับมาแล้วค่ะ คุณหนูโทนก็มาด้วยค่ะ” พี่จอยร้องลั่นบ้านทันทีที่เห็นผมเดินลงมาจากรถเท่านั้นแหละทั้งคุณแม่ และคนอื่นๆในบ้านพากันมารับผมถึงหน้าบ้าน พี่กายกับพี่เมย์ก็อยู่ด้วยขนาดอยู่ข้างกันแท้ ๆ ยังจะโอบหลังกันอีก … อยากมีคนรักแบบนี้มั่งจัง ผมอิจฉา

           “ว่าไงไอ้น้องเขินอะไรพี่ หึหึ สวัสดีครับน้องโทนนี้ใครเอ่ย น่าตาคมเข้มเชียว โตไปคงหล่อน่าดู” ผมยิ้มให้พี่กายก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดคุณแม่ สวยวันสวยคืนเลย ขนาดไม่แต่งหน้ายังหน้าใสกิ๊กอ่อนต่อวัยขนาดนี้ … แม่ผมเอง อิอิ

           “ลูกโทนที่เคยเล่าให้ฟังไงพี่ คุณแม่สวัสดีครับ สวยขึ้นจมเลย ป้าใจ ป้าน้อย ลุงชาติ สวัสดีนะครับ” และโทนก็เริ่มเดินสายไปหาคนโน้นทีคนนี้ที เจ้าไม้เด็กเจ้าเล่ห์ก็มือไม้อ่อนยกมือไหว้ทุกคนเหมือนกัน สงสัยได้วิชาพ่อมาเยอะ

           “ไปลูกไปกินข้าวกันเถอะ แล้วค่อยว่ากัน” คุณแม่เดินพาผมเข้าบ้านส่วนโทนกับลูกไม้ก็โดนแฟนคลับเดินตามผมเข้ามา เชื่อแล้วว่าโทนเป็นมิตรกับทุกคนจริงๆขนาดพี่คนใช้ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ยังหัวเราะกิ๊กขนาดนี้ ผมอยากเป็นแบบนั้นบ้างทุกคนมองผมว่าบอบบางแต่ก็นั้นแหละอาจจะเป็นเพราะผมขี้อายเกินไปก็ได้

           “ที่โรงพยาบาลเป็นไงบ้างลูก สัตว์ป่วยเยอะไหม ลำบากไหมลูก”

           “ไม่เลยครับสนุกดี เกื้อชอบอู้ครับ อิอิ”

           “ต๊ายยยย เอ็นดู แล้วหนูไม้ล่ะอายุเท่าไหร่แล้ว หล่อเชียว”

           “จะ 18 แล้วครับ”

           “โฮ้ยยยยย เด็กหล่อนะ ทำไมไม่เกิดไวกว่านี้จ้ะ พ่อหนุ่มน้อย”

           “แหมมมมม พี่เมย์” เจ้าโทนล้อเลียน พี่เมย์หัวเราะกิ๊ก ซบลงไหล่หนา ๆ ของพี่กาย

           “เป็นอะไรเกื้อนั่งนิ่งเชียว” โทนหันมาถามผมหลังจากที่พูดเป็นต่อยหอยจนทุกคนกินข้าวเสร็จและผ่านไปอย่างสนุกสนาน ผมหันไปยิ้มให้โทน

           “ไม่สบายหรือเปล่าลูก”

           “เปล่าครับ”

           “คิดถึงใครรึเปล่า พี่เห็นเราจ้องแต่โทรศัพท์ตลอดเลยนะ”

           “ปะ ปะ เปล่าครับ พี่กายบ้า”

           “เอ๊า ด่าอีก” ทุกคนในโต๊ะก็หัวเราะครืนมีแต่ผมพี่ทำหน้างอคาดโทษทุกคน คุณแม่ที่นั่งข้าง ๆ ดึงผมเข้าไปกอดปลอบและปรามทุกคนให้หยุดแต่คุณแม่เองก็ยังขำๆ แง่มมมมมม


หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์ } พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ {ปู่ทายXเกื้อกูล 1} 14/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 14-04-2020 12:53:35
.

.

.



           โทนกับลูกไม้ถูกส่งกลับไปโรงแรมแล้ว ผมให้ค้างที่นี้ก็ไม่ยอม ดื้อจะกลับอย่างเดียว อ้อนก็แล้วก็ไม่เป็นผล ใจแข็งเป็นบ้า เฮ้อ น่าเบื่อจัง … นอนไม่หลับเลย ผมนอนกลิ้งบนเตียงตัวเองในห้องที่ทั้งใหญ่และเงียบไปมา มองโทรศัพท์แล้วมองอีกทีก็ยังเงียบเหมือนเดิม มีแต่ใครก็ไม่รู้เฟชมาบ้างไลน์มาบ้าง แต่ไม่ใช่คนที่ผมรอ … ป่านนี้จะทำอะไรอยู่นะ เมาหรือยัง … หรือว่ากำลังอยู่กับใคร อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่เอาอ่า …

           “หนูเกื้อ …”

           “คุณแม่” ผมรีบปาดน้ำตาที่คลอเบ้าอยู่ทิ้งก่อนจะรีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย นั่งลงบนเตียง คุณแม่เดินเข้ามาพร้อมกับขนมกับนมอีกชุดใหญ่ … โอโห้

           “ทานอะไรซะหน่อยนะลูก เราไม่ค่อยกินข้าวเลย”

           “มาม๊า” ผมเข้าไปอ้อนแม่ซุกหน้าเข้ากับท้องแม่ อบอุ่นจัง คิดถึงจัง แม่เป็นคนเก่งมาก คุมบริษัทต่อจากพ่อเพียงคนเดียว อีกหน่อยถ้าพี่กายรับตำแหน่งต่อแม่ท่านคงสบายได้มากกว่านี้ ผมเองถึงจะมาช่วยทำงานบ้างแต่ความถนัดของผมไม่เหมาะจริงๆ อีกอย่าง … ผมก็อยากที่จะทำงานตรงนั้นด้วย อาจจะดูเห็นแก่ตัวแต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผมถนัดกับสิ่งที่ผมเรียนมาและมีความสุขกับสิ่งที่ทำ … รวมคนที่ผมอยากจะอยู่ด้วยอีก …

           “เป็นอะไรครับ ร้องไห้ทำไมลูก เหนื่อยหรือครับ” อะไรผมร้องไห้หรอ … แล้วผมร้องไห้ทำไมละ … ฮึก มันอึดอัดเฉย ๆ อะไรมันไม่แน่นอนสักอย่าง ทำไมผมต้องมาเจออะไรแบบนั้นด้วย เรื่องอายุ หรืออะไร ผมไม่เห็นจะสนใจเลย … แต่ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมอะไรถึงไม่ชัดเจน มันอึดอัด คุณแม่ก็ต้องเหนื่อยทุกคนต้องเหนื่อยเพราะการตัดสินใจการเอาแต่ใจของผม … ฮึก ผม ผมแค่ …

           “เอาร้องใหญ่เลย หึหึ มาๆ กอดกันๆๆๆๆ” ผมสะอึกสะอื้นจนหายใจไม่ออกแม่ผมกอดปลอบไปก็หัวเราะไป ไม่เห็นตลกเลย ฮึก

           “ร้องแบบนี้เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่หล่อนะเด็กน้อย” ผมหัวเราะออกมานิดๆ ผมจะไปหล่อเกินเจ้าบ่าวได้ยังไง อิอิ ฮือออออออ

           หัวเราะไปก็ร้องไห้ไป จนเหนื่อยและหลับไป ไร้วี่แววข้อความหรือสายเรียกเข้าจากคนที่รอคอย …



 

           ในตอนเช้าที่บ้านผมจัดงานแต่งงานตามประเพณีไทยทั่วทั้งบ้านเต็มไปด้วยความโกลาหลตั้งแต่เช้ามืดแม่บ้านต้องวิ่งเข้าวิ่งออกครัวกันเพื่อทำอาหารรองรับแขก แม่ผมต้องลุกมาแต่งตัวให้พี่เมย์กับพี่กาย ผมถูกปลุกขึ้นมาด้วยนาฬิกาปลุกตั้งใจจะลุกขึ้นมาช่วยงาน แต่พอลงไปก็โดนพี่เลี้ยงไล่ขึ้นมาบอกผมไปก็วุ่นวาย เขาคงเข็ดกันที่ผมเคยไปป่วนไว้ซะเละตอนปีใหม่ปีที่แล้ว อะไรกันแค่อยากช่วยแต่เหมือนทัพพีกับตะหลิวไม่เข้าใจ ผมเลยเหลี่ยงขึ้นมาแง้มประตูห้องพี่เมย์ดู …

           “คุณแม่คะ คุณแม่ว่าเมย์ใส่แล้วน่าเกลียดไหมคะ หนูไม่มั่นใจเลย”

   เสียงพี่เมย์พึมพำออกมาจากด้านในห้องแต่งตัว คุณแม่ที่นั่งจัดเครื่องเพชรทับทิมอยู่โดยไม่ทันสังเกตเห็นผมที่แอบมอง โห่ ท่าทางทางนี้ก็ยุ่งผมเข้าไปจุ้นเรื่องของผู้หญิงอีกคงไม่ดีแน่เลย ผมเอียงคอคิดก่อนว่าจะไปช่วยที่ไหนอีกดี อ่ะ ! ไปหาพี่กายดีกว่า คิดได้แบบนั้นผมก็รีบวิ่งมาที่บ้านเล็กที่พี่กายนอนในคือนี้ทันที

   ตลกดีที่พี่กายถูกเนรเทศไปอยู่บ้านนั้นตั้งแต่บอกคุณแม่ว่าจะแต่งงานกับพี่เมย์และให้พี่สะใภ้มาอยู่ที่บ้านใหญ่แทนคอนโดของเขา พี่เมย์ไม่มีญาติพี่น้องเค้าเป็นเด็กกำพร้าครับแต่ด้วยความเพียรทำให้ร้านเค้กที่เริ่มจากเด็กน้องอายุแค่ 14 ความรู้แค่รู้เรื่องเรียนประกอบอาชีพในบ้านสงเคราะห์เงินที่เก็บตั้งแต่เล็กแต่น้อยวันล่ะนิดล่ะหน่อย ทำให้มีร้านเล็ก ๆ ทางอินเตอร์เน็ต จากนั้นก็เหมือนพระผู้เป็นเจ้าเห็นถึงความตั้งใจ ทำให้พี่เมย์เป็นเจ้าของกิจการร้านเค้กใหญ่ที่มีลูกมือกว่า 10 คน ชนะการแข่งขันขนมหวานระดับประเทศส่งตัวเองเรียนจบปริญญาตรีในเวลา 3 ปีครึ่ง และแปลนว่าจะต่อโทด้วย แถมยังมีหนังสือชีวประวัติเป็นของตัวเองด้วยล่ะ ตอนผมรู้ประวัติพี่เมย์นะ ผมนี้เนื้อเต้นเลยดีใจที่พี่กายเจอคนที่ดีแบบพี่เมย์ ที่สำคัญนะที่สำคัญ พี่เมย์น่ะอายุเยอะกว่าพี่กายด้วย ตั้ง 3 ปีแหนะ อิอิ 

   “คุณหนูจะไปไหนคะ”

   “ไปหาพี่กายครับ ไม่มีอะไรให้ผมช่วยจริงๆหรือครับ เกื้อว่างมากเลย ” ผมหันไปยิ้มเขินๆให้ป้าใจป้าที่หันมาเห็นผมกำลังก้าวออกจากบ้านใหญ่พอดิบพอดี ท่านเป็นแม่บ้านที่เลี้ยงดูผมมาแต่เล็กแต่น้อย ป้าใจยิ้มก่อนจะส่ายศีรษะไปมา

   “ใกล้เสร็จแล้วค่ะ”

   “คะ ครับ” ผมเกาแก้มก่อนจะเดินหันหลังรีบเดินไปหาพี่กาย แง่ม … แพ้รอยยิ้มสดใสแบบนั้นอ่ะ ผมรีบเดินเป็นพิเศษเพราะคนงานเริ่มจัดสถานที่กันแล้ว พวกเขาเอาแต่ทักทายผมตลอดทาง ผมเขินนะ แล้วดูเหมือนพวกเขาจะพากันรู้จุดอ่อนของผมถึงพากันแกล้งแต่เช้า ถ้าโทนมาเห็นโทนต้องหัวเราะผมแน่ๆ

    … เอ๊ะ พี่กายตื่นรึยังนะ แต่งตัวเจ้าบ่าวไม่ยุ่งยากเหมือนเจ้าสาวซะด้วยสิ แย่จริงเพิ่งมาคิดได้ตอนอยู่หน้าบ้านแล้วเนี้ยนะ ผมเงยหน้ามองบ้านทรงยุโรปด้านหน้าก่อนจะเอียงคอมอง เอาล่ะนะน้องเกื้อจะต้องค่อยๆแอบดูก่อนดีกว่า อายจังถ้าเปิดเข้าไปและพี่กายกำลังเปลือยอยู่ล่ะ ... คิก จะถ่ายรูปไว้แบล็กเมเลยล่ะกัน อิอิ

           “ไอ้ตัวเล็กทำไร”

           “อะ ! ใจหายหมดเลยพี่กาย…” โดนจับได้แล้ว ผมมองหน้าพี่กายได้แวบนึงก็ต้องก้มมามองมือตัวเองที่แทบจะพันกันอยู่แล้วจะมาแกล้ง ดันโดนจับได้ก่อนได้แกล้งซะงั้น พี่กายยังไม่แต่งตัวด้วยซ้ำ สภาพเหมือนเพิ่งไปออกกำลังกายมาแบบนี้หมายความว่ายังไง เจ้าบ่าว!

           “หึหึ ปะ เข้าไปด้านในก่อน พี่เอาขนมติดมือมาด้วยนะ” ผมพยักหน้าก่อนจะเดินตามพี่ชายคนเดียวของผมเข้าไปในบ้าน ด้านในนี้ยังเหมือนกับที่เมื่อก่อนตอนผมมานอนเล่นบ่อย ๆ

           “ว่าไงเรา อยากเล่นเกมกับพี่สักตาไหม”พี่กายนั่งลงที่โซฟาโซนดูหนังข้าง ๆ ผมที่หยิบรีโหมดมาเปิดดูการ์ตูน อ่า …มิกกี้เม้าส์ละ เรื่องโปรดเลยนะเนี้ยนะ

           “พี่กายไม่แต่งตัวหรอครับ นี้ 6 โมงกว่าแล้วนะ” ผมบอกพร้อมกับจิ๊กคุกกี้ที่พี่กายหยิบมากินหนึ่งชิ้น

           “งานเริ่มตั้ง 10 โมง อีกตั้งนาน พี่เมย์น่ะ เขาเป็นผู้หญิงแต่งตัวนานมันเรื่องธรรมดา”

           “ชิวจังเลย พี่กายไม่ตื่นเต้นหน่อยหรอ”

           “ที่พี่ตื่นได้ตั้งแต่ตี 5 นี้พี่ไม่ตื่นเต้นหรือไง ฮ่าๆๆๆๆๆ” ผมหัวเราะแห้งตาม แต่แล้วอยู่ ๆ พี่กายก็หยุดหัวเราะเอาซะดื้อๆ เห๊ … พี่ผมเป็นอะไรรึเปล่าอ่ะ ผมหันไปมองหน้ากลุ้มใจของพี่กายก่อนจะขมวดคิ้วและเอามือไปอังหน้าผาก … ก็ไม่มีไข้นี้หนา

           “มันจะดีแน่หรอแต่งงานเนี้ย”

           “อ้าว … กะ กะ ก็พี่เป็นคนขอพี่เมย์แต่งงานเองไม่ใช่หรอครับ”

           “ตอนนั้นพี่คิดว่ามันจะดีน่ะสิ แต่พอมานั่งคิดอีกที ภาระมากมายที่พี่ไม่รู้ว่าจะรับได้หมดรึเปล่าก็เริ่มทำให้พี่คิดมาก เฮ้อ …” ผมตกใจหน้าแดงเมื่ออยู่ๆพี่กายก็ล้มตัวนอนบนตักของผมเหมือนเด็กๆ

   ผมวางมือบนหัวทุยของเขาและลูบไปมาอย่างนึกสนุก ดูสิจะมีสักกี่คนที่ได้เห็นนักธุรกิจใหญ่ ที่เต็มร้อยไปทั้งหน้าตา ฐานะการงานและเรื่องนิสัย เขาเป็นพี่ชายพี่ผมภูมิใจมาก ถึงจะอย่างงั้นแต่จิตใจเขาก็บอบบางมมากเช่นกัน การที่จะตัดสินใจที่จะทำอะไรต้องคิดก่อนในหลาย ๆ ตลบและจะคิดมาก ถ้าหากการตัดสินใจนั้นเลี่ยงต่อความสุขของคนรอบข้าง … ผมเข้าใจเค้านะว่าการที่ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ทำอยู่มันจะดีจริง ๆ มันรู้สึกยังไง

   “แย่จังเนอะ เป็นผู้ชายซะเปล่าดันคิดมากมากกว่าผู้หญิงซะอีก”

           “ไม่หรอกครับ เกื้อเข้าใจ แต่ต่อจากนี้พี่กายเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้วนะ อีกหน่อยจะต้องมีเจ้าตัวน้อยด้วย พี่กายต้องเข้มแข็งนะ ยังมีน้องอยู่ตรงนี้อีกคนนะครับ” ผมว่าแล้วก็ก้มลงจุ๊บลงหน้าผากเขาเบาๆเหมือนที่เคยทำประจำ พี่เขาเหยียดยิ้มทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาอยู่

           “แล้วเราล่ะ มีหนุ่ม ๆ มาจีบยัง” อ เฮือก … ถะ ถามอะไร … หน้าใครบางคนแวบเข้ามาในสมองส่วนประสาทผมทันที … แย่แล้ว ความลับของผม … ความลับมีมากว่า 6 ปี พี่กายรู้ได้ยังไง

           “บะ บะ บะ บะบ้าแหนะพี่กาย ผมเป็นผู้ชายนะ” ผมผลักพี่กายออกจากตักก่อนจะรีบเดินมาที่มุมหนังสือลนลานหาอะไรบนชั้น ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าผมกำลังหาอะไร บางทีอาจจะหาที่หลบดีๆก็ได้

           “หึหึ เราน่ะนะ หน้าหวานยิ่งกว่าผู้หญิงซะอีก เลิกคิดที่จะหาเมียเถอะ … แล้วยังไงคิดว่าพี่จะปล่อยเราให้อยู่ต่างบ้านต่างเมืองไม่สนใจเลยหรือไง … ความลับไม่มีในโลกหรอกเด็กน้อย” … แย่แล้ว พี่กายกำลังมองผมด้วยสีหน้าจริงจัง … แย่แล้ว ฮึก แย่แล้ว …

           “ไม่ต้องร้อง … พี่ไม่ได้ว่าอะไร” ผมหันกลับไปหาพี่กายเบะปากน้ำตาเม็ดใหญ่หล่นลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ พี่กายยิ้มก่อนจะเดินมากอดผมไว้แน่น … ฮึก …

           “ไม่ได้คบกัน ฮึก มันยังไม่ชัดเจนขนาดนั้น เขาไม่ได้จริงจังกับผมขนาดนั้น ฮึก ไม่บอกคุณแม่นะ พี่กายห้ามบอกใครนะ ฮึก  ผมเสียใจ”

           “โอ๋ๆ ร้องเป็นเด็กเลยนะเรา เดี๋ยวจบจากงานนี้ เราอาจจะต้องคุยกันเนอะ แต่ตอนนี้พี่ว่าอีกแปปแม่ต้องเข้ามาที่นี้แน่ ๆ เลิกร้องเนอะ หน้าแดงหมดแล้ว” ผมพยักหน้าให้พี่กายที่เหงื่อตก ตามน้ำตาผมก่อนจะเช็ดหน้าเช็ดตา แต่ทำยังไงน้ำตาเจ้ากรรมก็ไม่หยุดไหลสักที กลัวไปหมดแล้ว กลัวคุณแม่ผิดหวัง กลัวเสียใจ กลัวคิดไม่เหมือนกัน ฮึก ผมอ่อนแอเกินไปสำหรับเรื่องแบบนี้ ฮึก …

           “ตายห่าล่ะกู แม่มาเห็นแบบนี้ต้องคิดว่ากูแกล้งน้องแน่” พี่กายบ่นออกมางึมงัมๆ ในขณะที่ผมได้ยินยังแอบหัวเราะ บ้าจังพี่กายน้องโตขนาดนี้แล้วยังกลัวคิดว่าตัวเองแกล้งจนร้องไห้และแม่จะตีอีก ฮึก คนโน้นก็บ้า จะมาทันไหมอ่ะ ถ้าไม่ทันนะ จะโกรธให้ดูเลย

   ฮึก … ต้องมาไม่ทันแน่ๆ คนขี้จุ๊ คนนิสัยไม่ดี

   “ฮือออออออออออออออออออออออ แงงงงงงงงงงงงง พี่กาย ฮึก พี่กายยยยย ” พอคิดแค่นั้นผมก็งอแงออกมาอย่างไร้เหตุผล แย่แน่ๆ อาการแบบนี้ผมต้องแย่แน่ๆ ฮึก ผมมันไม่ดีนั้นกับพ่อเพื่อนตัวเองแท้ๆ ลุงทายบ้า บ้าๆๆๆๆๆ บ้าที่สุดเล้ยยยย

   “ตายกูตายยยยยยยยย”  พี่กายนี้ก็บ่นอะไรเป็นเด็กเล่น ปลอบน้องสิปลอบน้อง ฮึก เสียใจอยู่นะ

           เวลา 9 โมงแขกเริ่มทยอยกันเข้ามาในบ้านผม ผมที่อยู่ ในชุดไทยเสื้อสีงาช้างกับโจมกระเบนสีทองที่คุณแม่จัดเตรียมไว้ให้ยื่นต้อนรับแขกหน้ากระโจมที่ตกแต่งด้วยดอกไม้นานาชนิดและที่ทำผมตื่นตะลึงคือต้นกล้วยแห่ขันหมากต้นใหญ่ … คะ คือว่านะต้นนี้ลุงทายเตะไม่รู้จะล้มรึเปล่า

           “ไอ้เกื้อกูหล่อยัง” ผมหันไปมองโทนที่ยืนรับแขกอยู่ข้างๆ

   วันนี้เค้าแต่งตัวเหมือนผมเปี๊ยบแต่เขาทำผมเรีบแป้จนดูน่าเอ็นดูและตลกดี ที่สำคัญเขาถามผมแบบนี้ตั้งแต่มาถึงเมื่อสามชั่วโมงที่แล้วรอบที่ 20 แล้วแถมยังพกเจลใส่ผมติดตัวด้วย ตอนนี้ผมเขาแข็งยิ่งกว่ากระดองเต่าอีก คิก

           “ไอ้โทนไอ้เด็กขี้เห่อ” พี่แสงกับพี่เมฆหล่อไม่แพ้กันในวันนี้

   พวกเขากำลังยกของชำร่วยมาเพิ่งล้อโทนเข้าให้เจ้าตัวแยกเขี้ยวใส่ขู่เป็นแมวน้อยเลย เห็นโทนบอกพวกพี่สองคนเค้ามาเคาะประตูตั้งแต่ตี 3 เลยต้องมาเช้าแบบนี้แต่ผมรู้จริง ๆ โทนตั้งใจจะมาเช้าอยู่แล้ว ขี้เก๊กไปงั้นแหละ ส่วนลุงทาย ผมไม่กล้าถามเลย … ได้แต่เฝ้ารอสายเรียกเข้า … แต่ก็ไม่เห็นมีวี่แวว

           “ไงไอ้ไม้ เหนื่อยไหม” ผมยิ้มกับภาพที่โทนเช็ดเหงื่อให้ไม้ที่เข้าไปช่วยคนงานยกของอยู่พักใหญ่ พวกเขาดูมีความสุขจัง… ผมอิจฉา … ใช้ละ ผมอิจฉา

           “ไง”ผมเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะก้มลงมองพื้นอย่างไว

           “โห่!!! พ่อมาไมเนี้ย!!!” เสียงโทนตะโกนขึ้นเสียงดัง … เขามาแล้วล่ะ ดีใจจังเลย

           “อ้าวไอ้เด็กเวร”

           “ลุงอาบน้ำยังเนี้ย” เสียงพี่แสงล้อเลียนอยู่ข้างๆผม … ผมแอบสังเกตชายเสื้อที่อยู่ในระดับสายตาจริงด้วย ชุดเหมือนเดิมเปี๊ยบเลย แถมมีกลิ่นเหล้าด้วยล่ะ …

           “หึ ล้อหาพ่อง ว่าไงไอ้หนู”

           “สะ สะ สวัสดีครับ”

           “อ้าวคุณทายพ่อน้องโทน ใช่ไหมค่ะสวัสดีค่ะ แหม เชิญด้านในก่อนนะค่ะ” เสียงคุณแม่ดังขึ้นเหมือนระฆังผมนี้ใจเต้นตุ๊บๆเลย ผมไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาใช่ไหม ?

           “สวัสดีครับ ผมแค่แวะมาทักทายก่อนครับเดี๋ยวกลับไปแต่งตัวที่โรงแรมแล้วจะมาใหม่นะครับ” สุภาพจัง …

           “น้องโทนบอกแล้วล่ะค่ะ เราเตรียมห้องแต่งตัวให้แล้วล่ะค่ะ”

           “อะนี้พ่อชุด น่าเบื่อตาแก่นี้จังเนอะ ไม่รู้จักอาบน้ำอาบท่า ดูท่าจะรีบมากซะด้วยสิ” โทนยื่นชุดให้ลุงทายก่อนจะเดินมากระซิบข้างหูผมเหมือนล้อเลียน

           “ไปลูกเกื้อพาคุณทายไปที่ห้องรับรองแขกทีนะลูกนะ”

           “แต่ …”

           “ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมไปอาบน้ำที่โรงแรมดีกว่าเกรงใจ และดูท่าหนูเกื้อเขาก็ยุ่งอยู่ด้วย” เปล่านะ ผมว่างมากๆ …

           “ไม่ต้องเกรงใจค๊า คนกันเองทั้งนั้น หนูโทนก็ช่วยพวกเราไว้เยอะเหมือนกัน อาบที่นี้เถอะค่ะจะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา”

           “เอ่อ …”

           “ปะ ไปเถอะครับ …” ผมจับชายเสื้อของลุงทายก่อนจะเดินออกมา

           “บ้านเอ็งนี้ใหญ่จังนะ ไม่เหมือนบ้านนอกคอกนาอย่างข้า”เสียงกระซิบระหว่างทางนั้น ทำให้ผมสะเทือนใจมาก …แต่พูดอะไรออกมาไม่ได้แม้สักคำเดียว … แต่ผมอิจฉาบ้านนอกที่มีลุงทายจะตายไป …

           “ห้องอาบน้ำอยู่ตรงนั้นนะครับ ผมรอตรงนี้ …” พอเข้ามาในห้องได้ผมก็ชี้ให้ลุงทายดูว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน แต่ลุงทายก็ยังยืนอยู่ข้าง ๆ ผมไม่ไปไหน

           “อาบน้ำสิครับ อีกครึ่งชั่วโมงงานจะเริ่มแล้ว” ผมพูดย้ำไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า กลัวมองแล้วจะร้องไห้ออกมา

           “จะให้ข้าไปยังไง ก็เอ็งจับเสื้อข้าอยู่แบบนี้”

           “อ่ะ ขะขะ ขอโทษครับ” ผมรีบปล่อยชายเสื้อที่จับไว้ออกก่อนจะก้มหน้ามองมือตัวเองที่ใกล้จะพันกันจนแกะไม่ออก

           “หึหึ ยังไม่มองหน้ากันเลยนะเกลียดกันแล้วหรอ” ผมส่ายหัวจนผมสะบัด … ผม ผม ผมไม่เคยเกลียดลุงนะ ผมไม่เคย

           “มองหน้าข้าสิ” มือหนาจับคางผมเชิดขึ้น … หน้าเขาเพลียมาก … ผม ผม …

           “ข้ารีบที่สุดแล้ว … ”

           “ฮึก ผมขอโทษ ที่ทำให้ลำบาก” บอกแล้วถ้าผมมองหน้าเขาแล้วจะร้องไห้ ฮึก ผมขอโทษจริงๆ

           “ลำบากกว่านี้ข้าก็เจอมาแล้ว หึหึ ไม่ร้องไอ้เด็กขี้แย” เขาวางมือใหญ่ลงบนหัวผมเหมือนที่ทำเป็นประจำ แต่ในครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม … เหมือนผู้ใหญ่กับเด็กมากกว่าที่เคย เพียงชั่วครู่ลุงทายก็เดินเข้าห้องน้ำไป … เกิดอะไรขึ้นระหว่างเรารึเปล่า … ฮึก ผมไม่รู้ 


.

.

.

         โห่ ฮิ โห่ ฮิ้ววววววววววว       



         เสียงกู่ร้องดังขึ้นผมมองไปที่โทนและแขกคนอื่น ๆ กำลังรำนำขบวนมา จากเรือนหลังเล็กเวลาพอดิบพอดีคือสิบโมงตรง ในขณะที่ผมยืนถือสายสร้อยสีทองเป็นประตูเงินประตูทองคู่กับโทน พี่กายวันนี้อยู่ในชุดเจ้าบ่าวสีขาวสะอาดตาแอบขำเมื่อเห็นที่เอวมีผ้าขาวม้าผูกอยู่ด้วย แนวไหนหนออออออ หน้าตาและทรงผมดูหล่อจริง ๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มมันทำให้ผมลืมสิ่งที่ยังค้างคาในใจไปชั่วคราว ผมแอบมองลุงทายที่อยู่ในชุดไทยสีขาวโจงกระเบนสีน้ำเงินหล่อจัง แต่พอเขาหันมาเจอผม ผมก็รีบหลบตามามองเจ้าไม้แทน แต่แทนที่ดีขึ้นกลับเจอสายตาพิฆาตที่เหมือนรู้ทุกอย่างของโทนแทน

           “มองอะไรวะ”

           “หึ” หัวเราะแบบนั้นหมายความว่ายังงายยย ยยยยยย ยยยยยยย

           ผมลอบถอนหายใจก่อนจะสะดุ้งเมื่อพี่กายเอียงคอลงมามองผมที่กำลังสลดอยู่ ผมเหยียดยิ้มกว้างก่อนจะหอมฟอดใหญ่เข้าที่แก้มเจ้าบ่าว โทนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมหัวเราะกิ๊ก

           “เอาใจขนาดนี้เอากี่ซองดี”

           “ขอหมดเลยครับ” ผมแกล้งตอบ พี่กายทำหน้าคิดหนักก่อนจะพูดขึ้นเรียกเสียงฮาได้ทันที

           “งั้นพี่คงไม่ได้แต่งเมียแล้วล่ะ” ผมหัวเราะก่อนจะรับซองสีขาวสองซองมา ผมยอมปล่อยให้พี่ผมไปเจอประตูเงินประตูทองบานต่อไป

           “เจ้าสาวมาแล้วค่ะ!!!” เสียงคุณแม่ผมร้องขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะหันไปมองที่หน้าบ้าน … พี่เมย์สวยมาก ชุดไทยทองทั้งตัว ดูเรียบง่ายแต่สง่างามมาก ใบหน้าของพี่เมย์คมอ่อนหวานอย่างสาวไทยอยู่แล้วพอใส่ชุดที่เหมาะสมเข้าไปทำร่างอรชรน่าพิสมัยเข้าไปอีก … สวยจังเลย

           “เจ้าบ่าวอ้าปากค้างแล้ว ฮ่าๆๆๆ” โทนแซวพี่ชายผมเสียงดังทำให้ทุกคนพากันหัวเราะ ทำให้ผมลืมความกรุ่นในใจเมื่อสักครู่ไปช่วงคราว





-ทาย-



           เห็นหนุ่มสาวมันแต่งงานกันแล้วก็ชื่นใจแทน แต่นั้นแหละมันแค่การเริ่มต้นการใช้ชีวิตที่เริ่มมีพันธะผูกผันคือความท้าทายที่ต้องเผชิญไปด้วยกัน ผมเคยมีชีวิตคู่ แต่มันก็จบลงอย่างรวดเร็วเพราะอาการป่วยของแม่มะลิ… มันทำให้ผมแทบขาดใจเสียให้ได้ตอนที่จำลากันตลอดกาลแต่ทุกอย่างก็เริ่มที่จะเสริมเติมแต่งอีกครั้งเมื่อรู้ว่ากำลังมีไอ้ตัวเล็กอย่าไอ้แสบโทนโผล่ออกมาลืมตาดูโลก เท่านั้นชีวิตผมก็เปลี่ยนไป คนหลายคนอาจจะเจอความเปลี่ยนแปลงในชีวิตมากมาย เช่นเดียวกับผมที่ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และผมไม่อาจปฏิเสธว่ามันทำให้ผมกลัว ที่ถ้าหากเริ่มและจะเสียมันไป

           ไอ้เด็กเกื้อ นั้นคือความเปลี่ยนแปลงล่าสุดที่ผมไม่อาจห้ามได้ … ในตอนแรกผมมองว่ามันเป็นเด็กธรรมดาคนนึงที่มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนเด็กผู้ชาย ตาหวาน แก้มแดง ปากนิดจมูกหน่อย ตัวก็เล็กบางยิ่งกว่าเจ้าโทนที่ได้แม่มันมาเต็ม ๆ มันทำให้ผมยิ้มนะ ความรู้สึกที่อยากเจอในตลอดทั้ง 6 ปี มันทำให้กลายเป็นความผูกพันโดยไม่รู้ตัว พอรู้ตัวอีกที ทุกอย่างมันก็ถลำลึกโดยที่ไม่อาจถอนตัว และด้วยความซื่อบื้อแบบคนบ้านนอกผมก็คิดว่ามันไม่เป็นอะไร จนวันนี้ที่ได้มาเห็นกับตากับความต่างที่มากเกินไป

           “พ่อ ๆ โหย ไม่ใช่เหล้าขาวนะดูกระดกเข้าสิ” ผมหันไปชูมะเหงกให้ไอ้โทน

   ไอ้เด็กผีที่ล้อเลียนผมแดกเข้าไปสิโต๊ะจีนเนี้ยพูดมากนักนะ และหันไปมองไอ้เด็กเกื้อที่ยืนก้อร่อก้อติกกับผู้ชายในชุดสูท หล่อนักสิไอ้หนุ่มไอ้ห่าเอ้ย แม่ง ไม่น่ามาเลยงานแต่งบ้าบอเนี้ย ตอนเช้าก็จัดที่บ้านเรียบง่ายน่ารักดีหรอกแต่พอตกเย็นวิ่งเข้าโรงแรมหรูจัดงานแบบฝรั่งซะใหญ่โต หึ คนรวยก็แบบนี้ล่ะ ถ้าเป็นบ้านนอกนะแค่ผูกข้อไม้ข้อมือเข้าหอก็จบกันแล้ว ไม่เห็นต้องวุ่นวายเลย

           “เมายังเนี้ยลุง กลับไปนอนไหม”

           “เมาพ่อง” ผมทำปากใส่ไอ้เมฆ กูเป็นของกูแบบเนี้ย บ้านนอกคอกนา ทำไมละ อยู่บ้านกูก็แดกเหล้าขาวเข้าเมืองหน่อยแดกไวท์หรูกูก็คิดว่ามันเป็นเหล้าขาวสิ ไม่เหมือนไอ้ลูกคุณหนูที่แดกสเต็กไปอยู่บ้านนอกกินน้ำพริกไม่ได้!!!

           “พ่ออย่าทำงานเขาเสียนะ”

           “เออ ข้ามันจนนี้!!!” ผมโวยขึ้น

           “คุณทายมีอะไรรึเปล่าครับ” ผมหันไปมองไอ้เจ้าบ่าวพี่ชายไอ้เกื้อเวรตะไลนั้นก่อนจะคิ้วกระตุก ทำไมหน้าไม่เห็นเหมือนกันเลยวะ

   “โอ้ยพ่อเมาก็นั่งลงอย่าซ่า!”ผมลุกขึ้นเซ ๆ เล็กน้อยแต่พอยืนตรงอยู่

   “ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย” ไอ้เจ้าบ่าวขมวดคิ้วก่อนจะพยักหน้าแต่เดินนำผมไป หึ ต้องรู้เรื่องกันคืนนี้นี้แหละ

   “ไม่เจอกันนานนะครับลุง” ผมเหยียดยิ้มก่อนจะกระดกไวท์ราคาแพงเข้าปาก

   วิวกลางเมืองตอนกลางคืนบนดาดฟ้าแบบนี้มันก็สวยดีเหมือนกันนะแต่หากเทียบกันบ้านนอกที่ข้าอยู่แล้วมันก็ต่างชั้นกันว่ะ เฮ้อ … มันดับอารมณ์ร้อนของข้าได้ส่วนหนึ่งเลยล่ะ ข้าเคยเจอไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี้มาแล้ว ครั้งแรก เมื่อ 4 ปีที่แล้วและมันก็เสนอหน้ามาให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ มันเป็นไอ้พี่เวรที่ให้คนตามติดน้องมันตลอดเวลา ในตอนนั้นผมกับมันแทบฆ่ากันตาย

   “ผมเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าถ้าทำให้ผมเห็นว่าจริงใจกับน้องผมจริง ๆ ผมถึงจะปล่อย แต่ไม่เห็นจะทำอย่างปากพูดสักที ทำไมพอมาเห็นบ้านผมเต็มตาก็กลัวขึ้นมาหรือไง คุณลุงนักมวย” กวนตีนทั้งพี่ทั้งน้องกูฟาดเจ้าบ่าวให้สลบสักทีดีไหม

   “บางทีข้าอาจจะทำแบบนี้ปากเคยพูดไว้ไม่ได้วะ” ผมเหม่อมองออกไปบนฟ้าที่ตอนนี้พระจันทร์ถูกปิดด้วยเมฆครึ้ม

   ความจริงมันก็ไม่สมควรเป็นแบบนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วเปล่าวะ กับคนที่ต่างกันซะขนาดนี้ โลกความจริงแม่งก็ไม่ได้สวยงามเหมือนที่กูฝันมาตลอด 6 ปี นั้นแหละ กูเคยคิดที่จะยอมรับในการที่จะรักไอ้เกื้อนั้น แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ได้แค่เนี้ย กูควรที่จะปล่อยให้มันเจอกับคนที่คู่ควรมากกว่าไอ้ครูมวยไร้สกุลอย่างกู

   “พอเหล้าเข้าปากแล้วหมาหายไปไหนหมดครับ”

   “เดี๋ยวกูก็เตะตกตึกเลยไอ้ควาย”

   “หึ ตามสบายนะครับ กับคนแบบลุงน้องผมก็สูงค่ากว่าจริง ๆ แต่รู้ไว้นะครับไอ้ที่ลุงคิดอยู่ตอนเนี้ย น้องผมมันมองข้ามแม่งทุกอย่าง มันยอมรับในที่ลุงเป็นลุง แล้วลุงละไม่คิดที่จะยอมรับที่มันเป็นมันเลยหรือไง ขี้คลาดแบบเนี้ย สมควรแล้วที่เมียทิ้งไปอยู่บนสวรรค์ ดีกว่ามาทนอยู่กับตาแก่ไม่รู้จักโตเหมือนลุง” พอด่าเสร็จมันก็สะบัดหัวเดินลงไป … ก็จริงของมันนั้นแหละ เฮ้อ กูน่ะนะ โดนถอนหัวหงอกซะแล้วสิ หึ



-เกื้อ-

           งานเลี้ยงแต่งงานถูกจัดขึ้นบนโรงแรมหรูใจกลางเมืองในธีมที่หรูหรามากกว่าตอนเช้าที่จัดขึ้นแบบประเพณีไทย ผมทำหน้าที่เดิมคือต้อนรับแขกและนักข่าว แอบสงสารโทนเหมือนกันที่ต้องตะเวนไปมาไม่ต่างจากผม ถึงพิธีแลกแหวนจะจบลงแล้วแต่ก็ยังต้องต้อนรับแขกต่อไป เฮ้อ … ลุงทายไปไหนแล้วนะ … ผมมองหาลุงทายเมื่อกี้ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะอยู่เลยหาอีกทีไม่เจอแล้วไปไหนกันนะ หรือว่ากลับไปแล้ว …

           “น้องเกื้อ” ผมตกใจหันไปมองพี่เมย์สวยอีกแล้วตอนนี้เธอที่อยู่ในชุดเจ้าสาวเกาะสีขาวสวยสะอาดตายิ้มให้ผมก่อนจะยื่นน้ำแก้วโตให้ผม

           “เป็นยังไงเหนื่อยไหมเด็กน้อย” ผมส่ายศีรษะก่อนจะจิบน้ำตามมารยาท มองไปที่โต๊ะเห็นโทนกำลังกินอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ลุงทายหายไปไหนไม่รู้

           “พี่มะ …”

ตืดดดดดด ตืดดดดดดดดดดดด

           ก่อนที่พี่เมย์จะพูดขึ้นอีกรอบระบบสั่นของโทรศัพท์ของผมก็ทำงานขึ้น ผมหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าปลายสายใครโทรมา ไม่แค่แปลกใจนะ แต่ผมดีใจมากด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเค้าจะไม่สนใจผมแล้วซะอีก ดีใจจังเลย

           “พี่เมย์ครับ เกื้อขอตัวแปปนึงนะครับ” ผมว่าก่อนจะเดินออกมาด้านนอกงานก่อนจะกดรับสาย ปลายสายมีเสียงลมดังออกมาทันที

           “ลุงครับ …”

           “มาหาข้าที่ดาดฟ้าหน่อย …”

           “ลุงอยู่ที่นั้นหรอครับ ลุง ลุง” ผมเม้มปาก ทำอะไรของเขาอ่ะ … ยังไม่ทันที่จะคิดอะไรได้ผมก็รีบขึ้นไปบนดาดฟ้าตามคำของลุง ไปที่นั้นทำไม และอยู่กับใคร … ผมกลัวแล้วนะ

           “จะไปไหน” ผมหยุดชะงักเมื่อเจอพี่กายระหว่างทาง พี่กายมากจากไหนล่ะทำไมไม่อยู่ในงาน ผมเอียงคอมองก่อนจะหลบสายตา ไม่กล้ามองแล้วก็พี่กายมองเหมือนจับผิดผมซะแบบนั้น

           “จะไปดาดฟ้าหรือไง”ผมพยักหน้าเบาๆ ก้มหน้ามองเท้าตัวเอง

           “พี่ไม่ให้ไป”

           “แต่ …”

           “พี่ไม่ให้ไป อย่าให้พูดย้ำอีก กลับเข้างานเดี๋ยวนี้” ผมเบะปากน้ำตารื้น พี่กายใจร้าย

           “เฮ้อ … ใจแข็งซะบ้างสิเราน่ะ ฟังพี่บ้าง กับคนขี้ขลาดแบบนั้นอย่ายอมให้มันมากนัก”ผมปิดหน้าร้องไห้ เขาต้องไปเจอกันมาแล้วแน่ๆ ไม่อย่างงั้นพี่กายคงไม่พูดแบบนี้ และคุยอะไรกัน ฮึก ไม่ไม่รู้อะไรสักอย่างเลย มันไม่ยุติธรรมสักนิดเลยนะ

           “ว่าแล้วเชียว” ผมสะดุ้งเงยหน้าหันไปมองด้านหลังลุงทายเดินมาทางนี้แล้ว … เขาเมาแล้วใช่ไหม ฮึก อย่าทะเลาะกันนะ

           “หายโง่แล้วหรือไง”

           “พูดให้มันดี ๆ หน่อย” ลุงทายมองหน้าพี่กายอย่างหาเรื่องรายนั้นไม่สนใจเหยียดยิ้มให้อย่างถือดี อะไรกันสองคนนี้ ผมไม่เข้าใจ ผมตกใจจนเผลอร้องออกมาเมื่อลุงทายกระชากผมเข้าไปกอดไว้แนบอกหนา

           “กูไม่ยอม ไอ้เด็กนี้ของกู อย่าเสือก”

    นั้นคือเสียงสุดท้ายก่อนที่สัมผัสประหลาดเกิดขึ้นที่ริมฝีปากผม ลุงทายกำลัง … จูบผม และสิ่งที่ผมจำได้คือเสียงลมหายใจของลุงทาย ...เพราะทุกอย่างมันล่องลอย จนมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ประโยคเพียงแค่นั้นแทนความหมายมากมาย อย่าไปยอมนะครับ อย่าปล่อยผมนะ … ได้โปรดอยู่กับผม ผมตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่วิงวอนเพียงอย่างเดียว … เรียกว่าอะไรดีความรู้สึกนี้ …



   รักได้ไหมครับ… ผมรักได้ไหม …

   

///////////////



ลำใยปู่ บุ้ยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์ } พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​ {ปู่ทายXเกื้อกูล 1} 14/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 14-04-2020 22:46:46
ตามมาอ่านนนนนนเหมือนเดิมค่าาาาาา ชอบเรื่องนี้มาก ชอบทุกคู่ แต่ชอบพิเศษคู่ปู่ทาย-เกื้อกูล+คู่ป๊อกเจ้าจุกยังมีอยู่ไหม รออ่านนะคะ ตามตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่8 หวงแหละดูออก} 15/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 15-04-2020 10:07:52
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 8 หวงแหละดูออก


เป๊ง!!! เป๊ง!!!! เป๊ง!!!!



           โฮ่งๆๆ อ๋องๆ หงิงๆ

           ฝูงหมาน้อยจอมหิวตลอดเวลาวิ่งตุปัดตุเป๋มาหาผมที่เคาะกะละมังข้าวอยู่หน้าบ้าน อ้วนวันอ้วนคืนจริง ๆ ไอ้หมาพวกนี้ มีมี่นี้ไม่ต้องพูดถึงพอผมกลับมาก็จับทำหมันเลย อย่าคิดว่าการทำหมันเป็นการทารุณสัตว์นะครับ เพราะการทำนั้นสัตว์จะแทบไม่ได้รับรู้อาการเจ็บเลย มีมี่นี้นอนแผ่สบายเลย มีหมอหมาอยู่ในบ้านซะอย่าง พี่น่ะเก่งระดับตำบลนะรู้ยัง ฮ่าๆๆๆ

   “นั่งขานชื่อก่อน” มีมี่นำเจ้ากะหล่ำกับมะเขือนั่งจุ้มปุ๊กลงตรงหน้าผม

   ไม่ครบนี้ แตงกวาไปไหน ผมวางกะละมังข้าวลงบนแคร่สูงก่อนจะเดินไปดูที่เล้าหมาน้อยที่ตั้งอยู่ในชานบ้าน ผมให้พ่อทำเป็นที่กั้นสูง ประมาณเข่าเพื่อไม่ให้สามตัวออกไปซนโดนรถทับที่ไหน เวลากลางวันจะปล่อยให้ออกมาเล่นหน้าลานบ้าน ที่มีรั้วรอบขอบชิดที่เพิ่งสร้างต่อเติม ก่อนจะพบว่าเจ้าก้อนขาวนอนขดตัวอยู่ในโปงผ้าห่มดูน่าสงสาร

           “ไงไอ้แตงกวา เป็นอะไรหื้ม” เจ้าแตกกวาตัวน้อยตัวเล็กกว่าพี่ชายของมันทั้งสองตัวมากแถมยังเป็นผู้หญิงตัวเดียวด้วย ผมต้องดูแลเป็นพิเศษกว่าตัวอื่นเพราะค่อนข้างที่จะไม่สบายง่าย ช่วงนี้ก็อาการเย็น ๆ ด้วย จมูกแห้งเชียว ไม่สบายชัวร์ ผมเดินเข้าไปในบ้านหยิบผ้าขนหนูออกมาห่อตัวน้อยเอาไว้ทันที ต้องเอากลับไปที่ร้านล่ะนะ

           “พี่เมฆวาน ให้อาหารเด็กหน่อยนะไปร้านก่อนแตงกวาไม่สบาย”

           “อีกแล้วหรอน้องโทน” ผมพยักหน้าก่อนจะรีบพาแตกกวาขึ้นจักรยานปั่นแบบไม่คิดชีวิต

   ยังไม่ทันถึงไหนต้องเบรกหัวแทบทิ่มลงคูน้ำเมื่อเห็นไอ้ลูกเปรตกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ป๋อมีเด็กผู้หญิงซ้อนอยู่ด้านหลังผ่านหน้าไป 9 โมงกว่าแล้วแท้ ๆ ทำไมแม่งไม่เข้าไปเรียนวะ ฮึ! โดดเรียนหรือไง!!! ผมย่นหน้าก่อนจะรีบปั่นจักรยานไปที่โรงพยาบาลสัตว์ของผม ไอ้เกื้อที่กำลังตรวจนั่งดูแฟ้มคิวอยู่รีบวิ่งมาหาผมทันทีที่เห็นผมทันที

           “ไอ้เกื้อ ดะ ดูแตงกวาทะแทนกูที แฮ่กๆๆๆ โฮ้ยเหนื่อย กูไปล่ะนะ เดี๋ยวรีบมา”

   พอส่งแตงกวาให้ไอ้เกื้อที่ทำหน้าเอ๋อได้ก็กฃัลนรถซิ่งเข้าไปในซอยที่ไอ้ไม้เข้าไป ในซอยนั้นมีโรงแรมด้วยสิ ฮืออออ ลูกผมมันจะพาเด็กเข้าโรงแรมช่ะ … ทำไมใจกูแป่วแปลกๆ แง่แซะ ลูกพาผู้หญิงเข้าโรงแรมมีใครไม่สะดุ้งสะเทือนบ้างล่ะ

เอี๊ยกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!

           “กรี๊ด ไอ้โทน โอ้ยป้าหัวใจจะวาย” ป้าขายหมูปิ้งเจ้าประจำของผมร้องลั่นเมื่อรถจักรยานของผมจอดเอี๊ยดอยู่หน้าร้านแก

           “ปะ ป้า แฮ่กๆๆ เห็นไอ้ไม้ไหมครับ”

           “เห็นขับรถผ่านไปเมื่อกี้ กรี๊ด ไอ้โทน!!!!” แกกรี๊ดอีกรอบเมื่อผมซิ่งออกมา

    เอาจริงดิ ป้าแกชี้มาทางย่านโรงแรมรายวันจริง ๆ ด้วย ไม่ทันจะคิดอะไรก็ต้องเบรกเอี๊ยดเมื่อรถไอ้ไม้สวนออกมาพอดี มันหน้าเหวอทันทีที่มองเห็นผม ฮึ ตัดข้อพาผู้หญิงมาซั่มได้เลยแต่ปัญหาที่มันโดดเรียนยังไม่เคลียนะ 

           “พ่อโทน” มันลงจากรถเดินมาหาผมที่หน้างอไม่เลิก

           “ทำไมมึงไม่ไปโรงเรียน”  ผมเชิดหน้าไม่มองหน้ามัน มันเอามือมาจับที่ข้อมือผม แต่ผมสะบัดออก งอนโว้ย!

           “ผมพานุ่นมาส่งบ้านครับ เขาไม่สบาย” นุ่นไหนของมึงวะ ฮึ ครอบครัวครูบาอาจารย์เขาไม่มีหรือไงต้องมาส่งถึงบ้านช่อง

           “รีบไปเรียนตอนเย็นกลับไปโดนกูแน่”

   ผมว่าแล้วหันรถกลับปั่นกลับมาที่ร้านหันไปมองค้อนไอ้ลูกบ้าหน้าหงอยเป็นหมาน้อยหลายต่อหลายที หึ จะงอนให้เข็ดบังอาจทำให้เป็นห่วงและจิตตกขั้นรุนแรง หึ อีกหน่อยถ้าเกิดลูกผมมีเมีย ไม่รู้ว่าผมจะจิตตกขนาดไหน ไม่อยากให้มีเลย แต่ถ้าไอ้ไม้รักใครผมก็ต้องรักด้วยจริงไหม … เฮ้อ เป็นพ่อนี้มันไม่ง่ายจริง ๆ เลยนะ

           “แตงกวาเป็นหวัดน่ะ อากาศเปลี่ยนบ่อยเราฉีดยาให้แล้วให้เจ้าหนูพักผ่อนที่นี้สักคืนเนอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยกลับ”

   ผมพยักหน้าให้ไอ้เกื้อที่พึ่งเอาแตงกวาเข้าไปในกรงห้องพักฟื้นสัตว์ของร้าน ผมนั่งลงข้างหน้ากรงก่อนจะก้มลงไปมอง ไอ้หมาน้อยส่งสายตาน่าสงสารครางหงิงมาให้ผม สภาพไอ้เจ้าไม้คงไม่ต่างจากแตงกวาตอนนี้เท่าไหร่ ผมก็เหมือนกันนั้นแหละ

           “อดทนนะแตงกวา เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้กลับบ้านล่ะนะ”

   ภาพเด็กผู้หญิงน่าตาน่ารัก ซบลงหลังหนา ๆ ของเจ้าไม้เด็กเปรตทำให้ผมอดนึกไม่ได้เหมือนกันถ้าวันไหนมันแยกย้ายไปมีครอบครัวผมจะเหงาขนาดไหน เฮ้อ …แค่คิดใจผมก็เต้นไม่เป็นศัพท์แล้ว …



           ตกเย็นอากาศเริ่มเย็นลง ผมเอาเสื้อกันหนาวฉุกเฉินที่อยู่ในห้องนอนเล็กๆของร้านมาใส่พอดีกับที่รถบ้านไอ้เกื้อที่เพิ่งกลับมาจากตรวจควายบ้านลุงคิมมามาพอดี

   “แน่ใจเหรอโทนว่าจะไม่ให้เราอยู่ด้วย ดึก ๆ มันหนาวนะ”

           “เออนะ กลับไปเหอะเจอกันวันจันทร์มึง” ไอ้เกื้อพยักหน้าก่อนจะเดินขึ้นรถที่มารับมันกลับไปบ้านใหญ่

   ลืมไปเลยว่าวันนี้วันศุกร์ต้องอยู่ร้านคนเดียวไม่สิอยู่กับแตกกวา เมื่อกี้โทรไปบอกพ่อทายมาเสียงโห่ลั่นบ้านเลย ใช่สิมนุษย์ซอมบี้ผู้หิวโหยต้องกินกับข้าวฝีมืออ่อนด๋อยของไอ้เจ้าไม้ ไม่รู้เหมือนกันว่ายัยหนูมูลี่หายไปไหน ตั้งนานแล้วที่ไม่มีแว๊ดๆมีบ้านผม เออ ใจเด็กน้อยนี้มันยากที่จะบรรยายทีเดียว ดีเหมือนกันที่วันนี้ไม่ต้องกลับบ้าน ไม่อยากจะเห็นหน้าเหมือนกัน หึ

           ผมยืนส่งไอ้เกื้อขึ้นรถเสร็จก็เดินเข้ามาตรวจเช็คอาการแตกกวาหมาตัวน้อยและหยิบหนังสือนิยายฆาตกรรมออกมานั่งอ่านเพลินจนถึงทุ่มกว่า ๆ อากาศที่ว่าหนาวแล้วพอฟ้ามืดก็ตกประมาณ 15 องศา ปากสั่นงั๊ก ๆ เลยอ่ะ แง่มมมม ผมเดินไปปิดหน้าต่างในร้านทุกบานก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อมาใส่อีกตัว ไม่พอคว้าเอาผ้าห่มมาอีกอัน มานั่งอยู่หน้ากรงแตงกวา แตงกวาเองก็หนาวพอกันขนาดใส่เสื้อให้แล้วยังสั่นอยู่เลย ผมเลยอุ้มหมาน้อยออกมาซุกในผ้าห่ม นั่งพิงพนังลูบขนนิ่ม ๆ ของมันจนเคลิ้มหลับไปทั้งคนทั้งหมา

           ในฝันผมเห็นภาพของเจ้าไม้แห่ขันหมากไปขอสาว … ในตอนนั้นผมจำได้ว่าผมร้องไห้ฟูมฟายเป็นบ้าเป็นหลัง มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความดีใจ มันเป็นความเสียใจล้วน ๆ นี้กูเป็นพ่อภาษาอะไรวะ ผมควรจะดีใจไม่ใช่หรือไงที่ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ในขณะที่ลูกผมมีความสุข ผมก็ควรที่จะมีความสุขไม่ใช่หรือยังไง … เมื่อไหร่ที่ความฝันจะจบลงสักที มันทรมานมาก ๆ เลยที่เห็นรอยยิ้มมีความสุขแบบนั้น

           “พ่อโทน พ่อโทนครับ”

   ผมสะดุ้งตื่น แสบตาจากแสงไฟจนต้องหลับตาลงอีกรอบ สัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ลูบที่แก้มผมเหมือนปลอบโยน หน้าตื่นตระหนกของไอ้ไม้อยู่ในระยะประชิด ผมหน้างอขึ้นอย่างอัตโนมัติ ก่อนจะก้มลงห่อผ้าแตงกวาเป็นหมาน้อยดักแด้ก่อนจะพาเข้าไปนอนในกรงต่อ

           “มาทำไม ใครให้มา” ผมว่าสะบัดตัวลุก งั๊กๆๆๆ หนาวๆๆๆ ไม่ไหวขอนั่งที่เดิมแปป ไอ้ไม้หัวเราะกิ๊ก หึ ตลกนักสิ และนี้อะไรทำไมมาด้วยเสื้อบาง ๆ แบบนี้ ไม่หนาวบ้างหรือไง ผมค้อนขวับก่อนจะถอดเสื้อตัวเองให้ตัวนึงและซุกตัวลงในผ้าห่มอีกรอบ ฮึ หนาวก็หนาว เดียวไม่สบายจะตบให้ดิ้นเลย

           “ฮ๊าดชิ้ว!!!!” ผมจามหนึ่งทีก่อนจะหันหน้าไปอีกด้าน ไม่อยากมองหน้าแล้ว หัวเราะดีนัก

           “พ่อโทนไม่งอนผมสิครับ” เสียงหงุงหงิงดังขึ้นด้านหลังผมไม่สนใจ หึ นั่งหันหลังให้แบบนี้แล้วไม่ต้องมาคุยกันหรอกเว้ยยยย เมื่อกี้มึงยังหนีไปแต่งงานได้เลย ไม่มีอะไรต้องพูดก๊านนนนนนน

           “นุ่นไม่สบายครับ โทรมาก็ไม่มีคนรับ อาจารย์เลยให้ผมพากลับมาเพราะนุ่นลืมเอายาประจำตัวไป”ผมหันไปมองมันนิด ๆ หน้าตานี้ไม่ได้สลดเลยนะ ยังระรื้นเหมือนเดิมมองต่ำลงไปเห็นมันหอบของพะรุงพะรังมา อ่ะ มีกุ้งด้วย คิกๆ ผมชอบกุ้ง

           “เอากุ้งมาทำไม”

           “พอดีที่บ้านมีงานเลี้ยงครับ”

           “หึ พอกูไม่อยู่แล้วปิดซอยเลี้ยงเลยหรือไง”

           “ไม่ใช่ครับ เพื่อนปู่ทายมาเลยจัดงานนิดหน่อย ผมคิดถึงพ่อโทนเลยเอาของมาฉลองกับพ่อโทนสองคน” ผมเม้มปาก … ทำไมถึงน่ารักขนาดนี้ ฮึ้ย หมั่นเขี้ยวเฟ่อ!!

           “ตะ แต่ที่นี้ไม่มีหม้อนะ”ผมหันไปนั่งกอดเข่าก้มหน้าตรงหน้าของมันที่นั่งชันเข่ามองผมอยู่

           “ผมเอามาครับ” บร๊ะ นี้มันแบกเอาหม้อไฟฟ้ามาด้วยหรอเนี้ยยยยยยย

           “เลิกงอนผมนะครับเดี๋ยวมากินสุกี้อุ่น ๆ เนอะ” จนแล้วจนรอดผมก็ต้องยอมแพ้มันจนได้ คิกๆ เพื่อสุกี้ผมยอมได้



-ไม้-

           “กินเยอะ ๆ นะครับ”

   ผมตักกุ้งของโปรดพ่อโทนใส่ถ้วยก่อนจะยื่นให้เขาที่ตาเป็นประกายอยู่ในโปรงผ้าห่มผืนหนา ผมพาเขามานั่งทานกลางห้องโรงพยาบาลของพ่อโทน โดยที่ผมไปลากโต๊ะและเก้าอี้มาให้ได้นั่งให้สบาย กลางโต๊ะที่หม้อสุกี้ที่เดือดผุด ๆ น่ากินเหมาะสำหรับ คืนนี้อากาศเย็นเป็นพิเศษแบบนี้ เมื่อเช้าพ่อโทนเข้าใจผิดขั้นรุนแรงและดูเหมือนจะงอนมากซะด้วย ขนาดยอมกินแล้วยังหน้างออยู่เลย สำหรับผม ไม่มีใครแทนพ่อโทนได้ ไม่ว่าด้วยฐานะอะไร คนเดียวที่อยู่ในใจของผมคือพ่อโทนสุดที่รักของผมเพียงคนเดียว ที่ผมพยายามอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงเพราะเขาเพียงผู้เดียว

   พ่อโทนรับไปกินอย่างหิวโหยก่อนจะเงยหน้ามองผมเหมือนมีพิรุธ ผมมองเค้าด้วยสายตาที่อยากให้เขารับรู้สิ่งที่ผมอยากจะบอก มันไม่ใช่แล้วผมรู้ดี ว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่เค้าอยากให้เป็น

   “แล้วแตกกวาเป็นยังไงบ้างครับ”

   “ดีขึ้นแล้ว แต่ให้กลับพรุ่งนี้ มะเขือกับกะหล่ำมีมี่ล่ะ”

   “ผมจับใส่เสื้อทุกตัวแล้วครับ” เขาพยักหน้าก่อนจะก้มหน้ากินต่อไป มีผมคอยตักให้ เป็นระยะๆ และนั่งบี้กุ้งให้เจ้าแตงกวาด้วย พวกพี่น้องของเจ้าแตงกวาที่บ้านน่ะไม่ต้องพูดถึงอิ่มหนำสำราญกันเชียว นาน ๆ ได้กินทีกับอาหารที่พ่อโทนห้ามกินกันใหญ่เลย พอไปให้เท่านั้นล่ะ หมาเด็กไม่สบายกินลืมหายใจเลย  เหมือนพ่อโทนตอนนี้เลย ฮึฮึ

   “อิ่มแล้ว” พ่อโทนบอกหลังจากที่ชุดแรกหมดและผมเตรียมจัดต้มให้อีกชุดใหญ่พุงน้อย ๆ ของเขาป่องออกมาเสียงเร่อเอิ๊ก ทำให้รู้ว่าอิ่มจริง ผมหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเก็บถ้วยเก็บจานไปล้างหลังร้าน โดยมีเขาเดินเข้ามาติดๆ

   “เดี๋ยวกูล้างเอง”

   “ผมล้างได้ครับ”

   “จิ๊ ก็บอกว่าจะล้าง!”ผมยิ้มนิดๆก่อนจะถอยออกมาจากอ่างล้างจาน แย่จังโดนดุอีกแล้ว ยังงอนไม่หายหรือยังไงน่ะคนใจแข็งเมื่อไหร่จะเห็นใจกันบ้าง ไม่รู้เลยหรือไงว่าแต่ละครั้งที่โดนดุ โดนเมิน โดนไม่สนใจ ลูกคนนี้เสียใจแค่ไหน …

   “เป็นอะไร” ผมส่ายหน้ายิ้ม ๆ ให้เค้าก่อนจะยืนมองเขาที่ยืนล้างจานไม่ห่าง ใจอยากจะเดินเข้าไปกอดไว้ แต่คงทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนมอง เหมือนใกล้กันแต่ห่างไกลกันมากจริงๆ

   “กลับไปเลย” พอล้างจานเสร็จเค้าก็หันมาไล่ผมอีก หึ โดนไล่อีกแล้ว เสียใจผมดื้อ

           “ไม่ครับผมจะนอนด้วย”

           “พรุ่งนี้ต้องตื่นมาทำอาหารให้พวกลุงๆอีกนะ” เขาเถียงไม่เลิก ผมเตรียมการไว้หมดก่อนมาแล้ว ไม่มีพ่อโทนผมนอนไม่หลับหรอก ไม่มีทางแน่นอน

           “พี่เมฆรับปากว่าจะทำให้ครับ”

   เขาบุ้ยปากแบกฟูกที่นอนออกไปด้านนอก ผมรีบหยิบหมอนเดินตามไปทันทีเป็นอย่างที่คิดจริง ๆ ที่เค้าหอบผ้าหอบผ่อนมานอนกับแตงกวาจริงๆนั้นแหละ ผมหัวเราะเมื่อเห็นเขาปูที่นอนสำหรับคนเดียว มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมนะ ปกติเขาก็นอนบนตัวผมอยู่แล้ว

           “นอนล่ะ” เขาว่าก่อนจะล้มตัวนอนดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเอง

   ผมหัวเราะนิด ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ตักน้ำใส่หม้อดึงเตาแก๊ซปิกนิกสำรองออกมาและจุดไฟต้มให้มันอุ่น ๆ ก่อนจะพาตัวเองเข้าไปเอาน้ำลูบหน้าลูบตาออกมาด้านนอกน้ำก็อุ่นพอประมาณ เทน้ำอุ่นใส่กะละมังที่เตรียมไว้หยิบเอาผ้าขนหนูเล็กจุ่มลงไปในน้ำบิดพอหมาดถือเดินออกมาหาคนที่นั่งหน้างออยู่ ยังไม่นอนอีกแหะผู้ใหญ่ดื้อคนนี้

           “ไม่นอนหรอครับพ่อโทน”

           “ใครจะไปนอนลงมีหมามาเดินไปมาอยู่อย่างงี้” ผมนั่งลงตรงหน้าเค้า ก่อนจะเอื้อมหยิบมือผอมแห้งบอบบางขาวเนียนของเค้ามาค่อย ๆ เช็ดอย่างถะนุถนอม ยังไงก็ตามเขาจะว่าอะไรก็ตาม ผมขอแค่อยู่ข้างๆ ก็พอ

           “สักวันคงไม่ทำแบบนี้ให้แล้วใช่ไหม”พ่อโทนก้มหน้าก้มตาผมชะงักมือเชยคางเค้าขึ้นให้สบตากัน

           “ฮื่อ พูดเรื่องอะไรครับ”

           “ถ้าจะแต่งงานบอกกันก่อนล่วงหน้า 3 เดือนนะ”

           “อะไรครับพ่อโทน”

           “มันต้องมาถึงอยู่แล้วล่ะ ไม่ว่ายังไงวันทามึงต้องไปจากกูก็ต้องมาถึง ถึงเวลานั้น … ขอทำใจก่อนนะ” หึ นึกว่าเรื่องอะไร … ที่แท้ก็เรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้นี้เอง

           “ผมจะไม่แต่งงานครับ” ผมว่าก่อนจะลงมือเช็ดเนื้อเช็ดตัวเค้าต่อ

           “ตลกอ่อ!” ผมหัวเราะทั้ง ๆ ที่ในใจอยากตะโกนมากแค่ไหนว่าไม่ตลก ผมไม่ตลกสักนิด!

           “ไม่ครับ ผมจะอยู่กับพ่อโทน”

           “ไอ้เด็กติดพ่ออยากให้เพื่อนล้อมึงหรือไง”

           “ใครจะว่ายังไงก็ตาม ชีวิตนี้ผมมีแค่พ่อโทน … รักแค่พ่อโทน” ผมว่า ไม่สนใจเสียงหงุงหงิงขี้หงุดหงิดของเขา ไม่มีทางที่ผมจะสนใจใครอีกแล้ว หัวใจของผมมันชัดเจนตั้งแต่ตอนที่ผม 13 ขวบแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันพังทลายลงและคนๆเดียวที่ฉุดผมขึ้นมาจากหลุมดำคือเค้า … พ่อโทนเพียงคนเดียว

           “นอนเถอะครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า”

           “ไม่ต้องบอกหรอก” เขาว่าและล้มตัวนอนหันหลังให้

   ผมถอนหายใจก่อนจะเหลือบไปมองแตงกวาที่อยู่ไม่ไกลนัก เจ้าหมาน้อยหลังปุ๋ยไปนานแล้ว ผมล้มตัวนอนข้าง ๆ พ่อโทนบนพื้นเย็นเฉียบ ไม่มีผ้าห่ม ไม่มีหมอน แค่ได้นอนข้าง ๆ ก็พอใจแล้ว

           “อวดดีนักนะ ขยับมา” เขาหันมาค้อนผมวงใหญ่ก่อนจะล้มตัวนอนตะแคงมาทางผม ตัวเขานิดเดียวเลยเหลือที่เยอะพอสมควร ผมเหยียดยิ้มเมื่อคนใจอ่อนอนุญาต จึงซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกัน และกอดดวงใจเอาไว้แน่น ทำให้ร่างอันสั่นทาของเขาหยุดนิ่งและหายใจเป็นจังหวะคงที่ได้ … พ่อโทนหลับแล้ว เหลือแต่ผมที่ยังภาวนาในใจให้ความคิดนับร้อยนับพันของลูกไม่รักดีคงนี้ส่งต่อไปหาพ่อโทนได้ …

           “รักพ่อโทนนะครับ” ผมกระซิบบอกเขาก่อนจะเผลอหลับไปหลังจากที่เหนื่อยมาตลอดทั้งวัน เดือนหน้าผมมีขึ้นชกชิงแชมป์รุ่นเกิน 20 ปี อยากให้พ่อโทนไปดูจัง อยากให้เขารู้ว่ากว่าผมจะมาถึงจุดนี้ กำลังใจหนึ่งเดียวคือพ่อโทน … รัก รักจริงๆ

.

.

.

           “ไอ้ไม้อ่ะพ่อ” ผมถามขึ้นทันทีที่เดินเข้ามาในบ้านเจอวงเหล้าของพวกขี้เมาทั้งหลาย กินกันอย่างกับน้ำตับแข็งปะให้ทายยยยยยย

           “บนห้องโน้น” พ่อก็เริ่มป๊อแป้ล่ะ ผมส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน

   “ทำอะไร”

    ผมชะโงกหน้าไปดูเจ้าไม้ที่นั่งเงียบอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องของเรา เออ ความจริงก็ห้องของผมแหละแต่มีไอ้เด็กง๊องแง๊งไม่ยอมแยกห้องบอกนอนไม่หลับห้องนั้นมันมีผีบ้างอะไรบ้าง พอผมจะไปนอนเองก็ไม่เอา ชอบมานอนเบียดกันบนเตียงเล็ก ๆ แต่มันก็อบอุ่นนะ ว่าจะซื้อหมอนข้างใหม่ไม่ต้องล่ะคงได้ซื้อเตียงใหม่แทน โชคดีที่เจ้าไม้ไม่นอนดิ้นเหมือนเด็กคนอื่น ๆ จับท่าไหนนอนท่านั้นซุกได้ตลอดทั้งคืน

   ผมได้ถือโอกาสสำรวจคู่แข็งทุกวันด้วย(?) ฮึ้ย คิดจะโตกว่าพ่อมึงสินะ เออ ยอม ก็ผมมันหยุดโตแล้วนี้

   “กลับมาแล้วเหรอครับพ่อโทน” มันหันมามองผมและยิ้มแป้น ผมนอนแผ่แอ้งแม้งลงเตียงมองมาที่มัน โอ้ย วันนี้เหนื่อยมากเลย วัวบ้านลุงใจท้องเสียกันยกคอกเลย ผมกับไอ้เกื้อนี้รันทดกันสุดๆ แต่ก็ดีแล้วที่วัวปลอดภัยละ พรุ่งนี้ไปตรวจอาการอีกที กว่าจะกลับมาได้ก็ปาเข้าไปเกือบ 5 ทุ่มแหนะ

   “เหนื่อยมากหรอครับ” เจ้าไม้ถลาเข้ามานั่งที่ข้าง ๆ เตียงไม้ที่ฟูด้วยฟูกหนาของผม ผมหลับตาก่อนจะยื่นมือไปให้มัน

   “ฮื่อ … ดมมือสิ”มันไม่ ปฏิเสธก้มลงมาหอมมือผมที่ยื่นไปหาเบาๆ ก่อนจะย่นจมูกทำหน้าตาตลก ผมขำกลิ้งเลย ฮ่าๆๆๆๆ กลิ่นขี้วัวทั้งนั้นอ่ะนะ เสียใจด้วยนะลูกเอ้ยยยยยยย

   “ว่าแต่ทำอะไรอยู่วะถามเมื่อกี้ก็ไม่ตอบ”

   “ดูหนังสือน่ะครับ สัปดาห์หน้ามีสอบ” สมองอย่างมันต้องอ่านด้วยเหรอ แสดงว่าผมฉลาดกว่าตอนเรียนไม่เคยอ่านสักตัว เกรดออกมานี้จ๊ากเลย อิอิ

   “เอ๋ สอบแล้วหรอก งี้ ก็ปิดเทอมแล้วสิ”เจ้าไม้ยิ้มแป้นไม่ตอบอะไรพอมันไม่ตอบอะไรผมก็เลยเตรียมหันหลังให้เพราะรู้สึกทั้งเพลียทั้งง่วง ไว้ตื่นมาค่อยอาบน้ำแล้วกันนะ …

   “พ่อโทนครับ”

   “ฮื่อ …” ผมขานรับทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ … รีบๆพูดนะเดี๋ยวภาพจะตัดแล้ว ง่วงมากเลย …

   “หลังสอบผมมีชกชิงแชมป์ …”

           “ไม่ต้องห่วงนะ มีแผลพกช้ำดำเขียวที่ไหน เดี๋ยวทำแผลให้ เนื้อคนคงไม่ต่างจากเนื้อวัวสักเท่าไหร่หรอก คิกๆ” ผมหัวเราะคิกคักก่อนจะรวบเจ้าไม้เจ้ามากอด ไม่ต้องอ่านแล้วดึกแล้วนอนกันเถอะ …







/////////



หวงก็บอกหวงสิคะพ่อโทน
ฉบับรีไรท์รอบนี้ มีครบทุกคู่และจะเขียนให้จบจ้ะ
ส่วนนิยายเรื่องอื่นที่ถูกลบจะรีไรท์และทยอยลง ยังไงฝากตามความเคลื่อนไหวในเพจ "ห้องเก็บนิยายPa_Pa"นะคะ


V
V
V

ลิ้งเพจค่ะ

https://web.facebook.com/YaoiStoryPaPa/ (https://web.facebook.com/YaoiStoryPaPa/)

 :hao7:

หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่8 หวงแหละดูออก} 15/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: kunkai ที่ 15-04-2020 10:50:56
รีไรท์ก็สนุกเหมือนเดิม อ่านหลายรอบแหละ
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่9 กลิ่นคลุ้ง} 15/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 15-04-2020 20:26:52
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 9 กลิ่นคลุ้ง


-ไม้-

   “เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟังหน่อยสิ” พ่อโทนถามขึ้นในขณะที่กำลังลูบหัวลูกวัวอยู่ในโรงเรือนเล็ก ๆบ้านลุงศรที่โทรถามมาให้ดูอาการเจ้าสตอ ที่เกิดอาการไม่สบายซะอย่างงั้น

   วันนี้ผมตามพ่อโทนมาทำงานด้วย เพราะพ่อโทนขาดลูกมือพี่เกื้อกลับบ้านไปทำธุระด่วน ผมเองก็หยุดเสาร์อาทิตย์เหมือนกัน เลยขอปู่ทายไม่ซ้อมวันนึงปู่เองไม่ว่าอะไร แต่กลับไปพรุ่งนี้ผมต้องซ้อมหนักเป็นสองเท่า อีกอย่างพ่อโทนเองก็ไม่มีเวลาให้ผมเท่าไหร่ ในบางทีปิดร้านจะนอนแล้วโทรศัพท์ก็ดังก็ต้องลุกขึ้นมาทำงาน ทำให้ไม่ค่อยได้พักผ่อน ถึงแบบนี้ก็ยังตื่นมาทำงานบ้านตั้งแต่ตี 5 เหมือนกันทุก ๆ วัน ผมเองยิ่งใกล้วันสอบและวันแข่งด้วยแล้วผม ก็ต้องพยายามรักษาระดับเอาไว้ เพื่อพ่อโทนเท่านั้น หวังว่าจะทำให้เขาภูมิใจทั้งการเรียนและการชกมวย

   “ปกติ ไม่มีอะไรครับ”

   “โกหก เมื่อวานเจอไอ้โบ้ด้วยมันบอกลูกพี่มันมีแต่สาวมาจีบ ทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่” ผมอมยิ้ม ความจริงก็โกรธไอ้โบ้เหมือนกันนะ แต่ตอนนี้พ่อโทนน่ารักมาก หน้างอจนปากจะปิดจมูกอยู่แล้ว

    “ก็อาจจะมีมั่งครับ” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก้มเก็บอุปกรณ์หมอที่กองอยู่บนผ้าที่ปูอยู่บนกองฟางใกล้ ๆ ใส่กระเป๋า ไม่ลืมที่จะถอดเข็มฉีดยาใส่ถุงซิป พ่อโทนบอกว่าห้ามใช้ซ้ำ เดี๋ยวสัตว์จะไม่สบายสัตว์ก็เหมือนคน แต่คนสามารถพูดได้แค่นั้นเอง

    “ฮึ จำไว้เลยนะ อย่าให้เห็นนะ” ผมแอบหัวเราะคนเดียวเพราะท่าทีของพ่อโทนมันเหมือนหนูน้อยเอาแต่ใจเหมือนกำลังจะโดนแย่งของเล่น ไม่ต้องกลัวนะฮะ พ่อโทนของเล่นไม่หายไปไหนหรอกนะ

   “นี้แหนะ ไม่บอกจริง ๆ ใช่ไหม!” พ่อโทนกระโดดโดนล็อกคอจากด้านหลังทึ้งตัวผมซะจนยุ่ง ด้วยความที่ใส่ถุงมืออยู่ ไม่กล้าจับเขาได้แต่แกล้งร้องเสียงหลง เอาใจ

   “ยอมแล้วครับ โอ้ย ยอมแล้วครับพ่อโทน”ผมยืนขึ้นแต่พ่อโทนไม่ยอมปล่อยเลยทำให้เขาขาลอยขึ้นมาพื้นนิด ๆ และก็เอาขาตวัดรอบเอวผมไว้กันตก อ่า มีความสุขจัง

   “ฮ่าๆๆ ยอมก็บอกมา”

   “ไม่มีจริงครับ”ผมว่าพร้อมกับถอดถุงมือ ก้มลงไปเอาใส่ถุงพ่อโทนยังไม่ยอมปล่อยเลย มือเหนียวนักนะ น่ารักจัง เหมือนหมีโคลาเลยแฮะ คิดถูกแล้วที่ผมตามมาทำงานด้วย

   “ปากแข็งนักนะ นี้ๆ ไหนมาให้มองหน้าเด็กปากแข็งหน่อยสิ นิสัยไม่ดีนักนะไอ้เวร” บ่นไปก็พยายามไต่ตัวมาด้านหน้าของผม

   ผมล่ะกลัวเขาตกเลยต้องเอามือไปช่วยประคองไว้ด้วย ตัวเบาจัง เบากว่าผมแน่ ๆ หน้าใสกวนโอ้ยน่ารักของพ่อโทนมาอยู่ตรงหน้าผมจนได้ ผมยิ้มแต่คนนี้สิหน้าบึ้งเชียว อ้อนใหญ่เลยนะวันนี้เป็นอะไร เนี้ย ฮึ…ตัวแสบ

   “บอกมานะ ไอ้โบ้บอกเยอะด้วย เกเรใช่ไหมส่งไปเรียนนะไม่ใช่ไปหาเมีย” เขาบ่นหงุงหงิงให้ได้ยินกันสองคน เพราะลูกวัวที่เฝ้าดูอาการเข้านอนแล้ว ผมยิ้มก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เข้าและกระซิบเบา ๆ จนที่เม้มปากอย่างคาดคั้นตาใสแป๋วนั้นทำให้ผมอดรนทนแทบไม่ไหว

   “ไม่มีอะไรแน่นอนครับ เชื่อใจไม้นะ” จากนั้นเหมือนเส้นเลือดพ่อโทนแตก หน้าแดงปลั่งอย่างน่ารักน่าชัง ผมมองเข้าไปในตากลมบ๊องแบ๊วตรงหน้า ก่อนจะผมเหยียดยิ้มก่อนจะค่อยๆยื่นหน้าไปหอมแก้มนิ่มเบา ๆ อยากทำมากกว่านี้แต่กลัวเหลือเกินที่เขาจะไล่ไอ้คนไม่รักดีออกจากบ้าน

   “รักพ่อโทนนะ” เขาเม้มปากที่กระตุก ๆ ก่อนจะปล่อยมือจากคอผม และเดินไปสะพานกระเป๋าแพทย์ และเดินนำออกไปจากโรงเรือนเงียบ ๆ บาปไหมนะที่ทำพ่อตัวเองเขิน

   “อ้าวจะกลับกันแล้วหรอ มากินข้าวกันก่อนกลับสิ ป้าแกเขาทำกับข้าวไว้เยอะเลย” แต่ก่อนที่เราจะกลับลุงศร ก็เดินออกร้องห้ามเอาไว้ซะก่อน พ่อโทนพอได้ยินว่าเรียกกินข้าวก็หูกระดิก ยิ้มแป้นลืมความเอียงอายเมื่อสักครู่สิ้น

   “เอ่อ … งั้นฉันไม่ปฏิเสธล่ะจ้า คิดถึงน้ำพริกกุ้งเสียบบ้านนี้ที่สุดแล้ว” พ่อโทนหันมามองผมนิดหน่อยก่อนจะยิ้มร่าวิ่งเข้าไปหาแคร่หน้าบ้านที่มีกับข้าววางอยู่หลายอย่าง พร้อมกับลุงศักดิ์และป้าจิตที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว ผมเดินไปนั่งข้างพ่อโทนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะไปมีอะไรเกิดขึ้นล่ะ ลูกหอมแก้มพ่อมันแปลกตรงไหน ??? เด็ก ๆ ก็หอมกันบ่อย จะตาย หึหึ

   “เอ๊าๆ กินเยอะๆ ไม่ได้เจอกันนานยังเหมือนเดิมเลยนะเอ็งไอ้โทนไม่เหมือนลูกเอ็งโตวันโตคืน แถมหล่อข้าวหน้าข้ามตาซะจนสาว ๆ กรี๊ดกันทั้งบาง ใช่ไหมไอ้ไม้ฮ่า ๆๆๆๆ” ผมหัวเราะตามแกก่อนจะเอื้อมตัวไปหยิบจานข้าวที่ป้าจิตคดให้ผมกับพ่อโทน

   “แหม ลุงผมน่ะหล่อจะตาย ไอ้เด็กนี้น่ะ เด็กผีไม่หล่อหรอก” ผมหันมายื่นจานที่พูนไปด้วยข้าวให้คนเก่ง ที่พูดเป็นต่อยหอยไม่สนใจอะไร

           “นี้เห็นบอกจะมีขึ้นชกชิงหรอเจ้าไม้”

           “ครับป้าจิต ปลายเดือนหน้าครับ”

           “ระวัง ๆ นะลูก อำเภอนั้นได้ข่าวว่านักมวยเถื่อนเยอะจะตายเนอะ พ่อมึงเนอะ”

           “เออดิ คราวก่อนก็มีข่าววางยานักมวยคู่ต่อสู้ แต่ระดับค่ายไอ้ทายแล้วก็ชกมาชนะทุกปีไม่หลงกลไอ้หมาลอบกัดหรอกน่ะ” ลุงศรพูดเย้าเล่น ผมเห็นด้วย ความที่ปู่ทายฉลาดและไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบ การันตรีด้วยประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการมาหลายสิบปี แต่ดูหน้าพ่อโทนตอนนี้สิ เหมือนกำลังคิดมากอะไรอยู่ ถามก็ไม่ยอมตอบเอาแต่คุยกับลุงกับป้า กินข้าวจนพุงป่อง

   เป็นเวลาบ่ายแก่ที่ผมกับพ่อโทนบอกลาลุงกับป้า โดยที่ผมเป็นคนขับเป็นสารถีรับส่ง ระหว่างทางคันนาผมค่อย ๆ ขับไปตามทางที่พ่อโทนชอบพาผมมาตอนเด็ก ๆ วันที่เขาจับมือผมและเดินไปข้างหน้าช้า ๆ ผมยังจำความอบอุ่นได้ในความทรงจำที่เหมือนเกินขึ้นเมื่อวานนี้

   “พ่อโทน” ผมมองไปกระจกมองหน้าเห็นเขาซุกหน้ากับหลังผมเหมือนกำลัง

   “อื้อ” เขาขานออกมาในลำคอ

   “เป็นอะไรครับ”

   “เปล่า”

   “โกรธหรอครับ”

   “ก็บอกไม่เป็นไรไง!”พ่อโทนตะโกนข้างหูผมก่อนจะผลุบลงไปเอาหน้าซุกหลังผมเหมือนเดิม หึหึ น่ารักจัง

   “ครับ ๆ จะแวะไปร้านก่อนหรือจะกลับบ้านเลยครับ”

   “กลับบ้าน … ให้เด็กไปอ่านหนังสือ จะสอบแล้วไม่ใช่หรือไง”ผมเหยียดยิ้มอยากจะหยุดรถและหอมเขาสักฟอดสองฟอด ถึงพ่อโทนจะดูเป็นคนอารมณ์ร้อนแต่ก็นึกถึงคนอื่นเสมอ … นั้นล่ะพ่อโทนของผม

   

           ผมเริ่มไม่อยากให้ไอ้เด็กบ้านั้นต่อยมวยแล้วสิ เฮ้อ … หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่ลุงศรกับป้าจิตบอก ผมก็เอาเด็กมาส่งบ้านก่อนที่ตัวเองจะขับจักรยานมาที่บ้านตาศุกร์ค่ายมวยที่อยู่ไม่ไกลจากค่ายผมนัก เขาบอกว่าอำเภอนั้นมันขี้โกงจริงขนาดโดนจับได้ยังโกงต่อมาเรื่อย ๆ จนไม่มีใครอยากจะชกด้วยแล้ว แต่เห็นว่าค่ายนั้นเส้นใหญ่ เลยยังได้ชกต่อมา … ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย ไม่อยากให้ชกแล้ว …

           “เฮ้อ …” ผมถอนหายใจค่อย ๆ ถีบจักรยานกลับบ้านในเวลาเย็น ผมอาจจะคิดมาเกินไปก็ได้ พ่อน่าจะจัดการเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว แต่ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นมา… ผมต้องเสียใจมากแน่ ๆ

           “ไอ้โทน!!!” ใครวะ เสียงคุ้น ๆ มาเรียกอะไรกันกลางถนนแบบนี้ ผมจอดรถก่อนจะหันไปมองมอเตอร์ไซค์ ขับสวนไปเมื่อกี้ พอตาปรับโฟกัสได้ก็แทบจะทิ้งจักยานวิ่งไปหาเจ้าของเสียง

           “ไอ้ป๊อก! มึงรอกูอยู่ตรงนั้นเลยนะ” ผมหัวเราะร่า จอดจักยานข้างทางที่ปลอดภัยและวิ่งไปกระโดดกอดไอ้เพื่อนยากสมัยเรียนม.ปลาย มันดีใจไม่ต่างกันกอดผมเอาไว้ด้วยความยินดี หว่าเว้ย! มันหล่อขึ้นเยอะเลยตัวสูงด้วย เพื่อนผม ฮืออออออ เพื่อนผมมาอ่ะ มันกลับมาจากกรุงเทพแล้ว

   “ ไอ้ป๊อกกกก กกกกกกก คิดถึงไม่ได้เจอกันตั้งนานแหละ ฮ่าๆๆๆๆ ฮือออออ”

           “ฮ่าๆๆๆๆ ไอ้หมอหมาร้องไห้หาป๊ามึงเหรอ เพิ่งเจอกันตอนต้นปีก่อน” ผมไม่สนใจเอาหัวซุกลงที่ไหล่มัน คิดถึงอ่ะ ไอ้ทิว ไอ้เบส ก็คิดถึง ไม่ได้เจอพวกมันตั้งนาน งานรับปริญญาก็ไม่ได้ไป ผมติดงาน ฮื่ออออออออ คิดถึ๊งงงงงงงง ดีจายยยย ย ยย แงงงงงงง

           “โอ้ย เดี๋ยวกูโบก ลงไป ได้แล้ว คืนนี้แดกเหล้ากันปะ ” อ้าวไอ้ห่านี้เอะอะชวนแดกเหล้าตลอด

           “แดกกับมึงสองคนไม่สนุกหรอก ต้องมีไอ้ทิวไอ้เบสด้วย”ผมว่าพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่แม่งไหลเป็นเขื่อนแตก

           “เออ เห็นมันบอกจะมาสัปดาห์หน้า เป็นไงบ้างวะ ไอ้หมอหมา ร้องเป็นเด็กเลยมึง” ผมหัวเราะก่อนจะพามันมาที่บ้าน รอเวลากินเหล้า พ่อผมกับลุง ๆ นี้แห่กันมารับขวัญด้วยการตบหัวมันกันยกใหญ่

    ระหว่างนั้นผมซักถามมันอีกหลาย ๆ อย่าง มันทำงานแล้วนะเป็นสถาปนิกบริษัทใหญ่โตที่กรุงเทพเห็นว่ามันไปฝึกงานและเขารับมันเข้าทำงานเลย กำลังเก็บตังเพื่อมาเปิดบริษัทเองที่นี้ด้วย อยากให้มันมาไว ๆ ผมจะได้แนะนำให้มันรู้จักกับไอ้เกื้อเพื่อนผมอีกคนด้วย ส่วนไอ้ทิวกับไอ้เบส คู่นี้ผมโทรไปหามันทันทีมันบอกจะลงมาสัปดาห์หน้าขอเคลียงานก่อน มันก็มีงานมีการทำแล้วเหมือนกัน เห็นไหมถึงพวกมึงจะเป็นเด็กนิสัยไม่ดีนะ แต่อนาคตสดใสกันทุกคน ทุกคนมันมีความถนัดที่แตกต่างกันไปเนอะ โอ้ยยยยยยยยยยย หิวเหล้า อิอิ

   “โอ้ ไก่ย่างเหรอไม้” ไอ้ป๊อกที่เดินไปหาไอ้ไม้ที่กำลังปิ้งไก่ให้อยู่หน้าบ้าน เป็นกับแกล้ม โดยมีกองทัพลูกหมาเป็นตัวช่วยอยู่ห่าง ๆ หอมอะ หิวแล้วด้วย

   “ไอ้โทนลุงทายไปไหนวะ” พี่แสงที่พึ่งอาบน้ำเสร็จมานั่งข้าง ๆ ผม แหมมาจองที่แดกเหล้าเชียวนะพี่

   “ไม่รู้อ่ะ” ผมว่าก่อนจะชะเง้อมองไก่ที่เริ่มส่งกลิ่นหอมจะว่าไปช่วงนี้พ่อก็ทำตัวแปลก ๆ เหมือนกันนั้นแหละชอบหายตัว

   พี่แสงไม่ถามต่อแต่วิ่งเข้าไปช่วยไอ้ไม้ปิ้งไก่อีกแรง พี่เมฆจัดแจงน้ำแข็งเหล้าชุดใหญ่มาวางบนแคร่ และไม่ลืมที่จะจุดยากันยุงด้วย โฮ้ย แซ่บ ลุงจันทร์กับลุงทิมเห็นบอกไปดูพระที่ตลาดกว่าจะกลับก็คงดึก



-ไม้-

           “อย่าเมามากนะครับ ไม้ขึ้นไปอ่านหนังสือก่อน” ผมวางจานไก่ย่างลงกลางวงก่อนจะหันไปบอกพ่อโทนที่กำลังชงเหล้าตัวเอง เขาเงยหน้ามองผมก่อนจะหยักหน้ายิ้มตาปิด นาน ๆ จะได้เจอเพื่อนเก่าก็ให้เขาได้พักผ่อนซักหน่อย 

           “โอ้ยยยย มีลูกดีจริง ๆ นะมึงนะ” พี่ป๊อกแซวขึ้น

    ผมมองพ่อโทนอีกสักพักก็เดินเข้ามาในบ้านพ่อเห็นว่าเขาไม่ได้สนใจผมแล้ว อ่านหนังสือทบทวนวิชาที่คิดว่าตัวเองยังไม่แม่นพอ อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็กินเวลาไป 4 ทุ่มกว่าแล้ว ได้ยินเสียงพ่อโทนร้องเพลงอยู่แสดงว่างานยังไม่เลิก เลยเดินลงมาอาบน้ำที่หลังบ้านพออาบเสร็จก็เดินมาที่คอกของเจ้าลูกหมาสามตัวที่นอนขดกันอยู่ ตามปกตินิสัยโดยมีเจ้ามีมี่จ้องมาที่ผมหางกระดิกเหมือนอยากจะเล่นด้วย ผมเลยนั่งลงตรงหน้าของมัน เจ้ามีมี่เดินมาซุกตัวลงในตักผมโดยที่ผมไม่ได้เรียก

           “มีมี่ พ่อโทนเหมือนไม่รักกันเลยเนอะ” ผมพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ

   เวลาผมมีเรื่องที่ไม่สามารถบอกใครได้ผมก็มักจะมาคุยกับมีมี่ ถึงแม้มันจะพูดไม่ได้มันก็ยังดีกว่าให้ผมไปพูดกับหมอนข้างนั้นแหละ ตอนที่พ่อโทนไปเรียน ผมก็มีมีมี่เป็นเพื่อนคุย ตอนที่เจ้านี้ท้องผมก็ดูแลมันอย่างดีแทบจะทำคลอดให้มันกับมือ

   “บางทีเราก็คิดนะ ถ้าเกิดเราหายไป พ่อโทนจะเสียใจไหม” ผมพูดต่อและลูบขนนิ่ม ๆ ที่ผมเพิ่งอาบน้ำไปอย่างเบามือ

    “ฮื่อออออออออ ไอ้ไม้ หายไปไหน ฮึก ลูกกูหายไอ้ป๊อก ลูกกูหายยยยยยยย”

   เสียงโวยวายทำให้ผมผลุดลุกขึ้นยืนรีบวิ่งมาที่หน้าบ้านโดยมีมีมี่วิ่งตามมาด้วย ภาพที่ผมเห็นแค่ซากของคนสองคนที่เมาแอ๋นอนลงไปกับแคร่เรียบร้อย เหลือพี่เมฆคนเดียวที่นั่งปลอบพ่อโทนที่นั่งร้องไห้เอามือเขย่าแขนเพื่อนตัวเองที่เมาหลับไปแล้วอยู่

   “อ้าว ไม้ไปไหนมามาดูพ่อไปก่อนนะ พี่พาสองคนนี้ไปนอนก่อน เดี๋ยวยุงจะห่ามหมด” แล้วพี่เมฆก็แบกพี่แสงไปก่อนคนแรก พ่อโทนพอเห็นผม ตาตี่ ๆที่ทำท่าจะปิดน้ำตาอาบหน้านั้นก็วิ่งโซซัดโซเซเข้ามาหาผมรีบกอดเขาไว้

   “ไปไหนมา ฮื่ออออ คิดถึงอยากกอด นิสัยไม่ดี”

   “เมาหรอครับพ่อโทน” ผมถามเบา ๆ คงจะเมานั้นแหละดูจากสภาพแล้ว แต่เมาแล้วน่ารักมากขนาดนี้ให้อภัย …

   “ไม่เมา ฮื่อออออออ ไม่หายนะ ไม่หายไปไหนนะ คิดถึง” ร้องไห้เป็นเด็กเลยแฮะ ผมเหยียดยิ้ม นี้หรือเปล่าที่เขาบอกว่าคนเมามักจะพูดความจริง

   “ครับไม่หายครับ ไปนอนกันนะครับ ไม่ร้องนะ” ผมว่าเสียงค่อยก่อนจะค่อย ๆ พาพ่อโทนมาบนห้อง เค้าทำท่าจะตกบันไดหลายรอบมาก ผมละใจหาย ดีนะผมพยุงอยู่

   พอขึ้นมาบนห้องได้พ่อโทนก็หลับไปเลย ผมเหยียดยิ้มก่อนจะลงมือเช็ดตัวพ่อโทนเหมือนปกติ แต่มันไม่ปกติที่หัวใจของผมเต้นโครมครามดังขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพ่อโทนไม่อยู่เฉย จ้องจะถอดเสื้อเสียให้ได้ ผิวกายขาวใสของพ่อโทนช่างน่าหลงใหล เม็ดทับทิมก็ดูน่ารักจนแทบอดใจไม่ไหว ผมหักห้ามหัวใจตัวเองก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อตัวอื่นมาใส่ให้พ่อ เช็ดหน้าเช็ดตา ห่มผ้าให้เรียบร้อยก่อนที่ตัวเองจะสอดตัวเข้าไปนอนกอดคนเมาที่ทำท่าจะดิ้นและไม่ยอมอยู่เฉยไว้แน่น

   เขาออกฤทธิ์ ได้สักพักก็ซุกอกผมและหลับไป ผมเหยียดยิ้มก่อนจะก้มลงไปจุ๊บที่ปากน้อย ๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้านั้นอย่างเบาบาง …

   “รักนะ” ผมชะงักเมื่อถอนจูบออกมาแล้ว เสียงกระซิบของคนเมาก็ดังขึ้น … น้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมมีความสุข ถึงแม้จะเป็นเพียงเสียงละเมอก็ตาม

   “เหมือนกันครับพ่อโทน …”



 

   

   “พ่อโทนกินข้าวต้นก่อนนะครับ” พ่อโทนโผล่ออกมาจากผ้าห่มด้วยใบหน้าซีดเซียวมองหน้าผมและผลุบเข้าไปใหม่ ผมเหยียดยิ้มก่อนจะวางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ พ่อโทนแฮงค์หนักจากเมื่อคืน และอาเจียนตั้งแต่เช้ามืดหมดไส้หมดพุง

   “ผมทำสูตรพิเศษเลยนะครับ ลุกขึ้นมากินสักหน่อยเถอะ”

   “ไม่เอา กูจะอ้วกอีก” เสียงอู้อี้ตอบกลับมา เขาอายุเท่าไหร่กันแน่นะ

   “พ่อครับ วันนี้ไม้อยากกินแกงหัวปลาฝีมือพ่อโทนจัง”

   “…”

   “ถ้าพ่อโทนยังไม่หายแบบนี้คงทำให้ไม้กินไม่ได้ เฮ้อ … น่าเสียดายจังเนอะ”

   “กินก็ได้” ผมยิ้มเมื่อเขายอมลุกขึ้นมานั่งหน้าง้ำงอซะปากแทบติดจมูก ผมยิ้มอย่างพอใจเอี้ยวตัวไปหยิบชามข้าวต้มมาวางไว้บนตักของพ่อโทน เด็กดีของผมมองชามก่อนจะเงยมองสลับกันถอนหายใจเฮือกใหญ่มองเมินไปนอกหน้าต่าง

   “มีอะไรหรอครับ”ผมเอียงคอมองพ่อโทน

   “จิ๊ อย่าถามได้ม่ะ ป้อนแค่นี้ไม่ได้ช่ะ” ผมอึ้งไปนิดหน่อยก่อนจะหัวเราะและยกช้อนขึ้นป้อนพ่อโทน แก้มแดงปลั่งเคี้ยวตุ้ย ๆ ทำท่าจะอ้วกแต่ก็ฝืนกินไปจนหมด

   “เก่งจังครับ”

   “อย่ามาชมนะไม่ใช่เด็ก” พ่อโทนเอ็ดผมก่อนจะนอนตะแคงหันหลังไปอีกด้าน

   ผมยิ้มก่อนจะเดินเอาชามมาเก็บในห้องครัว ขมวดคิ้วเมื่อเจอพี่ป๊อกเพื่อนพ่อโทนกำลังเดินออกมาจากห้องนอนรับรองแขกด้วยท่าทางมึน ๆ  พอเขาเห็นผมก็ปรี่เข้ามาหาทันที

   “ไง ไอ้โทนเป็นไงบ้างวะ”

   “ดีขึ้นแล้วครับ”

   “อ่อ อ่อนจริง งั้นฝากบอกมันด้วยแล้วกันเดี๋ยวจะมาหาใหม่” ผมมองตามพี่ป๊อกที่ทำท่าจะลงบันไดแต่ไม่ลงสักที เพราะคงประเมินแล้วว่าสภาพนี้น่าจะหัวทิ่มหัวตำ ดูท่าแล้วจะเมาไม่แพ้กัน เฮ้อ กินอะไรกันหัวราน้ำขนาดนี้       

   

จ๊อกกกกกกกก

           “เอ่อ โทษทีนะ มีอะไรให้พี่กินไหม แหะๆ พอดีหิวนิดหน่อย”จนแล้วจนรอดผมก็ต้องพาเขาลงมาด้านล่างจะใจร้ายไปหน่อยถ้าปล่อยให้หิวไส้กิ่ว ที่ค่ายเสียงเตะกระสอบทรายดังอย่างต่อเนื่องเป็นปกติ พี่แสงและคนอื่น ๆ กำลังอยู่ในลานฝึกเพื่อเตรียมตัวสำหรับขึ้นชกในเดือนหน้า

           “ว่าไงไอ้ป๊อก สนใจชกกันสักยกไหม” พี่แสงที่มีสภาพไม่ต่างกันเมื่อคืน ตะโกนลงมามาจากเวทีมวยในขณะที่ตัวเองถือนวมซ้อมให้ลุงทิมอยู่

           “โห พี่ แค่เดินก็จะไม่ไหวแล้ว อึดเกินพวกพี่อ่ะ ”

           “โห่ว ไม่แมนเลยวะมึง” อย่าว่าแต่เขาเลยครับ พี่แสงก็เพิ่งฟื้นก่อนพี่ป๊อกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นแหละที่ต้องมาซ้อมเพราะโดนปู่ด่ากระเจิงตั้งแต่ไก่โห่

           “เอ๊า ๆ ไอ้แสงถ้าวันนี้มึงเก่งนักก็เตะกระสอบทรายสักหนึ่งพันทีแล้วกันไอ้ห่า”ผมหันไปมองปู่ที่เดินเข้ามาในลานฝึกในมือถือน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ถุงใหญ่หลายถุง … เอ่อ ปู่ครับหายไปตั้งแต่ 6 โมงทกลับมา 9 โมงเช้า ไปซื้อน้ำเต้าหู้มาใช่ไหมครับ แอบไปหาใครหรือเปล่า แหม …

           “โห่ ลุงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง” พี่แสงโอดครวญ

           “อย่าบ่น ดูไอ้เมฆดิ มันยังฟิตทั้ง ๆ ที่กินอยู่กับมึง มึงมันอ่อนเนอะไอ้ป๊อก แล้วนี้ลูกเทวดาของกูยังไม่ตื่นหรอวะ” พี่ป๊อกหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะข้างๆ ผมก็ไม่ตอบอะไรปู่ แต่เดินไปหยิบน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เข้ามาในครัวจัดการเทใส่แก้วให้เรียบร้อย

           “ทำไรอะ”

           “อ้าว พ่อโทน หายปวดหัวแล้วหรอครับ” ผมหันไปมองพ่อโทนที่เดินลงมายื่นเกาะประตูห้องครัว

           “ฮื่อ จิบ ๆ ” จิบ ๆ ของพ่อนี้หน้าซีดอยู่เลยนะครับ อวดเก่งอีกแล้วพ่อตัวเล็ก ผมเดินถือแก้วน้ำเต้าหู้ไปให้พ่อโทน

   “กูเพิ่งกินข้าวไป”พ่อโทนเงยหน้ามองผมก่อนจะจิกตาเหวี่ยงใส่

   “ปู่ทายซื้อมาครับ กินสักหน่อยนะ เดี๋ยวปู่จะเสียน้ำใจ”

   “ไม่เห็นเกี่ยว” เขาบุ้ยปากพูดแต่ก็ยอมรับแก้วน้ำเต้าหู้อุ่นๆไม่กุมไว้ในมือ

   อากาศเช้านี้ค่อนข้างเย็นสบายแต่เกรงว่าเขาจะไม่สบาย จึงพาเขาขึ้นมานั่งในห้องนอนแทน ตอนอยู่มหาลัย เวลาอากาศเปลี่ยนแบบกะทันหันแบบนี้พ่อโทนมักจะเจ็บคอและปวดหัวง่าย เขาชอบโทรมางอแงกับผม ทำให้ผมเป็นห่วงแทบบ้า

   “อึดอัดไหมครับ เปิดหน้าต่างรับลมหน่อยไหม”

   “ไม่เอาอะ หนาว” ผมพยักหน้ารับ นั่งมองเขากินน้ำเต้าหู้จนหมด และขอตัวลงมาซ้อมมวยต่อหลังได้ยินปู่ตะโกนเรียกมาจากด้านล่าง


หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 9 กลิ่นคลุ้ง} 15/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 15-04-2020 20:27:34

.

.

.

    “ยังไงผมฝากด้วยนะยาย ใช้งานมันได้เต็มที่”

   ผมยกมือไหว้ยายสมเจ้าของแผงผักใหญ่ ที่ต้องเข็นไปส่งตามร้านเล็กๆ ยายแกหัวเราะก่อนจะเอามือมาลูบหน้าลูบตาผม วันนี้เป็นวันแรกที่ปู่พาผมมาสมัครงานที่ตลาด ถึงพ่อโทนจะค้านหัวชนฝาว่าทุกวันนี้ผมก็ใช้ชีวิตหนักอยู่แล้ว แต่อย่างไรการตัดสินใจของปู่ถือว่าเป็นสิทธิขาดในบ้าน

   “เหมือนนายหัวเชษฐาจริง ๆ ไม่น่าเลยนะ ไม่น่าจริง ๆ ”ผมก้มหน้ามองมือตัวเองที่กำแน่นอย่างไม่รู้ตัว … ใช่ครับยาย ไม่น่าเลย …       

    “ยายครับ” ปู่กดเสียงต่ำ

   ผมหลับตานิ่งก่อนจะลืมตาขึ้นรับความเป็นจริงในปัจจุบัน ไม่มีวันไหนที่ผมไม่นึกแค้น … มันพรากทุกอย่างไม่จากผม และเกือบจะพรากพ่อโทนไปด้วย ตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ทุกอย่างมันสงบนิ่ง แต่ผมรู้ดี อีกไม่นาน มันจะต้องกลับมา และถึงวันนั้นผมจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้

   หลังจากที่ปู่ทายกลับไปแล้ว ยายสมก็ใช้งานผมตามที่มีลูกค้าสั่งมา การเข็นผักสำหรับผมมันไม่หนักมากเพราะเนื้อที่ตลาดอาจจะกว้างก็จริงแต่ร้านขายผักส่วนใหญ่จะอยู่ในโซนเดียวกันแทบทั้งสิ้น อาจจะมีบางร้านที่ไกลหน่อยแต่ก็ไม่เกินความสามารถของผม

   เดี๋ยวเสร็จงานแล้วค่อยแวะไปหาพ่อโทนดีกว่า อยากให้พ่อโทนชมแต่ไม่แน่เค้าอาจจะด่าถ้าผมไม่รบกวนเวลาเขายุ่ง ๆ หึหึ น่ารัก

   “เจ้าไม้ นี้รายสุดท้ายแล้ว ไกลสักหน่อยนะ” ผมพยักหน้าและยิ้มให้คุณยาย

   ก่อนจะเริ่มเข็นผักลงเข็งใส่ผักขนาดใหญ่บนรถเข็นสนิมเกาะตามที่ยายสั่งผ่านซอกซอยต่าง ๆ จนมาถึงร้านขายผักหน้าตลาดที่อยู่แยกออกมาจากตลาดสด พอรับเงินมาเสร็จก็เตรียมจะกลับ แต่ผมกลับหันไปเจอกันคนหน้าตาคุ้นเคย เขากำลังจ้องมองผมอยู่บนรถจักรยานยนต์ผมกำลังตรงมาหาผม … หึ ไม่ได้เจอมานานมากแล้วนะ

   “นายน้อยครับ”เสียงแหบกร้านสั่นระรัว ผมจ้องหน้าเหี่ยวย่นนั้นไม่วางตา ความแค้นที่สั่งสมอยู่ในอกแทบจะระเบิดออกมาเสียให้ได้

   “… หมดเวลาที่จะเรียกผมแบบนั้นแล้วครับลุง เป็นไงครับ ขาใหม่นายคนใหม่ที่เลียอร่อยไหม” ผมแสร้งยิ้ม ลุงศักดิ์ คนสนิทของพ่อ ไอ้คนทรยศ

   “นายน้อยโปรดฟังผมก่อนครับ พวกมันกลับมาแล้วครับนาย ครั้งก่อนผมแกล้งบอกพวกมันว่านายเสียชีวิตแล้ว แต่ไม่ครับ ตอนนี้พวกมันรู้แล้ว หนีไปครับนายหนีไปให้ไกล ผมขอโทษที่ไม่อาจปกป้องนายใหญ่กับคุณหญิงไว้ได้ ตอนนี้ผมทำได้เพียงปกป้องนายน้อย ได้โปรดหนีไปนะครับ”ลุงศักดิ์เข้ามาจับแขนของผมอย่างอ้อนวอนคุกเข่าลงอ้อนวอนปานจะขาดใจ ผมเหลือบตามองอย่างสมเพชก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างดูแคลน ในวันนั้น ทำไมเขาไม่ช่วยพ่อแม่ผม ทำไมถึงไปเข้าข้างไอ้ชั่วนั้น ทำไมไม่ทำตั้งแต่วันนั้น!!!

   “ก็ให้มันมา อย่างมากก็แค่ตาย” ผมกัดฟันพูดไม่สนใจคำโป้ปดของคนทรยศ

   ในวันที่ไฟโหมลุกโชนไม้คนนั้นได้ตายไปแล้ว และได้ตายซ้ำซากในวันที่เสียงปืนดังอีกครั้งเมื่อ 6 ปีก่อน ณ. ตอนนี้มีแค่ไอ้ไม้ ลูกพ่อโทน ถ้าหากมันอยากจะฆ่าอีกก็ตายแต่ต้องการ แต่ถ้ามันไม่เป็นฝ่ายโดนฆ่าซะเองละนะ

   “ไอ้ไม้!” ผมหมุนตัวกลับไปมองพ่อโทนที่ขับจักรยานหน้านิ่วคิ้วขมวดมาผมยิ้มกว้างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พ่อโทนจอดรถลงจูงจักรยานเค้ามาใกล้ผมและมองตามลุงศักดิ์ที่รีบวิ่งออกไปอย่างงงๆ

   “ใครอะ”

            “ขอทานน่ะครับ พ่อโทนมาทำอะไรแถวนี้หรอครับ”

           “ก็มีไอ้เด็กร้องอยากกินต้มยำหัวปลาเลยว่าจะมาซื้อปลาน่ะ แล้วนี้มาทำอะไร มอมแมมจัง”ฝ่ามือเล็กลูบที่ใบหน้าเปื้อนเหงื่อและตบหน้าผมเบา ๆ สองสามทีเป็นการหยอกล้อ

           “ปู่ให้มาช่วยยายสมเข็นผักน่ะครับ เดี๋ยวไม้ไปเป็นเพื่อนนะ เสร็จงานพอดีเลย” พ่อโทนพยักหน้าก่อนที่เราสองคนจะเดินไปด้วยกันช้า ๆ โดยที่พ่อโทนจูงจักรยาน ส่วนผมก็เข็นรถผัก ในระหว่างทางเสียงแจ๋ว ๆ ดังขึ้นพูดเรื่องต่าง ๆ ไม่มีพัก ผมได้แต่พยักหน้าและยิ้มในบางจังหวะให้ลูกแมวขี้คุย แต่ในใจและสมองตอนนี้กลับขุ่นมัว ท้าทายต่อโชคชะตาไม่หยุดหย่อน 



-โทน-

           ผมขมวดคิ้วมองไอ้ไม้ที่ชกกระสอบทรายเหมือนไปโกรธแค้นใครมา ตั้งแต่กลับมาจากตลาดก็วิ่งหาแต่กระสอบทรายแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ ๆ แต่ดูแล้วถามตอนนี้คงไม่ได้ความ

           “เฮ้ยๆๆๆๆ ไอ้ห่าไม้ไปโกรธไปแค้นใครมาวะ มาเดี๋ยวกูเป็นคู่ซ้อมให้” พ่อผมกระโดดขึ้นเวทีไปอย่างไม่เจียมสังขาร

   ผมส่ายหัวก่อนจะเดินเข้ามาในครัว จัดการถอดเกล็ดปลา ทำต้มยำหัวปลาบำรุงร่างกายให้ลูก คึก ๆ ลูกผมโตมาเพราะต้มยำหัวปลานะบอกเลย ตั้งแต่รับมันมาโภชนาการที่ผมย่ำกับพ่อนักหนาคือให้ไอ้ไม้กินข้าวเยอะ ๆ กินนมเยอะ ๆ และกินกล้วยทุกวันเสริมสร้างร่างกาย และดูเหมือนจะได้ผลล่ะ ตัวยักษ์ขนาดนั้น

โครม!

           ผมตกใจรีบวิ่งออกมาดูก่อนจะอุทานออกมาเสียงดังเมื่อเห็นพ่อกำลังกดไอ้ไม้ด้วยเข่าลงกับพื้น เฮๆๆๆๆ ทำอะไรก๊านนนนนนนนนนนนนนนนนนน

           “พ่อเดี๋ยวมันก็ตาย!!!” ผมกระโดดขึ้นไปบนสังเวียนพยายามจะแกะพ่อออกจากไอ้ไม้ โอ้ยยยยย อะไรกันวะเนี้ย พี่เมฆที่อยู่ใกล้ ๆ เห็นท่าไม่ดีเลยเข้ามาช่วยอีกแรง

           “ปล่อยกู ไอ้เด็กนี้มันบ้าเลือดเกินไป ขื่นขึ้นไปชกกับคนอื่นเค้าด้วยสภาพแบบนี้มันก็ทำเขาตาย! ต้องดัดมันตั้งแต่ตอนนี้แหละ!!!!” พ่อผมสะบัดผมกับพี่ไม้ออกก่อนจะกระชากไอ้ไม้ลุกขึ้นและลากมันลงไปด้านล่างหยิบกระป๋องน้ำที่เอาไม้ล้างหน้าของนักมวยสาดเข้าโครมใหญ่ ผมรีบวิ่งลงไปกอดลูกเอาไว้แน่น ใครกันแน่ใจฆ่าคน!!!!

           “ถ้ามึงยังควบคุมสติอารมณ์ตัวเองไม่ได้ จำไว้!...กูจะไม่ให้ขึ้นชก!” พ่อประกาศกร้าวก่อนจะเดินออกไปสูบบุหรี่หน้าบ้าน เจ้าไม้ตัวสั่นปากลั่นด้วยความหนาวตาแดงกล่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว ผมน้ำตาคลอเบ้ามองลูกตัวเองอย่าสงสาร ไอ้ไม้ไม่เคยเป็นแบบนี้

           “ไม้ มองพ่อโทนนะ”

   ผมว่าเสียงสั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่เหมือนกัน เจ้าไม้หันมามองผม ทันใดนั้นแววตาที่ลุกโชนด้วยความโกรธก็ค่อย ๆ ดับลง โหมเข้ากอดผมเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น ผมกอดตอบก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาด้วยความสงสาร ผมลืมไปรึเปล่าว่าไอ้เด็กนี้เคยเจ็บมาแค่ไหนและเจออะไรมาบ้าง

           “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”

           “ยังเข้มแข็งไม่พอ ผมยังทำไม่พอ” เสียงสะอื้นดังอยู่ข้างหูผม เด็กอายุ 18 แค่นี้ถือว่ายังไม่เก่งอีกหรอ อย่าทำอะไรเกินตัวนักเลย ผมรู้สึกสงสารจับใจพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงกอดลูกเอาไว้แน่น

           “สำหรับกูมึงเก่งเสมอ” ผมพูดเบา ๆ ก่อนจะหอมลงขมับของเจ้าไม้ที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ เสียงหัวเราะน้อยๆดังขึ้นจนผมใจชื้นเล็กน้อย ก่อนจะพาไอ้เด็กดื้อมาอาบน้ำ ในระหว่างนั้นผมเดินหาพ่อทายจนวุ่น พอเจอนั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างกรงไอ้มีมี่ก็ปรี่เข้าไปหาทันที

           “พ่อ!!!”

           “อารายยยยยยยย”พ่อไม่สนใจผมด้วยซ้ำเอาแต่เกาหัวไอ้สามสหายที่นอนแผ่ให้เล่นพุงอยู่ตรงหน้า เชอะ ทำอะไรไว้ไม่รู้ตัวหรือไง ๆ

           “เกินไปนะ ไอ้ไม้อายุแค่นี้ ไม่เห็นต้องจับมันกดแบบนั้นเลย” ขนาดผมดื้อมาก ๆ ผมยังไม่เคยโดนแบบนั้นเลย ไม่มีมานั้นปราณีลูกนกลูกกาหรอก

           “สำหรับไอ้เด็กนี้มันใช้แค่คำพูดสอนไม่ได้หรอก ต้องใช้ลำแข้ง มึงไม่เห็นตอนมันชกมวยเมื่อกี้หรือไง มันแค่ระบายอารมณ์ไม่ได้เรียกชกมวย ข้าเลยต้องดับอารมณ์เดือด ๆ รุนแรงของมันด้วยวิธีนี้นั้นแหละ เอ็งก็เลิกโวยวาย ไปทำกับข้าวซะ”

   ผมบุ้ยปากก่อนจะเตะเสาไม้แถวนั้นไปหนึ่งที เป็นการแก้แค้นให้ลูก และวิ่งเข้ามาในห้องครัวทำกับข้าวต่อ ก็อย่างที่พ่อทายว่านั้นแหละ ผมก็ดูออกว่าเมื่อกี้ไอ้ไม้โมโหอะไรมาแน่ ๆ บางทีถ้าเป็นผมอยู่ในวินาทีนั้นเหมือนพ่อ อาจจะทำวิธีเดียวกันก็ได้ เฮ้อ

.

.

.



           ตกเย็นไอ้ไม้หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมลงมากินข้าว แต่คนในบ้านไม่มีใครสนใจสักคน โดยเฉพาะพ่อทายที่ทำตัวหน้าหมั่นไส้มาก เชอะ ผมไม่สนใจพวกใจดำวิ่งเข้ามาตักแกงตักข้าววิ่งขึ้นไปบนห้อง พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นไอ้เด็กนั้นนอนกองอยู่บนเตียงหลับตานิ่งเอามือกายหน้าผากเหมือนตาแก่จอมคิดมาก

           “หลับแล้วหรอ” ผมเขย่าแขนของไอ้เด็กดื้อเบา ๆ เจ้าไม้ลืมตาขึ้นมามองหน้าผมก่อนจะยิ้มและฉุดผมลงไปกอดไว้แน่น เฮ้! กูไม่ใช่ตุ๊กตานะ ฮึ้ย ยอมก็ได้เห็นวันนี้ไม่สบายใจหรอกนะ

           “เป็นอะไรไอ้ลูกหมา”

           “ไม่มีอะไรครับ”

           “หึ ตายใจ แต่ถ้ามีอะไรก็บอกกันได้นะ อย่างน้อยกูก็พ่อมึงนะ อย่าลืมจิ”

   ผมทำเสียงแอ๊บแบ๊วใส่ จนไอ้เด็กบ้าหัวเราะออกมานิด ๆ ก่อนที่ผมจะผละออกมานั่งมองหน้าตาคมสันของเจ้าไม้เอามือลูบหน้าท้องแข็งเป๊ก ฮูย นี้หน้าท้องเด็กน้อยเหรอ ทำไมมันเป็นลอน ๆ แบบนี้อะ ดูผมดิยังเหลวมีแต่พุงอยู่เลย แง่ม ไม่ยุติธรรม

           “แดกซะสิ อยากกินนักนี้” ผมลูบไปตามหน้าท้องอย่างเพลินมือนึกเขินเพราะไม่เคยมี

           “อะ อะ อะไรครับคือจะดีหรือครับพ่อโทน ผม …” ไอ้ไม้กระเด้งตัวลุกหน้าตาตื่น อะไรของมันวะ

           “เป็นห่าอะไร หมายถึงต้มยำหัวปลา!!!!” ผมตะคอกเสียงดังชี้ไปที่หม้อต้มยำที่ยกขึ้นมาให้ไอ้ไม้มองตามมือผมไปก่อนจะหัวเราะออกมาแห้งๆ … ประสาทปะให้ทาย!



============================



คอมเม้นท์ติชมกันได้นะคะ กำลังใจของปาปา <3'
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 9 กลิ่นคลุ้ง} 15/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-04-2020 21:13:55
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 10 ลักพา} 16/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 16-04-2020 13:17:21

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 10 พ่อโทนโดนลักพาตัว


 
           “บอกให้รู้ไว หัวใจรักจริง ไม่เคยทอดทิ้ง ให้ใครเสียจายยยยย คำพูดคำเน้ เค้าเรียกหลายจายยยยย จาให้ทำงายยยย โอ้ย โอ๊ย โอ้ยยยยยยยยยยยย พ่อ!!!!”

           “ร้องอย่างกับควายออกลูก ไป๊ ไปส่งไอ้ไม้และไสหัวไปทำงานสักที โอ้เอ้อยู่นั้น” แว้ คนแก่ใจร้าย ผมแลบลิ้นให้พ่อทายก่อนจะเดินหยิบปิ่นโตของไอ้เด็กตัวควายที่ยืนรอผมอยู่หน้าบ้าน พร้อมจักรยานคู่ใจ    “เจ็บไหมครับ” ผมบู้ปากใส่ไอ้เจ้าไม้ที่เอามือมาลูบหน้าผากที่โดนดีดมาเต็ม ๆ ไม่เจ็บหรอ ไม่เจ็บเล้ยยยยยย

           “เจ็บดิถามได้” ผมว่าและยื่นปิ่นโตให้ไอ้เด็กบ้าที่ดีใจระริระรี้ต้องแต่เช้า แค่จะไปส่งโรงเรียนแค่นี้ทำเป็นเวอร์ไปได้ ชิ และเมื่อวานก็เป็นอะไรไม่รู้ไม่ยอมบอก บ้าๆบอๆเดี๋ยวก็เอาไปปล่อยวัดซะหรอก แบร่!

           “ขึ้นรถสิจะรอให้เอาผ้ามาเช็ดเบาะด้วยไหมละ” ไม่รู้อะ อารมณ์ไม่ดี เมื่อกี้ก็อารมณ์ดีหรอกแต่พอโดนรังแกไป ก็พาลเขาไม่ทั่ว ฮึ งอนๆๆๆๆ เย็นนี้จะไม่ทำอะไรให้กิน ให้หากินกันเอง ดี อดกันซะบ้าง

           “งอนปู่หรอครับ”

           “ฮึ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” ผมย่นปาก และหันไปจับมือเจ้าเด็กบ้าที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังให้เกาะที่เอวของผมไว้ดี ๆ เดี๋ยวตกลงไปจะหมอหล่อซะเปล่า แค่นี้ผมก็หล่อกว่าทิ้งไม่เห็นฝุ่นอยู่และ คิกๆๆ

           วันนี้เจ้าเด็กไม้มีสอบปลายภาค ม.5 ดูเหมือนเจ้าตัวจะดีใจไม่น้อยที่จะได้ซ้อมมวยสำหรับการขึ้นชกอย่างเต็มที่ ถ้าดูจากการรัดเอวผมซะหายใจแทบไม่ออกแบบนี้ละนะ

           ผมขับผ่านคันนาในตอนเช้าแบบนี้แล้วทำให้หัวโล่งมาก รู้งี้มาเช้าหน่อย หอบข้าวมากินที่คันนากับพวกตา ๆ ยาย ๆ ก็ดี ท่าจะได้กินน้ำพริกของป้าปูที่อร่อยจนหากินที่ไหนอีกไม่ได้แน่ ๆ แต่ก็ว่าละ ผมทำงานแบบนี้แทบไม่มีเวลาจะกระดิกตัวไปไหนเลย นอกจากบ้าน ร้าน และบ้านของชาวบ้านที่เรียกไปตรวจหมาตรวจแมว หมูควายวัว เท่านั้นแหละ เฮ้อ … อยากจะหาเวลาไม่เที่ยงพักผ่อนสักวันสองวันจังเลย …

           “ถึงแล้วเลิกเกาะได้แล้ว ไม่อายเพื่อนหรือไง”

   ผมหันไปมองไอ้เด็กที่เกาะเป็นหมีโคล่า ขนาดถึงโรงเรียนแล้วยังไม่ยอมลง จนสาว ๆ มองมาที่มันบางคนนี้ทำหน้าเหวอ เป็นไปได้ว่าถ้าผมเป็นผู้หญิงผมคงโดนตบแล้วเป็นแน่

           “พ่อโทน” พอลงไปยืนได้ก็ทำหน้าอ้อนใส่ผมอีก อะนะ ผมชอบจังเวลาที่ได้สัมผัสถึงความเป็นพ่อแบบนี้ คิกๆ น่าร๊ากกกกกกกกกกกก

           “อารายยยยยยยยย” ผมมองไอ้เด็กบ้าด้วยหางตาแบบกวนโอ้ย ๆ แต่มันหัวเราะ

           “อยากให้มาส่งทุกวันจังครับ”

           “อย่าเว่อร์ ไปสอบได้แล้ว” ผมดันหัวไอ้เด็กแก่แดดให้ห่างออกไป

   ไอ้บ้านี้หน้าโรงเรียนนะ คิดจะมาอ้อนก็อ้อนงั้นสิ หึ เด็กน้อยจริง ๆ ต้องอย่างผมนี้พ่อโทนสุดแมน เจ้าไม้ยิ้มก่อนจะหันหลังเดินเข้าโรงเรียนไป ผมมองตามจนไอ้เด็กบ้าเดินหายเข้าไปในดึก แต่กว่าที่จะเข้าไปได้ก็หันมามองผม 10 กว่ารอบ หึหึ เหมือนส่งเด็กอนุบาลมาเรียนวันแรกเลยแฮะ เมื่อก่อนยังไม่ขี้อ้อนขนาดนี้เลยแท้ ๆ เด็กยังไงก็คือเด็กวันยังค่ำนั้นแหละ คิกๆ

           “ไงไอ้เกื้อ” ผมวางน้ำเต้าหู้ร้านโปรดลงหน้าเคาเตอร์ที่ไอ้เกื้อกำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรอยู่ด้านหลัง มันสะดุ้งพรวดเงยหน้าขึ้นมามองผมเลิ่กลั่ก เหๆๆๆ มีพิรุธอยู่น้า หุหุ

           “ทะ ทะ โทน มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

           “ตั้งนานแล้ว กูเห็นหมดแล้วว่ามึงทำอะไร!” ผมแกล้งทำหน้าตาจริงจัง ความจริงเพิ่งมาเมื่อกี้นี้แหละ แต่อยากจะแกล้งไอ้คุณหนูเกื้อที่กำลังทำหน้าเหวอจะร้องไห้อยู่ หึหึ

   ผมแอบชะเง้อมองด้านหลังเห็นไอ้เกื้อซ้อนโทรศัพท์มือถือไว้แน่น พักนี้มันติดโทรศัพท์มากอย่างประหลาด เมื่อก่อนไอ้เกื้อเป็นเหมือนผมที่จะไม่ค่อยแตะโทรศัพท์โซเชี่ยลสักไหร่ ชอบที่จะให้ชีวิตแบบโลเทคมากกว่า สบาย ๆ ชิว ๆ

           “มะ มะ ไม่ใช่อย่างที่คิดนะ”

           “อะไรละที่กูคิด ว่าไงไอ้เกื้อ”

           “ฮึก อย่าโกรธเราเลยนะ ” อ้าว ไอ้นี้ บ่อน้ำตาตื้นเฉย กูยังไม่ได้รังแกเลยนะ ผมเบ้ปากใจอ่อนฮวบ ไม่เห็นสนุกเลยไอ้เกื้อร้องไห้แบบนี้ แต่ทำไมผมต้องโกรธมันด้วยล่ะ ไอ้เกื้อน่ะดีกับผมจะตาย ไม่เห็นว่าจะต้องมาขอโทษอะไรผมเลย

           “เป็นอะไรวะ กูแค่ล้อเล่น มึงบ้าปะ” ผมเข้าไปลูบหัวไอ้ขี้แงที่นั่งเอามือปิดหน้าร้องไห้อยู่เก้าอี้ใกล้ๆผม กูรู้สึกผิดนะ เหมือนทำเด็กร้องไห้เลยว่ะ โอ้ยตาย อายุก็เท่ากันทำไมมึงเด็กจังวะ ไม่เหมือนพ่อโทนคนแมนอย่างผมเลยยยยย

           “ฮึก เราขอโทษ” ไอ้เกื้อสะอึกสะอื้นจนหน้าแดงกล่ำไปหมด ตาแดงๆของมันเงยขึ้นมามองผมที่ยืนจับหัวมันอยู่ ไอ้นี้จะดราม่าหาพระหอกอะไรนักหนา…กูจะร้องตามแล้วนะ

           “มึงบ้าปะ ร้องไห้เป็นเด็กเลยไอ้ห่านี้ เอ๊า แดกซะกูซื้อมาฝาก” ผมเลิกสนใจมัน เอื้อมไปเอาถุงน้ำเต้าหู้มาวางตรงหน้าไอ้เด็กขี้แยเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลที่จักรยานก่อนจะร้องไห้ตามไอ้เกื้อหน้าหมา

   ผมไม่เห็นว่ามันจะทำอะไรผิดสักหน่อย ผมน่ะเชื่อใจมันจะตาย เอาเถอะอยากทำอะไรก็ทำ ฮิฮิ แต่ไอ้เกื้อไม่ทำร้ายผมแน่ แหม คบกันมาตั้งขนาดนี้แถมนิสัยหมาอ่อนขนาดนั้น โหววววว เป็นปายม้าย ด๊ายยยยยยยย แค่มันมีความสุขทุกการตัดสินใจเพื่อนอย่างผมเห็นด้วยเสมอ

           ผมขับมาตามทางไปบ้านลุงสุข วันนี้มีตรวจอาการไก่ชนของแกที่ไปตีกับไอ้ตูบจนได้แผลใหม่มาหนึ่งแผล ดีไม่ตาย แกเลยให้ผมไปทำแผลไปดูแลให้หน่อย เห็นบอกมีมื้อใหญ่จัดรอผมอยู่ อร๊ายยยยยย ฟาร์มกุ้งบ้านลุงแกกุ้งนี้ตัวใหญ่ดูเนื้อแน่นมาก ฮิฮิ ไปเอากลับมาให้ซอมบี้ที่บ้านจัดซีฟู้ด อร่อยๆฟรีๆกันสักยก

           “ลุงสุขขขขขขขขข ฉันมาแล้ววววววววววว” ไอ้โทนหนุ่มมาดแมนตะโกนสั่นซอยทันทีที่ปั่นจักรยานมาถึงซอยบ่อนไก่ชน ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยกับกีฬาประเภทนี้สักเท่าไหร่แต่ก็ต้องยอมรับว่านี้คือวิถีชีวิตของคนบ้านนอกที่เขาอยู่กันมานานแล้วเราจะไปห้ามเขาเลยก็ไม่ได้แหละก็พยายามจะไม่เอาตัวเข้าไปอยู่ท่ามกลางมันก็พอ บาดเจ็บมาก็อย่าลืมหมอโทนคนหล่อน่ารักนะเงินไม่จำเป็นขอแค่น้ำใจงาม ๆ ก็พอ อย่างเช่นวันนี้โทนน้อยขอแค่กุ้งสักโลสองโลก็พอคร้าบบบบบ

           “เข้ามาไอ้โทน ไอ้จอมทัพของข้าตอนนี้เหมือนมันจะไม่ค่อยดี”ลุงสุขหน้าตาตื่น รีบวิ่งมาเปิดประตูรั้วให้ผม บ้านแกเป็นบ้านทรงไทยยกพื้นสูง ลานหน้าบ้านเต็มไปด้วยเล้าไก่ชนวางเต็มไปหมด ด้านหลังก็มีฟาร์มกุ้งบ่อใหญ่อยู่ โอ้ย เห็นแกติดดินแบบเนี้ย โคตรรวยเลยนะครับขอบอกไว้ก่อน

           “ยังไงอะลุง มาวันก่อนก็เห็นดีขึ้นแผลจะปิดแล้วนี้ ลุงปล่อยมันออกมารึเปล่าล่ะ” ผมถามแกระหว่างที่เย็นรถเข้าไปจอดที่ต้นโพธิ์ใหญ่ในบ้านแก

           “เปล่านะโว้ย มา ๆ เอ็งเป็นหมอเอ็งมาดูมันเองสิ”

           “เอ๊า แต่ลุงคนเลี้ยงนะ”

           “โว๊ะ ไอ้นี้นิ เดี๋ยวข้าก็ไปฟาดปากกับพ่อเอ็งซะนี้”

           “ลุงจะโดนพ่อฟาดมาน่ะสิ ฮิฮิ”

   ผมหยอกลุงให้โมโหสักพักก็เดินไปหาเจ้าจอมทัพสหายรักของลุงสุข แกเป็นคนแบบนี้แหละ ขี้โมโห แต่ไม่คิดอะไรมากหรอกบอกเลย ผมรู้จักแกมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เห็นกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝ่าหอย อย่างงี้แหละเพื่อนพ่อก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของลูกน้อย ๆ อย่างไอ้โทน

           “โอ้ย ลุง มันจะเป็นอะไรล่ะ มันก็เป็นไก่นั้นแหละ หายแล้วเนี้ย!” ผมว่า แผลแห้งแล้วไม่มีอาการอักเสบคือแบบตัวนี้เป็นไก่ที่ลุงแกรักมาก แกเลยคิดมาก แหง่ล่ะ ไก่สวย ๆ แบบนี้ราคาเป็นล้านนะ เดี๋ยวสักวันผมจะจับมันมาต้มกินให้เป็นบุญปาก

           “ก็ข้าเห็นมันไม่ค่อยกินข้าวแต่ลูกข้าไม่เป็นไรก็ดีล่ะ เอ็งก็กลับไปได้ละ”

   ง่ะ! ลุงแกล้งผมแน่ๆ ทำไมชอบแกล้งผมนัก!!! ลุงแกมองผมอย่างขำ ๆ ก่อนจะอุ้มไอ้จอมทัพขึ้นมาแทบอกลูบหัวลูบหางมัน กุ้งผมล่ะ กุ้งง่ะ ฮื่อออ ไอ้ไม้อดกินกุ้งฟรีแน่ ๆ ผมทำหน้าตาสงสารให้ลุงสุขก่อนที่แกจะเหลือบมองและหัวเราะออกมาเสียงดัง

           “หน้าเอ็งนี้เหมือนนางมะลิแม่เอ็งไม่มีผิด แม่งตลก” ถามจริงนะไอ้จอมทัพ หนักใจไหมที่มีพ่อแบบนี้

           “ลุงลูกผมมันอยากกินกุ้งฟรี”

           “ลูกหรือเอ็งไอ้ห่า เออ ๆ ไปเดี๋ยวข้าพาไปตกกุ้ง” ผมยิ้มแป้นก่อนจะเดินตามแกไปหลังบ้านทันที กรี๊ดดดดดดดดด กุ้งๆๆๆ จะกินกุ้ง ฮิฮิ

.

.

.

           “โห นี้เอ็งจะตกหมดบ่อข้าหรือยัง” ผมยิ้มแป้นยกถังกุ้งเป็น ๆ มาวางตรงหน้าลุงสุข เยอะมากเลยล่ะ แค่นี้ไม่ทำให้บ่อลุงเสียหายหรอก ออกจะอุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ หลังจากที่ไปปล้นกุ้งลุงสุขมาผมก็ขับรถกลับมาบ้านพร้อมกับกุ้งสามโลหน้าตะกร้ารถ

   “อ่ะ ได้เวลาไปรับไอ้ไม้พอดีเลยวะ”คิดได้แบบนั้นผมก็เปลี่ยนมาใช้ทางลัดอีกเส้นหนึ่งที่จะไปถึงโรงเรียนไอ้ไม้ได้ไวกว่า หวังว่าจะไม่กลับไปก่อนนะ ไอ้เด็กนี้ไม่ชอบอยู่เล่นที่โรงเรียนตอนเลิกเรียนไม่รู้เป็นบ้าอะไรชอบรีบกลับบ้าน เป็นผมตอนเด็ก ๆ นะ ไม่มืดนี้ไม่กลับแถมมืดแล้วก็ยังแวะกินขนมที่ตลาดอีก กลับไปนี้แทบพ่อแทบจะไม่ให้เข้าบ้านทุกวัน

   ผมขับเข้ามาในซอยที่มีคนเอาศาลเก่ามาทิ้งทำให้สองข้างทางดูขลัง คือแบบสมัยตอนผมเด็กตรงนี้มันเป็นที่วิ่งเล่นของผมเลยนะเพราะใกล้โรงเรียนมาก แต่แหม พอมีคนมาทิ้งคนนึงก็เริ่มพากันมาทิ้งจนกลายเป็นสุสานศาลพระภูมิเลย ผมเคยมาล้าท้าผีที่นี้นะ แต่ไม่เห็นเจออะไร ผีนะรักผมทุกคนรักผม เพราะผมน่ะเป็นคนน่ารัก ฮ่าๆๆ คือแบบกลัวไปก็เท่านั้นปะ เจอก่อนแล้วค่อยกลัวสิ ทำเป็นเก่งไปงั้นอะ ความจริงตอนนี้ผมอะปั่นล้อนี้ฟรีความเร็วแสงเลยละ ฮ่าๆๆๆ แหม … ก็แอบเสียวสันหลังหน่อยๆปะ

เอี๊ยดดดดดดดดดดดด

           โอ๊ะ หน้าแทบทิ่ม ผมเบรกจนตัวโก่งเมื่อรถคันสีดำที่ขับสวนทางมาขับมาเบี่ยงตัวยาวปิดถนนอยู่ตรงหน้า ผมนี้ขมวดคิ้วเลยเป็นห่าอะไรไม่มีอะไรทำหรอมาก่อกวนชาวบ้านเขาน่ะ ประตูรถเปิดออก ไอ้แก่หน้าง้ำในชุดเหมือนกำนันหมู่บ้าน ชิ แค่หน้าตาก็ดูขี้โกงแล้วแหะ

           “ไงไอ้หนู ลูกไอ้ทายสินะ ไม่ได้เจอกันนาน หึหึ” ผมเอียงคอมองญาติฝั่งไหนวะ ถ้าเป็นเพื่อนพ่อผมต้องรู้จักสิ

           “ลุงเป็นใคร” พอสิ้นเสียงผมลูกน้องแกที่แต่งตัวเหมือนพวกบ้า ก็เดินลงมาจากรถด้วยท่าทางกร่างๆ

           “หน้าตาเอ็งนี้เหมือนแม่เอ็งจริงๆ หึ พ่อเอ็งน่ะมันร้าย แย่งแม่เอ็งไปจากข้า เอ็งรู้ไหมพ่อเอ็งน่ะมันชั่ว!!!” ดูว่าผมจะหน้าเหมือนแม่จริง วันนี้มีคนพูดตั้งหลายคนละ เอ๊ะว่าแต่ตาลุงนี้ อยู่ ๆ ก็โกรธ มนุษย์ลุงปะเนี้ย แต่อาการแบบนี้ผมเจอในช้างที่กำลังตกมันส์นะ … เออ สงสัยจะตกมัน คิก ตลก

           “หัวเราะอะไรวะ ไอ้เปี๊ยก!” ลูกน้องแกเอ็ดผมขึ้นจนผมต้องเอามือปิดปาก

           “โอ้ย ขอโทษเผลอหัวเราะไปหน่อย นี้แม่ผมน่ะ รักพ่อทายจะตาย ลุงคงจีบไม่ติดมากกว่า เออนี้ ถ้าลุงไม่มีอะไรแล้วผมไปก่อนนะ ต้องไปรับลูก” ผมว่าและขึ้นคร่อมจักรยานอีกครั้ง ไม่สนใจไอ้แก่เอาแต่ใจที่อยู่ ๆ ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเหมือนช้างตกมัน

           “เดี๋ยว ใครอนุญาตให้เอ็งไป” ผมถูกกระชากให้ลงมาจากรถจนจักรยานผมล้ม ดีนะกุ้งผมห่อมาอย่างดี ไม่งั้นก็ไม่ได้แดกกันดีแล้วล่ะลูกเอ้ยยยย

           “จิ๊! จะเอายังไงวะ!” ผมตะคอกเสียงดังสะบัดแขนตัวเองให้หลุดออกมายืนจังก้า ไอ้บ้า ถึงกูจะไม่เป็นมวย แต่กูก็ลูกเจ้าของค่าย มีวิชามานิดหน่อยเหมือนกัน เดี๋ยวก็เตะผ่าหมากให้เท่านั้นแหละ กวนตีนดีนัก

           “หึ ข้าเสนอเงินให้เอ็งล้มมวย 1 แสนบาท”

           “โอ้ยยยยยยย ยยยยยยยย ยยยยยยยย ลุงเก็บไว้งานศพตัวเองเห๊อะ ที่บ้านผมนี้รวยอยู่แล้วไม่ต้องห่วง” ผมว่าและเดินไปคว้าเอารถขึ้นมาตั้งขาตั้งและหยิบถุงกุ้งขึ้นมาใส่ตะกร้ารถเหมือนเดิมไอ้ลุงดูเหมือนจะเดือดหนัก เอาสิวะลูกน้องขี้ยาแบบนั้นผมไม่กลัวหรอก

           “จัดการมันให้รู้สำนึกซะหน่อย”

           “ครับ” ผมตั้งการ์ดทันที แต่ก่อนจะไปป๊ะกันก็ต้องหางหดหน้าเหวอเมื่อไอ้บ้าคนนึงแม่งหยิบปืนที่เหน็บไว้ขึ้นมา โอ้ยยยยยยย ! สกิลเดอะแมชทริกซ์กูก็ไม่มีนะมึง ใจเย็นสิ

ผลั๊ว!!!!!

           “เฮ้ย ไอ้จ๊วด!” ผมหน้าเหวอเมื่ออยู่ ๆ คนถือปืนอยู่สลบเหมือดลงไปกับพื้น และก็ต้องเหวอกว่าเมื่อไอ้ไม้ยืนจังก้ามองมาที่ผมอย่างตกใจไม่แพ้กัน

           “พ่อโทน!!!”

           “ไอ้ไม้หลบไป!!!”

   ผมตวาดลั่นเมื่อไอ้ลูกบ้ามาจากไหนไม่รู้กำลังพุ่งเข้ามาหาผมจากทางด้านต้นซอยเป็นทางที่มาจากโรงเรียนของมันเมื่อกี้ผมก็ไม่ทันได้สังเกตเลยไม่เห็นว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ จะรู้ก็ตอนที่มันกระโดดข้ามรถและก็ซัดก้านคอไอ้คนนั้นนั้นแหละ ยังไม่ทันจะชื่นชมอะไร ลูกกระจ๊อกขี้ยาก็เอาปืนออกมาอย่างพร้อมเพรียง ยะ อยู่ไม่ได้แล้ว ผมรีบพุ่งเข้าไปหมายจะหาไอ้ไม้ แต่ไม่ทันไรไอ้ลูกชายเจนจัด ก็ตรงเข้าไปหักข้อมือไอ้คนที่ใกล้เงื้อมือที่สุด จนปืนหล่นพื้น จากนั้นมันไม่รอช้า พุ่งเข้าไป เตะซัดอีกฝ่ายจนลงไปหมอบอีกคน ไม่หนำใจพ่อ จัดหมัดซัดฮุกซ้ายเข้ากลางกระบังลมดังอั๊กและฟาดแข็งเข้าไปที่ซีกโครงจนมันจุกซ้ำสอง … เกลี้ยง...จนผมแทบยืนปรบมือ

   “ไอ้ไม้ระวัง!” ผมร้องขึ้นเมื่อไอ้แก่ ชักปืนออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน ขนาดมึงมาเป็นกองทัพยังจัดเด็ก18 ไม่ได้เลย มงไม่ลงจะงงมาก 

           ไอ้ไม้หันขวับไปตามเสียงผม ก่อนจะมองไอ้แก่ช้างตกมันตาขวาง ผมรีบไปยืนบังมันไว้ทันที พอแล้ว ถ้าจะยิงจะทำอะไรก็ทำผมเถอะ อย่าทำไอ้ไม้ลูกผมเลย

           “มึงไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!”

           “ก็ยังดีกว่าไอ้แก่อมขี้ฟันแหละ สู้ไม่ได้ก็ชักปืน แหว๊!”

           “เดี๋ยวกูยิงไส้ปลิ้น!...อั๊ก!” มันล้มไปกองกับพื้นอย่างไม่ทันระวังตัวเมื่อพี่เมฆที่เข้ามาทันเหตุการณ์โดยที่พวกมันไม่รู้ตัววิ่งมันสับศอกปืนร่วงและซัดเข้าที่ท้ายทอยจนน็อกลงไปกองกับพื้นไม่ต่างจากลูกน้องตัวเอง

           “ฮู่ว! ถ้าพี่เมฆไม่มาผมไม่กล้าปากดีนะเนี้ย”

           “ไม่เป็นไรก็ดีแล้วน้องโทนน้องไม้”พี่เมฆหัวเราะ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรแจ้งตำรวจทันที

           “มันทำอะไรพ่อโทนรึเปล่าครับ” ไอ้ไม้มายืนสำรวจผม ผมส่ายหน้าและสำรวจมันคืน

           ไม่นานครับ ตำรวจ ก็มารวบตัวพร้อมของกลางทั้งเจ้านายและลูกน้อง โดยมีพ่อผมและผู้ใหญ่ของตำบลมายืนอยู่ในเหตุการณ์ด้วย สรุปเรื่องจบที่โรงพัก โดยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมายและธุระจัดการของพ่อไป ผมกับไอ้ไม้ถูกส่งกลับบ้านในทันทีที่ให้ปากคำเสร็จ

   “กุ้งเอามาจากไหนเยอะแยะครับ” ไอ้ไม้ถามขณะที่หยิบเอาถุงใส่ถุงออกมาจากจักยานเหมือนเรื่องเมื่อเย็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเอียงคอและยิ้มกว้างอย่างนึกเอ็นดู

           “บ้านลุงสุขไปรักษาไก่มา” ผมว่า ไอ้ไม้ไม่ถามอะไรต่อ ผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหาไอ้เกื้อชวนมากินกุ้งที่บ้านมันอึกอัก ๆ แต่ก็ยอมรับปากว่าจะมา

           ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เป็นแสงสีส้มแล้วก็นึกตลกนะ ทั้ง ๆ ที่เรียกว่าท้องฟ้า แต่ตอนเย็นกลับย้อมด้วยสีส้มนวลสวย อย่างงี้ทำไมไม่เรียกว่าท้องส้มตอนเย็นบ้าง ใครเป็นคนคิดคนแรกนะว่าท้องฟ้าต้องเรียกว่าท้องฟ้า และสีฟ้าอะ ทำไมต้องเรียกสีฟ้า น่าปวดหัวชะมัดเลย มันจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้ไอ้เด็กน้อยที่ผมเฝ้าดูแล แสดงให้ผมเห็นแล้วว่าดูแลตัวเองได้ดีแค่ไหน หากวันไหนไอ้หมาน้อยอยากจะบินไปเป็นนกบนท้องฟ้า … ผมคงได้แต่ปลดปล่อยและอวยพรให้โชคดีสินะ …

           “พ่อโทน...” ผมตกใจเมื่ออยู่ ๆ ไอ้ไม้มากอดจากด้านหลัง ขณะที่กำลังล้างกุ้งในครัว

           “เป็นอะไรอีกอ่ะ” ผมถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ

           “เมื่อกี้ไม้ใจหายมากเลยนะที่ เห็นมันจ่อปืนไปแบบนั้น” ผมคลายคิ้วขมวดหันไปมองหน้าไอ้เด็กน้อยที่ส่งสายตาบริสุทธิ์มาทางผม ไม่เหมือนเมื่อกี้ตอนอัดไอ้พวกนั้นแววตาลุกโชนเหมือนปิศาจสุดๆ

           “ก็ไม่เป็นไรแล้วนี้ไง”

           “มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่พ่อโทนตกเจ้าแดงรอบนั้น … เจ้าแดงต้องตายเพราะผม รอบนี้พ่อโทนก็เกือบเป็นอันตรายเพราะผมเช่นกัน ผมไม่น่ามาอยู่ที่นี้เลย …” ผมถอนหายใจก่อนจะดึงหัวทุย ๆ เข้ามากอดไว้แนบอก จะบ้าหรือไง เป็นคนคิดมากแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ไอ้เด็กบ้านี้

           “ไม่เกี่ยวกับมึงอย่าคิดมาก ทุกอย่างมันเป็นวาระและโอกาสของมัน ข้าดีใจมากเลยนะที่มีเอ็ง”ผมก้มลงไปหอมหัวชื้นเหงื่อนั้นหนึ่งที แหวะ เหม็นอะ เหม็นจนผมร้องไห้เลยอะ หึ … เมื่อกี้ผมก็กลัวไม่ต่างกันนักหรอก …ถ้าพี่เมฆมาไม่ทัน … เราสองคนจะเป็นยังไง

           “ไม่ร้องนะครับ” มันเอามือหนา ๆ ของมันมาเช็ดน้ำตาเม็ดโป้งที่ไหล่ไม่ยอมหยุด

           “มะ ไม่ได้ร้องฝุ่นเข้าตา” ผมว่า

           “ไม่รักพ่อโทนนะ ไม้จะปกป้องพ่อโทนเอง

           “เออ ทำให้ได้อย่างปากแล้วกัน” ผมยิ้มให้มันก่อนที่ไอ้หมาน้อยจะแอบฉกหอมแก้มผมไปหนึ่งทีต่างคนต่างหัวเราะออกมาเออ เจ่ากันนะเมื่อกี้ผมก็หอมไปหนึ่งทีนี้ !!!

           “เออว่าแต่สอบเป็นไงบ้าง”

           “… ทำไม่ได้สองข้อครับ”

           “เก่งวะ ข้อไหนบ้าง”

           “ข้อแรกยันข้อสุดท้ายครับ”

           “เดี๋ยวกูก็ยันตกบ้านไอ้ห่านี้”

.
.
.
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 10 ลักพา} 16/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 16-04-2020 13:17:49



ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก!!!!



           ไม่ได้เรียกหมาปั๊กนะ ฮิฮิ ผมกำลังนั่งมองลูกชายไอ้เด็กผีไม้เตะกระสอบทรายซะแทบพัง คิดถึงวันโน้นที่ไอ้เด็กนี้เตะเจ้าพวกตัวร้ายซะกระเจิงและผมล่ะสะใจ๊สะใจ ฮิฮิ ลูกผมโหดแค่ 18 เอง ขายังแข็งได้ขนาดนี้ รับรองแชมป์ปีนี้ไม่ไปไหนไกลแน่ ๆ ลูกพ๊อวววววววววววววส์

           หลังจากวันนั้นมา ไม่ว่าผมจะถามพ่อทายว่าเรื่องเป็นยังไงต่อ เขาก็ไม่ยอมบอกผมแม้แต่นิดเดียวบอกว่าจัดการไปแล้ว … จัดการยังไงอะ ฆ่าหมดส้วมหรอ งงใจ ช่างมันเถอะจัดการก็คือจัดการ ฮิฮิ

           “มัวแต่ทำหน้าฟิน พวกกูจะกลับแล้วนะ”

           “อะไรวะ มึงแม่ง” ผมหันไปแว๊กใส่ไอ้ทิวที่ยืนกอดคอไอ้เบสอยู่ มันสองคนลงมาจากเชียงใหม่มาสัปดาห์ที่แล้วเหมือนเพื่อมาก๊งเหล้าละกลับ เมากันเป็นหมาเลยไม่เหมือนผมเมาหลับเรียบร้อยน่ารักไปแต่ตื่นมาแล้วเป็นไข้นี้ไม่ไหวนะไอ้ลูกไม้บ่นใหญ่เลย แหงะ ทำตัวให้มันสมกับเป็นลูกหน่อยไม่ได้ นานแล้วงะที่ผมไม่ได้กินเหล้ากับเพื่อนครบแก๊ง อย่ามาทำเป็นบ่นหน่อยเลย เดี๋ยวตัวเองพอโตขึ้นก็หนีเขาไปกินเหล้าเหมือนกันนั้นแหละ

           วันนี้ผมเรียกไอ้สองตัวนี้มาดูลูกผมซ้อม ฮิฮิ อยากโชว์อะ ตอนแรกจะให้ไอ้ป๊อกมาด้วย แต่มันติดสาว มันเลยเบี้ยวนัดผม นิสัยไม่ดีเนอะเห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อนได้ยังไง

           “ก็พอมาแล้วมึงก็ไม่สนใจพวกกู เสียเวลาทำมาหากินไอ้ห่า กูไปละ แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่สนามมวยแล้วกัน ไปละโว้ยไอ้เจ้าไม้ สู้ ๆ นะมึง!!!”

   ไอ้ทิวพูดกับผมเสร็จก็ตะโกนไปบอกไอ้ลูกหมามันหยุดชกหันมายกมือไหว้พวกมัน ไอ้เบสมองหน้าผมก่อนจะยิ้มและโบกมือบ๊ายบายให้ ผมย่นจมูกใส่ไอ้ฝรั่งก่อนจะสะบัดหน้าหนีไม่เดินไปส่งหรอกงอน ให้มาอยู่ที่บ้านแค่นี้ทำเป็นบ่น ชิ ๆ ไอ้พวกบ้า ว่าจะข้าวให้กินไม่ต้องกินแล้วกัน สมน้ำหน้า อดกินข้าวมันไก่ฝีมือพ่อโทนเลยยยยยย ว๊ายๆ แบร่ๆ

           ผมหัวเราะคิกคักวิ่งมาในครัวที่กำลังต้มไก่สองตัวอยู่ในน้ำซุป อ๊า กินหอมจัง ดม ๆ เสร็จก็มาทำน้ำจิ้มสุดแซบ การชั่งน้ำหนักของเจ้าไม้และคนอื่น ๆ ผ่านไปด้วยดีเลยกินได้สบาย ๆ แต่ผมก็กะแล้วละจะเก็บหนังไว้กินคนเดียว ไม่แบ่งหรอก

โฮ่ง!

           “เนอะมีมี่เนอะ ไม่แบ่งหรอก” ผมก้มลงไปถามความเห็นมีมี่ที่เข้ามานั่งมองหน้าผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมลั๊นล๊าทำอาหารอยู่คนเดียวคนเสร็จ อะ 6 โมงพอดีเลย ฮิฮิ

           “หอมจังครับ” ผมย่นคอเมื่อไอ้เด็กแก่แดดมายืนด้านหลังผมแถมหอมแก้มผมไปฟ๊อดใหญ่ ๆ อะไรหอมแก้มผมหรือข้าวมันไก่ แก้มผมใช่ม๊า ฮิฮิ แน่นอนสิ เหงื่อทั้งนั้นแหนะ

           “อยากจะกินกำปั้นหรือจะกินไก่ ไอ้เด็กขี้จุ้นนนนน” ผมหันไปชูกำปั้นไอ้เด็กที่สูงกว่าผมแล้ว ตอนนี้ผมอยู่ที่คางมันเอง ฮือออออออออออออออ โลกไม่ยุติธรรม ทำไมเด็กสมัยนี้มันโตไวยิ่งนัก แล้วคนรุ่นเก่าอย่างผมจะไปเหลืออารายยยยยยยยยย

           “ฮึฮึ มีอะไรให้ผมช่วยไหม”

           “ช่วยหน่อย ช่วยไปอาบน้ำ เหม็นมาก ๆ ” เจ้าไม้หัวเราะก่อนจะเดินออกไปจากครัวพร้อมเจ้ามีมี่ผมเบ้ปากใส่ก่อนจะหันมาสับไก่ใส่จานต่อไป คิก ๆ หอมจริงจริ๊งงงงงง แก้มผมน่ะ … เอ้ย ข้าวมันไก่น่ะ ฮิฮิ

           “กินข้าวกันไหม เอาแต่เล่นกันอยู่นั้นล่ะ” ผมยืนเท้าเอวมองลุงๆพี่ๆ แล้วก็คุณพ่อสุดที่รักที่มุ่งมั่นกับการเล่นหมากรุกกันอย่างสนุกสนาน หลังซ้อมหนัก น้ำท่าก็ไม่อาบนั่งดมกลิ่นกันอยู่นั้นละ ไม่เหมือนลูกผมที่รักสะอาดไปอ่านมาตัวหอมฟุ้งผมเลยใช้ให้ไปเอากับข้าวออกมาเตรียมไว้ที่แคร่ใต้ถุนบ้านแล้วก็เอาอาหารเม็ดไปให้มีมี่กับเจ้าสามสหายหน้าหมาด้วย

           “กวนใจจริงโว้ยไอ้เด็กห่านี้”

           “งั้นก็ไม่ต้องกินนะ ใครอยากกินต้องไปอาบน้ำก่อน ตัวเหม็นไม่ต้องกิน” ผมย่นหน้าก่อนจะเดินมานั่งกอดอกที่แคร่ใต้ถุนบ้าน พี่เมฆกับพี่แสงพากันแย่งอาบน้ำแล้ว แต่ลุง ๆ ยังนั่งเล่นหมากรุกกันหน้าดำคล่ำเครียด ดี ๆ ไม่เปลือง คนเขาอุตส่าห์ทำตั้งนานไม่กินก็ตามใจนะ

           “อุ้ย เด็กงอน” ผมย่นจมูกใส่ลุงจันทร์ที่ชี้มาที่ผมและพากันหัวเราะ จากนั้นแกก็ลุกจากวงไปอาบน้ำที่เรือนพักนักมวยบ้าง หึ เหลืออีกสองหนอ … สายตาพิฆาต!!!!!

           “เอ็งกะจะกินเลือดกินเนื้อข้าเลยใช่ไหมล่ะไอ้โทน เกรงใจพระเกรงใจเจ้าที่ข้าแขวนอยู่บ้าง ฮ่าๆๆๆ ข้าว่าไปอาบน้ำอาบท่าดีกว่าก่อนที่ไอ้โทนจะมาล้มกระดาษเสียเปล่าๆ” ฮึ่ม รู้ตัวแล้วสินะ ผมยิ้มอย่างพอใจเมื่อลุงทิมวางมือจากการเป็นคู่แข็งของพ่อทาย ทีนี้ก็เหลือคนเดียวแล้ว … สายตาพิฆาตขั้นสุดยอด ฮ๊าช๊า!!!!!

โป๊ก!!!!!

           “โอ้ย เจ็บนะ!!!” ผมขู่ฟ่อทันทีที่พ่อทายปาตัวม้ามาสะกิดหนังหัวผมหลังจากปล่อยสายตาพิฆาตขั้นสุดยอดไป ฮือออ อออออออ ออ โหดร้ายที่สุด จะฟ้องลูก เรื่องนี้ลูกต้องรู้ ฮืออออออออออออ!!!

           “ฮืออออ พ่อแกล้งงงงงง” พอไอ้เจ้าไม้มาผมก็ฟ้องทันที ไอ้เด็กนี้ก็ไม่ทำอะไรนอกจากเดินมาจุ๊บขมับที่ผมกุมอยู่หนึ่งทีก่อนจะนั่งลงข้างๆ ชิ หายก็ได้

           “สำออย ตอนมึงเด็กกูทำมึงตกบ่อยไม่เห็นจะร้องสักแอะ หลับนี้กูนึกว่าตาย ไม่นึกว่าจะได้โตมาเป็นไอ้แคระแกร่นแบบนี้” อะ … ปากร้ายมาก ผมไม่สนใจหันมาเอามือกอดไอ้ลูกหมาไม้และทำหน้างอใส่ตาแก่ขี้บ่น เอาแต่ใจแถมโหดร้ายมาก ๆ เห็นได้ชัดว่าผมโนรังแกแบบไม่ต้องสงสัย

           หลังจากที่ทะเลาะกับเสร็จ ทุกคนก็พร้อมหน้ากันในวงข้าว ก็ลงมือกินกันอย่างอร่อยเหาะ แน่ล่ะใครทำ  แต่พ่อผมกลับสั่งให้เจ้าไม้กินได้แค่จานเดียว ชิ ไม่รู้อะไรนักหนา เด็กก็ควรจะกินเยอะ ๆ ไม่ใช่หรือยังไง พอกินเสร็จอากาศค่อนข้างเย็น ผมเลยเดินมาที่คอกของเจ้าสามตัวหมาน้อยปล่อยให้เก็บจานล้างกันเอง จัดการยัดเจ้าพวกตัวดื้อใส่ลงไปในเสื้อให้หมด แฮ่ น่ารักทุกตัวเลยยยย

           วันนี้ผมไม่ได้เข้าร้าน จะว่าไปก็ไม่มีคนอยู่ร้านเพราะไอ้เกื้อก็กลับบ้าน พรุ่งนี้ถึงจะกลับมาดูเจ้าไม้ขึ้นชกแต่ก็เขียนเบอร์ติดไว้หน้าร้านเหมือนกันเผื่อมีเหตุฉุกเฉินจริง ๆ ขึ้นชื่อว่าหมอความรับผิดชอบต้อง 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว เพราะเจ้าสัตว์ทั้งหลายจะป่วยเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ ผมอุ้มเจ้าแตงกวาตัวน้อยที่ตัวเล็กกว่าเพื่อนขึ้นมาว่างบนตักก่อนที่เจ้ากะหล่ำกับมะเขือตัวอ้วนจะเข้ามาซุกอย่างออเซาะน่ารัก คิก ๆ

           “พ่อโทน ยุงกัดนะครับขึ้นบ้านเถอะ”

           “อือ” ผมขานรับเจ้าลูกไม้ที่เดินมาตามก่อนจะเอาไอ้เด็กทั้งสาวเข้าไปในกรงมุ้งลวดอย่างดี ที่มี มีมี่นอนอยู่ในกรงอยู่แล้ว ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งไปล้างมือเดินตามไอ้ไม้ขึ้นมาบนบ้าน คืนนี้ผมให้เจ้าไม้นอนไว ส่วนตัวเองยังนั่งดู TV อยู่ไม่ง่วง งือออออ … แต่ก็ชักง่วงแล้วแฮะ …

ครืดดดดดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดดดดดดด

           อ่ะ … ใครโทรมางะ ผมฉุดตัวเองลุกขึ้นนั่งก้มลงไปมองเข้าไม้ที่นอนหลับอยู่ข้างเตียงก่อนจะคว้าโทรศัพท์ออกมาจากมุ้งก่อนเดินจะออกมารับสายเบอร์แปลกหน้าห้อง

           “โทนครับ”

           “หมอโทนหรือครับ คือตอนนี้สุนัขผมโดนวางยา ช่วยมาที่บ้านผมหน่อยได้ไหมครับ”

           “อ่ะ! ได้ครับที่ไหน ยังไงตอนนี้ให้กรอกไข่สดใส่ปากน้องไปก่อนนะครับให้เขาสำลอกออกมา”

           “ครับผม ซอย XXXXX” ผมจดจำอย่างรวดเร็วความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง

   พอวางสายไปผมก็รีบย่องเข้าไปในห้องหยิบเสื้อกันหนาวออกมาได้ตัวนึงก็รีบออกมาจากห้องให้เบาที่สุดไม่ให้เจ้าไม้ที่เพลียเพราะซ้อมหนักตื่นขึ้นมาถ้ารายนี้ตื่นขึ้นมาคงต้องงอแงไปกับผมแน่ พรุ่งนี้ก็ต้องชกอีก ผมไม่ให้ไปหรอก

           ผมรีบปั่นจักรยานออกมาจากบ้านทันที บ้านนอกไม่เหมือนเมือนศิวิไวที่จะมีไฟทางตลอดซอยมันค่อนข้างจะมืดเพราะคนบ้านนอกจะปิดบ้านกันไว แต่ผมก็อยู่ในที่แบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลยไม่กลัวอะไรมาก รีบปั่นไปถึงจุดหมายให้ไวที่สุด โชคดีที่ห่างจากบ้านผมไปไม่กี่กิโล ฝีตีนถีบอย่างโทนแปปเดียวก็ถึงแล้ว



เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดด โครม!!!



           “โอ้ยยยยย!” ผมร้องจ๊ากทันทีที่รู้ตัวว่าเสียศูนย์ตัวเพราะแรงผลักหรือถีบของไอ้มอเตอร์ไซค์ปริศนาที่ตีคู่มากับผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมมองไม่เห็นในทีแรกเพราะมันไม่ได้เปิดไฟหน้ารถ

           ไอ้โทนลงมากองกับพื้นที่เป็นดินแดงลูกรัง ขาครูดลงไปเดาไอ้ว่าคงเหวอะไปแล้ว ฮืออออ เจ็บอะ ผมน้ำตาเล็ดพยายามลุกขึ้นยืนแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะแขนเจ็บแผลข้างที่ครูดลงไปมากได้แต่กัดฟันร้องโอดโอยและจะโวยวายออกมาเมื่อเห็นไอ้คนไม่น่าไว้ใจสองสามคนเดินมาจากข้างทาง

           “พวกมึง อ๊อก!!” ก่อนจะได้ด่าอะไรผมก็โดนชกเข้าที่แถว ๆ หลังคอและก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย ฮึก ช่วยโทนด้วย



-ไม้-

           ผมสะดุ้งตื่นกลางดึกที่เสียงวิ่งไปมาอยู่บนบ้านก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมองไปบนเตียงที่พ่อโทนนอนอยู่กลับพบว่ามันว่างเปล่า … พ่อโทนไปไหน …

           ยังไม่ทันจะคิดอะไรได้ร่างกายก็สั่งให้ผมดีดตัวลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปออกห้อง เจอกับปู่ทายที่เหมือนกำลังจะเข้าไปปลุกผมพอดี ใบหน้าโหดครึม ของเขาตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

           “มีอะไรเหรอครับปู่”

           “ไอ้พวกเวรตะไลเล่นไม่ซื่อ จับพ่อเอ็งไป” จากที่งง ๆ ด้วยความง่วงอยู่ผมก็ถลึงตากว้าง วิ่งตึงตั้งหาพ่อโทนไปทั่วบ้าน แต่ก็ไม่พบ หายไปไหน ไม่มี ใครเอาพ่อโทนไป พ่อโทนของผมอยู่ไหน โธ่เอ้ย!!!! 

           “เฮ้ย ใจเย็น ๆ ” พี่แสงเดินเข้ามากระชากผมหลังจากที่ผมวนเวียนหาพ่อโทนไปทั่วบ้านเหมือนคนสติไม่ดี ผมหยุดหายใจ ก่อนจะมองไปทางปู่ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่อย่างใช้ความคิด และสะบัดแขนของพี่แสงออกเดินไปหาแก

           “ใครครับ ตั้งแต่เมื่อไหร่  คะ ใคร จับตัวพ่อโทนของผมไป”

           “น่าจะแก๊งเดิม…แต่มันโทรมาบอกข้าเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เงื่อนไขที่มีคือเอ็งต้องล้มมวยไอ้โทนถึงจะปลอดภัย แม่งเอ้ย เหี้ยจริง ๆ ” ผมหรี่ตามองปู่ก่อนจะสงบสติอารมณ์ตัวเอง ไอ้พวกเจ้าสัวอะไรนั้นแน่ ๆ ที่มันจับพ่อโทนไป ผมไม่น่าเผลอเลยจริง ๆ ไม่น่าเลย!!!!

           “ผมจะล้มมวย”

           “เฮ้ย!!! มึงจะบ้าหรือไง”พี่แสงโวยวายขึ้นจนพี่เมฆต้องจับไหล่ห้ามเอาไว้

           “ผมไม่สน อะไรที่มันทำให้พ่อโทนไม่เจ็บตัวได้ ผมยอม!!!! ผมไม่ต้องการแชมป์ที่ไม่มีพ่อโทน!!!”

ผลั๊ว!!!

           หน้าผมสะบัดตามแรงเหวี่ยงต่อยลงมาจากปู่ …. ฮึ เลือดของไอ้ตัวซวยอย่างผมนี้มันอร่อยใช้เล่นจริงๆ

           “อยากจะทำอะไรก็ทำแต่ถ้าไอ้โทนมันรู้ที่หลัง ก็อย่าคิดว่ามันจะให้อภัยมึง เรื่องนี้พวกกูจัดการเอง มึงไปทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ตี 3 ละ ไอ้แสงไอ้ทิม พามันไปฟิตอัพร่างกายและหกโมงพามันไปสแตนบายส์ที่สนามมวย .. ถ้ามันอยากจะไปละนะ ไอ้เมฆ ไอ้จันทร์เอ็งไปกับข้า” ปู่รายยาวไม่สนใจผมที่ยืนตาเขียวอยู่ พากันเดินไปคุยกันอีกทาง ส่วนพี่แสงกับลุงทิมก็เข้ามาประกบข้างผม เหมือนพร้อมที่จะจับหากผมพุ่งหายไปที่ไหนหรือพุ่งเข้าไปหาปู่ทายอีกครั้ง … สงบสติอารมณ์ … ผมต้องสงบสติอารมณ์

           จริงของปู่ทายที่พ่อโทนจะต้อโกรธต้องงอนผมเป็นแน่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมคือพ่อโทน ผมเสียเขาไปไม่ได้ ผมไม่น่าเลยจริง ๆ ไม่น่าเลย ทั้งที่นอนอยู่ข้างกันแท้ ๆ ดันปล่อยเขาไปคนเดียว ผมนี้มันตัวซวยจริงๆ!!!  อีกอย่างครั้งที่ผมโอกาสฆ่ารอบนั้น … ก็ไม่น่าปล่อยให้มันรอดไปสักคน

           “เชื่อใจไอ้ทาย เชื่อว่ามันไม่ปล่อยให้ลูกมันเป็นอะไร มันก็รักไอ้โทนมันไม่ต่างจากเอ็งหรอก” ลุงทิมพูดขึ้น ผมกลั้นใจก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาจากหางตา

           “ถ้าผมล้มคู่ต่อสู้ได้ไวแค่ไหน … ผมก็จะตามไปหาพ่อโทนได้ไวแค่นั้นใช่ไหมครับ”

           “ฮึ ไม่มีปัญหา ข้าจะพาเอ็งไปเอง”

   ผมกัดปากหันไปมองปู่ที่เหลือบมามองผมก่อนจะหันไปคุยกับพี่เมฆต่อ ก็ได้ ผมจะทำ ผมจะชกให้เสร็จภายในยกแรกต่อจากนั้นแรงทั้งหมดที่ผมมีจะไปตะบันหน้าไอ้พวกที่คิดจะลองดีกับผม… รอหน่อยนะครับพ่อโทน … รอสักนิด …

.

.

.

           ใจกลางทุ่งรกร้างวางเปล่าโกดังเก่าที่เคยใช้เป็นโรงสีข้าวแต่ปัจจุบันถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างไม่มีใครสนใจ คนจำนวนหนึ่งยืนคุมอยู่หน้าโกดังที่ด้านในทั้งมืดและอับ ร่างเล็กของพ่อโทน นอนพาดกายอยู่บนพื้นที่ปูด้วยผ้าเน่า ๆ เลือดที่ขายังคงไหลอยู่ซิบและแห้งกรังติดแผล และยังสลบอยู่อย่างน่าสงสาร ในความฝัน พ่อโทนจอมนักเลงโตต้องจมอยู่ในความมืดเพียงเดียวดาย ร้องเรียกใครไม่มีใครได้ยินราวกับได้ล่วงลับหายใจแล้ว ร่างนั้นนั่งลงกับพื้นซุกหน้ากอดเข่าพึมพำชื่อของทุกคนที่รู้จักจนโวยวายออกมาเป็นชื่อของลูกชายที่แสนจะคิดถึง

           ‘ฮึก ไอ้ลูกบ้า อยู่ไหน ฮึก คิกถึง เหงามากรู้ไหม อยู่ไหน ฮึก ไหนบอกไม่ทิ้งไง แล้วไปอยู่ไหน ฮึก ไปอยู่ที่ไหน’ ในความฝันนั้นพ่อโทนฟูมฟายอ้อนวอนให้ได้พบกับลูกชายที่สุดแสดจะรักและหวงแหน แต่น่าแปลกที่ในโลกของความจริงที่ หางตากลมขนตายาวเป็นแพร นั้นกลับมาหยดน้ำใสไหลคล้ายจะฟ้องว่าตนเจ็บปวดแค่ไหนในความฝันที่มืดมน …

.

.

           “ข้าจะออกไปตามหาไอ้โทน ได้เรื่องยังไงข้าจะโทรไปบอก” อีกด้านหนึ่งลูกไม้กำลังยืนแอบฟังปู่ทายพูดคุยกับลุงทิม ในขณะที่ตัวเองกำลังปล่อยหมัดเข้ากระสอบทรายอย่างโกรธแค้นในสิ่งที่ขโมยของรักไปจากอกแกร่ง นึกเจ็บใจตัวเองที่ปกป้องไม่ได้แม้กระทั่งคนที่รัก!

           “ใจเย็น ๆ ไอ้ไม้ ทำหน้าที่เอ็งให้ดีที่สุด รับรองได้ว่าปู่ทายเอาพวกมันตายแน่ไม่ต้องห่วง” พี่แสงที่ยืนคุมการซ้อมอยู่ข้าง ๆ พูดขึ้น ลูกไม้หันไปมองก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาพร้อมกับแสงตะวันกำลังเริ่มจะส่องแสงของวันใหม่

 … 

/////////

ใครแกล้งพ่อ!!!!!!!! 1 คอมเม้นท์เท่ากับ 1 กำลังใจของปาปานะคะ <3'


หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 10 ลักพา} 16/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: kunkai ที่ 16-04-2020 21:02:19
เข้ามาเชียร์ลูกไม้ให้ได้แชมป์ แล้วตามไปตบไอ้คนลักพาพ่อโทน  :beat:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 11 ทวงคืน} 17/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 17-04-2020 10:37:57

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 11 ทวงคืน


            ณ.สนามมวยกลางเมือง เด็กหนุ่ม วัย 18 โตเต็มวัย ผู้มีร่างกายเทียบเท่ากับชายฉกรรจ์ ก้าวลงจากรถตู้คันสีขาวด้วยชุดนักกีฬา กล้ามเนื้อถูกสรรสร้างจากความเพียร เวลานี้ใบหน้าหล่อเหลาเข้มทมึน ซะจนต่างคนพากันหลบสายตาที่เหยียดมองราวกับว่าโลกนี้เป็นศัตรูแล้วทั้งสิ้น ต่างจากตอนที่เป็นลูกเสือน้อยในอ้อมอกของผู้เป็นพ่อที่แสนรักและแสนเป็นห่วงมากซะจนใจใต้อกแกร่งเต้นเหล่าๆอยากจะเอาชนะใจแทบขาดและรีบไปช่วยแสนรักกลับมาโอบกอดตนเหมือนเดิม

           “เอ็งเข้าไปเปลี่ยนชุดและมาชั่งน้ำหนัก”ไม้ผลักประตูเข้าไปในห้องแต่งตัวของนักกีฬาตามที่พี่แสงบอก โดยลุงทิมไปติดต่อฝ่ายการแข่งขันว่า ค่ายอินทรารักษ์ พร้อมที่จะขึ้นชกในรุ่นซุปเปอร์ไลท์เวทแล้ว

           เด็กหนุ่มถอดเสื้อตัวเองออกพยายามไม่หงุดหงิดใจให้มากนัก สะกดกลั่นอารมณ์โกรธเอาไว้ถึงแม้มันจะยากลำบากแต่เขาต้องทำให้ได้เสื้อยืดสีดำถูกพับใส่ไว้ในล็อกเกอร์พร้อมกับโทรศัพท์ราคาถูกที่มีไว้เพียงจุดประสงค์เดียวคือโทรหาพ่อโทนก็ถูกวางไว้ด้านในสุดอย่างหวงแหน เปลี่ยนชุดมาใส่กางเกงมวยเปลือยซิกแพคที่ขึ้นรูปชัดอย่างสวยงาม เกินอายุแล้วเสร็จ คนที่จิตใจไม่นิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลับต้องมานั่งมองมือที่สั่นระริก ตาคมเหยียดตามองเมื่อเสียงหัวเราะน่าเกียจ ๆ ของเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันดังขึ้นใกล้ๆ

           “ว่าไงไอ้ลูกพ่อแม่ตาย ได้ข่าวว่าได้บ้านใหม่แล้วนี้ ไม่นึกเลยนะว่าจะได้เจอกับมึงที่แบบนี้ หึหึ” ใบหน้าลูกครึ่งผิวขาวจมูกคมสันพิมพ์ลูกครึ่งเปิดประตูเข้ามาภายในห้องสำเนียงแปร่งๆบ่งบอกถึงสัญชาติชัดเจน

   ลูกไม้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นและทำท่าจะเดินออกมาจากห้องแห่งตัวนักกีฬาโดยไม่สนใจ แต่กลับถูกกระชากกลับไป ไม้สะบัดตัวออกอย่างไวก่อนจะคว้าหมับที่คอของเด็กลูกครึ่งและกดเข้ากับกำแพงที่อยู่ใกล้ ๆ

           “มึงจะเอายังไงกับกู” ลูกไม้กัดฟันพูดอย่างระงับอารมณ์เด็กชายลูกครึ่งอึกอักในลำคอที่ถูกกดติดอยู่กับกำแพงก่อนจะหัวเราะออกมาเหมือนคนเสียสติ ทำให้ไม้หงุดหงิดเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องยอมสะบัดตัวออกไม่ให้ใครเข้ามาเห็นเสียก่อนไม่งั้นเขาต้องถูกปรับแพ้เป็นแน่

           “เจอกันบนเวทีไอ้มากอส”

           “แค่กๆ ฮ่าๆๆๆ เอ็งมันหมาผู้ดีตกบัลลังก์ทองฉิบหาย ฮ่าๆๆๆ” ไม้กำมือแน่นปิดประตูห้องลงอย่างแรง ทิ้งให้ มากอส ลูกครึ่งอเมริกาทรุดหัวเราะอยู่ที่พื้น

           “ไอ้ไม้ เอ็งมาชั่งน้ำหนัก เอ่อ … เอ็งไม่เป็นไรนะ”

           “เปล่าครับลุงทิม” ไม้พูดก่อนจะเดินนำลุงทิมออกไป ใบหน้าใจดีของลุกทิมขมวดคิ้วก่อนจะรู้สึกสังหรณ์บางอย่างจะผลักประตูห้องพักนักกีฬาเข้าไป แต่ก็ต้องชะงักมือเมื่อเสียงแหบห้าวทักขึ้น

           “นักมวยของเอ็งไปโน้นแล้ว จะเข้าไปยุ่งอะไรกับนักมวยข้า” ชายร่างสูงใหญ่ท่าทางนักเลง 3 คน เดินเข้ามาใกล้ลุงทิม จนเจ้าตัวต้องหันไปมองอย่างเต็มตาและกระตุกยิ้มเลิกคิ้วขึ้นและพูดออกมา

           “เปล่า ข้าก็แค่กลัวว่าเด็กของเอ็งจะถูกเด็กของข้าซัดหมอบไปซะก่อนเกมเริ่มวะ” พวกนั้นพากันแยกเขี้ยวก่อนใส่ที่จะเข้ามาหาหวังทำร้าย แต่เจ้าแสงกลับแทรกตัวเข้ามาอยู่ตรงกลางเสียก่อน

           “โห ๆ  พี่จะรังแกคนแก่แบบนี้หมาหมู่ไปมั้ง เจ้าข้าเอ้ย นักมวยนอกรีดจะชกนักมวยมีชื่อจ้า เร่เข้ามาๆๆๆ ค่าดูน้ำหน้าคนละ 8 บาท มาเร็ววววววว”เสียงกู่ร้องนั้นทำให้นักมวยนอกรีด รีบพุ่งเข้ามาในห้องเสียก่อนที่กรรมการการตัดสินจะมาเห็นเหตุการณ์ ทิ้งให้แสงยืนหัวเราะท้องแข็งอยู่ ไม่แคล้วโดนลุงทิมตบหัวคว่ำเพราะเอ็ดว่าแกนั้นแก่ แก่อะไรแค่ 50 กลาง ๆ เท่านั้นเอง ป๊าดโธ่วววววว

           “มีอะไรกันหรอครับ” ไม้วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นเมื่อได้ยินแสงตะโกนอะไรอยู่แง้ว ๆ แต่ไม่ชัดมากเพราะที่ชั่งน้ำหนักนักกีฬาอยู่ค่อนข้างไกลจากที่พักนักกีฬา

           “ไม่มีอะไร เอ็งชั่งเสร็จแล้วหรือไงว่ะ”

           “ครับ เดี๋ยวผมเข้าไปเอาโทรศัพท์ดีกว่าเผื่อปู่จะโทรมาบ้าง”

           “ไม่ต้อง เอ็งอยู่นี้แหละ ถ้าปู่เอ็งมีอะไรมันจะโทรมาหาข้าเอง”

           “แต่ …”

           “เออน่ะ ไป ไอ้แสงพาไอ้เด็กนี้ไปอบอุ่นร่างกายเสียไป” แสงขานรับและกอดคอลูกไม้เดินออกไปที่วังเวียนซ้อมด้านใน ลุงทิมเหลือบมองประตูห้องนักกีฬาก่อนจะเดินตามออกไป เพราะรู้อยู่แก่ใจถ้าจับไอ้พวกนี้ได้ง่าย ๆ มันคงไม่รอดมาถึงปัจจุบัน และเขาเชื่อฝีมือของไม้ดีว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร 



           “เอ็งเอานี้ไปฉีดให้มันซะไอ้หมี ให้ไวก่อนที่จะมีใครมาเห็น”

   เจ้าของชื่อรับซองใส่เข็มฉีดยาที่มีวัตถุสีขาวบรรจุอยู่ครึ่งหลอด ก่อนที่จะหันไปมองพวกอีกคนที่ยืนบังประตูอยู่ไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาภายในห้องได้ จัดการแกะเข็มฉีดยาออกมาจากซอง ก่อนจะกระชากแขนของมากอสที่ดูเหม่อลอยและสติไม่ค่อยคงที่มาวางที่ขาตัวเอง ก่อนจะปักเข็มลงมิดด้าม และฉีดสารเสพติดบาง ประเภทเข้าสู่สายเลือดของเด็กลูกครึ่งวัยเดียวกับลูกไม้

           “เฮ้ย พี่บิ๊กกูว่ามันไม่ไหวแล้วนะ” เจ้าคนฉีดเริ่มหวั่น ๆ เมื่อเห็นมากอสกำลังเคลิ้มและแสยะยิ้มออกอย่างเมามาย

           “มึงฉีดไปแล้วเพิ่งจะมาพูดเหรอไอ้ห่า นายสั่งมา ให้มันขึ้นชกรอบนี้เสร็จมันก็ได้พักยาวแล้ว ช่วยไม่ได้นี้หว่า เสือกมาเป็นนักมวยค่ายนี้เอง สักพักมันก็ดีขึ้นเองแหละ”

   หัวโจก ว่าก่อนจะเอาผ้าชุบน้ำโป๊ะลงบนหัวของมากอสที่กำลังเมามายอยู่ สักครู่เดียวเข็มอีกอันก็ถูกปักลงซ้ำที่เดิมทำให้อาการสงบลง เงยหน้าขึ้นมองสามหัวโจกก่อนจะแสยะยิ้มราวกับเสือกระหายเลือด

            “ถ้ายกนี้ผมชนะ … ผมขอเงิน 10 ล้านนะครับ”

.

.

.



           อีกด้านปู่ทายตะเวนหน้าไปโดยรอบและสถานที่ที่คิดว่าลูกน้อยของเค้าจะหลงไปอยู่ในกรงเล็บของพวกฝูงหมาป่าลอบกัด แต่ไม่ว่าจะหายังไงก็หาไม่เจอ กระป๋องกาแฟถูกวางลงที่เสาต้นเตี้ย ๆ ที่เอาไว้ขึงเชือกกันขโมยเข้าไปในไร่ข้าวโพดที่อยู่ห่างจากบ้านของเขาค่อนข้างไกล

           “ลุงฉันว่า…”

           “เอ็งหยุดพูดไอ้เมฆ ข้ารู้ว่าเอ็งจะให้ข้าไปบุกบ้านไอ้เสือเฒ่าดำรงใช่ไหม”

           “ครับ”

           “โอ้ยยยย ไอ้เมฆเอ็งยังเด็ก อย่างไอ้เสือดำรงนะ มันไม่โง่เอาไอ้โทนไปไว้ที่บ้านมันหร๊อกกกกกก” ลุงจันทร์ที่กำลังสูบยาเส้นอยู่พ่นควันฉุนออกมา

           “ข้าให้เพื่อนตำรวจข้าตามหาให้อีกทีแล้ว ถ้ามีอะไรก็คงโทรมา แต่ตอนนี้ข้ามีอีกที่ต้องไป” ปู่ทายว่าก่อนที่จะขึ้นจะกระโดดขึ้นรถกระบะไป 

   พี่เมฆหันมามองหน้าลุงจันทร์ที่ยักไหล่ขยี้บุหรี่ยาเส้นลงกับพื้นกระโดดขึ้นท้ายกระบะอย่างคล่องตัว ตามด้วยเมฆที่เดินขึ้นไปนั่งข้างๆคนขับ ตาคมเหลือบมองใบหน้าบึ้งตึงของปู่ทายที่คิ้วขมวดอย่างหงุดหงิดใจและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คนที่น่ากลัวเหมือนจะไม่ใช่ฝั่งตรงข้าม แต่เป็นปู่ทายในตอนนี้นั้นแหละ



 

-โทน-

           ให้ตายดิหว่า … ปวดตัวชะมัด ไอ้พวกนรก ผมจำได้ว่ามันถีบผมตกจักรยาน แถมยังทารุณกรรมด้วยการสับศอกที่คอผมอีก … คือแบบไอ้เหี้ย ตัวกูก็เท่านี้ปะวะ แม่งไม่นึกเลยเนอะ ว่ากูมีลูกมีเต้าต้องดูแล สาดหมามาก เดี๋ยวนะรอกูขยับตัวได้ก่อนกูจะแหกปากด่าให้กระเจิงเลย ก่อนอื่นกูต้องลืมตาให้ได้ก่อน มึงคงไม่จิ้มตากูบอดไปด้วยสินะ

           “เฮ้ย พี่มันลืมตาแล้วอะ ดูดิ” สาดไม่เรียกคนมาป้อนต้นไผ่ให้กูด้วยเลยละ ตื่นเต้นซะอย่างกับกูเป็นหมาแพนดี้ขนาดนี้

           ผมลืมตาขึ้นมองไปโดยรอบ เห็นไอ้หน้าหมาไฮยีน่า กำลังก้มลงมามองผมในระยะไปชิด … ขอโทษนะ แต่เอาหน้าไปไกล ๆ หน่อยได้ไหมละ กลัวใจจะขาดแล้วพี่แหม กูนึกว่าผีป่าและนั้นฟันหน้ามึงหายไปไหน!!!

           “แม่งเอ้ย”

   ผมสบถออกมาทันทีที่พยุงตัวเองลุกขึ้นนั่งและรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนและขาของตัวเองที่เอาลงไปวัดกับถนนมาสด ๆ ร้อน ๆ ก้มไปมองและต้องเสียวไส้ ไอ้บ้าเลือดยังไม่หยุดเลย พวกมึงก็ใจร้ายเนอะ ไม่หาผ้าหาอะไรมาพันให้กูสักแอะ ใจมึงดำมาก ฮือออออ ออออออ กูอยากไปดูลูกกูชกมวยยยยยยยยยยยยยย พวกมึงมันชั่ว!!!!! ตัวชั่ว !!!   

           “เป็นไงไอ้เตี้ยสนุกดีไหมละ ฮ่าๆๆๆ” คางผมถูกเชิดขึ้นไป แม่ง กูไม่ใช่นางทาสของมึงนะ

           “เตี้ยพ่อง” ผมกันฟันด่าแม่ง ไอ้แมลงสาบที่ราบสูง นรกส่งมาเกิด!!! ด่าอย่างอื่นกูไม่ว่าด่ากูเตี้ยกูแค้นยันชาติหน้า ฮึ้มๆๆๆๆๆ!!!

           “ปากดี กูจะรอดูว่าปากมึงจะดีได้ถึงไหน”

ถุ้ย!!!

           กูถมน้ำลายที่เต็มไปด้วยเมือกเลือดของกูใส่หน้ามัน กูบอกแล้วว่าเอาหน้าไปจากหน้ากู ไม่งั้นต้องเจอแบบนี้ ฮึ คนอย่างพ่อโทนพ่อไอ้ไม้ ลูกปู่ทาย ไม่ยอมให้ใครมาหยามง่าย ๆ หรอก พวกมึงเล่นสกปรกกับกูก่อน กูไม่ผิด พวกมึงมันพวกเวร!!!!

           “ไอ้ห่านี้!”

ผลั๊ว!!!!

           อ๊ากกกกกก มันตบหน้ากู ฮือออออออออออ หน้ากูชาเลยไอ้พวกเวรตะไล ไอ้พวกบ้า แม่ง!!! ฮึก เจ็บ!!! แต่ต้องเก็กไว้ก่อน เดี๋ยวมันได้ใจ !!! ผมสะบัดหน้ากลับมามองมันตาแข็งปั๊ก ไม่ให้มันรู้ว่าตอนนี้ปากผมเจ็บแค่ไหน ถึงแม้เลือดจะออกก็ไม่เป็นไร ฮึก ไอ้พวกบ้า

           “เดี๋ยวกูก็ตบอีกป๊าบ ทำเป็นตาขวางไอ้ห่า”

           “เฮ้ย พอเดี๋ยวมันก็ตายพอดี มึงก็อย่าไปแหย่มันสิวะ” กูไม่ใช่แมวน้ำนะ ถึงจะมาพูดแบบนั้นอะ ไอ้พวกเวร รอพ่อกับลูกกูมาก่อนเถอะ พวกมึงจะตายไม่เหลือซาก ฮึก กูอยากไปดูลูกกูชก กูอยากไป พวกมึงไอ้ตัวมาร ฮึก

           “มันร้องไห้วะพี่ สงสัยจะเจ็บแผล ฮ่าๆๆๆๆ” พ่องสิกูอยากไปดูลูกกูชก ฮึก แผลพวกนี้ไม่สะเทือนผิวก็หรอก ฮึ ไม่เจ็บสักนิด กูร้องไห้เพราะพวกมึงไม่ให้กูไปดูลูกกูชกต่างหาก ฮึก พวกมึงเลวมาก พรากพ่อพรากลูก กูเกลียด

           “พี่ๆ นายดำรงมาวะ”

           “เอ็งก็ไปต้อนรับสิวะ ส่วนเอ็ง ทำหน้าดี ๆ ต้อนรับนายพวกข้าหน่อยนะ ฮ่าๆๆๆๆ เสือกอยากเป็นศัตรูกับค่ายพยักษา ของพวกข้าเอง” ค่ายอะไรนะ โอ้ย ทำไมต้องตบหัวกูอีกด้วย เห็นเป็นลูกข่างหรือไง ไอ้พวกบ้า ฮึก เจ็บนะ

           “สวัสดีครับนาย”

           “ไหนพาข้าไปดูมัน” เสียงนั้นคุ้น ๆ ก่อนที่ผมจะผงะเมื่อมองเห็นตาแก่คนที่เอารถมาดักขวางทางผมคราวนั้นไอ้แก่ขี้ป๊อดนั้นนี้หว่า

           “ฮ่าๆๆๆๆๆ ว่าไงไอ้หนู ดูท่าทางไอ้ปากกล้าอย่างวันนั้นจะไม่มีแล้วสินะ แหม…น่าสงสารจริง ๆ ” ผมกัดปากตัวเองแน่น ทำไมวะ ทำไมต้องทำแบบนี้กับผม ผมไปทำอะไรให้ เรื่องผลประโยชน์ของค่ายหรือไง งั้นก็แสดงว่าค่ายมันไม่เจ๋งจริงถึงต้องจับผมมาขมขู่แบบนี้ ถุ้ย กร่าง!!!!!!

           “ฮึ น่าสมเพช ใช้วิธีสกปรกเอาชนะคนอื่นภูมิใจมากสินะไอ้เฒ่า!!!!”

ผลั๊ว!

           ไม้ตะพดที่มันถือมาฟาดเข้าที่แก้มของผมซ้ำที่เดิมจนผมรู้สึกชามากกว่าเจ็บเอาดิ ทำอีก!!!! ไอ้พวกรังแกคนไม่มีทางสู้!!!!!

           “ปากดีนักนะ ตัวสั่นเป็นลูกนกแล้วแท้ ๆ ฮึ พ่อเอ็งทำกับข้าไว้เยอะกว่านี้มาก พอดีว่ามีคนเขาอยากได้ลูกเอ็งเอาไปฆ่า ข้าก็เลยรับงานมา หึหึ คิดดูสิวะ ลูกเอ็งตายคาเวที ส่วนเอ็งก็ช้ำใจตายคามือข้า โอ้ยยยยยยย ไอ้ทายคงสติแตกดีนักแล ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

           “มึงจะทำอะไรลูกกู!!!!!!!”

           “เป็นห่วงตัวมึงก่อนเถอะ! พวกมึงจับมันมัดมือมัดปากและพาไปขึ้นรถ!!!!... กูจะพามันไปดูลูกมันตายคาเวที ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะน่าสะอิดสะเอียดนั้นทำให้น้ำตาผมไหลพรากก่อนจะถูกจับมัดมือมัดเท้าแบกมาขึ้นรถตู้ที่อยู่ด้านหน้า

ตุบ

           ผมถูกโยนเข้ามาในรถที่เบาะเหมือนพื้นไม้ ไม่มีความนิ่มสักนิด น้ำตากับเลือดไหลพรากเต็มไปหมดกลิ่นคาวนั้นทำให้ผมลมแทบจับ ฮึกลูกไม้ ฮึก ลูกของผม ไม่นะ อย่าทำอะไรมัน ปล่อยมันไปใช้ชีวิตให้คุ้ม ฆ่ากู ฮึก ฆ่ากูให้ตายเลย ถ้าชีวิตนี้จะทดแทนไอ้ไม้ได้ อย่าทำอะไรเลยนะ ฮึก พ่อทาย ฮึก ช่วยไอ้ไม้ด้วย  เ



-ไม้-

   ผมมองอาเกื้อที่ทำท่าจะทรุดลงกับพื้นทันทีที่รู้ว่าพ่อโทนโดนจับ แต่โชคดีที่พี่ทิวเพื่อพ่อ รวบตัวไว้ก่อนที่จะพาไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ ๆ หน้าแดงของอาเกื้อทำให้รู้ว่าอาเป็นห่วงพ่อโทนมากแค่ไหน เพื่อนพ่อโทนต่างพากัน สบถด่าออกมาไม่ขาดสาย

    เช่นเดียวกับผมที่เป็นห่วงพ่อโทนเหลือเกินไม่รู้ป่านนี้พ่อโทนของผมจะเป็นยังไงบ้าง นาทีแต่ล่ะวินาทีช่างเดินช้าเหลือเกิน เมื่อไหร่ผมจะได้ไปหาพ่อโทน เมื่อไหร่ที่ผมจะได้อยู่ให้อ้อมกอดเล็ก ๆ ที่แสนบอบบางนั้นอีก ผมจะทำยังไงถ้าพ่อโทนต้องเป็นอะไรไป ทั้งหมด … ทั้งหมดเป็นเพราะผมคนเดียว ตัวซวยคือผมเอง

           “อีก 10 นาที ไอ้ไม้หยุดซ้อมและลงมานั่งพักได้แล้ว” ผมทำตามคำสั่งลุกทิม กระโดดลงจากสังเวียนด้วยสายตานักมวยคนอื่น ๆ ที่มองมาไม่ขาดสาย มือของผมที่อยู่ในนวมตอนนี้สั่นระริกและแข็งกระด่างไปหมดด้วยการปล่อยหมัดแรงมากเกินไปหน่อย … ไม่ไหว ผมห้ามใจไม่อยู่ ผมจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว

           “ปู่ติดต่อกลับมาไหมครับ”

           “ยัง เอ็งทำใจให้สบาย”

           “ผมขอโทรหาปู่ได้ไหมครับ”

           “เฮ้อ เออๆ ไอ้แสงเอาโทรศัพท์มา” ลุงทิมรับโทรศัพท์มาก่อนจะส่งให้ผม ผมกดเบอร์ที่จำขึ้นใจก่อนจะโทรออกไป ข้างๆมีเพื่อนพ่อโทนที่ชื่อป๊อกกอดคอผมอยู่ไม่ห่าง

           “ว่าไง”

           “ปู่ครับ”

           “มึงยังไม่ไปเตรียมตัวหรือไง”

           “ปู่ครับ ผมเป็นห่วงพ่อโทน” หยดน้ำใส ๆ ที่ไม่ใช่เหงื่อไหลออกมาจากหางตาของผมอย่างห้ามไม่ได้เสียงของปู่ขาดหายไปก่อนเสียงถอนหายใจจะดังลอดออกมา

           “มึงทำหน้าที่ของมึง กูทำหน้าที่ของกู และจำไว้ต่อให้มันเล่นสกปรกอะไรมาก็ตาม มึงต้องชกให้ถูกกติกา ห้ามใช้อารมณ์ไม่งั้นอนาคตมึงดับวูบแน่ เชื่อกู” แล้วปู่ก็ตัดสายไป ผมกัดฟันแน่นก่อนจะยื่นโทรศัพท์คืนให้ลุกทิม สูดหายใจเข้าลึกๆและยืดตัวตรง … ผมจะไม่ยอมเสียอะไรทั้งนั้น …

           “พี่แสงช่วยนวดมือให้ผมหน่อยนะครับ”

           “เออได้ ๆ ไอ้ป๊อกไอ้ทิวมึงมานวดขาให้มัน เอาน้ำมันมวยมา เร็วๆ” พี่แสงรีบวิ่งเข้ามากดผมให้นั่งลงก่อนจะถอดนวมผมออก และจัดการเข้ามาขวดแขนนวดขาผมเป็นการใหญ่ … ผมจะสู้ เพื่อพ่อโทน ผมจะสู้เพื่อนอนาคตที่ผมพ่อโทน ไม่ยอม ผมไม่ยอมเสียคนที่ผมรักไปอีก ไม่มีวัน …

           

           10 นาที ผ่านไป ทุกสิ่งทุอย่างที่ผมรอคอยมาถึงเมื่อลุงทิมเดินนำผมเข้ามาในสนามมวยที่มีผู้ชมกว่าหมื่นคน ส่งเสียงกู่ร้องดังขึ้นเชียร์ไม่ขาดสายและส่วนมากจะเป็นของฝั่งตรงข้ามเสียมากกว่า

           “โอ้โห วันนี้ดุเดือดมากเลยนะครับสำหรับมวยชิงแชมป์ ในวันนี้ แชมป์เก่าเจ้าประจำของเวทีมวยสนามประจำจังหวัดแบบนี้ มากอส ลูกครึ่งเพชรเด็ดพยัคฆ์!!!จากค่ายพยักษา!!!” สิ้นเสียงพิธีกร ไอ้มากอสก็กระโดดขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับเสียงเชียร์ที่ดังก้องด้วยความฮึกเฮิม … มันแปลก ๆ นะ

           “อีกด้านผู้ท้าชิงก็ไม่น้อยหน้า เด็กหนุ่มผู้ไม่เคยพ่าย ชนะมาได้ทุกรอบทุกชกด้วยเวลาที่เป็นสถิติ สมกับชื่อของเค้าไอ้ไม้หมัดเหล็ก จากค่ายอินทรารักษ์!!!!”

   เสียงโห่ไล่ดังขึ้นทันที แต่ก็ยังดีที่มีเสียงเชียร์จากที่ไกล ๆ อยู่บ้าง ...    ผมกระโดดขึ้นมาบนเวทีด้วยแสงไฟที่สาดสองมา หันไปมองไอ้มากอสที่นั่งทมึนมองมาเหมือนไอ้บ้าโรคจิต ด้านหลังมีพี่เลี้ยงอยู่สามคน จากนั้นพิธีกรก็พูดอะไรต่อสักอย่างและเสียงดนตรีไทยก็ดังขึ้น ผมกับไอ้มากอสร่ายรำไว้ครูมวยไทย ตามจังหวะ มีบางช่วงที่ความดุดันของไอ้มากอสเหมือนจะขมขู่มาที่ผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจท่าทางลิงหลอกเจ้าของมัน รำในแบบที่ถูกต้องตามที่ปู่สอนมา มารก็คือมาร …

           พอรำเสร็จผมก็มาที่มุมเวทีเพื่อครอบครูจากลุงทิม ลุงเขาภาวนาให้ผมทำให้ได้เหมือนอย่างเคยก่อนที่ยางฟันจะถูกยัดเข้ามาในปากของผม … ผมพร้อมแล้ว

เป๊ง!!!

           เสียงระฆังดังขึ้น ผมไม่รอให้เวลาสูญเปล่าวิ่งเข้าใส่จระเข้ฟาดหางหวังให้ทีเดียวจบ … แต่

ผลั๊ว!!!!

           ไอ้มากอสล้มลงไปกับพื้นทันที … พอกันที ผมไม่อยากสู้แล้ว ผมอยากไปหาพ่อโทน … ทั้งสนามเงียบสงัด ผมค่อย ๆ ถอยหลังเข้ามุมตัวเองเสียงโห่ร้องของเพื่อนพ่อโทนดังอย่างยินดี กรรมการเข้ามานับไอ้มากอสที่แน่นิ่งอยู่ที่พื้น ขอโทษทีนะ แต่ทีเดียวจบแบบนี้น่ะดีแล้ว

           “1 2 3… ชกต่อได้!”

           อะไรนะ …

           “เฮ้ย ระวัง!!!” เสียงพี่แสงดังขึ้นผมรีบหันไปตั้งกาดทันที หมัดรัว ๆ กระทบเข้าที่กาดผมหลายต่อหลายหมัด เป็นไปได้ยังไง น่าจะสลบไปเลยนี้หนา … หมัดสุดท้ายชัดใส่กาดผมแต่ไม่ทะลุ ก่อนจะเบี่ยงตัวถอยหลังไป ผมคลายกาดออกมองไปที่ไอ้มากอสที่ยืนแสยะยิ้มอยู่ อะไรกัน มันเป็นปิศาจหรือยังไง อะไรก็ช่าง ผมไม่ยอม!!!!

           ผมวิ่งเข้าไปปล่อยหมัดใส่มันบ้าง รอบนี้มันตั้งกาดไว้เหมือนกัน แต่ผมใช้มือซ้ายเจาะเคาเตอร์จากด้านล่างเสยปลายคางของมันจนหน้าหงาย มันถอยหลังลู่ไป แต่ก็กลับมาแสยะยิ้มได้อีก … อะไรกัน … มันเข้ามาชกผมไม่หยุดหย่อน พลังเหมือนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกต่างหาก การปล่อยหมัดของผมเริ่มเปลี่ยนมาเป็นการตั่งรับไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ปล่อยหมัด ขื่นเป็นเป็นแบบนี้ ถ้าชกครบยก การปล่อยหมัดของมันจะต้องชนะผมด้วยคะแนนแน่ๆ … ไม่ได้ ผมต้องน็อกมันให้ได้!!!!

เป๊ง!!!!

           เสียงระฆังหมดยกดังขึ้น กรรมการเข้ามาแยกเราออก ผมกลับเข้ามุมตัวเองด้วยอาการหอบขึ้นคอในขณะที่ไอ้มากอสไม่ได้มีความสะดุ้งสะเทือนอะไรเลย …. แปลก มันแปลกมาก

           “ไหวไหมวะ”

           “ไหวพี่ แปลกนะพี่ผมว่า” ผมหันไปกระซิบพี่แสงที่ป้อนน้ำผมอยู่ด้านหลัง พี่แสงพยักหน้าก่อนจะหันไปมองลุงทิม

           “ดูท่าทางไอ้ห่าพวกนั้นจะขี้โกง มึงตั้งใจดูมันไปก่อน เน้นจุดสำคัญของมันไปเยอะ ๆ ” ลุงทิมว่า ผมพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่เสียงระฆังจะดังขึ้นอีกครั้ง ผมลุกขึ้นยืนพร้อมกับกลยุทธ์ที่มีอยู่ในสมองแล้วตอนนี้

    แต่รอบนี้สายตาของผมกับเงยหน้าไปด้านบนที่เป็นอาคารตู้กระจกยื่นออกมา เป็นที่ VIP สำหรับลูกค้าพิเศษ และก็แทบช็อก เมื่อร่างที่อ่อนปวกเปียกของพ่อโทนปรากฏอยู่ด้านบน ตัวของเขามีแต่เลือดถูกมัดมือมัดเท้าอย่างน่าสงสาร แววตานั้นเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลริน พ่อโทน พ่อโทนของผม …

   “เสร็จกู”

ผลั๊ว!!!!!!

           ปลายคางผมสะบัดเงยขึ้นสุดแรงจนรู้สึกชาไปทั้งสมอง … ภาพของพ่อโทนตะเกียดตะกายอยู่ในกระจก … เสียงโห่ร้องราวกับสัตว์ป่าของคนดู … พ่อโทน … พ่อโทนของผม



หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 11 ทวงคืน} 16/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 17-04-2020 10:38:44
.
.
.


           “สารเลว !!!”

เพียะ!

           แก้มนวลขึ้นเป็นลายมือที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาพ่อโทนกัดฟันแน่นหันกลับมาทำตาขว้างใส่น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง ด้วยความคับแค้นใจแต่ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากถูกจับมัดและเสียเลือดมากจนพ่อโทนรู้สึกเพลีย แต่ในใจตอนนี้กลับร้อนผ่าวเหมือนกันไฟเผากาย เมื่อภาพของลูกน้อยตัวใหญ่ของตนล้มลงไปกองกับพื้นเมื่อโดนสวนปลายคางเข้าอย่างจัง

           “ลุกสิวะ !!!! มึงโดนกูตบไปตั้งเยอะ ภูมิต้านทานหายไปไหนหมด ลุกเซ่!!!!!!”

   พ่อโทนตะโกนลั่นเสียงสั่นระรัวในลำคอตะเกียดตะกายเอาหัวไหล่กระแทกกับกระจกตรงหน้าเหมือนคนบ้า เขาอยากที่จะทุบกระจกตรงหน้าให้แตกลงไปยืนอยู่ข้างลูกรักบัดเดี๋ยวนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ในสภาพแบบนี้ ได้แต่นึกเจ็บใจที่เป็นพ่อกลับช่วยอะไรลูกไม่ได้สักอย่าง

           ในขณะที่พ่อโทนหลับตาไม่อยากมองเบื้องล่างอีกต่อไป กลุ่มไรผมสีน้ำตาลอ่อนก็ถูกกระชากไปด้านหลังจนหน้าหงาย พ่อโทนลืมตาแดง ๆ ขึ้นมองขวางใส่นายดำรงเจ้าของใบหน้าขี้โกง

           “ฮ่าๆๆๆๆ หมดแรงแล้วหรือไงไอ้หนู ดูซะดูซะให้เต็มตา ลูกนอกไส้ของผมกำลังจะโดนฆ่า ทั้งกรรมการ ทั้งไอ้เด็กนั้น มันคือคนของกู ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

           “มึงมันสัตว์นรก จะไม่แก่ตาย!!!!”

           “แค่นี้ยังน้อยไปสำหรับพ่อของมึง!!!”

   มือหนาจะง้างตบลงบนหน้าของพ่อโทนที่หลับตาปี๋อีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเชียร์เฮลั่นดังก้องจากสนามด้านล่าง กรอบตากลมก้มลงไปมองที่สนาม ที่บัดนี้ร่างแกร่งของลูกไม้ยืนตระหง่านอยู่บนเวทีคร่อมตัวของคู่ต่อสู้ที่ล้มคว่ำลงไปกับพื้นเวที และก็ต้องสะดุ้งหน่อย ๆ เมื่อตาคมนั้นเชิดเงยขึ้นมาทางนี้อย่างแค้นเคือง ราวกับเด็กคนนี้เป็นปิศาจที่กำลังเกรี้ยวกราดและพร้อมจะฆ่าฟันทุกสิ่งให้แหลกคามือ

           เขาเองก็เคยเห็นด้วยตาของตัวเองมาแล้วเช่นกัน …

           “เกิดอะไรขึ้นวะ ทำไมมันลุกขึ้นมาได้” นายดำรงหันไปถามลูกน้องที่วิ่งเข้ามาในห้องหน้าตาตื่น

           “ไม่ทราบครับนาย ขนาดไอ้มากอสฟิตเต็มที่มันยังล้มได้ ผมว่าไอ้เด็กนั้นไม่ธรรมดาแน่ๆ”

           “แม่งเอ้ย พาไอ้เด็กนี้ไปไว้ที่อื่นก่อน”

   นายดำรงว่าพร้อมควักเอาปืนที่เหน็บอยู่ข้างตัวขึ้นมาถือไว้ ในจังหวะนั้นพ่อโทนก็โดนอุ้มขึ้นบ่าของชายร่างอ้วนไป ในแววตาอันอิดโรยของพ่อโทนกลับมีประกายความสะใจบางอย่างและรอยยิ้มน้อย ๆ นั้นบอกได้ถึงความอบอุ่นใจที่เริ่มรู้ถึงความปลอดภัยที่กำลังจะมาหาตน

   ร่างของพ่อโทนถูกแบกลงมาวางกระแทกพื้นในห้องที่มืดสนิทและมีกลิ่นอับ ก่อนที่ลูกกระจอกจะรีบวิ่งออกไปล็อกประตูจากด้านนอก ทิ้งให้พ่อโทนอยู่เพียงลำพังในห้องที่ปิดตาย

           ตากลมมองฝ่าความมืดไปบนเพดานก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นกระเถิบตัวเล็กของตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือดที่แห้งกรังติดรอบ ๆ บางแผลที่ตึงไปหมดทั้งตัวไปชิดกำแพง ก้มหน้าลงกับเข่าที่ยกขึ้นมากอดเอาไว้ น้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนไม่มีวันหยุดของตัวเอง รอคอยใครสักคนมาช่วยเช็ดและปลอบประโลม เสียงสะอื้นในลำคอดังขึ้นแทบขาดใจ ขัดกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากที่แสนจะดีใจ เมื่อได้รู้ว่าลูกชายสุดที่รักไม่ได้พ่ายแพ้ ไม่ได้มีแผลในใจซ้ำเติมลงไปให้เจ็บช้ำ …

           “เก่งมาก … ฮึก เก่งมากเลย” คำชมนั้นดังสะท้อนไปมาในห้องที่ปิดตาย และไม่มีใครได้ยิน…

           นายดำรงวิ่งลงมาจากห้องกระจกด้านบนพร้อมลูกน้องกว่าสิบคน ต้องหยุดชะงักร่างตระหง่านของลูกไม้วิ่งขึ้นบันไดมาเหมือนวัวบ้าอกเปลือยกระเพื่อมขึ้นลง ใจร้อนดังเพลิงเผากาย มือหนากำแน่นตาคมจ้องเขม่นเหมือนปิศาจตัวร้าย อีกฝ่ายถอยหลังก่อนที่ปืนนับสิบกระบอกจะหันลำกล้องมาทางลูกไม้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

           “ไอ้เด็กนรก” นายดำรงคำรามขึ้นเสียงดังราวกับหมาป่าจอมขลาด

           “พ่อกูอยู่ไหน” เสียงห้าวลอดไรฟันออกมาใบหน้าบึ้งตึง

           “พ่อมึงตายไปแล้ว กูฆ่ามันกับมือ และกูก็จะฆ่ามึงด้วย!” เสียงขึ้นไกปืนดังขึ้น

   เด็กหนุ่มแสยะยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพุ่งเข้าไปก่อนที่ปืนซื่อบื้อจะลั่นไกได้ เข้าประชิดตัวนายดำรงและตวัดแขนรวบคอของนายดำรงอย่างแรง จนลั่นดังกรึบในรูหูขึ้น เพียงเสี้ยววินาที ร่างขี้เง่าของนายดำรงที่ตัวไม่ได้ใหญ่ไปกว่าลูกไม้เลย ก็อยู่ในกำมือของมัจจุราชรุ่นหลานอย่างจนตรอก ความเชี่ยวชาญจากการเพียรฝึกซ้อมมาตลอดหลายปีและความโกรธเคืองราวกับสัตว์ป่าหิวกระหายเลือดของลูกไม้ทำให้เขาอยากจะฆ่าให้ตายคามือบัดเดียวนี้

           “ยิงเลยสิ กูจะได้หักคอนายมึงให้ตายคาที่ไปซะ คราวนี้ตอบคำถามกูได้หรือยัง” เสียงนั้นคำรามลั่นฝ่ามือหนาขยุมบีบเข้าที่ลำคอตัวประกัน เมื่อลูกน้องเห็นเจ้านายตาเหลือกก็พากันมองกันเองอย่างลังเลใจ

           “ยิงมะ …อ๊อก! คอกู!!!  ปล่อยกู!!!! อ๊ากกกกกก” มือหนาบิดคอหนาไปอีกที ทำให้เกิดเสียงดังโผล๊ะขึ้นในหูของนายดำรง

           “จุ๊ ๆ เบา ๆ สิครับคุณลุง เดี๋ยวคอจะหักเอาง่าย ๆ นะครับ” เสียงห้าวพูดขึ้นพร้อมกับริมฝีปากที่แสยะยิ้มมองไปที่ลูกน้องนับสิบที่หน้าตาโง่งี่เง่าไม่ต่างกัน รอให้ได้ตัวพ่อโทนกลับมาก่อน … เขาจะชำระแค้นให้ตายคาที่ให้หมด บังอาจนัก บังอาจทำร้ายหัวใจของเด็กน้อยได้ยังไง …

           “ไปเอาตัวพ่อโทนมา คราวนี้กูไม่เล่นแน่” แขนหนาของลูกไม้วาดไปรอบคอของนายดำรง มืออีกข้างวาดมาจับบริเวณกรามหนาของนายดำรงจากด้านหลัง ใบหน้าที่เคยมีความอ่อนโยนให้แก่พ่อโทนตอนนี้เหมือนดั่งปิศาจร้ายที่ไม่สนอะไรทั้งสิน

           “กูขอเตือนพวกมึงนะ ไอ้เด็กนี้มันเอาจริง บอกมันไปเถอะว่าพ่อมันอยู่ไหน” แสงพูดขึ้นพร้อมกับเดินก้าวเข้ามายืนข้าง ๆ ลูกไม้ มองหน้าศัตรูอย่างเย้ยหยัน

           “เรื่องของมึงกับไอ้ทาย เด็กมันไม่เกี่ยวด้วย มึงจะเอามันมาเกี่ยวทำไม” ลุงทิมพูดขึ้นพร้อมกับเดินมาประจันหน้าอย่างไม่เกรงกลัวปืนที่หันลำกล้องมาทางนี้เช่นกัน

           “เสือก! … อ๊อก ยะ อย่า กูบอกแล้ว นะ ในห้องมืดด้านในสุดทางเดิน” ลูกไม้ยิ้มนิด ๆ ก่อนจะล็อกตัวนายดำรงให้เดินมาด้วยกันทิ้งให้ลุงทิมและพี่แสงยืนคุมเชิงอยู่ที่เดิม

           “ปู่มึงมันชั่ว มึงก็เลือดชั่ว สารเลวทั้งโคตร!”

           “หุบปากก่อนที่กูจะฆ่ามึงให้ตายไอ้แก่” ลูกไม้คำรามในลำคอ ลากไอ้เฒ่าปากดีเดินมาจนถึงหน้าประตูห้องสีครีม

   เด็กหนุ่มมองต่ำลงลูกกุญแจดอกใหญ่ที่ถูกล็อกอยู่อย่างแน่นหนา ก่อนที่ฟันคมจะขบกันแน่น ใจร้อนดังเพลิงเผาอยากที่จะอยู่ในอ้อมกอดเล็ก ๆ นั้นใจแทบขาด พ่อโทนดวงใจของลูกไม้ป่านนี้จะเป็นอย่างไร ลูกไม้คิดถึงเหลือเกิน

           “ปลดล็อก!!!!!” พอคิดถึงภาพพ่อโทนร้องไห้ ลูกไม้ก็แทบอยากจะหักคอทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทำไมอุปสรรคไม่หมดสักที เขาไปทำให้ไรไว้นักหนา รออีกหน่อยไม่ได้หรือยังไงให้เขาพร้อมมีกำลังเต็มที่ และเขาจะไปหาเอง ไม่ใช่มาทำลายสิ่งที่เขารักสุดหัวใจแบบนี้ มันไม่ใช่วิธีของคนที่เจริญแล้ว มันเป็นวิธีของหมาลอบกัด

           “เด็กอย่างมึงมันมารหัวโขนเหมือนพ่อมึงไม่ผิด หึ อั๊ก!!!”

 

โครม

           เสียงกล้ามเนื้อแผ่นหลังกระแทกกับปูนอั๊กใหญ่มือหนาของลูกไม้บีบเข้าที่คอหอยอย่างแรง ใบหน้าขึ้นสีแดงระรื้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

           “กูบอกให้เปิด!!!!!!”

   เสียงคำรามดังลั่นจนพี่แสงที่ยืนคุมเชิงอยู่หันมามองปาดเหงื่อบนใบหน้าเข้ารูปนั้นอย่างคิดหนัก เขารู้ดีว่าแรงของเด็กคนนี้เยอะผิดกับเด็กทั่วไปแค่ไหนไหนจะอาการโมโหเลือดขึ้นหน้าอีก เมื่อกี้ที่เขาเห็นเด็กปิศาจลุกขึ้นมายืนท่าทางร้อนรนและจัดหนุมารถวายแหวนกับหักงวงไอยราเข้าไป ยังไม่จอดดีเจ้าไม้เลยวิรุฬหกกลับเข้าหน้าไปอีกหนึ่งที ถึงกรรมการฝ่ายนั้นจะเข้าข้างอีกฝ่ายแค่ไหนก็ต้องรีบหยุดเกมประกาศชนะน็อกซะก่อนที่คู่ชกจะตายเอาจริง ๆ 

   “ไอ้ไม้เบามือ!”

   ลุงทิมตะโกนเตือนสติลูกไม้พลางจัดแม่ไม้มวยไทยใส่ลูกน้อยซื่อบื้อกว่า 10 คนร่วงไปเป็นราย ๆ แสงที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่เลยต้องวิ่งเข้ามาล็อกแกะมือที่แข็งเหมือนคีมเหล็กของลูกไม้ แต่ลูกไม้กลับไม่ยอมปล่อยให้ตัวร้ายอย่างนายดำรงหลุดออกไปเพียงแต่อนุญาตให้ดิ้นทุรนทุรายต่อไปตาเริ่มถลนและลิ้นเริ่มจุปากเป็นอะไรที่ไม่น่าดูเสียเท่าไหร่นัก

   ภาพของพ่อแม่แท้ ๆ ของเด็กน้อยในกองเพลิงบ้านที่ลุกท้วมไปด้วยเปลวไฟ เสียงร้องไห้ขอชีวิตเขาจากพ่อและแม่ เสียงของพ่อโทนที่สะอึกสะอื้นด้วยความกลัว ทำให้เขาหน้ามืดตามัวไปเสียแล้ว

   “ไอ้ไม้ ถ้ามึงฆ่ามันไม่ได้นะโว้ยย ยยยย!” เสียงนั้นไม่อาจทำให้เด็กชายหยุดการกระทำนั้นลง เพราะสิ่งต่างๆมันประเดประดังอยู่ในโสตประสาทบดบังความจริงไปเสียแล้ว

   “กูจะฆ่ามึง” เสียงแหบห้าวดังลอดไรฟันออกมา ตาดุจ้องเขม็งไปในดวงตาที่เริ่มถลนออกมาจากเป้า เสียงพี่แสงกับลุงคิมไม่อาจเรียกสตินั้นกลับคืนมา

   “โทษทีนะ ข้าไม่มีทางเลือก”

ผลั๊ว!!!!

           หัวเด็กหนุ่มคะมำลงมาตามแรงกำปั้นของลุงคิมที่ฟาดลงมาที่ท้ายทอยอย่างแรง ชะงักปล่อยมือออกจากคอหอยของนายดำรงที่ทำท่าเหมือนจะตายให้ได้ ตาขวางเริ่มอ่อนลง แต่อารมณ์โมโหยังรุนแรงอยู่ มองนายดำรงที่ล่นตัวลงไปนั่งอยู่กับพื้นไอคอกแคก ๆ เหมือนคนจะขาดใจอย่างแค้นเคือง พลางเหลือบไปมองเห็นกุญแจดอกเล็ก ๆ หล่นอยู่ข้างตัวก้มลงไปเก็บและจัดการไขออกมาอย่างไม่รีรอ ในขณะที่พี่แสงและลุงคิมคว้าตัวนายดำรงขึ้นมาทรงตัวอยู่ข้าง ๆ อย่างอิดโรย

แอ๊ดดดดดด

           เสียงประตูเสียดสีกันทำให้เกิดเสียงดัง แสงจากด้านนอกสาดส่องทำให้ห้องอับชื้นที่แสนมืดมิดดวงตาพร่ามัวของลูกไม้ช่องเขม็งไปทั่วห้องในใจกระตุกนึกคิดถึงหน้าพ่อโทนแสนรักที่ป่านนี้เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่มีทางรู้ได้ ก่อนจะสังเกตเห็นก้อนเล็กที่นอนขดอยู่ริมห้องเสียงครางน้อย ๆ ดังเป็นระยะเหมือนคนไข้ขึ้น ทำให้ลูกไม้เบิ่งตากว้างถลาเข้าไปรวบร่างน้อยมากอดไว้ในอ้อมอกแกร่ง

           “พะ พ่อโทน”

   ทันทีที่เห็นร่างโชกเลือดของพ่อโทนอย่างชัดเจนแววตาที่เคยอ่อนโยนในแวบแรกกลับไฟลุกฮึดฮัดขึ้นมาอีกครั้ง เด็กชายวางพ่อตัวเองลงบนพื้นเย็นที่เดิมเบา ๆ กระซิบคำบอกรักพร้อมขอร้องให้อดทนไว้ ก่อนจะลุกขึ้นก้าวสามขุมเข้ามาหานายดำรงที่ตาเหลือกเมื่อเห็นลูกไม้ข้าวเข้าไปหาถอยร่นไปติดกับกระจกนิรภัยบานใหญ่ที่ใช้สังเกตการณ์ไปทั่วสนามได้

   “ไอ้แสงมึงดูมันไว้กูจะไปดูไอ้โทน” ลุงทิมก็ตะโกนขึ้นก่อนจะวิ่งกระโจนเข้าไปในห้องดูอาการของร่างน้อยที่รวยรินอยู่ด้านใน โดยมีร่างสูงโปร่งยืนมองอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เหตุการณ์เหมือนในหนังแบบนี้เขาแทบจะทำตัวไม่ถูก

           “มะ มะ มึงอย่าเข้ามานะไอ้ปิศาจ” แสงปาดเหงื่อที่ไหลบนใบหน้าหันไปมองอีกด้านก่อนจะสบถออกมาในลำคอเมื่อเห็นเด็กชายกำลังจะทำการประทุษร้ายเหยื่อตรงหน้คล้ายภาพหมาป่าตัวร้ายกำลังจ้องกวางแก่ที่หมดท่าแล้วสิ้น

           “พ่อกู แม่กู พวกมึงก็ฆ่า นี้ดวงใจกู มึงก็จะเอาอะไรกับกูนักหนา เอาชีวิตกูด้วยไหม เอาไหม!!!!!!!!” เสียงตะคอกนั้นทำให้นายดำรงตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า วิ่งหลบกรงเล็บมาที่โต๊ะที่อยู่ใกล้ ๆ โดยมีสายตาหมาป่าหนุ่มช่องมองด้วยความสมเพชและเกลียดชัง เปิดลิ้นชักอย่างรนราน

           “เฮ้ย ไอ้ไม้ระวัง!!!!”พี่แสงตะโกนลั่นเตือนลูกไม้ที่กำลังตกเป็นเป้าขอกล้องลำปืนสั้นสีดำ ลูกไม้จ้องมองกระบอกปืนตรงหน้า ก่อนจะแสยะยิ้มและพูดออกมาเบาๆ

           “กูเห็นมึงเล็งแล้วเล็งอีกเมื่อไหร่จะยิงสักที”

           “อย่าท้ากูนะไอ้เด็กเลว!”

           “ก็เอาสิวะ ยิงให้ตรงกลางหัวใจกู !!!! ใจมึงไม่กล้าพอและทำเป็นกร่าง!!!!! ” ลูกไม้ตะโกนลั่นจนปืนในมือของนายดำรงสั่นไปมา

พรึบ!!!

ปังๆๆๆ

           “อ๊ากกกกกกกก”

   เสียงโหยหวนนั้นดังขึ้นหลังจากสิ้นเสียงปืนที่ดังสะท้านไปหมดในความมืด ที่ไฟทั้งห้องถูกปิดลง ลูกไม้และเจ้าแสงหมอบลงต่ำเช่นเดียวกับลุงทิมที่อุ้มประคองร่างน้อยของพ่อโทนอยู่ต้องพากันชุลมุน ก้มหลบเอาตัวบังร่างน้อยเอาไว้ กลัวจะโดนลูกหลงจากลูกปืนเสียอีก

พรึบ!

           ไฟในห้องสว่างขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของปู่ทายที่ซัดนายดำรงจนหมอบอยู่ที่พื้นด้วยแม่ไม้มวยไทยชั้นครู ยืนตระหง่านคร่อมร่างศัตรูคู่แค้นของตัวเองอยู่ เขาปรายตามองต่ำร่างที่ เอ่อเต็มไปด้วยเลือดจากแผลแตกบนใบหน้านั้นอย่างเย็นชา

           “อะ อะ ไอ้ทาย มึงมาได้ยังไง”

   เสียงกระท่อนกระแท่นของนายดำรงดังขึ้นใต้ฝ่าเท้าที่เหยียบกระทืบซ้ำลงมาอีกอั๊กใหญ่ ๆ จนกระอักเลือดออกมา ลูกไม้ยืนขึ้นมองมาที่ปู่ตัวเองอย่างสงสัยไม่ต่างจากพี่แสบและลุงคิมที่อุ้มร่างอ่อนปวกเปียกของพ่อโทนไว้ เสียงดังเมื่อสักครู่เหมือนเตือนสติเด็กชายได้ จึงรีบเข้าไปอุ้มร่างน้อยนั้นไว้เสียเอง ไม่วายตรวจเช็คร่างกายของพ่อโทนและก็ต้องน้ำตาซึมเมื่อเห็นร่างที่บอบช้ำอย่างหนัก แววตาอ่อนโยนลงด้วยความสงสารสุดหัวใจ

           “มะ หมอ ผมจะพาพ่อโทนไปหาหมอ”

           “ข้าเรียกมาแล้ว” ลุงจันทร์พร้อมพี่เมฆและตำรวจ รวมทั้งหน่วยแพทย์ พยาบาลกว่า 10 นาย กรูกันเข้ามาในห้อง ลูกไม้ไม่สนใจใครอีกต่อไป หันมามองปู่ทายที่ยืนมองตนอยู่ แค่นั้นเด็กชายก็เชื่อได้แล้วว่าคนบาปจะต้องถูกลงโทษ เขารีบอุ้มพาพ่อโทนลงมาบันไดมาทันที โดยมีพี่แสงและพี่เมฆวิ่งตามมาตามคำสั่งของปู่ทายที่ตะโกนบอก

           “คราวนี้ก็เหลือมึงกับกู ไอ้ดำรง”

           “อั๊ก” ปู่ทายกระชากคอเสื้อของนายดำรงขึ้นมาดันเข้าชิดกำแพงเสียงดังตึงตำรวจ

           “คิดว่าลูกน้องที่มึงส่งไปป่วนกูจะทำให้กูหลงกลหรือไง ไอ้สารเลว” ปู่ทายกัดฟันแน่น

   เขาเองก็หงุดหงิดไม่แพ้กันที่เห็นสภาพลูกชายเพียงคนเดียวของตัวเอง และวิธีการหมาลอบกัดที่มีแต่หมาทำกันอย่างนี้ เขาเองก็แทบแย่ที่กว่าจะมาถึงที่นี้ต้องผ่านไอ้ลูกน้องกระจอกที่ชอบมาขวางหูขวางตาให้รำคาญใจตลอดเส้นและมักจะทำให้เขาสับสนเส้นทางจนต้องเบี่ยงไปมา ถ้าไม่ชำนาญจริงป่านนี้เขาอาจจะออกนอกจังหวัดและมาไม่ทันแล้วก็ได้

           “มึงเอาลูกหลานกูมาเกี่ยวข้องแบบนี้ อย่าหวังเลยว่ากูจะปล่อยมึงและค่ายมึง จำใส่กะลาหัวไว้ ถ้ามึงออกมาจากคุกและไม่กลับตัวกลับใจ กูจะฆ่ามึงให้ตาย” ประโยคหลังปู่ทายกระซิบข้างหูของนายดำรงให้ได้ยินเพียงสองคน ก่อนที่นายดำรงจะถูกควบคุมตัวออกไปทันทีด้วยร่างกายที่ช้ำในอย่างหนัก

           “ข้าว่ามึงต้องจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาดนะไอ้ทาย”ลุงจันทร์พูดพร้อมกับผิวปากและคว้าเอาบุหรี่ยัดไส้ของแกขึ้นมาสูบแก้เครียด

   ร่างสูงตระหง่านของครูมวยถอนหายใจเฮือกใหญ่เหลือบมองไปด้านล่างของสนามผ่านกระจกนิรภัยบานใหญ่ ร่างเล็กน่ารักอ่อนช้อยลุกรี้ลุกลน อยู่บริเวณที่นั่งหน้าเวทีพร้อมเพื่อนของพ่อโทน แววตาหวานซึ้งนั้นแสดงถึงความเป็นห่วงจนมีหยาดน้ำใส ๆ คลอที่ลูกตากลมวาวนั้น แก้มแดง ๆ นั้นทำให้เขาใจอ่อนซะเหลือเกิน





//////////



ลูกไม้ของพี่ กราวใจเหลือเกินลู๊ก

อัพแล้วขอกำลังใจหน่อยน้า <3'
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 11 ทวงคืน} 17/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 17-04-2020 22:09:28
 o18 :fire: :fire: :fire: :fire:  อ่านคันมือมากกก
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 12 หึงเก่ง} 18/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 18-04-2020 11:14:02


 :mew4:
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 12 หึงเก่ง



-โทน- 



      อู้ย … เจ็บๆๆๆๆ ทำไมหมอล้างแผลมือหนักจังเวลาล้างแผลให้หมามันจะเจ็บแบบนี้ไหมนะ ผ่านมาตั้งสองวันแล้ว ร่างกายยังไม่เข้าที่เลยให้ตายสิ มันเล่นซะผมเลือดแทบหมดตัว ดีนะมีผู้ใหญ่ใจดีอย่างตาลุงพ่อทายของผมที่เลือดเหมือนกันเดะ ๆ มาต่อชีวิตให้ลูกนกลูกกาอย่างผมให้ได้มีชีวิตต่อ ฮิฮิ

   ผมตื่นมาตั้งแต่วันแรกและที่แขนก็ใส่เผือกก็ก็ใส่เผือกแถมหัวก็มีแต่แผล เหมือนคนพิการเลยละ ตื่นมาเจอหน้าตาหมาหง่อยอย่างเจ้าไม้ก็นึกสนุกเลยแกล้งอ้อนซะ อบอุ่น คุ้มค่ากับสิ่งที่ไปเจอมามาก ไอ้หมาหง่อย น่ารักตามใจผมทุกอย่างด้วย ป้อนข้าวป้อนน้ำ โอ๋ ผมซะน่ารักน่าชัง ความจริงก็ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้นหรอกมันตึง ๆ อยู่แล้วจะเจ็บก็แค่ตอนทำแผลที่หมอมือหนักมาก ก็คนมันอยากอ้อนง่ะ

   พ่อผมเล่าให้ฟังว่าไอ้พวกสารเลวเข้าซังเตกันไปหมดแล้วแถมเด็กคนนั้นที่ชกกับไอ้ลูกชายผมก็โดนห่ามเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวกันยาว ๆ เพราะเสพยาเกินขนาดเกือบช็อกตายคาเวที ดีที่หมอล้างท้องทัน โชคดีไม่ตายไม่งั้นลูกผมต้องมีประวัติในการชกมวยไม่ดีแน่ ๆ ที่น่าสนุกสนานและดีใจที่สุดคือค่ายมวยที่เหมือนซ่องโจรถูกยุบไปทันที คณะกรรมการชุดนั้นก็ถูกสอบสวนกันยาวๆ เห็นพ่อบอกมีถูกไล่ออกด้วย สืบมาจากครั้งที่มาดักตีผมแล้วที่พ่อผมเอาเรื่องถึงที่สุดและไม่คิดว่าพวกมันจะรอดมาได้อีก เฮ้อะ! อย่ามาแก้แค้นที่หลังนะรอบนี้ผมสู้ๆจริงๆนะเฟ้ยยยยยยยยยยยย

   ส่วนเพื่อนผมก็ผลัดกันมาเยี่ยมไอ้ทิวกับไอ้เบสเลื่อนกับเชียงใหม่มาป่วนกันแทบไม่ได้หลับได้นอน จะมีบ่อยก็ไอ้ป๊อกนี้แหละที่บ่อยที่สุด ไอ้เกื้อก็งานยุ่งผมไม่อยู่ด้วยแล้วเลยต้องทำหนักเข้าไปอีกแต่ก็มาเยี่ยมผมไม่เว้นแต่ละวัน

   “พ่อโทน ไม่เหม่อนะครับ กินชมพู่ก่อนนะ”

   “ตัวร้าย”

   “อะไรครับ?”

   “ฮึฮึ” ผมไม่ตอบแต่ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มไอ้เด็กตัวใหญ่ที่ทำหน้ามู่สงสัยอยู่ เป็นห่วงมากเกินไปแล้วนะเนี้ย ดูดิหน้าแดงเลย

   พี่แสงแอบเล่าให้ผมฟังหมดแล้ววีรกรรมเด็ด ๆ ของเจ้าลูกชายตัวแสบของผม เห็นบอกล่อซะนายดำรงตาเหลือกเลย สมน้ำหน้าเล่นกับใครไม่เล่นมาเล่นกับไอ้เด็กนี้ บอกเลยว่าถ้าไม่มีคนห้ามไอ้เด็กนี้ฆ่าคนได้แน่นอน แต่ในนิสัยปกติเจ้าหมาตัวใหญ่ของผมน่ารักออก ก็ดันมีคนไปกระตุกหนวดหมาเองช่วยไม่ได้นะ แบร่!

   ฉันก็รักของฉันเงียบๆ ฮิฮิ

   “อ่ะ จะทำอะไรวะ” ผมดันหน้าไอ้เด็กแก่แดดออกให้ห่างตัว ไอ้บ้านี้อยู่ ๆ ก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ บ้าเปล่าเนี้ย บุ้ยยยยยยย

   “ผมขอหอมบ้าง” ตลก บุ้นนนนนน ไม่ให้หอมหรอก เขิน ฮิฮิ อย่ามองงั้นดิ ผมไม่รักหรอกไอ้เด็กนี้ ผมไม่รักเลยจริงๆนะ

   “อยากโดนกระทืบหรอ”

           “เอาไว้ถอดเฝือกก่อนนะครับแล้วอยากจะทำอะไรก็ทำ โอ๊ะ ล้มเฉยเลยยยย”

           “ลุกไปเลย!” ผมตะโกนแว๊ด เมื่อไอ้เด็กหน้ามึนแกล้งล้มลงมาทับผม แต่ไม่ลงแรงมากเพราะพุงผมยังช้ำอยู่ ไอ้บ้าเอ้ย ชกกูซะน่วมไปทั้งตัวเลยนะไอ้พวกเวรตะไล เจ็บจริงเจ็บจัง น่าโมโห

           “ขอกอดหน่อยนะครับ… ผมใจหายมากเลยนะ ผมโกรธมาก ผมโมโหมาก … เป็นห่วงที่สุด แทบบ้า …” ง่ะ … ดราม่าไปอี๊ก แต่เอาจริงๆ ผมก็กลัวแทบบ้าเหมือนกัน กลัวว่าจะไม่ได้เจอเด็กคนนี้อีก ผมกลัวจริงๆ และผมดีใจมากที่ลืมตาขึ้นมา มองเห็นหน้าไอ้เด็กตัวร้ายคนนี้ก่อนเป็นคนแรก

           

           “ผมรักพ่อโทน พ่อโทนเป็นดวงใจของผม …”

   ผมหอมลงกระหม่อมหอมๆของไอ้เด็กนี้หนึ่งทีและกอดเอาไว้แน่น ถึงมันจะโอบแล้วไม่รอบก็ตาม ตัวใหญ่ขึ้นเยอะเลย น๊า ตอนเจอกันแรกๆยังจิ๋วเดียวอยู่เลย

   หึ ไม่รักนิดเลย … ผมไม่รักสักนิด จริงๆ เด้อ

   “พ่อโทนรักผมบ้างรึยัง”

   “หึ ไม่อะ”

   “จริงหรอครับ”

   “… ไม่รู้สิ”

   “แต่ผมรักพ่อโทนมากๆเลยนะครับ”

   “อย่ามาทำอ้อนเลยไอ้เด็กตัวร้าย”

   .

.

.



   “พ่อโทน”

   “อะไร” ผมถอดเข็มเล็มโตจากบั้นท้ายของน้องศรีจันทร์วัวบ้านลุงแอ๊ดที่ป่วยเพราะกล้ามเนื้ออ่อนแรง ทำให้น้องเดินไม่ได้จนผมต้องมาฉีดยาบำรุงประจำให้น้อง โดยมีเจ้าไม้ขอโดดซ้อมตามมาด้วยในวันหยุดเรียน

   “พ่อโทน”

   “อารายยยยยยย” ผมลูบหัวน้องศรีจันทร์ก่อนจะเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมตัวกลับร้านไปช่วยไอ้เกื้อจัดของต่อ

   รถเพิ่งมาส่งยาที่สั่งจากกรุงเทพมาเมื่อเช้าของเยอะ ไอ้เกื้อเลยต้องลางานที่บริษัทอยู่จัดของ ก็ไม่รู้นะว่าใช่เหตุผลนั้นจริง ๆ หรือเปล่า แต่ผมว่าเดี๋ยวนี้ไอ้เกื้อมีอะไรแปลก ๆ กำลังทำตัวเป็นโคนันอยู่ อิอิ เดี๋ยวมันเผลอนะจะแอบจิ๊กโทรศัพท์มาดูรับรองกระจ่างแจ่มแมวเมี้ยว

   หลังจากวันนั้นที่ผมโดนสะกำซะเสียฟอร์ม ไป 1 เดือนพอแผลก็เริ่มดีขึ้นจนผมก็เริ่มออกมาทำงานทำการได้บ้าง ไอ้เกื้อนี้แทบร้องไห้ที่ผมหายที่เพราะตอนผมเดี้ยงมันต้องลงพื้นที่เองคนเดียวตลอด มีบ้างที่ไอ้โทนไปเป็นเพื่อนแต่ก็ไม่บ่อยนัก แต่ในเวลานั้นพ่อผมก็มักจะพามันไปโน้นไปนี้เสียเอง ได้ทีอู้ใหญ่เลยนะตาแก่ แบร่

   “พ่อโทน”

   “เดี๋ยวกูก็ซัดปากซะนี้เรียกและไม่พูด” ผมหันไปชูกำปั้นใส่ไอ้เด็กหน้าระรื้นที่ทำเหมือนเป็นเรื่องสนุกที่ได้ยั่วอารมณ์ผมเล่น หึ เดี๋ยวกูมีฆ่าเด็กแน่งานนี้

   “ขอหอมหน่อย”

   “ตลก หน้ามันแผล็บขนาดนี้ถ้าเป็นสิวขึ้นมาจะไม่หายามาทาให้”ผมตบเข้าที่แก้มมัน ๆ ของไอ้เด็กกำลังโต

   “แต่แก้มพ่อโทนแดงน่าหอม”

   “หอมหมัดกูก่อนแล้วกัน” ผมต่อยที่แก้มมันเบาๆ หึ

   ตอนเด็กมันเคยบอกว่าอยากตีมัน ผมก็ไม่ได้ตีนะ ผมแค่ต่อย หึ ชอบแกล้งผมนักนะเดี๋ยวนี้ เห็นไม่ด่าไม่ว่านี้เอาใหญ่ เดี๋ยวหอมเดี๋ยวกอด เป็นลูกติดพ่อเลย ไม่หายใครเขาบ้างหรือไงวะ ถึงกูจะฟินแค่ไหน แต่ก็เพื่ออนาคตที่มึงจะไม่เป็นลูกติดพ่อนะไอ้ไม้

   

    ถ้ามึงอยู่ในร่างเด็กตลอดไปกูจะไม่ว่ามึงสักคำ หึ

   “ไปนะลุง เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่ บ๊ายบายน้องศรีจันทร์”

   ลุงแกยกเหล้าขาวโชว์ไปหนึ่งทีและลงไปนอนแผ่กลางแคร่ นี้ก็เมาตลอดเลยเน้อ เอาเถอะ บ้านนอกคอกนานอกจากทำไร่ทำนาแล้วระหว่างวันเค้าก็ว่างกัน อะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะ ไม่ไปลำบากใครเขาก็พอ

   “พ่อโทน” ผมจิ๊ปากกระโดดขึ้นซ้อนรถไอ้เด็กบ้าที่เรียกชื่อเยอะจนน่ารำคาญ เรียกอะไรนักหนา เรียกและก็ไม่พูด ไปติดเชื้อกวนตีนจากใครมาว่ะ

   “ถ้าผมรวย ในวันข้างหน้า ผมจะซื้อบ้านพักตากอากาศในทุกจังหวัดเลย ให้พ่อโทนไปพักในวันที่เหนื่อย ๆ ดีไหมครับ”

   “เว่อร์ นักมวยต๊อกต๋อยอย่างมึงเนี้ยนะ” ผมไม่ได้แอบยิ้มนะ ผมขำในความตลกของไอ้เด็กนี้ หึหึ แค่อยู่กับกูทุกวันก็พอ มึงนั้นแหละคือสิ่งที่กูต้องการ รู้ปะ ห๊ะ ห๊ะ ห๊ะ  มันเงียบไม่ตอบแต่ปั่นตามคันนาไปเรื่อย ๆ

           “พ่อโทน”

           “เรียกอะไรนักหนาถ้าพูดอีกทีกูทุบมึงจริง ๆ เลยนะ”พอปั่นมาถึงริมบ่อเก็บน้ำของจังหวัด ไอ้เด็กนี้ก็เริ่มกวนตีนขึ้นอีกรอบ ผมชักเดือดจริงๆแล้วนะ

           “หึหึ มีผู้หญิง ม. 6 ทำขนมผิงมาให้ผม พ่อโทนอยากกินไหมผมถือมาด้วย”

           “กิน!!!!!”

   ไอ้เด็กนี้แก่แดดนักนะ หมั่นไส้โว้ยยยยยยยยยยยยยยย!!!! หึ กูงอน ต้มหัวปลาของกูมึงไม่อร่อยแล้วใช่ไหมละผมกระโดดลงจากรถมานั่งหน้างอที่ริมสระร่มรื่นไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่ ขึ้นอย่างกับป่าอเมซ่อน ไอ้เด็กบ้า มาบอกกูทำไม ไม่บอกกูก็ไม่รู้ปะ มาบอกแบบนี้กูน้อยใจนะ ไม่ใช่สิ กูงอน กูงอน!!!!!

           “งอนเลย” ไอ้เด็กบ้าเดินหน้าตาระรื้นมานั่งข้างผมพร้อมถุงอะไรก็ไม่รู้ ดูน่ารักแอ๊บแบ๊ว กูแบ๊วกว่า!

           “ไปไกล ๆ ตีนและส่งขนมมากูจะโปรยให้ปลาแดก” ผมว่าและหันตัวหนีมาอีกข้าง โธ่ ไอ้มดเวรมาทำรังอะไรแถวที่กูนั่งวะ จังไรจริงๆ กัดกูจนน่องแดงหมดแล้วมั้ง …

           ผมลุกขึ้นยืนอย่างถือมาดเดินไปนั่งที่โต๊ะไม้ผุ ๆ ที่ถูกสร้างไว้ให้คนมานั่งตกปลาหว่านแห่แถวนี้ แต่หลัง ๆ มีการอนุรักษ์ไม่ให้ตกปลากันเลยไม่มีใครมาที่นี้นัก แต่ก็มีพวกแอบมาตกกันบ้างนั้นแหละตามภาษากฎมีไว้ต้องแหก

           ไอ้ไม้เดินมานั่งข้างผม หึ … ก่อนจะวางถุงขนมบ้านั้นลงบนตักผมเบา ๆ ผมคว้ามาก่อนจะเปิดดู โอ้ยยยยยยยยยย โบว์สีชมพูด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้กูเอาหัวปลาผูกริบบิ้นให้ดีปะ

           “เขาชื่อเมย์ครับ อยู่ ม.6 หน้าตาก็น่ารักนะ ”

เคว้ง จ่อม …

   “พ่อโทน!!!!” มันร้องสั่นเมื่อเห็นขนมมันหล่นจ่อมลงไปอยู่ในน้ำ หึ อยากแดกนัก พรุ่งนี้ก็จะทำให้กระปุงใหญ่ ๆ และแดกให้หมดนะ ไม่หมดกูจะยีหัวให้

   “เรียกกูหาพ่อมึงหรอ!!!! ห่วงมากขนาดนั้นก็ลงเป็นเก็บเลย แม่งไอ้เด็กเหี้ย!!!”ผมตะโกนใส่หน้าไอ้เด็กบ้า ไม่ใช่หน้ามันสิคางมันต่างหากหน้าหมั่นไส้ สูงเข้าไปดิ โอ้ย หงุดหงิด T^T   เดี๋ยวนะ แล้วนี้กูเป็นอะไร เดือดร้อนอะไรนักหนา …

   “ผมไม่ได้เสียดายขนม แต่พ่อโทนทิ้งไปแบบนั้นมีสกปรกน้ำ เดี๋ยวปลากินพลาสติกเข้าไปทำยังไง”

   “… ถ้ามันโง่ขนาดนั้นก็ปล่อยมันไป” ผมว่าและสะบัดหน้าหนี ไอ้ไม้วิ่งหัวเราะไปหยิบไม้ยาวที่วางพิงอยู่มาตักถุงขนมขึ้นมา … แม้ม

   ผมยืนกอดอกมองไอ้ไม้ที่เดินเอาไปขนมไปทิ้งขยะก่อนจะเดินมาตรงหน้าผมและเหยียดยิ้มเอามือมาจับมือผมไปกุมไว้ แต่กูสะบัดออก โทษที กูงอน กูไม่มีอารมณ์อย่ามาจับตัว  ฮึ น้ำตากูจะไหลอยู่แล้วมึงไม่เคยสังเกตหรอก กูไม่รู้หรอกว่ากูเป็นอะไร แต่กูไม่ชอบ กูรู้ดีว่ากูไม่ชอบสิ่งที่มึงทำ ไอ้ตัวร้าย กูเกลียดสิ่งที่มึงทำวันนี้มาก

   “ผมว่าวันนี้พ่อโทนเหนื่อยนะครับ กลับบ้านเลยไหม”

   “ไม่ พากูไปส่งร้านและจะไปไหนก็ไป หรือมึงจะไปหาสาวและปล่อยกูทิ้งไว้ที่นี้ก็ตามใจ” ผมว่าก่อนจะเดินเชิดไปยืนข้าง ๆ รถมอเตอร์ไซค์

    โชคดีที่ไอ้เด็กนั้นไม่เห็นน้ำตากูที่หยดมาเมื่อกี้ โอ้ยยยยยยยย กูเป็นอะไรนักหนาเรื่องแค่ลูกจะมีเมียแค่เนี้ย เออ กูไม่ชอบที่เมียลูก ใช่ ๆ นั้นแหละทำให้กูน้อยใจ … แต่ไอ้ไม้มันก็ไม่ผิดไม่ใช่หรอวะ ไม่สิมันแค่ 18 เอง!!! นั้นแหละที่กูไม่ชอบ!!!

   “งอนผมเรื่องเมย์หรือครับ”

   “เออ เลิกพูดและพากูไปส่งร้าน” ผมตอบไอ้เด็กตัวร้ายไม่มองแม้แต่หน้า

   ไอ้ไม้ไม่พูดอะไรอีกเดินไปคร่อมรถและสตาร์ทเครื่องเตรียมออก กูไม่พูดอะไรทั้งนั้นนั่งหันหน้ามาอีกด้านเอาหลังชนมัน หึ ไม่อยากเห็นหน้าแม้แต่ในกระจกหรอก อยากจะทำอะไรก็ทำ ต่อไปนี้ผมจะไม่สนใจอีกแล้ว

เคร้ง

           “แดกซะ”

   ไอ้ไม้และทุกคนในวงหน้าเอ๋อเมื่อผมวางหม้อต้นยำหัวปลาลงกลางวงอาหารเย็นที่มีกับข้าวอย่างอื่นวางอยู่ หึ กูผูกริบบิ้นให้ด้วยนะ น่ารักฟรุ้งฟริ้งไหมละมึง ผมก็นั่งลงริมแคร่ไม้โดยมีไอ้พวกหมาน้อยกับแม่ของพวกมันกำลังวิ่งเล่นไปมากันอย่างสนุกสนาน พ่อผมสบถด่าอะไรออกมาสักคำ พี่เมฆจะเอื้อมเอามือไปหยิบออก แต่ผมเอาช้อนตีมือไว้ก่อน

   “เอาออกทำไม น่ารักออก เนอะ!” ผมหันไปหาไอ้ไม้ที่จ้องผมอยู่ก่อนแล้ว คิดว่าตาคมกริบของมึงจะทำอะไรกูได้หรอ อยากสู้ตากับกูใช่ไหม ได้เลย!!!

   “เอ่อ ลุง ผมว่าบรรยากาศมันไม่ค่อยดีนะ ย้ายไปกินในบ้านกันไหม”

   “นั่งลงพี่แสง”

   “ครับ! ท่านประมุขพรรค!!!” ผมชูหมัดให้ไอ้พี่แสงที่กวนไม่เลือกเวลา จนพ่อผมจิ๊ปากและเอื้อมมือไปดึงริบบิ้นออก ผมมองตาขวางแต่ก็ไม่สนใจ นี้ใช้สิทธิความเป็นพ่อช่ะ!!!!!

   “แดกข้าวหม้อเดียวกัน ยังจะทะเลาะกันอีก เอ๊า เอาไปผูกหัวลูกมึงปะ ไอ้ห่ากับข้าวกับปลาทำเป็นของเล่น” พ่อบ่นๆๆๆ และก็โยนริบบิ้นมาทางผมก่อนจะตักข้าวกินไม่สนใจผมอีก

   จนไอ้โทนหัวร้อนต้องมุ้ยปาก หันไปค้อนไอ้ไม้ที่ยังนั่งจ้องผมอยู่ก่อนจะจ้วงเอาข้าวเข้าปาก ฮึ น่าโมโหจริง ๆ ทำยังไงก็ไม่หายโมโห เหมือนโดนแย่งของรักเป็นกอลัมเลยอ่ะ แสดดดดดดเอ้ยยยย  จ้องแบบนี้จะโกรธกูกลับใช่ไหม ได้เลยอยากจะเล่นสงครามประสาทกันก็ได้เลย ไอ้เรื่องตีมึนนี้ขอให้บอกเถอะ หึ เดี๋ยวก่อน กูอุตส่าห์จะไม่ทำแล้วนะ เดี๋ยวกูเหลาไม้เรียวฟาดแม้ม !

   

เพี๊ยะ

   “ยุงเยอะนะจังวันนี้ เดี๋ยวผมไปเอายากันยุงดีกว่า ไอ้ไม้มากับข้าหน่อย” พี่เมฆตบยุงที่แขนตัวเองก่อนจะพูดและเดินไปไม่วายมาควักมือเสียงไอ้เด็กเปรตไปด้วย หึ

    “เดี๋ยวข้าไปด้วย ข้ากลัวเอ็งหาไม่เจอ”แล้วพี่แสงก็ตามไปอีกคน สุมหัวกันเข้าไปนะ เอาเข้าไป!!!

   “เอ็งเป็นอะไร ทำเหมือนเมียจับได้ว่าผัวมีชู้นั้นแหละ” ผมวางช้อนลงเงยหน้ามองลุงจันทร์ที่กระดกเหล้าพลางกินข้าวไปด้วย เมื่อกี้ลุงว่าอะไรนะ

   

ผั๊วะ

           โอ้ย ทำไมต้องตบหัวกันด้วย ผมหันไปมองพ่อที่เท้าเอวมองมาที่ผมอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะผวาโยกหัวหลบเพราะตาลุงนี้จะเขกหัวผมอีกแล้ว ทำไมต้องรังแกผมกันทุกคนไม่เข้าใจ ตั้งแต่ลูกยันพ่อเนี้ย!!!!

   “ซ่าไอ้ห่า กับผู้หลักผู้ใหญ่”  ผมก้มหน้าลงกินข้าวต่อ ไม่มานั่งร้องไห้โวยวายให้เสียเวลา ฮึ ป่านนี้พวกนั้นคงไปนินทาผมหมดท่าแล้วใช่ไหมล่ะ หึ น่าน้อยใจนักเชียว

   “กินข้าวเคล้าน้ำตาแล้วมึง” พ่อผมเอามือมาวางบนหัว เมื่อกี้ยังเขกหัวอยู่เลย ไม่ต้องมาปลอบกันเลยนะ

   “ยากันยุงมาแล้วววววว” สิ้นเสียงพี่แสงผมรีบเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองและรีบกินข้าวเข้าไปทันที

   รู้สึกว่าที่พี่เมฆถูกสลับที่กับไอ้เด็กบ้าด้วย แต่ผมไม่สนใจ ไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า เนื้อหมูในผัดกระเพราถูกตักมาไว้ในจานของผม ผมตักไปไว้ข้างจานอย่างไม่สนใจ จากนั้นทั้งวงเหล้าก็เงียบลงมีแต่เสียงลุง ๆ เขาคุยกันคลอไปกับเสียงช้อนกระทบกันจานเบาๆ 

   พอกินข้าวเสร็จผมก็รีบวิ่งขึ้นมาบนห้องทันที ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้ ยังไม่ทันจะไปออกจากห้องเสียงเปิดประตูห้องก็ดังขึ้น หึ … ไอ้เด็กบ้าจอมรังควาน

   “จะไปไหนครับ”

   “ไปตรวจงาน” ผมว่าเสียงแข็งไม่สนใจจะเดินออกมาจากห้องแต่พอเดินผ่านมือหนาของไอ้เด็กบ้าก็รั้งเอาไว้ซะก่อน

   “เดี๋ยวผมไปด้วย ดึกแล้ว”

   “ไม่ต้อง ถ้ามันจะตายก็ปล่อยให้มันตายไป” ผมว่าและสะบัดมือไอ้เด็กบ้าทิ้ง แต่มันไม่ยอมรั้งผมอีกจนเป้ผมที่ไม่ได้รูดซิปหลุดออกจนเสื้อผ้าก็หล่นกระจัดกระจาย โอ้ยยยยย อย่างกับละครหลังข่าว ใครแม่งปล่อยคิววะ!!!

   “ไปตรวจงานทำไมต้องเอาเสื้อผ้าไปด้วยครับ” เสียงนั้นดูเรียบเฉยแต่ผมสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างได้

   “เสือก”

   “พ่อโทน!!!”

   “เรียกกูหาอะไรวะ!!! เอะอะเรียก เอะอะเรียก น่ารำคาญ!!!!” ผมตะโกนเสียงดังก่อนจะก้มลงเก็บเสื้อผ้าวิ่งออกมาจากห้องไม่สนใจแม่งอีก ไอ้ลูกหมาบ้าบอคอแตก กูเกลียดมึงแล้ว!

   “เฮ้ย ไปไหนวะ!”

   “ตรวจงาน!!!” ผมตอบกลับพ่อไป ก่อนจะขึ้นคร่อมรถจักรยานและขับออกมาไม่มองหน้าใครอีก หึ ไอ้เกื้อ มึงเป็นที่พึ่งของกูแล้วนะ

.

.

.


หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 12 หึงเก่ง} 18/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 18-04-2020 11:14:54

           “แล้วโทนก็เก็บเสื้อผ้ามาหาเกื้อ” ผมพยักหน้า กุมแก้วโกโก้อุ่นที่มันยื่นส่งมาให้

         ไอ้เกื้อไม่พูดอะไรอีก มันยิ้มหวานตามภาษามันและนั่งลงบนโซฟาชานบ้านที่เปิดโล่งรับลมยามค่ำคืน มองเห็นดาวน้อยใหญ่ระยิบระยับแต่น้อยกว่าทุกวันแถมฟ้าก็แดง ๆ ด้วย สงสัยฝนจะตก เฮ้อ ก็รู้ละว่าเหมือนเด็กง๊องแง๊งหนีออกจากบ้านเลย แต่ผมไม่อยากเจอ ไม่อยากคุย ไม่อยากมองหน้าไอ้เด็กบ้านั้นในคืนนี้อะ ผมโกรธ โกรธที่น่าจะสมควรโกรธ นี้ผมเป็นอะไร

   “เกื้อไม่เคยเห็นโทนเป็นแบบนี้อะ โทนโกรธก็จะหายเร็ว นี้เหมือนไม่ใช่โทน เป็นอะไรหรือเปล่า บอกเกื้อได้นะ” ไอ้เกื้อพูด ผมพยักหน้าแต่ไม่ได้ตอบอะไรมัน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนั้นแหละ มันแปลกๆ ตัวผมเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เกิดอะไรขึ้นวะ …

ครืดดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดด

   “ว่าไงไอ้ป๊อก” ผมกดรับสายหลังจากแน่ใจว่าเบอร์ที่โทรมาไม่ใช่เบอร์ของคนที่บ้านที่กระหน่ำโทรมากันเยอะ ยิ่งเบอร์ไอ้เด็กบ้านั้นนะ 100 กว่าสายไปแล้วมั่ง ขนาดคุยกับไอ้ป๊อกอยู่ยังมีสายซ้อนเลย

   “มึงอยู่ไหน” เสียงมันดูง่วงๆ

   “บ้านไอ้เกื้อ”

   “ไอ้ห่า ที่บ้านมึงตามหากันให้วุ่น โทรหากู 10 กว่าสาย กูนึกว่ามึงโดนจับตัวไปอีก มีเรื่องอะไรกันวะ”

   “มานี้เดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง ซื้อเหล้ามาด้วย แค่นี้แหละ” ผมกดวางสายไอ้ห่าป๊อก ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าต่อ … นี้กูเป็นอะไรนักหนา กูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน มีใครตอบได้บ้างไหม

   “ใครมาหรอโทน”

   “ไอ้ป๊อก วันนี้กูจะเมาให้หัวทิ่มเลย กูขอยืมบ้านมึงหน่อยนะ พรุ่งนี้กูเก็บให้”ผมหันไปพูดกับไอ้เกื้อมันทำหน้าลังเลก่อนจะพยักหน้าลงด้วยสีหน้าเป็นห่วง

   “… อือ แต่เหล้ามันไม่ดีนะ”

   “มันดีตอนที่กูอยากลืม … มึงอย่าห้ามกูเลยไอ้เกื้อ ขอกูสักวันกูเหนื่อย” ผมว่าและหลับตาลง รอเวลาที่ไอ้เกื้อจะเอาเหล้ามาให้ผมย้อมใจ เฮ้อ …

           “เอ๊า ชนนนนนนนนนนนนนนนนน”

เคร้ง!

   เสียงแก้วดังเคร้งขึ้นเป็นสัญญาณความเมาที่กำลังจะมาถึง ไอ้ป๊อกมาถึงในเวลาไม่ถึงชั่วโมงพร้อมเหล้ามิกเซอร์และกับแกลมพร้อมเรื่องแบบนี้ไอ้ป๊อกมันถนัดอยู่แล้ว ส่วนไอ้เกื้อนั่งอยู่ในวงเหมือนกันแต่ผมไม่อยากพามันเสียคนเลยให้ไอ้ลูกคุณหนูหน้าตาละอ่อนนั่งกินน้ำอัดลมไป

   “เสียดายที่ไอ้เบสกับไอ้ทิวไม่อยู่ ไม่งั้นมึงเอ้ย เมากันหัวทิ่มตั้งแต่แก้วแรก คิดยังไงชวนกูออกมาวะ แถมบ้าเกื้อเขาอีก ขอโทษนะครับที่ผมมารบกวน”

   “มะ มะ ไม่เป็นไรครับ ตามสบาย” ไอ้เกื้อหัวเราะหางเสียงก่อนจะมองผมที่กระดกเหล้าในแก้วจนหมดไปในชั่วพริบตา อย่าเอาเยี่ยงอย่างนะหนู ๆ เหล้ามันไม่ดีหรอก

   “บ้าววววววววว คุยกันบ้าง” ไอ้ป๊อกคว้าเอาแก้วที่หมดแล้วไปชงเหล้าต่อ ผมมองมันน้ำตาเริ่มคลอเบ้าหน่วง ๆ

   “แม่ง ไอ้เหี้ย” สิ้นเสียงน้ำตาเม็ดโป้งหล่นแหมะมากลางวงไอ้เกื้อตาโตเป็นไข่ห่านจ้องมาที่ผมแบบตื่นๆ แม่งเหี้ยมาก

   “เดี๋ยว แก้วเดียวมึงเมาแล้วหรอ”

   “กูไม่ได้เมา!” ผมว่าแล้วคว้าเอาแก้วของตัวเองมาซดเข้าไปอีกอึกใหญ่ เหล้ามันปาดคอดีจริง ๆ

   “ไอ้ป๊อก กูเป็นอะไรไม่รู้” ผมว่าและน้ำตาก็ไหลต่อ นี้กูไม่ได้เมานะ มันเป็นของมันเองกูไม่รู้เรื่อง

   “มีอะไรก็พูดมาครับเพื่อน อ้ำๆอึ้งๆ จนกูเยี่ยวเหนียวละ” ไอ้เกื้อหน้าแดงทันที เขินจริงจังไปนะ ผมหลับตาลงก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

   “กูว่ากูหึงลูกตัวเอง”

เคร้ง

           “พรวด แคกๆๆๆๆ”นั้นไง๊ ตกใจสิมึงผมมองไอ้ป๊อกที่ช็อกจนที่คีบน้ำแข็งตก อีกมือก็ลูบหลังไอ้เกื้อที่สำลักน้ำจนออกจมูก

           “มึงว่าอะไรนะ”

           “กูไม่รู้ มึง กูไม่รู้ แต่เท่าที่กูรู้ คือกูอ่านเจอในหนังสือ เวลาผู้หญิงหึงแฟน แม่งเหมือนกูตอนนี้เลย มึง กูแย่แล้ว”ผมว่าและกระดกเหล้าเข้าปากจนหมดแก้วส่งให้ไอ้ป๊อกชงต่อ มันรับแก้วไปอย่างอึ้งๆ ก่อนจะสบถออกมานิดหน่อยอย่างหัวใจ ไอ้เกื้อตอนนี้นั่งเอาแขนมากอดแขนกูอยู่เหมือนคอยให้กำลังใจ

           “ไอ้ห่า กูว่ามึงตั้งสติ บางทีอาจจะเป็นพ่อหวงลูกก็ได้ มึงเคยเห็นหมาแม่ลูกอ่อนไหม นั้นแหละที่กูหมายถึง”

           “ร้องเหี้ยหนักมาก” ผมพูดเบา ๆ ก่อนจะรับเหล้ามาเข้าปากเคล้าน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม จนไอ้เกื้อต้องเอาผ้าที่ช่วยซับน้ำตาให้ผมและเอาหัวอิงไหล่เหมือนลูกแมว มึงนี้มันน่ารักจริง ๆ ต่างจากไอ้ป๊อกที่แกล้งผมได้ตลอดเวลา

           “เออช่างแม่งเหอะ ปล่อยมันไป วันนี้มึงเมาไปเลยเพื่อนกูดูแลเอง”มันเอื้อมตัวมาตบบ่าผมก่อนจะเดินไปเปิดเพลงที่โน๊ตบุ๊กของมันที่แบกใส่รถมาด้วย รู้สึกมึงจะพร้อมทุกอย่างเลยนะไอ้ป๊อก ไอ้ขี้เหล้าเอ้ยยยยยยย!

           “ต้องเพลงนี้มึง เอาตายยยยยยยยย” ไอ้ป๊อกเดินกลับมาก่อนจะทำท่าเหมือนกำลังถือไมล์ยืนอยู่บนเวทีใหญ่

           “ให้เธอได้กับเขา และจงโชคดี อย่ามีอะไรให้เสียใจ”  ไอ้ป๊อกส่งท่อนมาให้ผมตามสเต็ปมัน ผมก็ยืนขึ้นรับมาตามสเต็ปผมบ้าง โอ้ย ทำไมโลกมันหมุนแบบนี้

           “ส่วนตัวฉ๊านนนนนนนนนนนนนนน จาลืมมมมมมมมมม ว่าเคยร้องไห้ ลืมว่าเคยต้องเป็นครายยยยยยยยยยยยยย” ผมส่งไปให้ไอ้เกื้อที่ยืนคุมผมอยู่ มันเอียงคอมองผมที่ยิ้มหวานให้มันอยู่ มึงมีแฝดหรอเกื้อ ชื่ออะไรอะ อิอิ

           “… เอ่อ … ที่เธอไม่เอา  อ๊ากกกกกก โทนเลอะหมดแล้ว” ไอ้เกื้อร้องว๊าก รีบพยุงตัวผมยืนขึ้นทันที อะไร เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมรู้สึกตัวเองเหยียบโดนถังน้ำแข็ง

           “ไอ้ห่า ไอ้ต้องดงต้องแดงมันแล้ว เละๆ” เสียงไอ้ป๊อกดังระงมขึ้น ก่อนที่ผมจะน้ำตาไหลออกมาเป็นทางเมื่อนึกถึงวันนี้ แม่งเอ้ย นี้กูหึงลูกกูจริง ๆ หรือ ไอ้โทนมึงบ้าอ่อ มึง 24 ไอ้เด็กนั้น 18 แถมยังเป็นพ่อลูกกันอีก มึงบ้าเหรอไง โว๊ะ !

           “ฮึก เกื้อ ฮึก ไอ้เกื้อ ไอ้ป๊อก ฮืออออออออ” กูปี่แตกออกมาอย่างห้ามไม่ได้ บ้าบอคอแตกที่สุด

           “เดี๋ยวมา” ไอ้ป๊อกว่า ก่อนจะเดินหนีไปทางอื่น มึงงอนกูหรอ กูไม่ได้ตั้งใจนะ เท้ามันเหยียบไปโดนเอง

           “โทน โทน ฮึก อย่าร้องสินั่งดีๆก่อนนะ” ไอ้เกื้อวิ่งหายไปไหนไม่รู้กลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่ มันเช็ดเท้าที่เย็นเพราะน้ำแข็งให้ผมก่อนจะเอาอีกผืนมาห่มให้ผม ทำไมมึงเป็นเพื่อนที่ดีจังว่ะ

           “โอ๋ ไม่ร้องนะโทน ยังมีเกื้อนะโทนนะ โอ๋นะโอ๋”  ผมกอดไอ้เกื้อทันทีที่มันพูดแบบนี้ ฮึก ทำไมวะ ทำไมผมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ฮือออออออออออออ อ

.

.

.

-ไม้-

           ผมวางโทรศัพท์จากพี่ป๊อกก่อนจะนั่งกอดเข่าเอาหน้าซุกจับมือตัวเองไม่กล้าเงยซบตากับท้องฟ้าสีแดงที่ฝนกำลังโปรยปรายลงมา … ผมผิดเองที่คิดแกล้งพ่อโทน จนพ่อโทนโมโหและเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ ในตอนที่รู้ในทันทีว่าพ่อโทนไปอยู่บ้านของอาเกื้อ ผมก็แทบจะปรี่ออกจากบ้านไปทันที

           แต่พี่ป๊อกห้ามเอาไว้เพราะกลัวจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้ให้ผมไปรับพ่อโทนในตอนเช้า ผมมันเป็นคนที่แย่มาก ทำร้ายพ่อโทนจนพ่อโทนมีความคิดที่ไม่อยากจะเห็นหน้าผมแบบนี้ เฮ้อ พ่อโทน พ่อโทน พ่อโทน พ่อโทน พ่อโทน …

           “ว่าไงไอ้ไม้ พ่อมึงอยู่ไหนละ”

           “… บ้านอาเกื้อครับปู่” ผมตอบปู่ที่เดินมาพร้อมกับกลิ่นบุหรี่ ในขณะที่ยังก้มหน้ามองมือตัวเองอยู่ … ผมรู้สึกแย่มากๆ ไม่น่าเป็นแบบนี้เลย

           “เฮ้อ เออ เอ็งก็ไปนอนซะ พรุ่งนี้ค่อยไปรับมัน เมาหัวราน้ำอีกตามเคย” ปู่ว่าก่อนจะตบไหล่ผมและเดินห่างออกไป เวลาพ่อโทนเมาพ่อโทนจะเหมือนเด็กๆ ร้องหาแต่ผม … พ่อโทน พ่อโทน พ่อโทน … อยากเจอพ่อโทน

ฮึ่ม แต๊กๆๆๆๆๆ

           “ไอ้ไม้ เอ็งจะไปไหน!!!”

   ผมไม่ตอบปู่ที่ตะโกนเสียงอยู่ไหวๆ รีบเบิ่งมอเตอร์ไซค์คันเก่าออกมาทันที บ้านอาเกื้ออยู่ไม่ห่างมากนัก แต่ทางไปค่อนข้างลำบากเพราะเป็นทางขึ้นเขามีบ้านชาวบ้านอยู่ปละปลาย ร้านค้าก็เปิด 24 ชั่วโมง ทำให้ไม่เปลี่ยวมากนัก หาพ่อโทน ผมจะหาพ่อโทน

   “นั้นไง กูว่าแล้วต้องมา ดื้อแม่งทั้งพ่อทั้งลูก ” ทันทีที่จอดรถได้เสียงร้องทักจากพี่ป๊อกก็ดังขึ้น

   ผมเม้มปากและยกมือไหว้เขาก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างเหนื่อยหอบ ผมไม่ได้เหนื่อยที่ขับรถ ที่หัวใจผมมันเหนื่อยและร้อนรนที่จะเจอกับพ่อโทน

   “พ่อโทนล่ะครับ”

   “ด้านบน เดี๋ยวไอ้ไม้ … ร้ายนะมึง” ผมไม่ได้ใส่ใจวิ่งขึ้นไปบนบ้าน เห็นพ่อโทนนอนอยู่บนตักของอาเกื้อบนพื้น กลางวงเหล้าที่ร้างไปแล้ว พ่อโทนมีผ้าคลุมตัวอยู่ อาเกื้อเงยหน้ามองผมก่อนจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

   “คืนนี้นอนนี้ก็ได้นะไม้ พรุ่งนี้ค่อยกลับ” ผมพยักหน้าก่อนจะเดินไปคุกเข่าตรงหน้าพ่อโทน เอามือลูบปรอยผมที่หล่นมาโป๊ะหน้าตาอันน่ารักของพ่อโทน ไม่ต้องกังวนนะครับไม่มีใครที่ทำให้ไม้รักไปมากกว่าพ่อโทนอีกแล้ว …

   “ปะ พาพ่อไปนอนนะ” ผมพยักหน้าอีกครั้งให้อาเกื้อก่อนช้อนตัวพ่อโทนขึ้นมาอุ้มไว้อย่างง่ายดาย เดินตามอาเกื้อไปที่ห้องพักรับรองแขก ผมพาพ่อไปวางไว้บนเตียงนอนหนานุ่มสีขาวสะอาด มีม่านมุ้งหรูหราปิดทั้งสี่ด้าน ดูไฮโซจนผมกลัวที่จะทำอะไรขาด

    “ไม้เองก็ไปล้างหน้าล้างตานะ เดี๋ยวอาเช็ดตัวพ่อเราให้ ไม่ต้องกังวนนะ พ่อโทนไม่เป็นไรหรอก”

   “ขอบคุณอามากนะครับ ถ้าไม่มีอา พ่อโทนคงไปเมาอยู่ไหนก็ไม่รู้ พี่ป๊อกด้วยนะครับ” ผมยกมือไหว้เขาทั้งคู่ ก่อนจะรับเอากะละมังที่พี่ป๊อกถือตามเข้ามา เข้าไปเช็ดตามหน้าของพ่อโทนอย่างอ่อนโยน โดยไม่ทันสังเกต ว่าเขาออกไปกันตอนไหน

   ในระหว่างที่ผมเช็ดตัวอยู่ พ่อโทนลืมตาขึ้น มองผมด้วยแววตาสงสัยก่อนที่น้ำตาเม็ดโป้งที่ทำให้ผมอ่อนใจจะไหลออกมาจากทั้งสองตาอย่างน่าสงสาร

   “ฮึก มึงรังแกกู” สิ้นเสียงนั้นผมก้มลงไปโอบกอดร่างน้อยๆที่อ่อนปวกเปียกด้วยฤทธิ์สุรา … พ่อโทน สุดใจของไอ้ไม้ รักเหลือเกิน …

   “ขอโทษครับ ขอโทษครับ ขอโทษครับ”

   “ไม่เอาแล้วนะ อย่าพูดถึงใครอีก ฮึก ไม่เอาแล้ว” เสียงกระซิบปนสะอื้นนั้นทำให้ผมทวีความรู้สึกผิดและเอ็นดูขึ้นเป็นเท่าตัว …

   “ครับ ผมสัญญา ผมรักพ่อโทนนะ วันไหนที่ผมแข็งแกร่งและแข็งแรงมากกว่านี้ ผมสัญญาว่าจะทำให้มันถูกต้อง” ผมไม่รู้ว่าพ่อโทนรู้ความหมายของผมหรือเปล่า แต่นั้นคือความจริงที่ผมอยากจะบอกกับพ่อโทน รัก ที่ไม่ใช่ของพ่อลูก รักนั้นผมไม่มีทางให้ใครได้อีก หัวใจของไอ้เด็กคนหนึ่ง มันชัดเจนมาตั้งนานแล้ว …

   “ไม่ร้องนะครับ พ่อโทนของลูกไม้ ไม่ร้องนะ” อ้อมแขนเล็ก ๆ กอดตอบผม ก่อนที่ลมหายใจจะดังสม่ำเสมอแต่แขนเล็กๆนั้นก็ไม่ยอมปล่อยให้ผมไปไหนเหมือนเด็กน้อยหวงของเล่น …

   ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากจะพาเขาเอนตัวนอนและกอดสุดที่รักของผมเอาไว้แนบกาย …



===================

หึงแหละเขารู้กันทั้งตำบล 555555



 :hao3:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 12 หึงเก่ง} 18/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 18-04-2020 11:54:55
พ่อโทนหนอพ่อโทน หึงลูกซะงั้น เมาแล้วรั่วตลอด 55555 สนุก   o13
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 12 หึงเก่ง} 18/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 18-04-2020 19:59:17
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์} พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่ 12 หึงเก่ง} 18/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 19-04-2020 03:05:21
พ่อโทนเปิดใจกับเพื่อนแล้วว่าหึงลูกนอกไส้ 5555
เอาน่าพ่อโทน เดี๋ยวไม้รวยและสร้างฐานะมั่นคงเมื่อไหร่
ไม้จะมาขอพ่อโทนแต่งงานนะ  :katai2-1:
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่13อดีตไม่เคยจาง} 19/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 19-04-2020 14:41:16


พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 13 อดีตไม่เคยจาง
   



   “หุ่นยนต์ไหม”

   ผมยกแคตตาล็อกของเด็กที่มีหุ่นยนต์หลากหลายรุ่นที่แบกหน้าไปขอยืมไอ้เด็กแถวตลาดมาวางตรงหน้าไอ้หมาไม้ที่เพิ่งลงมาจากการซ้อมมวยเหงื่อนี้ท่วมตัวแต่แปลกที่ไม่มีกลิ่นเลย กูแอบดมมาแล้วเป็นที่เรียบร้อย อิอิ

   “หึหึ ผม 18 แล้วนะครับ”

   “โทรศัพท์มือถือไหม ของมึงเก่าจนปาหัวหมาแตกได้แล้วนี้ กูนึกว่าซากฟอสซิว” ผมเริ่มหน้าบึ้ง เพราะเหมือนรู้ว่าไอ้เด็กนี้จะพูดว่าอะไร

   “อันนี้ก็ใช้ได้ครับ สิ้นเปลืองเปล่า ๆ”มันยกน้ำขึ้นดื่มและเตรียมจะวิ่งขึ้นไปบนเวทีไปซ้อมกับพ่อผมต่อแต่ผมวิ่งไปดักหน้าไว้ก่อน ไอ้บ้านี้ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเดี๋ยวก็ชกหน้าแหก

   “งั้นเอาคอมไหม” ผมเริ่มมีน้ำโห

   “ของพ่อโทนก็มีครับผมใช้ได้”

   “โน้นก็ไม่เอา นี้ก็ไม่เอา ทำไมเรื่องมากจังวะ”

   “แค่ผมสอบได้ที่ 1 ไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่เลยครับ ผมก็สอบได้มาทุกปีอยู่แล้ว”ไอ้ลูกไม้เหยียดยิ้มก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่และ กระโดดข้ามเชือกขึ้นไป หึ เอาใหญ่แล้วเดี๋ยวนี้เผลอหอมเผลอกอด คิดว่าจะใจอ่อนหรือไงหึ!

   “ยิ้มทำไมวะไอ้โทน” ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ ๆ ไอ้พี่แสงไม่รู้มาจากไหนโผล่หน้าเข้ามาจากด้านหลัง อะไรใครยิ้ม ไม่มีอะแค่แก้มตึงเฉยหรอก

   “ยิ้มบ้านพี่ดิ เขาเรียกว่าแสยะตั้งหาก หึ!” ผมว่าและเดินมากระโดดขึ้นจักรยานปั่นไปปรึกษาไอ้เกื้อดีกว่า

   หึ ก็ผมอยากให้นี้ตั้งแต่เป็นพ่อลูกกันมา ผมยังไม่เคยให้อะไรกับไอ้เด็กนี้เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีเวลาด้วยละ เกือบ 24 ชั่วโมงผมทำแต่งาน ขนาดวันเกิดและวันเทศกาลก็มีแค่คำอวยพรกับทำอาหารกินกันในครอบครัว ถามอะไรก็ไม่เอา ๆ ผมละงงมาก นี้เลี้ยงมันมาเป็นเด็กมัธยัสถ์เกินไปหรือเปล่า ว่าแต่ผมเถอะไอ้ไม้เองก็ไม่ได้สนใจ เรียน ชกมวย อ่านหนังสือ ไม่เคยแม้แต่จะเห็นมันไปเที่ยวกับเพื่อนกับฝูงเลย ผมรู้สึกผิดยังไงไม่รู้ เหมือนช่วงชีวิตวัยเด็กมันหายไปทั้ง ๆ ที่ผมซึมซับช่วงเวลาวัยเด็กจนพ่อผมปวดหัวแล้วปวดหัวอีก นั้นแหละ



           “โทนเครียดเรื่องลูกไม่ขอของเล่นเหรอ”

           “แล้วมึงว่ามันปกติปะ นู้นก็ไม่เอานี้ก็ไม่เอา มันไม่อยากได้อะไรเลยหรือไงวะ” ผมวางคางกับเคาเตอร์ คิดมากง่ะ อยากให้แต่คนรับไม่อยากรับ ทำไงดี เมื่อกี้ขับรถมา ก็เห็นพ่อลูกคู่นึงกำลังยืนเลือกของเล่นกันอยู่ มัน ตะเตือนใต๋ นะ แงงงงงงง

           “คิดมาแล้วนะโทน”

           “แต่มัน ฮือออ ไอ้เกื้อ กูรู้สึกผิดจริงๆนะ” ผมเอาหน้าซุกกับแขนตัวเองอย่าคิดมาก

   หลังจากคืนที่เมาแล้ว ผมก็เลิกคิดทุกอย่างและพยายามค้านความรู้สึกแต่ก็แปลก ๆ ที่ไอ้ลูกไม้ก็ทำตัวห่างผมเหมือนกัน ปกติ ผมต้องมาที่หนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้มวยกับเรียนเท่านั้น เฮ้อ … ปกติเห็นผมวิ่งแจ้นออกมาแบบนั้นแหละจะตามมาทันทีเลยแท้ๆ เป็นอะไรกันแน่นะ

           “โทนรู้สึกผิดหรือตั้งใจจะเอาใจลูกไม้กันแน่” ผมสะอึกฮัก เงยหน้ามองไอ้เกื้อที่ชะเง้อชะแง้มามองหน้าผม … มันสะดุ้งก่อนจะหัวเราะแหะ ๆ และเดินไปที่ชั้นวางยาเลี่ยงผมออกไป เดี๋ยวปั๊ดกัดแม้ม พูดอะไรแทงใจดำกูจัง ฮือออออออออออออออ

           “สวัสดีครับ เอ่อ มีอะไรให้หมอช่วยไหม”

   เสียงไอ้เกื้อดังขึ้นผมรีบกระเด้งตัวลุกเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนจะพรายยิ้มให้ลุงคนที่เดินเข้ามายืนหน้าเคาเตอร์ที่ผมและไอ้เกื้ออยู่ ไม่มีหมาแมวมาด้วยแหะ สงสัยต้องลงพื้นที่อีกแน่ ๆ ผมกระซิบให้ไอ้เกื้อรับแขกไปก่อน ตัวเองเดินมาด้านในห้องเพื่อเก็บของ คนมาหาหมอหมาไม่หมาป่วยก็ควายป่วยเท่านั้นแหละ เก็บของลงพื้นที่เว้ยเฮ้ย!!!

           ไม่มีเวลาคิดมาแล้วสินะ กลับไปถ้าไม่หายเป็นแบบนี้นะจะตีมึนโกรธกลับแล้วนะเว้ยเฮ้ย !!!

           “เดี๋ยว ลุงขอคุยด้วยหน่อย” ผมหันกลับมายกมือชี้มาที่อกตัวเอง … ไอ้เกื้อก็อยู่ทำไมไม่คุย … หรือว่าผมน่าเชื่อถือกว่าไอ้เกื้อ หึหึ ออร่าเทวดาของมึงถูกออร่าซาตานสุดหล่ออย่างกูกลบก็คราวนี้แหละไอ้เด็กน้อย ฮิฮิ

           “มึงไปเตรียมของให้กู” เดินไปกระซิบบอกไอ้เกื้อที่ยิ้มหวานอยู่ตรงเคาเตอร์หันมาพยักหน้าให้ผมและเดินเข้าไปในห้อง ชีวิตมึงนี้นะ เหมือนโลกสวยอยู่ตลอดเวลา ยิ้มเข้าไปสิ ยิ้มเข้าปายยยยย จะมีเมียกับเขาไหมละ ยิ้มหวานกว่าผู้หญิงแบบนี้ ต้องแบบผมนี้มาดแมนเกิดร้อย ทำหน้าเข้มสองทีเด็กหยุดร้องไห้ … หัวเราะแทน

           “ผมชื่อโทนนะครับลุง มีอะไรปรึกษาผมได้ครับ ไม่ทราบว่าสัตว์เลี้ยงอะไรของลุงป่วยเหรอครับ” ผมว่าลุงทำหน้าเลิ่กลั่กมองซ้ายมองขวายื่นกระดาษแผ่นนึงมาตรงหน้าผมและวิ่งออกจากร้านทันที

           “ลุง ๆ เดี๋ยวสิ … อะไรวะ” อ้าวเป็นงงสิกู ผมส่ายหัวและก้มมองกระดาษที่พับไว้แผ่นเล็กนั้น ก่อนจะค่อยๆ คลี่กระดาษออกอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ โอ้ยหน่อ มันคืออิหยังละพ่อ!.... เฮ้ย!

           “โทน เสียงดังอะไร แล้วลุงคนเมื่อกี้ล่ะ”ผมรีบเก็บกระดาษลงกระเป๋าเสื้อกาวส์ตัวเอง

           “เอ่อ … เออ ลุงแกให้ไปดูควายที่บ้านแกน่ะ เดี๋ยวกูไปเอง”

           “ให้เกื้อไปช่วยไหม ว่าแต่ลุงคนนั้นโทนรู้จักหรือเปล่า ทำไมเกื้อไม่เคยเห็นหน้า”

           “มั้ง กูไปละ ไม่แน่กูอาจเลยเข้าบ้านเลยนะ”

           “โอเค ถึงบ้านแล้วโทรบอกด้วยนะ”

           “เออ อย่ากลับดึกนักละ” ไอ้เกื้อพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะยื่นกระเป๋าหมอแบบพกพาให้ผม

    ภายในมียาที่แก้อาการเบื้องต้นแทบทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับสัตว์ เพราะส่วนมากชาวบ้านจะไม่รู้ว่าสัตว์ตัวนั้นเป็นอะไร ยิ่งวัวควายไก่ยิ่งดูยาก เพราะอาการจะออกช้า ถ้าออกคือหนักแล้วมาก ๆ ไม่เหมือนหมาแมวที่อาการจะออกทันที ผมเลยต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆอย่างเช่นเคสที่ต้องผ่าตัด ก็ต้องขนย้ายมาที่นี้ 

   “ถ้ามีเคสใหญ่โทรหาได้ตลอดเวลา” ผมว่าและเดินมาขึ้นจักยานปั่นออกมา เพราะวันนี้ผมคงไม่ได้ตรวจสัตว์จริงๆ … เพียงแต่ผมต้องไป นั้นแหละเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของผมแต่เป็นเรื่องของลูกผม นั้นแหละผมเลยต้องไป

.

.

.

สวบ สวบ สวบ

   กว่าจะมาถึงก็เกือบบ่ายคล้อยแล้วเพราะต้องข้ามมาอีกจังหวัดเพราะผมขับรถไม่แข็งจึงต้องจ้างลุงแถวตลาดมาส่ง เฮ้อ … ถ้าไม่ติดว่าไอ้ไม้มีสถานะเป็นลูก กูคงเป็นไอ้คนบ้าผู้ชายคนนึงเลยละ ฮ่าๆๆๆ เฮ้อ … ไอ้เวนตะไล ... ผมเดินข้ามแหวกหญ้าคาที่ขึ้นท้วมมาเกือบมิดหัวผม … ไม่ได้เตี้ยนะบอกเลย ในมือก็กำเศษกระดาษแน่น ใจความในกระดาษก็ไม่มีอะไรมาก เขียนไว้แค่ว่า ‘มาตามแผนที่ มันคือผลดีกับลูกชายของคุณเอง’

   ความจริงผมมีบางอย่างที่ปิดบังไอ้ไม้อยู่ ไม่เรียกว่าปิดบังหรอก แค่ไม่เคยพูดกัน ถึงบ้านเก่าและพ่อแม่ที่แท้จริงของไอ้ไม้ ที่เมื่อก่อนถือว่ารวยมาก มีเชื้อเจ้าขุนบุญนายวังเก่า แต่ก็เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้ทั้งพ่อและแม่ของไอ้ลูกผมตายในกองเพลิง ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะพลิกชะตาชีวิต … และหลายปีที่ผ่านมาผมเองก็ไม่เคยเห็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินพี่ป้าน้าอาของไอ้ลูกไม้มาตามหาสักที ปล่อยมันทิ้งอยู่ที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก … กับความโดดเดี่ยวกับเด็กอายุแค่ 5 ขวบในคราวนั้น แต่ก็นั้นแหละถึงมาผมก็ไม่ให้หรอก เพราะเพลิงไฟพรากทุกอย่างไปจากลูกผมแล้ว ซึ่งมันคงเหมือนตายและเกิดใหม่มาบ้านนักมวยนี้แหละ

    ถึงย่างไรไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ผมก็พร้อมที่จะสร้างชีวิตใหม่ให้ไอ้ไม้ เพราะความสุขของลูกผมคือหนึ่งเดียวที่คนเป็นพ่ออย่างผมต้องการ หึ … รอให้ถึงเวลานั้นก่อนแล้วกันค่อยมาดูกันว่าความรักที่ลูกผมพร่ำบอกทุกวันกับผม จะเป็นจริงหรือเปล่า หรือแค่ไอ้เด็กขี้อ้อนร้องหาความรักที่ขาดหายไป บางทีนี้อาจจะเป็นความจริงที่ผมต้องคิดให้ตกผนึกและจัดการความรู้สึกของตัวเองให้ได้เสียที

           แต่จะว่าไปนะ ทำไมต้องนัดที่แบบนี้ด้วยวะ หญ้าสูงแบบนี้มีงูขึ้นมาไอ้โทนมีหวังได้ลงไปนอนยิ้มแอ๊บแบ๊วหาศพกันไม่เจอแน่ ๆ แถวนี้สมัยเด็ก ๆ ผมเคยห้าวแว๊นข้ามจังหวัดมากับพวกไอ้ป๊อก จำได้ว่าเคยเป็นสนามเด็กเล่น ที่มีกำแพงสูงเป็นเส้นกั้นระหว่าง หมู่บ้านที่เจริญแล้ว เอ้อ มึงเคยดูการ์ตูนเรื่องไททันปะ พวกกูเหมือนยักษ์ไททันที่คอยจะปีนเข้าไปในเมืองอ่ะ ฮ่าๆๆๆ จำได้กูเคยปีนจะถึงยอดและหล่นตุ๊บลงมาถลอกไปหมด โดนพ่อด่าอีก หึหึ แต่พอเกิดเรื่องไฟไหม้ครั้งนั้น … ตรงนี้ก็ถูกปล่อยร้างเพราะมีข่าวลือว่าผีดุ พ่อผมก็ห้ามไม่ให้มาเล่นอีก ทำไมไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าแอบมาเห็นกูถูกถีบตกบ้านนั้นแหละ

           “ทางนี้ครับคุณโทน”ผมสะดุ้งหันไปมองลุงคนเดิมที่โผล่ออกมาจากไหนสักแห่งกูไม่พูดอะไรเดินตามแกไป ขี้เกียจพูดละรอถามทีเดียว เจ็บคอขี้เกียจตะโกน

           ลุงแกพาผมเดินมาที่หน้ากำแพงสูงที่ผมบอก ดูตอนนี้มันก็ไม่ค่อยสูงหรอก เพราะตัวผมสูงขึ้นหน่อยล่ะมั้ง ก่อนจะพาเดินไปที่ประตูเหล็กขึ้นสนิมที่ไม่ได้รับการดูแล จำไม่ได้แหะว่ามีประตูตรงนี้ แกหยิบกุญแจในกระเป๋าขึ้นมาไขแม่กุญแจขึ้นสนิมก่อนจะเดินนำผมเข้าไป เฮ้อ … ลึกลับซับซ้อน จะหลอกกูมาฆ่ารึเปล่า ไอ้โทนสู้คนนะ แต่ช่วยเว้นระยะห่างกันบ้างก็ได้นี้กูเพิ่งจะปางตายมาแหมบ ๆ  ผมกระชับมีดพับในปกเสื้อกาวส์สีขาวของตัวเองแน่น คิดผิดเปล่าวะที่ไม่พาเพื่อนมาด้วย   

           ผมสูดหายใจเข้าปอดลึก ก่อนจะเดินเข้าตามลุงแกไป … แอบผิดคาดนิดนึงที่ภายในกำแพงสูงโทรมกลับกลายเป็นสวยภายในบ้านที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามดูแล้วสบายตา ประดับตกแต่งด้วยไม้เล็กใหญ่คละสีกันไปแต่มันขัดกับบ้านทรงไทยที่ไหม้เป็นตอตะโก ช่างสวยและเศร้าสร้อยซะจริงๆ

           “เชิญนั่งตรงนี้ครับผมจะเอาน้ำในรถมาให้” ลุงแกพ่ายมือให้ผมลงนั่งที่เก้าอี้ในซุ้มดอกไม้สวยสดที่มีดอกไม้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว

           “ไม่ต้อง ลุงเป็นใครแน่ และที่นี้คือที่ไหน”

           “เฮ้อ ผมชื่อศักดิ์เป็นพ่อบ้านของ อาริณมณี ที่นี้คือบ้านของนายช่างเชษฐากับคุณหญิงภรรยาท่าน” ผมกัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลง นี้หรอคือหลังกำแพงที่ผมอยากพบเจอ … อดีตของลูกไม้ที่ผมไม่กล้าที่จะนั่งฟังด้วยใจที่เข้มแข็งเพราะความสงสาร ลุงศักดิ์จ้องมองผมผ่านกรอบแว่น เขาดูดีแลพสุขุมกว่าคนแก่ที่มีอายุเท่ากัน  ร่างสูงโปร่ง แก้มตอบ ผิวสีแทนเหี่ยวย่นตามอายุ รวมถึงการแต่งตัวที่สุภาพราวกับอยู่ในหน้าที่พ่อบ้านตลอดเวลา ถ้าตัดเสื้อผ้าออกไป… ผมเคยเห็นที่ไหนนะทำไมรู้สึกคุ้นตานัก

           “ลุงเคยไปหาลูกผมหรือเปล่า” ผมถามขึ้นและยังไม่ยอมนั่ง หรี่ตามองตาแก่คนนี้ด้วยความสงสัย

           “นายน้อยไม่ใช่ลูกคุณ เขาเป็นลูกของนายหัวเชษฐาและคุณหญิงดอกอ้อ”

           “พวกเขาเสียไปแล้ว ไอ้ไม้เป็นเด็กกำพร้า ผมไปรับมาเลี้ยง ลุงมีปัญหาอะไร”  ผมวางท่าบ้าง

   ทำไมละ ผมพูดผิดตรงไหน ถ้าเกิดไอ้เด็กนี้เป็นลูกเต้าคนใหญ่คนโตเหมือนที่ตาแก่นี้ว่า

   ในระหว่างที่ไอ้เด็กนั้นอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า เขาเฝ้ามองเด็กคนอื่น ๆ ด้วยสายตาเหยียดหยามและโกรธแค้นต่อโลกใบนี้ ทำไมไม่มีคนรับมันไปเลี้ยงต่อเข้ามาช่วยเหลือให้มันสบายบนกองเงินกองทองมรดกที่พ่อแม่มันทิ้งไว้…ทำไม …ทำไมถึงถึงปล่อยให้ไอ้ไม้อยู่ในโลกของความโหดร้ายเพียงลำพัง ปล่อยให้มันร้องไห้แบบไม่มีน้ำตาในทุกคราที่แสงจันทร์สาด

   ผมยังจำแววตาแรกที่เจอกันได้…และผมไม่ยอมให้ใครมาพามันไปไหนทั้งนั้น ไม่ยอม ได้ยินไหมวะ ว่ากูไม่ยอม!!!!!

   “แล้วยังไงต่อ” ผมว่าท่ามกลางบรรยากาศเดดแอร์

    นายน้อยก็ไม่สมควรอยู่ในสถานที่แบบนั้น ที่ผมเรียกคุณมาวันนี้ผมจะขอเจรจา…”

           “ถ้าอยากจะเจรจา ไปว่ากันต่อในศาลแล้วกันนะลุง ผมเป็นพ่อไอ้ไม้โดยถูกกฎหมาย” ผมยกมีดขึ้นมาชี้ไปที่ตาแก่ที่นั่งทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว หึ !

   “มันสายไปแล้วลุง หลายปีแล้วนะลุง ที่มันอยู่ตรงนี้ มันกินข้าวคลุกปลาทู กินน้ำบาดาล มันขี่จักรยานคลุกฝุ่นทุกวัน มันชกมวยตัวเขียวช้ำมาเป็นประจำ หึ จะบอกอะไรให้นะ ไอ้เด็กนั้นมันถูกผมตบหัวทุกวัน จะลูกคนใหญ่คนโตมีบรรดาศักดิ์อะไรก็มาเถอะ แต่ตอนนี้ ไอ้ไม้คือลูกของผม … เก็ทนะ และไม่ต้องไปให้ลูกผมเห็นหน้าอีก ไม่งั้นผมเอาตำรวจมาลากคอคุณเข้าตารางแน่ ชัดนะ!”

   ว่าแล้วก็กระแทกมือลงโต๊ะเสียงดังลั่นและหันหลังเดินกลับมาทางเดิม นี้เรียกกูให้ฝ่าแดดฝ่าต้นไม้ใบหญ้าคมกริบพวกนี้มาเถียงเรื่องไร้สาระ กับคนแก่โลกแคบแบบนี้เนี้ยนะ เหอะ !

           “คุณโทน … ผมจะพานายน้อยไปอยู่ในที่ที่เหมาะสม เพราะพวกเราพร้อมดูแลเขาต่อจากคุณแล้ว ไม่เช่นนั้น … ที่นี้จะวอดวาย และพวกมันจะไม่เลิกรา”

           “ก็ให้มันมา” ผมหันไปบอกแกก่อนจะเดินลอดประตูออกมา หึ ทำไมต้องกลัว … ถ้ามันจะมาก็ต้องมาเจอกันผมสักที จะได้รู้ว่าไอ้โทนจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงของรักของไปเด็ดขาด ไม่มีทางซะหรอก

.

.

.



           “กินดิ”

   ผมเท้าคางมองไอ้ลูกไม้ที่นั่งหน้าแปลก ๆ บนแคร่ มันเพิ่งลงมาจากเวทีมวย หลังจากที่ซ้อมทั้งวันไม่มีพักเลย ผมออกไปตั้งแต่เช้านี้กลับมาค่ำแล้วเพิ่งเลิก พอดีผมกลับไปที่ร้านน่ะ ครับไอ้เกื้อบอกให้ไปช่วยผ่าตัดหมาที่กินกระดูกเยอะเกินไป ทำให้ไปอุดอันลำไส้ ใครเลี้ยงหมาอย่าให้หมากินกระดูกนะครับ เพราะหมาจะย่อยได้ไม่หมดและตกค้าง เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตอีก

           “เอ่อ … มันละลายแล้วครับ มานั่งข้างบนเถอะมันสกปรกผมยังไม่ได้ถูพื้น”

   มันวางไอติมกระปุกใหญ่ที่ผมแวะซื้อที่ตลาดมาให้และลงมาคุกเข่าพาผมขึ้นไปนั่งด้านบนด้วย แต่ผมไม่ยอมเลยฉุดมันลงมานั่งข้างล่างด้วยกัน นั่งข้างบนเบื่อแล้วงะ อยากนั่งข้างล่างบ้าง ผมบุ้ยปากเชิงให้กินไอติมที่ซื้อมา … ตอนเด็ก ๆ ถึงละลายผมก็กินนะเพราะถือว่ามันก็เป็นไอติม อย่าไปยึดติดสิ ไอติมก็คือไอติม เนอะ

           “มึงเป็นไรกัน พากันลงมานั่งข้างล่าง” พ่อทายเดินผ่านพวกเราไปไม่วายแขวะใหญ่โต เรื่องของผมปะ บุ้ยยยยย

           “กินดิ อุตส่าห์ซื้อมาให้”

           “ครับ ๆ พ่อโทน พรุ่งนี้ผมไปเล่นเกมบ้านเพื่อนนะ” มันคว้ามาตักไอติมกะทิเหลว ๆ เข้าปากก่อนจะหันมาพูดตะกุกตะกักเหมือนเกร็ง ๆ

           “คนไหน” ถามไปงั้นแหละความจริงดีใจจะตาย มันไม่เคยไปไหนเลยนะ ผมอยากให้มันไปใช้ชีวิตจะตาย

           “ไอ้โบ้ครับ”

           “เออ ไปดิ วันหยุดนี้ แต่ต้องทำงานบ้านและกินข้าวก่อนไป เดี๋ยวกูฝากกับข้าวไปให้บ้านโน้นด้วย”

   ผมว่าและลุกขึ้นยืนยีหัวไอ้เด็กบ้าเล่นก่อนจะเดินเข้าครัวมาทำกับข้าวกับปลาและพยายามที่จะไม่คิดเรื่องรกหัวในวันนี้มากนัก ทำไมน่ะเหรอ เพราะผมเชื่อว่า ผมปกป้องลูกผมได้ ผมทำได้ และเชื่อว่าลูกผมดูแลตัวเองได้ เก่งซะขนาดนี้ เตะก้านคอให้หักไปเลยลูกพ่อสนับสนุน ฮิฮิ 

.

.

.

           “เดี๋ยวนะ เอ็งบอกลูกเอ็งดูแลตัวเองได้ แต่เอ็งตามมันมาเนี้ยนะไอ้โทน โอ้ย!” ผมตบป๊าบเข้าที่ไหล่พี่แสง เสียงดังจังเป็นอะไร มันจะเรียกมาซุ่มดูได้ยังไงถ้ามาเสียงดังแบบนี้

           เอ่อ … คือกู ไม่ได้ตามลูกกูมานะ กูแค่ว่า เอ่อ … ส่งมันโดยมันไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง แค่นั้นเอง แหะๆ

           ตกเย็นวันต่อมาหลังจากทำอะไรเสร็จไอ้ไม้ก็ออกมาประมาณทุ่มนึง พอมันขับมอเตอร์ไซค์ออกมาปุ๊บกูก็วิ่งมาจับจักรยาน ลากไอ้พี่แสงที่เดินมาใกล้ ๆ มือมาด้วยอีกคน ชลมุนกันอยู่พักนึงในที่สุดผมก็ตามไอ้ลูกผมมาจนถึงบ้านไอ้โบ้ที่ตั้งอยู่ในเมืองเป็นห้องแถวสามชั้น บ้านมันขายน้ำเต้าหู้จนรวยนั้นแหละครับ

           “มันถึงแล้วกลับกันเหอะ ยังไงมันก็ค้างที่นี้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง ยุงกัดกูจะตายห่าละ”

           “แปปนึงดิ นี้ให้มาเป็นเพื่อนนะไม่ใช่มานั่งบ่น” ผมโวยขึ้นก่อนจะลากไอ้พี่แสงเข้ามาในซอกลืบเมื่อเห็นไอ้ไม้โผล่หน้าออกเอาถุงกับข้าวที่รถ ดูเหมือนมันจะรู้ตัวว่าโดนแอบมองเลยหยุดมองซ้ายมองขวาอย่างไม่ไว้วางใจและเดินเข้าไปในบ้านต่อ

           “โรคจิตฉิบหาย” ผมตาขวางใส่พี่แสงก่อนจะคว้าเอาโทรศัพท์ตัวเองที่สั่นเป็นเจ้าเข้าขึ้นมาดู และถึงกับมือไม้สั่น ไอ้ห่าลูกไม้มึงรู้รึเปล่าเนี้ยว่ากูตามมา โทรมาทำม้ายยยยยยยยยยย

           “พี่รับให้หน่อย”

           “มึงก็รับดิ๊”

           “ไม่เอาถ้าพี่ไม่รับผมจะฟ้องพี่เมฆว่าเมื่อวานพี่แอบกินขนมส่วนของพี่เมฆ”

           “ว้อยยยยยย เออ กูรับให้ และมึงจะให้กูบอกว่าอะไร”

           “ไป … ไป ไปอาบน้ำ เร็ว ๆ พี่มันจะวางแล้ว” ผมคะยั้นคะยอให้พี่แสงรับเพราะถ้าไม่รับมันจะต้องสงสัยแน่ ๆ ไอ้พี่แสงถอนหายใจและยอมกดรับสายให้

           “เออ กูแสง ไอ้โทนไปอาบน้ำ เออ ๆ เดี๋ยวกูบอกมันให้” แล้วพี่แสงก็ส่งโทรศัพท์คืนผมทันทีที่พูดจบ ก็รีบกดวางสายและเก็บเข้ากระเป๋า

           “มันบอกถึงบ้านไอ้โบ้แล้ว ตอนจะนอนให้มึงโทรหามันด้วย” ผมพยักหน้า

   หันไปยืนมองหลังคาบ้านไอ้โบ้อยู่ไม่นาน ก็พากันกลับมาบ้านกูก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาปะแป้งหอมฟุ้งออกมานั่งแคร่หน้าบ้าน โทรเช็คไอ้ไม้ว่ายังอยู่ดี ให้มันออดอ้อนอยู่พักนึงก็วางสาย เงยหน้ามองฟ้าในคืนนี้ที่ส่องประกายดาวนับล้านอย่างสวยงาม … ป่านนี้ไอ้ลูกไม้ของผมคงสนุกอยู่บ้านของไอ้โบ้นั้นแหละ ดีแล้ว… ดีแล้วที่เป็นแบบนี้ ….

           “ยืนทำอะไรไอ้โทน” ผมสะดุ้งหันไปมองพ่อที่ลงมาจากรถกระบะปิ๊กอัพ อ้าวนี้ตาลุงออกไปไหนมากลางค่ำกลางคืนแบบนี้เนี้ย ผมคิดว่านอนอยู่ในห้องซะอีก

           “ดูดาวอะพ่อ แล้วพ่อไปไหนมา”

           “เรื่องของกู แล้วมึงเป็นอะไร ลูกมึงไม่อยู่หงอยขนาดนั้น ?”

           “หึ ไม่หรอกพ่อ พ่อวันก่อนโทนไปบ้านเก่าไอ้ไม้มา”

           “หื่อ … เอ็งว่าอะไรนะ” พ่อผมขมวดคิ้วและเดินเข้ามายืนข้างผม ตัวผมเองก็ซุกลงกับเข่าตัวเองที่ชันขึ้น

           “โทนไปคุยกับตาแก่ที่ชื่อศักดิ์ เขาบอกว่าไอ้ไม้คือลูกของนายเชษฐาไม่ใช่ลูกของโทน พูดเหมือนจะเอามันกลับไป บอกถ้าอยู่กับเราจะฉิบหาย”ผมพูดอู้อี้อยู่ในลำคอ แต่ผมรู้ว่าพ่อฟังรู้เรื่อง มือหนาวางบนกระหม่อมผมก่อนที่เสียงแหบพ่านของพ่อจะดังขึ้น

           “เอ็งกลัวหรือไง” ยังไม่วายแขวะ ไม่ได้กลัวหรอก แต่มันแค่ตึง ๆ เหมือนกำลังจะเสียมันไป ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่มีทางยอมถ้ามันไม่เต็มใจไปและจะยื้อไว้ให้สุดกำลัง

           “ผมไม่อยากเสียมันไป แต่ถ้ามันอยากที่จะไปอยู่ที่สบายกว่าค่ายมวยป่าเถื่อนแบบนี้ ผมก็ห้ามไม่ได้ถูกไหม”

           “กูไม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้มึงแค่ทำหน้าที่ของมึงให้ดีที่สุด ปกป้องให้สุดกำลัง แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว และถ้าวันนั้นมาถึง มึงก็จะรู้เองนั้นแหละว่ามึงควรจะทำอะไร”

    เสียงพอเงียบลง แต่ด้วยอะไรสักอย่างอาจจะเป็นเพราะว่าวันนี้ผมรู้ดีว่าไอ้ไม้ไม่กลับมากอดผม … ผมเลยคว้าเอวของพ่อทายมากอดเอาไว้แทน … ผมขาดแม่ตั้งแต่เด็ก … แต่ผมมีพ่อที่สุดแสนจะป่าเถื่อน มีวิธีสอนแปลก ๆ แต่ผมก็รักนะ …

           “ขี้แยฉิบหาย โอ้ย ปล่อย กูจะไปอาบน้ำ!!!”

           “อื้อออออออออ ขอกอดหน่อย” ผมขื่นตัวกอดตาลุงที่พยายามแกะมือผมออก ไม่พอยังเอามือมายันหน้าผมด้วย นี้ถ้ายกตีนขึ้นมาถีบได้คงทำไปแล้วใช่ไหม =_=’

           “ไอ้โทน ไอ้ห่า ไม่ใช่เด็กแล้วนะ”

           “ไม่อาววววววววว โทนจากอดดดดดดดดดดด”

           “กวนตีนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!”

แฮ่ๆๆๆๆๆ

           เสียงไอ้หมาน้อยลูกสมุนของผมวิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลังเราสองพ่อลูกไม้ เหมือนอยากจะเล่นด้วย

.

.

.

           ค่ำคืนที่เงียบสงบเวลาเกือบเช้า ร่างสูงใหญ่ของเด็กหนุ่ม ก้าวเข้ามาภายในห้องนอนที่คุ้นเคยของตนเองและพ่ออันเป็นที่รักด้วยฝีเท้าย่องเบาที่สุดในชีวิต เขาพยายามนอนหลับบนเตียงฟูกหนานุ่มมีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำที่บ้านของสหายแล้วแต่ไม่ว่าจะหลับตาลงยังไงก็มองเห็นแต่หน้าใสยามหลับตาที่ส่งเสียงกรนพร้อมกับน้ำลายที่ยืดเต็มหมอนในทุกคืน คิดถึงร่างน้อย ๆ ที่ปล่อยให้เขาโอบกอดตักตวงความอบอุ่นใต้ผ้าห่มผืนหน้าปกคลุมให้พ้นสายลมหนาว

           ร่างสูงของลูกไม้นั่งลงที่ข้างเตียงจ้องมองใบหน้าขาวใสที่หลับอยู่บนเตียงอย่างไร้เดียงสาก่อนจะเหยียดยิ้มที่ฝืนใจและลำบากใจออกมาท่ามกลางความมืดที่มีจันทร์ส่องสะท้อนกันดวงตาคมกริบที่เต็มไปด้วยแววตาเศร้าสร้อย …

           “ลูกรักพ่อ … ในแบบคนรัก … ผมรู้มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าหากผมจะต้องจบความคิดแบบนี้แลกกับการได้อยู่ใกล้พ่อโทนที่รักของผมตลอดไป … ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหน ลูกก็จะทำ …” เสียงกระซิบเจ็บปวดเหมือนมีดเล่มใหญ่กรีดกระชากวิญญาณออกจากร่างของผู้เป็นลูก … โดยที่คนตัวเล็กที่นินทราอยู่บนเตียงไม่รู้เลยว่าลูกรักของตนกำลังร่ำไห้อยู่อย่างไร้ซึ่งน้ำตา …

           มือเล็กละเมอวาดแขนที่กอดหมอนข้างของตัวเองไว้แน่นลงมาตรงหน้าของลูกไม้ที่นั่งมองดวงตาใสอยู่ไม่กล้าที่จะแตะต้องใดๆ กลัวว่าจะหักห้ามใจตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป … ริมฝีปากหน้าจรดลง บนมือบางอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองดวงตาใสอย่างเจ็บปวดและหลับไปพร้อมกับความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ …

           รักเหลือเกิน พ่อโทนของลูก …







====================

อะไรจะเกิดก็ต้องเกินเน้อ <3' อดทนนะจ้ะ ทั้งคู่
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่13อดีตไม่เคยจาง} 19/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-04-2020 23:43:34
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ปู่ทายXเกื้อกูล2} 20/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 20-04-2020 13:09:42
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

(ลุงทายXเกื้อกูล 2)




*** เขียนไว้ช่วงสงกรานต์ปีโน้นนนนนนนนนน ถือว่าชดเชยสงกรานต์ปีนี้ให้ทุกคนนะคะ




           “ทำอะไรอยู่” ผมเงยหน้าจากเอกสารตรงหน้ามองลุงทายที่เดินขึ้นมาบนบ้านผม … หนึ่งทุ่มพอดีเป๊ะเลย

           “เอกสารที่ประชุมของบริษัทน่ะครับ” ผมตอบและยิ้มให้เขาก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ

   ทางบริษัทส่งเอกสารมาให้ผมพิจารณาความจริงมันก็ไม่ใช่หน้าที่ผมหรอก แต่คุณแม่บอกให้ผมฝึกตัดสินใจดู เลยส่งเอกสารซื้อขายรายเล็กมาให้ผมตัดสินใจ ผมยังสงสัยเลยว่าแม่ผมและพี่กายต้องทำงานน่าปวดหัวแบบนี้ตลอดเลยหรือไง เฮ้อ ปวดหัวกันน่าดูเลยนะครับ

   ขนาดแค่เอกสารชิ้นเดียวที่ผมต้องเซ้นต์ชิ้นนี้ ผมยังต้องคิดแล้วคิดอีกว่าบริษัทจะเสียผลประโยชน์มากน้อยแค่ไหน เพราะการลงทุนในแต่ละครั้งถึงจะเป็นบริษัทเล็กหรือใหญ่ก็ต้องมีผลกำไรเป็นการตอบแทนที่สมราคาที่เสียไป … คุณแม่ผมบอกผมมาแบบนี้ เฮ้อ …

   “หน้ายุ่งมัดจุกเป็นหมาเชียว กินข้าวกินปลาหรือยัง” ลุงทายเอามือมาจับจุกผมด้านหน้าของผมที่เริ่มยาวแล้ว ไม่มีเวลาไปตัดสักที

   “ยังเลยครับ ไม่ค่อยหิวเลย ลุงทายละครับ” ผมถามและวางปากกาลงเงยหน้ายิ้มตาหยี๋ให้ลุงทาย

   เดี๋ยวนี้ลุงทายอบอุ่นน่ารักเป็นพิเศษ มาหาผมตรงเวลาทุกวันอยู่เป็นเพื่อนกันจนดึกส่งผมเข้านอนและเขาก็ค่อยกลับไปตอนผมกลับไปแล้ว ในตอนเช้าบางวันลุงทายก็ขับรถมารับผมไปส่งที่หน้าตลาดอีกด้วย ในวันที่ผมจะกลับกรุงเทพ เขาก็มักจะโทรมาส่งผมตลอด … เป็นคุณลุงที่น่ารักมาก ๆ

   วันนั้นที่โทนมีเรื่อง ผมแทบช็อกเมื่อเห็นสภาพของลุงทายและโทนทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่เลือด ร้องไห้ซะตั้งหลายชั่วโมง น่าสงสารโทนมากตัวแค่นั้นต้องมาโดนอะไรหนักแบบนั้น ส่วนน้องไม้ก็เป็นเด็กที่แข็งแกร่งจริง ๆ … ถึงจะเป็นครอบครัวที่ดูน่ากลัวแบบนั้น แต่ผมว่า อบอุ่นและรักกันมากๆเลยนะ แต่ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับหัวใจของโทนตอนนี้สิเรื่องใหญ่ … เฮ้อ เป็นผม ผมก็ไม่รู้ว่าต้องจัดการความรู้สึกตรงนั้นยังไง ผมตอนนี้ก็เช่นกัน ที่ไม่สามารถควบคุมมันได้เลย …

   “กินแล้ว ข้าเอามาฝาก ฟังอยู่เปล่าไอ้ตัวเล็ก” ผมกระพริบตาถี่ ๆ มองหน้าลุงทายที่เอามือมาสะกิดแก้มผมเบา ๆ เอ่อ … เมื่อกี้ลุงทายว่าอะไรนะ ผมไม่ทันฟัง

   “เอ่อ ว่าอะไรนะครับ แล้วนี้ถุงอะไร” ผมมองถุงผ้าที่เห็นตั้งแต่ลุงทายเดินเข้ามาแล้ว มีกลิ่นต้มหอม ๆ ออกมาด้วย กับข้าวฝีมือโทนอีกแน่ ๆ โอ้ย ท้องร้องจ๊อก ๆ เลย

   “เหม่ออยู่นั้นละ เอ๊า กินซะสิ ต้องให้เอาไปใส่ชามมาป้อนไหม”

   “มะ ไม่ต้องครับเดี๋ยวผมทำเอง” ผมรีบกุรีกุจอวิ่งไปเอาถุงกับข้าวเข้าไปในครัว โอ้โห ต้มผัดกาดดองกับผัดน้ำมันหอยแล้วก็น้ำพริกผักต้ม … หอมสุดๆ

   

ฟอดดดดดด

   ผมตกใจเมื่ออยู่ ๆ ลุงทายคนบ้าก็เอี้ยวตัวมาหอมแก้มผม ลำแขนใหญ่โอบตวัดผมเข้าไปพิงอกหนาไว้อย่างอบอุ่น … ยะ แย่แล้ว หัวใจของผมกำลังเต้นแรง ผมจะหันไปหาลุงทายแต่พอหันไปก็ต้องหันกลับมา เพราะลุงจะก้มหน้ามาจุ๊บผม

           “อะ ลุงทาย มาหอมผมแบบนี้ได้ยังไง” ผมดุเบา ๆ ตีแขนลุงทาย จู่โจมแบบนี้ผมตกใจนะ ผมไม่รู้เลยความสัมพันธ์ของผมกับลุงทายจะลงเอยแบบไหน ตั้งแต่วันงานแต่งของพี่กาย ความรู้สึกของผมก็เพิ่มมากขึ้น ผมรักลุงทาย นั้นคือความจริงที่ไม่เคยเสื่อมคลาย …

            ‘กูไม่ยอม ไอ้เด็กนี้ของกู อย่าเสือก’

           ผมหน้าร้อนฉ่าเมื่อนึกถึงประโยชน์สุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะสลบไปรอบนั้น ความรู้สึกเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง กลิ่นของไวท์และลมหายใจอุ่นๆความรู้สึกที่ร้อนวาบไปมาในอก ตอนนั้นกลับมาอีกแล้ว …

           “รีบยกมาเดี๋ยวกินเป็นเพื่อน” ผมเม้มปากพยักหน้าก่อนที่ลุงทายจะปล่อยผมและเดินไปนั่งรอด้านนอกเหมือนเดิม …

    ถึงผมจะคิดกับลุงแบบนั้น และลุงก็บอกกับพี่กายว่าผมเป็นของเขา และเราสองคนก็เจอกัน กอดกันหอมกันแต่เราไม่เคยบอกรักกันเลยสักครั้ง ความสัมพันธ์ทุกอย่างมันทำให้ผมสับสนจนแทบจะเป็นบ้า แต่ทุกครั้งที่เขาอยู่ด้วย ผมมักจะมีความสุข จนลืมที่จะทุกข์ในเสียงหัวใจตัวเองที่ดังครวญครางและผมก็พึงบอกตัวเองในใจว่า เรา 2 คนจะอยู่ในสถานะไหนคงไม่สำคัญ อีกต่อไปขอแค่อยู่แบบนี้ ซึมซับความสุขและหากวันนึงจะห่างหายกันไปเอง ก็อย่าเสียใจเพราะผมทำวันนี้เต็มที่แล้ว สำหรับความรักครั้งแรกของผม …

           “พรุ่งนี้พวกไอ้โทนจะขึ้นกระบะไปเล่นน้ำสงกรานต์จังหวัดข้าง ๆ เอ็งจะไปด้วยไหม” ลุงทายถามขนาดที่ผมกำลังนั่งทานข้าวฝีมือแสนอร่อยของโทนอยู่ชานบ้าน บรรยากาศตอนนี้ท้องฟ้าโปร่งลมพัดเอื่อยๆ แสงไฟสีนวลจากหลอดไฟตรงชานบ้านส่องประกายหน้าลุงทายที่นั่งจิบเหล้าอยู่ จนผมไม่กล้าสบตามากนัก … เขิน

           “เอ่อ … พรุ่งนี้คนที่บ้านมารับกลับกรุงเทพครับ” ผมตอบและตักเนื้อปลาเข้าปาก… ถ้าวันไหนลุงทายไม่มา ผมคงได้กินแค่มาม่า ผัดมาม่า นม หรือไข่แน่ๆ

           “ไอ้โทนจะยอมเหรอ”

           “…” ผมส่ายหน้าเบา ๆ เมื่อเย็นโทนก็โวยวายไปรอบนึงแล้ว

   แต่ทุก ๆ ปีผมก็ไม่เคยไปเล่นสงกรานต์ที่ไหนกับเขาหรอก แม่กับพี่กายไม่เคยปล่อยผมไปไหนตัวคนเดียวเลย เพราะพี่กายและคุณแม่ไม่ชอบเล่น ตอนเรียนผมเคยไปกับโทนในตัวจังหวัดรอบเดียวก็โดนลวนลาม จนโทนต้องสวมบทโหดและพาผมกลับ จากนั้นมาโทนกับผมก็ไม่เคยไปเล่นสงกรานต์อีกเลย เพราะปีต่องานก็เยอะขึ้น เยอะขึ้น เพราะเราไม่รู้หรอกว่าสัตว์จะป่วยตอนไหน แต่ปีนี้ … มีลุงทายไปด้วย อาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้ …

   “ตามใจนะ แต่คุยกับไอ้โทนเอาแล้วกัน”

   “แล้วลุงอยากให้ผมไปด้วยหรือเปล่า” ผมถามขึ้นเบา ๆ ลุงทายวางแก้วเหล้าริมฝีปากเหยียดยิ้มขึ้นเอื้อมมือหยิกแก้มผมอย่างแรง

   “โอ๊มเอ็บ” แก้มผมยืดจนเหมือนมาสเมโล่โดนไฟ ทำไมต้องรังแกผมด้วย ฮืออออออออ

   “ไอ้ตัวดื้อด้าน หึหึ ” ลุงทายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมก่อนจะจุ๊บปากผมที่ยู้ ก่อนมือหนาจะปล่อยแก้มผมออกและลูบแก้มผมอย่างเบามือ

   “ข้าอยากให้เอ็งมีความสุข อยากให้เอ็งได้รับสิ่งดี ๆ และข้าอยากให้เอ็งอยู่กับข้าแบบนี้ตลอดเวลา …” เสียงกระซิบของลุงทายทำให้ผมแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเข้าไปอยู่อ้อมอกที่แสนจะอบอุ่นของลุงทายตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าตอนนี้ผมมีความสุขมาก ๆ เลย …

.

.

.

           “ครับ คุณแม่ ครับ เกื้อจะดูแลตัวเองดี ๆ ครับ ครับ”

   ผมวางสายจากคุณแม่และหันไปพยักหน้าให้โทนที่นั่งมองตาแป๋วด้วยสายตาระทึกใจคะยั้นคะยอ ผมตั้งแต่เช้า ผมยังซักผ้าไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ หน้าขาวที่ถูกปะแป้งมาบ้างแล้วคงจะฝีมือพี่ ๆ ที่ค่ายมวย เสื้อลายดอกสีดอกสดกับกางเกงสามส่วนเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย มัดจุกสูงขึ้นไปเป็นน้ำพุเปิดเหม่งใสแจ๋ว โทนคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองน่ารักแค่ไหนที่แต่งตัวก๋ากั่นขนาดนี้ ให้อารมณ์เหมือนละครลูกสาวกำนันประมาณนั้น จะตลกก็ไม่ใช่ผมว่าน่าเอ็นดูมากกว่า   

           “ไปได้จริงอะ”

           “อื้อ” ผมยิ้มพยักหน้าอีกรอบ ดูเหมือนโทนจะเป็นคนที่ดีใจมากกว่าผมซะอีก ดูจากปฏิกิริยายกมือยกไม้เป็นลิงตอนนี้ละนะ

           “โอ้ยยยยยยยยย ไป ๆ มึงไปเลยไอ้เกื้อไปแต่งตัว ฮ่าๆๆๆ กูเตรียมชุดไว้ให้แล้ว นี้!!!!”

   โทนโชว์เสื้อลายดอกสีฟ้าให้ผมเป็นการใหญ่ ผมรับเสื้อมาก่อนจะเดินเข้ามาอาบน้ำอาบท่าในห้องนอนของตัวเอง … เมื่อคืนลุงทายกลับไปตอนไหนนะ ผมหลับไปรู้เรื่อง เฮ้อ …

   “อาบนานเป็นบ้าเลยเอ็งเนี้ย”

   “อ่ะ!ลุงทายเข้ามาได้ไงครับ”

   ผมรวบเสื้อคลุมอาบน้ำที่ใส่หน้ามิดชิดเข้าหาตัวเองอีกเป็นอัตโนมัติเมื่อออกมาเห็นลุงทายนั่งกอดอกอยู่ที่เตียงของผม มะ มาได้ไง ผมค่อนข้างตื่นเต้นเพราะผมไม่เคยเห็นลุงทายอยู่ในห้องนี้ตอนเช้าเลย … ทั้งอาย ตื่นเต้น ดีใจ ประมาท จนผมไม่รู้จะพูดความรู้สึกหรือแสดงมันออกมายังไง

   “ผะ ผมว่าลุงทายออกไปก่อนนะครับ ดะ เดี๋ยวโทนจะมาเห็น”

   “ไอ้โทนป่านนี้มันเล่นน้ำอยู่หน้าบ้านกับพวกไอ้ไม้ไม่สนใจหรอก มีแต่เอ็งนี้แหละที่ชักช้า จนข้าต้องขึ้นมาตาม เอ๊า แต่งตัวซะสิ จะได้ไปกันสักที”

   “คะ ครับ แต่ลุงออกไปก่อนได้ไหม” ผมหดคอเข้าเมื่อลุงทายเดินย่ามกายเข้ามาหาผมที่ยืนชิดอยู่ในซอกตู้เสื้อผ้า

   “ทำไม อายข้าเหรอ … หึหึ ขี้อายจังนะเด็กน้อย ไหนขอข้าดูหน่อยสิ” อือออออออ ทำไมต้องแกล้งผม ผมปัดมือลงที่จะล้วงเข้ามาในคอเสื้อผม แต่ผมหนาก็รวบมือทั้งสอง ของผมขึ้นไปเหนือหัว ทำให้เสื้ออาบน้ำของผมร่นขึ้นไป ด้านล่างเลยหวิว ๆ ฮือออ

   “ละ ลุงทาย เสื้อตัวนี้เชือกมันไม่ค่อยแน่นนะอย่าเล่นแบบนี้สิ”

   “หึหึ ถ้าเอ็งไปพูดแบบนี้กับคนอื่น เอ็งอาจจะ … ถูกกินก็ได้นะ” ผมเอียงคอมอง แต่ลุงทายไม่พูดอะไรต่อนอกจากยิ้มและปล่อยผมให้เป็นอิสระ เดินออกจากห้องไปซะเฉยๆ …. ผมแค่บอกว่าเสื้อผมจะหลุด ทำไมต้องบอกผมจะถูกกินด้วย ผมไม่ใช่อาหารนะ สงสัยจะหิวใช่ไหม ?

           “อะ อะไม้ อย่าแกล้งพ่อมึงสิ อ๊ากกกกกกกก อย่าเอาน้ำแข็งมาสาดข้า อ่ะ!”

โครม!

           ผมตกใจทันทีที่กะละมังใส่น้ำแข็งถูกน้องไม้ยกขึ้นและสาดโครมใส่พ่อตัวเองที่ถูกหิ้วปีกด้วยผีแสง … เอ่อ คือ เล่นรุนแรงไปไหมพ่อลูกคู่นี้

           “ปล่อย”

   เสียงโทนสั่นไม่ใช่เพราะโกรธแต่เป็นเพราะหนาว ทำให้พี่แสงต้องปล่อยและเจ้าไม้ก็วิ่งเอาผ้าขนหนูไปห่มหัวทั้งๆที่กำลังหัวเราะในผลงานของตัวเอง อย่างสนุกสนาน โดยมีพี่เมฆยืนหัวเราะอยู่ข้างพี่แสง และอย่างที่คาด น้องไม้ก็โดนกัดหูแก้แค้นไปตามระเบียบ ผมยืนมองภาพเหล่านั้นอยู่บนชานบ้าน พวกเขาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ

   แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อมองเห็นลุงทายยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถกระบะ ลุงทายเป็นอะไรหรือเปล่านะ เป็นห่วงจังเลย …

           “อ่ะ ไอ้เกื้อออกมาแล้ว พี่แสงพี่เมฆ จัดการ!!!”

           “ดะ เดี๋ยวๆๆ อื้อออออออออออออ” ผมร้องสุดเสียงเมื่อถูกจู่โจมด้วยความเร็วสูง ก่อนที่น้ำเย็นเจี๊ยบจะสาดโครมใหญ่เข้าหน้าผม เปียกหัวจรดเท้า … นะ นะ หนาวววววววววววววววววว

           “ขอปะแป้งหน่อยนะจ๊ะน้องสาว วี๊ด วิ๊ววววว”

    พี่แสงหัวเราะกิ๊กพาผมหัวเราะไปด้วยหนาวก็หนาว ขำก็ขำ … แต่หนาวมากกว่า เท่านั้นยังไม่พอ แป้งแคร์ผสมน้ำก็ปาดเข้าหน้าเข้าตาผมกันเต็มที่ เอาเต็มที่เลยครับพี่ ๆ แต่ดีนะที่พวกเขาไม่เล่นดินสอพองกัน เพราะผมแพ้ดินสอพอง ถ้าโดนมาก ๆ จะมีผืนขึ้นด้วย

           “สรุปจะเล่นกันอยู่ตรงนี้ใช่ไหม?” ผมหันไปมองลุงทายที่กอดอกมองพวกเราอยู่ แต่พอสบตาผมเขาก็ยิ้มน่ารักให้

           “เปล่าคร้าบบบบบบบบ” ทั้งหมดขานเป็นเสียงเดียวกัน มีแต่ลูกไม้ที่นั่งยิ้มมองพ่อตัวเองที่ยิ้มแป้นไม่หุบ เหมือนเด็กน้อยที่ได้ไปสนามเด็กเล่นครั้งแรกในชีวิต อย่าว่าแต่โทนเลยผมเองก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมจะได้ไปเที่ยวกับครอบครัวนี้  ตื่นเต้นจัง

           “ไปนั่งหลังกระบะสิ จะเล่นด้วยไม่ใช่หรือไง ” ผมหันไปเอียงคอใส่ลุงทายและยิ้มแป้นให้เขาหันมาคาดสายนิรภัยของตัวเอง จะให้ผมทิ้งเขาให้ขับรถอยู่คนเดียวได้ยังไง

           “หึหึ อยากอยู่ใกล้ข้าหรือไง”

           “… ลุงจันทร์กับลุงทิมไม่มาด้วยเหรอครับ”

           “ตอบไม่ตรงคำถามนะ อยากอยู่ใกล้ข้าหรือไง” ผมสะดุ้งเมื่อลุงทายมากระซิบข้างๆหูผม พอหันไปปากผมก็สัมผัสกับกลิ่นบุหรี่จาง ๆ จากริมปากฝีปากหนาของลุงทาย …มะ ไม่ได้นะ พวกโทนอยู่หลังรถนะ

           “ต่อได้ไหม” ผมเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของลุงทายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ไม่ได้นะครับ ถึงฟิล์มรถจะดำขนาดนี้ แต่ … แต่ว่า

           “มะ มะ ไม่ได้ครับ พวกโทน เอ่อ”

           “หึหึ พวกมันไม่สนใจหรอก เห็นไหมเล่นน้ำกันสนุกอะไรปานนั้น” ผมดันหน้าลุงทายออก ก่อนจะเปิดกระจกเรียกพวกโทนขึ้นรถ ลุงทายจะได้หายหื่นกามสักที แต่ลุงทายก็ไม่สลดผมยังได้ยินเสียงหัวเราะของคุณลุงอยู่เลย … บ้าจังผมเขินจะตายแล้วรู้ไหมละ

           “หัวเราะอยู่นั้นแหละ” ผมหันไปขู่ฟ่อมึงเอาผ้าคุมตัว เพราะลุงทายแกล้งเปิดแอร์ซะเย็นเฉียบ คนบ้า ทำไมชอบแกล้งผมนักนะ …

           วันนั้นลุงทายพาพวกโทนขับรถรอบเมืองหยุดเล่นเป็นระยะๆ ผมก็ลงไปเล่นบ้าง แต่ถ้าจะโดนแป้งผมมักจะหลบอยู่หลังลุงทายตลอดเวลา จนลุงทายต้องแหงมปากผม ถึงรู้ว่าผมแพ้แป้งดินสอพอง จากนั้นเขาก็ไม่ปล่อยให้ผมละสายตาเลย เขาคอยกันผมตลอดเวลามีใครจะมาปะแป้งผม โทนกับไม้เองก็เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน โดยมีแบล็กกาวส์เป็นพี่แสงเกี้ยวสาวอยู่โดยมีพี่เมฆยืนดูอยู่ไม่ห่างถึงจะมีสาวแวะเวียนมาขอแปะแป้งไม่ขาดสาย โดยไม่ทันสังเกตว่าแขนหนักๆของลุงทายก็กอดพาดอยู่ที่หัวไหล่ของผมไว้เช่นกัน …

           “ขอปะแป้งลูกสาวหน่อยได้ไหมครับคุณพ่อ” ผมมองหนุ่มหล่อที่เดินมาหยุดตรงหน้าเราสองคน ก่อนที่จะเงยหน้ามองลุงทายที่ยืนหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ ผม

           “ข้าเป็นผัวมัน”

           “ลุงทาย!!!” ผมกัดฟันอุทานอย่างตกใจตาโต ก่อนจะหันไปมองพ่อหนุ่มคนนั้น ที่เดินหน้าซีดคอตกออกไปแล้ว … บ้าที่สุด ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!!!

           “ทำไม หรือเอ็งอยากจะให้มันปะแป้ง”

           “เปล่านะครับ” ผมโบกมือไปมา

           “งั้นก็อยู่เฉย ๆ ถ้าไม่อยากให้ข้าจะพากลับบ้านเดี๋ยวนี้” ผมยู่หน้าก่อนจะฉีดน้ำใส่เด็กน้อยที่เดินผ่านมา ก่อนจะหันมาฉีดใส่ลุงทายและหัวเราะออกมาเบ าๆ ทำให้บรรยากาศของคุณลุงขี้งอนหายไป นี้แหนะๆ ฉีดเลย อิอิ

           พอตกเที่ยง เรา 6 คนก็พากันมากินก๋วยเตี๋ยวเรือชื่อดัง เติมพลังกันก่อนที่จะตะเวนเล่นกันอีกพักใหญ่ และตีรถกลับในเวลาบ่ายแก่ ๆ พอมาถึงบ้านโทนได้ ทุกคนก็พากันแยกย้ายไปอาบน้ำ ผมเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมมาด้วย เฮ้อ เมื่อยตัวไปหมดเลย แต่สนุกดีจัง

           “พ่อๆๆๆๆ นั่งๆๆๆๆ”

   ผมที่นั่งเล่นกับพวกสมุนน้อย ๆ ของโทนที่มีแกนนำคือมีมี่ โทนก็ผลักหลังของลุงทายที่ใส่แค่ผ้าขาวม้าตัวเดียวแป้งหอม ๆ ปะไปตามตัวขาวจั๊วะ เหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินผ่านหลังไป … ซะ ซิกแพคลุงทายสวยมากเลย -//////-

           “อะไรของเอ็งวะไอ้โทนนนนนนนนนนนนนน”

           “พ่อก็นั่งดิ ดิ้นแบบนี้ผ้าหลุดขึ้นมาทำไง” ผมก้มหน้างุดทันที อย่าหลุดเชียวนะผมเขิน

           “เออๆ เล่นอะไรกันวะ”

   ลุงทายนั่งลงที่เก้าอี้ลานหน้าบ้าน ผมรีบอุ้มเจ้าเด็กมะเขือตัวอ้วนตั๊บ วิ่งไปดูด้วย พอลุงทายเห็นผมก็เหยียดยิ้มและหลบตาไปตะโกนด่าโทน พอเห็นแบบนั้นผมก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพื่อผมทำท่าทีลุกลี้ลุกลนหันไปมองลุงจันทร์และลุงทิมที่ถูกพี่แสงและพี่เมฆหิ้วปีกมาอยู่

           “วะ! พวกมึงนี้อะไรกันวะ ข้ากำลังส่องพระกันอยู่”

           “เอาน๊าลุง ไปเล่นก็ไม่ไปมาอยู่กับพวกฉันหน่อยแค่นี้ทำบ่น”

           “เอ๊า!ไอ้ห่าจะทำอะไรกันวะ” ลุงจันทร์ยั๊วะขึ้นมาอีกเมื่อนั่งลงข้าง ๆ ลุงทายได้ ลุงทิมหัวเราะน้อย ๆอย่างรู้เกมก่อนจะเดินไปนั่งลงแต่โดยดี พอทุกอย่างพร้อมจนโทนพอใจก็หันไปส่งสัญญาณให้น้องไม้ที่ยืนรอท่าอยู่แล้ว

           “ไม้จัดการ”

   เจ้าไม้พยักหน้าทำท่าตะเบะกวนๆก่อนจะวิ่งขึ้นไปบนบ้าน สักพักลงมาพร้อมขันน้ำสีเงินใบใหญ่ผมหันไปเอียงคอมองยิ้ม ๆ ใส่โทนที่ยิ้มหน้าแดง รับขันน้ำมาถือไว้ในมือของตัวเองเดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าลุงทาย ลุงจันทร์และลุงทิม ผู้อาวุโสของบ้าน … หึ ลุงทายแก่จัง อิอิ ผมแอบเห็นลุงทายแยกเขี้ยวใส่ผมจนผมต้องหยุดหัวเราะยกอุ้งมือของมะเขือโบกให้อย่างหยอกล้อ คิกๆ 

   โทน น้องไม้พี่แสงและพี่เมฆลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าพวกลุง ๆ ก่อนที่ภาพน่ารัก ๆ ตรงหน้าจะทำให้ผมยิ้มตามไม่หุบ พิธีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่แสนสนุกที่ทำให้พวกลุงตัวหอมไปด้วยกลิ่นน้ำอบกับดอกไม้นานาชนิดก็เริ่มขึ้น จนลุง ๆ ตัวเปียกกันยกใหญ่ ที่หนักที่สุดก็ลุงทายที่มีดอกไม้อยู่บนหัวด้วย และทุกคนก็ต้องอ้าปากค้างเมื่ออยู่ ๆ พี่เมฆเดินมาพร้อมกับถังน้ำใบใหญ่สาดโครมเข้าให้ แรงจนลุงจันทร์ไม่ทันตั้งตัวตกจากเก้าอี้ไปเลย นั้นแหละครับ สักพักตัวโทนคนคิดริเริ่ม ก็ถูกยกตัวลอยไปนั่งหน้างออยู่ในถังน้ำ หึหึ ผมเคยบอกหรือยังว่าบ้านหลังนี้มีความสุขขนาดไหน

.

.

.

           “พรุ่งนี้ผมกลับบ้านนะครับ”

    ผมกระซิบบอกข้างหูลุงทายที่นอนกอดผมอยู่บนเตียงหนาของผม … ตกเย็นผมกลับมาบ้านก่อนหลังจากตั้งวงกินข้าวเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อยด้วนบรรยากาศครอบครัวสุขสันต์ ลุงทายจะตามผมออกมาในเวลาเดิม อบอุ่นจังเลย อยากอยู่อย่างนี้นานๆ คำว่ารักกับสถานะคงไม่สำคัญถ้าผมมีลุงอยู่ตรงนี้ …

   “หึหึ เอ็งจะกลับไปเล่นน้ำกับหนุ่มที่ไหน”

   “คิก เปล่านะครับ ผมจะกลับไปไหว้แม่กับพี่กาย ผมอิจฉาครอบครัวลุงมากเลยนะครับ” ผมเอาจมูกเล็กของตัวเองสีไปมากับจมูกโด่งเป็นสันของลุงทาย … เขาลูบกระหม่อมผมเหมือนเด็กน้อยก่อนจะหอมหน้าผากของผมอย่างอ่อนโยน

   “เอ็งเป็นเด็กดีนะไอ้เกื้อ ถ้าวันไหนไม่มีข้าอยู่ เอ็งต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะ”

   คิ้วของผมขมวดปมก่อนจะมองหน้าลุงทายเขม็ง … ทำไมพูดจาแบบนี้เค้าไม่รู้หรือไงถ้าไม่มีเขาอยู่ผมคงอยู่ไม่ได้ ไม่สิ ผมอยู่ได้ แต่ผมคงต้องเสียใจมาก เสียใจจนไม่อยากจะทำอะไรทั้งนั้นเพราะหัวใจของผมถูกกระชากหายไปแล้ว …

   “หึหึ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ นอนซะนะเด็กน้อย” เขากระชับกอดผมเอาไว้แน่น อย่างปลอบโยน จนผมเข้าสู่ห้วงนินทรารมณ์ในความฝันที่โบยบิน … ลุงทาย … เกื้อรักลุงทายมากๆเลยนะ …





==================



หว๊านเก๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงง




หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ปู่ทายXเกื้อกูล2} 20/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 21-04-2020 14:28:09
โว้ยยยเขิน  >.,< อ่านทีไรก็เขิน ชอบๆ   :pig4:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ปู่ทายXเกื้อกูล2} 20/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 21-04-2020 15:21:13
 :katai3:  อยากเห็นโทนมาจับผิดสองคนนี้ละ :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่14 อดีตห้วน} 21/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 21-04-2020 16:44:28

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 14 อดีตห้วนคืนปัจจุบัน จากกันไม่อาจนานนับ




แกรก แกรก แกรก


           เสียงของไม้กวาดทางมะพร้าวดังขูดกับพื้นคอนกรีตยามเช้ากวาดเศษใบโพธิ์ใหญ่ที่หล่นลงมาจากต้นของมัน ใบหน้าคมเข้มของลูกไม้ส่องกับแสงอาทิตย์ที่สว่างจ้าขึ้นมาจากขอบฟ้าหลังจากกลับมาจากไปช่วยหลวงตาบิณฑบาตเสร็จก็ถูกไหว้วานจากลูกศิษย์ของวัดให้ช่วยกวาดแทนเพราะตนนั้นต้องเข้าไปดูแลลูกวัดอีกคนที่ป่วยจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย

           ในวันหยุดของไม้ เจ้าตัวมักจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ถ้าวันไหนปู่ไปต่างจังหวัดเช่นวันนี้ ลูกไม้ก็จะมาช่วยงานที่วัดจนถึงสาย ๆ ถึงจะกลับไปที่บ้านเพื่อรับพ่อโทนไปทำงานและตัวเองก็จะกลับมาซ้อมมวยตลอดทั้งวัน

   เมื่อตกเย็นก็จะผละมาทำความสะอาดบ้านและขับรถออกไปรับพ่อโทนมาทำอาหารเย็นให้คนในค่ายส่วนตัวเองจะผละมาอาบน้ำ พอกินข้าวเสร็จทำงานล้างถ้วยล้างชามให้เรียบร้อยถึงจะขึ้นห้องมาอ่านหนังสือ โดยมีพ่อโทนอยู่เงียบๆเป็นเพื่อน แต่หากวันไหนพ่อโทนต้องอยู่ร้านจนดึกจนดื่น เค้าก็จะแบกหนังสือไปนั่งอาบที่ร้าน และรับพ่อโทนกลับมาพร้อมๆกัน กิจกรรมในแต่ละวันมักจะวนเวียนอยู่เช่นนี้ และลูกไม้ก็มีความสุขมากที่สุดเพราะมีพ่อโทนอยู่เคียงข้างกัน

   “เจ้าไม้เอ็งกวาดเสร็จขึ้นมาหาหลวงตาในโบสถ์ด้วยนะ”

   “ครับพี่มาด” ลูกไม้ขานรับลูกวัดที่ตะโกนมาจากบ้านพักของพวกลูกวัดที่อยู่ไม่ไกลมากนัก ก่อนจะหันกลับมารีบกวาดใบไม้เสียให้เสร็จสิ้น

   “พี่ไม้จ๋า พี่ไม้” เจ้าลูกวัดจำเป็นชะงักไม้กวาดก่อนจะหันไปมองตามแรงกระตุกชานเสื้อ และใบหน้าคมเข้มก็แย้มยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับเจ้าเด็กหัวจุกแก้มยุ้ย

   “พี่ไม้มาเล่นบอลกับจุกหน่อย ลุงมาดซื้อมาฝากจุก พี่นตไม่สบายไม่มีคนเล่นกับจุก จุกอยากเล่น จะไปชวนหลวงตาเล่นก็กลัวจะโดนไม้ตะพดเคาะหัวเอา”

   เจ้าไม้หัวเราะก่อนจะนั่งลงไปลูบหัวทุยที่มีหางจุกยาวถักเปียเล็กยาวไปถึงหลังอย่างนึกเอ็นดู เจ้าจุกเด็กวัดที่อายุน้อยที่สุดในวัด มันอายุเพียง 5 ขวบ ถูกพ่อแม่ทิ้งไว้ที่หน้าวัดในคืนที่ฝนตก ดีที่ลูกวัดมาเจอเสียก่อนที่จะเป็นปอดบวม นำเข้ามาอยู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ เจ้าจุกตัวน้อยมันได้รับการเรียนการสอนเชิงวิชาการจากหลวงตาอย่างตามมีตามเกิด เพราะวัดป่าแห่งนี้ไม่มีเงินมีทองมากนัก ครั้นจะส่งเจ้าจุกไปอยู่สถานสงเคราะห์เจ้าตัวก็ไม่อยากจะไปเสียนี้เพราะความผูกผันมาตั้งแต่เด็กที่วิ่งเล่นอยู่ภายในวัด แต่ถึงอย่างงั้นเจ้าจุกยังโชคดีที่ได้รับการศึกษาจากอดีตดอกเตอร์อย่างหลวงตาที่ละจากทางโลกมาศึกษาทางธรรมอย่างสงบเพียงรูปเดียวในวัดป่าแห่งนี้ นอกจากนี้เจ้าจุก ยังได้รับการดูแลจากรุ่นพี่ในวัดอย่างสนุกสนานในทุกวัน ลูกไม้รู้ดีว่าเจ้าจุกรู้สึกยังไง เพราะเขาเองก็เป็นที่ไม่อยากจะไปไหนไกลจากคนที่รัก

   “เอาไว้ข้าทำงานเสร็จ ค่อยเล่นนะ”

   “ก็ได้จ้ะ งั้นจุกไปเล่นคนเดียวอยู่ตรงโน้นนะ พี่ไม้รีบตามจุกมาน้า” ว่าแล้วเจ้าจุกก็วิ่งพุงล้ำหน้าไปที่ลานต้นปริกที่ส่งกลิ่นหอมรันจวนไปทั่ววัดเจ้าไม้หัวเราะก่อนจะลุกขึ้นมากวาดวัดด้วยความขยันขันแข็ง

   เมื่อจัดการทางทั่วทั้งทางเดินสะอาดเรียบร้อยก็รีบวิ่งขึ้นไปบนโบสถ์ ที่สร้างขึ้นจากอิฐปูนและเก่าแก่จนมีคราบของน้ำฝนและหลุดลอกตามกาลเวลากว่า 80 ปี และไม่มีงบประมานพอที่จะบูรณะถึงจะมีผู้ใจบุญบริจาคเป็นระยะแต่ก็ไม่เพียงพออยู่ดี ไม้ได้แต่เฝ้าบอกกับตัวเองว่าถ้าเขามีเงินถุงเงินถังเมื่อไหร่จะบูรณะเสียใหม่ให้สวยสดเช่นวัดในตัวเมือง

   “มาแล้วเหรอเจ้าไม้”

   ไม้ก้มลงกราบนมัสการหลวงตาที่นั่งสมาธิอย่างสำรวมหันหน้าเข้าองค์พระประทานใหญ่ที่สร้างจากปูนสูงเกือบถึงเพดานของโบสถ์ที่บรรจงวาดลายศิลป์วาดอย่างสวยงามวิจิตรอยู่เหนือศีรษะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ลูกไม้ย่างก้าวเข้ามาภายในโบสถ์ความสงบก็ครอบงำจิตใจที่บอบช่ำ จากเรื่องต่าง ๆ มามากมาย

   “ครับหลวงตา” เจ้าไม้กล่าวขานรับอย่างนอบน้อมก่อนจะคลานเข่าเข้าไปนั่งอยู่ตรงชานแท่นที่หลวงตาท่านที่นั่งอยู่บนเสนาสนะ

   หลวงตาท่านค่อย ๆ ลุกขึ้นหันมานั่งมองลูกไม้ด้วยแววตามิตรไมตรี หลวงตาท่านเป็นภิกษุมีอายุ ที่ค่อนข้างร่างกายแข็งแรงไร้โรคภัยไข้เจ็บและเป็นที่นับหน้าถือตาของลูกศิษย์มากมายเดินทางสายธรรมมะละซึ่งกิเลสแล้วทั้งปวง เจ้าไม้เองก็อยากที่จะบวชทดแทนคุณ อยู่เป็นลูกศิษย์ลูกหาหลังตัวเองเรียนจบมหาลัยเพื่อทดแทนบุญคุณของพ่อโทนและปู่ทายเสียกับหลวงตา

   “ไอ้ทายกับไอ้โทนสบายดีนะ เมื่อเช้าข้ายุ่ง ๆ เลยไม่ได้ไถ่ถามเอ็ง”

   “สบายดีครับหลวงตา ปู่ยังแข็งแรง ส่วนพ่อโทนก็น่ารักเหมือนเดิมครับ”

   “ฮ่าๆๆๆ เออดี ๆ แล้วเอ็งเป็นยังไงการเรียนกับอาชีพมวยของเอ็ง”

   “ดีครับหลวงตา เดี๋ยวอีกสัปดาห์ผมจะปิดเทอมใหญ่แล้วขึ้น ม . 6 แล้วครับ ส่วนมวยตอนนี้ก็เรื่อยๆครับหลวงตา”

   “เออดี ๆ ที่ข้าเรียกเอ็งมาคุยส่วนตัววันนี้ข้าอยากจะถามเอ็งเสียหน่อย”

   “มีอะไรหรือครับหลวงตา” เจ้าไม้นึกสงสัยเพราะหลวงตานั้นนาน ๆ ทีจะแสดงปฏิกิริยาเคร่งเครียดเช่นนี้ เหมือนกับมีลางสังหรณ์บางอย่างกระซิบบอกให้ลูกไม้รับรู้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องไม่ดีนัก

   “เมื่อวานเจ้ามาดมาบอกข้าว่ามีโยมรูปร่างสูงใหญ่หลายคนมาที่วัด ขู่ไอ้มาดสารพัดพวกมันเลยช่วยกันไล่ออกไปจากวัดกันเรื่องใหญ่โต เอ็งไปทำอะไรใครเขาไว้หรือเปล่าเจ้าไม้”เจ้าไม้ขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะเม้มปากและส่ายหัวเบาๆ …

   ทั้ง ที่รู้อยู่เต็มอกแต่ยอมพูดปดเพื่อให้หลวงตาคลายกังวน … เรื่องนี้จะไม่มีใครเกี่ยวข้องทั้งนั้น เจ้าไม้รู้ดีว่ายังไงวันนี้ก็ต้องมาถึง วันที่ชะตาลิขิตไว้แล้ว ยังไงเลือดเนื้อเชื้อไขก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ยังไงชะตากรรมก็ต้องหวนกลับ … ก็ดี … จะได้สะสางกันเสียให้เสร็จสิ้นไป

   “ผมกราบลาละครับหลวงตา นึกได้ว่าต้องกลับไปรับพ่อโทนไปทำงาน”

   “เออ ๆ โชคดี มาที่วัดนี้ได้ทุกเมื่อ ไอ้จุกคงรอเอ็งคอยาวอยู่นั้นแหละ”

   “ครับหลวงตา สวัสดีครับ” เจ้าไม้ก้มลงกราบอย่างนอบน้อมก่อนจะลุกขึ้นยืนและหันหลังเดินออกไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อหลวงตากล่าวขึ้น

    “โชคชะตามันเป็นแค่สิ่งลวงตาไอ้ไม้ จำคำหลวงตาไว้” เจ้าไม้ก้าวเดินออกมาจากโบสถ์ภายในใจมีแต่คำถามมากมายที่ยังหาคำตอบไม่ได้

   “พี่ไม้จ้าพี่ไม้ เล่นกับจุกได้หรือยังงงงงงงงงง”

   เจ้าจุกวิ่งเข้ามาทวงสัญญาทันทีที่เจ้าไม้เดินลงจากโบสถ์ไปลูกบอลอัดส้มสีส้มแปร้นที่อยู่ในมือทำให้เจ้าไม้ถอนหายใจวูบใหญ่ … ไม่ใช่ไม่อยากเล่นแต่เวลานี้เห็นทีจะไม่ควร ในเมื่อพวกมันตามหา เขาก็จะออกไปซัดกับมันสักตั้งอยากจะรู้เหมือนกันว่าใครจะอยู่ใครจะไป

   “พี่ไม้จ้า เล่นกันๆๆๆๆ” เจ้าจุกปีนไตร่ขึ้นมาอยู่บนไหล่ของเจ้าไม้ที่ยืนปักหลักอยู่หน้าโบสถ์ จิตใจของเจ้าเด็กตัวยักษ์ตอนนี้หาได้อยู่ที่นี้แล้วไม่ แต่ก็ยังพอที่จะมีสติไม่สะบัดเจ้าตัวน้อยไร้เดียงสานี้ทิ้งให้หัวกระแทกพื้นได้รับบาดเจ็บ มันยกมือขึ้นพยุงจุกไว้ไม่ให้หล่นแต่ก็ไม่พูดจาอะไรทั้งสิ้น

   “ไอ้จุกเอ็งไปโหนไอ้ไม้มันแบบนั้นได้ยังไง ขึ้นมาหาหลวงตานี้!”

   “จ้าหลวงตา พี่ไม้จุกไปก่อนนะ ไว้มาเล่นกันนะครับ” เจ้าจุกขานรับหลวงตาที่ตะโกนลงมาจากประตูโบสถ์ทำให้เจ้าจุกยอมที่จะลงจากคอลูกไม้วิ่งพุงล้ำขึ้นไปหาหลวงตา

   เจ้าไม้หันไปยกมือไหว้ให้หลวงตาและยกมือบ๊ายบายเจ้าจุก ยิ้มที่เต็มกลืนและเก็บกดทุกอย่างไว้ในใจ ก่อนจะเดินออกมาจากวัดโดยตรงกลับบ้านค่ายมวยในทันที คิดถึงพ่อโทนอยากกอดเอาไว้แนบกายโดยไม่ต้องสนใจใครทั้งสิ้นแต่ก็ทำแบบนั้นได้ยากเหลือเกิน … โดยหารู้ไม่ว่าตนเองถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา

   “เจอตัวแล้วครับนาย” ชายร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนธรรมดา ที่แอบมองอยู่ข้างกำแพงวัดต่อสายตรงหาผู้เป็นนายทันทีที่มองเห็นหลังไวๆของลูกไม้ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากวัดแยกไปอีกทาง

   “งั้นแสดงว่าไอ้พวกที่วัดมันก็โกหกน่ะสินะ หึ จัดการให้มันรู้สำนึกสิว่าถ้าโกหกคนอย่างฉันจะเป็นยังไง” เสียงแหบพล่านดังรอดออกมาจากปลายสาย

   “ครับนาย”

   “อย่าให้มันเหลือซากมากวนใจฉันได้อีก”

   “รับทราบครับนาย”

   ชายร่างสูงเก็บโทรศัพท์เครื่องเก่าตัวเองลงกระเป๋า ก่อนจะลอบมองเข้าไปในช่องกำแพงวัด เห็นเจ้าจุกกำลังเล่นบอลอย่างสนุกสนานอยู่เพียงลำพัง โดยมีหลวงตายืนมองมันอยู่ไม่ห่างมากนัก วัดป่าร่มกาสาวพัสตร์ที่แสนสงบ ดูสิถ้าเจอกับไฟนรกจะทนทานความสงบอยู่ได้หรือไม่ …

   

-โทน-

           “พี่เมฆไอ้ไม้ไปไหนอะ!”

           “ไปวัดช่วยหลวงตาบิณฑบาตน่ะ”

           “แต่นี้จะ 9 โมงแล้วนะ ไหนบอกจะมารับไปทำงานไง ฮ่วย!!! ไปตอนไหนก็ไม่บอกไม่กล่าวตื่นมาไม่เจอก็นึกว่าหายไปไหน!!!”

           “เฮ้ยยยยยยยย เมนมาหรือไงไอ้โทน หงุดหงิดไปทั่ว ไอ้ไม้มันก็ไปแบบเนี้ยประจำนั้นแหละ เอ็งนั้นแหละเลือดลมไม่เดินหรือไงวะ” ผมหันไปค้อนขวับใส่พี่แสงที่ชะงักทำท่ารูดซิบปากและโยนกุญแจทิ้ง

   หึ พี่แสงนั้นแหละไม่รู้อะไรเลย ไม่มีใครเข้าใจอะ ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ไอ้ไม้อยู่ในสภาวะอันตรายแค่ไหน ไอ้ลุงบ้าบอนั้นจ้องจะมาเอาลูกผมไปอยู่แล้ว มันไม่ธรรมดาอะ ผมไม่อยากเสียลูกผมไปอะ ไม่มีใครเข้าใจหรอก ถ้าเป็นพ่อคนแล้วจะรู้ หึ ถ้าต้องเสียไอ้ไม้ไป ผมคงต้องร้องไห้หนักมาก และผมไม่อยากร้องไห้ แค่คิดว่ามันหายไปใจผมก็แทบจะไม่มีแรงอยู่แล้ว

   จะว่าผมพาลก็ได้ แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อความรู้สึกตอนนี้ไม่รู้มันจะอยู่ในขอบเขตที่ผมสามารถควบคุมได้ไหม … ผมรู้อย่างเดียว ผมไม่อยากเสียไอ้ไม้ไปแค่นั้นแหละ ผมแค่เป็นห่วง …

           “นั้นไงพ่อตัวดีกลับมาแล้ว” ลุงจันทร์ส่งเสียงแซวมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเมื่อเห็นไอ้ไม้ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาในบ้าน เหอะ มอมแมมไปหมด นี้ไปขลุกฝุ่นที่ไหนมาตอนแรกก็ว่าจะด่าหรอกนะ แต่เห็นแล้วด่าไม่ลง ไม่รู้ทำไม

           “พ่อโทนผมหิวจังครับ” อะ พอเจอหน้ากูได้ก็ร้องหิว ๆ ไปไหนมาไหนได้แต่กินข้าวต้องกลับมาตายรังตลอดให้ตายสิ

           “ห่อข้าวไว้แล้ว ไปส่งที่ร้านและไปกินด้วยกันที่โน้น สายแล้วๆๆๆ”

   ผมพูดและวิ่งเข้าไปตะโกนรัว ๆ ที่หูตึงของไอ้ลูกบ้า ไอ้ไม้ย่นคอหนีหัวเราะคิดออกมาก่อนจะรีบทำตามบัญชาผมโดนด่วน ผมก็ไม่รอช้ากระโดดขึ้นไปเกาะเอวเด็กตัวยักษ์ที่โตวันโตคืนจนตัวใหญ่กว่าผมไปเยอะมากแล้ว มีแต่ผมนี้แหละที่หยุดการเจริญเติบโตไปแล้ว เศร้าใจแปป

.

.

.

   “ไปวัดมาเป็นไงบ้าง” ผมถามขณะที่นั่งกินข้าวอยู่ที่ห้องกินข้าวในโรงพยาบาลสัตว์ไอ้เกื้อมองผมกับลูกไม้สลับกันก่อนจะยิ้มหวานและก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่คนเดียวเงียบ ๆ

   “ก็ดีครับ ไปช่วยบิณฑบาต กวาดลานวัด แล้วก็คุยกับหลวงตา ตอนแรกว่าจะเล่นกับเจ้าจุกต่อ แต่กลัวพ่อโทนรอนาน”

   ผมหัวเราะแก้เขินไม่ถามอะไรมันต่อ พอกินเสร็จมันก็เก็บจานชามล้างพอดีกับที่เคสผ่าตัดใหญ่สุนัขโดนรถชนเข้ามาพอดี ผมเลยให้ไอ้ไม้เป็นลูกมือช่วยไอ้เกื้อหยิบจับโน้นนี้จนเสร็จก็เกือบบ่ายโมงกว่าๆ

   “เดี๋ยวผมไปซื้ออะไรมาให้กินดีกว่านะครับ”

   “ไม่ต้องงงงงงงงงง”

   ผมร้องห้ามสุดเสียงจนไอ้เกื้อที่นั่งปลอบเจ้าของหมาที่นั่งร้องไห้ดีใจเพราะหมาอาการปลอดภัยแล้วอยู่แอบสะดุ้ง ทางที่ดีผมต้องเซฟเอาไว้ก่อนดีกว่า ผมต้องห้ามๆๆๆ ห้ามให้ไอ้ไม้อยู่ห่างจากตัวโดนเด็ดขาด ดดดดดด ด จนกว่าผมจะแน่ใจว่าไอ้ไม้ปลอดภัยจากทุกอย่าง ผมว่าคงอีกสักพักนั้นแหละ

   “ไม่เป็นไรครับพ่อโทน ไม้ไปได้ ไม่ต้องห่วง”

   “ไม่เอา เดี๋ยวข้าไปเอง ไอ้เกื้ออยู่ดูร้านนะเดี๋ยวข้ามา” ผมรีบวิ่งแจ้นออกมาจากร้านทั้งๆเสื้อกาวน์ไม่สนใจเสียงห้ามของไอ้ไม้

   “อ่ะ ไอ้โทนนนนนนนนนนนนนนน มานี้ๆๆๆๆๆๆ” ผมตกใจจักยานแทบคว่ำ เมื่ออยู่ ๆ เจ้ขายไอติมกะทิเจ้าประจำที่ผมชอบพาไอ้ไม้มากินก็กวักมือเรียกผมยิก ๆ ผมมองเข้าไปในร้านที่ไม่มีคนแม้แต่คนเดียว แหมมม เรียกลูกค้าแบบนี้เลยหรอเจ้!!!

   “เจ้ผมหิวข้าวไม่อยากกินไอติมอะ”

   “เออ ไม่แดกก็ไม่แดก มาคุยกับข้าแปปนึง เร็วๆๆๆ เรื่องสำคัญ”

   ผมขมวดคิ้วเอียงคอก่อนจะยอมเดินเข้าไปในร้านอีเจ้ และยังไม่ทันจะแจ้มแจ้งแดงชัดว่าเจ้แกเรียกผมมาทำไม เจ้แกก็วิ่งไปปิดประตูร้านไม่พอล็อคกลอนแน่น เอ๊าแล้ววววว เห็นกันมาตั้งแต่ไอ้โทนคนนี้ตีนเท่าฝาหอยคิดจะปลุกปล้ำกันได้ง่ายๆเหรอ ขนลู๊กกกกกกกกกกก 

   “เจ้ๆ เดี๋ยวใจเย็นค่อย ๆ คุยกันดีกว่านะ” ผมแกล้งหยอกแกเมื่อเห็นแกเอามือสองข้างขยับผ้าถุงที่ใส่อยู่

   ความจริงเจ้แกก็มีดีกรีเป็นนางงามละมุดนะออกจะสวยซะด้วยซ้ำถ้าไม่ติดแกอินดี้ ปากปลาร้านะ ผมว่าแกคงมีสามีไปนานละ แต่นี้แกเลือกที่จะเป็นโสดอยู่ด่าเด็กในตลาดกับออกเที่ยวไปวัน ๆ มีบางวันผมอยากกินไอติมแต่เจ้แก่ดันปิดร้านไป 2 เดือน เต็มทัวร์ฮ่องกง!!!! ขายไอติมกะทิจนรวยหัวการค้าจริงจริ๊งงงงง ชีวิตแกมีสีสันไปอีกแบบ

   “ปากหมาจริง ๆ เลยเอ็งเนี้ย มานั่งนี้ดิ! ข้าถามอะไรหน่อย” แกสะบัดกระบังลมบนหัวแกหนึ่งทีก่อนจะนั่งอย่างไร้กุลสตีที่โต๊ะในร้าน ผมก้าวฉับ ๆ ลงไปนั่งตรงหน้าแกพอนั่งได้คำถามก็พุ่งมาเป็นลูกกระสุน

   “ไอ้โทนข้าถามจริง ๆ นะ ไอ้ไม้มันไม่สร้างปัญหาอะไรไว้หรือเปล่า มีหนี้มีสินเล่นการพนันมีเรื่องกับเจ้าพ่อ หรือทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับวะ อ่อ ค้ายาไอ้ไม้มันค้ายาอยู่หรือเปล่า หรือว่ามัน …”

   “โอ้ย พอแล้วเจ้ ลูกผมไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีทั้งนั้นแหละ แล้วเจ้เป็นอะไรเนี้ยมาว่าลูกผมเนี้ย!!!” ผมตะโกนขึ้นอย่างหงุดหงิดเดินไปตักไอติมในตู้ขึ้นมากินอย่างไม่สนใจอีเจ้ หึ โทษฐานที่ว่าลูกผมจะกินให้หมดตู้เลย แง่ม ๆ อร่อยจัง

   “ไอ้ห่าโทน โมโหแล้วมาลงกับไอติมข้าอีกละ เอ็งนี้มันจริงจริ๊งงงง กวนตีนตั้งแต่เด็นยันโต” เจ้แกบ่นๆๆๆ แต่ก็ไม่เห็นห้ามผมไม่ให้กินสักที ปากปลาร้าใจดีไม่มีสามีน่าสงสารจริงจริ๊งงงงงงงงงงงง

   “ว่าแต่ทำไมเจ้ถามผมแบบนี้อะ มีไรเปล่า”

   “ก็เมื่อวานน่ะสิ มีคนมาถามข้า แต่ข้าบอกไปว่าไม่รู้จัก คนในตลาดก็บอกไม่รู้จักเพราะกลัวไอ้ไม้ตาย แต่อีป้าร้านขายหมูไปเม้ากันให้แซดว่าไอ้ไม้ไปทำเรื่องไม่ดีมา ข้าเลยเป็นห่วงมันกลัวว่ามันจะตายเสียก่อนจะโต ข้าเสียดายหน้าตาหล่อเหลาของม้านนนนนนน”

   แหมอีเจ้ ผมก็นึกว่าเป็นห่วงอะไรที่แท้กลัวเสียทรัพยากรไอเทมแรร์ของโลกไปนี้เอง เฮ้อ… เป็นอย่างที่ผมคิดจริง ๆ นั้นแหละ พวกไอ้ตาเฒ่านั้นต้องมาเอาลูกผมไปแน่นอน แต่ผมกลับสงสัย ไอ้เฒ่านั้นมันก็รู้อยู่แล้วว่าไอ้ไม้อยู่กับผม ทำไมมันยังให้คนออกมาตามหาแบบนี้อีก แสดงว่าอาจจะไปที่โรงเรียน สถานสงเคราะห์มาแล้วก็ได้ผมควรจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดี สักวันมันต้องเจอกับไอ้ไม้แน่ๆ

   “นานหรือยังที่มันมาตามหานะเจ้”

   “เพิ่งจะเมื่อวาน มีอะไรบอกเจ้ได้นะ เจ้มีผัวเป็นตำรวจใหญ่หลายคน” 

   “ไม่มีอะไรหรอกน้าเจ้ ขอบคุณเจ้มากนะ ผมไปซื้อข้าวซื้อปลาให้ไอ้ไม้ก่อนดีกว่า”ผมว่าและหยิบไอติมออกมาถังนึงแปะโป้งแกไว้เอามาจ่ายงวดหน้า เจ้แกบ่นแล้วบ่นอีก ฮ่าๆๆๆ อร่อยง่ะ ถือซะว่าเป็นของหวานให้หลานมันล้างปากหลังกินข้าวแล้วกันนะเจ้นะ

   “ทะ ทะ โทน อยู่นี้เอง แฮกๆๆๆ” ผมหันไปมองไอ้เกื้อที่วิ่งมาจากไหนไม่รู้เหงื่อกายท้วมตัวจนแก้มมันแดงระเรื่อขึ้นเป็นทาง

   “ใจเย็น ๆ ไอ้เกื้อมีอะไร แล้วไอ้ไม้ละ”

   “มะ มีคนโทรมาบอกไม้ว่าวัดป่าบนเขา ถะถูกไฟไหม้ มะไม้ไปแล้ว ทะ โทนลืมโทรศัพท์ไว้ที่ร้าน” ผมเม้มปากรับโทรศัพท์มือถือตัวเองมาถือไว้ และคอยลูบหลังไอ้เกื้อให้มันหายใจสะดวก ฝืนขนาดนี้ถ้าโรคหอบมันกำเริบขึ้นมาทำไง ไม้ … ไอ้ไม้ไปวัดป่างั้นหรอ ?

   “เอ็งว่าไงนะไอ้หนู ไฟไหม้งั้นเหรอ แล้วมีคนโทรแจ้งดับเพลิงหรือยัง” เจ้แกวิ่งออกมาจากในร้านคิ้วขมวดปม เมื่อคนอื่นได้ยินว่าวัดป่าถูกไฟไหม้ก็พากันแตกตื่นโกลาหนไปกันใหญ่

   “มะ ไม่รู้จ้ะ ไม้รีบร้อนออกไปไม่ทันได้พูดคุยอะไรกัน ฉันโทรหาโทนไม่ติดเลยออกมาตามหา”

   “ตายๆๆๆๆ ไอ้โทนเอ็งพาไอ้หนูนี้ตามไอ้ไม้ไปก่อน เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องอื่นเอง ไปเร็วไป!!!” ผมพยักหน้าก่อนจะลากไอ้เกื้อวิ่งผ่าฝูงคนในตลาดออกมา … อย่าให้ภัยพาลใด ๆ มีรังควานร่มโพธิ์ใหญ่ที่สงบสุขแห่งนั้นเลย ไอ้ไม้ … รอพ่อมึงก่อนนะ …

   

-ไม้-

           ไฟไหม้ … ไหม้ได้ยังไง วัดป่าแบบนั้นการจะจุดไฟสักครั้งต้องใช้เตาถ่าน พวกพี่มาดไม่เคยสับเพร่าแบบนี้… เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิดจากคนใน พอคิดได้แบบนั้นมือผมก็บิดเร่งความเร็วมอเตอร์ไซค์ขึ้นเขามากขึ้น อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดมันจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของผม … ภาวนา … ภาวนาว่าอย่าให้มีคนเป็นอะไร ขอให้เหตุไฟไหม้เป็นเพียงไฟไหม้เพียงเล็กน้อย ภาวนาต่อพระคุณเจ้าของให้เรื่องราวทั้งหลายไม่ได้มีต้นเหตุจากผม … ไม่เช่นนั้นผมคง …

           “หลวงตา”

   ผมอุทานขึ้นมาเบา ๆ เมื่อขับเข้ามาใกล้วัดและเห็นหลวงตาที่นั่งพักกายอยู่บนที่นั่งพลาสติกหน้าวัดรอบกายมีกระป๋องที่ใช้ตักน้ำวางอยู่ระเกะระกะ … ก่อนจะนึกโล่งใจเมื่อภายในตัววัดไม่ได้เกิดความเสียหายอะไรมากนักตัววัดยังคงเติมแต่รอบกำแพงวัดกลับมารอยไหม้ของไฟ พอมองเข้าไปก็เห็นแต่เพียงต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่ยืนต้นตายเพราะไฟไหม้ เหมือนเป็นคำเตือนที่ทำให้ผมรู้ตัวเสียก่อน

           “เป็นยังไงบ้างครับหลวงตา ไม่เป็นไรนะครับ”

   พอจอดรถได้ผมก็เดินลงไปนั่งลงกับพื้นตรงหน้าหลวงตาที่นั่งพักกายอยู่ที่เก้าอี้ หลวงตายิ้มให้ผมก่อนจะเอามือมาวางบนศีรษะอย่างอ่อนโยน… สัมผัสนั้นทำให้ผมรู้สึกผิดเพราะบางสิ่งบางอย่างบอกกับผมว่าคำภาวนาข้อสุดท้ายของผมเป็นโมฆะ …

           “ไม่เป็นไร แต่ข้ายังเข้าไปในวัดไม่ได้ ไอ้มาดกับตำรวจเข้าไปตรวจตราในวัด”

           “แล้วมีอะไรเสียหายมากไหมครับ”

           “ไอ้ไม้!!!!!!”

   ยังไม่ทันที่หลวงตาจะได้ตอบอะไร พี่มาดก็เดินออกมาจากวัดและปรี่ตรงเข้ามาหาผมกระชาดคอเสื้อผมขึ้นและทำท่าจะเงื้อหมัดตรงเข้าหน้าที่ แต่หลวงตาร้องห้ามพร้อมกับที่เจ้าจุกวิ่งมากระชากเสื้อด้านหลังของพี่มาดเอาไว้เสียก่อนจะร้องไห้โฮออกมา … เป็นเพราะผมจริง ๆ สินะ 

           “พวกมันมาหามึงและมาเผาวัดของพวกกู เพราะมึงคนเดียว บอกกูมาเดี๋ยวนี้ว่ามึงไปทำอะไรไว้!!!!!” พี่มาดผลักอกผมจนไปชิดกับกำแพงปากระดาษที่ถูกขยำเป็นรวมเป็นก้อนไม่ต้องเดาผมก็พอรู้ว่าข้อความด้านในมันคืออะไร

   คงจะเป็นคำขู่จากไอ้พวกที่มาเผาวัดวาอารามแห่งนี้จากคำพูดที่บอกว่าผมเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทุกอย่าง ผมไม่โทษใครทั้งสิ้นถ้าหากจะโทษผม เพราะมันก็เป็นเช่นนั้นอยู่วันยังค่ำ ตัวซวย หึ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ฉิบหาย

           “พี่มาดอย่าทำพี่ไม้ ฮึก ไม่เอาอย่าแกล้งพี่ไม้ หลวงตาจ้ะ หลวงตาห้ามพี่มาดที ฮึก”

   พี่มาดฮึดฮัดแต่ยอมปล่อยผมออกจากการล็อกด้วยแขนของแกและถอยไปยืนมองผมตาขวางพร้อมกับพวกผู้ใหญ่อีกนับ 10 คนที่มองมาที่ผมอย่างไม่ไว้ใจ … มันก็สมควรที่จะเป็นแบบนี้แล้ว มีแต่เจ้าจุกคนเดียวที่วิ่งเข้ามากอดขาของผมไว้แน่น

           ผมคุกเข่าลงไปนั่งอีกครั้งก่อนจะก้มลงกราบหลวงตาที่ยืนสงบนิ่งอยู่อีกด้าน

           “ผมกราบลาอีกครั้งนะครับหลวงตา ต้องขอโทษกับเหตุการณ์แบบนี้ด้วย ผมสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ผมต้องขอโทษพี่ ๆ ด้วยนะครับที่สร้างความเดือนร้อนให้” พูดเสร็จ ผมก็ค่อยๆลุกขึ้น

           “พี่ไม้ไม่ผิดนะ พี่ไม้ใจดี เล่นกับจุกตลอด ไม่ผิดหรอก”

   “ไอ้จุก เอ็งก็ตั้งใจเล่าเรียนเป็นเด็กดีนะ” ผมวางมือบนหัวเหม่งของไอ้จุกก่อนจะเหยียดยิ้มยกมือไหว้ให้ทุกคนอีกครั้งและเดินลงจากเขามาอย่างไร้จุดหมาย ไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ ทั้งนั้นเพราะทุกอย่างมันเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเป็นเพราะใคร และใครต้องรับผิดชอบ …


หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่14 อดีตห้วน} 21/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 21-04-2020 16:45:37

.

.

.

           ลูกไม้เดินลงมาจากเขาด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย ในใจร้องหาแต่พ่อโทนคล้ายเป็นคำอ้อนวอนเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ทำให้จิตใจของมันหวั่นไหวไปมากกว่านี้ มันไม่อาจมีหน้าไปพบกับใครทั้งสิ้นแต่ยังอยากที่จะอยู่กับพ่อโทน มันพร้อมที่จะทิ้งใครต่อใครก็ไปในโลกนี้ แตกหักกับใครก็ได้ แต่คนเดียวที่ไม่อาจปลงตกและห่างหายได้คือพ่อตัวเล็กของเขา เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจลูกไม้เป็นอย่างมากถึงภายนอกดวงตาคมคู่นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ในใจลึก ๆ ลูกไม้ก็ยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุเพียง 18 ที่ต้องเผชิญกับคำถามและทุกสิ่งทุกอย่างมาทั้งชีวิต

   พอมันได้ที่พักพิงที่อบอุ่นกลับเป็นได้เพียงความฝันดีเพียงช่วงคราว และถ้าหากมันยังฝืนอยู่ที่นี้ จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกมันก็ยังไม่รู้ มันเป็นแค่เด็ก … เด็กที่ความจริงไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะหักห้ามเรื่องราวร้าย ๆ ได้แม้แต่อย่างเดียว …

           “นายน้อย …”

   ร่างสูงใหญ่ของลูกไม้ชะงักฝีเท้าที่เดินลงมาจากเขาอย่างไร้จุดหมายเมื่อรถตู้คันสีดำมาจอดตรงหน้าพร้อมกับชายวัยกลางคนรูปร่างผอมที่เดินลงมาจากรถ ในสมองตอนนี้ไม่ได้ร้องหาที่จะไปที่ไหน ร้องหาพ่อโทนแต่กลับไม่มีหน้าที่จะไปเจอตอนนี้ … ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจสู้หน้าได้ เพราะเขาเอง เพราะเขาเองที่จะทำให้ทุกอย่าง ณ ตอนนี้แย่ลงกว่าเดิม สถานที่อันสงบสุขกำลังที่จะลุกเป็นไฟ

   “หึ สะใจไหมละลุงศักดิ์ นายน้อยของลุงที่เคยถูกฆ่าล้างครอบครัวตอนนี้กำลังจะหมดสิ้นทุกอย่างอีกครั้ง หึหึ น่าสมเพช น่าสมเพชจริงๆ”

   ลูกไม้กล่าวขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะที่สั่นเทาเพราะรู้ตัวเองดีกว่าต่อจากนี้ชีวิตของตนจะต้องเป็นอย่างไร หัวใจมันเจ็บปวดเหลือเกิน แค่คิดว่าทุกอย่างจะต้องกลายเป็นศูนย์อีกครั้งก็แทบจะขาดใจ มือแกร่งทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหน้า แต่มันก็ไม่อาจปกปิดความเสียใจที่รินไหลออกมาจากตาทั้งสองข้างได้ไม่ 

   ร่างผอมของอดีตพ่อบ้าน ตระกูล อริณมณี ทรุดตัวคุกเข่าลงตรงหน้าของนายน้อยผู้ร่ำไร้แด่ทรัพย์สมบัตินอกกายที่ทำให้ต้องเจ็บปวดมากเพียงนี้ …

   “ยังก่อนครับ ไม่ใช่ตอนนี้ นายน้อยมีทุกอย่าง ทั้งพลังและอำนาจ เพียงแต่ตอนนี้นายของไอ้ศักดิ์ต้องยอมรับชะตากรรมเสียก่อน … พวกมันจะไม่หยุดถ้าคุณยังอยู่ที่นี้ เชื่อผมสักครั้งนะครับ ไปกับผม ไปเริ่มต้นใหม่และกลับมาอีกครั้ง…ผมสัญญาว่าครั้งนี้ผมจะไม่ทิ้งนายน้อยไว้เพียงคนเดียวในเงามืดอีก ... อริณมณียังคงต้องการคุณอยู่…”

    ไร้ซึ่งคำตอบ … มีเพียงความเงียบและเสียงของป่ารอบข้างที่สงัดลงพร้อมกับหัวใจของลูกไม้ที่แทบจะขาดใจเสียให้ได้ตรงนี้ …

.

.

.

-โทน-

           “ไอ้เด็กบ้า”

   ผมวิ่งเข้าไปตบหัวไอ้เด็กบ้าที่นั่งเล่นกับหมาอยู่ในคอก!!! คือทำกูหัวหมุนไปหมดขึ้นไปบนเขาหลวงตาก็บอกมันออกมาตั้งนานแล้ว แถมไอ้พี่มาดก็ยังมีพูดจาไร้สาระจนผมอยากจะฟาดปากให้หยุดพูดมาก!!!!  ตามหากันไปทั่วด้วยความเป็นห่วงสุดท้ายมาเจอไอ้หน้าแมวนั่งเล่นกับหมาอยู่ที่บ้าน!!!!! โอ้ยยยยยย อยากจะฆ่าเด็กจังโวย!!!!!!! 

           “พะ พ่อโทน” มันหันมาทำหน้าเอ๋อใส่ผมและรีบยกแตกกวาขึ้นมาบังอย่าเมื่อเห็นว่าผมจะถวายมะเหงกให้มันอีกรอบ หึ ทีนี้ละทำเป็นกลัว กูนี้สิกลัวเสียมึงไปแค่ไหน!!!!

           “ไปไหนมาวะ รู้ไหมเนี้ยตามหากันไปทั่ว และไอ้ทิ้งมอเตอร์ไซค์ไว้บนเขาพ่อมึงผลิตตังค์หรือไง!!!!” ผมโวยวายเพราะผมกับไอ้เกื้อกับขับรถกันไม่แข็งทั้งคู่กว่าจะพากันกลับมาได้นี้เกือบตกเขาตายทั้งคู่ ไอ้เกื้อต้องกลับไปคลีนิคทันทีเพราะมีเคสเข้ามา ผมขอกลับมาดูที่บ้านก่อนเพื่อความสบายใจและก็เป็นอย่างที่คิด!!!! ฮึ้ย ใจก็ร้อน อากาศก็ร้อน ไอ้ลูกบ้ากลับมานั่งสบายใจอยู่ที่บ้านแล้ว!!!

           “น้องโทนเป็นอะไรครับ ใจเย็น ๆ ไอ้ไม้เอ็งไปเอาน้ำมาให้พ่อเอ็งกับน้องไม้สิ”

   ไอ้ลูกบ้าวิ่งเข้าไปในครัวทันที ฮึ้ย … โมโหนัก แต่ก็ดีแล้วที่ไม่เป็นอะไร ดีแล้วแหละที่ยังดูร่าเริงเหมือนเคย … ไม่ต้องไปสนใจคำพูดใครทั้งนั้น ถ้าไอ้เด็กนั้นอยู่ที่นี้ผมจะปกป้องลูกผมเอง ผมจะให้มันไปไหนทั้งนั้น ผมไม่อนุญาต …

           “พี่เมฆ”

           “ครับ?”

   “พ่อกลับวันไหน”

   “พรุ่งนี้ครับ น้องโทนเป็นอะไรหรือเปล่า”

   “ผมแค่ …”

   “พ่อโทนน้ำเย็น ๆ ครับ”

   ยังไม่ทันที่จะได้พูดไอ้ไม้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำในขันน้ำสีเงิน ผมหน้างอมองค้อนแต่ก็ยอมรับน้ำเย็นมาถือไว้ ผมวางขันลงหลังจากกินเสร็จจ้องหน้าไอ้ไม้ที่นั่งอยู่ด้านล่างแคร่ที่ผมนั่งอยู่ มันมองผมตาแป๋วก่อนจะยิ้มแบบที่มันชอบยิ้มให้ผม มันทำให้ผมอบอุ่นใจเหลือเกินเพราะเหมือนมันกำลังบอกว่า รักผมแค่ไหน …

   “เอ็งจะอยู่กับข้าตลอดไปใช่ไหม” ผมกระซิบถามมันให้ได้ยินกันเพียงสองคน มันหุบยิ้มก่อนจะก้มหน้าสลดลง เพียงแวบเดียวเท่านั้นมันก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาที่เหมือนเฉกเช่นเดิม

   “ครับ” เพียงคำเดียวก็ทำให้ผมชื้นใจ … อย่าไปไหนนะ อย่าไปไหนเลยนะ …

.

.

.

           ค่ำคืนเดือนมืดในราตรีอันสงบสุข ร่างสูงของลูกไม้ก้มลงบรรจงจูบริมฝีปากอวบอิ่มของพ่อโทนที่หลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน มือหนาคู่แกร่งวางทาบลงบนแก้มใสตรงหน้าอย่างเอ็นดูและรักใคร่ ริมฝีปากที่เคยยิ้มแย้มให้กับพ่อโทนเพียงคนเดียวเหยียดยิ้มอีกครั้งเมื่อมองคนตรงหน้าและนึกถึงอดีตหลายปีที่อยู่ด้วยกันมาก รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นและจริงใจของพ่อโทน ความรักที่ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้มีไอ้แก่พ่อโทน ความเศร้าของการแยกจากกันตอนที่พ่อโทนไปเรียนไกล ความดีใจที่ได้เจอกันในที่สุด มีความสุขเหลือเกิน … ทุกวันมีความสุขเหลือเกิน แต่ทุกอย่างสมควรแล้วที่จะจบลง …

           “ไม่นานนะครับพ่อโทน … ไอ้ลูกไม่รักดีคนนี้จะกลับมา … จะกลับมา ผมขอโทษ …ขอโทษนะครับ”

   เสียงแหบพล่านดังขึ้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน ก่อนที่ไม้จะก้มลงไปจูบขมับใสอีกครั้งด้วยความรักที่มากเกินกว่าจะพรรณนา เขาค่อย ๆ เหยียดตัวลุกขึ้นยืนทั้งตัว มีเพียงเสื้อผ้าที่ตนใส่อยู่กับสร้อยพระที่พ่อโทนเคยให้ไว้เมื่ออดีตที่เป็นของขวัญอันล้ำค่าของตน …

   ลูกไม้ไม่มีแม้แต่คำจากลา เพียงแค่ค่อย ๆ เดินลงมาจากบ้านเงียบ ๆ ด้วยหัวใจที่แทบจะถูกแช่แข็งซะเดี๋ยวนี้ … ฝันดีกำลังจะจบสิ้นเค้าต้องตื่นแล้ว … ตื่นขึ้นมารับความจริงตรงหน้า

   รถตู้คันเดิมจอดรอลูกไม้อยู่หน้าบ้าน พร้อมกับร่างผอมของลุงศักดิ์ที่ยืนรออยู่ตรงประตูรถอยู่ก่อนแล้ว ลูกไม้หายใจเข้าเต็มปอด เก็บงำทุกอย่างไว้ในใจ ความทรงจำดี ๆ ทั้งหลายที่เขาจะไม่มีวันลืมเลือน เขารู้ดี รู้จักพ่อโทนดีกว่าใครว่าถ้าตื่นมาแล้วรู้ว่าลูกไม้ทำผิดสัญญา จะโกรธแค่ไหน จะร้องไห้หนักแค่ไหน แต่เขาจะกลับมา กลับมาแน่นอน ไม่รู้จะกี่เดือน กี่ปี หรือนานแค่ไหน … แต่จะต้องกลับมาหาดวงใจที่ร่ำไห้ของพ่อโทน กลับมาโอบกอดเอาไว้ให้ให้ได้ …

   “บอกลาทุกคนแล้วเหรอครับนายน้อย”

   “จะไม่มีการจากลา … เพราะผมจะกลับมา” ลูกไม้เปิดประตูรถขึ้นไปนั่งกอบกุมสร้อยพระเอาไว้แนบหัวใจก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปท่ามกลางความมืดในคืนราตรีที่แสนเศร้า …

   อดีตกลับคืนสู่ปัจจุบัน …



 

           “ที่วัดไม่มี ที่ตลาดไม่มี ที่โรงเรียนไม่มี … ไม่มีเลย …” โทนทรุดลงนั่งที่ริมคันนาเพียงลำพัง

         อากาศยามสายอุ่นขึ้นจากความหนาวเหน็บเมื่อคืน ในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนถึงตัวเอง ข้อความด้านในมีเพียงประโยคเดียว ประโยคเดียวที่ทำให้น้ำตาของโทนตกใน ถึงแม้จะพยายามสะกดกลั้นอารมณ์แค่ไหน แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเศร้าภายในดวงตาได้ …

           ‘พ่อโทนครับ ไม้รักพ่อโทนที่สุด … รอนะครับรอวันที่ผมกลับมา’

           “โธ่เว้ย!!!! รอห่าอะไร มึงให้กูรอห่าอะไร” น้ำตาเม็ดใสหยดลงแหมะลงข้างแก้ม ก่อนจะถูกเช็ดออกอย่างรวดเร็ว

   จมูกแดงแปร๊ดถูกขยี้และลุกขึ้นยืนออกเดินขึ้นไปบนทางเดินลูกรังด้วยเท้าเปลือยเปล่าและพุพองขึ้นจากการใช้งานอย่างหนัก เสื้อผ้าชุดนอนถูกคลุมด้วยเสื้อกันหนาวเก่าที่ยังไม่ทันได้ซัก … ณ เวลานั้น โทนไม่ได้คิดถึงอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่รู้ว่าตื่นมาไม่มีลูกไม้อีกต่อไปแล้ว นั้นก็ทำให้เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะมานั่งร้องไห้ … ทั้ง ๆ ที่ในใจแทบบ้า ไม่เข้าใจ สับสน และเสียใจ … สุดท้ายไม่พ้นคำว่าเป็นห่วง …

   เสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นด้านหลังของเขาทำให้ร่างเล็กหันไปมองและเกือบจะร้องออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ลูกไม้ใช่เป็นประจำ แต่เมื่อมองชัด ๆ แล้วคนที่เป็นคนขับมันกลับไม่ใช่ลูกชายของตน … แต่ก็เป็นอีกคนที่โทนอยากเจอมากในเวลาแบบนี้

   “พ่อ …”เสียงแหบแห้งเปล่งออกมาเบา ๆ เกือบที่จะห้ามน้ำตาที่พร้อมจะไหลเอาไว้ไม่อยู่ มือเล็กกำกระดาษจากสมุดเรียนของลูกชายตัวดีไว้แน่นหักห้ามอารมณ์ที่คลุกรุ่นออกมา

   ปู่ทายในชุดสูทที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าที่ดื่มเพื่อเข้าสังคมมาเมื่อคืน พ่อลูกนิสัยเหมือนกันอย่างกับแกะเมื่อรู้ว่าสิ่งสำคัญหายไปก็พร้อมที่จะทิ้งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลังเพื่อตามหา … แต่เขาโชคดีที่ของสำคัญยังคงอยู่ไม่ห่างกาย ต่างจากอีกคนที่หัวใจแทบสลายกลายเป็นผุยผง

           “ขึ้นรถ” ปู่ทายจอดรถตรงหน้าของโทนที่ยืนก้มหน้าอยู่ไม่ห่าง

   เขามองสภาพของร่างของลูกชายและแทบจะสบถคำหยาบออกมา ทั้งโทรมและน่าสงสาร ถ้าเขาไม่มาเจอเสียก่อนเจ้าเด็กไม่รู้จักโตคนนี้คงมุ่งหน้าเดินหาต่อไป พ่อโทนยืนนิ่งไม่ไหวติงก่อนจะถูกกระชากให้ขึ้นมาซ้อนท้ายถึงจะยอมขึ้นมานั่งเกาะเสื้อของปู่ทายที่อารมณ์เสียจากสภาพของลูกชายและปัญหาที่กลับมาแต่เช้าตรู่หวังที่จะพักผ่อนกลับต้องมาเผชิญกับข่าวร้ายที่ส่งกลิ่นโชยถึงความไม่ชอบมาพากล

   “ตามหาไม้ก่อน” ร่างเล็กซุกลงแผ่นหลังหนาของผู้เป็นพ่อพูดจาอู้อี้อย่างน่าสงสาร ปู่ทายถอนหายใจเฮือกใหญ่และสตาร์ทรถขับออกมา

   “ดูสภาพมึงด้วย”

   “ฮึก ไม่เอาอยากเจอไม้”

   ใบหน้าเล็กซ่อนอยู่ด้านหลังหลั่งน้ำตาออกมาไม่ให้ใครเห็น ปู่ทายเลือกที่จะไม่สนใจ ขับรถกลับมาที่ค่ายเงียบๆ ทุกอย่างเอาไว้ก่อน ณ ตอนนี้สภาพจิตใจของลูกชายเขาสำคัญที่สุด อีกใจนึงก็ทั้งเป็นห่วงเจ้าไม้เด็กหัวรั้นนั้นไม่ต่างกัน …

   ป่านนี้จะเป็นยังไงอยู่ตรงไหนไม่มีใครรู้ แต่เมื่อนึกถึงวิชาอาชีพที่เขาได้ถ่ายทอดไปให้แทบจะหมดสิ้นแล้ว ก็เบาใจกระเปาะนึงเพราะอย่างน้อยไอ้เด็กนั้นก็พอที่จะดูแลตัวเองได้ ถึงเขาจะไม่รู้รายละเอียดมากนักรู้อยู่หรอกว่าอดีตของเจ้าไม้น่าเจ็บปวดและมีตื้นลึกหนาบางแต่ไม่คิดว่าเรื่องจะใหญ่โตได้เพียงนี้ ทำไมวันเวลาถึงล่วงเลยมาได้อย่างสงบและทำไมอยู่ ๆ ถึงเกิดเรื่องขึ้น แต่อีกไม่นานเขาก็จะสืบให้กระจ่าง …

.

.

.



           อีกด้าน ณ สนามบินในเมืองหลวงของประเทศไทย เด็กชายร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อแขนยาวมิดชิดสีเทากับกางเกงยีนต์เนื้อดีรองเท้าผ้าใบสีดำคู่ใหม่ทั้งหมดลุงศักดิ์อดีตพ่อบ้านประจำตระกูลเป็นคนจัดการหามาให้ลูกไม้ที่นั่งใบหน้าเศร้าสร้อยอยู่บนเก้าอี้ของสนามบิน รอไฟท์บินต่อไป ที่เมืองบาเด็นไวเลอร์ ประเทศเยอรมนี เพื่อหลบซ่อนและตั้งหลักจนกว่าจะถึงเวลาอันเป็นสมควรที่จะกลับมา

           ลุงศักดิ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่รู้จะพูดอะไรที่ดีพอจะปลอบใจอย่างไร ในเวลานี้ได้เพราะตั้งแต่ตอนนั่งเครื่องกลับมาเพื่อจะต่อไฟท์บินที่กรุงเทพ เขาได้พูดปลอบไปสารพัดไม่ว่าจะพูดเช่นไรเด็กคนนี้ก็ยังคงเงียบ ไม่กินและทำอะไรที่แสดงถึงความรู้สึกไปมากกว่าจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง เงียบๆเหมือนหุ่นกระบอก ที่ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ป้อนข้อมูลให้ เงียบจนเขารู้สึกเป็นห่วง …

           “นายครับ อีก 10 นาทีจะเดินทางแล้ว ก่อนจะไปอยากโทรหาใครก่อนไหมครับ” ตาสีดำสนิทของลูกไม้เป็นประกายขึ้นเพียงชั่วครู่ก็ดับวูบเฉกเช่นเดิม

   ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ ถ้าหากเขาได้ยินเสียงยอดดวงใจของไอ้ไม้ … เขาคงกระโจนกลับและไม่สนใจใครต่อให้เมืองจะทลายหรือสาบสูญลง ก็จะไม่มีทางแยกจากพ่อโทนอีกเป็นครั้งที่สอง … ซึ่ง ณ ตอนนี้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ขืนถ้าเขายังอยู่ตรงนั้น ก็รังแต่จะทำตัวเสมือนแม่เหล็กดึงดูดภูติมารให้มาทำร้ายคนที่เขารักอยู่ดี และเขาจะเสียใจมากกว่านี้ถ้าหากพ่อโทนเป็นขึ้นมาอีก เพียงแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวในตอนนั้นก็ย่ำแย่เกินพอแล้ว … ต้องยอมรับความเป็นจริง ว่าตอนนี้เขานั้นเป็นแค่เด็ก … ที่ไม่สามารถปกป้องใครได้เลย

           “ถ้าไม่โทรตอนนี้ … ขึ้นเครื่องและไปถึงที่โน้น จะไม่มีโอกาสแล้วนะครับ”

ไม่ … ไม่ได้ … 

           ไม้กำหมัดแน่นในทันที ฟันคมขบเข้าหากันจนสันกรามขึ้นอย่างหักห้ามใจ แต่ก็ไม่แต่ปริปากหรืออ้อนวอนต่อสิ่งใด ใจแข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ลุงศักดิ์ถอนหายใจอีกครั้งนั่งลงข้างกายและถือวิสาสะลูบปลอบด้านหลังแกร่ง ไม่น่าเลยจริง ๆ ที่จะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเด็กคนนี้ ถ้าหากเด็กคนนี้ไม่เป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงระดับจังหวัด ไม่โดดเด่นเหนือคนอื่น บางทีไอ้พวกนั้นอาจจะไม่สงสัยแล้วก็ได้ อาจจะคิดว่านายน้อยของเขาตายไปในกองเพลิง …

   ซึ่งมีแต่เขาคนเดียวที่รู้เพราะเขาเป็นคนช่วยนายน้อยออกมากองไฟและเลือกที่จะซ่อน ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเอาไว้ในซอกลืบที่แต่กลับปลอดภัยที่สุด … และใช้ชีวิตอย่างขมขื่นใต้เงาเท้าของปิศาจร้ายเพื่อหลบซ่อนภัยให้แก่ตนเองเช่นก่อน ระหว่างนั้นก็คอยดูลาดลาวความเคลื่อนไหวด้วยความขมขื่นและฝืนใจจนแทบจะดิ้นตาย ในทุก ๆ คืนที่เฝ้าฝันร้ายถึงใบหน้านายช่างเชษฐาและคุณหญิงดอกอ้อที่ตามหลอกหลอนในจิตใจ และสุดท้าย ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทางและเพียบพร้อมพอที่จะรับนายคืนสู่ความเป็นจริง เพื่อตระกูลและตัวของไม้เองอย่างเหมาะสม

           เสียงประกาศไฟท์บินดังขึ้นลุงศักดิ์ลุกขึ้น ก่อนจะยื่นมือหนาให้นายน้อยของเขาจับเอาไว้ แต่ลูกไม้กลับเลือกที่จะยืนขึ้นด้วยขาแกร่งที่ไร้เรี่ยวแรงเดินก้าวนำหน้าผู้เป็นบ่าวไปตามทางที่ชะตากำหนด ถ้าขื่นรอให้นานกว่านี้ เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะเลือกสิ่งที่ถูกหรือสิ่งที่หัวใจเรียกร้องในเวลานี้หัวใจร้องหาพ่อโทนราวกับระเบิดเวลาที่พร้อมจะแผดเผาให้ตายช้า ๆ จากด้านใน อย่างไรก็ตามลูกไม้ยังมีความคิดแบบเด็ก ๆ คือรีบไปจะได้รีบกลับ ไม่อยากจะยืดยื้อเวลาให้นานกว่านี้เขาจะได้กลับมาตามง้อพ่อโทนและกลับไปสู่ที่พักพิงของดวงใจอันแตกสลาย

           แผ่นหลังหนาสูงโปร่งของลูกไม้ห่างไกลแผ่นดินเดียวกับพ่อโทนเข้าไปทุกที … ทุกที … ทุกที เหลือไว้เพียงใบหน้ายิ้มแย้มของพ่อโทนที่ตราตรึงในใจ … แล้วไม้จะรีบกลับมานะครับพ่อโทนที่รัก





========================



จากไป เพื่อให้ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่นานนับกี่ปีกันถึงจะได้เจอ

ตอนนี้ปาปา ไรท์ไปร้องไห้ไป TT_TT
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่14 อดีตห้วน} 21/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 21-04-2020 21:19:34
อดทน ตอนนี้ท่องคำนี้ไว้ ต้องแข็งแกร่งเพื่อปกป้องคนสำคัญของตัวเองให้ได้ และไม่ให้คนรอบข้างต้องเดือดร้อนเพราะตัวเองซ้ำอีก
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่14 อดีตห้วน} 21/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 21-04-2020 22:52:57
โอ้ย รอตอนหน้าๆๆๆ สงสารทุกคน โดยเฉพาะลูกไม้นี่หล่ะ
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่14 อดีตห้วน} 21/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 21-04-2020 23:02:07
 :m31: แล้วรีบกลับมาเอาคืนพวกมันให้หมดเลยนะ
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่14 อดีตห้วน} 21/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 22-04-2020 01:00:04
สงสาร สงสารพ่อโทนเหลือเกิน :ling3:  :ling3:
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่15วันคืนผ่าน} 22/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 22-04-2020 15:20:15


พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 15 วันคืนผ่าน ใจไม่พบพา + {ลุงทายXเกื้อกูล3}




           “น้องโทน”

   เสียงเรียกของใครสักคนดังขึ้นในโสตประสาทอันว่างเปล่าของผม … มันไม่ได้ว่างเปล่าซะทีเดียวหรอกนะ มันมีแค่ความทรงจำของไอ้เด็กคนนั้น คนที่ทิ้งผมไปและบอกให้ผมรอ หึ ผมยังนึกสงสัยนี้ผมอ่อนแอขนาดปกป้องมันไม่ได้เลยเหรอ ทำไมถึงเลือกที่จะจากไป ฮึก …

   … และอีกนานแค่ไหนถึงจะกลับมา คิดถึง คิดถึงที่สุดเลย ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านมานานแค่ไหนแล้ว กี่วัน กี่สัปดาห์ หรือกี่เดือนที่ผมเหมือนคนไม่มีแรง ไม่มีกำลัง ไม่มีความรู้สึก คอยออกจะตามหามันไปทุกทีแต่ก็ไม่เจอและก็ต้องกลับมาด้วยความช้ำใจ

   ให้มันตายจากกันไปซะดีกว่าที่จะต้องมานั่งเป็นห่วงแบบนี้ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าไม่มีไอ้ไม้ลูกรักของผมอยู่บนโลกนี้แล้ว แต่นี้ … ทุกความทรงจำยังชัดเจน มันยังคงมีตัวตน แต่มันเลือกที่จะไปจากผม คนที่รักมันสุดหัวใจ …

           “น้องโทนครับ” มือหนาอังเข้าที่หน้าผากของผมที่หลับตานิ่ง ไม่ใช่นี้ไม่ใช่สัมผัสของไอ้ไม้ … ไม่ใช่ … ปกติต้องเป็น ‘พ่อโทนครับ’ สิ ไม่ใช่ประโยคแบบนี้ ไม่ใช่ลูกผม

           “พี่เมฆ โทนอยากอยู่คนเดียว” น้ำเสียงของผมแหบพล่านจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน … คิดถึง คิดถึงที่สุด

           “ไม่ได้แล้วครับ น้องโทนอยู่ในห้องมาจะ 3 วันแล้ว ทุกคนเป็นห่วง” เสียงของพี่เมฆนุ่มนวลเป็นปกติเพราะพี่เมฆเป็นพี่ชายที่อ่อนโยนไม่เหมือนพี่แสงและลุงๆคนอื่นๆ

   เขาเป็นคนที่ช่วยผมทุกอย่างดูแลกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยเหมือนเกราะป้องกันภัยเวลาผมโดยรังแก แต่เวลานี้ เสียงของเขาช่างดูน่ารำคาญจนผมอยากจะตะคอกไล่ไปให้ไกล เสียงเดียวที่ผมอยากได้ยินและอ้อมกอดที่ผมอยากกอดคือ ไอ้ไม้ ไอ้ไม้คนเดียว ไม่เอาใครทั้งนั้น ไม่เอา!!!

           “พี่รู้ว่าโทนเป็นห่วงเจ้าไม้ แต่ตัวของน้องโทนก็สำคัญนะครับ น้องโทนจะเอาแต่อยู่ในห้องไม่พูดไม่จากับใครแบบนี้ไม่ได้นะครับ พ่อทายกับน้องเกื้อรออยู่ด้านนอก เป็นห…”

           “อย่าพูดได้ไหม หยุดพูดสักที!!!!” ผมลุกขึ้นนั่งสะบัดมือของพี่เมฆที่จับแขนผมอยู่ออกและตะคอกไปเสียงดังอย่างรำคาญใจ

   พี่เมฆมองผมนิ่งก่อนจะยิ้มออกมาและเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อประตูห้องผมเปิดออกพร้อมกับพ่อและไอ้เกื้อที่เดินตามหลังมามองผมและน้ำตาคลอเบ้าปรี่เข้ามานั่งข้างผมจมูกแดง ๆ ของเจ้าเกื้อทำให้ผมใจอ่อนฮวบ …

           “ร้องไห้ทำไมวะ!” ผมขึ้นเสียงถามไอ้เกื้อที่น้ำตาหยุดแหมะลงมาข้างแก้มไม่หยุด กูนี้สิสมควรจะต้องร้องไห้ ฮึก แม่งเอ้ย !

           “ฮึก เกื้อสงสารโทนกับลูกไม้ ฮึก ไม่ร้องสิ ไม่ร้องนะ”

   ผมสะบัดตัวเองไม่ยอมให้ไอ้เกื้อกอดเพราะอยากให้คนที่กอดคนแรกคือไอ้ไม้ ก่อนจะดึงคอเสื้อขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไม่ยอมให้ใครเห็นน้ำตาความอ่อนแอที่เผลอพุ่งพวยออกมา ฮึก บ้าเอ้ย มันไปอยู่ที่ไหนวะ ป่านนี้จะเป็นยังไงเด็กคนเดียวจะไปทำอะไรได้ คิดอะไรอยู่วะ ฮึก!

           “ทะ ทะ โทนจะไปไหน”

   ผมไม่สนใจไอ้เกื้อลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มาคุมตัวเองไว้ ชะงักเมื่อเห็นพ่อที่ยืนกอดอกมองผมไม่วางตาอยู่หน้าประตู ก่อนจะเดินออกมาโดยไม่สนใจเสียงห้ามปรามไม่มีใครกล้าเข้ามาจับตัวผมเพราะรู้ดีถ้าหากผมหงุดหงิดขึ้นมา ผมเองก็ไม่เอาใครทั้งนั้น คนเดียวที่ผมต้องการตอนนี้คือไอ้ไม้ ผมเป็นห่วงมัน อยากเจอ อยากกอดเอาไว้ และบอกมันดัง ๆ ว่าผมจะปกป้องมันให้ได้ ผมต้องตามหาดวงใจของผมที่หายไป … ผมชัดเจนในความรู้สึกแล้ว

   ยอมรับแล้ว ฮึก ยอมแล้ว … ผมไม่สามารถจำกัดขอบเขตความรู้สึกของตัวเองได้ … ต่อให้ใครจะว่ายังไง ต่อให้ใครจะตีตราว่าผมนั้นแสนเลวที่คิดไม่ซื่อกับลูกตัวเอง ผมก็ไม่สนใจเพราะผมรักไอ้ไม้ นั้นคือความจริงที่ผมไม่อาจปฏิเสธ หัวใจตัวเอง ไม่คิดที่จะครอบครองแค่อยากจะปกป้องเอาไว้ด้วยชีวิต นั้นคือความรักอันบริสุทธิ์ของหัวใจของผม … แต่ในวันที่ผมชัดเจน ผมกลับทำส่วนสำคัญของหัวใจตัวเองหายไป

   “เฮ้อ …ดูเหมือนเด็กแถวนี้จะไม่อยากรู้เรื่องของทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลอาริณมณี” ผมชะงักหันไปมองพ่อและเหมือนหมาเห็นกระดูกกูพุ่งเข้าไปหาด้วยความเร็วสูงสุดลืมความอ่อนล้าที่ไม่ได้นอนไม่ได้กินข้าวทั้งหมดสิ้น

   “อะไรพ่อ พ่อไปรู้อะไรมา” พ่อทายยกยิ้มขึ้นและหันไปมองไอ้เกื้อที่ยืนลุกลี้ลุกลนเหมือนเด็กไม่รู้ความยักคิ้วลิ่วตาให้จนไอ้เกื้อต้องหลบสายตาแก้มแดงกล่ำ ... อะไรก๊านนนนน

   “ไหนลองอ้อนข้าสิ ถ้าอยากรู้ ทำเหมือนที่เอ็งเคยอ้อนข้าตอนเด็ก ๆ อะ” พี่เมฆหลุดหัวเราะออกมาและต้องยกมือขึ้นขอโทษขอโพยเมื่อผมหันไปมองพร้อมตะปบ

   “จะบอกก็รีบบอกลีลาจังอะไรเนี้ย”

   “ไม่ทำก็ไม่ต้องรู้ มันไม่กลับมาหรอกไอ้เด็กนั้นอ่ะมันหลอกเอ็ง ฮ่าๆๆๆๆ”

   “พ่อ!!!!!!”

   “มัวแต่แว๊ดๆน่ะ ไม่อยากรู้ใช่ไหม ได้งั้นข้าไปทำอย่างอื่นและเสียเวลา เชิญเอ็งออกไปตามหามันให้ตีนพองต่อไปเถอะ เพราะยังไงเอ็งก็ไม่มีทางเจอมัน”

   ท่าทางของพ่อทายยียวนกวนประสาทมาก แต่ผมก็ต้องยอมจำนนยื่นมือเข้าไปจับชายเสื้อเน่าๆของพ่อและเงยหน้าขึ้นไปมองเขาขอความเห็นใจจากคนแก่ใจร้าย … เห็นสายตาวิ้ง ๆ ของผมไหม ไม่สงสารผมเหรอ หัวใจตอนนี้ของผมแหว่งไม่มีชิ้นดีแล้ว

   “บอกหนูหน่อยนะพ่อจ๋า … หนูไม่อยากเสียลูกไม้ไป หนูรักลูกไม้ ฮึก ได้โปรดบอกหนูหน่อยนะ”

   “โธ่โทน” ผมหัวอ่อนลงเมื่อไอ้เกื้อเดินมากอดไหล่ผมที่อยู่ในระดับเดียวกันผมก้มหน้าลงนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไร้ความอาย มือกำชายเสื้อของพ่อทายแน่น …

   “เออ ๆ จะร้องทำไมนักหนา แต่ก่อนอื่น เอ็งต้องไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวปลาให้เรียบร้อยและค่อยไปเจอข้าที่ลานบ้าน”

   “แต่ …”

   “ไม่มีแต่ไอ้เกื้อพาเพื่อนเอ็งไปกินข้าวซะไป น่ารำคาญจริงๆ” ผมมองตามหลังพ่อออกไป ไม่มีทางเลือกผมรีบวิ่งหยิบข้าวของวิ่งไปอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกะละมังใหญ่ ๆ ในห้องครัวท่ามกลางเสียงเตะกระสอบทรายของลุงจันทร์ลุงทิมที่สอนเชิงมวยพี่แสงอยู่

   แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ที่ไหนในบ้านก็ไม่วายคิดถึงไอ้ไม้อีก ไม่มีคนคอยเตะมวยปั๊กๆเป็นจังหวะที่ไม่เหมือนใคร ไม่มีใครคอยเอาใจหาน้ำหาท่าให้กิน ไม่มีใครคอยถามว่าเหนื่อยไหม ไม่มีใครกวาดทุกส่วนในบ้านได้สะอาดหมดจด ไม่มีใครคอยหยอกล้อ กอดปลอดทุกครั้งที่ผมเสียใจ … หายไปหมดเลย …

   “เฮ้ย น้ำตาจะท่วมจานละเฮ้ย!” ผมเงยหน้าขึ้นไปชูมะเหงกให้พี่แสงและก้มลงกินต่อเคี้ยวตุ้ยๆไม่สนใจ ไอ้เกื้อเดินออกมาจากในครัวพร้อมกับซุบชามเล็ก ๆ

   “อ่ะ เดี๋ยวโทนมันร้อนนะ”ผมซดโฮกเข้าไปและกินน้ำตามไม่สนใจลิ้นจะพองหรืออะไรตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจตัวเอง

พอหมดแล้วผมก็รีบเดินมาหาพ่อที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนแคร่หน้าบ้าน ที่ที่ไอ้ไม้เคยให้คำสัญญาว่าจะ

ไม่ไปจากผม เฮ้อ … เจอเมื่อไหร่พ่อจะกระทืบก่อนและค่อยกอด ฮึ ไอ้เด็กบ้าผมไม่เคยที่จะมองมันเป็นภาระเลยสักนิด ผมสนุกในทุก ๆ วันที่อยู่ด้วยกัน ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้มองหน้า และตลกทุกครั้งที่นึกถึงว่าผมไปเอามันมาอยู่ด้วยในเหตุผลที่อยากจะเป็นพ่อคนเพราะมันเท่ขาดใจ แต่ดูตอนนี้สิ ผมแทบอยากจะดิ้นตายวันละหลาย ๆ รอบ อยากร้องไห้ออกซะให้หมดความเสียใจ แต่ไม่ใช่ตอนนี้

           “บุหรี่ยังไม่ทันหมดตัว นี้มึงเสร็จแล้วเหรอไอ้โทน” ผมพยักหน้าก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ถ้าสูบบุหรี่เป็นป่านนี้ผมคงขอต่อไฟไปนานละ

           “เล่าให้ฟังได้หรือยัง”

           “เออๆ ข้าไปสืบมาให้เอ็งละ อุตส่าห์ไปกินไปนอนบ้านขุนพิพัฒน์มา แดกเหล้าอย่างกับน้ำกว่าจะได้ข้อมูลมาครบ” ผมเอียงคอขมวดคิ้วมองหน้าพ่อที่สูบบุหรี่โฮกใหญ่เข้าปอดที่หายไปหลายคืนนี้ไปกินไปนอนบ้านเขามางั้นเหรอ แล้วเรื่องมันเป็นไงมาไงต้องไปหาขุนอะไรนั้นด้วย

           “ปากพูดไม่ได้เหรอวะ เฮ้อ เออ ๆ กูเล่าก็ได้ มึงจำเรื่องไฟไหม้ครั้งนั้นได้ไหม บ้านพ่อแม่ไอ้ไม้นั้นแหละมึงก็รู้ว่าบ้านนั้นตายกันทั้งบ้านออกข่าวครึกโครม แต่ไม่มีระบุไว้ว่าตายกี่ศพอะไรยังไง” อ่า … ผมจำได้ดีเลยวันนั้น …

   วันที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ไม้ต้องสูญเสียทุกอย่างไปในวันเดียว แล้วยังไง … ไม่เข้าใจ เป็นแบบในหนังไทยหรือเปล่าที่มีคนวางเพลิงข้ายกครัวแล้วไอ้ไม้รอดมาคนเดียว โคตรน้ำเน่า!!! แต่ถ้ามันเป็นจริง ก็น่าสงสารมากเช่นกัน

           “ต้องให้ไขลานไหมถึงจะเล่าต่อ”

           “บร๊ะ เดี๋ยวสิโว้ยขอระลึกชาติแปป กูก็แดกมาเยอะมึน”

           “เล่ามาเร็วๆเด้!!!!”

           “เออๆ ขุนพิพัฒน์แกเป็นคนใหญ่คนโตและที่สำคัญสนิทกับนายช่างเชษฐาเหมือนพี่น้องตามกันมา แกรู้ทุกอย่างในครอบครัวของไอ้ไม้ เรื่องในวันนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ มีคนลอบวางเพลิงในตอนที่คนในบ้านนายช่างนอนหลับหมด แต่แล้วทุกอย่างก็ถูกเก็บงำและปิดคดีไปด้วยเงินสูงค่า ที่สำคัญ ท่านไม่เคยรู้เลยว่าไอ้ไม้คือทายาทของอาริณมณี เฮ้อ ภายนอกเอ็งอาจจะนึกว่าบ้านหลังนั้นเป็นชนชั้นระดับกลางๆ แต่เอาเข้าจริงๆ คุณหญิงดอกอ้อ เป็นคุณหลวง คุณนายที่สืบเชื้อสายดั่งเดิมจากชาวล้านนามีทรัพย์สมบัติมากมายและนายช่างเชษฐาเองก็มีกิจการอยู่ในหลายจังหวัดทำให้มีเงินเก็บพอที่จะสบายไปทั้งชีวิต เอาทรัพย์สมบัติของทั้งคู่มารวมกัน … เอ็งคิดว่ามันจะไม่เป็นตัวดึงดูดมารร้ายเหรอวะ” พ่อทายจุดบุหรี่มวลใหม่ขึ้นก่อนจะวางมือใหญ่บนหัวผมเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

           “ทั้งสองหลบออกมาใช้ชีวิตเงียบ ๆ ในบ้านสวน ให้กำเนิดลูกชายหนึ่งคนและท่านเองก็ยังร่วมอยู่ในงานวันเกิดของหลายชายของท่านด้วย พูดไปก็น้ำตาไหลไป ใครมาเห็นต้องหัวเราะแน่ท่านขุนพิพัฒน์ผู้แกร่งกล้าในอำนาจหลั่งน้ำตากับความน่าสงสารของครอบครัวที่พังทลาย”

   ในตอนนี้ผมสามารถประติดประต่อเรื่องราวต่าง ๆ แทบจะได้หมด ทั้งเรื่องของคนลุงศักดิ์คนที่พาผมไปบ้านหลังนั้น เรื่องที่ผมถูกทำร้าย และเรื่องที่มีคนจะเอาชีวิต เพียงแต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาถึงป่านนี้เท่านั้นเอง ไอ้พวกนั้นต้องการอะไร ในเมื่อทรัพย์สมบัติทั้งหมดถ้าทุกคนตายก็ไม่สามารถมีใครมาแก่งแย่งได้อีก … ทำไมต้องตามราวีพวกเราอีก 

   “คนที่ทำการแบบนี้คือเขยของฝั่งคุณหญิงอ้อ รู้ตัวคนทำแต่ไม่มีหลักฐานที่จะไปเอาผิด คดีนี้ท่านพิพัฒน์เองก็ตามมานานถึงจะมีเส้นสายแค่ไหนก็เอาผิดไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานจริง ๆ ชื่อเดิมของไอ้ไม้คือ ชื่อเล่นที่ท่านเรียกมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยและรู้จักกันในครอบครัวคือ นายน้อยฟ้าคราม หรือ ยุทธการ อริณมณี คราวนี้เอ็งคงประติดประต่อเอ็งได้แล้วใช่ไหม”

   ไม่มีไอ้ไม้ตั้งแต่ต้น มีแค่ฟ้าคราม มีแค่ ยุทธการ อริณมณี ไม่มี ไอ้ไม้ … ไม่มีชื่อปลอมและนามสกุลปลอมที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อหลบซ่อนจากภัยพาล ไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว ถึงขนาดที่กฎหมายเอาผิดไม่ได้ให้ขุนอะไรนั้นไปออกหน้าแทนคดียังไม่เดิน แสดงว่าแบล็กหลังดีมาก ยากที่จะเอาผิดได้ … แบบนี้ไงเวลาถึงล่วงเลยมาถึงป่านนี้ พวกมันรู้ จากการมีชื่อเสียง และถูกจับจ้องผ่านเวทีมวยน้อยใหญ่ในฐานะนักมวยหนุ่มไฟแรง ที่ไม่เคยพ่ายให้กับใคร ว่าไอ้ไม้ยังมีตัวตนเ…แบบนี้ไงผมถึงโดนดักทำร้ายและมีคนจะเอาชีวิต แบบนี้ไงวัดถึงถูกไฟเผาเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย … แบบนี้ไงไอ้ไม้ถึงต้องจากไปเพราะไม่อยากให้พวกเราได้รับอันตราย

   ฮึก ยังไงก็ไม่เอา ต่อไปต้องถูกทำร้ายแค่ไหน ผมก็ไม่อยากจากกัน ผมยอมแล้วยอมเข้าใจทุกอย่าง ช่วยกลับมาได้ไหม ฮึก กลับมาสักที

           “ดีแล้วที่มันจากไปตั้งหลักแบบนี้ เพราะข้าเอ็งก็ไม่มั่นใจว่าจะปกป้องพวกเอ็งได้ เพราะยังไงเอ็งก็สำคัญที่สุดสำหรับข้า ข้าคงทำใจไม่ได้เหมือนกันถ้าเอ็งต้องเป็นอันตรายไปอีกคน เฮ้อ ไอ้โทนเอ้ยไอ้โทน” พ่อดึงผมเข้าไปกอดปลอบ ผมคว้าหมับเข้าที่เอวพ่อและซุกอยู่อย่างงั้น

   แหกปากร้องไห้เสียให้พอใจในวันนี้ ก่อนจะลืมตาขึ้นมายอมรับความเป็นจริง และรอคอยวันที่ไอ้ไม้หรือฟ้าคราม กลับมาเป็นไอ้ไม้เด็กบ้านนอกของผมอีกครั้ง ฮึก รีบๆกลับมานะ คิดถึง อยากกอด อยากหอม อยากฟังเรื่องราวทุกอย่างจากปากของเอ็งไอ้ไม้ … ข้ารักเอ็ง ฮึก ข้ารักเอ็ง โทนรักไม้มากๆ ฮึก …


.
.
.
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่15วันคืนผ่าน} 22/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 22-04-2020 15:20:36
-3ปีผ่านไป-



 -เกื้อกูล-



          “โทน ส่ง NSS (น้ำเกลือ) ให้หน่อย” ผมที่กำลังง้วนจัดของในร้านหลังจากที่เอาของมาลง เพราะเมื่อวันก่อนมีคนวางยาน้องหมาทั้งซอย กว่า 10 ตัว เลยต้องใช้เยอะมากกว่าเดิม

   ณ ตอนนี้ ช่วยน้องให้รอดได้ประมาน 5 ตัวแล้ว ย้ายพวกเจ้าตูบไปไว้ในศูนย์พักพิงสัตว์ในตัวเมืองแล้ว เสียไป 1 ตัว เหลืออีก 4 ที่อยู่ในปกครอง ผมกับโทนแทบจะไม่ได้หลับได้นอน เนื่องจากเคสที่ต้องไปตามบ้านก็เลี่ยงไม่ได้เพราะยังมีน้องโคน้องควาย น้องไก่ ที่ยังต้องรอให้โทนเดินสายไปดูอาการ ส่วนผมก็รับบทอยู่ดูแลที่โรงพยาบาลพร้อมกับก้อย สัตว์แพทย์จบใหม่ที่ทำงานเป็นลูกมือของผม ส่วนโทนเองก็มี กั้ง บุรุษพยาบาลหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับก้อย

   ผันตัวมาเป็นสัตว์แพทย์โดยเหตุผลที่ว่า “ชอบหมา” ผมก็งง ๆ ว่าทำไมไม่เรียนสัตว์แพทย์ถ้ายอมทิ้งอาชีพมาสมัครเป็นลูกมือพวกผมแบบนี้ แถมไม่ใช่รักษาสุนัขโดยตรงเสียด้วย ส่วนมากจะเน้นรักษาสัตว์ใหญ่เสียมากกว่า โทนเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนโทนสวนทวารน้องวัว เจ้ากั้งอ้วกด้วย ผมเลยคิดว่าอาจจะต้องปรับตัวไปตามเลือก แต่ผ่านมา ปีนึงแล้ว กั้งก็ยังคงไม่ชิน

   ส่วนผมเองก็ค่อย ๆ ย้ายตัวเองมาอยู่ที่นี้ถาวรแล้ว เพราะพี่กายเลื่อนเป็นผู้อำนวยการใหญ่มีหน้าที่ในการตัดสินใจทุกอย่างแทนคุณแม่ในเรื่องบริษัท เลยให้จ้างพนักงานมาแทนตำแหน่งเลขาแทนผม และช่วยคุยกับคุณแม่ว่าอยากให้ผมตามทำในวิชาชีพที่ผมชอบและเรียนมาอย่างเต็มที่ คุณแม่เลยมีเงื่อนไขคือต้องกลับบ้านอย่างน้อยสามเดือนครั้ง และ ให้คุณแม่มาเยี่ยมได้ตามที่คุณแม่ต้องการ ผมเองก็ไม่ขัดข้อง แต่ต้องบอกผมล่วงหน้าก่อนนะครับ เดี๋ยวลุงทายจะมาหาผมผิดจังหวะ -////-

   “โทน เกื้อขอลังถุงน้ำเกื้อหน่อยครับ” ผมร้องบอกโทนอีกรอบเมื่อเห็นว่าโทนยังไม่ยกลังน้ำเกลือมาให้ผม เฮ้อ …

   ส่วนเรื่องลุงทาย เราสองคนก็ยังสม่ำเสมอ ลุงไปมาหาสู่ผมเป็นปกติ และผมมั่นใจว่าหลายปีที่ผ่านมา มันมั่งคงพอแล้ว ผมอาจจะดีไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่สิ่งเดียวที่ผมเชื่อคือลุงทาย … อีกไม่นานเราคงจะได้บอกกับคนอื่น ๆ ได้เต็มปากเสียที ว่าเรากับลุงทาย … รักกัน หลายครั้งที่ลุงทายอยากจะไปกราบแม่ผมในฐานะแฟนผม และ บอกโทนกับคนอื่นในความสัมพันธ์ของพวกเรา ในตอนแรก ผมเห็นด้วยสุด ๆ เพราะผมเองก็ไม่อยากหลบซ่อน แบบนี้แล้วเวลามองตาใส ๆ ของโทนแล้วผมรู้สึกผิดทุกครั้ง หลายครั้งอึดอัดใจจนต้องแอบไปร้องไห้คนเดียว แต่ … มันไม่ง่ายแบบนั้น พอถึงเวลาที่จะต้องบอกจริง ๆ ผมเองที่เป็นฝ่ายร้องห้ามเสียทุกครั้ง … มันไม่ง่ายเลย เชื่อผมสิ …

   “เอ่อ … พี่โทนพี่เกื้อ … เอาอะไรไหมคะหนูจะไปซื้อของที่เซเว่น” ผมสะดุ้งหันไปมองก้อยที่ยื่นหน้าเข้ามาหาผม เหลือบมองไปทางโทนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ห่างนัก ที่มองผมและก้อยสลับกันอย่างเอ๋อ ๆ

   เฮ้อ … ผ่านมา 3 ปีแล้ว ที่น้องไม้จากไปอย่างไม่มีแม้แต่ข่าวคราว ถึงโทนจะบอกมาเสมอว่าไม่เป็นไร ไม่ได้คิดถึง ไม่ได้เฝ้ารอ ไม่มีน้ำตา ไม่แสดงถึงอาการเสียใจให้ใครเห็น แต่ผมก็รู้อยู่มาโดยตลอด ว่าโทนนั้นปากแข็งแค่ไหน กับการที่จะบอกรักใคร คิดถึงใครสักคน และรู้ดีว่าโทนเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องรออย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้อีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ต่อจากนี้ที่โทนจะต้องรอ … แต่โทนก็เลือกที่จะรอด้วยความเต็มใจ พอคิดแค่นั้น น้ำตาผมก็พาลจะไหลทุกที บางทีผมก็คิดนะ ว่าน้ำตาทั้งหมดของโทนคงส่งผ่านมาทางผมทำให้ผมร้องไห้แทนเองเสียหมด

   “เมื่อกี้มึงว่าอะไรนะ โทษทีพอดีกูเหม่อไปหน่อย”

   “อุ้ย พี่เกื้อเป็นอะไรคะ ร้องไห้ทำไม” ผมรีบหลบตาของโทนที่มองมาที่ผมอย่างงง ๆ ใช้หลังมือเช็ดแก้มทำลายหลักฐานก่อนจะหันมาก้มหน้าก้มตาเก็บของเข้าคลังต่อไป ก่อนที่จะต้องไปดูแลน้องหมาที่นอนอยู่ในห้องฉุกเฉินต่อ

   “ปะ เปล่า ไม่มีอะไร พี่ฝากซื้อมักกะโรนีไก่สองกล่องนะ” ผมหยิบเงินส่งให้ก้อย และสั่งข้าวกลางวันของผมและโทนไปด้วยเลย

   น้องก้อยรับเงินและออกไปจากโรงพยาบาลสัตว์เล็กๆของพวกเรา ทันใดนั้นทั้งร้านก็เกิดความเงียบในทันที เจ้ากั้ง วันนี้เองก็ลาไปทำธุระ ตอนนี้ผมเลยอยู่กับโทนสองคน มองเห็นโทนแล้วก็ทั้งสงสารและสะท้อนบางอย่างกับตัวเอง แต่ในกรณีของผม … คนที่ผมรักยังคงอยู่ตรงนี้เป็นหลักประกันว่าความรักของผมมันยังคงไม่แตกสลาย แต่ของโทน … ไม่มีอะไรเลย ไม่มีทั้งหัวใจ ทั้งความรู้สึก ไม่ใช่โทนคนเดิม ถึงเจ้าตัวจะพยายามทำให้มันเหมือนเดิมขนาดไหนก็ตาม

   “ไอ้เกื้อ”

   “ฮะ ว่างายยยยย” ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติ หันไปยิ้มให้โทนที่เดินมานั่งยองๆลงข้างๆ ท่าทางเหมือนจิ๊กโก๋แต่หน้าน่ารักเหมือนเด็กซนๆนั้นไม่ให้เอาซะเลย

   “กูไม่เป็นไร มึงอย่าห่วงให้มันมากนัก ไม่มีใครตาย มึงจะร้องไห้ทุกครั้งที่มองหน้ากูแบบนี้ไม่ได้ สามปีแล้วมึง สามปีแล้วที่กูรอ กูชิน สบายๆ ฮ่าๆๆๆๆ” โทนพูดไปหัวเราะไป เอามือมาวางบนหัวผมและยีเหมือนผมเป็นลูกหมา เท่านั้นเหมือนทั้งเรื่องผมและเรื่องโทนมันตีผสมปนเปกันมั่ว ผมพุ่งเข้าไปกอดโทนซุกตัวร้องไห้อยู่อย่างงั้น… สู้ๆนะโทน เดี๋ยวเกื้อรอเป็นเพื่อนนะ

.

.

.

         “เป็นอะไรวะ”

   เสียงลุงทายกระซิบขึ้นข้างหูของผม ก่อนจะกระชับกอดจากด้านหลังแน่นเข้าไปอีกหน้าอกซิกแพคหนาของเขาแนบชิดกับแผ่นหลังเปลือยของผม ผมหันไปยิ้มก่อนจะหอมแก้มสากนั้นเบาๆ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่หนวดเริ่มขึ้นเป็นตอเล็ก ๆ ตาสีดำสนิทคมเข้ม โครงหน้ากรามชัดหล่อเหลา ริมฝีปากหยักได้รูป ที่ทำให้ทุกคนหลงใหล … คน ๆ นี้คือคนที่ผมรักหมดใจ

           “ดึกแล้วนะครับ กลับไปดูโทนเถอะ” ผมกระซิบบอกเขากลับ

   แต่อย่างลุงทายหรือจะยอมทำตามที่ผมบอกพลิกตัวไปนอนหงายเอาแขนหนุนหัวตัวเอง เหมือนจะเป็นสัญญาณว่า อยากจะนอนอยู่บนเตียงอันคุ้นเคยนี้ตลอดทั้งคืน ผมหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะหันไปเอาแก้มหนุนอกแกร่งและกอดลุงทายเอาไว้ ทำตัวเป็นเด็กเลยดูสิ

           เราสองคนพัฒนาความสัมพันธ์มาอีกขั้นเมื่อปีที่แล้ว ในคืนนั้นผมจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่รู้ว่าในคืนนั้นลุงทายมาหาผมปกติ แต่ตอนจะกลับดันติดฝนกลับไม่ได้ … -/////- เรื่องราวมันก็เลยลงเอยอย่างที่เห็น ลุงทายก็เลยรั้นหนัก ในช่วงหลังที่จะพาผมไปกราบเท้าแม่ผมตลอด ใจนึงผมก็ดีใจ อีกใจ ผมก็คิดว่ายังไม่ถึงเวลานั้นเลย ถึงผมจะรู้สึกผิดมากก็ตามแต่ … ผมยังไม่มีความกล้ามากพอกับการที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ให้บุคคลที่สามรู้ อยู่แบบนี้ก็ดีนะ …

           “ไม่เป็นห่วงโทนเหรอครับ”

           “หยุดคิดเรื่องไอ้โทนสักนาทีได้ไหม” ลุงทายทำเสียงอ่อนอย่างรำคาญและพลิกตัวตะแคงข้างหันหลังให้ผม หว่า ผู้ใหญ่งอนซะแล้ว เฮ้อ …

           ผมหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นเอื้อมตัวไปหยิบเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ที่หล่นอยู่ที่พื้นมาใส่ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องน้ำ เพื่ออาบน้ำใหม่ ก่อนที่จะลงมือง้อเด็กโข่ง ผมน่ะนะเป็นห่วงโทนอยู่แล้วลำพังผมหลับคนเดียวได้ไม่เป็นไร แต่คนที่ต้องการกำลังใจที่สุดคือโทนต่างหาก ไม่ใช่ผม อีกอย่าง ช่วงนี้ลุงทายมาที่นี้บ่อยมาก กลัวว่าสักวันถ้าโทนอยากคุยกับใคร จะไม่มีใครไว้ให้คุย …

.

.

.



           ร่างเล็กขี้อายของเกื้อเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยกลิ่นตัวคลุ้งหอมไปทั่วทั้งห้องนอนที่เปิดไฟหัวเตียงไว้เพียงแสงสลัว กะจะปลุกคนตัวใหญ่ที่ตนคิดว่าเผลอหลับไปแล้วด้วยอารมณ์กรุ่น แต่ก็หารู้ไม่ว่ากำลังโดนแกล้งกลับ

   ลุงทายหลับตานิ่งก่อนจะได้ยินเสียงเกื้อเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่ตั้งอยู่เยื้องกับหัวเตียง มือขาวหยิบแป้งเด็กขึ้นมาทาทั้งตัวเหมือนเด็กตัวน้อย ๆ ชุบแป้งทอด เกื้อรู้เพียงว่าทำแบบนี้แล้วหลับสบายแถมหอมด้วย ทาไปก็เหลือบมองลุงทายไป แอบเห็นว่าลืมตาขึ้นมามองหน่อย ๆ ด้วยเลยยิ้มหวานให้ แต่ลุงทายก็ทำเป็นหลบหน้าพลิกนอนคว่ำไปเสียนี้

           เกื้อหัวเราะอย่างอ่อนใจ ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปนั่งพับเพียบลงที่พื้นฝั่งลุงทายเนื้อตัวหอมนั้นทำให้คนแกล้งหลับแทบจะตวัดเด็กน้อยขึ้นมาจับกดอีกสักรอบเสียให้ได้แต่ต้องอดใจไว้รอดูภรรยาสุดที่รักว่าจะทำอย่างไร

           “ลุงทายครับ” เจ้าของชื่อแอบสะดุ้งเมื่อมือเย็นของสุดที่รักแตะลงมาที่แผ่นหลังเปลือยของเขาแต่ด้วยความใจแข็งดั่งเหล็กกล้าที่ถูกหลอดละลายมาด้วยน้ำมือของเด็กน้อยแล้ว ก็ต้องนิ่งเอาไว้ก่อน

           ความจริงก็ไม่ได้โกรธอะไรเจ้าเด็กเกื้อขี้เป็นห่วงแถมขี้แยนั้นหรอก แต่ออกจะรำคาญไปสักนิดที่วัน ๆ เอาแต่มองเรื่องของคนอื่น ทั้งที่เรื่องของตัวเองก็เยอะพออยู่แล้ว ปู่ทายนั้นเลี้ยงพ่อโทนมากับมือทำไมจะไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นนิสัยยังไง ไม่ได้อ่อนแออะไรขนาดนั้น และเลือกที่จะปรับตัวไปตามสถานการณ์ได้ดี จิตใจมั่งคง แนวแน่ และที่สำคัญ เข้มแข็งเสียยิ่งกว่าผู้ชายแมน ๆ กล้ามใหญ่บางคนเสียอีก

           จริงอยู่ที่ ณ เวลานี้โทนเองก็ยังคงเฝ้ารอความรักที่จากไป แต่ก็ยังทำกิจกรรมอย่างอื่นได้ในชีวิตประจำวัน ยิ้มได้ หัวเราะได้ กินได้ หลับได้ มีบางครั้งที่อาจจะเหงาเพราะความคิดถึงบ้างก็ไม่แปลกเท่าไหร่นี้ มีเพียงเด็กคนนี้เท่านั้นที่ยังไงหวงไม่เข้าเรื่อง จนต้องทะเลาะกันหลายยก และส่วนมากปู่ทายเองนั้นแหละที่หงุดหงิดเสียเหลือเกิน

           “ลุงทายครับ ไปอาบน้ำนะจะได้นอนสบาย ๆ ไง”

           “ทำไม ไม่ไล่ข้ากลับแล้วหรือไง”

           “อ้าวตื่นแล้วเหรอครับ คิก” เกื้อเอามือปิดปากและหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นว่าคนตัวใหญ่พลิกตัวมาถามอย่างรวดเร็วเหมือนเด็กๆ

   ลุงทายรู้ทันทีว่าเสียรู้เด็กเลยแกล้งตวัดแขนพาร่างเล็กของเกื้อขึ้นมานอนบนอกแกร่ง เกื้อไม่แม้แต่จะโวยวายหรือแสดงความดีใจออกมา ได้แต่หลับตาตักตวงความสุขไว้ให้มากที่สุด ลุงทายถอนหายใจอย่างอ่อนใจกับเด็กคนนี้ ที่ไม่เคยเรียกร้องอะไรให้ตัวเองเลย มีแต่ความหวังดี จริงใจให้กับคนอื่น แต่กับเรื่องของตนเองกับมองว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ไม่จำเป็นต้องสนใจ สำหรับลุงทาย ไม่ว่าจะโทน หรือ เกื้อ ก็สำคัญด้วยกันทั้งสิ้น

   ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ ลุงทายก็พร้อมจะจัดการให้จบสิ้นเพียงแค่ใครสักคนเอ่ยปากบอกตามบัญชา ถ้าโทนต้องการให้ตามหาเจ้าไม้ เขาพร้อมที่จะตามหาให้อาจจะยากไปสักหน่อย แต่ก็เชื่อว่า เส้นสายในวงการก็ไม่ใช่น้อย ๆ น่าจะพอได้ข่าวอะไรบ้าง แต่โทนเองก็ไม่เคยร้องขอให้เขาออกตามหาเพราะเชื่อในกระดาษแผ่นนั้น คำสัญญาที่ให้ไว้ ว่าสักวันลูกไม้จะกลับมาด้วยตัวของเขาเองจนล่วงเลยผ่านมาหลายปี

   เช่นเดียวกับเกื้อ เองที่มีแต่ความลังเลในความรู้สึก มันชัดเจนเพียงความรักและความกลัว แต่ไม่เคยสะท้อนความมั่นใจที่จะปลดปล่อยความหนักใจให้หมดสิ้น ต่างจากตัวลุงทายเองเป็นชายชาติไทยแท้ พร้อมที่จะชนกับทุกอย่าง พร้อมที่จะปกป้อง และรับความจริงเพราะอย่างไรลุงทายเองก็ไม่คิดที่ปล่อยมือเกื้ออีกแล้ว มันชัดเจนมาตลอดหลายปีว่าไม่มีผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนทำให้เกราะกำบังที่ปิดกั้นความรักพังได้เท่ากับสายตาอันอ่อนโยนของเด็กน้อยใจอ้อมกอดคนนี้ได้อีกแล้ว เหมือนดั่งโชคชะตาที่ทำให้ผูกติดกับเด็กคนนี้เพียงคนเดียว …

   “ลุงทาย”

   “…” ลุงทายไม่ตอบอะไรเพียงแต่หยุดนิ่งฟังสิ่งที่เกื้อจะพูด

            “มีความสุขไหมครับ”

           “เออ” เขาตอบและลืมตาก้มมองหน้าใสที่ซบอยู่หน้าอกเปลือยของเขาว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ แต่ก็มองไม่ชัดเห็นเพียงกลุ่มไรผมสีน้ำตาลอ่อนที่ดูนุ่มนวลเช่นเดียวกับเจ้าของ ณ เวลานี้คงจะมีแต่ตัวของเกื้อเองที่จะอธิบายความรู้สึกเวลานี้ได้

           “ถ้าเราบอกทุกคนไป แล้ว … เราต้องเลิกกัน เราจะทำยังไงกันดี เราปิดบังทุกคนมานานมากเลยนะครับ นานจริงๆ ผมกลัวจังเลย กลัวมากๆเลย ฮึก … ผมอ่อนแอมากเลย ฮึก แต่ผมกลัวจริงๆนะ กลัวทุกคนผิดหวัง คุณแม่ พี่กาย พี่เมย์ โทน น้องไม้ ลุงจันทร์ ลุงทิม พี่แสง พี่เมฆ ฮึก ป้าที่ตลาด ลุงคนขับรถ กลัวมาก ๆ เลย … แต่ผมก็รักลุงทายมากเลยนะ ฮึก รักจริง ๆ นะครับ”

           “พูดจบหรือยัง”

           “ฮึก ผมขอโทษ…” ร่างเล็กซุกหน้าเช็ดน้ำตากับอกแกร่งนั้นซ่อนใบหน้าเด็กขี้แยเอาไว้ใต้ความแข็งแกร่ง

   ลุงทายถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ถึงภายนอกจะดูนิ่งขรึมแต่ภายในใจนั้นลุกลี้ลุกลนและไม่เคยชินกับน้ำตาของเด็กคนนี้สักที ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เห็นเด็กคนนี้ร้องไห้ ก็เหมือนกับความเศร้าของทุกคนในโลกมารวมกันอยู่ที่เกื้อ มันทำให้เขาเกิดอารมณ์ที่ไม่เหมือนคนอื่นเท่าไหร่ นอกจากเอ็นดูสงสารยังผสมปนเปไปกับความหื่นอีกด้วย

           “เฮ้อ เลิกกลัวอะไรไร้สาระสักทีได้ไหมวะ” ลุงทายดันเกื้อให้ลงไปนอนข้าง ๆ ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นนั่งคว้าเอาผ้าขาวม้ามาผูกเอวและหันไปหยิบบุหรี่หัวเตียงเดินออกไปที่ระเบียงห้องนอน

   ปล่อยให้เกื้อนอนซบหมอนร้องไห้ฮัก ๆ อยู่บนเตียงอย่างน้อยอกน้อยใจ แต่เด็กน้อยก็ไม่เคยรู้เลยว่า ตอนนี้ลุงทายเองก็กำลังสงบสติอารมณ์ไม่จับเด็กน้อยกดให้ช้ำไปมากกว่านี้ เพราะความสงสารกลัวจะบอบช้ำเกินไป เห็นบอกว่าพรุ่งนี้มีงานเช้าต้องรีบกลับไปดูอาการน้องหมาที่โรงพยาบาลแทนก้อย

           ควันบุหรี่ถูกพ่นออกมาตามจังหวะลมหายใจ ตาคมเหม่อมองไปบนฟ้ายามดึกที่ดวงดาวกำลังส่องประกายไปทั่วทั้งฟ้า จันทร์ทรายามนี้ดูสวยสดไม่เหมือนกันเด็กน้อยของเขาที่เศร้าหมอง ไม่รู้จะโอบกอดยังไงถึงจะทำให้เด็กคนนี้หายหวาดกลัว หลายต่อหลายครั้งที่คุยกัน เกื้อไม่เคยเข้าใจเลย ว่าเขาสามารถปกป้องเขาได้ แต่ไม่เคยเข้าใจเลย ว่าเขารักเด็กคนนี้มากขนาดไหน ไม่มีทางที่จะเลิกด้วยเหตุผลไม่เข้าเรื่องแบบนั้นแน่นอน อีกอย่าง เกื้อเองก็อายุไม่น้อยแล้ว การตัดสินใจทุกอย่างสมควรที่จะเด็ดขาดด้วยตนเองได้แล้ว ลุงทายเชื่อว่า คนที่บ้านใหญ่ของเกื้อต้องเข้าใจเป็นอย่างดี ไม่อย่างงั้นมีหรือที่จะปล่อยให้เด็กตาดำๆไม่รู้เรื่องรู้ราวมาอยู่ห่างหูห่างตาแบบนี้ ยิ่งพี่ชายของเกื้อที่รู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดียิ่งกว่าใครยิ่งไม่ต้องเป็นห่วง ที่จะห่วงก็ตัวของภรรยาตัวน้อยของเขาเองกับความรู้สึกของเจ้าโทนนั้นแหละ

           “ฮึก …” เสียงสะอื้นเล็ก ๆ เย็น ๆ ดังขึ้นเบื้องหลังของร่างแกร่ง เขาเหลือบไปมองก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ เหยียดยิ้มน้อยๆกับตัวเองและบี้บุหรี่ในมือทิ้ง

           ก่อนจะหันไปมองเด็กน้อยอย่างเต็มตา ตอนนี้ภาพตรงหน้าช่างดูเหมือนเทวดาน้อย ๆ ที่ใส่เพียงเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ของเขามือทั้งสองข้าวกำชายเสื้อของตัวเองแน่น ผิวกายขาวละเอียดชมพูระเรืองขึ้นเพราะร้องไห้หนัก หน้าที่ที่อ่อนโยนและน่ารักแดงไปทั่วทั้งหน้า ปากน้อยเบะร้องไห้เหมือนเด็ก ตากลมหลั่งน้ำตาใสออกมาไม่หยุดด้วยความน้อยอกน้อยใจ พยายามสกัดกั้นอารมณ์ความรู้สึกที่ล้นปรี่ของตัวเองอย่างเต็มที่ ความกลัวที่เกาะกินหัวใจอันบริสุทธิ์แทบจะทุกส่วนทำให้ปิดกั้นความรู้สึกเข้มแข็งไปด้วย

           “เอ็งจะร้องทำไมนักหนาไอ้เกื้อ” เสียงแหบของลุงทายเหมือนจะดุน้องน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่มีความแข็งกระด้างอยู่ในตัวเองที่สิ่งทำให้เด็กขี้แยและอ่อนต่อโลกนั้นหลงรักมานานแสนนานเพราะมันไม่มีความเสแสร้งเจือปนอยู่ในคำพูดนั้น ถึงจะแข็งกระด้างแต่จริงใจเป็นที่สุด

           ร่างเล็กปล่อยโฮออกมาเสียงดังก่อนจะวิ่งเข้าไปหาลุงทายและกอดร่างนั้นเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ใบหน้าขาวซุกอยู่ที่อกอยู่อย่างงั้น สมกับเป็นพ่อของโทน ความอบอุ่นในอ้อมกอดนั้นแทบจะเหมือนกันเพียงแต่ว่าของลุงทาย แข็งแกร่งและปลอบปะโลมเทวดาตัวน้อยได้มากกว่า

           “ขอโทษ ฮึก ผมขอโทษที่ทำให้รำคาญ ฮึก แต่อย่าไม่รักเกื้อเลยนะ ฮึก ” ร่างสูงเกือบจะหัวเราะออกมาเมื่อคำพูดน่ารักๆของน้องน้อยในอ้อมกอดเปล่งออกมาพร้อมสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารและก็น่ารักซะเหลือเกิน

           “พอๆ พอแล้ว จะร้องทำไมนักหนา น้ำตาจะท่วมโลกแล้ว”

           “ฮึก ผมขอโทษษษษษษษ”

           “เออๆ รู้แล้วน่า หยุดร้องสักที ข้าไม่ทิ้งเอ็งหรอก อยู่กันมาตั้งนานถ้าเอ็งเป็นผู้หญิงคงท้องไส้ไปนานแล้วขนาดนี้ หึหึ ”

   แทนคำตอบหมดทุกสิ่งคนปากแข็งใจกระด้างอย่างลุงทายก็คว้าเอาเด็กน้อยขึ้นมาจูบเสียให้หายคิดมากอย่างที่เด็กน้อยไม่ทันจะตั้งตัว น้องเกื้อดิ้นคลุกคลักๆในอ้อมกอดแกร่งนั้นเล็กน้อย ก่อนจะยอมศิโรราบแต่โดยดีเมื่อโดนจู่โจมหนักขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะดูป่าเถื่อนแต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงแหนและความรักอยู่เต็มความรู้สึกนั้นของลุงทาย ถึงอายุจะห่างกันมาก ในสถานะที่แตกต่าง มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับความรักที่เริ่มใหม่ของลุงทายและรักแรกของเด็กน้อย …

           “ไอ้เกื้อกูนอนไม่หลับมากินเหล้ากัน โว้วววววววววววววววววววววววววววว!!!!!!!”

           “ทะ ทะ โทน!”

.

.

.



-ทาย-

           ให้ตายสิ ไอ้เด็กเวรตะไลเสือกมาขัดจังหวะพ่อมันเสียได้ เกือบจะได้แอ้มอีกสักดอกแล้วแท้ๆ ไม่รู้สิทุกครั้งที่ไอ้เด็กนี้ร้องไห้ข้ามักจะมีอารมณ์ตลอด อาจจะดูโรคจิต แต่เวลามันร้องมันกลับดูเซ็กซี่เย้ายวนใจข้าอย่างประหลาด เอาความจริงนะ ข้าไม่รู้จะปลอบใจยังไงที่เมียข้าร้องไห้กับเรื่องพันธุ์นี้เพราะยังไงก็คิดมากอยู่ดี ข้าเลยคิดว่าที่ไอ้เด็กห่าเวรตะไลลูกผมมาเจอให้เห็นเองกับตาในคืนนี้มันอาจจะดีกับทุกคนแล้วก็เป็นได้ ความสุขพ่อกับเมียพ่อมันที่เป็นเพื่อนมันด้วย ยังไงมันก็ต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว ข้ารู้จักลูกข้าดี แต่เอ็งก็มาผิดจังหวะไปหน่อยหรือเปล่าวะไอ้โทน

           ข้านั่งกอดอกอก มองไอ้โทนที่ตาค้างยังไม่เลิกจ้องมองมาที่ข้ากับไอ้เกื้ออย่างไม่ละสายตา ก่อนจะก้มลงมามองไอ้เกื้อที่นั่งก้มหน้ามองมือตัวเองอยู่ข้าง ๆ อย่าร้องไห้นะโวยเดี๋ยวข้าจะหักห้ามใจตัวเองไม่ไหว ฮ่าๆๆ

           หลังจากที่ไอ้โทนแหกปากร้องลั่นบ้าน ก็ได้ข้อสรุปว่ามันนอนไม่หลับเลยปั่นจักรยานออกมาซื้อเหล้าซื้อเบียร์กะจะมาก๊งกับไอ้เกื้อ แต่ดันเห็นภาพเด็ดช็อตสำคัญซะได้ ข้าเลยต้องพามันสองคนที่จิตตกและเอ๋อพอกันมานั่งที่โซฟาในห้องรับแขกเสียก่อนที่จะพากันมานั่งจ้องหน้าอย่างที่เห็น

           “พะพ่อกับอะ ไอ้เกื้อ … อะเอ่อ … จั๊กดึมดึ๊ย กันหรอ”

           “จะ 10 ปีละ” ข้าตอบแทนแต่ก็โดนเมียรักฟาดที่แขนดังเพี๊ยะ เจ็บนะเนี้ยเดี๋ยวก็จับฟั๊ดมันตรงนี้ซะเลย

           “ห๊า!!!! งั้นก็ตั้งแต่ผมไปเรียนเลยอ่ะดิ๊ พ่อนะพ่อ ทำไมต้องแอ้มเพื่อนผมวะ!”

           “มะ ไม่ใช่นะโทน … ไม่ใช่ 10 ปี แค่หลังจากมาอยู่ที่นี้เท่านั้น …” ไอ้เกื้อพยายามแก้ต่างด้วยเสียงอ่อย ก้มหน้าทำท่าจะร้องไห้เมื่อรู้ว่าไอ้โทนจ้องมองอยู่

   ผมเริ่มสงสารมากขึ้นเพราะรู้ดีว่าเมียรักหวงความรู้สึกของไอ้โทนมากแค่ไหน แต่จะช้าหรือเร็วมันก็ต้องรู้อยู่ดีนั้นแหละ สำหรับข้า ข้าว่าดีแล้วที่เป็นแบบนี้ รำคาญไอ้เกื้อที่มาร้องไห้ทุกครั้งที่คิดมากนั้นแหละจะได้แฮปปี้เอนดิ้งสักที

           “เฮ้ย ๆ จะร้องไห้ทำไมวะ กูว่าแล้ว มึงชอบแอบไปคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้บ่อยๆบางทีก็หายไปซะเฉย ๆ ตาลุงเองก็ชอบหายไปตอนหัวค่ำทู๊กคืนนนนนนนน สาดดดดดดด มีที่ไหนจากเพื่อนจะมาเป็นแม่เลี้ยงกู พ่ออีกคน อะไรวะ ผู้หญิงตามจีบทั้งตำบลดั๊นนนนนมาเอาเพื่อนผมเนี้ย!” ไอ้โทนโวยวายไปตามภาษาคว้าเอาก้อนน้ำแข็งในถุงที่เริ่มละลายของมันออกมาเคี้ยวกรุบ ๆ จ้องมองมาที่ผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

   ไอ้ห่าว่าแต่กู มึงเองก็เก้งกวางกับไอ้ไม้เหมือนกันละว๊า อย่าคิดว่ากูโง่สิ ยังไงความรักก็บังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว กูน่ะชอบผู้หญิงนะ ถ้าให้นอนด้วยอะกูไม่ขัด แต่สำหรับคนที่กูรักและอยากจะปกป้องอะ ก็มีแค่ไอ้เกื้อเท่านั้นแหละ

   “รู้งี้แล้วก็กลับบ้านไปได้และข้าจะนอนกับเมียข้าสักที มาป่วนซะได้ไอ้ห่า”

   “ลุงทาย!!!!” ไอ้เกื้อเงยหน้าขึ้นมาตะคอกและปัดมือข้าที่โอบไหล่มันลง … โอ้ววววว ตั้งแต่ได้เสียกันมาก็มีรอบนี้นี้แหละที่มันกล้าหือกับข้า ดูเหมือนจะไม่พอใจเอามากๆซะด้วย

   ไอ้เมียรักไม่สนใจข้าปรี่เข้าไปหาไอ้โทนและจับมือทั้งสองข้างของไอ้โทนมากุมเอาไว้ในมือเล็กๆของมันก่อนจะพรำขอโทษออกมาไม่ขาดสาย น้ำตาไหลออกมาเช่นเดียวกับคำขอโทษนั้น ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่มองเหลือบขึ้นข้างบนอย่างเซ็ง ๆ ไอ้โทนมันไม่ได้อ่อนแอข้าเคยบอกไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ๆ และมันไม่ได้เป็นคนที่หวงพ่อมันขนาดนั้น บางทีมันอาจจะหวงไอ้ไม้มากกว่าพ่อมันซะอีก เพราะความเป็นพ่อลูกกันมันเลยทำให้ข้ารู้เรื่องความรู้สึกของมันดี เลี้ยงมากับมือ ทำไมจะไม่รู้ว่าตอนนี้มันรู้สึกยังไง มีแค่ไอ้เมียรักเท่านั้นแหละที่กังวลอะไรไม่เข้าเรื่อง

   “โอ้ยยยยยยยยย พอแล้วๆๆๆ จะร้องทำไมนักหนา ก็บอกไม่ได้โกรธไง … แล้วบ้านใหญ่รู้เรื่องหรือยัง”

   “ยะ ยังเลย”

   “พ่อ ทำไมไม่ไปสู่ขอเพื่อนผมอะ ปล่อยเวลามานานแบบนี้ได้ยังไง โว๊ะ ! เซ็งจังโว้ย แก่แล้วยังจะกินเด็กอีก โอ๊ย!เจ็บนะ” ก็เขวี้ยงให้เจ็บนะสิไอ้ห่า

   ข้าคว้าเอากล่องใส่กระดาษชำระใกล้มือปาหัวไอ้ลูกเวร ลามปรามดีนักและถือเป็นเรื่องปกติ เพราะกูเลี้ยงมันมาแบบนี้มันถึงได้โตมาอย่างที่เห็น หน้าตามันเหมือนมะลิแม่ของมัน แต่ความกวนตีนนี้ไม่รู้เหมือนใคร

   “เชอะ เอ็งรักไปได้ไงวะ ป่าเถื่อนฉิบหาย”

   “… ทะ โทนไม่โกรธแน่นะ”

   “เออสิวะ จะโกรธทำไม … เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วนี้ไอ้สาดดดดดด”

   ไอ้โทนตะโกนใส่หูไอ้เกื้อ จนมันต้องย่นคอและทำหน้าสลดออกมาแต่ก็ต้องหัวเราะคิกคักเมื่อเงยหน้าเห็นหน้าไอ้โทนที่ทำจมูกเชิดขึ้นเหมือนนางร้ายในละครน้ำเน่า  เห็นมันยิ้มได้ก็รู้ว่าตอนนี้มันคงโล่งใจไปหลายกระเปาะ หึหึ

   “หัวเราะอะไรวะ”

   “ปะ เปล่า ๆ โทนทำหน้าตลกเฉย ๆ”

   “เฮ้อ แล้วนี้จะมีน้องให้กูอุ้มเมื่อไหร่”

   “บะ บ้า”

   กูหัวเราะออกมาทันทีที่เห็นไอ้โทนเย้าเมียรักของกูเล่นจนไอ้เกื้อต้องมุดหน้าหนีอย่างเขินอาย ไอ้โทนหัวเราะร่าตบบ่าตบหลังไอ้เกื้ออย่างแซว ๆ ก่อนจะหันมามองผมและชูกำปั้นทำหน้าเอาเรื่องใส่ … สรุปข้าหรือไอ้เกื้อกันแน่ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของมัน แต่ก็เอาเถอะ กูถือว่าแฮปปี้เอนดิ้งละนะ จะเหลือก็ฝั่งไอ้เกื้อนั้นแหละ ที่กูไม่ยอมแพ้หรอก ความจริงถ้าไอ้โทนมาพร้อมแม่ไอ้เกื้อเห็นช็อตเด็ดเมื่อกี้ก็จบละ จะเอาสินสอดสักกี่ล้านดีละคุณนายครับ ยังไงลูกเขยก็อายุเท่า ๆ กับคุณแม่ เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคุยสักคนแล้วกัน ฮ่าๆๆๆๆๆ

   “ยิ้มอะไรพ่อ คิดแผนจะแอ้มเพื่อนผมหรือไง พอเลย ต่อจากนี้ไอ้เกื้อไปอยู่บ้านกับผมส่วนพ่อก็มานอนนี้ จนกว่าจะไปสู่ขอให้ถูกต้องซะก่อน”

   “เฮ้ย ! ได้ไงวะ ไอ้เกื้อมานี้” ข้ารีบเรียกไอ้เกื้อเมียรักที่นั่งเอ๋อไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่ไอ้โทนไม่ยอมหันไปทำตาถลนใส่ จนไอ้เกื้อต้องยอมนั่งเฉย ๆ ส่งสายตาลูกหมามาหาข้าแทน

   “พอเลย ไปไอ้เกื้อกลับบ้านดีกว่าไม่ต้องไปสนใจตาแก่นี้หรอก”

   “เฮ้ยยย ไม่นะโว้ย”ข้าร้องโวยวายขึ้นอีกรอบวิ่งตามไอ้เกื้อที่ถูกไอ้โทนลากลงจากบ้านไปแล้วด้วยความเร็วสูง แต่ก็ต้องชะงกเมื่อรู้สึกว่าตัวเองใส่แค่ผ้าขาวม้าผืนเดียว

   ไอ้แต่ยืนมองไอ้เกื้อซ้อนจักรยานไอ้โทนไปไม่วายหันมาปิดปากหัวเราะเยาะผมอีกแหนะ … สาดดดดดดดดดดดดดด ไอ้ลูกเวรตะไลขโมยเมียพ่อมัน!!!!!!!! เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนพรุ่งนี้ธนาคารเปิดเมื่อไหร่ข้าจะไปเบิกขึ้นและแห่ขันหมากเข้าเมือง!!!!!!







===============



ป๊าดดดดดดดดดดดดดด ยอมรับว่าตัดตอนผิดใน ตอนที่แล้ว เลยอัพรวมไปเลย



ใครรอลูกไม้อยู่ภาวนากันไม่ให้พ่อโทนแก่ก่อน อีกกี่วันกี่คืน กี่ปีจะกลับมานะลูก

 
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่15วันคืนผ่าน} 22/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 22-04-2020 20:52:24
 :m20: เรื่องลุงทายรอดแล้ว
เหลือลูกโทนละ จะกลับมาแบบไหน :hao5:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่15วันคืนผ่าน} 22/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 22-04-2020 23:12:53
โทนกวนตีนอ่ะ พรากเมียพรากผัว 55555 อาร๊ายยยยเขินฉากกอดฉากจูบของลุงทายน้องเกื้อไม่ไหวแล้ว >.,< -///- ชอบอ่ะชอบ  :-[ รีบไปขอรอเมียมานอนด้วยนะลุง 555
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่15วันคืนผ่าน} 22/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 23-04-2020 00:26:25
ไม้จะกลับมาตอนพ่อโทนแก่เลยเหรอ  :hao6:
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่16 6ปีผ่านไป} 23/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 23-04-2020 18:11:34



พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 16 6 ปี ผ่านไป ไวเหมือนโกหก


   

   ปฏิทินที่ฉีกแล้วฉีกอีก เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ไม่รู้ว่ากี่ทีกี่รอบแล้ว ผมเองก็ไม่ได้นับเหมือนกัน แต่ดูจากตัวเลขแล้ว บวกลบคูณหาร อายุก็ปาขึ้นไปเลขสามละ เฮ้อ เลขสวยซะด้วย 30 ขวบ น้องโทนยังน่ารักนะเอ่อ ไม่แก่สักหน่อยแค่ สิ้นเดือนนี้ก็ 31 และ เฮ้อ … ไม้จากไปตอนอายุ 18 เลขอาถรรพ์ ซะด้วย  นั้นละ 6 ปีละ 6 ปีที่ไม่ได้รับข่าวคราวอะไรจากมันเลยไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง จะอยู่จะกิน จะนอนยังไง …

   ผมได้แต่เห็นห่วงมันเช้าเย็น จากที่มีแต่ความเศร้าในทุก ๆ วัน มันกลายเป็นความชินเฉยชา กลายเป็นบุคคลที่ไร้ความรู้สึกได้แต่พึ่งหน้ากากสวมไว้ให้ทุกคนสบายใจ นานแล้ว นานมาก จนผมไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ที่ไอ้ความรู้สึกชินชานี้จะหายไป เมื่อไหร่ … ผมจะได้ถอดหน้ากากนี้สักที เฮ้อ … ป่านนี้มันคงอายุ 24  ปี สินะ หึหึ เท่ากับตอนข้าเรียนจบใหม่ ๆ เลย … หึหึ รีบกลับมาสิเฮ้ย ก่อนที่พ่อมึงจะหง่อมตายห่าซะก่อน แต่ถ้ายังไม่พร้อมแล้วอยากให้รอต่อไป … เอาเถอะ ยังไงก็จะรอ … จะรอจนกว่าจะทำตามสัญญาที่เคยให้กันไว้ …

   “โทนกลับมาพอดีเลย กินข้าวได้แล้วนะ”

   ผมที่เลี้ยวจักรยานเข้ามาในบ้านปุ๊บ ไอ้สามเสือตระกูลผักก็วิ่งดุ๊กเข้ามาหา เสียงเห่าของหมาเกือบแก่อย่างพวกมันดังสะเหนาะหูดีจัง เฮ้อ…แต่พิษของกาลเวลา มันรังแกมีมี่น้องสาวของผมก็หมดอายุขัยไปในอ้อมกอดของผม … ผมเป็นหมอหมาก็จริง แต่ผมไม่สามารถหมุนเวลากลับไปเพื่อรั้งชีวิตของมีมี่ได้ … แต่ผมก็ได้ทำให้น้องผมไม่ทรมานและจากไปท่ามกลางความรักและอาลัยของพวกเรา

   “เสร็จแล้วเหรอ โทษทีนะที่ต้องให้ช่วยอยู่ตลอด ช่วงนี้งานลงพื้นที่เยอะมากเลย”

   “ไม่เป็นไร นี้ไงละเกื้อบอกเกื้ออยากช่วยก็ไม่เอา” ไอ้เกื้อที่เดินมาแย่งกระเป๋าหมอของผมไปถือเอาไว้ทำหน้ามุ่ย

    ตั้งแต่มีผัวเป็นตัวเป็นตนนี้ รู้สึกออร่าความสาว จะสวยขึ้นเยอะเชียวนะ ไม่อยากจะเมาส์วันที่ไปสู่ขอถึงบ้านคุณหญิงนะ น้ำตาไอ้เกื้อนี้แตกราวกับจะกำเนิดแม่น้ำใหม่ของประเทศไทยผ่าตัดผ่านหน้าบ้านมันจนมาถึงหน้าบ้านผม แต่สุดท้ายคุณหญิงก็ได้พ่อผมไปเป็นลูกเขยพ่วงท้ายด้วยตำแหน่งเพื่อนคุยเพราะอายุเท่ากัน ค่อนข้างผิดคาดกับพี่ผมคิดไว้ว่าจะเกิดดราม่า แต่เห็นว่าพี่กายพี่ชายไอ้เกื้อรู้เรื่องตั้งนานและพยายามกระแซะ ๆ คุณหญิงแม่ไว้ให้ บวกกับท่านไม่คิดว่าลูกชายคนเล็กจะมีเมียกับเขาแหละมั้ง กูดูหน้ามันสิ หวานซะขนาดนี้ เอาเถอะคุณหญิง มีลูกเขยเป็นเพื่อนนี้ไม่เหงานะครับคุณหญิงแม่  ฮิฮิ

   ไอ้เกื้อก็กลายเป็นแม่เลี้ยงผมไปโดยปริยาย ถึงจะมีพวกขี้เม้า แต่ก็ไปเรื่อยแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรับรู้ แต่ถ้าใครจะรู้จะเสือกก็ตามสบาย ผมถือว่า ณ ตอนนี้ครอบครัวผมมีความสุขก็พอ อีกอย่างไอ้เกื้อมันก็ยังทำตัวเหมือนเดิม ทำงานเหมือนเดิม ต่างก็ตรงที่พ่อผมมักจะไปเฝ้ามันนี้แหละ เด็กมันไม่ได้ติดลุงหรอก ตาลุงนั้นแหละติดเด็ก ฮ่าๆๆๆ

   “อยู่กับผัวไปเถอะ”

   “โทน!!!” ผมหัวเราะก่อนจะหันไปมองไอ้กั้งกับหนูก้อยที่ขับจักรยานพากันซ้อนท้ายตามมาอีกคัน

   โอ้ย พอคุณแม่คุณกระหนุงกระหนิงกันจริง ๆ คู่นี้เขาเพิ่งแต่งงานกันไปเมื่อปีที่แล้ว แหม นายกั้งนี้ตั้งท่าจีบผมมาตั้งนาน พอโดนตอกหน้าด่ากลับไปอกหักไปซบน้องก้อยเลยได้กันซะงั้น เอาเถอะ ดีแล้วละอย่ามายุ่งกับคนอย่างผมเลย ผมมันมีความสุขที่ได้รอ และภูมิใจที่มั่นคงในความรัก ต่อให้มันจะไม่กลับมาหรือกลับมาแล้วอุ้มลูกอุ้มหลานมาฝากผม ผมก็พร้อมกับอ้าแขนรับและโอบกอดเอาไว้ … แต่ก่อนอื่นขอเตะก่อนเลยแล้วกัน ค่อยว่ากัน

   “พี่โทนกลับมาแล้วก็มากินสิไม่กิน จุก แย่งกินหมดนะ”

   ผมรีบเข้าไปแจกมะเหงกไอ้จุกเด็กใหม่ในค่ายมวยที่หลวงปู่วัดป่าฝากเอาไว้เพราะไอ้จุกมีความศรัทธาในตัวไอ้ไม้และอยากที่จะต่อยมวยให้ได้เหมือนไอ้ไม้ นั้นคือเหตุผลหลักที่พ่อผมรับมันมาอุปการะตามคำหลวงปู่ ส่วนหลวงปู่ท่านเองในตอนนี้ก็มีอายุมากขึ้นยังคงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงลูกวัดช่วยกันดูแลอยู่ตามเดิม ไอ้จุกมันย้ายมาอยู่ค่ายได้สามปีละ

    มีมาก็มีจากไป ตอนนี้ลุงทิมก็ผันตัวเองมาเป็นเซียนพระชื่อดัง ย้ายไปอยู่ที่บ้านเกิดแกกับเมียแก เห็นว่ามีบ้านสวน อยู่กันสองผัวเมียใช้ชีวิตบันปลายชีวิตอย่างมีความสุข ส่วนลุงจันทร์ก็ผันตัวไปเป็นครูมวยค่ายดังที่บ้านเกิดเหมือนกัน เห็นว่าแกมีเมียหลายคนนะตอนนี้ แถมในค่ายก็มีนักมวยดัง ๆ หลายคนชีวิตแกก็ บู๊สุดๆเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ

   “น้องโทนวันนี้มีหมูทอดจานโปรดเราด้วยนะ” ผมเดินไปนั่งข้าง ๆ พี่เมฆจังหวะเหมาะที่ไอ้เกื้อตักข้าวมาวางตรงหน้าผม

   พี่เมฆเองก็ยังล้ำบึกสูงโปร่งขาวใส เรียกน้ำลายอีสาวทั้งประเทศ ใช่ครับทั้งประเทศเพราะฝีมวยฝีเท้าก็อัพเลเวลขึ้นเป็นมวยผู้ใหญ่ชกตีทีเวทีสนั่นไม่ใช่เสียงหมัดนะเสียงกรี๊ดนี้แหละ แถมยังอัพไปชกมวยสากลระดับโลกอีกต่างหาก กลายเป็นนักมวยหน้าหยกของยุคไปเลยทีเดียว ทำให้ค่ายผมค่อนข้างมีชื่อเสียงเข้าไปอีก แต่พ่อผมจะไม่รับมั่ว นอกจากจะทำให้เห็นว่าสามารถทนทานต่อการฝึกอันหนักหน่วงของค่ายได้ ถึงจะรับ

   จนถึงปัจจุบัน ก็มีคนเข้าออก ๆ แต่ไม่ทนเลยสักคน ล่าสุดพ่อผมกระทืบไล่ไปอีกฝูงนึงเพราะมันเข้ามาขโมยของ ดีที่ไอ้หมาตระกูลผักสามสหายทำหน้าที่ดีเกิดคาดเลยจับส่งตำรวจซะนอนคุกกันไป เพราะงี้ พ่อผมเลยสร้างเรือพักของนักมวยขึ้นอีกหลังในพื้นที่นาของบ้านผมที่อยู่ไม่ไกลมากนัก ปลูกเป็นเรือนไม้แถวขึ้นมา ให้พวกนักมวยอ่อนหัดที่อยากจะเข้ามาในค่ายนี้ได้ทดลองงานกันไปก่อนเพราะค่ายผมไม่คิดเงินในการฝึก คือใครเข้ามาอยู่ได้ถือว่าสบายไปครึ่งนึงเลยละ มีข้าวกินมีที่ซุกหัวนอน อะไรมันจะดีไปกว่านี้ละ

   “ของกูด้วย” แหนะ พูดถึงพี่เมฆแล้วก็ลืมพี่แสงไม่ได้

   ตอนนี้เทพแล้วนะในมวยระดับประเทศและพยายามจะไปมวยโลกตามคู่ปรับไปอยู่ จากมวยวัดขี้ก้าง ดูตอนนี้สิ ร่างกายสมบูรณ์แบบมาก ฝีมวยเองก็พัฒนา หล่อไปเลยนะครับแหม แต่ก็ยังปัญญาอ่อนและเกรียนเหมือนเดิม

   “พ่อละไปไหนเนี้ย” คนอื่นเขาตั้งวงเตรียมกินกันพร้อมละ โดยเฉพาะไอ้จุกที่ตอนนี้น้ำลายจะไหลลงจานข้าวอยู่ละ ไอ้เด็กตะกละนี้นะ ถึงจะมีอะไรเหมือนไอ้ไม้สักอย่าง ฝีมือไม่เท่า ออกจะโง่เรื่องเรียนไปสักนิด แต่มันก็ทำตัวน่ารักใช่เล่น เหมือนเป็นเพื่อนเล่นผมไปในตัว เพราะเวลาผมอยากจะแกล้งใครสักคน ไอ้จุกนี้แหละเป้าหลายที่ผมจะพุ่งตรงไปดึงจุกที่หัวมันทันที หึหึ ตอนนี้ก็เช่นกัน

   “โอ้ย พี่โทน ดึงจุก จุกทำไมง่ะ ใจร้ายยยยยยยยยย”

   “หมั่นไส้ น้ำลายจะหกและไอ้ห่านี้”   

   “ทะเลาะกันอยู่นั้นแหละพวกมึงนี้นะ”

   พ่อผมเดินลงมาจากบ้านด้วยสภาพหล่อคมและล้ำบึกจนไอ้เกื้อเผลอก้มหน้ามองมือตัวเองแก้มแดง … นี้อยู่กันจนจะมีหลานให้กูอยู่และมึงยังจะเขินอีกเหรอไอ้เกื้อ แต่พ่อนะพ่อ ไอ้ผ้าขาวม้านี้นะ โยนทิ้งไปได้ไหม มันเน่าฉิบหายและครับ แหมมมม

   ตาลุงเดินมาตบหัวผมทิ่มไปหนึ่งที ก่อนจะเดินไปนั่งข้างเมียรักของแก หอมกันหยอกล้อไม่เกรงใจไอ้คนโสดอย่างผมเลย บรรยากาศแม่งมุ้งมิ้ง จนเหมือนมีแต่ผมกับไอ้จุกที่นั่งกันตัวแข็ง … แง๊ม ทำไมพี่เมฆกับพี่แสงถึงมีบรรยากาศแบบนี้กับเขาไปด้วยวะไม่เข้าใจเลยแสดดดดดดดดด ดดดดด ดดดด

   “โอ้ย!!! จะมุ้งมิ้งอะไรกันนักหนา หิวแล้ว!” ผมแกล้งตะโกนก่อนจะจ้วงเอาไก่ขึ้นมาแทะกินไม่สนใจ ไอ้จุกกลัวไม่ทันผมเลยเอาบ้าง และหลังจากนั้นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขเหมือนเดิมในทุกๆวันก็เกิดขึ้น …

   เห็นไหมไอ้ลูกไม้ ตอนนี้บ้านเรามีความสุขมากแค่ไหน ตอนนี้มึงอยู่ที่ไหนวะ เมื่อไหร่จะกลับมา อยากให้เอ็งอยู่ที่นี้ด้วย อยากให้เอ็งมีความสุขเหมือนแต่ก่อน …

.

.

.

           อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ผมก็เข้ามาในห้องตัวเองที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ขอทุกอย่างที่ไอ้ไม้ไม่ได้เอาติดตัวไป ก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม ชั้นหนังสือ โต๊ะเขียนหนังสือ ม่านมุ้งก็อันเดิม ที่นอนที่มันเคยนอนอยู่ข้างเตียงของผม ก็ยังคงม้วนเก็บอยู่ในตู้ เดือนนึงผมจะต้องเอามันออกมาซักเผื่อวันไหน มันกลับมาจะได้มีนอนได้สบายตัว เฮ้อ ผมมานั่งเช็ดผมบนเตียง มองออกไปเห็นพระจันทร์ดวงกลม  เมื่อก่อนนี้จะมีเด็กที่ไหนไม่รู้ตัวอย่างควายมานั่งเช็ดหัวให้จนผมแห้ง จะหลับจะนอนก็ต้องพัดหวี่เป่ากล่อมจนผมหลับไป … แต่ตอนนี้ 6 ปีแล้ว ที่ผมต้องนอนคนเดียว ในห้องเล็ก ๆ นี้ คิดถึงวันแรกที่เจอกัน ไอ้เด็กที่มีแววตาเศร้าสร้อย ไม่เอาใครทั้งสิ้น แต่พอเอามาอยู่ด้วยกันกลับน่ารักแบบแปลก ๆ บูชาผมอยู่เหนือหัว คอยเอาอกเอาใจ พร่ำบอกรัก เป็นห่วงเป็นใย  จนป่านนี้คำพวกนั้นยังก้องอยู่ในหัว

           มันยังเหมือนเดิมอยู่ไหม … เจ้าไม้ … หรือที่เอ็งพร่ำบอกข้ามันเป็นแค่ความคิดของเด็กที่หลงพ่อกันแน่ … แต่สำหรับข้า มันชัดเจนตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้เลยนะ … ข้าไม่สามารถแสดงความรู้สึกนี้ได้กับใคร … มีแต่ตัวเองที่รับรู้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดกับแผลที่ไม่มีวันสมานนี้ มันเจ็บปวดเพียงใด ที่ทำได้แค่รอ … รอ … รอวันที่จะได้เจอกันอีก อย่างไร้จุดหมาย …

           “พี่โทน” ผมสะดุ้งหันไปมองไอ้จุกที่โผล่หน้าขาวโป๊ะแป้งเย็นหอมฉุยที่หน้าประตู อีกละ ไอ้นี้ กลัวผีอีกละ

           “มึงอยู่บ้านนี้มาจนจุกมึงยาวจนเดือนหน้าจะตัดอยู่แล้วนี้ มึงยังไม่กลัวอีกเหรอวะ!” ผมแกล้งด่ามัน แต่ไอ้จุกไม่สนใจหอบข้าวหอบของมาปูนอนข้างเตียงผมที่ที่ไอ้ไม้เคยนอนนั้นแหละ

   ไอ้จุกมันไว้จุกเพราะหลวงปู่ท่านบอกว่ามันนั้นเกิดมามีเคราะห์ดวงตามมา เลยต้องไว้จุกแก้เคล็ด เมื่อมันอายุ 15 ปีบริบูรณ์ ซึ่งเป็นต้นปีหน้าถึงจะตัดจุกออกได้ไว้ผมทรงอื่นได้ปกติ ตอนนี้จุกมันยาวจนถักเปียได้ถึงหลังละ จะใครละที่ถักให้ถ้าไม่ใช่ผมกับไอ้เกื้อ ถ้าไอ้เกื้อก็สบายหนังหัวหน่อยแต่ถ้ากูก็เจ็บแสบๆคัน ๆ ไปตามเรื่อง

   “ฉันไม่ได้กลัวนะพี่ แต่มันสยึยอะ พี่แสงกับพี่เมฆก็ไม่ให้นอนด้วย ครั้นจะไปขอนอนกับลุงทายก็ไม่อยู่อีก ฉันขอนอนด้วยอีกคืนนะ”

   “เมื่อวานเอ็งก็พูดแบบนี้”

   “โธ่ …”

   “เออ ๆ จะนอนก็นอน แล้วทำการบ้านหรือยังวะ”

   “เสร็จแล้วจ้ะ”

   “แน่นะ อย่าให้ข้ารู้ว่าเอ็งแอบไปลอกเพื่อนตอนเช้าและครูมาฟ้องอีก คราวนี้แหละเอ็งโดนดีแน่”

   “เอ่อคือ …”

   “ไปเอามาทำเลย!!!!” หน่อย! ไอ้นี้กะล่อนดีนักแหละ!!!!

   แล้วไอ้จุกก็วิ่งหางจุตูดออกจากห้องไปหยิบการบ้านมานั่งทำจนเสร็จช่วย 3 ทุ่มกว่า ๆ ผมเลยบอกให้มันไปปิดไฟและนอน เพราะพรุ่งนี้มันจะต้องไปเรียนแต่เช้า ผมหลับไปในเวลาไม่นานดีเหมือนกัน ที่มีไอ้จุกมานอนด้วยแบบนี้ ผมจะได้ไม่ต้องคิดถึงไอ้ไม้ให้เลอะเทอะใจร้าว ๆ ของผมไปมากกว่านี้

           “ไอ้ทาย!!!! ไอ้โทนโว้ย!!!!” ผมสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมานั่ง ใครมาโหวกเหวกโวยวายอะไรตอนนี้วะ ผมเหลือบไปมองไอ้จุกที่นอนสลบน้ำลายยืดท่านอนแหกแข้งแหกขาอยู่ ฝันเหรอวะ …

           “ไอ้โทน ไอ้ทาย!!!!!!” ไม่ฝันละ ผมรีบลุกขึ้นเดินออกไปเปิดประตูห้องมองซ้ายมองขวา เห็นพี่เมฆกับพี่แสงเดินออกมาจากห้องเหมือนกัน

           “ใครวะ ดึกดื่นป่านนี้มาแหกปากโวยวาย” พี่แสงทำท่าหงุดหงิด ผมไม่สนใจ รีบวิ่งลงไปดู ชะเง้อดูก็เห็นลุงไก่คนในตลาด อะไรละคราวนี้ วัวควายบ้านใครป่วยกลางดึกอีก

           “โอ้ย อย่าตะโกน ได้ยินแล้วจ้า!!!!!” ผมตะโกนและวิ่งลงไป บอกไอ้พวกสามทหารเสือหยุดเห่า และไปเปิดระตูให้ลุงไก่เข้ามาในบ้าน แกเหงื่อกายแตกซิกพูดจาไม่รู้เรื่อง จนผมต้องบอกให้แกใจเย็นๆ บอกให้พี่เมฆเข้าไปเอาน้ำมาให้ลุงแกกินซะก่อนจะได้ใจเย็นๆ

           “ฟะ ฟะ ไฟไหม้คอกหมู บ้านไอ้เชื่อมมันให้ข้ามาตามเอ็ง!!!!”

           “โอ้ย แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรก พี่เมฆเอารถออกด้วยครับโทนวานหน่อยส่วนพี่แสงอยู่เป็นเพื่อนไอ้จุกมันเดี๋ยวตื่นขึ้นมาไม่เจอใครมันจะโวยวายเอา” ผมว่าและขึ้นห้องไปหยิบกล่องพยาบาล กวาดเครื่องมือยาทุกอย่างลงกระเป๋า ไม่ลืมที่จะโทรหาไอ้เกื้อให้มันไปที่ร้านเพื่อสแตนบายรอเคสนี้เลย

           พอทุกอย่างเสร็จสรรพก็กระโดดขึ้นกระบะท้ายโดยมีพี่เมฆเป็นคนขับส่วนลุงไก่ก็นั่งด้านใน ไม่รู้ป่านนี้หมูจะเป็นยังไงบ้างหวังว่าจะดับไฟและช่วยไว้ทันบ้างนะ ขออย่าให้เป็นอะไรกันมากเลย …

.

.

.



           “เฮ้อ ”

   9 โมงเช้า … กว่าจะเสร็จ หมูตายไปครึ่งคอก โชคดีที่แม่พันธุ์และเจ้าลูกตัวน้อยทั้งหลายที่อยู่แยกอีกคอกไม่เป็นอันตรายมาก ส่วนตัวที่รอดก็มีแผลไฟลวกกันเต็มไปหมด … สืบได้ใจความลุงแกไปยืนสูบบุหรี่ข้างคอกหมู ด้วยความสับเพร่าทิ้งก้นบุหรี่ลงไปในกองฟาง ไฟเลยลามไปติดคอกหมู …มีหมูที่เลือดออกในช่องท้องเลยต้องลงมือผ่าตัด เรื่องมันเลยเป็นอย่างนี้แหละ กว่าจะเสร็จทุกอย่างก็เช้าเลยจ้า … จะตายเอากูเนี้ย 

   “โทนกินน้ำเต้าหู้ก่อนไหม แล้วกลับไปนอนที่บ้าน” ผมที่ฟลุบพักสายตาที่โต๊ะพยักหน้าก่อนจะเงยขึ้นมาเอาคางเกยโต๊ะ จมูกฟุดฟิดดมแก้วน้ำเต้าหู้หอมกรุ่น งืออออออออออ คิดถึงไอ้ไม้อ่า

   “เอ็งก็ไปนอนด้วยดิ ให้ไอ้กั้งกับไอ้ก้อยมันเฝ้าไป”

   “เกื้อไม่ง่วงเลย ไม่คืนก็ไม่ได้บู๊แหลกเหมือนโทนซะหน่อย เดี๋ยวเกื้ออยู่เฝ้าดีกว่า”

   “งื้อ … ก็ได้ งั้นข้ากลับไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันมึง” ผมว่าและกระดกน้ำเต้าหู้ลงกระเพราะเดินโต๋เต๋ออกมาจากร้าน ไม่มีรถก็ต้องเดินกลับละนะ อีกหน่อยเดียวก็ถึงแล้ว … หน่อยเดียวที่ไหนวะ 

   พอเดินมาถึงบ้าน ก็เห็นพ่อกำลังนั่งดูพี่แสงกับพี่เมฆซ้อมมวยกันอยู่ในลานกว้างเสียงดัง ปุ๊ ๆ ผมไม่สนใจเดินขึ้นบ้าน ก่อนจะหลับเป็นตายในทันที …

   “พ่อโทนครับพ่อโทน” แหมเว่ย … ใครมันขยันมาเรียกกูนักหนาวะ ผมพลิกตัวมาอีกข้างอย่างรำคาญใจ

   “พ่อโทนครับ ลูกไม้คิดถึงพ่อโทนจังเลย” ผมสะดุ้งลุกขึ้นมานั่งทันที … ไหนละ ไหนไอ้ไม้ … ฝันเหรอ … หึ มึงไอ้โทนมึงคิดถึงไอ้ไม้มันมากเกินไปแล้วนะ …

   ไอ้โทนคนโง่เดินออกจากห้องที่ว่างเปล่าลงมาด้านล่าง ล้างหน้าล้างตาก่อนจะมานั่งดูไอ้จุกซ้อมมวยอยู่เยาะ ๆ … มองไอ้จุกแล้วก็คิดถึงไอ้ไม้ … ถึงตัวมันจะเตี้ยกว่า หน้าตามันจะออกเจ้าเล่ห์ไม่หล่อเหลาเหมือนไอ้ไม้ แต่การที่เด็กอายุเท่า ๆ กับไอ้ไม้ ก็ทำให้ผมอดคิดถึงไม่ได้ เพราะบ้านหลังนี้ มันมีแต่ความทรงจำของไอ้ไม้ทั้งสิ้น … คิดถึง คิดถึงที่สุดเลย

   

ครืดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดด

           “ฮัลโหลลลลลลลลลลล” ผมลากเสียงยาวกรอกสายลงไปในโทรศัพท์ที่สั่นงึกๆอยู่เมื่อกี้

           “ไอ้โทน ไปเที่ยวทะเลกัน”

           “อารมณ์ไหนของมึงไอ้ห่าป๊อก” ผมถามไอ้ป๊อกยิ้มๆ

   ไอ้ป๊อกมันเป็นเจ้าของบริษัทรับออกแบบบ้านและสวนแล้วนะ ใหญ่โตเลยทีเดียว ส่วนไอ้ทิมมี่กับไอ้เบสตอนนี้มันก็ร่วมหุ้นกันทำหนัง ซึ่งตอนนี้ได้รับความนิยมในชื่อผู้กำกับคู่ของพวกมัน ไม่ได้ติดต่อกันมาพักใหญ่ ๆ เพราะต่างคนต่างทำงาน พอติดต่อกลับมาไอ้ป๊อกก็ก่อกวนผมทันที   

   “กูเซ็งกูอกหัก ชวนบ้านมึงมาด้วยก็ได้”

   “วันไหนวะ”

   “พรุ่งนี้ เดี๋ยวกูไปรับมึงแต่เช้ามืด แค่นี้แหละ”

   “อ้าวเฮ้ย …”

   ผมมองโทรศัพท์อย่างง ๆ ไอ้ห่าคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป พรุ่งนี้บ้านผมมีขึ้นชกดูท่าจะไปกันไม่ได้ ไอ้จุกก็ติดเรียน เดี๋ยวลองชวนไอ้เกื้อดูและเปิดร้านให้ไอ้ก้อยกับไอ้กั้งดูร้าน ไปวันสองวันคงไม่เป็นไรหรอมั่ง …

   ในขณะที่ผมกำลังนั่งงงอยู่ภายในรั้วบ้าน หันไปเห็นไอ้สามทหารเสือที่กำลังเล่นกันอยู่หน้าบ้านแต่แปลกที่มันไม่ได้เหมือนเล่นกันเอง แต่กำลังชะเง้อชะแง้กระดิกหางคล้ายกำลังเล่นกับใครอยู่ ผมมองไม่ชัดนักเพราะต้นไม้มันบังอยู่

   “มะเขือ กะหล่ำ แตงกวา ทำอะไรกัน!!!” ไอ้สามทหารเสือหันมามองผมก่อนจะวิ่งดุ๊ก ๆ เข้ามา มีแต่ไอ้แตงกวาที่ยังส่ายหางดิก ๆ และเห่าเหมือนกำลังเห่าส่งใคร จากนั้นผมก็ทิ้งความสงสัยไม่สนใจเพราะไอ้จุกวิ่งเอาการบ้านที่ได้เกินครึ่งมาโชว์ผม

.

.

.

           “สุดท้ายมึงก็มาคนเดียวเนี้ยนะ”

    ผมหันไปพยักหน้ากับไอ้ห่าป๊อกที่ขับรถหรูสะบัดมารับผมตอนตี 5 ของวันรุ่งขึ้น ไอ้ห่านี้กวนตีนไม่บอกเวลาว่าจะมาตอนไหนโทรไปก็เสือกปิดเครื่อง ให้กูลุกขึ้นมารอตั้งแต่ตี 4 นี้ก็ไม่ได้เห่อเลยนะ กะจะนอนต่อแหละไอ้เวนตะไลนี้เสือกบีบแตรซะลั่นทุ่ง จนไอ้แผนที่จะย่องหนีไอ้จุกออกมาแตกโป๊ะ ทิ้งให้ไอ้จุกยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้านเฉยเลย ช่วยไม่ได้ก็ไอ้จุกมันติดเรียนเองนี้หว่าไอ้เกื้อเองก็อดเพราะสามีไม่ให้ไป ฮึ ตาแก่หวงเมียไม่หวงลูก บุยยยยย ส่วนไอ้ทิมมี่กับไอ้เบสก็ไม่ว่าง เลยต้องมากับไอ้ป๊อกสองคนจนได้   

   “มึงไปอกหักจากสาวที่ไหนมาวะ”

   “อย่าไปพูดถึงแม่งเลย”ปากมึงบอกว่าไม่ต้องคิดถึงแต่หน้ามึงนี้นะ ฮ่าๆๆๆๆ หมาป๊อกกูหมดสิ้นลายเลยไอ้ห่า

   เราสองคนคุยเรื่องราวสารพัดสารเพที่เจอมาส่วนมากผมจะเป็นคนพูดซะมากกว่าเพราะไอ้ป๊อกพูดไม่ทัน ฮ่าๆๆๆ มันขับรถโดยไม่แวะที่ไหนถึงแม้ว่าผมจะปวดขี้ก็ตาม จนต้องกระโดดงับหัวมันถึงจะยอมจอดปั๊มให้ได้ เราถึงที่หมายกันในเวลา 8 โมงกว่า ๆ ตะเวนหาที่พักกันมาจนได้บ้านพักทาวน์เฮ้าส์สองชั้น ราคากลางๆถึงจะไม่ติดกับทะเลแต่เดินไปอีกหน่อยก็ได้ลงไปเล่นแล้ว มีเซเว่นอยู่หน้าซอย เครื่องอำนวยความสะดวกครบ ตามประสาหนุ่มโสดสองคน

            ผมเดินคาบขนมปังเดินออกมาจากเซเว่น ถุงเหล้าเบียร์ขนมกับแกล้มเต็มไปหมด คือกูกับไอ้ป๊อกเป่ายิ้งฉุบและผมเสือกแพ้เลยต้องออกมาแบกเอง สาดดด แขนจะหักเอา พอกลับไปถึงบ้านเราสองคนก็ตั้งวงกันเลยทีเดียวข้าวปลาไม่กินกินแต่เหล้าและกับแกล้ง ก่อนจะเมากลับไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นมากแล้ว เห็นว่าไอ้ห่าป๊อกไม่ตื่น ผมเลยกะจะออกมาเดินเล่นและค่อยซื้อข้าวซื้อปลาเข้าไป ฝากมัน

           เวลานี้น้ำทะเลขึ้นมาสูงลมพัดโหมกระหน่ำจนถ้าผมเผลอลงไปเล่นน้ำตอนนี้ อาจจะถูกพัดหายไปเลยก็ได้ แต่ท้องฟ้ายามนี้สวยเอาซะมากๆ เป็นสีส้มนวลสวย อาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ผมมองไปเห็นลุงที่กำลังเก็บเรือเจ็ทสกีเข้าฝั่งและผูกเอาไว้ให้เข้าที่ ต่างจากด้านหลังของผมยามนี้ที่กำลังมีแสงสีของยามราตรีผับบาร์ที่เปิดตอนกลางคืน ในที่ที่เดียวกลับมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน มันก็ดูแปลกดีเหมือนกันนะ เฮ้อ … นานๆทีได้มาเที่ยวแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ทำไมนะ … ทำไมมันถึงรู้สึกเหงาทั้ง ๆ ที่ปลอดโปร่งแบบนี้ ถ้าไอ้ไม้มาด้วย ผมคงมีความสุขมากกว่านี้ เด็กคนนั้นคงจะดูแลผมเป็นอย่างดี … เฮ้อ … คิดถึงจะตายแล้ว …

           “แม็กกี้หยุดก่อนนนนนนนนนนน” เสียงเล็กลากยาวนั้นทำให้ผมหันไปมองตาม

           เด็กตัวน้อย ๆ อายุไม่เกิด 5 ขวบ เดินจูงสุนัขตัวใหญ่เดินเต๊าะแตะมาทางผม ดูเหมือนคนจะไม่ได้จูงหมาแต่หมาจูงคนนะ … ผมเอียงคอมองดูว่าไอ้เด็กน้อยน่ารักนี้จะทำยังไง ไอ้หมาพันธุ์โกลเด้น ตัวยักษ์มาหยุดฟุดฟิด ๆ อยู่ที่เท้าผม ก่อนจะนึกครึ้มอะไรไม่รู้โหม่งมาที่ท้องกูอย่างแรงจนกูลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า และมันก็เข้ามาเลียหน้าเลียตาอย่างไม่ได้รับอนุญาต!!!! เฮ้ยยยยยยย ยยยยย ยยย มึงนี้นะ มึงมันหมาใจง่ายยยยยยยยยยยยย

           “แม็กกี๊!!!!” มัวแต่แหกปากไอ้ห่าเด็กนี้ เอาหมามึงออกปายยยยย ยยยยย ยยยยย

           “ยะ หยุด ๆ”

    ผมร้องห้ามก่อนจะเอาแรงเฮือกสุดท้ายผลักไอ้หมานี้ออกจากตัวไป พอหลุดมาได้ก็เกือบหลุดขำรอบสองเพราะเห็นไอ้เด็กตัวน้อยพยายามดึงเชือกอย่างเต็มกำลังหลับตาปี๋ ฮ่าๆๆๆๆ น่ารักจังวะ ผมรีบลุกขึ้นก่อนที่ไอ้หมายักษ์จะล้มมาใส่ผมอีกยกใหญ่ น้ำลายมึงนี้นะเต็มหน้ากูไปหมดเลยไอ้หมาเวร กูน่ะรักสัตว์นะ แต่แหม … เล่นซะน้ำลายเต็มหน้ากูขนาดนี้ เฮ้อ ไอ้หมานะไอ้หมา

   “นิ่งซะแม็กกี้” ผมร้องสั่งแม็กกี้ ก่อนจะเอามือวางบนหัวมันเมื่อมันทำตามคำสั่งผม ก่อนจะนั่งยอง ๆ ลงไปลูบหน้าลูบคอมันให้รางวัลที่เชื่อฟังคำสั่งผม

   “เก่งจังเลย”

   “หึหึ ชื่ออะไรไอ้หนู แล้วเอ็งมาเดินอะไรริมทะเลคนเดียว” ผมเงยหน้าขึ้นไปถามไอ้เด็กน้อยที่ยื่นทึ้งอยู่ มันสะบัดหัวก่อนจะยิ้มหวานให้ผมพูดจาแจ๋วแว๋วไปนอกโลกแล้ว สักพักจับใจความได้ว่าบ้านอยู่แถวนี้ ก่อนจะเริ่มแนะนำตัว

   “ผมชื่อ น้องจิน อายุ 5 ขวบเรียนอยู่โรงเรียนสายน้ำอยู่ตรงสุดหัวมุมถนน เป็นลูกพ่อยักษ์กับแม่สาย ส่วนสูง …”

   “พอ ๆ อะไรจะละเอียดขนาดนี้” ผมยืนเล่นกับไอ้เด็กน้อยสักพัก

   ก่อนที่พ่อของมันจะมาเรียก เลยได้เวลาโบกมือลากัน ทิ้งให้ผมยืนยิ้มส่งอยู่ชายทะเลคนเดียว ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มแล้ว ทั้งตัวมีแต่น้ำลายหน้าและทราย เลยตัดสินใจเดินลงทะเลไปล้างตัว … คลื่นแรงชะมัดเลย ถ้าคลื่นแรงแบบนี้ บางที ถ้าผมตะโกนออกไป เสียงของผมอาจจะโดนเสียงคลื่นนี้กลบไปก็ได้ บางทีนะ …

   ผมสูดลมเข้าไปในกระเพราะ ก่อนที่จะเปล่งคำที่อยากจะตะโกนให้ทุกคนรับรู้ ที่อัดอั้นอยู่ในใจตลอดมา…

   “คิดถึง!!!!!!!! คิดถึงไอ้ไม้ ไอ้ลูกเวร ฮึก คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงง เมื่อไหร่จะกลับมา กลับมาสักที … กลับมา”

    เสียงสุดท้ายเหมือนใจผมจะขาด ล้มตัวลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรงสู้กับคลื่นที่พัดกระแทกตัวจนรู้สึกเจ็บแต่มันไม่เจ็บเท่าหัวใจของผม เจ็บจนเผลอร้องไห้ออกมา … ทะเลจ้า … โปรดส่งลูกไม้มาหาโทนที โทนไม่ไหวแล้ว คิดถึงมาก ๆ เลย …

   ผมเช็ดจมูกที่รู้สึกแสบไปหมด ก่อนจะคลานขึ้นมาบนฝั่ง เศษหินเศษเปลือกหอยก็แหลมไปหมด ฮึก ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย พอขึ้นมาริมทะเลได้ ก็นอนแผ่มองฟ้าที่มืดสนิทแล้ว ดวงดาวตอนนี้ถึงจะยังไม่เยอะมาก … แต่มันก็สวยมาก ฮึก สวยมากเลย …

   ผมเอามือปิดหน้าและร้องไห้ออกมา ให้เสียงน้ำเสียงทะเลกลบความเสียใจทั้งหมดสิ้น อย่างน้อยแค่วันนี้ที่ผมอ่อนแอ อย่างน้อยแค่วันนี้ที่ผมได้ปลดปล่อย … 6 ปีแล้วนะ … 6 ปีแล้ว ฮึก คิดถึง … คิดถึงจะตายอยู่แล้ว ได้โปรดเถอะ พระสงฆ์องค์เจ้า พระผู้เป็นเจ้า เจ้าแม่ เจ้าพ่อ เจ้าป่า เจ้าเขา ได้โปรด … ดะ ได้โปรด …

   “พ่อโทนครับ” หยุดเลยนะ อย่าหลอกหลอนกันแบบนี้ได้ไหม รู้แล้วว่าคิดถึง แต่อย่าเอามาหลอกตัวเองแบบนี้ ไอ้โทน ฮึก ไม่เอา จะเอาตัวจริง

   

จุ๊บ …



           ผมรู้สึกความร้อนและชื้นที่ริมฝีปาก ถึงแม้จะเบาบาง แต่ผมก็รับรู้ถึงลมหายใจ ใครมาลักจูบกูวะ!!!!! ผมเปิดหน้าขึ้นมาดู แต่แล้ว … ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาที่เป็นประกายแห่งความเศร้าแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น … ผมค่อย ๆ ยกมือขึ้นจรดสันกรามชัดนั้น … ริมฝีปากแบบนี้ ใบหน้าแบบนี้ …กลิ่นแบบนี้ …ระ รอยยิ้มแบบนี้ ไม้ … ลูกไม้ของผมใช่ไหม ฮึก ลูกผมใช่ไหม …

           “กลับมาแล้วครับ” น้ำตาหยดใสนั้นหยดลงแก้มของผมก่อนที่จะได้รับรู้อะไร ผมกลับทำตามสัญชาติญาณ มือทั้งสองข้าง รวบคอแกร่งนั้นโน้มเข้ามาก่อนจะจรดริมฝีปากเข้าริมฝีปากหน้าตรงหน้าทันที … อบอุ่น อบอุ่นเหลือเกิน



ถ้าเป็นฝัน …



โปรดอย่าให้ผมตื่นเลย …   



 

========================

น้องไม้กลับมาแน้วววววววววววววววววววววว

แต่คูมพ่อโทนไปจูบน้องแบบนั้นผิดผีน้าาาาาาา ไม่นับที่อิน้องมันแอบลักจูบหลายครั้งที่ผ่านมานะจ๊ะ 5555
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่16 6ปีผ่านไป} 23/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 23-04-2020 19:44:38
ลูกกลับมาแล้วนะจ้ะพ่อโทน
ลูกไม่ได้กลับมาเป็นลูก.. แต่ลูกจะกลับมาเป็นหลัว  o18
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่16 6ปีผ่านไป} 23/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 23-04-2020 21:21:19
กลับมาตามสัญญาแล้ว  o13
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่16 6ปีผ่านไป} 23/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 23-04-2020 21:23:11
โอ๊ยยยยยกลับมาซักที ดีใจ พ่อโทนคิดถึงจะบ้าแล้ว  :katai2-1: อัยยะไปขอกันแล้ว ลุงทายยยย >.,< -///- พี่ป๊อกอกหักมารักจุกมา 5555 รอๆ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่16 6ปีผ่านไป} 23/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 24-04-2020 00:11:03
 :hao5: :hao5: :hao5: กลับมาแล้วววววว
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่17ไม่เคยไม่คิดถึง}24/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 24-04-2020 12:40:15


พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 17 ไม่เคยไม่คิดถึง
   

   เมื่อ … ผมเสือกไปจูบลูกตัวเอง ความบรรลัยจึงเกิดขึ้น …

   “พ่อโทนคร้าบบบบบบ ขอไม้เข้าไปหน่อยคร้าบบบบบบบบ”

   “ไม่โว้ย!!!!”

   ผมตะโกนกลับออกไป พลางเอาหลังพิงประตูบ้านพักเอาไว้ พยายามไม่สนใจเสียงหงิง ๆ ของไอ้หมาหน้าบ้าน … ในที่สุด วันนี้ก็มาถึง มันกลับมาหาผมแล้ว ผมไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือควรจะโกรธดี ยังสับสนแต่ที่รู้ ตอนนี้ผมโคตรอาย เสือกไปจูบมัน พอได้สติก็ถีบมันจนตัวลอยวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้ามาในบ้าน โดยมีไอ้ซอมบี้กินความรักของผมวิ่งตามมาติด ๆ ฮึ้ยยยยยย จะไปไหนก็ไปก่อนไป๊ ตอนนี้ไม่พร้อมจะเจอหน้าจริง ๆ มันตื้อไปหมด หลายปีผ่านไปมันดูโตขึ้น บึกบึนและหล่อเหลาสมชายชาตรีในแบบที่ผมคิดเอาไว้ แต่ผมไม่รู้ว่า ตอนนี้มันยังเป็นไอ้ไม้ … หรือเป็นนายน้อยฟ้าครามไปแล้วกันแน่

   ให้ตายสิวะ … ผมปรับอารมณ์ตัวเองไม่ถูกเลย ปากคอสั่นหนาวนอกกายยังไม่พอ ใจยังสับสนปวดตึ๊บ ๆ ไปหมด มันมีทั้งความคิดถึง สับสน ปลื้มใจ และความโกรธเคืองสารพัด รวมเอาไว้ด้วยกัน จนน้ำตาไม่ยอมหยุดไหล … แก่ก็แก่แล้วนะ ยังจะต้องมานั่งร้องไห้เป็นเด็กแบบนี้อีกมันใช่เหรอวะ!!!!

   “ห๊าววววววววววว เอะอะโวยวายอะไรกันวะ มึงไปหาเรื่องใครเขาและเขาตามมากระทืบเหรอไง ไอ้โทน เฮ้ย เป็นห่าอะไรวะร้องไห้ทำไม โดนกระทืบมาแล้วเหรอ ใครๆ บังอาจทำเพื่อนกู มันอยู่ข้างนอกใช่ไหม ถอยกูจะออกไปคิดบัญชีกับมัน”

   “พ่อโทนครับ”

   ไอ้ป๊อกที่เดินมาทำห้าวอยู่ชะงัก เมื่อเสียงไอ้ไม้จากด้านนอกดังขึ้นราวกับจะกระซิบแต่มันดังพอที่จะดังลอดประตูไม้บาง ๆ เข้ามา มันทำท่างงและชี้ไปที่ประตู ผมเบะปากน้ำตาไหลปอย ก่อนจะพยักหน้า มันถอนหายใจตบไหล่ผมสองสามทีอย่างปลอบใจและหันหลังเดินขึ้นไปบนชั้นสองทันที ทั่วทั้งบ้านชั้นล่างสงบเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นของผมที่ดังขึ้นอย่างน่าอายเป็นระยะๆ

   “ผมขอโทษที่ไปไม่ลา แต่ผมอยากเล่าว่าตลอดระยะเวลา 6 ปี ผมทำอะไรไปบ้าง ประสบความสำเร็จอะไรไปบ้าง ให้พ่อโทนของผมฟังเป็นคนแรก”

   “ฮึก …” ผมเอามือปิดปากที่เผลอสะอึกแรงไปหน่อยจนหน้าดำหน้าแดง น้ำตาไหลออกมาเป็นทางขี้มงขี้มูกไม่ต้องพูดถึงหน้าตาตอนนี้ผมคงแย่เอาซะมากๆ

    ผมดีใจจะตายอยู่แล้วที่มันคิดถึงผมเป็นคนแรก แต่ผมก็ยังโกรธ โกรธที่มันไม่ได้คิดผมเป็นคนแรกเวลามันมีปัญหา มันไม่ยอมให้ผมช่วยแก้ไข เลือกที่จะจากผมไปเพื่อปกป้อง ไม่ถามผมสักคำว่าผมสามารถปกป้องมันได้ไหม และไม่ต้องสงสัยในคำตอบของผมนะ กับมัน … ทั้งชีวิตผมก็ให้ได้ ผมยอม … ยอมทุกอย่าง ฮึก ผมแพ้มันในทุกๆทาง แต่ไม่เคยเข้าใจเลย ว่าทำไมมันถึงทิ้งผมไป … ไม่เคยเข้าใจเลย

   “ไม่ร้องนะครับพ่อโทษ ให้ผมเข้าไปนะครับ ให้ผมเข้าไปเช็ดน้ำตาให้พ่อโทนและผมจะเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง เหตุผลทุกอย่าง และให้พ่อโทนลงโทษให้สมกับที่ไอ้ลูกดื้อด้านคนนี้ไม่เชื่อฟัง ขอแค่อย่างเดียว เชื่อผมนะครับ ว่าไอ้ไม้คนนี้ ยังเป็นคนเดิมของพ่อ … ผมยังคงเป็นไอ้ไม้เด็กบ้านนอกที่พ่อโทษเก็บมาเลี้ยงคนเดิม … ผมรักพ่อโทนนะครับ รักสุดหัวใจ … ”

   “น้ำเน่า!!!!” ผมตะโกนออกไปเผลอหลุดขำออกมาหน่อยทั้ง ๆ น้ำตานั้นแหละ แสดดดดดทำไมมัน เสี่ยวจังเลยวะ ใครสักใครสอนนักหนา ฮ่าๆๆๆ ฮือออออ

   “ให้ผมเข้าไปเถอะนะพี่โทนที่รัก ไม้รักพ่อโทนสุด ๆ อยากกอดอยากหอม คิดถึงมากด้วย พ่อไม่อยากเห็นหน้าหลานที่ผมพามาเหรอ”

ผลั๊ว!!!

           “ไอ้เด็กบ้านี้มึงไปไข่กับอีสาวที่ไหน!!! อะ! ปล่อย!!!!!” ไอ้เด็กบ้า ยังจะกล้ามากอดกูอีกเหรอมึงไปอยู่ไข่มีลูกมีเต้าแล้วแบบนี้ พ่อขอต่อยสักทีสองทีได้ไหม ไอ้บ้าๆๆๆๆๆๆ ไอ้เด็กเลว!!!

           “ชู่ว… นิ่งนะครับ ผมล้อเล่น ผมจะมีลูกได้ยังไงก็ผมมีพ่อโทนอยู่แล้วทั้งคน” ผมย่นหน้าอย่างหมั้นเขียวไอ้เด็กเจ้าเล่ห์ที่ขนมหอมแก้มผมไปฟอดใหญ่ เสียรู้มันอีกจนได้!!!!

           “จะด่าจะว่าจะตีอะไรผมก็ได้นะครับ แต่อย่าไล่ผมไปไหนอีกเลย ผมกลับมาแล้ว และจะไม่ไปไหนอีก เพราะวันนี้ผมสามารถปกป้องพ่อโทนดวงใจของผมได้แล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”

   ผมเม้มปากก่อนจะหมดทางต่อกรกับมันเอาหน้าซุกกับอกแกร่งของมัน … โอโห้ ไม่เจอกันนานตัวมันแข็งแกร่งสูงโปร่งมากขนาดนี้เลยเหรอ ตอนนี้คงสูงกว่าผมไปตั้งหลายคืบ แถมแข็งแรงแบบนี้อีก ก็สมควรที่ไม่ต้องกลัวอะไรหรอกนะ … แต่มันสมควรจะต้องกลัวผม!!!!

ผลั๊ก!!!!

           “โอ้ย!!!!!” มันร้องเสียงหลงสะดุ้ง

   เจอหมัดพ่อมึงเข้าไปหายคิดถึงบ้างไหมละ ผมลูบกำปั้นตัวเองเบา ๆ หลังจากที่ต่อยเข้าให้ที่ท้องมันในระยะประชิดถึงเนื้อถึงตัว จนไอ้เด็กตัวยักษ์ถลาออกห่างผมไปก้าวนึงหน้าตาบูดเบี้ยวลูบท้องตัวเองปอย ๆ ฮึฮึ ดูไปดูมามันก็ไม่ได้ต่างไปจากเมื่อก่อนเลยนี้หว่าถึงหน้าตามันจะคมเข้มถูกใจสาว ๆ รวมถึงกูด้วยก็ตาม ไอ้อ่อนลูกไม้ก็ยังเป็น ไอ้อ่อนของกูวันยังค่ำ!!!!

   “นั่งคุกเข่าลงไปกับพื้น!!!!”

   “ครับ!”

พรึบ!

   ไอ้ไม้ไม่ห่วงสูทหรูของมันลงไปคลุกดินที่พื้นทันทีที่ผมออกคำสั่ง ผมเดินกอดอกไปยืนตรงหน้าของไอ้เด็กบ้าที่เงยหน้าขึ้นมามองอ้อนของความปราณีจากพ่อมัน เสียใจ กูต้องทำโทษมันก่อน ไม่งั้นมันจะเหลิงเอา มันจะไปสุขสบายมีคนตามใจที่ไหนมาก็ช่าง แต่ถ้ามันอยู่กับผมมันต้องเป็นเด็กดีของผม

   “เล่าให้กูฟังให้หมดว่า หลายปีที่ผ่านมา มึงไปทำอะไร ที่ไหนมาบ้าง”

   “ตรงนี้เหรอครับ”

   “เออตรงนี้แหละ หรือติดสบายจนเคยตัว ถ้าอยากสบายนักก็กลับไปไม่ต้องมายุ่งกับกู” ผมเชิดหน้าไปที่อื่น ก็ลองมันไปอีกสิ ผมจะหยิกให้เนื้อเขียวเลย!!!

หมับ !

           ผมตกใจเมื่ออยู่ ๆ มันก็กอดขาผมเอาไว้ … เฮ้ย มึงดูนางทาสเยอะไปเปล่าเนี้ย!!!!! ผมพยายามเอาแขนมันออกแต่ขอโทษเถอะ เหนียวฉิบ หายไปนี้มึงกินกาวเป็นอาหารเช้าหรือเปล่าเนี้ย!!!

           “กอดไว้แบบนี้พ่อโทนจะได้ไม่หนีไปไหน”

           “เออ ปล่อยสิวะไม่หนีหรอก!!!” ไม่ว่าผมจะพูดยังไงมันก็ไม่ยอมปล่อย จนแล้วจนรอดก็ต้องปล่อยให้ไอ้เด็กเอาแต่ใจกอดอยู่อย่างงั้น เฮ้อ … อย่าทำให้หลงไปมากกว่านี้ได้ไหมวะ อย่าให้ผมต้องรู้สึกผิดที่คิดกับลูกตัวเองเกินกว่าความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นได้ไหม …

           “พ่อโทนรู้แล้วใช่ไหมครับว่าประวัติผมเป็นมายังไงผมจะไม่ขอเล่าถึงมันอีก ตลอด10 ปีที่ผ่านมา ในช่วง 3 ปีแรกผมไปอยู่ที่บ้านพักของแม่ผมที่สเปน จนเรียนจบ ย้ายมาอยู่บ้านพ่อที่ประเทศรัสเซีย เรียนมหาลัยไปฝึกบริหารกิจการของแม่ที่รัสเซียอยู่เงียบๆ จนตอนนี้ผมเรียนจบและเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการประธานของบริษัทแล้ว ผมเฝ้าตั้งเป้าหมายกับตัวเองเอาไว้ ทุ้มสุดพลัง ไม่สละทั้งชีวิตไม่สนใจเพื่อนฝูง สู้ทำงานทุกอย่างไต่ระดับเอาชนะเอากะทิทุกคนในบริษัท เพื่อวันนี้ที่ผมจะกลับมาหาพ่อโทนด้วยความภาคภูมิ … ”

           “ตอนนี้เอ็งอายุเท่าไหร่” ผมตีหน้าเข้ม ก้มไปถามมันพ่อแววตาหมาน้อยเงยหน้ามามองผมผมก็ต้องเซหน้าหนีไปทางอื่นเดี๋ยวใจจะอ่อนซะหมด

           “24 จะ 25 ครับ”

   บอกตรง ๆ นะ ผมอดภูมิใจไม่ได้ที่ไอ้หมาตัวนี้มันเก่งได้ขนาดนี้แถมยังมีผมเป็นฝ่ายสนับสนุนด้านกำลังใจให้อีก นั้นยิ่งทำให้ผมแทบกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ แต่ผมต้องเข้มเอาไว้ก่อน บร๊ะ ตอนผมเรียนจบใหม่ๆยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่านี้เลย จะเก่งไปไหนวะ !!!

           “แล้วทำยังไงถึงไม่ให้ไอ้พวกห่านั้นรู้ตัว ขนาดเอ็งขึ้นเป็นประธานแล้วเนี้ยนะ”

           “ผมเปลี่ยนชื่อครับ และพวกนั้นได้เงินทองที่ประเทศไทยของพ่อกับแม่ผมไปหมดแล้ว คงไม่ได้สนใจบริษัทเล็กๆที่เมืองเล็กๆของประเทศห่างไกลอย่างนั้นหรอกครับ แต่ตอนนี้บริษัทของผมมั่นคงแล้วและมีแปลนว่าจะร่วมหุ้นกับบริษัทใหญ่ที่ประเทศมหาอำนาจทั้งตะวันออกและตะวันตกครับ และไม่นาน บริษัทของพ่อกับแม่ผมก็ยิ่งใหญ่จนพวกนั้นคาดไม่ถึง และพ่อโทนกับคนที่ค่ายก็พลอยสบายไปด้วย อีกอย่างผมกลับมาไม่ได้จะมาทวงทรัพย์สมบัติที่เสียไป แต่ผมกลับมาเผื่อดูหน้าไอ้คนที่ฆ่าพ่อแม่ญาติพี่น้องแท้ๆของตัวเองได้ลงคอและจะลงโทษมันให้สมกับที่มันทำเอาไว้”

    ผมใจไม่ดีเมื่อมันพูดความแค้นด้วยสีหน้าเดิมๆ … ไม่มีท่าทีแค้นเคืองหรือทุกข์ร้อนเหมือนคนอื่นเขา … มันระงับความโกรธของตัวเองได้หรือจะมีคลื่นใต้น้ำอันหน้ากลัวอยู่ในตัวเด็กคนนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

           “ไม่ต้องแก้แค้นได้ไหม … อยู่แบบเดิม ๆ แบบนี้ต่อไปยังไงไอ้พวกนั้นสักวันก็ได้รับผลกรรมของตัวเองอยู่ดี”

         “… ผมนี้แหละครับ ผลกรรมของพวกมัน … ถึงอย่างงั้น พ่อโทนก็เบาใจได้นะครับ พ่อโทนกับคนในค่ายจะปลอดภัยและผมจะไม่หายไปไหนอีกแล้ว อาจจะมีกลับไปต่างประเทศบ้าง แต่จะไม่นานเกินรอแบบนี้อีก”

        “ไม่ใช่แบบนั้น ไม่เข้าใจหรือไงว่าเป็นห่วงอะ คือมึงเข้าใจปะวะ กูรอมึงมา 6 ปี และอยู่ ๆ มึงก็จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอีก กูไม่อนุญาต เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปสิวะ มึงมีกู มีคนที่ค่าย มีบริษัทที่มึงต้องดูแลแล้ว แค่นี้พอแล้วได้ไหม … ขอร้อง อย่าแค้นอะไรให้มันมากนักเลย หยุดวงจรอุบาทนี้ได้ไหม … ถือว่าเป็นของขวัญที่กลับมาเจอกันอีกก็ได้”

   ผมลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้ามัน แรกๆ ก็คุยกันดี ๆ อะ หลัง ๆ กูเริ่มสติแตกเอาหน้าผากไปชนหน้าผากมัน น้ำตาที่หน่วงอยู่ก็ไหลแหมะไหลแหมะลงมาไม่ไว้ฟอร์มกูสักนิด แค่ตอนนี้กูไม่อยากให้มันเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอะไรอีกแล้ว แววตาที่จ้องมองมา ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย มันมีทั้งความคม เท่ และเต็มไปด้วยความอ่อนโยนหากแต่ในความอ่อนโยนตอนนี้มันมีความรั้นแฝงอยู่ด้วย … ผมไม่สนว่ามันเข้าใจที่ผมพูดไหม แต่ถ้าหากมันทำให้ได้ … ผมก็คงต้องห้ามมันอยู่อย่างนี้ต่อไป ต่อให้ต้องคุกเข่าขอร้อง ผมก็จะทำ เพราะชีวิตของมันตอนนี้เป็นสมบัติอันล้ำค่าของผม

   “ครับ …” มันตอบเพียงสั้น ๆ … ที่ทำให้ผมมั่นใจว่ามันจะทำตามที่ผมขอร้อง ไม่จำเป็นต้องสัญญาอะไร เพราะถ้ามันฝืนทำ ผมจะได้ถวายพระบาทได้อย่างไม่ต้องคิดอะไรมากมาย

   “ผมกอดได้ไหม”

   “ก็กอดอยู่” ผมว่าจ้องเขาไปในตาคมดุคู่นั้น อ้อมกอดของมันทำให้ผมลืมความทุกข์จากการรอคอยทั้งหมดสิ้น … การรอคอยของผมสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

   “ผมหอมได้ไหม”

   “…เออ” มันหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะหอมมาที่แก้มของผมอย่างแผ่วเบาทั้งสองข้างก่อนที่จมูกโด่งๆของมันจะเอามาสีกับจมูกของผมอย่างหยอกล้อและบรรจงหอมที่หน้าผากของผมเบาซะจนผมไม่รู้สึกอะไรเลยหรือเพราะสติสตางค์ของผมเวลานั้นมันไม่มีแล้วก็ไม่รู้

   “จูบนะครับ”

   “ทำเป็นหรือไง”

   “หึหึ ลองดูนะ” ผมไม่พูดอะไร ปล่อยให้ลมทะเลพัดผ่านไปตามอย่างที่มันจะเป็น มันไปอยู่ต่างประเทศมา การจูบการกอดคงเป็นการบอกรักในรูปแบบธรรมดาของตะวันตกละนะ ผมจะไม่คิดมากแล้วกัน … ได้แค่นี้ก็ดีเท่าไหร่แล้วเนอะ …ไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรอีกหรอก …

.

.

.

         “ไม่” อือฮื้อ คำคำเดียวของพ่อผมทำเอาไอ้ไม้ไปไม่ถูก หันมามองผมอย่างขอความช่วยเหลือ ผมก็ได้แต่ทำหน้าเฉย ๆ เหยียดยิ้มยินดีปรีดาให้กับมัน หึหึ

         วันรุ่งขึ้นผมพาไอ้ไม้กับไอ้ป๊อกกลับบ้านทันทีที่ฟ้าสว่าง หลังจากที่เมื่อคืนผมนอนเป็นหมอนข้างให้ไอ้เด็กขาดความอบอุ่นซะจนผมจะขาดใจตาย ก็มันรัดซะแน่นจนผมหายใจไม่ออก ตื่นเช้ามานึกว่าโดนหินทับที่ไหนได้โดนควายทับอยู่นี้เอง โอ้ยยยยยย รู้แล้วว่าคิดถึงแต่จะฆ่าจะแกงกันแบบนี้มันเกินไปนะไอ้ลูกบ้า ตัวกูก็ต๊อยเดียวตัวมึงอย่างกับตอม่อช่วยสงสารกันหน่อยเซ่ กระดูกกระเดี้ยหักไปใครจะรับผิดชอบ หึ เคือง

   พอมันมาถึงบ้าน ไอ้จุกก็ออกไปเรียนแล้วกลับมาคงกรี๊ดลั่นบ้านที่ไอดอลมันกลับมาแล้ว พวกสามทหารเสือก็ยังจำไอ้ไม้ได้วิ่งออกมาต้อนรับเห่ากันเกรียวกราว พี่แสงกับพี่เมฆที่ซ้อมมวยอยู่บนเวทีโดยมีพ่อของผมยืนกำกับอยู่ข้าง ๆ ก็หันมามองด้วยความตะลึงก่อนจะพากันกรูเข้ามาเฮฮาปาจิงโกะ แต่พ่อผมดูจะไม่ปลื้มเท่าไหร่ ไอ้ไม้พอทักทายกับพวกพี่ ๆ เสร็จก็เดินไปหยุดตรงหน้าพ่อของผมก่อนจะนั่งคุกเข่าลงกราบแทบเท้าขอขมาตาลุงที่นั่งหน้าตายไม่พูดไม่จาอยู่และขอกลับมาอยู่ที่นี้ด้วย และเรื่องราวก็เป็นอย่างที่เห็นนี้แหละ สม! ปล่อยให้โดนพ่อผมแก้เผ็ดไปอย่างงั้นแหละ ชิชะ

         “ทำไมละครับปู่ทาย ให้ผมอยู่ด้วยนะครับ ผมไม่มีที่พักเลย” กระแดะ! บ้านรวยโรงแรมมีเยอะแยะ ผมยืนมองลูกผมง้องอนปู่มันอย่างบันเทิงใจ รอให้มันจนตรอกก่อนเดี๋ยวค่อยช่วย หึหึ

         “เรื่องของเอ็งสิวะ” ตาลุงพูดหน้าตาเฉยยืนเล่นกับไอ้จ่อยนกแก้วสีสวยที่ชอบด่าผมเวลาผมเดินผ่าน ไม่รู้ไปจำใครมา

         “เรื่องของเอ็งสิวะ!” เสียงเล็กๆแหล่มๆของไอ้จ่อยดังขึ้น พูดตามพ่อผมทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา พี่แสงกับพี่เมฆที่ยังไม่หายดีใจที่ได้เจอไอ้ไม้ก็พลอยลุ้นตัวโก่งไปด้วย อย่าไปเชียร์มันเลยพี่ ไอ้เด็กนี้มันเจ้าเล่ห์ให้มันเผชิญชะตากรรมซะบ้าง

         “โธ่ … จะให้ผมทำอะไรก็ยอม ให้ผมอยู่ที่นี้ด้วยนะครับ”

         “เฮ้อ … พูดมาจังวะ ข้าบอกไม่คือไม่ เอ็งออกจากค่ายข้าไปแล้ว จะกลับเข้ามาคงไม่ง่ายนักหรอกว่ะ”พ่อผมพูดหน้าตาเฉยไม่สนใจไอ้ไม้สักนิด ไอ้เด็กนี้ก็ทำหน้าตาหน้าสงสารได้อีก หึหึ  แหมปู่ พอเมียไม่อยู่นี้เข้มตลอดเลยนะ ผมโทรไปบอกไอ้เกื้อตั้งแต่เช้าและ มันดีใจและร้องไห้ออกมายกใหญ่ แต่มันต้องไปเฝ้าร้านก่อนและกำชับนักหนาว่าให้ผมพาไอ้ไม้ไปหามันที่ร้านด้วย มันคิดถึงหลาน

   “แล้วจะให้ผมทำยังไงครับ ปู่ถึงจะยอม”

   “ก็ทำตามธรรมเนียมนั้นแหละ ไอ้โทนพามันไปพักที่บ้านพักปลายนา ให้มันมาซ้อมมวยที่นี้ทุกเช้าถ้าฝีมือมันถึง ข้าจึงจะให้มันเข้ามาในค่ายข้าอีก แต่อย่าหวังจะได้ขึ้นมาบนเรือนข้าเลยไอ้ห่า”

   “จัดไปพ่อ” ไอ้ไม้หันขวับมามองผมเมื่อผมตกลงเห็นด้วยกับพ่อ ก่อนที่มันจะคอตกและยอมทำตามแต่โดยดี

   “ทำใจไอ้ไม้ บททดสอบของเอ็งยังอีกเยอะ” พี่แสงเข้ามาตบบ่าไอ้ไม้ ไม่แน่ใจว่าปลอบใจหรือซ้ำเติมกันแน่ ฮ่าๆๆๆ

   “ครับ ผมเข้าใจแล้ว แต่ผมขอขึ้นไปดูข้าวของผมหน่อยได้ไหม ผมไม่มีของติดตัวมาเลย”

   “ไม่ได้”

   “โอ้ยพ่ออย่าแกล้งมันนักหนาเลย ไปไอ้ไม้ ไปดูของเอ็งไป แต่เสื้อผ้าเอ็งคงใส่ไม่ได้แล้วนะ” ผมดันหลังไอ้ไม้ขึ้นบันไดบ้านไปไม่สนใจตาลุงที่แยกเขี้ยวแยกฟันใส่ผมอยู่ อย่างหมั่นไส้ผมเต็มปะดา ผมยอมรับว่าผมดีใจมากที่ไอ้ไม้กลับมาที่บ้านนี้อีกครั้งถึงแม้ร่างกายมันจะโต แต่มันก็ยังเป็นเด็กน้อยของผมอยู่ดี

   ผมเปิดประตูห้องนอนของผมให้ไอ้ไม้ที่อยู่ด้านหน้า ทันทีที่มันเห็นภายในห้องก็ชะงักและหันมามองผมทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบเด็ก ๆ ของมัน แน่ละสิ ก็ทุกตารางนิ้ว ไม่เคยมีตรงไหนเลยที่เปลี่ยนไป โต๊ะนักเรียน เตียงนอน ตู้เสื้อผ้าข้าวของทุกชิ้นยังวางอยู่ตรงที่เดิม เต็มไปด้วยความทรงจำ

    ผมจับมือมันเดินเข้าไปในห้อง ก่อนที่ตัวเองจะนั่งลงที่เตียงมองมันจากด้านหลังที่สูงโปร่งสง่าผ่าเผยอยู่ในเสื้อเชิ๊ตสูทหรูสีน้ำเงินอ่อน ทรงผมที่ตัดตกแต่งมาอย่างเรียบร้อยแต่ไม่ดูแก่เลยสักนิด กับดูเท่ในลุคของนักธุรกิจใหม่ไฟแรง แต่ใครจะคิดเห็นอายุแค่นี้กลับมีบริษัทใหญ่โตเป็นของตัวเองแล้ว

   เด็กคนนี้เก่งและห่างไกลจากไอ้ไม้คนเดิมจากที่เจอกันครั้งแรกเมื่อ 12 ปีก่อนโข … ดูจากตัวเลขมันมากนะ และสำหรับผมการรอคอยมันก็ทรมานมากแค่ไหนคงอยากที่จะอธิบายให้ใครเข้าใจ ผมไม่โกรธและไม่เกลียดมันอีกแล้ว เพราะผมอยากทำให้ตัวเองและมันมีความสุข … ต่อจากนี้และตลอดไป เพราะแค่เวลาที่จากกันมันมากเพียงพอแล้ว

   แต่ก่อนอื่น มันต้องโดนดัดนิสัยซะบ้าง ! หึหึ

   “เก็บข้าวเก็บของใช้มึงใส่กระเป๋าซะนะ เดี๋ยวจะพาไปบ้านปลายนา” ผมว่าและเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทางวางไว้ตรงหน้ามัน พยายามไม่สนใจหน้าตาเด็กน้อยขอความช่วยเหลือของมันเด็ดขาด สักเดือนสองเดือน ค่อยว่ากันแล้วกันนะหนูน้อย หึหึ

.

.

.
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่17ไม่เคยไม่คิดถึง}24/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 24-04-2020 12:41:08



-ไม้-

           ผมกลับมาเมืองไทยก่อนมาหาพ่อโทน 1 สัปดาห์ เพื่อจัดการเรื่องของธุรกิจที่จะเปิดในเมืองไทย และเดินทางมายังบ้านเกิดด้วยหัวใจที่ถวินหาความรักของพ่อโทน คิดถึงเหลือเกิน อยากเจอใจแทบขาด ตลอดเวลาที่ผมอยู่ต่างแดด ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ได้นอนหลับเต็มตา ทุก ๆ วันผ่านไปอย่างทรมาน แต่ผมใช้จุดนี้เพื่อผลักดันตัวเองขึ้นสู่จุดสูงสุด ผมยอมทำงานหนัก ผมยอมเรียนหนัก ต่อสู้กับผู้ใหญ่หลายคนที่เล็งตำแหน่งประธานบริษัทของพ่อและแม่ของผม แย่งตำแหน่งเพื่อนสนิทพ่อที่ดูแลกิจการส่งออกอะไหล่รถยนต์ ให้อย่างขาวสะอาด ทำทุกอย่างไปพร้อมๆกัน เพื่อกลับมาให้ไวที่สุด และตอนนี้ผมทำได้แล้ว … ทั้งหมดทั้งมวลเพราะพ่อโทนคนเดียวที่เป็นแรงผลักดันให้ผม มีวันนี้ได้ …

           ทันทีที่ลงจากรถโดยมีลุงศักดิ์พ่อบ้านมาส่ง ผมก็สัมผัสได้ถึงเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาวัยเด็ก ผมสูญเสียครอบครัวไปเพราะความโลภ ในตอนนั้นผมทั้งแค้นทั้งเกลียด แต่ด้วยความเป็นเด็กผมจึงทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ในเงามืด แต่แล้วก็มีเทวดาอย่างพ่อโทนมาฉุดรั้งผมออกไปในแสงสว่าง เขามอบชีวิตใหม่ให้ผม มอบความรักความห่วงใยและผมก็ตกหลุมรักเขาตั้งแต่วันนั้นจนมาถึงวันนี้ ถึงผมจะต้องกลับไปตกนรกทั้งเป็นถึง 6 ปี ก็เถอะ … กี่ปีแล้วนะจากครั้งแรกที่เราเจอกัน 12 ปี ก่อนหรือเปล่า ผมมีความสุขทุกครั้งที่นึกถึงมัน

           ผมเดินเข้าซอยบ้านที่เป็นถนนลูกรังอันคุ้นเคย บ้านช่องแถวนี้ก็ยังเหมือนเดิม ลูกนกลูกการ้องต้อนรับผมกันเกรียวกราว จนมาหยุดยืนอยู่ที่มุมรั้วของอนาเขตที่ผมไม่มีวันลืม …ค่ายมวยที่เต็มไปด้วยความทรงจำ … บ้านของผม

           เสียงปั๊ก ๆ ของกระสอบทรายทำให้ผมคิดถึงดังเข้ามาโซนประสาท ก่อนที่เสียงหงิง ๆ จะดังขึ้นจากด้านในรั้ว ผมมองลอดต้นไม้สูงที่ระย้ากิ่งลงมาบังตัวผมจนมิด ก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นเจ้าสามทหารเสือ แตกกวา กะหล่ำและมะเขือ ผมดีใจมากที่พวกมันจำเป็นผม มีมี่แม่ของพวกมันคงไปอยู่บนดาวหมาแล้วสินะ ... น่าเสียดายที่ผมไม่ได้อยู่ปลอบใจพ่อโทนในยามนั้น

    ก่อนจะลอบมองไปเห็นด้านในของบ้านที่เหมือนเดิมทุกประการ น้ำตาของผมก็แทบไหลออกมาเมื่อมองไปเห็นร่างเล็กที่แสนจะคิดถึง พ่อโทนยังน่ารักเหมือนเดิม ใบหน้าขาวพราวไปด้วยรอยยิ้มที่สดใจ แก้มแดง ๆ นั้นไม่เคยเปลี่ยนไปจนทำให้ผมแทบจะอดใจไม่ไหวกระโดดข้ามรั้วไปหายอดดวงใจของไอ้ไม้ซะให้ได้ แต่ต้องห้ามอกห้ามใจไว้ ขื่นเข้าไปตอนนี้ ผมอาจจะโดนปู่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักกระทืบเอาก็ได้

   อ่อ … เด็กตัวเล็กที่เตะกระสอบทรายอยู่เยาะ ๆ เจ้าจุกใช่ไหมโตขึ้นแล้วนี้หนา มาอยู่ค่ายมวยนี้กับเขาด้วยสินะ ว่าแต่หลวงตาบนวัดป่าท่านคงสบายดีนะ พี่เมฆกับพี่แสงก็ดูแข็งแรงดี แต่ไม่ยักจะเห็นลุงจันทร์กับลุงทิม สงสัยแกคงกอดคอกันไปเที่ยวที่ไหนแน่ ๆ … หึหึ ดูบ้านหลังนี้ยังมีสีสันเหมือนเดิม … คิดถึงจังเลย …ไอ้ไม้กลับมาแล้วนะทุกคน

         “มะเขือ กะหล่ำ แตงกวา ทำอะไรกัน!!!” เสียงพ่อโทนดังขึ้น

   ทำให้ผมต้องหลบฉากออกมายอมถอยทัพ กลับมาที่โรงแรมในตัวเมืองอย่างเหี่ยวเฉาใจ … คิดถึง แต่ส่งไปไม่ถึงเลย …คืนนั้นผมหลับไปด้วยความอัดอั้นตันใจ อยากกอด เหลือเกินพ่อโทนยอดดวงใจของไอ้ไม้ … ตลอดหลายปีที่ผ่านมาโทรศัพท์ผมพักนับไม่ถ้วนเพราะความใจร้อนของตัวเอง อยากจะโทรหาพ่อโทน อยากไถถามสารทุกข์สุกดิบ ผมเคยกลั้นใจโทร เพียงได้ยินคำว่า ฮัลโหล คำเดียว … กลัวใจตัวเองว่าถ้าหากได้ยินเสียงร้องไห้ … ผมจะไม่สามารถทำภารกิจต่าง ๆ ได้จนลุล่วงอย่างวันนี้ ผมดีใจตลอดมาที่เขายังใช้เบอร์เดิมไม่เปลี่ยน … ทำให้เหมือนว่าเขายังรอผมกลับมาเสมอ … พ่อโทนครับ คนจากไปอย่างผมก็แทบเจียนตายวันหลาย ๆ ครั้ง ที่รักของไม้ จะรู้ไหมครับ …

         เช้ามืดเวลาประมาณตี 4 ของอีกวัน ผมมายืนส่องอยู่ที่เดิมเหมือนคนโรคจิต ไม่แม้แต่จะนอนหลับเพราะใบหน้าของพ่อโทนตามมาหลอกหลอนผมทุกครั้งที่ผมหลับตา ก่อนที่รถยนต์ที่ไม่คุ้นตาจะขับผ่านผมไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นผม และเสียงแตรก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เสี้ยววินาทีต่อมาเสียงด่าของพ่อโทนก็ดังสวนกลับมาดังยิ่งกว่า … คิดถึงพ่อโทนด่าจังอยากโดนบ้าง

   ผมที่ยืนหลบฉากอยู่มองภาพของพ่อโทนที่แบกกระเป๋าเป้ขึ้นหลัง เดินด่ามุบมิบมาตลอดทางก่อนจะโยนกระเป๋าเป้ขึ้นรถอย่างหงุดหงิดและปีนขึ้นรถไป จะไปไหนกันแต่เช้ามืดน่ะ…พอรถออกไป ผมก็ไม่คิดอะไรให้เสียเวลา กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ตัวเองและขับตามหลังไปในทันทีห่างพอที่จะไม่ให้เขารู้ตัว จนติดตามมา  จอดรถอยู่หน้าซอยบ้านพักของพ่อโทน ณ.สถานที่ท่องเที่ยว ก่อนจะเห็นว่าที่รักของผมเดินเข้าไปในบ้าน ตัดสินใจนั่งรออยู่อย่างงั้นเผื่อว่าเขาจะออกมา ไม่นานเขาก็ออกมาจริง ๆ ดูเหมือนว่ากำลังจะไปซื้อของ … ถ้าผมวิ่งเข้าไปกอดเขาตอนนี้เลยได้ไหม … ยังก่อนดีกว่า ผมแอบตามเขามาที่ร้านสะดวกซื้อที่ไม่ไกลนัก ถือของพะรุงพะรังพอเห็นแบบนั้นก็เกิดสงสารจับใจ ตัวก็เล็กยังจะต้องมาถือของหนัก ๆ แบบนั้นอีก ผมลุกขึ้นวางหมวกกันน็อกไว้บนอานรถ … พ่อโทนครับไม้มาแล้วนะ

เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด โครม!!!

           “กรี๊ดดดดดดด ช่วยด้วย มีคนแก่โดนรถชน!!!!” ผมชะงักฝีเท้าที่กำลังจะถลาเข้าไปหาพ่อโทนที่เลี้ยวเข้าบ้านไปแล้ว

   ก่อนจะหันมามองเหตุการณ์ที่อยู่ไม่ไกลนัก ไทยมุงเริ่มทำหน้าที่ และผมไม่ลังเลเข้าไปช่วยประถมพยาบาลเบื้องต้นให้คุณลุงคนเก็บขยะ ประสานส่งลุงไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ไม่วายถูกลากตัวมาในฐานะผู้ช่วยเหลือและถูกเอาตัวไปให้ตำรวจสอบปากคำหารถผู้ต้องหาอีก … ขอโทษนะครับ แต่โคตรจะซวย ผมมาหาพ่อโทนแท้ ๆ กลับต้องมานั่งเสียเวลาไปทั้งวันไม่ได้อะไรสักอย่าง เฮ้อ … สุดท้ายก็ต้องเดินกลับมาที่รถด้วยความเหนื่อยอ่อน … นั่งหมดแรงกินน้ำอยู่ริมถนน เฝ้ามองหลังคาบ้านพักของพ่อโทน

   ผมถอนหายใจก่อนจะวางขวดน้ำลงกับฟุตบาทลุกขึ้นออกมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสายที่ชายทะเล ช่วงเย็น ๆ ลมทะเลแรงมาก แต่มันก็ทำให้ผมหัวโล่งได้เหมือนกัน เดินมาเรื่อยจนมาหยุดนั่งที่ชายทะเลปล่อยให้คลื่นน้ำซัดพาความอึดอัดใจนี้ไปให้หมด … อยากเข้าไปหาพ่อโทน เขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ผมไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ผมจากไปนานหลายปีแบบนี้ … มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ เขาจะลืมไปหรือยังนะ … ถ้าเขาลืม ก็คงไม่แปลกเพราะผมทำผิดกับเขาไว้มาก เขาอาจจะเกลียดผมไปแล้วก็ได้ … และจากนี้ผมจะอยู่ยังไง … ผมจะอยู่ได้ยังไง

   “คิดถึง!!!!!!!! คิดถึงไอ้ไม้ ไอ้ลูกเวร ฮึก คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงง เมื่อไหร่จะกลับมา กลับมาสักที … กลับมา” ไอ้ไม้สะดุ้งดีดตัวลุกขึ้น เสียงของพ่อโทนนี้ พอคิดได้แค่นั้นร่างกายของผมก็ตอบสนองล้มลุกคลุกคลานไปตามเสียงที่คุ้นเคยนั้น คิดถึง ผมคิดถึงพ่อโทน ผมมาแล้ว ผมกลับมาแล้ว ผมมา … แล้ว

   ขาคู่นี้เหมือนจะหมดแรงเอาซะดื้อ ๆ เมื่อเห็นสภาพของพ่อโทนที่ล้มทั้งยืนอยู่ไม่ไกล ตัวน้อยของเขาเปียกปอนไปด้วยน้ำทะเลและทรายที่พัดอยู่รอบตัว เขาล้มตัวลงนอน ร้องไห้อย่างไม่จักเหน็ดเหนื่อย ชื่อของผมออกมาจากริมฝีปากเล็กนั้นแทบขาดใจ น้ำตาที่ผมเฝ้าสกัดกั้นหลั่งออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ขาทั้งสองข้างค่อย ๆ ทำหน้าที่ของมัน ก้าวไปหาพ่อโทนอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะนั่งลงข้างเขาอย่างแผ่วเบา …

   เขาหลับตาทั้งๆที่ยังร้องไห้อยู่อย่างน่าสงสาร … ผมเป็นคนทำทั้งหมด ผมมันเลวที่ทำให้คนที่รักต้องมานั่งเจ็บช้ำน้ำใจแบบนี้ …

   “พ่อโทนครับ” ผมฝืนเสียงชื่อของเขา …

   นานแค่ไหนแล้วที่คำนี้ไม่ได้ออกมาจากปากของผม แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ยังดังสะท้อนในใจตลอดมา … ไม่ร้องไห้นะครับ ไอ้ไม้ขอโทษ อยากจะบอกให้ได้มากกว่านี้แต่ผมเอง … ผมเองไม่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ … รู้ตัวเองทีก็สัมผัสเขาไปอย่างละลาบละล้วงและหยาบคาย … คิดถึง ผมคิดถึงพ่อโทนเหลือเกิน …

           ผมผละริมฝีปากออกจากริมฝีปากเล็กตรงหน้า ก่อนที่ตากลมบ๊องแบ๊วนั้นจะจ้องผมผ่านม่านน้ำตาที่แดงช้ำไปเสียหมด แก้วนวลของเขาเปล่งประกายสีชมพูระรื้น เขามองผมเหมือนกำลังฝัน …น่ารัก น่ารักเหลือเกินพ่อโทนจากลูกไม้

           “กลับมาแล้วครับ” ผมยิ้มทั้งน้ำตายกมือหนาของตัวเองปัดปอยผมที่โปะหน้าของพ่อโทนอย่างทะนุถนอมสุดดวงใจ … ดวงใจของไอ้ไม้ … ที่รักของไอ้ไม้ …

           ทันใดนั้น ทุกอย่างรอบข้างก็ราวกับหยุดเคลื่อนไหว … ผมกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของดวงใจที่จากกันไปแสนนาน ท้องฟ้าท้องทะเลเป็นพยานว่า ไอ้ไม้จะรักมั่นพ่อโทนเช่นนี้ตลอดไป …จะไม่ไปไหนอีกแล้ว … ไม่มีวันยอมให้ใครรังแกยอดดวงใจดวงนี้ได้ … ไม่มีทาง …

.

.

.

           “ดึกแล้วนะครับ”

         ผมร้องบอกพ่อโทนที่ปูที่นอนให้ผมอยู่บนบ้านพักปลายนาที่สร้างขึ้นจากไม้สัก 2 ชั้น มันแข็งแรงและทนทาน และใหญ่โต ประกอบด้วยห้อง 5 ห้อง และผมเลือกอยู่ห้องชั้นล่างฝั่งขวาจากหน้าประตูบ้าน เห็นว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่ให้คนที่มาขอเข้าค่ายของปู่พักอยู่ในช่วงที่ปู่ยังไม่รับเข้าค่ายมวย และดูเหมือนตอนนี้จะไม่มีใครทนบททดสอบของปู่ได้เลยแม้แต่คนเดียว ผมเลยต้องอยู่ที่นี้ลำพัง ถึงแม้รอบข้างจะมืดสนิทเพราะอยู่ปลายนา

           “ทำไมจะไล่ข้ากลับแล้วเหรอไง ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี้” พ่อโทนย่นหน้าใส่ผมอย่างหงุดหงิด เขาก็หงุดหงิดอย่างงี้มาทั้งวันนั้นแหละ

   ไม่ว่าจะพาผมไปหาพี่เกื้อหรือจะพาผมไปหาหลวงตาบนวัดป่าก็หน้านี้ไม่เปลี่ยน น่ารักจนไอ้ไม้อดใจแทบจะไม่ไหวแล้วนะเนี้ย ผมหัวเราะนิด ๆ ทำเอาเขาขู่ผมฟู่เป็นลูกแมวตัวน้อย ไหนว่าโกรธผมไง หาข้าวหาปลา หาเสื้อผ้าดูแลผมเป็นอย่างดีแบบนี้ จะไม่ให้รักได้ยังไงไหว เฮ้อ … ผมรักพ่อโทนจัง อยากหยุดเวลาไว้อย่างนี้นาน ๆ …

           หลายปีที่ผ่านทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง ปู่กับพี่เกื้อแต่งงานอยู่กินตามภาษาผัวเมียกันแล้ว คลินิกของพ่อโทนก็มั่นคงจากหมอฝึกหัดกลายเป็นคุณหมอใหญ่ มีลูกจ้างเป็นคู่ผัวเมียอีกคู่ที่น่ารัก เจ้าจุกถูกเอามาเลี้ยงในค่ายมวยโตวันโตคืน พี่แสงกับพี่เมฆก็ขึ้นเป็นนักมวยมีชื่อเสียงทำให้ค่ายของปู่ทายโด่งดังระดับประเทศถึงอย่างงั้นก็ยังเลือกที่จะอยู่กันอย่างอัตคัด

    หลวงตาถึงแม้อายุจะมากขึ้นโขแต่ก็ยังดูท่านแข็งแรง พี่มาดเองก็ยังคงดูแลท่านอยู่ไม่ห่างเห็นทีจะมีแต่วัดที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และผมเองก็คงจะช่วยตอบแทนได้ในส่วนของปัจจัยนี้แหละ ส่วนลุงจันทร์กับลุงทิมก็แยกย้ายไปมีชีวิตบันปลายที่ตนเลือก เห็นจะมีก็แต่พ่อโทนนี้แหละที่น่ารักไม่เปลี่ยนแปลง

ตุบ …

           “ปล่อยนะโวยยยยยยยยยยย” พ่อโทนโวยวายเมื่อผมล้มตัวลงไปกอดเขาจนหงายท้องนอนให้ผมกอดเป็นหมอนข้างตัวนิ่มอยู่ข้างกาย … หอมจังเลย ตัวของพ่อโทน นุ่มนิ่มจังเลย น่ารักจังเลย … รักจังเลย …

           “ดึกแล้วนอนนี้นะครับ กลับไปอันตราย”

           “ไม่กลัวปู่เอ็งมาฉีกอกเหรอไง”

           “ถ้าต้องแลก ผมยอมครับ”

           “ปากดี” เสียงของพ่อโทนเงียบหายไป ลมหายใจแผ่ว ๆ ของเราสองคนดังขึ้นประสานกันในห้องที่มีเพียงแสงไฟสลัว เสียงจิ้งหรีดเรไรดังคลอขึ้นกลอมบรรเลงเพลงธรรมชาติขึ้น สายลมพัดเอื่อยทำให้หนาวขึ้นจับใจ แต่อบอุ่นเมื่อรู้ว่าตอนนี้ผมไม่ได้เดียวดายอยู่ในห้องหรูระดับ 5 ดาวอีกแล้ว …

   “หลายปีที่ผ่านมา ข้าคิดถึงเอ็ง ใจจะขาดรู้ไหม”

   “ครับ…” ผมขานรับก่อนจะรอฟังเสียงของยอดวงใจต่อ … ไม่ต่างกันเลยครับพ่อโทน ผมดีใจมากที่พ่อโทนไม่เคยลืมผม … ขอบคุณที่ยังรักผมอยู่ … ในวันที่เราต้องไกลกันยาวนานเช่นวันวาน

   “ทำไมไม่โทรหาข้าเลย … ข้าโทรหาเอ็งแต่เบอร์มันถูกยกเลิกไปแล้ว” เขาพูดเสียงสั่น ผมกอดเขาเอาไว้ให้แน่นขึ้น … ขอโทษ

   “ข้ากลั้นน้ำตาเอาไว้ทุกครั้งเลย คิดถึงจนแทบบ้า รอคอยวันนี้มานานมาก ฮึก วันนี้เอ็งกลับมาแล้ว” เสียงสะอื้นนั้นทำให้ผมโอบกอดร่างนั้นแน่นขึ้นไปอีก …

   “ผมกลับมาแล้ว ไม่ร้องนะครับ ผมขอโทษ” ผมรู้ดีว่าขอโทษเป็นร้อยครั้งก็ไม่สมกับที่ทำกับเขาเอาไว้ … ทุกอย่างผมผิดเอง ผมเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาเสียใจ …

   “ฮึก เอ็งใจร้ายมาก ข้าปกป้องเอ็งได้ ทั้งชีวิตข้าก็ให้ได้ แต่เอ็งไม่เคยบอกข้าเลย และจะให้ข้ารู้ได้ยังไง ฮึก จะให้ข้าปกป้องเอ็งได้ยังไง และสุดท้ายเอ็งก็จากข้าไป ฮึก … ข้าไปทำอะไรให้ถึงได้ทำกับข้าแบบนี้”

   ร่างเล็กสะอื้นซุกกับอกเปลือยของผม น้ำตาชื้นของเขาซับลงที่อกด้านซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจพอดิบพอดี ลงโทษไอ้ไม้เลยครับพ่อโทน ทำให้ไอ้ให้ไม้เจ็บให้มากกว่านี้ ให้มันปวดร้าวให้มากกว่านี้ ให้สมกับที่มันทำร้ายคนที่มันรักให้เจ็บใจและปวดร้าว

   “แต่ตอนนี้เอ็งกลับมาแล้ว … อย่าทิ้งข้าไปอีกนะ ฮึก อย่าทิ้งกันอีกนะ”

   “ไม่ทิ้งครับ … ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว”

   ผมกระซิบบอกเขาที่ร้องไห้ใจแทบขาด ก่อนจะหอมลงขมับบางอย่างรักใคร่ และโอบกอดร่างเล็กที่สั้นสะท้านด้วยความหวาดกลัวนั้นไว้ตลอดทั้งคืน … เป็นประจักพยานว่าผมจะไม่หนีหายไปไหน … ผมจะไม่ทิ้งหัวใจของผมไว้ด้านหลังอีก …

   “ผมรักพ่อโทน… ยอดดวงใจของผม”





=======================
กลับมาแล้ว เดินเกมต่อได้แล้วไม้ <3'

ยกขันหมากสู่ขอเลยดีเปล่า ฮิฮิ อิลุงทายทำเป็นเข้ม ชิชิ
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่17ไม่เคยไม่คิดถึง}24/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 25-04-2020 01:14:25
 :n1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่17ไม่เคยไม่คิดถึง}24/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-04-2020 11:07:24
มาคราวนี้ไม่ทิ้งดวงใจแล้ว ไม่งั้นเจอลุงทายเอาตายแน่ ไม้ไหวอยู่แล้ว เคยอยู่ค่ายมาก่อน แค่นี้จิ๊บๆ 5555  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{ตอนที่17ไม่เคยไม่คิดถึง}24/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 25-04-2020 11:14:27
ข้าไปทำอะไรให้ ถึงได้ทำกับข้าแบบนี้...​สงสารพ่อโทน  :ling1:

กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็อย่าทิ้งพ่อเอ็งไปไหนอีกนะไอ้ไม้
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH18ในฐานะที่ไม่ใช่พ่อ}25/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 25-04-2020 19:06:04
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 18 ในฐานะที่ไม่ใช่พ่อลูก




      กลับมาครั้งนี้ รวม ๆ ได้ 2 อาทิตย์กว่าแล้ว ผมอยู่กับพ่อโทนสลับกับกลับไปดูธุรกิจในกรุงเทพบ้างแต่ไม่ได้ไปค้างคืนเลยสักครั้งต่อให้เย็นและดึกแค่ไหนก็ต้องกลับมานอนที่บ้านชายนา เพื่อที่ตอนเช้าจะได้ไปซ้อมมวยที่ค่ายของปู่ทาย แต่นั้นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักจริง ๆ หรอก ก็อย่างที่รู้กันว่า ผมอยากเจอพ่อโทนทุกวัน ทุกเวลา และอยากเอาพ่อโทนพับใส่กระเป๋าห้อยคอพาไปด้วยในทุกที่ ถึงแม้พ่อโทนจะตัวเล็กน่ารัก แต่ผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้ น่าเสียดายจริงๆ เฮ้อ … ใครว่ากลับมาคราวนี้ทุกอย่างมันจะสงบสุขละ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนแต่เรื่องหัวใจไอ้ไม้ตอนนี้ มันไม่สงบเอาเสียเลย

           หลังจากวันนั้น พ่อโทนก็ไม่ยอมไปหาผมที่บ้านชายนาอีกเลย และผมเองก็แทบจะกระติกตัวไปไหนไม่ได้เพราะปู่กั๊กตัวผมไว้ ให้ฝึกเช้าจรดเย็นไม่เคยได้เจอพ่อโทนเลย ซึ่งแปลกมาก ถ้าปกติในตอนที่ผมยังเด็ก เขามักจะกลับมาที่บ้านในช่วงกลางวันทำกับข้าวกับปลาและรีบกลับบ้านในตอนเย็นเพื่อเราสองคนพ่อลูกจะได้มีเวลาร่วมกัน แต่นี้ … เหมือนกันกำลังหลบหน้าผมยังไงอย่างงั้น ซึ่งผมเองก็ไม่รู้เลย ว่าทำอะไรผิด คิดว่าทุกอย่างควรที่จะดีแล้วแท้ ๆ เฮ้อ …

ผลั๊ว!!!!

           ผมหน้าสะบัดลงไปนั่งกับพื้นเวทีมวย เมื่อปู่ทายสะบัดหมัดเข้าตะบันหน้าผมอย่างแรง ถือว่าเป็นดอกที่เรียกสติผมกลับมาได้เต็ม 100 เลยทีเดียว … โหด เมื่อก่อนว่าโหดแล้วเดี๋ยวนี้ โคตรโหดเลยก็ว่าได้

   “อูยยยยยย ลุง ลุงทำมันแรงไปเปล่า” พี่แสงที่เช็ดน่วมอยู่ข้างสังเวียน โผล่หน้ามาตรงด้านหลังผม ยื่นผ้าห่อน้ำแข็งมาให้ ผมรับมาถือไว้อย่างนอบน้อมเหมือนเมื่อก่อน ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็มักจะเป็นลูกไล่ให้พี่ ๆ เขาเสมอ ถึงตอนนี้ผมก็ยังคงเป็นไอ้ไม้เด็กธรรมดาคนนึง

   “ช่วยไม่ได้ไอ้ห่าอยากเหม่อเอง” ปู่พูดพร้อมกับถอดน่วมโยนใส่ผม ลงจากเวทีไปทิ้งให้ผมกองอยู่ที่พื้นเวทีอยู่อย่างงั้น เฮ้อ ... ปู่ยังไม่หายโกรธผมอีกเหรอ นิสัยเหมือนกันจริง ๆ พ่อลูกคู่นี้ เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ …

   “เกิดเป็นไอ้ไม้ต้องอดทน ฮึบๆ” พี่แสงสะกิดหลังผมพอผมหันไปมองก็ชูสองนิ้วให้ … อดทนและอดกลั้นครับ ฮึบๆ เพื่ออนาคตที่มีพ่อโทนที่น่ารักและขี้อ้อนคนเดิมของผมกลับคืนมา ผมยอมได้!!!

   “มึงนี้เป็นใบ้เหมือนเด็ก ๆ ไม่เปลี่ยนเลยนะไอ้ห่า” พี่แสงตบหัวผมเบา ๆ อย่างหยอกล้อก่อนที่จะให้ผมไปอาบน้ำอาบท่าและมากินข้าวกลางวันที่ดูเหมือนพี่เมฆจะเป็นคนทำ และวุ่นวายอยู่คนเดียวหลังครัว

   เฮ้อ … พ่อโทนงานยุ่งมากเลยสินะ ถึงไม่มาให้ไอ้ไม้เด็กหน้าโง่คนนี้เห็นหน้าเลย … หรือมันจะเป็นการลงโทษที่ผมเคยทำให้พ่อโทนหม่นหมองใจรอคอยผมมานานแสนนานกันแน่นะ … ก็ได้ งั้นผมก็จะเป็นฝ่ายรอพ่อโทนบ้าง … แต่ก่อนอื่น ผมขอเห็นหน้าบ้างได้ไหม ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน จนหัวใจมันด้านชาแทบจะไม่มีความรู้สึก ถึงอย่างงั้นคงเจ็บและทุกข์ทนได้ไม่เท่าหัวใจที่บอบบางของพ่อโทนเป็นแน่ … โธ่ พ่อโทนของไอ้ไม้ …

   “มึงจะไปไหน”

   เสียงดุนั้นทำให้ผมสะดุ้ง หันไปมองปู่ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ลานโพธิ์ภายในบ้าน มีเจ้าสามทหารเสือมานอนอยู่ใกล้ ๆ ผมเม้มปากก่อนจะสวมเสื้อยืดสีขาวใส่ให้เรียบร้อยเสียก่อน … เมื่อกี้ปู่ยังอยู่หลังบ้านอยู่เลย แล้วทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ได้ หมดกันแผนการย่องออกไปหาพ่อโทนที่โรงบาลสัตว์ในตลาดที่ทำงานของยอดดวงใจไอ้ไม้

   “กลับไปเอาของที่บ้านชานนาครับ”

   “มึงลืมอะไร” … ลืมหัวใจไว้ที่พ่อโทนครับ

   “… ปู่ครับ”

   “กลับไปซ้อม”

   “…” ผมไม่มีทางเลือกจึงต้องเดินคอตกกลับมาที่สังเวียนแทน จะใครในโลกล่า ผมไม่เคยเกรงกลัว นอกจากพ่อลูกคู่นี้เพราะผมรู้ดีว่า ผมไม่อาจสู้กับเค้าสองคนได้ทั้งกายและใจ…เฮ้อ จะทรมานไอ้ไม้ไปถึงไหนนะ …

           เวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็นกินข้าวกินปลาเสร็จ ปู่ทายก็ไล่ผมกลับจากบ้านตามระเบียบ เลยต้องมาเดินทอดน่องไปตามทางคันนา …ป่านนี้ไม่รู้พ่อโทนกลับบ้านไปหรือยัง … ไปดูสักหน่อยดีกว่า

 

ปี๊ดๆๆๆๆ



           เสียงแตรดังลั่นทุ่ง ผมเอามือบังแดดยาวเย็นที่ส่องหน้าผมจนแสบตาทำให้เห็น รถกระบะคันโตของพี่ป๊อกที่ผมจำได้ขึ้นใจ เขาขับมาตามทางวันเวย์ดินแดงปลิวคลุกฝุ่นมาจอดตรงหน้าผม จนต้องก้าวลงจากคันนาไปข้างทางแทน อะ เอาที่สบายใจครับพี่ ถนนเป็นทางพี่แล้วละ

           “ว่าไงไอ้น้อง โตขึ้นและหน้ายังโหดเหมือนเดิมเลยนะ”

           “ครับ?” ผมไม่เคยเข้าใจคำพูดของคนๆนี้เลย ตั้งแต่เล็กยันโต

           “ขึ้นมา เอ็งถูกเนรเทศไปอยู่ท้ายนาใช่ไหม เดี๋ยวข้าไปส่ง” เขาเปิดประตูรถให้ก่อนจะโบกมือให้ผมขึ้นไป

           “ไม่เป็นไรครับ”

           “ขึ้นมาน่ะ ไม่อยากฟังเรื่องไอ้โทนใช่ไหม โอ๊ะ เบา ๆ เดี๋ยวรถกูฟัง ไอ้ห่าเด็กอะไรตัวใหญ่อย่างกับควาย” ผมกระโดดขึ้นรถจนรถขย่มนิดหน่อย แต่ผมไม่สนใจ รีบให้เขาออกรถ ไปหาอาจจะไม่เจอก็ได้ แต่ผมอยากจะรู้ 6 ปีที่ผ่านมาพ่อโทนเป็นยังไงบ้าง …เพราะเขายังไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลย น่าน้อยใจจริงๆ … แต่ก็ไม่เป็นไรไอ้ไม้ทนได้เสมอ

.

.

.

           รถกระบะคันโตขับมาจรดริมคันนาที่ใกล้กับบ้านพักของเจ้าไม้ที่ตั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมทุ่ง ก่อนที่ทั้งคู่จะช่วยกันขนเหล้า เบียร์พร้อมมิกเซอร์ ที่ป๊อกแวะซื้อ ณ.ร้านขายของชำก่อนมาถึง และดีที่ลูกไม้เองก็ไม่ซีเรียสเรื่องกินเหล้าเพราะที่ต่างบ้านต่างเมืองลูกไม้ก็กินเพื่อเข้าสังคมเป็นประจำ ออกจะคอแข็งกว่าใครหลาย ๆ คนด้วยซ้ำ และในเวลานี้เขารู้สึกเบื่อกับทุกสิ่งสิ่งเดียวที่ปลอบประโลมหัวใจที่แห้งผากของเขาได้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

           สองอาหลานเดินขึ้นมาบนบ้านที่สร้างด้วยไม้และดังเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ขยับตัว ก่อนที่ป๊อกจะรู้งานเดินไปคว้าเอายาจุดกันยุงและกระติกน้ำเล็ก ๆ เดินนำไปรอที่ระเบียงบ้านที่ยกสูงจากพื้นประมาน 2 ฟุต ก่อนที่เจ้าไม้จะเดินไปหยิบน้ำขวดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ ๆ หัวเตียง เดินตามเจ้าป๊อกออกไป

           “ว๊ะ กูนึกว่าจะไปหยิบแก้วหยิบกระบอกมาเสือกหยิบแค่น้ำมา แดกเหล้าเป็นปะเนี้ย!” เจ้าไม้ไม่ตอบโต้อะไร แต่ทำท่าจะเดินเข้าไปหยิบแก้วในห้องอีกรอบ แค่หมดกำลังใจจนมึนอึน แต่เสียงเพื่อนพ่อดังห้ามเสียก่อน

           “นั่ง ๆ ไอ้สาด แค่เดินไปเดินมากูก็หดหู่ละ เป็นไงละ พ่อมึงไม่ค่อยสนใจหรือไง”

   เจ้าป๊อกคว้าเอาขวดน้ำไปถือไว้ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเทน้ำในขวดทิ้งลงไปในกระติกใบเล็กและประดิษฐ์แก้วเหล้าจากคัตเตอร์เล็ก ๆ ในมือคำพูดนั้นเหมือนเข็มนับพันที่แทงทะลุหัวใจแกร่งแต่ก็ยังคงเก็บอาการ นั่งรอฟังสิ่งที่ป๊อกจะเล่าให้ฟังอย่างใจจดใจจ่อ

           จนเวลาล่วงเลยมาพอสมควร ฟ้ายามหัวค่ำมึนครึ้ม เสียงจิ้งหรีดเรไรดังในความเงียบสงัด มีเพียงแสงสว่างและเสียงร้องเพลงเพี้ยน ๆ ของเจ้าป๊อกที่ดังแข่งกับเสียงจิ้งหรีด เจ้าไม้นั่งมองแก้วเหล้าที่ผลิตจากขวดน้ำเปล่าของตัวเองและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

           “เล่าให้ผมฟังเถอะครับ” หลังจากที่เจ้าไม้ซัดไปสามแก้วก็หมดความอดทนลง

           “เล่า ? เล่าเรืองไรวะ… เออๆ ไม่เห็นต้องโหดเลย เล่าๆๆๆๆ” เจ้าป๊อกชะงักเมื่อหลานชายเริ่มจะหงุดหงิด เอาเรื่องเลยต้องยอมหลานมัน ก่อนที่จะโดนชกหลับเอาซะตั้งแต่หัวค่ำ

           “เอาตรง ๆ เลยนะ กูจะได้กินเหล้าสักที” เจ้าป๊อกวางแก้วเหล้า ก่อนจะทำวางแขนเท้าบนเข่าทำหน้าขึงขัง ยกมือชี้หน้าเจ้าไม้ที่นั่งจ้องเขานิ่งประหนึ่งรูปปั้น

   “พ่อมึงอะนะ … 6 ปีที่ผ่านมาแม่งเหมือนสต๊าฟตัวเองไว้ในน้ำแข็งเลยไอ้ไม้เอ๊ย!!!  ผู้หญิงผู้ชายเข้าใกล้ไม่ได้ กำแพงแม่งหนาตั๊บ!”

   “ผู้ชาย ?” เจ้าไม้ขมวดคิ้ว ในใจแทบคลั่ง พ่อโทนมีคนมาจีบ … ใครมันจีบพ่อโทน อย่าให้ไอ้ไม้จับได้นะ ฮึ่ม!

   “เออ เสน่ห์แรงฉิบหาย พ่อม้ายลูกติด ไอ้หนุ่มเมืองหลวง บลาๆ นี้ยังไม่รวมแม่สาวทั้งหลายที่แอบหลงผิดคิดว่ามันแมนด้วยนะ ไอ้ห่าหน้าอย่างงั้นหุ่นอย่างงั้น เตี้ยอย่างงั้น ใครมันจะหาเมียให้เสียชาติเกิดวะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” ว่าแล้วก็กระดกเหล้าเข้าไปอีกอึกใหญ่ๆ ก่อนจะวางแก้วน้ำพลาสติกลงอย่างแรง จากที่ผิวแทนอยู่ก่อนแล้วเมื่อโดนฤทธิ์แอลกฮอล์เข้าไป ทำให้แดงไปทั้งตัวจนเจ้าไม้แอบคิดไม่ได้ว่าคืนนี้เห็นทีจะต้องสละพื้นที่ให้เพื่อนพ่อที่รักนอนด้วยกันที่นี้เสียแล้ว

   “กูเองยังนับถือน้ำใจมันเลย ตอนแรกกูก็ไม่รู้หรอกว่ามันปล่อยให้ตัวเองโสด ไม่มีผัว  มันก็ไม่ค่อยอยากจะบอกอะไรก็ซะด้วย จนกูเห็นเองที่ทะเลนั้นละ ว๊าเว้ย มั่งคงในรัก ทั้งที่มึงเองอาจจะมีลูกมีเมียไปแล้วด้วย แต่ก็โชคดีนะ ที่มึงเองก็คิดอย่างเดียวกับมัน หึหึ แต่งเมื่อไหร่ร่อนการ์ดด้วยนะ อย่าให้เหมือนปู่มึงที่แต่งไม่บอกห่าอะไร อยู่ ๆ ก็ไม่คว้าเพื่อนไอ้โทนมาเป็นเมีย ไอ้เหี้ยผู้หญิงร้องไห้ทั้งตำบล ฮ่าๆๆๆๆๆ”

   คำพูดของป๊อกแทบไม่ได้เข้าหัวของลูกไม้เลย เพียงแต่ว่าบางประโยคมันกลับฝั่งลึกอยู่ในโสตประสาทที่หัวใจสั่งให้ทำงานแทนสมอง … พ่อโทนครับ เราทั้งคู่คิดตรงกันใช่ไหม … เรารักกัน ในความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่พ่อลูก … เรารักกันในฐานะที่ใช้หัวใจคิดไตร่ตรองแล้วทั้งสองฝ่าย … ใช่ไหม ???

           ลูกไม้เหม่อมองออกไปทั้ง ๆ ที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ … เขาอาจจะฉลาดเรื่องความคิดแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพรสวรรค์แต่กับความรักนั้นกลับเป็นเด็กตัวน้อยที่ไร้เดียงสา มีเพียงความรักอันบริสุทธิ์ที่ไม่เคยคิดหวังสิ่งใดตอบแทน ขอแค่ได้รัก ขอแค่ได้เห็นหน้า …

           “มึงละ รอเหี้ยอะไรทำไมไม่เดินหน้าจีบแม่งให้เป็นเรื่องเป็นราว เดี๋ยวก็แก่ตายห่ากันพอดี อย่าช้านะโว้ย รีบ ๆ เข้าอย่าไปสนใจใครมาก แค่ไอ้โทนและมึงแค่นี้มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอวะ”

   เจ้าไม้ไม่ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มเพียงมุมปากให้กับสหายร่วมดื่มในคืนนี้ และนั่งกินเหล้าเป็นเพื่อนหนุ่มใหญ่สังสรรค์ตามภาษาหนุ่มโสดที่หาที่กินเหล้าไปเรื่อยๆอย่างนั้นจนค่อนคืน ในใจแกร่งของลูกไม้ฮึกเฮิมอย่างประหลาด จะมีสิ่งไหนที่น่าดีใจไปยิ่งกว่าการที่ได้ล่วงรู้หัวใจของคนที่รักกันละ …

.

.

.



           “แม่งอยู่เป็นหมาหงอยเลยนะมึง น่าสงสาร”

    พี่แสงที่เข้ามาเล่นเกมในห้องผม เล่นไปก็เล่าเรื่องไอ้ไม้ให้ผมฟังไป เป็นอย่างงี้มาตลอด พี่แกพยายามเหลือเกินให้ผมไปถวายตัวเอาอกเอาใจไอ้ไม้ แต่เสียใจด้วย ผมยังโกรธมันอยู่ ไม่ให้อภัยง่าย ๆหรอก ตอนคิดจะกลับก็กลับมาดื้อ วันนั้นที่ไปนอนกับมันที่ปลายนา เพราะสงสารมันหรอกน่า เฮ้อ วันเวลาผ่านไป ผมพยายามหลบหน้ามันและทำหน้าที่ของตัวเองไปตามปกติ ใครถามอะไรก็เลี่ยงตลอด ไม่อยากจะพูดถึงมันให้มากนัก

   ถามว่าคิดถึงไหม … ก็คิดถึงนะ บางวันผมยังมาแอบดูมันที่บ้านตัวเองเลย วันดีคืนดีก็ถือตะเกียงไฟฉายไปปลายนาเพื่อดูว่ามันปิดไฟนอนหรือยัง นอนได้ไหม เป็นห่วงว่ามันจะกินอะไรหรือยัง แต่ยังไงก็ยังไม่อยากจะเจอหน้ากันตรง ๆ กลัวจะเข้าไปกอดมันนะสิ … ผมน่ะตัวหลงลูกเลย หรือใครยังไม่รู้ เฮ้อ …

   มันน่าเจ็บใจที่ความรู้สึกของผมมันกลับประหลาดออกไป กลับกลายเป็นว่า ผมรักมันไปเองซะแล้ว รักแบบที่ไม่ใช่พ่อลูก รักแบบที่คน ๆ นึงจะรักคนอีกคนได้ … ผมคิดว่าถ้ามันกลับมา ถึงเวลานั้นความรู้สึกนั้นมันจะหายไป แต่เปล่าเลย ผมกับโลภมากขึ้นเรื่อยๆ … จนผมไม่อยากจะเจอหน้ามันกลัวความรู้สึกตัวเองที่มันแสนอันตราย …

   “เฮ้อออออออออออออออออออออออ!!!!!!” ผมถอนหายใจออกมาลั่นห้องก่อนจะพลิกตัวคว่ำหน้าลงซุกกับหมอนใบเก่าของมัน แม่ง ยิ่งได้กลิ่นหน้าไอ้ห่าลูกไม้ลอยเต็มไปหมด ยิ่งรู้ว่ามันอยู่ใกล้ ๆ ผมยิ่งเต้น …. แม่งเอ้ย แม่งเอ้ย !!!!!!

   “ไอ้โทน”

   “ไรพี่ ทำไมวันนี้กวนผมจัง พี่เมฆไม่อยู่หรือไงวะ”

   ผมเงยหน้าขึ้นไปค้อนใส่ไอ้พี่แสงที่ใช้เท้าสะกิดผมอยู่ยิก ๆ มือกับตาก็จ้องจอตรงหน้าไม่ได้สนใจผมหรอก … แก่แล้วนะเล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้ งี้แหละ พี่เมฆไปธุระกับพ่อที่จังหวัดอื่นนี้หน่า คนเคยอยู่ด้วยกันทุกวัน ประหนึ่งสามีและภรรยานั้นแหละ หึหึ นี้แหนะ!

   “โอ้ย ไอ้ห่าถีบกูหาพ่อมึงเหรอ”

   “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก อย่าทับบบบบบบบบ โฮ๊ก ตัวหนักอย่างควาย”ผมบ่นไปก็ดิ้นออกจากก้นหนาของไอ้พี่แสงเวรที่เอาหัวนมคิดมานั่งทับผม อึดอัดฉิบ งื้ออออออออออออออออออออออออ

   “กูพี่มึงนะ หัดเคารพบ้าง ” 

   “มีอะไรให้เคารพวะ โอ้ยยยยยยยยยย ไอ้พี่แสงลุกไป!!!!!!” ผมเอามือกุมหัวตัวเองเพราะมะเหงกหนักของคนแรงควายทุบเข้าให้ปั๊กใหญ่ กะโหลกร้าวแล้วมั้ง นี้หัวหมอนะ นั้นหมัดนักมวย!!!!! 

   “มึงนี้นะ น่าตบให้กบาลแยก มึงอดทนมาตั้ง 6 ปี มันมาแล้วก็เสือกโกรธมัน เป็นห่าอะไรวะ ”

   “… ไม่ได้โกรธ”

   “เฮอะ ไม่ได้โกรธ แล้วไอ้เด็กที่นั่งหน้าเป็นตูดอยู่นี้ละ อายุมึงก็เยอะแล้วนะเสือกเล่นตัวอยู่นั้น”

   “ไม่คุยแล้ว ลงไปสิวะ โอ้ย เจ็บนะ จะทุบทำไมนักหนา!” ผมโวยวายเพราะไอ้พี่แสงมันยังไม่เลิกทุบหัวผม ฮึ้ย! ใครเล่นตัววะ ไม่ได้เล่นตัวสักหน่อย

           “โอ้ย ไอ้ห่าอย่ากัดหลังกู!!!!!!”

           “ไอ๊!!!!”สมน้ำหน้าชอบแกล้งผมดีนัก กัดให้เนื้อขาดเลย แง่มๆๆๆๆๆๆ

           กว่าจะไล่ไอ้พี่ตัวแสบออกไปจากห้องได้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้วนั้นละ ตอนแรกว่าจะไปแอบดูไอ้ไม้สักหน่อย ดึกขนาดนี้คงไม่ไปแล้วละ เฮ้อ … พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแต่เช้ายังจะมาก่อกวนผมอีก ดูดิ เล่นจนผมตัวเหนียวเหงื่อไปหมดอายุเท่าไหร่กันแน่วะ ตาแก่คนนี้เนี้ย

           พอบ่นหนำใจแล้ว ผมก็คว้าเอาผ้าเช็ดตัว ลงมาอาบน้ำใหม่ที่ด้านล่างนอนไม่หลับหรอกแบบนี้ ฮึ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวจะไปหาซื้อประทัดมาจุดหน้าห้องไอ้บ้าพี่แสงให้กระจุยกระจายเลย แก้แค้น ๆ พออาบน้ำเสร็จไอ้โทนก็ปะแป้งเย็นพอกให้ทั่วเพื่อความสดชื่น ส่องกระจกตัวเองและแอบเหมือนแคปเปอร์เล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ก็น่ะตัวผมตอนนี้หอมฉุยน่ารักน่าชัง จนต้องวิ่งหนีแฟนคลับบรรดายุงกับเจ้าสามทหารเสือที่พากันมานั่งเฝ้าผมหน้าประตูห้องน้ำ ขึ้นมาบนห้อง ปิดไฟและกระโดดลงเตียง  อ๊า สบายจังเตียงนุ่มๆ หอมๆ ง่วงๆ



… แต่ถึงยังไงก็นอนไม่หลับ

           “โธ่เว้ยยยยยยยยยยยยยยยย!”

   ผมตะโกนออกมาลั่นห้อง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งและมองไปที่ริมเตียง ถอนหายใจเฮือกใหญ่กลิ้งตัวเองลงไปนอนข้างล่าง ที่ไอ้เด็กเปรตนั้นเคยนอน … ถึงจะกวาดถูไปหลาย ๆ รอบ แต่ผมก็ลงมานอนตรงนี้ทุกครั้งที่นอนไม่หลับ … เพราะมันทำให้ผมหลับง่ายขึ้นอาจจะเป็นเพราะพื้นไม้ตรงนี้มันเย็น หรือมันอบอุ่นเพราะไออุ่นที่ไม่เคยจางหายกันแน่นะ … เฮอะ … นอนแล้ว ไม่สนใจหรอก



แก๊ก …

           เสียงอะไรวะ …

           ผมที่ยังนอนหลับไม่เต็มตานัก ลืมตาขึ้นมาในความมืด เมื่อเสียงบางอย่างมากระทบกับหน้าต่างไม้ที่ติดกับเตียงของผม ขโมยเหรอ ….

แก๊ก แก๊ก

           หน่อยยยยยยยยยยยยย ไอ้เวรนี้ ไม่รู้ซะแล้วว่านี้บ้านใหญ่ คิดจะมาขึ้นบ้านครูมวยงั้นเหรอ หาที่ตายชัด ๆ ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหยิบเอาไม้ตะพด ที่แขวนอยู่ริมห้อง พ่อซื้อมาเป็นของฝากจากเชียงใหม่ บอกว่าให้ผมเอาไว้ใช้ตอนแก่เพราะรู้ว่าผมหาเมียไม่ได้ไม่มีลูกดูแล … ชิ ขยันแซว ตัวเองนั้นแหละที่จะแก่ก่อนผมแท้ ๆ น่าหมั่นไส้ชะมัด ผมเห็นว่ามันสวยดี เลยเอามาทำเป็นของประดับห้องซะเลย ไม่คิดว่าจะได้เอามาใช้แพ่นกบาลคนวันนี้

           เสียงนั้นก็ดังมาเป็นจังหวะคล้ายเสียงคนเดิน แต่น่าแปลกที่ไอ้สามทหารเสือไม่ยักจะเห่า ปกติใครเข้าบ้านมาแปลกหน้านี้ เห่าฉิบหายวายปลวก ผมตัดสินใจย่องเข้าไปใกล้กับหน้าต่างเพื่อชะโงกออกไปดูว่าไอ้โจร 500 นั้นเป็นใคร มันมากันกี่คน กันแน่ ฮึ ต่อให้มาสัก 10 คนก็ไม่กลัวหรอก แต่กูแค่ขอวิ่งไปตั่งหลักนอกบ้านแค่นั้นเอง อย่างนะโว้ย ไอ้โทนคนนี้โหดยิ่งกว่าหมาแม่ลูกอ่อนอีกนะ สาดดดดดดดดดด

แก๊ก แก๊ก แก๊ก

           เสียงห่านั้นดังขึ้นถี่ ๆ เหมือนกำลังจะขึ้นมาถึงห้องผมแล้ว ผมที่แอบอยู่ด้านข้างหน้าต่างเหงื่อแตกซิก ใจหนึ่งก็อยากจะชะโงกไปมองแต่คิดอีกที ถ้ามันมีปืนผาหน้าไม้ ผมอาจจะตายก่อนเล่นตัวชนะไอ้ไม้ก็ได้ แง่มมมมม บ้านอื่นมาตั้งเยอะแยะไอ้ลูกหมาใจทรามกลับเลือกขึ้นบ้านหลังนี้ จิตใจมันทำด้วยอะไรวะ แล้วไอ้พี่แสงตายแล้วหรือไง ขโมยขโจรขึ้นบ้านไม่รู้สึกตัวเนี้ย!!!

           “ไอ้เหี้ยขโมย!!! บ้านกูอยู่กันเยอะ มึงขึ้นมามึงตายแน่!!!!!! ถ้ามึงลงไปตอนนี้ยังทันนะ!!!!!!”ผมตะโกนโม้ลั่นแต่ไอ้เสียงนั้นก็ยังไม่หยุด เอาวะ จะลองดีกับกูใช่ไหม ได้!!!!!

           กูง้างไม้ตะพดขึ้นเหนือหัว กะว่าถ้าขึ้นมาเมื่อไหร่ พ่อฟาดไม่เลี้ยงแน่ๆ นาทีนั้นเหมือนหัวใจผมหยุดเต้น เดี๋ยวนะ และถ้าผมฟาดลงไปและมันตกลงไปตายละ … ผมก็ฆ่าคนน่ะสิ แต่มันเป็นโจรนะ … แต่ผมไม่อยากฆ่าคนเลยอะ … ฮื่ออออออ

           ผมทิ้งไม่ตะพด และทำท่าจะวิ่งออกมาด้านนอกห้อง แต่ระหว่างที่กำลังจะปลดล็อกกลอนประตู เสียงวิ่งก็ดังมาจากด้านหลัง ไอ้โทนขี้ขลาดไม่แม้แต่จะกล้าหันไปมอง

หมับ!!!!

           “ปล่อย ไอ้เหี้ยปล่อย!!!!!!” พ่อมึงเป็นตุ๊กแกเหรอกอดกูแน่นขนาดนี้เนี้ย!!!!!!!

           “พ่อโทนครับ นี้ไม้เอง”

   เสียงที่ผมจำได้ขึ้นใจไม่ว่าจะผ่านไปสักกี่ปีดังขึ้น กูหันไปมองทันที ร่างทะมึนตรงหน้าอยู่ใต้เงาจันทร์ที่ส่องเข้ามาภายในห้อง ใบหน้าคมสันที่อยู่สูงกว่าหน้าผมกว่าศอกครึ่ง กำลังยิ้มอยู่ รอยยิ้มไร้เดียงสาของไอ้เด็กที่ทำพิษกับผมไว้มาก …. ไอ้ไม้!!!!

           “มะ มึงมาไง”

           “คิดถึงครับเลยมาหา”

           “มึงปีนขึ้นมาเนี้ยนะ”

ผลั๊ว!

           ผมฟาดลงหัวไอ้ไม้หนึ่งทีเบาะ ๆ มันหัวสะบัดนิด ๆ แต่ก็ยังยิ้มอยู่ แขนใหญ่ของมันตวัดผมเข้าไปกอดอีกรอบ ถึงผมจะโวยวายแค่ไหน มันก็ไม่ปล่อยผมหรอกผมรู้ดี เลยต้องปล่อยให้ไอ้ยักษ์กอดผมอยู่อย่างงั้น … คิดว่าจะอึดอัดนะแต่ไม่ใช่เลย ผมกลับรู้สึกอบอุ่นและโหยหาซะมากกว่า … คิดถึงคนเดียวหรือไง … กูรอมึงมาตลอดแท้ ๆ สองอาทิตย์ที่ผ่านมากูก็ไม่ได้ไปไหนนอกจากที่ทำงานและก็บ้าน มึงยังไม่พยายามไปหากูเลย …กูไม่คิดถึงมึงเลยสินะ กูไม่น้อยใจเลยใช่ไหมละ… ฮึ

           “พ่อโทน”

           “อะไร”

           “ผมรักพ่อโทนนะครับ”

           “อือ” ผมขานรับ ในใจนี้แทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ มึงจะย้ำทำไม แค่นี้กูก็รู้แล้วว่าไม่ควรคิดไปไกลให้มากเกินกว่าคำว่าพ่อลูก มึงย้ำแบบนี้กูเสียใจนะ

           “รักแบบไม่ใช่พ่อลูก … รักแบบผู้ชายคนนึงจะรักอีกคนได้ รักแบบนี้มาตั้งแต่เราเจอกันครั้งแรก เข้าใจไหมครับพ่อโทน”

           “ห๊ะ …”

           “ผมรักพ่อโทน และจะเดินหน้าจีบแล้ว ผมไม่สน ปู่ ไม่สนใครทั้งนั้น ไม่สนคำว่าพ่อ ของพ่อโทนด้วย เตรียมตัวไว้ได้เลยนะครับที่รัก”

           “แต่กูพ่อมึงนะไอ้ไม้ ดะ เดี๋ยว อย่าจูบกู!!!อื้อ!”

จุ๊บ!

           “ไม่สนครับ ผมไม่สนอะไรทั้งนั้น เราไม่ใช่พ่อลูกกันจริงๆ อีกอย่างพี่ป๊อกก็บอกผมแล้วว่าพ่อโทนรักผม หึหึ ที่รัก ต่อไปนี้ผมจะเดินหน้าเต็มที่แล้วนะครับ ให้สมกับที่รอคอย 12 ปีเลย” มันไม่พูดเปล่าก้มลงมาจูบผมอีกรอบ กลิ่นเหงื่ออ่อน ๆ กับกลิ่นเหล้าทีคลุ้งไปทั่ว แทบทำให้สติผมดับสูญซะตรงนั้นมือไม้ไม่มีแม้กระทั่งแรงที่จะผลักออก ไอ้ป๊อก ไอ้เพื่อนเวร มึงชวนลูกกูกินเหล้ามาใช่ไหม …

           “พะ พอแล้ว!” ผมดันหน้าไอ้เด็กหื่นที่ลวนลามกูไม่เลิก

   แม่งกลายเป็นเก้งเป็นกวางตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ย ถึงมันจะบอกว่ามันเป็นเด็กบ้าน ๆ เหมือนแต่ก่อนแต่ความจริงตอนนี้มันมีหน้าที่ใหญ่โตในสังคม ถ้าเกิดสมมุติมันมีผมขึ้นมาจริง ๆ แล้วสังคมรอบข้างของมันละ … ผมยังครองสติได้อยู่นะ พอที่จะแยกแยะได้ … อาจจะดูคิดมากไป แต่ถ้าผมไม่คิดเผื่อเอาไว้ วันไหนเกิดมีปัญหาขึ้นมาจะทำยังไง …

   ผมเองก็รักมัน และผมก็ดีใจที่มันคิดตรงกับผม … แต่มันแตกต่างกันเกินไปไหม ไอ้ไม้ควรที่จะได้แต่งงานแต่งการกับผู้หญิงที่เพียบพร้อมทุกอย่าง สร้างครอบครัวที่แสนอบอุ่นขึ้นมาสิ … นั้นคืออนาคตที่ถึงเจ็บเจียนตายผมก็อยากให้มันเกิดขึ้น

           “มึงเลิกบ้าไปเลยไอ้ไม้ กลับไปนอนบ้านมึงได้แล้ว ทุกอย่างคืนนี้มึงลืมไปให้หมด กูเป็นพ่อมึงนะ” ผมเสียงแข็ง ทั้ง ๆ ที่ในใจแม่งอยากจะร้องไห้ ถ้าตอนนั้นผมรับมันมาอยู่ในฐานะ อื่นที่ไม่ใช้คำนำว่าว่า ‘ลูก’ ผมคงไม่กระดากใจแบบนี้

           “ผมจะอดทนรอวันที่พ่อโทนยอมรับและมองข้ามความสัมผัสจอมปลอมของเราออกไป ผมไม่ใช่ลูกพ่อนะครับ ผมเป็นไอ้ไม้ เด็กที่บ้านไฟไหม้ พ่อแม่เสีย เป็นลูกกำพร้า และวันนึงผมก็ได้เจอคนที่ฉุดผมขึ้นมาจากหลุมพรางชีวิต และผมก็หลงรักเขาหมดใจ … ไอ้ไม้คนนี้ไม่มีทางไปรักใครได้ … ไม่มีวันไม่รักพ่อโทน ผมจะรอ … จะรอจนกว่าถึงวันที่พ่อโทนยอมรับผม” มันพูดจบก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน เวลานั้นขอบตากูร้อนผ่าว ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ดีใจ เสียใจ ตื้นตัน เพียงแต่มันอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆใส่หน้าไอ้เด็กแก่แดดตรงหน้า   

           “มะ มึงพูดอะไร กูฟังไม่รู้เรื่อง” ผมผละเดินออกมาหันหน้าเข้ามุมห้อง ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองไอ้เด็กตัวยักษ์ด้านหลัง ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกจากห้องไป กลัวว่าจะทำร้ายจิตใจมันมากจนเกินไป

           “หึหึ หันมาหาไม้นะครับ” เสียงขอมันอ่อนโยน มือแกร่งค่อย ๆ จับไหล่ผมหันไป จนผมต้องย่นหน้าใส่จมูกแทบติดกับปาก

   ฮึบ ไม่ร้อง ผมไม่ใช่เด็กแล้ว อายุจะ 30 แล้ว เป็นหนุ่มแล้วแท้ ๆ ไอ้เด็กบ้ายิ้มก่อนจะใช้หลังมือสาก ๆ แต่อุ่นลูบไปตามแก้มของผม ผมปฏิเสธยกมือปัดมันออก แต่มืออีกข้างก็ถูกจับเอาไว้เหมือนกัน เลยทำได้แต่ก้มหน้าชิดอก ไม่ได้เขิน ไม่ได้อายโว้ย ระดับนี้แล้ว ไม่มีทาง!!!!

   “ก็บอกว่าผมจะรอ รอจนกว่าพ่อโทนจะพร้อม ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็จะรอ”

   ลมหายใจของมันเป่าที่แก้มผม ก่อนที่ลมหายใจแผ่วๆนั้นจะลากยาวมาที่จมูก จรดที่หน้าปาก และทำวนอยู่อย่างงั้น และมอบความอบอุ่นให้ริมฝีปากของผม … ต่อจากนี้ … จะเป็นยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน … แต่ผมรู้เพียงอย่างเดียว ว่าผมรักไอ้เด็กนี้มาก มากจนไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ไม่รู้จะหักห้ามหัวใจยังไงไม่ให้พองโต ไม่รู้จะกู่ร้องยังไงให้ความรู้สึกเหล่านี้หายไป … คงได้แต่เฝ้าดู ว่าไอ้เด็กคนนี้จะทำอย่างไร จะเติบโตได้อีกแค่ไหน … ได้แค่นี้จริงๆ

   “คืนนี้ผมนอนที่นี้ได้ไหมครับ” ไอ้เด็กนี้ละริมฝีปากออกจากผม ก่อนจะเอาหัวมาถูไถกับซอกคอของผมอย่างออดอ้อนผมเต็มที่ เหมือนหมาตัวใหญ่ ๆ ที่เชื่องมากๆ ระริกระรี้น่าหมั่นไส้

   “ที่แอบปีนขึ้นมานี้ ไม่ใช่ว่ากลัวพ่อกูหรือไง” ผมแกล้งเหย้ามัน ผลักอกผละออกมาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเปิดออกค้นหาอะไรในตู้ไม่สนใจไอ้ไม้ที่ครางหงิง ๆ หูตกหางตกอยู่ด้านหลัง

   “กลัวครับ แต่ผมบอกแล้วไง ต่อจากนี้จะสู้หัวชนฝา”

   “ถุ้ย แน่จริงมึงก็เข้าทางหน้าบ้านสิ หึหึ” ผมหัวเราะกับเด็กบ้านี้ ก่อนจะค้นหัวผ้านวมกับหมอนใบเก่าของมันออกมา … ไม่เคยเอาไปทิ้งหรือย้ายที่ไปไหนเลย ทุกอย่างที่เป็นของมัน ยังคงวางอยู่ที่เดิม รอคอยวันนี้ วันที่มันกลับมาในห้องนี้อีกครั้ง

   “เอ๊า ยืนอยู่นั้นละ ใจคอจะให้กูทำคนเดียวใช่ไหม!” 

   ไอ้ไม้รีบแบกหน้าบานเป็นกระด้งของมันเข้ามาช่วยผมถือผ้าน่วมดิ่งตรงไปวางไว้ข้างเตียงของผม ก่อนจะปูอย่างเชี่ยวชาญ แต่ผมมองสภาพมันแล้วถ้านอนในสภาพนี้ตื่นเช้าขึ้นมากลิ่นละมุดต้องหึ่งไปทั่วห้องผมแน่ ๆ เลยต้องเตะตูดมันให้ไปอาบน้ำด้านล่าง มันทำหน้านิ่งไปสักพักอย่างลังเล ไม่รู้มันฝั่งใจอะไรกับพ่อผมนัก หึหึ ไม่ให้เก่งเหมือนปากว่าเลยวะ

   “พ่อไม่อยู่กลับมะรืน”

   “จริงเหรอครับ งั้นรอผมแปปนึงนะพ่อโทนที่รัก” ทีงี้ละหูกระดิกเชียว หึหึ

   ว่าแล้วมันก็วิ่งวุ่นหาอุปกรณ์อาบน้ำของตัวเอง และมันก็ชะงักนิด ๆ เมื่ออุปกรณ์อาบน้ำทุกอย่างอยู่ที่เดิม แต่ยังใหม่กิ๊ก เพราะผมหมั่นซื้อมาเปลี่ยนอยู่เสมอ ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จนมันออกจากห้องไป ถึงจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ยกมือขึ้นจับริมฝีปากที่ยังอุ่น ๆ อยู่เลย …

   ไอ้เด็กบ้า ลามปามเชียวนะ หึ! นอนแล้ว ไม่สนใจมึง

หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH18ในฐานะที่ไม่ใช่พ่อ}25/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 25-04-2020 19:07:22
.

.

.



           ร่างกำยำในผ้าขาวผ้า เดินเข้ามาภายในห้องที่มืดสนิทอันคุ้นเคย ก่อนจะค่อย ๆ มุดมุ้งเดินขึ้นไปบนฟูกนอนอันคุ้นเคยนั่งลงข้างเตียงของคนตัวเล็กที่หายใจเป็นจังหวะ ที่นอนดูเล็กไปเมื่อเทียบกับตัวของเขาที่ใหญ่ขึ้น ใบหน้าขาวของพ่อโทนส่องประกายกับแสงจันทร์ เสียงจิ้งหรีดรีไรกับลมธรรมชาติที่พัดผ่านในยามราตรีนี้ ทำให้ไอ้ไม้จิตใจสงบดีเหลือเกิน นานแค่ไหนแล้วที่มันไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ สมัยเด็กๆนั้น มันเคยมีช่วงเวลาที่มีความสุขแค่ไหนมันไม่เคยลืม

   จากวันแรกที่มันเจอคนตัวเล็กที่แก่นแก้วแบบเด็ก ๆ และลากมันมาเล่นพ่อลูกด้วยกัน คนยาวมาถึงบัดนี้ มันจำได้ว่า ตอนที่พ่อโทนของมันไปเรียนต่างบ้านต่างเมืองมันนั้นคิดถึงดวงใจของมันแค่ไหน คิดถึงจนต้องพาตัวเองขึ้นรถทัวร์เดินทางไกลไปหาพ่อโทนเพียงลำพัง มันยังจำวันที่พ่อโทนกลับมาหามันหลังเรียนจบได้ดี และที่สุด ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ ตอนที่ไอ้ไม้คนนี้ต้องจากไปอย่างไม่ได้ล่ำลา รู้สึกผิด  เป็นห่วง ต่างๆนาๆ และต้องทนอยู่ในความเหงา โดดเดียว บนเส้นทางที่แสนอันตราย หลายครั้งที่มันท้อ อยากจะทิ้งชีวิตทีสวยหรูเหล่านั้นและกลับมาใช้ชีวิตเป็นไอ้ไม้

   แต่พอได้คิดถึงหน้าตาที่ต้องดีใจในความสำเร็จของมัน ของพ่อโทน มันก็มีแรงฮึดขึ้นอีกครั้ง และวันนี้มันก็ได้เห็น จากนี้ไปมันจะทำให้เต็มที่ ต่อให้ทำอีกสักกี่อย่างพร้อมๆกัน มันก็ยอม … เพื่อพ่อโทน เพื่ออนาคตที่มั่นคง และเพื่อสิ่งที่มันต้องการทุกอย่าง ต่อให้อุปสรรคมากมายจะถาถมเข้ามา มันก็ไม่หวั่นอีกต่อไป เพียงแค่มีพ่อโทนอยู่ข้างๆ … เพียงแค่นี้จริงๆ

   ไอ้ไม้ค่อย ๆ บรรจงกอบกุมมือเล็กของพ่อโทนขึ้นมากุมเอาไว้ จรดจมูกโด่งหอมลงบนหลังมือน่ารักนั้นอย่างทะนุถนอมบูชา … วางแก้มสากลงบนมือนั้น อย่างมีความสุข

   “ทำบ้าอะไร”

   เจ้าไม้ชะงักเมื่อเสียงแผ่วเบาของคนปากแข็งดังขึ้นในความมืด มันเงยหน้าขึ้นสบกับตาใสที่มองมาที่นั้น ริมฝีปากบางเบะคว่ำรั้นเอาแต่ใจ แต่ในสายตาของเจ้าไม้ ช่างน่ารักน่าชังเหมือนตุ๊กตาแก้วที่มันอยากจะทะนุถนอมไปตลอดชีวิตของมัน

   “ยังไม่นอนอีกเหรอครับ”

   “ใครจะหลับลง” พ่อโทนบ่นพึมพำออกมาในลำคอ

   เจ้าไม้เหยียดยิ้มก่อนจะพยุงตัวเองลุกขึ้นก้มลงไปสบตาแก้วนั้นอย่างเจ้าเล่ห์ มือบางของพ่อโทนถูกกอบกุมเอาไว้เสียตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตาจ้องตากัน ใบหน้าขาวนั้นแดงซ่าน ต่างกับผิวหม้อใหม่ของไอ้ไม้เด็กบ้านนอกที่แสดงถึงเล่ห์เหลี่ยมจัด

   “รักนะครับ”

   “อะ ไอ้ไม้ จะหอมให้แก้มกูช้ำเลยหรือไงวะ” โทนโวยวายเมื่อเจ้าตัวดีก้มลงมาหอมไม่แก้มจนหน้ายู่

   “ขอบโทษครับ หึหึ งั้นแบบนี้ได้ไหมครับ” 

   เด็กบ้านนอก ใช้แขนหนา ๆ ของมันตวัดกอดรัดร่างเล็กเอาไว้ในอ้อมอก พ่อโทนลืมตากว้าง โวยวายหงุงหงิงไปตามภาษา ก่อนที่จะเงียบลงเพราะมือหนาหมันลูบหลังกล่อมเด็กน้อยอยู่ร่ำไป สุดท้ายพ่อโทนก็หลับไปในอ้อมอกแกร่งที่สมบูรณ์แบบ ไอ้ไม้เองก็ดิ่งเข้าสู่นินทราอย่างมีสุข … ถ้าหากมันตายไปเสียตอนนี้ มันคงเสียใจไปหลายร้อยชาติ เพราะมันอยากจะอยู่กับดวงใจของมันตราบนานเท่านาน

.

.

.



           รุ่งเช้าภายในวัดป่าอารามวัดที่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลา เจ้าจุกที่หยุดเสาร์อาทิตย์ขึ้นมาอยู่ดูแลหลวงตาที่ป่วยเพราะอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อยบวกกับอายุอานามที่มากขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนผัน เจ้าตัวน้อยถึงจะดื้อแต่น่ารักไม่เคยขี้เกียจ ขยันตื่นแต่เช้าเพื่อตามหลวงตาไปบิณฑบาต และคอยห้ามไม่ให้ไปไกลมากนักเพราะความเป็นห่วง พี่มาดเองที่กวาดวัดอยู่ก็พลอยปวดหัวไปด้วยเพราะเสียงแจ๋ว ๆ ของเจ้าจุกที่วุ่นวายแต่เช้า

           “หลวงพ่อจ๋า หลวงพ่อต้องทำร่างกายให้อบอุ่นนะจ๊ะ” เจ้าเด็กตัวน้อยหนวดหมับ ๆ ที่ขาของหลวงตา ที่นั่งเหยียดขาให้เจ้าลูกศิษย์วัดหนวดผ่อนคลายเส้นให้

           “เจ้าจุก เอ็งไม่ต้องขึ้นมาหาข้าทุกเสาร์อาทิตย์ก็ได้นะ เอ็งไปทำหน้าที่ของเอ็งที่ค่ายเถอะ หยิบโน้นจับนี้ ตอนแทนบุญคุณโยมทาย โยมโทนให้มากๆ”

           “จุกกวาดบ้านถูบ้านก่อนมาแล้วจ้ะ หลวงตาพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวจุกกวาดถูกุฏิกับโบสถ์พระให้นะจ๊ะ” เจ้าจุกขยันเอาใจใหญ่โต ก่อนที่จะยกชุดน้ำชาที่ปู่ทายเอามาถวายไว้เมื่อหลายเดือนที่แล้วไปเก็บกระโดดโลดเต้นหยิบผ้ากับถังน้ำเดินไปที่โบสถ์พระเพื่อทำความสะอาด

           “ไอ้หนู”

   เจ้าจุกชะงัก ก่อนจะหันไปมองและต้องขู่ฟ่อใหญ่เมื่อเห็นว่าคนที่เดินมาเป็นคนที่ตัวเองไม่ชอบหน้าเอาซะมาก ๆ กี่ครั้งก็ตามที่คนนี้มาที่บ้านปู่ทายพ่อโทน เจ้าจุกเองก็จะรีบวิ่งหาที่หลบ เจอที่ไหนก็หลีกเลี่ยงให้มากที่สุด ไม่อยากให้คนนี้เจอ ได้แต่แอบดูและส่งสายตาพิฆาตไปข่มขู่ในมุมมืด โดยที่เจ้าป๊อก ไม่รู้เลยว่ามีเด็กแอบขู่ตัวเองอยู่

   “อย่าเข้ามานะ” เจ้าจุกชูถังน้ำกั้นเจ้าป๊อกก่อนจะวิ่งผมหัวฟูหนีเข้าซอก

   “เฮ้ย! มึงจะไปไหนวะ กูจะถามหลวงตาอยู่ไหม … อะไรของมันวะ ” เจ้าป๊อกเกาหัวแกรกๆ มองตามหลังเจ้าจุกไป ถอนหายใจยกเครื่องดื่มแก้แฮงค์ขึ้นดื่ม ล้วงเอาจดหมายในกระเป๋าออกมาอ่านทบทวนเนื้อหาในจดหมายอย่างละเอียดก่อนจะเปิดกระดาษแผ่นหลังที่เป็นเช็คสั่งจ่ายถึงบริษัทของตน

   “ใครมันใจดีขนาดไม่เอ่ยชื่อวะ ทำบุญใหญ่บูรณะวัดทั้งที เอาเถอะ เงินมางานไป” เจ้าตัวบิดขี้เกียจจากอารมณ์แฮงค์เมื่อคืน

   ตื่นขึ้นมาไอ้เด็กเวรก็ไม่อยู่ที่บ้าน เขาเลยต้องขับรถกลับไปที่บริษัททั้ง ๆ ที่ยังเมาและมึนๆอยู่ ดีแค่ไหนที่ไม่ตกคันนาตายโหง แต่พอมาพนักงานเอาเช็ดมาให้อาการเมาก็แทบหมดสิ้น เพราะวงเงินมันเยอะซะจนไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้จับ พร้อมจดหมายไม่ระบุชื่อและแนบวัตถุประสงค์เพื่อธรรมนุบำรุงวัดป่าบนเขาที่ห่างไกลความเจริญเฉกเช่นที่นี้ เขาเองเป็นเปิดบริษัทตกแต่งภายในตามวิชาชีพที่ศึกษามา แต่ก็มีเพื่อนวงการในสายงานที่ตรงกับความต้องการที่จะทำนุบำรุงวัดแห่งนี้ได้อย่างดี เงินที่ได้มา มากพอที่จะฟอร์มทีมใหม่ขึ้นและทำงานได้อย่างราบรื่น

   ในระหว่างที่เจ้าป๊อกกำลังยืนสูดอากาศอยู่นั้น เจ้าจุกที่แอบดูอยู่ ก็หัวเราะคิกคักขึ้นเมื่อสังเกตเห็นดอกหญ้าเจ้าชู้ติดอยู่กับกางเกงยีนต์ตัวเก่าของเจ้าป๊อก แต่เมื่อร่างสูงหันกลับมามอง เจ้าจุกเด็กวัดก็รีบผลุบเข้ามาเหมือนเจ้าเต่าที่ขี้เล่น…   



====================



คูมพ่อรอมานานจะงอแงก็ไม่แปลก ฮิฮิ

ลูกไม้เอ็งต้องสู้ๆ นะ <3' #หนึ่งคอมเม้น์เท่ากับหนึ่งกำลังใจนะฮับ <3'


หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH18ในฐานะที่ไม่ใช่พ่อ}25/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-04-2020 19:21:05
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH18เดินหน้าจีบพ่อ}26/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 26-04-2020 20:29:41

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 19 เดินหน้าจีบจนกว่าจะยอม




    เกลียดอะ ผมเกลียดไอ้ลูกไม้ตอนนี้มาก หลังจากที่มันแอบปีนบ้านตัวเองขึ้นมาหาผมที่กำลังจิตตกขนาดหนัก จากนั้นพฤติกรรมที่เมื่อก่อนยังคงเส้นคงวา กลับดูเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รั้นขึ้น ดื้อขึ้น เดินทางจีบผมตามคำที่มันบอก จนผมทั้งอายทั้งปวดหัว เขินตัวจะแตก แทบแทรกแผ่นดินหนีไปไกล ๆ ไม่อยากเจอหน้า แต่ไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงนะ คิดถึงมันตลอดแหละเพราะผมก็ผู้ใหญ่แล้วรู้ใจตัวเองดีเหมือนกันว่าไม่สามารถคิดกับมันได้แค่ลูก แต่ … มันไม่ชินอ่ะ เขินจะตาย ใครจะไปทำใจได้วะ อยู่ ๆ ลูกก็มาจีบอะ คิดว่าตัวเองต้องเสียใจอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้มันทั้งดีใจทั้งประหลาดใจ แล้วก็เสียใจที่ยังไงเด็กคนนี้ก็ไม่ได้ใช่ชีวิตเหมือนเด็กผู้ชายปกติ ทั้งที่เลือกเองและไม่ได้เลือกเอง เฮ้อ …

   นั้นไง พูดยังไม่ทันขาดคำไอ้ตัวกวนเดินมาแต่ไกลอีกละ ผมรีบมุดลงล่างเคาเตอร์เป็นการใหญ่ ทำเอาไอ้ก้อยกับไอ้กั้งที่ยืนเช็ดสต๊อกยาอยู่ไม่ไกลนักหันมามองอย่างตกใจ และก็พากันหัวเราะคิกๆคักๆเดินเข้าไปในห้องตรวจ ทิ้งให้ผมอยู่กับไอ้ไม้ที่ผมแอบเห็นใต้ช่องว่างของด้านล่างโต๊ะว่าลากอีแตะกำลังเดินเข้ามาหาผม แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง ไอ้เกื้อก็หายหัวกลับกรุงเทพไปกับพ่อด้วย ทางสะดวกเลยสิมึงน่ะ! ไอ้เด็กบ้า!!!

   “พ่อโทนฮะ ทำอะไร” ผมจิ๊ปาก ก้มหน้านั่งจุมปุ๊กลงกับพื้นนิ่งเมื่อเจอไอ้ห่าเด็กนี้ตามหาเจอหน้าง่ายดายแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลย เดี๋ยวนะ กูใช้สมองอันฉลาดล้ำ หาคำพูดแก้ตัวกับมันก่อน

   “หะ หาคอนแทคเลนส์ ”ผมอยากจะตบปากตัวเอง ที่ตอบออกไปเหมือนละครหลังข่าวแบบนั้น และที่สำคัญ กูไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์ ไม่เคยใส่ และไม่คิดจะเอาอะไรมาใส่ตาตัวเองด้วย อ๊ากกกกกกก

   “ฮืม … ของใครครับ พ่อโทนไม่เคยใส่นี้ครับ” ผมกัดฟันกรอด เหมือนเด็กที่กำลังโดนอาจารย์ตีตูดด้วยไม้หน้าสาม

   “กะ ก็กำลังจะหัดใส่ ดันหล่นก่อน อ่ะ เจอแล้ว นี้ไง” ผมทำเอามือแปะลงพื้นและซ้อนมือไว้ใต้เสื้อกาวส์ทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนเซมองไปอีกทางไม่กล้าสบตาไอ้เด็กรู้มากคนนี้

   “พ่อฮะ”

   “อะไร อ่ะ! อย่าจับหน้าเซ่ … เดี๋ยวสิวขึ้น” ปลายเสียงผมแผ่วลงผลุบตาเซมองลงต่ำหน้าเชิดเพราะถูกมืออันหยาบกร้านจากทำงานหนัก เมื่อกี้แอบเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเจ้าเล่ห์เพทุบาย ไม่น่าไว้วางใจมองผมอย่างยิ้ม ๆ เหมือนจะรู้ทันด้วย

   “มองหน้ากันหน่อยนะครับ ผมอยากเห็นตาของพ่อโทนจังเลยครับ” ไม่ว่าเปล่ามันก้มลงมาหอมแก้มผมอย่างหยอกล้อไปอีกหนึ่งที ผมที่เคลิ้มอยู่ผงะออก เอามือดันแต่มันก็ไม่ยอมออกจากผมเอาแต่หัวเราะและจับหน้าผมไว้อย่างงั้นจนหน้าผมยู้ไปหมด ดูดิ ๆ มันเคารพผมตรงไหน ยังไงผมก็พ่อมันนะ เศร้า!

   “เอาใหญ่แล้วนะ ไอ้เด็กบ้า!”

   มันหน้าหงายเมื่อผมยันเข้าให้ที่ปลายคาง แต่ก็ไม่วายยิ้มหัวเราะอยู่อีก อารมณ์ดีจังนะ แต่ผมงี้หน้าแดงไปหมดแล้ว ไม่รู้จะเจ็บใจหรือจะเขินดี อีกด้านนะถ้ามันไม่จู่โจมแบบนี้ ผมอาจจะไม่สามารถมองข้ามความเป็นพ่อลูกที่ติดอยู่ในสมองผมมาได้ และก็ต้องอมยิ้มออกมาเมื่อมันจงมือผมไปหอมมืออีกข้างก็ลูบแก้มผมไปด้วยก่อนจะยกมือผมไปแนบแก้มสากไปด้วยเคราอ่อนของมัน …

   “กูเพิ่งไปเข้าห้องน้ำล้างตูดมา ยังไม่ได้ล้างมือเลย”

   “หึหึ ไม่สนครับ แต่สกปรกไปหน่อยนะ อย่างงี้ต้อง ….”

   “พอเลย!” ผมยันหน้ามันไว้อีกรอบ แม่งจ้องจะลวนลามผมอยู่นั้นแหละ นิสัยเสียมากเลยไอ้หมาบ้าไม้!

   “หิวไหมครับ ไม้ซื้อข้าวมา มากินด้วยกันนะ” มันชูถุงข้าวแกงตักเจ้าอร่อยในตลาดที่ผมชอบกิน ก่อนจะหน้ายิ้มเดินไปที่ชั้นเก็บจาน ไม่ลืมที่จะไปเคาะประตูเรียกไอ้กั้งกับไอ้ก้อยที่ป่านนี้เอาหูแนบกับประตูแล้วมั้งออกมากินข้าวกลางวันด้วยกันด้วย

   “มึงโดดซ้อมมาใช่ไหม อีกสามวันพี่แสงไปชกที่กรุงเทพไม่ใช่เหรอไง ทำไมมึงไม่ช่วยเขาซ้อม”

   “เสร็จแล้วครับ เลยมาหาพ่อโทนได้”

   ผมที่ก้มหน้าจิ้มปลาร้าสับอยู่ชะงัก ช้อนตามองมันที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้าม แล้วต้องหลบตามันลงมองจานข้าวบนตักตัวเอง จ้วงข้าวเหนียวเข้าปากอย่างลน ๆ ไม่ทันได้สัมพงสัมผัสหรอกรสชาติของปลาร้าสับน่ะ … พักนี้มันยิ้มเก่ง รุกไล่ผมเหลือเกิน ใจผมจะทนทานไปได้อีกสักกี่น้ำ มีหวังได้ใจอ่อนกันพอดีแน่ๆ … เฮ้อ เอาจริงเหรอ นี้จะเอาพ่อมึงเป็นแฟนจริง ๆ ใช่ไหมไอ้ไม้ …

   “ลูกไม้นี้หล่อจังเลยน๊า ” ผมหันไปมองไอ้ก้อย ที่นั่งข้างชมไอ้ไม้ต่อหน้าต่อตาหน้าตาเคลิ้มๆ ก่อนจะหันมาเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ มองหน้าไอ้ไม้ ทำไมผมรู้สึกขัดใจขัดหูจังเลย

   “ไม่เห็นจะหล่อ กวนตีนก็กวนตีน”

   “ยิ่งด่ายิ่งน่ารัก”

   “อ๊ายยยยยยยยยยยยย” ผมละเครียดกับเสียงกรี๊ดของไอ้ก้อยจริงๆ =_=’

   “ดูเมียมึงด้วยไอ้กั้ง”

   “ดูทำไมพี่เห็นทุกวันเบื่อจะตาย”

   “เดี๋ยวมึงจะโดน” ผมชูมะเหงกใส่หน้าไอ้กั้ง มันหัวเราะคิกคักกับเมียมันไม่สนใจผม เดี๋ยวก็เจอกูฟรีคิกและจะหาไม่เตือนนะ ได้แต่คิดสุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ได้ออกจากโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปตามภาษา

   หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็ออกมาลงพื้นที่ โดยมีไอ้ไม้เป็นลูกมืออย่างไม่รู้จะห้ามยังไงเพราะยังไงไอ้เด็กคนนี้ก็อยากจะแกล้งรวนผมอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว โดยที่ขึ้นกระโดดซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ที่ไม่รู้กี่ปีแล้วไม่ได้นั่งแบบนี้ โดยนั่งหันหลังชนกับหลังกว้างๆเข้มแข็งของไอ้เด็กเปรตที่สูงใหญ่จ้ำพรวดพราดจนน่าใจหาย มันคงสูงสัก 190 ซม.ละมั้งเมื่อก่อนก็ว่าสูงผิดเด็กคนอื่นแล้วแท้ๆ แถมหน้าตามันก็ทำอีสาวบ้านเหนือบ้านใต้เล่าลือกันไปทั่วสารทิศ ว่าค่ายผมรับนักมวยคนใหม่ โดยที่ทุกคนลืมไอ้ไม้เด็กคนนั้นไปแล้วเรียบร้อย

   ทำไมนะ ทุกคนถึงลืมมันง่ายดายขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เคยให้ความสำคัญกับมันเหมือนผมก็ได้ … ผมน่ะนะ ในขณะที่ใครต่างก้าวกันต่อไป แต่ผมเลือกที่จะรอ … รอ และรอตามที่มันได้ขอร้องเอาไว้ ไม่เคยนับวันนับปี ใช้ชีวิตต่อไปอย่างตายด้าน และสุดท้าย มันก็กลับมาในฐานะที่แตกต่างกันสุดขั้ว

   “คิดอะไรอยู่ครับ” ในขณะที่ขับไปตามคันนา ที่มีนารายล้อมทั้งซ้ายและขวาไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีต่อกี่ปี ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยนยกเว้นคนที่เปลี่ยนไป

   มีญาติผู้ใหญ่ย่ายายหลายคนจากผมไปบ้างก็ไปอยู่กับลูกในเมืองมีชีวิตสุขสบาย บ้างก็เจ็บไข้ได้ป่วยหมดเวรหมดกรรมไปตามหนทางวนเวียนของชีวิตคนมีมี เกิดแก่ เจ็บ และตาย ทุกคนต้องผ่านมันไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่มีใครหนีพ้น สักวัน … ผมก็เช่นกัน สักวันมันก็ต้องมาถึง เพียงแต่ในตอนที่อยู่ ผมอยากที่จะมีความสุข เห็นคนที่ผมรักมีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิต แต่คนเรา จะมีแต่ความสุขอย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ ต่อให้อยากแค่ไหนก็ตาม … ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมว่าผมได้เลือกหนทางที่สมควรแล้ว ต่อให้จะต้องทุกข์แค่ไหนก็ตาม

   “เปล่านี้ แค่คิดว่าวันนี้อากาศดีจัง”

   “จะเข้าหน้าฝนแล้วครับ อากาศเลยครึ้ม ๆ เห็นดีแบบนี้ก็จริง แต่เป็นไข้ได้ง่ายมากเลยนะ พ่อโทนต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับ เอ้~ หรือจะให้ไม้ดูแลดีครับ”

   “ต้องขอด้วยเหรอ” ผมเย้าเล่น ไอ้ไม้เบรกรถหัวแทบทิ่ม ผมเลยต้องหันไปมองและก็เจอใบหน้าจริงจังที่หันมามอง จนผมต้องเหยียดยิ้มและเขกกะโหลกไปหนึ่งที มึงนี้นะ จริงจังได้ทุกเรื่องจริงๆ จะเอากูให้ได้ว่างั้นเถอะ

   ไอ้ไม้ขับต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงบ้านลุงเข้มที่มีนัดมาดูแม่มะลิ วัวแม่พันธุ์ในคอกแกที่แกบอกว่าไม่ยอมกินข้าวกินน้ำมาสองวันแล้ว ผมไม่รอช้าลงมือตรวจและก็วางใจลงได้เมื่อรู้ว่าแม่มะลิตั้งท้อง ผมเลยให้ยาบำรุงไว้ ก่อนที่จะมาที่บ้านป้าชงดูหมูบ้านแก ตามด้วยบ้านลุงอินบ้านไก่ชนที่ไก่ราคาแพงของแกล้มป่วยก่อนขึ้นตี ดีนะที่ไม่เป็นตอนตี ไม่งั้นกลายเป็นไก่ต้มแน่เพราะคณะไก่ชนเล่นกันทีเป็นแสนเป็นล้าน เห็นแบบนี้รวยยิ่งกว่าเศรษฐีบางคนในเมืองซะอีกนะพวกลุงๆป้าๆน้าๆบ้านนาแบบนี้

   ถึงพวกเขาจะไม่ได้มีหน้าตาทางสังคมที่สูงแต่ถ้าจะให้พูดถึงการทำมาหากินนั้น พวกเขาก็มีทางของพวกเขา หนทางที่จะรวยจากธรรมชาติ ถึงบางอย่างจะผิดจรรยาบรรณอย่างเช่นชนไก่หรือประกวดวัวสวยโคการตัดโน้นแต่งนี้ของวัว การรีดนมของมันเลี้ยงดูปูเสื่อในสถานที่จำกัดไม่ปล่อยให้มันเป็นอิสระ หรือจะเป็นโรงงานเนื้อหมูครบวงจรที่ไม่น่าดูเอาซะเลย แต่นั้นก็คือหนทางของหนึ่งชีวิตที่เลือกจะทำ เพราะต้องการเงินตรามาเจือหนุนครอบครัว พวกเขาไม่ได้มีทางเลือกมากนัก คิดว่าซะ นานาจิตัง แล้วกัน จะได้สบายใจ

   “พี่จ๊าย!”

   เสียงหวานของหนูเล็ก หลานสาวอายุ 5 ขวบ บ้านป้าไก่ที่ผมมาดูอาการพ่อมั่น กระบือแก่อันเป็นที่รักของบ้านที่ประกอบอาชีพทำนาหลังนี้ ป้าไก่เดินลงมาจากเรือนพร้อมลุงทิม สามีของแกตามหลานสาวที่วิ่งมาในชุดเสื้อกระเช้าสีชมพูตัวเล็กและผ้าถุงถักเปียยาวถลาเข้ามาหาผมที่อ้าแขนรับ แต่พอเหลือบไปเห็นไอ้ไม้ก็เบรกเอี๊ยด คิดอยู่เสี้ยววินาที ก่อนจะยิ้มหวานพุ่งเข้าไปหาไอ้ไม้ที่ยืนอยู่ข้างๆผมแทน ผมนี้เอ๋อไปเลย

   “น่ารักจังเลย ชื่ออะไรเอ่ย” เจ้าไม้อ้าแขนรับเด็กน้อยคนนั้นอย่างเต็มใจ อุ้มขึ้นมาในท่าเด็กและถามเสียงอ่อนเสียงหวานน่าหมั่นไส้ ยัยหนูเล็กก็หัวเราะคิกคักคุยกันหงุงหงิงอยู่กันสองคน

   “หนูเล็ก ทิ้งพี่โทนแล้ว เสียใจจัง กระซิก” ผมพูดพร้อมกับหันไปสวัสดีลุงและป้าเจ้าของบ้าน ก่อนจะหันหน้าไป ท่ากระซิกๆ เหมือนนางเอกใน TV ที่ใช้น้ำตาเทียมและไม่มีความเนียนในการแสดง

   “พี่โทนเดะน้อย น้องเละไม่เฉื้อหรอกว่าจาร้องไห้จี อย่ามาลอกเดะฉาหลาดอย่างหนูเละนะ”เอาเถอะพูดชื่อตัวเองยังไม่ชัดแต่รู้ทันผู้ใหญ่น่ารักแบบผม

   “ไอ้โทนมาทันอาหารว่างพอดี วันนี้ยายไก่ทำขนมตาลหอมเชียว ว่าแต่ไอ้หนุ่มนี้ใครกันหน้าตาหล่อเหลาเอาการเลยนะเนี้ย ผัวเอ็งรึ!” ลุงอินพูดซะไอ้ไม้ยิ้มล่าเชียว ผมนี้สิเหมือนสำลักน้ำลายตัวเองชักกล นี้ผมต้องตอบคำถามอย่างงี้ไปอีกสักกี่บ้านเนี้ย!

   “โอ้ยลุง นี้ไอ้ไม้ไง ไอ้ไม้ลูกผมไง เด็กๆลุงก็เคยเห็นมันอยู่”

   “ไอ้ไม้เหรอเนี้ย โตสูงใหญ่ขึ้นเยอะเลยนะลูก ว่าแต่ไปอยู่ที่ไหนมาเนี้ย ป้าไม่ได้เห็นเอ็งมาซะนาน”เชื่อแล้วว่าไอ้ไม้นี้ ขวัญใจสาวๆทุกวัยจริงๆ

   “ไปเรียนในเมืองมาจ๊ะป้า แต่ต่อจากนี้คงไม่ไปไหนแล้ว สบายดีนะจ๊ะ” 

   หลังจากนั้นผมก็เดินไปตรวจอาการของพ่อมั่นควายแก่ที่นอนอยู่ใต้ต้นกระถิ่นในคอก แยกออกมาจากควายอีก สิบกว่าตัวอยู่อีกคอก และมีเจ้าควายน้อย ๆ อีกสามตัวอยู่ในคอกอนุบาล ยังไม่ถึงหน้านา เลยต้องเลี้ยงอยู่ในพื้นที่จำกัดเสียก่อน ถูกแล้วละ จะได้ปลอดขโมยขโจรด้วย หลังจากที่ตรวจดูอาการพ่อมั่น รวมไปถึงตัวอื่นๆด้วยเสร็จแล้ว ผมกับไอ้ไม้ที่นั่งเล่นอยู่กับหนูเล็กที่แคร่ใกล้ๆ

   ก็พากันเดินขึ้นเรือนไปฝากท้องกับขนมตาลป้าไก่ พลางพูดคุยกันสารพัดเรื่อง จนบ่ายแก่ผมเลยต้องขอตัวกลับ หนูเล็กที่หลับคาตักผมพาดเท้าไปทางไอ้ไม้ที่อยู่ข้างกัน ทำให้เราจากมาได้โดยไม่มีเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยส่ง พร้อมกับขนมตาลอีกตะกร้าใหญ่ที่ป้าไก่ฝากไปที่บ้านด้วยจะพิเศษหน่อยก็ ส่วนไอ้จุกลุงอินฝากปลาตะเพียนสานมาให้อีกพวงใหญ่ ๆ

   ไอ้เด็กนี้ไม่ว่าใครได้อยู่ใกล้หรือรู้จักก็จะพากันหลงรัก เพราะมันทั้งขี้เล่น ขี้อ้อน แถมหน้าตามันก็บ๊องแบ๊ว ถึงจะไม่หวานเหมือนไอ้เกื้อ แต่ก็น่ารักแบบเด็กซน ๆ ของมัน เพิ่งตัดจุกมันไปทำให้หัวมันเหม่งเหมือนเณรน้อย คิ้วดกทำให้มันดูเหมือนเด็กฉลาด ทั้งที่จริงมันปัญญาอ่อนสุด ๆ แต่เห็นแบบนั้นมันก็พยายามนะ พยายามช่วยงานบ้านผม พยายามต่อยมวย ทั้งที่ไม่ได้ตัวเองไม่ถนัดสักเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นเด็กน่าสงสารถูกพ่อถูกแม่ทิ้งให้อยู่กับหลวงตามาตั้งแต่เกิด จนบ้านผมรับมาเลี้ยงให้การศึกษา ผมก็เห็นว่ามันเป็นน้องชายนั้นแหละ ไม่ได้คิดรังเกียจรังงอนอะไรเลย ดูไปมันก็น่ารักตามภาษาเด็กของมันไป

   “พ่อโทนฮะ เราหยุดคุยกันแถวนี้ก่อนได้ไหม”

   “คุยไร กูเหนื่อย” ผมถามขมวดคิ้ว ในขณะที่ตายังมองทิวภาพที่บ้านนาในแสงแดดสีอ่อนตรงหน้า โคตร สโลไลฟ์เลยสาดแต่หลังจากที่กูทำงานหนักมาอะนะ เหนื่อยจะตายห่าปล่อยกูไปพักเถอะ ไอ้ไม้เอ้ย!

   “ครับ ผมจะพาพ่อโทนกลับไปพักนะครับ”

   “เออ ๆ จะคุยอะไรก็ว่ามา แต่บอกไว้ก่อนจะลวนลามกู รับรองกูเตะมึงหมกนาแน่” เสียงไอ้ไม้หัวเราะอย่างที่ผมเกลียดแววมา ทำเอาตาผมกระตุกตุ๊ก ๆ เหมือนจะโมโห แต่ก็โมโหไม่ลง ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะโกรธไอ้เด็กนี้ลง

   มันพาผมมานั่งที่แคร่กลางนา ห่างออกไปเป็นป่าไผ่ ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนผมเคยมากินเหล้าที่นี้กับพวกไอ้ป๊อก ไอ้เบส แล้วก็ทิมมี่บ่อยๆ และมีครั้งนึงที่มันมาแบกผมกลับบ้านด้วย พูดไปก็คิดถึงไอ้เบสกับไอ้ทิมมี่เนอะ นาน ๆ ทีพวกมันถึงจะกลับมาแต่ก็มักเวลาไม่ตรงกัน ทำให้ชวดกันตลอด ต่างจากไอ้ป๊อกที่มาตั้งหลักปักฐานบริษัทรับออกแบบเล็ก ๆ ในตัวเมือง ทำให้มันเป็นสัมภเวสีมากินข้าวปล้นทรัพย์ยากรบ้านผมอยู่บ่อย ๆ บางครั้งก็พาผมไปเสียคนกินเหล้าจนตื่นไปทำงานไม่ไหว แต่ไม่รู้ทำไม ทุกครั้งที่กินเหล้ากัน ตอนเช้ามันจะเป็นคนที่ไม่ค่อยแฮงค์ทำงานได้ปกติ ต่างจากผมที่เห็นเหล้าปุ๊บ ตอนเช้ากูตาย!

   “คิดถึงใครอยู่ครับ อยู่กับผมคิดถึงแต่ผมสิ”

   “เรื่องอะไรกูจะคิดให้รกสมองวะ” ผมหันไปย่นปากใส่ มันหัวเราะก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม จนผมต้องอมยิ้มเพราะมันเหมือนจะให้ผมหอม แต่เสียใจ ผมไม่หลงกลไอ้หน้าหล่อๆหรอก เลยเอามือไปบิดจมูกจนมันร้องเจี๊ยก หึหึ เดี๋ยวกูจะกัดให้จมูกขาด หึหึ

   “ใจร้ายจังเลย แต่รักนะครับ ผมรักพ่อโทนมากเลย”

   “ปากมึงนี้นะ ขยันพ่นคำหวานจัง ทำไมไม่พูดกับคนอื่นให้มันได้แบบนี้บ้างวะ”

   ผมพูดทีเล่นทีจริง ไอ้ไม้หัวเราะก่อนจะล้มตัวนอนตักผมอย่างตาเฉย จะเขกหัวมันก็จะยังไงอยู่ อยากนอนก็นอนไปแล้วกัน ไม่เสียหายอะไรนี้ ตอนเด็กๆผมบังคับมันให้นอน กว่ามันจะยอมนอนตักผมก็นานอยู่ แต่ตอนนี้มันเต็มใจที่จะนอน … ผมก็เต็มใจที่จะให้มันพักกายเหมือนกัน

   “ลำบากมากไหม อยู่ที่นี้” ผมปัดเส้นผมที่เริ่มยาวของมันขึ้นไป ตาคมหลับพริ้มตะแคงข้างเข้าหาผม หึหึ เด็กน้อยจัง ไม่เหมือนตอนอยู่กับคนอื่นที่ไล่ขู่เขาเหมือนเสือจนมีแต่คนเกรง ร้ายนักนะ

   “ไม่เลยครับ ผมมีความสุข มีความสุขกว่าตอนที่นอนบนเตียงอีก”

   “งั้นถ้ากูยันมึงลงไปนอนกับพื้น มึงจะมีความสุขไหม”

   “ถ้าเป็นบาทาพ่อโทน ยังไงผมก็มีความสุขครับ”

   “งั้นเอาซะหน่อย”

   “โอ๊ะๆ อย่าถีบผมเลยนะครับ ไม่สงสารผมเหรอ ผมน่าสงสารนะ” ถุ้ย น่ากระทืบสิไม่ว่า หลังจากนั้นมันก็ไม่พูดอะไรอีกแต่วาดมือมากอดผมรอบตัวผม ซุกหน้าเข้ากับพุงของผมจนแน่น …

   “จะแอ้มกูเหรอไง”

   “ได้ไหมละครับ”

   “ทะลึ่งอ่อ!” ผมจิกหัวมันเสยขึ้นมาจนมันหน้าหงาย มันหัวเราะไปร้องโอดโอยไป เพราะผมทึ้งมันอยู่อย่างงั้นไม่ยอมปล่อย

   “เอ๊า ก็พ่อโทนบอกเองอ่ะ”

   “เถียง เดี๋ยวนี้เถียง!”

   “โอ้ยๆ ยอมแล้วครับ ยอมแล้ว ยอมทั้งหัวใจเลยครับ” มันถลามากระซิบข้างหูในขณะที่มือผมก็ยังทึ้งหัวมันไม่เลิก นิสัย มึงมันนิสัยไม่ดี!!!

   “เอาหน้าออกไปเลยนะ” ผมกัดฟันกรอดเมื่อรู้ตัวอีกที หน้ามันอยู่ห่างจากผมแค่คืบเดียว … สาดดดดดดดดดดดด หัวใจกูจะช็อกแล้ว มึงนะ มึงนะไอ้ห่าไม้ !!!!

   “รักพ่อโทนนะครับ …”

   “มึงบอกกูบ่อยไปแล้ว!” ผมตะคอกมันไม่สนมือกร้านที่ลูบไปตามสันแก้มของผม

   “ไม่ดีเหรอครับ”

   “ไม่ดี เพราะมันจะไม่ขลัง!”

   “หึหึ ต่อให้ผมบอกพ่อโทนทุกวินาที ยังไงมันก็ขลังครับแล้วพ่อโทนละไม่รักผมเหรอ”

   “ดูก่อน” ผมว่า ก่อนที่จะยิ้มเมื่อมันโฉบหอมแก้มผมเสียงดังฟอด ก่อนจะหันหน้าหนีเมื่อมันจะหอมอีก บ๊ะ ไอ้หมานี้!

   “คืนนี้ผมนอนด้วยได้ไหม ผมอยากกอดพ่อโทนจังเลย”

   “นอนบ้านมึงสิ”

   “มันเหงานะครับ ไม้กลัวผีด้วย” ผมมุบมิบปากอย่างหมั่นไส้ อยู่มาได้เกือบเดือนเสือกเพิ่งมาบอกว่ากลัวผี อย่างไอ้เด็กนี้มีอะไรต้องกลัวอีกเหรอไง กูว่าทั้งคนทั้งผีก็กลัวในความน่าเกรงขามของมันหมดละ ยกเว้นผมกับพ่อผมอ่ะนะ คิดจะหือสิ ฟาด ป๊าบๆ ให้ดูเลย ชิชิ

   “นะครับ ผมขอไปนอนด้วยนะ แค่คืนนี้ก็ยังดี เดี๋ยวปู่ก็กลับมาแล้ว”

   “เฮอะ นี้มึงยังกลัวพ่อกูอีกเหรอ”

   “ก็ … นิดนึงครับ แต่ยังไงผมก็ไม่มีวันยอมถอดใจจากพ่อโทนแน่”

   “สัด” ผมพึมพำออกมาเบา ๆ ก้มหน้าหลบตาคมที่จ้องผมไม่ลดละมันยิ้มก่อนจะล้มตัวลงนอนบนตักผมเหมือนเดิม

   เราพูดอะไรกันอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องอดีตตอนที่มันยังเด็ก ตอนที่ผมแยกไปเรียนและไม่ได้กลับบ้านอยู่หลายปีเพราะติดพันธ์กับการใช้ชีวิตนักศึกษา ตอนที่มันหนีไปจากอ้อมอกของผม และรอคอยเป็นเวลานาน ตลอดจนถึงปัจจุบันที่มันเล่าให้ฟังเกี่ยวกับบริษัทของพ่อมันที่เริ่มอู้ฟู่ขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำมือของมัน ไม่รู้สิ ถึงผมจะรู้ว่าอีกไม่นานไอ้ไม้อาจจะจากผมไปอีก แต่ก็ไม่รู้สึกเสียใจหรือใจหายเท่าไหร่ เพราะอย่างน้อย ผมก็รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน อย่างไร และสุขสบายแค่ไหน ก็แค่นั้นแหละที่ผมเคยต้องการจากมัน

   “หลับแล้วเหรอ” ผมกระซิบถามไอ้เด็กน้อยที่ซุกหน้าเข้าท้องผมหายใจแผ่วเบาอยู่อย่างสม่ำเสมอ ผมอดไม่ได้ที่จะวาดกอดตรงไหล่ของมันเอาไว้ กลัวว่าจะกลิ่งตกลงไป ปล่อยให้นอนอยู่อย่างงี้สักพักก็ได้ มันก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนี้เนอะ

   ผมมองขึ้นไปบนฟ้ายามบ่ายคล้อยที่นกตัวเล็กๆพากันบินกลับรัง เมกไม้เมไรธรรมชาติอันน่าหลงใหลทำให้ผมสุขใจยิ่งมีไอ้เด็กตัวยักษ์นี้อยู่ข้าง ๆ ยิ่งทำให้ผมสงบ … อยากหยุดเวลานี้ไว้จริงๆ

   มึงนี้นะ ร้ายชะมัดเลยให้ตายสิ กูไม่รู้จะทำยังไงกับตัวกูเลย รออีกหน่อยได้ไหม … เพราะตอนนี้ถึงจะมองผ่านๆอาจจะมองเห็นว่าเรานั้นไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย แต่ใจผมรู้ดี ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ไอ้ไม้ยังมีอนาคต มีแฟนดีๆ มีครอบครัวดีๆ ที่มันจะสร้างด้วยตัวของมันเอง … แต่ถึงอย่างงั้น ถึงอย่างงั้นผมก็ยังคงคิด เห็นแก่ตัวอยู่ดีละวะ หึ … ตอนนี้ไอ้เทวดา กับ ปิศาจในตัวผม มันเอาแต่พูดกอกหูเข้าข้างฝั่งตัวเองกันทั้งนั้น ไม่รีบใช่ไหมไอ้ไม้ ไม่รีบที่จะเอาคำตอบแล้วหายไปอีกใช่ไหม …

   อยู่ ๆ ไอ้ไม้ที่คิดว่าหลับไปแล้วก็ เงยขึ้นมามองผมใช้มือเอื้อมขึ้นมาและใช้นิ้วมืออันอบอุ่นนั้นลอบปาดใต้ตาของผมอย่างอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ … ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน

   “ผมอยู่ตรงนี้นะครับ”

   “เออ พูดอะไรนักหนา แล้วก็ลุกได้แล้วก็เมื่อย”

   “โธ่ คนดีของไม้” ไอ้ไม้ดื้อดึง กอดรอบเอวผมซุกอยู่กับพุงผมที่เดิม มึงเอาพุงกูกลับไปเล่นเลยไหมสาด กูรู้ว่ามันนุ่มนิ่มไปด้วยไขมันของกู ไม่แข็งปั๊กเหมือนหน้าท้องซิกแพคของมันนี้หว่า หึ!

   “ออกไป กลับได้แล้วมึงคิดว่าอยู่ในหนังเพลงรักลูกทุ่งหรือไงวะไอ้สัด ยุงเริ่มกัดกูแล้ว! เอ้ย!เดี๋ยวตก!!!”

   มันทำตัวน่ารำคาญจนผมต้องผลักหน้ามันออกไปจนหงายขึ้น ผงะเกือบตกแคร่ ผมตกใจเลยรีบตะครุบมันเอาไว้ก่อนกลัวจะเจ็บตัว แต่แล้วผมก็ถูกไอ้ไม้กอดคอผมโน้มลงจุ๊บอย่างแรงที่ปากของผมอย่างถือโอกาสและผละออกอย่างรวดเร็ว ลุกขึ้นเดินนำผมออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่วายหันมาหัวเราะคิกกับผมที่นั้นหน้าเอ๋อ หน้าแดงอยู่ด้วยความโกรธระคนกับอายฉิบหายวายปลวกอยู่ที่เดิม ไอ้เด็กห่านี้ เห็นทีต้องตบให้หัวลั่นสักทีเป็นการตอบแทนที่คุ้มค่าซะหน่อย ฮึ่ม กะล่อนเหลือร้ายจริงๆเล้ยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!

.

.

.

   “เมื่อไหร่มึงจะนอน”

   ผมร้องถามไอ้เด็กโข่งที่นั่งเล่นเกมเครื่องเก่าหน้า TV เหมือนในสมัยก่อนที่มันเคยเล่นเป็นประจำ มันนั่งหันหลังเล่นเกมเดิมที่มันเคยเล่นเอาไว้ใน ท่าทีสงบเหมือนกำลังสนุกกับสิ่งที่เคยเป็นมาในอดีต ตั้งแต่กินข้าวที่รายล้อมไปด้วยตัวชอบแซวทั้งหลายเสร็จอาบน้ำเล่นกับเจ้าสามทหารเสือสักพัก จนขึ้นมาบนห้องผมยังไม่เห็นมันทำอะไรสักอย่างนอกจากเล่นเกม ปัญญาอ่อนของมันไป หึหึ จนผมที่ปะแป้งขาวไปทั้งหน้าอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เหมือนจะเห็นภาพซ้อนไอ้เด็กตัวเล็ก ๆ แววตาแข็งกระด้างไร้ความรู้สึกของมันเลยแฮะ

   “ทำเป็นจริงจังนะ เล่นด้วยเด้!”

   ผมลงไปนั่งข้าง ๆ หยิบจอยเกมขึ้นมาจะเล่นบ้าง แต่มันเล่นแบบคนเดียวอยู่ หันมามองหน้าผมเพิ่งสังเกตุว่ามันเอาที่คาดผมสีดำอันเล็กที่ผมเคยซื้อให้มันไว้คาดตอนอ่านหนังสือสมัยเด็ก ๆ ก่อนจะยิ้มให้และยอมยื่นจอยเกมที่มันถือให้ผม … โธ่ กูไม่แย่งมึงเล่นหรอกไอ้เด็กน้อย!

           “เล่นเฮอะ กูไม่แย่งมึงเล่นหรอก หึหึ”

   ผมว่าและยีหัวมันเบา ๆ ไอ้ไม้หัวเราะก่อนจะหันไปเล่นเกมของมันต่อไป ส่วนตัวของผมเองนั่งดูสักพักก็คลานเข้ามุ้งมานอนหมอบที่ฟูกนอนของไอ้ไม้ หอมหมอนสูดกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มไปสองสามที ก่อนจะคลานขึ้นไปนอนบนที่นอนของตัวเอง ล้มตัวลงนอนมองแผ่นหลังนั้นจนเผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้

   รู้ตัวอีกดีกลิ่นตัวที่ผมคุ้นเคยก็เข้ามาใกล้ซะแล้ว แรงกอดรักจากใครบางคนที่ทำให้ผมทั้งหัวเราะและร้องไห้มานับครั้งไม่ถ้วน ในเวลานั้นผมไม่มีแรงที่จะขัดขืนด้วยซ้ำ อาจจะเป็นเพราะความง่วงหรือภวังค์อันมีความสุขก็ได้ละมั่ง เสียงกระซิบของไอ้ไม้ที่ผมฟังไม่รู้เรื่องจับใครความไม่ได้กระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบารวมไปถึงสัมผัสอันอ่อนโยนที่ซึมซาบไปทั่วใบหน้าของผมหยุดสงบนิ่งที่ริมฝีปากของผมเนินนาน ประกอบกับแรงตบเบา ๆ ที่หลังผมเหมือนกล่อมเด็กน้อยตัวแดงๆจนผมเคลิ้มหลับไปอีกครั้งในความอบอุ่นเหมือนนอนอยู่ในผ้านวมผืนใหญ่ๆที่ทั้งอบอุ่นและวางใจได้ในตลอดทั้งคืน
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH19เดินหน้าจีบพ่อ}26/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 26-04-2020 20:30:17
.

.

.

           “ลงมาหัวฟูเลยนะมึงเมื่อคืนหนักสินะ โอ้ย ไอ้เด็กเปรต ต่อยมาได้”

   ผมที่เดินหัวฟูตาปรือเพราะต้องตื่นแต่เช้ามืดไปเปิดร้าน เห็นว่าวันนี้มีเคสเช้าด้วยต้องรีบไป ถือขันน้ำเตรียมจะไปอาบน้ำอยู่ ต้องแวะต่อยเข้าหน้าท้องแข็งของอดีตนักเลงข้างวัดอย่างพี่แสงที่ตื่นมาซ้อมแต่เช้ามืด ไอ้ซ้อมน่ะไม่ขยันหรอก แต่ไอ้ขยันแซวนี้ขย๊านขยันเหลือเกินพ่อมึง

           “หนัก หนักอะไรหรือจ้ะ พี่โทนต่อยมวยเหรอ” ไอ้จุกที่เดินออกมาจากครัวกลิ่นตัวคลุ้งไปด้วยกลิ่นต้มข่าไก่นั้นเอียงคอมองผม ก่อนจะพุงเข้ามาหาให้ผมลูบหัวเล่นเหมือนหมาตัวน้อย ๆ ผมก็ทำตามที่มันชอบแบบเบลอ ๆ ไม่ทันได้สังเกตอะไรนัก พาตัวเองมาเข้าห้องน้ำหลังบ้านซะก่อน

แก๊ก

           “เฮ้ย! ไอ้ไม้!!!!!” ตาผมสว่างโผล่นขึ้นมาทันทีที่เปิดประตูเข้าห้องน้ำไปเห็นไอ้เด็กห่าแก้ผ้าหันหลังให้ผมอยู่พอหันมาเห็นแทนที่จะตกใจเสือกยิ้มซะนี้!!!!! กลอนมีล็อกทำไมมึงไม่ล็อก กูถึงว่าตื่นมาแล้วไม่เจอ!

           “จะอาบน้ำเหรอครับ รอแปปนึงนะครับจะเสร็จแล้ว” มันพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่กูตอนนี้ไม่ปกติเลยมึง!!!!!

           “อะ อะ แม่ง!!!!”

โครม!!!!!!

           ผมปิดประตูดังปั๊ง ด้วยมือที่เหลือว่างจากยกขึ้นปิดหน้า ขันเขนกูทิ้งแม่งอยู่ตรงนั้นแหละเดินกระแทกเท้าไปยืนสงบสติอารมณ์ใต้ต้นโพธิ์กลางลานบ้าน แม่ง ภาพยังติดตาผมอยู่เลย ทำบุญด้วยอะไรวะทำไมมาดแมนแฮนซั่มขนาดนั้น โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ถึงกูจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน กูก็ไม่มีรูปร่างเหมือนมึงนี้!!!!!!!!

           “ไอ้เหี้ย”

   ผมพึมพำกับตัวเองเอามือปิดหน้าก้มซบเข่าตัวเองที่ชันขึ้นมาหน้าร้อนผ่าวไปหมด ไอ้สามทหารหมาตระกูลผักก็พากันหงิง ๆ มากระแซะผมแต่ผมไม่มีเวลาสนใจเอาความรู้สึกของตัวเองให้สงบก่อนในเวลานี้ จะมีเวลาที่เหี้ยกว่านี้อีกปะวะ คืองานก็ต้องทำ ใจแม่งก็สับสนฉิบหาย!!!!

   “พี่โทนจ๋า” เสียงเล็ก ๆ ของไอ้จุกดังขึ้นผมหันไปและก็ต้องผงะน้อย ๆ เมื่อไอ้เด็กหัวจุกยิ้มหวานยิงฟันมาให้ผมเหมือนกุมารทอง

   “มีอะไร” ผมแข็งใจเงยหน้ามามองไอ้จุก ที่ถือซองจดหมายอะไรสักอย่างอยู่ในมือ

   “พรุ่งนี้จุกมีงานโรงเรียนและครูอยากให้มีผู้ปกครองไป พี่เมฆกับพี่แสงต้องไปชกในอำเภอหนูไม่กล้ารบกวนพี่ไม้ แล้วปู่ทายก็ไม่อยู่ … พี่โทนว่างไหมจ๊ะ” น้ำเสียงในช่วงประโยคหลังแผ่วเบา ก้มหน้ามองจดหมายในมือ ผมมองมันอึดใจก็ยกมือวางบนหัวมันและหยิบจดหมายในมือออกมาถือไว้ มันเงยหน้ามองหน้าผมประกายตาของมันวิ้ง ๆ เหมือนตัวการ์ตูนเลยวะ!

   “ได้ดิ เดี๋ยวกูกับไอ้ไม้ไป มึงนี้ไม่ต้องคิดน้อยอกน้อยใจเลยนะ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีว่าแต่งานโรงเรียนมึงทำไรวะ”

   “วันภาษาไทยจ้ะ ห้องหนูทำทาโกะยากิขาย”

   “วันภาษาไทย แล้วทำไมอาหารญี่ปุ่น”

   “… มุขหรอจ้ะ?” มันถามอย่างุนงง ผมหัวเราะออกมามันถึงหัวเราะตามยกมือไหว้ผมก่อนจะวิ่งเข้าไปบ้านไปซ้อมมวยต่อ

   “ห้องน้ำว่างแล้วนะครับ” ไอ้ไม้ตะโกนมาในขณะที่เดินเข้ามาหาผมในชุดเสื้อยืนกางเกงมวยและเสื้อยืนตัวเก่าของมัน ยังมีหน้ามายิ้มอีกนะไอ้ห่า!

   “ถอย”

   ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดในขณะที่แข็งใจลุกขึ้นยืนจะเดินไปแต่ไอ้ไม้แกล้งดักหน้าไว้ ยิ้มยียวนกวนประสาทอีก จากที่หัวเราะกลายเป็นยิ้มธรรมดาก่อนจะหลบทางให้เมื่อเห็นว่าผมจ้องเขม็งไม่ลดละ ฮึ! เดี๋ยวกูก็กัดหูซะหรอกไอ้เด็กเวร เล่นมากนัก!

   หลังจากนั้นผมก็มาทำงานและอยู่ที่คลินิกจนถึงบ่ายแก่ ๆ ข้าวปลายังไม่ได้กินเพราะติดพันกับเคสรักษาที่มีอยู่ ไม่ได้ให้ความสนใจกับไอ้หมาที่มานั่งเฝ้าอยู่เท่าที่ควรนัก มันพยายามให้ผมกินข้าวแต่ก็เจอผมตะคอกไปยกใหญ่ พยายามให้ผมกินขนม ผมก็ไม่พอใจเพราะหงุดหงิดมากที่ผมกำลังทำงานอยู่แต่มันก็ชอบมายุ่ง จนมันไปนั่งคอตกอยู่ที่ริมร้านเหมือนหมาหงอย ถึงอย่างงั้นมันก็ไม่หนีไปไหน คุยกับผมบังคับผมไม่ได้ มันก็ไปนั่งจ้องอยู่อย่างงั้นแหละ เอาเท่าที่มันสบายใจและพอใจ

   พองานซาลง ผมก็เพิ่งได้สติ และคิดได้ว่าตัวเองงี้เด็กน้อยชะมัด แค่เห็นมันอาบน้ำเอง ผมก็ไปเปิดประตูด้วยมือของตัวเอง และผมจะไปโกธรอะไรมันวะ … แต่แหม ภาพยังติดตาอยู่เลยอะ ขนาดด้านหลัง ยังเห็นกล้ามเนื้อในทุกส่วนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อดูเต็มไม้เต็มมือไปหมดจะว่ากูอิจฉาก็ได้ หรือกูเขินเพราะกูไม่มีก็ได้ หรือเพราะความกระแดะของกูก็ได้ มันกระดากอายนี้หว่า!!!! นี้แค่ด้านหลังนะ ถ้าด้านหน้ากูคงเลือดกำดาวไหลไปถึงขาอ่อนแน่ๆ

   “ไม่มีอะไรทำหรือไงเฝ้าอยู่ได้” ผมร้องถามอย่างไม่ตรงกับในใจเท่าไหร่นัก มันยิ้มนิดๆส่ายหน้าไปมา งอนอะไรกูปะเนี้ย

   “มึงหิวไหมไปกินข้าวกัน” ผมออกปากชวน ทั้งที่ก็รู้ว่ามันซื้อกับข้าวมาเต็มไปหมด … คือกูไม่รู้จะพูดอะไรก็ก็พูดไปงั้นแหละ

   “พ่อโทนอยากกินอะไรครับ” มันถามเสียงนิ่งๆ มุมปากยกยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด ดูก็รู้ว่างอนกู

   “มึงงอนกู”

   “เปล่าครับ” มันตอบเสียงนิ่ง ในขณะที่ผมขยับเข้าไปยืนตรงหน้าแต่มันก็ไม่ทำอะไรผมเหมือนเคย นี้ไง งอนกู!!!!

   “งอน”

   “…” มันเงียบไม่ตอบโต้ผม เอาแต่มองหน้าผมนิ่งอยู่แบบนั้น ไอ้เด็กเวร เด็กน้อย!!!!!

   “มึงงอนกูที่กูตะคอกมึง” ผมว่าเสียงนิ่ง มันยกยิ้มขึ้นไม่พูดอะไร ยืนขึ้นเต็มสัดส่วนและก้มมามองผมด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง

   “ผมไม่มีสิทธิครับ เพราะผมรักพ่อโทน” มันกล่าวเสียงนิ่งก่อนจะเดินออกจากร้านไป ทิ้งให้ผมยืนกัดปากตัวเองนิ่งอยู่กับที่ … ไม่มีสิทธิอะไรของมันวะ!

   “เดี๋ยว! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่อง เป็นเด็กหรือไงเดินหนีอยู่ได้!”

   ผมวิ่งออกไปแหกปากหน้าร้าน โชคดีที่ไม่ค่อยมีคนในเวลานี้ ไอ้ไม้ที่เพิ่งสตาร์ทเครื่องมอเตอร์ไซค์ออกไป แตะเบรกหยุดชะงักหันมาขมวดคิ้วมองผมนิ่ง ผมย่นหน้าไม่พอใจเดินก้ามสามขุมเข้าไปใกล้มันอยากจะซัดผลั๊วเข้าให้ที่กบาลมันสักที แต่ไม่อยากทำกลัวมันจะเจ็บเลยได้แต่เคยจ้องมันอย่างงั้น

   “กูขอโทษ!”ผมร้องบอกออกไปแบบนั้นมันทำหน้าตกใจนิดหน่อย

   ก่อนจะเหยียดยิ้มและก้าวลงจากรถที่ค่อมอยู่วาดมือเหมือนจะมากอด แต่ผมก้าวถอยหลังจนหลังติดประตูบ้านเก่าของอาแปะร้านขายของชำที่ปิดร้านไปอยู่ในเมืองกับลูกหลานของแก ไม่ยอมเพราะกลัวมีใครจะมาเห็น มันไม่ยอมก้าวเข้ามาหาผมและท้าวแขนลงมาไว้เหนือหัวของผม ใช้ตัวเองคร่อมผมเอาไว้จนผมมองไม่เห็นด้านหลังของมัน ก้มหน้าลงมามองผมพลางเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เหมือนเคย … หายโกรธกูแล้วสินะ ง้อง่ายจัง แต่ทำกับพ่อมึงแบบนี้ไม่ดีเลยนะไอ้ไม้!!!

   “ผมไม่เคยโกรธพ่อโทนนะครับ อาจจะนอยส์บ้าง แต่รักมากกว่า”

   “นอยส์กูทำไมมึงก็รู้กูเป็นคนแบบนี้” ผมก้มหน้าพูดงุบงิบๆ มันหัวเราะก่อนจะเชยคางขึ้นให้ผมมองหน้ามัน

   “ก็เพราะแบบนี้ผมถึงรักพ่อโทนไงครับ”

    เสียงกระซิบนั้นแทบจะทำให้ผมกลั้นใจตายซะตรงนี้ … จะทำให้กูละลายไปถึงไหน จะทำให้กูมั่นใจไปถึงไหน จะทำให้กูคิดเข้าข้างและเห็นแก่ตัวไปถึงไหนไอ้ไม้ … แค่นี้กูก็จะตายให้ได้แล้วเมื่อขาดมึง ถ้าวันไหนมึงกลับไปสู่โลกของมึงอีกในขณะที่กูยังอยู่ตรงนี้ กูจะทำใจได้ยังไง

   “รักผมบ้างหรือยังครับ”

   มันกระซิบข้างหูผมด้วยเสียงอันแหบพล่าน จมูกไล่บรรจงหอมขมับจมูกพวงแก้มถึงปลายคางคลอเคลียอยู่ที่จมูกของกูไม่หนีไปไหน … จะให้กูตอบว่าอะไรไอ้ไม้ … จะให้กูตอบได้ยังไง ถ้ามึงเป็นไอ้ไม้เหมือนแต่ก่อน กูคงไม่กลุ้มใจแบบนี้ แต่ตอนนี้ … มันไม่ใช่

   “กูไม่รู้” ผมเซหน้ามองไปทางอื่นสะกดกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้ มันใช้มือช้อนแก้มของผมให้หันไปมองตาของมันก่อนจะหัวเราะนิดๆ เช็ดน้ำตาที่ขอบตาให้ผมอย่างเบามือและพูดขึ้นเบาๆ

   “รอได้ครับ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ไอ้ไม้ก็จะรอ” ผมไม่ตอบอะไรอีก เพียงปล่อยให้ตัวเองที่เหน็ดเหนื่อยจากทุกอย่างตกอยู่ในอ้อมกอดของไอ้เด็กคนนี้และอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตราบนานเท่านาน …

   

   อารมณ์สาวน้อยของกูมันพอจะทำให้มุ้งมิ้งบ้างไหมน่ะ …





==================

จีบกันๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH19เดินหน้าจีบพ่อ}26/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 26-04-2020 23:53:04
 :hao5: :hao5: :hao5: ได้ๆกันไปเลยยย
รอกันมาตั้งนาน  :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH19เดินหน้าจีบพ่อ}26/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 27-04-2020 02:45:17
อย่าเล่นตัวนานนักนะพ่อโทน เดี๋ยวจะแก่ไปซะก่อนนะ :m20:
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{พี่ป๊อกXน้องจุก 1}27/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 27-04-2020 20:26:26
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

{พี่ป๊อกXน้องจุก 1 }


   แฮงค์สัด … นี้กูแก่จนแดกเหล้าและตื่นขึ้นมาจะเป็นจะตายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ เมื่อก่อนกินยันเช้ากูยังไม่สะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นแบบนี้มาก่อน ผมลุกขึ้นจากที่นอนที่แฉะไปด้วยอ้วก …. เออที่สำคัญไม่ใช่บ้านกูด้วยไง เมื่อคืนจำได้ลาง ๆ ว่านั่งคุยกับไอ้ไม้อยู่ ตื่นขึ้นมาอีกทีนอนซมจมกองอ้วกตัวเองแบบนี้ผมนอนมองเพดานไม้เก่าตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจลุกขึ้นสะโร่สะเร่คลานลงไปห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาด้านล่างใต้ถุนบ้าน ยังโชคดีนะที่ไอ้ไม้ขยันไปตักน้ำที่ริมธารใกล้ ๆ เอาไว้เต็มถังตลอด ว่าแต่ไอ้หมานั้นไปไหนละ

           หลังจากตักน้ำราดหัวตัวเองจนชุ่มแล้ว หูตาก็พอจะโล่งได้ยินเสียงไก่ขัน กับจริงไอป่ายามเช้าที่แสนสดใส ลืมตาได้เต็มตามองเห็นหมอกสีจางที่ปกคลุมไปทั่ว ใบไม้ที่มีหยดน้ำเกาะอยู่ที่เป็นตามธรรมชาติของมันในทุกๆเช้าของต่างจังหวัดบ้านเกิดของผมที่ผมได้ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ในทุกๆวัน หึ ว่าไปนั้น สโลไลฟ์กับกองอ้วกน่ะสิกูเนี้ย เมาแม่งทุกวัน ไอ้ห่า เดี๋ยวต้องเข้าบริษัทอีก น่าเบื่อชะมัด

   หลังจากพอได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง อ่อ ลืมแนะนำตัวไป ผมไม่ใช่พระเอกอย่างไอ้เด็กไม้นั้นและไม่ใช่นางเอกเจ้าน้ำตาอย่างไอ้โทน เป็นแค่ตัวปลากรอบ เอ้ย ประกอบเท่านั้นแหละ นี้ป๊อกเอง จำได้ไหม ป๊อกสุดหล่อ พ่อไม่รวย และตอนนี้เมาหนักมาก และเสือกอกหักเพราะผู้หญิงไม่รักนี้มันเศร้า จริงๆ

   “โห ไอ้ห่าถ้ากูตายเพราะตับแข็งนี้ไม่แปลกเลย”

    ผมบ่นกับตัวเองหลังจากเห็นสภาพบ้านที่เต็มไปด้วยกระป๋องเบียร์และขวดเหล้าที่วางกระจายอยู่ พร้อมอ้วกใกล้ที่ผมนอนแทบไม่เชื่อว่าผมคนเดียว เพราะเมื่อคืนไอ้ไม้แทบจะไม่ได้กระเดือกเหล้าเลย ดี กินเองเมาเองได้ไม่ต้องมีเพื่อนรู้งี้กูนั่งแดกอยู่บ้านดีกว่าไม่มาหาเพื่อนแดกให้เปลืองน้ำมันหรอก ว่าแต่มันไปไหนวะ

'จดจำไว้ในความทรงจำ ความบอบช้ำของตัวเราเอง ล่วงถลำกล้ำกลืนฤทธิ์ยา ปรารถนา......สรรค์สร้างสิ่งใด'

           เสียงเพลงกัญชาลุงแอด วงคาราบาว ไอดอลหนึ่งในใจชายวนิพกอย่างผม ดังขึ้นลั่นบ้าน จนต้องรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ใกล้ซากขวดริมระเบียงมากดรับสาย ยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าใครโทรมา หึ เช้า ๆ แบบนี้ไม่มีใครหรอกนอกจากไอ้เลขาส่วนตัวที่ไปทำงานตรงเวลา เหลื๊อเกิ๊นนนนนนนนนนนนนน เจ้านายมึงยังตื่นไม่เต็มตาเลยไอ้ห่าขยันเจรงงงงงงงง

           “ว่าไงไอ้ตังค์” ผมกรอกสายไปมองเหลือบรอฟังมันพูด แต่เมื่อเสียงกระหืดกระหอบเหมือนคนเหนื่อยหนักดังออกมาจากปลายสาย ทำให้ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย

           “พะ พะ พี่ พี่อยู่ไหน”

           “ปลายนามาเยี่ยมน้องมึงมีไร”

           “ขะ เข้าบริษัทด่วนพี่! เงิน เงิน เงินอย่างเยอะ!!!!!!”

           “อะไรของมึงวะ เงินเหี้ยไร”

           “งานพี่งานบูรณะวัดป่า เงินค่าแรง 5 ล้าน ไม่รวมค่าอุปกรณ์! พี่ กูจะช็อก!!!”

           “เฮ้ย!!!! ละ ล้าน …”

   โทรศัพท์กูแทบตก ผมพูดสั่งมันอีกสองสามคำก็วางและรีบออกมาจากบ้านข้าวของไม่ได้เก็บเอาไว้กูเคลียงานเสร็จค่อยให้คนมากวาดบ้านให้ไอ้ไม้ละกัน ตอนนี้เงินล้านอยู่ตรงหน้ากูแล้ว ค่าแรงที่เยอะที่สุดในอาชีพกูสัดๆ ปกติออกแบบภายใน กูจะตกแต่งพวกคอนโดหรือบ้าน แต่นี้บูรณะวัด … งานใหญ่นะ … ช็อกแปป

.

.

.

           “พี่!!!!”

           “ไหนลูกค้า”

   ลงจากรถได้ไอ้ตังค์เลขากูก็พุ่งเข้ามาทันที ตัวอ้วน ๆ ของมันเหงื่อแตกซิกยื่นเอกสารแผ่นหนึ่งให้ผมใจความไม่ได้มีอะไรมาก แค่บอกวัตถุประสงค์ว่า ให้บูรณะวัดป่าบนเขาที่ผมเคยไปเล่นบ่อย ๆ ในตอนเด็ก พร้อมทั้งบอกด้วยว่าค่าแรงไม่รวมอยู่กับค่าอุปกรณ์ ระบุอีกด้วยว่าเช็คเงินสดอยู่คู่กับจดหมาย ทันใดนั้นไอ้ตังค์ก็ยื่นแผ่นเช็คมาให้อีก ผมรับมาอ่านและพิจารณา 0 ทีละตัว …. 5 ล้านจริง ๆ ไม่มีผิดมีเพี้ยน 

   “ตัวลูกค้าล่ะ?”

   “ไม่มีครับพี่ ผมมาเปิดบริษัทคนแรก เห็นกระดาษแผ่นนี้อยู่ที่กล่องจดหมาย ปิดผนึกมาในซองสีน้ำตาลอย่างดี ไม่รู้มันคืออะไรเลยเปิดดู แม่งแจ็ตพอตเลยพี่!”

   “เรียกประชุมผู้รับเหมา ให้ผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์ด้านการบูรณะวัดด้วย ย้ำ ชำนาญและมีประสบการณ์ เดี๋ยวอีก 3 ชั่วโมงกูมา ” ผมว่าและกระโดดขึ้นรถต่อทันที ไอ้ตังค์รับคำผม

   ส่วนตัวผมเองอยากจะขึ้นไปบนวัดป่าดูสถานที่ที่ระบุแจ้งความจำนงเอาไว้ให้ไวที่สุด เพราะอะไรเศรษฐีใจดีปริศนาคนนี้ถึงอยากที่จะบูรณะวัดที่ไม่มีชื่อแบบนั้น จะต้องมีอะไรที่พิเศษแน่ ๆ ตัวผมเองก็ไม่ได้ขึ้นไปไหว้หลวงตาท่าน 7-8 ปีแล้วมั้ง ไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านจะเป็นยังไงบ้าง นึกและก็คิดถึงสมัยก่อน ที่ผมยังไม่มาภาระอะไรให้หนักใจ วิ่งเล่นขับจักรยานขึ้นไปบนเขาไปกับพวกไอ้โทน หึ รู้สึกดีจริง ๆ ที่มีคนใจดีเห็นค่าวัดป่าอารามที่เหมือนจะร้างนั้น ระดับผมแล้วไม่ต้องกลัว ผมจะทำให้มากกว่าค่าจ้างซะอีก คิดอยู่เหมือนกันถ้ามีโอกาสจะทำ แต่เงินและบุญของผมเห็นจะไม่ถึงละนะ

   ผมขับรถเข้ามาจอดเทียบท่าที่ลานกว้างของวัด มองไปรอบๆ สำรวจไปทั่วและนึกครึ้มใจยิ้มออกมานิดๆ ไม่เปลี่ยนไปจริง ๆ ขนาดที่เกือบ 9 โมงแบบนี้ แต่วัดยังคงมืดครึ้มเหมือนเวลา 6 โมงเช้า เพราะอยู่สูงบนเขาและต้นไม้ยังขึ้นปกคลุม จนทึบไปหมด แต่ก็เป็นสถานที่อันสงบสุข ภายในวัดมีสิ่งที่ยืนยันว่าเป็นวัดอยู่เพียงหนึ่งเดียว คือโบสถ์ที่สร้างจากปูน สีหลุดร่อนจนเห็นเนื้อสีแดงของอิฐด้านใน สูงเทียมยอดไม้ที่ตระหง่านอยู่ใกล้ๆ

   มองไปก็ไม่เห็นมีเด็กวัดหรือพระสักองค์หวังว่าจะยังไม่ร้างหรอกนะ ยังไม่ทันที่จะตัดสินใจอะไรได้ ผมก็สังเกตเห็นไอ้เต่าตัวเล็ก ๆ เดินออกมาจากโบสถ์ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ผมจอดรถมากนัก แต่มันไม่ได้คิดจะสนใจผมไปมากกว่ากระป๋องน้ำสีแดงที่แกว่งไกวไปมาปากก็พึมพำเพลงอะไรของมันไปเรื่อย ถ้าจำไม่ผิด ไอ้หนูหน้าเหมือนเต่านั้นจะชื่อไอ้จุกลูกน้องไอ้โทน หึ ผมหวังว่ามันโตขึ้นมาจะไม่นิสัยเหมือนลูกพี่มัน

           “ไอ้หนู” ก้าวลงไปจากรถได้โดยไม่ทันระวังก่อหญ้าเจ้าชู้จะอยู่ตรงข้างทางลงพอดี เต็มตีนเลยกู

           มันหันมามองผม หุบยิ้มหยุดร้องเพลงพลัน ตาโตใสของมันเบิ่งกว้าง ผิวสีน้ำตาลที่ค่อยไปทางเหลืองขาว ๆ กับร่างเพรียวอยู่ในเสื้อยืดสีน้ำเงินตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นสีดำที่ซ้อนอยู่ในเสื้อ รองเท้าหูหนีบ รู้อยู่ว่ามันเป็นเด็กวัดและไอ้โทนรับไปเลี้ยงให้ที่อยู่ให้วิชา แต่ไม่เห็นจะรู้ว่ามันก็ยังทำตัวเป็นเด็กวัด    “อย่าเข้ามานะ” มันชูอาวุธกระป๋องน้ำสีแดงของมันขึ้นมาตรงหน้า ทั้งที่ตัวมันแค่เอวผม … บร๊ะ ตลกแท้ อะไรไม่รู้ละผมแทบจะหลุดขำออกมากับท่าทีมัน อยากรู้เหมือนกันถ้าผมแกล้งตลึงตาใส่ ไอ้เต่านี้จะเป็นยังไงแต่พอมันเห็นผมถลึงตาใส่ไม่ถึง 3 วินาที ก็สะดุ้งถอยหลังก่อนจะออกตัววิ่งหายไปในซอกกำแพงโบสถ์

           “เฮ้ย! มึงจะไปไหนวะ  กูจะถามหลวงตาอยู่ไหม อะไรของมันวะ ” ดูเอาเถอะ เห็นกูเป็นยักษ์ไปได้ เฮ้อ … ไอ้ห่าหญ้าเจ้าชู้นี้ก็น่ารำคาญชะมัด บ่นไปก็กระดกยาแก้แฮงค์ไป มึนสัด ดีนะขับขึ้นเขามาไม่ตกเขาตาย

           “มาหาใครครับ” เสียงแหบพร่านของชายวัยกลางคน ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง … ถ้าจำไม่ผิดนะ พี่ที่ตัวผอมแกร่นดูขี้เหล้าคนนี้คนนี้น่าจะชื่อพี่มาด

           “พี่มาดใช่ไหมครับ ผมป๊อกเอง”

           “ไอ้ป๊อก!!!! ไม่เจอกันตั้งนานหายไปไหนมาวะ” พี่มาดวิ่งมาหาผมด้วยความดีใจถามสารทุกข์สุขดิบมาเป็นชุด พลางจับเนื้อจับตัวด้วยความปิติ “โตขึ้นเยอะเลยไอ้ห่าไม่ขึ้นมาหาข้ากับหลวงตาบ้างวะ! ข้าเห็นแต่ไอ้โทนกับอาทายที่ขึ้นมาอยู่บ่อย ๆ”

           “โธ่พี่ ผมไม่ว่างเลย ว่างก็กินเหล้าแล้วก็หลับไป ฮ่าๆๆ พี่สบายดีนะ” ผมว่าอย่างติดตลก

           “ก็ตามอัตภาพละมึง หลวงตาอยู่ในโบสถ์ไปหากราบท่านสิ”

           “ว่าแต่พี่อยู่กับหลวงตาและไอ้จุกแค่นี้เหรอพี่”

           “พี่ไอ้สนกับไอ้เท่งอีก แต่มันไปทำงานในเมืองเดี๋ยวเย็น ๆ ก็กลับ”

           “อ่อ แล้วไอ้เด็กจุกนั้นมาที่นี้ทุกวันเลยเหรอ” ผมเหลือบไปเห็นไอ้เต่าที่แอบขู่ผมอยู่หลังโบสถ์ ก่อนจะหันมาถามพี่มาดที่ยืนยิ้มยิงฟันอยู่ตรงหน้า

           “มันมาทุกอาทิตย์นั้นละ มันน่ะ โชคดีอาทายเมตตามัน”

           “อ่อ พี่เดี๋ยวค่อยคุยกัน ผมขอไปคุยธุระกับหลวงตาก่อน”

           “เออ ไปเถอะ” ทักทายพี่มาดเสร็จ ผมเสี่ยงออกมาหันหน้าเดินเข้าโบสถ์โดยมีไอ้เต่ามองตามอยู่ไม่เลิก … คือ แม่งเหมือนมีจูออนตามติด ฮ่าๆๆๆ เฮ้อ เอาที่สบายใจนะไอ้เต่า

           “นมัสการครับหลวงตา” ผมที่กำลังถอดรองเท้าอยู่หน้าหน้าประตูโบสถ์กล่าวขึ้นทันทีที่เข้าไปยังไม่ทันเห็นท่านเลยด้วยซ้ำ

           “โยม โยมป๊อกสินะ เป็นไงมาไงละนั้น เข้ามาๆ”

   ผมที่ถอดรองเท้าเสร็จพอดีเงยหน้ามองท่านหลวงตาที่นั่งอยู่บนอาสนะสีเหลืองโทรม ๆ แขนข้างหนึ่งเท้าอยู่ที่หมอนอิงข้างกายมีตะกร้าหมากวางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะยกมือไหว้ท่านอย่างนอบน้อมก่อนจะคุกเข่าลงคลานเข้าไปหาท่านยังไม่ทันที่จะพิจารณาภายในโบสถ์สักเท่าไหร่ แต่ดูคร่าว ๆ สิ่งที่ยืนยันได้ดีว่าที่แห่งนี้ยังเป็นวัดอยู่ก็คือ พระพุธรรูปสร้างด้วยปูนสีขาวที่ลอกจนเห็นสีดำของปูนภายในองค์ใหญ่สูงเกือบติดเพดานของโบสถ์ตรงหน้า

   “หลวงตาสบายดีนะครับ”

   “เออ ก็ตามอัตภาพแหละโยม เป็นไง มาไง ไม่เจอกันตั้งนาน” ท่านเหลือบข้างหลังผมพลางกวัดมือเรียก ใครสักคน ก่อนเอ่ยทักด้วยเสียงแหบพล่าน“เจ้าจุก! อย่ามัวแต่ไปยืนแอบอยู่ตรงนั้น ไปยกน้ำยกท่ามาให้โยมพี่เขาเข้าสิ”

   “จ้า”

   เสียงใส ๆ นั้นดังขึ้นหงอ จนผมต้องเหลือบไปมอง ไอ้เด็กน้อยที่ยืนแอบอยู่หลังประตูโบสถ์และกำลังเดินเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมผ่านผมไป และก้มลงคลานเข่าไปด้านหลังหลวงตา เปิดกระติกและใช้ขันตักน้ำที่ผมคาดว่าจะบรรจุน้ำแข็งและน้ำเย็น ๆ เอาไว้เต็มที่น่าชื่นใจ ก่อนจะคลานกลับมายื่นให้ผมโดยไม่สบตา

    “นี้จ้ะ”

   “เป็นผู้ชายทำไมพูดจ๊ะจ๋า” ผมกระซิบถามในขณะที่เจ้าจุกก้มมาใกล้จนได้กลิ่นแชมพูอ่อน ๆ จากตัวมัน กลิ่นเดียวกับไอ้โทนนั้นแหละ ก็มันอยู่บ้านเดียวกันนี้หว่า

   “…” มันไม่ตอบแต่เหลือบขึ้นมองและก้มลงไปอีก เหมือนจะด่าผมอยู่ในใจและคลานหนีออกไปนั่งขัดสมาธิอยู่ข้าง ๆ หลวงตา

   “ดื่มน้ำดื่มท่าเสียก่อนแล้วค่อยพูดจากัน โยมดูเพลียนะ เสพสุราเมรัยให้มันน้อย ๆ หน่อยสิ หึหึ”

   “หึหึ ครับหลวงตา” ผมหัวเราะรับมุขท่านก่อนจะยกน้ำเย็นขึ้นดื่มแก้กระหาย ชื่นใจดีแท้ เหมือนความมึนเมาหายไปเป็นปลิดทิ้งเลยให้ตายสิ

   “ว่าอย่างไรโยมป๊อก ลมอะไรหอบหิ้วมาถึงที่นี้”

   “ผมขึ้นมาหลวงตาก่อนจะลงไปประชุมต่อครับ เอาเป็นว่าถ้ามีเวลาผมจะขึ้นมานมัสการใหม่นะครับ”

   “เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรกัน รีบร้อนขนาดนี้”

   “ผมได้รับคำสั่งจากลูกค้าให้ทำการบูรณะวัดป่าแห่งนี้ครับหลวงตา ในวงเงินที่ไม่จำกัด ผมขึ้นมากราบขออนุญาตหลวงตาซะก่อนที่จะการอะไรลงไป ถ้าอย่างไรเดี๋ยวผมจะให้ผู้รับเหมาขึ้นมานำเสนอแบบแปลนการบูรณะวัดให้ไวที่สุดนะครับ”

   “… โยม … วัดแห่งนี้น่ะนะ เก่าแก่และมีสิ่งก่อสร้างที่ผุกร่อนมาก อาตมาไม่อยากให้ต้องเป็นอันตราย ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง”

   “หลวงตาจ๊ะ แต่ …”

   “ไม่ใช่เรื่องของเด็กนะเจ้าจุก ถ้าเอ็งว่างก็ออกไปช่วยไอ้มาดกวาดลานวัดซะสิ”

   “ก็ได้จ้ะ …” หง่อยเลยไอ้เต่า อย่าว่าแต่มันหง่อยเลย กูก็หง่อย           

   ผมมองเจ้าจุกที่คลานคอตกผ่านไป ก่อนจะหันกลับมามองหลวงตาที่กำลังยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบ เปลี่ยนท่านั่งเป็นพับเพียบ ยกมือขึ้นพนมไว้กลางอก ก้มลงกราบและเงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างนอบน้อม

   “หลวงตาครับ ผมขอพูดในฐานะเด็กที่เคยเข้ามาวิ่งเล่นในนี้ตั้งแต่เด็กได้ไหมครับ … ในตอนนั้นวัดแห่งนี้ก็เก่ามากแล้ว” ผมถอนหายใจอย่างอ่อนใจเมื่อนึกถึงความเด็กที่ยังเยาว์วัย อยู่เป็นแก๊งเป็นก๊วน ขับจักยาน ขึ้นเขาลงห้วยได้ดี

   “ผมก็จำได้ดี ว่าพวกผมเคยไปวิ่งไปชนกุฏิหลวงตาจนเสาแทบพัง ดีที่ตอนนั้นไม้มันยังไม่ผุมาก แต่ในตอนนี้ ไม้ตรงนั้นถูกซ่อมไว้เพียงลวก ๆ และมันก็ไม่ปลอดภัยเอาซะเลยครับ ไม่เพียงแค่วัดแห่งนี้ที่ผมอยากจะบูรณะ แต่ผมต้องการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับทุกชีวิตในนี้ด้วย ถ้าหลวงตาเป็นอะไรไป เจ้าจุก พี่มาด พี่สิน และญาติโยมที่เคารพรักในตัวหลวงตา เขาคงจะเสียใจมาก แบบนั้นหลวงตาจะไม่บาปหรือครับ แล้วถ้าเกิดวัดแห่งนี้บูรณะเสร็จสิ้น จะมีคนที่ผ่านไปผ่านมาเข้ามากราบไหว้สะการะ วัดป่าเก่าแก่แห่งนี้ที่วัตถุประสงค์ตั้งแต่แรกคือเผยแพร่ศาสนา แล้วจะมีประโยชน์อะไรละครับถ้าวัดแห่งนี้ผุพังลงไปตามที่หลวงตาว่า ไว้ใจผมเถอะนะครับ ไว้ใจไอ้ป๊อกเด็กบรรลัย ที่หลวงตาเคยวิ่งเอาไม้หวดตอนเด็ก ๆ เถอะนะครับ”

   “… หึ เอ็งนี้ช่างพูดช่างเจรจาจริงเชียว ไอ้ป๊อก ก็จริงของเอ็งหลวงตาจะไม่ขัดศรัทธาเอ็งอีก แต่ข้าละสงสัยจริง ๆ ใครกันนะที่มาเห็นค่าของวัดป่าอันห่างไกลเช่นนี้” สีหน้าของหลวงตาที่พูดยังคงนิ่งสงบสำรวมอยู่ในทีของพระภิกษุแก่พรรษาผู้ปฎิบัติธรรม

   “นั้นสินะครับ … ผมก็อยากรู้” ประโยคหลังผมพูดกับตัวเอง ใช้เวลาอีกไม่นานในการคุยรายละเอียดกับหลวงตา ผมก็ปลีกตัวออกมาเพราะต้องกลับไปฟังผลการประชุมที่บริษัทและนัดกับหลวงตาเอาไว้ในวัดพรุ่งนี้เพื่อคุยรายละเอียดอีกครั้ง

   ในขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ ตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าจุกที่กำลังนั่งยอง ๆ ใส่โซ่จักรยานคันเล็กที่หลุดออกจากรางของโซ่ ผมยืนดูมันสักพักว่าจะทำได้ไหม พอมันทำได้ดูเข้าท่าแล้ว ก็ใช้มือยันที่ถีบให้ล้อหลังหมุนเล่นซะอย่างงั้น รอยยิ้มซน ๆ กับดวงตาที่เป็นประกายเปล่งออกมา คือ ดีใจกับเรื่องแค่นี้เนี้ยนะ เป็นเด็กที่แปลกมาก ๆ แหนะยังจะเอามือไปลูบหน้าตัวเองอีก มันก็เปื้อนอะดิ โง่จริง ๆ สมแล้วที่เป็นเต่า

   “หน้าดำแล้วไอ้เต่า”

   พอได้ยินเสียงผมมันก็เงยขึ้นมองอย่างตื่นตระหนก และรีบขึ้นคร่อมจักรยานทำท่าจะปั่นหนีผม แต่โชคร้ายที่โซ่เจ้ากรรม ขาดเสียงดังแป๊ะ รถก็ล้มทับอยู่ดังแอ๊ก กูจะหัวเราะก็ไม่ได้ เลยต้องรีบวิ่งไปยกรถขึ้น จะเอามือไปฉุดมันขึ้นด้วย แต่มันไม่ยอมปัดมือผมทิ้งและยันตัวลุกขึ้นเอง สภาพมันตอนนี้มอมแมมเป็นเต่าตกถังโคลนเลย หึ

   “ซ่าดีนัก เจ็บตรงไหนปะเนี้ย”

   “ไม่ อย่าจับหนูนะ” มันทำท่าจะปัดมือผมทิ้ง แต่ผมไม่สนใจฉุดแขนมันยืนขึ้น ยังจำเป็นอยู่ไหมแขนมึงเนี้ย

   “เอ้ย เป็นผู้ชายแทนตัวเองให้มันดี ๆ ผม ไม่ใช่หนู ครับไม่ใช่จ้ะ ไหนพูดสิ”

“ไม่พูด หนูจะแทนตัวว่าหนูและใช้คำว่าจ้ะต่อ” มันเถียง! มันเถียงได้น่าตบหัวให้ลั่นติดมือมาก!

   “ดื้อจังวะ” ผมสบถ ออกมาอย่างยิ้ม ๆ แต่ดูเหมือนว่ามันจะคิดว่าผมจริงจัง อึ้งไปเสี้ยววินาทีและก็ปั้นหน้าขึง ผมไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันทำอะไร แต่กลับรู้สึกจุกที่ท้องน้อยและขาก็ไม่มีแรงลงไปนั่งกับพื้น โอ้ ไอ้สัด กูลืมไปมันเป็นมวย

   “สมหน้าหน้า หนูไม่ได้อ่อนแอนะถ้ามีใครคิดจะรังแกลุงทายก็บอกแล้วว่าให้ต่อยได้เลย ฮิฮิ ”ว่าแล้วมันก็ยกจักรยานไถแก๊ก ๆ เดินลิ่วหายไปหลังกุฏิ นี้กูถูกไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมล้มหรือวะเนี้ย รู้ถึงไหนกูอายเขาไปถึงนั้น สัดเอ้ย!!!

   “ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้เต่า เจอที่ไหนกูจะจับฆ่าแม่ง!”

.

.

.

           “ไอ้จุกเนี้ยนะทำร้ายมึง”

   ผมนั่งเคาะโต๊ะเคาน์เตอร์โรงพยาบาลสัตว์ของไอ้โทน ความจริงก็ไม่อยากจะฟ้องหรอกนะ แต่เด็กมันกิริยาไม่ดีก็ต้องแจ้งผู้ปกครอง หึ เจตนาของกูแค่อยากทุบไอ้เด็กนี้สักหนึ่งที หึหึ จะว่ารังแกเด็กก็ได้แต่อย่างไอ้ป๊อก ฆ่าได้หยามไม่ได้ ไม่งั้นประชุมเสร็จกูไม่รีบมาหาผู้ปกครองมันอย่างงี้หรอก แค้นนัก เล่นเอากูประชุมไม่เป็นสุขเลย หน้าตากวน ๆ ของไอ้เต่าตามหลอกหลอนกูตลอด เจอมันก็บ่อยนะที่บ้านไอ้โทนแต่ไม่มีโอกาสได้คุยกับมัน พอคุยกันครั้งแรกก็ต่อยกูละ ฮึ้ม

           “มึงไปทำอะไรมันล่ะ มันถึงต่อยเอา และมึงขึ้นไปบนวัดป่าทำไมวะ กราบหลวงตาหรอ” ไอ้โทนพูดอย่างไม่ได้สนใจมากนัก รับบิลใบเสร็จจากเกื้อที่ยื่นมาให้ใส่แฟ้มอย่างเป็นระเบียบ เพื่อนไอ้โทนพอเห็นหน้าผม ก็หัวเราะคิกออกมาก่อนจะเดินมานั่งเท้าคางมองผมสลับกับไอ้โทนอย่างอยากรู้อยากเห็น เชี้ย แม่งสวยจังวะ เมียลุงทาย

           “ทำห่าอะไร กูแค่บอกมันว่า เป็นผู้ชายให้พูดครับไม่ใช่จ๊ะจ้า มึงสอนเด็กมันยังไงแทนตัวเองว่าหนูอยู่ได้ ปัญญาอ่อน”

           “อ้าวไอ้ห่านี้ เดี๋ยวกูก็ซ้ำซะนี้ อยู่ดีไม่ว่าดี” มันเงยหน้ามองผมเหลือบตาอย่างเอาเรื่อง ทำเอาผมชะงักถอยหลังนิด ๆ สัดเอ้ย กูเพื่อนมึงนะ!

           “นี้ไง มึงเป็นแบบนี้ไง เด็กมันเลยทำตาม”

           “ก็มึงสู้เด็กมันไม่ได้ไง แดกเข้าไปสิเหล้าอะ ร่างกายมึงไม่มีแรงก็เพราะไอ้เหล้านี้แหละ” นั้นไงครับไอ้บ่าวช่างเสือกเทศนากูละ

           “จริง ๆ ลุงทายก็กินเหล้าเยอะ แต่เดี๋ยวนี้ออกกำลังบ่อยเลยเพลาเรื่องเหล้าไปได้บ้าง”

           “ฟิตปั๋งเลยใช่ม๊า!”

           “ใช่ ๆ … โทน!” ผมหัวเราะออกมาเมื่อคนสวยเกื้อที่นิ่งคิดตรองว่าไอ้โทนเล่นทะลึ่งหน้าแดงขึ้นไปถึงหู มุ้งมิ้งน่ารักไปอี๊กกก กกกกก กกกก

           “ว่าแต่ เมื่อคืนไอ้ไม้ไปนอนไหนมึงพอรู้ปะ” จากนั้นทั้งร้านก็เงียบเสียงหัวเราะลง ไอ้โทนนิ่งอึ้งในคำถามของผม หันมองหน้าผมทีไอ้เกื้อที ก่อนจะก้มลงมองมือตัวเอง … นั้นแหนะ ไอ้ห่านี้มีพิรุธ

           “หึ ผัวเมียกันแล้วสิ”

           “พ่องงงงงงงงงงง ปากมึงงี้ไงผู้หญิงถึงไม่เอามึงอะ”

           “จ้า ๆ ก็ดีกว่ามีผัวแล้วกัน”

   ผมด่าชิ้งมันทั้งสองคน มันหน้าเหวอ ไอ้เกื้อก้มหน้าแดงเดินหนีแต่ไอ้โทนหน้าแดงแต่เสือกวิ่งไปหยิบไม้กวาดไล่ตีผมจนต้องวิ่งหนีให้วุ่น สุดท้ายก็หนีออกมาขึ้นรถ ไอ้โทนมาเคาะกระจกกูดังผลักๆ แหนะ ตัวก็แค่นี้ทำเป็นซ่า แน่จริงมึงทะลุเข้ามาให้ได้สิไอ้เตี้ย!

           ผมหัวเราะแกล้งทำหน้าล้อเลียนมัน ก่อนจะเปิดกระจกให้คืบหนึ่ง ได้ยินเสียงมันตะโกนแง้ว ๆ จับใจความได้แค่ประโยคสองประโยคและกูก็หัวเราะออกมาก๊ากใหญ่เพราะสิ่งที่มันพูดเพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ มันบอกกับกูว่า

           “ขอให้มึงมีเมียเป็นผู้ชายและทำให้มึงหลงจนอกแตกตายไปเลยไอ้สาดดดดดดดดดดดดดดด”

   ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับมันอีก เลยขับรถออกมา ท่ามกลางเสียงสาปแช่งของไอ้ห่าโทน แม่ง กูแค่พูดความจริงไม่เห็นต้องด่ากันหน้าดำหน้าแดงขนาดนั้น สงสัยจะเขิน หึหึ เอาเถอะ ผมก็แค่หยอกมันเล่นไปงั้นแหละ แค่มันมีชีวิตที่ดีและมีความสุขกับสิ่งที่มันรอคอย ผมที่เป็นเพื่อนทำไมจะไม่ดีใจด้วยวะปากกูก็แบบนี้ละ พวกมึงควรชิน เพราะกูจะไม่ปรับตัวเข้าหาใครถ้ากูไม่อยาก

   จะว่าไปกูสมควรไปเอาเหล้าเกรดเอบ่งนานเกือบ 20 ปี ของพ่อกูคืนจากบ้านไอ้ห่าไม้นะ เมื่อคืนกูกะจะเอาไปกินแต่เสือกเมาหลับไปก่อนเอาเถอะ ไหน ๆ ก็ว่างไม่มีอะไรทำละ เผื่อจะเอามากระดกเล่นให้หายแค้นไอ้เต่าได้บ้าง เด็กเหี้ยอะไรทำกูโมโหได้ทั้งวัน

หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{พี่ป๊อกXน้องจุก 1}27/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 27-04-2020 20:27:16

   กูมาถึงบ้านไอ้ไม้ที่อยู่ปลายนา ในเวลาบ่ายแก่แดดใกล้จะหมดแล้ว ก่อนลงจากรถไม่ลืมที่จะหยิบถุงขยะลงไปเก็บซากที่กูทำทิ้งเอาไว้เมื่อคืนด้วย ผมเดินดุ่ม ๆ ลงไปที่คันนาและตรงไปที่บ้านที่ปลูกเดียวเอาไว้ ก่อนจะชะงักเพราะได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังเอาขวดกระทบกันเบา ๆ มีคนมาเก็บกวาดแล้วเหรอวะ คงเป็นไอ้ไม้ละมั้ง

   “เฮ้ย โทษที กูรีบเลยลืมเก็บ… ไอ้เต่า! ยะอย่า!!!!”

เคร้ง!!!!

           หมดกัน เหล้า 20 ปีของพ่อกู !!!!!!!! ผมรีบถลาไปนั่งมองซากขวดเหล้าที่แตกละเอียดเพราะไอ้เด็กห่านั้นเผลอทำหลุดมือเพราะตกใจผม อ๊ากกกกกกกกก กูเกลียดเด็ก โดนเฉพาะเด็กที่มันทำเหล้าของกูแตก!!!!

           “ขะ ขอโทษ นะ หนูแค่ตกใจ หนูขอโทษ” ไอ้จุกพยายามเข้ามาช่วยผมเก็บเศษแก้ว แต่พอเจอกูทำตาขวางใส่มันก็ถลาถอยหลังกรูไปยืนชิดริมกำแพงไม้

           “โถ่ ลูกพ่อ” ผมอุทานออกมาอย่างเสียดาย หยิบชิ้นท้ายขวดที่ยังพอมีน้ำหลงเหลืออยู่ขึ้นมาจ่อที่ปากด้วยความเสียดาย อยากจะชิมมันสักอึกก่อนจะต้องอำลา แต่ก็ต้องชะงักอีกรอบเมื่อไอ้จุกพูดห้ามเอาไว้ก่อน

           “เดี๋ยวแก้มบาดนะจ๊ะ” ผมจิ๊ปาก ก่อนจะกระดกพรวดเข้าไป และก็ต้องสะดุ้งเมื่อสัมผัสกลิ่นคาวเลือดแปลก ๆ ได้ ไอ้สาดดดดดดด นี้กูเป็นอะไร แก้วบาดปากกูเฉยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

           “หนูบอกแล้ว”

           “รำคาญโว้ย ! ” ผมตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะวิ่งมาถมน้ำลายหวังให้เลือดมันหยุดไหล แม่งบาดตรงปากล่างด้านในกูด้วย เจ็บฉิบหาย โอ้ยยยยยยยยยยย วันซวยอะไรของกูวะเนี้ย!!!!!

           “จะ จุกขอโทษนะจ๊ะ … เอ่อ ครับ” เสียงเล็กดังขึ้นมาจากด้านหลังประโยคหลังเหมือนฝืน ๆ ผมหันไปมองหน้ามันก่อนที่อารมณ์ที่โกรธจะเย็นลงได้บ้างเพราะหน้าตาที่ไร้เดียงสาแต่เสือกดื้อของมันกำลังก้มสำนึกผิดอยู่ตรงหน้า แม่งเลือดกูยังไม่หยุดไหลเล้ยยยยยยยยยย

           “พ่อโทนเคยสอนว่าถ้าเป็นแผลในปากอย่าถมน้ำลายให้กลืนเข้าไปจ้ะ มันจะหายไวกว่า เดี๋ยวจุกทำแผลให้นะ”

           “ไม่ต้อง” กูพูดและทำถ้าจะเดินหนีลงจากบ้าน แม่งกูกะจะมาเอาเหล้าแต่เสือกโดนเด็กคนเดิมรังแกเอา นี้กูอายุเท่าไหร่แล้วมันเท่าไหร่วะเนี้ย โอ้ยยยยยยยย เป็นพ่อเป็นลูกกันได้แล้วมั้งสัด!

           “พะ พี่ป๊อกจ้า ยะ อย่าฟ้องพ่อโทนนะ จุกไม่ได้ตั้งใจ”

   เป็นอีกครั้งที่กูชะงักก้มไปมองไอ้จุกที่นั่งนวดเข่าผมอยู่อย่างเอาใจ ขณะที่กูเลือดกลบปาก! แม่งไปเรียนวิชามารมาจากไหนวะ กูถอนหายใจเฮือกใหญ่ไปนั่งที่เก้าอี้ใกล้ ๆ ชานบ้าน สงบสติอารมณ์ และพยายามกลืนเลือดกลืนน้ำลายอย่างที่มันบอก ตาก็มองมันไปด้วยอย่างไม่มีความหมาย จะโกรธก็โกรธไม่ลง ก็ดูแม่งทำหน้าดิ!

           “จะทำแผลก็มาทำ ยืนอยู่ได้”

           “จ้ะ … ครับ”

           “โว้ย จะพูดอะไรก็เรื่องของมึง มาอึกอัก ๆ อยู่ได้ รำคาญ!!! ” ผมตะคอกไปเสียงดังจนมันสะดุ้งและแอบค้อนกูนิด ๆ ด้วย ร้าย ไอ้เด็กห่านี้มันร้าย!!!!!

           “จุกทายาให้นะพี่ป๊อก” เจ้าจุกที่เดินออกมาจากการไปค้นอะไรในบ้านไอ้ไม้ หอบหิ้วเอากล่องปฐมพยาบาลขนาดพอเหมาะและเดินตรงมาที่ผม ก่อนจะวางกล่องลงและเงยขึ้นมาพูดกับกูด้วยน้ำเสียงจริงจังจนกูผงะเพราะหน้ามันใกล้กูมากจนเห็นว่าตามันโตเป็นไข่ห่านแค่ไหน

           “อะไร” ผมตั้งคำถามกับแววตามัน

           “อย่ากัดจุกนะ”

           “กูจะแดกมึงถ้ายังไม่เลิกกวนตีน” ไอ้จุกหัวเราะคิกไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะก้มลงไปหยิบเอาแอลกอฮอล์ราดลงบนสำลีและใช้นิ้วเล็ก ๆ ของมันจับปากล่างผมอ้าออกอย่างเบามือ … นี้มึงไปเรียนวิธีปฐมพยาบาลหมากับไอ้โทนมาใช้กับกูหรือเปล่าเนี้ย

           “เด็กดีนะ ไม่เจ็บนะ” นั้นไงไอ้ห่าชัดเจนเลย!!!!!!

    ผมหงุดหงิดอยู่สักพักก็นิ่งลงเพราะรู้สึกถึงความแสบเล็ก ๆ ที่ริมฝีปาก ก่อนที่ไอ้จุกจะเอายาแดงมาหยอดและเช็ดแผลเอาไว้ให้เรียบร้อย กูมองหน้ามันเพลินจนเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตัว ไม่ได้อะไรหรอก แค่มองไปงั้นมันสบายตาดี ไม่มีเครื่องสำอาง ไม่มีสิ่งเสแสร้งให้เห็นที่ในตา … มันซื่อเกินไปอย่างที่ผมไม่เคยเห็นจากมนุษย์คนไหน แม้แต่ตัวผมเอง

   “เสร็จแล้วจ้ะ จุกไปเก็บของต่อนะ เดี๋ยวพี่ไม้จะกลับมาจากซ้อมแล้ว จะว่าเอาที่จุกทำไม่เสร็จ”

   “ข้าช่วย” ผมเสนอตัว เออ ทั้ง ๆ ที่กูเลือดกลบปากนี้แหละ

   “เดี๋ยวจุกทำเอง พี่ป๊อกเป็นคนเจ็บนี้เนอะ” มันยิ้มล่า ก่อนจะเหมือนนึกอะไรออกก้มหน้าจับชายเสื้อตัวเองสำนึกผิด “ … เมื่อตอนนั้นจุกขอโทษนะที่ชกไป จุกแค่นึกว่าพี่ป๊อกจะรังแก แต่พี่ป๊อกช่วยยกจักรยานออกจากตัวหนู เพราะพี่ป๊อกเป็นคนดี หนูไม่น่าไปชกพี่เลย” ดาเมจแรงฉิบหาย …

   “เออช่างมันเหอะ แล้วนี้เอ็งจะกลับบ้านหรือไปไหนต่อ”

   “กลับบ้านจ้ะ เดี๋ยวจุกมีซ้อมมวยต่อ ลุงทายห้ามจุกโดดแล้ว”

   “เออ งั้นรีบทำให้เสร็จและเดี๋ยวข้าไปส่ง” ไอ้จุกทำหน้าฉงน ก่อนที่ผมจะออกปากไล่ให้มันเข้าไปทำต่อให้เสร็จโดยไวมันถึงเดินเข้าไปเก็บของต่อ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งรอมันอยู่ตรงที่เดิมแหละ … เออ พูดกันดี ๆ ก็เป็นนี้หว่า พูดตั้งแต่นี้ตั้งแต่แรก กูก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว หึ

.

.

.

   

   “ตัวมึงเล็กแค่นี้แดกข้าวบ้างไหมเนี้ย”

   ผมถามขึ้นในขณะที่ขับรถออกมาจากบ้านไอ้ไม้ในเวลาใกล้พลบค่ำ ซ้ำต้องเสียแรงยกจักรยานของไอ้เด็กเต่าขึ้นบนกระบะท้ายอีกต่างหาก แม่งแกล้งกูตลอดอะ ใครบอกเด็กไร้เดียงสา มันหาวิธีแกล้งคนอย่างกูได้ตลอดแหละทั้งทางตรงและทางอ้อม ไอ้ห่าเต่าเด็ก

   “… หนูกินเยอะกว่าพี่อีก” มันตอบขึ้นเบา ๆ แต่ไม่ได้สนใจกูไปมากกว่าตุ๊กตาเต่าล้มลุกที่วางอยู่หน้าคอนโซนรถ นั้นของเมียเก่าคนที่ 3 ของกูให้ไว้ก่อนทิ้งกูเพราะกูไม่ยอมแต่งงาน

   “ถึงว่าหน้าเป็นเต่า”

   “พี่ป๊อกก็เหมือนป๊อกกี้หมาที่โรงเรียนเหมือนกัน”

   “เดี๋ยวเถอะ!”

   “อย่ารังแกจุกนะ จุกฟ้องพี่โทนแน่!”

   “คิดว่ากูกลัวเหรอ”

   “ก็อย่าทำจุกสิ!”

   “กวนตีนกูก่อน”

   “จุกไม่ได้กวนตีน ก็พี่ป๊อกว่าจุกเป็นเต่าก่อน”

   “มึงเลยว่ากูเป็นหมางั้นดิ”

   “จุกไม่ได้ว่า จุกบอกว่าเหมือน”

   “โอ้ยยยยยยยยยย ยยยยยยยยย ยยยยยยยยยยย !!!! กูจะบ้าตาย!”

   “อย่าตายนะ จุกขอลงก่อน จุกไม่อยากตาย” กูหันไปทำตาขวางใส่ไอ้เด็กห่าที่จับสายคาดนิรภัยไว้แน่น จนกูเผลอหัวเราะออกมาและอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปยีหัวฟู ๆ มันเล่น หึหึ มันทำให้กูโมโหและก็ทำให้กูหัวเราะได้ในเวลาเดียวกันจริงๆ ไอ้เด็กเต่าเอ้ย!

   “พี่ป๊อกไม่ลงมากินข้าวเหรอ เย็นแล้วนะคงเวลาข้าวสุกพอดี”

   ไอ้จุกหันมาพูดตอนที่ถึงหน้าบ้านมันแล้ว และกูก็ทำตัวเป็นคนดียกจักรยานลงจากท้ายให้มันแล้วด้วย ผมส่ายหัว และไล่มันเข้าไปในบ้าน ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้สนใจ เดินอ้อมมาขึ้นรถฝังคนขับ หวังที่จะกลับไปทำงานต่อที่บ้านตัวเอง 

   

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

   เสียงเคาะกระจกฝั่งคนนั่งดังขึ้นผมที่กำลังจะออกรถหันไปมองก็เห็นมือเล็ก ๆ กำลังเคาะอยู่ที่ริมกระจกเกือบจะไม่เห็นอยู่แล้ว นี้ตัวมันเตี้ยขนาดนั้นเลยเหรอวะไอ้เต่าเนี้ย อดสงสารมันไม่ได้เลยต้องเปิดกระจกลงไปสุด ก่อนที่มือเล็กคู่เดิมจะจับอย่างมั่นคง แต่ออกแรงโยนตัวเองขึ้นมา หน้าแป้นแล้นของมันปรากฏอยู่ที่ตรงนั้น … มึงจะยิ้มให้โลกบันทึกไว้เลยหรือไงหน้าแป้นซะไอ้เต่าเอ้ย!

   “มีไร มาโหนรถกูแบบนี้เป็นรอยกูคิดเงินนะ”

   “ไม่เป็นรอยหรอกจ้ะ จุกแค่อยากจะขอบคุณเฉย ๆ ขอบคุณนะจ๊ะ”

   “เออ … อะนี้เอาไป”

   ผมรับคำก่อนจะเอื้อมตัวไปหยิบไอ้ตุ๊กตาเต่าที่มันจ้องตาเป็นมันโยนให้ มันปล่อยมือรับเอาไว้ ก่อนที่หน้าแป้นแล้นของมันจะหายไปจากสายตาผม ผมอดยิ้มกับท่าทีตลก ๆ ของมันและขับรถจากออกมา มองกระจกหลังเห็นไอ้จุกกำลังเข็นรถเข้าบ้านโบกมือให้ในมืออีกข้างถือตุ๊กตาเต่าเอาไว้ไม่ห่าง หึ … ดูเอาเถอะ เด็กมันก็ยังเป็นเด็กละนะ

   

   แล้วนี้กูเป็นอะไร ยิ้มอยู่ได้ หึหึ แต่มันตลกชะมัดหน้าตาของไอ้เต่าน่ะ





================================

สมพรปากพ่อโทนนะคะ ฮ่าๆๆๆๆๆ บวกลบคูณหาร อิพี่อายุห่างน้อง รอบนิดๆ อะคะ

1 คอมเม้นท์ 1 กำลังใจ ไม่มีแรงมาหลายวันแล้ว แงงงงงงงง #อากาศเปลี่ยนดูแลสุขภาพนะคะ  :hao7:

       
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{พี่ป๊อกXน้องจุก 1}27/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 28-04-2020 10:21:12
สู้ สู้ ค่ะ รออ่านอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{พี่ป๊อกXน้องจุก 1}27/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 28-04-2020 16:25:22
เราเองก็ยิ้มไปกับนายเหมือนกันละป๊อก 55 คิดถึงงงงงป๊อกจุก ได้อ่านแล้ว รอๆตอนต่อไป ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{พี่ป๊อกXน้องจุก 1}27/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 28-04-2020 17:30:26
อูยยย จำได้ว่าเคยอ่านเมื่อหลายปีมาแล้ว พ่อโทนน่ารัก
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH20 พาพ่อโทนเข้ากรุง}28/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 28-04-2020 20:56:04
พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 20 พาพ่อโทนเข้ากรุง
                                                                              

    “ไอ้จุกไปไหน”

   ผมถามหาไอ้จุกเมื่อกลับมาไม่เห็นหัวเพราะปกติจะมีไอ้ลูกกรอกวิ่งป้วนเปี้ยนกวนประสาทข้าง ๆ ตามปกตินิสัยที่ชอบเอาอกเอาใจผมเสมอ บางครั้งก็มองผมเป็นพ่อ บางทีก็เป็นพี่ ตลอดจนเป็นเพื่อนมันเลยก็มี ส่วนไอ้ไม้ที่เนียนเข้ามาในบ้านจนได้ ผมเหลือบมองไอ้หน้าหล่อที่นั่งยิ้มกะล่อนอยู่ข้าง ๆ หลังจากที่มันโดดซ้อม โดดงาน เททุกอย่างไปเฝ้าผมที่โรงพยาบาล

   “มองอะไรนักหนา” ด้วยความหมั่นไส้เลยยันคางไปหนึ่งที ไอ้ไม้หน้าหงายหัวเราะร่า ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียงกระแอมของพ่อผมที่ท้าวคางยิ้มมุมปากอยู่หน้าต่างบนบ้าน อ่อ วันนี้เมียแกไปกรุงเทพนี้หว่า ตาลุงเลยต้องหง่อยอยู่บ้าน คนเดียวที่ไอ้ไม้เกรงกลัวยิ่งกว่าใครก็คือพ่อทายนี้แหละ

   “เยอะนะมึง จะกลับไปดี ๆ หรือจะให้กูไล่”

   “ปู่ครับ ที่บ้านปลายนามีผี” มันหยุดอึดใจเพราะคงนึกได้ว่ามุขผีพ่อผมคงไม่เชื่อก่อนจะอ้อนวอนต่อ “ผมขอนอนที่นี้นะครับ”

   “หึ อยู่มาได้ตั้งนาน วันนี้เสือกมีผีวันนี้ อย่าให้กูต้องพูดซ้ำนะไอ้ไม้”

   “เอาน่ะพ่อ ใจเย็น ๆ … ให้มันกินข้าวกินปลาก่อนแล้วค่อยกลับก็ได้” ผมรีบประนีประนอมเพราะยังไงก็ครอบครัวเดียวกันละนะ

   ตาลุงขี้หวงได้ทีก็ยักไหล่หันหลังเดินเข้าห้องไป ส่วนไอ้ไม้ก็หันมายิ้มกว้างให้ผมอย่างไร้เดียงสา หึ ดูยิ้มเข้าเถอะ น่ารักเหมือนตอนเด็ก ๆ ไม่มีผิด จะต่างก็ตรงที่ตัวโตเป็นควายและคิดไม่ซื่อกับพ่อมันนี้แหละ

   “หน้าฟินเชียวนะมึง” ผมปัดมือของไอ้พี่แสงที่โยกหัวผมอยู่นั้นแหละ คนนะไม่ใช่ตุ๊กตาล้มลุก แซวจบก็เดินไปช่วยพี่เมฆยกกระสอบทรายเก็บเข้าห้องเก็บของ เตรียมพักผ่อนเพราะในวันพรุ่งนี้ทั้งคู่ต้องไปขึ้นสังเวียนมวยกระชับมิตรระหว่างค่ายกันในอำเภอ

   “ไม่มีใครเห็นไอ้จุกเลยเหรอ” ผมบ่นกับตัวเอง ไอ้ไม้ที่เดินออกมาพร้อมขันน้ำที่มันแอบไปเด็ดดอกมะลิมาลอยไว้ สองสามดอกดูชื่นใจ ยื่นมาให้ผมตรงหน้า ผมก็ไม่ปฏิเสธเพราะคอแห้งเป็นผงอยู่นานแล้ว

   “ป่านนี้เจ้าจุกคงไปวิ่งเล่นอยู่ที่ไหน อีกสักพักคงกลับมาละมั่งครับ นี้แค่บ่าย 4 โมงเอง ถ้าเกิด 6 โมงเจ้าจุกยังไม่กลับเดี๋ยวไม้ไปตามให้นะครับ”

   “อื้อ จะคุยเรื่อง วันภาษาไทยของเจ้าจุกพรุ่งนี้น่ะสิ เห็นว่าให้ผู้ปกครองไป”

   “พรุ่งนี้พ่อโทนไปกรุงเทพไม่ใช่เหรอครับ เห็นว่ามีประชุมสัตวแพทย์ทั่วประเทศด่วนนี้ครับ”

   “นั้นน่ะสิ ใครจะไปให้เจ้าจุกละ ในเมื่อพ่อพาพี่แสงพี่เมฆไปชก กูก็ไม่อยู่ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นเด็กมีปัญหานะ” ผมพึมพำทีเล่นทีจริงแต่ลึก ๆ ก็เป็นห่วง

   “หึหึ งั้นให้ผมไปให้ไหมครับ”

   “มึงไม่ไปกับกูเหรอ” ผมเลิกคิ้วถาม … คิดว่าจะไปด้วยกันซะอีก พอเห็นแบบนั้นไอ้ไม้ก็หัวเราะออกมา นั้นละผมถึงได้รู้ว่าพลาดมาก

   “จะว่าไปมึงไปกับไอ้จุกก็ดีนะ กูจะได้หมดห่วง”

   “ยังไงก็ได้ครับ” ผมคิ้วกระตุก … ไอ้เวรนี้กวนตีนนี้หว่า

   “หึ” ผมหันหน้าไปทางอื่นก่อนจะหลบเดินหลบเข้ามาทำกับข้าวในครัวแทน ทำต้มหัวปลาอาหารประจำชาติไอ้ไม้ ประชดแม่งเด็กอะไรโตมาด้วยต้มยำหัวปลา น่ารักเนอะ กูเนี้ยน่ารัก ส่วนไอ้ไม้อ่ะ น่ากระทืบ ฮึ้ม!

   “มึงมาไงเนี้ย”

   พอยกกับข้าวออกมาจากครัวได้ สิ่งแรกที่ขัดหูขัดตาผมก็คือไอ้ห่าป๊อกที่นั่งเสล่อคุยกับพ่อผมอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ไอ้ไม้เห็นผมเดินถือหม้อขนาดใหญ่มาก็รีบปรี่ทิ้งไม้กวาดมาช่วยผมถือทันที เจ้าจุกที่ผมตามหาตัวอยู่ยิ้มแป้นจะเข้ามาช่วยยกด้วย แต่ผมไล่ให้ไปยกกับข้าวกับปลาในครัว ที่มีอยู่อีกสามสี่อย่างโดยมีพี่เมฆเดินตามหลังไปด้วย

   “ก๊งเหล้ากันแต่หัวค่ำเลยนะ” ผมเดินเข้าไปนั่งยอง ๆ ลูบหัวไอ้สามทหารเรือที่ดาหน้ากันเข้ามาออดอ้อน ก่อนเงยหน้าขึ้นพูดกับมนุษย์เหล้า ที่ตั้งก๊งกันแต่หัววันนำทีมโดยพ่อทายไอ้ป๊อกและพี่แสง ข้าวปลายังไม่ทันจะได้กินเลยดูเอาเหอะ

   “มันเป็นสไตล์ไอ้น้อง กูอุตส่าห์พาลูกน้อยมึงมาส่ง เห็นมันเล่นอยู่ชายนากับเพื่อนตัวมอมแมม ไม่ยอมกลับบ้าน” มันพูดถึงไอ้จุกที่เดินเต๊าะแตะออกมาพร้อมกับข้าว พอรู้ว่าตัวเองโดนพาดพิงก็หันมามองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว แทรกตัวมานั่งเอาหัวซบไหล่ผม จิ้มพุงเจ้ามะเขือที่นอนแผ่หลาให้เล่นอยู่ตรงหน้า

   “ไง เล่นเหนื่อยละสิ เหงื่อเต็มหัวขนาดนี้” ผมเอามือขยี้หัวไอ้จุกที่ตอนนี้มีแต่เหงื่อเต็มไปหมด มันก็ซนภาษาเด็กละเห็นหงิม ๆ แบบนี้แม่งเล่นได้ก็เล่นไม่ลืมหูลืมตาเหมือนกัน

   วันก่อนกูแทบช็อกไปตามมันกลับบ้านเห็นมันลอยตัวอยู่คว่ำหน้าอยู่กลางน้ำคนเดียว กูก็ทิ้งจักรยานวิ่งถลาลงไปทั้ง ๆ เสื้อกาวน์ โคลนเอยตมเอยเกาะเต็มหัวกูไปหมด สรุปแม่ง พุ่งพรวดขึ้นมาก่อนที่กูจะเข้าไปถึงตัวทำหน้าเอ๋อและบอกกูว่า มันกำลังดำน้ำดูปลาแต่ไม่เห็นอะไรเพราะน้ำขุ่น … ไอ้สาด โทรศัพท์ที่เพิ่งซื้อมาของกูน้ำเข้าต้องเอาไปซ่อมเสียเป็นพัน เพราะลงไปดำน้ำดูปลากับไอ้ห่าเด็กเวร พอกูจะโกรธก็โกรธไม่ลงเพราะหน้าตาบ๊องแบ๊วของมัน … ดูรักเด็กนะ จะบอกกูจิตใจดีก็ได้ อิอิ

   “ไม่จ้ะ วันนี้โจ้พาไปเล่นกับพี่สวยมา”

   “พี่สวย?”

   “ควายบ้านของโจ้จ้ะ พี่สวยมีลูกด้วย ตัวนิดเดียวเองน่ารักมาก แถมพี่สวยยังไม่กลัวคนด้วยให้จุกขึ้นไปขี่ด้วย”

   “ดีไม่ตกมาหัวแตกตาย”

   “ไม่หรอกจ้ะ” มันทำหน้าเอ๋อใส่ … ไอ้จุกกับไอ้ไม้เหมือนกันอยู่อย่างคือชอบตีมึนใส่ แต่ไอ้จุกมันมึนจริงไอ้ไม้อะกะล่อน

   “เออ ๆ ไปล้างมือล้างหน้าล้างตาและมากินข้าวซะ” ผมบอกไอ้จุก ”แดกข้าวฟรีสินะมึงน่ะ” ก่อนหันมาหาไอ้เพื่อนสนิทที่กำลังคุยกับพ่อผมอยู่อย่างคนคอเดียวกัน

   “ถะ ถูกต้องนะคร้าบ มึงนี้รู้ใจกูตลอด”

   “หางมึงเก็บไม่มิดอยู่แล้วนี้หว่า” ผมแกล้งพูดหยอก

   ไอ้ป๊อกพยักหน้ารับหัวเราะแบบที่ไม่ว่าจะกี่ปีก็ไม่เปลี่ยน กวนตีนเหมือนเดิม  สักพักกับข้าวกับปลาก็ถูกยกมาตั้งเกือบเต็มแคร่แต่มีแค่ผม เจ้าจุก และเจ้าไม้ที่นั่งล้อมวงกินข้าว ส่วนคนจะกินเหล้า ผมให้ไปกินที่อื่นเพราะไอ้จุกนั่งตาปริบ ๆ อยู่ ผมไม่อยากให้ไอ้เด็กที่อยู่ในวัยลอกเลียนแบบต้องเลียนแบบตัวอย่างที่ไม่ดี ถึงจะรู้ว่าเจ้านี้มันฉลาดและแยกแยะได้ แต่ก็ไม่สมควรอยู่ดีนั้นละ

   “พ่อโทนฮะ ทานข้าวสิครับค่อยเล่นโทรศัพท์ที่หลังก็ได้นะ”

   “กูไม่ได้เล่นโทรศัพท์กูเล่นไลน์” ผมคาบช้อนพูดอู้อี้ตอบไอ้ไม้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ น่าเบื่ออะ บ่นเป็นตาแก่เลย

   “ไหนบอกจะไม่ให้เจ้าจุกเห็นตัวอย่างที่ไม่ดีไงครับ” ผมชะงักเหลือบไปมองไอ้ไม้และมองไปที่เจ้าจุกที่นั่งเคี้ยวข้าวตุ้ยมองผมตาแป๋ว ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงข้างตัวเอาช้อนออกจากปากก่อนจะกินข้าวต่อ

    ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องต้องคุยกับไอ้จุกเรื่องวันภาษาไทยนี้แหละ ผมว่าจะให้ไอ้ไม้นี้แหละไป … หึ เมื่อกี้ที่งอนผมแค่หยอกเท่านั้นเองความจริงก็ผู้ใหญ่กันหมดแล้ว อีกอย่างผมไปกรุงเทพจนชินแล้วไปก็นักเจอกับไอ้เกื้อที่งานอยู่ดีนั้นละ ผมไม่งอแงหรอกน่า อีกอย่างผมกับไอ้ไม้ก็เป็นพ่อลูกกันนี้หว่า … ทำไมมองผมแบบนั้นละทุกคน พ่อลูกกันจริงจริ๊งง งงงหงง

   “ไอ้จุก พรุ่งนี้ให้ไอ้ไม้ไปแทนข้านะ”

   “เอ๊ะ … จ้ะ” เจ้าจุกเงยหน้าขึ้นมาอย่างสงสัยก่อนจะก้มหลบสายตาไปอย่างผิดหวังแต่ก็ไม่งอแงเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ที่เวลาโดนขัดใจจะโวยวาย ถ้าเป็นผมตอนเด็ก ๆ นี้ บ้าน 8 บ้าน ก็เก็บเสียงผมไม่อยู่หรอก

   “พรุ่งนี้ข้าไปกรุงเทพ ปู่เอ็งก็พาพี่แสงพี่เมฆไปขึ้นเวที”

   “จ้ะ … จุกเข้าใจ แต่พี่โทนไปคนเดียวหรอจ๊ะ”

   “เออ แต่นัดเจอไอ้เกื้อที่งาน”

   “แต่พี่โทนขับรถไม่เป็นนะ … วันก่อนขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งจุก ยังเกือบหล่นคันนาแหนะ”

   เอ๊า ไอ้ห่านี้เล่นแฉกูต่อหน้าไอ้ไม้แบบนี้ ไอ้ไม้ก็ขำแย่ดิ ผมหันไปจิ้มกบาลไอ้เด็กโข่งหนึ่งทีอย่างหมั่นไส้เพราะมันลั่นขำจนหน้าแดง ก่อนจะหันมากัดฟันมองไอ้เด็กหน้าอึนที่จ้องผมอย่างไม่รู้เดียงสา ไม่รู้มันไร้เดียงสาจริงหรืออะไร แต่เหมือนจะแกล้งกูนิด ๆ ด้วยนะ

   “ข้าก็นั่งรถทัวร์ไปสิวะ”

   “อันตรายนะจ๊ะ ล่าสุดหน้าหมู่บ้านเราก็มีรถทัวร์แหกโค้งไป โจ้บอกจุกมา” น่ะ มีขู่กูอีก

   “โม้อะดิ ข้าไม่เห็นได้ข่าว พูดแบบนี้คือจะไม่ให้ไอ้ไม้ไปหรือไง”

   “หนูอยากให้พี่ไม้ไปกับพี่โทนมากกว่า”

   “แล้วเอ็งละ”

   “จุกไม่เป็นไร” ไอ้จุกยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงไปกินข้าวต่ออีก ผมกัดปากมองไปที่ไอ้ไม้ที่มองอยู่ก่อนแล้ว และเห็นรอยยิ้มเด็กน้อยของมันทำให้ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   มองซ้ายมองขวาสุดท้ายก็หันไปเห็นไอ้ป๊อกกำลังเดินตรงมาหาผม พร้อมกับชามแกง ก่อนมาหยุดหน้าหม้อและลงมือจับกระบวย คน ๆ ในหม้อต้มก่อนจะตักเอาเนื้อปลาไปหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยักคิ้วให้ผมที่นั่งจ้องมันอยู่ก่อนแล้วหันหลังเดินกลับไป

   “เดี๋ยว!”

   “โอ้ย ไอ้โทน!!! ไอ้เชี้ยเดี๋ยวแกงหก”ผมวิ่งไปล็อกคอมันจากด้านหลังทำให้มันแทบหงายท้องแต่นับว่าประสาทมันยังดีนะ สามารถประคองชามต้มหัวปลาได้ไม่หล่นพื้น … เห็นแก่กินจริงๆ

   “พรุ่งนี้มึงว่างไหม?”

   “กูนัดน้องลูกจันทร์ อะ โอ้ย เออว่าง ๆ แต่ช่วงบ่ายนะ โอ้ยยยยย ปล่อยได้แล้ว” ผมปล่อยแขนที่ ล็อกคอมันไว้พอขาผมสัมผัสกับพื้นได้ไอ้ป๊อกก็บิดเอวที่เอนของมันให้กลับที่ดังก๊อก ก่อนจะหันมาขมวดคิ้วทำหน้ายักษ์ใส่ผม

   “จะเอาอะไรอีกละ” ผมยักไหล่ก่อนจะชี้ไปที่ไอ้จุกที่นั่งตาปริบ ๆ อยู่บนแคร่

   “พรุ่งนี้มึงไปงานวันภาษาไทยของไอ้จุกด้วย”

   “ฮะ! กูเนี้ยนะ” มันชี้ไปที่ตัวเอง คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันคิดจะทำในโลกแล้วละครับ

   “มึงนี้แหละ หัดทำตัวให้มีประโยชน์บ้าง”

   “แต่กูไม่เคยนะ”

   “ไม่เคยก็ต้องทำ เพราะพวกกูไม่ว่าง” ผมเท้าเอวบอกมันทีละคำเน้น ๆ

   “เออ ๆ ไปก็ไป” มันบอกปัด “มึงก็ไม่ต้องทำตาปริบแบบนั้นหรอกไอ้เต่า” ก่อนจะหันไปด่าไอ้จุก … เต่า เต่าพ่อมึงดินี้ไอ้จุก จำชื่อผิดแล้วไอ้บ้าเอ้ย!

   “ดีมาก ไว้กูทำข้าวให้กินตอบแทน” ไอ้ป๊อกย่นหน้าก่อนจะเดินกลับไปที่วงเหล้าต่อ … ผมก็หันมานั่งกินข้าวได้อย่างสบายใจเหมือนเดิม ดีเหมือนกันฝากไอ้จุกไว้กับไอ้ป๊อกที่ไว้ใจได้พอสมควรแล้วก็มีคนขับรถให้ผมด้วย หึหึ สบายไปอีก

.

.

.

   “ปู่ครับ พรุ่งนี้ผมต้องไปส่งพ่อโทนที่กรุงเทพแต่เช้า คืนนี้ผมขอนอนกับพ่อโทนนะครับ” เสียงห้าว ๆดังขึ้นจากลานชกมวยแลนส์มาร์ควงเหล้า ดังเข้ามาถึงในห้องครัวที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ผมที่กำลังล้างจานอยู่ปิดน้ำและเงี้ยหูฟังทันที พนันกันสิว่าไอ้เด็กกะล่อนจะมีการเกลี้ยกลอม พ่อผมยังไง หึหึ

   “แล้วใครบอกให้มึงไปกับมัน”

   “โธ่ปู่ครับ ถ้าพ่อโทนไปคนเดียวอันตรายนะครับ รถทัวร์ก็อันตราย กว่าจะเจอน้าเกื้ออีก ถ้าพ่อโทนเป็นอะไรไปปู่ทายและผมคงจะเสียใจ” อดอมยิ้มกับดราม่าของมันไม่ได้จริง ๆ กับคนอื่นอาจจะไม่มีใครได้เห็นมุมแบบนี้ ตราบใดที่ข้างกายของไอ้ไม้ไม่มีผมหรือไม่ได้เหยียบเข้าเขตบ้านมวยแห่งนี้

   “มันก็ไปของมันมาได้ตั้งหลายปี ไม่เห็นมีอันตรายอะไร”

   “แต่อันตรายไม่เข้าใครออกใครนะครับ วันนั้นไม่เกิด วันนี้อาจจะเกิดก็ได้” อะ ไอ้เวรแช่งกูอีก

   “หึ … หลายปีที่มึงไปเคยคิดแบบนี้ไหม” สิ้นสุดเสียงของพ่อทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบ ผมเม้มปากและไม่อยากจะสนใจอะไรอีก เปิดน้ำให้เสียงดังเข้าไปลงมือล้างจานต่อไปเพียงลำพัง

   จนแล้วจนรอด ไอ้นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงขี้ประจบสอพลอ ก็มานั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ในห้องนอนของผม ที่นอนผืนเดิมถูกปูด้านล่างเตียงของผมที่ถูกจัดเปลี่ยนผ้าปูปลอกหมอนดูนุ่มนิ่มน่านอน มุ้งสีขาวสะอาดถูกกางไว้อย่างเรียบร้อย ผมเดินไปนั่งเช็ดผมที่เปียกจากการสระที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ อันเป็นเฟอร์นิเจอร์ใหม่เพราะผมต้องใช้ทำงาน หันหลังให้ไอ้เด็กผีที่นั่งอยู่ในมุ้ง

   “ผมเช็ดให้นะครับ พ่อโทนจะได้นอนไว ๆ ” ผมไม่ขัดศรัทธาปล่อยให้ไอ้ไม้ที่ย่องมาด้านหลังเช็ดผมให้ ส่วนตัวเองก็เปิดคอมเล่นเงียบ ๆ

   “ผมขอโทษนะครับพ่อโทน”

   “เรื่อง ?” ผมถามกลับ

   “ทุกเรื่องที่ทำให้พ่อโทนเสียใจ” เพียงแค่มันพูด ใจผมก็กระตุกวูบแล้ว ทรมานฉิบหายช่วงเวลาที่ผมผ่านมา … พอคิดถึงอนาคตที่ไม่มีมันแล้ว ก็เจ็บแสบมากกว่า จนอยากจะร้องไห้ออกมาซะตรงนี้

   “ถ้ามึงกล้าทำอีกก็ลองดู” ผมกัดฟันพูด หันไปโน้มคอมันลงมาขบหัวมันเล่น แง๊ม หูมึงนี้ยังจำเป็นอยู่ไหม!!!!   

   “อ๊ากกกก หูขาดแล้ว” มันโวยวายแต่ไม่ผลักผมออกกลับกอดผมแน่นเข้าไปอีก ขาดอะไรกูงับไว้เบา ๆ หึ สำออย กระล่อน!

   “เวอร์!” ผมตะโกนใส่หูมันก่อนผลักอกมันออกห่าง แต่ดูเหมือนจะติดกับแล้ว เพราะมันกอดผมไว้ซะแน่น 

    “เชื่อผมอีกสักครั้งนะครับ” มันกระซิบก่อนผละผมออกและมองเข้าไปในดวงตาของกันและกัน “ตอนนี้ไม้มั่นคงแล้ว มีอำนาจพอแล้ว ผมจะปกป้องทุกคน และจะไม่ไปไหนไกลจากพ่อโทนแก้วตาดวงใจของผมอีกแล้วครับ” 

   ผมไม่พูดอะไรต่อเพียงแต่อิงกายลงที่อกหนาและปล่อยให้ไอ้ไม้เช็ดผมอยู่อย่างงั้นผ่อนคลายสายตาที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ก็ได้ … ผมเชื่อ … และจะไม่เสียใจ … ต่อให้ถ้อยคำที่ออกมาจะเป็นเรื่องที่โกหกทั้งเพก็ตาม

   

-ไม้-

           พ่อโทนหลับแล้ว ใบหน้ายามนอนของเขาดูไร้เดียงสาไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ ปากนิดจมูกหน่อย แก้มเนียน แดงระรื้นทุกครั้งที่ดีใจ เสียใจ เขินอาย หรือว่าดุผม ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ ผมดีใจจริงที่จะได้มีโอกาสอยู่กับพ่อโทน 1 วัน 1 คืนตอนไปกรุงเทพ ในระหว่างที่พ่อโทนทำงาน ผมเองก็จะต้องแวะเข้าบริษัทเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยด้วยเหมือนกัน เห็น ปราณ เลขาของผม หลานของ ลุงปรเมศ อดีตคนสนิทของแม่ดอกอ้อ ผู้ดูแลบริษัทก่อนที่จะถูกหุบไปก่อนหน้านี้

   ผ่านการแย่งชิงสารพัดสารเพ ก่อนที่จะตกมาเป็นของผมทายาทที่แท้จริงโดยสมบูรณ์แบบ บอกว่ามีปัญหาด้านบัญชีนิดหน่อย และดูเหมือนข่าวคร่าวที่ผมยังมีชีวิตอยู่และกลับมาที่เมืองไทย จะแพร่กระจายไปถึงหูพวกคนเลวแล้ว ก็ว่าจะแวะไปหาสักหน่อยเหมือนกัน

ครืดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดด

           “อื้อออ”

           “ชู่ว์ หลับนะครับ”

   ผมกดตัดสายทิ้ง ก่อนจะวางไว้ที่หัวเตียงนอนเหมือนเดิม ไม่ได้สนใจไปมากกว่าคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมอกของผม …ไม้จะไม่ไปไหนอีกแล้วครับที่รัก 

.

.

.

-วันใหม่ เวลา 05.30 น-

           “นั่งนิ่ง ๆ นะครับ”

   ผมลูบหลังปลอบประโลมพ่อโทนที่นั่งสัปหงกที่หน้าบ้านในเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงสแล็คดูเรียบร้อย ในมือกอดเสื้อสูทสีขาวไม่ห่าง เพราะบรรยากาศในชนบทยังสงบสุขและมืดสนิทในเช้ามืด ทำให้พ่อโทนลืมตาไม่ขึ้น ผมเลยต้องทำทุกอย่างแทนเสียหมด น่าเสียดายที่พ่อโทนรู้ทันไม่ยอมให้ผมอาบน้ำให้ หึหึ ต้องออกกันเช้าหน่อยครับ เนื่องจากพ่อโทนมีประชุมช่วงห้าโมงเย็นครับ เป็นการสัมมนา 2 วัน 1 คืน

           “ง่วงแล้ว ไม่ไปได้ไหม” เขางอแง

           “ไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ” ผมถามกลับนึกขำคนตาปรืออย่างเอ็นดู

           “อือ ไม่ได้หรอก แต่ไม่อยากไปแล้ว วันนี้อากาศดี”

    พ่อโทนไม่พูดเปล่ายังย่นหน้าจนเนื้อแก้มออกเป็นปล่อง ก่อนจะอ้าแขนให้ผมทั้งสองข้าง ผมยิ้มกว้างอุ้มเขาไว้เหมือนเด็กตัวน้อยที่เกาะคอผมไว้เหมือนลูกลิง กระเตงกันมาที่รถกระบะที่ปู่ทายอนุญาตให้เอาไปใช้ได้ ปรับเอนเบาะบรรจงวางสุดที่รักของผมและเอาเสื้อสูทของเขาคลุมทับให้อีกที ก่อนที่ตาโต ๆ ของเขาจะพริ้มหลับไปอีกครั้งอย่างง่ายดาย อดไม่ได้ที่ยิ้มให้กับใบหน้าไร้เดียงสานั้นก่อนจะก้มลงไปจูบหน้าผากมน เดินอ้อมมาอีกข้าง โยนกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ด้านหลัง เพื่อพาพ่อโทนไปส่งยังจุดหมาย

.

.

.

   “หิวแล้ว”

   ขับออกมาจากบ้านได้ประมาน 3 ชั่วโมง พ่อโทนก็ตื่นขึ้นมานั่งหน้ามุ่ย ท้องร้องจ๊อก ๆ รู้เลยว่าที่ตื่นไม่ใช่เพราะหายง่วงแต่หิว ผมเองก็ลืมนึกไปว่าพ่อโทนเป็นคนที่ติดกินข้าวเช้ามาก ถ้าไม่ได้กินจะงอแงและโวยวาย หึหึ ไม่ว่าจะกี่ปีก็ไม่เคยเปลี่ยนจริง ๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้แวะซื้อที่ตลาดมาเลย

   “อีก 10 นาทีจะถึงปั๊มนะครับ”

   “หิวแล้ว สายแล้ว ทำไมไม่เอาข้าวจากบ้านมา อุตส่าห์เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแท้ ๆ”

   “ขอโทษนะครับ”

   “ชิ” พ่อโทนมุ่ยหน้ากอดอกหันไปนอนลงที่เบาะหันหลังให้ผมอย่างงอน ๆ หึหึ เหมือนเด็กน้อยเลย สรุปผมหรือเขากันแน่ที่เป็นเด็กตัวน้อยน่ะ

   “มีข้าวเหนียวไก่ด้วย”

   พอถึงปั๊มได้ สิ่งแรกที่พ่อโทนเห็นไม่ใช่ของในร้ายสะดวกซื้อแต่เป็นร้านไก่ย่างที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับห้องน้ำ เครื่องยังไม่ทันที่จะดับดี พ่อโทนก็วิ่งลงจากรถไปยืนหน้าแป้นอยู่หน้าร้านขายไก่ย่างแล้ว ผมจอดรถเสร็จสรรพก็เดินเข้าร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ ๆ เลือกซื้อขนมของกินจุกจิกกับน้ำ หวังให้เขาอารมณ์ดีตลอดเส้นทาง

   “ได้ซื้อป๊อกกี้รสบูลเบอรี่มาให้กูไหม” ออกจากร้านสะดวกซื้อมาได้คนแก้มใสเขลอะไปด้วยน้ำมันจากไก่ที่อยู่ในมือก็ถามผมถึงของกินทันที ผมยิ้มก่อนจะชูถุงให้ดูว่าในนั้นมีขนมทุกอย่างที่พ่อโทนชอบ เขาทำท่าพอใจและเดินนำผมขึ้นมานั่งบนรถก่อนแล้ว

   “กินก่อนสิ ค่อยขับรถต่อ” 

   “จะไม่ทันเอานะครับ” ผมหันไปยิ้มและสตาร์ทเครื่องจะหักพวกมาลัยเพื่อเดินทางต่อ แต่พ่อโทนจับมือผมเอาไว้และพูดด้วยน้ำเสียงเชิงดุนิด ๆ แต่ผมมองว่าน่ารักน่ะนะ

   “แปปเดียวเท่านั้นแหละ”

   “งั้นเอางี้ไหมครับ พ่อโทนก็ป้อนผมและผมก็ขับรถ เราแบ่งหน้าที่กันดีไหม” ผมยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มใสที่เลอะไปด้วยมันของไก่ยางและใช่ลิ้นเลียอย่างหยอกล้อ ถึงมันจะเป็นแค่มันไก่แต่มันหอมหวานมาก ๆ

เพี๊ยะ!

           “ทะลึ่ง ขับไปเลย!”

   โดนไปหนึ่งดอกเน้น ๆ กลางกระหม่อม ผมเลยทำได้แค่ขับรถออกมาตามคำสั่ง แต่ยังไม่ทันที่จะน้อยใจ เนื้อไก่พร้อมข้าวเหนียวก็เสริฟมาถึงปากของผม เหลือบไปมองก็เห็นพ่อโทนเคี้ยวข้าวเหนียวอยู่จนแก้มป่อง หน้างี้แดงขึ้นไปถึงหู หึหึ พ่อโทนยังไงก็คือพ่อโทน น่ารักยังไงก็น่ารักแบบนั้นไม่เคยเปลี่ยน

   “กินไปดิ จะได้ไม่ต้องมานั่งน้อยใจ น่ารำคาญ”

   “ปากไม่ตรงกับใจเลยนะครับ”

   “เอ๊ะ! งั้นไม่ต้องแดก”

   “ขอโทษครับ” ผมพูดและยื้อมือพ่อโทนเอาให้งับเข้าที่ข้าวเหนียวไก่ในมือของพ่อโทน … อร่อยมาก อร่อยยิ่งกว่าอาหารมื้อหรูในภัตตาคารระดับ 5 ดาว ซะอีก
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH20พาพ่อโทนเข้ากรุง}28/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 28-04-2020 20:56:59

.

.

.

   บ่าย 2 กว่า เราสองคนถึงโรงแรมที่พัก กลางเมืองกรุงเทพมหานคร น้าเกื้อเองก็นั่งรออยู่ที่ล็อบบี้อยู่แล้วพร้อมกับเพื่อนหมอของพ่อโทนที่ผมจำชื่อไม่ได้ ได้แต่ยกมือไหว้และยืนนิ่งทำตัวเป็นเด็กดียืนอยู่ด้านหลังพ่อโทนอย่างสำรวม

   พ่อโทนคุยกับพวกเพื่อนอีกไม่เกิน 5 นาที ก็ปลีกตัวออกมาและพาผมขึ้นมาบนห้องชั้น 25 ของโรงแรม เมื่อเปิดได้พ่อโทนก็พุ่งหาโซฟาในห้องรับแขกหรู ด้านหน้ามีเฟอร์นิเจอร์ความบันเทิงครบครัน ภายในมีห้องแยกอยู่อีกสองห้องและห้องครัวขนาดใหญ่อยู่อีกด้านขวามือ นี้ในแต่ละครั้งที่พ่อโทนมากรุงเทพต้องมาอยู่ในห้องกว้าง ๆ นี้เพียงลำพังงั้นเหรอ

   “งานจะเริ่มตอน 5 โมงนะ กูจะนอนต่ออีกหน่อย”

   “ครับ พักผ่อนนะครับ” ผมว่าและนั่งลงข้าง ๆ เขา พ่อโทนยกหัวขึ้นและหนุนตักผมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตากลมนั้นกลับจ้องมองมาที่ผมที่ก้มลงไปมองเขาอย่างไม่หลบสายตา แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยแต่ไร้เดียงสา

    “กูกลัวทุกครั้งที่ตื่นเลยนะไอ้ไม้ กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่เจอมึงอีก กลัวมึงจะหนีกูไปอีก” เขากลั้นใจก่อนจะพูดต่อ “กูจะไม่ถามมึงอีกแล้ว และจะไม่รั้งถ้าหากมึงจะไป แต่ถ้ามึงจะไปไหนก็บอกกูมาตามตรงก็พอ”

   ผมยิ้มกับแก้มแดงที่หนุนตักผมอยู่ คว้ามือที่ลูบไปตามโครงหน้าของผมเอาไว้แต่หอมมือข้างนั้นจับให้อังแก้มตัวเองเอาไว้ ก่อนจะก้มลงไปบรรจงจูบอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระรื้นตรงหน้า น่าแปลกที่พ่อโทนไม่โวยวายหรือดื้อดึงเหมือนที่คาดเอาไว้

   “ถ้าไม่ห้ามผมตอนนี้ ผมจะไม่หยุดแล้วนะครับ”

   เสียงลมหายใจที่คลอเคลียกันอยู่ห่างยังดังไม่เป็นจังหวะปลุกเร้าอารมณ์ที่เก็บกดมานานของผมให้หลงระเริงจนแทบจะระเบิดออกมา จะเป็นใครไม่ได้ … ไม่ได้เลยจริง ๆ สำหรับผม ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายที่ไหน ก็น่ารักสู้พ่อโทนของผมไม่ได้สักคนเดียว

   “…”

   เขาไม่พูดอะไรเพียงแต่ใช้มือลูบไปตามโครงหน้าและวางบนไหล่ของผมนิ่ง ดวงตาใสนั้นมีน้ำตาที่คลอหน่วย ริมฝีปากเม้นแน่นแก้มแดงระรื้นอย่างน่ารักน่าชัง ผมยิ้มให้เขาก่อนจะค่อยๆอุ้มพ่อโทนขึ้นมาแนบอกในท่าเจ้าหญิงไปที่ห้องนอนใหญ่ที่อยู่ทางขวามือ ผมไม่ได้สนใจองค์ประกอบใด ๆ นอกจากจะบรรจงวางร่างสุดที่รักของผมไว้บนเตียงสีขาวสะอาด

   ก่อนจะยืดตัวยืนขึ้นเต็มสัดส่วน คลายเนคไทออกมองสำรวจกายขาวที่อยู่ในชุดที่หลุดลุ่ยอย่างล่อแหล่มตรงหน้าอย่างเคลิบเคลิ้ม เมื่อเห็นว่าผมจ้องมองก็เตรียมจะดึงผ้ามาคลุมและวิ่งหนี แต่ผมไม่ยอมปล่อยอีกแล้วคล่องลงไปสกัดกั้นไม่ให้เขาหนีผมไปไหนอีก

   ผมไม่อยากเป็นลูกพ่อโทนแล้ว … ผมต้องการในสิ่งที่มากกว่านั้น อยากจะพันธนาการเขาเอาไว้แนบกาย ปกป้องดูแลให้พ้นจากภัยอันตราย จากนี้ไปต่อให้ปู่ทายจะฆ่าผม ผมก็จะยอมให้เขาฆ่า แต่ผมจะไม่ยอมตาย … เพราะคนที่ผมรัก เขายอมที่จะเชื่อใจผมแต่จับมือคู่นี้เพื่อก้าวผ่านกำแพงหนาของเราสองคนนี้ไป …

ผลั๊ก!!!

           แรงอะไรสักอย่างกระแทกเข้าที่ห้องของผมและมันแรงพอจะทำให้ผมจุกกลิ้งตกเตียงไป เสียงตุ๊บตั๊บๆดังขึ้นบนเตียงไม่นานพ่อโทนก็กระโดดข้ามผมเข้าห้องน้ำไป ไม่สนไอ้ไม้ที่จุกแอ้ที่ตะโกนเรียกเขาอยู่แม้แต่น้อย … ปิศาจ ปิศาจชัดๆ

           กว่าจะหายจุกและตั้งตัวได้ ก็เกือบ 5 นาที ผมเดินไปที่ประตูห้องน้ำและลองบิดลูกบิดดูปรากฏว่ามันล็อกตามที่คาดเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ไม่ใช่เพราะเอือมระอาหรือว่าผิดหวังอะไร ผมแค่เสียดายโอกาสที่ดีขนาดนี้ แต่ก็เอาเถอะ ยังมีเวลาอีกทั้งชีวิตละนะ

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก



           “พ่อโทนครับ ออกมาเถอะครับ”

   “ไม่ มึงหื่น” เขาตอบกลับมา

   “ผมไม่ทำอะไรแล้วครับ ออกมามานะครับ”

   “…”

แกร๊ก …



           เสียงช่วงอึดใจประตูห้องน้ำถูกเปิดออก พ่อโทนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของผมใส่เสื้อผ้าแล้วเรียบร้อยตัวสั่น ไม่กล้าสบตาที่จ้องมองเขาอยู่ พอเห็นสภาพเขาแล้วใจผมก็อ่อนฮวบ ถลาเข้าไปกอดเขาเอาไว้ ร่างกายของพ่อโทนสะดุ้งและสั่นเคลิ้มเข้าไปอีก เมื่อกี้ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรลงไปบ้าง แต่ ณ ตอนนี้ ปากของพ่อโทนเจ่อแดง คอบริเวณไหปลาร้าของเขาแดงเป็นปื้น กลัวว่าจะเขียวหรือช้ำ แขนทั้งสองข้างก็เช่นกัน … ช่วงที่ผมขาดสติไปผมทำอะไรไปบ้าง ผมไม่รู้ตัว สมควรแล้วที่โดนบาทาของเขาสั่งสอน

           “ขะ ขอโทษนะครับ ขอโทษ”

           “ไม่เอาแบบนี้ มันเจ็บ ฮึก มึงทำแรงมาก เรียกก็ไม่รู้ตัว กูเจ็บ ฮึก” เขาสะอื้นอยู่ในอกอย่างน่าสงสาร

   “ครับ ผมผิดเอง ผมขอโทษจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”

   “สัญญานะ”

   นิ้วก้อยเล็กถูกยกขึ้นมา ผมจูบที่นิ้วก้อยนั้นอย่างแผ่วเบา สัญญาสิครับ ไม่ว่าพ่อโทนอยากได้อะไรไอ้ไม้ก็จะหามาให้ต้องการอะไร จะเอาแต่ใจแค่ไหน ไม่ว่าจะในฐานะนายน้อยหรือไอ้ไม้ ยังไงมันก็คือทาสของพ่อโทน คนที่ผมรักจนแทบคลั่ง

.

.

.

           “ไหนว่ามันตายห่ากันไปหมดแล้วไง แล้วนี้อะไร!”

   เสียงผรุสวาทของหญิงสาวดังขึ้นลั่นห้องรับแขกในคฤหาสน์หรูกลางกรุง ตามด้วยเสียงกระแทกแฟ้มลงบนพื้น นั้นไม่ได้ทำให้ร่างสันทัดที่นั่งเอนกายพิงกับพนักโซฟาสีดำนั้นสะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย ชุดสูทสีดำสนิทสวมทับเสื้อเชิ๊ตสีแดง ชายวัยกลางคนใบหน้าเจ้าเล่ห์เลิกคิ้วสูง ไม่ได้สนใจกับท่าทางโมโหโกรธาของคู่สนทนาแต่อย่างใด

   “แกตอบฉันมาสิ ไอ้ธีร์ ทำไมมันยังเสนอหน้าได้อยู่”

   “จะไปรู้หรือ!”

   ธีร์ หรือ คุณชายธีรภัทร ผู้ช้ำชองด้านสุรานารี เพลบอยอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย อำนาจล้มมือเพราะธุรกิจอาบอบนวด ที่เฟื้องฟูแต่เงินที่ได้มานั้นล้วนมาจากการโกงและเปื้อนเลือดของตระกูล อริณมณี ถ้าเทียบกันด้วยศักดิ์ เขาก็คือน้องชายของคุณหญิงดอกอ้อ แต่ด้วยเหตุผลบางประการและความไม่พอในทรัพย์สมบัติ ทำให้เขาต้องฆ่าและแย่งชิง และถึงแม้เรื่องราวจะผ่านมาหลายปี แต่ก็ยังมีเสี้ยนหนามคอยตำอยู่ไม่ยอมไปไหน ไม่ว่าจะสั่งเก็บเท่าไหร่ ไอ้เด็กที่เปรียบเสมือนมารคอหอยของเขาก็มักจะรอดไปได้ทุกครั้ง

   เสียงตะคอกของธีรภัทร ทำให้ หญิงวัยกลางคนผงะนิด ๆ เธออยู่ ในชุดสีขาวลายลูกไม้ สวมผ้าถุงลายไทยที่ถัดทอขึ้นอย่างวิจิตรบรรจงด้านบนรัดเกล้าและมีปิ่นปักผมสีแดงอร่ามติดอยู่เสริมสง่าราศี เธอเป็นคนสวย แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความริษยาแตกต่างกับการแต่งตัวที่ดูเรียบร้อยอย่างสิ้นเชิง  ถ้าตามพาดหัวข่าวในหน้าสังคมคุณหญิงคุณนายที่เธอมักปรากฏกายอยู่ในงาน อัญมณี เครื่องเพชร หรืองานรวมเซเลปคนดัง ในชื่อ คุณหญิง นริศา ภรรยาแสนรักของคุณชายธีรภัทร แต่นั้นแค่ เบื้องหน้า เบื้องหลังทั้งคู่ก็แค่คู่ธุรกิจที่พร้อมจะร่วมมือเมื่อมีผลประโยชน์ ไม่ได้หมายถึงแค่งาน แต่เป็นหน้าตาทางสังคมก็ด้วย 

   “อย่าโวยวายจะได้ไหมสา สายของฉันรายงานมาว่า ตอนนี้ไอ้เด็กนั้นมันอยู่ที่กรุงเทพ … ไม่เกินคืนนี้มันต้องตาย” ใบหน้าทมึงตึงของหญิงสาวเริ่มคลายลง ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงห้ามและยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ มองไปที่ธีร์พร้อมกับเบ้ปากพึมพัมออกมาอย่างดูถูกดูแคลน แต่ธีรภัทรก็ไม่ได้เห็นค่าคำพูดของผู้หญิงคนนี้ไปมากกว่าเศษขยะ ที่ไม่จำเป็นต้องสนใจ

   “ต่อให้มันมี 9 ชีวิต คืนนี้มันก็ต้องตาย”

   เขาพูดต่อพร้อมกับแสยะยิ้มออกมาอย่างเย้อหยิ่ง ดวงตาลุกโชนไปด้วยแผนการดั่งหมาป่าที่หิวกระหายเหยื่อที่เฝ้าติดตามมาแสนนาน … ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าตอนนี้บริษัทของอริณมณีเติบโตแค่ไหน แต่แค่จะดูว่าจะไปได้อีกสักกี่น้ำ และเจ้าป่าอย่างเขาก็แค่รอจังหวะเผลอพุ่งตัวเข้าขย้ำให้ตายอย่างทรมานและฮุบทุกอย่างมาเหมือนที่เคยทำก็แค่นั้น  ทุกคนบนโลกมันเป็นแค่เพียงเศษสวะ ที่มีฆ่าให้ใช้งานและเขี่ยทิ้งเท่านั้นเอง



 

           หลังจากที่ คุยกับกับปราณ เลขา ของผมเรื่องธุรกิจในกรุงเทพที่กำลังก่อตัวและมีปัญหาอยู่เสร็จก็เดินเข้ามาในห้องที่เปิดแอร์ไว้เย็นเฉียบมีร่างน้อยที่พันผ้าห่มจนตัวเองกลายเป็นดักแด้ โผล่ออกมาแค่หน้าขาวเนียนกับแก้มที่แดงปลั่ง ..มันน่านัก … หึ แต่ ยังก่อนครับ อย่าเพิ่งทำให้ไก่ตื่นตอนบ่ายผมก็ทำพลาดไปหนึ่งทีละ ไม่มีการจะพลาดครั้งที่ 2 หรอก อย่างพ่อโทน ต้องใช้ความเนียนเข้าหาเท่านั้นกะโตกกะตากไป แห้วเหมือนเมื่อตอนบ่ายนั้นละ คิดแล้วก็เสียดายเหมือนกันนะครับ แต่ไม่เป็นไรหรอก เวลาของเรายังมีอีกเยอะ เพราะพ่อโทนอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างหน้าของผม อยู่ในอ้อมกอดของผม

           “4 โมงแล้ว”

ปึ๊ก !

   “งานมี 5 โมงและหยุดลวนลามกูสักที” แต่ตอนนี้ผมอยู่ในเงื้อมือของพ่อโทน … โดนพ่อโทนโหม่งหน้าอกจนจุกแอ๊กไปหนึ่งทีโทษฐานลูบบั้นท้ายพ่อโทนไปแค่วูบเดียว … ร้ายกาจนักนะขนาดเป็นดักแด้อยู่แท้ๆ แต่ก็น่ารัก

ฟอดดดดดดดดดดด

           “อื้ออออออออออ หอมกูหาพ่องงงงงงงงงงงงงงง” พ่อโทนกระเด้งตัวลุกทำท่าจะเอามือออกจากดักแด้แต่ก็เอาออกไม่ได้เพราะดูเหมือนจะพันแน่นเกินไป ผมเลยรวบเอาดักแด้ตัวน้อยเข้ามากอด และหอมหน้าผากเนียนไปอีกหนึ่งที คราวนี้แดงทั้งหน้าเลยครับ หึหึ

           “ไม่ได้หอมหาพ่อครับ หอมหาเมีย …” ผมกระซิบที่ใบหูเล็กก่อนจะงับเบา ๆ พ่อโทนนิ่งไปนิด กัดริมฝีปากของตัวเองหน้าแดงเหมือนมะเขือเทศ ก่อนจะออกฤทธิ์โวยวายดิ้นไปมาดุ๊กดิ๊กในอ้อมแขนของผม โอ้ยยยยยยยย ใจไอ้ไม้จะละลาย

           “สัด เอาใหญ่แล้วนะ !!!!! แง่ม!!!!”

   “อะ โอ้ยๆๆๆๆๆ ขอโทษครับ หูจะขาดแล้ววววว” ลืมไปว่าอาวุธรอบตัวของคนน่ารักรอบตัว หึหึ 

   หลังจากที่หยอกล้อ(?)กับพ่อโทนพอหอมปากหอมคอ ผมก็พาพ่อโทนที่อาบน้ำตัวหอมฉุย มากินข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรม พ่อโทนบ่นอยากกินน้ำพริกเล็กน้อยแต่ไม่ได้งอแงอะไร ยอมกินน้ำพริกกะปิรสชาติไม่ได้เรื่องของโรงแรมไปเงียบ ๆ ผมเห็นก็อดสงสารไม่ได้ ตลอดเวลาที่เข้ากรุงเทพพ่อโทนไม่เคยมีความสุขเลยสินะ ผมเองก็ชินกับทั้งสองอารยธรรม ไม่ว่าจะเป็นบ้านไร่บ้านนาที่แสนสงบสุข หรือความ ศิวิไลของเมืองกรุงทั้งไทยและต่างประเทศ และเห็นดีด้วยที่พ่อโทนจะไม่ชอบเมืองกรุงเพราะผมเองก็อยากที่จะกลับไปอยู่กับพ่อโทนที่บ้านนาของเรา … ถึงแม้ผมจะย้อนไปเป็นไอ้ไม้คนเดิมไม่ได้แล้วก็ตาม

   “คิดไรวะ”

   “คิดว่าทำไมพ่อโทนน่ารักจัง”

   ผมว่าและหยิกแก้มไปหนึ่งที ส้อมของพ่อโทนที่ถือติดมือเอาไว้จ่อมาที่หน้าของผมอย่างเอาเรื่อง ผมหัวเราะชอบใจก่อนจะยกมือยอมแพ้ พลางเหลือบไปมองงผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้เราสองคนที่กำลังมองมาด้วยสายตามึนงง ก่อนจะหันไปกระซิบกระซากกันพลางทำท่าทางขนลุกเอามือไม้ลูบเนื้อลูบตัว …

   หึ เจอพวกมดปลวกที่คิดว่าตัวเองเป็นเทวดานางฟ้า ไล่เที่ยวรังเกียจคนอื่นที่คิดว่าไม่ใช่เผ่าพันธุ์ตัวเองแล้วสินะ

   “มึงไม่เอา ไม่มีเรื่อง”

   “หึหึ ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผมว่าและก้มไปจูบ เบา ๆ ที่กระหม่อมของพ่อโทน คนตัวเล็กของผมเม้มปากก่อนจะก้มหน้ามองจานว่างเปล่าของตัวเอง

   “หล่อชะมัด แต่เสียดายไม่น่าเป็นเลย เฮ้อ” อยู่ ๆ แม่สาวเสื้อสีส้มอ่อนก็พูดขึ้น แถมทำหน้าไม่รู้ไม้ชี้พ่อโทนเงยหน้ามองไปรอบร้านก่อนจะเงยหน้ามองผมนิ่ง ก่อนจะหันขวับไปมองเป้าหมายตรงหน้า

   “คนตัวเล็กก็น่ารักนะ เฮ้อ เสียดายชะมัด ถ้าเป็นผู้ชายปกติคงดี เสียดายผิดเพศ” แหม … สมกับเพื่อนกันจริงๆอีกคนนึงชงอีกคนนึงตบ

กึก

           “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”

           ผมค่อนข้างอึ้งเล็กน้อย ที่คนตัวเล็กของผมก้าวฉับ ๆ ไปหาทั้งคู่ที่บังอาจพูดจาไม่เข้าหู ไอ้ไม้จะทำอะไรได้ละครับก็นั่งดูความสนุกสิ หึหึ เรื่องแบบนี้เขาไม่ยอมใครหรอก ผมท้าวคางมองพ่อโทนที่ยืนเอามือข้างนึงวางบนโต๊ะของแม่สองสาว อีกข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสะบัดเสื้อกาวน์สีขาวตัวใหญ่ปัดชายไปด้านหลัง ท่าทางเหมือนจิ๊กโก๋ แต่ทำไมผมเห็นเหมือนลูกแมวกำลังขู่ฟ่อ ๆ นะ 

           “อะไร ฉันไม่ได้พูดถึงนาย อย่ามาแสดงกิริยาต่ำ ๆ กับฉันนะ ไม่รู้หรือไงฉันเป็นใคร” แม่สาวเสื้อสีส้มเปิดฉากก่อน พ่อโทนของผมทำหน้าฉงนเอียงคอถามออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย

           “อ้าว สมองเสื่อมหรอกเหรอ”

           “อะไรของนาย” คราวนี้เสื้อฟ้าจอมตบมุขก็เอากับเขาบ้าง

           “ก็เห็นถามว่า ‘ฉันเป็นใคร’ ก็เลยนึกว่าสมองเสื่อมจำตัวเองไม่ได้” ผมหลุดขำพรืดออกมาเมื่อพ่อโทนจีบปากจีบคอพูดตามหญิงสาว

           “เอ๊ะ! ไอ้เด็กนี้!!! ผิดเพศแล้วยังจะมาหาเรื่องพวกฉันอีกเหรอ!!! กรี๊ด!!!”

โครม!!!

           พ่อโทนเตะโต๊ะข้าง ๆ จนเกิดเสียงดังสนั่น แม่สองสาวสะดุ้งตัวลอย ผมหัวเราะนิดๆส่ายหัวไปมาก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว่ห้างเอาอีกมึงข้างคางมองพ่อโทนแผงฤทธิ์ บริกรที่ดูแลอยู่ในโซนนั้นพยายามเดินเข้ามาห้าม แต่ผมปรายตามองและโบกมือไล่ไปซะก่อน … คนกำลังสนุกอย่าเพิ่งเข้ามาสอดจะได้ไหม หายไปหลายปีอยากเห็นพ่อโทนแผงฤทธิ์แบบเต็ม ๆ สักทีเหมือนกัน หึหึ 

           “นี้ป้า!!!!เป็นบ้าอะไรวะ!!!!” พ่อโทนตะคอกออกมาเสียงดัง หน้าแดงกล่ำด้วยความโกรธ ถ้าไม่ติดว่าเป็นผู้หญิงพ่อโทนคงหนุมารถวายแหวนไปแล้ว

           “โทษนะ ผมไปทำอะไรให้ญาติคุณตายหรือไง กรุณาอย่ามา ส เกือ กอ เสือก กับชีวิตผมนักเลยครับ ผัวน่ะมีหรือยัง หาได้หรือเปล่า อ่อ สงสัยไม่มีใครเอาเลยคบกันอยู่แค่สองคน ถ้าจะให้ผมแนะนำนะ เบี้ยนกันไปดิจะได้ไม่ต้องไปเป็นภาระของผู้ชาย ไม่ต้องไปเป็นภาระของเด็กที่จะเกิดมาจากคนไร้สมองอย่างพวกคุณ!”

           “ทะ โทน …”

           “อ้าว น้าเกื้อ สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักทายน้าเกื้อที่เดินเข้ามายืนข้าง ๆ ผม ตากลมของเขามองไปทางพ่อโทนอย่างอึ้ง ๆ ก่อนจะนั่งหันมารับไหว้ผมก่อนชี้ไปที่พ่อโทนอย่างตั้งคำถาม

           “สวัสดีครับไม้ … โทนทำอะไรน่ะ ไปว่าเขาแบบนั้นได้ยังไง”

           “หึหึ ไม่มีอะไรหรอกครับ น้าเกื้อก็รู้ถ้าพ่อโทนไม่โดนกระทำก่อนคงไม่เกเร”

           “อะ อืม … พี่ครับ ผมขอเมนูด้วยนะครับ” น้าเกื้อขานรับผมก่อนจะหันไปบอกบริกรที่เข้ามาเสริฟอาหารพอดิบพอดี ก่อนที่บริกรที่จะแก้มแดงไปถึงหูเพราะใบหน้าดวงสวยของน้าเกื้อที่เฉิดฉายขึ้นก่อนจะโค้งรับและเดินไป

           ผมมองพ่อโทนที่ทำหน้ายักและกำลังเทศแม่สองสาวอย่างดุเดือดจนทั้งสองถลาเข้ามากอดกันอย่างกลัว ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปโอบไหล่พ่อโทนเอาไว้ เขาชะงักก่อนจะหันมามองผม และเชิดหน้าไปทางอื่น อย่างแง่งอน

           “กรุณาขอโทษเขาด้วยนะครับ ไม่งั้นเขาคงไม่ยอมหยุด”

           “ขะ ขอโทษค่ะ”

           “แล้วกรุณาจำเอาไว้ด้วยอย่าไปดูถูกใครเขาอีก”

           พ่อโทนทิ้งท้ายก่อนจะเดินกระแทกส้นมานั่งที่โต๊ะข้างน้าเกื้อที่ยื่นมือมาลูบหลังให้ใจเย็นลง พอพ่อโทนเดินไป แม่สองสาวก็รีบเก็บข้าวเก็บของเดินออกไปจากร้านไม่วายอวดดีบ่นจะเอาเรื่องอย่างโน้นอย่างงี้อีก ผมมองตามและถอนหายใจออกมาเบา ๆ คนแบบนี้ก็มีในโลกด้วยแฮะ

           “มันน่าโมโหชะมัด”

           “เอาน่าพ่อโทน อาหารมาแล้ว ทานกันดีกว่านะครับ” ผมเลื่อนข้าวคลุกน้ำพริกกะปิโรงแรมหรูไปตรงหน้าพ่อโทน หึหึ มีโรงแรม 6 ดาวเพื่อกินข้าวคลุกกะปิ พ่อโทนของผมนี้น่ารักจริงๆ

           “มึงอ่ะ ไม่ช่วยกูด่าเลย” พ่อโทนทำจมูกบานใส่ผมก่อนจะตักข้าวเข้าปากคำโต น้าเกื้อมองอย่างยิ้ม ๆ ก่อนจะสั่งข้าวมาทานบ้าง

           “ให้ผมไปด่าผู้หญิงได้ยังไงละครับ” ผมว่าและกลับมาหันสเต็กหมูของตัวเองใส่ไปในจานของพ่อโทน เขาหันมามองผมตาเขียวแก้มป่อง จิ้มเนื้อหมูเข้าปากเบ้บ่นไปกินไปสนุกสนาน

           “งั้นกูก็ด่าไม่ได้เพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่เสียใจด้วยด่าไปแล้ว”

           “หึหึ สำหรับพ่อโทนกับน้าเกื้อ เป็นกรณียกเว้นครับ”

           “เดี๋ยวมึงจะโดนไอ้ห่า กวนตีนกูเข้าไปสิวัน ๆ อะ”

            พ่อโทนเอาส้อมชี้หน้าผมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม  จะว่าไปพ่อตัวเล็กของผมกับน้าเกื้อก็แตกต่างกันเลยนะครับ ทั้งหน้าตาและนิสัย พ่อโทนจะออกแนวน่ารักกวนๆ มาดแมนแฮนซัม(?) ส่วนน้าเกื้อจะหน้าสวย กิริยาอ่อนหวาน สเป็คปู่ทายเขาละ

           “มองหน้าอยู่ได้” พ่อโทนบ่นออกมานิดๆก่อนจะจิ้มเอาแครอทจานผมไปเคี้ยวเป็นกระต่าย



====================



เกือบได้รวบหัวรวบหางแล้วอีกนิดเดียว //ตบเข่า



หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH20พาพ่อโทนเข้ากรุง}28/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 29-04-2020 00:09:39
โอ้ยยยยย!! เกือบแล้ว เกือบแล้วไอ้ไม้
้เกือบได้เมีย  :hao6:
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH21ความโลภนำพาความแค้น}29/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 29-04-2020 12:10:36

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 21 ความโลภนำพาความแค้น



           “เดี๋ยวระหว่างนี้ผมไปบริษัทหน่อยนะครับ”


   ผมขยับเนคไทของคุณพ่อตัวเล็กให้เข้าที่หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ ก็เตรียมความพร้อมให้เด็กน้อยของผม ก่อนเข้าไปในงานสัมมนา ตาโต ๆ ที่กำลังเซมองไปทางอื่น หันมามองผมตาโตก่อนจะทำปากยื่นโวยวายออกมา

           “ไปทำไมอะ นี้บริษัทในกรุงเทพสร้างเสร็จแล้วเหรอ ทำไมกูไม่รู้ กูนึกว่ามึงแค่วางแปลนไว้เฉยๆ”

           “เสร็จมาสักพักแล้วครับ พอดีมีปัญหานิดหน่อย ไม่ต้องห่วงนะครับ” ผมว่าและก้มลงไปหอมหน้าผากน้อยของเขา มือเล็กทุบที่อกผมเบา ๆ หึหึ น่ารักจัง

           “ใจกูไม่ดีเลย” เขาแสดงความเป็นห่วง

           “เป็นอะไรครับ ใจไม่ดี”

           “มึงมีปัญหากับใครก็ไม่รู้อยู่” เขาเม้มปากอย่างหนักใจก่อนพูดต่อ “กูกลัวว่ามึงจะเป็นอันตราย”

           “หึหึ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ 2-3 ชั่วโมงแค่นั้นเอง ไม่ต้องเป็นห่วงไม้นะ กลับมาผมจะซื้อขนมเค้กมาด้วย โอเคไหม” ผมเกลี่ยผมข้างหน้าเขาที่เริ่มยาวมาคลอเคลียใบหน้าของเขาอย่างเบาพลางก้มลงไปถามย้ำ

   “พ่อโทนชอบเค้กนมสตอเบอรี่ใช่ไหมครับ” เขาทำแก้มป่องและถอนหายใจออกมา ก่อนจะยอมพยักหน้า

           “มึงถึงแล้วโทรหากูนะ” หึหึ นี้เด็กน้อยของผมงอแงอะไรเนี้ย

           “ครับ” ผมรับคำ

           “ออกจากที่ทำงาน ก็ต้องโทรนะ”

           “หึหึ ครับ”

           “แล้วพรุ่งนี้พากูไปดูบริษัทมึงด้วยนะ”

           “โอเคครับ”

           “ต่อจากนี้ต้องเล่าให้กูฟังทุกเรื่องนะ … ได้ไหม”

           “แน่นอนที่รัก” ผมว่าและก้มลงไปจุ๊บเบา ๆ ที่ริมฝีปากสีอ่อนอย่างหยอกเย้าเอาใจ วางมือลงบนแก้มใสลูบไปมาอย่างปลอบปะโลมคนคิดมาก

           “อื้อออออออ อึก กะ เกินไปแล้วนะ”

           “เข้างานเถอะครับ เดี๋ยวจะสายเอานะ” เขาพยักหน้าขานรับในลำคอ ยังไม่วายขมวดคิ้วจนย่น

           ผมจับมือพ่อโทนกระชับแน่น พามาส่งที่ห้องสัมมนา ยืนมองแผ่นหลังเล็กที่หันมามองเป็นระยะ ๆ ผมยิ้มและโบกมือให้เขา ก่อนจะหันหลังเดินออกมา พอพ่อโทนคาดสายตาจากผม ชายร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีดำ ลูกน้องที่เลขาผมส่งมาดูแลความเรียบร้อยภายในโรงแรม ก็เร้นกายออกมาจากที่ลับตาคน ผมเป็นคนออกคำสั่งเองว่าไม่ได้ปรากฏตัวให้พ่อโทนหรือคนที่รู้จักของผมเห็น เดี๋ยวจะเป็นเรื่องซะเปล่า ๆ

           “เดี๋ยวฉันจะเข้าบริษัท จัดกำลังดูแลที่นี้ให้ดี อย่าให้คนของฉันเป็นอะไรเด็ดขาด”

           “ครับนาย”

           หมอนั้นโค้งรับคำสั่งผม ในขณะที่ผมเดินเลี่ยงมาที่ลานจอดรถ ระหว่างทางที่เดินก็จะพบลูกน้องของผมอยู่ในโรงแรมไม่ต่ำกว่า 20 คน บางคนก็ปลอมเป็นเด็กเสริฟ บริกรที่ดูแลสถานที่ต่าง ๆ โรงแรมนี้บังเอิญอยู่ในลิสต์ผู้ร่วมหุ้นของบริษัทอริมณีด้วยเลยง่ายต่อการดูแลและแน่นอนทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้ดูแลผม แต่ผมมอบหมายให้ดูแลหัวใจของผมต่างหาก



ครืดดดดดด ครืดดดดดดดดดด



           ผมยิ้มออกมาทันทีที่โทรศัพท์ที่ผมถืออยู่มีสายเรียกเข้าจากคนตัวเล็กที่ผมคิดว่าตอนนี้เขาคงอยู่กับเพื่อนร่วมงานสนุกสนาน แต่ดูเหมือนความเป็นห่วงและคิดมากของเค้าจะมากซะจนทำอะไรไม่สนุกสินะ หึหึ จะทำให้ผมหลงไปถึงไหนที่รักของไอ้ไม้

           “อยู่ไหน” ยังไม่ทันจะกดรับสายดี เสียงเข้มก็รอดออกมาทำให้ผมชะงักนิด ๆ ดูเหมือนเขาจะเป็นห่วงผมเอามาก ๆ 

           “ลานจอดรถชั้น 2 ครับ”

           “รออยู่ตรงนั้นละ ห้ามไปไหนนะ!!!!”

           ว่าแล้วก็วางไป … ผมยืนยิ้มกับโทรศัพท์ของตัวเองก่อนจะจุดบุหรี่พิงกำแพงที่อยู่ใกล้ ๆ รอพ่อโทนอย่างไม่รีบร้อน ไม่เกิน 5 นาที บุหรี่ที่สูบเป็นมวนที่ 2 ก็ถูกกระชากออกจากปาก และถูกเท้าเล็กกระทืบซ้ำอีกต่างหาก ดูเอาเถอะคนปากแข็ง ปากก็ชอบโวยวายแต่เอาจริง ๆ ก็ทั้งรักทั้งห่วงผมยิ่งกว่าอะไร หึหึ

           “พ่อมึงสั่งสอนให้สูบหรือไง” ผมยิ้มรับ ไม่ตอบอะไร ขณะที่คนตัวเล็กกว่าโมโหกระฟัดกระเฟียดเหยียบซ้ำจนมันแบน “ฮึ้ย ยังจะมายิ้มอีก อยากโดนดีหรือไงวะ!!!”

   ผมก้มลงไปรวบพ่อโทนมากอดเอาไว้แน่นทำให้เขาคลายอารมณ์โกรธลงได้บ้าง เกยคางไหล่เล็กอย่างทะนุทนอม ลอบมองเห็นลูกน้อง 4-5 คนที่กำลังวิ่งเข้ามาหาจากด้านหลังเขา ก่อนโบกมือไล่ให้อย่ามาทำเสียงบรรยากาศ พวกนั้นเบาฝีเท้าลงก่อนโค้งรับและหลบฉากไปทันที หึหึ ดูท่าคนตัวเล็กของผมจะทำให้ลูกน้องของผมวิ่งตามกันให้วุ่นเลยสินะ

           “มึงนี้เอะอะกอด เอะอะจูบ เอะอะม่อกู สรุปไม่เห็นกูเป็นพ่อแล้วใช่ไหม” พอเราผละออกจากกันพ่อโทนก็ดีดจมูกผมไปหนึ่งทีก่อนที่แก้มแดงๆ ตรงหน้าทำให้ผมอยากจะลวนลามพ่อโทนต่ออีกนิด

           “ผมไม่เคยคิดว่าพ่อโทนเป็นพ่อมาตั้งแต่เราเจอกันแล้วครับ” เขาส่งเสียงฮึดฮัดผละปผมออกอย่างแง่งอน  “แต่ผมเห็นว่าพ่อโทนเป็นหัวใจของผม” เขาย่นปากก่อนจะก้มหน้าลงพื้นนิ่งไม่กล้าสบตากัน หึหึ เกิดอะไรขึ้นเนี้ย ทำไมไม่โวยวายเหมือนปกติ

           “ขึ้นไปงานเลี้ยงดีกว่านะครับ”

           “ฮึ … ไปด้วย” หัวเล็กส่ายไปมาก่อนจะพึมพำพูดเหมือนกระซิบกับมดที่พื้น

           “ไปทำไมครับ อยู่นี้ละเดี๋ยวผมก็กลับมาแล้ว”

           “ไม่เอา …”

           “มีอะไรครับ หึ ไหนบอกไม้สิ” ผมย่อตัวลงไปให้ตัวเสมอกับพ่อโทน ที่ยืนก้มหน้าจับชายเสื้อของผมเอาไว้แน่น หน้าขาวเงยมองผมก่อนที่แววตาจะลั่นระริกพูดตะกุกตะกักออกมา

           "... แต่ กะกู กลัวมึงมีเรื่อง"

           "หึ ...ไม่มีหรอกครับ"

            "แต่..."

 เอี๊ยดดดดดดดดดดดดด

           เสียงล้อเบียดกับถนนดังสนั่นไปทั่วบริเวณพอดิบพอดีกับที่ผมมองไปเห็นมอเตอร์ไซค์คันสีดำที่มีคนคนขับและซ้อนอยู่ใต้หลักกันน็อคติดฟิมล์ทึบและเสี้ยววินาทีต่อว่าพวกมันก็ชักปืนออกมาจากขอบกางเกง … บัดซบเอ้ย!!!!!!



 เปรี้ยง!!!!

 

 

           "ไม้!!!!!"

           เสียงของพ่อโทนดังสนั่นดังกว่า ทำให้ผมรวบเขามากอดเอี้ยวหลังใช้ตัวกำบังพ่อโทนเอาไว้ แผ่นหลังเล็กติดแนบชิดกับเสาทำให้ผมสบายใจว่าจะไม่มีภัยอันตรายไปถึงเขา ทั้งหมดเป็นกลไกของร่างกายที่ผมเคลื่อนไหวไปตามสัญชาติญาณตัวเอง

 

เปรี้ยง!!!!



โครม!!!!

           ผมไม่ลังเลที่จะเอาคืน คว้าเอาปืนที่อยู่ในเสื้อสูทออกมาลั่นไกไปที่ด้านหลังของไอ้พวกจังไรที่ปองร้ายผมในขณะที่พ่อโทนอยู่ด้วย กระสุนเจาะเข้ากลางหลังของไอ้คนซ้อน ก่อนที่เสียงโหยหวนของมันจะดังขึ้นและรถของพวกมันก็เสียหลังส่ายไปมาจนล้มลงไปทับมันทั้งสองคนกองอยู่กับที่ หึ … ต้อนรับกันอย่างงี้เลยสินะ ไอ้พวกไม่รู้จักพอ

           “อ๊ากกกกกกกกกกก”

           “ชู่ว ไม่มีอะไรครับ” เสียงของพวกมันทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดของผมกอดและซุกหน้าเข้ากับอกของผมแน่นเกร็งตัวแข็งไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ผมวางมือลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลของพ่อโทนกอดปลอบปะโลมทิ้งปืนลงข้างกายอย่างไม่ใยดี …

           “นายน้อยไม่เป็นไรนะครับ” ลูกน้องนับสิบของผมวิ่งกรูกันเข้ามา ผมจะเจ็บจะปวดไม่ได้เพราะพ่อโทนจะขวัญเสียไปมากกว่านี้

           “ไม่”

           ผมว่าและอุ้มพ่อโทนขึ้นมาในท่าอุ้มเด็กน้อยโดยใช้มือข้างหนึ่งช้อนก้นเขาเอาไว้กันตก กดศีรษะไม่ให้มองเห็นเหตุการณ์เบื้องหลังของพวกเรา ก่อนเดินออกมา เสียงสะอื้นดังขึ้นจนผมรู้สึกสงสาร … สำหรับพ่อโทนอะไรทุกสิ่งทุกอย่างตอนนี้ใหม่ซะหมด แต่สำหรับผม มันเป็นเรื่องที่ธรรมดา เพราะอยู่ที่ต่างประเทศ ผมเองก็ถูกปองร้ายอยู่บ่อยครั้งจากผู้ขัดผลประโยชน์ มันทำให้ผมรู้ว่าตัวเองเข้าสู่วงการสีเทาแล้วอย่างเต็มรูปแบบ ต่างจากตอนที่พ่อและแม่ผมยังอยู่ เมื่อเวลาเปลี่ยน ธุรกิจขาวถูกความโลภเข้าครอบงำ … มันจึงแปรสภาพไปเหมือนฝัน … และนี้คือมรดกที่ผมมี อำนาจ เงิน … และความแค้น

           หึ แต่ต่อจากนี้ ไอ้พวกสารเลวคงต้องชดใช้เวรกรรมที่ก่อเอาไว้อย่างสาสม …

.

.

.

           ร่างสูงกระชับกอดคนตัวเล็กเอาไว้แน่น เสียงสะอื้นนั้นทำให้เขาปวดร้าวไปทั้งใจ โดยไม่ทันสังเกตว่าตัวเองก็มีแผลจากการถูกกระสุนถากที่ต้นแขนด้านซ้าย ยังถือเป็นโชคดีที่กระสุนไม่โดยจุดสำคัญ ขาทั้งสองข้างก้าวอย่างมั่นคง เดินเข้าไปในโซนของโรงแรมเพื่อพาร่างสั่นเคลิ้มที่เกาะเขาเอาไว้แน่นในอ้อมแขนขึ้นไปยังห้องพักของทั้งสอง

           “ไม้มีอะไรหรือเปล่า และโทนเป็นอะไร เรามีแผลด้วยนี้ไปเจออะไรมา” เสียงหวานของเกื้อดังขึ้นอย่างตื่นตระหนกเมื่อตนเห็นว่าโทนออกมานานและตั้งใจจะออกมาตามหา แต่ดันเจอทั้งสองคนในสภาพนี้ซะก่อน

           “ไม่มีอะไรครับอาเกื้อ ผมพาพ่อโทนขึ้นห้องก่อน ฝากน้าเกื้อดูงานให้พ่อโทนด้วยนะครับ”

           “อะ โอเค ไม้ไม่เป็นไรนะ ถ้ายังไงโทนหายงอแงแล้วบอกให้โทรหาอานะ”

           ร่างสูงพยักหน้ารับเกื้อที่เอามือลูบหลังของโทนอย่างเอ็นดู ก่อนที่ลูกไม้จะกระเตงพ่อขึ้นมาบนห้องโดยไม่สนใจว่าเลือดของตัวเองจะหยดเป็นทาง และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนเดินตามมาทางด้านหลัง คอยอารักขาทั้งคู่เผื่อมีอะไรที่พอจะช่วยได้อย่างเต็มความสามารถ

           ทันทีที่คีย์การ์ดสับลง ไฟทั้งห้องก็สว่างขึ้น ร่างแกร่งพาเด็กน้อยที่อยู่ในชุดกาวน์ขาวสะอาด วางไว้บนโซฟาอย่างเบามือ ก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงตรงหน้าคนที่ก้มหน้านิ่ง เอาแต่ร้องไห้ไม่พูดจา มือใหญ่ยกขึ้นลูบไปตามโครงหน้าเรียวที่เขาหลงใหล ดวงตาแดงกล่ำเขลอะไปด้วยคราบน้ำตาจะเงยขึ้นมามองเขาด้วยความรู้สึกที่สับสน

           “มะ มึง … ฮึก เลือดออก ไม่เอาแล้ว กะ กู ไม่ให้มึงมากรุงเทพแล้ว ฮึก อันตราย ฮึก ไม่เอาแล้ว”

           มือเล็กลูบไปที่แขนข้างซ้ายที่บาดเจ็บของลูกชาย ก่อนจะโถมใช้แขนเล็ก ๆ ทั้งสองข้างกอดคอร่างสูงเอาไว้ ทำให้ลูกไม้ต้องโน้มตัวมาซุกอกเล็กที่กำลังสะอื้นเหมือนจะขาดใจ

           “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เป็นไร”

           “เดี๋ยวไปทำแผลนะ ฮึก ทำแผลก่อน ไม่เอาแบบนี้ ไม่เอาแล้ว แค่ 6 ปีที่มึงจากกูไป กูก็แทบจะตายแล้ว กูไม่เอาแบบนั้นอีกด้วย” เสียงสะอื้นนั้นทำให้ไม้เผลอน้ำตาไหลไปด้วย พ่อโทนเช็ดน้ำตาให้ร่างแกร่งก่อนจะจูบลงที่กระหม่อมของไม้ ดึงเข้ามากอดอย่างหวงแหน ทั้งสองคนไม่พูดจากันอีก ปล่อยให้ร่างกายและหัวใจสัมผัสถึงความอบอุ่นที่ระคนไปด้วยสถานการณ์ที่แสนจะหน่วงหัวใจของทั้งสองคน



-โทน-



           “โอ้ย! เจ็บนะครับพ่อโทน”

            เสียงไอ้เด็กบ้าที่นั่งถอดเสื้อโชว์ซิกแพคอันน่าอิจฉาอยู่ข้าง ๆ ผม บนโซฟาดังขึ้นเบื้องหน้าบนโต๊ะที่อุปกรณ์ทำแผลที่ขอจากโรงแรมวางเต็มไปหมด ทำให้ผมชะงักสำลีราดแอลกอฮอล์ทำความสะอาดแผลอยู่ ดูดิโดนยิงไม่เห็นจะบ่นมาบ่นตอนทำแผล เชอะ นี้แหนะ! ไม่ยอมไปหาหมอดีนัก ดีนะไอ้โทนเรียนหมอมา ถึงจะหมอหมาก็เถอะ

           “เจ็บสิดี บอกให้ไปหาหมอก็ไม่ไป”

           “ไปให้พวกมันยิงอีกหรอครับ” ผมย่นปากกับคำพูดทีเล่นทีจริงของไอ้ไม้ ก็จริงของมัน ขื่นออกไปตอนนี้ได้เป็นเป้านิ่งให้มันยิงอีก ก่อนจะทำแผลไปเงียบๆ

           ผมไม่อยากถามอะไรทั้งนั้น … ถ้าไอ้ไม้อยากจะเล่า คงจะเล่าให้ผมฟังเอง ทั้งเรื่องบริษัทเปิดใหม่ที่กรุงเทพ หรือจะเรื่องที่โดนยิงเหมือนในหนังงี้อีก … ถ้าไอ้ไม้คิดว่าผมไม่ควรรู้ ผมก็จะไม่อยากรู้ เพราะยังไง ผมก็เลี้ยงมันได้แค่ตัว แล้วอีกอย่างผมก็รู้ดีว่ากำพืดแท้จริงของไอ้เด็กแก่แดดนี้ไม่ธรรมดา ช่วงเวลา 6 ปี มันต้องฝ่าฟันอุปสรรค์นานาที่ผมคาดไม่ถึง … แต่ยังไง ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ ผมเจ็บที่เห็นมันเจ็บ ผมแค้นที่เห็นมันโดนทำร้าย จนอยากที่จะฆ่าไอ้คนที่ทำ … นี้โชคดีแค่ไหนที่ไอ้ไม้ไม่เป็นอะไรมาก ถ้าเป็นมากกว่านี้ผมคงจะเป็นบ้าแน่ๆ

           “มีคำถามเยอะเลยใช่ไหมครับพ่อโทน”

           “อือ” ผมพยักหน้า แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาทำแผลต่อไป ทั้งที่ขอบตาผมเองร้อนผ่าวและเหมือนจะลืมไม่ขึ้นเพราะร้องไห้สาวแตกมากไปหน่อย ถึงผมจะห้าวแค่ไหนก็ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ยิงกันแบบนี้นี้หว่า

           “เอาไว้ เรากลับบ้านกันก่อนและผมจะบอกโอเคไหมครับ”

           “ทำไมบอกตอนนี้ไม่ได้” ผมถามเสียงนิ่ง ก่อนจะหยอดยาอย่างเบามือ เอื้อมตัวหยิบผ้าพันแผลสีขาวสะอาดออกมาวางเตรียมเอาไว้ นี้เป็นการทำแผลแบบช่วงคราว พรุ่งนี้ไอ้เด็กนี้ต้องไปทำแผลที่โรงพยาบาลที่มีเครื่องมือพร้อมมากกว่านี้

           “เอาไว้ให้ผมจัดการทั้งหมดก่อนดีกว่านะ”

           “อือ ก็ไม่สำคัญอยู่แล้วไม่ต้องบอกก็ได้”

หมับ !

           ผมถลาตามแรงกระชากไปเกยกับอกแน่นของไอ้ไม้ก่อนที่ความรู้สึกอ่อนวูบจะสัมผัสเข้าที่กระหม่อมของผมนิ้วเรียวของมันเชยคางผมขึ้นไปสบตา ก่อนที่ ริมฝีปากหนาก่อนจะบรรจงจูบที่ขมับลามมาถึงแก้มทั้งสองข้างและจมูกของผม ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าทุกอย่างมันเหมือนถูกสะกดเอาไว้ … ผมกำลังหลงกลไอ้ราชสีห์หุ้มหนังกระต่ายอยู่ใช่ไหม

           “หึหึ สำคัญสิครับ”

           สิ้นเสียง ริมฝีปากคู่ก็ประทับลงบนปากของผม ด้วยความโหยหาและหวาดกลัวผมลืมตัวไปในช่วงขณะปล่อยให้ลิ้นชื้นแฉะนั้นไล่ต้อนตวัดลิ้นของผมอย่างอ่อนโยนและเร้าร้อนไปพร้อมกัน แขนทั้งสองข้างตวัดรัดตัวผมเข้าไปกอดอย่างหวงแหน เราทั้งสองต่างลืมความเจ็บปวดต่าง ๆ ไปช่วงคราว …

           “รักนะครับ” เสียงกระซิบนั้นทำให้ผมหน้าร้อนวูบวาบ ก่อนที่มันจะจู่โจมจูบผมอีกรอบ รอบนี้ผมไม่ยอมแพ้หรอก จูบมาจูบกลับไม่โก  นี้ใคร นี้โทนนะ ไม่ได้อ่อนปวกเปียกนะจะบอกให้!

           “อื้อ พอแล้ว!” ผมดันอกไอ้เด็กบ้าออกเมื่อเห็นว่ามือปลาหมึกของมันจะล้วงเข้ามาในเสื้อของผม ตีแขนข้างที่เป็นแผลไปหนึ่งที มันร้องโอดโอยอย่างตอแหล หึ คนบ้าอะไรเจ็บและยิ้มแบบนั้น กะล่อน!!!!!!!

           “ติดไว้ก่อน” ผมว่าและจุ๊บเบา ๆ ที่จมูกโด่งเป็นสัน ไม่ให้มันน้อยเนื้อต่ำใจไปมากกว่านี้ และคิดว่าเป็นรางวัลให้คนที่ปกป้องผมแล้วกัน หึ … แต่จะว่าไปไอ้เด็กนี้มันเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ติดไว้ก่อน’ หรือเปล่า ผมหมายถึงจูบนะ ไม่ใช่อย่างอื่น

           “ไว้กลับไปบ้าน จะเอาคืนนะ จ๊วบบบบ”

           “อ๊ากกกกกกกกกกก ดูดคอกูหาพ่องงงงงงงงงงงงง” ผมตะโกนลั่นเมื่ออยู่ๆมันก็ก้มมาดูดคอผม เป็นรอยแน่ๆ ไอ้บ้าๆๆๆๆๆๆ ไอ้กะล่อนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!!!

           “พ่อโทนฮะ รู้ใช่ไหมผมรักและห่วงพ่อโทนมากแค่ไหน”

           หลังจากที่รังแกทุบตีมันเสร็จก็นั่งทำแผลให้มันจนเสร็จ ก่อนที่ผมจะโดนรวบเข้าไปกอด นั่งเกยอยู่บนตักหันหน้าออกพิงหลังลงกับบอกแกร่งโดยมือคางมนของมันวางเกยอยู่บนไหล่ของผม ลมหายใจของเราแทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน … ผมอบอุ่น … และรู้สึกโหยหาอ้อมกอดนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่อยากให้หายไป … ไม่อยากให้ห่างกาย เพราะกลัวว่าถ้าผมออกจากอ้อมแขนนี้ ทุกอย่างมันจะสูญสลายไปอีก ถึงเวลานั้น ผมคงทำใจไม่ได้ …

           “เท่ากับที่กูห่วงมึงหรือเปล่า”

           “หึหึ … ไม่รู้สิครับ แต่ไม้มอบทั้งชีวิตให้พ่อโทน มอบทั้งหัวใจไว้แทบเท้าของพ่อโทน” น้ำเสียงของมันปลอบประโลมอ่อนหวานออดอ้อนปนเปไปพร้อมกับความแข็งแกร่งจนผมแทบละลาย

           “…” กูก็ไม่ต่างกันหรอกไอ้ไม้ …

           “ผมขออะไรพ่อโทนหน่อยได้ไหม”

           “ถ้าไม่ทำให้กูเสียตัวก็ได้”

           “อะไรกัน ยังไม่ยอมไม้อีกเหรอ”

           “รอไปก่อน” ผมว่าและกัดไปแขนข้างที่ไม่เจ็บของมันไปเบา ๆ … เขินนะว้อยยยยยยยยยยย มึงไม่มาเป็นกูมึงไม่รู้หรอก!!!

           “เท่าที่ต้องการครับ” ว่าแล้วมันก็เอี้ยวตัวมาหอมผมหนึ่งทีก่อนจะซุกไซไปตามลำคอของผมอย่างถือสิทธิ์เอาไว้ก่อน

           “อยากเหรอ” ผมกลั้นใจถามมันเบา ๆ เสียงในลำคอของมันขานรับผมแต่ยอมที่จะเงยขึ้นจากลำคอของผม … มึงจะหลงอะไรกับคอกูนักหนาเนี้ย!!!!

           “มะ มึงเข้าไปใช้ ห้องน้ำไหม ?” ผมถามมันซ้ำอีก ย่นคอหนี แต่มันไม่ยอมเลิกหื่นจับหัวผมให้อยู่นิ่งด้วยมือข้างเดียว สัด! เห็นกูเป็นพระอิฐพระปูนไงวะ!!!!

           “มะ มึง เดี๋ยวเป็นรอย”

           “ก็ดีจะได้รู้ว่าคนนี้มีเจ้าของ” มันเงยหน้าขึ้นมาตอบ ก่อนจะยกตัวผมขึ้นจับหมุนไปสบตากับมัน เราจ้องตากันอยู่นานสองนานก่อนจะเป็นผมที่ละสายตาไปก่อน อะ ไอ้บ้า มึงหื่นอ่ะ กูเขิน

           “นะครับ … แค่ภายนอกนะ”

           “กูเขิน”

           “หึหึ น่ารัก” มันยกตัวผมลอดขึ้นในท่าเด็กน้อย ด้วยความตกใจผมเลยคว้าคอมันไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนที่มันจะพาผมเข้ามาในห้องด้านใน … สัด … แพนกล้องไหมล่ะมึง ?

.

.

.

           ภายในห้องในโรงแรมหรูกลางเมือง ร่างบางของพ่อโทนอยู่ใต้ผ้าห่มหนาดวงหน้าน่ารักหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดู ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ เสื้อผ้าถูกผลัดเปลี่ยนเรียบร้อยหลังจากที่ตามใจร่างแกร่งที่ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เปลือยท่อนบนมองคนตัวเล็กที่อยู่ข้างกายอย่างสุขสมไปหลายต่อหลายรอบถึงจะเป็นเพียงการสัมผัสกันแค่ภายนอก แต่ถือว่าเป็นผลกำไรสำหรับการรอคอยที่ยาวนานมากแล้ว มือหนาที่โอบศีรษะร่างน้อยเอาไว้ลูบไปมาที่แก้มนวลอย่างเบามือเหมือนเล่นกับสัตว์ตัวน้อย ๆ ก่อนจะก้มลงหอมขมับอย่างรักใคร่

            “ผมต้องไปทำธุระก่อนนะครับ แล้วในตอนเช้าทุกอย่างจะเรียบร้อย” เสียงกระซิบนั้นคงดังไปไม่ถึงภวังค์ของความฝันของคนตัวเล็ก

           ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงนอนอย่างเบากริบ ปล่อยให้สุดที่รักอยู่บนเตียงเพียงลำพัง เขาจัดการใส่เสื้อผ้าโดยไม่ให้มีเสียงดังเกิดขึ้น จนอยู่ใต้เครื่องแต่งกายเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสะอาดพอดีตัวพับแขนขึ้นในระดับข้อศอก กับกางเกงยีนต์ขายาวเข้ารูป ดวงตาคมชัดมองตัวเองที่ยืนจ้องเงาเขม็งสะท้อนใบหน้าเรียบเฉยดวงตาทะมึนทึบไร้ความปราณีก่อนที่ริมฝีปากหนาจะยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างเหยียดหยาม นาฬิกาสีเงินถูกบรรจงใส่อย่างใจเย็น

   เมื่อออกมาภายนอกห้องรับแขก ร่างแกร่งที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ถลาลุกขึ้นยืน ใบหน้าเรียบเฉยใต้แว่นตาไร้กรอบนั้นจ้องมองมาที่เขาก่อนจะโค้งให้หนึ่งทีเป็นการเคารพ

           “ทุกอย่างพร้อมแล้วครับนาย”

           “หึ … ขอบใจมากไอ้ปราณ … ไปเยี่ยมมันกันสักหน่อยสิ”

           ไม้ หรือนายน้อยฟ้าคราม เดินนำออกมาจากห้องโรงแรมหรูซึ่งตอนนี้ทั้งชั้นถูกปิดทั้งชั้นรักษาความปลอดภัยโดยคน ยืนตามจุดต่าง ๆ ซึ่งเปิดใช้แค่ 2 ห้องคือห้องของโทนและเกื้อ ที่อยู่ติดกันและตอนนี้ทั้งสองก็นอนหลับใหลอยู่บนเตียงกว้าง

           ขายาวก้าวไปตามทางที่คนของอริณมณีโค้งคำนับ ดวงตาลุกโชน ริมฝีปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ หมดเวลาของเขาในคราบกระต่าย ได้เวลาที่คมเขี้ยวของราชสีห์ที่ซุ่มจู่โจมจะเข้าตะปบเหยื่อผู้น่าสงสารกันสักที 

หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH21ความโลภนำพาความแค้น}29/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 29-04-2020 12:12:01

 

           ย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปี ก่อนที่เรื่องราวอันน่าสะเทือนใจจะเกิดขึ้น สายลมที่พัดเอาดอกอ้อจากข้างคันนาพัดปลิวไปตามสายลม เด็กชายอายุ 4 ขวบ นั่งอยู่บนบ่าแกร่งของผู้เป็นบิดาที่ร่างกายสูงใหญ่ใบหน้าคมสันราวกับภาพปั้นแม้อายุจะอยู่ในเลข 3 กลาง ๆ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ชายคนนี้หมองหม่นลงไปได้

           “อ้าว นายช่างพาคุณครามมาเดินเลยเหรอครับ”

           ตาแหวนที่กำลังทำความสะอาดเจ้าทุยคู่ใจอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ผลิดอกออกใบสวยงามดังขึ้น ทำให้ร่างสูงหันไปก่อนจะเหยียดยิ้มกว้างทักทายกลับไป ก่อนจะพาลูกชายไปหาตาแหวนที่กุลิวกุจอลุกขึ้นปัดกางเกงที่มอมแมมของตัวเองอย่างเก้ๆกังๆ ชายแก่เองก็ไม่คิดว่าผู้ดี จากเมืองกรุงที่ย้ายมาหาความสงบในบ้านนอกคอกนาได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ จะมีอัธยาศัยดีเหลือเกิน สมแล้วที่ชาวบ้านในตลาดเขาลือกันว่านายช่างเชษฐาและคุณหญิงดอกอ้อ ภรรยาของท่านทั้งสองว่าใจดีเหลือเกิน มีอะไรก็แบ่งสันปันส่วนให้บ้านใกล้เรือนเคียง ไม่มีการถือเนื้อถือตัวให้แคลงใจ มีข่าวลือหนาหูว่า นายช่างเชษฐานั้นจะเปิดโรงเรียนสอนเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วย

           “ครามไหว้ลุงเขาสิลูก” พ่อลูกอ่อนวางเด็กน้อยร่างป้อมลงกับพื้น เท้าน้อย ๆ ที่ปราศจากรองเท้าสัมผัสกับพื้นดินสาก แต่เจ้าเด็กน้อยไม่ได้มีท่าทีงอแงแต่อย่างใด ทำเอาตาแหวนหวั่นใจว่าผิวเนื้ออ่อนจะถูกเสี้ยนตำไปซะก่อน

           “สวัสดีฮับ” เสียงของเด็กน้อยที่ยังไม่ค่อยเป็นภาษานักดังขึ้นพร้อมพนมมือป้อม ๆ ตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ ตาแหวนหัวเราะร่ายิ้มให้เด็กน้อยอย่างเอ็นดู  เงยหน้ายกมือขึ้นไหว้นายช่างเชษฐาอย่างเกรง ๆ แต่ร่างสูงแกร่งกลับหัวเราะและยกมือไหว้ลงแหวนซะเอง

           “ลุงเป็นผู้ใหญ่จะมาไหว้ผมได้ยังไงละครับ ว่าแต่เจ้าทุยชื่ออะไรตัวมันใหญ่ล่ำสันเขาโค้งงอน ดูเป็นพ่อพันธ์ที่ดีได้เลยนะครับ”

           “อ่อ เจ้านี้ชื่อพ่อทองน่ะครับ อ่ะ นายน้อยอย่าเดินไปทางนั้นครับเดี๋ยวเสี้ยนตำตีน” ลุงแหวนร้องห้ามปรามนายน้อยตัวเล็กที่เริ่มซนเดินเตาะแตะไปทั่วตามภาษาคนบ้านนอก ทำเอาคนที่ยืนฟังหัวเราะร่า ก่อนจะยกมือขึ้นปรามลุงแหวนเอาไว้ ไม่ให้ถลาไปประคบประงมลูกชายตัวเอง

           “ปล่อยเขาไปเถอะครับ ปล่อยให้เขาได้เอาเท้าสัมผัสกับพื้นดินพื้นหญ้าบาง เพราะสุดท้ายตอนที่เราสิ้นใจร่างก็ต้องจมธุลีดินอยู่ดี ถือว่าเป็นการสั่นสอนให้เด็กคนนี้ได้เรียนรู้ด้วยตนเองเถอะครับ”

           “เอ่อ … ครับ”

   ตาแหวนที่ก้มต่ำก็เพิ่งสังเกตเช่นกันว่าคนเบื้องหน้าเองก็ไม่ได้สวมรองเท้าเฉกเช่นเดียวกับลูกชาย และนึกแปลกใจในการสอนที่แปลกประหลาดของพ่อหนุ่มตรงหน้าอยู่ไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความนับถือใจใหญ่ของเขาซะเหลือเกิน

   

“ฮึก แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”



           ไม่ทันขาดขำเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยจอมซนก็ดังขึ้น ทั้งสองที่คุยกันถูกคอหันไปมองพร้อมกัน ก่อนที่เชษฐาจะหัวเราะออกมาอีก เมื่อเห็นลูกชายที่สะอาดสะอ้านของเขาบัดนี้เนื้อตัวเต็มไปด้วยปักโคลนสำหรับเจ้าทองที่นอนหมอบนิ่งอยู่ใกล้ ๆ ตาคมของเชษฐาส่องแววมองไปยังเด็กหนุ่มวัยซ่าที่ยืนออกันอยู่ใกล้ ๆ แต่มีเจ้าตัวแสบหนึ่งคนที่ก้าวล้ำออกมา ชะโงกเอามืออุดหูตัวเองเพราะเสียงของลูกชายเขา แต่ปากสีลูกตำลึงอมยิ้มราวกับว่ากำลังดูเรื่องสนุกอยู่

           “ไอ้จิ๋วโง่เดินตกโคลน ฮิฮิ” เสียงแตกหนุ่มใสของเด็กชายวัย 9 ขวบ ในชุดนักเรียนประถมตัวเล็กน่ารักแต่ท่าทางเก๋า เอาเรื่องอยู่ดังขึ้นอย่างทะเล้นพร้อมกับสหายร่วมกระบวนอีก 3 หนอที่ถอยไปยืนกรูกันด้านหลัง

           “ไอ้โทน เดี๋ยวพ่อเขาก็มากระทืบมึงหรอก”

           “ก็กูไม่ได้ทำอะไรนี้หว่าไอ้ป๊อก แค่จะเข้ามาทักไอ้เปี๊ยกนี้ก็ล้มไปเอง โอ๊ย ลุงแหวนเขกหัวฉันทำไม” เด็กชายที่ทำคอไม่รู้ร้อนโดนมะเหงกเสียกบาลแทบแยกหน้ามุ่ย ดูกวนโอ้ยตามภาษาเด็กๆ

           “แสบนักนะเอ็ง ไป ๆ ไปขอโทษคุณเชษฐาซะ!” ร่างแกร่นของลุงแหวนตวาดเจ้าโทนวัยเด็กก่อนจะถลาเจ้าไปอุ้มนายน้อยที่ร้องงอแงอยู่ที่พื้นโคลนขึ้นมา

           “ซวยแล้วมึงไอ้โทน กูบอกให้ไปเล่นเกมที่ตลาดไม่เชื่อ เสือกอยากมานา เป็นไงละมึง”

           “อะไรวะไอ้ทิว ก็กูอยากเล่นปีนต้นไม้นี้หว่า ไปกับกูเลยพวกมึงอะ”

           เชษฐาหัวเราะรับเด็กน้อยที่ตัวเปื้อนโคลนให้มานั่งข้างๆ ตรวจดูแล้วร่างน้อยก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพียงแค่มอมแมมไปหน่อยเท่านั้นเองและเขาก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเจ้าหัวโจกทั้งหลาย และเข้าใจดีว่าเด็กพวกนั้นไม่ได้ตั้งใจ ทุกอย่างคืออุบัติเหตุเพียงแค่เจ้าโทนตัวเล็กซ่าไปหน่อยเท่านั้นเอง

           “ขอโทษนะลุง ฉันไม่ได้ตั้งใจ” เสียงของเจ้าโทนตะโกนมาก่อนที่จากคันนาด้านบน ที่ทั้งก๊วนไปกระโดดค่อมรถจักยานและปั่นออกไปแล้วด้วยความไวแสง

           “ข้าจะบอกไอ้ทายแน่ไอ้โทน!!!!” จักรยานคันที่โทนขี่อยู่เซนิด ๆ แต่ก็ประคองต่อไปได้ไม่หันหลังกลับมาให้ตาแหวนเขกหัวอีก

           “อย่าไปถือสามันเลยนะครับนายช่าง มันก็แบบนี้แหละจริง ๆ ก็เป็นเด็กดีไม่มีพิษมีภัยกับใคร”

           “หึหึ ครับ ผมเองก็ไม่ติดใจ เอาความอะไรอยู่แล้ว ดีซะอีกเด็กคนนี้ได้เจออะไรใหม่ ๆ บ้าง ผมต้องขอเอาเจ้าเด็กนี้กลับไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ลาครับลุง” เชษฐายกมือไหว้ตาแหวนก่อนจะพาลูกชายอุ้มขึ้นอยู่บนแขนข้างเดียวก่อนจะพาสาวเท้าเดินออกมาเพื่อกลับมายังบ้านอันสงบสุขของครอบครัวที่แสนจะสงบสุขที่เขาใฝ่ฝันจะให้ลูกชายเติบโตอย่างสมถะ

.

.

.

           เชษฐาพาลูกชายเดินเข้ามาในบ้านสวน ขนาดไม่เล็กหรือไม่ใหญ่ปลูกตั้งอยู่หลังกำแพงหนาสูงกว่า 3 เมตร พอที่จะเลี้ยงดูคนรับใช้ 2 ผัวเมียคนสนิท ศักดิ์และชะเอม พร้อมทั้งครอบครัวของเขาได้อย่างไม่ให้อึดอัด ต้นไม้น้อยใหญ่ถูกปลูกไว้อย่างร่มรื้นรอบเรือนปูนผสมไม้ผสมสไตล์ยุโรปร่วมสมัย การออกแบบวางแปลนรวมไปถึงการปลูกสร้างอยู่ใต้ความดูแลของนายช่างใหญ่ส่วนการตกแต่งทุกส่วนในบ้านก็แบ่งให้คุณหญิงดอกอ้อภรรยาสุดที่รัก

           “ตายแล้ว ลูกของน้องไปโดนอะไรมาคะเนี้ย”

           น้ำเสียงตกใจของหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ่มในชุดกระโปรงสีดอกลำดวน สวมผ้ากันเปื้อนทำครัวร้องขึ้นเมื่อเห็นสภาพของลูกชายตัวเองที่เดินแก้มแดกจมูกแดง รองเท้าไม่ใส่ทั้งพ่อทั้งลูก ตอนออกไปทั้งพ่อทั้งลูกก็สะอาดสะอ้านมีร้องเท้าใส่กันดี ๆ แต่ทำไมขากลับถึงเละเทะมาเช่นนี้ คุณหญิงดอกอ้อตั้งคำถามกับตัวเองในใจ มือขาวสะอาดสะอ้านวางถาดขนมไทยลงบนโต๊ะใกล้ ๆ ก่อนจะถลามาอุ้มลูกชายขึ้นไปแนบอก ปลอบประโลมอย่างรักใคร่

           “เดี๋ยวเราคุยกันแน่ค่ะพี่เชษ ป้าชะเอม อ้อ! ฝากดูครัวด้วยนะคะ” ร่างอรชรพาลูกน้อยขึ้นไปชั้นบนของบ้านเพื่ออาบน้ำอาบท่าให้สะอาดเอี่ยมเหมือนคราวก่อนออกไปจากบ้าน  ทำเอาผู้เป็นสามียิ้มแหยะ ๆ

           “ฟ้าคราม”

   เสียงทุ้มต่ำของเชษฐาที่นั่งอยู่ภายในซุ้มดอกกุหลาบ พร้อมกับภรรยาแสนสวยที่กำลังยกอาหารหลากหลายมาเสริฟบนโต๊ะด้านหน้า เด็กแสนซนที่นั่งเล่นดอกหญ้าอยู่ลุกขึ้นเดินเต๊าะแตะมาหาในเสื้อผ้าสะอาด แก้มเดงเต็งตึงยิ้มอย่างร่าเริงบริสุทธิ์ราวกับเมฆสีขาวที่ลอยอยู่บนฟากฟ้ายามที่ฟ้าสดใส

           “ฮับป๋อ”

           “พูดชัดๆสิลูก”

           “ฮับพ่อ”

           “หึหึ ครับ ไม่ใช่ฮับ”

           “หะ คะ ฮับ”

           “ฮ่าๆๆ ๆๆๆๆ มานี้มามานั่งตักพ่อมา” เจ้าตัวเล็กกระโดดอยู่ที่พื้นดึ๊ง ๆ เพราะขึ้นตักพ่อไม่ได้ อ้าแขนเล็กให้อุ้มขึ้นไปแต่ผู้เป็นพ่อกลับนั่งยิ้มดูท่าทีว่าลูกของเขาจะทำยังไง

           “เดี๋ยวเถอะแกล้งลูกอีกแล้วจะฝึกแกให้ไปเป็นยอดมนุษย์หรือไงคะ” ดอกอ้อพูดขำ ๆ ทำท่าจะถลาเข้าไปอุ้มเจ้าตัวน้อย แต่ผู้เป็นสามีร้องห้ามไว้เสียก่อน 

   ทันใดนั้นสองสามีภรรยาก็ต้องแปลกใจเมื่อร่างเล็กของเด็กชายวัย 4 ขวบ เดินไปลากเก้าอี้เล็ก ๆ มาทางเขาก่อนจะเลื่อนให้ชิดกับเก้าอี้ของผู้เป็นพ่อและปีนขึ้นมายืนพร้อมกับโถมตัวลงบนตักหนาของบิดายิ้มล่าจนแก้มปิด และค่อย ๆ ตะเกียดตะกายขึ้นมาด้วยตัวเอง โดยมีเชษฐาคอยจับประคองอยู่ไม่ห่างเพราะกลัวว่าจะตกพื้นไปหัวล้างค้างแตกซะก่อน

           “เย้” เจ้าตัวน้อยร้องออกมาอย่างดีใจเมื่อขึ้นมาอยู่บนตักแกร่งได้แล้ว ก่อนที่เชษฐาจะหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับภรรยาที่มองมายิ้ม ๆ

           “เราสองคนจะช่วยกันเลี้ยงดูเจ้าเด็กคนนี้ให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีนะครับ”

           “คะ …” ภรรยาสาวขานรับเสียงกระซิบของสามีอย่างอ่อนหวานก่อนจะนั่งลงทานข้าวพร้อมกันทั้งครอบครัวอย่างมีความสุขท่ามกลางเมกไม้ที่สวยงามและสงบสุขภายในบ้านสวนอันอบอุ่นแห่งนี้



           แต่ความสงบสุขนั้นไม่อาจอยู่คงทนเมื่อความโลภไม่เข้าใครออกใคร …



           “คราม! เสร็จหรือยังลูกเดี๋ยวจะสายเอานะครับ”

           “เสร็จแล้วครับแม่” เด็กชายที่เคยตัวจ้อย บัดนี้สูงโปร่งแขนขายาวขึ้นหลายเท่าอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อยสะอาดสะอ้านพร้อมที่จะเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนชั้นประถมศึกษาในเมืองเป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียน ถึงตัวจะสูงใหญ่กว่าเด็กรุ่นเดียวกันแต่เจ้าตัวเล็กก็ร่าเริงสมวัย สายตาคมส่อแววสดใสริมฝีปากจิ้มลิ้มสยายยิ้มอยู่ตลอดเวลา อย่างเด็กสุขภาพจิตดี

           “หึหึ หนุ่มน้อยของแม่หล่อเชียว เดี๋ยวให้คุณลุงศักดิ์ไปส่งนะลูกวันนี้มีแขกมาบ้าน พ่อกับแม่ต้องอยู่ต้อนรับ”

           “ครับผม คราม 8 ขวบแล้ว โตแล้วแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนายนะ” เด็กชายยิ้มล่าพูดอย่างภูมิอกภูมิใจในอายุที่มากขึ้นในทุกทีของตัวเอง ฟ้าครามหรือนายน้อยของตระกูลอยากโตขึ้นไว ๆ จะได้ดูแลแม่ดอกอ้อ และเป็นลูกมือให้พ่อนายช่างของตัวเอง ในตอนนั้น นายน้อยคิดเพียงเท่านั้นตามภาษาเด็กชาย

           “จ้า ๆ งั้นเดี๋ยวแม่ไปส่งที่รถนะ นี้ครับอาหารเช้าไปกินบนรถเนอะเดี๋ยวไม่ทัน” ข้าวกล่องหน้าตาน่าทานถูกส่งให้นายน้อยถือเอาไว้ด้วยตัวเอง

           “ขอบคุณครับ ว่าแต่พ่อละครับ”

           “เห็นว่าได้รถเก่ามา คงสนุกอยู่โรงรถนั้นแหละจ๊ะ” นายน้อยพยักหน้ายิ้มรับก่อนที่คุณหญิงดอกอ้อจะพาลูกชายมาส่งขึ้นรถยนต์คันเก่าที่ลุกศักดิ์พ่อบ้านยืนรออยู่แล้ว เพื่อนำไปส่งยังโรงเรียนในตัวเมือง

           คุณหญิงดอกอ้อเหยียดยิ้มเมื่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนลับตาไปแล้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และเดินเข้าบ้านไป ตกสายรถเก๋งคันหรูสีดำสนิทก็ขับปาดเข้ามาในบ้านสวนอันสงบสุข คุณหญิงดอกอ้อที่กำลังทำครัวอยู่หันมามองทางหน้าต่างและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หันไปบอกหญิงวัยกลางคนที่ยืนเป็นลูกมืออยู่ด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมมือขาวปลดผ้ากันเปื้อนสีเรียบออกจากตัว ก่อนจะเดินออกมาจากครัวยืนหน้าบ้านสวนของเธอด้วยกิริยามารยาทไว้ตัว

           ชายหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก้าวลงมาจากรถด้วยท่าทีโอหัง ร่างสูงสง่าใบหน้าคล้ายคลึงกับคุณหญิงเพียงแต่ดูคมเข้มสมชายชาตรีเท่านั้น คุณชายธีร์ภัทร ชายตามองไปรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างสมเพช

           “บ้านนอกชะมัด”

   เสียงฝาดหูของนริศา หรือ สา ภรรยาของธีร์ภัทร ที่บัดนี้ใบหน้าบึงตึงเห็นรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากความริษยาอย่างชัดเจนถึงแม้จะห่อตัวอยู่ในผ้าไหมไทยชั้นดีดูมีสง่าราศีก็ตาม คุณหญิงดอกอ้อที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าได้ยินและเห็นทุกอากัปกิริยา ถ้าเธอเป็นคนแข็งกระด่างกว่านี้อีกหน่อยคงไล่สองสามีภรรยาคู่นี้ออกจากบ้านไปแล้วเป็นแน่

           “ทน ๆ ไปแล้วกัน อะ สวัสดีครับพี่”

           “สวัสดีคะคุณหญิงนริศา”

   คุณหญิงดอกอ้อรับไหว้ธีร์ภัทร ก่อนจะหันมายกมือไหว้คุณหญิงนริศาที่มีอายุมากกว่า นริศามองนิดๆก่อนจะยกยิ้มอย่างหยิ่งผยองให้เธอ ก่อนจะเดินนำเข้าบ้านไปอย่างไม่ได้เชิญ

           “ขอโทษแทนนริศาด้วยนะครับพี่ดอกอ้อ” ประโยคหลังธีร์ พูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงจนดอกอ้อสัมผัสหาความจริงใจไม่เจอ … ตั้งแต่เกิดมา เธอกับน้องชายคนนี้ไม่เคยญาติดีกันได้เลยสักครั้ง

           สองพี่น้องโตมาในตระกูลใหญ่และโด่งดังของทางภาคเหนือ มีธุรกิจครอบครัวเป็นจำนวนมหาศาล และเมื่อเสาหลักพ่อและแม่ของคุณหญิงดอกอ้อจากไป เธอจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองจากสาวน้อยแสนอ่อนหวานกลายเป็นนักธุรกิจ ที่สามารถต่อยอดครอบครัวต่อไปได้ในตัวเลขของบัญชีบริษัทสูงขึ้น บวกกับสมบัติเก่าที่สืบทอดกันมาตามรุ่นทำให้ ‘อริณมณี’ เป็นที่น่าจับตาและต้องใจเป็นแรงแม่เหล็กดึงดูดทั้งมิตรและศัตรูในคราเดียวกัน

           คุณหญิงดอกอ้อนั้นแม้จะมีผู้ชายมากหน้าหลายตาเจ้ามาพยายามกอบโกยหัวใจของเธอ แต่ไม่มีใครที่เอาไปได้เพราะหัวใจของเธอนั้นฝากไว้ที่นายช่างใหญ่เชษฐาเจ้าของกิจการรถยนต์ขนาดใหญ่นั้นไปเสียแล้ว และเมื่อถึงจุดที่ทั้งคู่ทำเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว พร้อมกับข่าวดีเมื่อคุณหญิงดอกอ้อตั้งครรภ์อ่อนๆ เธอจึงมอบธุรกิจให้อยู่กับคนที่ไว้ใจได้ โดยไม่สนใจธีร์ภัทรลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นน้องชายของเธอ จับมือสามีดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย ณ บ้านสวนที่ปลายนาในพื้นที่ห่างไกลบ้านเกิด โดยละทิ้งปัญหาใหญ่อย่าง ธีร์เอาไว้เบื้องหลังเพราะไม่คิดว่า จะทำอะไรได้ไปมากกว่าการเที่ยวเล่นไปวัน ๆ       

           “ในเมื่อธุรกิจของพี่ไม่ได้บริหารแล้ว ทำไมไม่ปล่อยให้ผมบริหารจะไปจ้างคนนอกมาให้เสียเงินเสียทองทำไม” ทันทีที่คุณหญิงดอกอ้อ นั่งลงบนโซฟาลายดอกผกากรอกพื้นขาวลายดอกสีแดงสดนั้น ธีร์ที่ยืนมองดูนาฬิกาลูกตุ้มเก่าแก่อยู่อีกทางก็พูดขึ้น ทำให้คุณหญิงนริศาที่จิบชาดอกมะลิที่ป้าชะเอมมาเสริฟอยู่โซฟาฝั่งตรงข้างนั้นชะงักเงี้ยหูฟัง

           “พี่ไม่คิดว่าธีร์จะดูแลธุรกิจของพ่อพี่ได้” เสียงหวานตอบด้วยน้ำเสียงปราณี

           “แล้วไอ้ปรเมศ นั้นมันดีกว่าผมหรือไง” คิ้วหนากระตุกเล็กน้อยแต่ริมฝีปากหนายังแสยะยิ้มอยู่ ต่างจากคุณหญิงดอกอ้อที่ยังท่าทีสงบในกิริยาที่เหมาะสม

           “ตอนนี้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดไม่ใช่ของอาริณมณี”

           “พี่จะบอกผมว่า มันเป็นของไอ้ตระกูลโสโครกของผัวพี่งั้นเหรอ พี่จะชุบมือเปิ่บเอาบริษัทไปสังเวยให้มัน!!!! นี้บริษัทของคุณพ่อนะ!!!!!”

           “พูดใหม่ตาธีร์ พ่อของพี่ ไม่ใช่พ่อของเธอ” ดอกอ้อ พูดพลางจิบชาอย่างสงบใจ 

           “คุณหญิงพูดอย่างงี้หมายความว่ายังไงคะ”

           “ขอเรียนคุณสา ดิฉันว่าคุณอยู่เฉย ๆ ดีกว่านะคะ นี้คือเรื่องในครอบครัว … ตาธีร์ พี่ให้เงินเธอไปแล้วหลายร้อยล้าน มันพอที่จะทำให้เธอตั้งตัวได้ ในขณะเดียวกัน พี่เองก็เฉียดเงินเพื่อออกมาหาความสงบสุข และพี่ไม่เห็นว่า ใครจะดูแลบริษัทคุณพ่อได้”คุณหญิงดอกอ้อ ถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “อีกอย่างถ้าไม่มีคุณปรเมศ เขาจะไม่มีวันหักหลังพี่ และถ้าเธอกล้าพอที่จะไปแย่งบริษัทมาจากเขาได้ พี่ก็จะรอดูว่าเธอจะทำได้ไหม”

           “พี่ดอกอ้อ”  ธีร์ภัทรกัดฟันแน่นเสียงดังกรอด ๆ และทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาคุณหญิงที่นั่งมองสายตาตรงมาอย่างไม่เกรงกลัว ประสบการณ์ในสายธุรกิจที่ต้องเจอยักษ์เจอมารในคราบหน้ากากของมนุษย์ทำให้เธอไม่เกรงกลัวต่อสุนัขที่เห่าหอนอยู่ตรงหน้าเธอแม้แต่น้อย

           “มีอะไรกันหรือเปล่า” เสียงเข้มดังขึ้นจากหน้าประตู ร่างสูงใหญ่ที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันเครื่องเดินถือประแจอุปกรณ์ซ่อมรถอันใหญ่เข้ามาในบ้าน ทำให้ธีร์ภัทรและนริศายืนนิ่งและสงบลงได้

           “ผมขอตัว” ธีร์ภัทรสะบัดตัวเดินออกไปจากบ้านพร้อมกับภรรยาที่อายุมากกว่าเดินตามหลังออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก เชษฐามองตามหลังทั้งคู่ด้วยสายตานิ่งและตรงไม่มีคราบรอยยิ้มที่เจือจางอยู่ตรงเวลา

           “ผมออกไปส่งแขกก่อน”

           “ไม่ต้องค่ะพี่เชษ ให้ลุงศักดิ์ส่งไปเถอะนะคะ … แอบฟังอยู่เหรอคะคุณพี่”

           ดอกอ้อขำนิด ๆ ในท่าทีของสามีที่นานทีจะได้เห็น ท่าทางเคร่งครึมน่าเกรงขามเช่นนี้ ตาคมจ้องมองภรรยาอย่างแสนรักก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่ง เพราะเขารู้ดีว่าภรรยาคนนี้หมดไปกับน้อยชายของเธอมากแค่ไหนแล้ว ในตอนที่ภรรยาสาวนั่งแท่นตำแหน่งประธานบริษัท ธีร์ภัทรไม่ทำอะไรแม้แต่นิดเดียวเพื่อบริษัท

           แต่เมื่อครั้นที่คุณหญิงดอกอ้อสลับมือกับปรเมศคนสนิทกลับเดือดร้อนเพราะรู้ว่าต่อไปนี้เงินทั้งหมดที่ดอกอ้อหามาได้เมื่อคราก่อนจะไม่มีมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยให้ตนเองอีกแล้ว เชษฐารู้ดีถึงแม้ปรเมศจะดำรงตำแหน่งประธานบริษัท แต่ดอกอ้อก็ไม่ทิ้งให้น้องชายต้องอดอยากอยู่แล้ว เพียงแต่ตัวเงินจะน้อยลงตามความเหมาะสมเท่านั้นเอง โดยเหตุผลที่เธอเลือกปรเมศคนสนิทให้รับตำแหน่งประธานบริษัทแทนนั้น มีเหตุผลหลักอยู่เพียงข้อเดียวคือ

            เธอไม่อยากเห็นบริษัทของคุณพ่อที่เคารพรัก พังทลายไปต่อหน้า ยอมถูกคนนินทาว่าร้ายว่าทรยศดีกว่าให้ทุกอย่างสูญสลายหายไปด้วยน้ำมือของเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่าง ธีร์ภัทร

           “หึ เสียงดังกันขนาดนั้น พี่ไม่เอาประแจฟาดหัวน้องเธอก็ดีแค่ไหนแล้วดอกอ้อ คนอะไรโลภมากชะมัด พี่ว่าเราให้เขามากเกินไปแล้วแท้ ๆ ”

           “ยังไงเขาก็น้องอ้อ ว่าแต่พี่ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเถอะคะ เหม็นน้ำมันเครื่องจัง”

           “ครับคุณผู้หญิง”

   เชษฐาหยอกล้อกับภรรยารักนิดๆก่อนจะวิ่งขึ้นห้องมาเพื่อชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานที่รัก โดยไม่รู้เลยว่าจากเหตุการณ์ในวันนี้จะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีให้ไฟริษยาของความโลภโมโทสะ ประทุขึ้นอย่างเงียบๆ …

.

.

.

           “บ๊ายบ่ายน้ำ”

           เด็กชายตัวน้อยในชุดนักเรียนประถมศึกษา 4 หัวเราะคิกคักเมื่อเลิกเรียนและได้เวลากลับบ้าน โบกมือล่ำลาเพื่อนคนแรกของโรงเรียนใหม่ที่ซ้อนรถจักรยานคันเก่าของพ่อเธอไป ส่วนตัวของเขาก็ย้ายมานั่งรอพ่อเชษฐาที่สัญญากันไว้เมื่อคืนว่าจะมารับที่ชิงช้าใกล้ ๆ รั้วโรงเรียน

   บรรยากาศของโรงเรียนประถมศึกษาในตอนเลิกเรียนดูคึกคักจนเด็กน้อยยิ้มให้กับโลกอันสดใสเมื่อมองเห็นทุกคนมีความสุข และดูเหมือนว่าวันนี้พ่อเชษจะมารับผิดเวลาไปเสียหน่อยเพราะตะวันเริ่มทอแสงและเสียงจอแจของเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันเริ่มน้อยลง นายน้อยกอดกล่องข้าวนั่งเชยคางมองไปยังประตูรั้วอย่างไร้จุดหมาย พลางคิดในในว่าถ้าพ่อเชษฐามาจะแกล้งงอนเอาซะเลย

           “เปี๊ยก ชื่อไร” เสียงเล็ก ๆ ที่นายน้อยไม่คุ้นหูดังขึ้นทำให้ตาใสหันไปมองและก็พบกับรุ่นพี่ตัวเล็กผิวขาวหน้าตาน่ารัก ม.ต้น ต่างโรงเรียน ที่ยืนเกาะลูกกรงอยู่ เด็กชายเม้มปากก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดออกไป

           “ฟ้าครามครับ”

           “ชิ คนอะไรชื่อฟ้าคราม กูชื่อโทนนะ”

           “มีธุระอะไรเหรอครับ”

           “ก็เปล่าเห็นนั่งอยู่คนเดียวเลยเข้ามาทัก พ่อทิ้งเหรอไง”

           “ไม่ครับ พ่อผมกำลังมา” นายน้อยพูดแต่ตาเหลือบมองด้านหลังของคนที่เพิ่งรู้จักร่างสูงใหญ่สมชายชาตรีเดินเข้ามาเงียบ ๆ โดยที่เจ้าโทนตัวแสบไม่ทันได้ระวังตัว

           “อ่ออออออออ ที่แท้ก็โดนทิ้ง แว้! โอ๊ย อะไรเนี้ยพ่อ!!!!” มะเขกลูกเบอเรอหล่นใส่หัวของโทนอย่างเลือกไม่ได้ เจ้าตัวหันไปโวยวายกับพ่อทายของตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ จะให้โทนโชว์นักเลงบ้างไม่ได้เลยเหรอไงนะ !

           “ไปก่อกวนอะไรเขา มึงนี้นะไอ้โทน! ไปกลับไปทำกับข้าวกับปลาได้แล้ว”

           “โอ้ย ๆ จะบ่นอะไรนักหนาเนี้ย ไปแล้วก็ได้ ชิ ไอ้เด็กบ้า แว้!!!” ยังไม่วายที่โทนจะหันมาแลบลิ้มปลิ้นตาใส่ฟ้าคราม ที่นั่งเอ๋อมองอยู่ไม่ได้ขยับไปไหน เมื่อร่างเล็กของเจ้าตัวแสบโทนห่างออกไป พ่อเชษฐาของเด็กน้อยก็เลี้ยวมอเตอร์ไซค์เข้ามารับนายน้อยในเวลาที่ไม่นานนัก

หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH21ความโลภนำพาความแค้น}29/4/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 29-04-2020 12:12:49
.

.

.

           “ฝันดีนะลูกแม่”

           เสียงกระซิบหวานดังแผ่วเบาก่อนจะห่มผ้าผื่นหนาให้เจ้าตัวเล็กที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหายใจอย่างสม่ำเสมอเป็นสัญญาณว่าตอนนี้เด็กน้อยได้หลับไปแล้วภายในห้องนอนสีฟ้าอ่อน ที่เปิดไฟหัวเตียงแสงสีส้มไว้สลัว ๆ ก่อนจะหอมที่ขมับใสอย่างรักใคร่และค่อยๆผละกายออกมาจากห้อง พบกับสามีที่ยืนคอยท่าอยู่หน้าห้อง เมื่อทั้งคู่ส่งเจ้าตัวน้อยเข้านอนเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินกลับมาพักผ่อนที่ห้องที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก

           “ฝันดีครับดอกอ้อที่รักของพี่” นายช่างเชษฐากระซิบแผ่วเบาอย่างอ่อนโยนให้แม่ของลูกที่เหนื่อยเหน็ดมาแล้วทั้งวันก่อนจะพยุงกายเล็กให้นอนลงกับเตียงหนาในห้องที่กว้างใหญ่ และล้มตัวนอนเคียงข้างกอดร่างเล็กเอาไว้อย่างหวงแหนไม่ต่างกัน

           ท่ามกลางความเงียบสงัดในบ้านสวนที่แสนอบอุ่น เงาดำคืบคลานเข้ามา ชายฉกรรจ์ 3-4 คนลอบเข้ามาในบ้างสวนที่การป้องกันต่ำเพราะไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเข้ามาทั้งที่รู้ว่าเป็นเขตของนายช่างเชษฐา ประจวบที่บ้านของเขาไม่เคยไปทำความเตือนร้อนให้ใครจึงไม่จำเป็นต้องวางกำลังยามเฝ้าให้รำคาญใจ ครั้งจะเลี้ยงสุนัขไว้เฝ้าบ้านคุณหญิงก็มีอาการแพ้จึงไม่สามารถเลี้ยงสัตว์อะไรได้เลย จึงเป็นช่องโหว่ที่ทำให้บ้านหลังนี้กำลังตกอยู่ในอันตราย

           หนึ่งในเงาปิศาจย่องเบาเข้ามาในบ้านที่หลับสนิท มาล็อกทั้งประตูหน้าและประตูหลังอย่างรอบครอบ ก่อนที่น้ำมันก๊าดอันเป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่ดีถูกเทสาดไปทั่วบริเวณ อย่างไม่มีการบอกกล่าว เสียงตะกุกตะกักทำให้ลุกศักดิ์คนสวนประจำบ้านที่พักอยู่ชั้นร่างสุดผวาตื่นขึ้น ร่างแกร่นค่อยๆลุกขึ้นยืนก่อนจะคว้าเอาไม้น้าสามใกล้ๆมือมาถือไว้

           “มีอะไรตาศักดิ์”

           “เอ็งอยู่ในนี้ชะเอม ข้าจะออกไปดูอะไรหน่อยและล็อกห้องเอาไว้ห้ามเปิดให้ใครทั้งนั้น  ถ้าเห็นท่าไม่ดีให้โทรบอกคุณๆที่บ้านใหญ่ และโทรแจ้งตำรวจ ตกลงไหม”

           “ขโมยหรือ”

           “ไม่รู้” ลุงศักดิ์พูดตอบป้าชะเอมที่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์

   ร่างแกรนของแกค่อย ๆ ออกมาจากห้องพร้อมไม้หน้าสามคู่มือ ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปทางบ้านใหญ่ และต้องชะงักเมื่อกลิ่นของน้ำมันก๊าดคลุ้งไปทั่ว จนต้องเอามือปิดจมูก ทันใดนั้นลุงศักดิ์ก็เบิ่งตากว้างเมื่อเห็นภาพของชายร่างสูงใหญ่สามสี่คนกำลังช่วยกันราดน้ำมันก๊าดอย่างเอาเป็นเอาตายใต้ต้นไม้และตัวบ้านที่เป็นไม้ด้านล่างของบ้านสวนของเจ้านาย

           “เฮ้ย! อั๊ก!!!”

ผลุบ

           ลุงศักดิ์ล้มหน้าคว่ำไปกับพื้นเมื่อเจอกับสันมือที่สับลงบนคออย่างรุนแรงจนแกสลบไปทำให้ทั้งบ้านสงัดลงไปอีก และทั้งหมดก็ส่งสัญญาณให้เร่งทำงานที่ได้รับมอบหมายมาต่อโดยไม่รู้เลยว่าป้าชะเอมแอบยืนมองอยู่ไม่ไกลนัก ด้วยความเป็นห่วงสามีเลยตามออกมาดู จึงเห็นภาพทั้งหมด สาววัยกลางคนรีบวิ่งเข้าไปในห้องพักห้องเดิมหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ด้วยความสั่นเทา ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกถีบออก

           “คะ คุณธีร์ !!!!!!”

           “ใช่ผมเอง!”

           “ยะ อย่านะคะ อย่าเข้ามา กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!!!!!”

ปัง!!!!

           เสียงกรีดร้องของป้าชะเอมร้องออกมาสุดเสียงและเสียงปืนดังขึ้น ทำให้เชษฐาที่หลับสนิทอยู่สะดุ้งตื่นพรวดขึ้นมา ด้วยสัญชาติญาณเขาพุ่งไปหยิบปืนในลิ้นชักออกมาถือพร้อม ก่อนที่คุณหญิงดอกอ้อจะลุกขึ้นนั่งด้วยความมึนงง

           “อ้อไปดูลูก”

           “มีอะไรคะพี่”

           “พี่บอกให้ไปดูลูก!”

           คุณหญิงดอกอ้อไม่ถามเซ้าซี้ต่อรีบลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องด้วยความรวดเร็ว เมื่อชายกระโปรงชุดนอนสีชมพูอ่อนของภรรยาสาวหลบพ้นไป เชษฐาก็พุ่งพรวดออกจากห้องวิ่งลงบันไดมายังชั้นล่างและไม่ว่าจะเปิดประตูยังไงก็เปิดไม่ออกราวกับว่าถูกล็อกจากด้านนอก ไม่ว่าจะประตูหน้าหรือประตูหนังก็ตาม หน้าต่างทุกบานถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวนราวกับจะกักขังพวกเขาสามแม่ลูกไว้ในนี้

   เชษฐาใจร้อนดั่งไฟเผาและเมื่อได้กลิ่นของน้ำมันก๊าดก็ยิ่งทำให้เขาแปลกใจ ไม่มีเวลาจะให้คิดอะไรร่างแกร่งรีบวิ่งไปที่โทรศัพท์บ้านพร้อมกดโทรออกหาเบอร์ตำรวจพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเสียมิได้ เพราะเหตุการณ์ดั่งกล่าวไม่ชอบมาพากลจนแปลกประหลาดไปเสียแล้ว

           “สวัสดีครับ ตำรวจโรงพัก XXX ครับ”

           “คุณนาราผมเชษนะครับ”

           “อ่อ โทรมาซะดึกเลยคุณเชษ จะแจ้งอะไรหรือครับ”

           “ช่วยมาดูที่บ้านผมที ผมว่าเหตุการณ์มัน … ไฟ!!!!” โทรศัพท์ที่เชษฐาถืออยู่หล่นลงพื้นเมื่อควันไฟลอยเข้ามาในบ้านที่ปิดทึบ เขารีบวิ่งขึ้นมาชั้นบนเพื่อหาภรรยาและลูกของตนโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ในเวลานั้นภรรยาและลูกเขาต้องรอด ต้องรอดจากไฟโลกีย์พวกนี้ !!!!

           “ไม่เป็นไรนะ” เมื่อเข้ามาถึงในห้อง สองแม่ลูกนั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางตื่นตระหนก นายน้อยไม่แม้แต่จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะเด็กน้อยยังไร้เดียงสาเกิดกว่าจะรู้อะไร ได้แต่กอดแนบอกของคุณหญิงดอกอ้อไว้อย่างหวาดกลัว

           “เกิดอะไรขึ้นคะพี่”

           ดอกอ้อพูดอย่างร้อนรน เมื่อเห็นสามีเดินไปเปิดหน้าต่างชั้นบนและสบถ มองลงไปชั้นล่างเป็นเพียงพื้นวางเปล่าที่ถูกสุมด้วยหญ้าแห้งและบัดนี้ไฟก็ลุกท่วมไปเสียแล้ว เขาปาดเหงื่อก่อนจะเข้าไปอุ้มเด็กชายไว้ในอ้อมอกแกร่งและฉุดภรรยาให้ลุกขึ้น เดินไปที่ห้องน้ำชั้นบนอย่างร้อนรนไม่เปิดโอกาสให้ใครถามอะไรทั้งสิ้น

           “พี่เชษคะ เกิดอะไรขึ้นพี่จะทำอะไร”

           ภรรยาสาวถามขึ้นเมื่อสามีเข้ามาในห้องน้ำได้ก็ส่งให้เด็กชายอยู่ในอ้อมอกภรรยาส่วนตัวเองก็ขึ้นไปยืนบนชักโครกและเอื้อมตัวไปปิดประตูบานเล็ก ๆ ไม่เปิดหนึ่งศอกที่อยู่ด้านบน มันกว้างพอ … พอที่จะให้เด็กอย่างนายน้อยรอดออกไปได้ …

           “ลูกต้องรอด”

   เชษฐาพึมพำเพียงลำพังเหงื่อกายแตกผลักใช้สายตาสอดส่องไปด้านล่างและเมื่อเห็นว่าด้านล่างเป็นต้นไม้ล้มลุกขึ้นปกคลุมและมีสระบัวอยู่ด้านหลังด้วย เขารู้ดีว่าลูกชายเขาแข็งแรงและว่ายน้ำได้ดีเกิดกว่าเด็กรุ่นเดียวกันแค่ไหน … เขารู้ดี

           “พี่เชษ” ดอกอ้อพูดขึ้นเมื่อได้กลิ่นควันไฟ ก่อนจะตาโตขึ้นน้ำตาไหลพรากกอดลูกไว้แน่นเมื่อรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้คืออะไร … ไฟ … ไฟกำลังจะมอดไหม้ทุกอย่าง

           “แม่ครับร้องไห้ทำไม …” 

           “ลูกรัก แม่รักลูกนะครับ แม่รักลูก หนูจำนิทานที่แม่เล่าให้ฟังได้ไหมครับ เด็กชายผู้อ่อนแอ จะเติบโตขึ้นเพราะความเข้มแข็งและกล้าหาญ มีชีวิตอยู่ต่อไปนะครับลูกแม่” คุณหญิงพูดพลางสะอึกสะอื้น ก่อนจะอุ้มลูกชายขึ้นและส่งให้สามีที่รอคอยรับอยู่แล้ว

           “พะ พ่อครับนี้มันเกิดอะไรขึ้น” เด็กชายพยายามถามผู้เป็นพ่อ มองสลับกับแม่ที่ยืนหันหลังให้ร้องไห้จนแผ่นหลังเล็ก ๆ นั้นสั่นสะเทือน

           “พ่อรักลูกนะนายน้อย … พ่อกับแม่รักลูกเสมอ อยู่ต่อไปนะลูก …”

           “พะ พ่อ!!!!”

ตุบ!!!

           ร่างเล็กของนายน้อยถูกผู้เป็นพ่อค่อย ๆ สอดเข้าไปในช่องระบายอากาศและหย่อนลงบนเครือเถาว์ของไม้ล้มลุก เมื่อเด็กชายลงไปนั่งอย่างมึนงง ก็ต้องตาโตด้วยความตกใจเมื่อหันไปเห็นสภาพบ้านสวนมุมสูงเปลวไฟสีแดกฉานไล้โลมเลียไปทั่วทั้งพื้นอาณาเขตของบ้าน

   ตาคมสั่นระริกเงยขึ้นไปมองที่ช่องระบายอากาศนั้น เห็นมือแกร่งของผู้เป็นพ่อห้อยลงมาอย่างอาลัยอาวรณ์รัก เด็กน้อยพยายามไขว้คว้าหาแต่ทำเท่าไหร่ก็ไม่ถึงเพราะตัวนั้นเล็กเกิดกว่าจะเอื้อมถึงไป ทันใดนั้นเท้าเล็ก ๆ ก็ก้าวพลาดและหล่นลงไปในสระบัว

           ภายในห้องน้ำบนชั้นสอง นายช่างเชษฐาค่อย ๆ ลงมาจากชักโครกด้วยน้ำตาที่เอ่อล้ม ค่อยๆนั่งคุกเข่าคลานเข้าไปหาภรรยารักที่คุดคู้อยู่ใกล้ ๆ แขนแกร่งโอบกอดร่างเล็กเอาไว้อย่างหวงแหน

           “ลูกรักของเราต้องรอดนะอ้อ … เขาจะต้องรอด”

           “ฮึก อ้อขอโทษ น้องขอโทษคะคุณพี่ น้องไม่คิดว่า ฮึก ไม่คิดเลยว่า ฮือออออออออ”

           “ไม่ร้องนะครับคนสวย … ไม่ว่าเราสองคนจะเป็นยังไง อย่างน้อยเราก็สบายใจได้ว่าลูกของเราจะไม่ตาย … เขาจะมีอนาคต และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี”

           “ค่ะ … ฮึก พี่เชษฐา ดอกอ้อรักคุณพี่นะคะ”

           ภรรยารักกระชับกอด พลางไอกระแอมออกมาอย่างติดขัดเพราะควันพิษที่หนาทึบขึ้น เชษฐาก้มลงหอมไรผมนุ่มก่อนจะพึมพำบอกรักภรรยาคู่ชีวิตของเขาอย่างอ่อนน้อมและรักใคร่ แขนแกร่งกอดรัดร่างอรชนเอาไว้และค่อย ๆ หลับตาปล่อยให้ชะตากรรมพาไป … ลูกของเขา … จะเติบโต … นั้นคือสิ่งที่ทั้งคู่มั่นใจถึงแม้จะต้องตายอยู่ตรงนี้ก็ตาม …

           “แคกๆๆๆ”

           ร่างเล็กของนายน้อยตะเกียดตะกายขึ้นมาบนฝังด้วยแรงที่เหลือน้อยลงไปเต็มที ตาเล็ก ๆ เงยหน้าขึ้นเหม่อมองผ่านม่านน้ำตาและความเหนื่อยล้าเห็นเพียงเปลวไฟที่โหมลุกโชนกระหน่ำไปทั่วทั้งบ้านที่เด็กน้อยแสนรัก ก่อนที่เขาพยุงกายลุกขึ้นยืน ก้าวขาด้วยแรงที่เหลืออันน้อยนิดและสั่นเทาอย่างอ่อนแรง

           “มะ แม่ …. พะ พ่อ ฮึก พ่อ … แม่ ฮึก พ่อ แม่!!!!! อุ๊บ …”

           มือหนาของใครสักคนคว้าร่างเล็กจากด้านหลัง แผ่นหลังอ่อนแรงกระแทกเข้ากับอกแกร่นของลุงศักดิ์ ก่อนที่ดวงตาเหม่อลอยจะดับวูบลงไป ด้วยความอ่อนเพลียจากความตกใจและช็อกกับเหตุการณ์ตรงหน้า … ทิ้งไว้เพียงภาพที่แสนชลมุนและวุ่นวายที่เสียงรถตำรวจดังไปทั่วทั้งบริเวณ …





//////////////



ตอนหน้าใครมีปืนเกียมปืน มีมีดเกียมมีดรอเลยนะคะ //ไรท์ตอนนี้ไปก็หมั่นเขี้ยวไป สงสารลูกไม้

ปล. ลูกไม้-พ่อโทน เขาสองคนเจอกันมาตั้งนานแล้ว  อีตาโทนก็แสบเหลือเกิน <3'
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH22 จุดสิ้นสุด}1/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 01-05-2020 18:38:45

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 22 จุดสิ้นสุด


           หลังจากนั้นวันนั้นลุงศักดิ์ ก็นำผมไปซ่อนอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าภายในตัวจังหวัดตั้งแต่อายุ 8  ขวบ เพื่อไม่ให้คนพวกนั้นรู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่เพราะถ้านำผมออกประเทศ จะทำให้พวกนั้นจับผมได้และฆ่าผมทิ้ง ในเมื่อพ่อและแม่ของตาย ผมก็เสมือนนกที่ปีกหัก ไม่สามารถบินได้

   ในช่วงเวลาที่ผมไม่มีอำนาจจึงต้องซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ที่อันตรายที่สุด เพียงแต่ว่า มันปลอดภัยที่สุด ความแค้นบ่มเพาะอยู่ภายในเด็กตัวเล็ก ๆ ดึงให้เด็กคนหนึ่งดำดิ่งสู่นรกบนดินแผดเผาความสดใสและความสวยงามยามเด็กเหลือเพียงความมืดมนและไฟแค้นในจิตใจ

           … ความจริงนั้นไม่เคยเป็นอดีตถึงแม้สำนวนคดีทางกฎหมายจะถูกสรุปไปแล้วก็ตาม

           มีหลายครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมา และคิดว่าจะลืมความอัปยศที่เคยได้รับได้ ทิ้งความเป็นฟ้าครามและเป็นแค่ไอ้ไม้เด็กบ้านนอกธรรมดา ๆ มีชีวิตอยู่เพื่อพ่อโทนและมวย แต่พวกมันต่างหากที่ไม่เคยปล่อย หลายต่อหลายครั้งสะกิดเตือน โคตรน่ารำคาญ  ซึ่งผมขอเป็นคนที่สนองความแค้นแทนแล้วกันและเมื่อจบงานนี้เมื่อไหร่ ผมก็จะอโหสิกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวรบวชให้จบให้สิ้น ชีวิตของผมจะได้เป็นอิสระจากทุกสิ่งและมีชีวิตอยู่กับคนที่ผมรักสักที

           “นายครับ” ผมลืมตามองขึ้นในความมืดของรถยนต์ที่แล่นออกมายังชานเมือง ถนนที่ผมไม่รู้จักและไม่เคยเห็น บางทีในตอนที่ผมย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้นผมคงเด็กเกินกว่าจะจำอะไรได้ละมั่ง

           “ใกล้จะถึงหรือยัง”

           “อีกประมาน 3 กิโลเมตรครับนาย”

           “ขับระวัง ๆ แล้วกันพวกมันคงรู้ตัวแล้วว่าเรามาเยี่ยมมันแล้ว”

           นายปราณรับคำก่อนที่ผมจะหลับพักสายตาลงอีกครั้ง มาในครั้งนี้ ผมไม่มีแผน เดินทางออกมาจากโรงแรมที่พักเพียงแค่ผมและปราณเลขาคู่ใจเท่านั้น เพราะไม่รู้จะวางแผนไปทำไม ในเมื่อฝั่งนั้นคาดเดาอะไรไม่ได้ เพียงแต่พร้อมที่จะรับมือตลอดเวลาเท่านั้น จะว่าผมบ้าบิ่นก็ได้ แต่มาถึงขนาดนี้แล้วผมไม่มีอะไรจะต้องเสีย ถ้ามันอยากจะฆ่านัก ขอให้มีปัญญาที่จะฆ่าได้ก็แล้วกัน หึ

ครืดดดดดดดดดดดด ครืดดดดดดดดดดด

           “ซวยละ”

   ผมสบถในลำคอเมื่อโทรศัพท์เครื่องเก่าสมัยที่ผมยังเป็นเด็กที่มีแค่พ่อโทนเท่านั้นที่จะโทรเข้ามา นึกไม่ออกเลยถ้าสุดที่รักของผมรู้ว่าผมออกมาจากห้องและปล่อยเขานอนเหมือนเจ้าบ่าวที่หนีออกมาจากคืนเข้าหอแบบนั้น เฮ้อ ความจริงผมก็ไม่อยากออกมาหรอกอยากจะนอนกอดตัวอุ่น ๆ เอาไว้จนเช้าชะมัด

           “ครับพ่อโทน” ผมกลั้นในรับสายอย่างเสียมิได้ ปั้นเสียงให้ดูร่าเริงเข้าไว้

           “อยู่ไหน?” น้ำเสียงห้วนได้อีก

           “บริษัทครับ” ผมปาดเหงื่อที่อยู่ ๆ ก็ไหลออกมาซะงั้น

           “แน่ใจ๋?” ผมมองค้อนไอ้ปราณที่หัวเราะขึ้นเบา ๆ ไอ้เวรนี้เห็นเรื่องความเป็นความตายของผมเป็นเรื่องตลก

           “ครับ…นอนต่อเถอะครับพ่อโทนผมทำธุระเสร็จแล้วจะรีบกลับไปหานะ”

           “ไอ้ไม้ … กูเลี้ยงมึงมานะ ทำไมกูจะไม่รู้ว่ามึงนิสัยยังไง บอกกูมาตอนนี้มึงอยู่ไหน ?”

           “พ่อโทน …” เคยหนีพ่อเที่ยวไหมครับ นั้นแหละความรู้สึกของผมในตอนนี้

           “มึงอยู่ไหน กูให้เวลามึงคิด 3 วินาที ถ้าไม่บอกกูมึงโดนกูฆ่าแน่ 1 … 2 … สะ”

           “ผมอยู่ที่บริษัทครับ พอดีมีประชุมด่วนผมเลยต้องรีบมาครับ” ผมแข็งใจโกหกต่อ… ประชุมบ้าบอกลางค่ำกลางคืน ข้ออ้างโง่ชะมัดเลยไอ้ไม้เอ้ย!

           “ก็ได้ บริษัทก็บริษัท งั้นกูขอคุยกับปราณ อยู่ด้วยกันสินะ”

           “ครับ … ” ผมรับคำ ก่อนยื่นโทรศัพท์ไปให้ปราณพลางพยักหน้าให้เล่นตามนั้น รายนั้นอึกอักนิดหน่อยแต่ก็ยอมรับโทรศัพท์ไปเมื่อผมคำรามในลำคอเตือนมันอีกรอบ

           “ครับ …. ครับผม ! ผมเอ่อ อยู่บริษัทกันครับ ครับ … ได้รับคุณโทน ครับ สวัสดีครับ ” ไอ้ปราณส่งโทรศัพท์กลับมาที่ผม และหน้าจอก็แสดงผมว่าพ่อโทนวางไปแล้ว เฮ้อ โทรมาขู่แล้วก็วางไป น่ารักชะมัด

           “ว่าไงบ้าง”

           “เขาบอกถ้าตี 5 นายไม่ถึงห้อง เขาจะฆ่าทั้งผมและนายทิ้งครับ” ผมรีบก้มมองนาฬิกาข้อมือทันที ตอนนี้ตี 1 มีเวลาอีก 4 ชั่วโมงก่อนที่ผมจะโดนเฉียดทิ้ง

           “ดูนายกลัว คุณโทนมากกว่าที่จะปะทะกับศัตรูซะอีกนะครับ”

           “อืม เสียเส้นเลยละ พูดแล้วคิ้วกระตุกเลยว่ะ” ผมสบถเบา ๆ นึกถึงตอนเด็กที่โดนพ่อโทนทำโทษและเสียวสันหลังเลยครับ มันเจ็บกว่าแผลที่ถูกยิงสดร้อน ๆ เมื่อตอนเย็นซะอีก



เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ด

           เสียงล้อบดกับถนนเงาของวัตถุประหลาดกระชากออกมาจากทางลูกรังที่รถของผมกำลังจะขับผ่าน ทำให้ไอ้ปราณเลี้ยวหลบไปอีกทางและเหยียบเบรกจนรถหยุดสนิทไม่ตกลงข้างทางให้ตายสิ หมายังไงก็ยังเป็นหมา ลอบกัดกันเข้าไปไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าแม้แต่น้อย

           “ผมบอกนายแล้วไงครับว่าให้เอาพวกเรามาด้วย”

           “เออ” ผมขานรับแต่ตาก็จับจ้องรถตู้ที่ออกมาดักทางพวกเราเอาไว้ ออกมาต้อนรับกันถึงที่นี้เลยนะ หึ

           “พร้อมไหมที่จะตายไอ้ปราณ”

           “ไม่ครับ” ไอ้ปราณพูดพร้อมกับสอดส่ายไปทั่ว

   ผมเหยียดยิ้มก่อนจะเปิดประตูลงไปไม่สนเสียงเลขาที่ร้องเรียกเสียงหลง แต่ก็ไม่ทันแล้ว ผมลงมายืนเอามือล้วงกระเป๋า เอียงคอมองจับจ้องไปที่รถตู้คันตรงหน้าที่ติดฟิมล์หนาทึบ ไฟหน้ารถสีเหลืองแสดสาดมาที่เราจนแสบตา เอาสิ ผมก็อยากรู้ว่ามันจะยิงผมร่วงให้มันจบ ๆ ไปเลยไหม

           “นายผมว่าเราวู่วามไปนะครับ” ไอ้ปราณเดินมาดักหน้าผมเอาไว้ ผมผลักหัวมันทำให้มันเซถลาไปอีกด้าน

แก๊ก

           ประตูรถตู้ถูกเปิดออกพร้อมกับที่ชายในรถเดินลงมา ร่างสูงใหญ่กำยำเดินลงมาจากรถ 2 คน พร้อม พวกมันอีกเต็มคันรถ … เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ในเมื่อกลัวก็ต้องเอาพวกเข้าข่มกันเป็นธรรมดา

           “ขับรถตามมา พวกฉันจะนำทางไปเจอเจ้านายเอง”

           “ใครคือนายพวกแก” ผมลี้ตาถาม มันทำท่าฮึดฮัดเล็กน้อย

           “ก็คนที่คุณมาหาไง”

           “ใครล่ะ”  ดูเหมือนหมอนี้จะเป็นคนยุง่ายชะมัด ใบหน้าเข้มทะมึนตึงขึ้นอย่างไม่แสร้งอารมณ์ทำให้ผมพอใจที่ได้ยั่วประสาทคนเล่น

           “จิ๊! คุณธีร์ภัทร ไง!!!!”

           “อ่อ …” ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ พลางยิ้มเย้ยมุมปากหรี่ตามองเหยียดแบบที่พ่อโทนไม่ชอบเพราะเขาบอกว่าเหมือนคนเจ้าชู้ เจ้าเล่ห์ พูดภาษาพ่อโทนก็ดูเหี้ยนั้นแหละครับ

           “หึ ขับตามมาอย่างตุกติกแล้วกัน”

           “จะไปไหนละ”

           “จะถามอะไรนักหนาวะ ขับตามมาก็สิ้นเรื่อง”

           “หึ” ผมหันไปมองไอ้ปราณก่อนจะพยักหน้าให้มัน ไอ้ปราณปาดเหงื่อที่ซึมออกมาก่อนจะเดินไปขึ้นรถอีกฝั่ง ในมือกุมปืนลูกซองเอาไว้ ผมก็หันหลังและก้าวขึ้นรถด้วยท่าทีที่เงียบสงบ

           “นายทำแบบนี้ใจคอผมไม่ดีเลยนะ” นายปราณพูดเชิงตัดพ้อเมื่อผมขึ้นมานั่งเรียบร้อย ปลอดภัยไม่มีรอดขีดข่วน

           “หึ ถึงมันอยากจะฆ่าก็ฆ่าไม่ได้”

           “หมายความว่าไงครับ”

           “…” ผมยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร ไอ้ปราณก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ต่อ เพราะเลขาของผมทำงานและรู้นิสัยผมดี

           “ครับนาย แต่ผมว่าพวกมันต้องเบนไปทางอื่นที่ไม่ใช่บ้านอรินมณีแน่”

           “ตามมันไปก่อนแล้วกัน” เสียงถอนหายใจของไอ้ปราณดังขึ้น ก่อนจะเคลื่อนตัวตามรถตู้คันหน้าไปอย่างทันท่วงที เส้นทางที่รถตู้คันนั้นพาไปซึ่งผมไม่รู้ได้เลยว่าพวกมันจะพาผมไปไหน ก็อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรจะรออยู่ หึ อยากรู้จนตัวสั่นเลย

.

.

.

           อารามวัดเก่าที่ถูกทิ้งรกร้างเหลือไว้เพียงซากของความเก่าแก่ของอารยธรรมเมืองพุทธที่ชำรุดเกินกว่าจะบูรณะให้สวยงามโดยไวได้ ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นรกไปทั่วบริเวณทำให้เกิดบรรยากาศอึมครึมและน่ากลัวระทึกสำหรับคนขวัญอ่อน แสงสีเหลืองนวลส่องมาจากไฟหน้ารถของรถตู้ที่ขับนำเข้ามาก่อนที่จะตามมาด้วยรถเก๋งสีดำขัดจนเงาทะยานเข้ามาจอดที่ลาดจอดรถกลางวัดที่ปรกไปด้วยใบไม้แห้ง บรรยากาศขมุกขมัวกลิ่นไอฝนที่คลุกรุ่นท้องฟ้าแดงสว่างโล่งประกอบกับสายอัสนีที่ส่องประกายโกรธเกรี้ยว … พายุแรกของหน้าฝนใกล้เข้ามาแล้ว

           “วัด …หึ ไอ้พวกบาปกรรม”

   เสียงแหบพร่านของไม้ในพึมพำขึ้นอย่างอ่อนใจ เอื้อมไปเปิดประตูลงไปยืนพิจารณาเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ยากจะเดาได้ ขณะที่ เลขาหนุ่มเองก็ก้าวมายืนอยู่เบื้องหลังด้วยท่าทีสุภาพ ก่อนที่คิ้วหนาใต้กรอบแว่นสีดำจะฉงนขึ้นเล็กน้อย เพราะนอกจากกองพลกว่า 5 ที่ลงมาจากรถตู้แล้วยังมีอีกกว่า 20 นาย ที่ออกมาจากการซุ่มอยู่โดยรอบ รายล้อมทั้งเขาและเจ้านายเสมือนกรงหนาม

           “ไอ้โจ ไม่มีใครตามมันมาแน่นะ”

   ชายร่างหนาเดินออกมาจากกลุ่มกองพลอาวุธครบมือ ใช้ศอกสะกิดหัวโจกที่นำทางทั้งคู่มาที่นี้แต่ก็จ้องมองมายังพวกเขา แต่ก็ต้องหลบตาวูบไม่จ้องตรงๆมาที่นายน้อยที่ยืนมองอยู่อย่างอัตโนมัติ พลางคิดหวั่นในใจกลัวว่าศัตรูของนายใหญ่ธีร์ภัทรคนนี้อาจจะชักปืนมายิงเขาตอนเผลอก็เป็นไปได้

           “ไอ้พวกที่ซุ้มสังเกตการณ์อยู่ตลอดทั้งเส้นทาง บอกพวกมันมาแค่ 2 คน หึ ดูท่าพวกมันจะอยากตาย”

                      “อย่าเหิมเกริมให้มันมากนัก” เป็นปราณที่เอยขึ้น ทำให้ความเงียบเข้าครอบงำช่วงครู่ก่อนเสียงหัวเราะจะดังขึ้นไปทั่วบริเวณ นายน้อยกระตุกยิ้มนิด ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ปราณใจเย็น ลูกน้องผู้ภักดีก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อม หายใจเข้าลึกและค่อย ๆ หายใจออก เดิมทีเขานั้นเป็นคนใจเย็นแต่เรื่องที่มีใครมาหยามนายเขากลับยอมไม่ได้

           “นายของพวกแกอยู่ไหน” นายโจโบกมือให้เดินตามไปยังอุโบสถเก่าที่อยู่ไม่ไกลมากนัก นายน้อยเหยียดยิ้มก่อนที่ขายาวจะก้าวตามไปอย่างมั่นคง 

           “โอ้ มาแล้วงั้นเหรอหลานรัก”

           เสียงชายวัยกลางคนดังออกมาจากภายในอุโบสถ ไม้ค่อย ๆ เงยขึ้นมองก่อนที่ใจแกร่งของเขาจะกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ ธีร์ภัทร … คนที่เผาทำลายทุกสิ่งไปจากเขา อาแท้ ๆ ที่พรากพ่อและแม่ไปอย่างเลือดเย็น นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางพื้นอุโบสถที่ปูด้วยพรมเนื้อดีสีดำสนิท บนเก้าอี้โซฟาสีทองดูมีสง่าราศีใต้เสื้อเชิ้ตสีเลือดหมูนั้น เบื้องหลังเป็นองค์พระพุทธรูปปูนองค์ใหญ่ รายล้อมไปด้วยกองพลอีกจำนวนหนึ่งแทบทุกตารางนิ้ว คนบาปอย่างบุคคลนี้ เหตุใดจึงเรื่องสถานที่สะสางหนี้แค้นครั้งนี้ในวัด … มันช่างแปลกประหลาด และเขามั่นใจว่าจะได้คำตอบในอีกไม่ช้า

           “เชิญนั่งก่อนสิ ฟ้าคราม หึ ไม่สิ ไม้”น้ำเสียงเย้ยยั้นนั้นทำให้ไม้เหยียดยิ้มก้มหัวให้เชิงรับคำ ก่อนที่ธีร์ภัทรจะหันไปสั่งลูกน้องใกล้ ๆ “ไอ้รบ ไปเอาน้ำเอาท่ามาให้หลานข้าหน่อยเร็ว”

           “เกรงใจจัง อ่อ ขอกาแฟแล้วกันนะ” นายน้อยเดินไปนั่งโซฟาตรงข้ามที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้

   รอยยิ้มกับท่าทีกวนโอ้ยนั้น ปราณรู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจสำหรับฝั่งตรงข้ามเป็นแน่ ถึงปากของนายน้อยจะพูดกับเขาอยู่เสมอว่าไม่มีแผนอะไร ตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่เขาก็ตระหนักได้เป็นอย่างดีว่าคนอย่างนายเขาไม่มีทางที่จะประนีประนอมง่าย ๆ แน่ … แต่ทำไมเขาถึงไม่รู้นะว่าแผนของนายคืออะไร … หรือว่า …

           ปราณที่ยืนอยู่เบื้องหลังนายหยิบเอาสมาทโฟนที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเช็คบางสิบางอย่างด้วยความสงสัย ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเมื่อลูกน้องกระจอกของธีร์ที่บังอาจมีปากมีเสียงขึ้น อย่างไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นเครื่องเล่นสนุก ๆ ให้นายเล่นแก้เบื่อ

           “มีแต่น้ำเปล่าครับนาย” คนชื่อรบเอ่ยขึ้นกับผู้ที่นาย

           “อาริกาโน่นะ” เลขาหนุ่มเหยียดยิ้มกับความหน้ามึนของไม้ ก่อนจะก้มลงดูหน้าจอที่แสดงผลของฐานข้อมูลบริษัทอยู่

           “แต่เวลานี้จะปะ อั๊ก…!!!!”

เปรี้ยง!!!

           เสียงปืนดังสนั่นขึ้นจากปลายกระบอกปืนของธีร์ และในทันทีที่เหยื่อล้มลงกับพื้นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ทั่วทั้งอุโบสถแห่งนี้เจ่อนองไปด้วยกลิ่นคาวเลือด …

   นายน้อยนิ่งสงบมือเผลอกำแน่นจนสั่นสะท้าน ไม่ได้กลัว แต่โกรธ… สุนัขยังภักดีแล้วทำไมมนุษย์ต่ำทรามคนนี้ถึงเลวกว่าสุนัข ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี้คือเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ ๆ ของเขา ไม่อยากจะเชื่อเลย … แต่เพียงไม่กี่วินาที ความโกรธเกลียดภายในใจก็ทุเลาลง ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มเพียงมุมปากเชิดตามองราวกับราชสีห์ที่เตรียมกระชากเนื้อเหยื่อในกรงเล็บ

           “ลากมันออกไป และพวกมึงไปหากาแฟให้หลานกู” เขากราดออกคำสั่ง ก่อนที่สองคนที่อยู่ใกล้ประดูโบสถ์จะรีบบึ่งออกไปอย่างร้อนรนอย่างกลัวตาย

           ร่างนองเลือดถูกแบกห่ามออกไปจากบริเวณทิ้งรอยเลือดไว้เป็นทาง ก่อนที่ร่างสันทัดของผู้เป็นอาจะหันมาแสยะยิ้มน่ารังเกียจให้ไม้ จังหวะเดียวกับที่เลขาหนุ่มที่ยืนเบื้องหลังเงยหน้าขึ้นมามองนายด้วยความฉงนและเกือบที่จะหลุดหัวเราะออกมาเสียมิได้เมื่อได้รู้ว่านายนั้นแสบขนาดไหน

           “ระหว่างรอ เรามาคุยเรื่องธุรกิจกันดีกว่า อาได้ข่าวว่าแกกว้านซื้อหุ้นของบริษัทที่ร่วมหุ้นกับอาซะจนเกลี้ยง หึหึ แสบนักนะไอ้หลานรัก คิดจะฮุบบริษัทกูหรือยังไง!!!!!”

           น้ำเสียงโกรธกริ้วนั้นทำให้กองพลอาวุธครบมือที่รายล้อมอยู่เคลื่อนไหวเตรียมลั่นไกมาจากทุกทิศทุกทาง แต่ก็ยังชะงักมือไว้ไม่ผู้เป็นนายยกมือขึ้นห้ามไว้เสียก่อน ธีร์ภัทรจะหายใจเข้าออกอย่างสงบสติอารมณ์เอาไว้ ยกแก้วไวท์ขึ้นจิบด้วยท่าทีที่สงบลง

           ระดับนายน้อยแล้วปราณเลขาหนุ่มรู้ดี ไม่ใช่แค่การซื้อหุ้นธรรมดาเท่านั้นที่จะคุ้มครองไม่ให้ฆ่าเขาได้ แต่เป็นการเข้าถึงกระดูกดำของบริษัทต่างหาก กรรมสิทธิ์ของบริษัทคู่ค้าของธีร์วัตรเปิดให้บริการปรึกษาในระบบการเงินของบริษัทน้อยใหญ่ ซึ่งเบื้องลึกเบื้องหลังแล้วเป็นบริษัทที่ปล่อยเงินกู้รายใหญ่ เป็นลักษณะบริหารการถือหุ้นร่วมกันและผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือธีร์ภัทร แต่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาระบบผู้ถือหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างประหลาดเมื่อนายน้อยกลายเป็นผู้ถือหุ้น 40% อีก และอีก 40 % ที่เป็นของตระกูล ท่านขุนพิพัฒน์ ขัตติวิเศษศิลป์ ที่คอยให้ความอุปถัมภ์นายน้อยหลังจากที่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่เพราะความสนิทสนมสนิทชิดเชื้อกับตระกูลอาริณมณีมาตลอด ให้ความไว้วางใจจากคุณหญิงดอกอ้อผู้เป็นแม่และนายช่างเชษฐาผู้เป็นพ่อของเขา และถึงแม้ในตอนนี้ท่านขุนพิพัฒน์จะสิ้นชีพลงด้วยโรครุมเร้าและวัยชรา แต่ท่านขุนคณิต ผู้เป็นบุตรก็ยังสืบสานความสัมพันธ์อย่างลับ ๆ ของสองตระกูลมาด้วยดีและรู้ดีว่าในตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร ควรจะเลือกอยู่ฝั่งไหนด้วยความที่วัยของทั้งคู่ต่างกันเสมือนพ่อลูก

           นายน้อยจึงฝากเนื้อฝากตัวและเคารพรักท่านขุนคณิตเสมือนพ่อ ให้การดูแลไปมาหาสู่สร้างสายสัมพันธ์อันดี ทำให้อำนาจของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างไร้ข้อกังขา นั้นหมายความว่า ถ้าหากนายน้อยสิ้นชีพเพราะธีร์ภัทร หุ้นอีก 40 % จะถูกโอนถ่ายไปยังตระกูล ขัตติวิเศษศิลป์ และบริษัทของธีร์ภัทร ก็จะถูกยึดโดยหุ้น 80 % ในทันที

   โทษใครไม่ได้นอกเสียจากความไม่เอาไหนในการบริหารที่มีช่องโหว่รากฐานไม่มั่นคงทำให้มีหนอนบ่อนไส้ได้ง่ายทำให้ระบบบริหารของบริษัทอาริณมณี ที่ธีร์ภัทรบริหารอยู่เกิดความสั่นคอนและพังทลายลง และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรเลย อีกไม่นานบริษัทแห่งนี้ก็ต้องพังทลายลง เช่นเดียวกับระเบิดเวลา

           “ดูเหมือนจะกลัว ผมมากเลยนะครับคุณอา” เพียงประโยคเดียวนั้นทำให้คู่เจรจาสำลักไวท์นิด ๆวางแก้วลงด้วยมืออันสั่นเทา 

           “พูดเรื่องอะไรของแก”

           “งั้นก็ฆ่าผมซะสิ ถ้ากลัวผมขนาดนั้น”

           “กะ แก”

           ร่างสันทัดกระโดดเข้ากระชากคอของร่างสูงของนายน้อยที่แสยะยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่า ก่อนที่มือหนาจะกระชากแขนที่ผอมบางกว่าตนให้ออกจากคอเสื้อและสะบัดทิ้งทำให้ร่างนั้นเซถลาเล็กน้อย ก่อนที่ร่างสูงจะยืนขึ้นจ้องทะมึนไปที่ใบหน้าของธีร์ภัทร แสยะยิ้มก่อนจะเปล่งถ้อยคำเยาะเย้ยและถากถางออกมา

           “ถ้าแค่นี้อกจะแตกตายแล้ว งั้นโทรหาลูกสาวของเมียน้อยลับ ๆ แก้วตาดวงใจของคุณอาหน่อยไหมว่ายังอยู่ที่ยุโรปสบายดีไหม หรือว่าจะโทรหาคุณหญิงนริศาที่เข้าไปเล่นการพนันในบ่อนของผมหน่อยไหมว่าตอนนี้ตายหรือยัง หึ”

           “มะ มึง มึงทำอะไรลูกกู!!!!”

           “นั้นสินะครับ ทำอะไร … จับถ่วงน้ำ ยิงหัว หรือจับเผาดี … อำนาจเงินมันน่ากลัว ใช่ไหมละครับคุณอา”

           “ฆ่ามัน!”

หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH22จุดสิ้นสุด}1/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 01-05-2020 18:39:30
กริ๊ก!

           สิ้นเสียงของธีร์ภัทรเสียงขึ้นไกก็ดังไปทั่วบริเวณ ความชลมุนเพียงเสี้ยววินาทีที่กองพลของธีร์ภัทรต่างยกปืนขึ้นเล็งมาที่นายน้อยและเลขาส่วนตัวจากทั่วทุกสารทิศ และเขาเองก็ใจร้อนดั่งไฟเผาคว้าเอาปืนที่เหน็บเอาไว้ที่เอวขึ้นมาจ่อที่ขมับของคู่อริ ร่างสูงจ้องดวงตาสีเข้มของคนตรงหน้าสะท้อนความแค้นตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ไม่มีรอยยิ้มมีเพียงแววตาที่ลุกโชนความความเกรียวโกรธ ธีร์ภัทรเองแม้กายจะสั่นเล็กน้อยแต่ก็จับจ้องกลับเฉกเช่นเดียวกับเสือหนุ่มและสิงค์แก่ที่ไม่มีวันประนีประนอมได้แม้จะต้องตายกันไปข้างนึงก็ตาม

กริ๊ก

           เสียงขึ้นนกดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ธีร์ภัทรเหงื่อตก เหลือบไปมองเบื้องหลังก่อนจะเหงื่อตกเมื่อปราณชักปืนสั้นออกมาจ่อไปที่กระหม่อมจากเบื้องหลังจากเขา นับว่าเป็นข้อผิดพลาดและประมาทในการที่ไม่ยึดอาวุธและตรวจตราคู่เจรจาก่อนจะให้เข้าถึงผู้เป็นนาย และถึงแม้ปราณเองจะถูกตกเป้าเบ้านิ่งในยามนี้ไม่ต่างกัน แต่ก็ไม่มีลูกน้องของธีร์ภัทรคนไหนกล้าทำอะไรเพราะมัจจุราชหนุ่มเตรียมพร้อมจะลงดาบผู้เป็นนายอยู่เช่นเดียวกัน

           “ประโยชน์ของการดิ้นรนมีชีวิตรอด มันเป็นยังไงรู้ไหมครับอา”

           “มึง ทำไมไม่ตายไปซะ พ่อแม่มึงก็ตายห่าไปแล้ว ทำไมมึงไม่ตายห่าตามไปด้วย!!!!!!!!!!”

เปรี้ยง!!!! เปรี้ยง!!!!!!!!!

           สิ้นเสียงตวาดลั่นของธีร์ภัทรหัวใจเหมือนจะหยุดเต้นเมื่อเสียงปืนจากปลายกระบอกที่จ่อขมับของไม้ดังขึ้นและในทันทีนั้น ด้วยทักษะการต่อสู้ที่ร่างสูงสั่งสมมาเขาตวัดตัวหลบได้ทันท่วงทีก่อนจะตวัดแขนข้างที่ได้รับบาดเจ็บไปสะบัดเอาข้อมือแกร่งของธีร์ภัทรทำให้กระบอกปืนหล่นลงพื้นก่อนที่ขาแกร่งจะตวัดปัดขาของคู่ต่อสู้อย่างฉับพลัน ทำให้กล้ามเนื้อกระตุกคุกเข่าลงกับพื้นเพราะกลไกของร่างกายก่อนที่มือหนาของนายน้อยจะตะปบลงบ่าแกร่งของผู้เป็นอาและบีบเต็มแรงสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

           “โอ้ยยยยย! ไอ้เด็กเหี้ย พวกมึงรออะไรกันยิงมันเซ่!!!”

           “นะ นาย …” เสียงอ่อยอิงของลูกน้องทำให้ธีร์ภัทรที่ตอนนี้เหมือนสิงห์แก่ที่พิการหันไปมอง ก่อนจะฉงนระคนเจ็บกล้ามเนื้อราวกับไฟเผาบ่าของเขาอยู่ตอนนี้เมื่อภาพของลูกน้องของเขาจำนวนหนึ่งถูกกดบ่าให้นั่งลงกับพื้น และอีกครึ่งหนึ่งใช้กุญแจมือรวบจับกุมและใช้อาวุธปืนในการควบคุมดูแลเอาไว้โดยหนึ่งในนั้นที่โดยจับคือโจลูกน้องคนสนิทของธีร์ภัทร

           “แล้วพวกมึงทำอะไรกัน!!!!”

            คำตวาดนั้นทำให้ร่างสูงโปร่งใบหน้าคมสันรุ่นราวคราวเดียวกับนายน้อย หนึ่งในผู้จับกุมถอนหายใจเฮือกใหญ่และเดินออกมาด้วยความสง่า พร้อมกับโชว์สัญญาลักษณ์แห่งผู้พิทักษ์สันติราษฎ์ที่คว้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงให้ธีร์ภัทรที่เบิ่งตากว้างลืมความเจ็บที่บ่าไปช่วงคราว

   ก่อนจะหยิบเอากุญแจมือออกมาควงเดินเข้าไปหานายน้อยพร้อมกับยิ้มทักทายก้มหัวให้อย่างเกรงใจและเหลือบลงมามองธีร์ภัทรที่มองด้วยแววตาสั่นระริกฉาบไปด้วยความหวาดกลัวก่อนจะกระตุกยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

           “ผมพลตำรวจเอก สหัสวัตร ขัตติวิเศษศิลป์ ขอจับกุมพวกคุณในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาหลายคดี ปล่อยหนี้นอกระบบ และค้ายาเสพติด คุณมีสิทธิที่จะไม่พูดแต่ถ้าคุณพูดทุกคำพูดของคุณจะใช้เป็นการให้การในศาล” ตำรวจใหญ่แนะนำตัว ทันใดนั้น ธีร์ภัทรก็เบิ่งกว้าง ไม้ยืนมองอยู่ก่อนนิ่งและนึกขอบคุณพ่อที่สร้างมิตรแท้ที่ดีไว้ ตั้งแต่รุ่นพ่อยันรุ่นลูก … สหัสวัตร หลานชาย ขุนพิพัฒน์ ลูกชายขุนคณิต

           “ยะ อย่า อย่าจับกู มึงมีสิทธิอะไรไหนหลักฐานมึง ไหนหลักฐานมึง!!!!!!” ธีร์ภัทรคำราม

           “ถ้าอยากเห็นหลักฐานมากนัก ก็ดูนี้”

เปรี้ยง!

            นายน้อยยิ้มกว้างบัดมือที่บีบบ่าของผู้เป็นอานิด ๆ ก่อนจะหยิบเอาปืนที่ซ้อนอยู่ใต้ชายเสื้อด้านหลังออกมา เล็งไปที่พระพุทธรูปปูนองค์ใหญ่จรดเพดานโบสถ์เบื้องหลัง ก่อนจะลั่นไกเสียงดังสนั่นท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคนวินาทีต่อมาพระพักตร์รูปไข่ขององค์พระค่อย ๆ แตกออกและลาม จนเกิดเป็นช่องโหว่เห็นวัตถุห่อปริศนาสีน้ำตาลภายในองค์พระ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปลอมตัวมาเป็นลูกน้องของธีร์ภัทรสามนายจะวิ่งเข้าไปตรวจสอบ ไม่ถึงนาทีก็เดินกลับมารายงานผู้บังคับบัญชาที่ยืนรออยู่พร้อมกับผู้ต้องหาที่นั่งพึมพำอะไรที่ไม่ได้ศัพท์อยู่

           “สารเสพติดจำพวกผงครับ คาดว่าวัดแห่งนี้จะใช้เป็นโกดังเก็บของครับ”

           “ตรวจค้นดูให้ทั่วนะจ่า และเรียกกองกำลังเสริมด้วย”

           สหัสวัต ออกคำสั่นก่อนที่ลูกน้อยจะรับคำและเดินออกไป ก่อนที่ร่างสูงจะยกมือเรียกลูกน้องใต้บังคับบัญชาให้มานำตัวของธีร์ภัทรไปอยู่รวมกับลูกน้องฝั่งตัวเองแต่โดยดี แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อธีร์ภัทรสะบัดตัวออกมาจากการจับกุม พุ่งเข้าหาร่างสูงของไม้ที่ยืนจ้องอยู่ก่อน ในเสี้ยววินาทีนั้นเด็กหนุ่มตั้งกาดมือขึ้นรอรับการโจมตีที่แสนจะเชื่องช้าหากเทียบกับคู่ต่อสู้บนสังเวียนมวยที่เขาเคยเจอ

           “มึง! อั๊ก!!!!!!”

   สันจมูกของธีร์ภัทรแตกตามแรงกระแทกทำให้ดั้งหักอย่างไม่ต้องเช็คอาการ ฟันหน้าหลุดกระเด็นและล้มลงกับพื้นร้องอย่างเจ็บปวดที่พื้น ก่อนที่นายน้อยจะเดินเข้าไปค้ำหัวของธีร์ภัทรมองลงต่ำด้วยสายตาที่เหมือนมองสัตว์ที่ต่ำชั้น ธีร์ภัทรเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาที่เคียดแค้นพูดอะไรสักอย่างที่ไม่ได้ศัพท์

   

ผลั๊ก!



           “อั๊ก!” แรงกระแทกจากเท้าของไม้ยกสูงกระแทกลงกับหน้าท้องน้อยเต็มแรง เลือดกระอักออกมาจากปากอย่างน่ากลัว แววตาที่แข็งกระด้างกลายเป็นอ่อนลง แต่แค่นั้นไม่พอ เท้าของเขาถูกยกสูงขึ้นและกระแทกลงอีกครั้งที่เดิมเลือดเป็นลิ่ม ๆ ทะลักออกมาซ้ำอีกเต็มแรง

           “ยะ อย่า อย่าทำกู จะ จะ ตะ ตายแล้ว” เสียงแผ่วเบาของธีร์ภัทรดังขึ้นอย่างน่าสงสาร สหัสวัตรและปราณยืนมองอยู่ห่างๆด้วยสายตาเวทนาแต่นั้นไม่ได้ทำให้แววตาแข็งกร้าวของนายน้อยอ่อนลงแม้แต่น้อย

           “กลัวเหรอ ร้องขอชีวิตสิ”

           “กะกูขอโทษ ขะ ขอโทษ ขอ ขอ อั๊ก!!!!”

           “เฮ้ยพอเดี๋ยวมันตาย”

   ตำรวจหนุ่มรีบถลาเข้ามาหลังจากที่นายลงบาทาไปอีกทีอย่างเต็มแรงและเหมือนรอบนี้จะหนักกว่าสองรอบที่ผ่านมา ทำให้ธีร์ภัทร์งอตัวอย่างน่าสมเพช ก่อนที่นายน้อยจะเหยียดยิ้มใช้เท้าเขี่ยใบหน้าของผู้เป็นอาให้หันมามอง ถึงแม้ดวงตาจะหรี่เต็มทีแต่สติสัมปชัญญะของธีร์ภัทรก็ยังครบถ้วน นี้แค่เริ่มต้นของการใช้เวรใช้กรรม

           “ลูกสาวของคุณยังอยู่ดี ผมไม่เลวทรามต่ำช้าเหมือนมึง ที่ฆ่าได้แม้กระทั่งคนในครอบครัว แต่สำหรับคุณหญิงเมียของคุณ ป่านนี้ก็คงนอนรออยู่ในซังเตแล้ว จากนี้และต่อไป ขอให้โชคดีกับการอยู่ในคุกตลอดทั้งชีวิต ผมอโหสิกรรมให้” เท้าแกร่งสะบัดอย่างแรงส่งท้ายทำให้หน้าของธีร์ภัทรหันไปตามแรง ก่อนจะหันไปมองผู้กองหนุ่มและพูดขึ้นเบาๆ

           “กูฝากทางนี้ด้วยไอ้สหัส”

           “ได้มึง มันเป็นหน้าที่ แล้วไว้ไปแดกเหล้ากัน” ไม้พยักหน้าจ้องมองธีร์ภัทรที่ถูกนายตำรวจคนหนึ่งลากไปอีกด้วยร่างกายที่บอบช้ำ

           จบสิ้นแล้วความแค้น … เขาจะไม่ฆ่าถึงจะฆ่าได้ง่ายๆ แต่จะให้กฎหมายที่จะศักดิ์สิทธิ์ได้หากไม่ปล่อยให้ศาลเตี้ยตัดสิน … พอกันทีกับวงจรแค้นอันโสมม พอกันที …

           “กี่โมงแล้ว” นายน้อยหันไปถามปราณที่สงบนิ่งอยู่ด้านหลัง

           “ตี 3.45 ครับ”

           “1ช.ม ถึงคอนโดได้ไหม”

           เขาหันหลังเดินออกมาจากโบสถ์ไปที่รถอย่างรวดเร็วอย่างไม่สนใจอดีตอีก ในครานี้ถือว่าจบสิ้นและละทิ้งไว้เหลือเพียงฝุ่น ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามกรรมและหน้าที่ของตำรวจ ... เวลาที่ผ่านมา จะปิดเกมส์ให้ไวกว่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก … แต่การเลี้ยงดูให้หมูได้กินอิ่มหนำสำราญ และเชือดทิ้งอย่างเลือดเย็น …มันน่าสะใจกว่าเยอะสำหรับราชสีห์นายของเขา

   ปราณเผลอหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะเดินไปขึ้นรถทางฝั่งคนขับอย่างรวดเร็วให้ทันใจผู้เป็นนาย รถเก๋งคันสีดำเคลื่อนออกจากลานวัดร้างสวนทางกับรถตำรวจที่ขับสวนเข้ามา

.

.

.

           ภายในห้องพักคอนโดหรูที่เปิดไฟไว้สลัว ๆ ร่างเล็กนอนขดกายหายใจสม่ำเสมอในผ้าห่มผืนบางอยู่บนโซฟาหน้า TV ถูกเปิดทิ้งเอาไว้ นาฬิกาฝาผนังบอกเวลา อีกครึ่งชม. จะตี 5 ประตูบานใหญ่ค่อยเปิดออกอย่างเบากริบร่างสูงเดินย่องเข้ามาภายใน ก่อนที่เสียงหัวเราะในลำคอจะดังขึ้นก่อนจะค่อย ๆ เข้าไปใกล้โซฟาหยิบรีโมต TV ปิด และอุ้มร่างน้อยขึ้นมาไว้ในอก เสียงครางในลำคอของร่างน้อยดังขึ้นนิดๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกตัวแต่อย่างใด นายน้อยที่กลับมาเป็นลูกไม้คนดีคนเดิมของพ่อโทนพาพ่อโทนมานอนบนเตียงหนาภายในห้องก่อนจะก้มจุมพิตที่หน้าผากอย่างอ่อนโยนและอบอุ่น ก่อนจะหายเข้าไปในห้องน้ำ และออกมาด้วยกางเกงขายาวเปลือยอกและมุดเข้าผ้าห่มผืนเดียวกับพ่อโทนดึงร่างน้อยเข้ามากอดเอาไว้อย่างออดอ้อน

           “งืม กี่โมงแล้ว” เสียงแหบพร่านของร่างน้อยที่ปรือตากลมขึ้นมอง ก่อนจะยกมือเล็กของโอบกอดอกแกร่งอย่างหวงแหนและออดอ้อนไม่ต่างกัน

           “ตี 4 ครับ”

           “อืม มึงเหม็นจัง”

           “หึหึ ขอโทษครับ”

           “เจ็บแผลไหม”

           “ไม่ครับ จุ๊บ” ริมฝีปากหน้าก้มจูบปากเล็ก หอมหวานตรงหน้า ก่อนจะหลับตาลงคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขเพราะบัดนี้ยอดดวงใจของไอ้ไม้สงบนิ่งยอมให้เขากอดอย่างว่าง่ายและน่ารัก

           “อืม งั้นนอนกันเถอะ กูรอมึงไม่ได้นอนเลยเนี้ย” คนกร่างยังไงก็ยังกร่างแต่ถึงจะกร่างและขี้โม้ก็ยังน่ารักสำหรับไม้อยู่ดี

           “หึหึ ขอโทษครับ ไม้รักพ่อโทนนะ”

           “กูก็รักมึง อย่าไปไหนอีกนะ” คำบอกรักของพ่อโทนเสมือนยาสมานแผลในอดีตให้เข้าที่ เขาดีใจเหลือเกินที่มีพ่อโทนอยู่ในวันนี้ วันที่เขาจะละทิ้งบาปกรรมและวงจรแห่งความแค้นลง … และกลายเป็นเพียงแค่ไอ้ไม้ของพ่อโทน… เป็นแค่นั้นแต่มีความสุข

           “ครับ … ไม่ไปไหนแล้ว มันจบแล้วครับ … มันจบแล้ว” แขนแกร่งกระชับกอดร่างเล็กเข้ามาก่อนที่จะพากันเข้าสู่ห้วงนินทราไปด้วยกันในอ้อมกอดที่แสนจะอบอุ่นของกันและกัน





==============



จากนี้จะสงบแล้วล่ะ <3
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH22จุดสิ้นสุด}1/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 01-05-2020 19:32:30
มันจบแล้ว ทำดีแล้วลูกไม้ ต่อไปก็สงบซักที  o13
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH22จุดสิ้นสุด}1/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 01-05-2020 20:19:19
จากนี้ไม้เกียมตะล่อมพ่อโทนอย่างเดียววววว
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH22จุดสิ้นสุด}1/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 02-05-2020 13:02:05
 :impress2: จากนี้จะหวานกันแล้วใช่ป่าว
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH22จุดสิ้นสุด}1/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 02-05-2020 20:34:39
เรืองร้ายจบแล้ว
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH23จุดสิ้นสุด}4/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 04-05-2020 20:26:39

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

ตอนที่ 23 ชีวิตที่เดินต่อ 


       ผ่านมา 1 เดือนหลังนั้น แผลที่โดนยิงของมันตอนนี้แห้งแล้วแต่ยังไม่หายดี แต่สภาพร่างกายมันกลับเต็มร้อย มาซ้อมมวยกับพ่อของผมทุกวันซึ่งพักหลังมานี้ มันก็มักจะเนียนขึ้นมานอนกับผมเหมือนตอนเด็กๆ โดยที่ไม่ทำอะไรผมเลย ก็ถ้าขืนทำสิ พ่อได้เพ่นกบาลแยก … =////= ใครเขิน ใครหน้าแดงไม่มีทั้งนั้น

           ที่น่าแปลกใจ คือ รุ่งเช้าของวันที่ไอ้ไม้โดนยิง ข่าวจับพ่อค้ายา นามสกุลเก่าของไอ้ไม้ดังคึกโครมไปทั่วประเทศ ผมนึกสงสัยเลยต้องเคล้นหาความจริง จากไอ้ลูกชายที่บังอาจปิดบังเรื่องต่าง ๆ กับผม จนมันเผยไต๋ออกมาหมดว่าคืนนั้นมันไปทำอะไรมาบ้าง ทำเอาผมหัวใจแทบวาย

   โชคดีที่มันวางแผนทั้งหมดไว้อย่างรอบครอบและไม่ไปฆ่าใครตายซะก่อน ไม่งั้นมันก็คงต้องติดคุกและผมก็จะต้องเสียใจ โชคดีจริง ๆ ที่มันยังมีสติ ฉลาดพอที่จะรู้ถึงจิตใจของผมดี และหลังจากเราสองคนก็อยู่จัดการเรื่องที่กรุงเทพ ทั้งเรื่องคดีและบริษัท กับกิจการบ่อนที่มันเปิดเอาไว้โดยที่ผมไม่รู้ แน่นอน ผมสั่งปิดบ่อนการพนันของมันทันที แถมบิดหูให้ซะหูเกือบขาด สอนไม่จำไอ้เรื่องอบายมุขเนี้ย แต่ก็เอาเถอะ ผมขี้เกียจจะโกรธจะงอน ในเมื่อตอนนี้มันออกปากแล้วว่าจะกลับมาอยู่ที่นี้

           อาจจะมีบ้างที่ต้องกลับไปดูบริษัทที่กรุงเทพแต่ก็ไม่บ่อยนัก ในระหว่างที่ตัวของไอ้ไม้อยู่ที่นี้บริษัทก็คงต้องฝากไอ้ปราณลูกน้องของมันเอาไว้ ส่วนไม้เองก็ต้องบริหารงานผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่นี้ ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ห้าม และโชคดีที่แถวบ้านผมถึงแม้จะเป็นทุ่งนาและป่าเขา แต่สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างก็ครบครัน มาถึงแล้วไม่งั้นได้วุ่นวายกันใหญ่ เฮ้อ บาปกรรมที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่นในที่สุดก็จบลงสักที แต่ที่ดีกว่านั้นคือไอ้ไม้ไม่ต้องไปเสี่ยงอะไรที่ไหนอีกแล้ว นั้นคือที่ผมดีใจที่สุดแล้ว



ผลั๊ก ผลั๊ก ผลั๊ก



           “สอนกูบ้าง” ผมนั่งหน้างอ กอดอกมองไอ้ไม้ที่นั่งยอง ๆ ยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ตรงห้าผมด้านล่างเวทีมวย พร้อมกับเด็กอีก 10 กว่าคนที่พ่อผมรับมาฝึกศิลปะป้องกันตัวโดยไม่คิดเงิน ซึ่งผมเห็นดีเห็นงามด้วย

           “เดี๋ยวปู่ด่าครับ” ผมย่นหน้า อยากจะทุบให้จมูกหักนักไอ้บ้า!

           “มึงกลัวกูหรือกลัวพ่อกู”

           “กลัวพ่อโทนครับ แต่ก็กลัวปู่ด้วย เดี๋ยวปู่ไม่ให้ผมเข้าบ้านนี้ทำไง” ยังไม่สำนึกอีกผมหันไปเขม่นไอ้เด็ก ๆ ที่พากันหัวเราะคิกคัก พอผมมองก็เงียบกันหมด ฮึ ไอ้จุกมึงอะตัวดีเลย นำทีมเพื่อนตัวแสบมึงนักนะ

           “มึงก็สอนกูหน่อย กูอายุปานนี้แล้วยังป้องกันตัวไม่ได้ พอมีปัญหาใจสู้อย่างเดียวทำอะไรไม่ได้อยากนะมึง”           

           “พี่โทนก็ให้พี่ไม้ปกป้องไงจ้ะ” ไอ้จุกโผล่หน้ามาหนุนตักผมก่อนจะพูดจากวนโอ้ย

           “ไอ้จุกมึงนะ เดี๋ยวก็เตะคอหัก” ไอ้จุกหัวเราะคิกคักลุกขึ้นไปพร้อมกับเพื่อนมัน ประจวบเหมาะกับที่พี่แสงและพี่เมฆกลับมาจากออกกำลังกายพอดี

           “มึงสอนกูหน่อยสิ สอนกูพร้อม ๆ กับเด็กพวกนี้ก็ได้”

           “เฮ้อ ก็ได้ครับ ผมยอมแล้ว … ยอมทั้งใจเลย” ประโยคหลังพ่อคุณเขากระซิบมาข้างหูผม เลยโดนบ้องไปด้วยความมือไวผสมกับความหมั่นไส้ส่วนบุคคล

เพี๊ยะ

           “อย่ามาทำรุ่มร่ามแถวนี้ ถ้าปู่มึงมาเห็นไม่ให้เข้าบ้านกูไม่รู้นะ”ผมลุกขึ้นยืนยิ้มแป้น เพราะในที่สุดผมก็ได้เรียนมวย เดินตามพวกเด็ก ๆ ไปหาพี่เมฆที่กำลังสอนยืดกล้ามเนื้อเพื่อเตรียมความพร้อมอยู่ ฮิฮิ วันนี้พ่อไปอยู่กับไอ้เกื้อเมียเด็ก เสร็จโจรแหละฮะ

           “น้องโทน ไอ้ไม้ยอมให้ฝึกแล้วหรือไงครับ”

           “ช่ายยยยย ต่อไปนี้ก่อนไปทำงาน ผมจะซ้อมมวยแล้วนะ ฮิฮิ” ผมโชว์หมัดแยบให้เด็กดู ทำเอาโห่ร้องกันสนุกสนาน

           “ให้ผัวปกป้องไม่ดีกว่าเหรอ เดี๋ยวเขียวช้ำขึ้นมามึงก็บ่นอีก”

   ผมหันไปค้อนพี่แสง … ก็จริงที่ผมเคยจะฝึกมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ล้มเลิกเพราะทนความเจ็บความปวดของร่างกายไม่ได้เพราะมวยเป็นกีฬาปะทะ เลยต้องยอมแพ้ไป แต่รอบนี้ผมเอาจริงนะ จะเจ็บจะปวดแค่ไหนผมก็จะทน

           “ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวผมคอยเซฟพ่อโทนเอง”

           “เออ ๆ ก็แล้วแต่ก็เตือนด้วยความหวังดี ไอ้จุกแยกน้องเป็น 3 กลุ่ม แบ่งไปให้กู ไอ้เมฆ ไอ้ไม้ ส่วนมึงไอ้โทนเลือกเอาจะอยู่กับใคร” และไอ้จุกก็แบ่งเพื่อนตามคำสั่งของพี่แสง ซึ่งไอ้ไม้พาเด็ก 4 คนที่อยู่กลุ่มมันเดินไปยังลานหน้าบ้านเพื่อทำกายบริหารยืดกล้ามเนื้อ

           “ชิ ทำมาเป็นสั่ง เมื่อก่อนก็ขี้ก้างเด็กแว้นนั้นแหละ” ผมพูดและทำเป็นมองนก มองไม้ไม่สนใจย่นหน้าเพราะแขนใหญ่ ๆ ของพี่แกพาดมาบนบ่าผม ก่อนจะก้มมากระซิบข้างหูด้วยความสูงที่แตกต่างกันกว่า 30 เซนติเมตรกว่า ๆ

           “อย่างน้อยตอนนี้กูก็มีซิกแพควะ ไอ้น้องไม่เหมือนมึงมีแค่พุง แดกเข้าไปสิ เดี๋ยวไอ้ไม้ไม่รักกูจะขำให้”

           “ปากเสีย พี่นั้นแหละ ที่พี่เมฆจะไม่รัก ”

           ผมป้องหูกระซิบกลับไป หึหึ อยากมากระตุกหนวดเสือดีนัก ว่าจะไม่พูดแล้วเชียว  ถึงใครจะไม่เห็นแต่ผมเห็นนะ มิตรภาพลูกผู้ชายที่สะสมมา 30 กว่าปี ที่กลายเป็นความรักลับ ๆ ซึ่งแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ ทั้งที่ทั้งคู่ก็มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงด้วยกันเยอะทั้งคู่แถมหน้าตาดีทั้งคู่ แต่ก็ต้องกลับมาดูแลกันและกัน น่าสงสารจริง ๆ คิกๆ

           “อะ อะ ไอ้ พูดเหี้ยไรของมึง กูกับไอ้เมฆเนี้ยนะ” ไอ้พี่บ้าผละออกจากผมพูดออกมาให้ฟังกันรู้เรื่องแค่ 2 คน หน้าตาประหลาดใจสุดๆ ประหลาดใจอะไร รักก็บอกรักสิ ผู้ชายรักกันไม่ผิดสักหน่อย ก็แค่ความรัก ไม่มีใครบอกนี้ว่าผู้หญิงต้องคู่กับผู้ชายเท่านั้น

           “คิกๆ คู่รักซิกแพค อย่าคิดว่าไม่รู้นะ คิกๆ” ผมล้อเลียนต่อ และต้องอุดหูเมื่อคนเลือดร้อนตะโกนออกมาชี้หน้าผม หน้างี้แดงเป็นตูดลิงเลย

           “อะ อะ ไอ้เหี้ยไม้ มาเอาเมียมึงไป!!!!! … มองเหี้ยอะไรละ!!!!” ยังไม่พอหันไปว๊ากใส่พี่แสงที่กำลังมองมาด้วยความสงสัยอีกต่างหาก ผมรีบเดินเลี่ยงมาหาไอ้ไม้ไม่วายหัวเราะคิกคักจนท้องคับท้องแข็ง

           “แสงต่อหน้าเด็ก” พี่เมฆปรามมา จนพี่เมฆต้องหยุดและเดินกระฟัดกระเฟียดไปสอนเด็กสามคนที่ยืนหัวหดรออยู่ ก็มีแค่พี่เมฆกับพ่อผมนี้แหละ ที่เอาพี่แสงอยู่ เป็นคนขึ้นมาได้ก็เพราะสองคนนี้เป็นแรงเสริมนั้นแหละ

           “ไปกวนอะไรพี่เขาครับพ่อโทร”

           “ไม่มีอะไร สอนสิสอน” ไอ้ไม้ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเริ่มสอนด้วยความชำนาญที่ไม่เคยหายไปทันที เก่งจังเดี๋ยวเย็นนี้พ่อทำต้มยำหัวปลาให้กินนะ

.

.

.

           เวลาผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมงที่ไม้อนุญาตให้พ่อโทนลองฝึกมวยดู โดยขั้นพื้นฐานจะให้ยืดกล้ามเนื้อ และฝึกวิธีการตั้งท่าใช้ขาใช้แขนโดยให้ต้นกล้วยเป็นหลักประลองเพราะต้นกล้วยนั้นมีความอ่อนกว่ากระสอบทรายที่จะแข็งกว่า อาจจะทำให้มือของพ่อโทนและเด็ก ๆ บาดเจ็บได้เพราะท่าที่ยังไม่ถูก 100 เปอร์เซนต์ ร่างสูงยืนมองพ่อโทนด้วยความขบขัน เพราะวิธีการตั้งท่านั้นถูกต้องแต่แรงที่ปล่อยออกไปยังไม่มีแรงส่งที่มากพอ ซึ่งเมื่อเทียบกับเด็ก ๆ แล้ว ถือว่าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งไม้เองเห็นดีเห็นงามด้วยอยู่แล้วที่จะให้พ่อโทนฝึก เพียงแต่ว่าความคิดเห็นแตกต่างจากปู่ทายที่เกรงกลัวว่าลูกชายจะเจ็บจากกีฬาที่ใช้ร่างกายปะทะ จึงพยายามทำให้โทนอยู่ห่างจากศิลปะแขนงนี้

           “นะ เหนื่อย พักก่อนเถอะ” คนเก่งที่แสดงความคึกมาตลอดนั่งลงกับพื้น เจ้าตัวจิ๋วที่อยู่โดยรอบเองก็พากันนั่งลงงอแงตามด้วย                       

           “หึหึ พักก่อนทุกคน เจ้าไนท์ เจ้ากาย เข้าไปหยิบน้ำในครัวมานะ”

           “ครับพี่ไม้” เด็กชายอายุ 15 ที่เป็นพี่ใหญ่ของลูกน้องเด็กน้อยทั้งหลายลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัวสภาพเหงื่อตกเหมือนกัน เพราะการฝึกที่ไม่ได้พักของค่ายมวยอินทรารักษ์ แห่งนี้

           “ดื่มน้ำ ดื่มท่ากันให้เสร็จ แล้วไปรวมตัวกันที่แคร่ใต้ต้นโพธิ์หน้าบ้าน” พี่เมฆที่เปรียบเสมือนหัวหน้าค่ายในขณะที่ปู่ทายไม่อยู่ประกาศขึ้น เด็ก ๆ พากันขานรับทั้งที่กำลังงอแงอยู่จากการฝีกอย่างหนักโดยไม่ปราณีว่าจะเป็นเด็กอายุเท่าไหร่ เพราะนี้คือขั้นแรกของการฝึก

           “ไงครับพ่อโทนลิ้นห้อย ขอพักก่อนเด็กมันอีก” เจ้าไม้ทรุดร่างสูงลงมาตรงหน้าร่างน้อยที่นั่งทรุดกางขากางแขนอยู่ที่พื้นดินหน้าบ้านเพียงลำพัง เพราะเด็ก ๆ พากันไปกินน้ำในพื้นที่สนามฝึกใต้ชานบ้าน

           “ทะ ทำไมรอบก่อนที่ฝึกมันไม่ขนาดนี้อะพี่” คุณพ่อตัวเล็กงอแงออกมา มือหนายกขึ้นซับเหงื่อที่ไรผมให้ก่อนจะยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

           “หึหึ ก็จะหาเพชรเม็ดงามก็ต้องแบบนี้ละครับ”

           “หมายความว่าไง ไม่ใช่แค่ฝึกให้เด็กป้องกันตัวเฉยๆเหรอ”

           “ก็ด้วยครับ แต่ถ้าคนไหนมีแวว ปู่ก็จะขอมาให้เป็นหนึ่งในค่ายอินทรารักษ์  เพราะพี่เมฆกับพี่แสงเองก็อายุเยอะแล้ว กลัวจะปั้นเด็กไม่ทันครับ”

           “ไม่บอกกูเลย”

           “ก็เห็นว่าพ่อโทนไม่สนใจงานค่าย และไม่อยากรบกวน เพราะพ่อโทนเองก็มีโรงพยาบาลสัตว์ที่ต้องดูแลนี้ครับ” โทนกัดริมฝีปากเพราะเถียงไม่ออก ก่อนที่จะลุกขึ้นไปนั่งบนแคร่ปล่อยให้ไม้หาน้ำหาท่าพัดหวี่ให้ไม่ขาดมือ จนลูกเล็กเด็กแดงมานั่งกันตาแบ๋วบนพื้นดินที่ปัดจนเรียบแล้ว มีเจ้าแตงกวากะหล่ำและมะเขือนั่งอยู่ใกล้ ๆ วงนักมวยเด็กหน้าใหม่ในอนาคต

           “ไอ้โทนลงไปนั่ง” แสงที่เดินเข้ามายืนด้านหน้า ใช่มือสะกิดที่หัวทุยของคนที่กำลังสบายเบา ๆ จนไม้ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะตัวเองเป็นเด็ก

           “อะไรอะ” เจ้าตัวหันไปมองแบบงง ๆ แต่ก็ยอมลงไปนั่งกับพื้นแทรกกลางระหว่างเจ้าจุกกับเจ้าไนท์ที่นั่งอยู่

           “มึงก็มาฝึก ถึงจะเป็นลูกชายบ้านนี้และอายุเยอะจนจะเป็นพ่อพวกมันได้ก็เถอะ ไม่มีอภิสิทธิโว้ย” แสงพูดอย่างถือไพ่เหนือกว่า และก็ถูกศอกหนักๆของพี่เมฆกระทุ้งที่ท้องไม่แรงมากนักพอให้รู้สึกจุกนิดๆ

           “นี้ไม่ได้แค้นส่วนตัวใช่ปะ”  โทนพูดพึมพำแต่ก็ไม่ได้โมโหอะไรมากนัก เพราะตัวเองก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน 

           “เป็นไงเหนื่อยกันไหม” เมฆพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ผิวขาวที่โชว์ซิกแพคทำให้เด็ก ๆ ที่จ้องมองมาเกิดความอิจฉาและมองเขาเป็นแบบอย่างได้

           “เหนื่อยจ้ะ ขนาดจุกที่ฝึกทุกวันยังแย่เลย”

           “หึหึ นี้แค่ซ้อมรอบแรก เพื่อวัดความอดทน ไม่มีเกี่ยงอายุหรือร่างกาย เพราะเมื่อพวกเอ็งสมัครใจจะเข้ามาแล้ว สภาพร่างกายของพวกเอ็งจะถูกฝึกแบบนี้ในทุกวัน จนแกร่งขึ้น ถึงจะแค่ 8 ขวบ อย่างเจ้าดิว เองก็ด้วย” แสงพูดเสริม

           “ตะ แต่มวยก็แบ่งเป็นรุ่นไม่ใช่หรอพี่” เด็กไนท์ที่อายุ 15 อย่างคลาแคลงใจ

           “แน่นอนสิ แบ่งเป็นรุ่นตามชั้นการฝึก แต่เพื่อให้เอ็งพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจรวมไปถึงประสาทสัมผัสที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ การฝึกจึงเป็นเรื่องจำเป็น และจะหนักขึ้นตามอายุของพวกเอ็ง เป็นไงถอดใจกันหรือยัง” แสงถามต่อ

           “… ผม ผมไม่รู้ครับ ผมอยากเป็นมวย เพื่อป้องกันตัวแต่ไม่ได้อยากฝึกแบบนี้ทุกวัน”

           “หึหึ เอาเป็นว่าใครอยากจะมีฝึกเพื่อป้องกันตัวมาได้ แต่ถ้าหากใครอยากที่จะพัฒนาทางเชิงมวยขึ้นไปอีกขั้นก็ไปตัดสินใจกันเอา และให้มาบอกข้าพรุ่งนี้แต่เช้า ข้าจะเตรียมใบสมัครไว้ให้”

           “พี่แสงครับ ค่าสมัครเท่าไหร่” พจน์ หนุ่มน้อยวัยสิบขวบรูปร่างอ้วนท้อนสมบูรณ์ใบหน้าแห้งเกรียมเพราะเล่นกลางแดดบ่อยๆ

           “ไม่มีค่าใช้จ่ายเว้ย”

           “เจ๋ง!” เจ้าพจน์ เจ้าไนท์ และเจ้ากาย ร้องออกมาขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย แต่เด็กคนอื่น ๆต่างนั่งก้มหน้าคิดอย่างลำบากใจ อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองนั้นยังเด็กและไม่รู้จักความลำบาก แต่เมื่อมาเจอกับความทรหดที่ไม่คิดว่าอายุแค่นี้จะต้องมาเจอ ก็เลยนึกถอดใจกันไปบ้าง

           “เด็ก ๆ อยากฟังนิทานกันไหมครับ” อยู่ ๆ ร่างสูงผิวเข้มของลูกไม้ที่ยืนอยู่กลางวงล้อมของเด็กๆ ทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา พ่อโทนเองก็แอบกระตุกยิ้มเพราะรู้ว่าไม้เองตั้งใจจะทำอะไร

           “เชิญครับมอบเวทีให้”

   พี่แสงพูดอย่างล้อเลียนก่อนจะดันหลังให้พี่เมฆเดินออกจากแคร่ด้านหน้า ไม้เองก็หัวเราะและเดินเข้ามานั่งลงบนแคร่ช้าๆ ก้มลงไปอุ้มเจ้าดิวที่อายุ 8 ขวบขึ้นมานั่งข้าง ๆ ด้วยความที่ดิวเป็นเด็กตัวเล็กไม้เลยสามารถอุ้มได้เป็นภาพที่น่าเอ็นดู

           “ดิวอายุเท่าไหร่ครับ”

           “แปดขวดครับ”

           “เรียนอยู่ ป.3 เนอะ”

           “ครับ” เจ้าดิวตอบงง ๆ มองหน้าไม้ทีเพื่อนที

           “เด็กชายคนนึงเป็นเด็กกำพร้า อายุ 8 ขวบ ไม่มีเพื่อน ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีใคร บ้านของเขาถูกไฟไหม้ เหลือเพียงคนเดียวบนโลก ไม่มีความหวังแล้วในจิตใจ เป็นอย่างงั้นอยู่นานกว่า 5 ปี … แต่สุดท้าย อายุได้ 13 ขวบ ก็ถูกชุบเลี้ยงโดยค่ายมวยที่ได้เห็นการฝึกซ้อมที่หนักหน่วงในทุกวันของพี่ ๆ แบบนี้ รู้ไหมครับเด็กคนนั้นทำยังไง”

           “หนีมวย”

   “ชกมวย” เด็ก ๆ ต่างตอบไปคนละทาง มีสามหัวโจก พจน์ กาย และไนท์ ที่เถียงคนอื่นขาดใจว่าเด็กคนที่ไม้กล่าว

           “หึหึ เด็กคนนั้นชกมวยต่อครับ เขาฝึกหนักทุกวันและผ่านการทดสอบที่หนักกว่าพวกเราวันนี้เป็น 2 เท่าเชียวนะ”

           “แต่เด็กคนนั้น 8 ขวบเองนะพี่ไม้ ทำไมเขาเก่งจังครับ”

           “อายุ หรือสภาพร่างกาย ไม่เกี่ยวครับเด็ก ๆ มันเกี่ยวกับตรงนี้” ไม้เอามือวางลงไปที่หน้าอกด้านซ้ายของเจ้าดิว ทำเอาทำเอาเจ้าตัวน้อยขนลุกซู่ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่พี่ชายหน้าโหดแต่ใจดีคนนี้อธิบาย

           “หัวใจต่างหากละครับเด็ก ๆ กำลังกายไม่สำคัญเท่ากำลังใจ ถ้าตัวเองคิดว่าอยากที่จะพัฒนาตัวเอง ร่ายกายก็ไม่มีวันทรยศจิตใจเป็นแน่”

           “แล้วเด็กคนนั้นปัจจุบันเป็นยังไงบ้างครับพี่ไม้” เจ้าเล้งลูกชายห้างทองในตลาดถามขึ้นด้วยความอยากรู้และตื่นเต้น

           “ก็เป็นพี่ไม้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าพวกเอ็งนี้ไง” โทนพูดขึ้นอย่างภูมิใจ ทำเอาเด็กทุกคนต่างตื่นเต้นและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแม้แต่เจ้าจุกเองก็ตาโตเป็นไข่ห่านเพราะไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน

           “เอาเป็นว่าลองกลับไปนอนคิด ถามพ่อแม่ก่อนแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาบอกก็ได้ ว่าไงครับพี่เมฆพี่แสงให้เด็กๆกลับบ้านเลยไหมครับ”

           ไม้หันไปถามรุ่นพี่ของตัวเองที่ยืนมองความสุขุมของรุ่นน้องที่หายหน้าหายตาไปเมืองนอกมา 9 ปีกลับมาทั้งนิสัยและฝีมือไม่มีเปลี่ยนหรือตกลงไปแม้แต่น้อย เผลอๆตอนเด็กๆว่าโหดสู้กับผู้ใหญ่ได้สูสีแล้ว ตอนโตยิ่งเก่งเข้าไปใหญ่อีกเขาเองก็ไม่รู้เพราะยังไม่ได้ทดสอบฝีมือของไม้อย่างจริงจัง

           “เออ แล้วให้พ่อแม่พวกเอ็งหาน้ำอุ่นมาให้แช่กันด้วย ก่อนที่จะเคล็ดไปทั้งตัว” พี่แสงพูดสรุป

           เจ้าพจน์ลุกขึ้นพุ่งเข้ามาถามถึงรายละเอียดของการฝึกเพราะเจ้าเด็กอ้วนให้ความสนใจกับกีฬามวยเป็นอย่างมาก ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ก็พากันพูดคุยกันบ้างก็เข้ามาคุยกับไม้ที่กลายเป็นไอดอลเด็ก ๆ ไปซะแล้ว บ้างก็เดินไปจับน่วม กระสอบทรายขึ้นไปสัมผัสเวทีมวยอย่างคิดไตร่ตรอง ด้วยสติปัญญาของเด็กน้อย ก่อนจะทยอยกันกลับไป จนเหลือแค่เจ้าจุกและพ่อโทนที่นั่งเล่นกับเจ้าสามเสือ กะหล่ำ มะเขือ และแตงกวาอยู่ที่ลานหน้าบ้าน

           “จุกไปเอาน้ำให้พี่หน่อยครับ”       

           “จ้า” จุกรับคำลูกไม้ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปในครัว เมื่อลูกไม้เห็นน้องสุดท้องของบ้านเดินลับไปแล้วก็นั่งขัดสมาธิลงข้างๆพ่อโทน อุ้มกะหล่ำที่ตัวใหญ่กว่าน้องอีก 2 ตัวมาวางบนตักพ่อโทนเหลือบมองแต่ทำเป็นไม่สนใจ

           “แล้วเด็กคนนี้ละครับ จะฝึกต่อไหม”

           “แน่นอน”

           “แล้วพี่ไม้จะสอนให้เป็นพิเศษเลยนะครับ”

           “ทะลึ่ง!!!” โทนตวัดตามองอย่างโกรธๆ

           “เอ๊า ไม่ได้ทะลึ่งก็จะสอนมวย” มือหนาจับที่แก้มนิ่มทำให้หน้าแดงระรื้นขึ้นอย่างเสียมิได้ ทำเฉไฉลุกขึ้นเดินหนี   

   “มึงอ่ะเจ้าเล่ห์ ไม่สนละ กูไปอาบน้ำไปคลินิกดีกว่า” ไม้มองตามคนเอาแต่ใจแต่น่ารักที่เดินขึ้นบ้านไปอย่างยิ้ม ๆ

           “พี่ไม้จ้ะ น้ำจ้า” แรงกระตุกที่แขนทำให้ไม้ก้มไปมอง เห็นเจ้าจุกถือขันน้ำดื่มเข้ามาหา เจ้าไม้รับมาอย่างใจดีก่อนจะวางมือลงบนหัวเล็กๆของเจ้าจุกน้ำเสียงอ่อนโยนถามขึ้นอย่างเป็นกันเอง

           “หลวงตาเป็นยังไงบ้างจุก”

           “หลวงตาสบายดีจ้ะ มีบ้างที่ถามหาพี่นะจ๊ะ พี่ไปเยี่ยมแกหน่อยนะพี่ไม้”

           “อืม แล้วพี่มาดสบายดีนะ” ไม้ถามถึงลูกศิษย์วัดคนสนิท

           “สบายดีจ้ะ เมื่อต้นเดือนไม่สบายแต่ตอนนี้หายแล้วจ้ะ”

           “แล้วตอนนี้วัดเป็นยังไงบ้าง”

           “เอ่อ หนูเห็นพี่ป๊อกไปนมัสการ และพาพวกพี่ ๆ คนงานขึ้นไปเยอะอยู่จ้ะ แต่พักนี้จุกไม่ค่อยได้ขึ้นไปเพราะจุกมีเรียนพิเศษวันอาทิตย์อะ” จุกพูดอย่างซื่อ ๆ ย่นหน้าเพราะคิดถึงวัดไม่ต่างกัน

           “อืม ดีแล้วตั้งใจเรียนนะ โตมาจะได้สบายๆ”

           “จ้ะ” จุกยิ้มตาหยี

           ไม้คุยเล่นกับเจ้าจุกประเดี๋ยวก็ผละเดินขึ้นบ้านมาบนชั้นสอง ตรงไปยังห้องของพ่อโทนที่คุ้นเคย พอเปิดเข้าไปก็เจอพ่อโทนกำลังเตรียมของเพื่อไปอาบน้ำจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ กอดเอวบางเอาไว้จากด้านหลัง เจ้าของร่างเล็กสะดุ้งนิด ๆ แต่ไม่ได้ว่าอะไรที่ลูกไม้กอดเอาไว้แบบนี้แต่หยุดกิจกรรมทุกอย่างและหลับตาซึมซับสัมผัสของลูกไม้อย่างเต็มใจ เมื่ออยู่ในสถานที่ลับตาคนอันเป็นส่วนตัวเช่นนี้

           “พ่อโทนครับ” เสียงเข้มร้องเรียกชื่อของคนรักออกมาด้วยความเคยชิน โดยที่ไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์จะเป็นไปอย่างสัพนามเลย

           “อะไร” คนที่หน้าแดงระรื้น ตอบกลับมาอย่างสงสัย

           “ไม้ขอบวชนะ”  ตากลมลืมขึ้นอย่างฉงน หันไปมองตาคมที่จ้องมาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะเอียงคอทำให้ไม้นึกเอ็นดูยิ้มรับและก้มลงมาจุ๊บที่ริมฝีปากบางตรงหน้า

           “เอาไม้บวชเสร็จเรามาแต่งงานกันนะครับ”

           “มึงจะบ้าเหรอ” โทนด่าออกมาทั้งที่ยังงง ๆ ทำให้ร่างสูงหัวเราะออกมาโอบกอดร่างน้อยเอาไว้อย่างหวงแหน


หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH23ชีวิตที่เดินต่อ}4/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 04-05-2020 20:27:35

-โทน-



           บวชเหรอ … จริงสิหน้าที่ของลูกผู้ชายคือการบวชนี้นะ ตอนผมอายุ 27 ผมบวชไปแล้วที่วัดป่าบนเขาที่ไอ้ไม้ชอบไปบ่อย ๆ เพราะมันเป็นทางเดียวที่ผมจะสงบจิตใจได้ การบวชทำให้ผมรู้อะไรหลายอย่าง บาปบุญคุณและโทษบนโลกมนุษย์ที่หมุนไปตามกาลเวลาที่ไม่มีวันหวนกลับ การเข้าถึงพระธรรมคำสอนด้วยจิตที่ตั้งมั่น ได้ตอบแทนบุญคุณของพ่อและผู้มีประคุณทั่งปวง ร่วมอโหสิกรรมให้แก่ เจ้ากรรมนายเวร ทั้งสิ้น 1 พรรษา ที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์อันสงบสุขทำให้ผมมีจิตใจที่ตั้งมั่นและหลงลืมความหมองหม่นลงไปได้บ้าง เฮ้อ นี้โชคดีนะที่ผมเรียน รด ไปตอน ม ปลาย ไม่งั้นคงต้องไปเป็นทหารอีก ความจริงหน้าที่ของรั้วประเทศก็สำคัญ แต่หมอหมาของผมก็สำคัญไม่แพ้กัน ผมขอรับใช้ชาติใสส่วนของสวัสดิ์ภาพของสัตว์แล้วกัน เอ๊ะ ว่าแต่ไอ้ไม้ไปจับใบดำใบแดงมาหรือยัง … มันคงไม่ได้เรียน รด ที่เมืองนอกแน่ๆ … ตายละหว่า จากกันไป 6 ปี ยังต้องจากกับมันอีก 2ปี ผมไม่ยอมนะ !

           “กั้งเห็นโทรศัพท์กูปะ” ผมหันไปถามไอ้กั้งที่เช็คสต๊อกอยู่ โดยมีไอ้เกื้อคอยบอกรายการในใบสั่งของ

           “อ้าวที่วางเองแล้วไปไหนละ” มันพูดทั้งๆที่ไม่หันมา แต่เป็นไอ้เกื้อที่หันมาจ้องผมตาแป๋ว เมียอยู่นี้แล้วผัวไปไหนละแม่เลี้ยง

           “กูถามมึงไม่ใช่ให้มึงมาถามกู” ผมพูดพร้อมกับหาอะไรโยนไปที่หัวของไอ้กั้ง

           ไอ้โทนยอมรับนะว่าช็อก ที่ไอ้ไม้มาบอกว่าบวชซึ่งผมเห็นดีเห็นงามด้วยและจะไปเยี่ยมพระเมื่อไหร่ก็ได้อนุโมทนาสาธุอย่างไม่มีเหตุผลอะไรต้องรั้งเอาไว้ เพราะไอ้ไม้เรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว ไม่มีหน้าที่อะไรที่ต้องเป็นห่วง แต่ผมอยากรู้เรื่องทหารนี้ละ ในความจริงถ้าจำเป็นต้องไปรับใช้ชาติจริง ๆ ผมก็ยอมเพราะนั้นคือหน้าที่ของชายไทย หืออออ โลกของความจริงมันโหดร้ายกับผมชะมัดเลย 

           “มีอะไรหรือเปล่าโทน เดี๋ยวยืมของเกื้อก่อนไหม”

           “อื้อก็ได้ แต่มันหายไปไหนนะ” ผมรับโทรศัพท์ขอไอ้เกื้อมาและกดเบอร์โทรออกที่จำได้แม่นยำ

           “สวัสดีครับ” รอสายสักพักเสียงเข้มปลายสายก็รับ เสียงรอบข้างค่อนข้างดังเหมือนอยู่ด้านนอกไม่ใช่ที่บ้าน

           “มึงอยู่ไหน”

           “อ้าวพ่อโทนผมเพิ่งไปส่งมาเอง คิดถึงผมเหรอครับ” ทะเล้นเดี๋ยวก็เจอตีนหรอก           

           “มาคุยกับกูหน่อยสิ”

           “มีอะไรครับที่รัก” ยังไม่เลิก แต่ระงับอาการโกรธไว้เพราะอยากให้ไอ้ไม้สบายใจก่อนบวช ผมตัดสินใจว่าจะไม่โกรธมัน

           “เหอะน่า จะถามอะไรหน่อย”

           “ตอนนี้ไม้กำลังช่วยป้าแป๋วตำข้าวอยู่ครับ”

           “แล้วทำไมไปโผล่บ้านป้าแกได้ ไปจีบลูกสาวแกหรือไง” ผมถามเล่นๆ เพราะรู้นิสัยมันดี หึ ลองนอกใจกันสิพ่อได้เอายาสลบช้างฉีดและหมกเอาไว้แถวๆนี้ละ

           “พ่อโทนก็รู้ผมรักพ่อโทนคนเดียว” อือหื้อ เสียงออดอ้อนออเซาะไปอีกไอ้ไม้มาดเข้มที่สอนกูชกมวยเมื่อกี้ไปไหนนะ

           “เออ เสร็จแล้วมาหากูที่โรงบาลด้วย”

           “รับทราบครับ อีกประมานชั่วโมงผมจะซื้อขนมไปฝากนะอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมที่รัก”

           “กินมึงได้ไหม” ผมหยอกๆ ด้วยความทะเล้นและอยากแกล้งมัน หึหึ อึ้งสิมึงเจอกูรุกใส่

           “หึหึ เดี๋ยวให้กินแล้วห้ามงอแงนะครับ”

           “เร็วเหอะมึงอะ” ผมตัดสายทันที ไอ้บ้าเขินชะมัด แกล้งกูได้แกล้งใหญ่เลยนะ

           “ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยนะ มีอะไรหรือเปล่าโทน”

           “ไอ้ไม้มันบอกจะบวชน่ะ” ผมว่าและส่งโทรศัพท์คืนให้ไอ้เกื้อ จะว่าไป … ผมก็ตื่นเต้นนะที่ลูกผมจะบวชถึงสถาณะมันจะอัพเดตแล้วก็เถอะ

           “จริงเหรอ ดีจังเลย เกื้อเองบวชรอบนั้นพร้อมโทนได้อะไรตั้งเยอะแต่เสียดายเกื้อบวชแค่ 15 วันก็ต้องสึกแล้ว” ลืมบอกไปเลยว่าตอนนั้นผมบวชพร้อมไอ้เกื้อเลย ทำไงได้ละ จะให้มันไปบวชคนเดียวน่าสงสาร ยิ่งเป็นเด็กที่กลัวผีอยู่

           “เอาน่ะ อย่างน้อยก็ได้บวชแล้ว ตอนที่มึงเป็นพระนะ หัวมึงเหม่งน่ารักสุด ๆ ” ผมว่าพร้อมเอามือวางบนหัวของไอ้เกื้อ มันหัวเราะคิกอย่างอารมณ์ดี อยู่ด้วยกันมานานจนมันเลิกเขินผมไปนานแล้ว

           “โทนนั้นแหละ ลุงทายเกือบหลุดขำตั้งหลายครั้งตอนมาถวายเพล… เอาเป็นว่าเกื้ออนุโมทนาสาธุด้วย ว่าแต่บอกคนอื่นหรือยัง”

           “ยังหรอก รอให้เจ้าตัวมาบอกดีกว่า คงไม่จัดงานใหญ่หรอกไอ้ไม้ไม่ชอบคนเยอะ เดี๋ยวต้องไปหาฤกษ์เตรียมงานอีก … มึงกูถามไรหน่อย” ผมท้าวแขนลงจ้องหน้าไอ้เกื้อที่จ้องผมตาเป็นไข่ห่าน

           “อะไรเหรอ” มันทำท้าวแขนเลียนแบบผม อ้าว กวนตีน

           “ตอน ม ปลายหน้าอย่างมึงคงไม่เรียน รด แล้วไปจับใบดำใบแดงมาหรือยังวะ ตอนมหาลัยก็ไม่เห็นเลย”

           “อะไรโทน เกื้อก็เรียน รด นะ ตอนนั้นดำสุดๆ” มันทำท่าฮึดฮัด

           “จริงดิ โอ้ย กระดูกไม่หักเหรอวะ” ผมยกมือปัดหน้าตัวเองทำย่นจมูก

           “เห็นแบบนี้ ฮึ่ม เกื้อก็แข็งแกร่งนะ” ไอ้เกื้อยกแขนของมันเบ่งก้างให้ผมดู น่ารักเชียวมึง ฮ่าๆๆๆๆ

           “ไม่งั้นจะมีผัวเป็นนักมวยได้ไง ถูกปะ”

           “บะ บ้า นี้เกื้อเป็นแม่เลี้ยงโทนนะ พูดแบบนี้ได้ไง” หน้ามันแดงระรื้น โอ้ย พ่อหนุ่มทำมาเป็นเขิน

           “อ๋อ เดี๋ยวนี้ถือยศถืออย่างเหรอ กูเพื่อนมึงนะไอ้แม่เลี้ยง”

           “คิกๆ ล้อเล่นครับเพื่อนรัก เอาเป็นว่าโทนก็สถานะเดียวกับเกื้อนั้นแหละ”

           “ตั้งแต่มีผัวเป็นตัวเป็นตนนี้ เอาใหญ่เลยนะ” ผมว่า ก่อนที่มันจะหัวเราะเขิน ๆ พอดิบพอดีกับที่มีเคสแมวโดนยาเบื่อมาพอดี ผมกับมันเลยต้องพักความหรรษาและมาช่วยเพื่อนร่วมโลกก่อน

           “อ้าวมาแล้วเหรอ ปลอดภัยดีแล้วนะครับ โชคดีที่คุณลุงป้อนไข่แดงดิบไอ้โชค ทำให้สารพิษดูดซับและสำรอกออกมาพอสมควร จากนี้ก็ขอให้ไอ้โชคนอนอยู่ที่นี้ 2 วันเพื่อดูอาการนะลุงนะ” ผมหันไปทักไอ้ไม้ที่นั่งเจียมเจี้ยมอยู่ข้างๆลุงเสมเจ้าของแมว เจ้าของเจ้าโชคแมว 9 ชีวิตที่ผมช่วยไปแล้ว 1 ชีวิต คงเหลืออีก 8 ชีวิต ฮ่าๆๆๆๆ

           “ขอบคุณมากเจ้าโทน เจ้าเกื้อ ถ้าไอ้โชคตายลุงต้องเสียใจมากแน่ ๆ ”

           “ไม่เป็นไรครับลุงมันเป็นหน้าที่ ลุงทำใจดี ๆ นะครับ น้องปลอดภัยแล้ว” ไอ้เกื้อเดินเข้าไปจับมือลุงเสมที่สั่นระริก ลุงแกอายุเยอะแล้ว เมียก็ชิงด่วนเสียชีวิตไปก่อนลูกชายก็ไปทำงานกรุงเทพ คงมีแต่เจ้าโชคนี้ละที่เป็นเพื่อนแก จึงไม่แปลกที่แกจะหวงแหนเจ้าโชคเหมือนลูกคนนึงของแก

           “นี้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ลุงให้นะ ค่ารักษา” ลุงยื่นแบงค์ร้อย 2 ใบให้ไอ้เกื้อ มันยกมือไหว้รับมาก่อนจะเดินเอาไปใส่กล่องบริจาคเอาไปเป็นค่ายาของคลินิค ถือว่าเป็นการทำบุญที่ส่งต่อไปเรื่อย ๆ

           “ขอบคุณครับลุง เอาเป็นว่าฝากกระจายข่าวด้วยนะครับว่าถ้าสัตว์ตัวไหนป่วยให้พามาหาผมได้เลย หรือถ้าสัตว์มีขนนาดใหญ่เดี๋ยวผมจะไปรักษาถึงที่ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขอเป็นข่าวสักมื้อก็พอครับ” ผมบอกแกยิ้ม ๆ

           “เจริญ ๆ นะ” ผมยกมือท้วมหัวท่าทางตลก ๆ หวังให้ลุงอารมณ์ดีขึ้น

           พอลุงเสมกลับไปแล้ว ผมก็หันไปย่นหน้าใส่ไอ้ไม้ที่นั่งมองผมอยู่ตาแป๋ว ด้วยสายตาที่หยอกล้อของไอ้เกื้อที่ผมสัมผัสได้เลยต้องหันไปค้อนขวับและลากไอ้ไม้ออกมาที่ร้านไอติมในตลาด ไม่ใช่ร้านเจ้ปากมากที่ผมเคยพาไอ้ไหม้มากินบ่อย ๆ ตอนเด็กหรอกนะ เพราะเจ้แกมีผัวเป็นฝรั่งไปอยู่แคนาดาแล้ว

           “พี่โทนสวัสดีค่ะ วันนี้เอาเหมือนเดิมใช่ไหมคะ อ่อ น้องไม้ที่เล่าให้ฝ้ายฟังบ่อย ๆ หรือเปล่า”

           เสียงทักของไอ้ฝ้ายที่เห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เรียนจบแล้วก็มาเปิดร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ในสไตล์ร่วมสมัยมีทั้งโซนอินดอร์ที่ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าขาวน่ารักฟรุ้งฟริ้ง แล้วเอ้าดอร์เป็นชานบ้านที่ยื่นออกไปที่แม่น้ำ มีต้นไม้เล็ก ๆ เป็นของตกแต่งได้อารมณ์ไปอีกแบบ พอเห็นผมเดินเข้าไปก็ทักถามขึ้นทันที

           “เออ จีบได้มันยังไม่มีแฟน” ผมว่าชี้ไปทางด้านหลังที่ไอ้ไม้ยืนยิ้มเป็นมิตร และเดินไปนั่งที่โต๊ะประจำติดพนังอีกฝั่งของร้าน เวลาเซ็ง ๆ ผมก็ชอบมาที่นี้แหละ

           “กรี๊ดดดดดดดดด งั้นรับหนูเป็นลูกสะใภ้นะบ”

           “ไม่ได้หรอกครับ ถึงผมจะไม่มีแฟน แต่ก็มีพ่อโทนที่ต้องดูแล หึหึ”

           “โอะโอ่ ล้อเล่นนะคะ แหะๆ” ไอ้ฝ้ายรีบลี้ภัยเดินมาหาผมเพราะเจอไอ้ไม้ทำหน้าน่ากลัวใส่ … ไม่ต้องหนีมา กูก็กลัวเลย

           “พะ พี่โทน ไม้โหดอย่างที่พี่บอกจริงด้วย”

           “เออ ๆ พี่เอาเหมือนเดิม และเอาโกโก้เย็นมาให้ไอ้ไม้ด้วย” ไอ้ฝ้ายรับคำก่อนจะเดินเข้าไปหลังเคาเตอร์ ร่างสูงของไอ้ไม้นั่งลงตรงข้ามกับผม มันยิ้ม แต่เป็นยิ้มแบบที่อารมณ์ไม่ดี ซึ่งรู้เลยว่ามันไม่พอใจที่ผมพูดเมื่อกี้

           “มึงอย่าเป็นงี้ดิ ไอ้ฝ้ายรู้ว่ากูเป็นพ่อมึง แต่เขาไม่รู้ว่ากูเป็น … นั้นแหละน่ามึง เข้าใจกูหน่อย”     

           “หึหึ แล้วแต่เลยครับ ยังไงก็ได้”

           “เฮ้ย อย่างอนเด้ … ไว้คืนนี้ค่อยลงโทษกูก็ได้แต่อย่างอนเลยนะ มึงก็รู้กูง้อคนไม่เป็น”

           “พูดแล้วนะครับ” แหมไอ้ห่า ทีนี้ยิ้มแป้นได้เลยนะมึงอะ เด็กอะไรน่าเกลียดชะมัด ผมย่นหน้าก่อนที่เค้กสตอเบอรี่กับกิวี่ปั่น และโกโก้เย็นจะมาเสริฟ

           “หึหึ รู้ใจผมจัง ว่าผมชอบกินโกโก้”

           “แน่นอน” ผมยักไหล่ ก่อนจะดูดน้ำกิวี่กิน อ๊า ชื่นใจ อาการเมื่อยขบจากเมื่อเช้าก็คลายลงทันที

           “ว่าแต่พ่อโทนแสนน่ารักของผม เรียกผมมาทำไมครับ”

           “เออ ลืมเลย กูจะถามมึงว่าเรื่องทหาร มึงไปจับใบดำใบแดงมายัง”

           “นึกว่าเรื่องอะไร ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่ต่างประเทศ ลุงศักดิ์พ่อบ้านผมทำเรื่องผ่อนผันให้แล้ว และตอนกลับมาถ้าพ่อโทนสังเกต ก็น่าจะรู้ว่าเป็นช่วงที่เขาจับใบดำใบแดงกัน ผมไม่นั่งโชว์หัวนมมาแล้วครับ”

           “จริงดิ คนรวยอย่างมึงเนี้ยนะ ทำไมไม่ยัดเงินไปละ” ผมพูดอย่างไม่คิด

           “คนรวยก็ไม่มีสิทธิจะเอาเปรียบใครนี้ครับ และผมก็ไม่ซีเรียทว่าต้องไปเป็นทหารอย่างน้อยก็จะกลับมาลาพ่อโทนอีก แต่พ่อโทนคงช็อกน่าดูที่เพิ่งเจอผมหลังจากที่ผมหายไป และก็ต้องไปอีก 2 ปี คนที่จะทนไม่ได้เป็นพ่อโทนละมั่งครับ”

           “มึงพูดมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมว่าและก้มกินเค้กกลบความเขินไป ก็จริงของมันทุกอย่างนั้นแหละ

           “แล้วเรื่องบวชละมึงจะบอกทุกคนเมื่อไหร่”

           “เย็นนี้ผมจะบอกทุกคนในบ้าน … พ่อโทนจะว่าไหมถ้าผมจะบวชวัดป่าบนภูเขาและขออยู่ใต้เงาพระพุทธศาสนาสัก 3 เดือน”

           “กูจะไปว่าอะไรละ ได้แต่อนุโมทนาสาธุนั้นแหละ เอาที่มึงพร้อมเลยไม้ กูไม่ขัดอะไรอยู่แล้ว”

           “น่ารักที่สุด” มันพูดแบบไม่มีเสียง ผมเลยหมั่นไส้ป้อนเค้กให้มันคำโต

.

.

.

           ตกเย็นในมื้ออาหารบ้านทุ่ง ไอ้ไม้ได้บอกเรื่องจะบวชให้แก่ทุกคนได้รู้ ปู่ทายไม่ว่าอะไรและยินดีกับทุกสิ่งและเป็นธุระที่จะหาฤกษ์บวชให้ พวกพี่แสงและพี่เมฆที่ผ่านพิธีการมาก่อนแล้ว ก็ทั้งแนะนำและคุยโวต่าง ๆ นา ๆ ยิ่งอีตาพี่แสงนะบอกตัวเองเข้าถึงพระธรรมจนสามารถมองเห็นอนาคตได้ทั้ง ๆ ที่บวชแค่ สัปดาห์เดียวเท่านั้น เพราะต้องสึกออกมาชกแมชสำคัญ ผมละหัวเราะจนฟันแทบหักตอนพี่แสงถูกไอ้ไม้ไล่ต้อนจนมุม สุดท้ายก็โวยวายสารภาพเองว่าตัวเองน่ะขี้โม้

           “ปู่ครับผมขอนอนที่นี้นะคืนนี้”

           “บ้านปลายนามึงมีทำไมไม่นอน มานอนบ้านกูทำไม” ตาลุงที่นั่งชันเข่านั่งแคะฟันโชว์ซิกแพคนุ่งผ้าขาวม้าไม่อายฟ้าอายดินอยู่ที่แคร่หลังกินข้าวเสร็จตอบไอ้ไม้ โดยมีผมและไอ้เกื้อช่วยกันเก็บสำรับและพี่เมฆกับพี่แสงรับหน้าที่เช็คอุปกรณ์การฝึกสำหรับเด็ก ๆ ที่จะมาฝึกมวยในวันพรุ่งนี้

           “ก็วันนี้ปู่จะไปนอนบ้านบนเขากับอาเกื้อ ผมเป็นห่วงพ่อโทนครับ”

           “ไอ้เมฆไอ้แสงก็อยู่ มึงไม่ต้องมาอ้างไอ้ไม้ ทำไมกูจะตามเกมมึงไม่ทัน”ควันบุหรี่พ่นออกมาฉุยหลังพูดจบ

           “อย่ามาทะเลาะกันเหมือนผมเป็นผู้หญิงได้ไหม” ผมว่าและเอาจานเดินตามไอ้เกื้อเข้ามาในครัว

           “มึงไปเถอะ เดี๋ยวกูล้างเอง ต้องกลับไปรีดผ้าอีกไม่ใช่หรือไง” ผมวางจานและผลักไอ้เกื้อที่ทำท่าจะล้างอยู่ มันยิ้มและยอมวางมืออย่างว่าง่าย

           “งั้นเกื้อฝากด้วยนะ ลูกไม้อยู่ด้วยเกื้อคงไม่ต้องเป็นห่วง”

           “กูบอกให้ย้ายมาอยู่บ้านนี้ก็ไม่เชื่อ เทียวไปเทียวมาอยู่ได้”

           “เกรงใจน่ะ อย่าห่วงเลยบ้านบนเขาไม่ได้ลำบากอะไรหรอก อีกอย่างทุกคนก็เทียวไปนอนเป็นเพื่อนตลอดนี้”

           “เออ ๆ รีบไปเถอะก่อนผัวมึงจะฆ่าลูกกู”

           “คิกๆ ไปนะและเจอกันพรุ่งนี้ตอนเช้า” ไอ้เกื้อเดินออกไป ผมก็ลงมือล้างจานอย่างเงียบๆ

หมับ

ฟอดดดดดดดดด

           “หอมจัง”

           “ไอ้เหี้ย” ผมเรียกชื่อเล่นของมันอย่างไม่จริงจังนัก ไอ้ลูกห่านี้อยู่ ๆ มากอดและยังมาหอมอีก อยากจะด่าแรงกว่านี้แต่ก็กลัวมันโกรธ

           “วันนี้ผมนอนด้วยนะ”

           “พ่อกูยอมแล้วหรือไง”

           “หึหึ พี่เกื้อเดินออกไปเขาก็ไปกันทันทีเลยครับ”

           “เฮ้อ เออๆ ไปอาบน้ำอาบท่าซะ”

           “คร้าบบบบบบ ฟอดดดดด” ผมโดนมันกอดรัดฟัดเหวี่ยง อยู่สักพักก่อนยอมปล่อยเดินออกไปอย่างว่าง่าย อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ไอ้บ้า เขินนะเว้ย !

           “มึงจะทำอะไรเดี๋ยวไอ้โทนเห็น” ผมชะงักมือที่ล้างจานอยู่เมื่อด้านหลังครัวที่เป็นลานซ้อมทางปีกขวามีเสียงของไอ้พี่แสงดังขึ้น … อะไรกันวะ! ไม่เห็นแต่กูได้ยิน !!!

           “ก็มึงดื้อ” เสียงแหบเสน่ห์ทุ้มต่ำที่จำได้ดีว่าเป็นเสียงพี่เมฆดังขึ้น เฮ้ยๆๆๆ อย่ามาซัมกันตรงนี้นะเว้ยยยยยย ถึงจะรู้อยู่ก่อนแล้วแต่ไม่อยากเห็นซิกแพคเบียดกัน… อยากเห็นนิดเดียวก็ด่ะ เชี้ย เลือดกำดาวไอ้โทนจะไหล

           “กูไม่ได้ดื้อ อื้อ มึงอย่าเพิ่ง ไอ้สัด”

           “งั้นไปกลับห้อง”

           “กูอาบน้ำก่อน” เอาแต่ใจจังวะ คึ ๆ

           “ไปอาบที่ห้องน้ำโน้น”

           “เชี้ย อย่าลากกู” เสียงของพี่แสงถูกลากห่างออกไปยังเรือนหลังเล็กในรั้วบ้านผม น่าเสียดายชะมัด

           “แอบมองคนอื่นไม่ดีเลยนะครับ”

           “เชี้ยตกใจ” ผมอุทานผละออกจากกำแพงฝั่งนั้น อย่างเสียไม่ได้เมื่อไอ้ไม้โผล่มายืนพิงประตูอยู่หน้าห้องครัวมีผ้าขนหนูพาดบ่าอยู่

           “หึหึ” มันหัวเราะก่อนจะเดินผ่านไป … ไม่ว่าจะกี่ปีกี่ชาติก็เกลียดเสียงหัวเราะแบบนั้น ฮึ่ย ว่าแต่อยู่ ๆ ก็อยากย่องไปแอบดูที่เรือนหลังเล็กแฮะ หุหุ

.

.

.

           “พ่อโทรหลับแล้วเหรอครับ”

           เสียงทุ้มต่ำเข้มของไม้กระซิบเบา ๆ ที่ริมหูของร่างเล็กที่นอนขดตัวบนเตียงอันคุ้นเคยในห้องที่แสนสงบสุขและมีความทรงจำที่ดีตลอดมา ก่อนที่ริมฝีปากบางของลูกไม้จะยิ้มขึ้นอย่างเอ็ดดู เพราะเพียงแค่เขาลงไปตรวจตรารอบบ้านรอบสุดท้ายไม่กี่นาที พอขึ้นมาคนที่เพิ่งตาสว่างก็หลับไปแถมยังมีกลิ่นกายที่หอมฉุยจนจมูกโด่งได้รูปจะค่อยๆลงไปหอมขมับบางด้วยความเสน่ห์หา และเหมือนยังไม่พอ ริมฝีปากชื้นยังจูบไปทั่วใบหน้าก่อนจะทาบลงเบา ๆ ที่ริมฝีปากอวบอิ่มของผู้ใหญ่ตัวจิ๋วที่แสร้งเก่งไปในทุกเรื่อง แต่จริง ๆ ก็เหมือนเด็กสำหรับเขาอยู่ดี

           “อื้อ อะไอ้ไม้ พรุ่งนี้กูมีงานเช้านะ” เสียงกระเซ้าตอบกลับมาเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกโจมตีจากร่างสูงที่คร่อมอยู่บนร่างแล้ว

           “หึหึ แค่นี้ก็ชื่นใจแล้วครับ นอนนะครับ นอนบนอกของไอ้ไม้นี้ละ”

           เจ้าไม้ว่าก่อนจะนอนลงรวบตัวบางเข้ามากอดก่ายเอาไว้ ใบหน้าน่ารักวางแก้มนิ่มลงบนอกเปลือยก่อนจะหลับตาลงอย่างสบายใจแตกต่างจากอีกคนที่คลุกรุ่นด้วยอารมณ์ แต่ระงับทุกสิ่งเอาไว้เพื่อรอวันที่เขาทำหน้าที่ของลูกเสร็จสิ้น

           “ตอนไม้ไม่อยู่คอยดูแล พ่อโทนต้องดูแลตัวเองนะครับ”

           “อื้อ … แค่ 3 เดือนกูรอได้ มึงไปเถอะ ไปทำจิตใจให้สงบนะ”

           “รักพ่อโทนนะครับ”

   เสียงเล็กครางในลำคอ ก่อนจะค่อย ๆ หายใจในจังหวะสม่ำเสมอ และหลับไป ทิ้งให้ร่างสูงกอดก่ายร่างน้อย ใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่าง รอยยิ้มบนใบหน้าคมที่แสนสบายใจปรากฏขึ้น … เสียงจิ้งหรีดเรไร และคลื่นกระแสลมที่ทำให้ใจสงบสอดส่ายรับกับเสียงลมหายใจ และจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผ่อนคลายและแนบแน่นของคนรัก ไม่มีอะไรที่ไอ้ไม้ เด็กหนุ่มบ้านนอกคนนี้จะพึงปรารถนาอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว



//////////

ทำหน้าที่ลูกก่อนนะคะ ค่อยทำหน้าที่สามี กรี๊ดดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH23ชีวิตที่เดินต่อ}4/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: Chucream.nabi ที่ 04-05-2020 20:50:10
 o13 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH23ชีวิตที่เดินต่อ}4/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: PsychePie ที่ 05-05-2020 19:42:42
เจ้าไม้ไม่น่ามาขัดจังหวะเลย พ่อโทนกำลังจะตามไปส่องสองคนนั้นแล้วเชียว ถถถถถถ
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เมฆXแสง ตอนที่1}6/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 06-05-2020 19:52:56

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก


{เมฆXแสง ตอนที่1 คู่รักซิกแพค}



           ฮะ แฮ่ม ถามหาไอ้โทนกับไอ้ไม้คู่ผัวตัวผู้กันอยู่หรือไง ฮะฮะ ไม่ให้เจอหรอกว้อย ตอนนี้เป็นของพี่ ไอ้แสงยอดชายผู้ปราบคู่ต่อสู้บนสังเวียนมาแล้วนัดต่อนัด ฉายา ไอ้หนุ่มเหนือแสง ทำไมถึงได้ฉายานี้มาอะหรอ หยุดเลย ๆ ไม่ได้โดนน็อคไวเหนือแสงหรอกนะ ไอ้นั้นมันสมัยก่อน แต่เดี๋ยวนี้หมัดเดียวก็ล่มคู่ต่อสู้ได้ ถ้ามันไม่สู้อะนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ เอ้อ นี้พูดอะไรอยู่วะ

           เริ่มไงดี…จะบอกว่าเป็นเด็กกำพร้ามาแต่เกิดก็ดูจะน่าสงสารเกินไปนัก เอาเป็นว่าบ้านหลังแรกของผมคือที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วกัน พี่น้องคนละท้องมีมากมายกว่า 50 ชีวิต ชื่อที่พี่เลี้ยงเก่าแก่ที่ตอนนี้แกเสียไปแล้วตั้งให้ คือ แสง ที่มาจากแสงสว่าง นามสกุลตอนนี้ใช้สกุลเดียวกับลุงทาย ที่เหมือนพ่อผมนั้นแหละ แล้วหนึ่งในพี่น้องนอกไส้ผมก็คือไอ้เมฆ อยู่ที่นี้มาตั้งแต่ตัวเท่าลูกแมว แต่ไอ้เมฆน่ะ มันถูกทิ้งตอนมัน  4 ขวบ เพราะแม่มันเสียและพ่อของมันทิ้งมันไปมีเมียใหม่ ไม่มีญาติที่ไหนมันเลยได้มาอยู่ที่นั้นด้วยกัน

   ครั้งแรกที่เจอมันผมจำไม่ค่อยได้หรอกเพราะผมเองก็อายุเท่ามัน แต่แววตาเศร้าโศกคู่นั้นเป็นสิ่งที่ผมจำได้ดี จากนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้หรอกที่ผมกับมันสนิทกันรู้อีกทีถ้ามีผมก็ต้องมีมัน ถ้ามีมันและไม่มีผมนั้นสงสัยหลับอยู่ 

           “อะให้” ไอ้ผมที่ยังเด็ก ยื่นรถบังคับคันตัวเท่าฝ่ามือ ให้ไอ้เมฆที่นั่งอยู่บนชิงช้ามองออกไปที่รั้วของบ้านเด็กกำพร้า มันหันมามอง รอยยิ้มของมันตอนนั้นผมจำได้ไม่ลืม มันยิ้มแบบโลกทั้งใบเป็นของมันและหยิบเอารถบังคับในมือผมไปกอด … นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมคุยกับมันละมั้ง

           พอสักอายุ 15 ปี ความคิดความอ่านผมก็เพิ่มขึ้น แต่จุดแตกต่างระหว่างผมกับมันกลับชัดเจนขึ้น เมื่อผมเลือกที่จะคบเพื่อนที่เหลวแหลก สูบบุหรี่ กินเหล้า และขับมอเตอร์ไซค์ไปเรื่อย ๆ ไม่เรียนหนังสือถึงแม้จะมีทุนสำหรับเด็กกำพร้าอย่างพวกเรา แต่โชคดีที่ยังไม่ถึงขั้นไม่หลงผิดคิดเสพยา

   ส่วนไอ้เมฆน่ะหรอ มันกลับชอบช่วยเหลือคนอื่น ออกกำลังกายและรักกีฬามวยเป็นชีวิตจิตใจ รวมไปถึงเกรดเฉลี่ยมันก็ดีเอาซะมาก ๆ เรียกง่าย ๆ ว่าผมน่ะรักเลว ไอ้เมฆน่ะรักดี

           “ไอ้เมฆกูไปขี่มอเตอร์ไซค์นะ มึงไม่ไปกับกูเหรอวะ” ผมที่นอนอยู่บนเตียงภายในห้องพักเด็กกำพร้าใช้เท้าสะกิดไอ้เมฆที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ปลายเตียงกับพื้น แม่งจะขยันไปไหนก็ไม่รู้

           “กูเคยขอ มึงไม่คิดจะทำให้กูเลยหรือไง”

   มันหันมาถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง อ่อ อีกอย่างที่แตกต่างกัน คือรูปร่างที่สูงใหญ่แข็งแรง ผิวขาวละเอียด ใบหน้าคมคายคิ้วเข้มของมัน ส่วนผมน่ะหรือก็ไอ้ขี้ก้างหัวโตเหมือนที่ไอ้โทนเคยด่าไว้นั้นแหละ ย้ำนะเว้ย ว่านั้นมันแค่อดีตอะ! ตอนนี้กูสูงหล่อสุด ๆ

           “ก็ใจกูมันรักนี้หว่า”

           “มึงแน่ใจหรือว่ารักหรือว่าแค่เห่อหมอย”

           “ไอ้เชี้ยมึงแม่ง กูไม่คุยกับมึงแล้ว” ผมถีบมันไปหนึ่งทีแต่มันก็ไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะลุกยืนสวมเสื้อกับกางเกงภาษาเด็กแว้น อ่อ สมัยนั้นแม่งต้องทาปากแดงผมนกหัวขวานด้วยใช่ไหมวะ ฮ่าๆๆๆๆ

           “กูเป็นห่วงมึง เพราะมึงก็เหมือนน้องกู” มันพูดในขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูห้องออกไป ผมชะงักนิดๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมัน ก็ตอนนั้นผมเด็กแค่อยากทำอะไรก็ได้ที่มันแหกกฎเกณฑ์ไม่เหมือนไอ้เมฆที่อยู่ในกฎเกณฑ์ได้ แถมเสือกมีประสิทธิภาพเป็นคนดีของสังคมสาวติดตรึมอีกต่างหาก ก็รู้ว่ามันผิดละครับ แต่ทำไงได้หัวใจมันเรียกร้อง

           “โธ่เว้ย!!!!”

เคร้ง !

           กระป๋องเจ้ากรรมถูกผมเตะไปไกลจนผมตกใจ เฮ้ย หรือว่าเราจะมีพรสวรรค์ด้านกีฬาปะวะ มึงคอยดูนะ เดี๋ยวคอยดูมึงจะเห็นกูเติบโตในวงการลูกหนัง … ฟุตบอลนะมึงไม่ใช่ให้กูจะไปขัดรองเท้า

           “ไอ้หนู”

           “ใครหนู”

   ผมหันขวับไปมองก่อนจะชะงักเมื่อร่างสูงใหญ่หน้าโหดกำลังยืนกอดอกจ้องผมอยู่ นั้นเป็นครั้งแรกที่ผมเจอกับลุงทาย …. เป็นการพบเจอที่หดหู่สำหรับผมมาก เพราะตอนนั้นพ่อบุญธรรมของผมเหมือนจะฆ่าผมเพราะแค่เตะกระป๋องข้ามรั้วไปโน้น

           “พูดจาให้มันดี ๆ ” เขาก้าวสามขุมเข้ามายืนตรงหน้าในขณะที่ผมยืนตัวลีบๆอยู่หลังเค้าต่อยอะ ใครจะคิดว่าเจ้าของค่ายมวยจะมาที่นี้ละ

           เอ๊า แล้วผมรู้จักไปรู้จักแกได้ยังไงอะเหรอ ผมน่ะคล่ำหวอดอยู่ในวงการแว้นมาตั้งแต่ 10 ขวบ สถานที่ใหญ่ ๆก็ไปก่อกวนมาหมดแล้ว นับภาษาอะไรกับค่ายมวยของลุงแกละหว๊า! ตอนที่ไปเกือบโดนปืนโป้งเข้าที่หัวด้วย คิดแล้วยังเสี่ยวกบาลไม่หาย

           “กะ ก็ลุง จะทำไมล่ะ”

           “เรียกพี่ก็พอ เดี๋ยวกูทุบตายห่า” ผมสะดุ้ง ก็ตอนนั้นเขายังไม่ 30 เลยละมั่ง

           “พะ พี่ ทายจ๊ะ อย่าทำอะไรผมเลยนะ” ผมเริ่มเลียแข้งเลียขาลุงแก ไม่งั้นผมคงโดนแกต่อยสลบ

           “เออว่านอนสอนง่ายดี พี่ชายมึงล่ะ” เขาอ่อนลง

           “คะ ใครครับ”

           “ว๊ะ! ก็ไอ้เมฆไง ครูเอื้อยบอกข้าว่าเอ็งกับไอ้เมฆเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือไง”

           “เรียกผมมีอะไรครับ” เสียงเข้มของไอ้เมฆดังขึ้นก่อนที่ผมจะยิ้มกว้างและรีบวิ่งไปอยู่ด้านหลังไอ้เมฆที่ยืนอยู่ด้านหลังลุงทายทันที อย่าน้อยไอ้เมฆก็เป็นมวย ถึงจะเป็นมวยวัดที่ชกชนะแค่ 2 ครั้งก็เถอะ

           “เอ็งหรอไอ้เมฆ” ลุงทายหันหน้ามามองเราสองคนยิ้ม ๆ ผมที่แอบอยู่ด้านหลังชะเง้อออกมาดูหน่อย ๆ

           “ครับผมเอง ถ้าไอ้แสงไปทำอะไรชั่ว ๆ เอาไว้ ต้องขอโทษด้วยนะครับ แล้วผมจะผ่อนจ่ายค่าเสียหายให้”

           “กูเปล่านะ!” ผมร้องบอกมันทันที ใครไปทำอะไรวะ ตอนที่ไปก่อกวนที่ค่ายมวย ผมไม่ได้ทำนะ เพื่อนแว้นทั้งหลายต่างหากที่ทำผมแค่ไปด้วยเฉย ๆ ผมจะไปกล้าได้ยังไง แค่หมาเห่าก็วิ่งตายห่าแล้ว

           “หึหึ น้องมึงที่ไปก่อกวนกูไม่เป็นไรกูให้อภัย” เฮือก เห็นกูด้วยเหรอ ผมรีบผลุบหัวไปอยู่ข้างหลังไอ้เมฆทันที

           “แต่ที่กูอยากจะถามมึง และต้องได้คำตอบตอนนี้ว่า มึงอยากจะเป็นนักมวยในค่ายกูหรือไม่” ผมตะลึงนิ่ง … รู้แล้วละว่ามันเป็นเด็กมีอนาคต และในอนาคตนั้นก็คงไม่มีผมด้วย

           “หมายความว่ายังไงครับ” มันถาม

           “กูจะเลี้ยงดูมึงในฐานะพ่อครูมวยของมึง ให้มีที่อยู่ที่กินได้เรียนหนังสือ และมีอาชีพเป็นนักมวยให้ค่ายกู”

           “… ถ้ามึงไปแล้วกูจะอยู่กับใคร” ผมกระซิบถามมันจากด้านหลัง ในตอนนั้นผมเหมือนไอ้ตัวที่ถ่วงความเจริญของไอ้เมฆเอาซะมากๆ

           “ทำไมถึงเป็นผม”

           “กูพาลูกกูไปเดินงานวัด และเจอมึงต่อยมวยอยู่ นัดนั้นมึงแพ้ แต่แววตามึงที่สู้สุดใจ กูชอบ … และกูก็เห็นไอ้ห่านั้นเกาะข้างล่างเวทีเชียร์เย้ว ๆ น่ารำคาญด้วย” ผมไม่ได้ร้องเย้ว ๆนะตาลุง!

           “ถ้าลุงจะพาผมไปเลี้ยง ผมขอให้รับไอ้แสงไปอีกคนได้ไหมครับ” ผมเงยหน้ามองมันจากด้านหลังงงๆ

           “ไอ้ห่าลิงนั้นอะนะ” ถ้าไม่กลัวจะโดนเตะนี้กระโดดกัดหูไปแล้ว

           “ครับ ถ้าไอ้แสงไม่ไป ผมคงจะไปไม่ได้ เพราะผมคือพี่ชายของมัน”

           “เฮ้อ เอา ๆ  ดื้อกันให้เต็มที่ไอ้ห่านี้ไม่รู้จะเจอกับไอ้โทนจะยิ่งคูณ 2 หรือเปล่า ตามใจอยากจะไปก็ไป แต่กูบอกไว้ก่อนนะ ถ้ายังคบไอ้พวกสร้างความเดือนร้อนกลุ่มนั้นอยู่ กูเตะตกบ้านไล่มึงไปนอนข้างถนนแน่”

           “ครับผมจะดูแลมันอยากดี”

           “กูไม่ได้ถามมึง ว่าไงไอ้แสง ไปอยู่กับกูมึงจะทำตัวดี ๆ ไหม”

           “กะ ก็ได้” ผมพูดกระซิบอยู่ด้านหลังไอ้เมฆ แต่ก็ถูกไอ้เมฆกระชากออกมายืนตัวลีบอยู่ข้าง ๆ มัน สาดดดดดดดดดด ไหนบอกพี่ชายกูขอหลบหน่อยไม่ได้เลยนะ

           “เข้มแข็งและมีหางเสียงหน่อย!!!!”

           “ครับผม !!!! ผมจะไม่แว้นแล้วครับ!!!!” ผมตกใจและตะโกนออกมาทำให้ไอ้เด็กตัวเล็กตัวน้อยที่วิ่งเล่นกันอยู่ตกใจหันมามองกันเป็นแถว

           “ดี งั้นไปเก็บของและตามกูไปหาครูเอื้อย กูจะทำเรื่องขอรับเลี้ยงพวกมึง” พูดเสร็จแกก็เดินจากไป ผมกับไอ้เมฆมองตามหลังแกไปอย่างงง ๆ ก่อนจะหันมามองหน้ากันและยิ้มออกมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย วินาทีนั้น ผมก็ได้รู้จักความดีใจของคนมีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว …

.

.

.

           “พวกมึงรอนี้ก่อน”

   ผมที่ขนของตัวเองลงมาจากรถแล้ว หันไปมองลุงทายที่เดินไปยืนท้าวเอวที่บันไดขึ้นบ้าน และต้องสะดุ้งเฮือกไม่อยู่ ๆ ลุงแกก็ตะโกนออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

           “ไอ้โทน ไอ้ห่าโทน! ลงมาช่วยขนของ ของมึงทั้งนั้นเลยไอ้ลูกจอมขี้เกียจ!!!!!”

           “โว้ย ไอ้โทนมันไปตลาดพระกับไอ้ทิมโน้น”

   ผมหันไปมองชายร่างสันทัดแต่ดูแกร่งไปทั้งส่วน สีผิวดำแดงเดินพาผ้าขาวม้าถือนวมเข้ามาหาจากทางหลังบ้าน และนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบลุงจันทร์เมียเยอะ ไม่ต้องตกใจทำไมผมถึงเรียกแกงั้น เห็นแกแบบนี้หญิงติดตรึมนะ แถมเมียเยอะจนตบกันแย่งชิงอย่างกับลุงแกเป็นณเดช

           “อ้าวไอ้จันทร์ แล้วมันไปทำอะไรละ” ลุงทายถาม

           “ก็ตามติดไอ้ทิมไปส่องพระนั้นแหละ อยู่บ้านมันก็ซนอย่างกับลิงปล่อยให้มันไปซนที่อื่นบ้างเถอะกูปวดหัว ว่าแต่ไอ้สองคนนี้น่ะหรือที่เอ็งบอก ไหนเอ็งบอกแค่ไอ้เมฆคนเดียวไง แล้วไอ้กุ้งแห้งนี้ใคร” ผมที่กำลังยืนฟังเพลิน ๆ หันมามองแกและชี้มาที่ตัวเองงง ๆ อุตส่าห์ยืนสงบนิ่งแล้วเชียว

           “แนะนำตัวกับลุงจันทร์สิวะ แล้วยกมือไหว้สวย ๆ ด้วย”

           “อะ จ๊ะ ฉันชื่อแสงจ้ะลุง”

           “ว่าแต่เอ็งนี้หน้าคุ้น ๆ นะ” ลุงแกเดินมาส่องหน้าผมใกล้ ๆ จนต้องย่นคอหนี ไอ้เมฆเองก็หัวเราะไปกับเขาด้วย สาด ใช่สิมึงเข้ามาบ้านเขาถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่างนี้ มีกูเป็นกาฝากเฉย ๆ นี้ แม่งๆๆๆๆๆ

           “ก็จะใครซะอีกละก็แก๊งไอ้โชคนั้นแหละ แต่ดันเป็นน้องไอ้เมฆ มันก็เลยต้องเอามาชุบเลี้ยงทั้งคู่” ลุงทายพูดพร้อมกับเดินมากอดคอผมทั้งคู่ เกร็งสุดชีวิต

           “ว๊ะ! ไอ้แสบนี้เอง เอาเถอะ ๆ ไปเอาข้าวของเก็บหาน้ำหาท่ากินให้สบายใจแล้วค่อยมาคุยกัน”

           ผมกับไอ้เมฆถูกให้มาอยู่ที่เรือนหลังเล็กที่เดียวกับลุงจันทร์และลุงทิม แต่คนละห้อง แม้จะเป็นบ้านไม้ แต่ก็แข็งแรงต้านทานแรงลมแรงฝนได้ดี แถมเย็นอีกต่างหาก ผมเองก็ไม่มีปัญหาในการอยู่กับไอ้เมฆด้วยเพราะเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว

   หลังจากเก็บของเสร็จ ไอ้เมฆกับผมก็พากันลงมาหาลุงทายและลุงจันทร์ที่นั่งรออยู่ที่ลานหน้าบ้านเพื่อฟังกฎเกณฑ์ของค่ายมวยแห่งนี้ การซ้อมเช้า ซ้อมเย็น และการขึ้นชกที่จะมาถึงเร็ว ๆ นี้ผมน่ะไม่ค่อยตื่นเต้นหรอก แต่ถ้าไอ้เมฆนะตาเป็นประกายวิ้ง ๆ เลยละ ผมก็ดีใจที่ไอ้เมฆกำลังก้าวหน้าละนะ

           “พ่อจ๋า พ่อจ๋า พ่อ” (ทำนองเพลง พี่จ๋าพี่ของคุณแม่พุ่มพวง ดวงจันทร์)

   เสียงแจ๋วแว๊วของเด็กผู้ชายทำให้ผมทั้งสี่คนที่นั่งคุยกันอยู่หันไปมอง ก่อนที่จะเป็นการพบเจอไอ้เด็กหัวโปก ที่กวนส้นตีนที่สุดในโลก ไอ้โทนวัยเด็กขี่จักรยานดริฟเบรกหัวทิ่ม มาจอดข้าง ๆ ผมที่นั่งอยู่ริมสุดจนผมต้องยกขาหนี ไอ้ห่านี้นิ

           “โย่ว น้องโทนมารายงานตัวแล้วครับ” มันยกมือขึ้นก่อนจะพูดทักทายตามภาษามันยิ้มนี้แก้มแทบปริ มันเป็นคนน่ารักแต่เด็กเพราะได้เชื่อแม่มะลิเมียลุงทายที่ด่วนจากไปก่อนมาเยอะ ถ้าไม่ติดนิสัยห่าม ๆของมันอะนะ

           “มึงเจอคู่แข่งแล้ว”

           “แข่งเหี้ยไรล่ะ” ผมหันไปค้อนไอ้เมฆขวับ ไอ้ห่าหมาเกิด

           “ถ้ามึงเบรกและหัวทิ่มกูจะโบกให้หัวลั่นไอ้โทน”ลุงทายว่าเสียงเรียบ

           “ไม่หรอกน่า น้องโทนเก่ง อ่ะ พี่สองคนนี้ใครอะ คนนี้หล่อ แต่คนนี้ ยี๋! ผมทรงประหลาดอะ” ไอ้เด็กเหี้ยว่าทรงผมกู มึงไม่รู้จักทรงไก่ฟ้าประจำแก็งกู แล้วอย่ามาพูด

           “นี้ไอ้เมฆ นี้ไอ้แสง พี่ชายมึง จะมาเป็นนักมวยค่ายนี้” ลุงจันทร์แนะนำ

           “อะเหรอ แล้วแต่นะ พ่อมีไรกินบ้างอะโทนหิว” มันทำไม่สนใจก่อนจะกระโดดมาเอาหัวทุยอ้อนลุงทายดูเหมือนกวนตีนอยู่กราย ๆ มากกว่า

           “งั้นเดี๋ยวพี่ไปทำให้นะครับ” ไอ้เมฆเสนอตัว รีบทำคะแนนเลยนะมึงอะ

           “เย้ สอนโทนทำด้วยนะ” ว่าแล้วพี่น้องคนใหม่ก็เดินคู่กันไปในครัว ส่วนกู ก็หมาหัวเน่าไง ไอ้เชี่ยเมฆน้องมึงอยู่นี้!!!!

.

.

.

           วันเวลาผ่านไปกว่า 5 ปี เราสองคนอายุ 20  ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบตามวิถีชีวิตนักมวยของผมและไอ้เมฆ พี่ชายผมเริ่มมีชื่อเสียงในวงการและเนื้อหอมมากขึ้นมีแฟนคลับตามตูดมาเฝ้าถึงค่าย จนผมกับไอ้โทนต้องแพคทีมไล่กันสนุก ถ้ามากรี๊ดไอ้แสงสิจะหาข้าวหาน้ำเลี้ยงด้วย ชิ

   ส่วนผมน่ะเหรอผมหายเป็นทรงไก่แล้วแต่ก็นะ ชกทีแพ้ตลอดร่างกายก็ยังไม่แข็งแรงเท่าไหร่ เพราะผมมันเด็กขี้เกียจหนีซ้อม มีจังหวะดี ๆ ก็ไปแว้นตลอด และก็โดนไอ้เมฆไปลากกลับมาประจำ มีครั้งนึงขึ้นโรงพักเพราะติดรางแหไปกับที่โดนตำรวจจับ ผมงี้ร้องไห้ออกมาเลยเพราะกลัวทุกอย่างผมยังเด็กครับ ในตอนนั้นยังมีความสดความสนใจกับสิ่งเร้าทั้งหลาย และขี้ขลาดกลัวทุกสิ่งอย่างแต่ก็รั้นจะทำทุกอย่างเหมือนกัน แต่ลุงทายและไอ้เมฆก็ไปประกันตัวผมออกมา

   จากนั้นผมก็เลิกแว้นอย่างจริงจัง ประจวบเหมาะกับที่ไอ้โทนไปลากไอ้ไม้มาเป็นลูกพอดี นั้นก็เป็นครั้งแรกที่เจอไอ้เด็กหน้าโหด นิสัยผู้ใหญ่ยิ่งกว่าให้โทนที่สำคัญเป็นเด็กกำพร้ามาในสถานรับเลี้ยงเด็กเหมือน ๆ กับผมเช่นกัน

           “ไอ้เมฆ กูอยากนมใหญ่เหมือนมึงบ้าง มึงดูหุ่นกูแห้งอะ มึงดูเซ่ ไอ้เหี้ยดูมวยเหี้ยไรนักหนา ดูกู๊วววววววววววว”

   ผมกระโดดไปดักหน้าโชว์พุงน้อย ๆ ที่ไม่ขึ้นเป็นซิกแพคสักที มีแต่ก้างย้วย ๆ กับหัวนมสีชมพู แต่มันไม่สนใจเลยแถมเอาแขนปัดผมอย่างกับแมลงวันอีกต่างหาก ผมเลยต้องใช้ไม้เด็ด …

   

ผลั๊ว

           “ไอ้แสงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง! ไอ้สัดพี่เข้มกูน็อคเลยมึง!!!!” เป็นไงละ ผมหัวเราะเมื่อตวัดรัดรอบพุงมันจากด้านหลังและเอนตัวไปข้างหลังล้มลงเตียง ส่วนมันม้วนหน้าหนึ่งตลบหัวกระแทกเตียงดังผลัก ประจวบเหมาะกับที่มวยแพ้พอดี ฮ่าๆๆๆ เป็นไงละ

           “ก็มึงไม่สนใจกูอะ ถ้ามึงไม่ยอมสนใจกูกูจะไม่ปล่อย”

           “ไอ้ห่า กูเจ็บนะ มานี้เลยอยากให้กูสนใจนักนี้”

พรึบ โป๊ก!!!

           “อะ จะ เจ็บ มึงหัวกูกระแทกขอบเตียงเลย!” ผมผวาร้องลั่นเมื่ออยู่ ๆ มันก็ตวัดผมจนมาอยู่ใต้ร่างมันเพียงแวบเดียว ทำให้ผมหัวผมกระแทกขอบเตียงด้านบน มันต้องปูดแน่ ๆ ไอ้เหี้ยเมฆ ไอ้พี่เวรตะไล

           “ก็มึงดื้อเอง ร่างกายปวกเปียกแบบนี้ไงถึงสู้แรงใครเขาไม่ไหว ขนาดมึงอยู่ที่ค่ายมวยมึงยังไม่เอาวิชาเลย กูไม่รู้จะว่าไงแล้วไอ้แสง” มันพูดในขณะที่หน้าของเราห่างหันไม่ถึงคืบ ตาผมจ้องตามันอย่างไม่ลดละจนผมต้องเซมองไปทางอื่นร้อนวูบที่ใบหน้าอย่างหาสาเหตุไม่ได้

           “กะ กะ กูกลับใจแล้วไง แต่กูแค่ช้าไปหน่อยแค่นั้น …” น้ำเสียงผมอ่อนลงเพราะมันพูดถูกทุกวิชา ลุงทายพร่ำสอนผมสารพัด แต่ก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ผมกากเอาซะมาก ๆ ในตอนนั้น

           “หึ ให้มันจริง ขนาดไอ้ไม้เข้ามาใหม่ ๆ มันยังขยันกว่ามึงเลย อย่าให้อายเด็ก รู้ไหมจ้ะ น้องแสงของพี่ จุ๊บ!” มันพูดน้ำเสียงหยอกล้อไม่พอยังยื่นปากมาจุ๊บผมอีก ถึงจะเป็นจุ๊บสั้น ๆ เหมือนใช้ปากแตะกันเฉย ๆ แต่ก็ทำให้ผมอึ้งทึ้ง หน้าแดงทำอะไรไม่ถูก

           “อะ ไอ้เหี้ย!!!!! มึงแม่ง แหวะๆๆๆๆๆ” ผมยกมือเช็ดปากตัวเองพัลวันอีกข้างก็ผลักอกของมันให้มันลุกไปจากตัวของผม มึงเห็นกูเป็นกล้วยหรือไงถึงทับกูอยู่ได้

           “เวอร์นักนะมึง จุ๊บ” ผมช็อก นอกจากจะผลักไม่ออกแล้วยังจุ๊บแกล้งผมอีกที

           ก่อนที่มันจะลุกขึ้นและเดินหยิบผ้าขาวม้าพาดบ่าออกจากห้องไป … ทิ้งให้ผมนั่งอยู่บนเตียงคนเดียวอย่าง งง ๆ กับความรู้สึกตัวเอง อาจจะเป็นเพราะนั้นแม่งคือ จูบแรกของผมที่มันปล้นไปซะอย่างงั้น



           จากนั้นมา นั้นก็ไม่ใช่จูบแรกของผมและมัน เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่ 2 3 4 5 6 7 ไปเรื่อย ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เราไปไหนมาไหนด้วยกันปกติ จนเรียนจบ กศน. ในวุฒิการศึกษา ม.6  จนผมเองก็รู้สึกชินและเสพติดไปซะอย่างงั้น มันอาจจะประหลาดก็ได้ แต่ผมก็อธิบายความรู้สึกของผมไม่ถูก ทั้งผมและมันต่างมีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวพัน แต่ก็ได้ไม่นานหรอกครับ อาจจะเป็นเพราะเราเป็นนักมวย วัน ๆ ชีวิตจึงมีแต่การฝึกซ้อม คู่ต่อสู้ สังเวียน และเพื่อนพ้องเท่านั้น พัฒนาการของผมเปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้า

   จนวันเวลาที่ไอ้ไม้จากไป ทั้งบ้านจึงมีแต่ความโศกเศร้าเพราะไอ้โทนกลายเป็นเหมือนคนบ้าในช่วงแรก ๆ  เอาแต่ร้องไห้ งานการไม่ทำ ไม่มีใครช่วยปลอบประโลมจิตใจของมันได้ แม้แต่ตัวของมันเอง แต่สุดท้ายมันก็กลับมาตั้งหลักได้ด้วยตัวเอง ผมและทุกคนก็ได้แต่เฝ้ามองมันอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ

           “มึง” ในขณะที่ผมนอนอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน มองดูพระจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ไอ้เมฆครับ มันเดินมานั่งข้างๆผม ผมมองมันนิดนึงและก็หันกลับมามองพระจันทร์ต่อ

           “กูไม่เป็นไร” ผมพูดเบา ๆ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอกครับ

           ผมแค่รู้สึกว่าความรักแม่งประหลาดนะ คนๆหนึ่งยอมเสียน้ำตาให้กับคนที่รักเหมือนคนบ้าแบบไอ้โทน แล้วผมเองละ จะหาคนที่ผมอยากรักแบบนั้นได้ไหม … ผู้หญิงคนไหนที่จะมารักจริงกับนักมวยต๊อกต๋อย แถมยังมีพี่ชายขี้หวงฉิบหายอย่างผม 

           “อ่อนไหวเหลือเกินนะ ความรักของใครก็ให้เขาจัดการกันเองสิวะ มึงจะไปคิดแทนเขาเพื่อ ?”

           “มึงจะมาเทศกูทำไมวะ นอนลงดิ ยืนอยู่ได้” ผมดึงมือมันให้นอนลง มันหัวเราะในลำคอก่อนจะนอนลงข้าง ๆ ผู้ชายสองคนนอนมองพระจันทร์บนแคร่เล็ก ๆ ก็เป็นภาพที่ตลกดีนะครับ

           “มึงว่าตอนนี้พ่อกูทำอะไรอยู่วะ” อยู่ไอ้เมฆก็ถามขึ้น ผมหันไปมองก่อนจะลุกขึ้นนั่งและมองมันอย่างสงสัย แต่ไอ้เมฆไม่มองผมมันยังเหยียดยิ้มมองพระจันทร์อยู่แบบนั้น

           “ทำไมมึงพูดเรื่องนี้วะ”

           “กูไม่โกรธเขาหรอกพูดถึงได้ กูไม่อะไรแล้ว เพราะกูไม่อยากแค้นใคร รู้ไหมเพราะอะไร” มันหันมามองผมและเอื้อมมือขึ้นมาเกี่ยวปอยผมของผมทัดหู และจับค้างอยู่ที่แก้มของผม มันเป็นมือที่สากที่คุ้ยเคย

           “อะไรวะ” ผมมองตาของมัน และด้วยความคุ้ยเคยผมก็โน้มตัวลงเข้าไปใกล้ … ผมบอกแล้วว่าผมเสพติด

           “ก็เพราะตอนนี้ กูมีความสุขมากไงละ”

   ผมหัวเราะก่อนจะก้มลงไปจูบมันอย่างไม่มีความลังเลใจในเวลาแบบนี้สมองผมมักโล่งและสะอาดปราศจากความยับยั้งชั่งใจ … เป็นเพราะอะไร ผมก็ไม่รู้เหมือนกันรู้เพียงแรงดึงดูดของโลกมันดึงเราเข้าหากัน เพียงแต่รอบนี้ มันเกินเลยไปหน่อย …

   

ผลัก!

           แรงผลักของไอ้เมฆทำให้ผมลอยไปติดกับประตูห้องที่พึ่งปิดลง ก่อนที่มันที่มีแววตากระหายจะโหมตัวเข้าหาผมราวกับสัตว์ป่าที่ผมไม่รู้จัก ลิ้นร้อนเกี่ยวพันกับลิ้นของผมอย่างไม่มีใครยอมใครโดยที่ผมยกแขนโอบไหล่ของมันให้เข้ามาใกล้อีก อกเปลือยเบียดเสียดกันพร้อมๆกับไฟราคะที่เพิ่มทวีขึ้น ขาแกร่งของมันสอดเข้ามาใน หว่างขาของผมก่อนที่ลิ้นร้อนจะดูดเลียไปตามลำคอของผมอย่างโหยหา … ผมไม่ปฏิเสธมันเพราะความโหยหาที่ไม่ต่างกัน

           “ต่อจากนี้ กูจะไม่หยุดแล้วนะไอ้แสง” มันกระซิบเสียงแหบพล่าน

           “กูบอกให้มึงหยุดเหรอ” ผมกระซิบจูบลงเบา ๆ ที่ไหล่ของมัน

           จากนั้นร่างผมก็ลอยขึ้นจากพื้นด้วยความตกใจจึงใช้ขาตวัดรอบเอวของมันเอาไว้และก้มลงไปจูบมันอีกครั้ง เราสบตากันท่ามกลางเสียงจูบที่โหยหาดังไปทั่วทั้งห้อง มันพาผมมาวางที่เตียงและถอดกางเกงของมันและผมออกในไม่กี่วินาที ก่อนจะทาบทับตัวลงมาจูบไล่ผมไม่ทั่วทั้งตัว กายของผมสั่นเทา และก็เสี่ยวซานจนไม่อาจจะหยุดเอาไว้ได้

           “มะ เมฆ กะกู อื้อ สกปรก” ผมดันหัวมันออกเมื่อรู้สึกถึงลิ้นแฉะที่กำลังฉกช่องทางหลังเหมือนกับงูที่เกรี้ยวกราดทำเอาร่างกายของผมระทวยไปหมด เชี้ยเอ้ย! ทำไมมันเก่งนักวะ

           “ผิวมึงแม่งเนียนฉิบหาย” มันสบถออกมา ก่อนจะจูบซับที่ขาอ่อนด้านในของผม ขณะที่ผมเองก็ขยุ้มหัวของมันไม่ปล่อย  ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อมันสอดนิ้วเข้ามาในส่วนนั้นของผม ไอ้สาดดดดดดดดดดดดด  เจ็บฉิบหาย แต่แม่งก็เสี่ยวด้วย นี้กูกู่ไม่กลับแล้วใช่ไหม!!!

           “กะ กูเจ็บ กูไม่ไหว มึง มะมึง อื้ม…” มันยืดตัวขึ้นมาจูบผมอย่างร้อนแรงกระแทกนิ้วเข้าไปอย่างแรงด้วยความมหมั่นไส้ จากหนึ่งเป็นสอง และสาม จนผมจุกไปทั่งท้องน้อย

           “กูขอนะ”         

           “ขอหาพ่อมึงหรอ” ผมด่ามันใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมดก่อนจะสะดุ้งและร้องออกมาด้วยความเจ็บเพราะมันกระแทกส่วนหัวเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว 

           มือทั้งสองข้างยันท้องที่มีแต่กล้ามเนื้อของไอ้เมฆ หวังให้มันออกไปแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธจูบของมัน ก่อนที่ไอ้เมฆจะจับแขนของผมไปคล้องบ่าแกร่งของมันเอาไว้แทน ขาของผมสั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตวัดรัดรอบเอวของมันเอาไว้ เหงื่อกายของเราทั้งสองคนแตกพลั่กด้วยความร้อนของที่กระจายไปทั่วทั่งร่าง

           “อื้อ!” ผมร้องออกมาเมื่อมันกระแทกเข้าไปสุดลำ และก็เริ่มขยับร่างกายในทันที

           จากช้าเป็นเร็ว จากเร็วเป็นแรง จนร่างกายของผมสะเทือนขยับไปตามแรงของมัน เจ็บนะ แต่มันก็รู้สึกดีด้วย ในสมองของผมตอนนั้นโล่งไปหมด มันขยับอยู่อย่างงั้น ก่อนจะเปลี่ยนท่าเป็นอีกหลายท่าที่ผมเคยดูหนังเอ็กซ์ และตอนนี้ผมก็กลายเป็นผู้ถูกกระทำซะเอง

           “กะกูไม่ไหวแล้ว อะ อ๊า อื้อ!” ผมที่ถูกไอ้เมฆจับพลิกคว่ำหน้าลงกับเตียงโดยที่มันคุกเข่ากระแทกอยู่ด้านบนมือทั้งสองทำหน้าที่เป็นปลาหมึกลูบไล้ผมไปทั่วทั้งร่าง ด้วยความเสียวผมคว้าเอาผ้าห่มขึ้นมากัดเอาไว้แน่น

           “กูด้วย อ๊า แสง” มันว่าก่อนจะคว้าเอาแกนกลางของผมไปชักด้วย สาดดดดดกูเสี่ยวจะตายแล้ว

           “อ๊า!!!!!!” ผมและมันร้องออกมาพร้อมกัน กับความสุขสมที่เต็มเปี่ยม

           ผ้าปูที่นอนเละเทะด้วยฝีมือของผม ส่วนด้านในของผมเองก็เต็มไปด้วยน้ำของมัน คืนนั้นมันไม่จบเพียงครั้งเดียว ผมจำไม่ได้ว่าถูกมันกดไปแล้วกี่ครั้ง เพราะไม่ได้นับรู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายของอีกวันพร้อมชุดสะอาดและผ้าปูที่นอนผื่นใหม่แล้ว … และกูก็เปรียบเสมือนคนป่วยที่ขยับร่างกายไม่ได้ไปอีกหนึ่งวันเต็มๆ โชคดีที่ไอ้เมฆโกหกให้ว่าผมเป็นไข้ ไม่งั้นคงอายแทบมุดดินหนีเป็นแน่

           จากนั้นมา อย่าคิดว่ามันจะจบแค่นั้น ความสัมพันธ์ของเรายังคงเปรียบเสมือนพี่น้อง แต่พี่น้องที่เอากันได้นะ และที่หน้าแปลก ไม่ว่าผมจะไปกับผู้หญิงคนไหน ผมไม่เคยอิ่มเอมเลยสักครั้ง แต่ผมก็ยังโหยหาผู้หญิงอยู่นะ อาจจะเป็นเพราะอย่างที่บอกไว้แล้วว่าผมน่ะ เสพติดไอ้เมฆจนถอนตัวไม่ขึ้นก็เป็นได้ ชีวิตของผมก็มีมันอยู่ตลอดมา ตั้งตอนที่ขึ้นชกนัดใหญ่ ตอนฝึกซ้อม ตอนที่ผมดีใจ ท้อแท้ หรือต้องการกำลังใจ มันไม่เคยไปจากผมเลย และมันก็เป็นเช่นนี้จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะกี่ปีกี่ชาติ ผมก็ไม่เคยไปไหนรอดเลยสักครั้ง จนผมเลิกถามความรู้สึกของตัวเองไปนานแล้วครับ เพราะไม่ว่ายังไงผมก็จะอยู่กับมันแบบนี้ตลอดไป ไม่ว่ามันจะวางความสัมพันธ์ไว้อย่างไรก็ตาม ถึงแม้มันจะมีเมียมีลูก ผมก็จะคอยอยู่ตรงนี้ …

 
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เมฆXแสง ตอนที่1}6/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 06-05-2020 19:53:56
          เรื่องราวดำเนินไปกว่า 6 ปี ความเปลี่ยนแปลงมากมายได้เกิดขึ้น ลุงจันทร์จอมเจ้าชู้แต่งเมียย้ายอยู่จังหวัดอื่นใช้ชีวิตบั่นปลายกับครอบครัวที่สงบสุข ลุงทิมเองก็ผันตัวไปเป็นเซียนพระมือขมัง ทำให้ค่ายขาดมวยมือดีไปถึงสองคน และไอ้ไม้ก็กลับมา

   คราวนี้มันกลับมาหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวพร้อมประกาศตัวเป็นผัว อย่างเป็นทางการของไอ้โทนด้วยความภาคภูมิ ตัวไอ้เกื้อเองก็บริหารโรงพยาบาลสัตว์จนใหญ่โต และลุงทายเองก็แต่งเมียกับน้องเกื้อเป็นที่เรียบร้อยใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ต่างกัน ผมและไอ้เมฆต่างเติบโตเป็นมวยมือดีของค่ายได้รับการยกย่องในหลายเวที ร่างกายของผมเองก็แข็งแกร่งขึ้นพอ ๆ กับไอ้เมฆแล้วด้วย แถมหล่ออีกต่างหาก มึงจะดูถูกกูไม่ได้แล้วนะเว้ย ฮ่าๆๆๆๆๆ

           “ให้ผัวปกป้องไม่ดีกว่าเหรอ เดี๋ยวเขียวช้ำขึ้นมามึงก็บ่นอีก” ผมล้อเลียนไอ้โทนที่มาขอเรียนมวยทั้งๆที่พ่อมันไม่ให้ จนมันหันมาค้อนผมขวับ

              “ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวผมคอยเซฟพ่อโทนเอง” ไอ้ไม้ตอบแทนผมย่นหน้าอย่างหมั่นไส้

            “เออ ๆ ก็แล้วแต่ก็เตือนด้วยความหวังดี ไอ้จุกแยกน้องๆเป็น 3 กลุ่ม แบ่งไปให้กู ไอ้เมฆ ไอ้ไม้ ส่วนมึงไอ้โทนเลือกเอาจะอยู่กับใคร” ผมหันไปพูดกับไอ้จุกเด็กที่มาอยู่ใหม่ ไอ้จุกมันน่ารักนะครับ

           เห็นหงิม ๆ ก็แสบฉิบหายชอบเล่นอะไรแผลง ๆ ให้พวกกูใจหายเลย ยกตัวอย่างนะ นี้กูแค่ยกตัวอย่างนะ วันนึงกูกำลังยืนกินน้ำอยู่แล้วก็น้ำต้องพุ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นไอ้จุกอยู่บนหลังคาและโน้มตัวจะเด็ดมะม่วงที่สูงเทียมบ้าน ผมนี้ร้องเรียกมันปากจะฉีกมันหันมาส่งยิ้มให้ ก่อนจะโดดขวาเอามะม่วงมาถือไว้ ก้าวไปเหยียบกิ่งของต้นมะม่วง หน้าซีดเกาะอยู่แบบนั้นลงไม่ได้ จนแล้วจนรอด ผมนี้แหละต้องขึ้นไปเอามันลงมา อยากจะฆ่ามันก็ตรงนี้แหละ เล่นอะไรไม่เข้ากับหน้าตาบ๊องแบ๊วเลยไอ้สาดดดดดด

             “ชิ ทำมาเป็นสั่ง เมื่อก่อนก็ขี้ก้างเด็กแว้นนั้นแหละ” ผมเหลือบมองมันก่อนจะเหยียดยิ้มนิด ๆ โอบมือไปวางบนไหล่ไอ้โทน ไอ้ห่าตัวเล็กจิ๊ดเดียวแต่เวลาแดกนี้กูนึกว่าห่าลง

              “อย่างน้อยตอนนี้กูก็มีซิกแพควะไอ้น้องไม่เหมือนมึงมีแค่พุง แดกเข้าไปสิ เดี๋ยวไอ้ไม้ไม่รักกูจะขำให้”  ผมกระซิบ

            “ปากเสีย พี่นั้นแหละที่พี่เมฆจะไม่รัก ” มันกระซิบกลับ ทำเอาผมนิ่งงันไป อะไอ้เด็กเหี้ยนี้รู้อะไรมาวะ ?

            “อะ อะ ไอ้ พูดเหี้ยไรของมึง กูกับไอ้เมฆเนี้ยนะ” ผมปล่อยมันกรูถอยหลังพูดให้พอได้ยินกัน 2 คน โชคดีที่แถวๆนั้นไม่มีใคร

            “คิกๆ คู่รักซิกแพค อย่าคิดว่าไม่รู้นะ คิกๆ” มันล้อเลียน

   “อะ อะ ไอ้เหี้ยไม้มาเอาเมียมึงไป!!!!! … มองเหี้ยอะไรละ!!!!” ผมตะโกนเรียกไอ้ไม้ ก่อนจะหันไปด่าไอ้เมฆ หน้ากูร้อนวูบไปหมด

             “แสงต่อหน้าเด็ก” ไอ้เมฆเดินมาปรามก่อนที่ผมจะหันมามองไอ้เด็กที่ยืนอยู่ สัด ไอ้เด็กเหี้ยโทน เดี๋ยวรอก่อนเถอะ กูจะเอาคืนให้อ้วกแตกเลย

.

.

.

           วันรุ่งขึ้นหลังจากที่รู้ข่าวว่าไอ้ไม้จะลาบวช และผมก็โดนไอ้เมฆจัดให้หนึ่งชุดใหญ่ๆ เช้าขึ้นมาเช้ามืด ผมก็ลุกขึ้นมาวิ่งออกกำลังกายที่คันนา อาจจะเป็นเพราะร่างกายผมนั้นแข็งแรงก็ได้ ถึงไม่ค่อยเพลียและเจ็บมากนัก ถึงแม้ส่วนนั้นของไอ้เมฆโดนไปกี่ทีก็ก็ไม่ชินเพราะความใหญ่โตของมัน แต่หลังจากได้พักก็ดีขึ้นไม่มีอาการปวดเมื่อยตามมาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

           ไอ้สัด นี้ผมเป็นอะไรวะ ทั้งที่เมื่อก่อนพอคิดถึงเรื่องของผมและไอ้เมฆไม่เคยหงุดหงิดขนาดนี้มาก่อนในความสัมพันธ์ที่โคตรน่าปวดหัวแบบนี้ แล้วกูจะโหยหาความชัดเจนทำไมละ ก็แค่พี่น้องที่เอากันได้ แค่นั้นที่ผมเข้าใจมาตลอดไม่ได้หรือไงวะ ไอ้แสง มึงเป็นอะไรวะ

           “แม่งเกะกะ”

เปรี้ยง!

           “เป็นอะไรของมึงอะ” ผมตกใจยกตีนที่เพิ่งเตะก้อนหินก้อนเขื่องค้างเอาไว้ หันไปมองไอ้เมฆที่วิ่งตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมมองหน้ามันก่อนแต่ไม่ได้พูดอะไร วิ่งนำมันไปอีก มันเองก็วิ่งมาตีข้างผมอีกครั้งส่งยิ้มเท่ๆฉบับสาวกรี๊ด แต่กูไม่กรี๊ดให้อีกหนึ่งที

ควับ !   

           มันคว้าตัวผมให้หยุดดันตัวไปชนกับต้นไม้ที่ตั้งอยู่แถวนั้น ก่อนจะก้มลงมาหมายจะจูบผมอีก ด้วยความสับสนผมเลยดีดมันออกไป และตวาดมันเสียงดัง โชคดีที่แถวนั้นยังไม่มีชาวบ้านออกมาดูนากัน เพราะฟ้ายังมืดอยู่

           “ไอ้เหี้ยอย่าจับ ต่อไปนี้ห้ามจับกู ห้ามจูบกู และห้ามเอากูด้วย !”

   ผมพูดและเดินหนีออกมา … กูก็ไม่รู้กูเป็นอะไร แต่อยู่ห่าง ๆ กูเถอะ ก่อนที่กูจะทนความในใจของกูไม่ไหว ปล่อยให้กูสับสนอยู่กับปัญหาที่กูไม่เคยอยากรู้แต่วันนี้กลับเปลี่ยนใจซะอย่างงั้น

    

           จากนั้นมา ผมก็ย้ายมานอนบ้านไอ้ไม้ที่อยู่ชายนาเพราะไอ้ไม้ย้ายไปนอนที่บ้านมวยแล้ว ตอนเช้าก็ไปซ้อมมวยเหมือนเดิมปกติ แต่พยายามเลี่ยงคุยกับไอ้เมฆให้มาก ตกเย็นก็เดินกลับมาที่บ้านชายนา เบื่อๆก็ซื้อเหล้ามาดื่ม เมาแล้วหลับไป ไม่ต้องพูดถึงเที่ยวหญิงหรอกครับ ผมไม่มีอารมณ์เลย มันหมดไปกับความสับสนที่เพิ่มพูนของผม… ทำไมมีแต่กูคนเดียวที่ไม่มีความสุขเลยวะ นี้กูเป็นอะไรวะ …

           “พี่แสง ๆๆๆๆ ” เสียงไอ้จุกดังแจ๋ว ๆ มาแต่ไกลขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนดราก้อนบอลคลายหัวร้อนอยู่

           “ไอ้จุกเดี๋ยวบ้านพัง มีเหี้ยอะไร” ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่ง เห็นไอ้จุกยืนหอบอยู่หน้าประตูหน้าตาตื่น

           “พะ พี่เมฆ พี่เมฆโดนซ้อมจ้ะ พี่เมฆ พะ พี่เมฆอยู่โรงพยาบาล ลุงทายให้จุกมาตามพี่” ผมอึ้งตาค้างก่อนจะรีบคว้ากางเกงยีนต์มาสวมทับบ๊อกเซอร์ ก่อนจะรีบคว้าไอ้จุกขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์เก่าของผมไปที่โรงพยาบาลที่ไอ้จุกมาบอกที่หลัง

            … มึงเนี้ยนะโดนซ้อม ไอ้เมฆ มึงเนี้ยนะ ?



           “ไอ้เมฆ!”

           ผมร้องลั่นเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องพิเศษรวมเตียงคู่ ซึ่งภายในห้องมีไอ้โทนกับไอ้ไม้ยืนอยู่ และสิ่งต่อมาที่ผมมองเห็นคือใบหน้าเละเทะของไอ้เมฆที่นอนหลับอยู่บนเตียง มีสายเลือดสายน้ำเกลือโยงไปมั่วหมด และที่ขาข้างขวากับแขนซ้ายใส่เฝือกเอาไว้ รวมถึงหัวของมันที่โพกผ้าอยู่มีเลือดซึมออกมาเหมือนไม่ใช่สภาพไอ้เมฆผู้ชายที่แข็งแกร่งที่สุดของกู … เหี้ยอะไรวะเนี้ย ใครทำมันวะ!!!!!!

           “มะ เมฆ” เสียงสั่น ๆ ที่ไม่น่าออกจากปากผม พร้อมกับขาที่ก้าวเข้าไปยืนข้างเตียงมัน

           “พี่เมฆอาการไม่เป็นอะไรมาก แค่สลบไปน่ะครับ แต่ก็ต้องดูอีกทีตอนตื่นขึ้นมา เพราะหัวได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก” ไอ้ไม้ว่า

           “ใคร ใครทำพี่กู” ผมหันไปมองมันสลับกับไอ้โทนพูดลอดผ่านไรฟันออกมา

           “ไอ้พวกแก๊งแว้นในตลาดน่ะพี่”

           “มึงว่าไงนะ” ไอ้เหี้ยชายอะนะ ?

           “พวกไอ้ชายเพื่อนเก่าพี่นั้นแหละ ดีที่ไอ้ไม้ไปช่วยไว้ได้ก่อน ไม่งั้นพี่เมฆจะเป็นไงบ้างแล้วไม่รู้ แล้วพอไอ้ไม้คาดคั้นให้มันก็บอกว่าเพราะพี่เมฆมาทำให้พี่แสงออกจากกลุ่มไป แต่พี่เมฆก็สู้นะแถมเป็นคนเปิดก่อนด้วย แต่คนมันเยอะกว่าตั้ง 20 กว่าคน สู้ได้ก็ซุปเปอร์ฮีโร่แล้ว สภาพเลยไปอย่างที่เห็น ทั้งไม้ทั้งกระแจของหนัก ๆ ทั้งนั้นที่มันรุมพี่เมฆ แม่ง ที่มึงทำไปมันยังน้อยรู้ปะ” ไอ้โทนหันไปพูดกับไอ้ไม้ในประโยคหลังอย่างโมโห

           เพราะผมเหรอ ? เพราะผมที่ทำให้ไอ้เมฆอยู่ในสภาพแบบนี้งั้นเหรอ ผมเนี้ยนะ … แล้วมันจะไปสู้ทำไมวะ ทั้งที่ไอ้พวกนั้นมันโง่จะตาย หลอกให้วิ่ง และชิ่งหนีออกมาก็รอดแล้ว มันจะเอาอนาคตมวยของมันไปทิ้งทำไม มันไม่รู้หรือไงถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป อนาคตในวงการมันจะเป็นยังไง!!! ไอ้เหี้ยชาย!!!

           “มันอยู่ไหน!!!!!”

           “พวกลูกน้องมันถูกจับหมดแล้วครับพี่ ส่วนไอ้ชาย … นอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ห้องรวมข้างล่าง เฮ้ย!!!!” ผมเดินออกมาจากห้องลงไปชั้นล่างทันที ไอ้เหี้ยชาย ไอ้เหี้ยชาย ไอ้เหี้ยชาย!!!!!!

           ผมยืนมองร่างที่นอนหลับอยู่บนเตียงสภาพทั้งร่างกายมีแต่รอยช้ำดำเขียว สภาพมันดูน่ากลัวกว่าไอ้เมฆแต่ไม่มีร่องรอยกระดูกหัก ก่อนจะวางมือที่คอของมันเบา ๆ จนมันสะดุ้งลืมตาขึ้นมามอง

           “มึง” มันมองผมอย่างตกใจ ผมกัดฟันกรอด ไอ้ไม้เดินเข้ามายืนข้างผมทำเอามันสะดุ้งนิด ๆ มองเราสองคนสลับกันอย่างหวาดกลัว

           “มึงทำไอ้เมฆทำไม”ผมถามมันเสียงเรียบทั้งที่ในใจอยากจะสบันคอของมันให้ขาดคามือที่วางทาบบนคอของมัน ด้วยความลืมตัวจึงกดมือลงไปนิด ๆ

           “กะ ก็ มันทำให้มึงออกจากกลุ่มไป”

           “อะไรอีก” ผมจ้องหน้ามานิ่งเพิ่งแรงบีบที่คอของมัน สมน้ำหน้าอยากจะยกมือขึ้นมาปัดป้องก็ทำไม่ได้แค่มันมีแรงพูดก็นับว่าพระเจ้าอวยพรมันแล้ว ชะตาชีวิตมึงอยู่ในมือกูแล้วไอ้สัตว์นรก

           “กะ กู”

           “พูด!” ผมตวาดมันจนสะดุ้งคนอื่น ๆ หันมามองแต่ไม่มีใครสนใจ คงคิดว่าผมเป็นเพื่อนของไอ้ชาย

           “กะ กูไปพูดกับมันว่า มะ มึงเป็นนักมวยตุ๊ดแอบเอากัน แล้วพ่อมันก็หนีไปกับอีตัว ยะ อย่าทำอะไรกูเลย” ผมร้องไห้ออกมาและฉี่มันก็แตก ผมมองมันเหยียด ๆ ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหูมัน

           “ถ้ากูไม่ติดว่าอยู่ในโรงพยาบาล กูจะส่งให้มึงไปอยู่ในโลงแล้ว กูจะเป็นอะไรแล้วหนักหัวมึงหรือไง พ่อไอ้เมฆจะเป็นยังไงแล้วมันมีปัญหาเหี้ยอะไร มึงเคยทำอะไรให้ครอบครัวมึงได้บ้าง ดีแต่เก่งตอนอยู่ในฝูง ไล่กระทืบคนอื่นไปทั่ว มึงมันแค่ขยะสังคมไอ้ชาย มึงมันแค่เดนมนุษย์ จำเอาไว้ อย่าให้กูเห็นหน้ามึงอีก ถ้ากูเจอมึง กูจะฆ่ามึงให้ตาย” มันตัวสั่นพยักหน้างึก ๆ น้ำตาไหลอย่างน่าสมเพช

           “แล้วอีกอย่าง ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป กูก็จะฆ่ามึงด้วย” ผมกระซิบทิ้งท้ายก่อนจะสะบัดตัวลุกขึ้น ก้าวหันหลังออกมา โดยมีไอ้ไม้เดินตามหลังมาด้วย

           ไอ้เมฆกูขอโทษ กูขอโทษนะมึง อย่าเป็นอะไรนะ กะ กู กูรักมึง กูว่ากูรักมึง …

           ผมนั่งมองไอ้เมฆอยู่ข้างเตียง ผ่านมา 2 วันแล้วทำไมมันยังไม่ตื่นสักที ทำไมมันถึงหลับไปนานนัก มึงรู้ไหมใครต่อใครต่างเป็นห่วงมึง ทั้งลุงทายพ่อของเราไงมึง ลุงจันทร์กับลุงทิมที่ถ่อมาเยี่ยมมึงถึงนี้ ไอ้ไม้ ไอ้โทนน้องพวกเราไง แล้วไอ้จุกด้วย กูด้วยนะมึง

   ไอ้เมฆ … กูด้วย มึงรู้ไหม กูยังไม่ได้นอนเลย มึงไม่สงสารกูเหรอ เห็นปกติเฮี้ยบให้กูนอนไวตลอด กูไม่นอนมึงก็จะเข้ามากอดกูแล้วหลับไปพร้อมกัน กูไม่ดูแลตัวเองมึงก็จะคอยหาของมีประโยชน์มาให้กินเคี่ยวเข็ญกูสารพัดดูแลตลอดเลย มึงไม่สงสารกูเหรอ ไม่ลุกขึ้นมาด่ากู ไม่ลุกมายิ้มให้กู และไม่ลุกขึ้นมาจูบกูแล้วเหรอ

           “ตื่นเถอะ มึงโดนกระทืบแค่นี้เองนะ ทำไมยังไม่ตื่นสักที กูคิดถึงมึงอะ”

           ผมพึมพำออกมา ในห้องตอนนี้มีแค่ผมกับมัน … รอยช้ำตรงใบหน้าของมันยังเห็นชัดอยู่เลย น่าสงสารฉิบหาย กูไม่น่าไปรู้จักกับไอ้พวกนั้นเลย ทำให้คนที่ผมรักต้องเจ็บแบบนี้ … มันไม่สมควร … ไม่สมควรเลย

           “ไอ้เหี้ย ฮึก ไอ้เหี้ย” ผมด่ามันไปก็เช็ดน้ำตาไป ฟุบลงกับที่นอนของมันฟูมฟายอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ แม่ง มึงแม่ง …



หมับ

           

           “อย่างร้อง” เสียงแหบพล่านที่ผมจำได้ดีดังขึ้น พร้อมกับความอบอุ่นของฝ่ามือที่ยกขึ้นมาวางบนหัวของผม … ไอ้เมฆ



หมับ



           “มะ มึง ฮึก มึงตื่นแล้ว มึงตื่นแล้ว”

           “กูเจ็บ …” ผมผละออกจากมันทันที เผลอกระโดนขึ้นไปนั่งคร่อมกอดมันซะเต็มแรงเลย ผมพึมพำขอโทษ ก่อนที่มันจะส่ายหน้าไปมาเหยียดยิ้มให้ผม

           “จูบกูหน่อย”

           “หื่นเหี้ยอะไรจะตายอยู่แล้ว”

           “เออน่า” ผมหัวเราะก่อนจะก้มลงไปจูบมันเบา ๆ จากนั้นมือข้างที่ไม่บาดเจ็บของมันก็ยกขึ้นมากดหัวผม ลิ้นของเราเกี่ยวพันกันอย่างโหยหา

           “กูรักมึง” มันกระซิบบอกผมหลังจากที่เราผละออกจากกัน …

           “กูก็รักมึงไอ้พี่ชาย” ผมว่า … น้องชายก็ได้ ต่อจากนี้จะไม่ห่างจากมันอีกแล้ว ในฐานะน้องชายก็ได้

           “ไม่เอาแค่พี่ชาย”

           “อะไรของมึง” ผมเงยหน้าที่ซบกับซอกคอมันขึ้นมามองหน้าเละๆเทะๆของมันอย่างสงสัย

           “กูรักมึง ในฐานะเมียของกู”

           “หะ ห๊ะ? อื้อ!!! ” มันกระชากผมเข้าไปจูบอีกรอบ … จริงเหรอ จริงหรือเปล่า … สรุปมันรักผมแบบผัวเมียจริง ๆ น่ะเหรอ

           “หึหึ กูไม่ได้โกรธที่มันว่ามึงว่าเอากับกูเพราะมันคือเรื่องจริง แต่กูโกรธที่ด่ามึงเป็นลูกกำพร้า มึงไม่ใช่ลูกกำพร้านะแสง … มึงมีกู มีกูที่จะเป็นทั้งคนในครอบครัวมึง และเป็นคนของมึงด้วย” ผมหน้าร้อนวูบ ก่อนจะก้มลงไปเอาหัวเขกกับหน้าผากมันเบาๆ …

           “กูก็รักมึง … รักมึงแบบที่มึงรักกู...แล้วก็ขอโทษด้วยทุกเรื่องที่กูดื้อกับมึงทุกอย่าง”

           “รู้ด้วยเหรอว่าดื้อ” มันเอียงคอถาม

           “ไอ้เหี้ย … มึงอะ ทำบรรยากาศเสียหมด” ผมกะจะกระโดดลงจากเตียง แต่มันกลับไปยอมให้ผมลงกอดเอวผมไว้แบบนั้น

           “จูบกูและบอกรักกูอีกที”

           “พอแล้ว” ผมพูดขำ ๆ

           “เอาหน่อยน่าที่รัก” มันอ้อนนี้มึงเพิ่งตื่นจริงๆหรือเปล่าเนี้ย

           “เออ ๆ ” ผมก้มลงไปจูบมันอีกครั้ง ด้วยความอ่อนโยนและทะนุถนอมคนที่ผมรัก ก่อนจะกระซิบบอกเบาๆ

           “แสงรักเมฆนะ”

           “เมฆก็รักแสง แล้วอย่าห่างกันอีกนะ” มันกระซิบบอกและยิ้มให้ผม มันเป็นยิ้มที่หล่อที่สุดเท่าที่ผมเห็นมาเลย … ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ผมมีความรู้สึกแบบนี้ แต่รู้ตัวอีกทีมันก็ไม่ไหนไม่รอดแล้ว … ไปไหนไม่รอดแล้วจริงๆ … มึงเป็นเหมือนกันใช่ไหมเมฆ …

           “ฮันแน่!!!!!!!! ทำอะไรกันอะ”

           “ไอ้โทน ไอ้เด็กเหี้ย!!!!!”

           ความรักของผมกับไอ้เมฆ คือความรักที่เพิ่มพูนมาจากความเห็นใจและความผูกพัน อาจจะเป็นเพียงหนึ่งความรักเล็ก ๆ ธรรมดาบนโลกใบนี้ที่กว้างใหญ่ แต่สำหรับเราสองคนแล้ว … มันยิ่งใหญ่และยากลำบากมากกว่าเวทีไหน ๆ ที่เคยขึ้นชก … แต่ไม่ว่ายังไงเราก็จะชนะและแพ้ไปพร้อม ๆ กัน

           ‘กูรักมึงไอ้เมฆ’

           ‘หึ แล้วคิดว่ากูไม่รักมึงเหรอไอ้แสง’



 

//////////////

ปาปากรี๊ดคู่นี้มากกกกกกกกกกกกกกก อ่านกี่ทีก็กรี๊ดเคมีมันได้ 5555555


หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH23ชีวิตที่เดินต่อ}4/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: prympws ที่ 11-05-2020 22:18:54
 :pighaun: :pighaun:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH23ชีวิตที่เดินต่อ}4/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 14-05-2020 21:49:01
 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH23ชีวิตที่เดินต่อ}4/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: Khongsak ที่ 14-05-2020 23:00:28
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{CH23ชีวิตที่เดินต่อ}4/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: patsakon ที่ 17-05-2020 21:59:20
รอๆอยู่นะคัฟ :call:
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เฮียป๊อกXน้องจุก2}18/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 18-05-2020 20:31:55

พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก

(เฮียป๊อกXน้องจุก 2 )


           “มึงอย่าลืมไปงานพบผู้ปกครองไอ้จุกมันนะ”

           “เออ ๆ ”

           ผมตกปากรับคำไอ้โทน ที่เดินออกมาส่งผมที่รถ แม่ง กะจะมากินข้าวอย่างเดียวเสือกหาบ่วงคล้องคอให้กูเฉย ไม่คิดบ้างเหรอไงว่า ผมจะนัดสาวที่ไหน จะทำงานหรือเปล่า บังคับกูจัง นี้ถ้ากูไม่ไปให้คงหักคอให้ตายตรงนี้แหละ

           “กูไปละ มึงไปกรุงเทพ ก็ไปดีมาดี สำลีแปะหัวนะสาดดดด”  ไอ้ห่าเตี้ยชูมะเหงกให้ผมกำปั้นใหญ่ ผมรีบชิงปิดประตู และออกรถออกมาซะก่อนที่ไอ้ห่าโทนจะทำร้ายผู้ชายตัวเล็ก ๆ อย่างผม หึ ตัวเล็กกว่าเสาเข็มหน่อยเดียวแหละมึง ฮ่าๆๆๆ

           ผมป๊อกไงจำได้ปะ แหม บทน้อยหน่อยเดียวทำเป็นลืม เดี๋ยวปั๊ด จูบซะนี้ หึหึ อายุ อานามก็ 30 ละ แก่พอ ๆ กับไอ้โทนนั้นแหละ รุ่นเดียวกัน หน้าที่การงานของผมก็เปิดบริษัทสถาปนิกรับออกแบบ ตกแต่งภายใน บลาๆๆๆๆ ไปตามภาษา รายได้ค่อนข้างดี

   ล่าสุดเจองานยักษ์ สถาปนาวัดป่า ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้สายผมโดยตรงแต่ก็มีเพื่อนในวงการที่คร่ำหวอดในวงการนี้อยู่หลายชีวิตและบริษัท นั้นแหละครับหลังจากตกลงกับหลวงตาได้แล้วไม่ต้องรอให้ทำเรื่องถึงกรมศิลปกรเพื่ออนุมัติ เจ้าหน้าที่  อิฐ หิน ดิน ปูน หลายต่อหลายคันถูกขนมาไว้ที่วัดอย่างปริศนา และทุกอย่างถูกกฎหมาย พอสืบไปสืบมาก็เจอทางตัน พูดง่าย ๆ คือผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนจ้าง งานโหดเลยละครับ ได้เงินล้านที่ได้มาแบบงงๆ เป็นค่าจ้างล็อกแรก ที่ผมใช้เลี้ยงช่างและลูกน้องทีมออกแบบหลายชีวิต จนมีความรู้สึกว่าทำไมค่าจ้างแม่งเสมอตัว ๆ แปลก ๆ วะ ไม่ค่อยเหลือกำไรให้กูเท่าไหร่ แต่ล่าสุดแม่งมีโอนเข้าบัญชีบริษัทมาอีก 5 ล้าน!!!! แต่พอตรวจสอบต้นตอแล้วก็เป็นบัญชีที่ไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะธนาคารเก็บข้อมูลทุกอย่างเป็นความลับ ผมสงสัยจนเลิกสงสัย พยายามทำงานออกมาให้มันดีที่สุดนั้นแหละ ได้บุญด้วยได้เงินด้วย กำไร ๆ

   “พี่ป๊อก แวะตลาดหน่อยได้ไหม จุกอยากกินไอติมอะ”

เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!

           “มะมึง ไอ้เชี้ยตกใจหมด นึกว่าลูกกรอกที่ไหน” ผมหันไปมองไอ้ห่าเด็กจุกที่โผล่หน้าหลอน ๆ มาจากเบาะด้านหลัง มึงขึ้นมาได้ยังไง!!! ตั้งแต่เมื่อไหร่!!!! แล้วถ้ากูตกใจเบรกถลาตกคันนาไปกูจะกลายเป็นผีไหม ไอ้เด็กปิศาจ!!!!

           “พี่ป๊อกเป็นอะไรจ๊ะ?”

           “มึงไม่ต้องมาหน้าซื่อ ! ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

           “ก็โทนจะเอาของพวกนี้มาใส่รถพี่ป๊อก แต่รถออกก่อนเลยไม่ได้ลงอะจ้ะ”

           มันชูถูกข้าวเกรียบที่ผมนั่งจิ้มน้ำพริกกินเมื่อกี้อย่างอร่อยแดกข้าวไป 3 จานพูน ๆ เรียกได้ว่ามากินข้าวบ้านไอ้โทนอิ่มไป 3 วันเพราะมันหุงข้าวเยอะอยู่แล้ว แต่ถ้าอยู่ในช่วงนักมวยลดน้ำหนัก ได้อดแดกของฟรีกันหลายวันเลยทีเดียว เดี๋ยวนะก่อนนอกเรื่องไปไกล ขอเคลียกับไอ้เด็กหน้าเต่านี้ก่อน

           “แล้วทำไมมึงไม่โวยวายตั้งแต่แรกวะ นี้ขับมาจะครึ่งทางและมึงเห็นไหม”

           “ก็หนูอยากมาซื้อขนมพอดีนี้” เดี๋ยว เดี๋ยวเหอะมึงก็พากลับไปบ้านแดกไอติมกูนี้แหละ! กวนตีนหน้าแบ๊วดีนัก

           “กูเกือบหัวใจวายมึงรู้ไหม”

           “ทำไมล่ะจ๊ะ” มันเอียงคอมองผมตาแป๊ว แล้วป่านนี้ไอ้โทนไม่ตามหามึงวุ่นแล้วหรอวะ!

           “กูบอกให้พูดแทนตัวเองว่า ผม และลงท้ายด้วย ครับ!” ผมดุมันและถวายมะเหงกให้ไอ้เด็กอื้อไป 2 ทีเน้น ๆ

           “เอ่อ …ครับ อย่าดุจุกสิจ…ครับ”

           “เออ ๆ กูไม่ดุมึงแล้ว ดุไปก็เท่านั้นกูเพลีย”

           “งั้นไปกินไอติมกันนะครับ” หึ เดี๋ยวก็พาไปแดกที่บ้านกูจริง ๆ หรอกไอ้เด็กบ้า

           “อยากจะไปก็ไป แต่มึงหาทางกลับบ้านเองนะ”

           “งั้นพาจุกกลับบ้านเถอะ”

           “ห๊ะ!”

           “กะ กะ ก็จุกไม่อยากกลับคนเดียวนี้ ไม่กินไอติมแล้วก็ได้” ยัง ยังจะมาทำหน้าซื่อก้มหน้าทำตาละห้อย

           “ยังไงกูต้องไปส่งมึงสินะ” ผมหันไปถามมันอย่างอ่อนใจ ก่อนที่ตาแป๋วจะเงยขึ้นมองผมยิ้มแป้นจนปากจะฉีก หึ ผมละเชื่อมันเลย

.

.

.

           “เอาไอติมใช่ไหม” ผมจูงมือมันมาที่ร้านขายของชำในตลาด ไอ้จุกเงยหน้ามองผมทีมองอาแปะเจ้าของที ก่อนจะควักมือเรียกให้ผมก้มลงไป ถึงจะขมวดคิ้วผม ก็ต้องก้มครับไม่งั้นมันก็ทำอยู่แบบนั้นไม่เลิก

           “จุกอยากกินไอติมตักแบบไฮโซฮะ” มันกระซิบ

           “แดกไอติมแทงเหอะมึงอ่ะ” ผมกระซิบตอบกลับ

           “แต่จุกอยากกิน พี่ป๊อกใจดีเลี้ยงจุกหน่อยจิ” ไอ้จุกจับมือผมที่ล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่แกว่งไปมา น่ารักตายห่าละมึง แค่นี้เขาก็หาว่ากูเป็นโชตะคอนแล้วไอ้เด็กเต่า

           “ตกลงลื้อจะซื้อกันไหม ดึกดื่นแล้วอั๊วจะปิดร้าน”

           “งั้นเอาบุหรี่ XXX ซองครับเฮีย” ผมว่าก่อนที่จะโดนแปะแกเหวี่ยงมากกว่านี้ ก่อนจะเดินไปจ่ายตังที่โต๊ะไม้มีขนมลูกกวาดหลากรสวางอยู่

           “จุกเอานี้ด้วยฮะ” ผมเลิกคิ้วมองไอ้จุกที่ถือขนมห่อมาถุงนึงวางข้าง ๆ บุหรี่ผม

           “มีตังค์ ?”

           “มีฮะ พี่ป๊อกไง” มันว่าแล้วคว้าเอาขนมไปถือไว้ ยืนส่งยิ้มตาหยีมาให้ผมตามเดิม … เห็นกูเป็นธนาคารเคลื่อนที่ได้เหรอ ?

           “100 พอดี” ผมหยิบแบงค์ร้อยส่งให้อาแปะอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนที่จะดันหัวเล็ก ๆ ของไอ้จุกให้ถลาไปด้านหน้านิด ๆ มันหน้ามุ่ยมองผมที่เลิกคิ้วอย่างมีคำถาม มันหัวเราะและรีบเดินไปยืนข้างๆรถกระบะคันใหญ่ของผม

           “ว่าไงไอติมไม่แดกล่ะ แดกขนมแทน ?”

           “กินฮะ จุกยังไม่เคยเข้าร้านตรงหัวมุมเลย”

           มือเล็กชี้ไปที่ถนนหัวมุมอีกมือก็ถือขนมถุงเอาไว้แนบอก แหมทำอย่างกับมึงอดอยาก กูเห็นไอ้โทนก็เลี้ยงดี ไปไหนมาไหนซื้อขนมของเล่นมาฝากตลอดแถมเบี้ยเลี้ยงยังได้เยอะกว่ากูตอนเด็ก ๆ อีกนะเฮ้ย! 

           “ไอ้โทนไม่พามึงไปเหรอไง”

           “พี่โทนเคยจะพาเข้า แต่จุกกลัวพี่โทนลำบากเลยหนีไปเล่นตลอดฮะ”

           “แล้วกูเกี่ยวไร ?” ผมชี้มาที่ตัวเอง … งงมันครับ

           “ก็พี่ป๊อกใจดี … พี่ป๊อกรวยด้วย นะฮะ เลี้ยงจุกหน่อย จุกตัวเล็กกินไม่เยอะหรอก” มันทำหน้าอ้อน … อ้อนตีนกูนี้แหละ

           “หึ อยากไปก็ไปขึ้นรถ แต่ถ้ากวนตีนกูกูถีบลงนะ”

           ผมว่าก่อนจะเปิดประตูให้มันกระโดดขึ้นไปนั่ง ส่วนตัวเองก็เดินไปฝั่งคนขับและพาไอ้เด็กหน้าด้านไปที่ร้านคาเฟ่แมวหน้าขนที่มันอยากมาเหลือเกิน … ตอนแรกผมก็นึกว่าร้านไอติมธรรมดา ๆ ที่ไหนได้หาเรื่องให้กูตลอดดดดดดดดดดด

           “กูแพ้ขนหมา”

           “… งะ งั้นจุกไปกินไอติมแท่งก็ได้”

           “กูล้อเล่น”

   พูดเสร็จผมก็ผลักประตูเข้าร้านไปทันที หึ อึ้งสิมึงเจอกูกวนตีนกลับบ้าน เพราะมึงเป็นเด็กนั้นแหละกูถึงรังแก ถ้าเป็นผู้ใหญ่เหมือนกัน กูจะมีปัญญาไปทำอะไรล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ … ทำไมประโยคเมื่อกี้มันดูน่าสมเพชจังวะ

           “สวัสดีค่า อ้าวหนูจุก วันนี้โทนไม่มาเหรอจ๊ะ” ผมหันขวับไปมองไอ้ตัวดีที่กำลังเอานิ้วจ่อปากทำเสียงจิ้งจกส่งให้แม่ค้าคนสวย … มันเหลือบมามองผมก่อนจะหัวเราะแหะ เกาหัวทำตาใสกิ๊ก … กะล่อน ไอ้เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ

           “คะ คือว่า … แหะ ๆ จุกอยากกินนี้หน่า …”

           “โกหกตกนรกหลวงตาไม่เคยสอนหรือไง” ผมตามและนั่งลงบนเก้าอี้ริมกระจก มีไอ้แมวหน้ามึน 2 ตัววิ่งไล่ขับกันผ่านหน้าไป

           “แต่เจตนาจุกไม่โหดร้ายนะฮะ”

   ไอ้ตัวเล็กขึ้นมานั่งข้างผม ท่าทางมันก็ดูสำนึกผิดอยู่หรอกแต่ผมชักจะไม่เชื่อใจไอ้เด็กคนนี้ซะแล้ว หน้าซื่อตาใสแบบนี้แสบซะเหลือเกิ๊น แต่ก็แปลกนะครับไอ้จุกมันกล้าเข้าใกล้ผม ทั้งที่เด็กคนอื่นออกจะกลัวกันซะหมด มันบอกหน้าผมโหด ท่าทางจิ๊กโก๋ แล้วยังเสียงดังด้วย … เออก็จริงของมันแต่มันลืมพูดอีกข้อไป กูหล่อไงครับ ฮ่าๆๆๆ

           “เออ ๆ จะกินอะไรก็กินซะจะได้พาไปส่งบ้าน กูอยากพักผ่อน” พอผมพูดจบไอ้จุกก็เอื้อมไปหยิบเมนูและตะบี้ตะบันสั่งของมาเต็มโต๊ะ เดี๋ยวนะ นี้มึงกินหรือยันนุ่น ตัวก็ออกจะเล็กเอาไปเก็บไว้ไหนหมดวะ

           “ของคุณป๊อกรับเป็นน้ำเปล่าหรือเป็นกาแฟร้อนดีคะ”

           “นมจืดร้อนแล้วกันครับ” ผมหันไปสั่งแม่คนสวยเจ้าของร้าน ที่เดินมาเสริฟเค้กช็อกชิพชิ้นสุดท้ายให้ไอ้จุก ส่วนมันตอนนี้ไปอุ้มลูกแมวสีน้ำตาลใหญ่กว่าฝ่ามือผมหน่อยขึ้นมาเล่นแล้วเรียบร้อย

           “แดกไม่หมดกูฆ่า”

   ผมพูดและดันหน้าไอ้แมวตัวยักษ์ขนฟูสีดำที่สลอนหน้าเข้าจากด้านหลังออก ความจริงผมก็ชอบแมวนะครับเพราะมันนิสัยหยิงอินดี้ไม่ค่อยสุงสิงเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้มีไอ้จุกมาด้วยไม่อยากให้เด็กมันได้ใจ

           “อิอิ จุกชอบกินขนมหวานมาก กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม” แน่สิ แต่ถ้าเค้ก 6 ชิ้นกับ ไอศกรีมถ้วยใหญ่ที่มึงสั่งมาไม่อิ่ม กูว่าควรจะหาขี้เถ้ายัดใส่ปากจะได้อิ่ม ๆ

           “เออ ๆ ไหนมันอร่อยตรงไหนวะ ไอ้เค้กเนี้ย กูเห็นชอบกินกันจัง”ผมแกล้งมันหยิบเอาเค้กสตอเบอรี่ใกล้ ๆ ขึ้นมาทั้งชิ้นและยัดลงปากในคำเดียว … เออก็อร่อยดีนะ เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ

           “อ่า ชิ้นนั้นจุกจะเก็บไว้กินชิ้นสุดท้ายอะ คัตเตอร์จัดการเลย!”

ม้าว!

แหมะ!

           แล้วไอ้แมวผีตัวเล็กก็มามาแหมะอยู่บนหัวผมไดยที่มีไอ้จุกเป็นตัวการ ไอ้เด็กตะไล กูละจะบ้าตาย แต่ผมก็ต้องหัวเราะออกมาเมื่ออยู่ ๆ ไอ้จุกก็ถูกแมวผีขนฟู ที่วิ่งไล่กันอยู่เมื่อกี้พุ่งเข้าหน้าเสียหลักแทบหล่นจากเก้าอี้แต่ดีที่ผมคว้ามันไว้ได้ทัน

           “เอ๊า เลิกเล่นกินซะดึกแล้ว พรุ่งนี้มึงต้องไปโรงเรียนแต่เช้าไม่ใช่เหรอไง”ผมว่าก่อนจะจัดให้มันนั่งให้เรียบร้อยเอาไอ้คัตเตอร์ที่อยู่บนหัวลงเพราะเริ่มเจ็บหนังหัวด้วยคมเล็บของมัน กูละอยากจะบ้าตาย ทั้งแมวทั้งเด็กก่อกวนกูดีจริง ๆ

   พอมันยัดทุกสิ่งทุกอย่างลงกระเพราะของมันได้หมด ผมก็ให้มันเล่นกับแมวอีกสักพักแล้วก็พอมันขึ้นรถกลับมาส่งที่บ้านมันอีกรอบ ทั้งบ้านปิดไฟหมดแล้ว มีแต่ไอ้แสงกับไอ้เมฆที่ยืนรออยู่หน้าบ้านเพราะผมโทรบอกมันว่าไอ้จุกอยู่กับผมก่อนหน้านี้ ทำเอาคนทั้งบ้านมันโหวกเหวกโวยวายเพราะเด็กหายสบถกันระงมโดยเฉพาะไอ้โทนที่ด่าพ่อล่อแม่อยู่เหยง ๆ

           “ไปเลยมึงอะ โดนไอ้แสงเขกหัวแน่”

           “จุกจะบอกว่าพี่ป๊อกลักพาตัวจุกไป แฮ่ ฝันดีนะฮะ”

ฟอด!

           ผมนิ่งมองมันที่กระโดดลงจากรถไปโบกมือโบกไม้ให้ผมไปมา ก่อนจะวิ่งหนีไอ้แสงที่ใส่ตะครุบเข้าบ้านไป ก่อนยกมือขึ้นมาจับแก้มตัวเองที่ถูกไอ้เด็กปิศาจขโมยหอมไปเมื่อกี้ … สาดดดดดดดดดดดดดด ทำไมปากมึงนิ่งแบบนั้นวะ!!!!

           “น่ารักฉิบ … เป็นห่าอะไรไอ้ป๊อก โชตะคอนหรือไง” ผมหัวเราะกับตัวเองก่อนจะสตาร์ทเครื่องมุ่งหน้ากลับบ้านทันที … ไอ้เวร แล้วมึงจะยิ้มให้ปากฉีกถึงรูหูเลยหรือไง!!!!

.

.

.

Rrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrr



           “ครับน้องลูกจันทร์”

           ผมรับสายของคู่ขาคนล่าสุดที่โทรมาแต่เช้าตรู่ในขณะที่กำลังเลือกเสื้อใยตู้เพื่อไปงานพบผู้ปกครองที่โรงเรียนไอ้จุก แม่ง ทำกูตื่นเช้าเป็นประวัติการณ์เพราะต้องวนไปรับไอ้จุกที่บ้านอีก ปกติมันก็มีรถโรงเรียนไปรับ หรือขี่จักรยานไปเองแหละครับ แต่ไอ้ไม้ไงโทรมาจิกผมตั้งแต่หกโมง เพราะกลัวว่าลูกของมันจะไม่มีคนขับรถเทียวไปเทียวมาส่ง ไอ้ห่า ขอค่าจ้างด้วยฮะคุณพ่อ

           “พี่ป๊อกอยู่ไหนแล้วคะ วันนี้มารับลูกจันทร์ไปเที่ยวใช่ไหมคะ?”ตายห่า … ลืมแม่เจ้าประคุณนมโตจนสนิท …       

   “เอ่อ ลูกจันทร์ครับ วันนี้พี่ป๊อกมีงานด่วนสุด ๆ เลยครับ ขอโทษด้วยนะ พี่คงไปหาเราไม่ได้”

           “อะไรกัน เรานัดกันแล้วนี้” ผมขมวดคิ้วเมื่อเสียงขอเธอแข็งกระด่างขึ้นมา ซึ่งเป็นแบบที่ผมไม่ชอบซะด้วย มันจะอะไรกันนักกันหนา

           “ถ้าพูดไม่รู้เรื่องก็แค่นี้” ผมว่าแล้วกดวางสายในทันที

           แม่เจ้าประคุณก็โทรมาอีกยิก ๆ ด้วยความรำคาญจึงปิดเครื่องทิ้งแม่งไว้นี้และคว้าเอาโทรศัพท์สำรองอีกเครื่องติดมาแทน สาดดดด แค่ไปงานโรงเรียนเด็กคงไม่ต้องแต่งสูทหรอกมั่งเอาแค่เสื้อเชิ๊ตกับกางเกงยีนต์ก็พอ คิดได้แบบนั้นก็แต่งตัวอย่างเร่งรีบโดยทันที

           “พี่ป๊อกมาแล้ววววววววววววววววววววววว” เสียงแจ๋วของไอ้จุกดังต้อนรับผม พร้อมกับเสียงเห่าของไอ้หมาบ้านนี้ผสมโรงกัน มันอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อยนั่งหง่อยอยู่ที่แคร่หน้าบ้าน ก่อนที่ผมจะเดินเข้ามา ตามันยังใสกิ๊กอยู่เหมือนเดิม

           “คนอื่นล่ะ”

           “พี่เมฆพี่แสงลุงทายไปชกมวยจ้ะ ส่วนพี่ไม้กับพี่โทนออกเดินทางไปตั้งแต่จุกยังไม่ตื่นเลย”

           “อืม ปะ ไปกันได้แล้ว”

           “เดี๋ยวสิ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะนะจ๊ะ หนูทำข้าวผัดเอาไว้ กินข้าวเช้ากันก่อนก็ได้”

           “เออ งั้นไปยกมา กูก็ต้องร้องอยู่พอดี” มันยิ้มก่อนจะวิ่งเข้าไปในครัว สักพักก็ออกมาพร้อมกับข้าวผัดสองจานหอมฉุยมาแต่ไกล หึ ไอ้โทนมันสอนลูกมันมาอย่างดีครับงานบ้านงานเรือนไม่ขาดอยู่แล้ว

           “จุกใส่ใจลงไปด้วยนะ กินให้อร่อยนะฮะ” ผมพูดก่อนจะวางจานลงบนมือผม หึหึ เข้าใจพูดนี้ไอ้เด็กคนนี้

           “รีบแดกจะได้รีบไป” ผมว่าก่อนจะลงมือกินโดยมีไอ้เด็กหน้าซื่อตาใสนั่งกินอยู่ข้าง ๆ นี้มึงใช้สบู่อะไรทำให้หอมนักวะ แล้วมึงใส่ใจลงไปเยอะแค่ไหนข้าวผัดธรรมดาของมึงถึงอร่อยนักฮะไอ้จุก

.

.

.

 
หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เฮียป๊อกXน้องจุก2}18/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 18-05-2020 20:33:24

          “ไอ้จุกมาแล้วเหรอวะ”

หมับ

           “โอ้ย ไอ้ฟ้าเบาสิ เราเจ็บนะ” ผมมองไอ้จุกที่ถูกเด็กผู้ชายตัวใหญ่บิ๊กกว่ามันหลายเท่าจับล็อกคอลากไป ดูเอาเถอะขนาดพ่อแม่มันยืนหัวโด่อยู่โน้นยังกล้ารังแกเพื่อน

           “เฮ้ย เล่นให้มันเบา ๆ หน่อย” ผมว่าเสียงดุ ไอ้เด็กคนนั้นสะดุ้ง ก่อนจะหันไปกระซิบอะไรกับไอ้จุกสองคนสักพักก็หันมายกมือไหว้ผมหัวเราะแห้งและวิ่งไปหาพ่อแม่มัน

           “มึงไปบอกมันว่าอะไรล่ะ” ผมก้มไปถามไอ้จุก 

           “คิกๆ ก็บอกว่าพี่ป๊อกจับเด็กกินมาแล้ว สองคนไง” พูดเสร็จมันก็วิ่งไปเข้าแถมเพราะถึงเวลาพอดิบพอดี เออ มึงจะเป็นคนที่สามนั้นแหละ กูจะแดกให้สาสมเลยไอ้สาดดดดดดด

           นอกจากการประชุมผู้ปกครองในช่วงเช้าแล้ว ช่วงบ่ายโรงเรียนของมันมีการจัดร้านด้วย ห้องของไอ้จุกก็ทำทาโกยะกิขาย แล้วแน่นอนประเพณีที่สืบทอดมาในทุก ๆ ปีคือบ้านผีสิง ซึ่งตอนที่ผมเรียนอยู่ที่นี้ตลอด 6 ปี ผมก็เป็นผีแม่งทุกปีแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ เออ บอกหรือยังว่าโรงเรียนไอ้จุกคือโรงเรียนเก่าของผมเอง อาจารย์ที่ผมเคยรู้จักท่านก็เกษียณกันไปหมดแล้ว แต่สถานที่ของโรงเรียนถึงแม้จะร่มรื่นเพราะปลูกต้นไม้มากขึ้นแต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนเดิม ผมยังจำภาพไอ้โทน ไอ้ทิมไอ้เบสที่เตะบอลกันที่สนาม ตั้งป้อมแซวหญิงกันหน้าตึก แดกลูกชิ้นกันหน้าโรงเรียน และถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองไล่จับตอนโดดได้เป็นดี หึ ใครจะเชื่อว่าเด็กที่ดูไม่มีอนาคตอย่างพวกผมจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีอนาคตเช่นเคย … ฮ่าๆๆๆๆๆ

           “พี่ป๊อก ครูว่าอะไรจุกไหม”

           “ว่า บอกว่ามึงกวนตีนบ่อย ชอบเล่นอะไรแผลง ๆ ด้วย” ผมจิ้มทาโกยากิจากเตาของมันเข้าปากทำเอาเด็กคนอื่นมองกันตาปริบ ๆ มันย่นหน้าก่อนจะเอาไม้จิ้มฟันมาจิ้มมือผม ทำเอาสะดุ้ง

           “จุกเป็นเด็กดีหรอก ทำการบ้านส่งตลอดด้วย”

   หึ ความจริงก็เป็นอย่างที่มันพูดนั้นแหละครับ ครูประจำชั้นบอกว่ามันเป็นเด็กดีไม่มีปัญหาอะไร การบ้านทำส่งได้คะแนนเยี่ยมเกรดออกมาสวย แต่ก็จริงของผมเหมือนกัน ที่มันมักจะหาอะไรเล่นแผลง ๆ ทำเอาหัวใจครูบาอาจารย์ผวากันไปเป็นแถบ ๆ อย่างเช่น …

           “ไอ้จุกมึงอย่าเอาทาโกยากิไปย่างกับเตาแก๊ซงั้นสิวะ”

           “จุก ผ้ากันเปื้อนติดไฟแล้ว”

           “อ๊ากกกกกกกกกก ไอ้จุก เดี๋ยวแก๊ซระเบิด”

           …ผมต้องอธิบายอะไรอีกไหม ?

เพล้ง!!!

           “เฮ้ย!!!”

   ผมอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่ออยู่ ๆ ไอ้จุกที่โดนเพื่อนปัดออกมาให้ห่างจากเตาแก๊ซ ก็ถลาไปโดนโต๊ะทำให้ขวดแก้วที่ใส่น้ำหล่นแตกใส่เท้ามันเต็ม ๆ  ด้วยความที่ผมเป็นห่วงมันเลยเข้าไปตวัดมันขึ้นมาอุ้มมานั่งบนแขนผม

           “เป็นไง” ผมถามพร้อมกับก้มลงมองเท้าไอ้จุก แม่ง ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาให้โทนฆ่ากูตามไหมละ

           “หนูเจ็บ” มันเบะปาก ท่ามกลางครูและเพื่อนที่รุมล้อม ผมรีบพามันวิ่งไปห้องพยาบาลทันที แม่ง ซนจนได้เรื่องไหมละ

           “อ้าวนายนที ไปโดนซนโดนอะไรมาอีกล่ะ” พอเปิดประตูเข้าไปครูสาวประจำห้องพยาบาลก็พูดทักทันที นี้มึงซนจนครูห้องพยาบาลจำได้เลยเหรอ!!!

           “แก้วหล่นใส่เท้าน่ะครับ”ผมพูดพร้อมกับเดินเอามันไปวางบนเตียงคนป่วย

           “งั้นขอครูดูหน่อยนะ” มันไม่ตอบอะไรเอาแต่นั่งก้มหน้าเบะปาก หายซ่าเลยสิไอ้ดื้อ

           ครูสาวลากเก้าอี้มานั่ง ตรงข้ามไอ้จุก ส่วนผมเองก็ยืนมองอยู่แถว ๆ นั้นแหละครับ มือขาวค่อย ๆถอดรองเท้าและถุงเท้าของไอ้จุกออก ก่อนอุทานออกมาเมื่อกลางเท้ามีรอยแดกบวมช้ำ แต่ไม่ถึงกับเป็นแผลแตกคงเพราะมีรองเท้ารับน้ำหนักของแก้วเอาไว้ พอเห็นร่องรอยอริยธรรมความดื้อของไอ้เต่าแล้ว ครูสาวก็ลงมือเอาน้ำแข็งประคบที่เท้าของมันอย่างเบามือ ซึ่งผมเองก็ขัดตาขัดใจเลยเดินไปพร้อมเก้าอี้ไปนั่งข้างครูคนสวยและยกเท้าเล็ก ๆ ของมันวางบนหน้าขาขอเอาก้อนน้ำแข็งที่อยู่ในผ้าประคบมาทำซะเอง

           “เดี๋ยวครูจะให้ยาทาและยากินไปนะคะ ส่วนพักนี้งดใส่รองเท้าผ้าใบไปก่อนนะ” ครูสาวพูดพร้อมกับลูบหัวไอ้จุกอย่างเบามือ ก่อนจะเดินไปที่ชั้นวางยา

           “เจ็บไหม ?”

           “จุกขอโทษ จุกไม่ได้ตั้งใจทำอย่างงั้น”

           “ก็ซนเอง เจ็บเอง ก็สมควรวิถีลูกผู้ชาย” ผมพูดปลอบมัน เพราะกลัวว่ามันจะเป่าปี่ร้องไห้ออกมาซะก่อน ยังไงมันก็คือเด็ก เด็กดื้อซะด้วย

           “เออน่า เลิกเศร้าสักที ขาไม่ขาดสักหน่อย ตอนเด็กกูกับไอ้โทนนี้วิ่งไล่กันหัวร้างข้างแตกกันแทบจะทุกสัปดาห์ มึงก็อย่าคิดมาก จะได้เป็นประสบการณ์ว่าอย่าเล่นอะไรแผลงอีก”

           “จ้ะ … หนูจะไม่เล่นแผลง ๆ อีกแล้ว ก็ปกติหนูไม่เป็นอะไรนี้” มันเถียง

           ไอ้จุกมันเผลอพูดสัพนามที่ตอนแรกไม่ชอบตอนนี้ผมกลับมองว่ามันน่ารักดี หึ ยังไงมันก็เป็นเด็กผู้ชายถ้าโตไปไปพูดกับคนอื่นแบบนี้เดี๋ยวมันจะพลอยเป็นเด็กลูกแหง่ไปซะ ถ้าพ่อมันไม่สอน กูนี้แหละจะสอนมันเอง แต่ตอนนี้ก็ละไว้ก่อนละกันเห็นเด็กมันเจ็บหรอกนะ

           ผมนั่งประคบมันอยู่แบบนั้นประมานครึ่งชั่วโมง ครูคนสวยก็เข้ามาจับขาไอ้ตัวแสบทายาและพัดผ้าพันแผลเอาไว้ ก่อนที่ผมจะอุ้มมันออกจากห้องพยาบาลมาพร้อมซองยาทั้งแบบกินและแบบทา เหมือนพ่อลูกไปไหมละสาดดดดดดดดดด เมียก็ยังไม่มีข้ามขั้นให้กูมีลูกเลยสินะ     

           “เออ อาครับจุกเป็นไงบ้างครับ” เด็กผู้ชายคนนึงถามขึ้นเมื่อผมเดินกลับมาที่ที่ซุ้มทาโกยากิในงานโรงเรียน พอเพื่อนมันทุกคนเห็นไอ้จุกก็พากันกรูเข้ามาถามกันใหญ่โต ส่วนไอ้ตัวแสบก็ซุกผมแน่น ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาหาเพื่อนมัน

           “ช้ำน่ะ ไม่เป็นแผลหรอก เอาไงมึง จะกลับบ้านเลยไหม” ตอบเพื่อนมันเสร็จก็หันมากระซิบถามไอ้ตัวที่เกาะผมเป็นลูกลิง อดไม่ได้หรอกครับที่จะไม่ลูบหัวมันด้วย แหมนะ เด็กมันเจ็บ … มองกูทำไมกัน ก็บอกแล้วไงว่ามันเจ็บอะ แค่ปลอบเฉยๆ!!!

           “หึ๊! จุกอยากไปบ้านผีสิง”

           “สภาพอย่างงี้เนี้ยนะ” มันไม่ตอบแต่กอดคอผมแน่นเข้าไปอีก ไอ้ห่านี้ … กูต้องตามใจมึงใช่ไหม ?

           “ป๊อกคะ?” ผมหันไปตามเสียงแต่แล้วก็ถึงกับช็อกเมื่อเห็นร่างอรชร ของลูกจันทร์ผิวขาวผ่องเป็นยองใยอยู่ตรงหน้าผม … มาได้ไงวะ!!!!

           “ทำไมลูกจันทร์ถึงเจอป๊อกที่นี้ล่ะ ไหนบอกไปทำงานไง แล้วโทรไปทำไมไม่รับสายลูกจันทร์” ลูกจันทร์ เข้ามาจับแขนผมไว้แสดงความเป็นเจ้าของทันที

           “อย่ามาทำอะไรต่อหน้าเด็กแบบนี้ลูกจันทร์ ผมไม่ชอบ” ผมพูดและพาไอ้จุกเดินหนี

           “งั้นก็ตอบลูกจันทร์มาก่อนสิคะ” เธอวิ่งมาดักหน้าผมเอาไว้ จากที่อารมณ์ดี ๆ อยู่เมื่อกี้ต้องขุ่นมัวผมมองหน้าเธออย่างไม่พอใจ และเดินเอาไอ้จุกไปฝากไว้กับเพื่อนมันที่ซุ้ม

           “รออยู่นี้เดี๋ยวกูพาเข้าบ้านผีสิง” ผมพูดเสร็จและวางมันลงเก้าอี้พลาสติก ก่อนจะเดินออกมาลากยายลูกจันทร์ ไปหลังโรงเรียน

           “ลูกจันทร์เจ็บนะคะ!!!”

           “เราเป็นอะไรกัน” ผมปล่อยมือเธอเป็นอิสระ ก่อนจะถามขึ้นหน้านิ่ง

            ลูกจันทร์คนสวยบัดนี้หน้าตึงไปทันที ก็จริงอะ ผมถามตรง ๆ เพราะที่ผ่านมา 3 เดือน ผมและลูกจันทร์เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้งก็คือเซ็กส์เท่านั้น ไม่มีเดทหรืออะไรทั้งสิ้น ทุกอย่างมันแฟร์มาตั้งแต่ตอนนั้น ผมไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเธอ มีแต่เธอที่เรียกร้องจะเอาจากผมท่าเดียว และเราไม่เคยปกปากรับคำว่าจะเป็นแฟนกัน มันก็แค่เซ็กส์ข้ามคืนเท่านั้น ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้  ซึ่งผมคิกว่าเธอเข้าใจดี จนมาถึงล่าสุดวันนี้ที่เธอมาแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมซะเหลือเกิน

           “ทำไมพี่ถามแบบนี้ละ เราเป็นแฟนกันไงคะ”

           “พูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำเลยนะลูกจันทร์” ผมเหยียดยิ้มก่อนจะลูบแก้มเธอเบา ๆ ถ้าผมเป็นแฟนเธอ ผู้ชายทุกคนของเธอคนนี้ก็คงได้ชื่อว่าเป็นแฟนเหมือนกัน … นี้คิดว่ากูโง่จนดูไม่ออกเลยหรือไงว่าอะไรคืออะไร

           “คะคือ … ”

           “ไม่ต้องให้ผมพูดอะไรอีกใช่ไหม ? ถ้าผมพูดแล้วเจ็บนะ ?”

           “แม่ครับ”

   เด็กรุ่นราวคราวเดียวกับไอ้จุกเดินเข้ามาหาลูกจันทร์ เกาะขาเธอเอาไว้ในขณะที่สาวเจ้าพยายามแกะเด็กชายคนนั้นออก เว้ย เว้ย เว้ยยยยยยยยยยยย อันนี้ข้อมูลใหม่เลยนะเนี้ย นี้กูไปเป็นชู้กับเมียใครวะ บาปกรรมฉิบหายยยยยย

           “ปล่อยแม่ก่อนน็อต น็อตแม่บอกให้ปล่อย”

           “อ่ะ!”

ผลั๊ก

            ผมมองถลึงตาโตเมื่ออยู่ ๆ แม่ตัวดีสะบัดลูกตัวเองจนก้มล้มจ้ำเบ้าไป ไอ้หนูลุกขึ้นยืนเกาะแม่ตัวเองอีกรอบอย่างไม่รู้จักคำว่าเจ็บ

           “มะ ไม่ใช่นะพี่ป๊อก เด็กคนนี้ เด็กคนนี้”

           “มะ แม่จ๋า นะ นาน ๆ ทีแม่จะอยู่กับน็อต น็อตไม่อยากให้แม่ทำร้ายน็อต ฮึก”

           “พอเถอะ” ผมพูดและจับไอ้หนูคนนั้นให้ยืนดี ๆ มันมองหน้าผมแวบนึงก่อนจะหันไปซบหน้ากับแขนของลูกจันทร์อย่างน่าสงสาร นี้กูมาอยู่ในหนังดราม่าเรื่องอะไร ?

           “พี่ป๊อก” ลูกจันทร์พึมพำชื่อผมออกมา ก่อนที่น้ำตาจะไหลตามมาด้วย

           “พี่ว่าตอนนี้ลูกจันทร์หลงทางนะ เรามีลูกมีเต้า ทำไมไม่ใส่ใจเขา ทำไมถึงทำตัวแบบนี้ พี่ไม่สนใจหรอกนะว่าเราพร้อมหรือไม่พร้อมในการมีลูก แต่น้องโตแล้ว เราต้องดูแลไม่ใช่ให้เขาขาดความอบอุ่นแบบนี้ กายของผู้ชายคนไหนก็ไม่อบอุ่นเท่ากับหัวใจดวงน้อย ๆ ของเด็กคนนี้หรอก ดูแลลูกให้ดี ๆ ถ้าต่อจากนี้เรามีปัญหาอะไร ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม พี่พร้อมจะช่วยเหลือ แต่เป็นแบบพี่น้อง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น” ผมพูดพร้อมกับจับมือของทั้งคู่แม่ลูกมาจับกัน

           “ฮึก พี่ป๊อก น๊อต แม่ขอโทษนะลูก ตะต่อจากนี้แม่จะดูแลหนูให้ดี ๆ ”

           สองแม่ลูกก็ทรุดลงกอดกันอย่างน่าสงสาร ผมหลับตาก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นด้วยอาการสงบ จะดูดบุหรี่ก็ไม่ได้ที่นี้คือสถานศึกษา เดี๋ยวโดนผู้ปกครองครูบาอาจารย์ฆ่าหมกส้วมซะเปล่าๆ

           ความจริงแล้ว ผมค่อยข้างอ่อนไหวกับเหตุการณ์แบบนี้นะ ถึงผมจะมีพ่อแม่อยู่ครบท่านย้ายไปอยู่ที่บ้านจังหวัดเชียงใหม่และผมก็เทียวไปเทียวมาอยู่เสมอ ๆ แต่ก็คลุกคลี่อยู่กับเด็กกำพร้าจนเป็นเรื่องปกติ ทั้งไอ้ไม้ พี่แสงพี่เมฆ หรือแม้แต่ไอ้โทนที่กำพร้าแม่ ทุกความสูญเสียนั้นเป็นการจากลาที่เจ็บปวดทั้งสิ้น และการดูแลในส่วนที่ยังเหลือมันถึงสำคัญ ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยไหน ท้องในเวลาอันไม่สมควรก็ยังเป็นปัญหาอยู่เสมอ ๆ ในสังคมไทย

           แต่นั้นคือการไร้ความผิดชอบลำดับแรก ผู้เป็นพ่อและแม่ยังมีความรับชอบอื่น ๆ ที่ต้องรับผิดชอบอีก ขึ้นอยู่กับว่าสำนึกของพวกเขาจะมีมากน้อยแค่ไหน มีมาก เด็กก็โชคดีไป มีน้อย … คนน่าสงสารก็คือเด็กที่ไม่รู้อีโน่อิเน่ แล้วมันถูกแล้วเหรอถึงต้องให้หนึ่งชีวิตต้องมาตายต้องมาเจ็บปวดอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนั้น …

           “พี่ป๊อก ไปบ้านผีสิง” เสียงเหยียดยิ้มให้กับไอ้จุกที่นั่งเล่นกับเพื่อนอยู่พอเห็นผมเท่านั้นแหละแหกปากเลย ดูไอ้เด็กนี้สิ ยังยิ้มสดใสได้อีก ทั้งที่ภูมิหลังมันไม่น่าหดหู่จะตาย หรือเพราะมันยังเด็กเลยไม่รู้อะไรวะ

          ไอ้จุกมันเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เกิดครับ ถูกเอามาวางไว้ในป่าหลังวัดป่าบนเขา โชคดีที่หลวงตาไปเจอซะก่อน สภาพของมันที่หลวงตาเล่าให้ผมฟังเปียกปอนไปด้วยฝนและคราบโคลนตม และมันก็รอดตามมาได้อย่างหวุดหวิดเพราะความช่วยเหลืออย่างสุดพลังของโรงพยาบาลใหญ่ในตัวเมือง เสร็จสรรพด้วยความเอ็นดูหลวงตาจึงขอมาเลี้ยงซะเองแทนที่จะส่งให้ศูนย์เลี้ยงเด็ก มันกลายเป็นเด็กวัดตั้งแต่นั้นมา มันไม่เคยถามหาพ่อ ถามหาแม่แม้แต่ครั้งเดียว ใช้ชีวิตน้อย ๆ ของมันอย่างเข้มแข็งมากกว่าผู้ใหญ่บางคนซะอีก จนโตขึ้นมาในวัดป่า จนอายุมันพอที่จะฝึกมวยได้ลุงทายจึงรับมาเลี้ยงทำให้มันได้เรียน ได้มีชีวิตเหมือนเด็กคนอื่น ๆ

           “พี่ป๊อกเหม่ออะไร”

           “เล่นหัวกูขนาดนี้เอากลับไปเล่นบ้านไหม ?” ผมถามไอ้จุกเมื่อมันยังเอามือลูบหัวผมไม่หยุดในขณะที่ผมอุ้มมันเดินไปที่บ้านผีสิงที่อยู่อีกฝั่งของสนาม

           “คิกๆ เดินสิเดิน จุกอยากไปบ้านผีสิงแล้ว” ผมหัวเราะก่อนที่จะพามันเดินต่อ

           ผมและไอ้จุกเดินมาถึงหน้าซุ้มบ้านผีสิงที่สร้างจากกระดาษลังและหนังสือพิมพ์ เปทับกันหลายๆชั้นเกิดเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ทาด้วยสีดำ ขึ้นด้วยโครงเหล็กอีกชั้นดูแข็งแรงพอที่จะทนทานต่อลมที่พัดมาได้เป็นทางยาวของสนามแห่งนี้ ดูแล้วคิดถึงแหะ แต่ก่อนผมก็อดหลับอดนอนทำเหมือนกัน บ้านช่องไม่ได้กลับตอนเด็ก ๆ ที่ไม่ต้องเครียดอะไรมันก็สนุกดีนะครับ

           “ตื่นเต้น จุกไม่เคยกล้าเข้าเลยนะ แต่ตอนนี้มีพี่ป๊อกอยู่จุกสบายใจ” มันพูดขึ้นในขณะที่ผมเดินไปซื้อตั๋วให้ทั้งผมและมัน ขนาดผมอุ้มไอ้จุกไว้ยังต้องเสียค่าเข้าตั้งสองคน ชิ ! ขี้เหนียวชะมัด

           “เออ ๆ” ผมตอบแบบส่ง ๆ พามันเดินเข้าไปในบ้านผีสิงทันที เชี้ย ! หนังผีแบบ 4D

           “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”

           “เฮ้ย ร้องอะไร!” ผมพูดเมื่ออยู่ ๆ ไอ้จุกก็ร้องออกมา เชี้ยเด็กเวรใจกูตกไปอยู่ตาตุ่ม

           “คิก จุกซ้อม”

           “เดี๋ยวเถอะมึงอะ กูปล่อยแม่งทิ้งไว้เนี้ยแหละ” ผมพูดอย่างหงุดหงิดก่อนจะก้าวขาพามันเดินหน้าต่อ เมื่อไหร่จะถึงทางออกละวะ!

           “แฮ่กๆ สนุกอะ จุกขอเข้าอีกรอบได้ไหม”

           “พอเลยมึง” ผมร้องห้ามไอ้จุกไว้

           หลังจากที่ออกมาจากขุมนรกได้แล้ว ทำไมมันน่ากลัวนักวะ นี้ผีจริงหรือผีปลอมวะ หลอนไปอีก สมัยโน้นยังก๊องแก๊งขนาดที่โผล่ไปแล้วมีคนหัวเราะสวนกลับมาได้อีก แต่นี้กูแทบกรี๊ด กราบบบบบบ กูจะไม่ดูถูกบ้านผีสิงโรงเรียนนี้อีกแล้ว

           “คิก ๆ เหงื่อแตกเลยพี่ชาย จุ๊ ๆ” มันหัวเราะปากเหงื่อที่ไหลซิกออกมา ได้ฆ่าเด็กก็ครั้งนี้แหละ

           “กูหนักมึงนี้แหละ”

           “จุกแค่น้ำหนัก 40 เอง หนักอะไรกัน” มันท้วงและห่อตัวเหมือนน้ำหนักจะลดลง

           “เออ ๆ จะกลับยังวะ” ผมถามมัน

           “ยังไม่ได้ช่วยเพื่อนเก็บของเลยอะ”

           “คนอื่นเยอะแยะ มึงเล่นจนตีนเจ็บไม่มีใครเขาใช่งานมึงหรอก หรือจะให้กูช่วยเก็บ ?” ผมถามเล่นๆไปงั้นแหละ เอาจริง ๆ ถ้าให้ผมเก็บก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกของไม่กี่ชิ้นแบกไม่กี่ทีก็หมดแล้ว ตัวผมใหญ่ควายขนาดนี้

           “มะ ไม่ … กลับก็ได้ครับ แต่จุกไปบอกเพื่อนก่อนนะ”

           ผมพยักหน้าถอนหายใจเฮือกใหญ่และเดินพามันไปส่งที่ซุ้มของมัน ไอ้จุกบอกลาเพื่อนมันสักพักก่อนที่ผมจะพามันมาขึ้นรถในที่สุด เผลอแปปเดียวก็อุ้มมันทั้งวันละ เด็ก 15 ห่าอะไรตัวเล็กขนาดนี้วะ งง

           “วันนี้ที่บ้านมึงไม่มีคนอยู่ใช่ไหม” ผมหันไปถามมันขณะเลี้ยวรถออกมาจากโรงเรียน

           “ฮะ” มันพยักหน้าแต่ไม่ได้สนใจผมไปมากกว่าของทาโกยากะเหลือที่เพื่อนให้มันมาห่อใหญ่ จะว่าไปมันก็เป็นที่รักของเพื่อนมันเหมือนกันนะเนี้ย

           “อยู่คนเดียว ?”

           “ฮะ ก็พวกพี่เขาไปชกมวย ส่วยพี่โทนกับพี่ไม้ก็ไปกรุงเทพ” ผมขมวดคิ้วมองไปที่เท้าของมันสลับกับถนนด้านหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมานิดๆเมื่อตัดสินใจอะไรได้

           “ไปนอนกับกูแล้วกัน”

           “… อะไรนะฮะ!”

           “ไปนอนกับกู มึงเจ็บเท้าจะให้กูปล่อยมึงไว้คนเดียว เดี๋ยวกูบาป”

           “ทำไมพี่ป๊อกใจดี”

           “ที่กูแบกมึงทั้งวันนี้กูใจร้าย ?” ไอ้จุกหัวเราะ ก่อนจะหันไปกินขนมของมันต่อ แดกเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนจริงๆ หึหึ

หัวข้อ: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เฮียป๊อกXน้องจุก2}18/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: pa_pa ที่ 18-05-2020 20:34:08
.

.

.

           “อาบน้ำซะ นี้ชุดมึง”

            ผมพามันมาส่งที่ห้องน้ำ มาถึงบ้านก็ 6 โมงกว่าละ ก่อนจะโยนชุดเสื้อผ้าของผมให้มัน นั้นตัวเล็กที่สุดแล้วนะเฟร้ยยยยย มันไม่เถียงอะไรเดินกระเผลกเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมก็เดินกลับมาที่ห้องครัวทอดไข่เจียวผัดกระเพราหมูสับ กับต้นจืดธรรมดานั้นแหละ ไอ้จุกมันเด็กกินง่ายอยู่ง่าย แดกหมดทุกอย่างไม่โวยวายหรอก

           “หอมอะ” เสียงง๊องแง๊งดังออกมาพร้อมกับหน้าซื่อของไอ้จุกที่โผล่หน้าออกมาดูตรงประตูครัว กลิ่นตัวหอมฟุ้งมาเลยนะสาดดดดด

           “เดินไหวแล้ว?” ผมถามมันพร้อมกับขนแกงในหม้อไปด้วย อีกแปปเดียวข้าวเย็นก็เสร็จแล้วครับ

           “ฮะ บ้านพี่ป๊อกสวยจัง เท่ด้วยมีแต่สีดำ ขาว แล้วก็เทา สวยอะ” ผมหัวเราะ แน่นอนสิวะ บ้านสถาปนิกนะเว้ยให้ขี้หมูขี้หมาได้ไง ผมตกแต่งทาวเฮาว์ของผมให้มีพื้นที่ใช้สอยที่ประหยัดและสวยงาม ทำให้บ้านดูกว้างขึ้นเยอะ อยู่คนเดียวนี้นึกเหงาทุกทีต้องหาคนมานอนด้วยประจำ หึหึ

           “ถามจริงนี้มึงหลุดออกมาจากหมู่บ้านเสมิร์ฟหรือเปล่าวะ” ผมหันหน้ามาพิงกับเคาเตอร์มองไอ้เด็กตรงหน้าที่ใส่กางเกงบอลตัวเล็กที่สุดของผมจนคลุมเข่าและเสื้อบอลที่ยาวคลุมข้อศอกสวนขายเสื้อนี้แทบจะถึงเข่าอยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆๆ เสมิร์ฟสาดดดด

           “หยาบคายอะ” มันหน้ามุ่ย

           “หึหึ ไปคดข้าวไปไอ้เสมิร์ฟ” มันเผลอหัวเราะก่อนจะวิ่งไปที่หม้อข้าวที่สุดพอดี ขดให้ทั้งผมและของมันเองไปวางไว้ที่โต๊ะยาวสีน้ำตาลอ่อนที่ฝังติดกับพนังด้านนั้นมีเก้าอี้สีน้ำตาลวางอยู่เข้าเซตกัน

           “พอกินได้ไหม ?” ผมถามในขณะที่ไอ้จุกก้มหน้ากินข้าวแก้วตุ๋ย หึหึ ทำไมมองว่ามันน่ารักขึ้นทุกวันวะ

           “อร่อยน้อยกว่าผมทำจิ๊ดนึง” มันทำท่าจิ๊ดนึง ฮ่าๆๆๆ เชี้ย ชื้นใจวะ … สาดดดดดดด คุกๆๆๆๆๆ มองเห็นหน้าคุกรำไรแล้วกู

           “พี่ป๊อกคนที่เขามาหาพี่เมื่อตอนกลางวันแฟนพี่เหรอ” อยู่ๆมันก็ถามขึ้น คงหมายถึงลูกจันทร์สินะ

           “คนรู้จักน่ะ ทำไม ?”

           “จุกแค่อยากรู้เฉยๆ อ๊า อร่อยจังเปปซี่เนี้ย”

           “ให้แดกแค่ แก้วเดียวนะเดี๋ยวมึงปวดท้อง” มันหน้ามุ่ย จนผมอดไม่ได้ที่จะเอานิ้วไปแหย่ปากมันเล่น ไอ้จุกครางอื้อและปัดมือผมทิ้ง ก่อนจะหัวเราะออกมาและกินต่อ หึหึ

           พอกินเสร็จผมก็ให้มันเป็นคนล้างจาน ส่วนตัวเองก็ออกมาสูบบุหรี่คุยโทรศัพท์เรื่องงานด้านนอกบ้าน จะเรื่องอะไรละครับก็เรื่องสถาปนาวัดป่านั้นแหละ พักนี้ผมไม่รับงานอะไรนอกจากงานนี้แหละเพราะมีความละเอียดออกสูง ไม่ควบคุมอย่างดีมีหวังได้ทลายลงมาทั้งหมดนั้นแหละ เพราะนอกจากโบสถ์แล้วยังมีสถาปัตยกรรมอื่นด้วยอยู่ภายในวัดป่าอายุหลายร้อยปีนั้น และผมตัดสินใจว่าจะคงสภาพมันไว้อย่างงั้นแต่จะทำให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ด้วยความเก่ามากจึงต้องระวัง

           ถ้าถามว่าผมกว่าจะได้บริษัทนี้มานี้ยากลำบากไม่ใช่เล่น ตั้งแต่กู้ธนาคารไม่ผ่านจนต้อตะเวนหาสิ้นเชื่อไปทั่วเพราะเงินทุนผมไม่พอและไม่อยากใช้สมบัติพ่อแม่ในการตั้งตัวครับเพราะศักดิ์ศรีผมนี้กินไม่ได้แต่แม่งโครตเยอะ พอกู้ผ่านแล้วการมาเปิดที่บ้านนอกแบบนี้มันก็ลำบากอีกเพราะคนไม่ค่อยรู้เรื่อง จำได้ว่างานแรก ออกแบบคอกวัว ฮ่าๆๆๆๆ เออ มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี ถึงจะเงินไม่เยอะแต่มันก็มีความสุข บ่อยครับที่ผมต้องออกไปต่างจังหวัดเพราะลูกค้าที่บอกกันปากต่อปากไป และค่าจ้างผมก็มากขึ้นตามงานทางสภาพการเดินทางนั้นแหละ จนมาถึงตอนนี้ก็เปิดมา 5 ปี ละ ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี มีลำบากบ้างคนฉลาดอย่างผมก็เอาตัวรอดมาได้ หึหึ

           “มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” พอวางโทรศัพท์เสร็จหันมาเจอกับตาแบ๊ว ๆ ของไปจุกที่ยืนแอบอยู่หลังประตูโผล่มาแค่หน้า … มึงจะน่ารักไปไหนวะ นับวันมึงยิ่งไม่เหมือนผู้ชายถ้าไม่ติดผมรองทรงของมึงนี้กูนึกว่ามึงเป็นผู้หญิงไปแล้ว ไอ้เชี้ย คุก!!!

           “จุกอยากกินขนม” อีกละ …

           “ในตู้เย็นมีไอติมไม่ใช่เหรอไง”

           “ไอติมของจุกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” แล้วมันก็วิ่งจู๊ดไป ความจริงก่อนเข้าบ้านผมซื้อติดมาด้วยเพราะรู้ว่ามันต้องงอแงกินขนมแน่นอน

           “มึง … ไอ้เชี้ยจุกอย่าไปกินบนโซฟากู”

           “อ่ะ ก็จุกจะดูหนังอะ!!!” มันโวยวายตอบกลับมาใน ขณะที่ผมเข้าไปจะเอาไอติมถังใหญ่ในมือให้ลงมากินที่พื้น มันก็ไม่ยอม จนผมอ่อนใจนั่งลงข้างมันหยิบทิชชู่มาลองไอติมของมันเอาไว้

           “หกแล้วไอ้จุก!” ผมตวาดจนมันสะดุ้ง ดีที่ผมคว้าถังไอติมไว้ทัน

           “ตกใจหมดจะตวาดทำไม” มันโวยวายกลับมา

           “มานั่งนี้เลย” ผมอุ้มมันมาวางไว้บนตัก แม่งจะกินก็กินบนตักกูนี้แหละ โซฟากูแพง!

           จากนั้นผมและมันก็นั่งดูหนังการ์ตูนของมันไปเงียบๆตักไอติมกินอย่างสบายใจ ส่วนผมน่ะเหรอ นั่งจ้องมัน เอ้ย นั่งดูหนังเป็นเบาะลองนั่งให้มันนี้แหละ

           “ป้อนกูบ้าง” ผมว่า มันหันมามองผมก่อนจะตักไอติมสตอเบอรี่ให้ผมคำโต หึหึ ก็หวานดีนะ ผมอาจจะชอบสตอเบอรี่แล้วละมั่ง

           “คิก ๆ ” มันหัวเราะก่อนจะเอานิ้วมาจิ้มจมูกผมปากเอาเนื้อไอติมออกไป ก่อนจะเอาเข้าปาก … ยั่วกูดีฉิบหาย!

           “อื้ออออออ” เสียงเล็ก ๆ ประท้วงขึ้นเมื่อผมก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากของมัน ด้วยความไม่รู้ประสีประสาเลยทำให้ตามเกมของผมไม่ทัน หึหึ ขอรังแกเด็กน้อยเถอะเด็กมันยั่วนี้หว่า

           “หวาน” ผมกระซิบมัน เสียงหอบกระเส่าออกมาจากริมฝีปากเล็ก ๆ เจ่อเล็กน้อยของมันแก้มแดงปลั่งตาใสสั่นระริก น่ารักเชียวมึง คุก แล้วก็คุกแน่นอน

           “นี้เขาเรียกว่าจูบ ห้ามทำแบบนี้กับใคร ยกเว้นกู เข้าใจไหม ?” ผมกระซิบปากมันอีก

           ก่อนจะหยิบเอาถังไอติมมาถือไว้ป้อนมันไปอีกคำ ก้มลงไปจุ๊บเบา ๆ ไม่ล่วงล้ำอะไรทั้งสิ้น มันพยักหน้างง ๆ ก่อนจะก้มหน้างุด ผมรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่และไม่คิดจะพลาดอะไรไปจากมันตอนนี้หรอก ของแบบนี้ต้องดูกันยาว ๆ อย่างน้อยผมก็เชื่อในความรู้สึกของผมตอนนี้ดี ไม่ว่าจะมองมันยังไง ผมก็รู้สึกไม่เบื่อ … รู้สึกว่ามันน่ารัก อยากดูแล หึหึ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอแก่ตัณหากลับฉิบ แต่ผมบริสุทธิ์ใจนะเว้ย เพราะถ้าผมเริ่มชอบใคร … ผมก็จะชอบแต่คนนั้น และไม่ยุ่งกับใครอีก ไม่ว่าจะนานแค่ไหน … หึหึ

           “พอแล้ว เดี๋ยวปวดท้อง”

           ผมพูดกับไอ้จุกหลังจากหมดไปครึ่งถัง มันไม่เถียงอะไรเพราะมัวแต่ดูหนัง ผมไล่ไอ้จุกไปแปรงฟันหลังจากการ์ตูนของมันจบและนอนเล่นในห้องนอนรอไปก่อน ส่วนตัวเองก็เดินเอาไอติมมาเก็บก่อนจะเข้าไปอาบน้ำบ้าง

           “หึ กินอิ่ม นอนหลับสบายจังนะมึง”

           นั้นแหละ พอเดินเข้ามาเจอมันในห้องไอ้เด็กน้อยของผมก็หลับนอนขดกลมอยู่ในผ้าห่มสีดำไปแล้วเรียบร้อยแล้วแอร์ก็เปิดซะเย็นช่ำขนาดนี้เดี๋ยวก็เป็นไข้ซะเปล่า ๆ ผมเดินไปเบาแอร์ ก่อนจะนั่งลงที่ปลายเตียงจ้องไอ้ตัวเล็กนอนและชื่นใจ สรุปคือตอนนี้ผมว่าผมหลงเด็ก เด็กที่ห่างกัน 15 ปี หึหึ 15 ปีก็ 15 ปีสิวะ แล้วไง ?

           “พี่ป๊อก” เสียงหวานเรียกผมเบาหวิว ผมเลิกคิ้วมองไอ้เด็กน้อยที่ฉุดตัวเองขึ้นมานั่งมองผมตาปรือ

           “ว่าไง”

           “จุกดื้อไหมฮะ” มันคลานมาใกล้ผม จ้องตาแป๋ว

           “ดื้อ แต่กูทนได้”

           “ดีจังเลย” มันว่าและล้มตัวนอนหนุนที่ตักผมก่อนจะลืมตามองผม ผมยกมือปัดปอยผมของมันอย่างทะนุถนอม … เป็นเอามากแล้วกู

           “จุกคิดถึงพ่อแม่จังฮะ ทั้งที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้ว่าเขาทำร้ายผมแค่ไหน ผมก็อยากเจอ” มันพึมพำออกมาก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาเป็นทางผมชะงัก ก่อนจะปล่อยให้มันซุกกับพุงของผมร้องไห้อยู่แบบนั้น ได้แต่กอดมันเอาไว้หลวม ๆ ไม่รู้จะปลอบมันยังไง … ไอ้เด็กคนนี้คงเหงามาก ทั้งที่มีความรักอยู่รอบตัวแท้ๆ 

           “ชู่ว พอแล้วเดี๋ยวเจ็บตา” ผมลูบผมมันไปก็โอ๋มันไปมันพยักหน้าและสูดน้ำมูกเข้าไปเสียงดัง ผมอุ้มมันขึ้นมานั่งบนตักและกอดมันเอาไว้ หน้าซุกซนของมันซุกกับอกของผม

           “ตอนนี้อาจจะเร็วไปหน่อย แต่ต่อไปนี้นอกจากลุงทาย ไอ้โทน ไอ้ไม้ พี่แสง พี่เมฆ หลวงตา พี่มาด เพื่อนมึงทุกคนแล้ว มึงจะยังมีกูอีกคนที่จะดูแลมึงและให้ความรักมึง เท่าที่มึงต้องการ และถึงแม้มึงจะไม่ต้องการ กูก็จะรักมึง”

           “ฮึก” มันสะอื้นออกมานิด ๆ ผละออกมามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ

           ผมเหยียดยิ้มอย่างเอ็นดูก้มลงไปจูบมันอีกครั้ง ในคราวนี้มันนิ่งหลับตาพริ้ม ผมเองก็ไม่ได้ล้วงล้ำอะไรมันอีก เพราะมันยังเด็กเกินไป และความสัมพันธ์ที่ผมให้มันก็ยังไม่ชัดเจนพอที่จะทำอะไรมันไปมากกว่านี้ ผมลูกผู้ชายพอครับที่จะไม่รังแกมันในตอนที่มันยังไม่พร้อม

           “นอนได้แล้ว”

   ผมกระซิบบอกก่อนจะอุ้มมันไปนอนให้ดีๆ มันเองที่ง่วงอยู่แล้วพอหัวถึงหมอนก็หลับไปอย่างรวดเร็ว ส่วนไอ้แก่อย่างผมก็สอดกายไปนอนด้านหลังที่ตะแคงข้างของมัน รวบตัวสเมิร์ฟเข้ามากอดเอาไว้หลวม ๆ หึหึ ต่อไปนี้มึงไม่ต้องกลับหมู่บ้านสเมิร์ฟแล้วนะอยู่กับกูนี้แหละ ไอ้เด็กแคระ หึ เอาวะ คุกก็คุก !!!

           ถึงแม้ความสัมพันธ์ยังไม่ชัดเจน

           มันก็ก่อตัวท่ามกลางความแตกต่างของช่วงอายุ

           แต่ทุกอย่างก็อยู่ในวงล้อมแห่งพรมลิขิตที่จะขีดเขียน

           ให้เป็นไปดั่งที่โชคชะตาของคนสองคนจะนำพา






====================



คุก คุก คุก (แค่เสียงไอ) อิอิ







 
หัวข้อ: Re: {พ่อโทน◑ลูกไม้ฉบับรีไรท์}พ่อผมเป็นนักเลงตัวเล็ก​{เฮียป๊อกXน้องจุก2}18/5/63
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 19-05-2020 01:06:01
ไม่เป็นไรนะจุก เดี๋ยวพี่ป๊อกจะเป็นให้เธอทุกอย่างเอง คุกๆๆ 55555 สองคนนี้กวนตีนชิบ อยู่ด้วยกันได้ดีเลย ฮ่าๆ คิดถึงจุกป๊อก ขอบคุณที่มาต่อค่า รอตอนหน้านะคะ  :pig4: :pig4: :pig4: