ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]  (อ่าน 64724 ครั้ง)

ออฟไลน์ kungverrycool

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 292
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 โอ๊ย....อิจฉามากกกกก
เบาหวานขึ้นตาแล้ว...
รอตอนต่อไปจ้า

 :-[

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ไม่มีใครต้านเขาได้

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
 

- จีบที่20 -

 

ผมผละออกมาเข้าห้องน้ำโดยมีพี่เซียนเดินออกมาติดๆ เพื่อคุยโทรศัพท์กับพี่เซนต์ฝาแฝดตัวเองเห็นว่าก่อนหน้านี้แชทคุยกันผ่านโปรแกรมไลน์แล้วพี่มันบ่นว่าคนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งพิมพ์ตอบช้าไม่ทันใจ ก่อนที่ผมจะเดินเข้าห้องน้ำทันได้ยินเสียงทุ้มคุยกับปลายสายเป็นสำเนียงภาษาอังกฤษรัวๆ จับใจความว่าพี่มันฝากซื้ออะไรสักอย่าง ผมเองฟังไม่ทันหรอกเพราะเซียนพูดเร็วมากแต่ผมชอบสำเนียงที่หลุดจากปากนั้นมากเลยถือวิสาสะยืนฟัง พอพี่เซียนหันมาเห็นเลยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม พอถูกจับใจว่าแอบฟังผมจึงส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วบ่ายหน้าเข้าห้องน้ำไป

ผมทำธุระไม่นานหรอกตอนที่เดินออกมาพี่เซียนคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว และนอกจากพี่เซียนแล้วบริเวณนั้นยังมีพี่เดี่ยวกับเพื่อนวิศวะฯอีกคน ทั้งสามกำลังยืนถกอะไรกันสักอย่างท่าทางดูเคร่งเครียด

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

ผมเห็นสีหน้าพี่เซียนดูหงุดหงิดเลยถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ  คนถูกถามชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้คลายความเคร่งขรึมลง

“มีด่วนงานที่คณะน่ะ”

พี่เซียนพูดสั้นๆ ก่อนจะพยักพเยิดไปยังเพื่อนวิศวะฯที่ยืนอยู่ข้างๆ กัน

“เดี๋ยวต้องเอาแฟรชไดรฟ์ที่ไอ้ห่านี่หยิบติดมาไปคืนอาจารย์และกูต้องแวะไปดูแบบที่จะใช้ประกวดกับอาจารย์แป๊บนึง พรุ่งนี้ต้องขึ้นโครงเหล็กจำลองแล้ว”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“รอกูอยู่ที่นี่แป๊บนึงนะ เดี๋ยวกลับมา” 

พี่เซียนโยกศีรษะผมก่อนจะหันไปพูดไปกับพี่เดี่ยว วันนี้เหมือนพวกพี่มันนัดดูฟุตบอลที่มีถ่ายทอดสดจากช่องฟรีทีวีซึ่งใกล้จะได้เวลาแตะแล้วด้วย ดูทรงว่าจะปักหลักอยู่ที่ร้านนี่จนกว่าจะแข่งจบล่ะมั้ง 

“ฝากดูมันหน่อยนะ”

พี่เซียนหันไปพูดกับพี่เดี่ยวแล้วบุ้ยปากมาที่ผม

“เออ”

เพื่อนพี่มันรับคำยิ้มๆ

“วิศวะฯกับสามย่านห่างกันแค่นี้เอง ห่วงอะไรนักหนาวะ ไอ้โต้งเพื่อนน้องมันก็อยู่”

พี่เซียนถอนหายใจเนือยๆ ก่อนจะผละออกไปพร้อมกับเพื่อนมัน  ผมมองตามหลังพี่มันไปแล้วเดินตามพี่เดี่ยวกลับมาที่โต๊ะ ตอนนี้พวกเพื่อนพี่เซียนกำลังสนใจอยู่ที่จอโทรทัศน์ที่ติดอยู่ตามเสาซึ่งกำลังถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลท่ามกลางเสียงเชียร์ของโต๊ะอื่นๆ ผมเองก็นั่งกินถั่วดูบอลไปเงียบๆ จนพี่เดี่ยวเลื่อนทอดมันกุ้งมาให้ตรงหน้า

“ขอบคุณครับพี่”

ผมยิ้มตาหยี

“มึงอยากกินอะไรสั่งเพิ่มได้นะ”

พี่มันพูดยิ้มแล้วยกแก้วสีอำพันในมือขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ผมจ้องพี่มันตาปริบๆ เพราะก่อนหน้านี้ผมเห็นพวกพี่แกยกกินไปหลายแก้วแล้วยังไม่มีใครมีอาการเมาสักคน

คอแข็งเป็นบ้า

“อยากลองชิมมั้ย”

ผมส่ายหน้าหวือจำนฝ่ายนั้นขำให้

“ดีแล้ว”

“...”

“หน้าอย่างมึงอย่าข้องเกี่ยวกับของมึนเมาเลย”

“จริงๆ ก็พอกินได้พี่ แต่ผมเมาง่าย”

“เออ ว่าแต่มึงอยากกินอะไรสั่งเลยนะ วันนี้ไอ้เซียนมันเลี้ยง สั่งให้แม่งกระเป๋าฉีกเลย”

พี่เดี่ยวขยิบตาให้ โธ่เอ้ยอาหารแต่ละอย่างแพงสุดแค่หลักร้อยเท่านั้น แค่นี้ไม่ระคายเคืองกระเป๋าเงินไอ้พี่เซียนหรอก พี่แกเล่นสะสมมอ’ไซค์ดูคาติตัวท๊อปราคาหลักล้านไม่ต่ำกว่าห้าคัน ซึ่งความจริงข้อนี้ผมเพิ่งรู้มาไม่นานนี้เองว่านอกจากดูคาติสีแดงเพลิงที่เห็นบ่อยๆ แล้ว พี่เซียนมันเล่าให้ฟังว่ามันมีมอ’ไซค์ยี่ห้อนี้จอดสะสมอยู่โรงรถที่บ้านจำนวนหนึ่ง สมกับที่พี่เดี่ยวเคยพูดว่าพี่เซียนมันชื่นชอบมอ’ไซค์มากๆ

ถามว่าซื้อมาแล้วใช้งานมั้ยก็เห็นใช้อยู่แค่คันเดียว ส่วนคันอื่นๆ นั่นจอดสวยๆ เอาไว้ให้พี่มันสบายใจที่ได้เห็นก็เท่านั้น ก็รู้ว่าชอบแต่บางทีผมมองสิ้นเปลืองโดยใช้เหตุ แต่คิดอีกทีมันไม่ใช่เงินของผมจะให้ไปทุกข์ร้อนแทนเจ้าของเงินก็ยังไงอยู่ เอาเป็นว่าหากมันไม่ได้ทำให้เดือดร้อนใครหรือทำให้ตัวพี่มันเองเดือดร้อน ผมคงทำได้แค่รับรู้ เพราะความชื่นชอบของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน อย่างที่ผมชอบกินมิ้นท์มากๆ หากวันหนึ่งพี่เซียนบอกให้เลิกกินผมคงทำไม่ได้เช่นกัน

จริงๆ แล้วหลังจากเปิดใจคบกันอย่างจริงจังนี่ทำให้รู้ว่าผมกับพี่เซียนยังมีหลายอย่างทีต่างกัน แต่มันเป็นความแตกต่างที่ต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะเรียนรู้และเข้าใจกันให้มากขึ้น สถานะที่เปลี่ยนไปทำให้ผมรู้เรื่องส่วนตัวของพี่มันมากขึ้น นอกจากอาหารที่ชื่นชอบหรือความชอบเกี่ยวกับมอ’ไซค์ ผมยังรู้ว่าพี่เซียนคนที่จริงจังกับการงานที่ได้รับมอบหมายมามากๆ ดูได้จากโปรเจ็กต์ออกแบบยานยนต์ของคณะที่จะส่งประกวดซึ่งอาจารย์ขอความร่วมมือมา พี่เซียนทุ่มเทกับมันจริงๆ บางครั้งโทรมาดึกๆ ผมได้ยินว่าอีกฝ่ายนั่งดรออิ้งแก้แบบประจำ ทั้งๆ ที่ช่วงนี้เข้าโค้งสุดท้ายของงานฟุตบอลประเพณีแล้วทำให้ต้องซ้อมคทากรหนักขึ้น 

ถ้าผมเป็นพี่เซียนแค่ซ้อมคทากรอย่างเดียวก็กินเวลาชีวิตไปเกือบหมดแล้ว แต่นี่กว่าจะได้นอนยังต้องนั่งแก้แบบอีก ถ้าเป็นผมคงหมดพลังชีวิตแล้ว ผมรู้ว่าพี่มันยุ่งๆ พักนี้เลยพยายามหาเวลาว่างมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ ทั้งที่ตอนนี้ผมเริ่มง่วงนิดๆ แล้ว แต่เพราะอยากอยู่กับอีกฝ่ายนานขึ้นอีกสักนิดถึงยอมนั่งรออีกฝ่าย 

ความรักนี่ก็แปลกนะ ทำให้เราทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน และบางคนอาจจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรักษาความสัมพันธ์ แต่ผมโชคดีอยู่หน่อยที่ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมากนัก เวลาอยู่พี่เซียนผมสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องรักษาภาพพจน์อะไร ไม่ต่างจากพี่มันหรอก ใครจะไปคิดว่าพี่เซียนมีมุมเด็กๆ หากว่างจริงๆ ก็จะนั่งเล่มเกมเป็นบ้าเป็นหลัง บางครั้งก็ร้องโวยวายเพียงเพราะ้เล่นเกมแพ้ และหัวเสียเป็นวันหากวันไหน่พี่เซนต์โทรมาหาแล้วขอคุยกับผมบ้าง รู้ทั้งรู้ว่าโดนแหย่ แต่พี่เซียนก็ทะเลาะกับแฝดตัวเองได้เป็นวรรคเป็นเวร ยิ่งแฝดพี่มันรู้ว่าคบกันแล้วพี่เซียนลงทุนไปนั่งเจียหัวเทียนจำลองให้ผม 

หลังๆ หากพี่เซนต์รู้ว่าผมอยู่ใกล้ๆ พี่เซียนพี่มันจะขอคุยกับผมประจำ จนพี่เซียนทะเลาะกับฝ่ายนั้นทำเอาผมเริ่มชินเสียแล้ว พูดถึงหัวเทียนนั่น ผมจึงเลื่อนมือไปลูบของดังกล่าวที่ผมยังสวมติดตัวอยู่ทุกวัน

“ยิ้มอะไรวะ”

“...”

“นั่งจับสร้อยแล้วก็ยิ้มพิลึกคน”

ประเด็นที่พี่เซียนให้หัวเทียนจำลองกับผมนี่ก็ยังถูกพี่เดี่ยวหยิบยกมาแซวทุกครั้งที่มีโอกาส ครั้งนี้ก็เช่นกันพี่มันพูดยิ้มๆ แน่นอนว่าทุกครั้งมันทำให้ผมเขินไปด้วยจนต้องแสร้งทำเนียนคว้าเอาของใกล้ตัวอย่างน้ำเปล่ามาดื่มแก้เก้อ

แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งว่ะ

ผมเบะปากทันทีที่เครื่องดื่มในมือไหลลงคอ ความรู้สึกร้อนผ่าวบาดคอแทบขย้อนออกนั่นแหละถึงรู้ตัวว่าหยิบผิดแก้ว ยิ่งตอนที่เจ้าของแก้มตัวจริงทำหน้าตาโตแล้วปล่อยเสียงหัวเราะขบขันผมแบบนั้น ขณะที่ผมไอค่อกๆ แค่กๆ เพราะไม่ทันตั้งตัวนึกว่าเป็นน้ำเปล่าจึงซัดไปเต็มที่   

“เป็นไง”

ผมไม่ถึงกับไม่ถูกโรคกับแอลกอฮอลล์ มันพอกินได้แต่ผมเป็นประเภทคนอ่อนเลยพยายามหลีกเลี่ยงของมึนเมาหากไม่จำเป็น ซ้ำเมื่อกี้ยังไม่ทันตั้งใจ สภาพตอนนี้ถึงได้ไอหน้าดำหน้าแดงจนไอ้โต้งที่ก่อนหน้านี้นั่งลุ้นบอลอยู่ต้องรีบยื่นน้ำเปล่าให้ดื่มกลั้วคอ

“เข้มมาก”

พูดไปก็ไอไป

“เซ่อซ่าคว้าไม่ดูก่อน”

“ก็มันวางอยู่ใกล้ๆ กันนี่หว่า”

ผมทำหน้ายุ่งหลังจากกินน้ำจนเต็มท้อง ไอ้โต้งลูบหลังผมเบาๆ พอดีกับที่มือถือมันสั่นเพราะมีการแจ้งเตือนจากโปรแกรมเฟซบุ๊ค ไอ้โต้งคว้ามือถือมันมาดูก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วยื่นไปให้พี่เดี่ยวดู

“อะไรวะ”

“สโมฯคณะอัพรูปวันนี้ครับ”

“รูปอะไร”

“โปรเจ็กต์ยานยนต์นั่นแหละพี่”

“อ๋อ”

คราวนี้เพื่อนๆ พี่เซียนเบือนหน้าจากโทรทัศน์หันมาสนใจกับภาพในมือถือไอ้โต้ง

“อาจารย์มัสลินนี่สวยจริงๆ ว่ะ”

ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

“จริงพี่”

ไอ้โต้งสำทับ

“แต่โหดโคตรๆ” เพื่อนสนิทผมทำท่าขนลุก “สั่งงานทีพวกผมเกือบตาย”

“แกเป็นศิษย์เก่าคณะเรานี่ สมัยที่เรียนอยู่ ข่าวว่าเป็นหัวกระทิด้วยใช่มั้ยวะไอ้เดี่ยว”

พี่เดี่ยวพยักหน้าหงึกหงัก

“อืม”

“อืมอะไรวะขยายความด้วย นอกเวลาเรียนแล้ว ไหนรีวิวลูกพี่ลูกน้องมึงให้ฟังหน่อยดิ”

ผมหูผึ่งทันทีที่ได้ยินว่าพี่เดี่ยวเป็นญาติกับอาจารย์คนดังกล่าว

“จริงดิพี่”

ไอ้โต้งทำหน้าตื่น

“อาจารย์มัสลินเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่เหรอวะ”

“ลูกสาวป้ากูเอง”

“โอ้โห แล้วไม่บอกก่อนวะพี่ เมื่อกี้เผลอนินทาอาจารย์แกไปเยอะเลย”

“กูฟ้องไหมแน่ไอ้โต้ง”

“ทั้งสวยทั้งเก่งสมกับที่ไอ้เซียนมันปลื้มถึงขนาดตามมาเรียนวิศวะฯ”

หือ?

ชื่อของพี่เซียนที่หลุดเข้าไปหัวข้อสนทนานั่นทำให้สนใจขึ้นมาทันที พี่เดี่ยวทำหน้าตื่นหันมามองผมก่อนจะหันไปถลึงตาใส่เพื่อนตัวเองจนฝ่ายหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มเจื่อนๆ ให้

“เอ่อ”

คนเปิดประเด็นแทบจะยกมือไหว้ผม

“น้องเปียวคงไม่ได้ยินเนอะ”

“เต็มๆ หูพวกกูเลยสัด”

เพื่อนพี่มันพากันตบกะโหลกเพื่อนปากสว่าง

“ไม่มีอะไรหรอก”

 พี่เดี่ยวยื่นโทรศัพท์ให้ผมดู ในภาพนั้นมีกลุ่มนิสิตวิศวะฯ ไม่ต่ำกว่าสิบคนและหลายๆ คนในรูปนั่นก็คุ้นหน้ากันดีทั้งพี่เซียน พี่เดี่ยวและแก๊งพี่มันรวมถึงไอ้โต้งและกลุ่มเพื่อนที่คณะมันและที่ทำให้ผมสะดุดใจมากที่สุดก็คือภาพใบหน้าของผู้หญิงหนึ่งเดียวในรูป

“วันนี้มีช่วยงานที่คณะน่ะ”

ไอ้โต้งมันคงเห็นผมเงียบไปเลยรีบช่วยอธิบาย

“พวกกูก็ถูกเกณฑ์ไปช่วยปีสาม สโมฯเลยถ่ายรูปรวมมาลงน่ะ”

“อืม”

ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วพิจารณาใบหน้าหญิงหนึ่งเดียวในรูป คุ้นมาก คุ้นเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“อาจารย์มัสลินเป็นลูกพี่ลูกน้องพี่เอง”

พี่เดี่ยวอธิบาย

“รู้จักกับไอ้เซียนมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว”

ภาพในห้องนอนพี่เซียนสว่างวาบขึ้นมาในหัวผมทันที

“ไม่มีอะไรหรอก สนิทกันตั้งแต่ผมพี่ยังหัวเกรียนๆ กันโน่น ไหมเอ่อ อาจารย์มัสลินเคยสอนพิเศษให้พี่กับไอ้เซียนตอนม.ปลายน่ะ ไอ้เซียนมันชอบมอ’ไซค์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เคยแอบขี่ตั้งแต่ยังไม่มีใบขับขี่ด้วยซ้ำ มันชอบมันก็เลยเลือกเรียนยานยนต์”

พี่เดี่ยวเหลือบตาไปถลึงตาใส่เพื่อนตัวเอง

“ไม่ได้เกี่ยวกับการตามมาเรียนเพราะใครหรอก ไอ้ห่านี่มันก็พูดไปเรื่อย”

อาจารย์มัสลินคือคนเดียวกับที่อยู่ในรูปนั้น

ภาพนั้นกับภาพตรงหน้าห่างกันหลายปี แต่ใบหน้านั้นยังงดงามเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ไม่เปลี่ยนแปลงเลย

‘ทั้งสวยทั้งเก่งสมกับที่ไอ้เซียนมันปลื้มถึงขนาดตามมาเรียนวิศวะฯ’

แวบหนึ่งทำไมไม่รู้ถึงได้วูบโหวงในอกแปลกๆ

“ไม่มีอะไรหรอกเปียว”

พี่เดี่ยวหันไปชี้นิ้วใส่เพื่อนที่เหลือที่ทำหน้าลุแก่โทษหน้าเสียที่เห็นผมเงียบไป เห็นสีหน้าแต่ละคนแล้วผมเลยแกล้งทำหน้านิ่งไปพักหนึ่ง แต่มันเมื่อยที่ต้องเกร็งใบหน้าสุดท้ายผมเลยหลุดขำออกมา

“เครียดอะไรกันครับ”

“โธ่น้องเปียว”

พวกพี่มันโอดครวญ ไม่ต่างจากไอ้โต้งที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วโยกศีรษะผมอย่างมันเขี้ยว พวกพี่มันขอโทษขอโพยผมอีกทีแล้วหันไปสนใจบอลที่แข่งต่อหลังจากผมยิ้มแป้นส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นไร แต่ไอ้โต้งยังมองผมอยู่

“กูตกใจหมดไอ้ห่า”

ผมยิ้มอ่อนๆแล้วเอื้อมมือไปคว้าแก้วของไอ้โต้งมาดื่มอีก

“เฮ้ย”

“ขอกินหน่อย”

“เปียว”

เสียงไอ้โต้งแปร่งไป มันคงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างของผมเข้าแล้ว ผมเลยขยับไปใกล้มันแล้วเอียงหัวไปถูบ่าอ้อนๆ

“อยากหัวโล่ง”

“เดี๋ยวเมา”

“ไม่เมาหรอก กินนิดเดียว”

ไอ้โต้งส่ายหัว

“กูไม่อยากคิดมากว่ะ”

“...”

“แต่ก็อดคิดไม่ได้จริงๆ”

ผู้หญิงคนนั้นคือคนเดียวกับที่อยู่ในภาพซึ่งวางอยู่ในห้องนอนพี่เซียน

ห้องนอนคือห้องส่วนตัว ฉะนั้นของที่อยู่ในห้องนั่นต้องเป็นของพิเศษ หรือของสำคัญมากๆ สำหรับเจ้าของห้อง ผมนิ่งไปเมื่อนึกถึงโมเดลกีต้าร์อันจิ๋ว โปสเตอร์นักดนตรีคนโปรด กีต้าร์ตัวโปรด โมเดลจำลองรถมอ’ไซค์ ทุกอย่างในห้องคือตัวตนและความชื่นชอบของพี่เซียน

นอกจากนั้นยังมีรูปใบหนึ่งรวมอยู่ในห้องพี่เซียน มันรวมอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของพี่เซียน น่าแปลกที่ความคิดนี้ทำให้ผมรู้สึกปวดหน่วงๆ หายใจลำบากขึ้นมาเฉยเลย

 

- J E E B -

 


[อ๋อง]

 

“เดี๋ยวก่อน”

ผมชะงักกึกตอนที่มือข้างหนึ่งถูกกระตุกให้หยุดเดิน พี่ดลเดินวนรอบกายผมก่อนจะยกมือถือขึ้นมาถ่ายภาพร่างกายที่บาดเจ็บของผม ผมทำสีหน้ามึนงงทันทีแต่ก็ยอมยืนนิ่งๆ ให้พี่มันถ่ายจนพอใจ

“ทำอะไรเหรอครับ”

“เก็บหลักฐาน”

“หลักฐาน?”

“เอาไว้แจ้งความน่ะ”

สีหน้าพี่ดลดูจริงจังกับสิ่งที่พูดมากๆ

“แถวนั้นมีร้านอาหารเยอะ ต้องมีกล้องวงจรปิดบันทึกถาพเหตุการณ์วันนี้ได้แน่ เดี๋ยวพรุ่งนี้หลังแจ้งข่าวแล้วน่าจะเอาใบแจ้งความไปขอให้เจ้าของร้านเปิดกล้องวงจรปิดดูได้”

ผมยืนอึ้งคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะรอบคอบขนาดนี้ สีหน้าพี่ดลไม่มีแววล้อเล่นเลย

“แต่พี่”

ผมคว้าแขนพี่มันเอาไว้

“ไม่อยากแจ้งความ?”

พี่ดลคาดเดาความคิดผมได้อย่างแม่นยำ

“ทำร้ายร่างกายมันเป็นคดีอาญานะ โดนทำร้ายขนาดนี้ยังจะปล่อยคู่กรณีไปง่ายๆ อีกเหรอ”

มันก็ไม่เชิงหรอก แต่ผมไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย เพราะมันไม่ใช่แค่ผมที่ได้รับผลกระทบ หากเรื่องนี้เป็นคดีความ แน่นอนว่าเรื่องราวต้องบานปลายรู้ไปถึงหูของพ่อกับแม่ เมื่อนั้นชีวิตอิสระที่ผมโหยหาคงต้องถูกริดรอน ผมเดาได้ไม่ยากว่าพ่อคงบังคับให้ผมกลับไปอยู่บ้าน ส่วนแม่คงจะร้อนรนกังวลใจและสุดท้ายอาจขอร้องให้ผมเลิกใช้ชีวิตอยู่หอเพียงลำพัง

“ผมไม่อยากให้ใครรู้”

พี่ดลเงียบไป

“โดยเฉพาะพ่อ”

“...”

“ผมไม่อยากกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกแล้ว”

ผมก้มหน้ามองพื้น

“อยู่ที่นั่นผมหายใจไม่ออก มันอึดอัด”

“...”

“ที่นั่นไม่มีพื้นที่สำหรับผมแล้ว”

ผมยืนอึ้งเมื่อมือหนาของฝ่ายตรงข้ามเอื้อมมาโอบบ่าผมเอาแล้วลูบเบาๆ

หัวใจผมอุ่นวาบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“ไปหาหมอก่อน”

พี่ดลโอบบ่าผมเอาไว้แล้วดันให้ออกเดิน ผมรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเบาหวิวเดินตามแรงจูงอีกฝ่ายไปอย่างเหม่อลอย ยิ่งสายตาเหลือบไปมองแขนแข็งแรงซึ่งโอบไว้เหมือนกำแพงหนาคอยคุ้มภัย

ผิดมั้ย...ถ้าผมรู้จะสึกปลอดภัย

“เรื่องแจ้งความเอาไว้คุยทีหลัง ไปหมอก่อน”

“...”

“ถ้าอ๋องจะตัดสินใจยังไง พี่จะไม่โต้แย้ง แต่จะเชื่อมั่นในการกระทำของเรา”


.


.


.


ผมเดินออกมาจากห้องตรวจหลังที่หมอเห็นสภาพผมแล้วถึงกับอุทานก่อนจะเรียกให้พยาบาลมาพาผมไปทำแผล นางฟ้าชุดขาวรุมทำแผลให้ผมสี่ห้าคน ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสภาพผมมันบอบช้ำจนน่ากลัว ตอนแรกหมอจะให้ผมแอดมิทดูอาการสักคืน แต่ผมยืนกรานไม่ยอมนอน สุดท้ายหมอเลยจัดยามาให้ผมชุดใหญ่และกำชับให้ผมมาล้างแผลตามนัด ดีว่าผมแค่ฟกช้ำไม่มีส่วนไหนแตกหักหรือเป็นอันตรายถึงชีวิต 

พี่ดลหลุดขำเล็กน้อยตอนที่ผมเดินออกมา ทั่วร่างกายมีผ้าก๊อชพันเต็มไปหมด ถึงอย่างนั้นก็ยังมีน้ำใจเดินมาพยุงผม

“ถ้าจะกลั้นขำขนาดนี้ พี่หัวเราะผมดังๆ ก็ได้ครับ”

ผมเบะใส่อีกฝ่าย

“โทษทีนะ”

พี่ดลพูดยิ้มๆ แล้วเดินไปจัดการค่าใช้จ่ายให้ ไม่นานหลังจากนั้นพี่มันก็หอบถุงยาถุงโตมาให้ผม

“เดี๋ยวผมคืนให้นะ”

ตอนที่เดินกลับมาที่รถผมพูดขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายนั้นพี่ดลจ่ายให้โดยไม่ได้พูดถึงเลย แน่นอนว่าหากผมไม่พูดขึ้น พี่มันก็ไม่มีทางเอ่ยทวงซ้ำยังยินดีจ่ายให้ผมฟรีๆ ด้วย นั่นทำให้ผมเกรงใจมากๆ แค่อีกฝ่ายมาให้ความช่วยเหลือและพามาหาหมอนั่นก็มากเกินพอแล้ว

“ค่อยว่ากัน”

“ถ้าผมเนียนไม่คืนให้จะทำยังไงครับ”

พี่ดลยักไหล่

“ก็ไม่เป็นไร”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“พี่ทำแบบนี้ยิ่งทำให้ผมเกรงใจมากกว่าเดิม”

“...”

“ห้ามพูดว่าเพราะผมเป็นลูกเพื่อนแม่พี่นะ นั่นยิ่งทำให้รู้สึกไม่ดี เพราะผมรู้สึกเป็นภาระพี่กับคุณป้า เหมือนเอาเปรียบพี่จากความห่วงใย”

“เรานี่ก็เป็นคนคิดมากเหมือนกันนะ”

“ก็มันจริงนี่”

ผมทำหน้ายุ่ง

“อ๋องไม่ใช่ภาระ ถ้าคิดแบบนี้อยู่ พี่อยากให้เราเลิกคิดซะ”

“...”

“พี่ช่วยเราไม่ใช่เพราะเราเป็นลูกน้าดุจ”

“แล้วทำไม”

พี่ดลผละสายตาจากถนนแล้วหันมามองผมแวบหนึ่ง

“ห่วง”

“ห่วงเพราะเห็นผมเป็นน้องใช่มั้ย”

จังหวะนั้นรถจอดติดไฟแดงพอดี พี่ดลหันมามองผมนิ่งๆ

“เมื่อก่อนใช่”

“...”

“พี่”

“รู้มั้ยว่าน้องเปียวเคยเชียร์เรากับพี่ด้วย”

“หา”

ผมทำหน้าตื่นคาดไม่ถึงว่าเพื่อนสนิทจะทำแบบนั้น

“รู้มั้ยว่าพี่ตอบเพื่อนเราไปว่ายังไง”

ผมส่ายหน้าหวือ

“พี่บอกว่าเรื่องระหว่างพี่กับเราไม่มีอะไรในกอไผ่ พี่เอ็นดูอ๋องเหมือนน้องชาย”

ผมเม้มปากแน่นรู้สึกวูบโหวงในอกบอกไม่ถูก

“แต่พี่ผิดคำพูดของตัวเองวันนั้นแล้ว”

ผมหันขวับมาสบตาอีกฝ่าย

“มันไม่ใช่ความห่วงใยในฐานะแค่พี่น้อง”

“...”

“ส่วนฐานะอะไร พี่กำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่”

พี่ดลยิ้มมุมปาก

ยิ้มนั่นทำให้ผมร้อนวูบวาบขึ้นมาทันที

 

- J E E B -

 

 

ผมเมาแล้ว

ผมรู้สึกมึนเบลอเวลามองไปรอบๆ พอยกหัวขึ้นความรู้สึกโคลงเคลงเหมือนร่างกายทรงตัวไม่ได้จนต้องเอนศีรษะซบบ่าเพื่อนสนิทตัวเองที่บ่นผมไม่หยุด ไอ้โต้งทำเสียงระอาหลังจากยื้อแก้วเหล้าไปจากมือผม ระหว่างนั้นหูได้ยินเสียงเพื่อนๆ พี่เซียนพูดเสียงเครียดทำนองเดียวกันว่า ‘ซวยแล้ว’

ผมหลับตามุ่นหัวคิ้วเพราะหนักหัวมากๆ ถึงอย่างนั้นสติก็ยังรับรู้ว่าเสียงเชียร์บอลเย้วๆ ของกลุ่มเพื่อนพี่เซียนเงียบหายไปแล้ว ความเงียบนั่นทำให้ผมต้องหรี่ตาขึ้นมาก่อนจะขยี้ตาตัวเองเมื่อรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามันมัวๆ เหมือนแสงไม่เพียงพอ คล้ายกับมีกำแพงสูงใหญ่ยืนบังแสงอยู่เหนือศีรษะ

“มืดอ่ะ”

ผมงึมงำพยายามเปิดเปลือกตาอีกครั้ง

“เหมือนอ่ะ”

“เหมือนอะไร”

“เหมือนพี่เซียน”

กำแพงที่บังแสงทำให้รู้สึกมัวๆ ขยับเข้ามาใกล้ๆ ก่อนที่กำแพงนั้นจะกลายเป็นใบหน้าคมคายของคนรักรุ่นพี่ที่ทำหน้าบึ้งจ้องหน้าผมอยู่

“ฮือพี่เซียน”

ผมผละออกจากบ่าไอ้โต้งตอนที่พี่เซียนขยับมาใกล้แล้วย่อตัวให้ใบหน้าเราอยู่ระดับเดียวกัน

“ไงเด็กขี้เมา”

“ไม่เมา”

“นั่งยังไม่ตรงแล้ว นี่เหรอไม่เมา”

ผมโอนเอนไปมาดีว่าอีกฝ่ายประคองตัวผมเอาไว้

“พี่ไปแป๊บเดียว ทำไมกลับมาถึงได้แอบกินเหล้าจนเมาฮึ”

“ไม่ได้แอบ กินแก้วไอ้โต้งเลย”

ไอ้โต้งสะดุ้งโหยงตอนที่พี่เซียนเหลือบตาไปมอง มือหนาบีบจมูกผมเหมือนมันเขี้ยว

“หายใจไม่ออก”

“เมาแล้วยังเถียง”

“ยังคุยรู้เรื่องเหอะ”

“ไหนบอกพี่สิ นี่กี่นิ้ว”

ผมหรี่ตามองภาพตรงหน้าเหมือนเห็นนิ้วมือของพี่เซียนขยับหนีไปเรื่อยจนต้องคว้าเอาไว้

“อย่าดิ้นสิ”

“ก็อย่าขยับหนีสิ”

ฝ่ายนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่

“พี่ยังไม่ได้ขยับไปไหนเลย”

“เนี่ยคว้าไปไม่โดนสักที”

“เราไล่จับแสงอยู่ไอ้เด็กขี้เมา”

ไม่จริงอ่ะ

ผมเห็นนิ้วพี่เซียนขยับหนีจริงๆ นะ แต่ดูเหมือนคำตอบของผมจะไม่ถูกใจพี่มันนัก เมื่อพี่เซียนฉุดผมให้ลุกขึ้นแล้วหันไปบอกเพื่อนตัวเองว่าจะพาผมกลับ เหมือนได้ยินเสียงพี่เซียนด่าเพื่อนมันด้วยที่ปล่อยให้ผมกินเหล้า ผมยืนโงนเงนไปมาไม่ยอมขยับตัวตามพี่มันก่อนจะปล่อยให้ตัวทรุดนั่งลงที่เก้าอี้เหมือนเดิมแล้วทำตัวไร้กระดูกไม่ยอมขยับจนพี่เซียนต้องทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ กัน

สีหน้าพี่เซียนดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นั่นทำให้ผมใจวูบโหวง การกระทำของผมคงทำให้อีกฝ่ายเบื่อหน่ายเสียแล้วมั้ง ผมเบะปากทันทีก่อนจะเอื้อมมือไปจับใบหน้าอีกฝ่ายเอาไว้

“นี่”

“ทำไมถึงดื้อแบบนั้น”

แปะ

เอามือตีประกบใบหน้าแม่ง ใบหน้าพี่เซียนยู่ย่นน่าขำแต่อีกฝ่ายก็ยอมให้ผมบี้หน้าอยู่อย่างนั้น

“ตอบมา”

‘ทั้งสวยทั้งเก่งสมกับที่ไอ้เซียนมันปลื้มถึงขนาดตามมาเรียนวิศวะฯ’

“อาจารย์มัสลินสวยมั้ย”

พี่เซียนทำหน้างง ท่ามกลางเสียงอุทานของเพื่อนพี่มัน ผมหันขวับไปมองหน้าแต่ละคนแล้วชี้นิ้วขึ้นมาทำท่าจุ๊ๆ ส่งสัญญาณไม่ให้ใครพูดอะไร

น้ำเมานี่เปลี่ยนนิสัยจริงๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองโคตรกล้า ก่อนจะหันมาหรี่ตามองพี่เซียนแล้วทวนคำถามนั้นอีกครั้ง

“ตอบมาเลย”

“สวย”

แปะ

ใช้มือตีหน้าแม่งอีกที 

พี่เซียนคว้ามือที่แปะใบหน้ามันอยู่แล้วบีบเบาๆ 

“แล้วผมอ่ะ”

“มึงทำไม”

“ผมน่ารักป่าว”

พี่เซียนยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยื่นมือทั้งสองข้างมาประคองแก้มผมทั้งสองข้าง

“น่ารักครับ”

“จริงป่าว”

“อือฮึ”

“แล้วชอบอันไหนมากกว่า”

“หือ”

“เลือกเลย”

บิดแก้มพี่มันซักทีดิ

“โอ้ย”

“น่ารักหรือสวย”

“...”

“ตอบมา”

“เลือกอะไรดีหือ”

แปะ...ตีอีกสักทีดิ

พี่เซียนส่ายหัวขำๆ

“ตอบเร็ว”

“น่ารัก”

พี่เซียนยื่นหน้ามาใกล้ๆ

“หึงพี่เหรอ”

ผมเบะปากทันที

“หึงน่ารักเกินไปแล้ว”

“พี่แม่ง”

พี่เซียนเกลี่ยแก้มผมเบาๆ

“น่ารัก”

“...”

“ไอ้ตัวน่ารัก”

“ตอบดี”

ผมหัวเราะคิกคัก ทั้งที่รู้สึกว่าหัวโคลงเคลงไปมา ฮือ ปวดหัวว่ะ

“แล้วไม่มีรางวัลที่พี่ตอบดีเหรอ”

“มีๆ”

ผมยิ้มตาหยี

“เอาหัวใจผมไปเล้ย”

เสียงคนทั้งโต๊ะแม่งโห่อะไรกันวะ รำคาญโว้ย เบาเสียงหน่อย ผมหลับตานิ่ง

“พี่อยากได้อย่างอื่น”

“อะไรอ่ะ”

“ขอหอมทีดิ”

พี่เซียนพูดเหมือนจะแหย่

“ได้ๆ”

คนตรงหน้าดูอึ้งไปนิดหน่อยก่อนจะหลุดขำออกมา

“จะเอาแก้มซ้ายหรือแก้มขวา”

“...”

“อ่ะๆ”

ผมเอียงแก้มให้พี่มันไม่พอยังพองลม่แก้มด้านที่ยื่นให้พี่มันหอม คราวนี้ผมได้ยินเสียงไอ้โต้งขำหนักมาก แม่งขำอะไรวะ เสียงดังจังโว้ย หลังจากนั้นผมรู้สึกว่าตัวโคลงเคลงไปมาคล้ายพี่เซียนฉุดให้ผมลุกขึ้นแล้วพาเดินไปไหนไม่รู้ ผมเดินมาได้แป๊บเดียวก็รู้สึกว่าใครบางคนเอาผมขี่หลัง

สบายจัง

ผมกอดคอแล้วซุกใบหน้าไปที่แผ่นหลังของพี่เซียน

“พี่เซียน”

กระซิบข้างหูไปมัน

“ครับ”

“เห็นนั่นป่าว”

ผมชี้มือไปมั่วๆ 

“อะไรครับ”

ผมขำคิกนึกถึงมุกเสี่ยวๆ ของเพื่อนสนิทที่มันเคยเล่นแล้วทำให้ผมขำจนปวดท้อง

“อนาคต”

“หือ?”

“อนาคตของเรา ก้ากกกกก”

ผมหัวเราะอย่างขบขันก่อนจะกุมศีรษะตัวเองเพราะหัวเราะแรงจนปวดขึ้นมา แว่วเสียงได้ยินเสียงพี่มันทำเสียงคล้ายกับกำลังหัวเราะในลำคอ

“กูไม่รู้ว่าพูดไปตอนนี้มึงจะจำได้มั้ย”

“...”

“แต่จำไว้เอานะเด็กขี้เมา”

“...”

“อนาคตกูไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไง”

ฮือ ปวดหัวว่ะ

“แต่อนาคตของกูต้องมีมึง...นะเปียว”

ฮือ

เสียงพี่เซียนละมุนจัง


- J E E B -

กลับมาแล้ววววว
อ่านแล้วฝากเมนต์และติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะฮะ

ออฟไลน์ mysun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เขินหนักมากกกก อยากซบไหล่พี่เซียนนนนนน
 :o8:

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ kenghan

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-2
มันมุ้งมิ้ง ละมุน  เขิน  อยากอยู่ในเหตุการณ์

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
อิน้องเมารั่วหนักมาก. สร่างเมาเมื่อไหร่จะจำได้ไหมน้า.  :laugh:

ออฟไลน์ Plakhem

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao3: เกือบมีมาม่าซ๊ะแล้ววววว :impress2:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เมาแล้วหลุดเลยเปียว  น้องมันเมาแล้วน่าฟัด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
 

- จีบที่21 -

 

[โต้ง]

 

“ทำไมพื้นมันเอียงๆ อ่ะ”

เสียงงุ้งงิ้งข้างๆ ใบหูก่อนที่ศีรษะของเพื่อนสนิทจะเอียงมาซบไหล่ผมแล้วหลับตาพริ้ม สภาพคนเมาแต่ไม่เจียมตัวเพราะมือข้างหนึ่งยังยื่นมายื้อยุดแก้วเหล้าอย่างไม่รู้สังขาร หลังจากคว้าแก้วเหล้าจากมือมันได้สำเร็จนั่นแหละคนที่ผมไม่อยากเจอมากที่สุดตอนนี้ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า

กลุ่มรุ่นพี่วิศวะฯ ซึ่งก่อนหน้าที่เชียร์บอลเย้วๆ พากันเงียบกริบเมื่อใครบางคนปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า พี่เซียนไม่พูดพร่ำทำเพลงตรงเข้ามาช้อนตัวเพื่อนสนิทผมซึ่งทำตัวอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แน่นอนว่ารุ่นพี่คทากรที่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ตรงหน้าทำให้ผมได้แต่ยิ้มแหย

“น้องเมาเหรอเซียน”

เสียงคุ้นหูนั่นดังขึ้นพอดีกับร่างสูงโปร่งที่ไม่ยอมตอบแชทผมเลยตลอดทั้งวันเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ พี่เซียน  พี่อุ้มมาช่วยประคองไอ้เปียวให้ขี่หลังพี่เซียน หลังจากที่เพื่อนสนิทผมเมาแล้วปากเก่งจนเพื่อนๆ พี่เซียนพากันควักมือถือขึ้นมาอัดคลิปบันทึกภาพ เอาจริงผมว่าเวลาที่เปียวเมา มันจะง้องแง้งเหมือนเด็กแต่นั่นแหละความใสซื่อของมันทำเอาคนมองรู้สึกว่ามันน่ารักโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะกับแฟนหนุ่มอย่างพี่เซียนที่คลายใบหน้าเคร่งขรึมแล้วยิ้มเอ็นดู

พี่เซียนพาไอ้เปียวกลับไปแล้ว ตอนนี้เก้าอี้ข้างๆ ที่เจ้าของเก่าเมาจนถูกลากกลับไปแล้วก่อนหน้านี้มีผู้มาใหม่นั่งแทนที่ พี่อุ้มเลิกคิ้วมองผมเป็นเชิงถามว่าผมมองอะไรตอนที่ฝ่ายนั้นทรุดตัวลงนั่งยึดครองเก้าอี้เดิมของไอ้เปียว ผมยังไม่ทันได้ตอบคำถามคนข้างกายหรอก

“มึงมาได้ไงวะ”

เพราะพี่เดี่ยวชวนเพื่อนตัวเองคุยซะก่อน

“ไอ้เซียนโทรไปชวนมาดูบอล”

ผมนิ่งฟังบทสนทนานั้นก่อนจะแอบสำรวจเสื้อผ้าของพี่อุ้ม คนข้างกายผมแต่งตัวโคตรชิลสังเกตจากเสื้อบอลที่อีกฝ่ายสวมใส่ ส่วนล่างเป็นกางเกงขาสั้นยี่ห้อแบงแบงและลากแตะหนีบช้างดาว แต่ให้ตายเถอะพี่มันรับสายเพื่อนสนิทตัวเอง แต่ไม่ยอมตอบไลน์ผมเลย

พูดแล้วนอยๆ เลยว่ะ   

“มันแวะไปรับกูที่หอมา”

“อ้าวไหนมึงบอกวันนี้มีช่วยงานฝ่ายสวัสดิ์ที่คณะไม่ใช่เหรอ”

“ก็ส่งข้าวเสร็จ กูก็กลับหอไปนอน พอดีหิวข้าวเลยว่าจะไปซื้ออะไรกิน ไอ้เซียนมาโทรมาชวนดูบอล กูเลยกระโดดขึ้นรถมันมา”

พี่อุ้มพูดไปคว้าถั่วทอดในจานใส่ปากเคี้ยวไปด้วย

“พอมาถึงหลานรหัสกูดันเมาซะนี่ ”

“กูว่าไอ้เซียนไม่กลับมาแล้วมั้ง”

“อืม”

ผมเงี่ยหูฟังขณะที่สายตาจับจ้องไปยังโทรทัศน์ซึ่งกำลังถ่ายทอดสดฟุตบอล จังหวะนั้นผู้เล่นทีมหนึ่งกำลังเลี้ยงบอลหลบในกรอบเขตโทษก่อนจะซัดบอลเต็มข้อแต่เฉียดประตูไปนิดเดียว เสียงทั้งโต๊ะเฮลั่นก่อนจะตามด้วยเสียงโห่ เกมสูสีนั่นทำเอาผมนั่งไม่ติดเหมือนกัน สายตาที่จ้องทีวีจอแบนกระพริบถี่เมื่อฝ่ามือของใครบางคนขยับไปมาบังภาพการถ่ายทอดสดตรงหน้า

“หยิบซอสให้หน่อยนะ”

พูดไม่พอยังชี้นิ้วไปยังขวดซอสที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะใกล้ผมเลยต้องหยิบขวดซอสส่งให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันไปสนใจการถ่ายทอดสดต่อ

“มือถือแบตหมด”

พี่อุ้มพูดเสียงแผ่วตอนที่นั่งหั่นสเต็กในจาน

“เพิ่งชาร์ตตอนกลับหอ”

“...”

“อาบน้ำเสร็จ ไอ้เซียนก็โทรมาพอดี”

ผมเหล่ตามองอีกฝ่าย จังหวะนั้นคนข้างกายที่หันมาพอดีรีบหลุบตามองอาหารในจานแทน

“นึกว่าไม่อยากตอบไลน์ผมซะอีก”

คราวนี้ผมเอี้ยวตัวหันเข้าหาพี่อุ้มแล้วนั่งมองฝ่ายนั้นกินเงียบๆ

“มองอะไรเล่า”

“ซอสเลอะแก้ม”

“ตรงไหนอ่ะ”

พี่อุ้มถามขึ้นก่อนจะคว้าทิชชูมาซับแก้มตัวเอง

“แก้มซ้าย”

“หมดยัง”

“เดี๋ยวผมเช็ดให้”

พี่อุ้มส่ายหน้าหวือก่อนจะหันไปให้พี่เดียวช่วยเช็ดออกให้ ผมมองแล้วส่ายหัวกับความหวงเนื้อหวงตัวของอีกฝ่ายแล้วนึกมันเขี้ยว ตั้งแต่คุยกันมามากสุดก็แค่จับมือ จับทีไรเป็นต้องสะบัดหนีทุกที ขนาดสมัยตอนที่เป็นแฟนกัน ผมมีโอกาสแค่นอนกอดอีกฝ่ายเท่านั้น มีครั้งหนึ่งเคยทำรอยตรงคออีกฝ่ายแน่นอนว่ามันแลกกับการที่โดยพี่มันเอาคืนจนผมจุกกลางท้อง

หมัดแม่งโคตรหนัก

“มองอะไร”

“พี่แม่งโคตรหวงตัวกับผมเลย”

“อย่าเยอะ”

พี่อุ้มเบะปากใส่

“แค่กูยอมคุยด้วยก็มากเกินพอแล้ว”

ฝ่ายนั้นบ่นกระปอดกระแปดเพราะตั้งแต่ผมขอโอกาสวันนั้น ผมเล่นเช้าถึงเย็นถึงซ้ำยังขอร้องแกมบังคับให้อีกฝ่ายตอบไลน์และรับโทรศัพท์ผมเท่าที่โอกาสอำนวย แน่นอนว่าการพาตัวเองมาให้พี่มันเห็นทุกวันทำให้อีกฝ่ายเผลอลดการ์ดที่ตั้งเอาไว้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ผมก็นึกว่าพี่ให้โอกาสผมแล้วซะอีก”

พี่อุ้มนิ่งไปทันที

“กูรับโทรศัพท์และตอบไลนท์มึงทุกวันยังไม่ใช่คำตอบอีกเหรอ”

“ผมมันโง่”

ผมทำหน้าซื่อแกล้งทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่มันพูด

“ไอ้โต้ง”

“พี่ไม่พูดตรงๆ ผมไม่รู้หรอก”

พี่อุ้มเบะปาก

“ได้ข่าวว่ามึงสอบเข้าวิศวะฯ ด้วยคะแนนอันดับต้นๆ ของคณะไม่ใช่เหรอ อย่าแกล้งโง่”

“รู้ด้วย”

ผมแกล้งถามฝ่ายนั้นเลยทำหน้าหงิกยิ่งกว่าเดิม 

“เก่งวิชาการกับเก่งวิชาใจไม่เหมือนกันหรอก”

พี่อุ้มทำท่าจะขย้อนของกินในท้องออก

“พูดอะไรเกรงใจของดีๆ ที่กูกินลงไปด้วย”

“เขินก็บอกว่าเขิน”

“ขนลุก”

พี่อุ้มลูบแขนตัวแขน

“แต่พี่หน้าแดงนะ”

“กูร้อนเหอะ”

ผมยักไหล่ก่อนจะเนียนขยับมือไปกุมทับมืออีกฝ่ายเอาไว้ พี่อุ้มสะดุ้งโหยงรีบสะบัดหนีตามเคยแต่ครั้งนี้ผมกุมทับมืออีกฝ่ายแน่นขึ้น เท่านั้นไม่พอยังจ้องหน้าพี่มันตรงๆ

“อยากได้ยินจากปาก”

“...”

“พี่ให้โอกาสผมจริงๆ ใช่มั้ย”

“ถามอะไรวะ”

พี่อุ้มใช้มืออีกข้างที่ยังว่างจิ้มไส้กรอกปากแล้วเคี้ยวงับๆ

“พี่อยากอ่านหนังสือเล่มเดียวกับผมป่ะ”

พี่อุ้มถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วแยกเขี้ยวใส่ผม

“มันใช่เวลาป่ะ”

พี่มันกวาดตามองไปรอบๆ โต๊ะ มองเพื่อนตัวเองที่เชียร์บอลกันเสียงดังอย่างระแวง คงกลัวว่าใครจะได้ยินบทสนทนาของพวกเราถึงได้กระซิบกระซาบเสียงเบาขนาดนี้

“คำตอบล่ะครับ”

พี่อุ้มกรอกตาไปมาก่อนจะเหลือบตามองไปยังทีวีจอแบน

“มึงเชียร์ทีมไหน”

“ผมเด็กผี”

คนที่ถูกผมกุมมืออยู่แสยะยิ้มทันที

“กูแฟนหงส์”

พี่มันยักคิ้วให้ผมสองที

“แล้ว?”

“คำตอบกูอยู่ที่ผลนัดนี้”

หลังจากนั้นผมลุ้นผลจนนั่งแทบไม่ติด 


.


.


เกือบเที่ยงคืนวันนั้นผมพาใครบางคนมาส่งที่หอ ดึกมากแล้วถนนแทบจะไร้ผู้คนแต่ไฟตรงถนนยังสว่างไปทั่ว บริเวณหน้าหอมียามนั่งหลับอยู่ ทุกอย่างเงียบไปหมดจนกระทั่งผมบังคับรถจอดที่หน้าหอนั้นแหละ ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้างกันปลดเข็มขัดนิรภัยจนได้ยินเสียงตัวล็อกถูกปลดล็อกดังขึ้นชัดเจน

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงผลบอลที่เพิ่งจบไปก่อนหน้านี้

ผลการแข่งขันเสมอในวินาทีสุดท้ายตอนเตะลูกโทษ ไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะในเกม

แต่สำหรับเดิมพันของผมมีเพียงแพ้หรือชนะเท่านั้น

ผลที่ออกมาเสมอ ไม่ใช่ชัยชนะนั่นก็คือคำตอบของทุกอย่างแล้ว

“กูไปก่อนนะ”

พี่อุ้มพูดขึ้น ผมไม่เห็นสีหน้าฝ่ายนั้นหรอก แต่เดาสีหน้าตัวเองออกว่าคงกำลังทำหน้าฝืนยิ้มอยู่   

“ให้ผมเดินไปส่งมั้ย”

“ไม่ต้องๆ แค่นี้เอง”

ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ ตอนที่พี่อุ้มเปิดประตูรถเตรียมลงแล้ว

“มึง”

“ครับ”

“พรุ่งนี้กูมีเรียนสิบโมง”

หือ?

ผมทำหน้าไม่เข้าใจ

“ถ้าว่างมารับด้วย”

พี่อุ้มเสมองไปทางอื่นแต่ผมก็แอบเห็นแก้มสีระเรื่อของฝ่ายนั้นเต็มๆ

“ผลมันเสมอนะพี่”

“แล้วไง”

อดีตคนรักของผมยักไหล่

“ไม่ได้แพ้สักหน่อย”

“...”

“สำหรับกูชนะคือเดินหน้า ส่วนเสมอคือเท่ากัน ก้าวไปพร้อมๆ กัน”

“พี่อุ้ม”

“ไม่ชนะอ่ะดีแล้ว กูไม่อยากให้มึงก้าวกระโดด”

ผมเผลอยิ้มออกมา

“เดินไปพร้อมกัน”

พี่อุ้มชะโงกหน้าเข้ามาใกล้

“หนังสือเล่มเดิมมึงอ่านเร็ว มันถึงจบไว...” เจ้าของใบหน้าขาวเม้มปากน้อยๆ ใบหน้าเหมือนคนกำลังใช้ความคิด ท่าทางรวบรวมความกล้าในการจะพูดอะไรสักอย่าง

“มึงอยากจะเปิดอ่านพร้อมกูมั้ยล่ะ”

ผมกระตุกแขนอีกฝ่ายให้ทรุดตัวลงที่เบาะก่อนจะเอี้ยวตัวมาดึงประตูฝั่งนั้นให้ปิดลง

“จะทำอะไร”

คนในอ้อมแขนผมถามเสียงแผ่ว

“ขอเปิดหน้าแรกหน่อยครับ”

“อ๊ะ”

พี่อุ้มเบี่ยงหน้าหลบตอนที่ริมฝีปากผมกดจูบที่ขมับอีกฝ่าย

“ขอโทษที่เปิดอ่านโดนไม่ได้ขออนุญาตนะครับ”

“...”

“หนังสือเล่มนี้น่าอ่านจนอดใจไม่ไหว”

“พอแล้ว”

“...”

“ยังไม่ได้ให้เปิดอ่านเลยซะหน่อย มือไวไปแล้วนะ”

ผมยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกเจ็บที่ท้องเพราะถูกอีกฝ่ายหยิกเอว

มือหนักเหมือนเดิม

แต่เจ็บขนาดนี้ก็ยังยิ้มไม่ยอมหุบ

“ซาดิสม์เหรอ เจ็บแล้วยังยิ้มเป็นคนบ้า”

“ครั้งนี้ผมจะตั้งใจอ่าน จะเก็บรักษาหนังสือเล่มนี้เอาไว้ให้ดี”

พี่อุ้มลูบหลังผมเบาๆ

“หน้าแรกคือการรู้จักกันใหม่”

คนในอ้อมแขนพูดเสียงแผ่ว

“สวัสดีครับพี่อุ้ม ผมชื่อนะโต้ง ยินดีสุดๆ ที่ได้รู้จักกันใหม่”

ผมแกล้งแนะนำตัวเอง

“ยินดีที่ได้รู้จักไอ้โต้ง กูชื่ออุ้ม”

“ขออนุญาตเปิดอ่านหนังสือนะครับ”

“กูอนุญาตให้มึงอ่านหนังสือเล่มนี้ไปพร้อมๆ กัน”

อีกฝ่ายยิ้มเขินๆ

“ขอบคุณที่อนุญาตให้ผมเปิดอ่านนะ”

พี่อุ้มเวลาเขินแม่งโคตรน่ารัก 

น่ารักสุดๆ ตอนที่อีกฝ่ายแกล้งปั้นหน้านิ่งทั้งที่อยากจะยิ้มเต็มแก่

 

- J E E B -

 

 

ความรู้สึกหนักหัวทำให้การผงกศีรษะขึ้นจากหมอนใบโตเป็นไปได้ยากลำบาก สุดท้ายผมอาศัยเรี่ยวแรงฝืนตัวให้ผุดลุกขึ้น ความรู้สึกปวดหัวจี๊ดพุ่งเข้ามาไม่ทันตั้งตัวจนต้องกุมขมับร้องคราง ผมหลับตานิ่งก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ 

ไม่ใช่ห้องผม

ยิ่งมองยิ่งรู้สึกคุ้นตอนที่เหลือบไปเห็นโปสเตอร์นักกีต้าร์ระดับโลกนั่นแหละผมจึงถึงบางอ้อว่าสภาพห้องคุ้นตานี่คือห้องของแฟนหนุ่มรุ่นพี่

แล้วผมมาอยู่ห้องพี่เซียนได้ไงวะ

ผมคลึงขมับตัวเองแรงๆ แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อวานก็สว่างวาบขึ้นมาในหัวทันที ถึงแม้จะจำได้ลางๆ เหมือนภาพหน้าจอโทรทัศน์ที่ดับๆ ติดๆ แต่ที่จำได้แม่นยำคือผมเมาเพราะแอบคิดมากเรื่องอาจารย์มัสลินแล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนว่างเปล่า 

เมาขนาดนั้นผมคงไม่ได้ทำอะไรประหลาดๆ ออกไปหรอกนะ

ขณะที่พยายามนั่งนึกถึงเหตุการณ์นั่นเสียงโปรแกรมแชทในมือถือก็ดังขึ้น เสียงนั่นมันดังไม่ไกลจากตัวผม พอมองหาจึงเห็นโทรศัพท์ตัวเองวางอยู่ข้างเตียง เสียงข้อความเข้าดังังถี่ๆ จนผมต้องคว้ามาเปิดดู

“เชี่ย”

ผมตาเบิกโพลงแถบถลนออกมาจากเบ้า เมื่อเห็นภาพสภาพเมามายของตัวเองที่ไอ้ห่าโต้งส่งมาให้ดู เท่านั้นยังไม่พอยังมีคลิปภาพตัวเองเมาแล้วเปรี้ยวได้ขนาดนี้

‘ผมน่ารักป่าว’

‘น่ารักครับ’


ผมหน้าร้อนวาบเมื่อเห็นสภาพตัวเองกำลังทำตาปรือพูดเสียงอ้อนใส่พี่เซียนแบบนั้น

ฉิบหายแล้ว

‘เลือกเลยน่ารักหรือสวย’

‘หึงพี่เหรอ’

‘แล้วไม่มีรางวัลที่พี่ตอบดีเหรอ’

‘มีๆ เอาหัวใจผมไปเล้ย’


ฉ่า

ภาพนี้มัน

โคตรแรด...แรดมาก

ผมกุมขมับรู้สึกหน้าร้อนแก้มร้อนไปหมดแล้ว นี่ผมทำอะไรลงไปเนี่ย น้ำเมาคือน้ำเปลี่ยนนิสัยชัดๆ ให้ตายเถอะแล้วจะเอาหน้าที่ไหนคุยกับไอ้พี่เซียนวะ

มิน่าเล่า ผมเมาหนักถึงขนาดที่พี่มันแบกมานอนที่คอนโดด้วยแบบนี้

ขณะที่นั่งคิดไปสาระตะนั่นประตูห้องนอนก็เปิดเข้ามาพร้อมกับเจ้าของห้อง

“ตื่นแล้วเหรอเรา”

ใบหน้าพี่เซียนมีหยดน้ำเกาะอยู่ประปราย เดาว่าพี่มันคงตื่นมาออกกำลังเหมือนที่ทำเป็นประจำ

“ครับ”

“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

ผมยิ้มแหยไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย

“ไม่สบายหรือเปล่า”

“...”

“หรือแฮงค์”

ผมส่ายหน้าหวือรีบซุกเข้าไปผ้าห่มทำเนียนว่าจะนอนต่อ แต่ไม่ทันได้ล้มตัวลงนอนพี่เซียนก็คว้าไหล่ผมเอาไว้ซะก่อน

“แปลกๆ นะเรา”

“ฮือ อย่าดึง”

ผมยื้อผ้าห่มเอาไว้เมื่อพี่มันออกแรงดึง

“ทำไมหน้าแดง หูแดงขนาดนั้น หือ เราไม่สบายหรือเปล่า”

พี่เซียนหงายฝ่ามือแตะมาที่หน้าผากผมเพื่อวัดอุณหภูมิ

“ผมสบายดี”

“แล้วเป็นอะไร”

คราวนี้เสียงไลน์ดังขึ้นมาอีกครั้ง พี่เซียนหรี่ตามองมือถือผมก่อนจะอาศัยความไวคว้าไปดู เห็นเจ้าของใบหน้าคมคายยิ้มกว้างๆ แล้วผมทำตัวไม่ถูกแทบจะมุดลงไปใต้ผ้าห่มอีกครั้ง แต่พี่เซียนดันรู้ทันกระชากผ้าห่มนั่นออกแล้ว กระตุกให้ผมไปทรุดตัวนั่งลงที่ตักอีกฝ่าย

“ฮือ พี่เซียน”

พี่เซียนแม่งเปิดคลิปนั่นอีกครั้ง

‘ขอหอมทีดิ’

‘ได้ๆ’

‘จะเอาแก้มซ้ายหรือแก้มขวา’


เหี้ยมาก

ในคลิปผมทำแก้มป่องยื่นแก้มให้พี่มันท่าทางโคตรเต็มใจ โอ้ย

ฟอด

“อ๊ะ”

ผมสะดุ้งตอนที่พี่เซียนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังกดจูบแก้ม

“เอาแก้มซ้าย”

พี่มันพูดยิ้มๆ เหมือนทำล้อเลียนตามคลิป เพราะในคลิปพี่เซียนแค่หัวเราะ ขณะที่ตอนนี้พี่มันตอบคำถามในคลิปด้วยการหอมแก้มผม พอผมเบี่ยงคอหนีพี่มันก็แกล้งดมๆ ตรงซอกคอราวกับจะแกล้งจนผมหลุดหัวเราะออกมา จังหวะนั้นผมเหลือบไปเห็นกรอบรูปที่เป็นประเด็นตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโต๊ะหนังสือพี่มัน

ภาพอาจารย์มัสลินและพี่เซียนกับพี่เดี่ยว

พี่เซียนคงพอเดาได้ว่าทำไมผมถึงเงียบไป คนข้างหลังจึงกอดกระชับเอวผมให้แน่นขึ้น

“คุยกันหน่อยมั้ย”

ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วเอี้ยวตัวไปทางพี่มัน

“ครอบครัวกูทำธุรกิจมาตั้งแต่รุ่นปู่ พ่อกูเป็นลูกชายคนเดียวเลยต้องสืบทอดกิจการอย่างช่วยไม่ได้ ใครๆ ก็บอกว่าพ่อกูเย็นชาจนวันนึงเขาประสบอุบัติเหตุแล้วไปเจอพยาบาลที่กล้าต่อกรกับความดื้อด้านของเขา”

“...”

“แม่กูเคยนินทาว่าบุคลิกอย่างพ่อไม่เข้าตาพยาบาลขาโหดประจำวอร์ดศัลยกรรมหรอก แต่นั่นแหละโชคชะตาเป็นเรื่องที่คาดเดายาก ตั้งแต่เล็กจนโตพ่อเลี้ยงพวกกูอย่างเข้มงวดมาก ขณะที่แม่โคตรให้อิสระพวกกูเลย พ่ออยากให้พวกเราเรียนบริหารเพื่อมาสืบทอดกิจการ แต่กูดื้อด้านกว่าใคร ตอนเด็กๆ เคยแอบขโมยมอ’ไซค์พี่เลี้ยงไปขับเล่นรอบหมู่บ้านจนรถล้มถลอกปอกเปิก แต่มึงรู้มั้ยว่าถึงจะเจ็บแต่กูดันชอบมันซะอย่างนั้น”

ผมตั้งใจฟัง

“กูพยายามงัดข้อกับพ่อมาตลอด เรื่องจะไม่ยอมเรียนบริหาร”

“...”

“ไหม...กูหมายถึงอาจารย์มัสลินเป็นลูกพี่ลูกน้องไอ้เดี่ยว เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ สำหรับกู ไหมคือผู้หญิงเก่ง กูชอบเสื้อช๊อปของไหมเวลาที่เขาใส่มาสอนพิเศษพวกกู กูคิดแบบเด็กๆ ว่ามันเท่ดี”

ผมเม้มปากแน่นตอนที่เหลือบตามองภาพในกรอบรูปนั่น แต่เพราะแรงบีบที่มือเบาๆ ของพี่เซียนทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นบางเบาลงจนหายไปในที่สุด

“พ่อก็พยายามถามตลอดว่ากูจะเรียนวิศวะฯไปเพื่ออะไร” 

พี่เซียนพูดยิ้มๆ 

“ไหมได้ปลดล็อกคำถามนั้นให้กูในวันนั้น”

“...”

“ทุกคนเคยมีช่วงเวลาดีๆ กับใครสักคนในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากนั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริง สักวันหนึ่งเมื่อมองกลับไป เราจะรู้เองว่ามันคือความรู้สึกในวันวานก็เท่านั้น”

“...”

“เวลามันผ่านไปแล้ว ความรู้สึกก็ผ่านเลยเช่นนั้น ผ่านไปแล้วไม่หวนคืน”

ผมบีบมือพี่เซียน

“สถานะของไหมคืออาจารย์กูในปัจจุบันและเขาเป็นพี่สาว เป็นครูคนแรกที่กูรู้สึกขอบคุณทุกครั้งที่กูได้จับเครื่องยนต์”

คำตอบของพี่มันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา

คำตอบที่ปลดล็อกความรู้สึกมึนๆ ตึงๆ ในอกให้บางเบาอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งตอนที่พี่เซียนคว่ำภาพใบนั้นไปกับโต๊ะ

“ถ้ามึงไม่อยากเห็น กูอนุญาตให้มึงทำอะไรกับภาพใบนี้ก็ได้”

ผมส่ายหัวก่อนจะเลื่อนมือไปเก็บภาพในใส่ลิ้นชักแล้วปิดล็อกด้วยกุญแจที่เสียบคาเอาไว้

ปิดล็อกก็เหมือนปิดตาย

ผมเหลือบตามองโมเดลจำลองมอ’ไซค์อันจิ๋วที่ตั้งอยู่ในตู้โชว์แล้วนึกถึงประโยคหนึ่งที่พี่เดี่ยวบอกผมเอาไว้

“มีคนบอกว่าพี่รักมอ’ไซค์มากจนใครๆ ก็แซวว่าพี่คงรักมอ’ไซค์มากกว่าเมียแน่ๆ”

ผมพูดขำๆ ก่อนจะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่กระซิบหู

“อยากรู้มั้ยล่ะ”

“ระ รู้อะไรเล่า”

“มาเป็นเมียกูสิ”

ผมอ้าปากพะงาบๆ

“จะได้รู้ว่ากูจะรักเมียหรือมอ’ไซค์มากกว่ากัน”

แม่งเอ้ยกลั้นยิ้มจนปวดแก้มเลยครับ

ไอ้พี่เซียนแม่ง

ไอ้ตัวร้าย

ยักษ์ทศกัณฑ์ตัวร้าย...ที่ผมดันรักไปเต็มๆ


- J E E B -

หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้เราด้วยน้า

ออฟไลน์ kenghan

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-2
พี่เซียนเป็นไอ้ตัวร้าย ที่รักเปียวและเปียวรัก

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
หวาย! เหม็นฟามรัก   :o8:

ออฟไลน์ mysun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เขินไม่ไหวววว หยอดตัลหลอดดดดด

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
มดมาเต็มเลย

ออฟไลน์ Plakhem

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :katai2-1: ก็ยังคิดว่าจะมีดราม่า มาอีกนั่นแหล่ะ เพราะรักแรกมันลืมยากน้อออออ  :hao3:

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
พี่เซียนนนนนนนนนน มันร้าย
เปียวเอาไงดี  ลองไหมจ๊ะ  เมียพี่เซียน :z1: :z1:

ออฟไลน์ manami_01

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 980
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1
เห็นะเซียนเงียบ ๆ แต่ร้ายไม่เบาเลยนะ :hao7:

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
- จีบที่22 -

 

[อ๋อง]

 

“อ๋องทางนี้”

เสียงเรียกชื่อผมดังมาจากอีกฝั่งหนึ่งในร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง พี่โชคเดินตรงมาคว้าแขนผมแล้วฉุดเข้าไปด้านใน วันนี้วันเกิดพี่โชคครับ ซึ่งเจ้าของวันเกิดเองก็ใจป้ำถึงขนาดที่ว่าปิดโซนหนึ่งของร้านอาหารแห่งนี้เพื่อฉลองวันเกิดเท่านั้นไม่พอพี่แกยังใจดีชวนพนักงานที่ร้านมาร่วมงานด้วย ตอนที่ผมไปถึงผมเห็นกลุ่มเพื่อนพนักงานมากันพร้อมหน้าแล้วนั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง มองไปรอบๆ นอกจากเพื่อนร่วมงานคุ้นหน้าแล้วผมเห็นกลุ่มคนจำนวนอีกราวยี่สิบกว่าที่คะเนจากสายตาเดาว่าคงเป็นคนสนิทหรือไม่ก็บรรดาเพื่อนฝูงพี่แกทั้งนั้น 

แต่เดาจากอายุของแขกในงานน่าจะรุ่นๆ พี่โชค ไม่มีพวกผู้ใหญ่สักเท่าไหร่คงเพราะมื้อกลางวันพี่โชคแกไปกินข้าวกับครอบครัวมาแล้ว ที่รู้เพราะผมเห็นหน้าเฟซบุ๊คพี่โชคที่ลงรูปกินข้าวกับครอบครัว แน่นอนว่าในรูปนั่นมีภาพพี่ดลที่ถูกแท็คกับเขาด้วย

ผมพอจะทราบมาว่าครอบครัวทางฝั่งบิดาพี่ดลซึ่งเป็นญาติกับพี่โชคค่อนข้างมีฐานะเรียกว่าเศรษฐีได้อย่างเต็มปากด้วยซ้ำเห็นว่าบรรพบุรุษของทั้งคู่เป็นคนจีนที่มาก่อร่างสร้างตัวในไทยแล้วก่อตั้งกิจการโรงงานทำเครื่องประดับจนกระทั่งยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ เป็นตัวอย่างครอบครัวคนจีนที่มักผูกพันธ์กันเป็นระบบเครือญาติให้ลูกๆ หลานๆ มาช่วยกันบริหารกิจการ เวลามีวันสำคัญอะไรก็มักจะนัดรวมตัวกันทำกิจกรรม ทานข้าวและพบปะสังสรรค์เวลาถ่ายภาพลงโซเชียลแต่ละทีจึงเห็นจำนวนคนไม่น้อยในภาพนั้นๆ

ครอบครัวของพี่โชคและพี่ดลเป็นครอบครัวใหญ่ ถึงแม้ลูกหลานจะแยกบ้านกันไปอยู่ส่วนตัวแล้ว แต่พอนัดรวมตัวกันถึงดูเยอะจริงๆ เหมือนภาพที่พี่โชคลงไปตอนกลางวันที่ผ่านมา

“นึกว่าจะไม่มางานพี่ซะอีก”

“พอดีช่วงนี้ตอนเลิกเรียนต้องไปช่วยรุ่นพี่สวัสดิ์ที่คณะส่งข้าวครับ วันนี้เลยมาช้า”่”

พี่โชคโบกมือไหวๆ เป็นเชิงปฏิเสธ

“ไม่เป็นไร มาก็ดีแล้ว วันนี้พี่สั่งให้ที่ร้านทำไก่ทอดด้วยนะ”

พี่แกขยิบตาให้ผมหนึ่งที เล่นเอาผมทำหน้าไม่ถูกเพราะพูดถึงประเด็นไก่ทอดนั่นทำให้รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบเมื่อนึกถึงเมนูนี้

“ตามสบายเลยนะอ๋อง”

เจ้าของวันเกิดคงเห็นใจที่ผมทำหน้าไม่ถูกจึงปล่อยประเด็นนี้ไป

“ครับ”

ระหว่างนั้นผมเลยแวะไปทักทายเพื่อนร่วมงานที่ก่อนจะผละออกมาเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาแล้วจัดเสื้อผ้าและทรงผมที่ไม่เป็นทรงสักเท่าไหร่เพราะวันนี้ผมขับมอ’ไซค์มา และที่ผมลู่ลงขนาดนี้เพราะสวมหมวกกันน็อคเป็นเวลานานเนื่องจากฝ่ารถติดจากแถวมหาวิทยาลัย ช่วงเย็นๆ มหาลัยผมรถค่อนข้างติดเนื่องจากเป็นมหาลัยใจกลางเมืองอยู่ใกล้ห้างสรรพิสินค้าและสถาบันกวดวิชามากมาย กว่าจะฝ่าจราจรที่คับคั่งในช่วงเย็นมาถึงร้านอาหารนี้ได้ก็กินเวลาไปเกือบชั่วโมง

หลังจากทำธุระส่วนตัวธุระสำรวจร่างกายตัวเองว่าพอไปวัดไปวาได้แล้วผมจึงเดินออกมาออกมา ใกล้ๆ ห้องน้ำนั่นเป็นพื้นที่โอเพ่นโซนสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการนั่งดื่มกินในพื้นที่เปิดโล่งที่ค่อนข้างระบายอากาศได้ดี ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้วจึงเห็นแสงไฟโทนสีเย็นที่ให้ความรู้สึกสลัวๆ เข้ากับบรรยากาศยามค่ำคืน ตอนนี้บริเวณโต๊ะที่นั่งเริ่มมีนักท่องเที่ยวจับจ้องกันพอสมควรแล้ว

มุมหนึ่งในแสงสลัวนั่นผมมองเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติและหากผมจำไม่ผิดฝ่ายชายนั่นคือพี่ดลแน่นอน ขนาดมองเห็นเพียงแผ่นหลังผมยังจำได้หัวไหล่กว้างกับส่วนสูงที่สะดุดตานั่นได้ แต่ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ กันนั่นค่อนข้างสวยสะดุดตาทีเดียว ขนาดมองเสี้ยวหน้าด้านข้างผมยังสัมผัสได้ว่าเธอคงเป็นเจ้าของใบหน้างดงามจริงๆ

คงจะสนิทกันน่าดู

ผมยืนมองภาพนั้นแล้วยักไหล่ก่อนจะเดินไปยังซุ้มอาหารมากมายโซนด้านในร้านที่เป็นส่วนตัวมากขึ้นเพราะถูกกันเป็นพื้นที่สำหรับงานวันเกิด ตอนที่กำลังเข้ายืนเล็งข้าวผัดเนยหอมฉุยนั่นผมได้ยินบทสนทนาของใครสักคนพูดขึ้น

“ถ่านไฟเก่าคุกรุ่นงั้นหรือ”

“พูดอะไรอย่างนั้น”

พี่โชคหันไปส่ายหัวให้คู่สนทนา

“เอ้า ก็ดลกับน้องวิวเคยหมั้นมาก่อนไม่ใช่เหรอ”

“โอ้ย เรื่องตั้งแต่สมัยไหนแล้ว”

ไม่อยากจะเสียมารยาทยืนแอบฟังหรอกแต่ชื่อของพี่ดลที่อยู่ในหัวข้อสนทนาทำให้อดเสียมารยาทฟัไม่ได้

“คู่นี้ก็เหมาะกันดีนะ”

มือที่จับทัพพีตักข้าวผัดในอ่างอาหารสแตนเลสรู้สึกเกร็งขึ้นมาทันที 

“ไม่น่าเลิกกันเลย”

“...”

“ฐานะสมกันจะตาย ตอนที่เลิกกันพวกผู้ใหญ่ไม่เสียดายเหรอ”

“เสียดายแล้วไง”

พี่โชคยักไหล่

“จะรักกันหรือเลิกกันเป็นเรื่องของสองคน ญาติพี่น้องเกี่ยวอะไรด้วย”

เจ้านายผมทำหน้าเบื่อหน่าย

“คิดถึงเมื่อก่อนคู่นี้คบกันแล้วน่ารักจะตาย”

สายตาของคู่สนทนาพี่โชคมองไปยังพี่ดลและผู้หญิงคนนั้น

อยู่ๆ ก็หายใจไม่ออก

ไม่รู้สึกสิ 

ทำไมความรู้สึกนี้ถึงผุดขึ้นมาก็ไม่รู้

น่าแปลกที่ผมรู้สึกใจหายไม่น้อยเมื่อรู้ว่าพี่ดลมีอดีตคนรักที่สวยน่ารักและเหมาะสมกับพี่มันขนาดนั้น

ใช่เหมาะสม

ขนาดว่ามองจากที่ไกลๆ ตรงนี้ผมยังรู้สึกว่าสองคนนั้นเหมาะกันจริงๆ

ผู้ชายสุภาพกับผู้หญิงอ่อนโยน

นั่นสินะ ผมลืมไปได้ยังไว่าผู้ชายสมควรคู่กับผู้หญิงตามความสัมพันธ์ที่เป็นปกติในสังคม

‘มันไม่ใช่ความห่วงใยในฐานะแค่พี่น้อง ส่วนฐานะอะไร พี่กำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่’

แวบหนึ่งคำพูดของใครสักคนที่เคยพูดกับผมไว้ก็ดังขึ้นมาในหัว

ไม่รู้ว่าคนพูดจะรู้มั้ยว่าคนฟังหัวใจสั่นไหวและนอนไม่หลับไปหลายคืน

หลายคืนที่นึกถึงภาพใบหน้าคนพูด 

หลายคืนที่ระลึกถึงความห่วงใยที่ฝ่ายนั้นมีให้

แต่คืนนี้ผมคงจะต้องบอกใจให้หยุดคิดได้แล้ว

“ไม่น่าเลิกกันเลย”

ผมแค่นยิ้มก่อนจะหันไปสนใจข้าวเนยตรงหน้า จังหวะนั้นพี่โชคหันมาทางนี้พอดี พี่แกทำหน้าตกใจหน้าตื่นเมื่อเห็นผม

“อ๋องมายืนตรงนี้นานรึไง”

“ก็พักนึงแล้วครับ”

ผมตอบยิ้มๆ แล้วตักข้าวผัดเนยใส่จาน 

“ได้ยินหมดเลยใช่มั้ย”

ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วมองไปทั่วเหมือนหาอะไรสักอย่าง

“ไก่ทอดอยู่ตรงไหนครับพี่โชค”

คนตรงหน้าถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะคว้ามือผมให้ออกเดินมาท่ามกลางสีหน้าสงสัยของคู่สนทนาพี่แกที่อยู่ๆ พี่โชคผละออกมากับผมเฉยเลย

“อย่าคิดมากนะ”

“ครับ?”

ผมทำหน้างง

“ดลน่ะเลิกกับน้องวิวนานแล้ว ตั้งแต่ก่อนบวชเมื่อหลายปีก่อนด้วยซ้ำ”

สีหน้าพี่โชคดูกังวลใจไม่น้อยจนผมต้องขยับรอยยิ้ม

“มันจริงนะพี่”

“เรื่องอะไร”

“คู่นั้นเค้าเหมาะสมกันจริงๆ”

ผมพยักพเยิดไปยังสองคนนั้น

“อดีตก็คืออดีตนะอ๋อง”

“ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน ผมว่าพี่ดลเหมาะกับสิ่งที่เคยเป็นมาก่อนจริงๆ”

“...”

“ผู้หญิงกับผู้ชายยังไงก็คู่กันเสมอ”

พี่โชคยิ้มเครียด

“คนสุดท้ายที่พูดแบบนี้ต่อหน้าพี่ รู้มั้ยว่าเป็นใคร”

ผมส่ายหัว

“ญาติพี่เอง พอมันพูดจบพี่ก็ซัดมันปากแตกเลย”

คราวนี้ผมตาโตรีบผวากุมปากตัวเองจนอีกฝ่ายหัวเราะร่วน

“มันโพล่งขึ้นตอนที่พี่สารภาพกับครอบครัวว่าพี่เป็นอะไรในเกิดคุณปู่”

พี่แกยักคิ้วให้ผมทีนึง

“เฮ้ย”

“บอกตรงๆ ว่าพี่รำคาญญาติที่ชอบถามว่าเมื่อไหร่จะมีแฟน เมื่อไหร่จะแต่งงาน เมื่อไหร่จะมีลูก คำถามไม่สร้างสรรค์มักเกิดขึ้นเสมอในวันรวมญาติ”

ผมยิ้มขำกับท่าทางไม่สบอารมณ์ของอีก

“พี่เลยบอกตรงๆ กลางวงนั่นแหละว่าชอบผู้ชาย”

“แล้วเป็นยังไงครับ”

“เงียบกันทั้งโต๊ะเลยสิ”

ผมยิ้มแหยเพราะนึกภาพออก

“แล้วไอ้หมอนั่นก็โพล่งขึ้นว่าน่ารังเกียจ ผู้ชายควรคู่กับผู้หญิง ญาติคนอื่นก็ดันเห็นด้วยเลยซัดหน้าแม่งไปทีนึง ยกเว้นคนนึงที่นั่งเงียบตลอด” พี่โชคยักไหล่

“ใครครับ”

“ปู่พี่เอง ปู่พี่มองหน้าพี่เงียบๆ แล้วถามว่าจริงมั้ย แน่นอนว่าพี่ตอบว่าจริง แค่นั้นปู่ก็บอกให้ทุกคนกินข้าวต่อ”

“จริงเหรอพี่”

“อืม”

พี่โชคยิ้มน้อยๆ

“ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครถามเรื่องนี้กับพี่อีกเลย พี่มารู้ทีหลังว่าปู่บอกกับทุกคนว่า พี่จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ยังไงก็เป็นหลานปู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไงปู่พี่เท่มั้ย”

ผมยกนิ้วโป้งเลย

“ตั้งแต่นั้นมาพี่เลยตั้งใจทำงานและทำในส่งที่รักให้ดีที่สุดเพื่อเป็นการตอบแทนความเข้าใจของเค้า แต่อ๋องอย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะว่าเพราะเพศสภาพของพี่ที่เป็นแบบนี้หรือเปล่าถึงต้องทำอะไรมากกว่าคนปกติทั่วไป ต้องประสบความสำเร็จ ต้องดูแลตัวเองให้ได้ เอาง่ายๆ คือต้องได้ดี”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก

“พี่อาจโชคดีกว่าคนอื่นหน่อยที่ครอบครัวเข้าใจ เพราะจริงๆ แล้วพี่ยังล้มเหลวกับหลายอย่างๆ เลยนะ เรียนก็ธรรมดา ตอนที่มาทำร้านกาแฟแรกๆ ก็ขาดทุนยับ ในวันที่พี่ไม่มีอะไรดี ครอบครัวพี่แค่อยู่ข้างๆ ให้กำลังใจ ปู่พี่เคยพูดว่าคนเราทุกคนเคยผ่านช่วงเวลาที่ล้มเหลวกันทั้งนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ฉะนั้นเราจึงไม่จำเป็นเลยที่ต้องพิสูจน์อะไรให้ใครสักคนยอมรับตัวตนของเรา นั่นมันเรื่องไร้สาระ”

“...”

“แค่เราทำทุกอย่างเต็มที่และคิดว่ามันดีที่สุดในความรู้สึกเราแล้วก็พอ ถ้ามันจะล้มเหลวก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าเออมันไม่สำเร็จ หายเหนื่อยวันไหนก็ลุกขึ้นใหม่ อ่อ ถึงบ้านพี่จะมีฐานะ แต่พี่ก็สร้างทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ได้ใช้เงินของที่บ้าน และไม่ใช่เพื่อให้ญาติพี่น้องยอมรับในสิ่งที่พี่เป็น พี่ทำเพราะพี่รักที่จะทำร้านกาแฟ ในวันที่เกือบหมดตัวคนพวกนั้นไม่ได้ให้ข้าวพี่กิน ฉะนั้นอย่าไปให้ค่า”

“...”

“อย่าเอาชนะคำพูดคนอื่นหรืออยากทำเพราะอยากได้รับการยอมรับเลย ถ้าเราต้องยึดติดกับปัจจัยภายนอก เราจะไม่มีวันชนะใจตัวเองเลยเพราะอะไรรู้มั้ย”

ผมส่ายหน้าหวือ

“เพราะจะมีคนอีกมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต ให้เราต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่ไม่จบไม่สิ้นหรอก””

ผมนิ่งคิดตามพี่มัน

“ดลน่ะเป็นหลานรักของปู่ ถึงตอนเด็กๆ จะโคตรเกเรไปหน่อย”

ผมทำหน้าสนใจเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

“ทั้งๆ ที่รู้ปู่คาดหวัง แต่เจ้านั่นน่ะแหกกฎเกณฑ์สารพัด มันบอกว่าชีวิตเป็นของมัน มันพอใจจะทำทุกอย่างที่มันอยากทำ ถ้าหากนั่นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน”

ไม่น่าเชื่อว่าพี่ดลจะหัวแข็งได้ขนาดนั้น

“ตอนเลิกกับน้องวิวใหม่ๆ ญาติๆ ก็บอกว่าเสียดาย อยากให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน ก็ตามทำนองเรือล่มในหนองล่ะมั้ง รู้มั้ยมันพูดว่าอะไร”

ผมนิ่งฟัง

“ดลบอกว่า มันจะรักใครหรือเลิกกับใครคือเรื่องส่วนตัว  ไม่ได้มีผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทเลย ฉะนั้นอย่าได้เดือดร้อนกับเรื่องส่วนตัวของมัน”

เชี่ย โคตรร้าย

เห็นเงียบๆ ดูสุภาพนึกไม่ถึงเลยว่าจะชัดเจนขนาดนี้ ผมมองไปที่พี่ดลและอดีตคนรักที่มุมนั้นอีกครั้ง

“แต่ถ้าคบกันถึงทุกวันนี้ คงเป็นคูู่ที่น่าอิจฉา”

ผมพึมพำ

“เสียใจด้วยนะ”

พี่โชคพูดยิ้มๆ

“เพราะปัจจุบัน ดลมันอะไรๆ กับเด็กแถวนี้อยู่”

ผมส่ายหัวกับรอยยิ้มแซวตรงหน้า

“เอาดึงพี่ดลให้มาสับสนกับความรู้สึกแบบนี้เลยพี่”

ผมถอนหายใจ

“ความรักของเพศเดียวกัน หนทางมันไม่สดใสนักหรอก ”

ถึงแม้คุณปู่และครอบครัวพี่โชคจะยอมรับได้ แต่สำหรับพี่ดลผมไม่แน่ใจเลย ให้ตายเถอะ 

“แล้วไง”

พี่โชคมองหน้าผมตรงๆ

“ความรักมีเพศด้วยเหรอ”

ผมอึ้งไป

คำพูดของพี่โชคทำให้นิ่งไป เพราะผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้นจริงๆ



.


.


สมองตื้อไปหมด

สงสัยว่าร่างกายจะทำงานรวนไปหมดเพราะเจ้าของมันยังนั่งซึมอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านอาหาร หลังจากที่เจ้าของวันเกิดขึ้นไปจับไมค์ร้องเพลงท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนสนิท นั่นจึงทำให้ผมได้โอกาสแวบออกมานั่งสูดอากาศที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์เท่าไหร่ตรงสวนหย่อมเล็กๆ ใกล้ลานจอดรถหน้าร้านอาหาร

แว่วเสียงได้ยินเสียงพี่โชคและเพื่อนกำลังแย่งไมค์ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน จนไม่ทันสังเกตว่ามีเสียงฝีเท้าหนักๆ ขยับมาใกล้ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ม้านั่งตัวเดียวกัน

“เอะ”

ผมสะดุ้งโหยงก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อหันไปเห็นพี่ดล วันนี้ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกง สแล็คน้ำเงินเป็นการแต่งกายที่ดูสุภาพเหมือนที่เคยเห็นจนชินตา

“ถ้าวันไหนพี่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนขาดๆ วันนั้นฝนคงตกหนัก”

ฝ่ายนั้นยิ้มน้อยๆ เมื่อผมเอ่ยแซวการแต่งกาย

“อยู่บ้านก็ใส่แบบนั้น”

ผมทำหน้าไม่เชื่อเพราะจำได้ว่าตอนที่ค้างคอนโดพี่มัน อีกฝ่ายยังใส่ชุดนอนที่เข้าชุดกัน ไม่ใช่เสื้อยืดกางเกงบอลแบบผมเลย

“เชื่อยาก”

“เชื่อเถอะ”

พี่ดลมองผมตรงๆ ชักไม่ดีแล้ว เมื่อสบสายตากับพี่มันแบบนี้ ผมจึงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“ทำไมออกมาข้างนอกล่ะ”

“ออกมานั่งเล่นเฉยๆ ครับ”

“เมาหรือเปล่า”

ผมส่ายหัว

“ไม่ได้กินเลยสักแก้ว”

“ดีแล้ววันนี้ขับมอ’ไซค์มาไม่ใช่เหรอ”

ผมเม้มปากแน่นเพราะคำตอบของพี่มันแสดงว่าคงสังเกตเห็นรถผมที่จอดอยู่

น่าหวั่นใจกับความช่างสังเกตนี้

“เห็นด้วยหรือครับ”

“เห็นตั้งแต่เข้ามาในร้านแล้ว แต่ติดคุยกับเพื่อนอยู่”

เพื่อน?

เพื่อนที่ว่าคงเป็นอดีตคนรักสินะ

“ไม่ใช่แฟนเก่าหรือครับ”

หลุดปากพูดอะไรออกไปวะเนี่ย ผมกุมขมับตัวเอง

“รู้ด้วยเหรอ”

พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

“เห็นคุยกับพี่โชคอยู่ตั้งนาน อย่าบอกนะว่าคุยเรื่องนี้กัน”

“พี่โชคบอกว่าเมื่อก่อนพี่เกเร”

ผมพยายามพูดเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น

“พี่เป็นแฟนกับวิวช่วงม.ห้า”

ผมเม้มปากแน่น ไม่ได้อยากรู้ด้วยซ้ำ

“ตอนนั้นก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปนั่นแหละ มีต่อยตีและทำอะไรไม่ค่อยดีนัก”

“พี่เนี่ยนะเคยต่อยตีกับเค้าด้วย”

ผมทำหน้าไม่ค่อยเชื่อ

“มิน่า”

นึกถึงภาพี่วันนั้นพี่มันต่อกรกับไอ้พวกที่ลอบทำร้ายผม ถึงว่าพี่มันดูมีทักษะต่อยตีเก่งไม่น้อย ไม่คิดจริงๆ ว่าก่อนหน้านี้จะเลือดร้อนเหมือนกัน

“เคยโดนจับมาแล้ว”

“เรื่องจริง?”

“จริง”

พี่มันยิ้มมุมปาก

“ตอนนั้นคุณปู่ส่งทนายไปประกันตัวแทบทุกอาทิตย์เลยล่ะ”

“ไม่อยากจะเชื่อ”

“ตอนนั้นทั้งติดเพื่อน และอยากอวด อยากโชว์ว่าตัวเองเก่ง เท่ เหนือคนอื่น สิ้นคิดมั้ยล่ะ”

“ถ้าไม่ได้ยินจากปากพี่ ผมไม่อยากเชื่อด้วยซ้ำ แม่ผมชอบเล่าให้ฟังตลอดว่าพี่น่ะเป็นลูกที่ดีของคุณป้าขนาดไหน”

“ทุกคนก็มีมุมที่ไม่น่ารู้จักกันทั้งนั้น”

“...”

“วันนั้นต่อยตีกันจนได้เลือด ฝ่ายนั้นเจ็บหนักเกือบไม่รอด แม่พี่ไม่พูดสักคำ แต่น้ำตาเขาทำให้พี่ละอายใจ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ยอมหลับยอมนอนนั่งรอลูกกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ทุกวัน คิดถึงตอนนั้นแล้วรู้สึกละอายใจกับสิ่งที่ทำในอดีตไม่ได้”

ผมหันมามองพี่มัน

“ตอนรอผลสอบเข้ามหาลัยก็เลยไปบวช”

“...”

“ตอนนั้นก็เลิกกับวิวแล้ว พี่อยากให้เค้าเจอคนที่ดีกว่า  ก็ตอนนั้นพี่มันเกเรจริงๆ”

“แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น”

“ทำไม”

พี่ดลเลิกคิ้วมองผม

“เราพูดเหมือนอยากให้พี่กลับไปคบกัน”

ผมเบือนหนีทันที

“นั่นมันเรื่องของพี่แล้วครับ”

“คำตอบของเราทำให้พี่รู้สึกโหวงๆ”

“พี่ดล”

“นึกว่าเราคิดเหมือนกันซะอีก”

“คิดอะไร”

ผมทำหน้าตื่น ยิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อฝ่ายนั้นเลื่อนฝ่ามือมากุมข้อมือผมเอาไว้

“ทำอะไรวะ”

“พูดไม่เพราะ”

“ไอ้พี่ดล”

จับมือไม่พอยังบีบเบาๆ อีกต่างหาก

“ปล่อยมือผมนะเว้ย”

“พี่เคยบอกอ๋อง ว่าพี่กำลังหาคำตอบให้ตัวเองอยู่”

“...”

“ตอนนี้พี่ได้คำตอบแล้วนะ”

“อย่าพูด”

ผมสะบัดมือตัวเองอออกจากการเกาะกุมแล้วเลื่อนมาปิดหูทั้งสองข้างของตัวเอง 

ยอมรับว่ากลัว...กลัวคำตอบ

“ความรักไม่น่ากลัวหรอกอ๋อง”

“...”

“อย่ากลัวเลย”

พี่ดลลูบศีรษะผมเบาๆ 

สัมผัสอ่อนโยนนั่นมีผลต่อหัวใจผมจริงๆ

“ผมกลัวเจ็บ”

ผมส่ายหน้าไปมา

“แค่คนในครอบครัวหันหลังให้ มันก็เจ็บเกินพอแล้ว ถ้าหากผมต้องเจ็บอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองจะรับไหว”

“อย่ากลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เปิดใจและยอมรับมันเถอะ”

เสียงพี่ดลโคตรอ่อนโยน

“พี่ชอบเราเกินกว่าพี่น้อง พี่ยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้ว”

ผมเม้มปากแน่นใจเต้นรุนแรงเหมือนจะทะลุออกมาจากอก ยิ่งสบสายตากับแววตาจริงจังที่อีกฝ่ายทอดมองกันอยู่

“อยู่ใต้ท้องฟ้าอย่ากลัวสายฝน ถ้าฝนมันตกลงมาก็หาร่มมากางไม่ให้ตัวเปียก หรือถ้าไม่มีร่ม ให้เรียนรู้ที่จะเดินท่ามกลางสายฝนให้เป็น”

พี่ดลยิ้มมุมปากให้

“ฝนฟ้าจะตกห้ามไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนกัน เกิดขึ้นแล้วห้ามได้เหรอ”

ผมถอนหายใจแรงๆ

“โคตรแพ้”

ผมพูดเสียงแผ่ว

“พี่แม่ง”

“ว่าไง”

“...”

“ว่าไงอะไร”

“ความรู้สึกของเรา”

ห้ามยากจริงๆ

ห้ามไม่ไหวแล้ว

“อย่าให้ผมเปียกฝน”

พี่ดลยิ้มน้อยๆ ตอนที่บีบมือผมให้แน่นขึ้น

“จนหนาวตายนะ”

ผมพูดเสียงแผ่ว

“ยิ้มเยอะเกินไปแล้ว”

“ถ้าเขินให้บีบมือพี่”

ผมทำหน้าไม่ถูกยิ่งตอนที่พี่มันหัวเราะน้อยๆ แบบนี้ ผมทนไม่ไหวเลยเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแล้วลอบยิ้ม ขณะที่มือบีบมืออีกฝ่ายเบาๆ

ความรักไม่มีเพศหรอก

นอกจากไม่มีเพศแล้วยังไม่เลือกฐานะ เชื้อชาติ หรือความแตกต่างของสังคมอีกต่างหาก

นี่แหละถึงเรียกว่าความรัก






50%

_______________________________

เอาไปครึงนึงก่อนน้า ใกล้โค้งสุดท้ายแล้ว
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยน้า





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ถึงอดีตพี่ดลจะเกเรแค่ไหน แต่ปัจจุบันอบอุ่นมากจ้า.  :o8:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
 

(ต่อ)

 

หน้าพี่เซียนโคตรเครียด

ใบหน้าคมคายขมวดมุ่นหลังจากเห็นสีหน้าซีดเซียวของน้องสาวที่นอนซมอยู่ในกลางห้อง เรื่องมันมีอยู่ว่าวันนี้น้องซอมีเรียนพิเศษกับผมที่ห้องพี่เซียน แต่สภาพวันนี้ของน้องไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หน้าซีดเซียวเดินกระย่องกระแย่งจนผมต้องบังคับให้นอนพักและขณะที่กำลังจะลงไปซื้อของกินให้เด็กสาวเพื่อจะได้กินยา เจ้าของห้องก็กลับมาถึงพอดีพอเห็นสภาพของน้องสาวแล้วเลยเกิดกังวลใจขึ้นมา ทั้งๆ ที่สาวน้อยบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก หากได้นอนพักคงจะหาย

“พี่เปียว”

“ครับ”

เด็กสาวกวักมือเรียกผมเข้าไปใกล้แล้วกระซิบข้างหูท่าทางดูขัดเขินไม่น้อย ไม่แปลกหรอกหากน้องจะเขินผมในเมื่อเรื่องที่ได้ยินมามันเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้หญิง ผมยิ้มเอ็นดูใบหน้าซับสีเลือดที่ซุกอยู่กับหมอนแล้วลูบศีรษะน้องเบาๆ

“ซอเป็นอะไร”

พี่เซียนเอ่ยขึ้นตอนที่น้องซอกระซิบกระซาบกับผมเมื่อกี้ ผมเหลือบไปมองใบหน้าน้องแล้วกระตุกแขนพี่เซียนให้เดินออกมาตรงนั้น เพราะเกรงว่าเด็กสาวจะขัดเขิน

“มีอะไร”

“...”

“น้องเป็นอะไร”

น้ำเสียงคนรักรุ่นพี่ดูร้อนรน เอาจริงผมรู้สึกดีไม่น้อยที่ท่าทางพี่เซียนแสดงออกชัดเจนว่าเป็นห่วงน้องซอขนาดนี้ ถึงแม้ปกติพี่มันจะค่อนข้างดุและเข้มงวดกับน้องสาว

“น้องไม่เป็นอะไรครับ”

พี่เซียนมุ่นหัวคิ้วทันที

“แล้วทำไมถึงนอนซมแบบนั้น”

ผมกระแอมเสียงเบาๆ ก่อนจะขยับไปกระซิบข้างหูเจ้าของห้อง

“น้องเป็นวันนั้นของเดือนครับ”

“อ๋อ”

คนตรงหน้าพ่นลมหายใจแรงๆ แล้วเบือนสายตามองไปยังคนที่นอนซมอยู่ตอนนี้

“คงไม่สบายตัวเท่าไหร่ ไม่รู้ยัยแสบมียาแก้ปวดติดมาด้วยมั้ย”

“ผมกำลังจะลงไปซื้อของกินกับของใช้ให้น้องครับ พอดีพี่มาถึงห้องก่อน”

“ไปสิ”

พี่เซียนบุ้ยปากไปยังประตู

“เดี๋ยวกูลงไปด้วย เวลาไม่สบายตัวยัยแสบชอบกินน้ำเต้าหู้”

พี่มันเดินนำออกไปที่ประตู แล้วจากนั้นพวกเราก็พากันเดินมาจนถึงร้านสะดวกซื้อ

“ว่าแต่มึงจะซื้อของใช้อะไรให้ซอ”

คราวนี้ผมเกาหัวแกรกๆ 

“เอ่อ ผ้าอนามัยครับ”

พี่เซียนชะงักไปตอนที่เหลือบตามองเชลล์ที่วางของใช้จำเป็นสำหรับผู้หญิง แน่นอนว่ามันมีหลายยี่ห้อและมีหลายแบบเพราะลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันเล่นเอาผมมึนไปเหมือนกัน คนข้างกายผมจึงควักมือถือออกมาแล้วกดโทรออก รอไม่นานปลายสายก็กดรับ พี่มันเลยพูดกรอกไปตามสายทันที

“มึงเคยซื้อผ้าอนามัยให้ยัยแสบมั้ย”

ผมทำตาปริบๆ มองสีหน้ากังวลใจของพี่เซียนแล้วเผลอขำออก ไม่รู้ปลายสายคือใครถ้าให้เดาคงเป็นพี่น้องสักคนหนึ่งของพี่มันแน่ๆ

“ทำไมมันหลายแบบขนาดนี้วะ”

พี่มันพึมพำและสบถด่าปลายทางสองสามคำก่อนจะกดวางสายไป

“ไอ้เซนต์แม่งช่วยห่าอะไรไม่ได้เลย นอกจากบอกว่าซื้อมันทุกแบบไปให้ซอเลือกเอา”

พี่มันพูดอย่างเซ็งๆ ก่อนจะกดโทรออกอีกครั้งและดูครั้งนี้ปลายสายจะให้คำตอบพี่มันได้ คนข้างกายผมถึงได้เดินดุ่ยๆ ไปใกล้ๆ คล้ายกับกำลังพิจารณาของในเชลล์

“วันนี้พี่จะมารับยัยแสบกี่โมงล่ะ”

“...”

“อ่าๆ”

พี่เซียนพูดอยู่สองสามคำแล้วกดวางสาย หลังจากนั้นก็ยืนพิจารณาผ้าอนามัยแต่ละแบบ พี่เซียนแม่งโคตรจริงจังกับการอ่านและพิจารณาโดยการหยิบมาเปรียบเทียบกันด้วยสิให้ตายเถอะ จริงจังจนผมเขินแทนสาวๆ สองสามคนที่กำลังสนใจอาหารกระป๋องอยู่มุมหนึ่งซึ่งเหล่ตามองมาทางนี้พอดี

แต่ให้อายยังไง ผมก็สัมผัสได้ว่าพี่มันดูเอาใจใส่กับเรื่องนี้มากๆ น้องซอโชคดีชะมัดที่มีพี่ชายแบบพี่เซียน

“พี่เซียน”

ผมยื่นมือถือให้อีกฝ่ายเพราะดูเหมือนคนอีกซีกโลกจะโทรไลน์กลับมา คือก่อนหน้านี้พี่มันฝากมือถือไว้กับผม

“พี่เซนต์โทรไลน์มาครับ”

“รับเลย”

ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะกดรับ

[เออกูจะถามว่าของที่มึงฝากซื้ออ่ะ ยังอยากได้อยู่มั้ย]

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบ อีกฝ่ายก็พูดสวนขึ้นมาก่อน

[ถุงยาง 56 มิลของมึงอ่ะ]

เชี่ยยย

ผมทำหน้าตื่นตาโตซึ่งเป็นกิริยาที่แสดงออกทางสีหน้าชัดเจนเกินไป พี่เซียนจึงหันมามองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมจึงยิ้มแหยเป็นคำตอบแล้วยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายก่อนจะผละหนีไปทางโซนขนมขบเคี้ยว ในหัวยังอื้ออึงกับสิ่งที่ได้ยินมา

ไอ้พี่เซียนฝากซื้อถุงยาง

ผมเม้มปากแน่น ของที่ซื้อมามันก็ต้องถูกใช้งานไง แล้วมันจะไปใช้งานที่ไหน ถ้าหากไม่ใช่...

แค่คิดก็รู้สึกหวิวๆ บอกไม่ถูก เอาจริงตั้งแต่คบกันมาพี่เซียนไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ พี่มันทำเฉยดูไม่มีท่าทีอะไรเลยจนผมวางใจและละเลยความรู้สึกนี้ไป อาจเพราะพี่ัมันไม่เคยแสดงท่าทีว่าต้องการ ทั้งที่คบกันมาสักพักแล้ว มากสุดแค่กอดแค่หอม หากมันเขี้ยวก็ฟัดแรงๆ เหมือนจะแกล้งกันมากกว่า

ผมลืมนึกไปว่าพอคบกันไปสักพักแล้วเรื่องเซ็กส์มันไม่สามารถปฏิเสธได้หรอก ถึงอีกฝ่ายจะไม่เอ่ยปากร้องขอหรือแสดงความต้องการอย่างโจ่งแจ้ง แต่ผมก็ไม่ควรมองห้ามความสัมพันธ์ข้อนี้ไปได้เลย

‘มาเป็นเมียกูสิ จะได้รู้ว่ากูจะรักเมียหรือมอ’ไซค์มากกว่ากัน’

แต่ความจริงพี่เซียนก็เคยพูดทีเล่นทีจริงนี่หว่า

วันนั้นที่พี่เซียนพูดแบบนั้น และสุดท้ายมันจบลงด้วยการที่อีกฝ่ายแค่หอมแก้มแล้วผละไปอาบน้ำ

เฮ้อ

หรือว่านั่นจะเป็นสัญญาณของเรื่องนี้วะ

คิดไม่ตกเลยแม่ง

“ซื้ออะไรเยอะแยะ”

ผมสะดุ้งสัมผัสได้ว่ามีร่างสูงใหญ่ของใครบางคนมายืนซ้อนหลังอยู่ พี่เซียนคว้าลูกอมมายมิ้นท์ที่มันเผลอหยิบมาเต็มไปใส่คืนที่ชั้นตามเดิมส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งหยิบใส่ตะกร้าในมือก่อนจะขยับถอยออกไปทิ้งไว้แต่สัมผัสร้อนๆ ว่าครั้งหนึ่งมีใครบางคนยืนอยู่ตรงนี้ ผมมองตามแผ่นหลังพี่มันไปก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

ไม่ปกติ

ผมใจสั่น...ผิดปกติเลยว่ะ 


.


.


มื้อนั้นได้โจ๊กหมูจากร้านสะดวกซื้อและน้ำเต้าหูร้อนๆ มาให้น้องซอได้ทานก่อนกินยาแก้ปวด เสร็จแล้วสาวน้อยก็ยึดโซฟากลางห้องหลับไป ระหว่างนั้นผมเองก็แชทคุยกับพวกไอ้โต้งที่ช่วงนี้หน้าตาดี๊ด๊าจนน่าหมั่นไส้เพราะพี่อุ้มเปิดใจให้มันแล้ว ส่วนไอ้อ๋องหลังๆ มานี่ผมเห็นพี่รหัสตัวเองชักจะป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ มันบ่อยๆ พอถามไป มันก็ตอบว่าไม่อะไร แต่เชื่อสิ ผมว่าคู่นี้มีอะไรในกอไผ่แน่ๆ

ระหว่างที่คุยไลน์กับพวกมัน พี่เซียนก็จดจ้องอยู่หน้าโน๊ตบุ๊คเพราะช่วงนี้โค้งสุดท้ายที่จะต้องนำเอาผลงานนวัตกรรมเกี่ยวกับยานยนต์ส่งเข้าประกวดแล้ว บรรยากาศตอนนี้เลยค่อนข้างเงียบ ในความเงียบนั้นผมได้ลอบสังเกตใบหน้าคมคายที่ดูมีสมาธิกับงานตรงหน้า ผมชอบมองพี่เซียนทำงานมากๆ ผมว่าสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายดูมีเสน่ห์น่ามองและผมคงมองนานไปหน่อย อีกฝ่ายถึงได้รู้ตัวเลยเงยหันมามองผมแล้วเลิกคิ้วถาม

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคำถาม เสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้นก่อน

พี่เซียนเลยเดินไปเปิดประตูก่อนจะเดินนำใครบางคนเข้ามา ผมตาโตตอนที่เงยหน้าไปเห็นพี่ชายคนโตของคนรัก 

พี่ซันตัวจริงโคตรดี ไม่ใช่สิ หล่อมากเลยต่างหาก

ขณะที่พี่เซียนหล่อตามพิมพ์นิยมของสาวๆ แต่พี่ซันจะดูโตเป็นผู้ใหญ่และออกแนวสุภาพ เวลายืนคู่กันแม่งโคตรดูดี

“มองอะไรขนาดนั้น”

พี่เซียนทำหน้าหงิกใส่ ก่อนผมต้องยิ้มแหยแล้วยกมือไหว้พี่ชายคนรัก ฝ่ายนั้นรับไหว้แล้วยิ้มกว้างๆ ให้ออร่าพระเอกหลังข่าวจับจนแสบตา

“หึงเหรอไอ้เซียน น้องแค่มองกูเอง”

ผมยิ้มแหยทันที

“ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปที่ไอ้เซนต์ส่งมาให้ดูอีกนะเนี่ย”

พี่ซันหันมาแซวผม

“เดี๋ยวนะ”

คราวนี้คนรักผมเท้าเอวทันที

“ไอ้เซนต์มันไปส่งรูปเปียวให้พี่ดูตอนไหนวะ”

อีกฝ่ายยักไหล่ไม่ตอบคำถาม ก่อนจะเดินผ่านน้องชายตัวและหยุดแวะโยกศีรษะผมเบาๆ คล้ายกับจะแกล้งพี่เซียนก่อนจะเดินเลยไปหาน้องซอที่นอนหลับอยู่

“ถึงเป็นพี่ ผมก็เตะได้นะ”

พี่เซียนถลึงตาใส่อีกฝ่ายแล้วรีบมาลูบศีรษะบริเวณที่พี่ซันแตะ ทำเหมือนลบรอย

อะไรกันก็ไม่รู้ ผมยิ้มเขินๆ ให้พี่ซันที่ทำหน้าระอาใส่เจ้าของห้อง

“ไงตัวแสบ”

น้องซอขยับเปลือกตาเปิดขึ้นแล้วยิ้มน้อยๆ ตอนที่พี่ชายคนโตมาเอื้อมมือไปลูบศีรษะ

“พี่มารับกลับบ้าน”

สาวน้อยพยักหน้าหงึกหงักแล้วขยับตัวลุกขึ้น

“เดินไหวรึเปล่า ให้พี่อุ้มมั้ย”

“ไหวค่ะ”

“งั้นกลับบ้าน เดี๋ยวค่ำมากกว่านี้ เราจะได้พักผ่อน”

สีหน้าน้องซอดูดีขึ้นหลังจากได้หลับไปตื่นหนึ่ง น้องโบกมือลาผมด้วยสีหน้าสดใส ก่อนพี่เซียนจะเดินลงไปส่งน้องสาว ระหว่างนั้นผมเลยเก็บของเตรียมกลับหอเช่นกัน 

รอไม่นานพี่เซียนก็ขึ้นมา

“ไม่ค้างเหรอ”

ผมส่ายหน้าหวือ 

“แปลกๆ นะ”

พี่มันพูดขึ้นตอนที่มาทรุดตัวนั่งที่โซฟาตัวเดียวกัน พอได้อยู่ตามลำพังสองต่อสองแล้วผมดันนึกถึงเรื่องที่ไอ้พี่เซียนฝากซื้อถุงยางเฉยเลยว่ะ

จะว่ากลัวก็ไม่ใช่ จะว่าทำใจ่ได้ก็ไม่เชิง

มันขัดเขินยังไงก็ไม่รู้

“ผมปกติเหอะ”

คราวนี้พี่มันขยับมาใกล้แล้วจ้องหน้าผมตรงๆ

“เวลามึงโกหกจะชอบก้มหน้างุดๆ ทำเสียงสั่นๆ รู้ตัวมั้ย”

“ผมปกติ”

ผมนั่งตัวตรงเชิดหน้ามองสูง

“โอ้ย”

พี่เซียนบีบแก้มเบาๆ

“โกหกไม่เนียน”

“เจ็บนะเว้ย”

“เกินไป กูบีบเบาๆ เอง”

“แดงรึเปล่าก็ไม่รู้”

“ไหนมาดูดิ”

ผมยื่นแก้มข้างนั้นให้พี่มันแล้วตัวแข็งทื่อตอนที่ฝ่ายนั้นเป่าแก้มข้างนั้นเบาๆ ก่อนจะกดจูบอีกที

“หายเจ็บแล้ว”

“ฉวยโอกาสว่ะ”

บ่นพี่มันไปทั้งที่ตัวเองก็ฉีกยิ้มกว้างขนาดนี้

“คนอะไรบอกคนอื่นฉวยโอกาส แต่ตัวเองยิ้มยั่วเฉย””

“...”

“แต่มึงพูดเรื่องนี้ก็ดีแล้ว”

น้ำเสียงพี่เซียนเปลี่ยนไป ท่าทางฝ่ายนั้นเองก็จริงจังขึ้น

“พี่...”

ผมเขย่าแขนอีกฝ่ายเพราะแอบรู้สึกผิดที่ทำให้คนรักรู้สึกไม่ดีกับคำพูดของผม

“กูไม่ได้โกรธ”

พี่เซียนยิ้มให้แล้วเกลี่ยใบหน้าผมเบาๆ

“ใจหายหมดเลย”

“กลัวกูโกรธเหรอ”

“อื้อ”

ผมเอนศีรษะไปตามการลูบของอีกฝ่าย

“ผมไม่ได้หวงตัวอะไรขนาดนั้นนะเว้ย...”

ผมก้มไปซุกใบหน้าไปที่หัวไหล่พี่มัน

“แต่มันเขิน”

พี่เซียนหัวเราะน้อยๆ แล้วคว้าบ่าผมไปกอด

“กูถึงบอกไงว่าพูดเรื่องนี้ก็ดีแล้ว”

“...”

“กูจริงจังนะเปียว”

“...”
“มึงกลัวสัมผัสกูรึเปล่า”

ผมส่ายหน้าหวือ

“ไม่ได้กลัว แต่...”

“กลัวกูรุกมึงเหรอ”

ผมสะดุ้งโหยงก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

“กูดูเป็นคนหื่นกามขนาดนั้นรึไง”

ตรงกันข้ามเลยเหอะ พี่มันไม่เคยเอ่ยปากขอเรื่องแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ 

“พี่เซียนอย่าเบื่อผมนะ”

“ทำไมกูต้องเบื่อมึงฮึ”

“ก็ผม”

พี่เซียนใช้นิ้วบดคลึงริมฝีปากที่เม้มแน่นของผมเบาๆ ให้คลายลง

“กลัวอะไรพี่ฮึเปียว”

“ถ้าผมไม่ให้พี่เรื่องนั้น พี่จะเบื่อและทิ้งไปป่ะ”

“ทิ้ง”

“ไอ้พี่เซียน”

ทุบอกแม่งเลย 

พี่เซียนยิ้มขำคว้าผมเอาไว้แล้วบีบเบาๆ

“หมูอวกาศ”

“...”

“เมื่อก่อนเด็กอ้วนที่หกล้มนั่งตากแดดร้องไห้ สภาพไม่น่าดูขนาดนั้น กูยังทิ้งให้มึงนั่งร้องไห้แบบนั้นไม่ลงเลย”

ผมยิ้มน้อยๆ นึกถึงเหตุการณ์ในวันวาน

ครั้งแรกที่ได้เจอกับไอ้พี่เซียน

“จากนั้นไอ้หมูนั่นก็ตามกูต้อยๆ ไม่ยอมไปไหน”

“ก็พี่เล่นให้มายมิ้นท์ไว้แทนใจแล้วนี่...ผมจะไปไหนได้ล่ะไอ้พี่ยักษ์”

“กูชอบที่มึงเรียกแบบนี้”

“ไอ้พี่ยักษ์อ่ะเหรอ”

“อื้อ”

“ไอ้พี่ยักษ์”

ผมกระซิบข้างหูพี่มันเบาๆ

“ว่าไงหมูอวกาศ”

“ถามจริงๆ นะ พี่ไม่ต้องการเรื่องแบบนั้นกับผมจริงๆ เหรอ”

“ต้องการสิ”

“...”

“ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งโคตรต้องการ”

“ก็เห็นพี่เฉยๆ อ่ะ”

“แต่ในใจกูคิดนะ”

พี่เซียนพูดหน้าตาย

“ยอมรับแมนๆ เลยว่าคิดลามกกับมึงแทบจะตลอดเวลาอ่ะ”

“ไอ้ตัวหื่น”

พูดอะไรวะ ผมหน้าแดงวาบเลยเนี่ย

“เซ็กส์มันเป็นเรื่องปกติเปียว เป็นเรื่องธรรมดาของคนรักกัน เพราะมันเป็นการแสดงความรักรูปแบบหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์เหนี่ยวแน่นขึ้น”

ผมนิ่งฟังพี่มัน

“แต่เซ็กส์เป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าคนนึงไม่สมัครใจ มันก็ไม่มีความสุขหรอก”

“พี่พูดเรื่องอะไรวะเนี่ย”

มันเขินนะเว้ย

“เปียว ถ้ามึงไม่พร้อมหรือไม่เต็มใจ กูรอได้นะ กูไม่เคยคิดจะบังคับใจมึงเลยสักครั้ง”

“อื้อ”

พี่เซียนจูบขมับผมทีนึง

“ขนาดไม่บังคับ ยังอุตส่าห์ซื้อถุงยางรอแล้ว”

ขอเหน็บสักทีเถอะ

“เขาเรียกว่าเตรียมความพร้อม”

“...”

“เซฟเซ็กส์อ่ะ ไม่เคยได้ยินเหรอ”

“ไม่รู้ไม่ชี้เว้ย”

ผมส่ายหน้าแรงๆ

“กะจะเอาให้ได้สักวันน่ะสิ”

“ถ้ามึงเผลออ่ะน่ะ”

พี่เซียนพูดติดตลก

“ร้ายกาจ”

พี่เซียนแม่งร้ายกาจจริงๆ แต่ผมไม่เคยนึกเลยว่าพี่มันจะแคร์ความรู้สึกผมขนาดนี้ มันเขินนะเว้ยที่ต้องมานั่งคุยกันเรื่องใต้เตียงเนี่ย

“กูอยากให้มึงยอมกู เพราะใจมึงยอม”

“...”

“คิดว่าอีกไม่นานหรอก”

“เข้าข้างตัวเองเก่ง”

ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวๆ กับสายตาพี่มัน 

สายตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มแบบนี้...หัวใจจะวายโว้ย

“หายกลัวกูรึยัง”

“หายกลัวพี่ แต่ผมกลัวใจตัวเอง”

ผมพูดเสียงแผ่ว

“หือ?”

“กลัวว่าอีกไม่นานจะใจอ่อน”

คราวนี้พี่เซียนหัวเราะร่วน ขณะที่ผมทำหน้าตีหน้ายุ่งใส่

“ไม่แปลกหรอก มึงรักกูนี่”

“ผมไม่รักพี่แล้ว”

“เหรอ”

“...”

“แล้วใครกอดกูอยู่เนี่ย”

ผมทำปากยื่นก่อนจะซุกใบหน้าลงไปที่ซอกคอพี่มัน

“กอดนิดกอดหน่อยทำหวงตัวว่ะ”

“ปากดี เดี๋ยวจะโดน”

“อย่าขยับสิ ผมกอดอยู่นะเว้ย”

“หมูอวกาศเอ้ย”

ถึงพี่เซียนจะบ่นแต่ฝ่ายนั้นก็ยอมนั่งนิ่งๆ ให้ผมกอดอยู่แบบนั้น

“รอหน่อยนะ”

“...”

“ไม่นานหรอก”

“...”

“ผมจะให้พี่กอดคืน”


- J E E B -

ง่อวววว หน่องเปียวทำไมยั่ว ฮ่าๆๆๆๆๆๆ เสพความฟินไปเยอะๆ น้าแล้วรอ.....
หวีดในทวิต #ชอบก็jeeb ให้ด้วยน้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-06-2020 21:03:47 โดย [Karnsaii] »

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ kenghan

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-2
เปียวไม่รอดพี่ยักษ์แน่นอน

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
น้องเปียวพูดแบบนี้ อิพี่มันก็ได้ใจสิ
จริงๆก็รักแหละดูออก

ออฟไลน์ lemonyyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ไม่นานเกินรอแน่ๆ
 :hao3:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
น่ารักจริงคู่นี้

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
น้องบอกแบบนี้ อิพี่รอเลยจ้า.  :laugh:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด