- จีบที่ 13 -
อากาศวันนี้ร้อนมากๆ โดยเฉพาะช่วงบ่ายแก่ๆ แบบนี้ ผมขยับคอเสื้อไปมาเพื่อคลายความร้อน มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องตา ความร้อนที่สาดส่องมาถึงสนามหญ้าราวกับมีไอความร้อนพวยพุ่งเข้าสู่ตัวจนแสบร้อนไปหมด ผมกวาดสายตามองไปรอบสนามหญ้าขนาดใหญ่หรือสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยที่ขณะนี้พื้นที่ในสนามเต็มไปด้วยเพื่อนร่วมชั้นปีของผมฝ่ายละสิบเอ็ดคนแบ่งเป็นสองทีมกำลังวิ่งไล่บอลลูกกลมๆ ใครคนหนึ่งในทีมเสื้อสีแดงสังเกตจากการมีผ้าแดงผูกข้อมือกำลังเลี้ยงลูกพลิกตัวหลบการไล่ต้อนจากทีมสีน้ำเงินที่มีผ้าผูกข้อมือสีน้ำเงิน เพราะทุกคนในสนามอยู่ในชุดกีฬาคณะสีขาวปกสีส้มหมีพูร์กับกางเกงวอร์มขาสั้น ดังนั้นจึงต้องมีสัญลักษณ์ผ้าผูกข้อมือเพื่อเป็นการแบ่งแยกให้ชัดเจนว่าเป็นของทีมไหน
จังหวะที่ทีมบุกแปบอลส่งเข้าข้อเท้าผู้เล่นในทีมแล้วเลี้ยงส่งต่อให้เพื่อนในทีมนั่น ผมได้ยินเสียงนกหวีดดังขึ้นพร้อมๆ กับที่สายตาเหลือบเห็นความผิดปกติบางอย่างจนต้องชูธงในมือขึ้นสูงก่อนจะลดมือชูธงไปเบื้องหน้าในตำแแหน่งต่างๆ สามจังหวะคือเหนือศีรษะ เบื้องหน้าและชี้ลงพื้นเป็นสัญญาณว่ามีการล้ำหน้าในเกม ตามหน้าที่ของไลน์แมนหรือผู้ช่วยผู้ตัดสินที่ทำหน้าที่ดูแลกำกับเส้นสนาม จังหวะที่เล่นทุกคนหยุดชะงักไปนั่นพอดีกับที่อาจารย์ผู้สอนเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขันนั่นทำให้ทุกคนในสนามไม่ว่าจะเป็นผู้เล่นเอง หรือกรรมการอย่างไลน์แมนที่วิ่งระนาบไปกับเส้นสนามอย่างผม และเพื่อนอีกคนที่ทำหน้าที่ผู้ตัดสินใจพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่่
หลังจากสอบภาคทฤษฎีในเนื้อหาวิชาพื้นฐานนิสิตปีหนึ่งที่คณะผ่านพ้นไปสัปดาห์ที่ผ่านมา สัปดาห์นี้เป็นการสอบภาคปฏิบัติ ในเนื้อหาวิชาบังคับของคณะ ปกติแล้วคณะผมจะต้องวิชากีฬาพื้นฐานสิบชนิดกีฬา และต้องเลือกเรียนวิชากีฬาเสรีซึ่งไม่มีในวิชาบังคับอีกสี่ตัวตลอดการเรียนทั้งหมดสี่ปี แต่สำหรับปีหนึ่งนั้นวิชากีฬาที่บังคับเรียนคือว่ายน้ำ ฟุตบอลและวอลเล่ย์บอล โดยการสอนจะเริ่มตั้งแต่พื้นฐานกติกาการเล่น วิธีการเล่น รวมถึงการปฐมพยาบาลการบาดเจ็บของแต่ละชนิดกีฬาในภาคทฤษฎี นอกจากนี้ยังมีสอบปฏิบัติอย่างการสอบวันนี้ในวิชาฟุตบอลคือมีการเล่นจริงเป็นเวลาเก้าสิบนาทีตามเวลาที่ใช้แข่งขันนจริงๆ มีสอบเป็นผู้ตัดสินในสนาม สอบผู้ตัดสินไลน์แมนโดยทุกคนจะต้องวนเวียนไปสอบทุกตำแหน่งทั้งหมด ซึ่งจะมีอาจารย์ผู้สอนจับเวลาและตัดสินผลจากการสังเกตการณ์
แน่นอนว่าอยู่ท่ามกลางสนามหญ้ากลางแดดในช่วงบ่ายแก่ๆ เป็นเวลาชั่วโมงกว่าๆ นั่นทำให้สภาพแต่ละคนดูเหนื่อยหอบไม่น้อย พอสิ้นเสียงเป่านกหวีดของอาจารย์ผูู้สอน พวกเราเลยต่างโห่ร้องดีใจก่อนจะกอดคอพากันวิ่งไปหลบแดดนอนแผ่หลา ท่ามกลางเสียงหัวเราะของอาจารย์ผู้สอน
“ถ้าอีกห้านาทีจารย์ไม่เป่าหมดเวลาพวกผมจะเป็นลมให้ดู”
แกหัวเราะเสียงดังลั่น
“เอาน่า พวกเธอจะเป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาได้ยังไง ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง”
“วิ่งกลางแดดบ่ายสามก็ไม่ไหวนะครับจารย์”
“อาจารย์รู้ว่าพวกเธอเก่ง วันนี้ทำดีมาก”
แกยกนิ้วโป้งให้ก่อนจะทยอยแจกน้ำให้นิสิต สำหรับวิชากีฬาแต่ละคลาสจะมีคนเรียนคลาสเล็กๆ ไม่เกินสามสิบคนให้พอฝึกและเรียนรู้กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เดี๋ยวคูลดาวน์แล้วเตรียมแยกย้ายกันได้เลยนะ จะมีทีมอื่นมาใช้สนามต่อ”
พวกเราพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะผุดลุกขึ้นแล้วทำการคูลดาวน์หรือการผ่อนหยุดจากการออกกำลังกายหนักๆ ที่เป็นสิ่งสำคัญมากๆ หลังจากการออกกำลังกาย เพราะช่วงเวลาที่ออกกำลังเป็นช่วงที่ร่างกายทำงานหนักไม่ว่าจะเป็นระบบไหลเวียนเลือดหรือปอดที่ทำงานสูงเกินกว่าปกติ ฉะนั้นหากไม่คูลดาวน์จะมีกรดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “กรดแลกติก” สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อจนอาจทำให้กล้ามเนื้อบอบช้ำและเมื่อยล้า แต่หากได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการคูลดาวน์จะทำให้เรารู้สึกว่าอาการเมื่อยล้าน้อยลง
หลังจากวิ่งเหยาะๆ สักราวๆ สิบนาทีแล้วทุกคนต่างไปเช็คชื่อแล้วพากันแยกย้ายไปล้างหน้าล้างตา ระหว่างนั้นไอ้อ๋องเดินโขยงเขยกเข้ามาช่วยถือสัมภาระเพราะมันยังเดินเหินไม่สะดวก อาจารย์แกเลยใจดีไปวิ่งตัดสินอยู่ราวๆ สิบห้านาทีก่อนจะให้มันพักข้างสนามและทำรายงานเพิ่มแทน
“ไปล้างหน้าก่อนมั้ยมึง”
“อือ”
ผมพยักหน้าหงึกหงักรับผ้าขนหนูมาซับเหงื่อให้ตัวเอง
“กูว่าจะกลับไปอาบน้ำที่คณะว่ะ”
มันทำหน้าเห็นด้วยเพราะที่คณะผมมีห้องน้ำสำหรับการอาบน้ำหลังออกกำลังกาย
“เหงื่อกูชุ่มเต็มเสื้อเลยเนี่ย”
“เสื้อมึงเปียกมากไอ้เปียว”
มันชะโงกหน้าเข้ามาใกล้
“เหม็นด้วย”
“ไอ้ห่าแล้วมึงจะดมเพื่อ”
มันหัวเราะหึๆ ก่อนจะพาดแขนไปที่ไหล่ผมแล้วกระตุ้นให้ออกเดิน ระหว่างนั้นมีเพื่อนที่คณะสองสามคนเดินไปเก็บกรวยที่ห้องเก็บของใกล้ๆ ห้องน้ำ
“มีอะไรให้ช่วยเปล่าวะ”
“ไม่มีอ่ะ ที่เหลือพวกที่ใช้สนามต่อเขาจะเก็บกันเอง”
ผมมุ่นหัวคิ้วทันทีเพราะได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าจะมีการใช้สนามต่อ ทั้งๆ ที่ช่วงนี้เพิ่งพ้นฤดูกาลสอบฉะนั้นคงไม่มีชมรมหรือทีมกีฬาไหนมาซ้อมกันหรอก
“ใครวะที่ขอใช้สนาม”
“พวกนักบอลมหาลัยอ่ะ”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก
“ซ้อมไวจัง เพิ่งผ่านพ้นช่วงสอบไปเอง”
“อีกไม่กี่เดือนก็จะมีงานบอลประเพณีแล้ว เราคงหวังแชมป์”
“ปีก่อนที่แพ้ข่าวว่านักบอลโดนทาเล็บแดงเดือนหนึ่งเป็นการทำโทษด้วยนะ”
มันกระซิบกระซาบบอก เอาจริงเรื่องนี้ก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าบทลงโทษที่แพ้ปีก่อนนั้นต้องถูกทาเล็บสีแดงทั้งทีม มันออกจะเป็นบทลงโทษที่ดูไม่ซีเรียสนักแต่คงทำเอาผู้ชายตัวโตๆ เขินอายไม่น้อยที่เล็บมือทั้งสิบนิ้วเป็นสีแดงฉูดฉาดเรียกสายตาล้อเลียนจากคนทั่วไปไม่น้อย
เป็นบทลงโทษที่โคตรแสบ
เอาจริงๆ ผมว่าผลแพ้ชนะไม่สำคัญเท่ากับการได้ทำกิจกรรมร่วมกันระหว่างสองมหาวิทยาลัยหรอก ถึงแม้ผลปีนี้จะออกเป็นอย่างไรก็ตาม ปีหน้าเราก็ต้องมาร่วมฟาดแข้งกันเหมือนทุกๆ ปี
“พวกกูไปก่อนนะ”
เพื่อนผละไปแล้วพวกผมเลยเดินไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย
“หัวเปียกหมดแล้วไอ้ห่า”
ไอ้อ๋องร้องโวยวายตอนที่ผมสะบัดผมที่เปียกน้ำไปมาจนกระเด็นไปโดนตัวมัน
“จะได้เย็นๆ”
“เลิกเล่นได้แล้ว กูหิวน้ำ”
“งั้นมึงไปรอกูที่คาเฟ่หน้าสนามกีฬาเลย เดี๋ยวกูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”
“เออ”
มันผละออกไปแล้ว ขณะเดินออกมาจากห้องน้ำคนกลุ่มหนึ่งเดินสวนเข้าประตูสนามกีฬามาพอดี กลุ่มผู้ชายสี่หน้าคนในชุดกีฬาแทบทุกคนถือรองเท้าสตั๊ดมาพร้อมกับเป้แบบสะพายข้างเดาได้ไม่ยากว่ากลุ่มนี้คงเป็นพวกนักบอลมหาวิทยาลัย ผมคงละความสนใจไปแล้ว หากหนึ่งในนั้นจะไม่ใช่คนคุ้นเคย ร่างสูงโปร่งผิวสีเข้มเพราะเล่นกีฬากลางแจ้ง แต่แววตายังขี้เล่นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“พี่ปั๊บ”
เจ้าของชื่อยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเป็นเชิงทักทายแล้วผละจากกลุ่มนักบอลมาหยุดอยู่ตรงหน้า ส่วนสูงที่ต่างกันนั่นทำให้ผมต้องแหงนหน้าคุยกับอีกฝ่าย
“เห็นพ่อแม่เราบอกว่าสอบติดที่นี่ แต่ไม่เคยเจอกันสักที”
ผมพยักหน้าหงึกหงักให้ ‘พี่ชายข้างบ้าน’ จำได้ว่าตอนที่พ่อย้ายจากเชียงใหม่มาอยู่แถวปริมณฑลนั่นทำให้ผมได้รู้จักกับเพื่อนบ้านซึ่งเป็นครอบครัวนักธุรกิจขนาดกลางมีลูกสามคนในวัยไล่เลี่ยกันเลยทำให้พวกเราสนิทสนมกันพอสมควร โดยเฉพาะกับคนตรงหน้าที่เป็นรุ่นพี่เพียงสองปี ระยะห่างของช่วงวัยที่ใกล้เคียงกันซ้ำยังเติบโตมาด้วยกันเลยทำให้เราเข้ากันได้ดี จนกระทั่งพี่มันสอบติดมหาวิทยาลัยแล้วย้ายมาอยู่หอเพื่อความสะดวกในการไปเรียน ตั้งแต่นั้นมาผมเองก็ไม่ค่อยเจออีกฝ่ายเท่าไหร่ อีกประเด็นคือนานๆ พี่ปั๊บมาจะกลับบ้านด้วยข่าวว่าฝ่ายนั้นทำกิจกรรมที่มหาลัยและเรียนหนักเลยไม่ค่อยว่างเท่าไหร่
“ไม่เจอแค่ไม่กี่เดือนสูงขึ้นรึเปล่าวะ”
พี่มันเหลือบตามอง่ศีรษะผมที่อยู่ระดับไหล่ของอีกฝ่าย
“จะล้อว่าผมเตี้ยก็พูดตรงๆ เหอะ”
นักบอลมหาลัยทำเสียงขำในลำคอ มือข้างหนึ่งยื่นมาโยกศีรษะผมแบบที่ชอบทำเป็นประจำ
“แล้วนี่อยู่หอแถวไหนอ่ะ อาทิตย์ที่แล้วพี่กลับบ้านเห็นแม่เราบอกว่าย้ายมาอยู่หอ”
“แถวพญาไทครับ”
ฝ่ายนั้นพยักหน้าหงึกหงัก
“วันไหนว่างๆ จะพาไปเลี้ยงข้าวฉลองที่สอบติด”
“ผมเรียนจนจะจบเทอมแล้วเพิ่งฉลองสอบติดเนี่ยนะ”
“เอาน่า”
พี่มันยิ้มน้อยๆ
“เลี้ยงช้าดีกว่าไม่เลี้ยง”
“อาทิตย์นี้มีซ้อมที่สนามกีฬาที่คณะเรา กะว่าจะโผล่ไปหาวันนั้นแหละ นักบอลเฟรชชี่ปีนี้มีเด็กคณะเราด้วยนี่”
เนื่องจากคณะผมเป็นคณะเกี่ยวกับกีฬาฉะนั้นพื้นที่ของคณะนอกจากตึกฟิตเนสแล้วยังมีสนามบาส สนามบอลและสนามเทนนิสให้ได้ทำกิจกรรม อีกอย่างนิสิตปีหนึ่งที่คณะผมมีการรับเข้าเรียนสองแบบคือการสอบเข้าตามปกติและการรับตรงซึ่งส่วนนี้จะต้องมีคุณสมบัติคือเป็นนักกีฬาในประเภทต่างๆ ที่คณะเปิดรับเพื่อมาสัมภาษณ์และทดสอบวิชาเฉพาะ ดังนั้นนิสิตที่รับตรงของคณะส่วนใหญ่จึงเป็นพวกนักกีฬาที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวลงแข่งขันในรายกายต่างๆ เพื่อเป็นตัวแทนนักกีฬาของมหาวิทยาลัย อย่างงานฟุตบอลประเพณีนี้ผมได้ยินว่าเพื่อนๆ ปีหนึ่งประเภทรับตรงกีฬาฟุตบอลต้องเข้าร่วมซ้อมและคัดตัวในช่วงใกล้แข่งขัน เลยไม่น่าแปลกใจหากทีมบอลมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งจะมาจากนิสิตคณะผมเป็นส่วนใหญ่
“จ่ายไม่ถึงสองพันผมไม่ออกจากร้านนะพี่”
“กะเอาให้กูหมดตัวเลยรึไง”
พี่ปั๊บส่ายหัว
“เอาสิ ถ้าสั่งมาแล้วกินไม่หมดกูจะยัดใส่ปากให้มึงอ้วกแน่”
“โหด”
ผมเบะปากให้อีกฝ่าย
“อ่ะนี้”
มายมิ้นท์ถูกยื่นมาตรงหน้า
“มัดจำไปก่อน”
ของโปรดที่ผมชอบนักหนาซึ่งอีกฝ่ายรู้ดีเพราะซื้อให้ผมกินประจำ นิสิยพี่ปั๊บช่างสังเกตและช่างจดจำสมกับเป็นพี่ชายคนโตของบ้านที่มีน้องชายและน้องสาว เห็นแมนๆ เป็นเป็นกีฬาแบบนี้พี่มันเลี้ยงน้องๆ เก่งไม่เบาขนาดที่ว่าน้องๆ ติดพี่มันน่าดู
ผมโบกมือลาพี่มันตอนที่แก๊งนักบอลเรียกพี่ปั๊บไปซ้อมแล้ว
“ใครอ่ะ”
เสียงกระซิบจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งโหยง
“ไอ้เชี่ยโต้ง”
ร่างสูงของเพื่อนสนิทปรากฏอยู่เบื้องหน้าสีหน้ามันดูสงสัยไม่น้อย
“มึงนอกใจพี่เซียนเหรอ”
“นอกใจเชี่ยไร”
ผมส่ายหน้าหวือ
“กูกับพี่มันไม่เป็นได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“แน่ใจ๊”
ไอ้เวรนี่หรี่ตามองผมอย่างจับผิด
“เออ” ผมทำเสียงเข้ม “อีกอย่างนะเมื่อกี้พี่ปั๊บพี่ข้างบ้านกูไง มึงเองก็เคยเจอ”
มันทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะร้องอ๋อออกมา
“ที่ตอนนั้นเขาเอามายมิ้นท์มาขอหมั้นมึงอ่ะเหรอ”
ผมแยกเขี้ยวใส่มันทันที พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้หยิบยกมาล้อเลียนทุกวันนี้ จำได้ว่าช่วงประมาณมัธยมต้นผมเป็นเด็กติดเกมอย่างหนักจนการเรียนตกนั่นแหละพ่อกับแม่เลยตัดค่าขนมผมจนเป็นเหตุให้พี่ชายข้างบ้านซื้อขนมมาแบ่งเป็นประจำไปๆ มาๆ เลยถูกเพื่อนล้อเลียนกันว่าพี่มันเอาขนมมาหมั้นผม เล่นเอาผมถูกสาวๆ แฟนคลับพี่มันเขม่นไปพักหนึ่งเลยล่ะ
“มึงก็พูดไปเรื่อย”
ผมส่ายหน้าไปมา
“ว่าแต่มึงมาโผล่ที่นี่ได้ยังวะ”
“กูมาเล่นบาสที่สนามกีฬาในร่ม เห็นไอ้อ๋องเช็คอินที่คาเฟ่หน้าสนามกีฬากูเลยแวะมาหา””
ผมหรี่ตามองมันทันที
“มาหาพวกกูเพื่อ”
“พี่เซียนฝากของมาให้พี่อุ้ม”
“แล้วพี่คณะมึงไปไหนล่ะ”
แปลก!
พี่เซียนเนี่ยนะจะฝากไอ้โต้งเอาของไปให้พี่อุ้ม รู้ทั้งรู้ว่าเพื่อนผมกับพี่อุ้มแง่งๆ ใส่กันขนาดนี้
“สอบเสร็จเมื่อเช้าก็กลับไปนอนมั้ง ท่าทางไม่ค่อยดี”
“พี่มันไม่สบายเหรอ”
ไอ้โต้งขยับรอยยิ้มทันทีที่ผมโพล่งถามออกไป
“คงงั้นมั้ง วันก่อนก็เห็นอยู่คณะทั้งคืนตอนที่กูไปโรงฝึกของภาคยานยนต์ยังเห็นพี่มันนั่งประกอบเครื่องยนต์รถอยู่เลย”
“ไม่ได้นอนเลยเหรอ”
ผมพึมพำได้ยินมาจากพี่อุ้มเหมือนกันว่าช่วงนี้พี่เซียนทั้งสอบทั้งต้องไปช่วยรุ่นพี่กับอาจารยซึ่งฟอร์มทีมลงแข่งขันเกี่ยวกับการออกแบบและการสร้างยานยนต์ ช่วงนี้ี่ผมเลยไม่ต้องให้ไปช่วยพี่อุ้มเทรนพี่เซียนที่เข้าร่วมฝึกในวิชาบอดี้คอนเพราะกลุ่มตัวติดภารกิจช่วงนี้ ทำให้การเทรนต้องเลื่อนออกไปก่อน
หลังจากนั้นผมไปกินข้าวเย็นเพื่อนสนิททั้งสองคน ก่อนที่ไอ้โต้งจะแยกไปหาพี่อุ้ม ส่วนอ๋องมันไปทำงานพิเศษที่คาเฟ่ ขณะที่ผมมีสอนพิเศษ
ผมกระชับสายสะพานให้แน่นขึ้นตอนที่เงยหน้ามองคอนโดใกล้ๆ บีทีเอส ตั้งแต่น้องซอแอบโดนเรียนพิเศษไปโดยที่ผมรู้เห็นครั้งนั้น สาวน้อยก็ถูกบิดามารดาสั่งกักบริเวณเป็นการทำโทษ ดังนั้นสถานที่ที่ใช้เรียนพิเศษจึงถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ที่อยู่สายตาคนในครอบครัว คอนโดพี่เซียนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยและใกล้กับโรงเรียนของน้องๆ รวมถึงอยู่ในสายตาพี่เซียนที่เป็นตัวแทนของทั้งบ้าน
เกือบห้าโมงตอนที่มาหยุดที่ใต้คอนโดพี่เซียน รอไม่นานสาวน้อยในชุดเครื่องแบบนักเรียนม.ปลาย มัดผมหางม้าผูู้กโบว์สีขาวก็ยิ้มเผล่มาแต่ไกล ในมือมีถุงผ้าด้านในมีของกินไม่น้อย
“พี่เซียน”
สาวน้อยยิ้มกว้างรีบถลามากอดแขนเขา
“เพื่อนๆ ไปไหนหมดครับวันนี้”
เพราะเหลียวมองไปด้านหลังของเด็กสาวแล้วไม่ใครนอกจากคนตรงหน้า
“วันนี้สองคนนั้นติดธุระค่ะ”
“แล้วนี่หิ้วอะไรมาเต็มถุงครับเนี่ย”
“เมื่อกี้คุณแม่แวะเอาขนมมาให้ทานแก้ง่วงค่ะ”
“วันนี้เราค้างที่คอนโดหรือ”
สาวน้อยส่ายหน้าหวือจนผมสะบัด
“เดี๋ยวค่ำๆ คุณแม่จะมารับกลับบ้านค่ะ พอดีวันนี้ต้องแวะไปรับญาติที่สนามบินค่ะ”
น้องซอเดินคล้องแขนผมแล้วดึงให้ออกเดิน จนกระทั่งโดยสารลิฟต์มาถึงชั้นที่เป็นห้องพักพี่เซียน น้องซอแตะคีย์การ์ดแล้วเปิดประตูเข้าไปเจอความเย็นจากแอร์พุ่งมาปะทะใบหน้าผมทันที สภาพด้านในค่อนข้างเย็นฉ่ำแต่ทุกอย่างกลับดำมืดเพราะไม่ได้เปิดไฟ
ผมกวาดตามองไปรอบๆ ตอนที่น้องซอเดินไปเปิดไฟให้สว่าง ทุกอย่างเงียบเชียบราวกับว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ ขณะที่นั่งลงคุ้ยเอาชีทที่จะใช้สอนเด็กสาวออกมา เสียงเปิดประตูห้องนอนก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินลากขายาวๆ มาใกล้
“มากันแล้วเหรอ”
สภาพพี่เซียนดูอิดโรยไม่น้อย ขอบตาดำคล้ำ ผมยุ่งๆ ไม่เป็นทรง เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงวอร์มขายาว ใบหน้าคมคายซีดเซียวเพราะพิษไข้เล็กน้อย
“พี่เซียนไม่สบายหรือคะ”
เด็กสาวถลาไปแตะหลังมือ่กับหน้าผากของพี่ชาย
“ตัวรุมๆ ด้วย”
“เดี๋ยวนอนสักตื่นก็คงดี พี่ไปงีบแป๊บนึงนะ” ฝ่ายนั้นโยกศีรษะน้องสาวก่อนจะเหลือบสายตามาทางผม “ตามสบายนะ ถ้าหิวสั่งอะไรขึ้นมากินก็ได้ เบอร์ร้านข้าวอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัว”
ฝ่ายนั้นพูดจบก็เดินผละกลับเข้าไปในห้อง ผมมองตามแผ่นหลังพี่มันไปจนลับตาแล้วให้สะดุ้งโหยงเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นน้องซอนั่งยิ้มกริ่มอยู่เบื้องหน้า
“เอ่อ เรามาติวกันดีกว่าเนอะ”
เด็กน้อยไม่พูดอะไรต่อนอกจากพยักหน้าหงึกหงักด้วยรอยยิ้มกว้าง หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็หันมาสนใจชีทตรงหน้า ถึงแม้ทุกครั้งที่ปล่อยให้น้องซอทำแบบฝึกหัดนั่นผมจะเผลอมองไปที่ประตูห้องของพี่เซียนก็ตาม เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้จนกระทั่งสาวน้อยเริ่มไม่มีสมาธิและโอดครวญอยากพักนั่นแหละ ผมเลยยุติการเรียนในวันนี้แล้วให้การบ้านเด็กสาวกลับไปทำแบบฝึกหัด
“หิวจังเลยค่ะ”
น้องซอบ่นหลังจากเพิ่งกินขนมที่มารดาฝากมาให้ไปตั้งครึ่งค่อนแล้ว สาวน้อยเหมือนจะรู้ตัวตอนที่ผมเหล่ตามองกองขนมแล้วยิ้มน้อยๆ สาวเจ้าเลยยิ้มปอเหลาะให้เขาทีหนึ่ง
“เดี๋ยวไปดูในตู้เย็นก่อนว่ามีวัตดุดิบอะไรที่พอทำกับข้าวง่ายๆ ได้บ้าง””
โชคดีว่าครั้งนี้ของในตู้เย็นมีทั้งเนื้อสัตว์และผักสองสามชนิด ผมเลยถือวิสาวะทำข้าวผัดง่ายๆ และต้มจืดให้น้องซอ เสร็จแล้วก็ตั้งหม้อต้มข้าวต้มให้คนป่วยสักหน่อย พอปิดแก๊สไปได้พักเดียวเจ้าของห้องก็เดินสะโหลสะเหลอออกมานั่งอึนๆ อยู่ตรงโซฟาห้องนั่งเล่น ผมเลยตักข้าวต้มใส่ถ้วยยกไปเสิร์ฟให้อีกฝ่าย เวลาเกือบสองทุ่มแล้วถ้าให้เดาพี่มันคงยังไม่ได้กินข้าวเย็น
“อะไร”
พี่เซียนเลิ่กคิ้วมองชามข้าวต้ม
“ข้าวเย็นพี่”
คนป่วยทำหน้าแหย
“ไม่หิวเลยว่ะ”
“ไม่หิวก็ต้องกิน ถ้าให้เดาพี่คงยังไม่ได้กินยาใช่มั้ย”
“แค่นอนก็ดีขึ้นแล้ว”
ผมถอนหายใจแรงๆ ให้อีกฝ่าย บทจะดื้อรั้นขึ้นมาพี่เซียนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครเลยจริงๆ เป็นคนป่วยที่น่าฟาดสักที แต่เพราะเห็นใบหน้าเซื่องๆ ซึมๆ หมดสภาพนั่นแล้วผมทำไม่ลงจริงๆ
“น้องซอ พี่ชายน้องซอไม่ยอมกินข้าว มานั่งเฝ้าพี่ให้เขากินที”
สาวน้อยคว้าจานข้าวผัดและต้มจืดมานั่งกินที่ห้องนั่งเล่นทันที เท่านั้นไม่พอเด็กสาวยังขู่ฟอดๆ ว่าจะโทรฟ้องแม่ นั่นแหละพี่มันถึงได้ยอมกินข้าวแต่โดยดี พอกินข้าวเสร็จได้ไม่นานโทรศัพท์น้องซอก็ดังขึ้น
“คุณแม่มารับแล้วค่ะ แต่คงไม่ได้ขึ้นมาเพราะเห็นว่าจะรีบไปคุณป้าที่สนามบินต่อ”
พี่เซียนถอนหายใจโล่ง
“อย่าบอกแม่นะว่าพี่ป่วย”
น้องซอย่นจมูกแต่ก็ยอมพยักหน้าหงึกหงัก
“ได้แค่ แต่พี่เซียนต้องสัญญานะว่าจะกินยาแล้วพักผ่อนเยอะๆ เดี๋ยวหนูถึงบ้านแล้วจะโทรมาหา”
“ไปเถอะ เดี๋ยวแม่รอนาน”
เจ้าของห้องเดินส่งน้องสาวพักหนึ่ง ตอนที่พี่มันขึ้นมาผมเก็บของใส่เป้ ตอนนั้นผมเอื้อมมือไปหยิบถุงกระดาษในเป้ที่มีบางอย่างถูกซักและรีดมาอย่างดีวางพับอยู่ในนั้น
แกรก
เสียงเปิดประตูห้องพี่มันดัง ผมกระชับเป้ที่สะพายแน่นเตรียมตัวกลับแต่ตอนที่ไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายผมสังเกตเห็นสีหน้าของพี่มันแดงขึ้น เท่านั้นไม่พอความร้อนที่แผ่ออกมาจากตัวนั่นทำให้มุ่นหัวคิ้วทันที
“อะไร”
พี่เซียนบุ้ยปากไปยังถุงกระดาษในมือผม
“อ๋อ”
ผมยื่นถุงกระดาษที่บรรจุเสื้อช๊อปของอีกฝ่ายที่ซักรีดเรียบร้อยอย่างดีแล้วมาคืนให้อีกฝ่าย เจ้าของห้องชะโงกหน้าดูของในถุงก่อนจะคลี่ยิ้มน้อยๆ
“ผมซักมาคืน”
คนป่วยกระตุกยิ้มมุมปาก แน่นอนว่ามันทำให้ใบหน้าผมร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูกยิ่งนึกถึงวลีในวงเหล้าเกี่ยวกับเสื้อช๊อปที่ทำเอาผมนอนคิดไม่ตกมาหลายคืน
“ขอบคุณพี่ด้วยที่ให้ยืมใส่วันนั้น”
ผมเกาจมูกแก้เก้อ
“มึงใส่จริงๆ เหรอ”
อดพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้
“ใส่ดิ ใส่จนถูกเพื่อนแซว”
“แซวว่าอะไรล่ะ”
เกลียดชะมัด
เกลียดใบหน้ารู้ทัน แต่ทำเป็นไม่รู้อะไรเลย ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก
“พี่แม่ง”
“เสื้อช๊อปไม่ถอดให้ใครง่ายๆ...”
ผมผวาเลื่อนมือไปปิดปากอีกฝ่ายทันทีกลัวพี่มันพูดจนจบประโยค นั่นแหละมือผมสัมผัสลมหายใจพี่เซียนเต็มๆ
ลมหายใจโคตรร้อนเลย
“พี่กำลังไข้ขึ้น”
“ถึงว่าปวดหัวฉิบหาย”
“งั้นกินข้าวเสร็จแล้วกินยานนอนเลย”
พี่เซียนส่ายหัว
“ไม่มี”
“อะไรไม่มี”
“ห้องกูไม่มียาติดอยู่เลย”
ว่าแล้วเชียว ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะปลดเป้แล้วรูดซิปเปิดกระเป๋าเอายาแก้ไข้ที่แวะซื้อจากร้านขายยาก่อนถึงคอนโดออกมา
“มึงพกยาแก้ไข้ด้วย”
ผมเม้มปากแน่นตอนที่ยื่นถุงยาให้พี่มัน
“เพิ่งพกวันนี้แหละ”
พี่เซียนยิ้มพอใจก่อนจะคว้าเอาไปกิน
“พกถูกวันซะด้วย”
เสียงหัวเราะน้อยๆ ในลำคอนั่นน่าหมั่นไส้จนต้องแยกเขี้ยวใส่ ยิ่งฝ่ายนั้นหยิบเม็ดยาใส่ปากแล้วกลืนน้ำตาม ท่าทางดูชอบใจเม็ดยาขอผมไม่เบา
“กินแล้วก็ไปนอนซะ”
“มึงไม่กลัวกูไข้ขึ้นเหรอ”
หูฝาดเปล่าววะ เหมือนได้ยินเสียงสองจากพี่มัน
“กูอยู่คนเดียวนะ เกิดไข้ขึ้นตอนดึกทำไง”
“1669 สายด่วนแจ้งเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉิน แป๊บเดียวรถพยาบาลก็มาถึง”
ผมตอบเสียงเรียบขณะที่ฝ่ายนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ถ้าแบตมือถือหมดก่อนล่ะ”
“ตอนนี้ก็ชาร์ตใให้เต็มสิครับ”
“เกิดกูหมดสติก่อนจะได้โทรล่ะ”
“...”
“มึงไม่ห่วงกูเหรอ”
ผมเม้มปากแน่นไม่ใช่อะไรกำลังกลั้นขำเสียงสองของผู้ชายตัวโตๆ อย่างพี่เซียน
“ถ้ากูป่วยตายมึงไม่รู้สึกผิดไปทั้งชีวิตรึไง”
“รู้สึก”
“ดี”
คนป่วยขยับรอยยิ้ม
“รู้สึกว่าพี่เป็นคนป่วยที่เจ้าเล่ห์จัง”
เจ้าของห้องยักไหล่ก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนที่โซฟา
“ผ้าขนหนูอยู่ที่เดิม ส่วนชุดนอนเลือกใส่ได้ตามสบายเลย”
“เดี๋ยวๆ ผมไม่ได้บอกว่าจะนอนค้างกับพี่”
“งั้นตอบคำถามกูข้อหนึ่ง”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก ขณะที่ฝ่ายนั้นผุดลุกขึ้น
“ถ้ามึงกลับห้องไป มึงจะนอนหลับมั้ย”
พี่เซียนจ้องหน้าผมผมตรงๆ
แย่แล้ว
หัวใจผมเต้นรุนแรงมาก
“มึงจะนอนหลับมั้ยคืนนี้”
ไม่หลับ ยังไงก็นอนไม่หลับ
เพราะอะไรน่ะเหรอ...ก็เพราะห่วงคนตรงหน้านี้ไง
ผมกับพี่มันจ้องตากันอยู่นานจนฝ่ายหลังถอนหายใจแล้วบุ้ยปากไปด้านหลัง
“เอาคีย์การ์ดสำรองห้องกูไปได้เลย ตอนลงลิฟต์มึงต้องใช้คีย์การ์ด เดี๋ยววันหลังค่อยเอามาคืน วันนี้กูไม่มีแรงไปส่ง แต่มึงรอแป๊บนึงเดี๋ยวกูโทรเรียกไอ้เดี่ยวไปส่งมึงที่หอ มันมืดแล้วกูไม่อยากให้มึงกลับเอง”
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะขยับไปอีกทาง...ทางที่เป็นห้องนอนพี่มัน ผมหันหลังให้พี่เซียน ไม่รู้หรอกว่าตอนนี้สีหน้าพี่เซียนเป็นยังไง แต่ที่รู้ก็คือตอนนี้ผมรู้สึกว่าควบคุมร่างกายตัวเองได้ยากลำบากเหลือเกิน
“ถ้ามึงกลับ กูก็คงนอนไม่หลับ”
เสียงนั้นดังมาจากข้างหลัง
“กูป่วย”
“รู้แล้ว”
ผมยืนนิ่งเมื่อรู้สึกว่าใครบางคนมาหยุดอยู่เบื้องหลัง
“ปวดหัวและเจ็บคอมากๆ”
“รู้แล้ว”
“แล้วมึงรู้มั้ยว่าเวลาป่วย คนป่วยต้องการคนดูแล”
“รู้สิ”
“กูไม่ต้องการให้ใครดูแล”
ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก
“กูต้องการแค่มึง”
“...”
“มึงคนเดียว” ผมยืนอึ้งก่อนที่หันกลับไปเห็นพี่เซียนเดินกลับไปนอนเอามือรองศีรษะแล้วทำท่าหลับไปทั้งที่ใบหน้าคมคายนั่นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
.
.
ตอนที่ผมผละไปอาบน้ำสักพักหนึ่ง กลับมาอีกทีเจ้าของห้องก็นอนหลับสนิทไปแล้ว ผมมาหยุดยืนอยู่เหนือศีรษะพี่มันแล้วเอื้อมมือไปแตะหน้าหน้าผากอีกฝ่าย ตัวมันยังรุมๆ เพราะพิษไข้แต่สีหน้าที่แดงก่ำตอนนี้ดีขึ้นมาก เจ้าของใบหน้าคมคายที่นอนหลับสนิทชวนยิ้มไม่น้อย ข้างๆ กันนั่นเสื้อช๊อปที่ซักรีดมาคืนถูกพี่เซียนคลี่มาคลุมร่างกายตอนนี้
“รู้ว่าสำคัญก็อย่าถอดให้ใครง่ายๆ ก็แล้วกัน”
ผมพึมพำเสียงแผ่วแล้วขยับเสื้อตัวนั้นให้อีกฝ่ายเพื่อปกปิดร่างกายคลายความหนาว ก่อนจะเดินไปเอาผ้าห่มผืนหนามาห่มคลุมให้อีกชั้น ตอนที่ขยับคลี่ผ้าห่มเปลือกตาของคนป่วยก็ขยับเปิดขึ้น
“ไม่เคยถอด”
“อะไร”
“ไม่เคยถอดให้”
เสียงแหบพร่าเพราะพิษไข้เอ่ยออกมา
“มึงคนแรก”
พี่เซียนค่อยๆ ปิดเปลือกตาไปอย่างรวดเร็วหลังจากฝืนมองหน้าผมไปไม่นาน พิษไข้คงกำลังเล่นงานคนตัวโตเข้าให้แล้วล่ะ
“มึงใส่คนแรก...หมูอวกาศ”
ปลายนิ้วที่ขยับผ้าห่มของผมชะงักกึก
เมื่อกี้...ผมไม่ได้หูฝาด
‘หมูอวกาศ’ มีคนเดียว คนเดียวเท่านั้นที่เรียกผมด้วยชื่อนี้
‘ไอ้หมูอวกาศ ชื่อนี้กูเรียกได้คนเดียวเท่านั้น ห้ามใครเรียกนอกจากกู’’
“พี่ยักษ์”
ผมหวนนึกถึงเพื่อนในวัยเด็ก
‘กูชื่อยักษ์’
‘คนอะไรชื่อยักษ์’
‘ชื่อจริงๆ ของพี่เซียนก็มาจากคำว่าทศกัณฐ์ค่ะ’
เพื่อนรุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอกันมาสิบๆ ปี บัดนี้คนในอดีตอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
“ยักษ์ทศกัณฐ์”
ผมพึมพำ
‘หายไวๆ แล้วกูจะพาไปกินไอศกรีมมิ้นท์ของโปรดมึง’ “ไอ้พี่ยักษ์”
ใบหน้าคมคายเพราะพิษไข้มีไรหนวดตามสันกรามนั่นจะเขียวครึ้มเล็กน้อย โครงหน้าราวรูปสลักทั้งที่หลับสนิทแต่ยังดูดุดันสมชื่อเจ้าเมืองยักษ์เหนือหัวกรุงลงกา
“หายไวๆ นะ ผมรู้ว่าพี่เกลียดมินท์”
“...”
“ฉะนั้นผมจะบังคับพี่กินมิ้นท์ โทษฐานที่ปิดปากเงียบมาตั้งนาน”
ผมเบะปากให้อีกฝ่ายทั้งที่ในใจรู้สึกฟูฟ่องเมื่อนึกถึงวันวานที่งดงาม
- J E E B -
พบคนเสียงสองแถวนี้ 55555
หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่อ่านแล้วเมนต์ให้เรานะคะ