'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]  (อ่าน 14877 ครั้ง)

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
,

   วันต่อมาพวกผมออกมากินมื้อเช้า แล้วก็ทำได้แค่นั่งดูเป่าเป้ยเดินไปมา นอน กินอาหาร แล้วก็กลับไปนอนเหมือนเดิม มันกดดันตรงที่เราไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากรอ ทุกอย่างเป็นไปอย่างนั้นจนถึงสิบโมง   

   ในที่สุดพวกเราต้องมานั่งคิดวิเคราะห์กันอย่างจริงจัง โดยที่ผมเป็นคนเปิดประเด็น

   “มาคิดดูแล้วนะคุณ ผมนึกถึงเรื่องที่หมอบอกมาว่า แม่แมวบางตัวก็ต้องการให้คนเลี้ยงดูแล แต่บางตัวก็ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือการที่เรานั่งเฝ้าเป้ยทั้งวันจะทำให้กดดันจนคลอดไม่ออก”

   คนฟังทำหน้าจริงจัง เงียบใช้ความคิดไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับมา

   “คลอดไม่ออกฟังดูเหมือนเป้ยจะอึมากกว่าคลอดลูกอีกอะ”

   ผมหลุดขำกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนที่เขาจะขำตาม แล้วพูดต่อ

   “ก็เป็นไปได้ แล้วเราควรทำไง ไม่สนใจเป้ยเหรอ?”

   “ทำตัวปกติมั้ย แบบเหมือนตอนที่เป้ยไม่ได้ใกล้คลอดอะ คุณเคยทำอะไรก็ทำไป ผมก็เหมือนกัน”

   “นั่นสิ เอาตามนี้ดีกว่าเนอะ”

   “โอเค งั้นผมขอกลับบ้านไปซักผ้าแล้วกัน มีอะไรเรียกนะ”

   นึกดูแล้วก็ขำดีเหมือนกัน กับการที่ผู้ชาย 2 คนต้องมานั่งเครียดจริงจังเพราะเรื่องแมวไม่ยอมคลอดลูก
   
   ผมกลับบ้านมาจัดการเอาเสื้อผ้าใส่เครื่อง เติมน้ำยาแล้วกดซัก ระหว่างรอก็ทำโน่นทำนี่ไป แต่ก็ต้องยอมรับว่า สุดท้ายแล้ว ยังไงความคิดมันก็กลับไปกังวลเรื่องการคลอดลูกของแมวอยู่ดี

   หลังจากตากผ้าเสร็จ ผมก็กวาดพื้นต่อเพราะไม่รู้จะทำอะไร จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกมาจากบ้านข้างๆ

   “คุณ!”
   
   ได้ยินแค่นั้นผมก็รีบวางไม้กวาด วิ่งออกไปดู

   “ว่าไงคุณ เกิดอะไรขึ้น?”

   “เป้ยเริ่มหอบแล้ว”

   “หอบ?”

   “ใช่ หอบแบบในคลิปที่เราส่งให้กันเลย”

   “โอเคๆ เดี๋ยวผมไป”

   ในคลิปวีดีโอที่พวกผมส่งให้กัน ก่อนคลอดแม่แมวจะมีอาการหอบอยู่สักพัก ซึ่งมันเป็นสัญญานที่บอกว่าเวลาแห่งการคลอดใกล้เข้ามาทุกที

   แบบนี้ก็แสดงว่าใกล้คลอดแล้วถูกมั้ย?

   สุดท้ายพวกเราก็กลับมาที่จุดนี้อีกครั้ง จุดที่นั่งล้อมวง ผม คุณไป๋ มะตูม และเป่าเป้ย

   พวกเรานั่งมองเป่าเป้ยที่เอาแต่นอนหอบ แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ถึงแม้อาการหอบแฮ่กแบบนี้จะดูโคตรไม่ปกติ แต่แม่แมวในคลิปวีดีโอที่ดูๆ มาเค้าก็หอบกันแบบนี้นี่แหละ

   สิ่งที่ทำลายความเงียบคือคุณไป๋ที่อยู่ๆ ก็ทำท่าจะลุกขึ้น

   “ผมโทรหาหมอดีกว่า?”

   “ใจเย็นคุณ”

   “เย็นกว่านี้ก็ตู้แช่แล้วนะ”

   คำพูดติดตลกแต่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลของคนตรงหน้าทำให้ผมหลุดขำ ยกมือขึ้นจับข้อมือคนที่พร้อมจะลุกขึ้นพุ่งตัวไปหาโทรศัพท์ แล้วพูดต่อ

   “ตอนนี้อาการเป้ยก็เหมือนแมวในคลิปที่เราดูกัน คุณจำได้มั้ย แต่ถ้ามันเริ่มจะมีอะไรผิดปกติไปจริงๆ เราจะอุ้มเป้ยใส่รถแล้วไปหาหมอกันทันที โอเคนะ?”

   “โอเค”

   คำตอบรับถูกส่งมาพร้อมเสียงถอนหายใจ

   “งั้น เราไปนั่งบนโซฟากันดีกว่า ให้ความเป็นส่วนตัวกับเป้ยหน่อย”

   พูดจบผมก็ลุกขึ้น พร้อมจูงข้อมือคนที่นั่งอยู่ให้ลุกตาม ผมน่ะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา แต่อีกคนกลับเดินไปที่คอมพิวเตอร์ พิมพ์อะไรบางอย่าง ก่อนที่เพลงบรรเลงเปียโนจะดังออกมา จนต้องเอ่ยปากถาม

   “นี่คือผ่อนคลายแมวหรือผ่อนคลายคนฮึ?”

   “ทั้งสองแหละ”

   ผมยิ้มรับคำตอบ ก่อนที่บรรยากาศจะตกอยู่ในความเงียบไปสักพัก ระหว่างนั้นผมก็กวาดสายตามองไปรอบบ้าน ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับชั้นหนังสือที่วางอยู่ตรงมุมนึง จนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

   “ตรงนั้นคือหนังสือที่คุณแปลเหรอ?”

   “ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก แค่บางส่วน ถ้าแปลทั้งหมดนั่น ป่านนี้ผมคงจะอายุสัก 300 ปีแล้วมั้ง”

   รอยยิ้มของคนพูดทำเอาผมยิ้มตาม แล้วถามต่อ

   “ขอดูหน่อยได้มั้ย?”

   “อือฮึ”

   คนฟังพยักหน้ารับ ได้ยินอย่างนั้นผมก็ลุกขึ้น เดินตรงไปยังชั้นหนังสือ ก่อนจะมีคำพูดตามมา

   “อย่ายืนหลับอยู่ตรงนั้นนะคุณ”

   ผมหันกลับไป มองสบตากับคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแล้วหลุดขำ แสดงว่าอีกฝ่ายยังจำได้เรื่องที่เคยบอกไปว่าเวลาเห็นตัวหนังสือเยอะๆ ผมพาลจะหลับซะให้ได้

   พอไปยืนอยู่หน้าตู้ ผมก็ไล่อ่านชื่อหนังสือที่อยู่ตรงสันปก ซึ่งมีทั้งเล่มที่ดูเหมือนจะเป็นนิยายรัก หนังสือวิชาการ หนังสือท่องเที่ยวและอื่นๆ อีกมากมาย แน่นอนว่าผมไม่รู้จักสักเล่มตามประสาคนไม่อ่านหนังสือ ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็มีโทรศัพท์เข้า จากที่ได้ยินคิดว่าน่าจะเป็นคุณแม่โทรมาถามอาการแมว

   สิ่งที่ดึงความสนใจของผมกลับไปอีกครั้งคือเสียงตะกุยแผ่นรองที่ปูไว้อย่างรุนแรงของเป่าเป้ย ผมรีบเดินไปดู พร้อมกับมะตูมที่กระโดดลงมาจากคอนโดแมว ส่วนอีกคนก็รีบบอกวางสายคุณแม่แล้วตามมาทันที

   พวกเรานั่งกันอยู่ที่หน้าห้องคลอดของแม่แมว มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาไม่เข้าใจจนกระทั่งเป่าเป้ยหยุดตะกุย กลับมานอนหอบแบบเดิม แล้วก็ออกมาอ้อนคุณไป๋

   คนที่อยู่ข้างผมอุ้มแม่แมวมานอนบนตัก ลูบตัวให้เบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ หันหน้ามาหากันแล้วพูดต่อ
   
   “จะเป็นลมแล้วคุณ”

   สิ่งที่ผมตอบกลับไปก็คือเสียงหัวเราะ
 
   “บ่ายโมงกว่าแล้ว โทรไปสั่งข้าวหน้าหมู่บ้านมากินก่อนแล้วกันเนอะ ไม่งั้นก่อนแมวจะคลอดมีหวังคนวูบไปก่อน”

   “ได้ๆ ผมขอข้าวผัดกุ้งนะ ไม่ใส่ผักนะ”

   “เด็กปะเนี่ย ไม่กินผัก”

   “ก็มันไม่อร่อยอะ”

   “โอเคๆ”

   ผมรับคำ ไม่ขัดใจเขา แล้วก็โทรสั่งอาหารตามที่พูดไว้

   กระทั่งข้าวมาส่ง จนพวกผมนั่งกินจนหมด เป้ยก็ยังไม่ทำอะไรมากไปกว่าการหอบ เดินไปมา และเข้าไปคุ้ยห้องคลอด

   สิ่งนึงที่สังเกตได้คือ สเต็ปการคุ้ยของคุณเธอดูเหมือนจะเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้แผ่นรองกระจุยไปแล้วหนึ่ง และต้องเปลี่ยนใหม่

   ดูจากสถานการณ์ พวกผมมั่นใจแล้วว่าเป้ยจะคลอดลูกวันนี้แน่ๆ เลยเริ่มจัดการเอาโต๊ะตัวเล็กมากางและเตรียมอุปกรณ์ เริ่มจากเอากรรไกร กับเส้นด้าย มาทำความสะอาด และเก็บไว้อย่างดี เพื่อใช้ในกรณีที่แม่แมวไม่กัดสายสะดือด้วยตัวเอง รวมถึงผ้าขนหนูสะอาด น้ำเปล่า กะละมัง ทิชชู่ ไปจนถึงเบตาดีน

   สถาการณ์ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ สำหรับมือใหม่อย่างพวกเรา

   ทุกอย่างเป็นไปอย่างนั้นจนกระทั่งบ่ายสาม เป่าเป้ยเริ่มทำท่าทางแปลกๆ ก็คือการเลียก้นตลอดเวลา คุณไป๋เป็นคนเดินไปถึงตัวแมวก่อน หลังจากนั่งจ้องอยู่สักพักก็หันมาพูดกับผม

   “มันเหมือนมีน้ำอะไรออกมาอะคุณ ใกล้คลอดแล้วแน่เลย”

   พูดจบเจ้าตัวก็อุ้มลูกสาวไปใส่ไว้ในรังที่เตรียมเอาไว้ แน่นอนว่าผมกับมะตูม ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากมองด้วยความกังวลผสมตื่นเต้น

   เป่าเป้ยนอนหอบอยู่อีกพักใหญ่ จนกระทั่งส่วนท้องเริ่มขยับเกร็ง ตอนนั้นเองที่คนข้างๆ หันมาหาผมแล้วพูดต่อ

   “น่าจะเบ่งแล้วนะคุณ”

   “ผมก็ว่างั้น”

   สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือเป่าเป้ยเริ่มร้อง และมีท่าทางที่พอจะดูออกแล้วว่ากำลังเบ่งให้ลูกออกมา คุณไป๋นั่งมองอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้ ใช้มือลูบเบาๆ ไปตามร่างกายแม่แมวอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูดไปด้วย

   “ใจเย็นน้า ปะป๊าอยู่กับเป้ยนะครับ”

   แล้วนั่นไอ้ตูมมันจะไปนั่งเจ๋ออะไรกับเค้าด้วยล่ะวะ!

   สักพักก็เริ่มมีบางอย่างออกมาจากก้นเป้ย เป็นทรงกลมๆ เหมือนถุงน้ำใสๆ ที่มีอะไรอยู่ในนั้น จนผมต้องถาม

   “อันนี้คือเริ่มคลอดแล้วใช่มั้ยคุณ?”

   “น่าจะนะ”

   พอได้คำตอบผมก็ขยับเข้าไปใกล้ เริ่มสังเกตว่าเป่าเป้ยจะร้องเบาๆ ทุกครั้งที่เบ่งลูก พร้อมกับที่ถุงน้ำอันนั้นมันเลื่อนออกมามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพอมองออกแล้วว่าสิ่งที่อยู่ข้างในคือลูกแมว แต่ยังไม่ทันออกมาจนหมด แม่แมวที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นเปลี่ยนท่านอน พร้อมกับลากลูกที่ยังออกมาแค่ครึ่งตัวและติดอยู่ที่ก้นไปด้วย

   “เป้ย!!”

   “ใจเย็นคุณ เดี๋ยวตกใจกันไปหมด”

   ผมพูดพลางเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายมาบีบเอาไว้แรงๆ เพื่อให้กำลังใจ ก่อนจะได้ยินเขาพูดต่อ

   “โอเคๆ ป๊าจะไม่กวนแล้ว”

   แล้วเราก็นั่งกันอยู่ตรงนั้น  ตรงหน้ามีแม่แมวที่ตอนนี้เปลี่ยนไปยืนแบบย่อตัว พร้อมกับแรงแบ่งที่มากขึ้น

   ผมมองภาพตรงหน้าอย่างไม่สามารถละสายตาได้ แถมยังไม่รับรู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดก็มีลูกแมวตัวนึงออกมาจริงๆ

   เจ้าตัวเล็กยังอยู่ในสภาพเปียกยับเยิน และสิ่งที่ผมกับคุณไป๋ทำพร้อมกันคือการถอนหายใจออกมาจนสุด ทั้งที่มือยังจับกันแน่น

   พวกเรา 2 คนกับอีก 1 แมวจับตาดูเป่าเป้ยที่กำลังมองลูกน้อยของตัวเอง แต่ไม่ยอมทำอะไร แถมยังเงยหน้าขึ้นมาร้องเมี๊ยวใส่กันอี แล้วความโล่งใจก็กลับไปเป็นความกดดันอีกครั้ง

   ท่ามกลางบรรยากาศอันสับสน ในที่สุดคุณไป๋ก็พูดออกมา

   “เลียครับลูก เลียตัวน้องให้สะอาด”

   ได้ยินอย่างนั้นเป้ยก็กลับไปมองลูกแมว ซึ่งบอกตามตรงเลยว่าในสายตาผมตอนนี้มันดูเหมือนเอเลี่ยนเอามากๆ หลังจากแม่แมวนั่งนิ่งไปสักพัก สุดท้ายก็เริ่มลงมือเลียตัวสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เพิ่งคลอดออกมา แล้วก็กัดสายรกจนขาด

   เลือดที่พุ่งออกมาตอนแม่แมวกัดสายรกทำเอาผมสะดุ้งไปเลย

   ช่วงเวลาที่แม่แมวกำลังค่อยๆ ทำความสะอาดเจ้าตัวเล็ก เป็นเหมือนการพักเบรกให้พวกผมได้พักหายใจ และในที่สุดเสียงร้องเมี๊ยวเบาๆ ก็ดังขึ้น

   ... มันคือเสียงเล็กๆ ที่เป็นยิ่งกว่าของขวัญสำหรับเราทุกคน

   พอทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ผมก็ถอนหายใจอีกครั้งอย่างโล่งอก แล้วก็แน่ใจเลยว่าถ้าไอ้ตูมถอนหายใจได้ มันก็คงทำด้วย สิ่งที่ทำเป็นลำดับถัดไปคือการหันไปมองคุณไป๋ ส่งยิ้มให้กัน พร้อมกับที่ผมเห็นว่ามีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาคู่นั้น ผมลูบไหล่เขา แล้วพูดต่อ

   “ตัวแรกผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากนี้คงไม่มีอะไรแล้วแหละคุณ”

   “นั่นสิ เป็นพ่อแมวแล้วน๊ามะตูม”

   เขายื่นมือไปลูบหัวไอ้แสบตูม พอผมเห็นหน้าพริ้มเพราะมีความสุขของมัน แล้วก็นึกอยากจะตีหัวเหลืองๆ เข้าให้สักที มึงนั่นแหละตัวต้นเรื่องเลย!

   หลังจากโดนแม่เลียตัวอยู่พักใหญ่ เจ้าตัวเล็กที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกก็เริ่มดูเหมือนเอเลี่ยนน้อยลง และเหมือนแมวมากขึ้น แถมยังเรียนรู้ที่จะคลานไปกินนมแม่ด้วยตัวเอง

   คำถามคือ แล้วตัวอื่นๆ ล่ะ? สงสัยปุ๊บ ผมก็หันไปถามอีกคนทันที

   “เราต้องรออีกนานมั้ยกว่าตัวที่ 2 จะออกมา”

   “ผมอ่านในเน็ต เค้าบอกว่ามันจะมีระยะหน่อยอะ นานสุดๆ ก็คือ 15 นาที”

   “สิบห้านาที!”

   “ใช่...”

   “เครียดเนาะ”

   “สุดๆ”

   เรานั่งอยู่ตรงนั้นไปอีกประมาณ 5 นาที ก่อนที่เป่าเป้ยจะเริ่มทำท่าเบ่งอีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นลูกแมวตัวแรกที่อยู่ในลังก็ตัวเริ่มแห้ง จนเห็นชัดเจนแล้วว่าเจ้าตัวเล็กมีขขนสีส้มอ่อน

   พอลูกแมวตัวที่ 2 เริ่มโผล่ออกมานิดๆ อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมาเกาะแขนผมไว้แล้วพูดต่อ

   “ตัวที่ 2 มาแล้วคุณ”

   ผมก้มหน้าลงไปใกล้มากขึ้น พอก็เห็นว่าไอ้ถุงน้ำใสๆ แบบเดิมมันออกมาอีกอันนึงแล้ว ก็ยกมือขึ้นตบเบาๆ ที่หลังมือของอีกคน แล้วพูดกับแมว

   “สู้ๆ นะเป้ย”

   โชคดีที่เป่าเป้ยดูเหมือนจะรับมือกับทุกอย่างได้ดี และดีมากขึ้นเรื่อยๆ ในการคลอดครั้งถัดไป

   พวกผมเองก็เริ่มชินกับการคลอดลูก ถุงน้ำคร่ำ สายรก แล้วก็เลือดของแมวแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ระหว่างที่เป้ยกำลังคลอดลูกตัวถัดไป จะมีก็แต่ไอ้ตูมที่เดินไปกินข้าวบ้านคนอื่นหน้าตาเฉย แต่สุดท้ายก็กลับมานอนอยู่บนพื้นไม่ไกลจากจุดที่พวกผมนั่งอยู่

   ในที่สุดลูกแมวก็คลอดออกมาครบทั้ง 4 ตัว

   ผมโคตรจะรู้สึกโล่งใจเลยให้ตาย พอหันไปเห็นคนข้างๆ ที่กำลังเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟ ในสภาพหน้าเครียด เหงื่อซึมออกมาเต็มหน้าผาก แถมยังไม่รู้ตัวว่าโดนมองเพราะสายตาเอาแต่จับจ้องอยู่กับแม่แมวและลูกๆ ผมก็ถึงกับหลุดยิ้มออกมา

   เรานั่งมองเจ้าเหมียวสี่ตัวกินนมแม่อย่างมีความสุข ถึงแม้รอบด้านจะเต็มไปด้วยความเลอะเทอะ แถมเลือดยังติดอยู่ที่ก้นเป่าเป้ยเต็มไปหมด

   ผมอดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้ และส่งไปให้พวกลุงไอ้ตูมดู

   แต่ความสงบก็มาเยือนได้ไม่นาน เมื่ออยู่ดีเป่าเป้ยก็ทำท่าจะเบ่งลูกอีกครั้ง ครั้งแรกที่ขยับผมยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่พอแม่แมวเกร็งท้องแล้วส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ อีกที ก็ชัดเจนเลยว่ากำลังเบ่งลูก

   พวกผมหันมามองหน้ากัน ต่างฝ่ายก็ต่างตกใจ แต่ก็ทำได้แค่จับตามองสถานการณ์ตรงหน้าต่อไปเรื่อยๆ การเห็นลูกแมวคลอดออกมาสี่ตัวแล้วทำให้เรารับมือกับอะไรได้มากขึ้น

   หลังจากนั้นไม่นานลูกแมวตัวที่ 5 ก็คลอดออกมาจริงๆ ในสภาพถุงน้ำคร่ำยังคงหุ้มอยู่รอบตัวและรกยังอยู่ในท้องแม่ เจ้าเหมียวเลยโดนเชื่อมไว้กับตัวแม่ด้วยสายสะดือ แต่สิ่งที่เป้ยทำก็คือการนอนให้นมลูกอีกสี่ตัวต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   ตอนนั้นเองที่สถานการณ์กลับไปสู่สภาวะวิกฤตอีกครั้ง

   พวกผมอดทนนั่งสังเกตการณ์ไปโดยที่ไม่เข้าไปยุ่งจนเวลาผ่านไปประมาณ 2 นาที  ในที่สุดคุณไป๋เค้าก็ทนไม่ไหว ตัดสินใจหยิบถุงมือขึ้นมาใส่ แล้วพยายามประคองหัวแม่แมวให้เข้ามาใกล้เจ้าตัวเล็กที่เพิ่งคลอด ผลคือเป่าเป้ยไม่สนใจ สิ่งต่อไปที่เขาทำเลยเป็นการลูบตรงโคนหางให้แม่แมวเบ่งรกออกมา และผลก็คือ เป่าเป้ยยังคงนิ่งสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   จนคุณไป๋เค้าต้องหันมาหากัน แล้วพูดต่อ

   “ผมจะฉีกถุงน้ำคร่ำเอง”

   ผมพยักหน้ารับ และไม่ทันได้เตรียมใจตอนที่อีกฝ่ายฉีกถุงน้ำใสๆ ที่หุ้มตัวลูกแมวออก สิ่งที่ทำต่อไปคือการพยายามใช้ผ้าซับเจ้าตัวเล็กให้แห้งมากที่สุด ทุกอย่างเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะสายสะดือของลูกแมวยังคงเชื่อมอยู่กับแม่ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

   ปัญหาคือตอนนี้เจ้าน้องเล็กกำลังพยายามจะคลานไปกินนมแม่ให้ได้ ทั้งที่สายสะดือยังคงเชื่อมอยู่

   ตอนนั้นเองที่คนข้างๆ หันมาปรึกษากับผม

   “เอาไงดีคุณตัดเลยมั้ย?”

   “หมายถึงว่า คุณจะตัดสายสะดือทั้งที่มันยังเชื่อมอยู่กับตัวเป้ยเงี้ยเหรอ?”

   “อืม ผมกลัวเค้าคลานแล้วดึงจนขาดอะ ไม่รู้จะอันตรายมั้ย ตอนเป้ยกัดเองยังเลือดกระฉูดเลย”

   “นั่นสิ...”

   ผมตอบกลับ มองภาพตรงหน้าอยู่สักพัก ซึ่งก็วุ่นวายไม่เบาเลย ตอนนี้คุณไป๋ต้องจับลูกแมวไว้ เพราะเจ้าตัวเล็กพยายามจะคลานไปกินนมแม่ไม่หยุด

   สุดท้ายผมก็ตัดสินใจพูดออกไป

   “ตัดเลยแล้วกัน”

   “โอเค คุณเป็นคนตัดนะ ผมไม่เก่งงานฝีมือ”

   “จริงๆ เลยนะคุณเนี่ย”

   สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมหลุดขำออกมาแบบฝืนๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วหันไปหยิบถุงมือมาใส่

   บอกตามตรงว่าบรรยากาศตอนนี้ไม่ต่างจากฉากหมอผ่าตัดคนไข้ที่เคยดูในหนังเลย มีถุงมือ กรรไกร ด้าย ยา แถมยังมีไฟส่อง

   ใส่ถุงมือเรียบร้อยผมก็พูดต่อ

   “คุณจับแมวไว้นะ เดี๋ยวผมผูกด้ายแล้วตัดสายสะดือเอง”

   พูดจบก็มองสบตาคนตรงหน้าอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ พอเราพยักหน้าให้กัน ผมก็หันไปหยิบด้ายที่ล้างน้ำยาเอาไว้จนสะอาดขึ้นมาผูกตรงสายสะดือแมว ตามคลิปวีดีโอซึ่งดูมาแล้วหลายครั้ง พร้อมกับที่เสียงจากคนข้างๆดังขึ้น

   “แน่นๆ นะคุณ สองทบไปเลย”

   “โอเคๆ”

   ผูกเสร็จผมก็หยิบกรรไกร นาทีนั้นแหละที่หัวใจมันดันเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาซะดื้อๆ รู้สึกเหมือนกำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ยังไงก็ไม่รู้

   ผมถือกรรไกรปลายมน ยื่นเข้าไปใกล้ สูดหายใจลึกๆ แล้วก็จัดการตัดฉับเข้าที่ท่อซึ่งเชื่อมแม่ลูกเอาไว้ ผลที่ออกมาก็คือเลือดกระฉูดจนแดงไปหมด

   ถึงแม้จะเห็นภาพนี้มาแล้วหลายครั้ง  แต่บอกเลยว่าเลือดที่พุ่งออกมาจากสายสะดือที่ผมลงมือตัดด้วยตัวเอง ยังไงก็ดูน่าสยดสยองจนเกินบรรยาย

   ผมมองภาพเจ้าแมวตัวเล็ก สลับไปมากับกรรไกรในมือตัวเอง ทั้งตื่นเต้น กังวล ปั่นป่วน จนถึงกับต้องพูดออกมา

   “เชี่ย ตอนเรียนแค่ตัดโม ตอนนี้ตัดสายสะดือแมวแล้วว่ะ”

   พูดจบเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังมาจากอีกคนทันที

   เพราะเป่าเป้ยไม่ยอมเลียลูก คุณไป๋เลยต้องเอาเจ้าเหมียวน้องเล็กมาเช็ดด้วยผ้าขนหนูจนเริ่มแห้ง ก่อนจะเอาไปวางไว้กับพี่ๆ ที่กำลังดูดนมอยู่

   ส่วนผมที่วางกรรไกรไปแล้วก็ต้องมาช่วยดึงรกที่ยังอยู่ในท้องแม่แมวออกมา เราปรึกษากัน และตกลงว่าจะทิ้งมันไปซะ

   พอเห็นว่าเป้ยเริ่มเลียทำความสะอาดร่างกายตัวเอง ก็เข้าใจได้ว่าการคลอดจบลงเรียบร้อยแล้ว

   ครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ที่ผมถอนหายใจออกมาจนสุด วางข้อศอกพิงโต๊ะตัวเล็กที่อยู่ใกล้ๆ แล้วทิ้งน้ำหนักลงไปในสภาพอ่อนแรง ก่อนจะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่พิงลงมาบนต้นแขนผมอีกที ตามด้วยคำพูด

   “ลูกแมวเกิดเรียบร้อย ส่วนคนอะ เหมือนจะตายซะให้ได้เลย”

   คำพูดนั้นเจือด้วยรอยยิ้มอ่อนล้า ที่ผมเองก็ยิ้มรับไปเหมือนกัน

   นั่งพักอยู่ไม่นานพวกผมก็ลุกขึ้น เก็บอุปกรณ์ทั้งหมดไปล้างและตั้งใจจะให้เวลาส่วนตัวกับแม่แมวและลูกๆ

   ระหว่างที่กำลังล้างมือ คุณไป๋เค้าก็พูดขึ้นมา

   “ได้ของแถมเฉยเลยเนาะ”

   “ลูกแมวอะนะ?”

   “อือฮึ ตอนแรกผมคิดว่าจะคลอดสี่ตัวซะอีก”

   “ตอนเอ็กซเรย์อาจจะเบียดกันจนหมอมองเห็นไม่ชัดมั้ง”

   “คงงั้นแหละ”

   “นี่คุณ... เจ้าตัวสุดท้ายอะผมจองได้มั้ย สีมันเหลืองเข้มกว่าตัวอื่นชัดเจนเลย อยากให้ชื่อมะนาว”

   คนฟังหันมาทำหน้ามุ่ยไม่จริงจังใส่กัน ก่อนจะพูดต่อ

   “แล้วถ้ามันเป็นผู้ชายล่ะ เพิ่งคลอดเอง ยังดูเพศไม่ได้เลย”

   “เฮ้ย ผู้ชายก็ชื่อมะนาวได้นะ เท่จะตาย ไอ้นาวไง”

   “เท่พอกันกับมะตูมเลยเนอะ”

   แน่นอนว่าคนพูดประชด จนผมต้องแกล้งสะบัดน้ำในมือใส่ไปทีนึง พร้อมกับที่เสียงโวยวายดังตามา

   “คุณ เล่นเป็นเด็ก!”

   พวกผมตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับรังของเป้ยและลูกๆ ถึงแม้ว่าสภาพตอนนี้มันจะทั้งเลอะเทอะ และเต็มไปด้วยคราบเลือด เพราะอยากให้แม่แมวได้ผ่อนคลายแล้วก็ปรับตัวอีกหน่อย

   หลังจากเก็บล้างทุกอย่างเรียบร้อย เราก็เลยมานั่งหมดแรงกันอยู่บนโซฟา ผมทิ้งตัวพิงเบาะนุ่มๆ ส่งรูปถ่ายรายงานสถานการณ์ให้กับพวกลุงไอ้ตูม ส่วนเจ้าของบ้านถึงกับกอดหมอนที่วางไว้แล้วก็ฟุบตัวลงนอน

   พิมพ์ข้อความคุยกับเพื่อนอยู่สักพัก หันไปอีกฝั่งก็เห็นคุณไป๋กำลังเอาหน้าแนบกับหมอนแล้วหลับตา จนเวลาผ่านไปสักพักก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว ผมถึงได้แน่ใจว่าคงหลับไปแล้ว

   ภาพตรงหน้าผมตอนนี้คือใบหน้าที่แนบกับหมอนกำลังค่อยๆ ขยับเหมือนกำลังจะตกลงมา ไม่ทันไรเจ้าตัวสะดุ้งตื่นแล้วทำตาโต

    วินาทีนั้น ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองของผมน่ะเหรอ?

   ‘น่ารักว่ะ’

   ฮะ...?

   ผมเหลือบสายตามองไปที่อื่นสักพัก ถามตัวเองอีกทีว่าเมื่อกี๊คิดอะไรอยู่ พอก็กลับมายังคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล ก็พบว่าความคิดนั้นยังคงอยู่

   สิ่งต่อมาที่ผมทำได้คือการมองจอโทรทัศน์สีดำสนิทเพราะไม่ได้เปิดเครื่อง พร้อมกับพยายามเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้  ในใจผมมันรู้สึกแบบ ฟูๆ นุ่ม ๆ เหมือนมีความฟูนุ่มบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้เกิดขึ้นในนั้น

   เพื่อนบ้านผมเป็นคนหน้าตาดี อันนี้ยอมรับ และในชีวิตนี้ผมก็เห็นผู้ชายหน้าตาดีมาเยอะเยอะมากมาย แต่ไม่เคยคิดเลยว่าใครสักคนในนั้น มีความ 'น่ารัก' อย่างที่รู้สึกอยู่ตอนนี้

   พอดึงสายตากลับมายังอีกคนที่อยู่ในบ้าน ก็พบว่าเขาเองก็มองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว ทันทีเราสบตากันอีกฝ่ายก็เลิกคิ้วขึ้น เหมือนจะถามว่าเป็นอะไร และสิ่งที่ผมตอบกลับไปได้ก็มีแต่ความเงียบ โดยที่สายตาเรายังไม่ละออกจากกัน

   ผมเองก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ก่อนที่คนตรงหน้าจะพูดขึ้น

   “ถ้าไม่มีคุณ ผมแย่แน่ๆ”

   “...”

   ผมเงียบ ทำได้แค่ยิ้มโง่ๆ เนื่องจากสมองยังว่างเปล่าเพราะความรู้สึกฟูนุ่ม ก่อนที่คนตรงหน้าจะพูดต่อ

   “เป็นอะไร? อยากกินหมูย่างเกาหลีเหรอคุณ?”

   โถ่เว๊ย! สิ่งที่ได้ยินทำเอานึกอยากจะเดินเอาหัวไปโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด!

   ผม...ชุน พ่อไอ้ตูม ชายหนุ่มวัย 26 ปี วันนี้ได้ลองทำคลอดแมวครั้งแรก แถมยังได้รู้จักกับความฟูนุ่มที่มองไม่เห็นเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน

   และเมื่อได้มองสบตากับเขาที่เป็นต้นเหตุของความฟูนุ่มอย่างลึกซึ้ง คนๆ นั้นก็คิดว่า

        ...ผมอยากกินหมูย่างเกาหลี


- to be continued -





ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
พ่อมะตูมใจฟูๆแล้ว    :katai2-1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
โอย ลุ้นระทึกไปกับทั้งสองหนุ่ม เหมือนนั่งดูไลฟ์แมวคลอด

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อ่านแล้วเหมือนได้ไปร่วมนั่งทำคลอดแมวด้วยกัน ช่วงเวลารอแมวคลอดนี่มันลุ้นจนเหนื่อยจริงๆนะ 555555

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
ลุ้นกับการทำคลอดเป้ย สุดท้ายก็ได้ใช้ของที่เตรียมไว้นะ ฮาาาาาา

ขอความเชื่อมโยง นุ่มฟูกับหมูย่างเกาหลีหน่อย คือคิวใช่มั๊ยหรือยังไง

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0

- 05 -

เช้าวันต่อมาผมตื่นนอนเพราะเสียงร้องไห้...

หลังจากโดนปลุกด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ ผมก็รับสาย และสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ต้องลุกจากที่นอน คว้าเสื้อมาใส่ตัวนึง วิ่งลงชั้นล่างทั้งที่ยังไม่ได้ล้างหน้าหรืออะไรทั้งนั้น เพื่อไปยังบ้านข้างๆ

ผมเปิดประตูบ้านเขาเข้าไปด้วยตัวเอง และพบว่าคนที่เพิ่งโทรมานั่งอยู่บริเวณสนามหญ้า

ทันทีที่รู้ว่าผมเข้ามา เขาลุกขึ้น หันมาทางนี้ สิ่งแรกที่สะดุดตาผมเลยคือดวงตาทั้ง 2 ข้างที่มีน้ำตาคลออยู่ คำพูดสั้นๆ ที่อีกฝ่ายบอกกันตอนที่โทรมาก็คือ ‘ลูกแมวตาย’

ผมเดินไปหาเขา หยุดลงตรงหน้า สายตามองเลยไปยังกล่องกระดาษใบเล็กที่วางอยู่บนพื้น ก่อนจะยกมือขึ้นกุมไหล่เขา ลูบเบาๆ

“ไม่เป็นไรนะคุณ”

“...”

คำตอบคือการพยักหน้า ก่อนที่ผมจะถามต่อ กับความรู้สึกหนักอึ้งในจิตใจ

“ทุกตัวเลยเหรอ?”

“บ้าดิ”

อีกฝ่ายตอบรับทั้งๆ ที่ตากับจมูกแดงไปหมด

“อ้าว...”

“ตัวเดียว!”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วถามต่อ

“ตัวไหน”

“ตัวที่เราทำคลอดให้มัน ตัวสีส้มที่เกิดมาเป็นตัวสุดท้าย”

พูดจบ คนตรงหน้าก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ผมมองคนที่ยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วถอนหายใจ เดี๋ยวเครียด เดี๋ยวโล่งใจ แล้วก็ต้องมาเศร้าต่อ บอกตามตรงว่าสับสนไปหมด

ผมยืนอยู่ตรงนั้น ยังคงกุมไหล่เขาเอาไว้แล้วก็นิ่งไปสักพัก ก่อนจะถามต่อ

“เขาอยู่ในนั้นเหรอ?”

ผมหมายถึงกล่องกระดาษที่วางอยู่ และคนฟังพยักหน้ารับ

“ผมห่อไว้ด้วยผ้าขนหนู แล้วก็ใส่ไว้ในกล่อง”

น้ำตาของคนพูดยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ ผมมองเขา แล้วเลื่อนสายตากลับไปยังกล่องที่วางอยู่บนพื้นหญ้า มันเล็กมากๆ ขนาดประมาณฝ่ามือผม แต่กลับมีหนึ่งชีวิตอยู่ในนั้น

ความคิดในใจเถียงกันไปมาว่าอยากจะเห็นเจ้าตัวเล็กอีกสักครั้งไหม มั่นใจเลยว่าถ้าได้เห็นแล้วก็คงไม่ได้ทำให้รู้สึกดีอะไร แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าเขาจากไปในสภาพไหน สุดท้ายก็ถามออกมา

“เค้า...ดูเป็นยังไงบ้าง?”

“เหมือนนอนหลับไป ไม่มีแผล ไม่มีเลือดอะไรเลย”

“...”

“ผมไม่น่าขึ้นไปนอนในห้องเลย น่าจะอยู่ข้างล่างอีกสักวัน ไม่งั้นคง...”

ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ผมรั้งเขาเข้ามากอด แล้วพูดออกมาเบาๆ

“คุณทำดีที่สุดแล้ว”

“แต่อาจจะยังดีไม่พอ”

นาทีนั้นใจผมคิดไปสารพัด ลูกแมวตัวนี้อาจจะตายด้วยตัวเอง หรือ สิ่งที่เราทำเมื่อวานมันอาจจะมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง จนเค้าต้องตาย ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ผมก็คือคนนึงที่ลงมือคร่าชีวิตเล็กๆ ชีวิตนึงไปโดยไม่รู้ตัว

นอกเหนือจากความเสียใจ... คือความรู้สึกผิด

สักพักผมก็ผละอ้อมกอดออก ก้มลงมองเขา ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นเช็ดหน้าตัวเอง แล้วค่อยๆ พูดต่อ

“ผมจะฝังเค้าไว้ที่สนามหญ้า แล้วก็จะปลูกต้นไม้ให้ แต่บ้านไม่มีจอบเลยอะ”

เห็นคนพูดที่ทำหน้าเซ็ง น้ำตายังคลอ แถมยังตาบวมเพราะร้องไห้ แล้วผมก็หลุดยิ้มฝืนๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ากัน แล้วตอบกลับ

“บ้านผมมี เดี๋ยวไปเอามาให้”

“ขอบคุณนะ”

“แล้วตัวอื่นเป็นยังไงบ้าง”

“ผมไปดูมาแล้ว ก็ดูแข็งแรงดี ไม่รู้สิ...”

“ไปดูกัน”

หลังจากนั้นเราก็เข้ามาในบ้าน ผมมองลูกแมวสี่ตัวที่กำลังกินนม กับแม่แมวที่นอนตะแคงเพื่อให้ลูกดูดนมได้สะดวกยิ่งขึ้นแล้วก็ยิ้มออกมา พร้อมกับยื่นมือไปลูบหัวเป้ยเบาๆ

“เหนื่อยแย่เลยคุณแม่”

ส่วนคุณไป๋เดินเข้าไปในครัว แล้วออกกลับมากับกล่องใบเดิมที่ตอนนี้อยู่ในถุงซิปล็อกใบใหญ่ ผมหันไปมอง ตกใจไปนิดนึง พร้อมกับได้ยินคำอธิบาย

“ผมกลัวมดขึ้นอะ เก็บเค้าไว้อย่างนี้ก่อนแล้วกัน”

“งั้นเรารีบไปซื้อต้นไม้กันมั้ย?”

แล้วพวกเราก็แยกย้ายกัน

ผมกลับไปบ้าน เพื่ออาบน้ำแต่งตัว พอเดินไปถึงหน้าประตูก็เจอไอ้ตูมมานั่งรออยู่ตรงที่ประจำ เลยแวะลูบหัวเกาแก้มให้ไอ้ตัวแสบ แล้วอยู่ๆ ก็นึกถึงที่คุณไป๋เคยพูดเรื่องการเลี้ยงแมวของผม ว่าการปล่อยให้มะตูมเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระมันเสี่ยงแค่ไหน ไม่ว่าจะรถชน ติดโรค โดนหมาหรือว่างูกัด

เหตุการณ์เหล่านั้นเคยเป็นอะไรห่างไกลมากในความรู้สึกของผม ‘ไอ้ตูมมันเก่ง ต้องเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว’ ผมเคยคิดอย่างนั้น

แต่ในวันนี้ วันที่การสูญเสียเป็นเรื่องใกล้ตัวเข้ามา จนเกิดขึ้นให้เห็นอยู่ตรงหน้า ผมได้เรียนรู้จากเจ้ามะนาวว่า ความตายเป็นอะไรที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราจะไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก

ผมมองหน้ามะตูม พร้อมกับที่มันเงยหน้าขึ้นมาแล้วร้องเมี๊ยวใส่ผมเช่นกัน จนต้องลูบหัวให้อีกครั้ง

“ไว้กูกลับมาแล้วเราไปฝังศพมะนาวกัน”



เราออกมาที่ตลาดต้นไม้ด้วยรถของผม ระหว่างทางคุณไป๋เค้าก็ใช้โทรศัพท์มือถือหาข้อมูลต้นไม้ที่จะปลูก แล้วก็มีตัวเลือกในใจอยู่สองสามต้น แต่พอไปดูจริงๆ ผมกลับไปสะดุดตากับต้นไม้ที่มีชื่อเดียวกับเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะหันมาถามคนข้างๆ

“ต้นมะนาวมั้ยคุณ?”

บรรยากาศความเศร้าที่ล้อมรอบเขาอยู่หายไปมากแล้ว ผมเองก็ค่อยๆ ทำใจกับการสูญเสียได้อย่างช้าๆ

คนฟังหันมามองหน้าผม ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วถามต่อ

“ต้นมะนาวเลยเหรอ?”

“อื้อ”

“ปลูกแล้วต้องทำกับข้าวกินเองมั้ยเนี่ย?”

“หรือว่าเลม่อนดี”

“เลม่อน?”

“อืม เวลาออกลูกจะเป็นสีเหลืองเหมือนเจ้ามะนาว”

“หลุดธีมจากที่คิดมาไปไกลเลยอะ”

ตอนแรกคุณเค้าเล็งไว้ว่าจะปลูกต้นฟอร์เก็ทมีนอต หรือไม่ก็พวกไม้ดอกความหมายดีๆ อย่างดอกแก้ว แต่เนี่ย มาจบที่ปลูกมะนาวได้ยังไงก็ไม่รู้

ผมยิ้มรับแล้วก็เงียบ ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้ความคิด พอถึงช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจก็ไม่ค่อยอยากออกความเห็นอะไร เพราะต้นไม้จะโตอยู่ในบ้านของอีกคน

หลังจากปล่อยให้เขาก้มๆ เงยๆ มองต้นเลม่อนอยู่สักพัก พร้อมกับที่คนขายโฆษณาว่าปลูกไม่ยากอย่างนั้นอย่างนี้ ในที่สุดเขาหันมาหาผม แล้วบอกกัน

“เลม่อนก็เลม่อนเนอะ”

“ตามใจคุณเลย”

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจซื้อต้นเลม่อน แล้วเราก็พากันกลับบ้าน พอมาถึง ผมจัดการหาจอบในห้องเก็บของ ซึ่งไม่เคยถูกหยิบมาใช้เลย ตั้งแต่พ่อไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้

พอมาถึงบ้านข้างๆ ก็เจอคุณไป๋รออยู่แล้วกับถุงซิปล็อกใบนั้น ส่วนไอ้ตูมนั่งอยู่ที่กำแพงระหว่างบ้านทั้ง 2 หลัง พอผมเริ่มลงมือขุด มันก็เดินมาดูด้วยความสงสัย

ระหว่างนั้นอีกคนเดินไปเด็ดดอกคุณนายตื่นสายที่กำลังบานพอดี พอได้ดอกไม้ในมือมาประมาณนึงเขาก็เดินกลับมา แล้วถามกัน

“ช่วยขุดมั้ยคุณ?

“นิดเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอก”

ได้หลุมลึกพอประมาณ คนตรงหน้าก็เอากล่องออกมาจากถุง แล้ววางลงไปในหลุม ก่อนจะเอาดอกไม้ที่เก็บมาโปรยลงไปด้านบน

จากที่คุยกันระหว่างกลับมา ผมต้องขุดหลุมให้ลึกเพื่อที่จะฝังเจ้าตัวเล็กลงไปก่อน แล้วกลบ 1 ชั้น ก่อนจะปลูกต้นไม้ ซึ่งพวกเราทั้งคู่ต่างก็ไม่แน่ใจว่าวิธีที่ทำอยู่นี่ถูกต้องรึเปล่า

ใช้เวลาสักพัก ในสนามหญ้าบ้านคุณไป๋ก็มีต้นเลม่อนต้นนึงปลูกอยู่

ผมเอาดอกไม้ที่เหลือวางไว้ให้ที่โคนต้น สุดท้ายก็ทำได้แค่วางมือลงบนพื้นดิน ลูบไปมาเบาๆ ก่อนจะได้ยินคนตรงหน้าพูดขึ้น

“คุณอย่าโทษตัวเองนะ”

มันเป็นประโยคสั้นๆ ที่แตะเข้ามากลางหัวใจของผม เพราะภาพตอนที่กดกรรไกรตัดสายสะดือเมื่อวานมันยังติดตา จนอดคิดไม่ได้ว่านั่นอาจจะเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ลูกแมวตัวนั้นไม่มีลมหายใจอีกแล้วในวันนี้

ผมอาจจะเป็นคนฆ่ามันเอง...

มีความเงียบเล็กๆ เข้ามาปกคลุมระหว่างเราสองคน ก่อนที่ผมจะพูดออกมา

“ยากมากเลย”

แล้วคุณไป๋ก็ยื่นมือมาจับแขนผมเอาไว้ ก่อนจะพูดต่อ

“คืองี้คุณ มันมีความเป็นไปได้อยู่แล้วที่ลูกแมวจะตาย เค้าอาจจะตายเองเพราะอ่อนแอ แล้วเป้ยก็คาบศพออกมาไว้ข้างนอกรัง หรืออาจจะตายเพราะเป้ยไม่ยอมเลี้ยงก็ได้ จำได้มั้ย เป้ยไม่ยอมดูแลลูกแมวตัวนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว”

“หรือไม่ ตอนที่ผมตัดสายสะดือ มันอาจจะมีอะไรผิดพลาด”

“ไม่หรอก...ไม่”

“...”

“หรือต่อให้จริง มันก็คือความผิดของเราทั้งคู่ ผมเป็นคนตัดสินใจเข้าไปยุ่งกับลูกแมวก่อนจำได้มั้ย ถ้าคุณจะรู้สึกผิด ผมก็ขอหารมันด้วยครึ่งนึงแล้วกัน”

ผมยิ้มบางๆ รับคำพูดนั้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ

“พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้านะ หน้าร้านโจ๊กจะมีพระมาบิณฑบาตตอนเจ็ดโมงตรง แล้วเราไปตักบาตรให้มะนาวกัน”

“โอเค...”

พอเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ผมก็เห็นเป่าเป้ยออกมากินข้าว ส่วนมะตูมก็ไปนั่งมองลูกแมวที่หน้ากล่องด้วยความสงสัย จนผมกับคนข้างๆ ต้องจับตาเพราะกังวลว่าไอ้ตูมจะทำร้ายเด็ก แต่หลังจากเวลาผ่านไปสักพักมันก็หันมาร้องเมี๊ยวใส่ผมทีนึง ก่อนจะเดินไปนอนบนคอนโดแมวตามเคย

พวกเราใช้เวลาที่เป่าเป้ยออกไปกินอาหาร เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนแผ่นรองที่เลอะเทอะมาตั้งแต่เมื่อวาน แล้วก็เพิ่งได้มานั่งดูสีลูกแมวทีละตัวอย่างจริงจัง เจ้าตัวแรกที่ออกมาเป็นสีส้มอ่อนจนแทบจะครีม ตัวต่อไปเป็นสีขาวล้วน ถัดมาเป็นสามสีที่ผมยังงงอยู่ว่าหลุดมาได้ยังไง และตัวที่สี่คือขาวสลับส้ม

หลังจากจับพวกตัวเล็กพลิกไปพลิกมากเพื่อดูเพศอยู่สักพัก ก็ได้บทสรุปว่า ดูไม่ออก...

สุดท้าย ผมกับคุณไป๋ก็ตกลงกันว่าเราจะตั้งชื่อให้หลังจากที่รู้เพศเด็กๆ เรียบร้อย ระหว่างนี้ก็คงเรียกตามสีไปก่อน

แปลกดีที่การมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นอนหลับสนิทดันกลายเป็นอะไรที่ทำให้ผมมีความสุขไปซะได้ และแปลกยิ่งกว่าที่รอยยิ้มบางๆ ของคนที่กำลังใช้ปลายนิ้วลูบไปมาบนหัวเล็กๆ ของพวกลูกแมว ก็ทำให้ผมยิ้มออกมาเช่นกัน

เราสองคนต่างก็นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ก่อนที่ผมจะไปหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความคุยกับเพื่อนๆ พวกมันเสียใจเรื่องเจ้าน้องเล็กที่จากไป แล้วก็บอกว่าอยากจะมาเยี่ยมหลานสะใภ้โดยเร็วที่สุด ผมเลยหันไปถามอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

“พวกลุงไอ้ตูมอยากมาดูเป้ยกับลูกแน่ะคุณ”

“ลุง?”

ต้องอธิบายเพิ่มสินะ

“ก็พวกเพื่อนผมที่เก็บไอ้ตูมมาด้วยกันคืนนั้นนั่นแหละ ผมเป็นคนรับเลี้ยงมะตูมไว้ก็ต้องเป็นพ่อ ส่วนพวกเพื่อนๆ ก็กลายเป็นลุง”

“อ๋อ...”

“แต่ผมว่า เราน่าจะให้เวลาเป้ยสักนิดก่อนดีกว่ามั้ย รอให้ลูกแมวลืมตา หรือว่าโตกว่านี้ค่อยให้พวกมันมาก็แล้วกัน ผมกลัวเป้ยจะเครียด”

“อืม ก็ดีเหมือนกันเนอะ”

พอช่วงบ่ายพวกผมก็ต้องออกจากบ้านอีกครั้งเพื่อซื้อของสำหรับเตรียมใส่บาตรในวันพรุ่งนี้ แล้วการเลี้ยงแมวเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผมอีกครั้ง ผมไม่ได้ตื่นมาใส่บาตรนานมาก ไปวัดยิ่งแล้วใหญ่ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเดินเลือกซื้อของ เพื่อเอากลับบ้านไปจัดเป็นชุด สำหรับใส่บาตร

ระหว่างที่กำลังเข็นรถเข็นรถเข็นเดินไปตามชั้นวางน้ำเปล่า อยู่ๆ อีกคนก็หันมามองกัน ส่งยิ้มให้ แล้วก็พูดออกมา

“เรารู้จักกันมากี่วันแล้วนะคุณ”

ฮึ? สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมชะงักไป ก่อนจะลองนับแบบคร่าวๆ พอได้คำตอบก็พูดออกไป

“เดือนนึงได้แล้วมั้ง”

“แปลกเนอะ เหมือนรู้จักกันมานานแล้วเลยอะ”

แล้วคำพูด รอยยิ้ม วิธีที่อีกฝ่ายเงยหน้ามามองกัน ก็ทำให้ความรู้สึกฟูนุ่มในใจผมมันกลับมาอีกครั้ง กว่าผมจะรวมสติตัวเองกลับมาได้ คนตรงหน้าก็เดินไปหยิบน้ำเปล่าหนึ่งแพ็คมาใส่ในรถ แล้วพูดต่อ

“พี่เปรี้ยวเคยบอกว่าจะมีพระจากสองวัดมาบิณฑบาตในหมู่บ้าน เราก็ทำไว้สัก 12 ชุดแล้วกันเนอะ แบ่งกันคนละ 6 วัดละ 3 จะได้ซื้อของง่ายดี”

และในระหว่างที่ผมกำลังรู้สึกหวั่นไหว คนที่เป็นต้นเหตุก็... กำลังพูดถึงพระ

ช่วยด้วยเหอะ!

“ตามใจคุณเลย”

“เราใส่น้ำเปล่า นม แล้วก็อะไรอีกดีอะ?”

“ขนมมั้ย? แบบที่เก็บไว้ได้หลายวันหน่อย”

“ก็ดีนะ”

เพราะคนตรงหน้าบอกว่า บางวันที่เขาออกมากินเกี้ยมอี๋ของโปรดตอนเช้ามากๆ ก็เห็นว่ามีคนมาใส่บาตรอยู่บ้างแล้วส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารสด พวกผมก็เลยคิดว่าถ้าเราตักบาตรด้วยอาหารแห้งก็น่าจะดีกว่า

ระหว่างที่กำลังเดินซื้อของ อีกคนก็เล่าใหัฟังว่าตอนที่อยู่บ้านใหญ่จะต้องทำแบบนี้เป็นประจำ เพราะคุณแม่ของเขาจะตื่นมาใส่บาตรทุกวันพระ แล้วต่อให้ที่บ้านมีแม่บ้าน แต่กับของที่จะทำบุญ ยังไงคุณแม่ก็จะเป็นคนทำทั้งหมดด้วยตัวเอง

ฟังจบผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าต้องรู้สึกยังไง เรื่องที่เขาต้องเตรียมของใส่บาตรอยู่บ่อยๆ น่ะเหรอ?

เปล่าเลย... เรื่องที่อีกฝ่ายมีแม่บ้านต่างหากล่ะ!



วันต่อมาพวกผมตื่นนอนแต่เช้า ออกไปใส่บาตร ผมขอให้ผลบุญที่เราทำกันในวันนี้ ส่งผลให้เจ้ามะนาวได้ไปเป็นเทพเจ้าแมวตัวน้อยๆ

สุดท้ายก็จบลงที่กินมื้อเช้าเหมือนเดิม สิ่งที่แปลกไปก็คือคำพูดพี่คนขายซึ่งทักเราสองคนขึ้นมา

“ช่วงนี้มาด้วยกันประจำเลยเนอะ”

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอะไรมั้ย แต่คำพูดสั้นๆ แค่นั้นมันทำให้ผมเขินขึ้นมานิดๆ

ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ ผมก็ถามขึ้น

“เมื่อกี๊คุณอธิษฐานอะไร นานมากเลย”

“ขอให้มะนาวเล่นซนอยู่บนสวรรค์ แล้วก็ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว”

“คล้ายกันเลย ผมขอให้เจ้าตัวเล็กเป็นเทพเจ้าแมวที่มีความสุข”

คนฟังยิ้มรับ ก่อนจะพูดต่อ

“คุณรู้มั้ย ตอนผมเห็นข่าวว่ามีสัตว์ตายในอินเตอร์เน็ต แล้วคนไปคอมเม้นต์ประมาณว่า ขอให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นคน อะไรทำนองนั้น มันอดไม่ได้เลยที่จะแอบเถียงอยู่ในใจทุกครั้ง ว่าเค้าอาจจะไม่ได้อยากเกิดเป็นคนก็ได้ บางทีเป็นหมาเป็นแมวก็มีความสุขกับชีวิตอยู่แล้ว ทำไมต้องอยากเป็นคนด้วย”

สีหน้าอันจริงจังและสิ่งที่เขาพูดออกมาทำเอาผมเกือบหลุดขำ แต่พอลองคิดดูก็จริงนั่นแหละ ดูไอ้ตูมสิ กินอาหารโลละสามร้อย วันๆ ไม่เห็นจะทำอะไรนอกจากทำสาวท้อง ส่วนผมนี่นั่งทำงานหลังขดหลังแข็ง เพื่อเอาเงินมาซื้ออาหารราคาสามร้อยของมันนี่แหละ

คิดได้อย่างนั้นผมก็ตอบกลับไป

“จริงด้วย ดูแมวเราสองคนสิ ชีวิตมีความสุขเว่อร์ วันๆ ทำแค่นอน ทำขนร่วงให้ตามเก็บ กับเดินไปร้องเรียกให้เติมอาหาร”

“แถมยังมีอีกสี่ตัวนอนรอให้เลี้ยงเพิ่มอยู่ในกล่องอีก”

สีหน้าแววตาของที่เขาพูดถึงเจ้าตัวเล็กทำให้ผมยิ้มตาม และในวินาทีที่เราสบตากัน ความรู้สึกนั้นก็กลับมาอีกครั้ง

ฟูนุ่ม! โคตรจะฟูนุ่มเลยให้ตาย!



- to be continued -


talk .

ไม่รู้จะเคืองกันมั้ยที่เราตัดสินใจเขียนแบบนี้
ตอนที่ตั้งใจว่าจะเขียนนิยายที่เล่าเรื่องการเลี้ยงแมวแบบจริงจัง
ใจเราก็อยากจะเล่าในหลายๆ แง่มุม ว่ามันไม่ได้มีแค่ด้านที่สนุกสนาน และมีความสุข
ความเจ็บป่วย และการสูญเสียก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน ประมาณนั้น

ชอบไม่ชอบก็บอกกันได้นะคะ
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
ทุกวันนี้เราก็อยากเกิดเป็นแมวนะ ที่ทำงานจะมีแมวมานั่งๆนอนๆอาบแดดตอนสายๆกับเย็นๆ เราน่ะทำงานเหนื่อยจะตาย พอเดินมาพักแล้วเห็นแมวนอนผึ่งพุงเนี่ย..อิจฉาชะมัดเลย

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่ชอบ......ไม่ได้แล้ว

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ดีใจที่เลือกปลูกมะนาว..เอ็นดูเทวดาแมว  :heaven

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เริ่มคิดอะไรๆแล้วนะนายคนนั้นอ่ะ  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
เลยอดมีน้องมะนาวเลย ตอนอ่านคือเศร้าไปด้วยเลย น้องงงง  :hao5:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันกันแล้วนะ แม้จะในภาวะทุกข์โศกก็เถอะ

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0


- 06 -

แม่คุณไป๋เขาแวะมาเยี่ยมหลานกับเหลนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งวันนั้นผมทำโอทีอยู่ที่บริษัทเลยกลับดึกและไม่ได้เจอกัน พอกลับมาบ้านก็ต้องแปลกใจที่โดนคนข้างบ้านเรียกตัวไว้ ก่อนจะเอาของฝากจากเชียงใหม่ข้ามรั้วมาให้ เป็นสตรอเบอรี่สดกล่องใหญ่ กับสตรอเบอรี่อบแห้งอีกหนึ่งกล่อง

ผมงงไปเลยตอนที่รู้ว่าได้ของฝากจากผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักและไม่เคยเจอ ก่อนจะมาเข้าใจตอนที่คนตรงหน้าอธิบายให้ฟัง

“หม่าม้าถามว่าใครมาช่วยตอนทำคลอด ผมก็บอกไปว่าคุณ ม้าเลยเอาของฝากมาให้แทนคำขอบคุณไง”

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะถามออกไปตามที่คิด

“แล้วแม่คุณรู้ใช่มั้ยว่าแมวผมนี่แหละที่ไปทำเป่าเป้ยท้องจนไม่ได้ผสมกับพ่อพันธุ์ที่คุณเล็งไว้”

“รู้สิ วันนี้ม้าเจอมะตูมแล้วนะ ยังชมอยู่เลยว่ามะตูมหน้าหล่อ เป็นแมวไทยที่หน้าหล่อที่สุดที่เคยเจอมา แม่ผมบอกแบบนั้น”

“...”

ถามจริง? ผมขมวดคิ้วรับสิ่งที่ได้ยิน คือพอจินตนาการไปถึงหน้าเหลืองๆ จมูกเลอะเทอะกับแววตากวนตีนของไอ้ลูกชายแล้วมันอดสงสัยไม่ได้ แบบนั้นอะนะที่โดนชมว่าหล่อ?

“เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าแอบด่ามะตูมในใจ อย่าอิจฉาแมวสิคุณ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยกมือขึ้น กางนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ไว้ใต้คางแล้วพูดต่อ

“ผมก็หล่อในแบบของผมปะ”

คำตอบคือเสียงหัวเราะ แล้วคำพูดที่ตามมาน่ะเหรอ

“ตูมหล่อกว่าเห็นๆ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ถอนหายใจ และมันก็ทำให้คนที่ยืนอยู่ฝั่งบ้านตัวเองหลุดหัวเราะออกมามากกว่าเดิมจนผมยังยิ้มตาม แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีเรื่องจะคุยเหมือนกัน

“เออ วันเสาร์นี้คุณไปไหนมั้ย”

“วันเสาร์เหรอ ผมมีนัดอะคุณ”

“อ้าว...”

ปากน่ะพูดออกมาแค่นั้น แต่ในใจถามไปเรียบร้อยแล้วว่านัดกับใคร เพื่อน...หรือว่าแฟน?

“มีอะไรรึเปล่า”

“ที่ผมเคยบอกคุณน่ะ ว่าเพื่อนผมจะขอมาดูลูกไอ้ตูม”

“อ๋อ จะมากันช่วงกี่โมง”

“เออ ยังไม่ได้นัดเวลาเลย คงสายๆ บ่ายๆ ประมาณนั้นแหละ”

“ถ้าช่วงนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก นัดผมช่วงค่ำๆ”

นัดกลางคืนด้วยว่ะ...

“งั้นผมบอกให้พวกมันมาเร็วหน่อยแล้วกัน”

“โอเคเลย บ่ายๆ ก็ยังได้”

ผมพยักหน้ารับ แต่สิ่งที่คิดอยู่ในใจตอนนั้นน่ะเตลิดไปถึงไหนต่อไหนก็ไม่รู้

แล้วอยู่ๆ ก็นึกถึงเพลงซึ่งเพื่อนผู้หญิงที่ออฟฟิศเปิดฟังอยู่บ่อยๆ ช่วงนี้ ที่ร้องประมาณว่า ‘ไม่ได้อยากถาม แต่แค่อยากรู้’ อะไรสักอย่างนี่แหละ ครั้งแรกที่ฟังผมยังแอบคิดในใจว่า ถ้าอยากรู้แล้วทำไมมึงไม่ถามวะ จะมาไม่อยากถามทำซากอะไร ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆ เหตุการณ์แบบนั้นจะมาเกิดขึ้นกับตัวเอง

แล้วคนตรงหน้าก็ถามขึ้นมา

“มีธุระอะไรอีกรึเปล่าคุณ”

“อะ...อ๋อ ไม่มีๆ”

“งั้นผมขอไปทำงานต่อก่อนนะ”

“โอเค”

พอคนตรงหน้ายกมือขึ้นมาโบกบ๊ายบาย ผมก็โบกมือกลับไป แล้วเดินหิ้วสตรอเบอรี่เข้าบ้านกับความรู้สึกขุ่นๆ เล็กน้อยที่เกิดขึ้นในใจ

ด้วยวัยยี่สิบหกปี...หรืออะไรก็ช่างเหอะ ผมเข้าใจตัวเองได้ไม่ยากว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือผมชอบคุณไป๋

อันที่จริงมันก็น่าอายอยู่นิดหน่อยที่ต้องยอมรับ ว่านี่เป็นครั้งที่สองในชีวิต ที่ผมได้รู้สึกชอบใครสักคน

ครั้งแรกมันเกิดขึ้นตอนอนุบาลสามกับน้ำหวาน เพื่อนผู้หญิงที่ต้องเต้นเพลงมนต์รักลูกทุ่งคู่กัน ซึ่งบอกตามตรงเลยว่าผมจำอะไรแทบไม่ได้ เรื่องราวทุกอย่างถูกถ่ายทอดผ่านแม่ของผม ว่าตอนนั้นผมเขินซะจนร้องไห้ พอร้องไห้ก็น้ำมูกไหล และเมื่อฉากที่พีคที่สุดในการแสดงมาถึง ซึ่งก็คือการที่ผมต้องเอาปลายจมูกไปแตะเบาๆ ตรงแก้มสาวน้อยที่แอบชอบ น้ำมูกที่สะสมมาจากการร้องไห้ก็ยืดเป็นทางยาว

แน่นอนว่ารักครั้งแรกของผมจบลงในคืนนั้น ไม่มีเด็กผู้หญิงที่ไหนยอมเป็นแฟนกับผู้ชายที่เอาขี้มูกมายืดติดแก้มหรอก

โชคดีที่ผมไม่ขี้มูกยืดอีกแล้วเมื่อเป็นวัยรุ่น แต่ก็ยังไม่คิดจะชอบใครอีก มีแฟนน่ะก็เคยอยู่บ้าง ในช่วงเวลาที่รู้สึกว่าต้องมีเพราะเพื่อนก็มีกันหมด ในตอนนั้นใครที่หน้าตาน่ารักอยู่สักหน่อย แล้วมาแสดงออกให้รับรู้ว่ามีใจให้ ผมก็ไม่ลังเลเลยที่จะสานต่อ ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายก็ไปไม่รอด

พอถึงจุดหนึ่งผมก็เริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อย่างน้อยก็มากพอที่จะเรียนรู้ว่าการคบกับใครสักคนทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็คือวิธีหนึ่งที่คนเห็นแก่ตัวทำโดยไม่คิดถึงคนอื่น ผมเลยไม่ได้คบใครอีก

ผมโสดสนิทในช่วงสองปีสุดท้ายของการเรียนมหา’ ลัย เวลาว่างจากการเรียนหมดไปกับการไร้สาระอยู่กับพวกลุงไอ้ตูม ซึ่งก็สนุกสนานดี ไม่ได้เหงาอะไร แล้วก็เลิกคิดเรื่องการมีแฟน การตกหลุมรักไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ระหว่างที่นั่งอยู่บนพื้น มองมะตูมกินข้าว ผมก็คุยกับตัวเอง หลังจากใช้ชีวิตมาได้ยี่สิบกว่าปี ในที่สุดผมก็มาถึงจุดนี้ จุดที่ตกหลุมรักผู้ชายเข้าจนได้ทั้งที่คบหากับผู้หญิงมาตลอด แถมยังสามารถรับมือกับความรู้สึกนั้นได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

คงต้องขอบคุณทั้งเจ้านายและไอ้ธีร์เพื่อนสนิทของผม ทั้งคู่คือคนใกล้ตัวที่พูดออกมาว่าตัวเองเป็นเกย์ได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนกำลังพูดเรื่องทั่วไปแบบฝนตกรถติด มันเลยทำให้ผมเคยชินกับการเปิดรับทุกความเป็นไปได้

การเป็นเกย์ไม่ได้มีอะไรย่ำแย่ มันคือรูปแบบหนึ่งของความรัก ที่อาจจะแตกต่างกับสิ่งที่ใครก็ไม่รู้มากำหนดไว้ว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

แต่ยังไงความรักก็คือความรัก และความรักก็เป็นสิ่งที่ดี ผมเชื่ออย่างนั้น

แต่เรื่องการค้นพบตัวเองของผมไม่สำคัญเท่าอีกเรื่องหนึ่งเลย เรื่องที่ว่า สรุปวันหยุดนี้คุณไป๋เขามีนัดกับใครวะ

ผมมองไอ้แมวเหลืองที่กินอาหารไม่เสร็จสักที แล้วพูดออกมา

“ตูม...มึงเคยกังวลบ้างมั้ยว่าเป้ยเค้าอาจจะไปกุ๊กกิ๊กกับคนอื่นตอนที่มึงไม่อยู่”

พูดจบก็คิดขึ้นมาได้ ว่าไอ้ตูมมันก็ไปผสมพันธุ์กับเป้ยทั้งที่เขามีคู่หมั้นคู่หมายกันอยู่แล้วนี่หว่า แล้วถ้าคุณไป๋ก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วเหมือนเป้ยล่ะ ผมจะทำไงดี

ผมเก็บความคิดนั้นไว้ แล้วก็ตั้งใจจะเอามันมาปรึกษาพวกลุงไอ้ตูมในวันเสาร์

และเมื่อวันนั้นมาถึง ผมก็ไม่คิดเลยว่าจะเห็นเพื่อนตัวเองถือกระเช้าของเยี่ยมอันใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหารสูตรแม่แมว นมสำหรับแมวเด็ก และของสำหรับลูกแมวอื่นๆ อีกมากมาย

นั่นมันติดโบว์มาที่กระเช้าด้วยใช่มั้ยวะ

พอเดินไปถึงระตูรั้วบ้าน สิ่งที่ผมทำคือการยกมือขึ้นชี้กระเช้ากับดอกไม้ช่อเล็กหนึ่งช่อ ทั้งที่ยังไม่เปิดประตูด้วยซ้ำ

“พวกมึง...ซื้อกระเช้ากับดอกไม้?”

“เออดิ มามือเปล่าน่าเกลียดตายห่า แค่ไอ้เวรตูมมันไปทำเค้าท้องก็ขายหน้าจะแย่อยู่แล้ว แมวเค้าอย่างสวย”

ไอ้บาสเพื่อนผมพูดออกมา ก่อนที่ไอ้ธีร์จะถามต่อ

“แล้วแฟนไอ้ตูมอยู่บ้านหลังไหน”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ชี้ไปยังบ้านหลังสีขาวเทา พร้อมกับที่ไอ้ไอซ์ขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยเสียงกระซิบ

“ตอนนั่งรถมา กูคุยกับพวกมันว่าเมียไอ้ตูมอะ โคตรแพงเลยนะมึง แฟนกูบอกว่าแบบเดียวที่พวกเน็ตไอดอลเค้าเลี้ยงกัน หน้าตาแบบนี้เลย ตัวนึงแปดเก้าหมื่น”

แปดเก้าหมื่น!! ทำไมช่วงนี้มีเรื่องช็อกบ่อยจังวะ

ผมมองเพื่อนตัวเองนิ่งๆ รอให้มันพูดต่อว่ากูล้อเล่นหรืออะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่ ไอ้ไอซ์ยืนเฉย ส่วนอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พยักหน้ารับ แล้วก็ไม่พูดอะไร

ตอนนั้นเองที่ไอ้ตูมเดินออกมาจากในบ้าน แล้วถูตัวไปมาที่ข้อเท้าพวกผมเพื่อทักทาย พอก้มหน้าลงไปมองตัวเหลืองๆ ของมันก็อยากจะถอนหายใจออกมา

ไอ้เวรตูมเอ๊ย! บุญแค่ไหนแล้วที่พ่อเขาไม่แจ้งความจับมึงข้อหาล่วงละเมิดทางเพศแมวแพง!

ว่าแต่สัตว์ล่วงละเมิดสัตว์นี่ผิด พ.ร.บ. คุ้มครองสัตว์มั้ยวะ

หลังจากนั้นพวกผมก็พากันไปกดออดหน้าบ้านคุณไป๋ พอเจ้าของบ้านออกมาผมก็รับหน้าที่แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน ก่อนจะเดินเข้าบ้าน แล้วก็ได้รู้ว่าดอกไม้ที่พวกมันซื้อมาเนี่ย ไม่ได้จะเอามาให้เป่าเป้ยหรอก แต่เอามาวางไว้บนหลุมศพต้นเลมอนของเจ้ามะนาว

ระหว่างที่พวกมันกำลังวางดอกไม้ แถมยังยกมือไหว้อธิษฐานนอะไรไปเรื่อย ผมก็หันไปหาคนที่ถือกระเช้าของเยี่ยมแม่แมว แล้วถามออกมา

“หนักปะคุณ ผมช่วยถือมั้ย”

คำตอบคือรอยยิ้มและการส่ายหน้า ตามมาด้วยคำพูด

“ไม่ได้หนักมากซะหน่อย”

พอพวกเพื่อนๆ วางดอกไม้เสร็จ ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันไปบอก

“เข้าไปแรกๆ พวกมึงก็พูดเบาๆ หน่อยแล้วกัน กูกลัวเป้ยตกใจ”

“เออๆ” ไอ้บาสรับคำก่อนจะพูดต่อ “กูเคยคิดนะเว้ยว่าในกลุ่มเราอะ ใครจะมีเมียมีลูกคนแรกวะ กูจะได้ไปงานแต่งใครก่อนวะ พอเอาเข้าจริง แม่งคนแรกที่มีลูกคือไอ้ตูม สรุปไม่ได้เยี่ยมลูกเพื่อนหรอก มาเยี่ยมลูกแมวแทน”

ไม่ใช่แค่ผมที่หัวเราะ แต่คุณไป๋ที่ยืนอยู่ข้างกันยังขำตามไปด้วย

พวกเพื่อนๆ เงียบกันไปทันทีที่เข้าบ้าน ก่อนที่ผมจะเดินนำ พาพวกมันไปหยุดอยู่ที่หน้าคอกแม่แมว เรื่องมหัศจรรย์คือไอ้ตูมมันมาโผล่อยู่นี่ได้ไงวะ ก่อนหน้านี้ยังทำเป็นอ้อนพวกผมที่บ้านอยู่เลย

ตอนนี้พวกมันนั่งกันอยู่ที่หน้าคอกแมว พูดด้วยเสียงกระซิบเบาๆ แถมต่างคนก็ต่างยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ส่วนผมเดินเข้าไปในครัวแล้วก็เดาถูกด้วยว่าเจ้าของบ้านจะต้องเข้ามาเตรียมน้ำดื่ม

“มีน้ำลิ้นจี่ด้วย”

คนฟังหันมามอง ยกยิ้มแล้วก็ยื่นแก้วน้ำในมือมาให้

“ชิมก่อนมั้ย แม่ผมซื้อมาให้ตั้งแต่วันพุธแล้ว”

ผมรับแก้วน้ำมาดื่ม ก่อนจะช่วยอีกฝ่ายจัดแก้วน้ำใส่ถาดใบเล็กที่วางอยู่ พอมองไปเห็นใบหน้าด้านข้างของคนที่กำลังเอาผ้าสะอาดเช็ดแก้วให้แห้ง ความรู้สึกฟูนุ่มในใจมันก็กลับมาอีกครั้ง โชคดีที่ผมเริ่มจะคุ้นเคยและรับมือกับมันได้มากขึ้น

หลังจากนั้นผมก็ยกน้ำดื่มออกไปที่ห้องรับแขก ปล่อยให้เพื่อนนั่งดูลูกแมวอยู่พักใหญ่ คุยกับคุณไป๋ต่ออีกหน่อย แล้วก็กลับมานอนกองกันอยู่ที่บ้านผม



ในบรรยากาศอันแสนเกียจคร้านของบ่ายวันอาทิตย์ พัดลมตัวเก่าที่วางอยู่ส่ายไปมาให้ความเย็นแก่พวกผมและไอ้ตูมที่นั่งๆ นอนๆ กันอยู่บนพื้นกับโซฟา โทรทัศน์มีรายการเกมโชว์เปิดไว้ ซึ่งไม่มีใครสักคนใส่ใจที่จะดู อยู่ๆ ไอ้บาสก็พูดขึ้น

“เย็นนี้เราทำหมูกระทะกินกันมั้ย”

มันคือคนที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่ม แน่นอนว่าช่างสรรหากินที่สุดด้วย ได้ยินอย่างนั้นไอ้ไอซ์ก็พูดต่อทันที

“เออ เตาถ่านที่พวกกูเคยซื้อไว้ยังอยู่มั้ยวะ”

“น่าจะอยู่มั้ง”

ผมตอบกลับ หันไปมองไอ้ธีร์ที่ไม่พูดอะไร แล้วก็ตัดสินใจถามต่อ

“กูว่าเตาไฟฟ้าก็ได้มั้ง ตัวไม่กี่บาท หุ้นกันไม่กี่ร้อย ดีไม่ดีพอๆ กับค่าของกิน มึงว่าไงธีร์”

“กูได้หมดอะ”

มันเป็นคนไม่ค่อยพูดแล้วก็ไม่เรื่องมาก แต่เชื่อผมเหอะ ในพวกเราทุกคนมันคือคนที่สติดีที่สุด

“อ้าว เชี่ยนี่ นึกว่าจะเข้าข้าง”

มันเหลือบมามองผม แล้วตอบกลับหน้าตาเฉย

“สุกก็แดกได้หมดอะ เตาอะไรก็ช่าง”

“นี่คือกูต้องไปหาเตาให้พวกมึงใช่มั้ย”

แล้วคำตอบก็คือการที่ไอ้บาสขยับเข้ามาเอาเท้าขี่ยให้ผมลุกจากเก้าอี้

ผมถอนหายใจ ลุกขึ้นไปเปิดตู้เก็บของใต้อ่างล้างจาน ซึ่งก็ยังมีบรรดาจานชามของแม่เก็บไว้เต็มไปหมด และมุมในสุดของตู้ก็ยังมีเตาถ่านกับกระทะย่างหมูอยู่จริงๆ

ผมจัดการเอามันออกมา ล้างกระทะจนสะอาด ก่อนจะยกทั้งเตามาวางลงหน้าบ้านแล้วพูดต่อ

“จะแดกก็ลุกไปซื้อของ”

ผมกับเพื่อนหุ้นเงินกันซื้อเตานี่ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ พวกผมกินกันเยอะ บางทีไปกินที่ร้านบ่อยๆ ก็บอกตามตรงเลยว่าไม่มีเงิน แต่จะให้เลิกกินก็ไม่ได้ สุดท้ายทางออกก็คือการซื้อเตาซื้อหมูมาทำกินกันเอง

เถลไถลอยู่สักพัก พวกผมก็พากันออกจากบ้าน ก่อนออกก็อดไม่ได้ที่จะแอบเหล่บ้านข้างๆ แต่ก็ไม่เห็นคนที่มองหา ใช้เวลาซื้อของไม่นาน สุดท้ายก็กลับมาบ้านในสภาพพร้อมรบ

หน้าที่ของพวกผมถูกแบ่งเอาไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ไอ้ธีร์กับไอ้บาสเตรียมของกิน ส่วนผมกับไอ้ข้าวซึ่งตอนนี้กลับไปอยู่บ้านเกิดมันที่เชียงใหม่เรียบร้อยต้องจุดถ่าน เหลือไอ้ไอซ์ที่มีหน้าที่เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม และด้วยความที่ไอ้ข้าวไม่อยู่ ไอ้ไอซ์ก็เลยต้องมาช่วยผม

ขอบอกเลยว่า การจุดถ่านไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ ตะเกียบไม้แบบใช้ได้ครั้งเดียวที่ซื้อมาจะถูกแบ่งมาเป็นเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง โดยต้องปูเอาไว้ด้านล่างสุดก่อนจะวางถ่านด้านบน ส่วนช่องข้างใต้ต้องเอากระดาษจุดไฟแล้วใส่เข้าไป หลังจากนั้น สิ่งที่ต้องทำก็คือการพัดจนกว่าเตาถ่านจะร้อนจนสามารถทำให้หมูสุกได้

ระหว่างที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาเอาจานกระดาษที่ซื้อมาพัดให้ไฟติด ส่วนไอ้ไอซ์มันเข้าบ้านไปเตรียมอุปกรณ์การกิน เสียงที่ดังมาจากข้างหลังก็ทำให้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของผมหยุดลง

“ทำอะไรกันอะ”

เวรแล้ว คุณไป๋!

พอหันไปมองก็เจอกับอีกฝ่ายในสภาพหล่อเนี้ยบ แถมยังเซ็ตผมซะดูดี คือปกติคุณเขาก็ไม่ได้โทรมอะไรนะ แค่มักจะปล่อยผมธรรมชาติ ใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นบ้าง กางเกงขายาวหลวมๆ สบายๆ บ้าง แต่วันนี้คือหล่อเลยอะ

เวรแล้ว เมื่อกี้ถามอะไรวะ

“เอ่อ...พวกผมจะกินหมูกระทะกันคุณ”

“เตาถ่านด้วยเหรอ”

“ใช่ วินเทจป้ะล่ะ”

“มาก น่ากินอะ ถ้าไม่มีนัดนะจะไปขอกินด้วย”

“พลาดแล้ว”

ผมพูดอย่างนั้นทั้งที่ใจอยากบอกออกไปจะแย่ ว่างั้นก็ไม่ต้องไปนัดอะไรนั่นหรอก อยู่บ้านกินหมูกระทะกับพวกผมก็ได้

“เสียดายเลยอะ ไปละนะ”

คนตรงหน้าพูดออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นโบกบ๊ายบาย ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มบางๆ ไปให้ โบกมือกลับไปแล้วพูดต่อ

“ขับรถดีๆ นะคุณ”

“อือฮึ”

สักพักรถยนต์ของเจ้าตัวก็ขับผ่านบ้านผมไป...หมดแรงพัดไฟเลยให้ตาย

พวกผมเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในช่วงเวลาของมื้อเย็น ก่อนจะลงมือนั่งย่างนั่งกินกันหน้าบ้าน แน่นอนว่าต้องมีแอลกอฮอล์มาร่วมด้วยอยู่แล้ว เตาแรกยังไม่ทันสุกดี ไอ้ตูมก็เดินมานั่งตัวตรงรออยู่ข้างๆ ตามประสาแมวฉลาด แถมแผลทำหมันก็ปิดสนิทเรียบร้อย

พอหมูชิ้นแรกสุก ไอ้บาสก็คีบและเอามาวางให้ไอ้ตูมตรงหน้า

“อะ วันนี้เลี้ยงฉลองมึงเป็นพ่อคน ชิ้นแรกกูย่างให้มึงโดยเฉพาะเลยตูม”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไป ตั้งใจจะห้าม แต่ก็ไม่ทันไอ้ตัวแสบที่ก้มหน้าลงกินหมูเข้าปากไปเรียบร้อย

“มึง ไอ้ตูมกินหมูกระทะไม่ได้ ชิ้นเดียวพอละนะ”

ได้ยินอย่างนั้นไอ้บาสก็หันมาทำหน้างงแล้วถามต่อ

“อ้าว ทำไมวะ เมื่อก่อนก็แดกหัวกุ้งอยู่ที่ร้านเหล้า”

“คืองี้ คุณไป๋เค้าบอกว่าแมวไม่ควรกินอาหารคนเพราะมันเค็ม ละถ้ามันแดกเค็มมากๆ มันจะเป็นโรคไต”

คราวนี้เป็นไอ้ไอซ์ที่ถามขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจ

“อ้าว ฉิบหายละ ละนี่มันไม่เป็นไปแล้วเหรอวะ”

“ตอนกูเอามันไปตรวจตั้งแต่มาอยู่ใหม่ๆ ก็ไม่เป็นนะ แต่ถ้ายังแดกของเค็มอยู่ก็มีโอกาส”

“นั่งกลืนน้ำลายไปแล้วกันนะมึง”

จบลงที่ไอ้บาสยกมือขึ้นลูบหัวไอ้ตูมเบาๆ แล้วกลับไปกินหมูย่างต่อ ก่อนที่ไอ้ไอซ์จะพูดขึ้นมาอีก

“เลี้ยงแมวแม่งก็ลำบากเนอะ ถ้าวันนี้ไม่ไปซื้อของมาทำกระเช้า กูก็ไม่เคยรู้เลยว่าอาหารแมวแม่งจะถุงละหกเจ็ดร้อย เอาจริงพวกกูตกใจไปเลย คิดว่าโลไม่กี่บาท มึงก็ไม่พูดสักคำว่าแบกค่าอาหารแมวอยู่เดือนละกี่ร้อยกี่พัน”

“ดราม่าเหี้ยไรอีกเนี่ย พวกมึงก็ออกค่าทำหมันแล้วไง ที่มันไม่แพงขนาดนั้นก็มี ช่วงทำงานแรกๆ กูก็ผสมเอา เอาแบบดีๆ เลยผสมกับที่ถูกมาหน่อย อีกอย่างกูนะที่ทำงานก็ใกล้ ค่าหอค่าคอนโดก็ไม่ต้องจ่ายอย่างพวกมึง เงินเดือนเหลือพอเลี้ยงแมวโว้ย เปลี่ยนเรื่องๆ”

พูดจบผมก็คีบหมูกระทะใส่ปาก ก่อนที่ไอ้ธีร์จะพูดขึ้น

“งั้นมาเรื่องนี้ เรื่องที่มึงชอบคนข้างบ้าน”

มือของผมที่ถือตะเกียบอยู่ชะงักไปในทันที ก่อนจะกวาดสายตามองเพื่อนๆ ทุกคน บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ แล้วไอ้คนเปิดประเด็นขึ้นมานั่นแหละที่พูดต่อ

“อ้าว นี่กูเข้าใจผิดเหรอ โทษที”

พูดจบมันก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมากินหน้าตาเฉย ส่วนผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วยอมรับ

“กูว่ามึงเข้าใจไม่ผิดหรอก”

คราวนี้กลายเป็นไอ้ไอซ์ที่พูดขึ้นมา

“นั่นไงกูว่าแล้ว!”

“ว่าแล้วเหี้ยอะไร”

“ว่าแล้วว่ามึงชอบเค้า”

“เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ก็พอตัวอยู่ สมมติว่าถ้ามึงเป็นหมา...”

“คั่น มึงสมมติอย่างอื่นได้มั้ย”

“ฟังกูก่อนสิ! สมมติว่าถ้ามึงเป็นหมา เวลาเจอเค้านี่หางกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ เลยนะ...”

“กูว่ามึงเว่อร์ละ”

การต่อล้อต่อเถียงของผมกับไอ้ไอซ์จบลงตอนที่ไอ้บาสหันมามองหน้าผม แล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ ส่วนไอ้ธีร์คีบหมูเข้าปากแล้วพูดต่อ

“แต่กูว่าคุณไป๋อะไรนั่นอะ เค้าเป็นนะ”

“เป็นอะไร”

“เป็นหมาแบบมึงมั้ง”

“ฮะ?”

“เป็นเกย์!”

“ตลกละ”

“ตลกเหี้ยไรล่ะ กูจริงจัง”

“มึงมั่นใจขนาดนั้นเลย”

“เต็มร้อยกูให้เจ็ดสิบ อีกสามสิบเผื่อเค้าเป็นคุณหนู ไม่ก็แบบผู้ชายเนี้ยบๆ หรือไม่ก็เป็นไบ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไปถามเพื่อนอีกสองคน

“พวกมึงว่าไง”

ไอ้บาสที่ไม่หยุดกินเลยตลอดระยะเวลาที่พวกผมคุยกันตอบกลับมาทั้งที่ยังเคี้ยวหมูอยู่ในปาก

“กูไม่รู้เว้ย ตอนเรียนครูไม่สอน”

แล้วไอ้ไอซ์ก็พูดในสิ่งที่ผมคิดอยู่ออกมา

“เหตุผลมึงเหี้ยมาก แต่ว่านะมึง ในกลุ่มเราคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ที่สุดก็คือมัน มึงไม่เชื่อมันแล้วมึงจะไปเชื่อใคร”

ผมหันไปมองไอ้ธีร์ ก่อนจะพบว่ามันกำลังตอกไข่ใส่วุ้นเส้น ก็คือมึงไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องที่มึงเปิดประเด็นขึ้นมาเลยถูกมั้ย

ต้องยอมรับว่าที่ไอ้ไอซ์พูดโคตรมีเหตุผล ไอ้ธีร์เคยเล่าให้พวกผมฟังว่ามันรู้ตัวว่าเป็นเกย์ตั้งแต่เรียนมัธยมต้น จะบอกว่ามันเชี่ยวชาญด้านนี้ที่สุดในกลุ่มเราก็คงจะใช่

สุดท้ายผมก็ถามออกมา

“ธีร์มึง”

“อือ...” มันตอบ แต่ไม่ยอมละสายตาจากวุ้นเส้น

“มึงว่าคุณไป๋เค้าจะมีแฟนยัง”

ไอ้ธีร์หันมามองผม ขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ

“ถามกู?”

“อืม”

“กูแค่เป็นเกย์มาก่อนมึง ไม่ได้เป็นหมอดู”

“สัด”

“แต่กูว่าเค้าก็โอเคกับมึงนะ”

“โอเคนี่คือโอเคแบบไหน”

“นั่นแหละที่ยาก ผู้ชายสองคน ไม่มีใครออกสาวชัดเจน มีเรื่องให้ต้องคุยต้องเจอกันบ่อย มันง่ายมากที่จะเข้าใจผิด คนนึงอาจจะคิดว่าเพื่อนกัน อีกฝ่ายแค่อัธยาศัยดี แต่อีกคนอาจจะคิดไปไกลแล้วก็ได้”

พูดจบวุ้นเส้นก็สุกพอดี ไอ้ธีร์เลยตักวุ้นเส้น ไข่ หมูขึ้นมากิน ส่วนผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจ แล้วก็คีบหมูใส่ปากไปทั้งที่ยังไม่ได้จิ้มน้ำจิ้มด้วยซ้ำ

จนไอ้ธีร์มันเคี้ยวทำแรกกลืนลงท้องเสร็จถึงได้หันมาพูดต่อ

“มึงต้องคุยให้เคลียร์ไปเลยว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวเค้าก็ย้ายบ้านหนีเองแหละ”

ย้ายบ้านเลยเหรอวะ ผมหันไปมองคนพูด ขนาดเป็นเพื่อนกันมานาน บางทีก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่ามันพูดเล่นหรือพูดจริง

“ไม่ต้องมามองหน้ากู มึงแดกซะ ก่อนที่ไอ้บาสจะแดกหมด”

“เออ...”

ผมรับคำ คีบหมูมาใส่ปากอีกชิ้น พร้อมกับที่ไอ้ไอซ์จะยกแก้วขึ้น แล้วพูดออกมา

“มาๆๆ ชนหน่อย หมดแก้ว ฉลองให้กับการมีความรักครั้งที่สองของไอ้ชุน”

ผมมองพวกเพื่อนๆ ที่กลั้นขำแล้วขมวดคิ้ว ไม่น่าเลย! ไม่น่าพาพวกมันมาที่บ้านเลย!

แน่นอนว่าทุกคนรู้เรื่องมนต์รักลูกทุ่งขี้มูกยืดของผมกันหมดแล้ว เพราะแม่เล่าให้ฟัง

พวกผมกินไปพลางดื่มไปพลางจนถึงสี่ทุ่ม จากที่นั่งคุยกันไปเรื่อย ตอนนี้เริ่มมีการเปิดเพลงเบาๆ สร้างบรรยากาศ ส่วนไอ้ตูมก็ยังอยู่ร่วมวงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีอาหารเปียกใส่ถ้วยไว้นั่งกินเป็นของตัวเอง จะได้ไม่ต้องมาขอหมูย่างกิน

ส่วนผมกำลังรู้สึกกังวลโคตรๆ หลังจากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ นี่สี่ทุ่มแล้ว แต่คุณไป๋ยังไม่กลับบ้าน หลังจากเผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ไอ้บาสก็ถามขึ้น

“มึงเป็นไรชุน”

“ยังไม่กลับบ้านเลย”

ผมพูดพลางชี้นิ้วหัวแม่มือไปที่บ้านข้างๆ

“ก็มึงบอกว่าเค้ามีนัด”

“ไม่รู้นัดกับใครว่ะ ตั้งแต่รู้จักกันมาเค้าก็ไม่เคยออกไปไหนค่ำๆ เลยนะ”

ได้ยินอย่างนั้นไอ้ธีร์ก็เหลือบตามามองผมแล้วถามต่อ

“ตั้งแต่รู้จักกันมาของมึงเนี่ยกี่วัน”

“เดือนกว่า”

ผมพูดออกมาแล้วถอนหายใจ พอได้ยินคำตอบของผมไอ้ไอซ์กับไอ้บาสก็กลั้นขำทันที ก่อนไอ้ธีร์จะหันมาแล้วให้คำแนะนำตามประสาผู้มีประสบการณ์

“มึงก็ถามเค้าดิวะ อ้างเรื่องลูกแมวอะไรก็ว่าไป”

“เออว่ะ กูขอตัวไปใช้สมาธิกับการพิมพ์ไลน์แป๊บ”

พูดจบผมก็คว้ามือถือลุกขึ้นจากวง เดินเข้าบ้านไปนั่งลงบนโซฟา เปิดไลน์ ใช้ความคิดอยู่สักพักแล้วพิมพ์ข้อความลงไป


‘คุณอยู่ไหนเนี่ย? ’



พิมพ์เสร็จอ่านจบแล้วสรุปกับตัวเองว่า ‘โคตรจิกเลยว่ะ จิกเป็นไก่เลย เอาใหม่ๆ ’



‘ยังไม่กลับบ้านเหรอคุณ? ’



ก็เห็นอยู่ว่ายังไม่กลับไงล่ะโว้ย!

เอาไงดีวะ!



‘วันนี้กลับดึกนะคุณ’



เอ๊า! แล้วมึงจะไปยุ่งเรื่องส่วนตัวเขาทำไม

พอหาทางออกสำหรับความว้าวุ่นอันนี้ไม่ได้ สุดท้าย ผมก็แค่ส่งสติ๊กเกอร์ ‘Hello’ ไปให้เขาอันหนึ่ง

สิ่งที่ผมส่งไปถูกอ่านในทันที และมีข้อความตอบกลับมา



‘ว่าไงคุณ? ’


‘ผมนั่งอยู่หน้าบ้านกับพวกเพื่อนๆ ’

‘ดึกแล้วเห็นคุณยังไม่กลับมา’

‘เลยเป็นห่วงพวกเด็กๆ ’




พอได้ปะวะ



‘วันนี้ผมไม่ได้กลับแหละ’

‘เป็นห่วงเป้ยกับเด็กๆ เหมือนกัน แต่เติมอาหารกับน้ำไว้ให้แล้วนะ’

‘พรุ่งนี้เช้าจะรีบกลับก็แล้วกัน’



ไม่กลับ! แล้วนอนที่ไหนวะน่ะ!

ถ้าอยากรู้ก็แค่ถามออกไปปะวะ เชี่ย...เรื่องแค่นี้เอง มึงก็แค่ถาม!

ผมสรุปกับตัวเอง แล้วก็ตัดสินใจพิมพ์ข้อความลงไป



‘แล้วคืนนี้คุณนอนที่ไหนเนี่ย? ’



ใช่...ผมพิมพ์ลงไปแต่ไม่ได้กดส่ง พิมพ์เสร็จก็นั่งมองตัวหนังสืออยู่อย่างนั้นสักพัก จนกระทั่งมีข้อความใหม่เด้งขึ้นมา



‘พอดีไปกินข้าวกับที่บ้านมาอะคุณ’

‘แล้วดื่มไวน์ไปนิดหน่อย’

‘หม่าม้าเลยไม่อยากให้ขับรถ’



พอเห็นข้อความผมก็ถอนหายใจออกมาสุดแรง อย่างน้อยก็แรงจนเพื่อนหันมามอง ก่อนที่ไอ้ไอซ์จะถาม

“ตกลงเป็นไง”

ผม...ซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพทิ้งตัวนอนแผ่หมดสภาพอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวเรียบร้อยก็ตอบกลับไป

“เค้าไปกินข้าวกับที่บ้าน แล้วกินไวน์ไปด้วย แม่เลยไม่อยากให้ขับรถมาคนเดียว”

“ก็แค่เนี้ย”

ไอ้ธีร์คือคนที่ตอบกลับมา ก่อนไอ้บาสจะรีบทับถมกันทันที

“แม่งเอ๊ย เหมือนจะตายซะให้ได้”

เพื่อนดีทั้งนั้น...


,
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2020 20:06:08 โดย kipuuu »

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
,


ผมมองข้อความที่อยู่บนหน้าจอแล้วแล้วรู้สึกเหมือนพลังงานล้นๆ อารมณ์ดี มีกำลังใจอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนจะลุกขึ้น เดินต่อไปยังห้องครัว แล้วตัดสินใจโทรหาอีกฝ่ายด้วยไลน์

คุณไป๋กดรับสายในทันที แล้วพูดออกมา

[ว่าไงคุณ

“เมาเหรอ”

[ก็ไม่ได้เมาขนาดนั้น แต่ว่าหม่าม้าเป็นห่วงไง]

“อ๋อออ....”

[อ๋อยาวเหมือนไม่เชื่อกันอะ]

“แต่เสียงคุณเหมือนเมาหน่อยๆ อยู่นะ”

[จะนอนแล้วต่างหากล่ะ]

“อ๋อออ....”

[กวนอะ!]

ไม่ทันได้ตอบกลับ หน้าจอของผมก็มีการแจ้งเตือนว่าปลายสายกำลังเปลี่ยนการโทรจากที่มีแค่เสียงอย่างเดียว เป็นแบบที่เห็นหน้ากันด้วย

แน่นอนว่าผมตกใจ แต่ก็รีบกดรับไปโดยที่ไม่ทันได้คิดอะไรทั้งนั้น

ถ้ารับช้า เกิดเขาวางสายขึ้นมาก็พลาดดิวะ!

ผมเห็นภาพคุณไป๋ที่อยู่ในชุดนอนและนั่งอยู่บนเตียง สีหน้าของเขาเอาเรื่องคล้ายวันที่เราเจอกันครั้งแรก แต่ความรู้สึกของผมกลับแตกต่าง

แล้วสิ่งที่เจ้าตัวพูดออกมาน่ะเหรอ

[ก็บอกว่าจะนอนแล้วไง ไม่ได้เมาซะหน่อย]

สิ่งที่ผมทำได้มีแต่การหัวเราะ ก่อนจะกดเปิดกล้องฝั่งตัวเองบ้างแล้วรีบตอบกลับไป

“เชื่อก็ได้ว่าไม่เมา”

[คุณนั่นแหละที่เมา กินเหล้ามาแน่ๆ]

“เฮ้ย! เห็นชัดขนาดนั้นเลยดิ”

แล้วอีกฝ่ายก็หัวเราะออกมา

[เพื่อนมาที่บ้านตั้งหลายคน ยังไงก็ต้องกินเหล้าอยู่แล้วปะ]

“ร้ายไม่เบานะคุณ”

คำตอบยังคงมีแต่เสียงหัวเราะ ก่อนที่เราจะเงียบไปทั้งคู่ ผมมองสบตาอีกฝ่าย สิ่งที่คิดอยู่ในใจตอนนั้นคือยังไม่อยากวางเลยว่ะ คงต้องหาเรื่องคุยซะหน่อย

“วันนี้ไปกินอะไรมา”

[ซีฟู้ดที่โรงแรม เป็นร้านอาหารที่เหมือนอยู่ในอะควอเรี่ยมเลยอะ กำแพงฝั่งนึงจะเป็นตู้ปลา ก็สวยดี]

“แล้วเป็นไงบ้าง”

[เป็นไงน่ะเหรอ พอผมคีบปลาดิบใส่ปาก มองไปข้างๆ ก็เจอปลาว่ายน้ำอยู่เต็มไปหมด อยู่ๆ ผมก็สงสัยขึ้นมาว่าปลามันจะอยู่สึกยังไงนะ ที่ต้องมานั่งดูมนุษย์กินเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวเองทุกวัน]

“โหดเหมือนกันเนอะ”

[ก็ใช่อะดิ พอคิดได้อย่างนั้นก็กินไม่ลงไปเลย]

“อ้าว แล้วอิ่มมั้ยนะ”

[อิ่มนะ เพราะผมขอย้ายที่ พอหันหลังให้ตู้ปลาก็สบายใจขึ้นเยอะ กินได้ปกติ]

ได้ยินอย่างนั้นผมก็หัวเราะออกมาทันที แล้วพูดต่อ

“สุดยอดเลยคุณ”

[ก็มันอร่อยอะ ผมสัญญาไว้ในใจด้วยนะว่าจะกินปลาทุกชิ้นอย่างรู้คุณค่า และซาบซึ้งในทุกอณูของความอร่อย ดังนั้นพวกปลาในตู้ก็อย่ามาถือโทษโกรธกันเลย]

ผมยิ่งฟังยิ่งขำจนหยุดตัวเองไม่อยู่ ส่วนอีกฝ่ายก็ยังคงเล่าต่อไป

[แล้วคุณคิดดู ผมจะบอกป๊าม้ากับน้องก็ไม่ได้อะ บอกไปเดี๋ยวก็กินไม่ลงกันทั้งบ้าน ต้องอดทนไว้จนถึงตอนนี้เนี่ย]

“อึดอัดแย่”

[นั่นสิ ดีนะที่คุณโทรมา]

ผมมองสีหน้าหนักใจของเขา ส่งยิ้มให้ แล้วพูดออกไปตามความรู้สึก

“ดีจริงๆ นั่นแหละที่วันนี้ตัดสินใจโทรหาคุณ”

คนฟังเหลือบสายตามองไปทางอื่นทันทีที่ได้ยิน เขาเม้มปากแล้วค่อยกลับมาสบตากัน ก่อนจะตอบกลับมาสั้นๆ พร้อมรอยยิ้ม

[อื้ม!]

อันนี้คือคิดไปเองได้มั้ยวะ ว่าเขิน?

“คุณจะนอนยัง”

[ก็บอกไปแล้วว่ากำลังจะนอน]

“งั้นก็ฝันดีคุณ”

[อืม วางนะ ฝันดี]

แล้วอีกฝ่ายก็วางสายไป

คุยเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินกลับไปหน้าบ้าน พร้อมกับที่เพื่อนสามคนและแมวหนึ่งตัวหันมามองพอดี คนแรกที่ถามกันว่าเป็นไงบ้างก็คือ

“เมี้ยว...”

ไอ้ตูมนั่นเอง...

ผมส่งยิ้มนำไปก่อน แล้วพูดออกมาเสียงดัง

“เค้าไปกินข้าวกับพ่อแม่เค้าโว้ย! ”


,



เช้าวันต่อมาผมตื่นนอนเพราะเสียงประตูบ้านข้างๆ ที่เปิดออก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงรถยนต์ ได้ยินอย่างนั้นผมก็ลุกขึ้นเดินข้ามพวกเพื่อนๆ ที่นอนอยู่ แล้วแง้มผ้าม่านออก

...คุณไป๋กลับมาแล้วจริงๆ

พอจอดรถเรียบร้อยเขาก็ลงมาปิดประตูรั้ว ผมเลยได้เห็นว่าเจ้าตัวขับรถกลับมาทั้งชุดนอน ในช่วงเวลาที่กำลังไขประตูบ้าน สายตาของเขาก็มองขึ้นมาทางนี้แล้วเราก็สบตากันพอดี

ผมเป็นฝ่ายที่โบกมือให้ไปก่อน และได้รับสิ่งเดียวกันกลับมา ทักทายกันเสร็จผมก็เดินข้ามไอ้ธีร์กับไอ้บาส กลับมาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างมีความสุข

ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงเมี้ยวดังมาจากใต้ผ้าห่ม

โถ่เอ๊ย! ใครจะไปรู้วะว่าไอ้ตูมมันนอนห่มผ้าอยู่!



- to be continued -



talk.

เห็นแก๊งลุงมะตูมเค้าเผาตะเกียบ เผาถ่านย่างหมูแล้ว

สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ ลืมเรื่อง PM 2.5 กันไปสักพักแล้วกันเนอะ 555

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew5:    :mew3:

ออฟไลน์ mkooo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 90
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ขอบคุณมากๆนะคะ นิยายสนุกมาก
ติดตามตอนต่อไปค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
เป่าเป้ยกะมะตูมน่ารักมากเลยค่า

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
คุณไป๋น่ารัก..ชอบๆๆๆๆๆ  o13

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
คุยกับคนที่แอบชอบมันก็จะเขินๆหน่อยแหละเนอะ

ออฟไลน์ KizzllKizz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-1
สองคนใจตรงกันมั้ยน้า  :hao3:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ทาสแมวมีความรักมันก็จะละมุน ๆ ยังงี้ละน้อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
น่ารัก ;-;

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0


[07]


เรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับผมในช่วงนี้ก็คือการที่พวกตัวเล็กเริ่มลืมตากันแล้ว ตลกดีที่เด็กๆ จะลืมตากันวันละข้างและบางทีก็ลืมแค่ครึ่งตา

ในวันที่เจ้าส้มพี่ใหญ่ลืมสองข้างเรียบร้อย เจ้าตัวสีขาวกับสามสียังลืมตาขึ้นแค่ข้างเดียว ส่วนขาวส้มเล็กสุด ตาขวายังเปิดขึ้นมาแค่ครึ่งตา ส่วนอีกข้างปิดสนิท

แต่พอเวลาผ่านไปอีกวันสองวัน ทุกตัวก็ลืมตากันหมด

เรื่องที่ต้องลุ้นเป็นลำดับถัดไปคือสีตาและสีขนของลูกแมว สีขนที่ต่อให้เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่วันแรก แต่พอเริ่มโตขึ้นก็จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง

อย่างเจ้าตัวสีขาว ตอนนี้ก็เริ่มมีสีเทาที่ปลายหูให้เห็น

ส่วนสีตานี่สิ...ผมอยากรู้ว่าตัวไหนบ้างที่จะได้ตาสีฟ้าเข้มของเป่าเป้ยไป ส่วนตัวไหนที่จะโตขึ้นมาตาเหลืองแบบไอ้ตูม

ความรู้ใหม่ก็มาอีกแล้ว ผมเคยพยายามส่องดู ก่อนจะเห็นว่าเด็กๆ มีตาสีฟ้ากันหมด คุณไป๋เลยอธิบายให้ฟังว่าแมวเด็กจะมีตาสีฟ้าทุกตัว และสีตาจะค่อยๆ เปลี่ยนไประหว่างที่โตขึ้น จนอายุสองสามเดือนถึงจะได้บทสรุปแน่นอนว่าแมวจะมีตาสีอะไร ก็คงต้องรอดูกันต่อไปเรื่อยๆ

ช่วงนี้ผมจะต้องแวะมาหาลูกแมวทุกวันหลังเลิกงาน แล้วก็ได้เข้าใจว่าแมวเด็กมันช่างมีพลังเยียวยาหัวใจ ไม่ว่าจะงานยุ่ง รถติด ลูกค้าน่าปวดหัวขนาดไหน พอได้แวะเล่น เอานิ้วจิ้มๆ เขี่ยๆ ขนนุ่มๆ ของเจ้าตัวเล็กสักทีสองสี แค่นี้ก็หายเหนื่อย แล้วยิ่งหันไปเจอหน้าเจ้าของแมวที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยนะ บอกเลยว่าสดชื่น

เรื่องแมวก็ตื่นเต้นอยู่ประมาณหนึ่ง แต่เรื่องที่ตื่นเต้นกว่าก็คือ วันนี้ผมมีนัดลอยกระทงกับคุณไป๋!

เมื่อวานนี้ระหว่างที่พวกผมนั่งเอาน้ำอุ่นเช็ดหน้าให้พวกลูกแมวในตอนเย็น อะไรสักอย่างไม่รู้แหละ ทำให้ผมตัดสินใจชวนเขาไปลอยกระทงด้วยกัน และคำตอบก็คือตกลง

แน่นอนว่าผมไม่ได้อยากลอยกระทงหรอก แค่อยากใช้เวลาด้วยกันกับเขาต่างหาก

ใกล้บ้านผมมีมหาวิทยาลัยที่มักจะจัดงานลอยกระทงอย่างใหญ่โตทุกปี ช่วงที่เรียนอยู่ผมกับพวกเพื่อนๆ จะมาเดินเล่นที่งานนี้ตลอด เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าการส่องสาวต่างมหา’ ลัย แต่พอแยกย้ายกันไปทำงานแล้วก็ไม่ได้มาอีกเลย

ตอนที่รถกำลังติดไฟแดงตรงหน้ามหา’ ลัยดังกล่าวระหว่างเดินทางกลับบ้านหลังเลิกงาน สายตาของผมก็มองข้ามสี่แยกไปเพื่อสังเกตสถานการณ์ ก่อนจะพบว่าตรงประตูทางเข้ารถติดเอามากๆ

เห็นอย่างนั้นสมองผมก็เริ่มคิดหาทางออกทันที ช่วงที่เรียนอยู่เวลามาเดินงานลอยกระทงหรืองานอื่นๆ ที่จัดที่นี่ ส่วนใหญ่ผมกับเพื่อนก็จะขี่มอเตอร์ไซค์กันมา

ว่าแต่ คุณไป๋เขาจะนั่งมอเตอร์ไซค์ได้มั้ยวะ

รู้ว่าคิดเองน่าจะไม่ได้คำตอบ ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พิมพ์ข้อความไปหาอีกคนทันที

 

‘เรานั่งมอเตอร์ไซค์มาลอยกระทงกันดีมั้ยคุณ? ’

‘วินมอ’ ไซค์อะเหรอ? ’

‘เปล่า ผมขี่ แล้วคุณซ้อนไง’

‘ไม่มีมอเตอร์ไซค์อะ’

‘ผมเสกให้คุณได้’

‘โม้ตลอด’


 

ผมส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะกลับไป ก่อนสัญญาณไฟจราจรจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว

พอถึงบ้านก็จัดการเอารถยนต์เข้าไปจอด แล้วเอามอเตอร์ไซค์เวสป้าที่ไม่ค่อยได้ขับสักเท่าไหร่ออกมา ช่วงที่กำลังเข็นรถไปหน้าบ้าน หันไปมองยังบ้านหลังถัดไปก็เจออีกคนมายืนรออยู่แล้ว

สิ่งที่เจ้าตัวพูดขึ้นมาแทนคำทักทายก็คือ

“ไปเอามอเตอร์ไซค์มาจากไหนน่ะคุณ”

“ขโมยมาเมื่อกี้”

“ต้องเชื่อมั้ย”

“มอเตอร์ไซค์พ่อผม จอดอยู่ในบ้านนี่แหละไม่ค่อยได้เอาออกมาขี่หรอก เมื่อกี้ผมผ่านหน้างานมารถเยอะมากเลย คุณนั่งมอเตอร์ไซค์ได้มั้ย”

“ต้องเป็นคนยังไงอะ ถึงจะนั่งมอเตอร์ไซค์ไม่เป็น”

คำตอบของเขาทำให้ผมหลุดขำ แล้วพูดต่อ

“งั้นก็ปิดบ้านเลย ผมเอามื้อเย็นให้มะตูมกินแป๊บนึง เดี๋ยวมา”

พอเข้าไปเทอาหารแมว เติมน้ำ เปิดไฟไว้ไม่ให้บ้านมืดเกินไปเรียบร้อยก็ลูบหัวมะตูมสองทีแล้วพูดต่อ

“เฝ้าบ้านนะมึง”

ออกมาผมก็เจอคุณไป๋มายืนรออยู่ที่ลานจอดรถข้างเจ้าเวสป้าสีเขียวเข้มเป็นที่เรียบร้อย สิ่งแรกที่เจ้าตัวพูดขึ้นมาก็คือ

“ไม่เคยเข้ามาบ้านคุณเลยอะ”

“เป็นไง เก่าอะดิ”

“ก็เก่านะ แต่เป็นเก่าในแบบที่ดี”

“เก่าในแบบที่ดี?”

“เก่าแบบมีบรรยากาศของครอบครัว ประมาณนั้น”

ผมยิ้มให้กับคำพูดของเขา ยื่นหมวกกันน็อกไปให้ พร้อมกับที่อีกคนรับเอาไว้

“พวกของวินเทจเก่าเก็บของพ่อแม่ผมเต็มบ้านไปหมดเลย ไว้สักวันจะพาคุณมาทัวร์ก็แล้วกัน”

คนฟังพยักหน้ารับ ส่วนผมไปสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์แล้วก็ขับออกจากบ้าน ก่อนจะต้องฝากคุณไป๋ปิดประตูรั้วให้ รอจนเขาขึ้นมานั่งซ้อนท้าย เอามือมาเกาะไหล่กันถึงได้ออกรถ

เดินทางอยู่ไม่นานเราก็มาถึงบรรยากาศงานลอยกระทง ขอบอกเลยว่าคิดถูกมากที่เอารถมอเตอร์ไซค์มาเพราะรถติดมาก คนเยอะมาก ผมยอมเสียเงินฝากรถไว้ตรงจุดที่มีพนักงานเฝ้า เพื่อความปลอดภัยและจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวนหาที่จอด

ระหว่างที่เรากำลังเดินตามแนวรั้วมหา’ ลัยเพื่อจะเข้าไปในงาน อีกฝ่ายก็พูดขึ้น

“ผมไม่ลอยกระทงได้มั้ยคุณ”

“อ้าว...”

ผมใจแป้วไปเลยทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ไม่ทันเดินเข้างาน อยู่ๆ ก็จะไม่ลอยกระทงซะแล้ว ไม่ทันได้ถามว่าทำไม คำอธิบายก็ตามมา

“มันทำให้น้ำเสียอะ ต่อให้ใช้กระทงที่ย่อยสลายเองได้อย่างพวกต้นกล้วยใบตอง มันก็ยังเป็นการเพิ่มงานให้คนที่ต้องคอยเก็บกระทงพรุ่งนี้อยู่ดี”

“...”

“ผมนั่งหาข้อมูลระหว่างที่รอคุณกลับบ้าน ตอนแรกก็คิดว่ากระทงขนมปังจะดี แต่ดันนึกไม่ถึงว่าพอคนลอยกระทงขนมปังเยอะๆ ปลามันก็อิ่ม สุดท้ายขนมปังก็ทำให้น้ำเน่า”

“จริงจังเลยนะเนี่ย”

“อืม คือผมไม่ได้ห้ามคุณลอยนะ ถ้าอยากลอยก็ลอยไปเถอะ กระทงอันเดียว คนเก็บเค้าก็ไหวอยู่ แต่ผมขอยืนให้กำลังใจแล้วกัน”

ผมหันไปมองคนที่พูดเรื่องเหล่านี้ด้วยสีหน้าจริงจัง ในขณะเดียวกันก็พร้อมจะเข้าใจคนอื่น สิ่งที่คิดขึ้นมาในตอนนั้นคือคนคนนี้มีมุมมองแปลกใหม่ให้ผมได้เปิดโลกอยู่เสมอ ตั้งแต่เรื่องที่ฝังเจ้ามะนาวและปลูกต้นไม้ไว้ด้านบน แล้วก็มาเรื่องลอยกระทงนี่อีก

การลอยกระทงเป็นการสร้างขยะ เรื่องนี้คิดได้ไม่ยาก แต่เป็นผมเองที่ไม่เคยคิดหรือมองในมุมนี้ คล้ายกับเรื่องที่ผมเลี้ยงมะตูมแบบปล่อย แถมยังไม่พาไปทำหมันนั่นแหละ พอนึกย้อนไป ทุกครั้งที่ผมไปลอยกระทงกับเพื่อนๆ ก็จะเห็นว่ามีคนอยู่ในน้ำ คอยเก็บกระทงที่ถูกลอยไปอยู่ตลอด ตลกดีเหมือนกัน คนหนึ่งลอยออกไปได้ไม่กี่เมตร ก็จะมีอีกคนรออยู่ในน้ำเพื่อเก็บออกไปทิ้ง

พอลองคิดต่อว่าผมลอยกระทงทำไมวะ ตอนเด็กๆ โรงเรียนก็สอนให้จำว่าเราลอยกระทงเพราะต้องการขอขมาพระแม่คงคา แต่ทุกครั้งที่ผมลอยกระทงก็ไม่เคยจะนึกถึงพระแม่คงคาตามที่เรียนมาเลยสักครั้ง ส่วนใหญ่ก็ลอยเพราะเพื่อนชวนมาลอย ลอยเพราะความสนุกสนาน

สำหรับผมนะ ย้ำว่า ‘สำหรับผม’ ไม่ลอยกระทงก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย

“ผมไม่ลอยด้วยก็ได้”

“ไม่เอาดิ คุณอยากลอยก็ลอยเลย ผมไม่ขัดจริงๆ”

“เฮ้ย ผมยังไงก็ได้ จะลอยหรือไม่ลอยก็เหมือนกันแหละ”

“นึกว่าคุณอินกับเทศกาลซะอีก เห็นอยากออกมาลอยกระทง”

กลายเป็นคนอินกับเทศกาลไปแล้ว...

ผมชวนเขาออกมาเที่ยวเพราะอยากไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่อีกฝ่ายกลับเข้าใจว่าผมเป็นพวกอินกับเทศกาลไปซะงั้น เจริญมั้ยล่ะพ่อไอ้ตูม

“เปลี่ยนจากลอยกระทงมาใช้น้ำอย่างประหยัด ไม่เปิดน้ำทิ้ง ไม่ทิ้งขยะลงน้ำ ผมว่าพระแม่คงคาคงเข้าใจแหละ เลี้ยงแมวค่าใช้จ่ายเยอะ เอาเงินค่ากระทงไปซื้ออาหารให้มะตูมกับลูกดีกว่า”

“ดูเป็นคนดี แถมยังรักแมวขึ้นมาทันทีเลยอะ”

“แน่นอน ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อกระทงแล้ว ผมเลี้ยงน้ำจรวดคุณแล้วกัน”

“ที่นี่มีน้ำจรวดด้วยเหรอ?!”

“มีดิ ชอบเหรอเนี่ย”

“เคยกินตอนเด็กๆ แถวเยาวราชอะ แต่ก็นานแล้วนะ”

“ไป เดี๋ยวพาไปกิน”

พวกเราเดินมาถึงบริเวณประตูทางเข้างานพอดี ผมกวาดสายตามองสำรวจซ้ายขวา ก่อนจะหันมาชวนคนข้างๆ เดินไปทางฝั่งของเล่นพวกชิงช้าม้าหมุนก่อน ถ้าเดาไม่ผิด น้ำจรวดก็น่าจะอยู่แถวของเล่นนี่แหละ

ซึ่งผมเดาถูก เราแวะซื้อน้ำคนละแก้ว พอหันมาหาก็เห็นคุณเขากำลังมอบไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้ม ท่าทางจะชอบนะเนี่ย

“คุณ...”

“ฮึ?”

“ปาลูกโป่งกัน”

คนฟังตอบรับด้วยการส่ายหน้าแบบที่รู้เลยว่าปาไม่เป็น

“มาเหอะน่า” ผมจับข้อมือเขาแล้วดึงให้เดินตามกันมา ก่อนจะหันไปบอกต่อ “ผมปาลูกโป่งเก่งนะ”

“โม้ปะเนี่ย”

“จริงจัง ไปถึงเดี๋ยวชี้เลยคุณ อยากได้ตัวไหน เดี๋ยวผมปาให้”

แน่นอนว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วเหมือนไม่เชื่อ จนกระทั่งเรามาหยุดลงตรงหน้าซุ้มปาลูกโป่ง ผมหันไปถามคนที่ยังเอาแต่มองตุ๊กตาซึ่งทั้งวางทั้งแขวนไว้เต็มไปหมด

“ว่าไงคุณ อยากได้ตัวไหน”

สักพักเขาก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่ตัวอะไรสักอย่าง แล้วหันมาบอกกัน

“ตัวนั้น...”

“...”

“...”

“มันตัวอะไรอะคุณ”

“สล็อธไง”

“...”

“ตัวที่มันเคลื่อนที่ช้าๆ อะ ที่มันเดินแบบเนี้ย”

ระหว่างที่พูด เจ้าตัวก็ยกมือขึ้นมาขยับเลียนแบบท่าเดินของตัวสล็อธอะไรนี่ ซึ่งเอาจริงปะ ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจหรือเห็นภาพได้มากขึ้นเลยว่าสล็อธคือตัวอะไร แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะคนทำอะ น่ารักโคตร!

“อ๋อ นึกออกละ ที่มันร้องแบบนี้ปะ อย่าลืมเรื่องราวที่ผ่านที่เคยได้เจ็บช้ำ”

“คุณ...นั่นมันสล็อตแมชชีน นี่เล่นมุกเหรอ”

“อืม ผ่านปะ”

“ผ่านนะ ผ่านไปก่อน”

“คุณก็ ไม่ช่วยกันเลย”

คำตอบจากคนฟังคือเสียงหัวเราะ ผมสั่งตัวเองให้ละสายตาจากคนข้างๆ แล้วมองกลับไปยังไอ้ตุ๊กตาตัวนั้นอีกครั้ง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถาม

“มันไม่ใช่ชะนีแขนยาวเหรอ”

“คุณอะ ไม่ใช่!”

“โอเคๆ สล็อธก็สล็อธ”

พูดจบผมก็หันมาถามน้องคนขายลูกดอกที่รออยู่แล้ว

“อยากได้ตัวนั้นต้องปายังไงอะน้อง”

“ตัวนั้นสี่สิบบาทหกดอก ต้องปาให้โดนทั้งหมด กับร้อยนึงดอกเดียวพี่”

“เอามาหกดอก”

ผมพูดแล้วหยิบเงินจ่ายน้องเขา พอหันกลับมาอีกฝั่งก็พบว่าสายตาที่มองมา มันเต็มไปด้วยคำถาม

นี่ก็ไม่เชื่อใจกันเลยเหอะ!

“ดอกเดียวมีโอกาสได้เยอะกว่ามั้ยอะคุณ ถ้าปาโดนก็ได้ตุ๊กตาเลยนะ”

“ดอกเดียวมันสำหรับพวกใช้เงินแก้ปัญหา ผมจะใช้ความสามารถ เข้าใจปะ”

“ขี้โม้อีกแล้วอะ”

“อ้าว...ตั้งใจดูเลยนะ” พูดจบผมก็ขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีกนิด ยกมือขึ้นมาป้องปากแล้วกระซิบเบาๆ “ปาเสร็จเดี๋ยวจะบอกเทคนิคให้”

“โอเค ถ้าปาไม่โดนผมหัวเราะเยาะนะ”

“เดินขึ้นเวทีนางนพมาศไปหัวเราะออกไมค์ได้เลย”

ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็นิ่วหน้าแล้วไม่ตอบอะไรกลับมาอีก ส่วนผมยื่นแก้วน้ำในมือให้เขา แล้วหยิบลูกดอกที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะเลือกสองดอกแรกที่จะปาขึ้นมาก่อน

บอกเลย ตลอดระยะเวลาห้าปีของการเรียนมหา’ ลัย นอกจากความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในแล้ว ทักษะหนึ่งที่ผมกับพวกเพื่อนๆ แก๊งลุงไอ้ตูมได้มาคือการปาลูกโป่งงานวัดนี่แหละ

สองดอกแรกถูกปาออกไปและปักเข้าที่ลูกโป่งอย่างง่ายดาย จนต้องหันมามองคนข้างๆ แล้วยักคิ้วอวดไปทีหนึ่ง สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการถอนหายใจ

ก่อนที่ผมจะหยิบลูกดอกที่เหลือขึ้นมาชั่งน้ำหนักกับมือแล้วก็เริ่มลงมือปา แต่นอนว่าไม่มีอันไหนไม่เข้าเป้า เห็นอย่างนั้นผมก็หันไปบอกพนักงานที่ยืนอยู่ในคอกกั้น พร้อมกับยกมือขึ้นชี้ตุ๊กตาสล็อธซึ่งอีกคนเล็งไว้

“ตัวนั้นน้อง”

ผมรับตุ๊กตามายื่นให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะรับแก้วน้ำตัวเองกลับมาแล้วพูดต่อ

“เชื่อยัง”

“ปาโดนทุกอันได้ไงอะคุณ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยิ้มมุมปาก ยกมือข้างที่ว่างขึ้นจับต้นแขนเขา ก่อนจะพาเดินออกมาจากร้านแล้วเล่าให้ฟัง

“ผมเรียนรู้เทคนิคนี้มาจากรุ่นพี่”

“สถาปัตย์?”

“อือฮึ”

“สถาปัตยกรรมศาสตร์และการปาโป่งเหรอ”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมหัวเราะ แล้วก็เริ่มอธิบายต่อ

“ในลูกดอกที่เค้าเอามาให้เราปาอะคุณ มันจะมีบางอันที่มีน้ำตรงช่วงท้าย ถูกถ่วงให้หนักกว่าปลายเข็ม ในสามอันอาจจะมีปนมาบ้างอันสองอันอะไรงี้”

“พอก้นมันหนัก เข็มมันก็ไม่พุ่งไปจิ้มลูกโป่งอะดิ”

“ใช่เลย ดังนั้นอันที่ถูกถ่วงน้ำหนักไว้อะ ต้องเอามาปาก่อน เพราะมีโอกาสพลาดสูง เวลาปาต้องปาให้แรงมากๆ อย่างน้อยต่อให้เข็มไม่จิ้ม มันก็ยังพอมีแรงที่จะเข้าไปชนให้ลูกโป่งแตก”

“อ๋อ...”

“ส่วนอันที่ไม่ได้ถูกถ่วงน้ำหนักไว้ก็ปาตามธรรมดานั่นแหละ ถ้าปาแม่นยังไงก็ไม่พลาดหรอก”

“แต่ถ้าปาไม่แม่น...”

“ยังไงก็ไม่โดนไง”

พอเจ้าตัวทำหน้ามุ่ย ผมก็หัวเราะแล้วก็เดินต่อไปด้วย

“แค่ปาลูกโป่งยังต้องมีหลักการเลยอะ”

“ใช่ พวกผมจริงจังกันมากเลยนะ ถึงกับไปซื้อลูกดอกมา เอากาวจากปืนกาวมาติดถ่วงที่ก้นไว้ แล้วหัดปาให้ชัวร์ก่อนจะออกสนามจริง”

“สถาปัตยกรรมศาสตร์และการปาโป่งจริงๆ ด้วย”

พอเห็นสีหน้าของเขาผมก็หลุดขำอีกแล้วถามต่อ

“ลองมั่งมั้ยล่ะ”

“ไม่เอาอะ ได้สล็อธมาแล้ว จะปาอีกทำไม”

“งั้น...ยิงปืนมั้ย”

คนฟังหันมามองกัน หรี่ตานิดๆ แล้วถามต่อ

“มีเทคนิคอีกมั้ย”

“ไม่มีคุณ ใครแขนยาวหน่อยก็ยื่นไปให้ใกล้ตุ๊กตาแล้วค่อยยิ่ง เดี๋ยวก็โดน เอามั้ยล่ะ”

“....”

พอเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงเงียบเหมือนกำลังตัดสินใจ ผมก็แกล้งถามต่อ

“หรือจะระบายสีปูนพลาสเตอร์ อ๋อ ไม่ได้ดิ คุณไม่เก่งงานฝีมือ”

“เดี๋ยวเหอะ!”

“ป่ะ! ไปยิงปืนกัน!”

เดินเลยมาอีกหน่อย เราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าซุ้มยิงปืน พออีกฝ่ายเกี่ยงให้ผมยิงก่อน ผมเลยไปซื้อกระสุนมาสองถาดแล้วก็ลงมือยิง

กระสุนแปดนัดหมดไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ตุ๊กตาร่วงลงมาสี่ตัว ก็ไม่แย่ปะ

ยิงของตัวเองเสร็จผมก็รับตุ๊กตาสล็อธมาถือไว้ ระหว่างที่คนตรงหน้ากำลังติดกระสุนยางเข้าที่ปลายกระบอกปืน ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งแซวเข้าให้

“อย่ายิงโดนเยอะนะคุณ ไม่ได้เอารถยนต์มา เดี๋ยวอุ้มหมียักษ์กลับบ้านไม่ไหว”

ได้ยินอย่างนั้นคุณไป๋ก็เหลือบมามองผมด้วยหางตา ไม่พูดอะไรแต่ยกกระบอกปืนขึ้นมาจ่อกัน

“ยิงคนแทนได้มั้ย ไม่อยากยิงตุ๊กตาแล้ว”

“คุณ! ไม่เล่นดิ เดี๋ยวลั่น!”

“แซวเก่งนักนี่!”

พูดจบเจ้าตัวก็ยิ้มมุมปาก แล้วก็หันกลับไป

สรุปว่าคุณไป๋ยิงตุ๊กตาตกไปอีกสามตัว พวกผมเลยเอาทั้งหมดไปแลกเป็นพวงกุญแจหมีที่พอดูได้ขึ้นมาหน่อย เขายกมันให้ผมแทนคำขอบคุณที่ปาลูกโป่งเอาตุ๊กตาสล็อธมาให้ ผมเลยห้อยมันไว้กับกุญแจรถมอเตอร์ไซค์

หลังจากได้ของเต็มไม้เต็มมือเราก็เดินกันต่อ

เลยจากโซนของเล่นมาก็จะเป็นของกิน ส่วนใหญ่ของที่แม่ค้าเอามาวางขายก็จะซ้ำๆ เดิมๆ ไม่ต่างจากหลายปีก่อนที่ผมมา สักพักคุณไป๋ก็หันมาพูดกับผม

“คุณเคยกินอันนั้นปะ”

สิ่งที่เขาชี้คือลูกชิ้นยักษ์ ยักษ์ขนาดที่ว่าเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสามนิ้วได้ พอผมส่ายหน้าเขาก็ถามต่อ

“ลองมั้ย”

“คุณอยากกินเหรอ”

“อยากรู้มากกว่าว่ามันจะเป็นยังไง เดี๋ยวมานะ”

พูดจบเขาก็แยกตัวไปไปซื้อลูกชิ้นที่ว่ามาไม้หนึ่งซึ่งมีอยู่สองลูก พออีกฝ่ายกัดคำแรกเข้าไป ผมก็ถามต่อ

“ลูกชิ้นอะไรอะคุณ”

“เออ ไม่รู้สิ”

“หมารึเปล่า”

ได้ยินที่ผมพูดปุ๊บ คนตรงหน้าก็ตอบกลับด้วยเสียงกระซิบ

“คุณ! เดี๋ยวแม่ค้าก็เดินมาตีหัวหรอก”

“อ้าว ไม่เคยเห็นข่าวเหรอ ที่เค้าจับหมาไปทำลูกชิ้น”

เสียงพูดของผมกลับไปอยู่ในระดับปกติอีกครั้งตอนที่เราเดินห่างจากร้านออกมา

“คุณอะ...”

“แน่ๆ กินหมาไปแล้วโดยไม่รู้ตัว”

ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็ยื่นไม้ลูกชิ้นในมือตัวเองมาตรงหน้าผมทันที

“กินเลย”

“ฮะ?”

“กัดเข้าไปคำนึง เร็วๆ”

“ไม่เอา ผมไม่ได้อยากชิม”

“กินเข้าไปเหอะน่า คำเดียวก็ได้”

พอมองสบตากันก็สรุปได้เลยว่าผมแพ้ทาง ยอมกัดลูกชิ้นเข้าไปคำหนึ่งก่อนจะเคี้ยวกลืน ตอนนั้นแหละที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้น

“เท่านี้ก็กินหมาทั้งคู่ละ ถ้าอันนี้เป็นลูกชิ้นเนื้อหมาจริง คุณก็กินเข้าไปเรียบร้อยแล้ว เสมอกัน”

พูดจบเจ้าตัวก็เดินต่อทันทีแบบไม่รอกัน ปล่อยให้ผมเร่งฝีเท้าตามไปเดินอยู่ข้างๆ แล้วพูดออกมา

“จริงๆ เลยนะคุณเนี่ย”

พวกเราเดินผ่านส่วนของเวทีที่มีทั้งการแสดง การประกวดอะไรต่างๆ มากมาย ก่อนจะเข้าสู่พื้นที่สำหรับขายต้นไม้ และปิดท้ายด้วยโซนสัตว์เลี้ยง

แปลกดีที่คุณไป๋เขาแทบไม่แวะดูสัตว์อะไรเลยระหว่างทาง จนกระทั่งมาถึงซุ้มของมูลนิธิช่วยเหลือแมวจรจัด คนข้างๆ ผมก็เดินเอาเงินไปบริจาค แล้วก็ช่วยซื้อเมล็ดพันธุ์ต้นข้าวสาลีไปอีกสี่แพ็ก ส่วนผมที่ไม่รู้จะซื้ออะไรก็ตัดสินใจหย่อนแบงก์ร้อยลงไปในกล่องบริจาค

เดินเลยมาหน่อยอีกฝ่ายก็ชวนผมแวะซุ้มสินค้าแฮนด์เมดของนักศึกษา ร้านนี้เป็นร้านขายปลอกคอแมวที่ทำมาจากอะไรสักอย่างซึ่งเป็นก้อนกลมๆ นุ่มๆ สีหวานๆ เอามาต่อกัน ป้ายราคาถูกเขียนไว้ด้วยลายมือน่ารัก บอกสิ่งที่วางขายอยู่คือ ‘ปลอกคอแมวปอมปอม’

อ๋อ...ไอ้ก้อนๆ นี่เขาเรียกว่าปอมปอมหรอกเหรอ

ระหว่างที่ผมกำลังทำความเข้าใจกับแฟชั่นสำหรับสัตว์เลี้ยง คนตรงหน้าก็เริ่มเลือกซื้อของเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหันมาคุยกัน

“ผมซื้อไปฝากมะตูมด้วยนะ”

“ตามสบายเลยคุณ”

ได้ยินอย่างนั้นเจ้าตัวก็หันไปเลือกปลอกคอสีเขียวเหลืองให้มะตูมกับสีชมพูม่วงให้เป่าเป้ย พอน้องนักศึกษาที่ขายของอยู่จัดการเอาปลอกคอใส่ถุงกระดาษ ผมก็เป็นคนยื่นมือไปรับมาเอง แล้วหันมาบอกคุณไป๋

“ผมถือให้เอง เอาข้าวสาลีคุณมาด้วย เต็มมือไปหมดแล้ว”

คนตรงหน้าเหมือนจะชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ก็ยอมยื่นของที่ถือเอาไว้มาให้ผมในที่สุด ก่อนที่เราจะเดินต่อไปจนครบรอบหนึ่งของงานพอดี

ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน เขาก็หันมาพูดกับผม

“ไม่ได้เดินเที่ยวอะไรแบบนี้นานแล้วอะ สนุกดีเนอะ”

“ครั้งล่าสุดที่คุณมาคือเมื่อไหร่”

“ตอนเรียนมั้ง”

“ผมก็ตอนเรียนเหมือนกัน”

“...”

“เออ..แต่ตอนเรียนของคุณก็ต้องนานกว่าของผมถูกปะ ของผมสองปี ของคุณล่ะ สี่?”

“ใช่ เรียนจบมานานแล้วจะทำไม”

พอเห็นสีหน้าบูดบึ้งของคนที่หันมา ผมก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม แล้วตอบกลับ

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย”

“....”

“คุณหน้าเด็กกว่าผมตั้งเยอะจะเดือดร้อนอะไรฮึ”

คราวนี้คนฟังยักไหล่ ส่งสายตา ‘ก็ช่วยไม่ได้’ มาทางนี้ ก่อนผมจะต้องเอื้อมมือไปคว้าข้อมือเขาไว้แล้วดึงให้เดินเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม เพราะเห็นว่ามีคนกำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือเดินตรงมาทางนี้แบบไม่มีทีท่าว่าจะหลบ ซึ่งก็ไม่ทัน ใครคนนั้นชนคุณไป๋เข้าเต็มๆ ก่อนจะหันมาก้มหัวให้นิดหน่อยแทนคำขอโทษ แล้วเดินต่อไป

เจ้าตัวดูเหมือนจะตกใจอยู่หรอกที่อยู่ดีๆ ก็โดนชนเข้าอย่างจัง จนผมต้องก้มหน้าลงไปถาม

“เจ็บมั้ยคุณ”

เจ้าตัวตอบกลับพร้อมกับส่ายหน้า

“ไม่ๆ แค่ตกใจนิดนึง”

“ดีแล้ว ของอะไรอยู่ครบมั้ย โทรศัพท์กระเป๋าตังค์หายรึเปล่า”

ได้ยินอย่างนั้นคนตรงหน้าก็เช็กทุกอย่างที่ผมพูดถึง ก่อนจะหันมาบอกกัน

“อยู่ครบดี ไม่มีอะไรหาย”

“งั้น คุณอยากเดินดูอะไรอีกมั้ย”

“ไม่นะ คุณล่ะ”

ผมส่ายหน้า ก่อนจะพูดต่อ

“ถ้าอย่างนั้น เรากลับกันเลยดีปะ”

คนฟังพยักหน้ารับ ส่งยิ้มให้กันพร้อมกับเดินต่อ ตอนนั้นเองที่ผมเดินไปข้างคุณไป๋ มองฝ่ามือข้างที่ว่างของอีกฝ่ายซึ่งขยับไปมาตามจังหวะการเดิน หัวใจผมเต้นแรง สิ่งที่คิดอยู่ก็คือ อยากเดินจูงมือว่ะ

ผมค่อยๆ เลื่อนแขนเข้าไปใกล้เขา แต่พอมือเราจะสัมผัสกันก็ดันลังเล ปอดแหก ไม่กล้าขึ้นมาซะอย่างนั้น ถ้าเขาไม่ได้คิดแบบเดียวกันล่ะ ถ้าเคมีอะไรบางอย่างที่ผมรู้สึกได้ตอนที่เราวิดีโอคอลกันเมื่อคืนก่อน สายตาที่มองกันในวันถัดมา และอะไรอีกหลายอย่างคือสิ่งที่ผมคิดไปเองล่ะ ถ้าสุดท้ายแล้วมันก็แค่มิตรภาพและความมีน้ำใจ ระหว่างเราสองคนจะเป็นยังไง สิ่งดีๆ ที่มีอยู่ตอนนี้มันจะหายไปไหม

แววตา รอยยิ้ม ท่าทางการหัวเราะของเขา ผมจะยังมีโอกาสได้เห็นมันอยู่รึเปล่า ผมไม่ได้กลัวที่จะจับมือเขา ที่ผมกลัวคือผลที่จะตามมา

โคตรเสี่ยง...แต่ในโลกนี้มีอะไรไม่เสี่ยงบ้างวะ แค่การขับรถออกไปทำงานทุกวันก็คือความเสี่ยงแล้ว

กล้าหน่อยดิวะไอ้ชุน!

ผมพยายามนึกถึงอะไรที่ทำให้รู้สึกมีความกล้า กล้าที่จะเสี่ยง กล้าได้กล้าเสียในเรื่องของความสัมพันธ์ และสิ่งแรกที่นึกขึ้นมาได้ก็คือมะตูม ไอ้แมวหน้าเหลืองที่บุกเข้าบ้านคนอื่นไปปล้ำลูกสาวเขาถึงที่ ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

แต่ก็นั่นแหละ ในที่สุดผมก็ยื่นมือไปจับมือเขาเอาไว้ โคตรจะฟูนุ่มเลยให้ตาย!

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือหัวใจผม...มันเต้นไม่เป็นจังหวะมากกว่าเก่า แถมยังปั่นป่วนมากจนเหมือนแทบจะกระเด็นหลุดออกมา ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วผมยังไม่ตายไปซะก่อน

พอเหลือบสายตาไปมองคุณไป๋ สิ่งที่เห็นก็คือ...เขาดูสนใจกรงใบใหญ่แบบประกอบเองเอามากๆ

ไม่ทันไร...ฝ่ามือที่อยู่ในการเกาะกุมของผมก็ขยับเหมือนจะดึงกลับออกไป บอกตามตรงเลยว่านาทีนั้นรู้สึกว่าตัวเองต้องทุ่มสุดตัวและเสี่ยงให้เต็มที่ แต่ก็อดใจหายวาบไม่ได้ในเวลาเดียวกัน

ผมทำใจกล้าหันไปมองคนที่ยังคงฟังพ่อค้าขายกรงโฆษณาสินค้าต่อไป แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วทีขยับเข้ามาสอดประสานอยู่กับนิ้วมือของผม แล้วก็กุมแน่นเข้า ก่อนเจ้าตัวจะหันมาคุยด้วย

“กรงนี่น่าสนใจดีเนอะ”

ฮะ...?

พอผมเหวอ ไม่ตอบอะไรกลับไป เขาเลยพูดต่อ

“พวกลูกแมวเริ่มเดินเก่งแล้วอะ เวลาผมไม่อยู่บ้านก็กังวลอยู่นะว่าจะพากันไปเล่นซนจนอันตราย”

เราจับมือกัน แต่คุณไป๋...สนใจกรงแมวมาก

เอาวะ กรงแมวก็กรงแมว!

“ก็น่าสนอยู่นะคุณ ว่าแต่...จะขนกลับบ้านยังไง”

“นั่นดิ...”

“วันไหนว่าง เราค่อยเอารถยนต์ไปหาซื้อกันก็ได้ หรือไม่ก็ถามพี่เค้าว่านอกจากที่งานนี้แล้ว เขายังมีวางขายที่ไหนอีกบ้าง”

“โอเค...”

ตอบผมเสร็จเขาก็กลับไปคุยกับคนขายต่อ สุดท้ายก็ได้นามบัตรมาใบหนึ่ง พร้อมรายละเอียดการสั่งซื้อกรงในช่องทางอื่นๆ

พวกผมเดินต่อโดยคุยเรื่องความซนของพวกลูกแมวไปด้วย แล้วมาปล่อยมือจากกันตอนเดินมาถึงที่จอดรถ เพราะผมต้องหยิบบัตรเพื่อแลกออก มันเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย แค่ผมคลายมือที่กุมอยู่ เขาเองก็ดึงมือตัวเองกลับไป ก่อนเราจะขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วก็ขี่กลับบ้าน

 
- มีต่อนะคะ -

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
.

มาถึงบ้านผมก็เอามอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดต่อท้ายรถเก๋งคันเก่า หันไปก็เห็นคนที่ลงไปเปิดประตูรั้วให้ก่อนหน้านี้ เขากำลังเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะยื่นหมวกกันน็อกคืน

ผมยังไม่รับไว้ และไม่ได้พูดอะไร มองสบตาเขา ก่อนที่คำถามของอีกฝ่ายจะดังขึ้น

“มีอะไรรึเปล่า”

“มีสิ...มี”

ระหว่างที่พูดผมก็ยังคงตรึงสายตาตัวเองเอาไว้กับคนตรงหน้า โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะพูดอะไรต่อ พอคุณไป๋เขายื่นหมวกกันน็อกใกล้เข้ามาอีกจนถึงตัว ในที่สุดผมก็ต้องยื่นมือไปรับไว้ โดยที่สมองยังคงทำงานไม่หยุด

ควรจะเริ่มจากตรงไหนดีวะ

หรือไม่ต้องเกริ่นอะไร เอาแบบเข้าประเด็นไปเลย เหมือนเวลาลูกค้าคุณภาพบรีฟงาน ตรงๆ ไม่ซับซ้อน...คือนี่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกนะเว้ย ไม่ใช่งาน มันจะใช้วิธีเดียวกันได้จริงเหรอวะ

แม่ง...อยู่คนเดียวด้วย จะให้ใครช่วยก็ไม่ได้

แต่ว่านี่มันเป็นเรื่องความรู้สึกของผม ก็ถูกแล้วที่ไม่ควรจะต้องไปขอให้ใครมาช่วย เตลิดไปถึงไหนแล้ววะ

พอรวบรวมสติกลับมา สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมก็คือใบหน้าของเขา

คุณไป๋ผิวขาว ตาสองชั้นแบบหลบใน พอได้มามองใกล้ๆ แบบนี้เลยได้รู้ว่าตาซ้ายจะเห็นความเป็นสองชั้นมากกว่าตาขวา และถ้าไม่ได้คิดไปเอง เขามีตาดำที่สีเข้มมากๆ จมูกที่ดูเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากบนแบบบางได้รูปกับริมฝีปากล่างที่อิ่มกำลังดี

เขาดูพอดิบพอดีไปหมดในตอนนี้ ให้ความรู้สึกลงตัวมากกว่าวันแรกที่เราได้มีโอกาสคุยกันด้วยซ้ำ

“เรื่องนี้รึเปล่า”

คำพูดของเขาดึงความคิดผมกลับมา ก่อนจะเห็นว่าเจ้าตัวยกมือข้างที่ว่างอยู่ขึ้น ชูฝามือให้กัน เมื่อผมยังมีทีท่าว่าจะไม่เข้าใจ เขาก็ยื่นมือมา จับมือผมเอาไว้แล้วสอดปลายนิ้วประสานกันอีกครั้ง

“ผมหมายถึงอย่างนี้”

สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเจนเลยคือสีหน้าคนพูดไม่ได้อยู่ในโหมดกำลังแกล้งหรือว่าล้อเล่น ผมมองมือของเราที่ยังจับกันอยู่ หายใจเข้าลึกๆ ถอนหายใจออกมาสุดแรง ก่อนตัดสินใจพูดออกไป

“ผมรู้ว่าเรากำลังยืนอยู่ในโรงรถเก่าๆ หน้าบ้านผม สถานที่มันอาจจะไม่ได้พิเศษอะไรมากมาย...”

“...”

“แต่...ผมชอบคุณ”

ตอนลังเลก็โคตรลังเลเลย คิดโน่นคิดนี่ในหัวสารพัด แต่พอบทจะพูด ก็แค่นั้นแหละ...แค่พูดออกมา และสิ่งที่ผมได้เห็นคือแววตาและสีหน้าของความตกใจ พร้อมกับที่อีกฝ่ายดึงมือออกจากการสัมผัสของผม

เขาเงียบไปจนผมต้องพูดต่อ

“อาจจะทำให้คุณตกใจ แต่ผมชอบคุณจริงๆ”

“มะ...ไม่จริงอะ คุณไม่ได้ชอบผมซะหน่อย”

“อ้าว...ก็บอกอยู่นี่ไงว่าชอบ”

“ไม่เห็นจะชอบเลย”

“ก็บอกอยู่ว่าชอบ”

“ชอบอะไร อ่อยไปตั้งหลายทีแล้ว ไม่เห็นมีอาการเลย”

ฮะ...?

พูดจบคนตรงหน้าผมก็เหลือบสายตามองไปทางอื่น แต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่าผิวแก้มขาวๆ นั่นเรื่อสีแดงขึ้นมาจริงๆ ท่าทางเหล่านี้ทำให้ผมยิ้มออกมา แล้วถามกลับ

“จริงดิ”

“ไม่จริงมั้ง”

“เฮ้ย...นี่อ่อยผมด้วยดิ”

“ก็พูดไปแล้วไง!”

“ตอนไหนบ้างอะ”

“ไม่บอก!”

“แบบนี้ก็แสดงว่าชอบผมเหมือนกันถูกมั้ย”

พอผมก้มหน้าลงไปถาม อีกฝ่ายก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ยกมือขึ้นมาผลักไหล่กันแล้วพูดต่อ

“พูดขนาดนี้แล้วต้องบอกอีกเหรอ!”

สิ่งที่ผมตอบกลับไปคือรอยยิ้ม แค่นั้น แล้วปล่อยให้อีกคนพูดต่อ

“กลับบ้านแล้วนะ”

พูดจบเขาก็ไม่รอฟังอะไรทั้งนั้นแล้วหันตัวเดินหนีกันไปทันที

โชคดีที่ผมไหวตัวทัน ยื่นมือไปคว้าข้อมือคนตรงหน้าเอาไว้ ดึงให้กลับมาอยู่ใกล้กันอีกครั้ง ผลคือตุ๊กตาสล็อธที่อีกฝ่ายอุ้มมาตลอด ดันตกตุ๊บลงไปนอนอยู่ที่พื้นเรียบร้อย โชคดีที่มันอยู่ในถุง

พออีกฝ่ายกลับมาอยู่ตรงหน้ากันอีกครั้ง ผมก็ก้มลงนิดๆ มองเข้าไปในดวงตาแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าเขามีตาดำที่สีเข้มมากจริงๆ พอเจ้าตัวกระพริบตาช้าๆ มันก็เหมือนกับว่าสวิตช์อะไรบางอย่างในตัวของผมถูกเปิด

ผมขยับเข้าไปใกล้ เลื่อนมือขึ้นมาจับอยู่ที่ต้นแขนของเขา เอียงคอแล้วก็จูบลงไปบนริมฝีปากคู่นั้น

วินาทีนั้น เหมือนมีปรากฏการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้ความรู้สึกฟูนุ่มนั้นของผมเปลี่ยนไป กลายเป็นเหมือนมีอะไรระเบิดปุ้ง! อยู่ในท้องจนสะเทือนมาถึงหัวใจ

หลังจากที่ทำแค่แตะริมฝีปากกันเบาๆ ผมก็ถอนจูบออก ริมฝีปากยกยิ้มจนภาพการมองเห็นแคบลง ตอนที่ยกมือขึ้น ปัดปลายนิ้วหัวแม่มือผ่านแก้มเขาเบาๆ โดยที่รอบตัวยังคงมีแค่ความเงียบ

ไม่ทันได้ปล่อยเขากลับไป ผมก็รู้สึกได้ว่ามีมือเลื่อนขึ้นมาคล้องคอเอาไว้ รั้งให้ผมก้มตัวลงไปอีกรอบ พร้อมกับที่อีกฝ่ายเขย่งเท้าขึ้นมา แล้วริมฝีปากของเราก็แตะกันอีกครั้ง

ผมเลื่อนมือลงไป กอดเอวคนตรงหน้าเอาไว้ ขยับริมฝีปากเม้มเบาๆ บนกลีบปากล่างของเจ้าตัว พร้อมกับที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายก็บดริมฝีปากตัวเองกลับมา เวลาผ่านไปไม่นานก่อนจูบที่สองจะจบลง

ผมมองเขา คนโดนมองก็ยังคงปั้นหน้าบึ้ง พยายามซ่อนรอยยิ้มไว้จนแก้มป่องออก สีหน้านั้นทำให้ผมพูดออกมา

“คุณโคตรน่ารักเลย ขี้โกงว่ะ ทำไมอายุยี่สิบแปดแล้วถึงยังน่ารักแบบนี้อยู่อีกฮึ”

คราวนี้คำตอบคือการที่เขายกมือขึ้นมาทุบลงบนไหล่ผมทีหนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงพึมพำ

“พอได้แล้ว ปล่อยมือด้วย”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็คลายแขนทั้งสองข้างที่โอบรอบเอวคนพูดออก ก่อนที่เขาจะหันไปเก็บตุ๊กตาสล็อธบนพื้น แล้วส่งสายตามาให้ผม

“ตุ๊กตาหล่นเลยเห็นปะ”

“มันยังอยู่ในถุง ไม่เลอะหรอกคุณ”

“อืม ผมกลับบ้านแล้วนะ”

“โอเค”

ผมพยักหน้ารับ ยกมือขึ้นโบกบ๊ายบาย แต่พอเขาเดินออกไปก็ต้องเอื้อมมือไปคว้าตัวกลับมาอีกครั้ง

“อะไร”

คนตรงหน้าถามกลับ เงยหน้าสบตาผมกับท่าทางที่แสดงออกชัดเจนว่ายังเขินอยู่หน่อยๆ จนผมหลุดยิ้มออกมากับท่าทีเหล่านั้น จากนั้นก็หันตัวกลับไปหยิบถุงพลาสติกที่แขวนไว้ตรงแฮนด์มอเตอร์ไซค์มาให้เขา

“ต้นข้าวสาลีกับปลอกคอแมวของคุณ”

“ลืมเลยอะ”

คนตรงหน้ารับของที่ผมยื่นไปให้ ยิ้มเขินๆ ยกมือบ๊ายบายกันอีกครั้งก่อนจะเดินไปยังประตูรั้ว ผมมองตามเขา แล้วพูดออกมา

“พรุ่งนี้เช้าตื่นมากินข้าวด้วยกันนะคุณ”

คนที่กำลังจะเปิดประตูรั้วชะงักไป หันมาหาผม ส่งยิ้มให้แล้วพยักหน้ารับ เราสบตากันอยู่ไม่นาน ก่อนที่เขาจะออกจากบ้านไป

ผมยืนรอจนกระทั่งอีกฝ่ายไปถึงบ้านตัวเอง ไขประตูเปิดออก ส่งสายตามาทางนี้ เราสบตากันอีก จนเขาเข้าบ้านตัวเอง ปิดประตูล็อกเรียบร้อยผมถึงได้ละสายตา หันตัวตั้งใจจะเดินเข้าบ้านเหมือนกัน แล้วตอนนั้นเองที่ผมต้องสะดุ้งสุดตัวกับภาพตรงหน้า

“ไอ้ตูม!”

ไอ้แมวเหลืองมันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย

ตอนนี้มะตูมนอนตัวตรงชูคออยู่บนหลังคารถผม พร้อมกับใช้ดวงตาสีเหลืองมองจ้องมาทางนี้อย่างจับผิด หางยาวๆ สะบัดไปมากระแทกหลังคารถเป็นเสียงเบาๆ ไม่ทันไรมันก็ร้องเมี้ยวพร้อมกับหาวอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจ

เห็นท่าทางการเคลื่อนไหวเหล่านั้นแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา

“นี่คือมึงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเลยถูกมั้ย”

 

- to be continued -
[/i]

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
คุณไป๋ไปอ้อยตอนไหนเนี่ย..ยยยยยยยยย    :katai1:

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
คุณไปปปปปปปปป๋ ที่อ่อยคือตอนไหนอะ อ่อยเนียนไป อย่างอนชุนเลยเราก็ไม่รู้สึกอะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ดี ๆ ใจตรงกันก็ไม่ต้องเล่นตัวให้เสียเวลา คุณไป๋ชนะเลิศ
ชอบบรรยากาศการเดินเที่ยวงานจังเลย

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0


- 08 -



สถานะระหว่างผมกับคุณไป๋ลงตัวกันที่ว่าเราจะดูๆ กันไปก่อน

คืนหลังจากที่ได้พูดความรู้สึกออกไป ผมนอนไม่หลับซะด้วยซ้ำ ในใจมีแต่คำถามว่าสรุปแล้วระหว่างพวกเราตอนนี้คืออะไร

ผมชอบเขา อันนี้ชัดเจนอยู่แล้ว และเขาเองก็มีใจ อันนี้ก็ชัดเจนพอกัน

แต่แค่ความรู้สึกอย่างเดียว มันมากพอที่จะเปลี่ยนสถานะของคนสองคนได้จริงเหรอ

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมสามารถตอบได้โดยไม่ลังเลเลยว่าใช่ แต่ตอนนี้ผมเองก็เริ่มไม่แน่ใจ การเริ่มคบกันมันง่ายก็จริง แต่สิ่งที่ยากก็คือการที่เราจะประคองมันไปได้แบบตลอดรอดฝั่ง

ผมอายุยี่สิบหกซึ่งก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะทำผิดพลาดมาบ้าง แต่ตอนนี้พอคิดว่าจะเริ่มมีความสัมพันธ์กับใครก็อยากให้มันจริงจังชัดเจนไปเลย ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวคนเดียวได้ มันต้องเป็นเราสองคนที่ตัดสินใจร่วมกัน

ดังนั้นวันถัดไประหว่างที่ผมกับคุณไป๋กำลังเดินไปกินมื้อเช้าที่ร้านประจำ ผมก็ตัดสินใจถามออกมา

“คุณคิดว่าระหว่างเราตอนนี้เป็นยังไง”

ผมใช้เวลานอนคิดคำถามทั้งคืน ถามยังไงให้ดูไม่ดราม่าเกินไป ไม่แสดงออกในแบบที่กดดันเขามากเกินไป แล้วก็ไม่ฟังดูโลเลเหมือนกำลังล้อเล่นกับสิ่งที่พูดเมื่อวาน ผมคิดแล้วคิดอีกจนแทบจะลุกขึ้นไปหยิบปากกามาเขียนทุกประโยคที่มีในหัวเพื่อเลือกอันที่ดีที่สุด แถมยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่พูดออกไปเนี่ย อยู่ในรายการที่ผมคิดเอาไว้รึเปล่า

คำถามของผมทำให้เขาหันมามอง เลิกคิ้วใส่ พอผมไม่สามารถให้คำอธิบายอะไรได้เพิ่ม เขาก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาด้วยตัวเอง

“หมายถึงสถานะของเราสองคนน่ะเหรอ”

“ใช่...”

หลังจากได้ยินคำตอบของผมเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเปิดหน้าจอเพื่อดูเวลาแล้วพูดต่อ

“งั้น เราแวะไปสนามเด็กเล่นก่อนแป๊บนึงได้มั้ย”

หลังจากนั้นเราสองคนก็มาหยุดอยู่ตรงชิงช้า เขานั่งลง ไม่ได้ไกว ส่วนผมก็ยืนมอง พร้อมกับได้ยินคำถาม

“คุณคิดว่าไงอะ”

ผมมองเขา ส่งยิ้มให้เพื่อสร้างความผ่อนคลาย แล้วค่อยๆ พูดออกไป

“สำหรับผมน่ะ ยังไงก็ได้ เราจะคบกันไปเลย หรือจะใช้เวลาทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้อีกก็ได้ สิ่งที่สำคัญก็คือ ผมคิดว่าเราต้องตกลงเรื่องนี้ด้วยกัน”

“อืม...ผมแน่ใจว่าตัวเองรู้สึกดีๆ กับคุณนะ แต่ไม่แน่ใจเลยว่าเราจะสามารถคบหากันในแบบของคนรักไปได้ดีไหม คุณ...เข้าใจใช่มั้ย”

ผมส่งยิ้มไปอีกครั้งพร้อมกับพยักหน้ารับ ส่วนเขาก็ยังคงอธิบายต่อไป

“คือไม่ใช่ว่าผมไม่มั่นใจในตัวคุณนะ แต่ผมไม่มั่นใจในตัวเองมากกว่า เราดูเหมือนจะรู้จักกันในหลายด้าน แต่มันก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สั้นมาก และถึงแม้ผมจะรู้สึกว่าต่อไปนี้มันคงมีเรื่องดีๆ ระหว่างเราเกิดขึ้นอีกเยอะแยะแน่ๆ แต่ถ้าเรารอให้มันเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอะไรลงไป มันก็ไม่สายไปไม่ใช่เหรอ”

คุณไป๋เป็นคนน่าประทับใจ แม้กระทั่งในตอนนี้เขาก็สามารถอธิบายเรื่องระหว่างเราออกมาได้เป็นลำดับ และเห็นภาพชัดเจนเอามากๆ ผมจึงตอบกลับไป

“อือฮึ ผมเข้าใจ ระหว่างนี้เราก็...ดูๆ กันไปก่อนแล้วกันเนอะ”

ผมพูด แล้วยื่นมือไปให้คนที่นั่งอยู่ ก่อนเขาจะยื่นมือกลับมา จับกันไว้แต่ยังไม่ยอมลุกขึ้น แล้วพูดต่อ

“คุณไม่เคยคบกับผู้ชายมาก่อนใช่มั้ย”

ผมตกใจทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น แล้วก็คิดว่าสีหน้าตอนนี้น่าจะเป็นคำตอบให้เขาได้แล้ว เลยถามกลับไป

“รู้ได้ไงอะ”

คุณไป๋ยิ้มมุมปาก ยักคิ้วให้ผม แล้วตอบกลับมาพร้อมกับลุกขึ้น

“ใช้เซ้นส์เอาล่ะมั้ง”

“ถามจริง?”

ผมปล่อยมือเขาแล้วเปลี่ยนไปกอดคอ พร้อมกับเห็นว่าอีกฝ่ายผยักหน้ารับแล้วไม่พูดอะไรต่อ เลยพยายามจ้องตาแล้วขมวดคิ้วเข้าเพื่อเค้นความจริง ก่อนคำอธิบายจะตามมา

“เพราะคุณทรีตผมดีมากล่ะมั้ง เหมือนเวลาผู้ชายทรีตผู้หญิง”

“ไม่เห็นเกี่ยวเลย ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ถ้าเป็นคนที่ชอบยังไงก็ต้องดูแลให้ดีไม่ใช่รึไง”

สิ่งที่ผมได้รับกลับมาแทนคำตอบคือรอยยิ้ม กับแก้มที่ซุกเข้ามาบนไหล่นิดๆ ก่อนจะผละออกไป จนผมต้องวกมือข้างที่วางพาดไหล่เขาอยู่มาสัมผัสลงบนผิวแก้มนุ่มของเจ้าตัวระหว่างที่กำลังเดินต่อ

แปลกใจเหมือนกันที่ตัวเองกลายเป็นพวกชอบถึงเนื้อถึงตัวไปได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่เวลาอยู่ใกล้เขามันรู้สึกอยากใกล้กันมากขึ้น อยากสัมผัสตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผมเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน

ระหว่างที่เรากำลังเดินไปตามทางปูอิฐตัวหนอนของสนามเด็กเล่น ผมก็ถามขึ้นมาเจือเสียงหัวเราะ

“ว่าแต่ สถานะคนที่กำลังดูใจกันอยู่อะไรประมาณเนี้ย เค้าจูบกันได้มั้ยนะ”

คนฟังหันมาขมวดคิ้วใส่ทันที พร้อมกับที่ผมเห็นว่าใบหูที่โผล่พ้นเส้นผมสีดำของเขามันขึ้นสีแดงเรื่อ และสิ่งเดียวที่ส่งกลับมาที่ผมแทนคำตอบก็คือข้อศอกที่จิ้มเข้ามาตรงลำตัวผมเต็มๆ

ขอสรุปเอาเองว่ามันหมายถึงการตอบตกลงก็แล้วกัน



- - -

วันนี้เจ้านายผมเลี้ยงข้าวเที่ยง เพราะเพิ่งปิดจ็อบงานใหญ่ไปโปรเจ็กต์หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ไปกินอะไรที่ไหนไกลหรอก เป้าหมายคือร้านอาหารรสชาติดีหน้าปากซอยที่พวกผมไปอุดหนุนอยู่เป็นประจำ

พอถึงเวลาพักก็พากันเดินไปทั้งบริษัท ที่เอาจริงๆ ก็มีกันอยู่แค่หกคน รวมถึงแฟนเจ้านายที่แวะมารับเอกสารเพื่อเอาไปให้บริษัทบัญชี ระหว่างนั้นผมก็เพิ่งได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วก็เห็นรูปถ่ายที่คุณไป๋ส่งมาเมื่อเกือบสิบนาทีก่อน

ว่าแต่นั่นมันอะไรน่ะ ทำไมหน้าตาเหมือนดินหรือไม่ก็ทราย



‘อะไรอะคุณ’

‘อาหารแมวเด็ก’




สิ่งที่ถูกส่งตามมาคือคลิปวิดีโอพวกตัวเล็กกำลังกินอาหารในถ้วย โคตรน่ารักเลย!



‘ผมเอาอาหารแมวไปแช่ในนมแพะจนนิ่ม’

‘แล้วก็บี้ให้ละเอียด เด็กๆ จะได้กินได้’

‘แล้วคุณไปเอานมแพะมาจากไหนเนี่ย’

‘ขับรถไปซื้อมา’

‘ไวเนอะ’

‘อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง’

‘ก็ต้องลองปะ? ’

‘เรียกอีกอย่างว่าซน’

‘เดี๋ยวเหอะ!’




ไม่ทันไร แฟนเจ้านายผมก็ทักขึ้น

“มีแฟนแล้วเหรอ”

“ฮะ อะไรนะพี่”

“อ้าว ก็พี่เห็นชุนเดินพิมพ์โทรศัพท์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ถ้าไม่คิดว่ามีแฟน จะให้คิดว่าไง”

“ยังไม่ใช่แฟนหรอกพี่ ก็กำลังดูๆ กันอยู่”

“มีรูปปะ น่ารักมั้ย”

ผมพยักหน้ารับแล้วก็กดเปิดรูปให้อีกฝ่ายดู เห็นปุ๊บพี่แกก็ส่งเสียงเรียกเจ้านายผมที่เดินนำอยู่หน้าสุดทันที

“เฮีย ลูกชายเฮียจะมีแฟนอะ หน้าคล้ายแฟนเฮียเลย”

คนโดนเรียกหันกลับมา ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วถามแค่

“ไหน”

แล้วผมก็ยื่นหน้าจอโทรศัพท์ไปให้ดู ก่อนจะได้คำตอบกลับมาว่า

“แฟนกูขาวกว่าเยอะ”

ก็จริง...

เพราะรูปที่ผมเปิดให้ดูคือดิสเพลย์ไลน์ของคุณไป๋ ซึ่งเป็นหน้าเป่าเป้ยที่มีขนสีขาวแซมเทา ส่วนแมวของเจ้านายผมนี่สีขาวจั๊วะ แถมหน้ากลมแก้มใหญ่กว่าเป้ยไปอีก

มาถึงที่ร้านทุกคนก็ลงมือสั่งอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือเมนูที่กินกันอยู่เป็นประจำ ระหว่างนั้นโทรศัพท์ผมก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นอีกครั้ง พอเปิดเข้าไปดูก็ต้องเจอกับรูปไอ้ตูมที่กำลังกินอาหารแมวเด็กอย่างหน้าตาเฉย

จากเดิมที่หน้าตาไอ้ตูมก็กวนตีนด้วยตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งพอใส่ปลอกคอปอมๆ น่ารักที่ได้มาเป็นของฝากก็ยิ่งทำให้ดูกวนตีนเข้าไปใหญ่

กูล่ะเหนื่อยใจกับมึงจริงๆ เลยตูม...



วันนั้นกว่าผมจะได้กลับบ้านก็สามทุ่ม โชคดีที่กลับไปแล้วบ้านข้างๆ ยังเปิดไฟอยู่ จอดรถเสร็จผมก็เดินไปหาเขา เปิดประตูรั้วเข้าบ้านเอง พร้อมกับที่เจ้าของบ้านยกมือขึ้นมาโบกทักทายทั้งที่ยังนั่งอยู่หน้าคอมฯ ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ

พอเข้าไปในบ้าน ผมก็วางมือค้ำไว้บนเก้าอี้ที่เจ้าตัวนั่งอยู่ ก่อนจะก้มตัวลงจิ้มคางลงไปบนหัวของเขา แล้วถามต่อ

“งานยุ่งเหรอคุณ”

ผมก็เหลือบสายตาไปมองเอกสารที่วางอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ที่อยู่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์คือส่วนที่แปลเป็นภาษาไทยแล้ว

“นิดนึงอะ งานยาก”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็แตะริมฝีปากลงไปบนเส้นผมของเขาแล้วพูดต่อ

“เชื่อเลย แค่เห็นตัวหนังสือผมก็จะเวียนหัวแล้ว”

“อืม พวกเอกสารทางการแพทย์นี่ไม่อยากทำเลยอะ เงินเยอะยังไม่อยากทำเลย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้”

“อ้าว ทำไมอะคุณ”

“คนที่ติดต่อมาเป็นคุณหมอที่เคยรักษาอาม่าผม ดูแลอยู่เป็นปีเลย”

“อ๋อ...”

“เคยจะคบกันด้วย”

“จริงดิ?”

“อืม แต่เค้ารับไม่ได้ที่ผมเอาแมวเข้าไปนอนในห้อง ก็เลยจบ”

ผมเกือบหลุดขำ ก่อนจะตอบกลับไป

“ดีนะ ทุกวันนี้ไอ้ตูมแทบจะนอนบนหัวผมอยู่แล้ว”

“รักกันขนาดนั้นเลย?”

“อืม แถมบางทียังเอาหางมาอุดจมูกกันด้วย”

คนฟังหลุดขำออกมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น

“มันมีหนังสือภาพเล่มนึงชื่อว่า ‘จะรู้ได้ยังไงว่าแมวกำลังวางแผนฆ่าคุณ’ ต่อให้คุณไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่บางทีอาจจะต้องลองอ่านเล่มนี้แล้วมั้ง”

“แค่ชื่อก็ขนลุกแล้ว”

“อ่านแล้วอาจจะรู้ใจมะตูมมากขึ้นก็ได้”

“ว่ามันวางแผนจะฆ่าผมเงี้ยเหรอ”

“แน่ๆ”

เขาเงยหน้าขึ้นมาตอบกลับ ยิ่งเห็นสีหน้าผมก็สนุกไปใหญ่ ก่อนจะก้มลงไปทำงานต่อ ระหว่างนั้นผมก็เงยหน้าขึ้นมามองตะแกรงสีดำที่เขาติดไว้หน้าโต๊ะทำงาน ส่วนใหญ่ก็จะมีโน้ตเรื่องงานหนีบอยู่เต็มไปหมด ภาษาไทยบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง แต่สิ่งที่สะดุดตาผมก็คือกระดาษกรีนรี้ดแผ่นหนึ่งซึ่งมีรายละเอียดเขียนเอาไว้มากกว่าแผ่นอื่น

ข้อมูลที่อยู่ในนั้นเป็นเรื่องของการดูแลลูกแมวทั้งหมด ทั้งพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย วัยไหนควรกินอะไร ไปจนถึงช่วงอายุที่ต้องจับไปฉีดวัคซีน

ผมยืนอ่านข้อมูลเหล่านั้นไปเงียบๆ ก่อนคนที่นั่งอยู่จะเงยหน้าขึ้นมามองจนผมต้องอธิบาย

“กำลังอ่านคู่มือเลี้ยงลูกแมวของคุณอยู่”

“อ๋อ...”

พอได้คำตอบเขาก็กลับไปทำงานของตัวเอง ส่วนผมที่ยืนอ่านกระดาษแผ่นนั้นจนจบนั้นถึงกับหลุดยิ้มออกมาเมื่อเจอพัฒนาการแมวในช่วงอายุสองเดือน ข้อความที่เขียนไว้คือ ‘ซนร้ายกาจ’

โคตรน่ารักเลย

หมายถึงแมวเหรอ...หึ! คนที่โน้ตเรื่องพวกนี้ไว้เหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งสำคัญต่างหากล่ะ!

คุณไป๋ใส่ใจพวกเด็กๆ มากข้อนี้ผมรู้ดี มากถึงขนาดที่ว่าตอนนี้เขาขนของลงมานอนที่ห้องนั่งเล่นอย่างถาวรเรียบร้อยแล้ว บนโซฟาเลยมีทั้งหมอนหนุน ผ้าห่ม และตุ๊กตาสล็อธที่ได้มาเมื่อวันก่อนวางอยู่

ผมเข้าใจสถานการณ์ได้โดยที่ไม่ต้องให้เขามาอธิบาย อีกฝ่ายคงกังวลว่าถ้าขึ้นไปนอนบนห้องตามปกติ จะต้องลงมาเจอเหตุการณ์เหมือนเช้าวันนั้นอีกครั้ง

พอเห็นว่าเขาเริ่มกลับไปทำงานจริงจัง ผมเองก็ไม่อยากอยู่กวนสมาธิเลยพูดขึ้น

“ผมไปดูเด็กๆ ก่อนนะ”

“อือฮึ เสร็จย่อหน้านี้เดี๋ยวตามไป”

ผมแตะริมฝีปากลงไปบนเส้นผมของคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะแยกตัวไป

พวกลูกแมวดูเหมือนยิ่งโตยิ่งแสบ ถ้าจะยกความดีความชอบในเรื่องนี้ให้กับใคร ก็คงต้องเป็นไอ้ตูม ที่เป็นหัวหน้าแก๊งพาลูกวิ่งเล่นอยู่ตลอด วันนี้มันก็ยังคงเดินโบกหางอยู่ในบ้านคนอื่น แถมยังกินอาหารสูตรบำรุงพิเศษสำหรับแม่แมวได้อย่างหน้าตาเฉย

ผมนั่งลงตรงหน้าลังที่ทำเอาไว้ เห็นพวกลูกแมวนอนหลับสบาย แถมยังตัวใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก็รู้สึกเลยว่าคิดถูกแล้วที่วันนั้นตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ลังใบใหญ่ ส่วนปราสาทที่ได้มาทั้งของผมและของเขา สุดท้ายก็โดนพับเก็บไว้ ไม่ได้เอาออกมาใช้งาน

ดูจากพัฒนาการและความซน คิดว่าไม่เกินสัปดาห์ถัดไป เจ้าเด็กพวกนี้ก็น่าจะปีนที่กั้นออกมาได้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทั้งแม่แมวและลูกๆ หลับกันไปหมด ยกเว้นเจ้าสามสีที่ตื่นมาเห็นหน้าผมแล้วก็ร้องแง้วใส่กันเสียงดังลั่น จนคนที่อยู่หน้าคอมฯ ยังพูดออกมา

“อย่าแกล้งเด็กสิคุณ”

“เด็กต่างหากล่ะขู่ผม โหดสุดๆ”

คำตอบคือเสียงหัวเราะ

ผมถ่ายรูปหลานส่งไปให้พวกลุงไอ้ตูมดูแบบที่ทำอยู่เป็นประจำ พวกเพื่อนๆ ตื่นเต้นมากแล้วก็กำลังพยายามหาวันนัดกันมาเล่นกับลูกแมวอีกครั้ง ถึงขนาดที่ว่าไอ้ข้าวยังอยากลางานแล้วลงจากเชียงใหม่มาเล่นกับแมวอะคิดดู

อีกอย่างที่ผมสังเกตได้เลยคือเป่าเป้ยตัวผอมลงนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าดูสุขภาพไม่ดี ช่วงวันหยุดจะเป็นวันที่ผมได้เห็นพฤติกรรมแม่แมวอย่างชัดเจน แล้วก็รู้สึกเห็นใจเป้ยเป็นที่สุด

บางทีคุณเธอเพิ่งได้ออกมาจากคอก กำลังกินอาหารกินน้ำยังไม่ทันอิ่ม แต่พอได้ยินเสียงลูกร้องก็ต้องหยุดทุกอย่างแล้ววิ่งกลับเข้าไปในคอกทันที

ผมก็เห็นอยู่นะว่าคุณไป๋เขาต้มไข่แดงมาคลุกกับอาหารเม็ดให้เป้ยกินเพื่อบำรุงอยู่บ่อยๆ แต่ทันทีที่แม่แมวกินไม่หมด ไอ้ตูมก็จะเดินเข้าไปช่วยรับผิดชอบส่วนที่เหลือทันที ตามประสาพ่อแมวคุณภาพ

ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ผมว่าตอนนี้มะตูมเริ่มเป็นแมวลงพุงแล้วด้วยซ้ำ

นั่งดูพวกเด็กๆ ไปได้สักพัก คนที่ทำงานอยู่ก็เดินมานั่งลงตรงหน้าผมทั้งที่ยังใส่แว่นอยู่ วันก่อนผมถามไปแล้วว่าเขาสายตาสั้นรึเปล่า และได้คำตอบมาว่ามันเป็นแค่แว่นกรองแสงเพื่อกันแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีผลให้ประสาทตาเสื่อมได้ อธิบายจบยังมีการแนะนำให้ผมไปตัดแว่นกรองแสงใส่บ้าง

ผมมองคุณไป๋ ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเขาจะดูเซ็กซี่เป็นพิเศษเวลาที่สวมแว่นตาอยู่แบบนี้ ส่วนสิ่งที่คนโดนมองนึกถึงอยู่ก็คือ

“ลูกแมวอึบ้างมั้ยคุณ”

ใช่ เขาถามถึงอึแมว

“ไม่เห็นนะ ทำไมเหรอ”

“วันนี้ให้กินอาหารไปวันแรกน่ะสิ กลัวระบบย่อยจะยังปรับตัวไม่ได้แล้วท้องอืด”

“อ้าว แล้วถ้าอืดต้องทำไงเนี่ย หาหมอมั้ย”

“ผมว่าถ้ายังไม่อึ พรุ่งนี้จะลองเอายาคูลท์ป้อนให้กินซะหน่อย”

ลูกแมวกินยาคูลท์?!

คนตรงหน้าเคยอธิบายให้ผมฟังไปแล้วครั้งหนึ่ง ว่าลูกแมวไม่สามารถกินนมวัวได้เพราะระบบย่อยอาหารอะไรสักอย่างนี่แหละ แต่ถ้าเป็นนมแพะก็สามารถกินได้ตามปกติ

แล้วใครจะไปนึกว่าลูกแมวจะต้องกินยาคูลท์ด้วย

“ยาคูลท์คนเนี่ยนะคุณ?”

“อือฮึ กระตุ้นระบบขับถ่ายไง”

พอเขาตอบแบบนั้น ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามย้ำ

“นี่ไม่ได้แกล้งใช่ปะ”

“ไม่แกล้ง จริงๆ”

“ยาคูลท์ก็มา...”

เพราะเสียงคุยของเราสองคนล่ะมั้ง เจ้าพวกตัวเล็กเลยทยอยตื่นกันขึ้นมาทีละตัวสองตัว จนตอนนี้คลานอยู่ในคอกกันเต็มไปหมด ดูท่าทางแล้วจะหนีแม่ออกมาเที่ยวได้เร็วๆ นี้อย่างที่ผมคิดไว้ จนต้องหันไปคุยกับคนข้างๆ

“ไว้วันเสาร์เราไปจตุจักร หาซื้อกรงให้ลูกแมวดีมั้ย”

แล้วปฏิกิริยาตอบกลับก็เป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็น

คุณไป๋นิ่วหน้าแล้วปฏิเสธกลับมาสั้นๆ

“ผมไม่ชอบไปจตุจักรเลยอะ”

“ร้อนใช่มั้ย”

“หึ ไม่ชอบเห็นสัตว์ที่ถูกขายอยู่ที่นั่นอะ มันน่าสงสาร”

แล้วนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาคิดอะไรในมุมที่ผมคิดไม่ถึง

เพราะอย่างนี้ล่ะมั้ง อีกฝ่ายเลยไม่แวะดูพวกสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะกระต่าย หนูแฮมสเตอร์ หรือแม้แต่หมาที่วางขายอยู่เต็มไปหมดตอนวันลอยกระทง

“ก็จริงของคุณ”

“อืม คือมันอาจจะดูไม่ค่อยเข้าใจโลก แล้วก็ไม่ยอมรับความเป็นจริงสักเท่าไหร่ แต่ผมเคยไปจตุจักรแล้วก็รู้สึกแย่มากตอนกลับมา”

“...”

“คือผมก็เข้าใจได้นะว่าพ่อค้าแม่ค้าเค้าก็ต้องทำมาหากิน ปัญหาคือผมที่รับไม่ได้เอง ก็เลยตัดสินใจไม่ไปซะเองไง”

“อือฮึ”

ผมรับคำ แล้วก็ได้ยินอีกคนพูดออกมาลอยๆ เหมือนบ่นกับตัวเอง

“เอาไงดีนะ”

ตอนนั้นเองที่ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“วันก่อนคุณขอนามบัตรร้านกรงแมวมานี่ ใช่มั้ย?”

“จริงด้วย”

คุณไป๋รับคำ ลุกขึ้นไปที่โต๊ะทำงาน แล้วกลับมาพร้อมกับนามบัตรในมือ ก่อนจะใช้มือถือเสิร์ชหาแฟนเพจของร้านที่ว่า ผมเองก็หันไปมองหน้าจอของเขา พอเห็นราคาแล้วก็พูดออกมาตามที่คิด

“โคตรแพงเลย”

“ลองหาร้านอื่นที่ถูกกว่านี้ดีมั้ย? หรือคุณว่าไง?”

สีหน้าคนพูดเห็นชัดเจนเลยว่าเขาไม่แน่ใจว่าผมจะเห็นด้วยรึเปล่ากับการสั่งกรงแมวแบบออนไลน์

อันที่จริงมันก็ขัดๆ อยู่นิดหน่อยนั่นแหละ เพราะเป็นการซื้อของชิ้นใหญ่แล้วก็ซื้อมาเพราะต้องการใช้งานจริงจังด้วย ผมรู้สึกว่าเราควรจะได้ตรวจเช็กมันก่อนว่าสภาพจริงเป็นยังไง แข็งแรงมั้ยอะไรประมาณนั้น และเท่าที่จำได้ โซนขายของสัตว์เลี้ยงของซูเปอร์มาร์เก็ตประจำของพวกเราก็ไม่มีกรงที่ขนาดใหญ่พอสำหรับลูกแมวสี่ตัว

“เอางี้ ผมขอหาข้อมูลแป๊บนึง”

“อันที่จริงมันมีแบบทำเองด้วยนะคุณ”

พูดจบเจ้าตัวก็ขยับเข้ามาใกล้ผม จนไหล่เราชนกัน แล้วพูดต่อ

"คุณลองเสิร์ชดู กรงแมวทำเอง อะไรประมาณนั้น"
ผมทำตาม แล้วภาพก็ขึ้นมาจริงๆ ว่าเราสามารถซื้อตะแกรงที่แม่ค้าใช้แขวนของขายทั่วไปมาประกอบกันเป็นกรงสำหรับสัตว์เลี้ยงได้ ผมกดเข้าไปดูรูป ใช้เวลาพิจารณาอยู่ไม่นานก่อนจะหันมาบอกคนข้างๆ

“ทำเองมั้ยคุณ มันไม่ยากเลยนะ ดูดี แล้วก็ประหยัดด้วย”

“ไม่ยากอีกละ”

“จริงๆ นะ อันนี้ไม่ต้องใช้ปืนกาวด้วยซ้ำ แค่เอาหนวดกุ้งมารัดมันก็อยู่แล้ว”

“หนวดกุ้ง?”

“ที่รัดสายไฟอะคุณ”

ดูจากสีหน้าคนพูดแล้ว คิดว่าอธิบายยังไงเขาก็น่าจะไม่เข้าใจจนต้องสรุปว่า

“วันเสาร์เราค่อยไปซื้อของกัน คุณจะได้เห็นว่าหนวดกุ้งที่ผมบอกมันหน้าตายังไง โอเค้?”

คนฟังยิ้มรับ พยักหน้าก่อนทำท่าจะลุกขึ้น

“งั้นผมไปทำงานต่อแล้ว คุณเล่นกับเด็กๆ ต่อไปเหอะ”

พูดจบเขาก็ลุกขึ้น เดินกลับไปยังมุมทำงาน ผมเองก็รู้สึกว่าต้องกลับบ้านแล้วเหมือนกัน เลยลุกขึ้นไปหิ้วไอ้ตูมขึ้นมา แล้วเดินไปหาคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เขาหันมามองตอนที่ผมเดินเข้าไปใกล้ แล้วส่งยิ้มให้ก่อนจะถามต่อ

“กลับแล้วเหรอ”

ผมพยักหน้ารับ ก้มลงไปจูบที่แก้มเขาเบาๆ

“ไปแล้ว พักผ่อนด้วยนะคุณ”

“เหมือนกัน ฝันดีล่วงหน้านะ”

เนี่ย...ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้



[มีต่อนะคะ]

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
,

พอถึงวันเสาร์ผมก็ใช้เวลาในการหาข้อมูล ร่างแบบของกรงที่จะทำคร่าวๆ เพื่อคำนวณว่าควรจะซื้อตะแกรงเหล็กสักกี่อัน โดยมีอีกคนคอยช่วยคิดว่าควรจะจัดสรรพื้นที่ในกรงออกมาเป็นแบบไหน หลังจากมองผมวาดแบบของกรงอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้นมา

“คุณลากเส้นตรงมากเลยอะ”

“เรียนมาไง มันเป็นการฝึกกล้ามเนื้อ พอคุณหัดลากเส้นเยอะๆ กล้ามเนื้อมันจะจำได้นะ ว่าต้องขยับอย่างนี้เพื่อให้ได้เส้นตรง แล้วมันก็ลากออกมาเป็นแบบนี้ได้เองโดยธรรมชาติเลย”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”

คนไม่เก่งงานฝีมือฟังสิ่งที่ผมพูดแล้วพยักหน้าตาม หลังจากนั้นพอแบบของกรงแมวเสร็จเรียบร้อยพร้อมรายการของที่ต้องซื้อ พวกเราก็พากันออกจากบ้าน โดยที่ผมเป็นคนขับรถของคุณไป๋

ซื้อของอยู่ในตลาดไม่นานก็กลับมานั่งอยู่ตรงนี้อีกครั้ง ที่เดิม มุมเดียวกับที่ทำห้องคลอดให้เป่าเป้ย สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นคือตอนแรกมีแค่มะตูมกับเป้ยเท่านั้นที่คอยมากวน แต่ตอนนี้มีพวกตัวเล็กเพิ่มมาคลานให้กำลังใจ แถมยังกระโดดตะครุบกันเองจนกลิ้งกันไปทั้งคู่อีกต่างหาก

หลังจากมองทุกอย่างอยู่สักพัก ผมก็หันไปบอกคนข้างๆ

“ต้องไปเอากรรไกรกับคีมก่อนคุณ เดี๋ยวผมมานะ”

ไม่ทันลุกขึ้น อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาคว้าแขนผมเอาไว้ แล้วพูดต่อ

“ไปด้วยสิ ไหนบอกจะพาทัวร์บ้านไง”

“โอเค”

ผมพยักหน้ารับ แล้วเราก็ช่วยกันจับพวกเด็กๆ ใส่กลับเข้าไปในคอก บอกมะตูมกับเป่าเป้ยให้เฝ้าลูกไว้ให้ดี ก่อนจะเดินออกจากบ้าน ระหว่างทางผมก็พูดไปด้วย

“บ้านน่ะไม่เท่าไหร่หรอกคุณ เพราะผมไม่ค่อยได้อยู่ แต่ห้องนอนนี่ดิไม่ให้ดูได้มั้ย”

“ทำไม ซ่อนอะไรไว้รึไง”

เขาถาม พลางใช้ดวงตาสีเข้มจ้องกัน พร้อมกับที่ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มนิดๆ และต่อให้ท่าทีโดยรวมดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอไปสบตาเขาเข้า ผมก็ต้องรีบปฏิเสธขึ้นมาทันที

“เปล่านะคุณ อาทิตย์นี้ผมงานเยอะอะ กลับมืดทุกวันคุณก็เห็น ห้องมันก็เลยรกไง”

“อ๋อ...”

“ปกติผมจะทำความสะอาดบ้านทุกวันเสาร์ แต่เสาร์นี้ก็ยังไม่ได้ทำเลย”

สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะ กับคำพูดสั้นๆ

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย”

บ้านที่ผมอยู่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยตั้งแต่วันที่พ่อแม่ผมซื้อมา จะมีบ้างก็คือซ่อมไปตามการใช้งานให้พอดูดีและไม่โทรม เช่นเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาที่เก่าจนเริ่มมีรอยรั่วหรือทาสีใหม่ แต่รวมๆ ทุกอย่างก็ยังอยู่ในสภาพเดิม

ประเด็นคือพ่อผมเป็นพวกชอบสะสมของเก่า อย่างพวกวิทยุ เครื่องเล่นแผ่นเสียง นาฬิกาโบราณ และสารพัดอย่างที่ซื้อมาวางไว้จนบ้านแทบจะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ อย่างรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่ผมใช้อยู่ก็ใช่

ตอนพ่อแม่ย้ายออกไปก็เอาไปแค่บางส่วน พอทั้งบ้านมีแค่ผมกับพี่สาว เราก็เลือกบางอย่างที่เก่าจนใช้งานไม่ได้ทิ้งไปบ้าง ยกให้คนอื่นไปบ้าง เพื่อที่บ้านจะไม่รกเกินไป แล้วก็ตกแต่งใหม่ให้พอน่าอยู่

ความภูมิใจเล็กๆ ก็คือบ้านผมเคยถูกใช้เป็นโลเกชั่นในการถ่ายงานของรุ่นพี่ในคณะ ที่ตอนนี้ทำงานเป็นเบื้องหลังในวงการบันเทิง

ก็นะ ผมทำงานสายนี้ทั้งที จะอยู่บ้านรกๆ โทรมๆ ก็คงไม่ใช่

พอเราเข้ามาข้างในคุณไป๋เขาก็เดินไปหยุดอยู่ตรงตู้กระจกที่วางโชว์ถ้วยชามเก่าๆ ลายสวยๆ ถัดไปเป็นตู้เหล้าแล้วก็ตู้ไม้ ซึ่งมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบที่มีลำโพงวางอยู่

“อันนี้เจ๋งมากเลยอะคุณ”

ผมยิ้มรับแล้วอธิบายต่อ

“พ่อผมซื้อมาจากจตุจักร ยังใช้ได้อยู่เลยนะ”

“จริงดิ”

“อือฮึ มาเดี๋ยวเปิดให้ฟัง”

พูดจบผมก็เดินเข้าไปใกล้เขา เปิดตู้ที่ใส่แผ่นเสียงอยู่แล้วก็เลือกมาแผ่นหนึ่ง แบบที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือเพลงอะไร ก่อนจะเสียงปลั๊ก เปิดเครื่อง วางแผ่นเสียงลงไปตามด้วยขยับหัวเข็มมาแตะลงที่ร่องเสียง แล้วกดเล่นก่อนที่เพลงช้าๆ ฟังดูคลาสสิคและโบราณพอกันกับเครื่องจะดังขึ้นมา

ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายหันมามองหน้าผม สีหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดทั้งยังพูดว่า

“สุดยอดเลยคุณ! บ้านคุณเหมือนพิพิธภัณฑ์เลยอะ”

“ชอบขนาดนั้นเลย?”

“อื้ม! ทุกอย่างมันดูมีเรื่องราวแล้วก็ต้องใช้เวลา ไม่ใช่ว่าคุณนึกขึ้นมาว่าอยากจะมีบ้านแบบนี้ แล้วไปจ้างใครก็ได้มาทำให้แบบบ้านผมซะหน่อย”

“อ้าว บุลลี่บ้านใหม่ของตัวเอง แล้วก็อวยบ้านเก่าๆ ของผมซะงั้นอะนะ”

ได้ยินอย่างนั้นเจ้าตัวก็หันมาหัวเราะใส่กันแล้วก็เดินดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย ส่วนผมก็ถือโอกาสนี้เดินขึ้นไปหยิบคีมตัดลวดกับกรรไกรอันใหญ่ที่ห้องทำงานชั้นบน

พอลงกลับมา อีกฝ่ายก็เดินมาหาแล้วชวนคุยต่อ

“รู้ปะ ผมประทับใจอะไรที่สุด”

“อะไร”

“ห้องน้ำกับถ้วยข้าวแมวคุณยังคุมโทนวินเทจเลยอะ”

ผมยิ้มรับ แล้วอธิบายต่อ

“ตาถึง ห้องน้ำไอ้ตูมมันไม่ใช่ห้องน้ำธรรมดานะคุณ คนออกแบบเป็นชาวฝรั่งเศส ได้แรงบันดาลใจมาจาก Igloo กระท่อมน้ำแข็งของชาวขั้วโลก ใช้เวลาออกแบบนานเก้าเดือน โครงสร้างดีไซน์ให้มีแสงในระดับที่ทำให้แมวรู้สึกสงบ และสามารถอึได้อย่างปลอดภัย สบายใจ และเป็นส่วนตัว แถมระบบถ่ายเทอากาศยังดีเยี่ยม”

ระหว่างที่ฟังผมพูด คุณไป๋ก็ทำหน้าตื่นเต้นไม่หยุด จนถึงประโยคปิดท้าย

“ราคาสี่พันบาท พี่สาวผมซื้อมาทำบ้าอะไรไม่รู้ ห้องน้ำแมวรูปโดมธรรมดา สี่พัน! ผมกับพี่แทบทะเลาะกันเลยตอนรู้ราคา”

แล้วสิ่งที่อีกฝ่ายทำคือการหัวเราะ ส่วนผมก็ยังพูดต่อไป

“มีวันนึง ผมกับเพื่อนไปเดินห้างแล้วเจองานสัตว์เลี้ยง มีร้านนึงเค้าขายห้องน้ำแบบอัตโนมัติอย่างของเป้ยด้วย พวกผมโคตรตื่นเต้นอะ แทบหุ้นตังค์กันซื้อตอนนั้น แต่คิดไปคิดมา ช่วงกลางวันผมก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านไง เกิดมันเป็นอะไรขึ้นมา ไฟช็อตไอ้ตูมไข่เกรียมไปอีก เลยไม่ได้ซื้อ”

“คุณอะ สงสารมะตูม! มันไม่ช็อตหรอกผมก็ใช้อยู่ไง”

พออีกฝ่ายขำ ผมก็ขำตาม

“นี่ไอ้ตูมนะคุณ เคยทำอะไรธรรมดาเหมือนแมวตัวอื่นซะที่ไหน”

“เค้าเรียกมีคาแร็กเตอร์หรอก”

ผมพยักหน้ารับเพลียๆ แล้วถามต่อ

“อยากสำรวจอะไรอีกมั้ยฮึ ชั้นบนเป็นห้องเก็บของใช้ของพ่อแม่กับพี่สาวผมที่ไม่รู้จะขนไปไว้ที่ไหนดี อีกห้องนึงผมทำเป็นคล้ายๆ สตูดิโอเอาไว้สุมหัวทำงานกับเพื่อนสมัยเรียน จนตอนนี้งานก็ยังกองอยู่เต็มไปหมด แล้วก็ห้องที่ตรงกับมุมทำงานของคุณที่ชั้นล่างเป็นห้องนอน”

ได้ยินอย่างนั้นเขาก็เงียบไปสักพัก เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่แล้วก็ตอบกลับมา

“ไม่เอาแหละ ไว้สำรวจวันอื่นบ้างดีกว่า”

“งั้นเราก็ไปทำกรงแมวกันเลยเนอะ”

พอเห็นคนฟังพยักหน้ารับ ผมก็ฝากของในมือไว้กับเขา เดินไปปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง เก็บทุกอย่างเข้าที่ให้เรียบร้อย แล้วก็เดินกลับไปยังบ้านหลังข้างๆ พอไปถึงหน้าคอกแมว สิ่งที่เห็นก็ทำเอาผมแทบหงายหลังลงไปนอนขำ

ตอนนี้แมวตัวที่อยู่ในลังไม่ใช่เป่าเป้ย แต่เป็นไอ้ตูมแถมยังนอนตะแคงเปิดพุงโดยมีลูกทั้งสี่ตัวรุมดูดนมไม่หยุด พอมองหาแม่แมวก็เห็นว่าเป่าเป้ยนอนหลับอยู่บนคอนโด คงจะเหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ

“โอ๊ย มะตูม!”

คุณไป๋พูดออกมาแค่นั้น ส่วนผมทำได้แค่หัวเราะอย่างเดียวก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ พอไอ้ตูมเห็นผมเอาโทรศัพท์ไปจ่อมันก็มองมา แล้วร้องเมี้ยวเบาๆ เหมือนขอความช่วยเหลือ

“คุณอย่าขำเยอะดิ สงสารมะตูม”

เขาหันมาห้ามผมทั้งที่ตัวเองก็ยังพูดไปพลางขำไปพลาง ก่อนจะยื่นมือเข้าไปช่วยกันเด็กๆ ออก แล้วอุ้มไอ้ตูมออกมา พอไม่มีนมให้ดูดพวกลูกแมวก็ร้องโวยวายทันทีจนเป่าเป้ยตื่น และต้องลงมาดูลูกอีกครั้ง พอเห็นสถานการณ์ตรงหน้าอีกฝ่ายก็หันมาบอกว่า

“ผมไปทำอาหารให้พวกแมวเด็กดีกว่า”

“ตามสบายเลยคุณ เดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการเอง”

เขาเดินเข้าไปในครัวสักพัก ก่อนจะกลับออกมากับอาหารเม็ดที่ลอยอยู่ในน้ำนม วางถ้วยลงเสร็จก็หันมาถามกัน

“ให้ช่วยอะไรมั้ย”

“อ้าว แล้วอาหารลูกแมวล่ะ”

“ต้องวางทิ้งไว้อย่างนี้จนกว่ามันจะนิ่ม ระหว่างนี้ก็ไม่มีอะไรทำ”

“งั้น...นั่งให้กำลังใจผมก็พอ”

ได้ยินอย่างนั้นเขาก็ทำหน้ายุ่งใส่ แล้วก็ปล่อยให้ผมประกอบตะแกรงเหล็กสีขาวที่ซื้อมา ใช้เวลาไม่นานก็ได้กรงเปล่าที่ขนาดใหญ่มากๆ

แต่ตามที่ร่างไว้ ผมตั้งใจจะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเอาไว้สำหรับวางห้องน้ำ อีกฝั่งสำหรับอาหารและน้ำ แล้วก็มีทางเดินขึ้นไปเป็นชั้นสองที่คิดว่าจะใส่พวกของเล่นเข้าไป

สักพักคุณไป๋ก็หันไปจัดการบดอาหารแมว ลุกไปหยิบถ้วยใบเล็กมาสี่ใบ แล้วอุ้มพวกเด็กๆ ออกมากินอาหาร ผมเลยต้องวางมือจากสิ่งที่ทำอยู่ แล้วก็ไปดูพวกลูกแมวตัวกลมกินกันกันอย่างเอร็ดอร่อย ระหว่างนั้นอีกคนก็หันมาอวดหลานชุดใหญ่

“ตอนผมหาข้อมูลมา เค้าบอกว่าถ้าลูกแมวไม่ยอมกินจะต้องเอาไซริงก์ป้อน แต่พวกตัวเล็กเก่งกันมากเลยนะ แค่ตักใส่ถ้วยให้ก็เดินมากินกันเองได้ทุกตัวเลย”

“เก่งหรือตะกละฮึ?”

“คุณนี่!”

เขาพูดออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นตีลงมาบนไหล่ผมทีหนึ่ง ก่อนจะกลับไปดูพวกแมวเด็กต่อ แล้วอยู่ๆ ไอ้ตูมมันก็เดินเข้ามาใกล้ ทำมาเป็นดมอาหารในถ้วยที่เจ้าส้มพี่ใหญ่กินอยู่ ก่อนที่คุณไป๋จะพูดขึ้นพร้อมกับดันมันออกไป

“ตูมรอก่อนเลยนะ เด็กๆ กินเสร็จแล้วค่อยกินต่อโอเคมั้ย”

นาทีนั้นเองที่เรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น ไอ้ดื้อตูมที่ทำมึนเก่ง ทำหูทวนลมไม่เข้าใจภาษามนุษย์เก่งที่สุด ก็นั่งรอตามที่คุณไป๋สั่งโดยไม่มีท่าทียึกยัก เหมือนจะเนียนเข้ามาแย่งอาหารลูกกินอีก

ไอ้แมวตอแหล!

พอเด็กๆ กินเสร็จ อาหารที่เหลือก็ตกเป็นของไอ้ตูมจริงๆ ส่วนเป่าเป้ยมีไข่แดงคลุกกับอาหารเปียกเป็นของตัวเอง กินเสร็จล้างจานเรียบร้อยคุณไป๋เขาก็กลับมานั่งใกล้ผมอีกครั้ง โดยที่ยังปล่อยให้พวกลูกแมวเล่นซนอยู่ข้างนอก ส่วนตัวเขากลับมีไอ้ตูมนอนตัวกลมอยู่บนตัก ไอ้เหลืองนี่มันอ้วนขึ้นจริงๆ นะ ผมไมได้ล้อเล่น

พอเขาเกาคางให้ไอ้ตัวแสบก็ทำเป็นหายใจครืดคราดๆ ไถหัวอ้อนไปมา และความอดทนของผมก็หมดลงตอนที่คุณไป๋อุ้มไอ้ตูมขึ้น แล้วจุ๊บจมูกมันไปทีหนึ่ง สิ่งที่ผมทำคือการยื่นมือไปฟาดลงบนหัวเหลืองๆ ของมัน ก่อนจะกลับมาประกอบกรงต่อ

“คุณก็! ชอบหาเรื่องแมว”

“ก็หน้ามันน่าหมั่นไส้อะ”

“เค้าบอกว่าปกติแล้วแมวกับเจ้าของก็จะเหมือนกันนั่นแหละ”

“เลยชอบมีคนบอกว่าไอ้ตูมเป็นแมวหล่อ”

“เฮ้อ...”

ผมหลุดขำกับเสียงถอนหายใจ ใช้เวลาอีกสักพักกรงลูกแมวก็เสร็จเรียบร้อย หันกลับมาอีกที คนที่ลุกไปไหนไม่รู้ก็กลับมาพร้อมกระบะทรายแมวอันเล็ก

“อันนี้น่าจะใส่ในกรงพอนะคุณ”

ผมรับกระบะทรายมา ลองใส่เข้าไปในช่องที่เตรียมไว้แล้วหันมาบอกคนที่รออยู่

“เป๊ะ!”

ระหว่างที่ผมกำลังตัดสายหนวดกุ้งที่ยาวออกมาทิ้งไปให้หมดเพื่อความเป็นระเบียบ อีกคนก็ลุกขึ้นเดินไปหลังบ้านอีกครั้ง และกลับมาพร้อมอุปกรณ์เลี้ยงแมวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเบาะ ของเล่น ตุ๊กตา ไปจนถึงที่ลับเล็บ

อย่าบอกว่าทั้งหมดนี่คือของที่เขาซื้อมาให้พวกแมวเด็ก?

ผมหันไปมอง แค่คิด ไม่ได้พูดอะไร แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มจนตาหยีแล้วพูดว่า

“คนเพิ่งเคยมีหลานอะคุณ เลยบ้าเห่อนิดนึง”

“ผมว่าไม่นิดแล้วมั้ง...”

“พวกของเล่นในห้องเก็บของยังมีอีกนะ บางอันผมก็ซื้อไว้ตั้งแต่ตอนเลี้ยงเป้ยใหม่ๆ แต่ยังไม่ได้เอามาใช้ นี่คือเลือกมาเฉพาะอันที่เหมาะอะ”

ผมส่งยิ้มให้เขา ส่ายหน้านิดๆ แล้วขยับตัวออกมา

“หน้าที่ตกแต่งยกให้คุณไปเลยก็แล้วกัน”

“มาช่วยกันสิ”

ใช้เวลาไม่นานกรงลูกแมวก็พร้อมใช้งาน คุณไป๋จัดการอุ้มไอ้ตูมใส่เข้าไปในกรงก่อนเป็นตัวแรก

“อะตูมตรวจงานให้หน่อย”

ไอ้นี่ก็รู้เรื่องเก่ง เข้าไปก็ทำเป็นปีนโน่นสำรวจนี่ ดมตามมุมโน้นมุมนี้ไม่หยุด สักพักเป่าเป้ยก็เดินมาดูด้วยความสนใจ จนโดนจับใส่เข้าไปในกรงอีกตัว ทั้งคู่เดินวนไปวนมาสำรวจกรงอยู่สักพัก แล้วก็จบลงด้วยการเข้าไปนอนซุกกันในปราสาทแมวที่ผมใส่เข้าไปเพื่อใช้เป็นห้องนอน เห็นแล้วโคตรเหม็นความรักแมวเลยให้ตาย!

สักพักผมก็หันไปถามคนข้างๆ ที่กำลังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปแมวด้วยความตั้งใจ

“พวกเด็กๆ จะย้ายเข้ามาอยู่ในนี้เมื่อไหร่อะคุณ”

“คงเป็นตอนที่ซนจนปีนออกมาหนีเที่ยวเองได้ แล้วก็เข้าห้องน้ำเองเป็นด้วยอะ”

“นี่คือเดี๋ยวเราต้องสอนเข้าห้องน้ำอีกใช่มั้ยเนี่ย”

“ใช่แล้ว”

“มีอะไรใหม่ให้ได้ลองทุกสัปดาห์เลยเนอะ”

“อื้ม!”

พอเขาหันมาส่งยิ้มให้ ผมเองก็ยิ้มกลับไป

สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ก็คือ ความรู้สึกฟูนุ่มในใจผมมันขยายกว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันผมก็รับมือกับมันได้มากขึ้น เป็นธรรมชาติมากขึ้น

ผมรู้สึกดีและมีความสุขง่ายมากเมื่ออยู่กับเขา และต้องการทำให้เขารู้สึกในแบบเดียวกัน



- to be continued -


talk .

เผื่อใครสงสัย หนังสือที่คุณไป๋พูดถึงคือ

How to Tell If Your Cat is Plotting to Kill You

โดย Matthew Inman นะคะ : )

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
อิจฉากระทั่งแมวอ่ะคนเรา   :t3:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด