'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]  (อ่าน 14825 ครั้ง)

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
รักครั้งนี้ ต้องดีแน่นวล..ลลลลลลล  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ถูกที่ถูกเวลา  :katai2-1:

ออฟไลน์ neno.jann

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
น่าร้ากกกกกก มันงื้อๆๆ อยากฟัดเด็กๆ

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
พ่อไอ้ตูมโม้เก่งงง 55555

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0


- 12 -

ไอ้ข้าว สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มที่ไปอยู่เชียงใหม่หลังเรียนจบ ตัดสินใจลงมากรุงเทพฯ ช่วงปีใหม่ เหตุผลหนึ่งคืออยากมาเจอพวกผม แต่ที่สำคัญกว่าคือมันอยากมาดูลูกไอ้ตูม

พวกผมไปรับมันที่สนามบินในช่วงสายของวันที่ยี่สิบแปด แวะกินข้าวนั่งคุยกันทั้งวัน แล้วก็ตรงไปที่ร้านประจำ ก็ร้านที่เก็บไอ้ตูมมานั่นแหละ ผมเอารูปมะตูมกับครอบครัวให้พี่เต้ดู พี่แกดีใจเลยแหละตอนที่เห็นว่าไอ้ตูมแข็งแรงดี แถมยังมีครอบครัวเรียบร้อย

คืนนั้นพวกเราดื่ม สนุกสนานเฮฮาตามปกติ แล้วก็นั่งแท็กซี่กลับมานอนกองรวมกันที่บ้านผมเหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังเรียนอยู่

เช้าวันต่อมา หลังจากฟื้นคืนชีพกันทุกคน และกำลังรอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ไอ้ธีร์ต้มอยู่สุกดี ไอ้ข้าวก็พูดขึ้น

“งั้น เดี๋ยวกูจะได้เจอทั้งหลานทั้งคนคุยมึงเลยดิ”

“อืม ก็อยู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ”

พวกเพื่อนๆ ทุกคนรู้ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับคุณไป๋ ซึ่งเอาจริงๆ บางทีมึงก็รู้มากไป แต่ผมก็ไม่เดือดร้อนอะไรนะ เพราะไม่ได้อยากปิดบังอยู่แล้ว

อันที่จริงผมก็แวะไปหาเขาที่บ้านมาแล้วรอบหนึ่งหลังอาบน้ำเสร็จ ปีนเก้าอี้ข้ามรั้วไปแบบคราวก่อน พร้อมโดนแซวมานิดหน่อยว่าเมื่อคืนเมาเสียงดังลั่นเลย ดีนะที่อีกฝ่ายย้ายมาตอนพวกผมเรียนจบแล้ว ถ้าอยู่มาตั้งแต่ตอนเรียนจะรู้เลยว่ายิ่งกว่านี้อีก

กว่าพวกผมจะได้ไปเยี่ยมลูกไอ้ตูมก็เที่ยงกว่าไปแล้ว พอเข้าไปก็เจอกับของอะไรก็ไม่รู้ที่ขนมากองไว้กลางบ้านเยอะแยะเต็มไปหมด พร้อมกับที่เจ้าของบ้านพูดขึ้น

“บ้านรกหน่อยนะ พอดีผมกำลังเก็บของที่ไม่ใช้แล้ว จะเอาไปทิ้งกับบริจาค”

ท่ามกลางหลายๆ เสียงที่บอกว่าไม่เป็นไร และกำลังเดินเรียงแถวกันเข้าไปดูลูกไอ้ตูม ไอ้ไอซ์ก็พูดขึ้น

“เอาเพื่อนผมไปกองรวมด้วยเลยครับ อันนี้ใช้ได้อยู่ แต่ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์”

มันพูดแล้วชี้มาทางผม ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะออกมา ผมมองคนที่ขำตามไอ้พวกบ้านี่ไปด้วย แล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

“ไง จะผมเอาไปไว้กองไหน ทิ้งหรือบริจาคฮึ”

คนฟังยิ้มรับ ไม่ตอบอะไรแล้วเดินเข้าไปในครัว แบบที่ดูก็รู้ว่าคงไปหาน้ำหาขนมอะไรให้พวกนี้กินตามเคย ผมเดินตามไปช่วยเขา พร้อมกับที่อีกฝ่ายเริ่มชวนคุย

“เย็นนี้ผมมีนัดกินข้าวกับเพื่อนๆ นะ น่าจะกลับดึก”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ถามต่อ

“ให้ไปรับมั้ย”

“แล้ว...วันนี้ไม่ออกไปกับเพื่อนเหรอ”

“ไม่อะ ให้พวกมันได้มีเวลาส่วนตัวมั่ง ยังไงวันที่สามสิบเอ็ดก็นัดเจอกันอยู่ดี ส่วนไอ้ข้าวก็นอนบ้านผมยาวไปแหละ”

พอเห็นว่าเขายังเงียบอยู่ผมก็สรุปเอง

“ตกลงว่าให้ผมไปรับเนอะ”

คุณไป๋พยักหน้ารับ ขยับเข้ามาใกล้แล้วเอาแก้มแนบไหล่ผม พร้อมกับถามต่อ

“งั้นไปส่งด้วยได้มั้ย ไม่อยากนั่งแท็กซี่ไปอะ”

ผมหลุดยิ้มออกมากับพฤติกรรมอ้อนๆ พร้อมยกมือขึ้นมาสัมผัสแก้มเขาเบาๆ

“ได้สิ กี่โมงฮึ”

“สักหกโมงนิดๆ ก็ได้”

“โอเค”

อีกฝ่ายหันมายิ้มให้กัน ก่อนจะเปิดตู้ใส่ของแล้วพูดออกมา

“เมื่อวานผมไปบ้านใหญ่มา ได้ของจากกระเช้ามาเต็มเลย เพื่อนคุณชอบกินอะไรกันอะ”

“ไม่ต้องเอาของดีไปให้พวกมันกินหรอก เปลืองเปล่าๆ”

ผมพูดพลางมองเข้าไปในตู้เก็บของ แล้วก็เห็นขนม บิสกิต เวเฟอร์วางอยู่เต็มไปหมด ก่อนจะหยิบมันฝรั่งทอดหน้าตาธรรมดาๆ ออกมา พร้อมกับที่โดนคนข้างๆ ตีต้นแขนเข้าเต็มๆ จนต้องเดินหนีออกมาหน้าบ้าน

พวกลุงไอ้ตูมเถลไถลอยู่ที่นั่นสักพัก พอผมปล่อยลูกแมวออกมา แน่นอนว่าทุกตัวพากันเล่นซนกระจุยกระจาย เล่นกันเองบ้าง เล่นกับของเล่นที่พวกเพื่อนผมหยิบมาเล่นด้วยบ้าง

ส่วนผมนั่งลงข้างคุณไป๋ แล้วลงมือช่วยเขาจัดการกับของที่กองอยู่ ทั้งแยกประเภทอย่างพวกกระดาษก็เอาไปชั่งกิโลขายได้ ของบางอย่างก็ต้องทิ้ง แต่บางอย่างเขาจะส่งไปบริจาค แถมยังให้ความรู้ใหม่กับผมอีกว่ามีบริษัทขนส่งเอกชนบางแห่งที่รับส่งของจากลูกค้าไปให้มูลนิธิต่างๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในช่วงปีใหม่ เพราะรู้ว่าคนจะเคลียร์บ้านกันเยอะในช่วงนี้

พอตอนบ่ายผมก็ไปส่งพวกเพื่อนๆ ขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านใครบ้านมัน แล้วก็มานั่งเอกเขนกอยู่ที่บ้านตัวเองกับไอ้ข้าว

ก่อนหน้านี้มันเพิ่งเอาไม้แกะสลักรูปแมวที่ทำเองออกมาให้ผม พอมองดีๆ ถึงได้รู้ว่ามันเป็นรูปมะตูม เป่าเป้ย กับพวกลูกๆ ระหว่างที่เพื่อนกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ ผมก็หาที่วางตุ๊กตาแมวทั้งหกตัว ก่อนจะถ่ายรูปส่งไปให้คนที่อยู่บ้านข้างๆ แล้วก็เดินมานั่งลงบนโซฟาอีกตัวที่ว่างอยู่

อยู่ดีๆ ไอ้ข้าวก็พูดขึ้น

“มึงดูชอบเค้ามาก”

“ฮะ?”

“กูหมายถึงคุณไป๋”

“อ๋อ...”

“เหมือนหมาเลย เวลาอยู่กับเค้านี่เดินตามกระดิกหางดุ๊กดิ๊กๆ”

“ไอ้สัด นี่เพื่อน”

มันหัวเราะรับ ส่วนผมพูดต่อ

“จะว่าแปลกก็แปลกนะมึง กูไม่เคยชอบผู้ชาย แต่พอรู้ตัวว่าชอบเค้า กูก็ชอบสุดๆ เลย”

“มึงไวไงชุน”

“ไว?”

“อืม แต่ไหนแต่ไรแล้วมึงอะ คิดไว ทำไว เวลาจะคบใคร มึงนึกจะคบก็คบเลย พอนึกจะเบื่อ มึงก็เบื่อไปซะอย่างนั้น เบื่อแล้วเบื่อเลยด้วย ไม่มีเริ่มเบื่อนิดๆ แล้วอาจจะกลับมาชอบได้เหมือนเดิม”

“มึงพูดเรื่องนี้หลายหนแล้วเนอะ คือฟังทุกครั้งกูรู้สึกว่าตัวเองเหี้ยทุกครั้ง”

ถึงจะตอบไปอย่างนั้น แต่ผมก็รู้ตัวนะว่าเป็นอย่างที่เพื่อนพูดจริงๆ

“มึงไวแต่มึงไม่เคยโกหก ถามกู กูว่ามันก็ไม่แย่ ชีวิตมันก็แค่นี้ปะวะ อยู่กันได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ยังไงก็ต้องแยก มึงไม่เคยโกหกเพื่อให้ใครอยู่หรือไปจากมึง กูว่ามันก็แฟร์แล้ว”

ผมพยักหน้ารับ ทิ้งตัวนอนลงบนโซฟา มองเพื่อนสนิทที่จดจ่อกับโทรศัพท์ด้วยท่าทางที่เดาได้ว่ากำลังแต่งรูป งานอดิเรกของไอ้ข้าวคือการถ่ายภาพ และมันคือคนที่ย้ายมาอยู่บ้านนี้กับผมหลังจากพ่อแม่กับพี่สาวย้ายออกไป ในกลุ่มเรามันคือคนที่อยู่กับผมมากที่สุด แน่นอนเลยว่าต้องเป็นคนที่รู้จักผมดีที่สุดเช่นกัน

“ถึงจะเจอกันแป๊บๆ แต่กูว่าคุณไป๋เค้าโอเคเลยนะ”

“ใช่มั้ยล่ะ”

ได้ยินสิ่งที่เพื่อนพูดแล้วผมก็ยิ้มรับ ดีใจไปด้วยทั้งที่มันไม่ได้ชมอะไรผมเลยสักคำ

สักพักผมก็ลุกขึ้นปัดกวาดทำความสะอาดบ้าน เสร็จเรียบร้อยก็กลับมานั่งที่เดิม จนกระทั่งคุณไป๋ส่งข้อความมาบอกว่าพร้อมจะออกจากบ้านแล้ว ผมถึงได้ลุกขึ้นไปถอยรถ แล้วทิ้งไอ้ข้าวไว้ที่บ้านคนเดียว

ยังดีที่สภาพการจราจรวันนี้ไม่แย่เท่าเมื่อวาน แต่ก็ใช้เวลาอยู่พอตัวเลยแหละกว่าจะมาถึง ส่งอีกฝ่ายเสร็จผมก็กลับไปนอนขี้เกียจอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม คุยสัพเพเหระกับไอ้ข้าวไปเรื่อย

วิถีชีวิตเพื่อนผมเปลี่ยนตั้งแต่กลับไปอยู่เชียงใหม่ พอสี่ทุ่มมันก็ง่วงและขอตัวไปนอน ส่วนผมนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่เดิม งีบหลับไปรอบนึง แล้วก็ออกจากบ้านเร็วกว่าเวลาที่คิดไว้นิดหน่อย เพราะไม่รู้จะทำอะไร

พอไปถึงผมก็จอดรถ ดับเครื่องแล้วนั่งรออยู่ในนั้น มองจากข้างนอกก็รู้ว่าในร้านน่าจะหรูพอตัว และวันนี้ผมก็ใส่เสื้อยืดเปื่อยๆ กับกางเกงขาสั้น ถ้าอีกคนชวนให้ลงไปหากันต้องดูไม่ดีแน่ๆ รอจนเห็นว่าคุณไป๋เดินออกมาจากร้านถึงได้โทรหา พร้อมกับจับตามองท่าทีของเขาเวลาอยู่กับเพื่อน

กลุ่มตรงหน้ามีทั้งผู้ชายและผู้หญิง จากท่าทางก็เหมือนจะดื่มกันไปไม่น้อยเลย เป้าสายตาของผมกำลังคุยอะไรบางอย่างกับเพื่อนผู้หญิงที่เมาจนต้องเดินเกาะแขนเขา สักพักเจ้าตัวก็หัวเราะออกมาจนตาปิด แล้วก็ตอบกลับไป

เชื่อมั้ย ผมสามารถนั่งมองการเคลื่อนไหวเหล่านี้ไปได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้สึกเบื่อด้วยซ้ำ

สักพักเขาก็รู้ตัวว่าโทรศัพท์ดัง เลยหยิบขึ้นมากดรับ และส่งเสียงทักทาย

“ฮัลโหล”

“ผมมาถึงแล้ว จอดรถรออยู่ทางขวามือ”

ได้ยินอย่างนั้นเขาก็หันหน้ามา ส่งยิ้มให้พร้อมโบกมือทักทาย แล้วหันกลับไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนอยู่สักพัก อาจจะชวนให้ติดรถผมกลับบ้านหรืออะไรทำนองนั้นและคงได้คำปฏิเสธกลับมา เขาเลยแยกตัวแล้วเดินตรงมาทางนี้ ก่อนจะขึ้นมานั่งบนรถผม และสิ่งแรกที่ผมพูดออกไปก็คือ

“เมามาเลย”

พอได้มองใกล้ๆ ถึงสังเกตเห็นว่าผิวแก้มทั้งสองข้างของเขาแดงเรื่อ ตั้งแต่บริเวณโหนกแก้มไปจนถึงสันจมูก ทำให้ดูน่ารักมากกว่าเก่า พอเขาหันมาทำหน้ายุ่งใส่กัน ผมก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองใบหน้าของเขา ขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วจูบลงไปเบาๆ บนริมฝีปาก ก่อนคำโวยวายจะตามมา

“ทำอะไรอะ”

“...นั่นสิ”

“รถมีฟิล์มปะเนี่ย”

เห็นท่าทางของเขาแล้วผมก็หลุดขำ ก่อนจะตอบกลับ

“มีนิดๆ มั้ง”

เขาหันมามองผมด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ ก่อนจะก้มหน้าลงไปฟุบอยู่บนคอนโซลหน้ารถ

นี่คืออะไร

เมา?

กลัวเพื่อนเห็น?

สักพักเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์ที่อยู่ในมือเขาก็ดังขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะเปิดดูทั้งที่ยังนั่งอยู่ท่าเดิม แล้วพูดออกมา

“เพื่อนล้อเลยอะ”

ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเอง คุณไป๋เมาแล้วงอแงกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดแล้วผมก็ได้แต่หัวเราะรับก่อนจะออกรถ พอผ่านพวกเพื่อนๆ ที่ยืนกันอยู่เขาก็หันมาสะกิดให้หยุดรถ กดกระจกลงแล้วถามออกมา

“ไม่ให้กูไปส่งจริงดิ”

อยู่กับเพื่อนก็พูดกูมึงเหมือนกันนี่

ผมแอบยิ้มกับความคิดของตัวเอง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มแล้วก้มหน้าทักทายให้เพื่อนๆ เขาที่มองมาพอดี บอกตามตรงว่าโคตรประหม่า

“อยากลองนั่งรถวินเทจอยู่นะ แต่กูกดเรียกรถในแอพฯ ไปแล้ว ไม่อยากยกเลิกเค้า”

“แล้วไอ้สองคนนั้นไปไหนอะ”

“ขึ้นแท็กซี่กลับไปแล้ว”

ได้ยินอย่างนั้นเขาก็หันมาหาผม ยกมือขึ้นจับแขนกันแล้วพูดต่อ

“รอแป๊บนึงได้มั้ย ให้รถมารับเพื่อนก่อนแล้วเราค่อยกลับ”

“ได้...”

พอผมพยักหน้ารับเขาก็หันไปคุยกับเพื่อนๆ ต่อ คนที่เหลืออยู่ตอนนี้มีแต่ผู้หญิง ก็ไม่แปลกหรอกที่คุณไป๋เขาจะเป็นห่วง ถึงหน้าร้านจะไม่ได้มืดหรือว่าอันตรายมาก แต่ปลอดภัยไว้ก่อนยังไงก็ดีกว่า

“งั้นเดี๋ยวกูรออยู่นี่แหละ ให้รถมารับมึงก่อนแล้วค่อยกลับ”

พูดจบเขาก็หันกลับมาคุยกับผม ทั้งที่หน้าต่างรถยังเปิดอยู่

“รอแป๊บนึงนะ”

ผมพยักหน้ารับ มองถนนเส้นตรงหน้าที่โล่งกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด เพราะตอนนี้ก็จะตีหนึ่งไปแล้ว แถมยังเข้าสู่ช่วงวันหยุดปีใหม่เรียบร้อย แล้วอยู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้

“คุณ...”

“ฮึ?”

“อยากนั่งรถเปิดประทุนปะ”

“อะไรนะ”

“หลังคารถผมเปิดประทุนได้นะ เปิดมั้ย”

“เอาจริงดิ?”

“อื้ม! ปะล่ะ”

พอคุณไป๋พยักหน้ารับผมก็ก้มลงไปกดสวิตช์เปิดหลังคา เงยหน้าขึ้นมาก็สบตาเข้ากับเขาที่กำลังกวาดสายตามองไปมาอย่างคาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้น เห็นแล้วผมก็อดไม่ได้ถึงกับหลุดขำ ก่อนจะพูดต่อ

“หลังคาเปิดด้วยระบบอัตโนมือคุณ”

ระหว่างที่ตอบผมก็เอื้อมมือไปปลดล็อกด้านบน ก่อนจะต้องลงจากรถ เปิดฝาท้ายแล้วพับหลังคาที่เปิดออกลงไปเก็บไว้ในนั้น ขั้นตอนนี้แหละที่ต้องระวังที่สุดเพราะต้องระวังกระจกหลังรถที่จะถูกพับเก็บไปด้วย ในช่วงที่กำลังปิดฝาท้ายรถเข้า ผมก็ได้ยินเสียงคุยมาจากด้านหน้า

“อวดผัวสุดๆ ไปเลยจ้า”

“ชู่ว!”

เหลือบหางตาไปมองนิดๆ ก็เห็นว่าคนข้างบ้านผมเขากำลังยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากตัวเอง เพื่อบอกให้เพื่อนหยุดพูด ซึ่งก็ไม่ทันแล้วปะ ผมได้ยินไปแล้วเต็มๆ

ก่อนเพื่อนผู้หญิงอีกคนซึ่งท่าทางเมาน้อยที่สุดจะพูดออกมา

“รถมาแล้ว คันโน้นๆ”

ผมมองตามไปแล้วก็เห็นว่ามีรถแท็กซี่คันหนึ่งขับเข้ามาจอดต่อท้ายรถผม สภาพรถโอเค คนขับเป็นผู้หญิง ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองทะเบียนแล้วก็จำไว้เพื่อความปลอดภัย พอกลับมานั่งหลังพวงมาลัยรถตัวเอง ก็หันมาบอกทะเบียนรถกับคนข้างๆ ให้เขาช่วยจำ แล้วได้คำอธิบายตามมา

“ไม่ต้องกังวลหรอก เพื่อนผมเรียกแท็กซี่คันนี้ให้มารับอยู่ประจำเวลาออกไปดื่มตอนกลางคืน”

ผมพยักหน้ารับแล้วก็ออกเดินทางกลับบ้าน

พอรถเริ่มวิ่ง ลมหนาวที่พอจะสัมผัสได้อยู่บ้างก็เข้ามากระทบใบหน้า ทำเอารู้สึกดีอยู่ไม่น้อย เหลือบหางตาไปมองก็พบว่าเขาเองก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน

พอถึงช่วงที่เป็นถนนโล่งๆ ด้านข้างไม่มีอะไรนอกจากไฟสีส้ม เขาก็ยื่นมือมาเกาะแขนผม แล้วเอนตัวมาซบไหล่พร้อมกับพูดออกมา

“สนุกจัง”

ผมยิ้มรับสิ่งที่ได้ยินหันไปหาเขานิดๆ โดยไม่ละสายตาจากทางข้างหน้า แล้วจูบลงบนขมับแทนคำตอบ

- - -

มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
​.

วันต่อมาคุณไป๋ออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปส่งครอบครัวขึ้นเครื่องบินไปไต้หวัน พอผมถามว่าทำไมเขาไม่ไปด้วย คำตอบก็คือครอบครัวที่ไปเนี่ย ไม่ได้มีแต่ป๊าม้าหรือน้องสาว แต่มีอากู๋ อากิ๋ม อาโกว บรรดาญาติเขาไปกันสิบกว่าคน ดังนั้นเหตุผลที่ไม่ไปก็คือไม่ชอบความวุ่นวาย อีกอย่างไหว้พระน่ะไปไหว้แถวเยาวราชก็ได้ เขาว่าอย่างนั้น

ช่วงกลางวันที่ไม่มีอะไรทำ ไอ้ข้าวเลยชวนผมไปเดินเล่นในมหา’ ลัยที่พวกผมไปลอยกระทงกัน มันเป็นคนชอบถ่ายรูป แล้วก็ตั้งใจจะเอากล้องฟิล์มมาหามุมสวยๆ ถ่ายไปตามเรื่องตามราว ส่วนผมจากที่คิดว่าจะแค่เดินไปเป็นเพื่อนมัน ก็ดันสนใจเรื่องการถ่ายรูปขึ้นมาซะได้

ยิ่งเพื่อนสนิทอธิบายหลักการพื้นฐานคร่าวๆ ให้ฟัง แถมยังให้ลองถ่ายดูหลายครั้งก็รู้สึกได้เลยว่าเงินในบัญชีมันเริ่มมีอาการเรียกร้องอยากถูกใช้

ผมเจอกับคุณไป๋อีกครั้งตอนกลับมาบ้านช่วงบ่าย สิ่งที่เห็นก็คืออีกฝ่ายใส่มาสก์ปิดปากกับจมูกเอาไว้พร้อมแปะเจลลดไข้ไว้บนหน้าผาก

เจ้าตัวส่งข้อความมาบอกผมตั้งแต่เช้าแล้วว่าปวดหัวนิดๆ เหมือนจะไม่สบายแต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ผมเลยตกใจไปนิดหน่อยตอนที่เห็นว่าเขาถึงกับต้องแปะเจลลดไข้

เขานั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟากับเป้ยและปล่อยพวกเด็กๆ ให้ออกมาวิ่งซนตอนที่ผมไปหา นั่งลงข้างเขาแล้วก็ใช้หลังมือแตะหน้าผาก ก่อนจะถามต่อ

“เป็นไงบ้างคุณ”

“ปวดหัวนิดๆ ตั้งแต่เช้าแล้วอะ พอไปส่งป๊ากับม้าที่สนามบินแล้วเจอแอร์เย็น คนเยอะด้วยมั้ง เลยเริ่มตัวร้อนแล้วเนี่ย”

“ไม่ใช่เพราะผมพาคุณไปนั่งรถตากลมเมื่อคืนหรอกเนอะ”

“ไม่รู้ดิ”

คนป่วยพูดแล้วหัวเราะออกมา ก่อนที่ผมจะถามต่อ

“กินยารึยัง”

“กินพาราไปแล้ว พักนิดนึงคงหายแหละ”

เขาตอบ เอนตัวมาพิงไหล่ ก่อนที่ผมจะโอบเขาไว้แล้วยิ้มออกมา

“แล้วคืนนี้ผมต้องออกไปกับพวกเพื่อนๆ ด้วยอะ คุณก็มีนัดนี่ใช่ไหม”

ตอนแรกผมตั้งใจจะชวนเขาไปฉลองด้วยกัน ใจจริงก็อยากเคาต์ดาวน์กับเขานั่นแหละ แต่เจ้าตัวบอกว่าเพื่อนเขาจองโต๊ะร้านอะไรสักอย่างไว้แล้ว

“ใช่ ผมก็มีนัดกับเพื่อนเหมือนกัน ไม่ครบกลุ่มหรอก แค่สามคนที่ยังไม่มีครอบครัวอะ แต่ถ้าป่วยแบบนี้สงสัยคงต้องนอนอยู่บ้าน”

พูดจบเขาก็หาวออกมา จนผมต้องถาม

“นอนมั้ยคุณ เดี๋ยวกางโซฟาออกมาให้”

พอเขาพยักหน้ารับ ผมก็ลุกขึ้น แล้วพูดต่อ

“องค์ชายยกเท้าขึ้นให้กระผมก่อนนะครับ”

คนฟังหัวเราะคิก ยกเท้าขึ้นไปขัดสมาธิ พอโซฟากางออกเป็นเตียงเขาก็นอนลง ส่วนผมเดินไปนั่งข้างๆ ก่อนจะได้ยินเสียงพวกแมวเด็กสู้กันจนต้องหันไปดู พร้อมกับที่คุณไป๋พูดขึ้น

“สักวันบ้านผมต้องถล่มลงมาแน่ๆ”

ผมหันไปมองคนที่นอนอยู่ ส่งยิ้มให้แล้วตอบกลับ

“ไม่เป็นไรหรอก ผมทำงานบริษัทสถาปนิก”

ดวงตาของเขาที่อยู่เหนือมาสก์หรี่เล็กลงเพราะรอยยิ้ม ก่อนผมจะขยับเข้าไปใกล้ ปัดเส้มผมที่ปรกลงมาบนหน้าผากคนตรงหน้าออกแล้วชวนคุย

“ได้ของเล่นใหม่มาด้วย กะว่าพรุ่งนี้ถ้าไม่มีอะไรจะชวนไปเล่นซะหน่อย”

“เล่นอะไรอะ”

“กล้องฟิล์ม”

“...”

“วันนี้เพื่อนผมมันไปเดินถ่ายรูปมา ถ่ายกับกล้องฟิล์มอะ ผมก็เลยลองเล่นดู น่าสนุกดีนะคุณ แล้วพอดีว่ามันมีกล้องใช้แล้วทิ้งติดมาด้วย มันเลยยกให้ผมมาลองใช้ดูตัวนึง”

“กล้องมีแบบใช้แล้วทิ้งด้วยเหรอ”

“อือฮึ ผมเพิ่งรู้วันนี้เหมือนกันเนี่ย ตอนแรกตั้งใจว่าจะชวนคุณไปไหว้พระที่ศาลเจ้าแถวเยาวราช แล้วเดินเล่นถ่ายรูปด้วยกัน”

“ไปได้อยู่แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย”

“อยากไปอะดิ”

คนฟังส่งสายตามาทางนี้ ดวงตาหยีลงเป็นรอยยิ้ม พยักหน้ารับ แล้วเลื่อนมือมากุมมือผมเอาไว้ ระหว่างที่เรากำลังสบตากันเสียงร้องง้าวและเสียงการต่อสู้ของพวกลูกแมวก็ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง เหมือนเป็นฉากหลัง

วันก่อนคุณไป๋โทรไปหาหมอเพื่อปรึกษาเรื่องการฉีดวัคซีนมาแล้ว และได้คำตอบว่าสามารถพาไปได้เลยหลังวันหยุดปีใหม่

นอกจากนี้สีตาของพวกเด็กๆ ก็เริ่มชัดเจนขึ้น เช่นเดียวกันกับบุคลิกของแต่ละตัว สิ่งที่ทุกตัวมีเหมือนกันเลยคือความซน ถึงอย่างนั้นแต่ละตัวก็ยังมีรายละเอียดในพฤติกรรมต่างๆ ที่แตกต่างกัน

ตัวแรก มะยม เจ้าพี่ใหญ่สีส้มที่ได้สีขนแบบไล่ระดับจากแม่มาเล็กน้อย ตอนนี้สีเริ่มเข้มขึ้น แต่ก็ยังเป็นส้มในโทนที่อ่อนกว่ามะตูม สีตาชัดเจนแล้วว่าเป็นสีเหลือง พฤติกรรมที่ผมสังเกตเห็นอย่างหนึ่งก็คือเจ้านี่มักจะไม่เข้ามาแย่งกินขนมกับน้องๆ เวลาที่คุณไป๋เขาให้ชิ้นเนื้อปลา อกไก่ หรือขนมแมวเลีย แต่จะยืนมองอยู่ห่างๆ รอจนน้องกินอิ่มแล้วตัวเองถึงจะเข้ามากิน

เป่าเปา พี่รอง ทั้งสีขนและสีตาเหมือนเป่าเป้ยทุกอย่าง ด้วยความที่สีเหมือนแม่ล่ะมั้ง เจ้านี่ก็เลยติดแม่ที่สุด ต่อให้ไม่กินนมก็ยังชอบไปนอนใกล้ๆ ไปคลอเคลียอยู่กับแม่ตลอดเวลา

มะระ เจ้าเด็กสามสี ที่ตอนนี้เห็นชัดเจนแล้วว่าตาทั้งสองข้างสีไม่เหมือนกัน ข้างหนึ่งเป็นสีเหลืองแบบมะตูม ส่วนอีกข้างเป็นสีฟ้าเข้มแบบเป่าเป้ย เพราะเป็นลูกสาวล่ะมั้ง เจ้าหนูนี่เลยเรียบร้อยที่สุด มักจะชอบปลีกวิเวกไปนอนพักผ่อนอยู่ตัวคนเดียว ในตอนแรกผมกังวลว่ามะระจะสุขภาพไม่ดีเพราะดูซึมๆ แต่คุณไป๋บอกว่าตอนเด็กเป่าเป้ยก็นิสัยแบบนี้ เลยวางใจไปได้หน่อยนึง

และเจ้าน้องเล็กชิงชิง เจ้าเด็กขาวส้มตาสีเหลือง ลูกสาวคนเล็กที่แสบที่สุดในบ้าน ซนที่สุดในบ้าน และเป็นแกนนำในการพาพี่ๆ วิ่งเล่นไปทั่ว ชอบเล่นต่อสู้กับมะยมเป็นที่สุด และชนโน่นนี่ล้มกระจายเป็นประจำ

ผมหันไปมองแก๊งแมวเด็กที่พากันวิ่งเข้าไปมุดใต้ท้องเป่าเป้ยเพื่อกินนม ทันทีที่เห็นว่าแม่เดินออกมาจากหลังบ้าน ภาพตรงหน้าทำให้ผมยิ้มได้ สักพักแม่แมวก็ต้องยอมทิ้งตัวนอนให้พวกตัวกลมแย่งกันดูดนมจนมีเสียงดัง ทุกครั้งที่เห็นอะไรแบบนี้ ในความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้น ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสงสารเป้ย

แล้วอยู่ดีๆ คนที่นอนอยู่ก็ส่งคำถามมา

“แล้วเพื่อนคุณล่ะ”

“ไอ้ข้าวอยู่ที่บ้านผม ส่วนคนอื่นนัดเจอกันที่ลานเบียร์ตอนทุ่มกว่า”

“อ้าว แล้วคุณไม่ไปเทกแคร์เพื่อนเหรอ”

“ไม่ต้องหรอกคุณ ไอ้ข้าวเนี่ย ตอนอยู่มหา’ ลัยมันก็อยู่บ้านนี้กับผมนี่แหละ”

“อ๋อ แล้วมะตูมอยู่บ้านคุณใช่มั้ย วันนี้ยังไม่เจอกันเลย”

ทันทีที่ได้ยินคำถาม ภาพไอ้แมวเหลืองที่ทำเป็นนอนเต๊ะท่าให้ไอ้ข้าวถ่ายรูปด้วยกล้องโปรก็แวบกลับเข้ามาในความทรงจำของผมทันที มันน่าหมั่นไส้จริงให้ตาย

“ใช่ ทดลองเป็นนายแบบให้เพื่อนผมถ่ายรูปอยู่”

สิ่งที่ผมพูดทำให้เขายิ้มได้แล้วเราก็เงียบกันไป ผมละสายตาจากเขา หันไปดูพฤติกรรมพวกเด็กๆ ที่กำลังกินนมแม่ มองกลับมาอีกทีคุณไป๋ก็หลับไปเรียบร้อยแล้ว

คงเป็นเพราะนอนดึกตื่นเช้า แถมยังไม่สบายด้วยล่ะมั้งเขาเลยหลับยาว

พอถึงเวลาที่ต้องกลับบ้าน ผมก็ค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของเขา ก้มหน้าลงไปจูบที่หน้าผาก แล้วกระซิบบอกกันเบาๆ

“ผมกลับก่อนนะคุณ”

คนที่นอนหลับอยู่ลืมตางัวเงีย พยักหน้ารับแล้วหลับต่อได้ในทันที

ผมกลับบ้านตัวเองมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวออกไปคืนนี้ ก่อนออกจากบ้านยังอดไม่ได้ที่จะชะโงกไปดูบ้านข้างๆ แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายน่าจะยังนอนหลับอยู่ เลยตัดสินใจที่จะไม่กวน

โทรศัพท์ผมแจ้งเตือนอีกครั้งตอนสองทุ่ม พอเปิดดูผมก็เห็นรูปถ่ายจากกล้องหน้า ในภาพมีคุณไป๋กับเพื่อนๆ สองคนที่รอรถมารับในคืนนั้น และทั้งหมดอยู่ที่บ้านของเขา ก่อนที่ข้อความจะตามมา

 

‘เพื่อนมาหาที่บ้านแหละ’

‘ดีแล้วคุณ จะได้มีคนอยู่ด้วย’

‘มาแล้วไปแล้วอะ’

‘สองคนนั้นจองโต๊ะกับจองคอร์สอาหารไว้ด้วย จ่ายมัดจำไปแล้ว เลยไม่อยากให้ทิ้ง เสียดายเงินแย่’

‘งั้นคุณก็ต้องอยู่คนเดียวอะดิ’

‘อยู่กับเป้ยหรอก’

‘อยู่กับเป้ยจะเหมือนอยู่กับผมเหรอ? ’

‘สนุกกับเพื่อนไปเถอะน่า’

‘จะดูหนังผีแล้ว’

‘ห้ามตอบนะ คุยกับเพื่อนเลย อย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์!’

 

ผมยิ้มรับกับข้อความที่ส่งมา ตัดสินใจทำตามที่เขาบอก กดล็อกหน้าจอก่อนจะได้ยินคำถามจากไอ้ธีร์

“คุณไป๋เหรอ”

“อืม”

ผมรับคำ แล้วหันไปมองสบตากับมัน วันนี้ทั้งไอ้ธีร์แล้วก็ไอ้ไอซ์พาแฟนมาด้วยทั้งคู่แบบที่นานๆ จะเห็นสักครั้ง

ไม่แปลกหรอก...ใครๆ ก็อยากข้ามปีไปกับคนพิเศษทั้งนั้นแหละ จริงมั้ย

ก่อนที่ไอ้ไอซ์จะพูดขึ้น

“ถ้ามึงเป็นห่วงเค้า จะกลับบ้านไปดูก็ได้นะ”

“เค้าอยากให้กูมาอยู่กับพวกมึงเนี่ย”

“เชื่องดีเหมือนกันนะมึงเนี่ย”

พอได้ยินไอ้ข้าวพูด ผมก็ยกมือขึ้นชูนิ้วกลางให้มันก่อนจะกินเบียร์ต่อ

พวกผมนั่งคุยเล่นกันไปเรื่อยๆ มีความสุขดีหรอกที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าเหมือนเมื่อก่อน แต่เวลามองไปที่ไอ้ธีร์แล้วเห็นว่ามันกระซิบคุยกับแฟน แตะตัวกันบ้างเล็กน้อยแบบที่ไม่โจ้งแจ้ง แต่ก็ชัดเจนในความสัมพันธ์ มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคนที่อยู่บ้านคนเดียว

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรส่งมา ใจหนึ่งก็อยากทักไปหา อย่างน้อยตัวไม่ได้อยู่ด้วย ได้คุยกันก็ยังดี แต่เขาก็ดันไม่อยากคุยด้วยซะอีก...

เวลาผ่านไปจนถึงช่วงห้าทุ่มกว่า อยู่ๆ ดนตรีที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น พวกผมมองหน้ากันแล้วขำออกมาเพราะนึกถึงเรื่องเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่แหกปากตะโกนร้องเพลงนี้

มันคือเพลง ‘ขอเถอะปีนี้’ ที่ผมเปิดให้คุณไป๋ฟังตอนนั่งรถ

ผมเห็นไอ้ไอซ์กุมมือแฟนมันเอาไว้ ส่วนไอ้ธีร์หันไปมองคนข้างๆ ด้วยสายตาลึกซึ้ง และอีกฝ่ายก็มองกลับมา ไอ้ข้าวกับไอ้บาสที่ยังโสดก็กอดคอกันร้องเพลงแหกปากดังลั่นเหมือนเดิม ส่วนผมทำได้แค่กำโทรศัพท์ในมือไว้ ก่อนไอ้ข้าวจะยกมือขึ้นมาตบหัวกันเต็มแรง แล้วใช้แขนข้างที่ยังว่างอยู่ล็อกคอผมไปเข้าแก๊งชายโสดกับพวกมัน

เฮ้อ กูอยากโสดที่ไหนล่ะ!

พอเพลงจบลง พวกผมก็เข้าสู่โหมดสนทนาจริงจังไปซะอย่างนั้น เป็นไอ้ธีร์ที่เปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง

“มึงกลับบ้านไปเหอะ”

ผมถอนหายใจ ยกเบียร์ขึ้นมาซดหมดแก้ว ระหว่างนั้นก็ปล่อยให้พวกมันพูดต่อ เริ่มจากไอ้ข้าว

“กูเข้าใจว่ามึงแคร์เพื่อน อยากอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เนี่ยแม่งก็ครบละ พอละ ไปหาเค้าเหอะไป”

“เค้าโอเค เค้าบอกกูแล้ว”

“โอเคก็เหี้ยละ ไม่สบายแล้วต้องมาอยู่ข้ามปีคนเดียว เหงาตายห่า”

ไอ้บาสพูดออกมา พร้อมหยิบขนมบนโต๊ะใส่ปากแล้วกินเหล้า จนผมต้องพูดต่อ

“ก็พวกมึงสองคนจะนอนบ้านกูไม่ใช่รึไง”

“กูจะบอกอะไรให้ ไม่ว่ามึงจะทำเหี้ยอะไร สุดท้ายพวกกูก็ยังอยู่กับมึงไม่ไปไหน แต่กับเค้าอะ ถ้ามึงไม่คว้าไว้ เค้าก็อาจจะไปกับคนอื่น ดังนั้นมึงก็เลยต้องไปหาเค้า แล้วทิ้งพวกกูไว้ก่อน เข้าใจมั้ย”

ฟังสิ่งที่ไอ้ข้าวพูดแล้วผมก็นึกถึงบรรดาหมอๆ ของเขาขึ้นมาทันที แม่งเอ๊ย!

“กูไม่อยากติดหญิงแล้วทิ้งเพื่อน แบบที่เคยด่าพวกมึงไว้ปะวะ”

“หญิงเหี้ยอะไร เค้าเป็นผู้ชาย”

ขนาดไอ้ไอซ์ยังด่าผมเลย เฮ้อ...

“ดังนั้น กุญแจบ้านมึงอะ เอาออกมาวางไว้นี่ แล้วตัวมึงอะกลับบ้านไป”

ไม่พูดเปล่า ไอ้บาสมันยื่นขามาถีบผมจากใต้โต๊ะซ้ำอีกที ถีบเต็มแรงด้วยเหอะ

ผมกวาดสายตามองพวกมัน สีหน้าทุกคนบอกชัดว่า มึงรีบไปซะทีเหอะ ก่อนผมจะลุกขึ้น หยิบกุญแจบ้านมาวางลงบนโต๊ะเต็มแรง

“เอาไป!”

ได้กุญแจบ้านเสร็จพวกมันก็สะบัดมือไล่ผมกันใหญ่ แถมยังโห่ตามหลัง

นี่พวกมึงรักกูจริงๆ ใช่มะ

 

แท็กซี่พาผมกลับมาที่หมู่บ้านตัวเองเรียบร้อย มองเข้าไปยังบ้านคุณไป๋ก็เห็นว่าเขาปิดไฟไปแล้วแต่ยังเปิดโคมไฟอยู่

ผมตื่นเต้นขึ้นมาซะดื้อๆ ตอนที่กดกริ่งหน้าบ้าน รออยู่ไม่นานอีกฝ่ายก็เดินออกมา

เขาใส่ชุดนอนแล้ว แถมยังดูตกใจอยู่ไม่น้อยเลยที่เห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก ผมก็พุ่งตัวเข้าไปคว้าเขามากอดไว้ทันที

สิ่งที่ได้ยินอย่างแรกคือคำถาม

“มาได้ไงเนี่ย”

“คิดถึงคุณอะดิ”

ผมพูดแล้วหันหน้าไปจูบลงบนเส้นผมของเขา

พอผละกอดออกมาก็เจอกับดวงตาสีเข้มคู่เดิม และใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากอนามัย ผมก้มลงจูบริมฝีปากเขาผ่านแผ่นผ้าบางๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดต่อ

“คิดถึงอะไร ตอนบ่ายก็เพิ่งเจอกัน”

ผมยิ้มรับพร้อมกับถอนหายใจ หันไปปิดประตูรั้ว แล้วกลับมายกแขนโอบไหล่เขา เอนตัวลงไปให้ศีรษะเราสัมผัสกัน

“ผมจะปล่อยให้คุณอยู่ตัวคนเดียวในคืนข้ามปีได้ไงล่ะ ฮึ”

พอเข้ามาในบ้าน สิ่งที่ผมเห็นก็คือเขาเอาแมวทุกตัวขึ้นมานอนบนโซฟา ทุกตัวที่ว่านั่นรวมถึงไอ้ตูมแมวผมด้วย พวกแมวเด็กนอนหลับซุกแม่กันไปหมดแล้ว เหลือแต่ไอ้ตูมลูกพ่อนี่แหละที่ยังนอนลืมตาอยู่ข้างหมอนหนุน

ดูดิ ถึงขนาดเอาแมวมานอนดูหนังด้วยทุกตัว ไหนใครบอกว่าไม่เหงา

พอเขานั่งลงบนเบาะ ผมก็เดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะมีมือยื่นออกมาห้ามกัน

“เหม็นเหล้าอะ มีกลิ่นบุหรี่ด้วย ไปอาบน้ำก่อนเลย”

ผมถอยออกมาหนึ่งก้าว ยืนคอตกอยู่ตรงนั้นแล้วพูดออกมา

“ผมเข้าบ้านไม่ได้อะคุณ”

“อ้าว ทำไมอะ”

“พอดีทิ้งกุญแจไว้ที่เพื่อน”

สุดๆ ไปเลยพ่อไอ้ตูม

“งั้น เดี๋ยวหาชุดนอนให้”

พูดจบคนตรงหน้าก็ลุกขึ้น เดินไปห้องเสื้อผ้าที่อยู่หลังบ้าน หาอยู่ไม่นานก็ได้ชุดนอนสีน้ำเงินเข้มลายตารางแบบเข้ากัน กับผ้าขนหนูหนึ่งผืน เขายื่นทั้งหมดมาให้ผมแล้วพูดต่อ

“อาบน้ำข้ามปีแล้วกันเนอะ”

ผมยิ้มรับคำพูดของเขา ยื่นมือไปรับทุกอย่างที่ถูกส่งมาให้ แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป

ระหว่างที่อาบน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกับแมวแบบที่จับใจความได้ลางๆ ว่าพวกเด็กๆ น่าจะลับเล็บกับโซฟาของเขาอีกแล้ว

เมื่อออกจากห้องน้ำมาในสภาพที่ดีขึ้นก็เจอคุณไป๋ซึ่งยังใส่หน้ากากอนามัยกำลังนั่งดูหนัง แบบที่ฟังจากเสียงก็รู้แล้วว่าเป็นหนังสยองขวัญ ส่วนพวกลูกแมวที่เคยนอนอยู่กับเขา ตอนนี้โดนจับใส่กรงไปเรียบร้อย

ผมเดินไปหยุดลงตรงหน้าเขา กางแขนให้ดูชุดนอนที่ใส่อยู่แล้วพูดต่อ

“ก็ใส่ได้อยู่นะ”

“ชุดใหม่ด้วย ผมใส่ไปครั้งเดียวเอง”

ระหว่างที่เขากำลังตอบ ผมก็นั่งลงข้างๆ แล้วถามออกมาเจือเสียงหัวเราะ

“ใส่มาสก์ทำไมคุณ กลัวแมวติดหวัดเหรอ”

ได้ยินอย่างนั้นเขากดหยุดหนังที่เล่นอยู่ แล้วหันมาตอบกัน

“กลัวคุณนั่นแหละติด”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยกมือขึ้น จับปลายคางคนตรงหน้าเอาไว้ แล้วก้มลงไปจูบเบาๆ ผ่านมาสก์อีกครั้งแล้วพูดต่อ

“ถอดออกเหอะน่า เกะกะ”

คนฟังขมวดคิ้วเข้า แล้วคำตอบน่ะเหรอ

“จะแต๊ะอั๋งกันอะดิ”

คำตอบของเขาทำเอาผมหลุดหัวเราะ พร้อมกับถอดมาสก์ที่ปิดใบหน้าเจ้าตัวไว้เกือบครึ่งแล้วถามต่อ

“ผมดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ”

“ไม่เลย”

ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ผมก็ก้มลงไปจูบบนริมฝีปากคู่นั้น ซึ่งวันนี้ให้ความรู้สึกที่ร้อนกว่าปกติ สัมผัสใบหน้าเขาแล้วพูดต่อ

“ตัวยังร้อนนิดๆ อยู่เลย”

“แต่ก็รู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วนะ”

ผมยิ้ม พยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวไปนั่งพิงโซฟาเพราะกลัวแม่แมวตื่น พอนั่งได้ที่ก็ถามออกมา

“จะมีใครในโลกนี้ชอบดูหนังผีไปมากกว่าคุณมั้ยเนี่ย”

“ไม่ใช่ผีซะหน่อย เพนนีไวส์เป็นปีศาจ ไม่ใช่ผี”

คนพูดขยับมานั่งข้างๆ กัน กดให้หนังเล่นต่อ ผมโอบเขาเอาไว้แล้วตอบกลับ

“ไม่ใช่ผี แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมกลัวน้อยลงเลย พูดจริงๆ”

และคำตอบคือเสียงหัวเราะ

ผมนั่งดูเรื่องราวของปีศาจตัวตลกที่ตามหลอกหลอนกลุ่มผู้ใหญ่ที่เคยมีอดีตร่วมกับมัน พอหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูอีกครั้งก็พบว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะข้ามไปสู่ปีใหม่แล้ว เลยพูดกับอีกคนที่สมาธิยังคงจดจ่ออยู่ในจอโทรทัศน์

“อีกห้านาทีจะปีใหม่แล้วคุณ”

“ต้องเคาต์ดาวน์ปะ”

คนฟังถามกลับเจือเสียงหัวเราะ

“นับกันสองคนเนี่ยนะ?”

“งั้น...ปลุกแมวมานับด้วยดีมั้ย”

“เอางั้นเหรอ”

“พลาดละ ไม่ได้สอนแมวนับเลขไว้ก่อน”

ผมพูดทีเล่นทีจริง ยิ้มออกมา ซึมซับช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน

ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่เกิดมา ไม่มีสักครั้งที่ผมจะได้ข้ามปีไปในบรรยากาศแบบนี้ เอ่อ...ไม่ได้หมายถึงข้ามปีด้วยการดูปีศาจตัวตลก แต่เป็นการข้ามปีด้วยการใช้เวลาเงียบๆ อยู่กับใครสักคน จมอยู่ในโลกใบเล็กที่มีแค่เรา เวลา ความวุ่นวาย หรืออะไรต่อมิอะไรจากโลกภายนอกแทบไม่ส่งผลกับพวกผมด้วยซ้ำ

ที่นี่มีแต่ผม เขา แล้วก็พวกแมวที่นอนหลับกันไปหมดแล้ว

หนังจบลงหลังจากนั้นไม่นาน ท่ามกลางความเงียบเสียงพลุก็ดังขึ้น แต่ด้วยความที่เราปิดประตูหน้าต่างทั้งหมดและเปิดแอร์ มันถึงได้ฟังดูห่างไกลเหลือเกิน

คนที่อยู่ในอ้อมกอดหันมามองหน้าผม ส่งยิ้มให้ แล้วกระซิบบอกกันเบาๆ

“แฮปปี้นิวเยียร์”

ผมยิ้มรับ สัมผัสใบหน้าของเขาแล้วจูบลงไปบนริมฝีปาก พอเขาจูบตอบ มันก็เลยยิ่งลึกซึ้งอ่อนหวานมากขึ้น ผมเลื่อนมือไปโอบเอว รั้งให้เขามานั่งบนตัก ดีที่เจ้าตัวโอนอ่อนขยับตามแล้วขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตักผม เราสบตากัน ปลายจมูกคลอเคลีย

คุณไป๋ยกมือขึ้นมาคล้องคอผม ในแววตามีความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่าง ก่อนจะพูดออกมา

“ขอบคุณที่กลับมานะ”

ผมพยักหน้ารับคำพูดนั้น พร้อมกับที่เขากอดผมแน่นขึ้น ขยับเข้ามาซุกหน้าไว้ตรงช่วงคอ จูบลงที่ไหล่ผมเบาๆ แล้วก็นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น

ผมกอดเขากลับ ปล่อยให้เวลาได้ทำงาน ให้เราได้ซึมซับความรู้สึกระหว่างกัน

สักพัก...คนที่นั่งอยู่ก็เริ่มขยับตัว ดูท่าทางการนั่งแบบนี้อาจจะทำให้เขาเมื่อย แล้วตอนนั้นแหละที่เริ่มเดือดร้อนขึ้นมา

“คุณๆๆ”

“อะไร”

“อย่าขยับเยอะดิ มันกระเทือน”

ความขบขันเป็นประกายอยู่ในแววตาที่มองสบกัน เขาหัวเราะคิก เม้มปากนิดๆ ก่อนจะส่งคำถามกลับมา

“มันอ่อนไหวขนาดนั้นเลย”

“คุณ...”

“ขอพิสูจน์หน่อย”

คำพูดนั้นมาพร้อมกับสะโพกที่เบียดลงมา และแววตาที่ใสซื่อเป็นประกายเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

โอเค...ผมรู้ว่าพื้นฐานเขาเป็นคนขี้แกล้งอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ก็คิดไม่ถึงหรอกว่ามันจะขนาดนี้

เส้นความอดทนของผมขาดสะบั้นไปในวินาทีนั้น ผมคว้าเขาเข้ามาจูบหนักหน่วงเนิ่นนานกว่าทุกครั้ง เวลาที่ผ่านไปทำให้จูบที่เคยเร่งเร้าค่อยๆ ช้าลงแต่กลับลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

ห้วงลมหายใจที่สะดุดของเขาทำให้ผมต้องถอนจูบออก มองสบตากับอีกฝ่ายในความมืด พร้อมกับรู้สึกได้ว่ามีสัมผัสอุ่นๆ กำลังรุกล้ำเข้ามากอบกุมส่วนสำคัญของผมเอาไว้

ริมฝีปากแดงช้ำแวววาวคู่นั้นมุมปากยกยิ้มนิดๆ ส่งความรู้สึกร้ายกาจเล็กๆ แบบที่กำลังน่าตีมาให้ผม ก่อนเขาจะลดตัวต่ำลง พร้อมกับดึงเอวยางยืดของกางเกงนอนบนตัวผมให้เลื่อนออกไปพร้อมกัน มันเริ่มต้นจากฝ่ามือที่เข้ามาสัมผัส ตามมาด้วยปลายลิ้น และริมฝีปาก

ความอบอุ่นอันเย้ายวนเข้ามาโอบล้อมผมเอาไว้ ในช่วงที่ความอดทนกำลังจะสิ้นสุดลง ผมแทรกนิ้วเข้าไปในเส้นผมสีเข้มนุ่มมือ สัมผัสนั้นทำให้แววตาสีเข้มของเขาเลื่อนขึ้นมามองสบ และภาพนั้นทำให้ทุกอย่างจบลง ผมปลดปล่อยออกมาในที่สุด

ผมยังหายใจหอบ มองคนที่กำลังแลบลิ้นเลียมุมปากของตัวเอง เอื้อมมือไปจับไหล่เขาไว้ พลิกให้เจ้าตัวนอนลงไปกับเบาะก่อนจะตามไปคร่อมทับ แวะงับปลายจมูกเล็กๆ ด้วยความมันเขี้ยวแล้วกระซิบเบาๆ ก่อนจะจูบลงไปบนริมฝีปากคู่นั้น

“ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”

สารภาพตามตรงว่าความรู้ภาคปฏิบัติระหว่างผู้ชายด้วยกันของผมเป็นศูนย์ ข้อดีคือผมมีเพื่อนๆ และบางครั้ง ไลน์กลุ่มพ่อไอ้ตูมก็ได้กลายเป็นคาบวิชาสุขศึกษา ที่มีสื่อการเรียนการสอนเป็นทั้งตัวหนังสือ และไฟล์วิดีโอ หลังจากส่งหนังโป๊เกย์สามสี่เรื่องเข้ามาในไลน์กลุ่ม ไอ้ธีร์ก็พิมพ์ข้อความทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยความห่วงใย

 

‘กูพยายามเลือกเรื่องที่ไม่ปลอมมากมาให้มึงแล้วนะ’

‘ของจริงมันไม่แบบนี้เป๊ะๆ หรอก มึงก็ดูไว้เป็นแนวทางแล้วกัน’

‘พอถึงเวลาอารมณ์มันก็พาไปเอง’

,

ใช่...พอถึงเวลาอารมณ์มันก็พาไปเอง

ไม่รู้ทำไมความรู้สึกอยากครอบครองเป็นเจ้าของ และจับจองทุกส่วนในร่างกายของเขามันถึงมากมายขนาดนี้ ผมก้มลงไป จุมพิตริมฝีปากคู่นั้น เลื่อนมาจูบเน้นย้ำที่ลำคอ ก่อนจะกัดลงไปบนผิวขาว เสียงร้องเบาๆ ที่ดังขึ้นทำเอาความรู้สึกของผมพลุ่งพล่านเร่าร้อนอย่างหยุดไม่อยู่

ผมกลับมามองเขา และครั้งนี้ สิ่งที่ได้เห็นคือความเขินอาย เขาหน้าแดงมาก เม้มปากแน่นเหมือนทุกครั้งที่กำลังประหม่า ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมยิ้มออกและใจเย็นลงได้นิดหน่อย ก่อนจะก้มลงอีกครั้ง คลอเคลียปลายจมูกของเราเข้าด้วยกันแล้วถามด้วยเสียงกระซิบที่ติดจะแหบกว่าปกติอยู่นิดหน่อย

“เจ้าตัวร้ายที่ขึ้นมานั่งคร่อมตักผมเมื่อกี้หายไปไหนแล้วฮึ”

คนฟังทำปากคว่ำ ก่อนที่ผมจะเข้าไปจูบเบาๆ พร้อมกับเลื่อนมือลงไปสัมผัส ข้อดีของการที่เราเป็นผู้ชายเหมือนกันคือผมรู้ได้ทันทีว่าต้องทำยังไงเขาถึงจะรู้สึกดีจากประสบการณ์ส่วนตัว

คนตรงหน้ายกมือขึ้นมาเกาะไหล่กัน กำแน่นระหว่างที่ร่างกายถูกปลุกเร้า แววตาที่ดึงดูดผมอยู่เสมอมีกระแสเว้าวอนจนต้องก้มลงไปจูบซ้ำๆ หลายครั้ง

ในช่วงที่เขากำลังจะปลดปล่อยออกมา ผมดึงกางเกงที่ตัวเองสวมอยู่ลง ปล่อยมือออกแล้วบดเบียดร่างกายของเราเข้าด้วยกัน มือที่เพิ่งว่างลงของผมสัมผัสกับฝ่ามือของเขา เราประสานนิ้วมือ ในความเร่าร้อนนั้นคนตรงหน้าผมหายใจหอบ ร่างกายบดเบียดเข้าหากัน จนกระทั่งปลายทางมาถึง เขาหลับตาแน่น มีเสียงครางปนสะอื้นนิดๆ ดังลอดออกมาก่อนการปลดปล่อย

มือทั้งสองข้างของเขากอดผมแน่นแล้วซุกตัวเข้ามาเหมือนจะขอแบ่งปันความอบอุ่น ผมกอดเขากลับ ลูบเส้นผมนุ่ม รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของการถูกออดอ้อนและการได้ครอบครอง

ระหว่างที่กำลังซึมซับช่วงเวลานั้นนั้น สิ่งที่ดึงผมกลับมาคือการเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่เกิดขึ้นข้างหมอน ผมลืมตาขึ้นไปมอง และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือแววตาสีเหลืองของมะตูมที่มองมาทางนี้ แถมยังหรี่เล็กลงกว่าปกติ

ผมขมวดคิ้วเข้า ชะงักไปนิดหน่อยแล้วตะโกนเสียงดังในใจ

เป็นมึง! เป็นมึงอีกแล้วเหรอไอ้ตูม!

 

- to be continued -

 

talk .

สวัสดีค่ะ

วันนี้มีปกนิยายมาอวดแหละ อย่างที่บอกไว้แล้วว่า มะตูมกับคุณไป๋จะวางขายวันที่ 10 เดือนนี้

ก็เลยเอาปกมาให้ดูกัน




(น่ารักมากกกกก ใช่มั้ยคะ?)

แจ้งเพิ่มเติมว่าหนังสือราคาเล่มละ 259 บาท ซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปและเว็บไซต์ของแจ่มใสเหมือนเดิม

ในส่วนของอีบุ๊กจะวางขายในเดือนพฤษภาคมนะคะ

 

อีกเรื่องที่ต้องบอกคือ ตอนหน้าก็จะเป็นตอนจบของ #รักแมวข้างบ้าน แล้วน้า : )

สำหรับใครที่อยากอ่านตอนจบก่อน ก็สามารถซื้อเล่มมาอ่านกันได้นะคะ ในนั้นมีตอนพิเศษให้อ่านอีก 2 ตอนด้วย

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดค่ะ

thank you .

[/i]

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
มะตูม......ร้ายมาก

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เอาอีกแล้วนะมะตูม 55555555

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ว๊าว ... มะตูมแอบมาอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นเลยดิ
 :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่ารักมาก...กกกกกกกก  :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
คุณไป๋ยั่วอีกแล้ว ส่วนมะตูมนั้นต้องมีซีนตลอดสิน่า

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
มะตูมมมม ช่วงเวลาสำคัญเลยนะ 5555555555

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ไอ้ตูมมันร้ายยย ไม่เคยพลาดช็อตเด็ดของพ่อมัน 55555555555555555555555

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0


- 13 -


ตอนแรกผมลังเลว่าจะเข้าบ้านตัวเองได้รึเปล่า เพราะเอากุญแจให้พวกเพื่อนๆ ไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่พอเดินมาเปิดประตูบ้านก็พบว่า พวกมันเมาจนไม่ได้ล็อกประตูด้วยซ้ำ

คนที่จะนอนบ้านผมมีแค่ไอ้ข้าวกับไอ้บาส ซึ่งเมื่อคืนพวกมันกลับกันมาตอนตีสองกว่า พร้อมเสียงดังโหวกเหวกไปตามเรื่อง ผมรู้สึกตัวแต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นไปดูเพราะมีคนนอนหนุนแขน แถมยังซุกตัวเข้ามากอด

ระหว่างที่กำลังเดินเข้าไปในบ้านก็ระแวงอยู่หน่อยๆ ไม่ได้กลัวโจรขึ้นบ้านเพราะไม่ล็อกประตูหรืออะไรหรอก แต่พวกมันจะผิดสังเกตเรื่องที่เสื้อนอนกับกางเกงนอนผมมันไม่เข้าคู่กันอย่างชัดเจนมั้ยวะ สีตัดกันอย่างกับยาแคปซูล

พวกมันคงไม่สงสัยหรอกเนอะว่าทำไมผมต้องเปลี่ยนกางเกง คงไม่คิดหรอกว่าก่อนหน้านี้ผมก็ใส่ชุดนอนเข้ากันเป็นปกติ แล้วก็มี...อะไรๆ ...เกิดขื้น ทำให้ต้องเปลี่ยนมาใส่ตัวนี้

แค่คิดก็เขินแล้ว...

พอเดินขึ้นมาบนห้องก็เจอพวกมันสองคนนอนหมดสภาพอยู่บนเตียง ระหว่างที่ผมกำลังเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกชุดที่จะใส่วันนี้ ไอ้ข้าวก็ผงกหัวขึ้นมาแล้วถามเสียงงัวเงีย

“มึงทำไรอะ”

ผมตกใจ มองเพื่อนสนิทที่ลุกขึ้นนั่งหรี่ตามองหน้ากัน มันจะสังเกตมั้ยวะเนี่ย

“อาบน้ำ กูจะพาคุณไป๋ไปไหว้พระวัดจีนแถวเยาวราช บ่ายๆ ค่อยกลับมาส่งมึงขึ้นเครื่องแล้วกัน”

“มึงไปเหอะ กูนั่งแท็กซี่ได้”

“เฮ้ยไม่เป็นไร ไหว้พระแป๊บเดียว”

ก่อนเสียงไอ้บาสที่นอนอยู่อีกฝั่งจะพูดผ่านผ้าห่มออกมา

“พวกมึงอย่าพูดมากดิ๊ กูจะนอน”

ได้ยินอย่างนั้น ไอ้ข้าวโบกก็มือให้แบบที่ผมเข้าใจได้ว่า มึงจะไปทำอะไรก็ไปเหอะ แล้วทิ้งตัวนอนต่อ

ก็...เอาเป็นว่าตามนั้น

- - -

กรุงเทพฯ ช่วงปีใหม่คือเมืองในฝันชัดๆ รถไม่ติด คนน้อย แถมอากาศก็ดีขึ้นเพราะมลพิษไม่มากเท่าปกติ

คนที่ป่วยอยู่เมื่อวานไม่ปวดหัวหรือว่าตัวร้อนแล้ว เช้านี้มีอาการแค่เจ็บคอกับไอนิดหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ยังดื้ออยากนั่งรถรับลมหนาวจางๆ เพื่อความสดชื่น เลยขอให้ผมเปิดหลังคาให้เหมือนเมื่อคืนก่อน

ข้อแลกเปลี่ยนที่ผมเสนอไปก็คือเขาต้องใส่หน้ากากอนามัยไว้ตลอดทาง เพราะผมกังวลว่าเชื้อโรคในอากาศจะทำให้กลับไปไข้ขึ้นหนักกว่าเก่า

เราออกจากบ้านช่วงประมาณแปดโมงตรง แล้วก็เอารถมาจอดที่ห้างดิโอลด์สยาม เพื่อไปกินอาหารเช้าแบบดั้งเดิมตรงร้านที่อยู่ไม่ไกล

คุณไป๋บอกว่าปกติที่นี่จะคิวยาวตลอด เจ้าตัวอยากมากินอยู่สักพักนึงแล้ว แต่ก็ไม่ได้มาเพราะขี้เกียจต่อคิว เขาคิดเอาเองว่าในช่วงเวลาที่ใครๆ ก็ออกต่างจังหวัดกันหมดแบบนี้คือโอกาสดีที่จะได้กินแบบไม่ต้องรอนนาน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงแม้ร้านจะมีคนอยู่บ้าง แต่พวกผมก็ได้ที่นั่งทันที

เราสั่งเซ็ตอาหารเช้าที่มีไข่ ไส้กรอก แฮม เบคอน กันคนละเซ็ต ของผมเป็นไข่คน ส่วนของเขาเป็นไข่ดาว นอกจากนี้ยังมีขนมปังสังขยา ขนมปังเนยน้ำตาล ขนมปังชุบไข่ทอด เครื่องดื่มของผมคือไมโล ส่วนคุณไป๋สั่งชาเย็น แถมยังมีการหันมาบอกว่า ยังไงก็ต้องไปหากาแฟดำกินอีกสักแก้ว ไม่งั้นไม่ตื่นแน่ๆ

ระหว่างที่รออาหารผมก็เอากล้องที่ไอ้ข้าวให้ออกมา พร้อมกับที่คนข้างๆ ขยับเข้ามาใกล้กันทันที เขามองผมสำรวจวิธีการใช้งานอยู่เงียบๆ ก่อนผมจะหันไปหาแล้วชวน

“ไปถ่ายรูปหน้าร้านกัน”

พออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ผมก็ลุกขึ้น หยิบแค่ของมีค่า โทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์ติดตัวไป ส่วนของอย่างอื่นวางไว้ที่โต๊ะ เรามาหยุดกันอยู่ตรงหน้าร้าน ผมชี้ไปยังมุมหนึ่งที่มีกระป๋องนมแบบโบราณวางเรียงอยู่แล้วพูดต่อ

“ไปยืนเร็วคุณ”

คนฟังหันมาทำตาโตใส่ แล้วส่ายหน้าจนผมหลุดหัวเราะ

“ไม่เอา”

“อ้าว?”

“กล้องฟิล์มเค้าเอาไว้ถ่ายวิว ถ่ายอะไรเท่ๆ ไม่ใช่เหรอ มาถ่ายคนได้ไง”

“อยากถ่ายอะไรก็ถ่ายได้ทั้งนั้นแหละน่า”

“ไม่เอาอะ ถ่ายร้านไปเหอะ”

“โอเคๆ”

ผมรับคำ ยกกล้องขึ้นจ่อใกล้ใบหน้าเขาแล้วกดหนึ่งครั้ง แน่นอนว่าคุณไป๋ตกใจจนโวยวายออกมาตามคาด

“นี่!!”

“เปิดกล้องเฉยๆ ไม่ได้ถ่าย”

พอคนฟังหันมาขมวดคิ้วใส่ ผมก็ขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบเบาๆ

“อายอะไรฮึ”

ได้ผล เขาแก้มแดงขึ้นมาทันที ขยับตัวหนีกันไปนิดหน่อย ส่วนผมก็ได้แต่ขำ พร้อมกับเลื่อนนิ้วหัวแม่มือกรอฟิล์มจนเสร็จก็ถอยออกมา หามุมที่แสงกำลังพอดีแล้วกดถ่ายรูป

พอถ่ายเสร็จอีกคนก็ขยับกลับเข้ามาใกล้ๆ แล้วชวนคุย

“มันสนุกตรงที่ถ่ายเสร็จแล้วก็ต้องไปลุ้นต่อว่ารูปจะออกมาเป็นยังไงนี่แหละเนอะ”

“ใช่”

ผมตอบกลับ ยื่นกล้องให้เขาแล้วถาม

“ลองมั่งมั้ย”

คนฟังตอบกลับด้วยการส่ายหน้า

“ไว้มุมอื่นดีกว่า วันนี้ยังต้องไปอีกตั้งหลายที่”

พอเรากลับไปนั่งที่โต๊ะได้ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ

ไม่รู้ว่าเพราะตอนนี้เป็นช่วงปีใหม่ที่วัยรุ่นจะออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหมดหรือว่ายังไง แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ในร้านเป็นกลุ่มคุณลุงที่มานั่งคุยกันไปพลางจิบน้ำชาไปพลาง หัวข้อที่คุยกันก็ไม่พ้นเรื่องการเมือง

ในกลุ่มที่นั่งโต๊ะติดกันกับเรา มีคุณลุงคนหนึ่งกำลังพูดอย่างออกรสด้วยเสียงที่ไม่เบา พร้อมเพื่อนๆ ที่เป็นลูกคู่คอยสนับสนุน

บรรยากาศตรงหน้าทำเอาผมรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง และกำลังอยู่ในหนังวินเทจยังไงก็ไม่รู้ สักพักคนข้างๆ ก็ขยับเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบเบาๆ

“ถ้าคุณลุงเค้าเป็นชาวเน็ตนะ คนติดตามเพียบแน่เลย”

ผมยิ้มไปกับคำพูดของเขา แล้วตอบกลับ

“แก่ตัวไปคุณอาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ มานั่งร้านกาแฟแล้วก็หัวร้อนเพราะเรื่อง พ.ร.บ. คุ้มครองสัตว์ไม่ปกป้องแมวอย่างที่คุณต้องการ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูดเขาก็ยกมือขึ้นมาตีลงบนต้นแขนกันเต็มๆ พร้อมกับหันมาถลึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง จนผมต้องหัวเราะออกมา

กินมื้อเช้าเสร็จพวกเราก็ออกจากร้านมาขึ้นรถไฟใต้ดินต่ออีกหนึ่งสถานี เพื่อไปไหว้พระวัดจีนตามที่ตั้งใจไว้

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในวัด ผมรับรู้เลยว่า ถ้ามาคนเดียวต้องไม่รอดแน่ๆ โคตรงงเพราะคนเยอะมาก แถมมีทั้งเต็นท์ทั้งซุ้มอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ระหว่างที่กำลังหันซ้ายหันขวา คนข้างๆ ก็ยกมือขึ้นมาจับต้นแขนผมไว้แล้วดึงให้เดินไปในทางเดียวกัน

“ต้องไปซื้อธูปเทียนก่อน”

ผมจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากพยักหน้ารับแล้วเดินตามเขาไป

ระหว่างที่กำลังต่อแถวก็ได้แต่กวาดสายตามองบรรยากาศรอบๆ ด้วยความสนใจ เพราะวัดสวยมาก ไม่ว่าจะเป็นหลังคา เสา โคมสีแดง ทุกอย่างดูเป็นศิลปะไปหมด จนเล็งไว้แล้วว่าไหว้พระเสร็จต้องได้เดินหามุมถ่ายรูปเล่นซะหน่อย

ความงงอันเก่ายังไม่ทันหาย ความงงแบบใหม่ก็เข้ามาอีก ว่าทำไมถึงได้ธูปมาเยอะขนาดนี้ ปกติไปวัดไทยจุดธูปสามดอก ไหว้พระในโบสถ์ก็จบจริงมั้ย นี่ได้มาเป็นกำเลย

เอาเป็นว่าค่อยๆ เรียนรู้ไปก็แล้วกัน...

ตอนที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร ผมก็หันไปมองคุณไป๋ พอเห็นว่าอีกฝ่ายจุดธูปทั้งกำก็ทำตาม แล้วก็พบว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด คือไอ้ตอนจุดน่ะไม่ยาก แต่ตอนดับนี่ดิ ไฟลุกแล้วโว้ย!

แล้วของก็เต็มมือไปหมด ทั้งเทียนทั้งพวงมาลัยดอกไม้ อะไรวะเนี่ย

ในตอนที่ผมกำลังพยายามเอามือพัดไฟที่ปลายธูปให้ดับ อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาใกล้ ยื่นกำธูปของตัวเองที่จุดติดเรียบร้อยสวยงามให้ผมถือ แล้วมาเอาธูปของผมไปแทน ก่อนจะสะบัด พรึบเดียวดับทั้งกำ...ทำได้ไงวะ

ผมยืนพัดตั้งนาน ยิ่งพัดไฟก็ยิ่งลุก!

“ไหวมั้ยเนี่ย”

คนตรงหน้าถามออกมาเจือเสียงหัวเราะ ก่อนที่ผมจะตอบไปตามตรง

“ไม่มีคุณผมแย่แน่”

เขายิ้มรับ แล้วพูดต่อ

“ถือดีๆ ระวังไปโดนคนอื่นด้วย”

“อ้าว แล้วถ้าคนอื่นมาโดนผมอะ”

“ก็ไหม้ไง”

คนพูดหลุดขำ เขาพาผมไปวางดอกไม้ วางเทียน แล้วก็เริ่มไหว้พระ

มาเข้าใจได้ในตอนนี้นี่แหละ ว่าที่ใช้ธูปเยอะขนาดนี้ เพราะต้องไหว้เทพเจ้าหลายองค์ แถมแต่ละองค์ก็ยังใช้ธูปไม่เท่ากัน โชคดีที่มีตัวเลขบอกลำดับการไหว้ และจำนวนธูปติดไว้ในทุกที่

สิ่งที่ผมทำได้ก็คือเดินตามคุณไป๋ ตามเขาไปเรื่อยๆ เขาไหว้ตรงไหนผมก็ไหว้ตรงนั้น จนมาถึงที่สุดท้าย ผมมองจำนวนธูปที่ติดไว้ กับธูปที่อยู่ในมือ แล้วก็แทบจะตะโกนออกมา

เกินมาจากไหนวะ!

หรือว่าปักตรงไหนไม่ครบ!

เวรแล้วไงไอ้ชุนมึง!

ทำอะไรไม่ได้ก็เรียกคนข้างๆ ไว้ก่อน

“คุณ...”

“ฮึ?”

“ธูปผมเกินอะ ทำไงดี”

“อ้าว...”

เขามองผมแล้วกระพริบตาปริบๆ ขนาดผู้เชี่ยวชาญยังงง ผมก็ไม่รู้ต้องทำไงแล้ว สักพักคุณไป๋ก็พูดออกมา

“ไม่เป็นไร เกินก็ไหว้ไปเท่าที่มีนั่นแหละ ไหนๆ ก็จุดมาแล้ว”

“ได้เหรอคุณ”

“ได้หมดแหละน่า”

ตอบเสร็จเขาก็หันมาส่งยิ้มให้ แล้วก็เริ่มอธิษฐาน เห็นอย่างนั้นผมก็ขอพรบ้าง ปักธูปเรียบร้อยก็เป็นอันว่าเสร็จพิธีการไหว้พระขอพร

ระหว่างที่เรากำลังเดินออกมาจากตรงนั้น อีกฝ่ายก็ถามขึ้น

“เสี่ยงเซียมซีมั้ยคุณ”

“ได้...”

ผมรับปากไปด้วยความเต็มใจ แล้วก็ไม่คิดเลยว่าการรับปากครั้งนั้นมันจะนำพาชีวิตมาพบกับวิกฤตอีกครั้ง

ที่ผ่านมาก็เคยเห็นอยู่บ้างว่าเสี่ยงเซียมซีเนี่ยเขาทำกันยังไง แต่พอต้องมาทำเองก็ยอมรับเลยว่าทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเขย่าท่าไหน จนต้องให้คุณไป๋สาธิตให้ดู

เขาก็แค่ถือกระบอกไม้ไผ่ไว้ อธิษฐานนิดหน่อย แล้วก็เขย่ามันด้วยท่าทางที่ดูดีเอามากๆ ก่อนจะมีแผ่นไม้เล็กๆ อันนึงค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นจนหล่นลงมา ดูตัวเลขเสร็จ เขาก็เก็บไม้อันนั้นกลับไปแล้วยื่นกระบอกไม้ไผ่ให้ผม

อธิษฐานแล้วก็แค่เขย่าก๊อกแก๊กๆ เดี๋ยวมันก็พุ่งออกมาเอง ผมบอกตัวเองอย่างนั้น แต่มันไม่ออก! ผมเลยยิ่งเขย่าแรงขึ้น จนกระทั่งมีแผ่นไม้พุ่งออกมาจริงๆ แต่มันออกมาครึ่งนึงของที่ใส่ไว้ทั้งหมด

ผมหันไปมองคนที่ยังคงคุกเข่าอยู่ข้างๆ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังกลั้นขำ ขยับเข้ามาใกล้ แล้วก็ช่วยผมเก็บมันกลับไป พร้อมกับที่ผมหันไปพูดกับเขาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

“แย่แล้ว”

“ใจเย็นดิคุณ ค่อยๆ เขย่า เดี๋ยวอันไหนที่จะออกมามันก็ออกมาเองแหละ”

“โอเค...”

ผมรับคำถอนหายใจ ลงมือเขย่าเซียมซีอีกครั้ง ก่อนจะอายจนแทบเอาหัวมุดพื้น ตอนที่เด็กผู้ชายตัวเล็กมานั่งลงข้างๆ เขย่าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะมีไม้อันหนึ่งหลุดออกมา

เด็กเดินไปโน่นแล้ว แต่ผมยังอยู่ที่เดิม ยังเขย่าเซียมซีอยู่จนเหงื่อแตก ใช้เวลาสักพักมันก็มีไม้อันหนึ่งค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นมา สูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหล่นลงมาในที่สุด

นาทีนั้นผมแทบร้องเฮ หยิบไม้ขึ้นมาดูตัวเลข หันไปยิ้มให้คนที่อยู่ให้กำลังใจกันไม่ไปไหน ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามเขาไปยังอีกมุมหนึ่ง ซึ่งมีกล่องใส่กระดาษติดอยู่หลายช่อง

ปรากฏว่าช่องที่ตรงกับเลขของผม ดันไม่มีกระดาษเหลืออยู่ไปซะอีก พอยืนอ่านคำทำนายที่แปะอยู่ด้านหน้าก็สรุปได้เลยว่า...ไม่เข้าใจ

คือคร่าวๆ ก็พอจะจับใจความได้อยู่ ว่าความหมายมันเป็นไปในทางที่ดี แต่บางประโยคก็แปลไม่ออกเลยว่าหมายถึงอะไร

วิถีแห่งชาวไทยเชื้อสายจีนช่างเป็นอะไรที่ซับซ้อน

จนคุณไป๋ต้องเดินมาใกล้แล้วถาม

“เป็นไงบ้างคุณ”

“คำทำนายหมดอะ ที่ติดอยู่ก็ดีล่ะมั้ง แต่ผมอ่านไม่ค่อยเข้าใจ”

เขาหลุดยิ้มกับท่าทางอันสิ้นหวังของผม ยืนอ่านคำทำนายให้ หันมาอธิบายแล้วกล่าวเสริมว่า

“ที่หมดก็เพราะว่ามันดีนี่แหละ ที่เหลือเยอะๆ จะเป็นคำทำนายที่ไม่ดีทั้งนั้น เพราะอันที่ดีอะ เค้าจะเอากลับไปพกติดตัว แต่ถ้าไม่ดีก็วางไว้ที่เดิม ไม่เอากลับไป”

“แล้วของผมมันหมด ควรทำไงอะ”

“ถ่ายรูปเก็บไว้ในมือถือดิ”

“มงคล.png เงี้ยเหรอ”

“เหอะน่า นี่ของผมก็ถ่ายไว้แล้ว ดีเหมือนกัน”

พูดจบเขาก็ชูโทรศัพท์มือถือในมือให้ผมดู ถ่ายเอาไว้จริงด้วยแฮะ

เอาวะ ถ่ายก็ถ่าย ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป มงคลดอตอะไรก็มงคลทั้งนั้นแหละ

หลังจากนั้นพวกผมเดินอยู่ในวัดอีกพักใหญ่ ให้คุณไป๋เขาหามุมสวยๆ เพื่อลองถ่ายรูป

ผมสอนเขาใช้กล้องที่พกมาวันนี้ อันที่จริงวิธีการก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าอยู่ในที่มืดให้เปิดแฟลช ระยะโฟกัสจะต้องไกลกว่าหนึ่งช่วงแขน และต้องกรอฟิล์มทุกครั้งก่อนจะถ่ายรูปถัดไป ถ้ายังไม่ถ่ายก็ยังไม่ต้องกรอ

พอได้ลองถ่ายรูปเองสักครั้งสองครั้งเขาก็เริ่มสนุกมากขึ้น คราวนี้พอผมให้เจ้าตัวไปยืนเป็นแบบ เขาก็ไม่มีท่าทีขลาดเขินอีกต่อไป แลกกับการที่บางครั้งผมก็ต้องไปยืนให้เขาถ่ายรูปบ้าง

เราออกจากวัดมาโดยที่กล้องยังสามารถถ่ายภาพได้อีกทั้งหมดสิบเก้ารูป ก่อนจะเดินไปตามถนน เจอมุมดีๆ ก็แวะ ผมถ่ายเขาบ้าง เขาถ่ายผมบ้าง บางครั้งก็เลือกถ่ายรูปกำแพงหรือสิ่งของในมุมมองที่น่าสนใจ

จนกระทั่งตอนนี้ คุณไป๋ยืนอยู่ตรงกำแพงหน้าตาวินเทจของร้านค้าที่ปิดช่วงปีใหม่ ส่วนผมยืนอยู่ข้างหน้าเขา ย่อตัวลงเพื่อให้ได้ภาพในมุมที่ต้องการ

ยังไม่ทันกดชัตเตอร์ ผมก็ชวนเขาคุย พร้อมกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา

“คุณ...”

สิ่งที่ผมคิดอยู่ตอนนี้มันโคตรจะบ้าเลย แต่ก็เป็นความบ้าที่อยากจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง

“ฮึ?”

“ปีนี้ปีอะไรแล้ว”

“2563 ไง ถามทำไมเนี่ยไม่ถ่ายเหรอ”

“พ.ศ. ก็เปลี่ยนแล้วนะคุณ”

“อืม”

“เราสองคนอะ เปลี่ยนบ้างดีมั้ย”

“ฮะ?”

“เป็นแฟนกันได้แล้ว”

ถามจบ ผมก็กดชัตเตอร์บันทึกภาพเขาในช่วงเวลานั้นเอาไว้ กลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม แล้วเดินตรงเข้ามาหากันทันที

“ถ่ายรูปเหรอ?!”

“อืม...” ผมตอบ ยิ้มให้พร้อมยักคิ้ว ส่วนคนฟังทำหน้ามุ่ยแถมยังพยายามจะแย่งกล้องไปจากมือ จนผมต้องจับข้อมือเขาไว้แล้วถามต่อ

“เมื่อกี้คำถามนะคุณ ตอบก่อน”

“ถามช้าไปมั้ง! เอากล้องมานี่เลย!”

“ฮึ?”

“เอามาเร็วๆ สิ!”

“ทำไมต้องโวยวายเนี่ย”

ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด คนตรงหน้าเงียบไปในทันที

ผมยิ้มกับท่าทางของเขา ลดมือที่พยายามชูกล้องหนีอยู่ลง ใช้มืออีกข้างเช็ดหน้าผากที่เริ่มมีเหงื่อซึมเพราะเราเดินกันมาสักพัก แล้วพูดต่อ

“ถามก็ไม่ยอมตอบ”

“...”

“ไหนใครบอกว่าเล็งร้านไอติมไว้ฮึ”

ระหว่างที่กำลังขับรถมาที่นี่ คุณไป๋เขาโฆษณาร้านไอศกรีมโฮมเมดร้านนึงให้ฟังว่าน่าสนใจสุดๆ เพราะนอกจากจะสามารถทำไอศกรีมรสชาติที่วางขายกันทั่วไปได้แล้ว ยังมีเมนูสร้างสรรค์ประเภทไอศกรีมรสข้าวต้มที่เอาไว้กินคู่กับเครื่องเคียงแบบจีน หรือไอศกรีมรสชาติยาแก้ไอโบราณ

“เลี้ยวเข้าซอยข้างหน้านี่ก็ถึงแล้ว”

ผมเดินไปข้างเขา โดยที่ในใจยังเต็มไปด้วยคำถาม

สรุปว่าคำตอบคืออะไร

ที่โวยวายออกมาเมื่อกี้คือตกลงหรือว่ากลบเกลื่อน

เขาอาจจะยังไม่พร้อม หรือเป็นผมเองที่บกพร่องอะไรสักอย่าง จนทำให้เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ แล้วอยู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งเลื่อนมาคล้องแขนผมเอาไว้ พร้อมกับผิวแก้มที่แนบเข้ามาบนไหล่ และคำพูด

“เงียบไปเลยอะ”

ผมยิ้มรับ ยอมรับว่าจ๋อยไปเหมือนกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มั่นใจเต็มที่อยู่แท้ๆ ผมยังคงเงียบอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายพูดต่อ

“ที่เราเป็นอยู่นี่ มันก็เหมือนเป็นแฟนกันมาสักพักนึงแล้วไม่ใช่รึไง”

“ก็ใช่”

“คือ...ผมหมายความว่า ที่คุณถามเมื่อกี้อะ คำตอบคือตกลง”

“...”

“อย่าซื่อบื้อได้มั้ยล่ะ!”

ไม่พูดเปล่า เขายกมือขึ้นกำหมัดแล้วต่อยเข้ามาที่ท้องผมเต็มๆ จุกเหมือนกันนะเนี่ย

ผมหัวเราะรับแถมยังหุบยิ้มไม่ลง ยกมือขึ้นลูบตรงจุดที่โดนกำปั้นของอีกฝ่ายกระแทกเข้า แล้วหันไปพูดกับเขา

“เป็นแฟนผมแล้วนะ”

“อื้ม!”

ได้ยินคำตอบแล้วผมก็เลื่อนมือมากุมมือเขาไว้ พร้อมกับกรอฟิล์มไปเรื่อยๆ ผมเดินช้าลง ปล่อยให้อีกฝ่ายจูงมือนำไป พอถึงจังหวะนึงก็เรียกให้เขาหันมา ขยับถอยหลังนิดๆ ยกมือของเราที่จับกันอยู่ให้สูงพอที่จะเข้าเฟรม แล้วกดถ่าย

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือกล้องในมือผมถูกแย่งไป พร้อมกับคำพูดที่ตามมา

“ทำไมชอบถ่ายตอนไม่รู้ตัวอะฮึ”

“ธรรมชาติไง”

“เส้นบางๆ ที่คั่นระหว่างธรรมชาติกับเหวออะดิ”

เขาพลิกกล้องในมือไปมาแล้วพูดต่อ

“ย้อนดูรูปแล้วเลือกลบอันที่ไม่ชอบทิ้งก็ไม่ได้”

ผมยิ้มรับ สบตาเขา ก่อนจะตอบกลับไป

“เวลาถ่ายถึงได้เลือกถ่ายเฉพาะสิ่งที่สำคัญจริงๆ ไง”

คนฟังอมยิ้มเขินรับสิ่งที่ได้ยิน แล้วทำเป็นดุ

“งั้นก็เลิกถ่ายตอนคนอื่นเค้าทำหน้าเหวอได้แล้ว”

ผมมองคุณไป๋ ส่งยิ้มกลับไปแต่ไม่ตอบอะไร คิดดูแล้วกันว่าขนาดหน้าตาบูดบึ้งของเขายังทำให้อารมณ์ดี

เรามานั่งพักกันที่ร้านไอศกรีมโฮมเมด พอได้แอร์ก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาหน่อย ผมสั่งไอศกรีมช็อกโกแลต ส่วนอีกฝ่ายได้กาแฟดำใส่น้ำส้มกับโซดา เมนูพิเศษของที่ร้าน

นั่งฆ่าเวลาอยู่ไม่นาน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผมหิว...

พอดูนาฬิกาก็ไม่แปลกใจ เพราะเที่ยงกว่าเข้าไปแล้ว

เราเลยขยับเข้ามานั่งใกล้กัน แล้วเสิร์ชหาร้านน่าสนใจเพื่อไปกินมื้อเที่ยง ก่อนจะจบลงที่ว่าจะไปคาเฟ่อาหารจีน จากข้อมูลในรีวิวมีแต่คนบอกว่าคิวยาวมาก แต่สามารถจองคิวผ่านแอพพลิเคชั่นได้

เมื่อรู้อย่างนั้นคุณไป๋เขาก็จัดการโหลดแอพฯ แล้วก็กดจองคิวเสร็จสรรพ โชคดีที่คิวไม่ยาวเท่าที่คิด ยังมีเวลาอีกนิดหน่อย พวกผมเลยเดินไปพลาง แวะถ่ายรูประหว่างทางไปบ้าง พอมาถึงที่ร้านรอคิวไม่นานก็ได้กิน

ระหว่างที่เรากำลังจัดการมื้อเที่ยง คนตรงหน้าก็เปิดรูปถ่ายที่แม่เขาส่งมาให้ดู เลยได้รู้ว่าแม่คุณไป๋จะขึ้นเครื่องจากไต้หวันกลับไทยมาประมาณสองทุ่ม และคงถึงกรุงเทพฯ ตอนดึก

คุยไปคุยมาก็เข้าเรื่องผมจนได้

“เออ แล้วเพื่อนคุณล่ะ กลับวันนี้ไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ ตอนเช้าบอกมันแล้วว่าเดี๋ยวช่วงบ่ายๆ จะกลับไปส่ง มันบอกว่านั่งแท็กซี่ไปสนามบินเองได้”

“อ้าว ทำไมไม่ไปส่งเพื่อนอะ”

“จริงๆ ก็อยากไปส่งอยู่นะ”

“เนี่ย กินข้าวเสร็จกลับไปรับเพื่อนคุณยังทันเลย เราก็ไม่ได้จะไปไหนแล้วนี่ ว่าไง”

“ไลน์ไปถามมันสักหน่อยก็ได้ บอกว่าเราจะกลับแล้วเนอะ”

พอเห็นเขาพยักหน้ารับ ผมก็ทำตามที่พูด ส่งข้อความไปบอกไอ้ข้าวว่าจะกลับแล้ว ให้มันรออยู่ที่บ้านอย่าเพิ่งออกไปไหน

จัดการมื้อเที่ยงเสร็จพวกผมก็กลับมาบ้าน แถมยังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย ไอ้ข้าวเลยเอากล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายภาพครอบครัวของไอ้ตูมกับเด็กๆ เอาไว้ ส่วนผมกับคุณไป๋ก็ใช้ฟิล์มที่เหลือถ่ายรูปแมวไปจนหมด

ระหว่างทางที่จะไปสนามบินก็แวะเอาฟิล์มให้ร้านที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านช่วยล้างรูปให้ ตอนเด็กผมจำได้ว่าเวลาพ่อเอาฟิล์มไปล้าง เขาจะให้รูปถ่ายกลับมาเป็นอัลบั้ม ตอนแรกผมเลยเข้าใจว่ารูปที่เราถ่ายกันวันนี้จะถูกอัดออกมาในลักษณะนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ ที่ร้านให้ผมทิ้งอีเมลเอาไว้และจะส่งรูปมาให้ทางเมลหลังจากจัดการล้างเสร็จเรียบร้อย

ตอนขาออกจากบ้านไปสนามบิน พวกผมก็คุยกันอยู่หรอก ว่าพอรถไม่ติดแล้วรู้สึกเหมือนสามารถทำอะไรได้เยอะแยะมากในหนึ่งวัน แต่หลังจากส่งไอ้ข้าวเสร็จ และเดินทางขับกลับบ้านเท่านั้นแหละ กรุงเทพฯ แบบเดิมก็กลับมาอีกครั้ง เพราะคนที่ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดเริ่มเดินทางกลับมาแล้ว

ขามาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ส่วนขากลับนี่ ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงบ้าง

ระหว่างที่รถติดอยู่ ผมก็มองอีกคน สังเกตความเคลื่อนไหวเล็กน้อย ตอนเขาปรับเครื่องเล่นวิทยุในรถ ยกมือขึ้นเสยผมโดยไม่ตั้งใจ หรือแม้แต่ตอนกำลังไล่ปลายนิ้วเลื่อนดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ทุกสิ่งทุกอย่างคือความเพลิดเพลินใจของผม ไม่น่าเชื่อว่าผมสามารถนั่งมองเขาทำโน่นทำนี่ไปเป็นนาทีได้โดยไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่น้อย

เห็นเขาแล้วอยากอยู่ใกล้ๆ พอได้อยู่ใกล้ก็ยิ่งอยากใกล้มากขึ้น ยิ่งได้ใกล้มากขึ้นก็ยังอยากใกล้ชิดเขายิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

ผมเอื้อมมือไปกุมทับฝ่ามือเขาที่วางอยู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งสายตากลับมา ยกยิ้มให้จนตาหยี

วินาทีนั้นเอง ตัวผมในวัยยี่สิบหกปีก็ได้เข้าใจมากขึ้นว่าการตกหลุมรักใครสักคน มันให้ความรู้สึกแบบไหน


- มีต่อนะคะ -

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2020 18:15:50 โดย kipuuu »

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0


หนึ่งในเรื่องที่เราคุยกันระหว่างรถติดก็คือคุณไป๋เขาจะกลับไปนอนบนห้องนอน เพราะลูกแมวโตแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมเลยมายืนอยู่ตรงนี้ ตรงกลางห้องนอนของเขา

ผมขโมยเสื้อผ้าอีกฝ่ายใส่ตามเคย ทั้งที่บ้านตัวเองก็อยู่หลังถัดไป

ส่วนเจ้าของบ้าน หาชุดนอนให้กันแล้วก็ขึ้นมาอาบน้ำที่ชั้นบน และยกห้องน้ำชั้นล่างให้ผมใช้ พร้อมบอกว่าห้องนอนของเขาคือห้องที่มีระเบียง ซึ่งผมก็เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะบ้านเราสองคนใช้แปลนแบบเดียวกัน

ผมขึ้นบันไดมา เปิดประตูเข้าไปแล้วก็เจอกับห้องที่ตกแต่งในลักษณะเดียวกันกับชั้นล่าง ซึ่งเปิดแอร์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว เสียงจากในห้องน้ำบอกว่าอีกฝ่ายยังไม่เสร็จธุระส่วนตัว ผมเลยถือวิสาสะเดินสำรวจไปรอบๆ

สักพักเจ้าของห้องก็ออกมาจากห้องน้ำในชุดนอน ผมเปียกหมาดๆ บนไหล่มีผ้าขนหนูผืนเล็ก

ผมหันไปหาเขา ส่งยิ้มให้แล้วพูดต่อ

“ห้องคุณไม่มีอะไรสนุกๆ เลย”

“ก็ห้องนอน จะให้มีอะไรอะ โรลเลอร์โคสเตอร์เหรอ”

“ไม่ใช่สิ ก็อย่างเช่นรูปคุณสมัยเด็ก ตอนมัธยมที่ตัดผมเกรียน หรือทำทรงผมพลาดๆ ช่วงขึ้นมหา’ ลัย อะไรทำนองนั้น”

ผมพูดพร้อมกับหยิบผ้าขนหนูจากมือเจ้าตัว ถอยมายืนอยู่ข้างหลังแล้วเช็ดผมให้เขา จากนั้นก็ได้ยินคำตอบ

“อะไรแบบนั้นต้องไปดูที่บ้านใหญ่โน่น ที่นี่ไม่มีหรอก แล้วก็...” ระหว่างที่พูด คุณไป๋ก็หันมาสบตาผมกับรอยยิ้ม “ขอแสดงความเสียใจด้วย โรงเรียนที่ผมจบมาไม่บังคับเรื่องทรงผม”

พอเห็นหน้าตาผมที่แสดงออกชัดเจนเลยว่าเสียดาย เขาก็ยกมือขึ้นมาตีต้นแขน ส่วนผมก็พูดต่อ

“ไปเป่าผมให้แห้งดีกว่าไป เดี๋ยวเป่าให้ ทิ้งไว้อย่างนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดอีก”

“แน่ใจ?”

“อืม”

“จะไม่เผาหัวกันเนาะ”

“คอกแมวยังทำได้เลยคุณ แค่เป่าผมแฟนคงไม่เกินความสามารถหรอกมั้ง”

ผมพูดแล้วกอดคอเขาล็อกตัวไว้ ก่อนจะลากไปตรงมุมแต่งตัวที่มีกระจกกับเก้าอี้วางอยู่ ทันทีที่ไดร์เป่าผมอยู่ในมือ ผมก็เหวอไปอีกครั้ง

ทำไมมันมีที่ปรับหลายอันจังวะ

ก่อนคนที่นั่งอยู่จะหันมาแล้วอธิบาย

“ปรับอันนี้ไปตรงนี้ ความแรงลมปานกลาง ส่วนฝั่งนี้คือความร้อนของลม ก็ปานกลางเหมือนกัน โอเคมั้ย”

ผมพยักหน้ารับ ปรับไดร์เป่าผมตามที่อีกคนบอก พอมองกลับมาก็เจอกับรอยยิ้มขำๆ จนผมต้องใช้มือจับให้เขาหันหน้ากลับไป ก่อนจะเริ่มลงมือเป่าผมให้

หลังจากนั้นไม่ผมคุณไป๋ก็แห้ง พร้อมกับที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามองผม ส่งยิ้มให้แล้วเอ่ยชม

“เก่งเหมือนกันนะเนี่ย”

ผมรับคำชมด้วยการก้มลงไปจูบบนริมฝีปากคู่นั้นแบบกลับด้าน เขาเรียกว่า ‘สไปเดอร์แมนคิส’ รึเปล่านะ...พอผละจูบออกมาเขาก็ยืนขึ้น หันมากอดคล้องคอกันแล้วพูดต่อ เจือเสียงหัวเราะ

“เดี๋ยวก็คอเคล็ดหรอก”

“มุมนี้ดีกว่าถูกมั้ย”

ผมถาม ไม่รอคำตอบ ยกมือขึ้นสัมผัสท้ายทอยเขาแล้วเข้าไปจูบอีกครั้งอย่างเนิ่นนานและลึกซึ้ง แต่ก็ไม่รีบร้อนเกินไป

พอเราได้สบตากันอีกครั้ง แววตาของเขาก็พราวระยับไปด้วยความซุกซน ก่อนที่คนตรงหน้าจะปีนขึ้นมาบนตัวผม โดยใช้ขาทั้งสองข้างล็อคอยู่ที่เอว ตอนที่ผมเสียงจังหวะไปนิดหน่อย เสียงหัวเราะคิกคักก็ดังตามมา

ผมยิ้มตอบ ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่หงายหลังร่วงลงไปทั้งคู่ ก่อนจะพาอีกคนไปส่งที่เตียง แล้วตามไปคร่อมทับ แต่พอจะกลับเข้าไปจูบอีกครั้ง คนตรงหน้าก็ยกมือขึ้น ใช้นิ้วชี้ทาบริมฝีปากผมเอาไว้แล้วพูดต่อ

“คุยกันก่อน”

“ฮึ...?”

“คุณคิดจะทำ...ไปถึงขั้นไหน”

นาทีนั้นผมตื่นตัวแล้วเต็มที่ พอโดนถามเข้าก็แทบต้องสั่งให้เลือดไหลจากข้างล่างกลับขึ้นมายังสมองเพื่อใช้ความคิด

นั่นสิ ผมคิดจะทำถึงขั้นไหน ให้ชัดเจนไปเลยก็คือ ผมคิดจะเข้าไปในตัวเขามั้ยนะ

แน่นอนสิ...แน่นอนอยู่แล้ว

“มากที่สุดเท่าที่คุณจะอนุญาต”

ผมตอบพร้อมกับกดจูบลงไปบนปลายนิ้วมือที่แนบอยู่ แต่คนตรงหน้ากลับไม่เล่นด้วย แล้วตอบกลับ

“เอาล่ะ งั้นเราต้องคุยกัน”

เปิดโหมดจริงจังไปเฉยว่ะ

“อือฮึ”

“ก่อนอื่น ผมรู้นะว่าคุณไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันมาก่อน อาจจะฟังดูงี่เง่าไปหน่อย แต่คุณรู้ใช่มั้ยว่าผู้หญิงกับผู้ชาย...มันไม่เหมือนกัน”

“รู้สิ”

ซึ่งคำตอบของผมก็ไม่ได้ช่วยให้สีหน้าเขาดูดีขึ้น บางทีแค่คำสองคำอาจจะไม่หนักแน่นพอ เอาเป็นว่าลงรายละเอียดด้วยก็แล้วกัน

“ผมก็ศึกษามาบ้างนะคุณ”

“ศึกษา...?!”

“อื้อ!”

“ศึกษายังไง”

“นี่...คุณไป๋ครับ โทรศัพท์มือถือที่เราใช้กันอยู่ทุกวันเนี่ย มันเข้าอินเตอร์เน็ตได้แล้วนะ”

ผมพูดแล้วใช้นิ้วจิ้มลงไปบนปลายจมูกเขาเบาๆ

“หมายถึงว่าคุณเสิร์ชข้อมูลอะเหรอ”

“อืม ก็ศึกษาทั้งจากตัวหนังสือ ภาพนิ่ง แล้วก็ภาพเคลื่อนไหว”

และถ้าไม่ได้คิดไปเอง เขากำลังทำตาโตขึ้นเรื่อยๆ ตามสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะถามต่อ

“คุณดูหนังโป๊เกย์เหรอ!”

“ก็...ใช่...” อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนจับได้ว่าแอบทำตัวนอกลู่นอกทางไปเฉยเลย “เพื่อนผมก็เป็นเกย์นะคุณ มันก็ช่วยติวมาให้บ้าง”

“ติว!”

“อื้ม!”

“เอ่อ...ผมควรจะช็อกเรื่องที่คุณดูหนังโป๊เกย์ หรือช็อกเรื่องที่คุณคุยเรื่องพวกนี้กับเพื่อนก่อนดีนะ”

“เห็นอย่างนี้ผมเป็นคนใฝ่รู้นะคุณ อะไรที่คิดว่าน่าจะจำเป็นในอนาคตมันก็ต้องศึกษาเอาไว้”

“...”

ได้ยินสิ่งที่ผมพูดปุ๊บ ริมฝีปากของเขาก็คว่ำลงทันที

“ดังนั้น ผมรู้ว่าเวลาผู้ชายเขาจะมีอะไรกันเนี่ย จะต้องทำยังไงบ้าง คราวนี้ถึงตาผมถามคุณมั่ง ถ้าเราจะทำกัน คุณต้องเตรียมตัวด้วยถูกมั้ย...อยากขอเวลานอกก่อนรึเปล่า”

คำถามของผมทำให้คนฟังแก้มแดงจัดไปจนถึงหู ก่อนที่เขาจะตอบกลับมาด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา

“เรียบร้อยแล้ว”

“อะไรนะ”

“ก็บอกว่าเตรียมตัวมาเรียบร้อยแล้วไง!”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมยิ้มรับ แถมยังอดไม่ได้ที่จะงับลงไปบนปลายจมูกของคนตรงหน้าด้วยความมันเขี้ยว พร้อมกับยกมือขึ้นแกะกระดุมเสื้อเขาทีละเม็ด

ในตอนที่ผมก้มหน้าลงจูบที่ลำคอของเขา ก็ยังมีเรื่องให้ต้องถามต่อ

“คำถามสุดท้าย...”

“ฮึ?”

“ปิดไฟหรือเปิดไฟดีกว่า”

คนฟังเม้มปากเข้าระหว่างที่เรามองสบตากัน ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีเขินๆ

“วันนี้ปิดก่อนได้มั้ยอะ ไว้คราวหน้าค่อยเปิด”

ผมยิ้มรับ ขยิบตาข้างนึงให้เขาแทนคำตอบ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยุดที่หน้าปลั๊กไฟ มองกลับมาก็เห็นว่าอีกคนกำลังขยับตัวไปยังตู้ข้างเตียง หยิบของที่ต้องใช้ออกมาวางไว้ ก่อนจะเปิดโคมไฟ ผมรอให้ไฟดวงเล็กสว่างขึ้นมาก่อน ถึงได้กดสวิตช์ให้ทั้งห้องมืดลง แล้วเดินกลับมานั่งลงตรงหน้าคนที่ลุกขึ้นมานั่งเช่นกัน

เรามองสบตา ต่างฝ่ายต่างก็ยิ้มเขิน ก่อนที่ผมจะก้มลงจูบตรงปลายจมูกได้รูป พร้อมกับยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนสุดของคนตรงหน้า สาบเสื้อที่ค่อยๆ แยกออก ทำให้ผมเห็นผิวขาวเนียนละเอียดได้มากขึ้นทีละน้อย จนต้องพูดสิ่งที่คิดอยู่ออกมา

“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าชุดนอนลายสก็อตก็ดูเซ็กซี่ได้”

คำตอบคือมือที่ยกขึ้นมาตีลงบนต้นแขน จนผมได้แต่หัวเราะกลับไป พอกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก ผมก็เข้าไปจูบลงบนไหล่ ไล่ขึ้นมาตามลำคอ แก้ม และริมฝีปาก พร้อมกับที่รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้ากำลังเอนตัวนอนลงไปอย่างช้าๆ

ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน ลึกซึ้ง ไม่รีบร้อน ระหว่างนั้นผมก็รู้สึกได้ว่ามีมือเลื่อนขึ้นมาแกะกระดุมเสื้อที่ผมใส่อยู่ จูบนั้นผละออกตอนกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลด

ผมลุกขึ้น คุกเข่าคร่อมเอวของคนที่นอนอยู่ ถอดเสื้อนอน โยนลงไปข้างเตียง ตามด้วยกางเกง มองสบตาเขา ยักคิ้วให้แล้วยกมือขึ้นตีที่สะโพกของคุณไป๋เบาๆ แน่นนอว่าเจ้าตัวทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยกเอวขึ้นนิดๆ ให้ผมสามารถถอดกางเกงนอนที่เขาใส่อยู่ออกไปได้

หลังสิ่งไม่จำเป็นถูกเคลียร์ออกไปจนหมด ผมก็กลับมาทาบทับอยู่บนตัวเขา ร่างกายของเราประกบแนบแน่นบดเบียด

ในตอนที่มองสบแววตาสีดำสวยซึ่งมองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ผมกลับรู้สึกได้ถึงความกังวลลึกๆ และมันทำให้ผมเปลี่ยนทิศทาง จากที่ตั้งใจจะจูบลงไปที่ปาก เลยย้ายมาเป็นหน้าผาก และได้ยินเสียงของเขา

“แน่ใจนะคุณ”

“ผมรู้ดีน่าว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร”

คำตอบของผมไมได้มีแค่คำพูด แต่มาพร้อมฝ่ามือที่เลื่อนลงไปสัมผัสส่วนสำคัญของเขาเพื่อปลุกเร้า ความลังเลทั้งหมดของคุณไป๋หายไปอย่างช้าๆ เหลือไว้แค่เพียงกระแสอ้อนวอนในสีหน้าและแววตา

ภาพที่เห็นกระตุ้นให้ผมตื่นตัวและพร้อมจะขยับไปยังขั้นตอนต่อไปได้ภายในสามวินาทีนี้ด้วยซ้ำ ผมอยากเข้าไปแล้ว อยากเป็นหนึ่งเดียวกับเขา แต่ถ้าว่ากันตามทฤษฎีที่ศึกษามา กว่าจะไปถึงตอนนั้นก็ยังต้องมีขั้นตอนต่ออีกนิดหน่อย

“คุณรู้มั้ย ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเราสองคนตอนนี้คืออะไร”

“ฮึ?”

เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูอ้อนอ้อนจนผมต้องก้มลงไปจูบที่ใบหูของคนพูดแล้วกระซิบคำตอบ

“ผมว่าเราน่าจะต้องใช้ของที่คุณวางเอาไว้ข้างโคมไฟ แต่มือผมไม่ว่าง ข้างนึงกำลังค้ำตัวเองไว้ จะได้ไม่ทับคุณแบบแต๊ดแต๋ ส่วนอีกข้างก็นะ”

ไฟสลัวในห้องสว่างพอให้เห็นว่าตอนนี้เขาแก้มแดงสุดๆ แต่มันก็ยังเรื่อสีได้มากกว่าเดิมตอนที่ได้ยินคำพูดของผม ริมฝีปากคู่นั้นคว่ำลง ก่อนมือข้างนึงที่เกาะไหล่ผมอยู่จะผละออกไปหยิบเจลหล่อลื่นกับถุงยางอนามัยที่เจ้าตัวเอาออกมาวางไว้ตั้งแต่ตอนที่เปิดโคมไฟ และยื่นให้กัน ผมรับมา จูบลงไปบนผิวแก้มนุ่ม พร้อมคำพูด

“ขอบคุณครับ”

ผมลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง สวมถุงยางอนามัยให้ตัวเอง ก่อนจะบีบเจลหล่อลื่นใส่มือเพื่อเตรียมพร้อมให้คนตรงหน้า

ตอนที่ปรึกษากับเพื่อน บอกตามตรง ผมคิดว่ามันจะยากและทุลักทุเลกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ เสียงร้องเบาๆ ดังขึ้นทันทีที่ผมแทรกนิ้วมือเข้าไปในร่างกายของเขา

คนที่หายใจถี่กระชั้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลื่อนมือมาจับข้อมือผมไว้หลังจากที่เวลาผ่านไปได้ไม่นาน นั่นทำให้ผมต้องมองสบกับแววตาที่ปรือปรอยของเจ้าตัว เลิกคิ้วขึ้นแทนคำถามว่า ‘เป็นอะไร?’ ก่อนริมฝีปากเรื่อสีแดงจัดขยับและส่งเสียงพูดออกมาแผ่วเบา

“ดะ...ได้แล้ว เข้ามาได้แล้ว”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ถอดถอนนิ้วมือตัวเองออกมา จับข้อมือเขาไว้ จูบลงไปเบาๆ แล้วขยับจัดท่าทางที่คิดเอาว่าน่าจะถนัดที่สุด ทางที่ดีก็ถามเพื่อความแน่ใจอีกหน่อย

“แบบนี้โอเคมั้ยคุณ หรือว่าตะแคงซ้าย ตะแคงว่า นอนคว่ำฮึ?”

คำตอบแรกคือกำปั้นที่ทุบลงมาบนไหล่ผม ก่อนคำพูดจะตามมา

“แบบนี้ดีแล้ว จะได้เห็นหน้ากัน”

ผมยิ้มรับ จูบลงบนปลายจมูกเขาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ แทรกตัวเข้าไป โดยที่สายตาของเรายังคงประสานกันอยู่ตลอด

ในช่วงเวลานั้น ความรู้สึกหนึ่งที่แทรกเข้ามาในใจผมคือความกังวล ความรู้สึกคับแน่นทำเอาผมเกิดคำถามว่าเขาจะเจ็บมั้ย จะทรมาณรึเปล่า

ก่อนจะมีมือข้างนึงเลื่อนมาจับมือผมไว้ ประสานปลายนิ้วเข้าด้วยกันและเกาะกุม คุณไป๋ส่งยิ้มมาให้ผม พร้อมพยักหน้าเพื่อเป็นสัญญานว่าทุกอย่างยังคงอยู่ในระดับที่เขาสามารถรับได้ หลังจากนั้นไม่นานผมก็แทรกลึกเข้าไปในตัวเขาทั้งหมด และเริ่มขยับตามความต้องการของร่างกาย

คนตรงหน้าผมหอบหายใจกระชั้น เขาเริ่มมีเสียงร้องเบาๆ ตอนปลายทางใกล้เข้ามาทุกที ก่อนเจ้าตัวจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่สัมผัสตัวเองเพื่อปลุกเร้า และแล้วความสุขจากจุดสุดยอดก็ถาโถมเข้าหาเขา

ในขณะเดียวกัน ผมก็ยังคงสอดแทรกร่างกายเข้าหา เร่งจังหวะ จนได้สัมผัสกับช่วงเวลาอันล่องลอยของวินาทีแห่งความสุข ก่อนจะทรุดร่างกายลงโอบกอดคุณไป๋เอาไว้ พร้อมกับรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดลงมาบนซอกคอ พร้อมอ้อมแขนที่โอบกอดกัน

ความเงียบโรยตัวอ้อยอิ่งอยู่ไม่นาน ก่อนอ้อมกอดจะเปลี่ยนมาเป็นฝ่ามือที่ลูบไล้บนแผ่นหลังของผมและคำถาม

“เป็นไงบ้าง?”

คำถามฟังดูไม่ชัดเจน แต่ผมเข้าใจในความหมาย ว่าอีกฝ่ายกำลังถามกันว่า รู้สึกยังไง หลังจากมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันเป็นครั้งแรก

ผมจูบลงไปบนลำคอด้านข้างของเขาทันทีที่ได้ยิน ใช้แขนข้างนึงค้ำตัวเองขึ้นมามองสบตากับคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง มืออีกข้างปัดเส้นผมซึ่งลงมาปรกอยู่บนหน้าผาก ก่อนจะเลื่อนไปสัมผัสติ่งหูนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายแล้วสัมผัสเล่น ส่งยิ้มไปให้ ก่อนจะพูดออกมา

“ไม่แน่ใจว่าควรตอบยังไงดีอะคุณ”

“อะ..อ้าว”

“น่าจะต้องลองทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วล่ะมั้ง เผื่อจะคิดออกว่าควรตอบคำถามคุณด้วยคำไหนดี”

พูดจบผมก็ส่งยิ้มให้เขา ก้มหน้าลงไปจูบลึกซึ้งบนริมฝีปาก พอผละจูบออกมาถึงได้กระซิบเบาๆ ให้เจ้าตัวได้ยิน

“ไหนๆ คุณก็ถามแล้ว งั้นผมขอลองอีกรอบนึงตอนนี้เลยได้มั้ย”



สิ่งหนึ่งที่ทำให้การร่วมรักกันออกมาสมบูรณ์แบบคือช่วงเวลาอ้อยอิ่งเชื่องช้าที่เต็มไปด้วยความผูกพันหลังจากนั้น

ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนเตียง มีอีกคนเอนหลังพิงอกกันอยู่ และในมือของเขาคือโทรศัพท์ของผม

ใครมันจะไปรู้ว่าร้านล้างฟิล์มจะส่งรูปเข้าอีเมลมาตอนห้าทุ่มกว่า นี่คือทำงานไม่หลับไม่นอนกันเลยใช่มั้ย และยิ่งกว่าการที่ร้านส่งรูปมาตอนห้าทุ่มกว่าก็คือการที่พวกผมมานั่งดูรูปด้วยกันตอนเที่ยงคืน

หลังจากเรามีอะไรกัน เข้าห้องน้ำ ล้างตัวเตรียมเข้านอน ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งนาฬิกาปลุก เพราะพรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงาน แล้วก็ดันเจออีเมลจากร้านล้างรูปที่ส่งมาเข้าพอดี

จากที่จะนอนก็เลยมานั่งดูรูปกันแทน ผลงานที่ออกมาก็มีทั้งที่ดูดีไปเลย แล้วก็พลาดบ้าง มืดไปบ้าง ไม่โฟกัสบ้าง แต่ทุกรูปก็ดูมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง

จนกระทั่งมาถึงรูปที่ผมถ่ายไว้ตอนที่ขอเขาเป็นแฟน ผลปรากฏว่าภาพออกมาเบลอ น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในตอนที่ผมกำลังกดชัตเตอร์พอดี

มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ยกขึ้นมาให้ผมดูรูป พร้อมกับที่เจ้าตัวหันมายักคิ้วให้พร้อมพูดว่า

“ถ่ายรูปยังไง ไม่เห็นจะโฟกัสเลย”

ผมยิ้มรับ ก้มลงไปกัดไหล่ขาวๆ ที่อยู่ตรงหน้าเต็มคำแล้วจูบย้ำลงไปอีกทีโดยไม่พูดอะไร ทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว

รูปจะไม่ชัดก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะสีหน้าท่าทางของเขาในช่วงเวลานั้น ถูกบันทึกเอาไว้ในความทรงจำของผมเรียบร้อยแล้ว...



- - -

พวกเด็กๆ เข้าคอร์สฉีดวัคซีนไปได้ครึ่งทางแล้ว

คือลูกแมวจะต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีนอยู่ประมาณสองเดือน ทุกอย่างจึงจะเสร็จเรียบร้อย อาจจะยุ่งยากไปหน่อยในครั้งแรก แต่หลังจากนี้ก็แค่มากระตุ้นวัคซีนให้ตรงเวลาทุกปี เหมือนมะตูมกับเป่าเป้ย

ครั้งนี้ผมยืนยันว่ายังไงเราก็ต้องแชร์ค่าใช้จ่ายกันคนละครึ่ง อย่างที่เคยบอกว่าเลี้ยงแมวค่าใช้จ่ายเยอะ รอบนี้ถึงกับเลี้ยงแมวสี่ตัว แน่นอนว่าทุกอย่างก็ต้องคูณสี่เข้าไปทั้งหมด จะให้คุณไป๋เขารับผิดชอบคนเดียว ผมไม่ยอมแน่ๆ

วันนี้ผมกลับบ้านช้า เพราะต้องทำโอทีต่ออีกเกือบสามชั่วโมง พอขับรถกลับมาถึงบ้านก็ได้เจอกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน

ช่วงที่อยู่ตัวคนเดียว บ้านมักมืดสนิทในตอนที่ผมกลับมา แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างนั้น ห้องนั่งเล่นที่บ้านผมเปิดไฟจนสว่าง และถ้ามองเข้าไปก็จะเจอกับคนที่นั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ตรงโต๊ะทำงานตัวเก่าของคุณพ่อ

ก่อนหน้านี้เป็นผมที่มักจะไปขลุกอยู่บ้านเขาทั้งวันทั้งคืน แต่หลังจากที่เราคบหากันอย่างจริงจังแล้ว กลายเป็นว่าคุณไป๋เป็นฝ่ายชอบมาอยู่ที่นี่แทน เหตุผลของเขาคือ ‘ผมนั่งทำงานที่นี่แล้วสบายใจกว่า’ แถมยังบ่นต่อว่าบ้านตัวเองบรรยากาศเหมือนห้องตัวอย่างที่เอาไว้โชว์ ไม่มีความอบอุ่นผ่อนคลายเลยสักนิด

ผมจำได้ว่าวันแรกมีแค่คุณไป๋ที่เอาโน้ตบุ๊กกับเอกสารมานั่งทำงานอยู่บ้านผม พอสักวันสองวันผ่านไป ก็เป็นคุณไป๋กับเป่าเป้ย จนกระทั่งวันนี้ บ้านที่เคยมีแค่ผมกับมะตูม ก็มีคุณไป๋ เป่าเป้ย และลูกๆ อีกสี่ตัว มาอยู่จนครึกครื้น

ตัวผมเองน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ออกจะมีความสุขที่มีเขาอยู่ในบ้านแบบนี้

แถมยังมีเหตุผลอีกอย่างที่ผมอยากให้เขามาอยู่บ้านผม เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันแรกที่ผมต้องกลับไปทำงานหลังหยุดปีใหม่

วันนั้นผมออกไปซื้อโจ๊กกับเกี้ยมอี๋ที่ร้านเดิม ส่วนอีกฝ่ายอยู่บ้าน ชงกาแฟดื่มตามปกติ พอกลับมาเราก็คุยเล่นกัน ก่อนที่ผมจะจูบเขาแล้วอุ้มให้ขึ้นไปนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว

ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆ จะมีผู้หญิงคนหนึ่งเดิมเข้ามาในบ้านพร้อมคำพูดอันสดใส

‘พี่ไป๋ หม่าม้าผัดหมี่เตี๊ยวมาให้กินฉลองปีใหม่แน่ะ’

ด้วยความโมเดิร์นของบ้านหรืออะไรก็ตาม แม่ของเขามองเห็นสิ่งที่เราทำกันอยู่ตั้งแต่ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยซ้ำ

ผมโคตรจะทำตัวไม่ถูกเลย ใจนึกอยากจะกระโดดออกนอกหน้าต่างหนีกลับไปบ้านตัวเองไปตั้งหลักสักพักแล้วค่อยกลับมา แต่ก็ทำไม่ได้

ส่วนสิ่งที่แม่เขาพูดออกมาหลังจากเห็นลูกชายตัวเองโดนจูบน่ะเหรอ

‘ถึงว่า ทำไมพี่ไป๋ไม่ยอมไปไทเปกับหม่าม้า’

โถ่เอ๊ย...

สรุปว่าเช้าวันนั้นพวกผมได้มื้อเช้าเพิ่มมาอีกอย่างคือหมี่เตี๊ยว ซึ่งเป็นเส้นหมี่สีครีม ผัดกับเนื้อหมู เบคอน เห็ดหอม แล้วก็ผัก

วิธีการกินมีเทคนิคอันสำคัญก็คือ ห้ามกัดเส้นหมี่เด็ดขาด เส้นยาวขนาดไหนก็ต้องสูดเข้าไปให้หมด เพราะหมี่เตี๊ยวอะไรนี่เป็นอาหารมงคลแทนคำอวยพรให้อายุยืนยาว เลยต้องกินไปทั้งเส้นยาวๆ อย่าไปกัด

เอาจริงปะ แม่คุณไป๋เขาดูจริงจังกับการไม่กัดเส้นหมี่มากกว่าสิ่งที่ผมทำกับลูกชายเขาซะอีก

คือแม่เขาก็ไม่เดือดร้อน เจ้าตัวก็ไม่เดือดร้อน แต่เป็นผมนี่แหละที่เดือดร้อน เพราะหลังจากนั้นก็เอาแต่ระแวงว่าจะมีใครเดินเข้ามาตอนไหนอีก จนไม่กล้าทำอะไรไปหมด

แต่ถ้าอยู่บ้านตัวเองล่ะก็ บอกได้เลยว่าทางสะดวก



ผมจอดรถ เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับที่อีกฝ่ายลุกขึ้นมารับ สิ่งแรกที่ทำคือการเดินเข้าไปใกล้ และหอมแก้มเขาเบาๆ แทนคำทักทาย แค่นี้ชีวิตก็มีความสุขแล้ว

“กินอะไรมารึยัง”

“เรียบร้อย กินที่ออฟฟิศมาแล้ว เจ้านายเลี้ยง”

คนฟังพยักหน้ารับ ยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้ากันแล้วพูดต่อ

“ทำโอทีอีกแล้ว เหนื่อยแย่เลย ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนได้แล้ว ผมขอทำงานอีกนิด เดี๋ยวตามไป โอเค?”

“อืม...”

ผมรับคำ เอียงหน้าไปจูบลงบนฝ่ามือเขา แล้วก็ขึ้นห้องมาอาบน้ำ

ด้วยความที่ช่วงนี้งานเริ่มกลับมายุ่งอีกแล้ว ผมเลยเพลียจนหลับไปในทันที รู้สึกตัวแบบเบลอๆ อยู่ครั้งหนึ่งตอนที่มีคนปีนขึ้นมาบนเตียง แล้วซุกตัวเข้ามาในอ้อมแขน ผมกอดเขาแน่นเข้าทั้งที่ยังไม่ตื่นดี แล้วก็รับรู้ลางๆ ว่ามีคนจูบริมฝีปากกับเสียงหัวเราะ

ก่อนจะตื่นนอนอีกครั้งตอนเช้าเพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือ สิ่งแรกที่รู้สึกหลังรู้สึกตัวก็คือ หนัก... หนักเหมือนมีอะไรมาทับ พอลืมตา สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือ สีเหลือง...

ไอ้ตูมเหรอ...ไม่ใช่ว่ะ นี่ไม่ใช่ไอ้ตูม ไอ้ตูมต้องเหลืองกว่านี้หน่อย นี่มันมะยม...พอได้คำตอบก็มีอะไรบางอย่างพาดเข้ามาที่คอจนต้องหันไปมอง แล้วก็ต้องเจอกับสีเหลืองอีกครั้ง เหลืองเข้มๆ แบบนี้แหละ ไอ้ตูม!

ผมผลักแมวลงจากตัว เอาหางแมวออกจากคอแล้วลุกขึ้นนั่ง พอมองไปรอบห้องก็พบว่ามีแต่แมว แมว แมว แล้วก็แมว แถมแฟนยังหายไปอีก

คุณไป๋น่าจะตื่นนอนแล้ว เขานอนดึกตื่นเช้าเป็นนิสัยจนผมต้องถามว่าไม่เพลียบ้างรึไง และได้คำตอบว่าเคล็ดลับก็คือการแอบงีบตอนบ่ายสามโมงทุกวัน

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวพร้อมไปทำงาน ผมก็ลงไปข้างล่าง และได้กลิ่นหอมของเนยที่ลอยมา

ความลับที่ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้คือคุณไป๋ทำอาหารเป็น ในช่วงเวลาที่ผมตกใจ เขากลับตอบมาแค่

“ก็ไม่เคยบอกว่าทำไม่เป็นนี่”

“เคยดิ”

“หึ บอกแค่ไม่อยากทำ ไม่ได้บอกว่าทำไม่เป็นซะหน่อย”

เหตุผลที่เขาอธิบายตามมาก็คือตอนอยู่ตัวคนเดียวจะกินอะไรก็ซื้อเอาสะดวกกว่า เพราะไม่ต้องเก็บล้าง อีกอย่างคือเขาไม่อยากให้ห้องครัวมีคราบจากน้ำมัน แล้วก็ไม่อยากให้บ้านมีกลิ่น ถึงแม้จะติดเครื่องดูดควันไว้แล้วก็เหอะ แต่พอมาบ้านผม ซึ่งห้องครัวกับซิงก์ล้างจ้านสร้างไว้นอกบ้าน อีกฝ่ายจึงทำโน่นทำนี่ให้กินเป็นประจำ ถึงจะเป็นเมนูง่ายๆ ก็เถอะ

อย่างวันนี้ ถ้าเดาจากกลิ่นหอมของเนยก็น่าจะเป็นขนมปังชุบไข่ทอด แบบที่เราไปกินที่ร้านอาหารเช้าเมื่อวันปีใหม่

ผมเดินมาหยุดมองภาพแผนหลังของคนที่ยังใส่ชุดนอนและกำลังทำอาหาร

พอนึกย้อนไป ตั้งแต่เรียนจบและเริ่มทำงาน ผมก็ไม่เคยจินตนาการถึงภาพตัวเองตอนมีแฟน ไม่เห็นภาพอนาคตของผมร่วมกับใครสักคน ไม่เคยคาดหวังถึงการแต่งงานหรือใช้ชีวิตคู่ของตัวเองเลยสักครั้ง ก็แค่ใช้ชีวิตของตัวเองไปในแบบที่เป็น

แต่พอเจอเขาทุกอย่างมันเกิดขึ้นง่ายมาก มันเหมือนมีเคมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้เราต้องใกล้กัน ให้ผมพยายามใกล้เขา ให้เขาเองก็เข้าใกล้ผมมากขึ้นทีละนิด มันเริ่มจากความสบายใจ และความสนุกเล็กๆ รู้อีกที มันก็กลายเป็นความรู้สึกอันแสนพิเศษ

เราเพิ่งรู้จักกันได้ประมาณสี่เดือน ถ้ามีเพื่อนสักคนมาบอกว่าตกหลุมรักคนที่รู้จักกันในช่วงเวลาแค่นั้นแบบถอนตัวไม่ขึ้น ผมคงบอกว่ามันกำลังหลง กำลังหน้ามืดตามัว ลองให้เวลาผ่านไปสักปีหนึ่งเถอะ เดี๋ยวได้รู้แน่ว่าอะไรเป็นอะไร

เพราะฉะนั้นผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วเรื่องระหว่างเราจะเป็นแบบนั้นไหม

ผมไม่เคยกังวลที่จะต้องเลิกรากับใคร การคบหาที่ผ่านมาอยู่บนเงื่อนไขง่ายๆ ว่าถ้ายังรู้สึกดีต่อกันก็อยู่ ถ้าไม่แล้วก็แค่เลิก ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง และเขาคือคนที่ทำให้ผมไม่อยากใช้เงื่อนไขนั้น ผมอยากให้เขาอยู่ อยากให้อยู่ไปอีกนานเลย...ไม่อยากลับไปใช้ชีวิตแบบที่ไม่มีเขาอีกแล้ว

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้สึกกับใครอย่างลึกซึ้งในเวลาอันรวดเร็วแบบนี้ ไม่เคยให้คนที่คบหาย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้าน ใช้ชีวิตร่วมกัน แชร์ห้องนอน แชร์ห้องน้ำ เข้านอนด้วยกันและตื่นขึ้นมาเจอหน้ากันในทุกเช้า

แต่ความจริงที่ต้องยอมรับก็คืออนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ผมอาจจะเบื่อเขาในสักวันหนึ่ง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเขาที่ไม่อยากมองหน้าผมขึ้นมาซะอย่างนั้น

ถ้าเกิดวันนั้นมาถึง ผมจะรับมือกับมันยังไง

แล้วความคิดทั้งหมดก็ถูกหยุดไว้ด้วยใบหน้าที่หันมาหากันพร้อมรอยยิ้มและคำถาม

“ผมทำขนมปังชุบไข่แหละ คุณจะราดซอสพริกหรือว่าน้ำผึ้งดี”

ผมยิ้มรับคำถามนั้น แล้วตอบกลับไป

“น้ำผึ้งแล้วกัน”

ความสดใสและท่าทางสบายๆ ของเขาทำให้ผมเข้าใจอะไรบางอย่าง เข้าใจว่ามันจะมีประโยชน์อะไรจากการจินตนาการถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นล่ะ

...ตอนนี้ผมมีความสุขที่มีเขา และมันคือเรื่องจริง


- END -



มีบทส่งท้ายต่ออีกนิดหน่อยนะคะ 

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
- EPILOGUE -

2 ปีผ่านไป



ผมจำได้ ไอ้ข้าวเพื่อนสนิทที่รู้จักผมดีที่สุดเคยบอกว่าผมเป็นคนไว ในความหมายที่ว่าเปลี่ยนความรู้สึกได้ไว บทจะชอบก็ชอบ พอถึงเวลาอยากเลิกชอบก็เลิกไปซะอย่างนั้น

แต่สองปีที่ผ่านมานี่ ความรู้สึกที่ผมมีกับเขาไม่เคยเปลี่ยนเลย

จริงที่ว่าความรู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่มันอาจจะน้อยลง สิ่งที่คงเหลืออยู่ระหว่างเราตอนนี้คือความอบอุ่นและคุ้นเคย ถึงอย่างไรก็ตาม ทุกวันผมก็ยังลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกอยากเห็นหน้าเขา

วันนี้ก็เช่นกัน...

ผมตื่นนอน ลุกขึ้นนั่ง หันไปเห็นคนข้างๆ ซึ่งยังหลับอยู่ แล้วในใจก็เกิดคำถามที่ทำให้หลุดยิ้มออกมาซะเอง

อายุสามสิบแล้วยังหน้าตาแบบนี้ได้ไงเนี่ย

ระหว่างนั้นก็เอื้อมมือไปดึงผ้าที่ห่มกองอยู่ตรงช่วงเอวเขาให้เลื่อนขึ้นมาที่อก ก้มลงไปจูบบนแก้มแล้วพูดต่อ

“ตื่นได้แล้วที่รัก”

วันเวลาทำให้คำถามทั้งหมดที่ผมเคยมีหายไป ความรู้สึกขุ่นมัวที่เคยเกิดขึ้นในใจกลายเป็นความชัดเจนในช่วงเวลาไหนไม่รู้

ในระหว่างการคบหากันของเราสองคน ผมก็เลิกคิดไปแล้วว่าสักวันเขาอาจจะหมดรักผม หรือผมอาจจะไม่รักเขา

ผมลืมความลังเล ละทิ้งความกังวลที่ว่าสักวันเราอาจจะต้องเลิกกัน และเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ปล่อยตัวเองให้จมไปกับความสุขอของการได้รัก และถูกรัก

คุณไป๋ตื่นแล้ว เขาพลิกตัวกลับมา แล้วขยับขึ้นมานอนอยู่บนตักผมในสภาพงัวเงีย ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ และดูเหมือนอยากหลับต่อมากกว่าลุกไปไหน

ผมแทรกนิ้วมือเข้าไปในเส้นผมของเขา ลูบไปมาเบาๆ แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งในตอนที่เรากำลังศึกษาดูใจกัน ในคืนที่เขาเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ให้ผมฟัง ตอนนั้นเขาดูเปราะบางมาก แตกต่างจากปกติที่ดูจะมีความร้ายกาจน่าตีอยู่สักหน่อย

สิ่งที่ผมคิดในคืนนั้นก็คือ สักวันหนึ่งจะพาเขาไปอยู่ในบ้านที่มีความอบอุ่น อยู่ในสถานที่ที่จะสามารถวางใจได้ว่ามันเป็นบ้านของเขาจริงๆ และวันนี้ผมทำสำเร็จ

คุณไป๋ย้ายมาอยู่ที่บ้านผมแบบเต็มตัวในช่วงที่เราคบกันไปได้ประมาณครึ่งปี และตัดสินใจปล่อยบ้านตัวเองให้คนมาเช่าอยู่ในราคาที่ไม่แพง พอดีกับช่วงนั้นบริษัทที่ผมทำงานอยู่มีงานเยอะขึ้นจนต้องรับพนักงานเพิ่มสองคน และน้องสองคนนั้นก็ตัดสินใจเช่าบ้านคุณไป๋ในราคาพอๆ กับเช่าหอพัก

ย้ายเข้ามาได้ไม่นานเราก็จัดการกั้นฝั่งหนึ่งของห้องนั่งเล่นให้เป็นห้องนอนแมว ช่วงกลางวันพวกเหมียวจะยังได้ออกมาเล่นเหมือนเดิม แต่พอกลางคืนปุ๊บทุกตัวจะต้องเข้าไปนอนในห้อง...ซึ่งก็ไม่ค่อยสำเร็จหรอก

ผมต้องแบ่งชั้นวางของชั้นหนึ่งให้เขาใช้วางหนังสือ ส่วนเขาก็ซื้อเครื่องครัวใหม่ๆ ทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่เข้ามาเต็มไปหมด จนล่าสุดบ้านผมมีเตาอบขนมเรียบร้อยแล้ว

ความเป็นเขาค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในบ้านผมทีละนิดๆ แม้กระทั่งตอนนี้ บนเตียงที่เรากำลังนอนอยู่ ทั้งผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนและผ้าห่มก็เป็นลายที่เขาเลือกเองทั้งหมด

“ขอตื่นสายวันนึงนะ”

ผมยิ้มกับสิ่งที่ได้ยิน ลูบผมเขาเบาๆ แล้วตอบ

“แก่ตัวแล้วก็จะเริ่มขี้เกียจแบบนี้แหละเนอะ”

คำตอบคือฝ่ามือที่ทุบลงบนต้นขากัน ผมจับมือเขา ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบผิวนุ่มไปมาเบาๆ แล้วไปสะดุดกับแหวนสีเงินวงเล็กที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย

ผมสวมแหวนวงนี้ให้คุณไป๋ไปเมื่อวานเป็นของขวัญวันเกิด

เราไปดินเนอร์ด้วยกันที่ร้านอาหาร พอถึงช่วงเวลาที่เหมาะ ผมก็หยิบแหวนขึ้นมายื่นให้ ก่อนจะได้คำถามกลับมา

“นี่คืออะไร ของขวัญวันเกิดเฉยๆ หรือว่าขอแต่งงานด้วย”

คำถามนั้นทำเอาผมไปต่อไม่ถูก จนต้องค่อยๆ อธิบาย

“คือผมก็ไม่รู้ว่าเวลาผู้ชายคบกันเค้าต้องแต่งงานหรือว่ายังไงมั้ยอะนะ แต่...ผมอยากให้ของที่มีค่ากับคุณเป็นของขวัญวันเกิด แล้วก็...อยากให้คุณใส่แหวนที่ผมให้”

คนฟังยิ้มรับเขินๆ พร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างมาให้กัน

“งั้นก็เอามาดิ จะใส่นิ้วไหน เลือกเลย”

และผมตัดสินใจสวมมันบนนิ้วนางข้างซ้าย พอคนตรงหน้าดึงมือกลับไป พิจารณาแหวนที่อยู่บนนิ้ว ผมก็พูดต่อ

“โทษทีนะ ไม่มีเซอร์ไพรส์อะไรใหญ่โตหรอก คือผมไม่แน่ใจว่าคุณจะชอบอะไรที่เล่นใหญ่ แล้วก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนเยอะๆ รึเปล่า”

คนฟังยิ้มรับ ละสายตาจากแหวนที่อยู่บนนิ้วมือมาสบตาผมแล้วตอบกลับ

“ผมไม่ชอบเซอร์ไพรส์...”

“รู้ใจปะล่ะ”

“แต่ก็มีเซอร์ไพรส์อยู่ครั้งนึงในชีวิตนะ ที่ผมชอบเอามากๆ”

“...”

“ก็คือตอนพาแมวไปหาหมอ แล้วหมอบอกว่าเป้ยท้อง”

พูดจบเขาก็เลื่อนมือมากุมมือผมเอาไว้ พร้อมกับยิ้มเขินๆ

“เพราะมันทำให้เราได้รู้จักกัน”



- END -



talk .

จบไปแล้วนะคะ สำหรับเรื่องรักฟูนุ่ม : )

อยางแรกที่ต้องบอกเลยคือ หนังสือวางขายเรียบร้อยแล้วนะคะ ตอนนี้น่าจะเริ่มวางที่ร้านหนังสือแล้ว

สำหรับคนที่สะดวกสั่งซื้อออนไลน์ ตามลิ้งนี้ไปเลยค่ะ

ในเล่มจะมีตอนพิเศษ​ 2 ตอนด้วยกัน (จำนวนน้อย แต่ตอนนึงก็ยาวอยู่น้า)

ตอนแรก จะเป็นเรื่องเล่าจากฝั่งของคุณไป๋ค่ะ (เชื่อว่าหลายคนรอคอยตอนนี้แน่ๆ)

ตอนที่สอง จะเป็นเรื่องราวของทั้ง 2 คน พาพวกเหมียวไปออกทริป เที่ยวบ้านสวนของพ่อแม่นายชุนด้วยกันค่ะ



นอกจากเรื่องรัก #รักแมวข้างบ้าน แล้ว ตอนนี้ทาง EverY มีโปรโมชั่นลดราคาหนังสืออยู่

ทั้ง #ยิ้มหวานของหมอ กับ #เราจะจีบเฮีย ร่วมโปรอยู่นะคะ

#ยิ้มหวานของหมอ (ราคา 200 บาท) :

#เราจะจีบเฮีย (ราคา 175 บาท)  :

ใครเล็งอยู่ เป็นโอกาสดีที่จะไปซื้อกันน้า

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดค่ะ

ไว้โอกาสหน้ามาเจอกันอีกนะคะ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่ารักมาก..กกกกกกก แอบทวง #เรื่องสั้นคนแปลกหน้า เลยงานบอลประเพณีมาพักใหญ่แล้วนะ พี่รออยู่  :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
น่ารักสุดๆ ชอบมากเลย

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
ขอบคุณคนแต่งค่า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ tonpaicat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เรื่องนี้ถูกใจทาสแมวอย่างเรามาก
ที่ชอบอีกอย่างคือซีนมีอะไรกัน ดูอิงตามหลักความจริงดี

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด