พิมพ์หน้านี้ - 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: kipuuu ที่ 07-12-2019 20:27:05

หัวข้อ: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 07-12-2019 20:27:05
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



**********************************************
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [INTRO - 071262]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 07-12-2019 20:27:45
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect%20fall%20intro.jpg)
- One day, someone will walk into your life and make you realize why it never worked out with anyone else -

นิยายอัปเดตทุกวันเสาร์ เวลา 3 ทุ่มไม่ตรง
ทักทายกันได้ที่แฮชแท็ก #รักแมวข้างบ้าน นะคะ

- สารบัญ -
ll   INTRO    (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71262.msg4016647#msg4016647) ll    01  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71262.msg4017605#msg4017605)  ll   02  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71262.msg4018126#msg4018126)  ll   03   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71262.msg4020314#msg4020314)  ll
ll     04   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71262.msg4021506#msg4021506) ll    05   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71262.msg4022255#msg4022255) ll    06   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71262.msg4023122#msg4023122) ll    07   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71262.msg4023977#msg4023977) ll    08   (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71262.msg4024826#msg4024826) ll

หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [INTRO - 071262]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 07-12-2019 20:32:45
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect%20fall%20intro.jpg)

- INTRO -


   คนเราอาจจะมีเหตุผลเป็นร้อยข้อที่จะเลี้ยงสัตว์สักตัว แต่เชื่อเถอะว่าไม่น่าจะมีใครมาใช้เหตุผลแบบเดียวกับผม
   ในคืนนั้น พวกผมดื่มฉลองที่สามารถเรียนจบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมเมา...คือส่วนตัวผมว่าพวกเราก็ไม่ได้เมามากเท่าไหร่ แต่ก็ยังเมาพอที่จะเอาแมวตัวนึงจากร้านเหล้าใส่กระเป๋ากลับมาที่บ้าน
   ใช่ -- ย้ำอีกครั้ง ผมเมาและเอาแมวจากร้านเหล้าใส่กระเป๋ากลับบ้าน
   มันเป็นแมวสีส้มซึ่งอยู่ที่นั่นเป็นประจำ และชื่อของมันที่ผมเองก็ไม่เคยรู้ว่าใครตั้งให้ คือ ‘มะตูม’
   แน่นอนเลยว่า วันต่อมาบ้านผมซึ่งเป็นที่รวมตัวของพวกเรา 5 คนจะทั้งวุ่นวายทั้งโกลาหล เพราะใครสักคนแม่งตื่นขึ้นมา แล้วพบว่ามีแมวตัวนึงอยู่ในห้องนอน
   เอาเป็นว่าเช้าวันนั้น ผมถูกปลุกด้วยคำพูดพวกนี้

   ‘เชี่ย...ไอ้ตูม!’
   ‘เหี้ยชุน ทำไมมะตูมมันมาอยู่บ้านมึง!’
   ‘สัดเอ๊ย! พวกมึงเอาแมวร้านเหล้ากลับบ้านมาทำไม’
   ‘โดนพรบ.คุ้มครองสัตว์เล่นแน่มึง!’

   และ

   ‘เมี๊ยว...’
   จากมะตูม

   ผมลุกขึ้น มองไอ้ธีร์ ไอ้บาส ไอ้ไอซ์ แล้วก็ไอ้ข้าว เหล่าเพื่อนตัวเองในสภาพบ๊อกเซอร์คนละตัว ที่ยืนอย่างน่าทุเรศอยู่คนละมุม แล้วเลื่อนสายตาไปยังแมวสีเหลืองซึ่งนั่งตัวตรงอยู่กลางห้อง พร้อมโบกหางไปมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   แมวยังดูสติดีกว่าพวกมึงอีก นี่กูพูดตรงๆ
   หลังลุกจากที่นอน อาบน้ำสระผม ทำสภาพตัวเองให้กลับมาดูได้ และประชุมเรียกสติไปหนึ่งยก ภาพทุกอย่างก็ค่อยๆ ย้อนกลับมา
   โคตรน่าขายหน้าเลยตอนนึกขึ้นได้ว่า ผมคือคนที่อุ้มไอ้มะตูมใส่กระเป๋ามาด้วยมือทั้ง 2 ข้าง เพราะพี่เต้ เจ้าของร้านเหล้าแกดันยกแมวให้เป็นของขวัญรับปริญญา
   ไม่ต้องบอกก็รู้ พี่เต้แม่งก็เมาพอกัน
   เที่ยงวันนั้น ทุกอย่างก็จบลงที่พวกผมก็จับมะตูมใส่ตะกร้า หิ้วขึ้นรถ แล้วพากลับไปยังร้านเหล้าประจำของกลุ่ม เพื่อจะได้คำตอบว่า
   “กูยกมันให้พวกมึงเป็นของขวัญรับปริญญาแล้ว ไม่รับคืนโว้ย”
   แล้วพี่เต้ก็เปิดคลิปวีดีโอเหตุการณ์เมื่อคืนให้ดู ในจอโทรศัพท์ปรากฎภาพการส่งมอบไอ้มะตูมให้พวกผมบนเวที พร้อมประโยคอวยพรเมาอ้อแอ้ที่ว่า
   “แมวคือสัตว์มงคล ยิ่งแมวสามสีก็ยิ่งมงคลเข้าไปใหญ่ วันนี้กูให้แมวตัวนี้กับมึง มันสีหนึ่งสี ส่วนสีที่
สองกับสาม ประสบการณ์ ความตั้งมั่น ความไม่ย่อท้อ จะเอามันมาให้พวกมึงเอง!”
   สิ่งเดียวที่ผมจับใจความได้จากคลิปนั้น คือมะตูมมีหนึ่งสี และผมก็คือคนที่รับมันไว้ด้วยความเต็มใจ เห็นเต็มตาเลยว่าผมหอมแก้มไอ้มะตูมเข้าไปฟอดใหญ่กลางเวทีด้วยซ้ำ
   นอกจากนี้ยังมีรูปถ่ายจากกล้องหน้า เป็นภาพของพวกผม เจ้าของร้านเหล้า และไอ้มะตูม ในรูปนั้น มนุษย์ทุกคนดูหน้าตาสดใสแถมเมาแอ๋ เหลือก็แต่แมวตัวเดียวที่ยังติดจะงงๆ แต่พอมาเช้าวันนี้ มนุษย์ทุกคนงงตาแตก ส่วนไอ้มะตูม มันดูเหมือนจะยอมรับกับชะตาชีวิตของตัวเองได้เรียบร้อยแล้ว
   มึงก็เก่งเหมือนกันเนอะ...
   ผมแม่งโคตรเกลียดที่ตัวเองเป็นคนใจอ่อนเลย...
    แต่พอพี่เต้แกบอกว่า พ่อแม่พี่น้องไอ้มะตูมโดนรถทับตายหมดแล้ว ถ้าผมไม่รับมันไป สุดท้ายก็คงจะมีจุดจบอย่างเดียวกัน เรื่องทุกอย่างเลยจบลงที่ผมยอมอุ้มมันกลับบ้านมาจนได้
   นั่นเป็นครั้งแรกที่แมวตัวนึงเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล
   หลังจากนั้นผมต้องเริ่มเรียนรู้การเลี้ยงแมว ต้องเอามันไปหาหมอ เริ่มทำวัคซีน หัดเลือกซื้ออาหารแมว และอะไรอื่นๆอีกมากมาย หลายเดือนอยู่เหมือนกัน กว่าจะชินกับการที่บ้านมีสัตว์เลี้ยง

   แต่ใครจะไปรู้ ว่านั่นจะไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งเดียวที่ไอ้แมวมะตูมมันเปลี่ยนแปลงชีวิตผม
   การเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ผมเองเพิ่งกลับมาจากออฟฟิศเพราะทำโอทีลากยาว หลังจากเอารถเข้าบ้านเรียบร้อย เสียงกริ่งที่ดังขึ้นรัวๆก็ทำให้ต้องเดินไปเปิดประตู
   มีคนๆนึงยืนอยู่ตรงนั้น ผมจำเขาได้ อีกฝ่ายคือคนที่อยู่บ้านหลังถัดไปทางขวามือ ถ้าไม่ได้คิดไปเอง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แล้วสิ่งแรกที่เจ้าตัวพูดออกมาน่ะเหรอ
   “แมวคุณทำแมวผมท้อง”
   ฮะ?
   ท้อง?
   ไอ้ตูมทำแมวท้อง!
   ผมนิ่ง เหวอไปเลย แต่ในใจกลับส่งเสียงตะโกนดังลั่น
   มึงอีกแล้วเหรอไอ้ตูม!

- to be continued -


talk.

สวัสดีค่ะ กลับมาเจอกันกับนิยายเรื่องใหม่ ซึ่งก็มีแมวอีกแล้ว...
บอกก่อนว่า เราจะลงให้อ่านทุกวันเสาร์ 3 ทุ่มไม่ค่อยตรงนะคะ เร็วบ้างช้าบ้างเนอะ
ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ

kipuu
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [INTRO - 071262]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 08-12-2019 07:27:45
งูยยยยย มะตูมมาแย้วววว โดนตกตั้งแต่เห็นคุณนข.แปะรูปพี่ตูมในทวิต ขอทางให้ทาสแมวด้วยค่าาา
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [INTRO - 071262]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-12-2019 21:04:58
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [INTRO - 071262]
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 09-12-2019 20:11:12
 :mew2:     :mew1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [INTRO - 071262]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 14-12-2019 20:39:03
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect%20fall%2001.jpg)

- 01 -
   
   “ตูม… นี่กูเปิดใจกับมึงแบบลูกผู้ชายด้วยกันเลยนะ แมวผู้หญิงบ้านข้างๆอะ เค้าท้องกับมึงจริงๆใช่มั้ย?”

   ขณะนี้เวลา 3 ทุ่มครึ่ง ผมนั่งอยู่บนพื้นหน้าถ้วยอาหารเม็ด และกำลังเปิดใจกับแมวที่เลี้ยงมาได้ 2 ปีกว่าอย่างจริงจัง

   ผมน่ะเปิดใจ ส่วนไอ้ตูม กำลังเปิดปาก ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวแบบไม่สนใจผมสักนิด คือมึงไม่ได้ช่วยอะไรเลย หน้าก็เหลือง แดกก็เยอะ อาหารก็แพง แล้วยังจะไปทำหญิงท้องให้พ่อมันต้องมาโดนเค้าด่าอีก!

   เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ผมเพิ่งผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมา หลังจากคุณคนข้างบ้านเขาบอกว่า ลูกชายผมไปทำลูกสาวเค้าท้องเป็นที่เรียบร้อย คำอธิบายรายละเอียดก็ตามมา

   อีกฝ่ายเลี้ยงแมวเอาไว้ในบ้านและตั้งใจจะให้แมวไปผสมพันธุ์กับพ่อพันธุ์ชั้นดีที่จองตัวเอาไว้ แต่วันนี้ ตอนที่เขาเอาเจ้าแมวไปตรวจร่างกาย ก็พบว่ามันตั้งท้องได้เดือนกว่าๆแล้ว

   พอมาย้อนกล้องวงจรปิด สิ่งที่เห็นก็คือ ไอ้มะตูมชายไทย แมวหนุ่มที่ผมเลี้ยงไว้ มันแอบเข้าไปปล้ำลูกสาวเขาถึงในบ้าน อีกฝ่ายถึงกับอัดคลิปเหตุการณ์ที่ไปย้อนดูเอาไว้เป็นหลักฐาน และเปิดให้ผมดูด้วยซ้ำ!

   นั่นทำให้ผมได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ดูหนังโป๊แมวเป็นครั้งแรกในชีวิต

   หลักฐานมัดตัวทำเอารู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย เลยออกตัวไปว่าผมยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อแสดงความรับผิดชอบ แล้วคำตอบที่ได้กลับมาน่ะเหรอ

   ‘ก็แค่อยากให้คุณรู้ไว้ ต่อไปนี้จะได้เลี้ยงแมวอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น’

   หน้าชาไปเลยพูดตรงๆ

   “ลูกสาวบ้านเค้าสวยมากเหรอวะ กูถามจริง”

   “เมี๊ยว…”

   “ทีอย่างนี้ละทำเป็นตอบ กินข้าวไปเลย กูฟ้องลุงมึงก่อน”

   หลังจากที่ผมอุ้มไอ้ตูมกลับบ้านเป็นครั้งที่ 2 ตลกดีที่พวกเพื่อนๆ มันตกลงกันว่าจะรับเป็นลุงไอ้แมวส้มตัวนี้ โดยที่ผมเป็นพ่อ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือไลน์กลุ่มที่เราเคยใช้คุยเรื่องไร้สาระทั่วๆ ไปตลอดระยะเวลา 5 ปีที่เรียนด้วยกันมา ก็ถูกผมเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ลุงไอ้ตูม’ พร้อมเปลี่ยนรูปดิสเพล์ยเป็นหน้าเหลืองๆของมัน

   ผมเปิดเข้าไปในไลน์กลุ่ม และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นลงไปแบบคร่าวๆ

   ‘พวกมึง ไอ้ตูมแม่งทำสาวท้อง’
   ‘พ่อเค้ามาเอาเรื่องกูถึงบ้านเลยว่ะ’


   พิมพ์ทิ้งไว้ แล้วก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า มาจับโทรศัพท์อีกทีก็ตอนจะเข้านอน แล้วก็ได้นั่งขำกับข้อความที่พวกมันตอบกลับมา

   ‘เอาจริง?’
   ‘แล้วต้องทำไงวะ? ยกขันหมากแมว?’
   ‘เชี่ยตูมแม่งของจริงเลยว่ะ’
   ‘พ่อมันนี่นั่งไข่แห้งอยู่หน้าคอม มึงดันไปทำสาวท้องเฉย’
   ‘5555’
   ‘เมียไอ้ตูมสวยปะ’
   ‘เออ สีอะไรวะ?’


   อ่านทั้งหมดแล้ว ผมก็พิมพ์ข้อความตอบกลับไป

   ‘เมียมันหน้าตายังไง กูยังไม่รู้เลย’

   นั่นสิ… ผมไม่เคยเห็นแมวตัวอื่นแถวนี้เลยจริงๆ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะกลางวันผมก็ไปทำงาน กลับมาช่วงเย็น หรือไม่ก็มืดค่ำตลอด ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลย คงไม่แปลกหรอกมั้งที่จะไม่เคยเห็น

   พอคิดได้อย่างนั้นผมก็ขยับตัวไปแง้มผ้าม่าน แล้วมองไปยังบ้านทางฝั่งขวามือ เผื่อจะเจอแมวสักตัว สิ่งที่ได้เห็นกลับไม่ใช่แมว แต่เป็นคนที่เคยมายืนอยู่หน้าบ้านผมก่อนหน้านี้ 

   เขายังอยู่ที่ชั้น 1 นั่งหันข้างให้หน้าต่าง ตรงหน้าเป็นคอมพิวเตอร์ สิ่งที่แปลกไปคือเขาสวมแว่นสายตา ดูจากสีหน้าท่าทางก็เหมือนจะกำลังทำงานมากกว่าเล่น

   ผมอยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เกิด รู้ว่าบ้านฝั่งซ้ายเป็นสามีภรรยาที่รับราชการทั้งคู่ และมีลูกที่กำลังเรียนอนุบาลอยู่หนึ่งคน ทั้งสองคนจะส่งลูกไปโรงเรียน แล้วเลยไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนจะกลับมาช่วงเย็น

   ส่วนคนที่เข้ามาทักกันวันนี้ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณปีกว่าๆ หลังจากบ้านถูกรีโนเวตครั้งใหญ่  ผมเคยเห็นเขามาก่อน แต่ก็ไม่เคยทักอะไรหรอก ทุกทีที่เจอกัน เขาเองก็จดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ส่วนผมก็จดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็ไม่มีสถานการณ์อะไรที่ชักนำเราสองคนให้ได้ทำความรู้จักกัน

   ความทรงจำเลือนลางของผมบอกว่าคุณลุงที่เคยอยู่บ้านหลังนี้ตัวคนเดียวป่วย แล้วก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นบ้านก็ถูกปิดไว้ไม่มีคนอยู่ นานๆทีถึงจะมีคนเข้ามาทำความสะอาดสักครั้ง

   ตอนที่บ้านถูกปรับปรุง ผมเองก็ยังแปลกใจอยู่ไม่น้อย หมู่บ้านนี้อยู่ในตัวเมือง และไม่ได้ห่างจากสถานีรถไฟฟ้ามากสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นหมู่บ้านเก่า คิดดูแล้วกันว่าพ่อกับแม่ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แต่งงานใหม่ๆ จนตอนนี้ผมอายุ 26 ปีเข้าไปแล้ว

   คนที่อยู่ส่วนมากก็มีแต่หน้าเดิมๆ คนในไม่ย้ายออก คนนอกไม่ย้ายเข้า แต่ก็ไม่แปลก เพราะถ้าใครมีความคิดว่าจะซื้อบ้านอยู่เองสักหลัง ก็น่าจะไปซื้อหมู่บ้านโครงการใหม่ๆ หรือคอนโดที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดไว้สักห้องน่าจะดีกว่า

   ประเด็นคือ ตอนนี้บ้านหลังข้างๆ ดูยังไงก็ยังไม่เห็นว่าจะมีแมวสักตัว

   พอดีกับที่มะตูมมันเดินเข้ามาใกล้แล้วกระโดดขึ้นบนเตียง ผมมองไอ้แมวเหลืองที่ทั้งโตและอ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายในเวลาไม่นาน แล้วพูดต่อ

   “ตูม เมียมึงสวยปะ สีอะไร ขนสั้นหรือว่าขนฟูฮึ”

   ไอ้ตัวแสบหันมามองหน้า ร้องเมี๊ยวเบาๆ ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงใกล้ข้อเท้าผมแล้วส่งเสียงเปอร์ดังครืดคราด

   ... ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

,

   วันต่อมาผมตื่นนอนแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวพร้อมไปทำงาน แล้วก็ตัดสินใจนั่งรอคนข้างบ้านเพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง เพราะมีอะไรอีกหลายอย่างที่ยังค้างคาใจ

   เมื่อคืนนี้ผมทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก มีบางช่วงที่แอบคิดขึ้นมาเหมือนกันว่าหรือเขาจะเป็นมิจฉาชีพ เพราะมองไปที่บ้านก็ไม่เห็นจะมีแมวสักตัว แต่มิจฉาชีพอะไรวะ เงินก็ไม่เอาอะไรก็ไม่เอา บอกแค่ว่าให้ผมตั้งใจเลี้ยงแมวหน่อย

   แต่ถ้ามะตูมมันไปทำแมวเค้าท้องจริงๆ บอกตามตรงเลยว่ารู้สึกผิดเป็นบ้า

   ลองสมมติให้ไอ้ตูมไม่ใช่แมวไทยที่ผมเก็บมาเลี้ยง แถมยังเก็บมาแบบไม่ตั้งใจซะด้วย แต่เป็นสายพันธุ์ดีราคาแพง ผมเลี้ยงมันมาแบบประคบประหงมทุกอย่าง จนกระทั่งวันนึงก็ได้รับรู้ความจริงที่ว่า แมวของผมโดนพรากความบริสุทธิ์ไปจากไอ้หนุ่มหน้าตาบ้านๆที่เจ้าของเลี้ยงแบบลูกทุ่งสุดๆ ผมเองก็คงโมโหอยู่ไม่น้อย

   รออยู่ไม่นาน ประตูบ้านข้างๆก็เปิดออก พร้อมกับคนที่อยู่ด้านในเดินออกมา สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการหันมามองหน้าผมเหมือนกัน แถมยังไม่ยอมทักทายอะไรสักคำด้วยซ้ำ

   เราเจอกันที่หน้าประตูรั้ว ระหว่างนั้นผมก็พยายามทำท่าทางสบายๆ และเป็นมิตรสุดๆ ก่อนจะถามออกไป

   “เรามาคุยเรื่องเมื่อวานต่อกันดีมั้ย?”

   คนฟังเหลือบมามองผมด้วยหางตา แล้วตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งสนิท

   “ผมพูดสิ่งที่อยากพูดออกไปหมดแล้ว”

   “แต่ผมยัง”

   “...”

   พอคำตอบคือความเงียบ ผมก็ใช้โอกาสตรงนี้พูดต่อ

   “เรื่องแมวอะ ผมรู้สึกผิดจริงๆนะคุณ”

   “ช่างเหอะ”

   “ผมช่วยคุณดูแลแมวได้มั้ย เลี้ยงแมวหลายตัวใช้เงินเยอะนะ เราแชร์ค่าใช้จ่ายกันก็ได้”

   “ผมเลี้ยงไหว ไม่ได้อยากได้เงิน”    

   “งั้น พอลูกแมวคลอด คุณก็แบ่งมาให้ผมเลี้ยงครึ่งนึง หรือไม่ก็สักตัวสองตัวก็ได้ ดีมั้ย?”

   “ผมจะแน่ใจได้ไงว่าคุณจะไม่เอาลูกแมวไปขาย”

   “เฮ้ย... มากไปคุณ”

   “ไม่รู้แหละ ผมไม่ไว้ใจคุณหรอก”

   “ถามจริง? ผมหน้าโจรรึไง?”

   คนฟังไม่ตอบอะไร แต่มองมาทางนี้ด้วยสายตาเย็นชาจนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ กลับไป สุดท้ายก็ได้แต่เดินกับเขาไปเงียบๆ จนมาหยุดลงที่หน้าร้านขายอาหารเช้าในหมู่บ้าน

   จำได้ว่าช่วงเรียนม.ปลาย ที่พ่อกับแม่ผมยังไม่ย้ายไปอยู่บ้านสวนที่ต่างจังหวัด ผมได้กินมื้อเช้าจากร้านนี้อยู่บ้าง แต่พอขึ้นมหาลัย ไปจนถึงวัยทำงานก็ไม่ได้กินอีกเลย

   ตอนเรียนมหาลัย ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีเวลากินมื้อเช้า หรือวันไหนมีเวลา ก็เป็นผมเองที่นอนไม่ตื่น พอมาทำงาน ก็อยากรีบไปให้ถึงออฟฟิศก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรกินแถวนั้นมากกว่า

   ผมมองสำรวจในร้านและก็พบว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ร้านตั้งขึ้นง่ายๆด้วยการเปลี่ยนบริเวณที่จอดรถหน้าบ้านมาเป็นร้านอาหาร โต๊ะและเตาสำหรับทำโจ๊กอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านในมีอีกมุมสำหรับนวดแป้งและทอดปาท่องโก๋กับซาละเปา

   พื้นที่สำหรับลูกค้าก็ยังไม่ถูกเปลี่ยน มุมหนึ่งมีโต๊ะไม้ ส่วนอีกมุมเป็นเก้าอี้ม้าหิน ไม่ต่างจากตอนที่ผมเป็นเด็ก แม้กระทั่งตู้กระจกที่วางไข่ ตับ หมูสับ และผักโรย ไปจนถึงกระป๋องสแตนเลสที่ถูกใช้เป็นตัวช่วยเวลาตักโจ๊กใส่ถุงก็ยังเหมืนเดิม ...โคตรคลาสสิค

   สิ่งที่เปลี่ยนไปคือคนขาย จากเดิมที่เป็นคุณยายคนคนนึง จนร้านถูกเรียกว่า ‘ร้านโจ๊กอาม่า’ ไปโดยปริยาย ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นรุ่นลูกสาว

   ผมยืนอ่านเมนูที่เขียนไว้ด้วยลายมือบรรจง และแปะไว้หน้าตู้ พร้อมกับที่ได้ยินคำถามดังขึ้น

   “หวัดดีค่ะน้องไป๋ เหมือนเดิมใช่มั้ย?”

   ตอนนั้นเองที่สีหน้าบูดบึ้งของคนที่เดินมาพร้อมกับผม เปลี่ยนไปมีรอยยิ้มบางๆ ตามมาด้วยคำพูด

   “ครับพี่เปรี้ยว”

   “เกี้ยมอี๋น้ำใสไม่ใส่ผักเนอะ แล้วน้องอีกคนล่ะคะ”

   “โจ๊กหมูพิเศษ ใส่ไข่ 2 ฟองครับ”

   หันมาอีกทีคนที่เคยยืนอยู่ตรงนี้ก็เดินไปนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผมตามไป นั่งลงตรงข้าม ยื่นมือไปให้แล้วพูดต่อ

   “คุณชื่อไป๋ใช่ปะ? ผมชุน ยินดีที่ได้รู้จัก”

   สิ่งที่ได้กลับมาแทนคำตอบก็คือ ความเงียบ... คุณไป๋ข้างบ้านเค้าเงียบสนิท จนผมต้องค่อยๆ ลดมือตัวเองกลับมา แล้วพูดต่อ

   “ทำความรู้จักกันหน่อยสิ เราเป็นเพื่อนบ้านกันนะ แถมลูกเรายังเป็นแฟนกันด้วย”

   “เป็นแฟน?”

   “อือฮึ มีลูกด้วยกัน ไม่ให้เป็นแฟน จะให้เป็นอะไรล่ะ สามีภรรยามั้ย?”

   “คุณคิดจริงๆ รึไง ว่าแมวที่ผสมพันธุ์กันจะต้องเป็นแฟนกัน”

   ผมเงียบไปสักพัก ยกมือขึ้นกอดอก มองสบตากับคนตรงหน้า แล้วตอบกลับไป

   “มะตูมจริงใจนะคุณ เท่าที่รู้จักกันมาผมว่ามันไม่ได้มีรสนิยมชอบเปลี่ยนคู่นอน คงไม่มีอะไรกับใครเล่นๆ หรอก”

   คำตอบคือความเงียบ และสีหน้าอึ้งสนิท

   ไม่รู้เว้ย ยังไงผมก็ต้องเซฟตัวเองไว้ก่อน พฤติกรรมของแมวมีผลต่อภาพลักษณ์คนเลี้ยงแน่ๆ ล่ะ ถ้าไอ้ตูมมันมีนิสัยมีอะไรกับสาวไม่เลือกหน้า ผมคงโดนมองว่าเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง ไม่รู้จักอบรมลูก และอาจจะมีนิสัยเสียอย่างเดียวกัน

   อีกฝ่ายไม่ทันได้ตอบอะไรกลับมา มื้อเช้าก็มาเสิร์ฟ ระหว่างนั้นผมก็หันไปเห็นปาท่องโก๋ร้อนๆ ที่เพิ่งขึ้นมาจากกระทะพอดี มันดูน่ากินซะจนต้องลุกขึ้นไปสั่ง และถือกลับมาที่โต๊ะด้วยตัวเอง พร้อมนมข้นหนึ่งถ้วย พอวางจานลงแล้วก็ใช้มือดันให้มันเลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นอีกหน่อย

   “กินได้นะคุณ สั่งมาเผื่อ”

   แต่อีกฝ่ายก็ทำแค่เหลือบสายตามามอง แล้วก็นั่งหลังตรง กินเกี้ยมอี๋ของตัวเองต่อไปเงียบๆ ผมมองสีหน้าท่าทางของเขา แล้วก็แอบยิ้มออกมานิดๆ

   คุณไป๋อะไรนี่ผิวขาวจัด เหมือนคนไม่ค่อยออกแดด เครื่องหน้าบอกชัดว่ามีเชื้อสายจีน ตาโต แบบสองชั้นหลบใน ที่มีเส้นหางตาลากยาวออกไปโดยธรรมชาติ จมูกเล็กๆไม่ได้โด่งอะไรมากมาย แต่มีปลายเชิด กับริมฝีปากหยัก ที่ดูชุ่มชื้นสุขภาพดี ผมสั้นสีดำสนิทตัดกับผิวชัดเจน

   ถ้าไม่นับบุคลิดท่าทางที่เหมือนจะคว้าส้อมขึ้นมาแทงผมได้ทุกเมื่อ รวมๆแล้วเขาก็ดูดีทีเดียว

   ระหว่างที่ผมกำลังฉีกปาท่องโก๋ใส่ลงไปในโจ๊ก ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

   “ว่าแต่ แมวผมชื่อมะตูม แล้วแมวคุณชื่ออะไรอะ?”

   ตอนนั้นเอง คนที่นั่งหลังตรงกินเกี้ยมอี๋อยู่ก็เหลือบสายตามามองผม แล้วพูดออกมาแค่ 2 คำสั้นๆ

   “เป่าเป้ย”

   “อะไรนะ? เป่าเป้ย?”

   “อืม”

   “ภาษาอะไรอะ?”

   “จีน”

   “แปลว่า?”

   “ที่รัก”

   “อ๋อ...”

   ผมรับคำ หลุดยิ้ม แล้วสรุปในใจว่าเห็นท่าทางนิ่งๆ ชอบทำหน้าหงิกแบบนี้ จริงๆ ก็มีความมุ้งมิ้งอยู่ในใจไม่เบาเหมือนกัน

   หลังจากรับผิดชอบโจ๊กของตัวเองจนหมดถ้วย ผมก็ดูนาฬิกา แล้วพบว่าหมดเวลาเถลไถลแล้ว เลยลุกขึ้น พร้อมกับที่คนตรงหน้ามองตาม

   “ผมต้องไปแล้วคุณ เดี๋ยวเข้างานสาย มื้อนี้ผมเลี้ยงนะ แล้วเจอกัน”

   “...”

   อีกฝ่ายไม่ทันได้ตอบอะไร พอทำท่าขยับปากจะพูด ผมก็รีบแทรกขึ้นมาทันที

   “กินปาท่องโก๋ด้วยล่ะ อย่าเหลือทิ้ง เสียดายของ”

   พูดจบผมก็ส่งยิ้มให้พร้อมโบกมือบ๊ายบาย แล้วออกมาจ่ายเงิน ก่อนจะต้องรีบเดินกลับบ้านเพื่อเอารถ และไปทำงานต่อ

   ระหว่างทางก็เผลอยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงสีหน้า ไปจนถึงทุกๆ การกระทำของอีกฝ่าย
   
,

   เสาร์อาทิตย์คือวันหยุดของผม ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วันนึงทำความสะอาดบ้าน ส่วนอีกวันก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆบ้าง เดินเล่นตามห้างสรรพสินค้าบ้าง หรือถ้าไม่อยากทำอะไร ก็แค่นอนอยู่บ้านเฉยๆ ดูหนังกับไอ้ตูม

   วันนี้วันเสาร์ ผมตื่นนอนช่วงสาย แล้วก็จัดการซักเสื้อผ้าที่ใส่ทำงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนจะก็โทรหาโรงพยาบาลสัตว์ที่พามะตูมไปฉีดวัคซีนอยู่ทุกปีเพื่อจองคิวทำหมัน เพราะอยากแก้ปัญหาเรื่องที่มันไปทำสาวท้องเข้าให้ และได้คำตอบว่า ผมต้องจัดการอดอาหารแมวก่อนผ่าตัด เป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง

   นับเวลาดูแล้ว ก็น่าจะต้องจับมะตูมใส่กรงช่วงเย็น ให้อดอาหารตอนกลางคืน แล้วเช้าวันอาทิตย์ซึ่งโชคดีมากที่โรงพยาบาลสัตว์ยังเปิด ค่อยจัดการเอาไอ้แสบนี่ไปตอนซะ

   ระหว่างที่ผมกำลังขยับราวตากผ้าให้เลื่อนไปยังมุมที่โดนแดด ก็เจอเข้ากับคนข้างบ้านที่ออกมาหยิบอะไรสักอย่างบนรถ ไหนๆสบตากันแล้วก็ทักทายซะหน่อย

   “หวัดดีคุณ”   

   ฝ่ายนั้นหันมามองทางนี้ แต่ก็ไม่พูดอะไร จนผมต้องเดินไปหยุดอยู่ตรงกำแพงระหว่างบ้าน 2 หลังแล้วชวนคุยต่อ

   “พรุ่งนี้ผมจะเอามะตูมไปทำหมันแหละ”

   “ก็ดีแล้ว”

   ดูทำหน้าดิ โคตรขำ

   “ว่าแต่… แมวคุณอยู่ไหนอะ ผมไม่เคยเห็นเลย อยู่ในบ้านเหรอ?”

   “ใช่”

   “ขอดูหน่อยได้มั้ย อยากเห็นสะใภ้อะ”

   คนฟังขมวดคิ้วเข้านิดๆทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ชัดเจนเลยไอ้ตูม ว่าพ่อตาเค้าไม่ยอมรับเอ็ง

   “เฮ้ย ทีคุณยังกลัวผมเอาลูกแมวไปขายเลย ผมก็กลัวคุณโม้มั่งดิว่าไอ้ตูมไปทำสาวท้อง ถ้าคุณมาเรียกเก็บสินสอดแมวจากผม จะทำไงอะ”

   “ไม่มีทาง”

   “เหอะน่า ขอดูแมวหน่อยสิ”

   คนตรงหน้ายืนทำหน้ามุ่ยสบตาผมอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจแล้วตอบกลับมาเสียงเบา

   “ก็ได้...”

   สำเร็จ! ผมยิ้มรับคำตอบ พอเห็นว่าอีกฝ่ายเดินไปเปิดประตูรั้วบ้านตัวเอง ผมก็ก้มลงไปอุ้มไอ้ตูมที่ยืนอยู่ไม่ไกลมาชูขึ้นตรงหน้า มองสบกับตาเหลืองๆของมันแล้วพูดต่อ

   “เค้าจะให้มึงเข้าบ้านมั้ยเนี่ย”

   พอถึงหน้าบ้านหลังข้างๆก็ต้องถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

   “มะตูมเข้าบ้านคุณได้ใช่มั้ย?”

   เค้าอาจจะไม่ถูกกันแบบพ่อตาลูกเขยในละครก็ได้ ใครจะไปรู้

   “ปกติก็มาประจำ”

   ผมพยักหน้ารับ คิดต่อในใจว่า ‘อย่างนี้นี่เอง...’ แล้วเดินตามคนข้างหน้าไปจนถึงประตูกระจกบานเลื่อน พอเข้าไปข้างในก็เจอกับโซฟา

   แต่ที่สะดุดตาสุดๆ คือคอนโดแมวที่ทำขึ้นเป็นบิวด์อินติดกับผนังบ้านจากพื้นจรดเพดาน โดยใช้ไม้สีอ่อนทำเป็นเสา พันเชือกปอเอาไว้สำหรับลับเล็บ แล้วก็ใช้ไม้ชนิดเดียวกัน ติดยื่นออกมาคล้ายๆชั้นวางของ ลดหลั่นเป็นขั้นบันไดให้แมวสามารถเดินขึ้นเดินลงได้

   ขั้นนึงติดเปลผ้าเอาไว้สำหรับนอนพักผ่อน ส่วนอีกขั้นทำเป็นห้องนอนจากกล่องที่มีทางเข้าเจาะไว้เป็นวงกลม ถึงจะยังไม่ได้สำรวจใกล้ๆ แต่ดูก็รู้ว่าข้างในจะต้องมีเบาะนอนสำหรับแมวอยู่แน่ๆ

   ระหว่างที่ผมกำลังตื่นตาตื่นใจกับคอนโดแมว เสียงเรียกก็ดังมาจากคนข้างๆ

   “เป้ย... เป้ยอยู่ไหนครับ”

   แล้วก็มีแมวตัวหนึ่งเดินตรงมาทางนี้

   ในวินาทีแรกที่มองสบกับดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้น ผมสรุปให้ฟังได้เลย ว่าเป่าเป้ยอะไรนี่คือดอกฟ้า ส่วนไอ้ตูมของผมคือแมววัด พูดให้ดูดีหน่อยก็แมวร้านเหล้านั่งชิว

   เป่าเป้ยเป็นแมวที่สวยมาก ขนเป็นสีขาวแซมเทา หน้ากลมมีแก้ม ตาโตสีฟ้าเข้มจนแทบเป็นสีน้ำเงิน แถมขอบตายังกรีดอายไลน์เนอร์คมกริบ จมูกสีชมพูขอบดำ แล้วไอ้เน่าตูมของผมมันกล้าดียังไงถึงได้เดินไปเลียแก้มลูกสาวเค้าหน้าตาเฉยล่ะนั่น! ปากยิ่งเหม็นๆอยู่ด้วย!

   ระหว่างที่ผมกำลังทำหน้าเหวอกับพฤติกรรมของไอ้ตูม คุณเจ้าของบ้านเค้าก็เดินหายเข้าไปในครัว ส่วนผมที่ตอนนี้นั่งอยู่บนโซฟา ก็ค่อยๆขยับลงมานั่งบนพื้นช้าๆ เพื่อถ่ายรูปเจ้าเหมียวสุดสวยอย่างเป่าเป้ย

   ถ่ายเสร็จแล้วทำอะไรน่ะเหรอ? ส่งไปให้แก๊งลุงไอ้ตูมดู พร้อมคำอธิบายสั้นๆ

   ‘เมียไอ้ตูม’

   ส่งรูปเสร็จผมก็ยื่นมือไปลูบเป่าเป้ยเบาๆ ถึงขนเจ้าเหมียวจะไม่ยาว แต่ก็หนาและนุ่มมือเอามากๆ และสะดุดตาเข้ากับขนตรงท้องที่โดนโกนออกไปบางส่วน

   หลังจากที่ได้ลองเลี้ยงแมวมาประมาณนึง สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ก็คือ แมวจะชอบเป็นพิเศษเวลาโดนเกาที่แก้มหรือคาง พอผมก็ทำอย่างนั้น เป่าเป้ยก็ซุกใบหน้าลงมาในมือผม แล้วไถตัวไปมาเพื่อออดอ้อน

   นี่อาจจะเป็นสถิติใหม่ของการตกหลุมรักที่เร็วที่สุดในโลก… จะโทษอะไรได้นอกจากความน่ารักน่าเอ็นดูของคุณเธอ

   สักพักคุณไป๋เค้าก็เดินออกมาจากในครัว พอเห็นว่าผมลงมานั่งที่พื้น เขาก็เลยนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้า แล้วยื่นน้ำเปล่ามาให้
 
   ผมรับแก้วน้ำมา แล้วพูดต่อ

   “เป่าเป้ยน่ารักมากเลยคุณ”

   “…”

   คนฟังไม่ตอบผม แต่หันไปลูบขนเจ้าเหมียวแล้วยิ้มออกมาบางๆ ก่อนที่ผมจะถามต่อ

   “แล้วขนที่ท้องนี่ ทำไมถึงโดนโกนล่ะ?”

   “โกนตอนไปอัลตร้าซาวด์ว่าท้องรึเปล่า หมดสวยเลยเนอะ”

   น้ำเสียงอ่อนโยนขนาดนั้น แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ได้พูดกับผม

   “แมวแบบนี้เค้าเรียกพันธุ์อะไรอะคุณ?”

   “บริติชช็อตแฮร์”

   แค่ชื่อยังหรูหราเลย…
   ได้ยินอย่างนั้นผมก็เอื้อมมือไปลากมะตูมมาอุ้ม ชูขึ้นให้เผชิญหน้ากับอีกคนแล้วแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

   “ส่วนนี่มะตูม ไทย เทมเพิล เยลโลวแฮร์”

   ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ผมว่ามีคนเกือบหลุดยิ้มกับชื่อสายพันธุ์ของแมวผมแหละ พอเราสบตากันเข้า ผมก็ส่งยิ้มให้เขา ยักคิ้วตามไป แล้ววางมะตูมลง ก่อนจะหันไปสนใจเป่าเป้ยต่อ

   “ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมมีแมวที่น่ารักขนาดนี้อยู่ใกล้ตัวแต่ไม่เคยรู้ เป่าเป้ยเคยออกไปข้างนอกบ้างมั้ย?”

   คนฟังเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม พร้อมกับพูดออกมา

   “เป้ยโตมาในคอนโด พอผมย้ายมาอยู่บ้าน ก็ยังติดนิสัยไม่ชอบออกไปข้างนอกสักเท่าไหร่ ปกติเวลาออกไปก็ใส่สายจูงตลอด”

   “เนื้อตัวก็เลยสะอาดสุดๆ”

   อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่แมวหรอก บ้านหลังนี้ก็สะอาดสุดๆ และเท่าที่ผมสังเกตและสรุปเอาเอง เขาอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว
 
   ถ้าตอนรีโนตเวตอีกฝ่ายไมได้เปลี่ยนแปลงอะไร บ้านก็จะมี 2 ชั้น 3 ห้องนอนเหมือนบ้านผม กำลังจะแปลกใจอยู่แล้วเชียวว่าอยู่บ้าน 3 ห้องนอนตัวคนเดียวได้ไง ถ้าไม่นึกขึ้นมาได้ว่าผมเองก็อยู่คนเดียวเหมือนกัน

   ก่อนหน้านี้ ที่บ้านผมมีทั้งพ่อแม่และพี่สาวอยู่ด้วย แต่หลังจากพ่อแม่ผมเกษียณอายุราชการ ทั้งคู่ก็ย้ายไปอยู่บ้านสวนที่ต่างจังหวัด ส่วนพี่สาวที่อายุห่างกับผมตั้ง 8 ปี ก็ย้ายออกไปช่วงที่ผมเรียนมหาลัยปี 3 เพราะแต่งงาน

   ช่วงแรกๆพี่ก็ยังแวะเข้ามาหากันอยู่บ่อยๆ แต่พอมั่นใจว่าผมสามารถใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้แล้ว ก็นานๆถึงจะแวะมาหากันสักที

   ระหว่างที่คุยกันนี่ พอหันไปอีกที ไอ้ตูมตัวแสบก็ขึ้นไปนั่งอยู่ชั้นบนสุดของคอนโดแมว เหมือนเป็นบ้านตัวเอง อยากจะบ้าตาย!

   พอเห็นสีหน้าของผม คนตรงหน้าก็พูดขึ้น

   “มะตูมเข้ามานอนเล่นที่บ้านผมประจำแหละ วันไหนเปิดแอร์ก็เคาะประตูเรียกด้วย”

   “เอ่อแล้ว…คุณไม่ได้โกรธที่มันทำเป่าเป้ยท้องรึไง?”

   “เปล่า”

   “อ๋อ ดีแล้ว...”

   ไม่ทันจะพูดจบ อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมาทันที

   “ที่ผมโกรธคือคุณ”

   อ้าว… เจ้าตัวพูดออกมาแบบนั้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ไม่ทันเว้นช่วงให้ผมได้ถาม ประโยคต่อไปก็ตามมา

   “แต่ก็จะพาไปทำหมันแล้วนี่”

   “ก็ใช่ไง”

   “คุณต้องอดอาหารแมว 8 ชั่วโมงก่อนเอาไปทำหมันนะ รู้ใช่มั้ย?”

   “เพิ่งรู้เมื่อเช้าเลยเนี่ย โรงพยาบาลสัตว์บอกมา”

   คนฟังพยักหน้ารับ มองผมด้วยสายตาไม่ไว้ใจ แล้วอธิบายต่อ

   “ห้ามลืมเด็ดขาด แล้วก็ห้ามเอาแมวไปทำหมันทั้งๆที่ยังไม่อดอาหารด้วย มันเสี่ยงมากที่อาหารในกระเพาะจะไหลย้อนมาอุดหลอดลมตอนที่แมวกำลังสลบอยู่ ตายได้เลยนะคุณ”

   “ครับๆๆ”

   ผมรับคำ หลังจากได้ยินคำอธิบายก็หายสงสัยว่าทำไมทำหมันแล้วถึงห้ามกินข้าว พออีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่ออีก ผมก็วกกลับเข้ามาเรื่องเดิม

   “คุณโกรธผมจริงดิ”

   “หือ?”

   “ก็ที่พูดเมื่อกี๊ไง”

   “ไม่ถึงกับโกรธหรอก ก็แค่ไม่ค่อยชอบ”

   แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนมาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้ากันตรงๆ ผมมองคนตรงหน้า จ้องเข้าไปในดวงตา ก่อนจะเห็นว่าเจ้าตัวกำลังทำปากคว่ำ ส่วนผมก็ตอบกลับ

   “รู้สึกแย่เหมือนกันนะเนี่ย”

   ก่อนที่คำอธิบายจะตามมา

   “ไม่ใช่แค่เรื่องที่มะตูมมาทำเป้ยท้องหรอก ก็คุณเลี้ยงแมว แต่ปล่อยให้แมวเดินไปทั่ว รู้มั้ยว่ามันอันตรายขนาดไหน ถ้าโดนหมากัดล่ะ ถ้าโดนรถทับล่ะ คิดว่าไง?”

   สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมปฏิเสธไม่ออก ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้หรอกนะ ผมน่ะคิดอยู่บ้าง แต่มั่นใจเลยว่าไอ้ตูมมันไม่ยอมคิดด้วย ไอ้แสบนี่ไม่มีทางยอมอยู่บ้านแบบไม่หนีเที่ยวแน่ๆ ถ้าไม่โดนจับขัง

   “ก็ไม่ได้จะแก้ตัวหรอก เรื่องที่คุณพูดอะ ผมก็คิดอยู่ แต่อาจจะจริงจังกับมันไม่มากพอล่ะมั้ง ก่อนอื่น มะตูมเคยเป็นแมวจรจัดมาก่อน พอมาอยู่บ้านผม ซึ่งผมก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านทั้งวัน แถมในบ้านยังมีช่องทางให้หนีเที่ยวได้เต็มไปหมด มันก็เลยออกมาอย่างที่เห็น”

   คนฟังพยักหน้ารับ ไม่พูดอะไร ผมเลยอธิบายต่อ

   “ผมลองหาข้อมูลดู เค้าบอกว่าการทำหมันช่วยทำให้แมวอยู่บ้านมากขึ้นได้ เลยจะเอาไปทำอยู่เนี่ย”

   “ก็ใช่”

   “ก็ยอมรับอยู่หรอกว่าในสายตาคนเลี้ยงแมวจริงจังอย่างคุณ ผมอาจจะเป็นทาสแมวชั้นแย่ แต่ก็ขอโอกาสพัฒนาตัวเองหน่อยแล้วกัน แล้วก็กรุณาไม่ชอบผมให้น้อยลงด้วย บอกตรงๆ ได้ยินแล้วรู้สึกแย่โคตร”

   ผมเห็นคนอมยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น  ก่อนคำตอบจะตามมา

   “เท่าที่ฟังคุณพูดก็น้อยลงนิดนึงแล้วนะ”

   ผมยิ้มรับคำพูดนั้น ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้เป่าเป้ยที่ตอนนี้ไปนอนอยู่บนโซฟา ยกมือขึ้นลูบขนนุ่มเบาๆอยู่สองสามครั้ง พอมองไปยังคนตรงหน้าก็เห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าไอ้ตูมที่กำลังลับเล็บอยู่บนคอนโดแมว ผมเลยหยิบน้ำเปล่าที่อีกฝ่ายเอามาให้ ดื่มไปอึกใหญ่ แล้วก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับพูดต่อ

   “ผมต้องกลับบ้านไปตากผ้าต่อแล้ว ตูม...มานี่”

   แน่นอนว่าไอ้แมวเหลืองของผมมันไม่ฟัง แถมนั่งสะบัดหางบนคอนโดบ้านคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย จนผมต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วอุ้มมันขึ้นมา

   มองกลับมาอีกทีก็เห็นว่าทางเจ้าของบ้านเขาก็ลุกขึ้นยืนเหมือนกัน และเดินตามไปส่งผมจนถึงหน้าประตูรั้ว ตอนนั้นเองที่คนตรงหน้ายื่นมือออกมาแล้วพูดต่อ

   “ยินดีที่ได้รู้จัก”

   ผมมองมือขาวๆเรียวยาวที่ยื่นออกมาแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ร้านโจ๊กเมื่อวานนี้ ก่อนจะยื่นมือกลับไปให้ใกล้จนกระทั่งมือของเราเกือบสัมผัสกัน พอทางนั้นจะจับ ผมก็รีบดึงมือตัวเองกลับมาซ่อนไว้ มองสบตาแล้วก็ยักคิ้วกวนๆกลับไป

   แน่นอนว่าสีหน้าของอีกฝ่ายนิ่งสนิทจนผมแทบหลุดขำ ก่อนจะรีบยื่นมือไปจับกับเขา เขย่าเบาๆแทนการทักทาย แล้วพูดต่อ

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณไป๋”
 
,
มีต่อนะคะ


หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [INTRO - 071262]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 14-12-2019 20:39:50

   วันอาทิตย์ที่ผมเอามะตูมไปทำหมัน ดันเป็นวันเดียวกับที่ผมและพวกเพื่อนๆแก๊งลุงไอ้ตูมมีนัดกินข้าวแล้วก็ดูหนัง บรรยากาศในวันนั้นเลยไม่เฮฮาเหมือนปกติ เพราะทุกคนต่างก็กังวลเรื่องไอ้แมวสีเหลืองที่ตอนนี้น่าจะอยู่ในมือหมอ

   ตอนนี้สมาชิกกลุ่มเราลดลงเหลือแค่ 4 คน เพราะไอ้ข้าวกลับไปทำงานที่เชียงใหม่ บ้านเกิดของมันตั้งแต่เรียนจบ แต่สภาพรวมๆ ก็ยังเละเทะเหมือนเดิม การเข้าสู่วัยทำงานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรพวกผมได้หรอก

   ผมถึงกับยอมไม่ปิดโทรศัพท์ระหว่างดูหนัง เพราะกังวลว่าจะไม่ได้รับสาย ถ้าทางโรงพยาบาลโทรเข้ามา

   จนกระทั่งดูหนังจบ ไอ้ธีร์เพื่อนคนนึงในกลุ่มก็ตัดสินใจบอกให้ผมเลิกรอสายโทรเข้า และเป็นฝ่ายโทรไปที่โรงพยาบาลเพื่อถามอาการให้รู้ไปเลยว่าตอนนี้มะตูมเป็นไงบ้าง

   ความกังวลทั้งหมดจบลงในตอนนั้น ตอนที่พวกผมได้คำตอบว่ามะตูมสบายดี เพิ่งฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบได้ไม่นานและกำลังนอนพักอยู่

   กิจกรรมกินข้าวดูหนังของพวกผมก็เลยจบลงด้วยการไปเยี่ยมแมวที่โรงพยาบาล เพื่อจะพบว่าไอ้ตูมมันนอนอยู่ในกรงพร้อมกับปลอกคอกันเลีย แล้วภาพไอ้ตัวแสบที่เหมือนมีลำโพงครอบหน้าเอาไว้ก็ทำให้ความกังวลของพวกผมก็กลายเป็นความตลกไปในทันที

   พวกผมถ่ายรูป นั่งอยู่กับมันไม่นาน และสัญญาว่าพรุ่งนี้จะมารับกลับบ้าน แล้วก็ตกใจไปเลย ตอนออกมาจากห้องพักฟื้นแมวแล้วพบว่าพวกเพื่อนๆจัดการจ่ายค่าทำหมันให้ไอ้ตูมไปเรียบร้อยแล้ว

   พอผมไม่ยอม ไอ้บาสก็อธิบายออกมา

   “คิดดู ตอนเก็บมันมาก็เก็บด้วยกัน แต่พวกกูดันปล่อยให้มึงเลี้ยงอยู่คนเดียวเป็นปี เล็กๆน้อยๆก็ให้พวกกูจ่ายบ้างเหอะ”

   “ตอนตรวจเลือดกับทำวัคซีนพวกมึงก็ช่วยหารปะวะ”

   แล้วไอ้ไอซ์ก็พูดต่อ

   “ไอ้สัส นั่นมันสองปีมาแล้ว”

   แน่นอนว่าผมคนเดียวเถียงพวกมันไม่ชนะ หลังจากคุยกับเจ้าหน้าที่เรื่องเวลาที่ผมสะดวกจะมารับไอ้ตูมกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ แล้วก็วิธีดูแลหลังจากทำหมันเสร็จไปอีกนิดหน่อย พวกผมก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

   ยอมรับเลยว่าคืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับเหมือนปกติ เพราะไม่มีไอ้ตูมมาคอยกวนโดนขึ้นลงเตียง เดินมานอนเบียดผมบ้าง เอาหางมาพาดหน้าบ้าง แถมยังชอบมานอนทับบนอกตอนตีสี่ตีห้า พอไอ้ตัวแสบไม่อยู่ก็คิดถึงมันเหมือนกัน

   จากที่คุยกันเมื่อวาน ที่โรงพยาบาลสัตว์ให้มะตูมกลับบ้านได้ช่วงเช้าวันจันทร์ แต่เอาเข้าจริง กว่าผมจะได้ไปรับ ก็เป็นตอนเย็นไปแล้ว เพราะต้องไปทำงาน

   จะให้ออกจากออฟฟิศมารับช่วงพักเที่ยงก็ได้อยู่หรอก แต่รับแล้วสุดท้ายมันก็ต้องกลับไปอยู่ตัวคนเดียวที่บ้าน ถ้าเป็นแบบนั้น ให้อยู่กับหมอต่อไปดีกว่า ส่วนผมก็แค่ต้องจ่ายค่าฝากเลี้ยงเพิ่มอีก 1 วัน

   ที่โรงพยาบาลสัตว์ หมอจัดยาทาแผลพร้อมบอกให้ผมทาให้มะตูมทุกวันจนกว่าแผลจะแห้ง แล้วก็แนะนำให้ซื้อปลอกคอกันเลียไปใส่ให้ เพื่อความปลอดภัย ผมตัดสินใจเลือกแบบสีชมพูลายสตร์อวเบอร์รี่ให้มันใส่ แบบที่ยอมรับตรงๆเลยว่าแกล้งแมว

    พอมาถึงบ้านมะตูมก็เดินดมโน่นดมนี่แบบไม่ถนัดสักเท่าไหร่เพราะมีลำโพงกันอยู่รอบใบหน้า สุดท้ายก็เดินไปนั่งร้องอยู่หน้าถ้วยอาหารตามเคย

   ผมเทอาหารให้ ยอมถอดปลอกคอชั่วคราวเพราะกินอาหารไม่สะดวก ก่อนจะใส่กลับทันทีหลังกินเสร็จ เคลียร์ภารกิจดูแลแมวทุกอย่างแล้ว ถึงได้ขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ก่อนจะปิดไฟก็ยังอดไม่ได้ที่จะอุ้มมันขึ้นมาเพื่อดูแผล

   เท่าที่หมออธิบายให้ฟัง มะตูมทำหมันแบบไม่เย็บแผล ตอนนี้ที่แหนมตุ้มจิ๋วของมันเลยมีรอยกรีดสองรอยบางๆ และน่าจะค่อยๆหายไปหลังจากนี้ ปล่อยให้ผมนั่งพิจารณาแผลอยู่สักพัก ไอ้ตัวแสบก็ร้องออกมา
   
        “เมี๊ยว...”

   เห็นหน้ากวนๆแล้วก็อดไม่ได้ที่จะบ่นเข้าให้ พร้อมยกมือขึ้นตบหัวมันไปเบาๆ

   “สมน้ำหน้า ซ่าส์นัก ไข่แฟบเลยมึง”


- to be continued -



หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 1 - 141262]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 15-12-2019 00:56:59
ว๊ายยยย ไปเลียแก้มลูกสาวเค้าแต่พ่อโดนเขม่นแทน
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 1 - 141262]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-12-2019 22:02:47
เรื่องน่ารักมาก ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 1 - 141262]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 16-12-2019 10:35:52
มะตูมได้เมีย ส่วนพ่อมะตูมก็จะได้แฟน


 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 1 - 141262]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 17-12-2019 01:05:19
โดนตัดไข่เลย 55555555555555
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 1 - 141262]
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 17-12-2019 19:41:58
 :mew5:        :mew4:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 1 - 141262]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 18-12-2019 20:51:43
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect%20fall%2002.jpg)

- 02 -


มะตูมเป็นแมวฉลาด แต่เชื่อผมเถอะ มันไม่ได้ใช้ความฉลาดที่มีในทางที่ถูกที่ควรสักเท่าไหร่ อย่างในตอนนี้ หลังจากโดนจับใส่ลำโพงสีชมพูลายสตรอว์เบอร์รี่อยู่ 1 วันเต็มๆ ในที่สุดมันก็เรียนรู้วิธีการถอดลำโพงด้วยตัวเองเป็นที่เรียบร้อย

อย่าถามว่าผมตกใจขนาดไหน ตอนกลับมาจากที่ทำงานแล้วเห็นไอ้ตูมนั่งหน้าเหลืองอยู่บนโซฟา โดยมีปลอกคอสีชมพูวางแผ่อยู่ที่พื้น สิ่งแรกที่ผมทำคืออุ้มมันขึ้นมา เพื่อดูแหนมตุ้มจิ๋ว โชคดีที่รอยกรีดเล็กๆ 2 รอยยังอยู่ในสภาพเดิม สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากบ่น

“แสบเกินไปแล้วนะมึง”

ตอนแรกก็ว่าจะใส่ลำโพงกลับไปให้ทันทีหรอก แต่เดี๋ยวก็ต้องถอดตอนกินข้าวอีก เอาไว้ค่อยใส่ก็แล้วกัน

คอลลาร์น่ะเรื่องเล็ก ปัญหาคืออยู่ดีๆ ผมก็มีเรื่องด่วนให้ผมต้องออกต่างจังหวัด เพราะไซต์งานที่รับผิดชอบอยู่ดันมีปัญหา จะทิ้งไอ้เหลืองนี่ไว้ตัวเดียวก็เป็นห่วง ถ้าเป็นตอนปกติก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่นี่เพิ่งทำหมันมาด้วย

ระหว่างที่กำลังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอามันไปฝากโรงพยาบาลสัตว์ก่อนออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ หรือปล่อยให้อยู่บ้านตัวเดียวเหมือนทุกครั้งที่ต้องออกต่างจังหวัดดี ผมก็ออกไปปิดล็อคประตูบ้าน เพื่อเตรียมขึ้นชั้นบน แล้วตอนนั้นเองสายตาก็ดันมองเลยไปเห็นเพื่อนบ้านที่วันนี้ก็ยังคงนั่งใส่แว่นอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม

ตัวช่วยอยู่ตรงหน้านี่แล้วไง!

ถึงเขาจะเพิ่งพูดไปวันก่อนว่าไม่ค่อยชอบผม แต่ท่าทางก็แสดงออกชัดเจนว่าชอบแมวมาก แถมเราก็สงบศึกกันแล้ว ฝากส่องไอ้ตูมให้สักวันสองวันก็ไม่น่าจะปฏิเสธหรอกมั้ง

เห็นอย่างนั้นผมก็ตัดสินใจเปิดไฟโรงรถจนสว่าง แล้วก็เดินไปหยุดอยู่ตรงกำแพงบ้าน จุดที่ไม่ไกลจากหน้าต่างซึ่งเขานั่งทำงานอยู่สักเท่าไหร่ สิ่งแรกที่ทำคือการยกมือขึ้นโบกไปมา พร้อมส่งเสียงเรียก

“คุณ...คุณไป๋”

แล้วสายตาคู่นั้นก็ละจากหน้าจอมามองกันทันที พอเราสบตากัน ผมก็กวักมือเรียก และสิ่งที่ได้รับกลับมาแทนคำตอบ คือการขมวดคิ้ว จนต้องพูดต่อ

“รบกวนเวลาแป๊บนึง”

คนฟังนิ่งไปสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินมาหากันทั้งที่ยังสวมแว่นอยู่ จนอดไม่ได้ที่จะทัก

“คุณใส่แว่นแล้วดูดีเนอะ”

“...”

คำตอบน่ะเหรอ? เงียบสนิท...

“คืองี้คุณ มะตูมอะ เพิ่งไปทำหมันมาใช่มั้ย?”

“มะตูมเป็นแมวคุณนะ ถามผมเหรอ?”

“ไม่ใช่!”

นี่คือกวนใช่มั้ย?

“โอเคๆ มะตูมไปทำหมันมา แล้วผมก็ดันต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดสองวันติด เลยอยากรบกวนคุณหน่อย ฝากดูๆ มันให้ด้วย ที่ทำหมันมาเป็นแบบไม่เย็บแผล ผมกลัวมันจะซนจนแผลฉีก”

“แล้วไม่ต้องใส่ยาทุกวันรึไง?”

“ก็ต้องใส่ เดี๋ยวผมใส่ไว้ช่วงเช้า แล้วก็มาใส่อีกทีค่ำๆ วันถัดไป ตอนกลับมาแล้ว”

ผมน่ะพูดออกไปยาวเหยียด ส่วนคุณไป๋เค้าก็เอาแต่นิ่งสนิท จนเริ่มจะไม่แน่ใจขึ้นมาว่าตกลงฝากได้หรือไม่ได้ แต่ไม่ทันได้ถามต่อ คำตอบก็ตามมา

“ก็เอามะตูมมาไว้ที่บ้านผมก่อนสิ”

“เฮ้ย ได้เหรอ?”

“ช่วงกลางวันผมอยู่บ้านทั้งวัน เดี๋ยวดูให้”

“จริงดิ”

“ไม่จริงมั้ง”

ผมหลุดขำรับสิ่งที่ได้ยิน แล้วพูดต่อ

“โอเคๆ งั้นก็ต้องรบกวนคุณแล้ว”

“อะฮะ มีอะไรอีกมั้ย?”

“ก็...ไม่มีแล้วนะ”

“โอเค งั้นผมขอตัว”

อ้าว แล้วก็ไปเลย?

“คุณ! มีละๆ เดี๋ยวก่อน!”

คนที่กำลังจะเดินไปชะงักฝีเท้าไว้ทันทีที่ได้ยินผมเรียก ก่อนจะมองกลับมา

“...”

“พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อยนะ ผมจะเลี้ยงข้าวตอบแทน ร้านโจ๊กเหมือนเดิมแล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอก”

“ไม่รู้แหละ พรุ่งนี้เช้าเจอกัน! อย่าออกมาสายล่ะ ผมต้องรีบไปทำงาน บายคุณ”

พูดจบผมก็ไม่รออีกคนปฏิเสธ โบกมือให้เร็วๆ แล้วรีบเดินเข้าบ้านไปทันที

เอาเป็นว่า รอดตายแล้วไอ้ตูม!

,

วันต่อมา ผมตื่นนอนทำกิจวัตรตอนเช้าเหมือนปกติ แล้วก็ไม่คิดหรอกว่าจะออกจากบ้านมาเจออีกคนนั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวเล็กหน้าบ้านหลังข้างๆ ผมส่งยิ้ม โบกมือให้แทนคำทักทาย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากบ้านมาเหมือนกัน คำแรกที่พูดน่ะเหรอ

“ไหนบอกต้องรีบไปทำงาน”

“ก็รีบไงคุณ แต่ตอนนี้ก็ยังทันอยู่ เจ้านายจะมารับผมตอน 9 โมง”

คือเนี่ย ยังไม่แปดโมงเลย...

“อืม...”

อืม นี่คืออืมอะไรวะ? ‘อืม...ผมตื่นเช้าไป’ หรือ ‘อืม ทำไมไม่บอกกันล่ะว่าเดินทางเก้าโมง’ ผมเหลือบสายตามองคนที่ยังคงเอาแต่เงียบ แล้วก็เผลอยิ้มออกมาจนได้ ก่อนจะชวนคุยต่อ

“ผมเตรียมอาหารกับยาทาของมะตูมไว้แล้ว เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วจะเอาไปให้ ส่วนห้องน้ำ มะตูมตรวจเลือดแล้ว ไม่เป็นโรคอะไร แล้วก็ทำวัคซีนเรียบร้อยครอบถ้วน ไม่แน่ใจว่าจะใช้ห้องน้ำเดียวกับเป่าเป้ยได้รึเปล่า”

“ก็น่าจะได้”

“ไอ้ตูมก็จับใส่กรงหิ้วไปส่งให้คุณที่บ้านแล้วกัน”

“ไม่ต้องจับหรอก พอคุณออกไปทำงานได้สักพักก็มาบ้านผมแล้ว”

“จริงดิ นี่ผมไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยว่ามันมีพฤติกรรมแบบนั้น”

“แมวคุณเจ้าเล่ห์จะตาย”

ก็จริงของเค้า...

สิ่งนึงที่ได้รู้คือคุณไป๋นี่น่าจะชอบกินเกี้ยมอี๋เอามากๆ เพราะวันนี้ก็กินเมนูเดิมอีกแล้ว ไม่ใส่ผักแบบเดิมด้วย แถมเจ๊คนขายก็ยังจำได้ด้วยว่าคุณเค้ากินอะไร แต่ผมเองก็ไปว่าอะไรไม่ได้หรอก เพราะผมก็กินโจ๊กใส่ไข่ 2 ฟอง เหมือนเดิมเช่นกัน

ระหว่างที่กำลังจัดการมื้อเช้า ผมก็นึกเรื่องนึงขึ้นมาได้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดต่อ

“คุณ ขอเบอร์โทรหน่อยสิ”

“ฮึ?”

“ก็เดี๋ยวผมต้องฝากแมวไว้ที่คุณ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินจะได้ติดต่อกันได้ไง”

“อืม”

คนตรงหน้ารับมือถือผมไป ก่อนจะพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ แล้วส่งกลับมา ระหว่างที่ผมกำลังกดบันทึกหมายเลข ปากก็ถามต่อ

“อันนี้เมมเบอร์แล้ว ไลน์จะขึ้นมาอัตโนมัติเลยมั้ย?”

“ไม่นะ”

ผมหันไปมองคนพูด ก่อนจะกดเปิดไลน์ แล้วก็ยื่นโทรศัพท์ไปอีกครั้ง

“งั้นก็ขอไลน์ด้วย”

อีกฝ่ายก็เลยต้องรับโทรศัพท์ไปอีกครั้ง พิมพ์อะไรก็ไม่รู้อยู่สักพัก ก่อนจะยื่นมือถือกลับมา พร้อมกับที่ไลน์ผมมีรายชื่อเพื่อนคนใหม่เป็นภาษาจีน แน่นอนว่าผมอ่านไม่ออก ยังดีที่รูปดิสเพล์ยเป็นหน้าเจ้าเหมียวเป่าเป้ยสุดสวย แบบที่เห็นก็รู้เลยว่าเป็นแอคเค้าน์ของใคร

ผมกดเข้าไปในรายชื่อนั้น ก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์ไปให้แล้วพูดต่อ

“ผมทักคุณไปแล้วนะ”

คนฟังหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าตัวเองออกมาเปิดดูพร้อมกับที่หน้าจอผมปรากฎตัวหนังสือว่าข้อความถูกอ่าน แล้วก็เก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงกลับไป

ถามจริง…ไม่คิดจะตอบกันหน่อยเหรอ?

แต่ก็เอาเหอะ อย่างน้อยผมก็สามารถไปทำงานต่างจังหวัดได้โดยไม่มีความกังวล

ไอ้แมวตัวแสบนี่ก็ฉลาดเหลือเชื่อ พอพวกผมกลับมาก็เจอมันไปนั่งรออยู่ตรงกำแพงระหว่าง 2 บ้านแบบพร้อมย้ายตัวเองไปอยู่กับเค้าเต็มที่

ผมจัดการส่งของใช้ไปให้อีกคนที่ยืนรอรับของอยู่ที่ฝั่งบ้านตัวเอง เอ่ยขอบคุณอีกครั้ง พร้อมกับที่รถของเจ้านายมารับพอดี

ก่อนไปก็อดไม่ได้ที่จะอุ้มไอ้ตูมขึ้นมาลูบหัวสองสามทีพร้อมกับสั่งทิ้งท้าย

“อย่าดื้ออย่าซนนะเว่ย!”



- - -



ผมตัดสินใจพิมพ์ข้อความไปหาคุณไป๋ตอนแวะกินข้าวเที่ยงหลังจากมาถึงจังหวัดที่ต้องมาทำงาน บอกตามตรงว่าไม่ได้กังวลใจเรื่องมะตูมมากหรอก แต่ติดจะเกรงใจคนที่รับฝากแมวไว้มากกว่า



‘เป็นยังไงบ้างคุณ’

‘ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?’



ข้อความของผมถูกอ่านในทันทีก่อนจะมีรูปส่งกลับมา เป็นไอ้ตูมตัวดี นอนกอดเป่าเป้ย แถมยังทำเป็นหรี่ตาเซ็กซี่ใส่กล้องอีกต่างหาก เห็นแล้วอยากจะบ้า



‘โอเคดี ไม่มีปัญหาอะไร’



หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ส่งรูปมะตูมมาให้ผมดูอีกสองครั้งตอนบ่าย แล้วก็เงียบไปเลยจนถึงช่วงเย็นที่ผมกินข้าวกับลูกค้า ก่อนจะเข้าพักที่โรงแรม

แล้วก็เหมือนทุกครั้งที่เจ้านายผมจะชวนมานั่งจิบเบียร์นิดหน่อย นั่งคุยเรื่องงานบ้าง เรื่องอื่นบ้างไปเรื่อยๆ เจ้านายผมจบสถาปัตย์ มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม แต่คนละเอก เขามาทางด้านสถาปัตย์โดยตรง แต่ของผมจะเป็นการตกแต่งภายใน

พี่แกชวนผมไปทำงานด้วยทันทีที่รู้ว่าผมมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศ เหตุผลก็คือ ‘คนบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานแม่งไม่ค่อยลาออกหรอก นอกจากบริษัทจะเหี้ยจริงๆ แล้วกูก็มั่นใจว่าบริษัทกูก็ไม่ได้เหี้ยขนาดนั้น’ ซึ่งก็จริง ผมทำงานที่นี่มา 2 ปี โดยไม่เคยมีความคิดจะลาออกเลยสักนิด

ที่บริษัทมีมื้อเช้าให้ ถึงแม้จะเป็นแค่ขนมปัง แยม นมข้น แล้วก็ไข่ไก่สดพร้อมเตาไฟฟ้ากับไมโครเวฟให้พอทำอะไรง่ายๆ กินเองได้ นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ด้วย

ช่วงแรกที่เข้ามาทำงาน ก็มีโดนญาติพูดใส่อยู่บ้าง ว่าทำงานในบริษัทเล็กๆ จะไม่มีความมั่นคง แต่อย่างน้อย ผมว่าตัวเองก็ยังโชคดีที่ไม่มีปัญหาเรื่องที่ทำงาน เรื่องเพื่อนร่วมงาน เหมือนคนอื่นๆ

นอกจากนี้ พี่ๆ ที่ออฟฟิศชอบแซวว่าผมเป็นลูกชายของเจ้านาย เพราะเราสองคนหน้าคล้ายกันอีกด้วย

นั่งคุยกันได้ไม่นาน เสียงแจ้งเตือนที่ดังขึ้นก็ทำให้อีกฝ่ายต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก่อนจะหันมาบอกผม

“กูไปคุยโทรศัพท์แป๊บ”

“โอเคพี่”

รู้เลยว่าแฟนโทรมา

แฟนของพี่เขาเป็นทาสแมวมืออาชีพอีกคนนึง แล้วก็เป็นคนสอนผมเลี้ยงมะตูมด้วย

ผมเลี้ยงไอ้ตูมอยู่สักประมาณ 2 เดือน แบบที่แค่ให้กินอาหารกับมีห้องน้ำให้ จนคนในบริษัทเริ่มรู้เรื่องที่ผมกำลังหัดเลี้ยงแมว เจ้านายกับแฟนก็เลยมาแนะนำเรื่องที่ผมควรทำ

ตั้งแต่พาไปเจาะเลือดเพื่อตรวจโรค ทำวัคซีน แนะนำให้รู้จักอาหารเกรดพรีเมี่ยมราคาแพง ไปจนถึงอาหารคุณภาพดี แต่ราคากลางๆ แบบที่พอจะจ่ายเงินซื้อได้ในตอนนั้น บอกเคล็ดลับว่าผมสามารถเอาอาหารราคาแพงมาผสมกับอาหารเกรดกลางๆ ก็ได้ ก็ปรับไปตามงบประมาณที่มี

แล้วผมก็ได้รู้ว่าทั้งคู่เลี้ยงแมวสีขาวอยู่ตัวนึง เป็นพันธุ์สก็อตติชโฟล์ดแบบหูไม่พับ ที่สำคัญคือ ตอนนี้แมวตัวนั้นอายุเกือบจะ 20 ปี ถ้าเทียบเป็นอายุคน ก็คนอายุเกิน 100 ปีไปแล้ว แต่น้องแมวตัวนั้นก็ยังแข็งแรงสุขภาพดีอยู่

บอกตามตรงว่าถ้าไม่มี 2 คนนี้มาคอยให้คำแนะนำ ไอ้ตูมก็ไม่มีทางโตขึ้นมาเป็นหนุ่มแน่นสุขภาพดี จนมีเมียสวยแบบตอนนี้หรอก

นั่งอยู่คนเดียวสักพัก ผมก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูบ้าง เพื่อที่จะเห็นว่าไม่มีรูปมะตูมส่งมาเลยตั้งแต่บ่าย 3 โมง ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะพิมพ์ข้อความ แต่ยังไม่ทันกดส่ง อยู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เลยเลื่อนหน้าจอย้อนไปดูสิ่งที่ผมส่งไปเมื่อตอนเที่ยง เพื่อจะพบว่ามันเป็นข้อความเดียวกันกับสิ่งที่ผมพิมพ์อยู่ในตอนนี้ ก็คือประโยค ‘เป็นยังไงบ้างคุณ’

เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ จับเจ่าอะไรประมาณนั้นเลยว่ะ

แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเบียร์ 1 กระป๋องที่ดื่มเข้าไปหรืออะไรกันแน่ แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนไปเลือกดูรายชื่อที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ แล้วโทรออกเบอร์ที่บันทึกเอาไว้ว่า ‘คุณไป๋’

รออยู่สักพัก อีกฝ่ายก็รับสาย แล้วส่งเสียงมา

“ฮัลโหล”

“หวัดดีคุณ ผมโทรมากวนมั้ยเนี่ย?”

“ไม่อะ”

“คุณไม่ได้ทำงานอยู่ใช่มั้ย?”

คือจากที่ผมสังเกตอะ คนปลายสายมักจะชอบนั่งทำงานหน้าคอมตอนดึกๆ อาจจะเป็นฟรีแลนซ์พวกงานออกแบบหรือกราฟฟิคอะไรทำนองนั้นล่ะมั้ง

“ตอนนี้ไม่”

“งั้น... มะตูมเป็นไงบ้างคุณ เอ๊ย! ไม่เอา ถามใหม่ๆ เป่าเป้ยเป็นไงบ้าง?”

“สบายดีทั้ง 2 ตัว”

“ตูมเข้าห้องน้ำได้ใช่มั้ย?”

“ได้ ไม่มีปัญหาอะไร”

“อือฮึ ดีแล้ว”

ผมรับคำ มองกระป๋องเบียร์ว่างเปล่าที่วางอยู่ พร้อมกับคิดว่าจะถามอะไรต่อดี จนกระทั่งเลื่อนสายตาไปเห็นนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือตัวเอง

“สี่ทุ่มแล้วเหรอเนี่ย? ปกติป่านนี้คุณจะนั่งทำงานอยู่นี่”

“หือ?”

“เอ๊ย.. คือผมไม่ได้แบบ โรคจิตชอบแอบมองอะไรงี้นะ แต่หน้าต่างห้องนอนผม กับมุมที่คุณนั่งทำงานตรงชั้น 1 อะ มันใกล้กัน บางทีเวลาผมมองโน่นมองนี่ มันก็เห็นบ้าง ว่าคุณนั่งทำงานจนดึกทุกวันเลย”

“เหรอ?”

พอได้ยินคำตอบ ผมก็ถอนหายใจออกมา แล้วพูดต่อ

“ยิ่งพูดยิ่งดูแย่ยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมเกรงใจคุณนะ ฝากแมวไว้แล้วก็ไม่อยากเงียบไป ดูเหมือนไม่ใส่ใจยังไงไม่รู้ ผมยิ่งดูเหมือนทาสแมวเกรดบี ไม่ๆ ๆ เกรดซีในสายตาคุณอยู่ด้วย เลยไม่อยากฝากไว้แล้วทำเหมือนไม่ใส่ใจ เข้าใจใช่มั้ย?”

“อืม อธิบายยาวมากเลยอะ”

“พอโทรมาก็กังวลว่าจะกวนเวลาทำงานคุณอีก เฮ้อ เลิ่กลั่กไปหมด”

และถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง น่าจะมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากปลายสายนะ

“อันที่จริงผมก็ทำงานอยู่นั่นแหละ ขอบอกอีกครั้งว่าแมวทั้งสองตัวสบายดี แล้วผมก็ไม่มีปัญหาอะไร”

“อ้าว แล้วเมื่อกี๊บอกไม่ทำ”

“ก็ตอนตอบคุณผมคุยโทรศัพท์อยู่ จะทำงานได้ไง”

“นี่ไม่ได้กวนผมใช่มะ?”

“นิดนึงก็ได้”

“เออ... คุณทำงานอะไร ทำไมชอบนั่งหน้าคอมดึกๆ ดื่นๆ”

“อยากเดามั้ย?”

“ฟรีแลนซ์แน่ๆ ล่ะ กราฟฟิคมั้ย?”

“ไม่ใช่”

“ขายของออนไลน์เหรอ?”

“ไม่ใช่”

“โห ไม่เดาแล้วได้มั้ย? ผมเดาไม่เก่ง”

แล้วเสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝั่งก็ดังมาอีก พร้อมคำตอบ

“ผมเป็นนักแปล”

“นักแปล?”

“ใช่”

“แปลอะไรอะคุณ”

“ก็...ส่วนใหญ่จะเป็นเอกสารของบริษัทต่างประเทศ พวกสัญญา โครงการ หรือเอกสารจากทนายทำนองนั้น”

“โห...ฟังดูยาก”

“ทำงานอะไรก็ยากทั้งนั้นแหละ”

“ก็จริงของคุณ”

“แต่แปลพวกเอกสารทางการมันก็น่าเบื่อจริงๆ นั่นแหละ บางทีผมก็เปลี่ยนแนวมาแปลนิยายบ้างเหมือนกัน”

“นิยาย? นิยายแบบไหน?”

“นิยายรัก”

“ฮะ? ! นิยายรักเนี่ยนะ?”

“อืม...”

ก็ยอมรับอยู่หรอกว่าเสียงดังไปหน่อย แต่เอาจริงๆ รอบนี้คือการตกใจที่สมเหตุสมผลครั้งนึงในชีวิตผมเลยนะ

ลองนึกภาพคุณไป๋ที่ตัวขาวๆ ไม่ได้สูงมาก ชอบทำเป็นเย็นชา หน้าตาบึ้งตึงใส่ผมตลอดเวลา แต่รักแมวสุดชีวิต คนที่เดินทำหน้านิ่งมาบอกผมที่หน้าบ้านเมื่อวันก่อนว่า ‘แมวคุณทำแมวผมท้อง’ แถมยังเทศนาผมต่อเป็นชุดว่าไม่ควรเลี้ยงแมวแบบปล่อยปละละเลยอย่างที่ทำอยู่ แต่ก็อนุญาตให้ผมเข้าไปดูแมวที่บ้าน แถมยังช่วยดูมะตูมให้ระหว่างที่ผมมาทำงาน

คุณไป๋คนนั้นอะนะ แปลนิยายรัก?

ตอนบอกว่าเอกสารราชการน่ะไม่ตกใจเท่าไหรหรอก แต่พอนิยายรักนี่ดิ นึกไปนึกมา อีกฝ่ายถึงกับตั้งชื่อแมวว่า ‘เป่าเป้ย’ ซึ่งแปลว่าที่รัก ก็ดูมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน

ไม่ทันไร คำถามก็ดังขึ้นมา

“นี่คือวางสายไปแล้วใช่มั้ย?”

“ยังอยู่!”

เนี่ย คราวนี้ชัดเจนเลยว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะ ถึงจะเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ก็เหอะ

“ตกใจมากเหรอ?”

“ก็พอตัว”

แล้วเสียงหัวเราะก็ตามมาอีก ผมเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ

“แอบอยากรู้ขึ้นมาเลย ว่าคุณจะแปลนิยายรักออกมาเป็นแบบไหน”

“จะเป็นแบบไหนมันก็อยู่ที่คนเขียนหรอก”

“คุณเขียนก็ส่วนนึง คุณก็ส่วนนึงสิ สมมติ Cat ที่แปลว่าแมว คนนึงอาจจะแปลว่า ‘แมว’ ตรงๆ ไปเลย อีกคนแปล อาจจะเลือกใช้คำว่า ‘เจ้าเหมียว’ เงี้ย ความรู้สึกมันก็ต่างกันแล้ว”

“...”

พอเขาเงียบ ผมก็เริ่มไม่มั่นใจว่าสิ่งที่คิดอยู่มันถูกต้องรึเปล่า จนต้องถาม

“ถูกมั้ย?”

“ก็ใช่”

“แต่คุณรู้มั้ย เวลาผมเห็นตัวหนังสือเยอะๆ อะ รู้สึกเหมือนโดนวางยานอนหลับทุกทีเลย”

พูดจบผมก็หาวออกมาทันที

“เห็นมั้ย แค่พูดคำว่าหนังสือก็ง่วงแล้ว”

“นอนมั้ยคุณ”

“ตอนแรกก็ง่วงนิดๆ อยู่นะ แต่ตกใจเรื่องคุณเมื่อกี๊ ตาสว่างเลย”

“ไปนอนเลย ผมจะทำงานต่อแล้ว”

“โอเคๆ อ๋อ ก่อนวางขอบอกอะไรอย่างนึงได้ปะ เวลาคุยโทรศัพท์นี่คุณพูดเยอะกว่าปกติรึเปล่านะ”

“มั้ง...”

“นั่นสิ ฝันดีนะคุณ พรุ่งนี้ก็ฝากมะตูมอีกวันนะ”

“ได้เลย”

“โอเค งั้นผมวางละ”

“อืม...”

แล้วอีกฝ่ายก็วางสายไป ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ ขมวดคิ้วเข้านิดๆ แล้วสุดท้ายก็เผลอยิ้มออกมากับความคิดของตัวเอง

คุยกันยาวเฉยเลย...

,

วันต่อมาผมทำงานต่อจนถึงช่วงเย็น ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพ ระหว่างทางก็เล่าเรื่องไอ้ตูมให้เจ้านายฟัง ตั้งแต่มันไปทำสาวท้อง จนต้องพาไปทำหมันแล้วฝากไว้กับบ้านข้างๆ ทั้งหมดก็เพื่อให้พี่แกพาผมแวะร้านของฝากสักที่ จะได้แวะซื้ออะไรกลับไปฝากคุณไป๋เขาหน่อย

สุดท้ายก็ได้เค้กบ้านสวนติดมือมากับผัดหมี่โคราชแบบสำเร็จรูป ที่ตั้งใจว่าจะเอาไปฝากพี่สาวด้วย ส่วนเจ้านายผมก็ซื้อของหลายอย่างเอาไปฝากแฟน แล้วก็ทุกคนที่ออฟฟิศ

พอขึ้นรถมาได้ผมก็จัดการถ่ายรูปของที่ซื้อมาส่งให้คนข้างบ้าน พร้อมพิมพ์ข้อความต่อ



‘ซื้อของฝากมาให้คุณด้วย’

‘พอซื้อเสร็จถึงนึกขึ้นมาได้’

‘คุณกินเค้กได้ใช่มั้ย?’


‘กินได้สิ’



สักพักก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นมาอีก พอกดเข้าไปดูก็เห็นรูปแหนมตุ้มจิ๋วของไอ้ตูมตัวแสบ



‘ผมทายาให้มะตูมแล้วนะ’



เห็นอย่างนั้นผมก็กดส่งสติ๊กเกอร์คำว่า ‘Thank you’ กลับไป แอบขำอยู่นิดๆ กับการที่ผมส่งรูปเค้กไป แล้วได้รูปไข่แมวกลับมา

ผมมาถึงกรุงเทพประมาณหนึ่งทุ่ม แล้วก็ให้เจ้านายส่งลงตรงซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเพื่อซื้ออาหารแมว

ตอนเอาแมวไปฝาก ผมเอาอาหารไอ้ตูมให้คุณไป๋ไปด้วย ซึ่งก็เหลืออยู่ไม่เยอะ ยังไงซื้อเผื่อไว้น่าจะดีกว่า นอกจากนี้ยังต้องซื้ออาหารเปียกไปฝากมะตูมแทนคำปลอบใจ แบบที่ทำอยู่ทุกครั้งเวลาไม่อยู่บ้านหลายวัน ถึงแม้รอบนี้จะไม่แน่ใจว่าไอ้ตูมจะเหงาหรือว่าดีใจกันแน่เพราะได้ไปอยู่บ้านเดียวกับแฟน

ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่นี่จะอยู่ไกลจากบ้านผมออกมาหน่อย ข้อดีคือด้านหลังจะมีส่วนที่จัดไว้สำหรับของใช้สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ของที่ขายก็ค่อนข้างหลากหลายและมีครบทุกอย่างที่คนเลี้ยงสัตว์ต้องใช้ ที่สำคัญคือ มีอาหารยี่ห้อที่หมอแนะนำให้มะตูมกินขายอยู่ด้วย และอาหารอะไรนั่นก็ราคากิโลกรัมละสามสี่ร้อยเลยทีเดียว

การเลี้ยงแมว แถมยังเป็นการเลี้ยงโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยี่ห้ออาหาร จากที่เคยรู้จักแค่ยี่ห้อที่โฆษณาในสื่อบ่อยๆ ผมก็ได้รู้ว่าอันที่จริงแล้วอาหารแมวมีหลายเกรดด้วยกัน แล้วเกรดของอาหารก็ส่งผลถึงสุขภาพแมวด้วย

หลังจากเข้าใจเรื่องอาหารก็มาต่อด้วยทรายแมว ของเล่นแมว ขนมแมว จากตอนแรกที่เจ้าของร้านเหล้าบอกไว้ว่าแมวตัวเดียว เลี้ยงขำๆ ไม่วุ่นวายหรอก เพราะแต่ก่อนมะตูมก็กินแค่เศษอาหารที่ร้านเหล้าเท่านั้น พอต้องมาเลี้ยงอย่างจริงจัง ก็ได้รู้ว่าโลกของการเลี้ยงสัตว์มันกว้างไกลกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก แถมค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่เล่นเลยด้วย

ระหว่างที่ผมกำลังเดินดูสูตรอาหารแมว ก็ได้แปลกใจอีกครั้งตอนที่เห็นว่ามีอาหารสำหรับแมวเพิ่งทำหมันด้วย จับพลิกไปพลิกมาอยู่สักพักก็ตัดสินใจว่าจะลองซื้อไปดูถึงแม้จะไม่ใช่ยี่ห้อที่กินอยู่ประจำ

ในตอนนที่กำลังหยิบถุงอาหารใส่รถเข็น สายตาก็มองเลยไปสะดุดกับอีกคนที่ยืนอยู่หน้าชั้นอาหารแมวไม่ไกลจากผม

“คุณไป๋”

เสียงเรียกของผมทำให้เขาหันมามอง แล้วคำตอบน่ะเหรอ

“อ้าว”

แค่นั้นแหละ

ผมเดินมาหยุดลงตรงหน้ารถเข็นของอีกฝ่ายที่จอดอยู่ แล้วก็พบว่าสิ่งที่อยู่ในมือเจ้าตัวคืออาหารสูตรสำหรับแม่แมว เลยถามออกมา

“ซื้ออาหารให้เป่าเป้ยเหรอคุณ?”

“อือฮึ ก่อนหน้านี้เป้ยกินสูตรของแมวในบ้านอยู่ แต่มันหมดแล้ว”

ตอบเสร็จเจ้าตัวก็หันกลับไปอ่านถุงอาหารแมว ส่วนผมก็มองใบหน้าด้านข้างของเขา รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมานิดหน่อยเพราะคนที่เพิ่งส่งข้อความหากันเรื่องขนม ดันมายืนอยู่ตรงหน้าได้ไงไม่รู้

สักพักคำถามก็ถูกส่งมา

“คุณมาถึงนานรึยัง?”

“เมื่อกี๊เลย ให้เจ้านายมาส่งด้านหน้าเนี่ย”

คำตอบคือการพยักหน้า และความเงียบ

พอผมเห็นว่าอีกฝ่ายท่าทางเหมือนกำลังจริงจังกับการอ่านถุงอาหารแมวมาก เลยตัดสินใจว่าจะไม่กวน แล้วเดินไปหยิบอาหารเปียกมาใส่รถเข็นตัวเองอีกกล่อง มองกลับไปอีกที คุณไป๋เค้าก็พูดขึ้นมา

“คุณ...”

“ฮึ?”

“คุณว่าแบบไหนดีกว่า”

ระหว่างที่พูด เจ้าตัวก็ยกมือขึ้นชี้ป้ายโฆษณา อันแรกบอกว่าถ้าซื้ออาหารแมวแบบเปียกสามโหล จะได้บ้านแมวแบบสีน้ำตาล ส่วนอีกอันบอกว่า ถ้าซื้ออาหารแมวแบบเม็ด 1 ถุงใหญ่ พร้อมแบบเปียก 1 โหล จะได้ปราสาทแมว อ่านจบผมก็หันไปมองสิ่งที่อยู่ในรถเข็นตัวเองแล้วพูดออกมา

“งั้นผมก็ได้ปราสาทแมวแล้วสิ”

“ใช่.. ผมว่าจะเอาไปใช้เป็นห้องคลอดเป้ย ไม่รู้แบบไหนจะเหมาะกว่า”

“ห้องคลอดเป่าเป้ย?”

เห็นมั้ย การเลี้ยงแมวทำให้โลกผมกว้างขึ้น และการที่แมวผมไปทำแมวคนอื่นท้อง ก็ทำให้โลกผมกว้างกว่าเดิมเข้าไปอีก แมวต้องมีห้องคลอดด้วย?

“อืม”

“มันต้องเป็นยังไงอะคุณ”

“ผมก็ไม่แน่ใจ คิดว่าน่าจะต้องเป็นประมาณในรูปนี่แหละ แต่ว่าต้องมีไฟให้ความอบอุ่นลูกแมวด้วย”

ฟังสิ่งที่คนตรงหน้าพูดแล้ว สิ่งแรกที่ผมนึกถึงก็คือ โมเดลที่ผมต้องตัดส่งอาจารย์ช่วงที่เป็นนักศึกษา ใช่เลย กระดาษประกอบเป็นบ้านแล้วก็มีไฟ ผมขยับเข้าไปใกล้อีกนิด อ่านรายละเอียดที่เป็นตัวหนังสือเล็กๆ ตรงมุมแผ่นโฆษณาแล้วพูดต่อ

“อันที่เป็นปราสาทขนาดใหญ่กว่านะคุณ เอาของผมไปมั้ยล่ะ?”

“ไม่เป็นไรแหละ ยังไงผมก็ต้องซื้ออยู่แล้ว”

พูดจบคุณเค้าก็หยิบอาหารสูตรแม่แมวทั้งแบบเปียกและแบบเม็ดใส่รถเข็นทันที พร้อมกับที่ผมนึกเรื่องนึงขึ้นมาได้

“คุณมายังไงอะ?”

“ขับรถมา”

“ติดรถกลับบ้านด้วยได้ปะ?”

“ไม่ได้มั้ง บ้านก็อยู่ข้างกัน”

“เนี่ย...”

คนฟังยิ้มบางๆ แล้วพูดต่อ

“งั้นก็ย้ายของจากรถเข็นคุณมาคันนี้สิ”

“โห ไปส่งที่บ้านแล้วยังเปย์กันด้วยดิ?”

“ค่อยไปแยกจ่ายตรงช่องจ่ายเงิน”

ผมหลุดขำนิดๆ ก่อนจะจัดการย้ายของตัวเองที่นอกจากอาหารแมวแล้วยังมีกระเป๋าเป้ กับของฝาก มาใส่รถเข็นคันเดียว แล้วยืนจับรถเข็นไว้เพื่อเสนอตัวเข็นรถให้ ก่อนจะถามต่อ

“คุณจะไปซื้ออะไรอีกมั้ยอะ”

“ไม่ ของผมครบแล้ว”

“งั้นขอไปซื้อทรายแมวอีกถุงนะ”

“ถ้าไม่ให้ก็จะไม่ซื้อใช่มั้ย?”

“คุณ...”

เจ้าตัวหันมาหัวเราะใส่กันทีนึง ก่อนจะเข็นรถเข็นเดินนำไปก่อน ปล่อยให้ผมเดินตาม พร้อมกับลอบถอนหายใจ อารมณ์ดีมาจากไหนเนี่ย?



พวกเรามาถึงบ้านตอนประมาณ 3 ทุ่ม หลังจากเอาของฝากให้คนที่ขับรถอยู่ ผมก็ลงรถที่หน้าบ้านตัวเอง พอไขกุญแจรั้วเดินเข้าไปก็เจอแมวสีเหลืองนั่งรอกันอยู่แล้ว

ผมมองสบตามัน ยอมวางของลงที่พื้น ยกมือขึ้นลูบหัวไปสองสามทีแล้วพูดออกมา

“คิดถึงกูอะดิ”

แล้วเสียงเมี๊ยวเบาๆ ที่ร้องกลับมาแทนคำตอบก็ทำให้ผมยิ้มได้ ถึงแม้จะเหนื่อยจากการทำงานและการเดินทางมาสองวันเต็มๆ



- to be continued -

talk .

ตอนนี้มาเจอกันเร็วหน่อยนะคะ
เพราะเราติดภารกิจไปเที่ยวภูกระดึงเชียงคานวันเสาร์พอดี้ลยมาลงให้อ่านกันก่อน
พร้อมกับขอบอกว่า
อาทิตย์หน้าของดลงนิยาย 1 เสาร์นะคะ เพราะติดเที่ยวเหมือนกัน

ได้เจอกันอีกทีก็คงจะเป็นปี 2563 ไปแล้ว
ยังไงก็ขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้ากันตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกันเนอะ
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันและเป็นกำลังใจกันมาตลอดนะคะ ปีที่แล้วเป็นอีกปีที่ยากพอตัวสำหรับเราเลย
แต่ก็ผ่านมาได้เพราะทุกคนยังอยู่ด้วยกันนี่แหละน้า
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ :)

ปล. มีแต่คนบอกว่าเป่าเป้ยจะต้องน่ารักมากแน่ๆเลย อันที่จริงเป่าเป้ยก็คือแฮนบิลของตอนที่ 2 นั่นแหละค่ะ
แว๊บเอามาแปะให้ดูอีกทีแล้วกัน
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect%20fall%2001(1).jpg)
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 2 - 181262] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 18-12-2019 23:13:04
อารมณ์ประมาณช้อปของใช้เข้าบ้านด้วยกันเลย แม้จะเป็นของแมวทั้งหมดก็เหอะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 2 - 181262] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 19-12-2019 12:40:17
เหมือนพ่อ แม่ ลูก(แมว)มาก55555

มาต่อไวๆน๊าาาาาา
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 2 - 181262] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 19-12-2019 20:12:58
เหมือนพ่อแม่มาซื้อของรอรับคลอดหลานเลยค่ะ

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 2 - 181262] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 19-12-2019 21:42:01
ตอนแรกนึกว่าคุณไป๋จะรำคาญซะอีก พูดน้ำไหลไฟดับแล้วยังจะเอาแมวมาฝากอีก มีตบมุกกับไปมา ดีจังเลย ♥️

ปล. เที่ยวให้สนุกนะค๊าาาา
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 2 - 181262] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Keane ที่ 21-12-2019 08:33:13
:pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 2 - 181262] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 21-12-2019 12:52:17
เอ็นดูคุณไป๋   :catrun:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 2 - 181262] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-12-2019 23:46:30
แลดูเป็นครอบครัวสุขสันต์พากันซื้อของเข้าบ้าน 55555 จะรออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 2 - 181262] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 04-01-2020 18:39:34
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect%20fall%2001.jpg)
- 03 -

   คุณไป๋บอกว่าเป่าเป้ยมีนัดไปหาหมออีกครั้งวันศุกร์ แล้วมีเหรอที่ผมจะไม่ไปด้วย เย็นวันนั้นผมขอออกจากที่ทำงานล่วงหน้าหนึ่งชั่วโมง จนพี่ที่ทำงานถึงกับทักว่าจะรีบไปไหน ส่วนคำตอบน่ะเหรอ?

   “ลูกสะใภ้มีนัดไปหาหมอว่ะพี่”

   พวกพี่ๆ คงงงไปแล้ว ถ้าเจ้านายผมไม่หันมาอธิบายเพิ่ม

   “แมวมันไปทำแมวข้างบ้านท้อง มันก็เลยต้องรับผิดชอบ”

   ได้ยินอย่างนั้นคำถามก็ตามมาทันที

   “มะตูมที่เป็นรูปหน้าจอคอมมึงอะนะ”

   “ใช่พี่ ไอ้ตูมตัวนั้นนั่นแหละ”

   คุยกันอีกนิดหน่อยผมก็ออกจากที่ทำงานมาทันที

   คุณไป๋เค้าพาเป่าเป้ยไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์เดียวกันกับที่ผมพาไอ้ตูมไปทำหมัน ก่อนออกมาก็ไลน์ไปถามแล้วแหละว่าถึงรึยัง และได้คำตอบว่าคุณเค้าเพิ่งมาถึงคลินิก กำลังจะเข้าไปข้างใน

   ที่ทำงานผมกับคลินิกอยู่คนละฝั่งกันเลย ถ้านับบ้านเป็นจุดศูนย์กลาง ระหว่างทางรถติดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ ใช้เวลาเดินทางสักพักผมก็มาถึง จอดรถเสร็จ เดินเข้าไปก็เจออีกฝ่ายนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เลยไปนั่งลงข้างๆ แล้วถามต่อ

   “เป็นไงบ้างคุณ”

   “เอ็กซเรย์แล้ว รอหมอเรียกเข้าไปดูฟิล์ม”

   “อ้าว ผมมาไม่ทันเหรอเนี่ย อุตส่าห์อยากเห็นโมเม้นนี้ของเป้ย”

   ระหว่างที่พูดออกมา ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วเปิดรูปที่เซฟมาจากอินเตอร์เน็ตให้ดู  มันเป็นรูปแมวสีส้มที่นั่งอยู่บนตักคน พร้อมกับโดนเครื่องอะไรบางอย่างแตะตรงท้อง

   จุดที่น่ารักคือสีหน้าเจ้าเหมียวที่รูปแรกดูเหมือนกำลังงง รูปที่สองหันไปมองจอ ส่วนรูปที่สามก็ทำหน้าตกใจ เหมือนอึ้งไปแล้วที่ตัวเองท้อง

   “อันนี้คืออัลตร้าซาวด์ ทำไปตั้งแต่วันก่อนแล้ว ส่วนวันนี้เป็นเอ็กซเรย์ ไม่เหมือนกัน”

   “อ้าวเหรอ แล้ววันนั้นเป้ยทำหน้าแบบในรูปปะ?”

   เขามองผม ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วตอบกลับ

   “ไม่อะ”

   “เสียดายเลย”

   พูดจบผมก็ก้มลงไปมองเป่าเป้ยที่นอนอยู่ในกรงหิ้วแบบเดียวกันกับของมะตูมแต่คนละสี ดูท่าทางเจ้าเหมียวก็นิ่งสนิทดี ไม่โวยวายอะไรจนต้องหันมาพูดกับพ่อแมวที่นั่งอยู่

   “เป้ยนิ่งมากเลย คุณรู้มั้ย ไอ้ตูมนะ สติแตกทุกทีที่มาโรงพยาบาล ร้องหง่าวๆ ๆ แถมยังทำตาโตด้วย”

   คนฟังเหลือบมามองกันนิดๆ แล้วตอบกลับ

   “ก็สมกับเป็นแมวคุณ”

   “เฮ้ย? ผมไม่เคยร้องหง่าวๆ แล้วก็ทำตาอย่างนี้เลยนะ”

   ระหว่างที่พูดผมก็เบิ่งตาให้โตขึ้น คนมองเกือบจะหลุดขำ แต่ก็ไม่ตอบอะไร จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ส่งเสียงเรียกขึ้นมาว่า ‘น้องเป่าเป้ย เชิญพบคุณหมอค่ะ’

   นึกถึงตอนผมพาไอ้ตูมทำหมัน เจ้าหน้าที่ก็เรียกแบบนี้เหมือนกัน ‘น้องมะตูม เชิญพบคุณหมอค่ะ’ คำเดียวกัน พนักงานก็คนเดียวกัน แต่ตอนเรียกไอ้ตูมประโยคฟังดูไม่เห็นอ่อนโยนเหมือนเรียกเป้ยเลย ติดตลกซะด้วยซ้ำ

   พอโดนเรียกพวกผมก็ลุกขึ้น เดินตามทางเพื่อเข้าไปในห้อง

   เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสคุยกับคุณไป๋เลยได้รู้ว่า ที่อีกฝ่ายเอาเป้ยไปหาหมอก็เพราะสังเกตเห็นว่านมของลูกสาวสุดที่รักเค้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู คิดอยู่ 2 อย่างว่า ถ้าไม่ใช่กำลังจะหง่าวอยากมีแฟน ก็คงพลาดไปท้องกับใครเข้าแล้ว เพราะมะตูมก็เดินไปมาเข้าออกบ้านอยู่บ่อยๆ เลยพามาให้หมอตรวจดู

   แล้วก็อย่างที่เห็น ผลออกมาว่าคุณเธอท้องได้ประมาณเดือนนึง แถมยังได้ความรู้เพิ่มด้วยว่าแมวจะใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 2 เดือน แสดงว่าอีกไม่นานผมก็คงจะได้เห็นหน้าหลานแล้ว

   พอเข้ามาในห้องคุณหมอก็เริ่มอธิบายว่าสิ่งที่เพิ่งทำไปคือการเอ็กซเรย์แมว เพื่อดูจำนวนลูกที่แน่นอน และยังดูได้ด้วยว่าคุณแม่มือใหม่จะสามารถคลอดลูกเองได้รึเปล่า

   หลังจากนั้นคุณหมอก็ยกฟิล์มขึ้นมาส่องไฟพร้อมกับใช้ปลายปากกาชี้ให้ดูว่าตอนนี้ในท้องของเป่าเป้ยน่าจะมีเจ้าตัวเล็กอยู่ 4 ตัว

   ส่วนของการดูกระดูกอุ้งเชิงกรานกับหัวลูกแมวเพื่อวิเคราะห์ว่าเป้ยจะสามารถคลอดลูกเองได้มั้ย คำตอบก็คือได้ สบายมาก เวลาคลอด น่าจะประมาณ 1 สัปดาห์นับจากวันนี้

   นอกจากการดูฟิล์มและอธิบายว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว หมอยังแนะนำวิธีการเตรียมตัว ดูแลแม่แมวมือใหม่ระหว่างคลอดอีกด้วย

   เจ้าของแมวตัวจริงน่ะ นั่งฟังคำพูดพวกนี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่งเป็นที่สุด และคนที่ตื่นเต้นมากกว่าก็คือผม สัปดาห์หน้าก็คลอดแล้วเหรอวะ? ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก!

,

   วันต่อมา ทั้งผมและมะตูมก็มานั่งอยู่ที่บ้านหลังข้างๆ เพื่อดูปราสาทแมวที่ได้มาเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน และหาวิธีทำให้มันเป็นห้องคลอดมที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเป่าเป้ย ตอนแรกผมเข้าใจว่าแค่เอาลังมาส่องไฟก็คลอดได้แล้ว จนกระทั่งฟังคำแนะจากหมอถึงได้รู้ว่ามันยังมีอะไรมากกว่านั้น เพราะแม่แมวจะใช้ลังใบนี้เพื่อคลอดลูก และเลี้ยงลูกแมวอยู่ในนั้นอีกเป็นเดือนทีเดียว

   นอกจากคำแนะนำเรื่องสถานที่แล้ว คุณหมอยังบอกอีกว่า นี่เป็นท้องแรกของเป่าเป้ย สิ่งที่ต้องจับตาดูให้ดีคือ แม่แมวสามารถคลอดได้ด้วยตัวเองรึเปล่า หลังจากคลอดแล้วสามารถจัดการกับลูกได้ไหม ซึ่งถ้าทำไม่เป็น สิ่งที่เจ้าของแมวต้องทำคือการฉีกรก และตัดสายสะดือให้ลูกแมว

   เอาจริงปะ แค่ฟังก็สยองแล้ว

   ห้องคลอดที่เคยคิดว่าเป็นลังส่องไฟ ก็ต้องเตรียมเหมือนกัน เพราะต้องมีผ้าปูรองให้ด้านล่าง หรือไม่ก็เป็นทิชชู่อย่างหนาที่สามารถซับความชื้นได้

   รอบด้านควรมีความมิดชิดประมาณนึง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าพฤติกรรมของแม่แมวจะเป็นยังไงระหว่างคลอด รวมไปถึงตอนที่ดูแลลูก บางตัวอ้อนเจ้าของมากขึ้นและต้องการให้เจ้าของอยู่ใกล้ๆ เพื่อเป็นกำลังใจตลอดเวลา แต่ก็มีบางตัวที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเอามากๆ

   ถ้าเป่าเป้ยเป็นอย่างหลัง ขอบอกเลยว่าปราสาทแมวที่ได้มาอาจจะไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นห้องคลอดสักเท่าไหร่ เพราะมีประตูถึงสองบาน แถมยังเจาะเป็นหน้าต่างรอบด้านเข้าไปอีก

   เมื่อวานนนี้ หลังจากคุยกับคุณหมอเสร็จ ผมก็ลองแนะนำสิ่งที่ควรทำกับปราสาทแมวเพื่อให้สามารถใช้เป็นห้องคลอดได้ และได้คำตอบสั้นๆ กลับมาว่า

   “ผมไม่เก่งงานฝีมือ”

   และนั่นก็ทำให้เรามาจบลงตรงนี้ ตรงที่ผมกำลังใช้โทรศัพท์มาหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่าควรทำห้องคลอดแมวยังไง    อ่านไปสักพักก็เงยหน้ามาคุยกับคนข้างๆ

   “เค้าบอกว่าถ้าให้ดี ด้านหน้าควรมีขอบยกขึ้นนิดนึง เพื่อไม่ให้ลูกแมวคลานออกมา”

   “จริงด้วย”

   “แล้วก็ ทั้งแม่แมวและลูกแมวจะอยู่ในนี้ไปเป็นเดือนเลย ทางที่ดีไซส์ควรจะใหญ่หน่อย เผื่อแมวเด็กโต”

   ผมพูดพลางขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น แล้วก็ส่งโทรศัพท์ไปให้ดูรูป คุณไป๋เค้าเงียบไปสักพักพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเลื่อนดูรูปภาพจากมือถือของผม แล้วก็พูดออกมา

   “งั้นอันนี้ก็ใช้ไม่ได้”

   “เอางี้ ผมมีที่ๆ น่าจะหาลังใบใหญ่ได้อยู่ เราค่อยไปดูกัน ในเน็ตเค้าเอาฟิวเจอร์บอร์ดมาใส่ไปในลังทั้งสี่ด้านแล้วก็ทำเป็นประตูเปิดปิดได้ เราก็ทำตามไปเลย ถ้าจะให้ดีเจาะด้านนึงเอาไว้เป็นช่องสำหรับส่องไปด้วยก็ได้”

   ฟังจบ คนที่นั่งอยู่ข้างกันก็พูดออกมาสั้นๆ

   “มันดูยากมากเลยอะ”

   ได้ยินแล้วถึงกับหลุดขำ ก่อนที่ผมจะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

   “ไม่ยากหรอกคุณ”

   “...”

   พอเห็นสีหน้าคนพูด ผมก็นึกขึ้นมาได้

   “อ๋อ คุณไม่เก่งงานฝีมือนี่เนอะ”

   “แล้วจะทำไม?”

   ผมยักไหล่แทนคำตอบ นั่งอ่านโพสที่เจ้าของแมวมารีวิวการทำคลอดต่อไปเรื่อยๆ จนจบ ก่อนจะหันมาพูดกับคนข้างๆ

   “เดี๋ยวทำให้ แค่นี้เอง แป๊บเดียวก็เสร็จ”

   “...”

   ทันทีที่ผมพูดจบ สีหน้าของอีกคนก็บอกชัดเลยว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จนผมต้องพูดซ้ำ

   “อย่าดูถูกสกิลตัดโมของเด็กถาปัตย์นะคุณ แค่เนี้ยยังไม่ถึงหนึ่งในร้อยของสิ่งที่ผมทำมาตลอด 5 ปีด้วยซ้ำ”

   “โม้เก่ง”

   “เดี๋ยวทำให้ดู”

   พอหันไปยิ้มให้พร้อมกับยักคิ้ว อีกฝ่ายก็ทำหน้ายุ่งกลับมา จนผมถึงกับหลุดขำ

   บอกไปรึยังนะ ว่าคุณไป๋เขาขับ Nissan Juke ตัวใหม่ ส่วนผมมี Nissan เหมือนกัน แต่เป็น Nissan Figaro รถคลาสสิคยุค 90 ที่พ่อผมอ้างว่าซื้อให้ลูก ทั้งที่ตัวเองเป็นคนอยากได้ แถมในบ้านยังมีมอเตอร์ไซค์เวสป้าที่พ่อซื้อมาด้วยเหตุผลเดียวกันอีกหนึ่งคัน และวันนี้คนข้างบ้านเขาก็นั่งอยู่ในรถคันจิ๋วของผมนี่แหละ

   เรากำลังไปร้านขายเครื่องเขียนเพื่อซื้อฟิวเจอร์บอร์ดสำหรับทำห้องคลอดให้เป่าเป้ย แล้วผมก็ตั้งใจจะมาขอลังกระดาษจากที่ร้าน ซึ่งสนิทกับผมตั้งแต่สมัยเรียน

   ที่นี่มีทั้งเครื่องเขียนทั่วไป จนถึงอุปกรณ์ที่ต้องใช้สำหรับทำโมเดลเพื่อส่งอาจารย์ ส่วนอีกฝั่งแบ่งเป็นร้านถ่ายเอกสารที่มีเครื่องพริ๊นต์ตัวใหญ่ เหนือสิ่งอื่นใด ที่นี่ให้พวกผมเซ็นไว้ก่อนได้ เวลาไม่มีเงินจ่ายค่างาน ค่าของ คิดดูว่ากว่าจะมีวันนี้ ผมเคยเป็นหนี้ร้านถ่ายเอกสารมาแล้ว

   พอได้ของทุกอย่างที่ต้องการ พวกเราก็กลับมาที่บ้าน แล้วก็ลงมือทำห้องคลอดให้เป่าเป้ยทันที

   ตรงหน้าผมมีลังใบใหญ่ ถัดไปเป็นฟิวเจอร์บอร์ด อุปกรณ์อื่นๆ ที่ซื้อไว้ทำงานตั้งแต่สมัยเรียน  และมะตูมกับเป่าเป้ยที่ตอนนี้กลายเป็นแมวท้องโตไปเรียบร้อย

   สิ่งแรกที่ต้องทำน่าจะเป็นการวัดขนาดลัง สักพักเจ้าของบ้านก็เดินมาจากห้องครัว พร้อมยื่นแก้วน้ำกับกล่องขนมที่น่าจะเป็นคุ้กกี้มาให้แล้วพูดต่อ 

   “บ้านผมไม่ค่อยมีอะไรกินอะ”

   “คุณอยู่คนเดียวนี่เนอะ”

   “ใช่...แล้วผมก็ไม่ชอบทำอาหารด้วย”

   “เหมือนกัน ว่าแต่คุณซื้อบ้านหลังนี้เหรอ?”

   ระหว่างที่มือกำลังทำโน่นทำนี่ รวมไปถึงผลักไอ้ตูมที่เดินเข้ามาเกะกะวุ่นวายให้หลบออกไป ผมก็ชวนอีกคนคุยไปด้วย ก็ดีกว่านั่งเงียบๆ ใช่มั้ยล่ะ

   “เปล่า ที่นี่เป็นบ้านของคุณพ่อผมมาก่อน คือ...ท่านเสียไปได้ 8 ปีแล้ว”

   “อ๋อ แสดงว่าคุณลุงที่เคยอยู่ที่นี่คือคุณพ่อของคุณ นึกออกอยู่หรอกว่าบ้านนี้เคยมีคนอยู่ แต่ก็นานแล้วเนอะ”

   “งั้น...คุณก็เคยเจอพ่อผม”

   “จะว่าเคยเจอก็ใช่นะ แต่ก็จำอะไรไม่ค่อยได้ ตอนนั้นผมเรียนมัธยมอยู่ เอาแต่เล่นเกมไม่ใส่ใจอะไรหรอก”

   “8 ปีก่อนยังเรียนมัธยม ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้คุณก็อายุ...”

   “26 ขอถามกลับ แล้วคุณล่ะ?”

   “ผม 28 แล้ว”

   แล้วทำไมต้องทำหน้าไม่พอใจที่ตัวเองอายุเยอะกว่าล่ะนั่น?

   “เฮ้ย งั้นคุณก็เป็นพี่ผมอะดิ”

   “เรียกพี่เลย”

   “ไม่เอาหรอก”

   “นิสัยไม่ดี”

   ได้ยินแล้ว ผมก็ต้องหลุดขำ ตอบกลับ ก่อนจะกลับไปกรีดฟิวเจอร์บอร์ดตามขนาดที่วัดไว้ แล้วตอบกลับ

   “ไม่ชินไง แล้วก่อนจะมาอยู่ที่นี่ คุณอยู่ที่ไหน”

   “ผมอยู่บ้านของแม่ คือพ่อแม่ผมหย่ากันตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมก็อยู่กับบ้านฝั่งแม่มาตลอด ระหว่างนั้นก็ยังติดต่อกับพ่ออยู่เรื่อยๆ นะ จนพ่อเสียบ้านหลังนี้ก็ตกเป็นของผม”

   ผมพยักหน้ารับเงียบๆ แล้วก็ไม่อยากถามอะไรต่ออีก เพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป แต่อีกคนกลับเล่าออกมาด้วยท่าทีสบายๆ

   “ช่วงเรียนมหาลัยอะ ผมอยู่คอนโด พอย้ายมานี่ก็ยกคอนโดให้น้องสาวคนละพ่ออยู่ต่อ แม่ผมแต่งงานใหม่น่ะ”

   “อ๋อ ผมไม่เคยอยู่คอนโดหรอก แต่คิดว่าอยู่บ้านน่าจะสบายใจกว่าอยู่เป็นห้องอะ ยิ่งมีสัตว์เลี้ยงด้วย ยังไงบ้านก็เหมาะกว่า”

   “ใช่เลย ตอนแรกผมแพลนไว้ว่าย้ายมาอยู่บ้านแล้วจะเลี้ยงแมวเพิ่ม เลยไปติดต่อพ่อพันธุ์บริติชชอร์ตแฮร์ไว้ เพราะอยากให้เป้ยมีลูก ที่ผมบอกคุณ จำได้มั้ย?”

   “จำได้สิ คุณดูโกรธมาก เหมือนจะฆ่าผมได้เลยตอนนั้นอะ”

   แล้วคำตอบก็คือรอยยิ้มมุมปาก

   “ผมเห็นมะตูมตั้งแต่วันแรกๆ ที่ย้ายมาแล้ว ไม่สิ เห็นตั้งแต่ตอนรีโนเวตบ้านด้วยซ้ำ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแมวจรอยู่หรอก แต่มีช่วงนึงคุณใส่ปลอกคอให้มะตูมนี่ ก็เลยรู้ว่ามีบ้าน จับตาดูอยู่ไม่นานก็รู้ว่าเป็นแมวบ้านคุณ”

   “ใช่ ไอ้ตูมใส่อยู่ไม่ถึงอาทิตย์ แล้วเอาไปทำหายที่ไหนไม่รู้”

   สุดยอดปะล่ะแมวผม

   “มีวีรกรรมตลอดเลยนะเรา”

   แน่นอนว่าคุณไป๋เค้าไม่ได้พูดกับผม โน่น พูดกับไอ้ตูมที่นั่งหน้าเหลืองหลับตาพริ้มเพราะคนพูดเกาคางให้อยู่นั่น ผมมองคนที่ส่งสายตาอ่อนโยนไปให้มะตูมแล้วก็ยิ้มตามไปด้วย

   หลังจากนั้นไม่นานผมก็ตัดฟิวเจอร์บอร์ดเสร็จ ใส่เข้าไปในลังกระดาษทีละด้าน และหันไปให้อีกคนที่นั่งอยู่ดู แล้วถามต่อ
 
   “พอได้เนอะ”


   คนฟังพยักหน้ารับพร้อมตอบกลับ

   “ดูดีเลย”

   “เดี๋ยวเจาะช่องข้างๆ ไว้ส่องไฟนิดนึง แล้วทำที่กั้นด้านหน้าแบบในรูป แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย”

   “ผมไปเอาโคมไฟมาให้แล้วกัน”

   “โอเค”

   ผมต้องรออีกฝ่ายเอาโคมไฟลงมาถึงจะสามารถกำหนดว่าควรจะเจาะลังตรงส่วนไหน โชคดีที่โคมไฟเป็นแบบที่ขาตั้งเป็นลวดซึ่งสามารถดัดขึ้นลงได้ตามการใช้งาน พอได้จุดที่แน่นอนก็จัดการลากดินสอเป็นวงกลมบนลังกระดาษ ก่อนจะหยิบคัตเตอร์ขึ้นมาตัด ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายพูดออกมา

   “คุณจบสถาปัตย์จริงๆ ด้วย”

   “ฮึ?”

   “วงกลมที่คุณวาดมันกลมมากเลย”

   ผมยิ้มรับ แล้วพูดต่อ

   “เห็นมั้ยล่ะ เมื่อวานใครหาว่าผมโม้ฮึ?”

   “ถอนคำพูดก็ได้”

   “ผมจบสถาปัตย์ก็จริง แต่เป็นเอกการตกแต่งภายใน บางที่ก็จะเรียกว่ามัณฑนศิลป์”

   “อ๋อ...”

   “ตอนคุณรีโนเวตบ้านอะ ผมโดนพี่ที่ทำงานล้อเลยรู้ปะ งานอยู่ข้างบ้านผมเลย แต่คุณก็ไปจ้างคนอื่น”

   “จริงด้วย”

   คนฟังหลุดขำ เอื้อมมือไปเกาหัวไอ้ตูมสองสามครั้ง พูดต่อเจือเสียงหัวเราะ

   “แถมยังเกือบขโมยแมวคุณแล้ว ถ้าไม่เห็นว่าใส่ปลอกคอไปซะก่อน”

   “ขโมยไอ้ตูมไปแล้วเอาเป่าเป้ยมาแลกได้นะ ผมไม่ขัด”

   “แต่ผมขัด”

   “อ้าวเหรอ?”

   หลังจากผมกรีดกระดาษเสร็จเสร็จ ก็ต้องวาดวงกลมอีกครั้งตามรอยของลังที่กรีดไว้ เพื่อจะตัดฟิวเจอร์บอร์ดให้เป็นช่องในจุดเดียวกัน และด้วยความที่พื้นบ้านเป็นกระเบื้องที่ลื่นอยู่พอตัว คนตรงหน้าเลยยื่นมือมาช่วยผมจับฟิวเจอร์บอร์ด พอลองประกอบทุกอย่างกลับไปอีกครั้ง ห้องคลอดเป่าเป้ยก็เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นมาก
 
   ระหว่างที่ผมกำลังวัดขนาดทางกั้นไม่ให้ลูกแมวคลานออกมาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อยู่ๆ ไอ้ตูมมันก็เดินเข้าไปในลัง แล้ววางมาดทำเป็นดมโน่นดมนี่อยู่พักใหญ่

   นี่ก็หาซีนเก่งตลอด!

   หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย มีฟิวเจอร์บอร์ดเหลืออีกหน่อยผมเลยเอามาติดเป็นกันสาดง่ายๆ  หลังจากเช็คดูและพบว่าไม่มีอะไรที่ต้องทำเพิ่มอีก ก็หันไปคุยกับอีกคนที่ตอนนี้เอาหวีมาแปรงขนแมวอยู่ไม่ไกล แถมยังเอื้อเฟื้อแปรงขนสั้นๆ แข็งๆ ให้ไอ้ตูมด้วย ก่อนที่ผมจะหันไปคุบกับเขา

   “น่าจะเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ เหลือแค่ซื้อของที่ต้องปูด้านใน กับพวกเครื่องมือที่ต้องใช้ตอนคลอด ไปซื้อให้เสร็จวันนี้เลยมั้ยล่ะ?”

   “ก็ดีนะ เที่ยงกว่าแล้วด้วย หิวยัง?”

   “นิดนึง ซื้อของเสร็จก็หิวพอดี”

   คนฟังหันมามองหน้าผม ขมวดคิ้วใส่แล้วพูดต่อ

   “รู้ล่วงหน้าด้วยเหรอว่าจะหิวในอีก 1 ชั่วโมงอะไรแบบนั้น”

   “ก็พอเดาได้อยู่นะ”

   ระหว่างที่พูดนี่ผมก็ขยับเอาห้องคลอดของเป่าเป้ยเข้าไปวางไว้ตรงมุมที่มีปลั๊กพร้อมสำหรับโคมไฟ จัดเข้าที่เรียบร้อย สองเหมียวก็เดินเข้ามาใกล้เพื่อสำรวจของใหม่ในบ้าน

   ผมจัดการอุ้มเป่าเป้ยเข้าไปข้างใน พร้อมกับที่อีกคนขยับตัวเข้ามาสังเกตการณ์ด้วยกัน

   แม่แมวเดินอยู่ในบ้าน ดมตามซอกมุมต่างๆ แล้วยังไม่ทันได้ทำอะไร ไอ้ตูมที่ทำเป็นด้อม   ๆ มองๆ อยู่ข้างนอก
ก็กระโดดเข้าไปด้วยอีกตัว กลายเป็นว่าตอนนี้แมว 2 ตัวกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ในลังแคบๆ

   สุดท้ายก็กลายเป็นเป่าเป้ยที่กระโดดออกมาจากห้องคลอด แล้วไอ้ตูมก็ไปนอนสะบัดหางอยู่ในนั้นอย่างหน้าตาเฉย

   ผมมองภาพตรงหน้าแล้วถอนหายใจ ถ่ายรูปส่งไปให้ลุงมันดู ส่วนอีกคนถึงกับหลุดขำออกมา พร้อมกับอุ้มเป่าเป้ยขึ้นไปนอนบนตักแล้วลูบขนให้เบาๆ

   หลังจากนั้นไม่นาน พวกผมก็ออกจากบ้าน มาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้อยู่ตรงส่วนที่ขายยาและอุปกรณ์สุขอนามัยอื่นๆ

   ของที่ต้องซื้อก็มีทั้งถุงมือ สำลี ทิชชู่อย่างหนา ที่ดูดเสมหะ แผ่นรองฉี่ ไปจนถึงกรรไกรปลายมนอันใหม่ บางอย่างที่มีอยู่ที่บ้านผมอย่างด้าย เบดาตีน หรือน้ำเกลือล้างแผล ก็เป็นอันว่าไม่ต้องซื้อ จะได้ประหยัดไปบ้าง บอกแล้วใช่มั้ยว่าเลี้ยงแมวนี่ค่าใช้จ่ายเยอะจริงๆ

   ระหว่างที่รอจ่ายเงิน ผมก็หันไปพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างกัน

   “เริ่มหิวจริงจังแล้วเนี่ย”

   “เหมือนกัน”

   “คุณกินอาหารเกาหลีได้มั้ย?”

   “ก็ได้อยู่นะ”

   “หมูย่างเกาหลีล่ะ?”

   “ได้สิ”

   “เดี๋ยวเลยจากที่นี่ไปนิดนึงอะ  จะมีซอยเล็กๆ ในนั้นมีร้านอาหารเกาหลี อร่อยมาก ไปมั้ย?”

   “ฟังแล้วรู้เลยว่าอยากกินจริงๆ”

   “แสดงว่าไป?”

   “ไม่ไปดีกว่า”

   “คุณ...”

   “ล้อเล่น ไปก็ไป”

   เขาตอบกลับ เจือเสียงหัวเราะ

   ซื้อของเสร็จเรียบร้อย พวกผมก็มาจบลงที่ร้านอาหารเกาหลี จัดการสั่งเนื้อหมู กับอาหารสองสามอย่าง แล้วก็ได้รู้ว่าตัวเองหิวแค่ไหนตอนที่นั่งรอว่าเมื่อไหร่อาหารจะมาเสิร์ฟนี่แหละ ระหว่างนั้นผมก็ได้แต่ชวนอีกคนคุยฆ่าเวลา

   “ปกติวันหยุดเสาร์อาทิตย์คุณทำอะไรบ้าง?”

   คนที่กำลังพิมพ์โทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้นมามองกัน นิ่งใช้ความคิดไปสักพักแล้วก็พูดออกมา

   “คือ ตารางชีวิตผมไม่ค่อยแน่นอนอะ บางทีเสาร์อาทิตย์ก็ยังนั่งทำงานอยู่ วันจันทร์ถึงศุกร์ถ้าเบื่อๆ ก็ออกไปเดินเล่นบ้าง บางครั้งก็ออกไปกินข้าวกับพ่อเลี้ยง แม่ แล้วก็น้องสาวบ้าง”

   “ก็ฟังดูอิสระดีนะคุณ”

   “อิสระแต่ก็ต้องสร้างความรับผิดชอบให้ได้ด้วยตัวเองเหมือนกันนะ แบบต้องวางแผนเองทำตามแผนให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครมานั่งคุมถ้าผมเถลไถล ทำงานเสร็จไม่ทันกำหนด ประมาณนั้น”

   “ก็จริง”

   “แล้วถ้าไม่มาทำห้องคลอดให้เป้ยอย่างวันนี้ ปกติคุณทำอะไรอะ”

   “ผมเหรอ? สิ่งที่ต้องทำเลยคือซักผ้า แล้วก็ออกไปกับเพื่อน กินข้าว ทั่วๆ ไป อ๋อ แต่ผมชอบดูหนังมาก...”

   แล้วบทสนทนาก็ชะงักไปตอนที่อาหารมาเสิร์ฟ ผมมองคนตรงหน้าช่วยพนักงานยกอาหารที่อยู่ในถาดมาวางบนโต๊ะ  ก่อนจะลงมือช่วยบ้าง เสร็จเรียบร้อยคำตอบก็ตามมา

   “ผมก็ชอบดูหนังเหมือนกัน”

   “จริงดิ ชอบดูแนวไหน? ห้ามบอกแนวนอนนะคุณ”

   “...”

   แล้วคำตอบก็คือความเงียบ ผมกลั้นขำ มองคนที่ส่งสายตามาให้ ถอนหายใจ แล้วก็หันไปคีบหมูสามชั้นมาวางลงบนเตา แต่ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาสักที จนต้องพูดต่อซะเอง

   “ผมนะ ดูได้หมดแหละ แต่ชอบดูหนังสยองขวัญเป็นพิเศษ ปัญหาคืออะไรรู้มั้ย ผมโคตรกลัวผีเลย”

   คนตรงหน้าตกใจไปนิดหน่อย แล้วค่อยถามต่อ

   “ฮะ? โคตรกลัวผี แต่ดูหนังผีเนี่ยนะ?”

   “อื้อ เหมือนได้ชาเลนจ์ตัวเองไง ดูเยอะๆ เผื่อจะกลัวน้อยลง”

   “แล้วเป็นไง?”

   “ไม่เลย ดูเรื่องนึงนอนเปิดไฟนอนไปอีกเจ็ดวัน”

   ได้ยินคำตอบปุ๊บคนตรงหน้าก็หัวเราะรับทันที จนผมต้องยิ้มตาม พอนึกย้อนไปก็รู้ว่าตัวเองยังไมได้คำตอบในสิ่งที่ถาม

   “คุณยังไม่ตอบผมเลย ตกลงชอบดูหนังแนวไหน”

   “แนวนอนสิ ทั้งจอโทรทัศน์ จอโรงหนังก็เป็นแนวนอนทั้งนั้น”

   “คุณ...”

   “ไม่ได้เหรอ?”

   ผมส่ายหน้า ก่อนที่คำตอบจะตามมา

   “จริงๆ ผมก็ดูได้หมดแหละ แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ ก็เหมือนคุณเลย แต่ผมไม่กลัวผีนะ บอกไว้ก่อน”

   “นิดนึงก็ไม่กลัวเหรอ?”

   “ไม่เลย ผีในหนังก็คือคนแต่งตัวมาปะ”

   “เวลาโผล่มามันเหมือนคนที่ไหนล่ะคุณ”

   “แต่มันก็คือคนอะ หรือไม่ก็คอมพิวเตอร์กราฟฟิค”

   “ซึ่งก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”

   คนฟังขมวดคิ้ว มองกัน แล้วส่ายหน้ามาให้ ส่วนผมยักไหล่ ส่งยิ้มให้เขา กลับไปย่างหมูต่อ ก่อนจะลงมือกิน พวกเราเงียบกันไปสักพัก ก่อนที่ผมจะถามขึ้นมาอีก

   “เออ คุณตั้งชื่อลูกแมวรึยัง”

   “ลูกแมวเหรอ?”

   “อืม”

   “ตั้งไว้คร่าวๆ แล้วนะ แต่ก็เปลี่ยนได้แหละถ้าไม่ค่อยเข้า”

   “ชื่ออะไรบ้าง?”

   “ถ้าตัวเมียชิงชิง ตัวผู้ก็เป่าเปา เหลืออีกสองตัว ยังไม่รู้จะตั้งอะไรเลย คุณอยากตั้งปะล่ะ”

   “ได้เหรอ?”

   “อื้ม คุณก็เป็นคุณปู่ไง”

   คุณปู่? ตลกดีเหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นปู่แมวว่ะ

   “งั้นขอนึกก่อน”

   ผมใช้ตะเกียบคีบหมูที่อยู่ในเตาขึ้นมากิน ระหว่างที่เคี้ยวก็ใช้ความคิดไปด้วย ส่วนคนตรงหน้ามองกันอยู่สักพัก เมื่อพบว่าผมไม่พูดอะไรออกมาสักที เจ้าตัวก็กินต่อ 

   เป่าเป้ย ลูกชื่อ เป่าเปากับชิงชิง ก็เข้ากับแม่ งั้นอีกสองตัวก็ต้องตั้งให้เข้ากับไอ้ตูม

   “มะระ”

   “ฮะ?”

   คนที่กำลังกินอยู่ชะงักไปทันที แล้วทำหน้าตกใจใส่กัน ส่วนผมก็พูดสิ่งที่คิดอยู่ต่อไป

   “มะยม”

   “นะ...นั่นชื่อแมวเหรอ?”

   “มะดัน”

   “หนักเลย....”

   “มะนาวมั้ย?”

   “อันนี้ไม่ค่อยแย่”

   “แล้วมะดันแย่เหรอ?”

   “จริงๆ มันก็แย่ตั้งแต่มะตูมแล้วอะนะ”

   เห็นสีหน้าคนพูดผมก็รีบแก้ตัวทันที   

   “มะตูมนี่ผมไม่ได้ตั้งนะคุณ มันชื่อนี้ของมันอยู่แล้ว?”

   “อ้าว เจ้าของเก่าตั้งไว้เหรอ?”

   “จะว่าเจ้าของเก่าก็ใช่ครึ่งไม่ใช่ครึ่ง มันเคยเป็นแมวร้านเหล้ามาก่อน เนี่ย...พอเริ่มพูดก็รู้เลยวว่าต้องขายหน้าแน่”

   “อ้าว...”

   “คือมันเคยอยู่ร้านเหล้าที่พวกผมไปประจำสมัยเรียน แล้วตอนเลี้ยงฉลองหลังรับปริญญาอะ ผมกับเพื่อนเมาล่ะมั้ง ก็ต้องเมาแหละ... แล้วเจ้าของร้านก็เมาด้วย พี่แกก็เลยให้ไอ้ตูมกับพวกผมมาเป็นของขวัญรับปริญญา”

   ฟังสิ่งที่ผมเล่าจบ คุณไป๋เค้าก็ตาค้างไปแล้ว

   “....”

   “แล้ววันต่อมา ผมกับเพื่อนก็เอามันไปคืนที่ร้านเหล้า”

   “มีการเอาไปคืนด้วย...”

   “แต่พี่เจ้าของร้านบอกให้ผมเอาไปเลี้ยงเหอะ  ปล่อยไว้ที่ร้านสักวันมันก็คงโดนทับรถตาย”

   “คุณก็เลยเลี้ยงมะตูมตั้งแต่วันนั้น”

   “ใช่...”

   “คือ... ผมก็อยู่ในกลุ่มคนเลี้ยงแมว กลุ่มช่วยเหลือแมวในเฟสบุ๊กอะไรอย่างเงี้ยอะนะ แต่รู้มั้ย ไม่เคยมีใครเริ่มเลี้ยงแมวเพราะเมาแล้วอุ้มกลับมาจากร้านเหล้าโดยไม่รู้ตัวเลย”

   “เฮ้ย เพื่อนผมยังเคยเมาแล้วเอากรวยจราจรกลับมาที่ห้องเลย”

   “กรวยจราจรเนี่ยนะ?!”

   เขาดูตกใจมาก บอกตามตรงว่าวันแรกที่ตื่นนอนแล้วเห็นกรวยจราจรวางอยู่ในหอพักของเพื่อน ผมเองก็ตกใจไม่เบาเหมือนกัน

   “อือ อันใหญ่กว่าไอ้ตูมอีก”

   “สรุป ที่เค้าพูดกันว่าเด็กสถาปัตย์เถื่อนเนี่ย เรื่องจริงใช่มั้ย?”

   “แค่เก็บของกลับบ้านเอง ไม่เห็นเถื่อนเลยคุณ”

   ผมพูดเองยังเกือบหลุดขำ ก็ไม่คิดหรอกว่าไอ้ที่เป็นกันอยู่กับเพื่อนจะจำกัดความได้ด้วยคำว่า ‘เถื่อน’ ถ้าไม่มีใครมาบอกแบบนี้

   “แต่เก็บสิ่งมีชีวิตกับกรวยจราจรเลยนะ”

   “เหอะน่า ตอนนี้มะตูมก็มีความสุขดีเห็นปะ แฟนสวยด้วย”

   “แล้วกรวยจราจรอะ?”

   “เอาไปคืนแล้ว กรวยจราจรเลี้ยงไม่ได้เก็บไว้ทำไม”

   “มันไม่ใช่ตั้งแต่เก็บกลับมาแล้วมั้ยอะ”

   ผมถึงกับหลุดขำออกมากับสีหน้าและคำตอบที่ได้ยิน ก่อนจะสรุปให้

   “สรุปลูกแมวชื่อมะยมกับมะนาวนะ มะระกับมะดันไม่ผ่านถูกมั้ย?”

   คนฟังพยักหน้ารับ แบบที่สีหน้าแสดงออกชัดเจนเลย ว่าอันที่จริงมันก็ไม่ผ่านทั้ง มะยม มะนาว แล้วก็มะระ มะดันนั่นแหละ
   หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยกันหลายต่อหลายเรื่อง และสิ่งนึงที่ผมพูดออกไปก็คือ

   “แปลกดีนะคุณ เรารู้จักกันตั้งหลายวันแล้ว แต่เจอหน้าทีไรก็พูดเรื่องแมวกันตลอดเลย มีวันนี้นี่แหละที่ได้พูดเรื่องคนบ้าง”
   คุณไป๋เค้ายิ้มรับคำพูดนั้น แล้วตอบกลับมาสั้นๆ พร้อมรอยยิ้ม

   “นั่นสิ”

- to be continued -
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 3 - 040163] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 04-01-2020 19:40:57
 :mew6:   :mew4:   :mew2:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 3 - 040163] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 04-01-2020 19:56:49
เดี๋ยวมาอ่านนะคะทำงานแป๊บมาให้กำลังใจกันก่อน
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 3 - 040163] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 04-01-2020 21:24:28
เอ๊ะะะะะ กรวยจราจรนี่นึกว่ามีแต่เพื่อนเราที่เอากลับมา ตอนนั้นเพื่อนบอกว่าอะไรก็จำไม่ได้คือเมากันทั้งแก๊งแต่ไม่มีใครห้ามใคร น่าจะเพราะประมวลผลแล้วเห็นด้วยกับเพื่อนมัน พอเช้ามานี่งงกันหมดว่าทำไมมีกรวยจราจรอยู่กลางห้อง คือแบบบ เอามาทำม๊ายยยย  :z3:

ของหยิบฉวยอื่นๆมีประปราย บ่อยสุดคือที่คีบน้ำแข็ง เพราะเอาซ่อนคนชง ชงเก่ง ชงได้ชงดีทางนี้เมาหัวทิ่มแล้ว พอเช้ามาก็จะ เอ่ออออ ในเป๋ามีที่คีบน้ำแข็งได้ไง
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 3 - 040163] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 04-01-2020 23:09:50
สนิทกันได้เพราะแมวเหมียว..วววววว    :mew1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 3 - 040163] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 04-01-2020 23:11:10
ระหว่างที่พูดนี่ผมก็ขยับเอาห้องคลอดของปลาทูเข้าไปวางไว้ตรงมุม///
ปลาทูมาจากไหน

เอ็นดูทาสแมวเขาคุยกัน ต่อไปนี้ก็เป็นญาติกันแล้วนะ จะมีหลานร่วมกันแล้วนี่
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 3 - 040163] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 04-01-2020 23:49:01
มีเรื่องคุยกันเยอะเลย  :heaven
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 3 - 040163] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 05-01-2020 08:31:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 3 - 040163] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 13-01-2020 19:23:45
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect%20fall%2004.jpg)

- 04 -

        ยิ่งใกล้วันคลอดเป่าเป้ยผมก็ยิ่งตื่นเต้น รู้สึกเหมือนกำลังจะคลอดลูกเองยังไงก็ไม่รู้ เมื่อวันศุกร์ที่แล้วหมอบอกว่าอีกประมาณ 1 สัปดาห์เป่าเป้ยจะคลอด แล้ววันนี้ก็ครบ 1 สัปดาห์พอดี

   ที่ตื่นเต้นพอกันคือพวกลุงไอ้ตูม พวกมันถึงกับบอกให้ผมวีดีโอคอลระหว่างที่แมวคลอดลูก บอกตามตรงว่าผมไม่กล้ารับปาก เพราะไม่เคยช่วยทำคลอดแมวมาก่อนในชีวิต เลยไม่รู้ว่าสถานการณ์มันจะเป็นยังไง วุ่นวายมากมั้ย

   พอลองถามคุณไป๋ดูว่ามันจะวุ่นวายมากไหน เลยได้คำตอบว่าเจ้าตัวก็ไม่เคยทำคลอดแมวเหมือนกัน 

   ก่อนหน้านี้เขาเคยเลี้ยงแมวมาบ้างตอนที่อยู่บ้านกับแม่ แต่ก็เป็นแมวไทย และจับทุกตัวทำหมันทันทีที่ถึงวัย เพื่อไม่ให้มีลูก เป่าเป้ยเป็นแมวพันธุ์ตัวแรกที่เขาเลี้ยง และจะเป็นแม่แมวตัวแรกที่เขาช่วยทำคลอดให้

   สรุปว่าเราสองคนต่างก็มือใหม่กันทั้งคู่

   คุณไป๋น่ะมือใหม่ ส่วนผม มือใหม่กว่า...

   ดังนั้น ช่วงสองสามวันมานี่ สิ่งที่เราสองคนทำคือการแชร์คลิปแมวคลอดลูกให้กันไปมาเพื่อเตรียมตัว และครั้งแรกที่ผมไอ้ดูคลิปการคลอดลูกของแมว ขอบอกเลยว่า อยากจะเป็นลม เลือดกระฉูดอยางกับดูหนังเรื่อง SAW

   ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็น ซึ่งปกติผมควรได้กลับบ้านแล้ว ถ้าไม่ทำโอทีหรือมีงานติดพัน ปัญหาคือวันนี้ดันไม่ปกติ เพราะลูกค้าขอเลื่อนเวลานัดจากบ่าย 3 มาเป็น 5 โมงเย็น ผมก็เลยต้องมานั่งจ๋องอยู่ที่ร้านกาแฟ

   หูกับสมองน่ะรับรู้สิ่งที่ลูกค้าพูดอยู่หรอก แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่โทรศัพท์เป็นระยะ ด้วยความกังวลว่าจะมีข้อความประมาณ ‘เป้ยคลอดแล้วคุณ’ อะไรทำนองนั้นส่งมา โชคดีที่โทรศัพท์ผมไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จนกระทั่งคุยงานเสร็จเรียบร้อย

   ออกจากร้านกาแฟมา อุปสรรคต่อไปก็คือเย็นวันศุกร์ที่รถโคตรติด กว่าผมจะถึงบ้านก็สองทุ่มไปแล้ว หลังจากส่งข้อความไปถามอีกคนว่าเป่าเป้ยเป็นไงบ้าง และได้คำตอบมาว่าสบายดี ไม่มีอะไร ผมก็ตัดสินใจแวะกินข้าวเย็นที่ตามสั่งหน้าหมู่บ้าน หิวจะแย่แล้ว

   หลังเอารถเข้าบ้านเรียบร้อยก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความเป็นอันดับแรก
   
   ‘ถึงบ้านละคุณ’
   ‘เหมือนไปออกรบมาเลย’


   ‘เพิ่งเอารถเข้าบ้านไม่ใช่เหรอ’
   ‘ทำไมไม่เดินมาคุยเนี่ย’

   ‘โอเคๆ เดี๋ยวไปคร้าบ’


   ผมลงจากรถ เห็นไอ้ตูมมานั่งรออยู่หน้าประตูบ้านเลยแวะไปลูบหัว แล้วอุ้มเดินต่อไปที่กำแพงบ้านข้างๆ พร้อมกับที่อีกคนออกมาหากันพอดี ใส่แว่นอยู่แบบนี้แสดงว่ากำลังทำงาน เขาส่งยิ้มมาให้ พร้อมกับที่ผมถามออกไป

   “เป็นไงบ้างคุณ?”

   “ยังไม่คลอดหรอก แต่วันนี้ก็เข้ามาอ้อนเยอะกว่าปกติ”

   “เฮ้อ ผมกังวลทั้งวันเลยคุณ ลูกค้าก็มาเลื่อนนัดอีก”

   “ไม่มีอะไรหรอก เข้ามาดูเป้ยก่อนมั้ย”

   “โอเค”

   แล้วผมก็เดินออกจากบ้านตัวเอง ส่วนเขาก็ไปเปิดประตูบ้านรอ พอเข้ามาข้างในก็เจอเป่าเป้ยนอนตะแคงอวดพุงกับนมสีชมพูระเรื่อ ภาพตรงหน้าทำเอาผมถึงกับหลุดขำ ปล่อยไอ้ตูมลงกับพื้นแล้วก็เดินไปลูบหัวแม่แมวเบาๆ พร้อมกับที่อีกคนพูดขึ้น

   “นอนท่านี้ทั้งวันเลย สงสัยอึดอัด”

   “ติดพุงแหละ”

   “ไม่รู้สิ น่าจะมั้ง”

   ระหว่างที่ผมคุยกับคุณไป๋ที่ยืนอยู่ เป่าเป้ยก็ลุกขึ้น กระโดดลงจากโซฟา เดินเข้าไปในห้องคลอดที่เตรียมไว้ให้ ก่อนเสียงเล็บตะกุยกับพื้นจะตามมา ได้ยินอย่างนั้นทั้งผมและคนตรงหน้าก็มองหน้ากัน แล้วรีบเดินไปหยุดหน้าห้องคลอดทันที

   เป่าเป้ยตะกุยพื้นเหมือนกำลังขุดอะไรสักอย่างอยู่สักพัก ก่อนจะก็หยุด แล้วก็ทิ้งตัวนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนผมต้องหันไปสบตากับคนข้างๆ เราต่างขมวดคิ้วทำหน้างงใส่กัน

   คุณไป๋ถอนหายใจออกมา ก่อนจะถามผม

   “คุณคิดว่าเมื่อกี๊เป้ยทำอะไร?”

   “คุ้ยเล่นมั้ย แบบ...แก้เบื่อ”

   ได้ยินอย่างนั้นเขาก็ถอนหายใจอีกรอบ แล้วบ่นต่อ

   “เฮ้อ...ป๊าจะพยายามเข้าใจเป้ยแล้วกันนะ”

   สักพักไอ้ตูมก็เดินมาร่วมวงกับพวกผม ทำเป็นดมโน่นดมนี่แล้วก็โดดเข้าห้องคลอดไปอีกตัว ก่อนจะไปกอดเป่าเป้ยแล้วก็เลียหัวเลียแก้มให้อยู่นั่น

   สุดท้ายก็จบลงที่สวีตหวานแหววตามเคย ผมล่ะเหนื่อยใจกับแมว

   “คุณว่าคืนนี้จะคลอดมั้ย?”

   คำตอบคือการส่ายหน้า ตามมาด้วยคำอธิบาย

   “น่าจะยัง แต่ผมว่าคืนนี้จะลงมานอนข้างล่าง”

   “ก็ดีนะคุณ เผื่ออะไรฉุกเฉิน”

   เรานั่งคุยกันต่ออีกหน่อย เรื่องทั่วไป อย่างงานของผมวันนี้ จนถึงเรื่องที่พวกเพื่อนๆ ตื่นเต้นขนาดไหนที่แมวคนอื่นจะคลอดลูก เขาเองก็กังวลจนแทบไม่ได้ทำงานเหมือนกัน ผมได้รู้เพิ่มว่าตอนแรกคุณแม่ของอีกฝ่ายตั้งใจจะมาอยู่ด้วยช่วงที่เป้ยคลอด แต่ก็ติดธุระเรื่องงานต้องไปต่างจังหวัด

   จนกระทั่งสี่ทุ่มกว่า ผมก็หิ้วไอ้ตูมกลับบ้าน อาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน พอขึ้นไปบนห้องก็อดไม่ได้ที่จะเปิดผ้าม่านมองออกไปยังบ้านหลังข้างๆ และเห็นว่าคุณไป๋กำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เหมือนทุกวัน แต่วันนี้ปิดหน้าต่างเรียบร้อยแบบที่พอเดาได้ว่าคงเปิดแอร์

   ผมเลยหยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความไป
   
   ‘มองออกมานอกหน้าต่างหน่อยคุณ’

   อ่านข้อความของผมแล้ว เขาก็ลุกขึ้นมายืนตรงหน้าต่างพร้อมกับโบกมือให้กัน เห็นอย่างนั้นผมก็เปิดกระจกฝั่งตัวเอง แล้วก็ทำมือเป็นท่าทางให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าให้ทำอย่างเดียวกัน พอเห็นคนที่อยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ชะโงกตัวออกมาผมก็พูดต่อ

   “พรุ่งนี้กินมื้อเช้าด้วยกันมั้ยคุณ”

   “ร้านเดิมเหรอ?”

   “ก็ได้”

   คำตอบคือการที่คนฟังยกมือขึ้นมาทำเป็นสัญลักษณ์ ‘ok’ ก่อนผมจะพูดต่อ

   “พักผ่อนด้วย อย่ากังวลเรื่องแมวจนไม่นอนล่ะ”

   “โอเค เดี๋ยวก็นอนละ”

   “บ๊ายบาย”

   พออีกฝ่ายโบกมือกลับมา พร้อมปิดหน้าต่างเข้า ผมก็ปิดหน้าต่างบ้านตัวเองแล้วก็เข้านอนบ้าง


,
[มีต่อหน้า 2 นะคะ]

หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 3 - 040163] [PAGE 1]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 13-01-2020 19:24:31
,

   วันต่อมาพวกผมออกมากินมื้อเช้า แล้วก็ทำได้แค่นั่งดูเป่าเป้ยเดินไปมา นอน กินอาหาร แล้วก็กลับไปนอนเหมือนเดิม มันกดดันตรงที่เราไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากรอ ทุกอย่างเป็นไปอย่างนั้นจนถึงสิบโมง   

   ในที่สุดพวกเราต้องมานั่งคิดวิเคราะห์กันอย่างจริงจัง โดยที่ผมเป็นคนเปิดประเด็น

   “มาคิดดูแล้วนะคุณ ผมนึกถึงเรื่องที่หมอบอกมาว่า แม่แมวบางตัวก็ต้องการให้คนเลี้ยงดูแล แต่บางตัวก็ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือการที่เรานั่งเฝ้าเป้ยทั้งวันจะทำให้กดดันจนคลอดไม่ออก”

   คนฟังทำหน้าจริงจัง เงียบใช้ความคิดไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับมา

   “คลอดไม่ออกฟังดูเหมือนเป้ยจะอึมากกว่าคลอดลูกอีกอะ”

   ผมหลุดขำกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนที่เขาจะขำตาม แล้วพูดต่อ

   “ก็เป็นไปได้ แล้วเราควรทำไง ไม่สนใจเป้ยเหรอ?”

   “ทำตัวปกติมั้ย แบบเหมือนตอนที่เป้ยไม่ได้ใกล้คลอดอะ คุณเคยทำอะไรก็ทำไป ผมก็เหมือนกัน”

   “นั่นสิ เอาตามนี้ดีกว่าเนอะ”

   “โอเค งั้นผมขอกลับบ้านไปซักผ้าแล้วกัน มีอะไรเรียกนะ”

   นึกดูแล้วก็ขำดีเหมือนกัน กับการที่ผู้ชาย 2 คนต้องมานั่งเครียดจริงจังเพราะเรื่องแมวไม่ยอมคลอดลูก
   
   ผมกลับบ้านมาจัดการเอาเสื้อผ้าใส่เครื่อง เติมน้ำยาแล้วกดซัก ระหว่างรอก็ทำโน่นทำนี่ไป แต่ก็ต้องยอมรับว่า สุดท้ายแล้ว ยังไงความคิดมันก็กลับไปกังวลเรื่องการคลอดลูกของแมวอยู่ดี

   หลังจากตากผ้าเสร็จ ผมก็กวาดพื้นต่อเพราะไม่รู้จะทำอะไร จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกมาจากบ้านข้างๆ

   “คุณ!”
   
   ได้ยินแค่นั้นผมก็รีบวางไม้กวาด วิ่งออกไปดู

   “ว่าไงคุณ เกิดอะไรขึ้น?”

   “เป้ยเริ่มหอบแล้ว”

   “หอบ?”

   “ใช่ หอบแบบในคลิปที่เราส่งให้กันเลย”

   “โอเคๆ เดี๋ยวผมไป”

   ในคลิปวีดีโอที่พวกผมส่งให้กัน ก่อนคลอดแม่แมวจะมีอาการหอบอยู่สักพัก ซึ่งมันเป็นสัญญานที่บอกว่าเวลาแห่งการคลอดใกล้เข้ามาทุกที

   แบบนี้ก็แสดงว่าใกล้คลอดแล้วถูกมั้ย?

   สุดท้ายพวกเราก็กลับมาที่จุดนี้อีกครั้ง จุดที่นั่งล้อมวง ผม คุณไป๋ มะตูม และเป่าเป้ย

   พวกเรานั่งมองเป่าเป้ยที่เอาแต่นอนหอบ แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ถึงแม้อาการหอบแฮ่กแบบนี้จะดูโคตรไม่ปกติ แต่แม่แมวในคลิปวีดีโอที่ดูๆ มาเค้าก็หอบกันแบบนี้นี่แหละ

   สิ่งที่ทำลายความเงียบคือคุณไป๋ที่อยู่ๆ ก็ทำท่าจะลุกขึ้น

   “ผมโทรหาหมอดีกว่า?”

   “ใจเย็นคุณ”

   “เย็นกว่านี้ก็ตู้แช่แล้วนะ”

   คำพูดติดตลกแต่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลของคนตรงหน้าทำให้ผมหลุดขำ ยกมือขึ้นจับข้อมือคนที่พร้อมจะลุกขึ้นพุ่งตัวไปหาโทรศัพท์ แล้วพูดต่อ

   “ตอนนี้อาการเป้ยก็เหมือนแมวในคลิปที่เราดูกัน คุณจำได้มั้ย แต่ถ้ามันเริ่มจะมีอะไรผิดปกติไปจริงๆ เราจะอุ้มเป้ยใส่รถแล้วไปหาหมอกันทันที โอเคนะ?”

   “โอเค”

   คำตอบรับถูกส่งมาพร้อมเสียงถอนหายใจ

   “งั้น เราไปนั่งบนโซฟากันดีกว่า ให้ความเป็นส่วนตัวกับเป้ยหน่อย”

   พูดจบผมก็ลุกขึ้น พร้อมจูงข้อมือคนที่นั่งอยู่ให้ลุกตาม ผมน่ะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา แต่อีกคนกลับเดินไปที่คอมพิวเตอร์ พิมพ์อะไรบางอย่าง ก่อนที่เพลงบรรเลงเปียโนจะดังออกมา จนต้องเอ่ยปากถาม

   “นี่คือผ่อนคลายแมวหรือผ่อนคลายคนฮึ?”

   “ทั้งสองแหละ”

   ผมยิ้มรับคำตอบ ก่อนที่บรรยากาศจะตกอยู่ในความเงียบไปสักพัก ระหว่างนั้นผมก็กวาดสายตามองไปรอบบ้าน ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับชั้นหนังสือที่วางอยู่ตรงมุมนึง จนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

   “ตรงนั้นคือหนังสือที่คุณแปลเหรอ?”

   “ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก แค่บางส่วน ถ้าแปลทั้งหมดนั่น ป่านนี้ผมคงจะอายุสัก 300 ปีแล้วมั้ง”

   รอยยิ้มของคนพูดทำเอาผมยิ้มตาม แล้วถามต่อ

   “ขอดูหน่อยได้มั้ย?”

   “อือฮึ”

   คนฟังพยักหน้ารับ ได้ยินอย่างนั้นผมก็ลุกขึ้น เดินตรงไปยังชั้นหนังสือ ก่อนจะมีคำพูดตามมา

   “อย่ายืนหลับอยู่ตรงนั้นนะคุณ”

   ผมหันกลับไป มองสบตากับคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแล้วหลุดขำ แสดงว่าอีกฝ่ายยังจำได้เรื่องที่เคยบอกไปว่าเวลาเห็นตัวหนังสือเยอะๆ ผมพาลจะหลับซะให้ได้

   พอไปยืนอยู่หน้าตู้ ผมก็ไล่อ่านชื่อหนังสือที่อยู่ตรงสันปก ซึ่งมีทั้งเล่มที่ดูเหมือนจะเป็นนิยายรัก หนังสือวิชาการ หนังสือท่องเที่ยวและอื่นๆ อีกมากมาย แน่นอนว่าผมไม่รู้จักสักเล่มตามประสาคนไม่อ่านหนังสือ ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็มีโทรศัพท์เข้า จากที่ได้ยินคิดว่าน่าจะเป็นคุณแม่โทรมาถามอาการแมว

   สิ่งที่ดึงความสนใจของผมกลับไปอีกครั้งคือเสียงตะกุยแผ่นรองที่ปูไว้อย่างรุนแรงของเป่าเป้ย ผมรีบเดินไปดู พร้อมกับมะตูมที่กระโดดลงมาจากคอนโดแมว ส่วนอีกคนก็รีบบอกวางสายคุณแม่แล้วตามมาทันที

   พวกเรานั่งกันอยู่ที่หน้าห้องคลอดของแม่แมว มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาไม่เข้าใจจนกระทั่งเป่าเป้ยหยุดตะกุย กลับมานอนหอบแบบเดิม แล้วก็ออกมาอ้อนคุณไป๋

   คนที่อยู่ข้างผมอุ้มแม่แมวมานอนบนตัก ลูบตัวให้เบาๆ ก่อนจะถอนหายใจ หันหน้ามาหากันแล้วพูดต่อ
   
   “จะเป็นลมแล้วคุณ”

   สิ่งที่ผมตอบกลับไปก็คือเสียงหัวเราะ
 
   “บ่ายโมงกว่าแล้ว โทรไปสั่งข้าวหน้าหมู่บ้านมากินก่อนแล้วกันเนอะ ไม่งั้นก่อนแมวจะคลอดมีหวังคนวูบไปก่อน”

   “ได้ๆ ผมขอข้าวผัดกุ้งนะ ไม่ใส่ผักนะ”

   “เด็กปะเนี่ย ไม่กินผัก”

   “ก็มันไม่อร่อยอะ”

   “โอเคๆ”

   ผมรับคำ ไม่ขัดใจเขา แล้วก็โทรสั่งอาหารตามที่พูดไว้

   กระทั่งข้าวมาส่ง จนพวกผมนั่งกินจนหมด เป้ยก็ยังไม่ทำอะไรมากไปกว่าการหอบ เดินไปมา และเข้าไปคุ้ยห้องคลอด

   สิ่งนึงที่สังเกตได้คือ สเต็ปการคุ้ยของคุณเธอดูเหมือนจะเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้แผ่นรองกระจุยไปแล้วหนึ่ง และต้องเปลี่ยนใหม่

   ดูจากสถานการณ์ พวกผมมั่นใจแล้วว่าเป้ยจะคลอดลูกวันนี้แน่ๆ เลยเริ่มจัดการเอาโต๊ะตัวเล็กมากางและเตรียมอุปกรณ์ เริ่มจากเอากรรไกร กับเส้นด้าย มาทำความสะอาด และเก็บไว้อย่างดี เพื่อใช้ในกรณีที่แม่แมวไม่กัดสายสะดือด้วยตัวเอง รวมถึงผ้าขนหนูสะอาด น้ำเปล่า กะละมัง ทิชชู่ ไปจนถึงเบตาดีน

   สถาการณ์ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ สำหรับมือใหม่อย่างพวกเรา

   ทุกอย่างเป็นไปอย่างนั้นจนกระทั่งบ่ายสาม เป่าเป้ยเริ่มทำท่าทางแปลกๆ ก็คือการเลียก้นตลอดเวลา คุณไป๋เป็นคนเดินไปถึงตัวแมวก่อน หลังจากนั่งจ้องอยู่สักพักก็หันมาพูดกับผม

   “มันเหมือนมีน้ำอะไรออกมาอะคุณ ใกล้คลอดแล้วแน่เลย”

   พูดจบเจ้าตัวก็อุ้มลูกสาวไปใส่ไว้ในรังที่เตรียมเอาไว้ แน่นอนว่าผมกับมะตูม ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากมองด้วยความกังวลผสมตื่นเต้น

   เป่าเป้ยนอนหอบอยู่อีกพักใหญ่ จนกระทั่งส่วนท้องเริ่มขยับเกร็ง ตอนนั้นเองที่คนข้างๆ หันมาหาผมแล้วพูดต่อ

   “น่าจะเบ่งแล้วนะคุณ”

   “ผมก็ว่างั้น”

   สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือเป่าเป้ยเริ่มร้อง และมีท่าทางที่พอจะดูออกแล้วว่ากำลังเบ่งให้ลูกออกมา คุณไป๋นั่งมองอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้ ใช้มือลูบเบาๆ ไปตามร่างกายแม่แมวอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูดไปด้วย

   “ใจเย็นน้า ปะป๊าอยู่กับเป้ยนะครับ”

   แล้วนั่นไอ้ตูมมันจะไปนั่งเจ๋ออะไรกับเค้าด้วยล่ะวะ!

   สักพักก็เริ่มมีบางอย่างออกมาจากก้นเป้ย เป็นทรงกลมๆ เหมือนถุงน้ำใสๆ ที่มีอะไรอยู่ในนั้น จนผมต้องถาม

   “อันนี้คือเริ่มคลอดแล้วใช่มั้ยคุณ?”

   “น่าจะนะ”

   พอได้คำตอบผมก็ขยับเข้าไปใกล้ เริ่มสังเกตว่าเป่าเป้ยจะร้องเบาๆ ทุกครั้งที่เบ่งลูก พร้อมกับที่ถุงน้ำอันนั้นมันเลื่อนออกมามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพอมองออกแล้วว่าสิ่งที่อยู่ข้างในคือลูกแมว แต่ยังไม่ทันออกมาจนหมด แม่แมวที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นเปลี่ยนท่านอน พร้อมกับลากลูกที่ยังออกมาแค่ครึ่งตัวและติดอยู่ที่ก้นไปด้วย

   “เป้ย!!”

   “ใจเย็นคุณ เดี๋ยวตกใจกันไปหมด”

   ผมพูดพลางเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายมาบีบเอาไว้แรงๆ เพื่อให้กำลังใจ ก่อนจะได้ยินเขาพูดต่อ

   “โอเคๆ ป๊าจะไม่กวนแล้ว”

   แล้วเราก็นั่งกันอยู่ตรงนั้น  ตรงหน้ามีแม่แมวที่ตอนนี้เปลี่ยนไปยืนแบบย่อตัว พร้อมกับแรงแบ่งที่มากขึ้น

   ผมมองภาพตรงหน้าอย่างไม่สามารถละสายตาได้ แถมยังไม่รับรู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดก็มีลูกแมวตัวนึงออกมาจริงๆ

   เจ้าตัวเล็กยังอยู่ในสภาพเปียกยับเยิน และสิ่งที่ผมกับคุณไป๋ทำพร้อมกันคือการถอนหายใจออกมาจนสุด ทั้งที่มือยังจับกันแน่น

   พวกเรา 2 คนกับอีก 1 แมวจับตาดูเป่าเป้ยที่กำลังมองลูกน้อยของตัวเอง แต่ไม่ยอมทำอะไร แถมยังเงยหน้าขึ้นมาร้องเมี๊ยวใส่กันอี แล้วความโล่งใจก็กลับไปเป็นความกดดันอีกครั้ง

   ท่ามกลางบรรยากาศอันสับสน ในที่สุดคุณไป๋ก็พูดออกมา

   “เลียครับลูก เลียตัวน้องให้สะอาด”

   ได้ยินอย่างนั้นเป้ยก็กลับไปมองลูกแมว ซึ่งบอกตามตรงเลยว่าในสายตาผมตอนนี้มันดูเหมือนเอเลี่ยนเอามากๆ หลังจากแม่แมวนั่งนิ่งไปสักพัก สุดท้ายก็เริ่มลงมือเลียตัวสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เพิ่งคลอดออกมา แล้วก็กัดสายรกจนขาด

   เลือดที่พุ่งออกมาตอนแม่แมวกัดสายรกทำเอาผมสะดุ้งไปเลย

   ช่วงเวลาที่แม่แมวกำลังค่อยๆ ทำความสะอาดเจ้าตัวเล็ก เป็นเหมือนการพักเบรกให้พวกผมได้พักหายใจ และในที่สุดเสียงร้องเมี๊ยวเบาๆ ก็ดังขึ้น

   ... มันคือเสียงเล็กๆ ที่เป็นยิ่งกว่าของขวัญสำหรับเราทุกคน

   พอทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ผมก็ถอนหายใจอีกครั้งอย่างโล่งอก แล้วก็แน่ใจเลยว่าถ้าไอ้ตูมถอนหายใจได้ มันก็คงทำด้วย สิ่งที่ทำเป็นลำดับถัดไปคือการหันไปมองคุณไป๋ ส่งยิ้มให้กัน พร้อมกับที่ผมเห็นว่ามีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาคู่นั้น ผมลูบไหล่เขา แล้วพูดต่อ

   “ตัวแรกผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากนี้คงไม่มีอะไรแล้วแหละคุณ”

   “นั่นสิ เป็นพ่อแมวแล้วน๊ามะตูม”

   เขายื่นมือไปลูบหัวไอ้แสบตูม พอผมเห็นหน้าพริ้มเพราะมีความสุขของมัน แล้วก็นึกอยากจะตีหัวเหลืองๆ เข้าให้สักที มึงนั่นแหละตัวต้นเรื่องเลย!

   หลังจากโดนแม่เลียตัวอยู่พักใหญ่ เจ้าตัวเล็กที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกก็เริ่มดูเหมือนเอเลี่ยนน้อยลง และเหมือนแมวมากขึ้น แถมยังเรียนรู้ที่จะคลานไปกินนมแม่ด้วยตัวเอง

   คำถามคือ แล้วตัวอื่นๆ ล่ะ? สงสัยปุ๊บ ผมก็หันไปถามอีกคนทันที

   “เราต้องรออีกนานมั้ยกว่าตัวที่ 2 จะออกมา”

   “ผมอ่านในเน็ต เค้าบอกว่ามันจะมีระยะหน่อยอะ นานสุดๆ ก็คือ 15 นาที”

   “สิบห้านาที!”

   “ใช่...”

   “เครียดเนาะ”

   “สุดๆ”

   เรานั่งอยู่ตรงนั้นไปอีกประมาณ 5 นาที ก่อนที่เป่าเป้ยจะเริ่มทำท่าเบ่งอีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นลูกแมวตัวแรกที่อยู่ในลังก็ตัวเริ่มแห้ง จนเห็นชัดเจนแล้วว่าเจ้าตัวเล็กมีขขนสีส้มอ่อน

   พอลูกแมวตัวที่ 2 เริ่มโผล่ออกมานิดๆ อีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นมาเกาะแขนผมไว้แล้วพูดต่อ

   “ตัวที่ 2 มาแล้วคุณ”

   ผมก้มหน้าลงไปใกล้มากขึ้น พอก็เห็นว่าไอ้ถุงน้ำใสๆ แบบเดิมมันออกมาอีกอันนึงแล้ว ก็ยกมือขึ้นตบเบาๆ ที่หลังมือของอีกคน แล้วพูดกับแมว

   “สู้ๆ นะเป้ย”

   โชคดีที่เป่าเป้ยดูเหมือนจะรับมือกับทุกอย่างได้ดี และดีมากขึ้นเรื่อยๆ ในการคลอดครั้งถัดไป

   พวกผมเองก็เริ่มชินกับการคลอดลูก ถุงน้ำคร่ำ สายรก แล้วก็เลือดของแมวแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ระหว่างที่เป้ยกำลังคลอดลูกตัวถัดไป จะมีก็แต่ไอ้ตูมที่เดินไปกินข้าวบ้านคนอื่นหน้าตาเฉย แต่สุดท้ายก็กลับมานอนอยู่บนพื้นไม่ไกลจากจุดที่พวกผมนั่งอยู่

   ในที่สุดลูกแมวก็คลอดออกมาครบทั้ง 4 ตัว

   ผมโคตรจะรู้สึกโล่งใจเลยให้ตาย พอหันไปเห็นคนข้างๆ ที่กำลังเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟ ในสภาพหน้าเครียด เหงื่อซึมออกมาเต็มหน้าผาก แถมยังไม่รู้ตัวว่าโดนมองเพราะสายตาเอาแต่จับจ้องอยู่กับแม่แมวและลูกๆ ผมก็ถึงกับหลุดยิ้มออกมา

   เรานั่งมองเจ้าเหมียวสี่ตัวกินนมแม่อย่างมีความสุข ถึงแม้รอบด้านจะเต็มไปด้วยความเลอะเทอะ แถมเลือดยังติดอยู่ที่ก้นเป่าเป้ยเต็มไปหมด

   ผมอดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้ และส่งไปให้พวกลุงไอ้ตูมดู

   แต่ความสงบก็มาเยือนได้ไม่นาน เมื่ออยู่ดีเป่าเป้ยก็ทำท่าจะเบ่งลูกอีกครั้ง ครั้งแรกที่ขยับผมยังไม่ค่อยแน่ใจ แต่พอแม่แมวเกร็งท้องแล้วส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ อีกที ก็ชัดเจนเลยว่ากำลังเบ่งลูก

   พวกผมหันมามองหน้ากัน ต่างฝ่ายก็ต่างตกใจ แต่ก็ทำได้แค่จับตามองสถานการณ์ตรงหน้าต่อไปเรื่อยๆ การเห็นลูกแมวคลอดออกมาสี่ตัวแล้วทำให้เรารับมือกับอะไรได้มากขึ้น

   หลังจากนั้นไม่นานลูกแมวตัวที่ 5 ก็คลอดออกมาจริงๆ ในสภาพถุงน้ำคร่ำยังคงหุ้มอยู่รอบตัวและรกยังอยู่ในท้องแม่ เจ้าเหมียวเลยโดนเชื่อมไว้กับตัวแม่ด้วยสายสะดือ แต่สิ่งที่เป้ยทำก็คือการนอนให้นมลูกอีกสี่ตัวต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   ตอนนั้นเองที่สถานการณ์กลับไปสู่สภาวะวิกฤตอีกครั้ง

   พวกผมอดทนนั่งสังเกตการณ์ไปโดยที่ไม่เข้าไปยุ่งจนเวลาผ่านไปประมาณ 2 นาที  ในที่สุดคุณไป๋เค้าก็ทนไม่ไหว ตัดสินใจหยิบถุงมือขึ้นมาใส่ แล้วพยายามประคองหัวแม่แมวให้เข้ามาใกล้เจ้าตัวเล็กที่เพิ่งคลอด ผลคือเป่าเป้ยไม่สนใจ สิ่งต่อไปที่เขาทำเลยเป็นการลูบตรงโคนหางให้แม่แมวเบ่งรกออกมา และผลก็คือ เป่าเป้ยยังคงนิ่งสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   จนคุณไป๋เค้าต้องหันมาหากัน แล้วพูดต่อ

   “ผมจะฉีกถุงน้ำคร่ำเอง”

   ผมพยักหน้ารับ และไม่ทันได้เตรียมใจตอนที่อีกฝ่ายฉีกถุงน้ำใสๆ ที่หุ้มตัวลูกแมวออก สิ่งที่ทำต่อไปคือการพยายามใช้ผ้าซับเจ้าตัวเล็กให้แห้งมากที่สุด ทุกอย่างเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะสายสะดือของลูกแมวยังคงเชื่อมอยู่กับแม่ แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

   ปัญหาคือตอนนี้เจ้าน้องเล็กกำลังพยายามจะคลานไปกินนมแม่ให้ได้ ทั้งที่สายสะดือยังคงเชื่อมอยู่

   ตอนนั้นเองที่คนข้างๆ หันมาปรึกษากับผม

   “เอาไงดีคุณตัดเลยมั้ย?”

   “หมายถึงว่า คุณจะตัดสายสะดือทั้งที่มันยังเชื่อมอยู่กับตัวเป้ยเงี้ยเหรอ?”

   “อืม ผมกลัวเค้าคลานแล้วดึงจนขาดอะ ไม่รู้จะอันตรายมั้ย ตอนเป้ยกัดเองยังเลือดกระฉูดเลย”

   “นั่นสิ...”

   ผมตอบกลับ มองภาพตรงหน้าอยู่สักพัก ซึ่งก็วุ่นวายไม่เบาเลย ตอนนี้คุณไป๋ต้องจับลูกแมวไว้ เพราะเจ้าตัวเล็กพยายามจะคลานไปกินนมแม่ไม่หยุด

   สุดท้ายผมก็ตัดสินใจพูดออกไป

   “ตัดเลยแล้วกัน”

   “โอเค คุณเป็นคนตัดนะ ผมไม่เก่งงานฝีมือ”

   “จริงๆ เลยนะคุณเนี่ย”

   สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมหลุดขำออกมาแบบฝืนๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วหันไปหยิบถุงมือมาใส่

   บอกตามตรงว่าบรรยากาศตอนนี้ไม่ต่างจากฉากหมอผ่าตัดคนไข้ที่เคยดูในหนังเลย มีถุงมือ กรรไกร ด้าย ยา แถมยังมีไฟส่อง

   ใส่ถุงมือเรียบร้อยผมก็พูดต่อ

   “คุณจับแมวไว้นะ เดี๋ยวผมผูกด้ายแล้วตัดสายสะดือเอง”

   พูดจบก็มองสบตาคนตรงหน้าอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ พอเราพยักหน้าให้กัน ผมก็หันไปหยิบด้ายที่ล้างน้ำยาเอาไว้จนสะอาดขึ้นมาผูกตรงสายสะดือแมว ตามคลิปวีดีโอซึ่งดูมาแล้วหลายครั้ง พร้อมกับที่เสียงจากคนข้างๆดังขึ้น

   “แน่นๆ นะคุณ สองทบไปเลย”

   “โอเคๆ”

   ผูกเสร็จผมก็หยิบกรรไกร นาทีนั้นแหละที่หัวใจมันดันเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาซะดื้อๆ รู้สึกเหมือนกำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ยังไงก็ไม่รู้

   ผมถือกรรไกรปลายมน ยื่นเข้าไปใกล้ สูดหายใจลึกๆ แล้วก็จัดการตัดฉับเข้าที่ท่อซึ่งเชื่อมแม่ลูกเอาไว้ ผลที่ออกมาก็คือเลือดกระฉูดจนแดงไปหมด

   ถึงแม้จะเห็นภาพนี้มาแล้วหลายครั้ง  แต่บอกเลยว่าเลือดที่พุ่งออกมาจากสายสะดือที่ผมลงมือตัดด้วยตัวเอง ยังไงก็ดูน่าสยดสยองจนเกินบรรยาย

   ผมมองภาพเจ้าแมวตัวเล็ก สลับไปมากับกรรไกรในมือตัวเอง ทั้งตื่นเต้น กังวล ปั่นป่วน จนถึงกับต้องพูดออกมา

   “เชี่ย ตอนเรียนแค่ตัดโม ตอนนี้ตัดสายสะดือแมวแล้วว่ะ”

   พูดจบเสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังมาจากอีกคนทันที

   เพราะเป่าเป้ยไม่ยอมเลียลูก คุณไป๋เลยต้องเอาเจ้าเหมียวน้องเล็กมาเช็ดด้วยผ้าขนหนูจนเริ่มแห้ง ก่อนจะเอาไปวางไว้กับพี่ๆ ที่กำลังดูดนมอยู่

   ส่วนผมที่วางกรรไกรไปแล้วก็ต้องมาช่วยดึงรกที่ยังอยู่ในท้องแม่แมวออกมา เราปรึกษากัน และตกลงว่าจะทิ้งมันไปซะ

   พอเห็นว่าเป้ยเริ่มเลียทำความสะอาดร่างกายตัวเอง ก็เข้าใจได้ว่าการคลอดจบลงเรียบร้อยแล้ว

   ครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่รู้ที่ผมถอนหายใจออกมาจนสุด วางข้อศอกพิงโต๊ะตัวเล็กที่อยู่ใกล้ๆ แล้วทิ้งน้ำหนักลงไปในสภาพอ่อนแรง ก่อนจะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่พิงลงมาบนต้นแขนผมอีกที ตามด้วยคำพูด

   “ลูกแมวเกิดเรียบร้อย ส่วนคนอะ เหมือนจะตายซะให้ได้เลย”

   คำพูดนั้นเจือด้วยรอยยิ้มอ่อนล้า ที่ผมเองก็ยิ้มรับไปเหมือนกัน

   นั่งพักอยู่ไม่นานพวกผมก็ลุกขึ้น เก็บอุปกรณ์ทั้งหมดไปล้างและตั้งใจจะให้เวลาส่วนตัวกับแม่แมวและลูกๆ

   ระหว่างที่กำลังล้างมือ คุณไป๋เค้าก็พูดขึ้นมา

   “ได้ของแถมเฉยเลยเนาะ”

   “ลูกแมวอะนะ?”

   “อือฮึ ตอนแรกผมคิดว่าจะคลอดสี่ตัวซะอีก”

   “ตอนเอ็กซเรย์อาจจะเบียดกันจนหมอมองเห็นไม่ชัดมั้ง”

   “คงงั้นแหละ”

   “นี่คุณ... เจ้าตัวสุดท้ายอะผมจองได้มั้ย สีมันเหลืองเข้มกว่าตัวอื่นชัดเจนเลย อยากให้ชื่อมะนาว”

   คนฟังหันมาทำหน้ามุ่ยไม่จริงจังใส่กัน ก่อนจะพูดต่อ

   “แล้วถ้ามันเป็นผู้ชายล่ะ เพิ่งคลอดเอง ยังดูเพศไม่ได้เลย”

   “เฮ้ย ผู้ชายก็ชื่อมะนาวได้นะ เท่จะตาย ไอ้นาวไง”

   “เท่พอกันกับมะตูมเลยเนอะ”

   แน่นอนว่าคนพูดประชด จนผมต้องแกล้งสะบัดน้ำในมือใส่ไปทีนึง พร้อมกับที่เสียงโวยวายดังตามา

   “คุณ เล่นเป็นเด็ก!”

   พวกผมตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับรังของเป้ยและลูกๆ ถึงแม้ว่าสภาพตอนนี้มันจะทั้งเลอะเทอะ และเต็มไปด้วยคราบเลือด เพราะอยากให้แม่แมวได้ผ่อนคลายแล้วก็ปรับตัวอีกหน่อย

   หลังจากเก็บล้างทุกอย่างเรียบร้อย เราก็เลยมานั่งหมดแรงกันอยู่บนโซฟา ผมทิ้งตัวพิงเบาะนุ่มๆ ส่งรูปถ่ายรายงานสถานการณ์ให้กับพวกลุงไอ้ตูม ส่วนเจ้าของบ้านถึงกับกอดหมอนที่วางไว้แล้วก็ฟุบตัวลงนอน

   พิมพ์ข้อความคุยกับเพื่อนอยู่สักพัก หันไปอีกฝั่งก็เห็นคุณไป๋กำลังเอาหน้าแนบกับหมอนแล้วหลับตา จนเวลาผ่านไปสักพักก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว ผมถึงได้แน่ใจว่าคงหลับไปแล้ว

   ภาพตรงหน้าผมตอนนี้คือใบหน้าที่แนบกับหมอนกำลังค่อยๆ ขยับเหมือนกำลังจะตกลงมา ไม่ทันไรเจ้าตัวสะดุ้งตื่นแล้วทำตาโต

    วินาทีนั้น ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองของผมน่ะเหรอ?

   ‘น่ารักว่ะ’

   ฮะ...?

   ผมเหลือบสายตามองไปที่อื่นสักพัก ถามตัวเองอีกทีว่าเมื่อกี๊คิดอะไรอยู่ พอก็กลับมายังคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล ก็พบว่าความคิดนั้นยังคงอยู่

   สิ่งต่อมาที่ผมทำได้คือการมองจอโทรทัศน์สีดำสนิทเพราะไม่ได้เปิดเครื่อง พร้อมกับพยายามเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้  ในใจผมมันรู้สึกแบบ ฟูๆ นุ่ม ๆ เหมือนมีความฟูนุ่มบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้เกิดขึ้นในนั้น

   เพื่อนบ้านผมเป็นคนหน้าตาดี อันนี้ยอมรับ และในชีวิตนี้ผมก็เห็นผู้ชายหน้าตาดีมาเยอะเยอะมากมาย แต่ไม่เคยคิดเลยว่าใครสักคนในนั้น มีความ 'น่ารัก' อย่างที่รู้สึกอยู่ตอนนี้

   พอดึงสายตากลับมายังอีกคนที่อยู่ในบ้าน ก็พบว่าเขาเองก็มองมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว ทันทีเราสบตากันอีกฝ่ายก็เลิกคิ้วขึ้น เหมือนจะถามว่าเป็นอะไร และสิ่งที่ผมตอบกลับไปได้ก็มีแต่ความเงียบ โดยที่สายตาเรายังไม่ละออกจากกัน

   ผมเองก็ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ก่อนที่คนตรงหน้าจะพูดขึ้น

   “ถ้าไม่มีคุณ ผมแย่แน่ๆ”

   “...”

   ผมเงียบ ทำได้แค่ยิ้มโง่ๆ เนื่องจากสมองยังว่างเปล่าเพราะความรู้สึกฟูนุ่ม ก่อนที่คนตรงหน้าจะพูดต่อ

   “เป็นอะไร? อยากกินหมูย่างเกาหลีเหรอคุณ?”

   โถ่เว๊ย! สิ่งที่ได้ยินทำเอานึกอยากจะเดินเอาหัวไปโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด!

   ผม...ชุน พ่อไอ้ตูม ชายหนุ่มวัย 26 ปี วันนี้ได้ลองทำคลอดแมวครั้งแรก แถมยังได้รู้จักกับความฟูนุ่มที่มองไม่เห็นเป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน

   และเมื่อได้มองสบตากับเขาที่เป็นต้นเหตุของความฟูนุ่มอย่างลึกซึ้ง คนๆ นั้นก็คิดว่า

        ...ผมอยากกินหมูย่างเกาหลี


- to be continued -




หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 4 - 130163] [PAGE 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 13-01-2020 20:53:45
พ่อมะตูมใจฟูๆแล้ว    :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 4 - 130163] [PAGE 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 13-01-2020 22:03:39
โอย ลุ้นระทึกไปกับทั้งสองหนุ่ม เหมือนนั่งดูไลฟ์แมวคลอด
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 4 - 130163] [PAGE 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 13-01-2020 22:38:07
อ่านแล้วเหมือนได้ไปร่วมนั่งทำคลอดแมวด้วยกัน ช่วงเวลารอแมวคลอดนี่มันลุ้นจนเหนื่อยจริงๆนะ 555555
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 4 - 130163] [PAGE 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 14-01-2020 17:30:34
ลุ้นกับการทำคลอดเป้ย สุดท้ายก็ได้ใช้ของที่เตรียมไว้นะ ฮาาาาาา

ขอความเชื่อมโยง นุ่มฟูกับหมูย่างเกาหลีหน่อย คือคิวใช่มั๊ยหรือยังไง
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 4 - 130163] [PAGE 1-2]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 18-01-2020 20:15:12
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/Screen Shot 2563-01-18 at 18_36_43.png)
- 05 -

เช้าวันต่อมาผมตื่นนอนเพราะเสียงร้องไห้...

หลังจากโดนปลุกด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ ผมก็รับสาย และสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ต้องลุกจากที่นอน คว้าเสื้อมาใส่ตัวนึง วิ่งลงชั้นล่างทั้งที่ยังไม่ได้ล้างหน้าหรืออะไรทั้งนั้น เพื่อไปยังบ้านข้างๆ

ผมเปิดประตูบ้านเขาเข้าไปด้วยตัวเอง และพบว่าคนที่เพิ่งโทรมานั่งอยู่บริเวณสนามหญ้า

ทันทีที่รู้ว่าผมเข้ามา เขาลุกขึ้น หันมาทางนี้ สิ่งแรกที่สะดุดตาผมเลยคือดวงตาทั้ง 2 ข้างที่มีน้ำตาคลออยู่ คำพูดสั้นๆ ที่อีกฝ่ายบอกกันตอนที่โทรมาก็คือ ‘ลูกแมวตาย’

ผมเดินไปหาเขา หยุดลงตรงหน้า สายตามองเลยไปยังกล่องกระดาษใบเล็กที่วางอยู่บนพื้น ก่อนจะยกมือขึ้นกุมไหล่เขา ลูบเบาๆ

“ไม่เป็นไรนะคุณ”

“...”

คำตอบคือการพยักหน้า ก่อนที่ผมจะถามต่อ กับความรู้สึกหนักอึ้งในจิตใจ

“ทุกตัวเลยเหรอ?”

“บ้าดิ”

อีกฝ่ายตอบรับทั้งๆ ที่ตากับจมูกแดงไปหมด

“อ้าว...”

“ตัวเดียว!”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วถามต่อ

“ตัวไหน”

“ตัวที่เราทำคลอดให้มัน ตัวสีส้มที่เกิดมาเป็นตัวสุดท้าย”

พูดจบ คนตรงหน้าก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ผมมองคนที่ยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วถอนหายใจ เดี๋ยวเครียด เดี๋ยวโล่งใจ แล้วก็ต้องมาเศร้าต่อ บอกตามตรงว่าสับสนไปหมด

ผมยืนอยู่ตรงนั้น ยังคงกุมไหล่เขาเอาไว้แล้วก็นิ่งไปสักพัก ก่อนจะถามต่อ

“เขาอยู่ในนั้นเหรอ?”

ผมหมายถึงกล่องกระดาษที่วางอยู่ และคนฟังพยักหน้ารับ

“ผมห่อไว้ด้วยผ้าขนหนู แล้วก็ใส่ไว้ในกล่อง”

น้ำตาของคนพูดยังคงไหลออกมาเรื่อยๆ ผมมองเขา แล้วเลื่อนสายตากลับไปยังกล่องที่วางอยู่บนพื้นหญ้า มันเล็กมากๆ ขนาดประมาณฝ่ามือผม แต่กลับมีหนึ่งชีวิตอยู่ในนั้น

ความคิดในใจเถียงกันไปมาว่าอยากจะเห็นเจ้าตัวเล็กอีกสักครั้งไหม มั่นใจเลยว่าถ้าได้เห็นแล้วก็คงไม่ได้ทำให้รู้สึกดีอะไร แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าเขาจากไปในสภาพไหน สุดท้ายก็ถามออกมา

“เค้า...ดูเป็นยังไงบ้าง?”

“เหมือนนอนหลับไป ไม่มีแผล ไม่มีเลือดอะไรเลย”

“...”

“ผมไม่น่าขึ้นไปนอนในห้องเลย น่าจะอยู่ข้างล่างอีกสักวัน ไม่งั้นคง...”

ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ผมรั้งเขาเข้ามากอด แล้วพูดออกมาเบาๆ

“คุณทำดีที่สุดแล้ว”

“แต่อาจจะยังดีไม่พอ”

นาทีนั้นใจผมคิดไปสารพัด ลูกแมวตัวนี้อาจจะตายด้วยตัวเอง หรือ สิ่งที่เราทำเมื่อวานมันอาจจะมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง จนเค้าต้องตาย ถ้ามันเป็นอย่างนั้น ผมก็คือคนนึงที่ลงมือคร่าชีวิตเล็กๆ ชีวิตนึงไปโดยไม่รู้ตัว

นอกเหนือจากความเสียใจ... คือความรู้สึกผิด

สักพักผมก็ผละอ้อมกอดออก ก้มลงมองเขา ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นเช็ดหน้าตัวเอง แล้วค่อยๆ พูดต่อ

“ผมจะฝังเค้าไว้ที่สนามหญ้า แล้วก็จะปลูกต้นไม้ให้ แต่บ้านไม่มีจอบเลยอะ”

เห็นคนพูดที่ทำหน้าเซ็ง น้ำตายังคลอ แถมยังตาบวมเพราะร้องไห้ แล้วผมก็หลุดยิ้มฝืนๆ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ากัน แล้วตอบกลับ

“บ้านผมมี เดี๋ยวไปเอามาให้”

“ขอบคุณนะ”

“แล้วตัวอื่นเป็นยังไงบ้าง”

“ผมไปดูมาแล้ว ก็ดูแข็งแรงดี ไม่รู้สิ...”

“ไปดูกัน”

หลังจากนั้นเราก็เข้ามาในบ้าน ผมมองลูกแมวสี่ตัวที่กำลังกินนม กับแม่แมวที่นอนตะแคงเพื่อให้ลูกดูดนมได้สะดวกยิ่งขึ้นแล้วก็ยิ้มออกมา พร้อมกับยื่นมือไปลูบหัวเป้ยเบาๆ

“เหนื่อยแย่เลยคุณแม่”

ส่วนคุณไป๋เดินเข้าไปในครัว แล้วออกกลับมากับกล่องใบเดิมที่ตอนนี้อยู่ในถุงซิปล็อกใบใหญ่ ผมหันไปมอง ตกใจไปนิดนึง พร้อมกับได้ยินคำอธิบาย

“ผมกลัวมดขึ้นอะ เก็บเค้าไว้อย่างนี้ก่อนแล้วกัน”

“งั้นเรารีบไปซื้อต้นไม้กันมั้ย?”

แล้วพวกเราก็แยกย้ายกัน

ผมกลับไปบ้าน เพื่ออาบน้ำแต่งตัว พอเดินไปถึงหน้าประตูก็เจอไอ้ตูมมานั่งรออยู่ตรงที่ประจำ เลยแวะลูบหัวเกาแก้มให้ไอ้ตัวแสบ แล้วอยู่ๆ ก็นึกถึงที่คุณไป๋เคยพูดเรื่องการเลี้ยงแมวของผม ว่าการปล่อยให้มะตูมเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระมันเสี่ยงแค่ไหน ไม่ว่าจะรถชน ติดโรค โดนหมาหรือว่างูกัด

เหตุการณ์เหล่านั้นเคยเป็นอะไรห่างไกลมากในความรู้สึกของผม ‘ไอ้ตูมมันเก่ง ต้องเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว’ ผมเคยคิดอย่างนั้น

แต่ในวันนี้ วันที่การสูญเสียเป็นเรื่องใกล้ตัวเข้ามา จนเกิดขึ้นให้เห็นอยู่ตรงหน้า ผมได้เรียนรู้จากเจ้ามะนาวว่า ความตายเป็นอะไรที่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราจะไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก

ผมมองหน้ามะตูม พร้อมกับที่มันเงยหน้าขึ้นมาแล้วร้องเมี๊ยวใส่ผมเช่นกัน จนต้องลูบหัวให้อีกครั้ง

“ไว้กูกลับมาแล้วเราไปฝังศพมะนาวกัน”



เราออกมาที่ตลาดต้นไม้ด้วยรถของผม ระหว่างทางคุณไป๋เค้าก็ใช้โทรศัพท์มือถือหาข้อมูลต้นไม้ที่จะปลูก แล้วก็มีตัวเลือกในใจอยู่สองสามต้น แต่พอไปดูจริงๆ ผมกลับไปสะดุดตากับต้นไม้ที่มีชื่อเดียวกับเจ้าตัวเล็ก ก่อนจะหันมาถามคนข้างๆ

“ต้นมะนาวมั้ยคุณ?”

บรรยากาศความเศร้าที่ล้อมรอบเขาอยู่หายไปมากแล้ว ผมเองก็ค่อยๆ ทำใจกับการสูญเสียได้อย่างช้าๆ

คนฟังหันมามองหน้าผม ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วถามต่อ

“ต้นมะนาวเลยเหรอ?”

“อื้อ”

“ปลูกแล้วต้องทำกับข้าวกินเองมั้ยเนี่ย?”

“หรือว่าเลม่อนดี”

“เลม่อน?”

“อืม เวลาออกลูกจะเป็นสีเหลืองเหมือนเจ้ามะนาว”

“หลุดธีมจากที่คิดมาไปไกลเลยอะ”

ตอนแรกคุณเค้าเล็งไว้ว่าจะปลูกต้นฟอร์เก็ทมีนอต หรือไม่ก็พวกไม้ดอกความหมายดีๆ อย่างดอกแก้ว แต่เนี่ย มาจบที่ปลูกมะนาวได้ยังไงก็ไม่รู้

ผมยิ้มรับแล้วก็เงียบ ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้ความคิด พอถึงช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจก็ไม่ค่อยอยากออกความเห็นอะไร เพราะต้นไม้จะโตอยู่ในบ้านของอีกคน

หลังจากปล่อยให้เขาก้มๆ เงยๆ มองต้นเลม่อนอยู่สักพัก พร้อมกับที่คนขายโฆษณาว่าปลูกไม่ยากอย่างนั้นอย่างนี้ ในที่สุดเขาหันมาหาผม แล้วบอกกัน

“เลม่อนก็เลม่อนเนอะ”

“ตามใจคุณเลย”

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจซื้อต้นเลม่อน แล้วเราก็พากันกลับบ้าน พอมาถึง ผมจัดการหาจอบในห้องเก็บของ ซึ่งไม่เคยถูกหยิบมาใช้เลย ตั้งแต่พ่อไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้

พอมาถึงบ้านข้างๆ ก็เจอคุณไป๋รออยู่แล้วกับถุงซิปล็อกใบนั้น ส่วนไอ้ตูมนั่งอยู่ที่กำแพงระหว่างบ้านทั้ง 2 หลัง พอผมเริ่มลงมือขุด มันก็เดินมาดูด้วยความสงสัย

ระหว่างนั้นอีกคนเดินไปเด็ดดอกคุณนายตื่นสายที่กำลังบานพอดี พอได้ดอกไม้ในมือมาประมาณนึงเขาก็เดินกลับมา แล้วถามกัน

“ช่วยขุดมั้ยคุณ?

“นิดเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอก”

ได้หลุมลึกพอประมาณ คนตรงหน้าก็เอากล่องออกมาจากถุง แล้ววางลงไปในหลุม ก่อนจะเอาดอกไม้ที่เก็บมาโปรยลงไปด้านบน

จากที่คุยกันระหว่างกลับมา ผมต้องขุดหลุมให้ลึกเพื่อที่จะฝังเจ้าตัวเล็กลงไปก่อน แล้วกลบ 1 ชั้น ก่อนจะปลูกต้นไม้ ซึ่งพวกเราทั้งคู่ต่างก็ไม่แน่ใจว่าวิธีที่ทำอยู่นี่ถูกต้องรึเปล่า

ใช้เวลาสักพัก ในสนามหญ้าบ้านคุณไป๋ก็มีต้นเลม่อนต้นนึงปลูกอยู่

ผมเอาดอกไม้ที่เหลือวางไว้ให้ที่โคนต้น สุดท้ายก็ทำได้แค่วางมือลงบนพื้นดิน ลูบไปมาเบาๆ ก่อนจะได้ยินคนตรงหน้าพูดขึ้น

“คุณอย่าโทษตัวเองนะ”

มันเป็นประโยคสั้นๆ ที่แตะเข้ามากลางหัวใจของผม เพราะภาพตอนที่กดกรรไกรตัดสายสะดือเมื่อวานมันยังติดตา จนอดคิดไม่ได้ว่านั่นอาจจะเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้ลูกแมวตัวนั้นไม่มีลมหายใจอีกแล้วในวันนี้

ผมอาจจะเป็นคนฆ่ามันเอง...

มีความเงียบเล็กๆ เข้ามาปกคลุมระหว่างเราสองคน ก่อนที่ผมจะพูดออกมา

“ยากมากเลย”

แล้วคุณไป๋ก็ยื่นมือมาจับแขนผมเอาไว้ ก่อนจะพูดต่อ

“คืองี้คุณ มันมีความเป็นไปได้อยู่แล้วที่ลูกแมวจะตาย เค้าอาจจะตายเองเพราะอ่อนแอ แล้วเป้ยก็คาบศพออกมาไว้ข้างนอกรัง หรืออาจจะตายเพราะเป้ยไม่ยอมเลี้ยงก็ได้ จำได้มั้ย เป้ยไม่ยอมดูแลลูกแมวตัวนี้ตั้งแต่เกิดแล้ว”

“หรือไม่ ตอนที่ผมตัดสายสะดือ มันอาจจะมีอะไรผิดพลาด”

“ไม่หรอก...ไม่”

“...”

“หรือต่อให้จริง มันก็คือความผิดของเราทั้งคู่ ผมเป็นคนตัดสินใจเข้าไปยุ่งกับลูกแมวก่อนจำได้มั้ย ถ้าคุณจะรู้สึกผิด ผมก็ขอหารมันด้วยครึ่งนึงแล้วกัน”

ผมยิ้มบางๆ รับคำพูดนั้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดต่อ

“พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้านะ หน้าร้านโจ๊กจะมีพระมาบิณฑบาตตอนเจ็ดโมงตรง แล้วเราไปตักบาตรให้มะนาวกัน”

“โอเค...”

พอเข้ามาในบ้านอีกครั้ง ผมก็เห็นเป่าเป้ยออกมากินข้าว ส่วนมะตูมก็ไปนั่งมองลูกแมวที่หน้ากล่องด้วยความสงสัย จนผมกับคนข้างๆ ต้องจับตาเพราะกังวลว่าไอ้ตูมจะทำร้ายเด็ก แต่หลังจากเวลาผ่านไปสักพักมันก็หันมาร้องเมี๊ยวใส่ผมทีนึง ก่อนจะเดินไปนอนบนคอนโดแมวตามเคย

พวกเราใช้เวลาที่เป่าเป้ยออกไปกินอาหาร เข้าห้องน้ำ เปลี่ยนแผ่นรองที่เลอะเทอะมาตั้งแต่เมื่อวาน แล้วก็เพิ่งได้มานั่งดูสีลูกแมวทีละตัวอย่างจริงจัง เจ้าตัวแรกที่ออกมาเป็นสีส้มอ่อนจนแทบจะครีม ตัวต่อไปเป็นสีขาวล้วน ถัดมาเป็นสามสีที่ผมยังงงอยู่ว่าหลุดมาได้ยังไง และตัวที่สี่คือขาวสลับส้ม

หลังจากจับพวกตัวเล็กพลิกไปพลิกมากเพื่อดูเพศอยู่สักพัก ก็ได้บทสรุปว่า ดูไม่ออก...

สุดท้าย ผมกับคุณไป๋ก็ตกลงกันว่าเราจะตั้งชื่อให้หลังจากที่รู้เพศเด็กๆ เรียบร้อย ระหว่างนี้ก็คงเรียกตามสีไปก่อน

แปลกดีที่การมองสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นอนหลับสนิทดันกลายเป็นอะไรที่ทำให้ผมมีความสุขไปซะได้ และแปลกยิ่งกว่าที่รอยยิ้มบางๆ ของคนที่กำลังใช้ปลายนิ้วลูบไปมาบนหัวเล็กๆ ของพวกลูกแมว ก็ทำให้ผมยิ้มออกมาเช่นกัน

เราสองคนต่างก็นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ก่อนที่ผมจะไปหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความคุยกับเพื่อนๆ พวกมันเสียใจเรื่องเจ้าน้องเล็กที่จากไป แล้วก็บอกว่าอยากจะมาเยี่ยมหลานสะใภ้โดยเร็วที่สุด ผมเลยหันไปถามอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

“พวกลุงไอ้ตูมอยากมาดูเป้ยกับลูกแน่ะคุณ”

“ลุง?”

ต้องอธิบายเพิ่มสินะ

“ก็พวกเพื่อนผมที่เก็บไอ้ตูมมาด้วยกันคืนนั้นนั่นแหละ ผมเป็นคนรับเลี้ยงมะตูมไว้ก็ต้องเป็นพ่อ ส่วนพวกเพื่อนๆ ก็กลายเป็นลุง”

“อ๋อ...”

“แต่ผมว่า เราน่าจะให้เวลาเป้ยสักนิดก่อนดีกว่ามั้ย รอให้ลูกแมวลืมตา หรือว่าโตกว่านี้ค่อยให้พวกมันมาก็แล้วกัน ผมกลัวเป้ยจะเครียด”

“อืม ก็ดีเหมือนกันเนอะ”

พอช่วงบ่ายพวกผมก็ต้องออกจากบ้านอีกครั้งเพื่อซื้อของสำหรับเตรียมใส่บาตรในวันพรุ่งนี้ แล้วการเลี้ยงแมวเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผมอีกครั้ง ผมไม่ได้ตื่นมาใส่บาตรนานมาก ไปวัดยิ่งแล้วใหญ่ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเดินเลือกซื้อของ เพื่อเอากลับบ้านไปจัดเป็นชุด สำหรับใส่บาตร

ระหว่างที่กำลังเข็นรถเข็นรถเข็นเดินไปตามชั้นวางน้ำเปล่า อยู่ๆ อีกคนก็หันมามองกัน ส่งยิ้มให้ แล้วก็พูดออกมา

“เรารู้จักกันมากี่วันแล้วนะคุณ”

ฮึ? สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมชะงักไป ก่อนจะลองนับแบบคร่าวๆ พอได้คำตอบก็พูดออกไป

“เดือนนึงได้แล้วมั้ง”

“แปลกเนอะ เหมือนรู้จักกันมานานแล้วเลยอะ”

แล้วคำพูด รอยยิ้ม วิธีที่อีกฝ่ายเงยหน้ามามองกัน ก็ทำให้ความรู้สึกฟูนุ่มในใจผมมันกลับมาอีกครั้ง กว่าผมจะรวมสติตัวเองกลับมาได้ คนตรงหน้าก็เดินไปหยิบน้ำเปล่าหนึ่งแพ็คมาใส่ในรถ แล้วพูดต่อ

“พี่เปรี้ยวเคยบอกว่าจะมีพระจากสองวัดมาบิณฑบาตในหมู่บ้าน เราก็ทำไว้สัก 12 ชุดแล้วกันเนอะ แบ่งกันคนละ 6 วัดละ 3 จะได้ซื้อของง่ายดี”

และในระหว่างที่ผมกำลังรู้สึกหวั่นไหว คนที่เป็นต้นเหตุก็... กำลังพูดถึงพระ

ช่วยด้วยเหอะ!

“ตามใจคุณเลย”

“เราใส่น้ำเปล่า นม แล้วก็อะไรอีกดีอะ?”

“ขนมมั้ย? แบบที่เก็บไว้ได้หลายวันหน่อย”

“ก็ดีนะ”

เพราะคนตรงหน้าบอกว่า บางวันที่เขาออกมากินเกี้ยมอี๋ของโปรดตอนเช้ามากๆ ก็เห็นว่ามีคนมาใส่บาตรอยู่บ้างแล้วส่วนใหญ่ก็จะเป็นอาหารสด พวกผมก็เลยคิดว่าถ้าเราตักบาตรด้วยอาหารแห้งก็น่าจะดีกว่า

ระหว่างที่กำลังเดินซื้อของ อีกคนก็เล่าใหัฟังว่าตอนที่อยู่บ้านใหญ่จะต้องทำแบบนี้เป็นประจำ เพราะคุณแม่ของเขาจะตื่นมาใส่บาตรทุกวันพระ แล้วต่อให้ที่บ้านมีแม่บ้าน แต่กับของที่จะทำบุญ ยังไงคุณแม่ก็จะเป็นคนทำทั้งหมดด้วยตัวเอง

ฟังจบผมก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าต้องรู้สึกยังไง เรื่องที่เขาต้องเตรียมของใส่บาตรอยู่บ่อยๆ น่ะเหรอ?

เปล่าเลย... เรื่องที่อีกฝ่ายมีแม่บ้านต่างหากล่ะ!



วันต่อมาพวกผมตื่นนอนแต่เช้า ออกไปใส่บาตร ผมขอให้ผลบุญที่เราทำกันในวันนี้ ส่งผลให้เจ้ามะนาวได้ไปเป็นเทพเจ้าแมวตัวน้อยๆ

สุดท้ายก็จบลงที่กินมื้อเช้าเหมือนเดิม สิ่งที่แปลกไปก็คือคำพูดพี่คนขายซึ่งทักเราสองคนขึ้นมา

“ช่วงนี้มาด้วยกันประจำเลยเนอะ”

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกอะไรมั้ย แต่คำพูดสั้นๆ แค่นั้นมันทำให้ผมเขินขึ้นมานิดๆ

ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ ผมก็ถามขึ้น

“เมื่อกี๊คุณอธิษฐานอะไร นานมากเลย”

“ขอให้มะนาวเล่นซนอยู่บนสวรรค์ แล้วก็ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว”

“คล้ายกันเลย ผมขอให้เจ้าตัวเล็กเป็นเทพเจ้าแมวที่มีความสุข”

คนฟังยิ้มรับ ก่อนจะพูดต่อ

“คุณรู้มั้ย ตอนผมเห็นข่าวว่ามีสัตว์ตายในอินเตอร์เน็ต แล้วคนไปคอมเม้นต์ประมาณว่า ขอให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นคน อะไรทำนองนั้น มันอดไม่ได้เลยที่จะแอบเถียงอยู่ในใจทุกครั้ง ว่าเค้าอาจจะไม่ได้อยากเกิดเป็นคนก็ได้ บางทีเป็นหมาเป็นแมวก็มีความสุขกับชีวิตอยู่แล้ว ทำไมต้องอยากเป็นคนด้วย”

สีหน้าอันจริงจังและสิ่งที่เขาพูดออกมาทำเอาผมเกือบหลุดขำ แต่พอลองคิดดูก็จริงนั่นแหละ ดูไอ้ตูมสิ กินอาหารโลละสามร้อย วันๆ ไม่เห็นจะทำอะไรนอกจากทำสาวท้อง ส่วนผมนี่นั่งทำงานหลังขดหลังแข็ง เพื่อเอาเงินมาซื้ออาหารราคาสามร้อยของมันนี่แหละ

คิดได้อย่างนั้นผมก็ตอบกลับไป

“จริงด้วย ดูแมวเราสองคนสิ ชีวิตมีความสุขเว่อร์ วันๆ ทำแค่นอน ทำขนร่วงให้ตามเก็บ กับเดินไปร้องเรียกให้เติมอาหาร”

“แถมยังมีอีกสี่ตัวนอนรอให้เลี้ยงเพิ่มอยู่ในกล่องอีก”

สีหน้าแววตาของที่เขาพูดถึงเจ้าตัวเล็กทำให้ผมยิ้มตาม และในวินาทีที่เราสบตากัน ความรู้สึกนั้นก็กลับมาอีกครั้ง

ฟูนุ่ม! โคตรจะฟูนุ่มเลยให้ตาย!



- to be continued -


talk .

ไม่รู้จะเคืองกันมั้ยที่เราตัดสินใจเขียนแบบนี้
ตอนที่ตั้งใจว่าจะเขียนนิยายที่เล่าเรื่องการเลี้ยงแมวแบบจริงจัง
ใจเราก็อยากจะเล่าในหลายๆ แง่มุม ว่ามันไม่ได้มีแค่ด้านที่สนุกสนาน และมีความสุข
ความเจ็บป่วย และการสูญเสียก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน ประมาณนั้น

ชอบไม่ชอบก็บอกกันได้นะคะ
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 5 - 180163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 18-01-2020 21:18:05
ทุกวันนี้เราก็อยากเกิดเป็นแมวนะ ที่ทำงานจะมีแมวมานั่งๆนอนๆอาบแดดตอนสายๆกับเย็นๆ เราน่ะทำงานเหนื่อยจะตาย พอเดินมาพักแล้วเห็นแมวนอนผึ่งพุงเนี่ย..อิจฉาชะมัดเลย
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 5 - 180163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 18-01-2020 21:42:21
ไม่ชอบ......ไม่ได้แล้ว
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 5 - 180163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 18-01-2020 22:40:44
ดีใจที่เลือกปลูกมะนาว..เอ็นดูเทวดาแมว  :heaven
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 5 - 180163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 19-01-2020 00:16:59
เริ่มคิดอะไรๆแล้วนะนายคนนั้นอ่ะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 5 - 180163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 20-01-2020 18:08:42
เลยอดมีน้องมะนาวเลย ตอนอ่านคือเศร้าไปด้วยเลย น้องงงง  :hao5:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 5 - 180163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-01-2020 20:44:53
ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันกันแล้วนะ แม้จะในภาวะทุกข์โศกก็เถอะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 5 - 180163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 25-01-2020 19:59:01
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect%20fall%2006.jpg)

- 06 -

แม่คุณไป๋เขาแวะมาเยี่ยมหลานกับเหลนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งวันนั้นผมทำโอทีอยู่ที่บริษัทเลยกลับดึกและไม่ได้เจอกัน พอกลับมาบ้านก็ต้องแปลกใจที่โดนคนข้างบ้านเรียกตัวไว้ ก่อนจะเอาของฝากจากเชียงใหม่ข้ามรั้วมาให้ เป็นสตรอเบอรี่สดกล่องใหญ่ กับสตรอเบอรี่อบแห้งอีกหนึ่งกล่อง

ผมงงไปเลยตอนที่รู้ว่าได้ของฝากจากผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักและไม่เคยเจอ ก่อนจะมาเข้าใจตอนที่คนตรงหน้าอธิบายให้ฟัง

“หม่าม้าถามว่าใครมาช่วยตอนทำคลอด ผมก็บอกไปว่าคุณ ม้าเลยเอาของฝากมาให้แทนคำขอบคุณไง”

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะถามออกไปตามที่คิด

“แล้วแม่คุณรู้ใช่มั้ยว่าแมวผมนี่แหละที่ไปทำเป่าเป้ยท้องจนไม่ได้ผสมกับพ่อพันธุ์ที่คุณเล็งไว้”

“รู้สิ วันนี้ม้าเจอมะตูมแล้วนะ ยังชมอยู่เลยว่ามะตูมหน้าหล่อ เป็นแมวไทยที่หน้าหล่อที่สุดที่เคยเจอมา แม่ผมบอกแบบนั้น”

“...”

ถามจริง? ผมขมวดคิ้วรับสิ่งที่ได้ยิน คือพอจินตนาการไปถึงหน้าเหลืองๆ จมูกเลอะเทอะกับแววตากวนตีนของไอ้ลูกชายแล้วมันอดสงสัยไม่ได้ แบบนั้นอะนะที่โดนชมว่าหล่อ?

“เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าแอบด่ามะตูมในใจ อย่าอิจฉาแมวสิคุณ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยกมือขึ้น กางนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ไว้ใต้คางแล้วพูดต่อ

“ผมก็หล่อในแบบของผมปะ”

คำตอบคือเสียงหัวเราะ แล้วคำพูดที่ตามมาน่ะเหรอ

“ตูมหล่อกว่าเห็นๆ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ถอนหายใจ และมันก็ทำให้คนที่ยืนอยู่ฝั่งบ้านตัวเองหลุดหัวเราะออกมามากกว่าเดิมจนผมยังยิ้มตาม แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองก็มีเรื่องจะคุยเหมือนกัน

“เออ วันเสาร์นี้คุณไปไหนมั้ย”

“วันเสาร์เหรอ ผมมีนัดอะคุณ”

“อ้าว...”

ปากน่ะพูดออกมาแค่นั้น แต่ในใจถามไปเรียบร้อยแล้วว่านัดกับใคร เพื่อน...หรือว่าแฟน?

“มีอะไรรึเปล่า”

“ที่ผมเคยบอกคุณน่ะ ว่าเพื่อนผมจะขอมาดูลูกไอ้ตูม”

“อ๋อ จะมากันช่วงกี่โมง”

“เออ ยังไม่ได้นัดเวลาเลย คงสายๆ บ่ายๆ ประมาณนั้นแหละ”

“ถ้าช่วงนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก นัดผมช่วงค่ำๆ”

นัดกลางคืนด้วยว่ะ...

“งั้นผมบอกให้พวกมันมาเร็วหน่อยแล้วกัน”

“โอเคเลย บ่ายๆ ก็ยังได้”

ผมพยักหน้ารับ แต่สิ่งที่คิดอยู่ในใจตอนนั้นน่ะเตลิดไปถึงไหนต่อไหนก็ไม่รู้

แล้วอยู่ๆ ก็นึกถึงเพลงซึ่งเพื่อนผู้หญิงที่ออฟฟิศเปิดฟังอยู่บ่อยๆ ช่วงนี้ ที่ร้องประมาณว่า ‘ไม่ได้อยากถาม แต่แค่อยากรู้’ อะไรสักอย่างนี่แหละ ครั้งแรกที่ฟังผมยังแอบคิดในใจว่า ถ้าอยากรู้แล้วทำไมมึงไม่ถามวะ จะมาไม่อยากถามทำซากอะไร ใครจะไปรู้ว่าอยู่ๆ เหตุการณ์แบบนั้นจะมาเกิดขึ้นกับตัวเอง

แล้วคนตรงหน้าก็ถามขึ้นมา

“มีธุระอะไรอีกรึเปล่าคุณ”

“อะ...อ๋อ ไม่มีๆ”

“งั้นผมขอไปทำงานต่อก่อนนะ”

“โอเค”

พอคนตรงหน้ายกมือขึ้นมาโบกบ๊ายบาย ผมก็โบกมือกลับไป แล้วเดินหิ้วสตรอเบอรี่เข้าบ้านกับความรู้สึกขุ่นๆ เล็กน้อยที่เกิดขึ้นในใจ

ด้วยวัยยี่สิบหกปี...หรืออะไรก็ช่างเหอะ ผมเข้าใจตัวเองได้ไม่ยากว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็คือผมชอบคุณไป๋

อันที่จริงมันก็น่าอายอยู่นิดหน่อยที่ต้องยอมรับ ว่านี่เป็นครั้งที่สองในชีวิต ที่ผมได้รู้สึกชอบใครสักคน

ครั้งแรกมันเกิดขึ้นตอนอนุบาลสามกับน้ำหวาน เพื่อนผู้หญิงที่ต้องเต้นเพลงมนต์รักลูกทุ่งคู่กัน ซึ่งบอกตามตรงเลยว่าผมจำอะไรแทบไม่ได้ เรื่องราวทุกอย่างถูกถ่ายทอดผ่านแม่ของผม ว่าตอนนั้นผมเขินซะจนร้องไห้ พอร้องไห้ก็น้ำมูกไหล และเมื่อฉากที่พีคที่สุดในการแสดงมาถึง ซึ่งก็คือการที่ผมต้องเอาปลายจมูกไปแตะเบาๆ ตรงแก้มสาวน้อยที่แอบชอบ น้ำมูกที่สะสมมาจากการร้องไห้ก็ยืดเป็นทางยาว

แน่นอนว่ารักครั้งแรกของผมจบลงในคืนนั้น ไม่มีเด็กผู้หญิงที่ไหนยอมเป็นแฟนกับผู้ชายที่เอาขี้มูกมายืดติดแก้มหรอก

โชคดีที่ผมไม่ขี้มูกยืดอีกแล้วเมื่อเป็นวัยรุ่น แต่ก็ยังไม่คิดจะชอบใครอีก มีแฟนน่ะก็เคยอยู่บ้าง ในช่วงเวลาที่รู้สึกว่าต้องมีเพราะเพื่อนก็มีกันหมด ในตอนนั้นใครที่หน้าตาน่ารักอยู่สักหน่อย แล้วมาแสดงออกให้รับรู้ว่ามีใจให้ ผมก็ไม่ลังเลเลยที่จะสานต่อ ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายก็ไปไม่รอด

พอถึงจุดหนึ่งผมก็เริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อย่างน้อยก็มากพอที่จะเรียนรู้ว่าการคบกับใครสักคนทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอะไร ก็คือวิธีหนึ่งที่คนเห็นแก่ตัวทำโดยไม่คิดถึงคนอื่น ผมเลยไม่ได้คบใครอีก

ผมโสดสนิทในช่วงสองปีสุดท้ายของการเรียนมหา’ ลัย เวลาว่างจากการเรียนหมดไปกับการไร้สาระอยู่กับพวกลุงไอ้ตูม ซึ่งก็สนุกสนานดี ไม่ได้เหงาอะไร แล้วก็เลิกคิดเรื่องการมีแฟน การตกหลุมรักไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ระหว่างที่นั่งอยู่บนพื้น มองมะตูมกินข้าว ผมก็คุยกับตัวเอง หลังจากใช้ชีวิตมาได้ยี่สิบกว่าปี ในที่สุดผมก็มาถึงจุดนี้ จุดที่ตกหลุมรักผู้ชายเข้าจนได้ทั้งที่คบหากับผู้หญิงมาตลอด แถมยังสามารถรับมือกับความรู้สึกนั้นได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

คงต้องขอบคุณทั้งเจ้านายและไอ้ธีร์เพื่อนสนิทของผม ทั้งคู่คือคนใกล้ตัวที่พูดออกมาว่าตัวเองเป็นเกย์ได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนกำลังพูดเรื่องทั่วไปแบบฝนตกรถติด มันเลยทำให้ผมเคยชินกับการเปิดรับทุกความเป็นไปได้

การเป็นเกย์ไม่ได้มีอะไรย่ำแย่ มันคือรูปแบบหนึ่งของความรัก ที่อาจจะแตกต่างกับสิ่งที่ใครก็ไม่รู้มากำหนดไว้ว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้

แต่ยังไงความรักก็คือความรัก และความรักก็เป็นสิ่งที่ดี ผมเชื่ออย่างนั้น

แต่เรื่องการค้นพบตัวเองของผมไม่สำคัญเท่าอีกเรื่องหนึ่งเลย เรื่องที่ว่า สรุปวันหยุดนี้คุณไป๋เขามีนัดกับใครวะ

ผมมองไอ้แมวเหลืองที่กินอาหารไม่เสร็จสักที แล้วพูดออกมา

“ตูม...มึงเคยกังวลบ้างมั้ยว่าเป้ยเค้าอาจจะไปกุ๊กกิ๊กกับคนอื่นตอนที่มึงไม่อยู่”

พูดจบก็คิดขึ้นมาได้ ว่าไอ้ตูมมันก็ไปผสมพันธุ์กับเป้ยทั้งที่เขามีคู่หมั้นคู่หมายกันอยู่แล้วนี่หว่า แล้วถ้าคุณไป๋ก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วเหมือนเป้ยล่ะ ผมจะทำไงดี

ผมเก็บความคิดนั้นไว้ แล้วก็ตั้งใจจะเอามันมาปรึกษาพวกลุงไอ้ตูมในวันเสาร์

และเมื่อวันนั้นมาถึง ผมก็ไม่คิดเลยว่าจะเห็นเพื่อนตัวเองถือกระเช้าของเยี่ยมอันใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหารสูตรแม่แมว นมสำหรับแมวเด็ก และของสำหรับลูกแมวอื่นๆ อีกมากมาย

นั่นมันติดโบว์มาที่กระเช้าด้วยใช่มั้ยวะ

พอเดินไปถึงระตูรั้วบ้าน สิ่งที่ผมทำคือการยกมือขึ้นชี้กระเช้ากับดอกไม้ช่อเล็กหนึ่งช่อ ทั้งที่ยังไม่เปิดประตูด้วยซ้ำ

“พวกมึง...ซื้อกระเช้ากับดอกไม้?”

“เออดิ มามือเปล่าน่าเกลียดตายห่า แค่ไอ้เวรตูมมันไปทำเค้าท้องก็ขายหน้าจะแย่อยู่แล้ว แมวเค้าอย่างสวย”

ไอ้บาสเพื่อนผมพูดออกมา ก่อนที่ไอ้ธีร์จะถามต่อ

“แล้วแฟนไอ้ตูมอยู่บ้านหลังไหน”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ชี้ไปยังบ้านหลังสีขาวเทา พร้อมกับที่ไอ้ไอซ์ขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยเสียงกระซิบ

“ตอนนั่งรถมา กูคุยกับพวกมันว่าเมียไอ้ตูมอะ โคตรแพงเลยนะมึง แฟนกูบอกว่าแบบเดียวที่พวกเน็ตไอดอลเค้าเลี้ยงกัน หน้าตาแบบนี้เลย ตัวนึงแปดเก้าหมื่น”

แปดเก้าหมื่น!! ทำไมช่วงนี้มีเรื่องช็อกบ่อยจังวะ

ผมมองเพื่อนตัวเองนิ่งๆ รอให้มันพูดต่อว่ากูล้อเล่นหรืออะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่ ไอ้ไอซ์ยืนเฉย ส่วนอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พยักหน้ารับ แล้วก็ไม่พูดอะไร

ตอนนั้นเองที่ไอ้ตูมเดินออกมาจากในบ้าน แล้วถูตัวไปมาที่ข้อเท้าพวกผมเพื่อทักทาย พอก้มหน้าลงไปมองตัวเหลืองๆ ของมันก็อยากจะถอนหายใจออกมา

ไอ้เวรตูมเอ๊ย! บุญแค่ไหนแล้วที่พ่อเขาไม่แจ้งความจับมึงข้อหาล่วงละเมิดทางเพศแมวแพง!

ว่าแต่สัตว์ล่วงละเมิดสัตว์นี่ผิด พ.ร.บ. คุ้มครองสัตว์มั้ยวะ

หลังจากนั้นพวกผมก็พากันไปกดออดหน้าบ้านคุณไป๋ พอเจ้าของบ้านออกมาผมก็รับหน้าที่แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน ก่อนจะเดินเข้าบ้าน แล้วก็ได้รู้ว่าดอกไม้ที่พวกมันซื้อมาเนี่ย ไม่ได้จะเอามาให้เป่าเป้ยหรอก แต่เอามาวางไว้บนหลุมศพต้นเลมอนของเจ้ามะนาว

ระหว่างที่พวกมันกำลังวางดอกไม้ แถมยังยกมือไหว้อธิษฐานนอะไรไปเรื่อย ผมก็หันไปหาคนที่ถือกระเช้าของเยี่ยมแม่แมว แล้วถามออกมา

“หนักปะคุณ ผมช่วยถือมั้ย”

คำตอบคือรอยยิ้มและการส่ายหน้า ตามมาด้วยคำพูด

“ไม่ได้หนักมากซะหน่อย”

พอพวกเพื่อนๆ วางดอกไม้เสร็จ ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันไปบอก

“เข้าไปแรกๆ พวกมึงก็พูดเบาๆ หน่อยแล้วกัน กูกลัวเป้ยตกใจ”

“เออๆ” ไอ้บาสรับคำก่อนจะพูดต่อ “กูเคยคิดนะเว้ยว่าในกลุ่มเราอะ ใครจะมีเมียมีลูกคนแรกวะ กูจะได้ไปงานแต่งใครก่อนวะ พอเอาเข้าจริง แม่งคนแรกที่มีลูกคือไอ้ตูม สรุปไม่ได้เยี่ยมลูกเพื่อนหรอก มาเยี่ยมลูกแมวแทน”

ไม่ใช่แค่ผมที่หัวเราะ แต่คุณไป๋ที่ยืนอยู่ข้างกันยังขำตามไปด้วย

พวกเพื่อนๆ เงียบกันไปทันทีที่เข้าบ้าน ก่อนที่ผมจะเดินนำ พาพวกมันไปหยุดอยู่ที่หน้าคอกแม่แมว เรื่องมหัศจรรย์คือไอ้ตูมมันมาโผล่อยู่นี่ได้ไงวะ ก่อนหน้านี้ยังทำเป็นอ้อนพวกผมที่บ้านอยู่เลย

ตอนนี้พวกมันนั่งกันอยู่ที่หน้าคอกแมว พูดด้วยเสียงกระซิบเบาๆ แถมต่างคนก็ต่างยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูป ส่วนผมเดินเข้าไปในครัวแล้วก็เดาถูกด้วยว่าเจ้าของบ้านจะต้องเข้ามาเตรียมน้ำดื่ม

“มีน้ำลิ้นจี่ด้วย”

คนฟังหันมามอง ยกยิ้มแล้วก็ยื่นแก้วน้ำในมือมาให้

“ชิมก่อนมั้ย แม่ผมซื้อมาให้ตั้งแต่วันพุธแล้ว”

ผมรับแก้วน้ำมาดื่ม ก่อนจะช่วยอีกฝ่ายจัดแก้วน้ำใส่ถาดใบเล็กที่วางอยู่ พอมองไปเห็นใบหน้าด้านข้างของคนที่กำลังเอาผ้าสะอาดเช็ดแก้วให้แห้ง ความรู้สึกฟูนุ่มในใจมันก็กลับมาอีกครั้ง โชคดีที่ผมเริ่มจะคุ้นเคยและรับมือกับมันได้มากขึ้น

หลังจากนั้นผมก็ยกน้ำดื่มออกไปที่ห้องรับแขก ปล่อยให้เพื่อนนั่งดูลูกแมวอยู่พักใหญ่ คุยกับคุณไป๋ต่ออีกหน่อย แล้วก็กลับมานอนกองกันอยู่ที่บ้านผม



ในบรรยากาศอันแสนเกียจคร้านของบ่ายวันอาทิตย์ พัดลมตัวเก่าที่วางอยู่ส่ายไปมาให้ความเย็นแก่พวกผมและไอ้ตูมที่นั่งๆ นอนๆ กันอยู่บนพื้นกับโซฟา โทรทัศน์มีรายการเกมโชว์เปิดไว้ ซึ่งไม่มีใครสักคนใส่ใจที่จะดู อยู่ๆ ไอ้บาสก็พูดขึ้น

“เย็นนี้เราทำหมูกระทะกินกันมั้ย”

มันคือคนที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่ม แน่นอนว่าช่างสรรหากินที่สุดด้วย ได้ยินอย่างนั้นไอ้ไอซ์ก็พูดต่อทันที

“เออ เตาถ่านที่พวกกูเคยซื้อไว้ยังอยู่มั้ยวะ”

“น่าจะอยู่มั้ง”

ผมตอบกลับ หันไปมองไอ้ธีร์ที่ไม่พูดอะไร แล้วก็ตัดสินใจถามต่อ

“กูว่าเตาไฟฟ้าก็ได้มั้ง ตัวไม่กี่บาท หุ้นกันไม่กี่ร้อย ดีไม่ดีพอๆ กับค่าของกิน มึงว่าไงธีร์”

“กูได้หมดอะ”

มันเป็นคนไม่ค่อยพูดแล้วก็ไม่เรื่องมาก แต่เชื่อผมเหอะ ในพวกเราทุกคนมันคือคนที่สติดีที่สุด

“อ้าว เชี่ยนี่ นึกว่าจะเข้าข้าง”

มันเหลือบมามองผม แล้วตอบกลับหน้าตาเฉย

“สุกก็แดกได้หมดอะ เตาอะไรก็ช่าง”

“นี่คือกูต้องไปหาเตาให้พวกมึงใช่มั้ย”

แล้วคำตอบก็คือการที่ไอ้บาสขยับเข้ามาเอาเท้าขี่ยให้ผมลุกจากเก้าอี้

ผมถอนหายใจ ลุกขึ้นไปเปิดตู้เก็บของใต้อ่างล้างจาน ซึ่งก็ยังมีบรรดาจานชามของแม่เก็บไว้เต็มไปหมด และมุมในสุดของตู้ก็ยังมีเตาถ่านกับกระทะย่างหมูอยู่จริงๆ

ผมจัดการเอามันออกมา ล้างกระทะจนสะอาด ก่อนจะยกทั้งเตามาวางลงหน้าบ้านแล้วพูดต่อ

“จะแดกก็ลุกไปซื้อของ”

ผมกับเพื่อนหุ้นเงินกันซื้อเตานี่ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ พวกผมกินกันเยอะ บางทีไปกินที่ร้านบ่อยๆ ก็บอกตามตรงเลยว่าไม่มีเงิน แต่จะให้เลิกกินก็ไม่ได้ สุดท้ายทางออกก็คือการซื้อเตาซื้อหมูมาทำกินกันเอง

เถลไถลอยู่สักพัก พวกผมก็พากันออกจากบ้าน ก่อนออกก็อดไม่ได้ที่จะแอบเหล่บ้านข้างๆ แต่ก็ไม่เห็นคนที่มองหา ใช้เวลาซื้อของไม่นาน สุดท้ายก็กลับมาบ้านในสภาพพร้อมรบ

หน้าที่ของพวกผมถูกแบ่งเอาไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ไอ้ธีร์กับไอ้บาสเตรียมของกิน ส่วนผมกับไอ้ข้าวซึ่งตอนนี้กลับไปอยู่บ้านเกิดมันที่เชียงใหม่เรียบร้อยต้องจุดถ่าน เหลือไอ้ไอซ์ที่มีหน้าที่เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม และด้วยความที่ไอ้ข้าวไม่อยู่ ไอ้ไอซ์ก็เลยต้องมาช่วยผม

ขอบอกเลยว่า การจุดถ่านไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำได้ ตะเกียบไม้แบบใช้ได้ครั้งเดียวที่ซื้อมาจะถูกแบ่งมาเป็นเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง โดยต้องปูเอาไว้ด้านล่างสุดก่อนจะวางถ่านด้านบน ส่วนช่องข้างใต้ต้องเอากระดาษจุดไฟแล้วใส่เข้าไป หลังจากนั้น สิ่งที่ต้องทำก็คือการพัดจนกว่าเตาถ่านจะร้อนจนสามารถทำให้หมูสุกได้

ระหว่างที่ผมกำลังตั้งหน้าตั้งตาเอาจานกระดาษที่ซื้อมาพัดให้ไฟติด ส่วนไอ้ไอซ์มันเข้าบ้านไปเตรียมอุปกรณ์การกิน เสียงที่ดังมาจากข้างหลังก็ทำให้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของผมหยุดลง

“ทำอะไรกันอะ”

เวรแล้ว คุณไป๋!

พอหันไปมองก็เจอกับอีกฝ่ายในสภาพหล่อเนี้ยบ แถมยังเซ็ตผมซะดูดี คือปกติคุณเขาก็ไม่ได้โทรมอะไรนะ แค่มักจะปล่อยผมธรรมชาติ ใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นบ้าง กางเกงขายาวหลวมๆ สบายๆ บ้าง แต่วันนี้คือหล่อเลยอะ

เวรแล้ว เมื่อกี้ถามอะไรวะ

“เอ่อ...พวกผมจะกินหมูกระทะกันคุณ”

“เตาถ่านด้วยเหรอ”

“ใช่ วินเทจป้ะล่ะ”

“มาก น่ากินอะ ถ้าไม่มีนัดนะจะไปขอกินด้วย”

“พลาดแล้ว”

ผมพูดอย่างนั้นทั้งที่ใจอยากบอกออกไปจะแย่ ว่างั้นก็ไม่ต้องไปนัดอะไรนั่นหรอก อยู่บ้านกินหมูกระทะกับพวกผมก็ได้

“เสียดายเลยอะ ไปละนะ”

คนตรงหน้าพูดออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นโบกบ๊ายบาย ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มบางๆ ไปให้ โบกมือกลับไปแล้วพูดต่อ

“ขับรถดีๆ นะคุณ”

“อือฮึ”

สักพักรถยนต์ของเจ้าตัวก็ขับผ่านบ้านผมไป...หมดแรงพัดไฟเลยให้ตาย

พวกผมเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยในช่วงเวลาของมื้อเย็น ก่อนจะลงมือนั่งย่างนั่งกินกันหน้าบ้าน แน่นอนว่าต้องมีแอลกอฮอล์มาร่วมด้วยอยู่แล้ว เตาแรกยังไม่ทันสุกดี ไอ้ตูมก็เดินมานั่งตัวตรงรออยู่ข้างๆ ตามประสาแมวฉลาด แถมแผลทำหมันก็ปิดสนิทเรียบร้อย

พอหมูชิ้นแรกสุก ไอ้บาสก็คีบและเอามาวางให้ไอ้ตูมตรงหน้า

“อะ วันนี้เลี้ยงฉลองมึงเป็นพ่อคน ชิ้นแรกกูย่างให้มึงโดยเฉพาะเลยตูม”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไป ตั้งใจจะห้าม แต่ก็ไม่ทันไอ้ตัวแสบที่ก้มหน้าลงกินหมูเข้าปากไปเรียบร้อย

“มึง ไอ้ตูมกินหมูกระทะไม่ได้ ชิ้นเดียวพอละนะ”

ได้ยินอย่างนั้นไอ้บาสก็หันมาทำหน้างงแล้วถามต่อ

“อ้าว ทำไมวะ เมื่อก่อนก็แดกหัวกุ้งอยู่ที่ร้านเหล้า”

“คืองี้ คุณไป๋เค้าบอกว่าแมวไม่ควรกินอาหารคนเพราะมันเค็ม ละถ้ามันแดกเค็มมากๆ มันจะเป็นโรคไต”

คราวนี้เป็นไอ้ไอซ์ที่ถามขึ้นมาด้วยสีหน้าตกใจ

“อ้าว ฉิบหายละ ละนี่มันไม่เป็นไปแล้วเหรอวะ”

“ตอนกูเอามันไปตรวจตั้งแต่มาอยู่ใหม่ๆ ก็ไม่เป็นนะ แต่ถ้ายังแดกของเค็มอยู่ก็มีโอกาส”

“นั่งกลืนน้ำลายไปแล้วกันนะมึง”

จบลงที่ไอ้บาสยกมือขึ้นลูบหัวไอ้ตูมเบาๆ แล้วกลับไปกินหมูย่างต่อ ก่อนที่ไอ้ไอซ์จะพูดขึ้นมาอีก

“เลี้ยงแมวแม่งก็ลำบากเนอะ ถ้าวันนี้ไม่ไปซื้อของมาทำกระเช้า กูก็ไม่เคยรู้เลยว่าอาหารแมวแม่งจะถุงละหกเจ็ดร้อย เอาจริงพวกกูตกใจไปเลย คิดว่าโลไม่กี่บาท มึงก็ไม่พูดสักคำว่าแบกค่าอาหารแมวอยู่เดือนละกี่ร้อยกี่พัน”

“ดราม่าเหี้ยไรอีกเนี่ย พวกมึงก็ออกค่าทำหมันแล้วไง ที่มันไม่แพงขนาดนั้นก็มี ช่วงทำงานแรกๆ กูก็ผสมเอา เอาแบบดีๆ เลยผสมกับที่ถูกมาหน่อย อีกอย่างกูนะที่ทำงานก็ใกล้ ค่าหอค่าคอนโดก็ไม่ต้องจ่ายอย่างพวกมึง เงินเดือนเหลือพอเลี้ยงแมวโว้ย เปลี่ยนเรื่องๆ”

พูดจบผมก็คีบหมูกระทะใส่ปาก ก่อนที่ไอ้ธีร์จะพูดขึ้น

“งั้นมาเรื่องนี้ เรื่องที่มึงชอบคนข้างบ้าน”

มือของผมที่ถือตะเกียบอยู่ชะงักไปในทันที ก่อนจะกวาดสายตามองเพื่อนๆ ทุกคน บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ แล้วไอ้คนเปิดประเด็นขึ้นมานั่นแหละที่พูดต่อ

“อ้าว นี่กูเข้าใจผิดเหรอ โทษที”

พูดจบมันก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมากินหน้าตาเฉย ส่วนผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วยอมรับ

“กูว่ามึงเข้าใจไม่ผิดหรอก”

คราวนี้กลายเป็นไอ้ไอซ์ที่พูดขึ้นมา

“นั่นไงกูว่าแล้ว!”

“ว่าแล้วเหี้ยอะไร”

“ว่าแล้วว่ามึงชอบเค้า”

“เห็นชัดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ก็พอตัวอยู่ สมมติว่าถ้ามึงเป็นหมา...”

“คั่น มึงสมมติอย่างอื่นได้มั้ย”

“ฟังกูก่อนสิ! สมมติว่าถ้ามึงเป็นหมา เวลาเจอเค้านี่หางกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ เลยนะ...”

“กูว่ามึงเว่อร์ละ”

การต่อล้อต่อเถียงของผมกับไอ้ไอซ์จบลงตอนที่ไอ้บาสหันมามองหน้าผม แล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ ส่วนไอ้ธีร์คีบหมูเข้าปากแล้วพูดต่อ

“แต่กูว่าคุณไป๋อะไรนั่นอะ เค้าเป็นนะ”

“เป็นอะไร”

“เป็นหมาแบบมึงมั้ง”

“ฮะ?”

“เป็นเกย์!”

“ตลกละ”

“ตลกเหี้ยไรล่ะ กูจริงจัง”

“มึงมั่นใจขนาดนั้นเลย”

“เต็มร้อยกูให้เจ็ดสิบ อีกสามสิบเผื่อเค้าเป็นคุณหนู ไม่ก็แบบผู้ชายเนี้ยบๆ หรือไม่ก็เป็นไบ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไปถามเพื่อนอีกสองคน

“พวกมึงว่าไง”

ไอ้บาสที่ไม่หยุดกินเลยตลอดระยะเวลาที่พวกผมคุยกันตอบกลับมาทั้งที่ยังเคี้ยวหมูอยู่ในปาก

“กูไม่รู้เว้ย ตอนเรียนครูไม่สอน”

แล้วไอ้ไอซ์ก็พูดในสิ่งที่ผมคิดอยู่ออกมา

“เหตุผลมึงเหี้ยมาก แต่ว่านะมึง ในกลุ่มเราคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ที่สุดก็คือมัน มึงไม่เชื่อมันแล้วมึงจะไปเชื่อใคร”

ผมหันไปมองไอ้ธีร์ ก่อนจะพบว่ามันกำลังตอกไข่ใส่วุ้นเส้น ก็คือมึงไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องที่มึงเปิดประเด็นขึ้นมาเลยถูกมั้ย

ต้องยอมรับว่าที่ไอ้ไอซ์พูดโคตรมีเหตุผล ไอ้ธีร์เคยเล่าให้พวกผมฟังว่ามันรู้ตัวว่าเป็นเกย์ตั้งแต่เรียนมัธยมต้น จะบอกว่ามันเชี่ยวชาญด้านนี้ที่สุดในกลุ่มเราก็คงจะใช่

สุดท้ายผมก็ถามออกมา

“ธีร์มึง”

“อือ...” มันตอบ แต่ไม่ยอมละสายตาจากวุ้นเส้น

“มึงว่าคุณไป๋เค้าจะมีแฟนยัง”

ไอ้ธีร์หันมามองผม ขมวดคิ้วแล้วพูดต่อ

“ถามกู?”

“อืม”

“กูแค่เป็นเกย์มาก่อนมึง ไม่ได้เป็นหมอดู”

“สัด”

“แต่กูว่าเค้าก็โอเคกับมึงนะ”

“โอเคนี่คือโอเคแบบไหน”

“นั่นแหละที่ยาก ผู้ชายสองคน ไม่มีใครออกสาวชัดเจน มีเรื่องให้ต้องคุยต้องเจอกันบ่อย มันง่ายมากที่จะเข้าใจผิด คนนึงอาจจะคิดว่าเพื่อนกัน อีกฝ่ายแค่อัธยาศัยดี แต่อีกคนอาจจะคิดไปไกลแล้วก็ได้”

พูดจบวุ้นเส้นก็สุกพอดี ไอ้ธีร์เลยตักวุ้นเส้น ไข่ หมูขึ้นมากิน ส่วนผมก็ทำได้แค่ถอนหายใจ แล้วก็คีบหมูใส่ปากไปทั้งที่ยังไม่ได้จิ้มน้ำจิ้มด้วยซ้ำ

จนไอ้ธีร์มันเคี้ยวทำแรกกลืนลงท้องเสร็จถึงได้หันมาพูดต่อ

“มึงต้องคุยให้เคลียร์ไปเลยว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวเค้าก็ย้ายบ้านหนีเองแหละ”

ย้ายบ้านเลยเหรอวะ ผมหันไปมองคนพูด ขนาดเป็นเพื่อนกันมานาน บางทีก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่ามันพูดเล่นหรือพูดจริง

“ไม่ต้องมามองหน้ากู มึงแดกซะ ก่อนที่ไอ้บาสจะแดกหมด”

“เออ...”

ผมรับคำ คีบหมูมาใส่ปากอีกชิ้น พร้อมกับที่ไอ้ไอซ์จะยกแก้วขึ้น แล้วพูดออกมา

“มาๆๆ ชนหน่อย หมดแก้ว ฉลองให้กับการมีความรักครั้งที่สองของไอ้ชุน”

ผมมองพวกเพื่อนๆ ที่กลั้นขำแล้วขมวดคิ้ว ไม่น่าเลย! ไม่น่าพาพวกมันมาที่บ้านเลย!

แน่นอนว่าทุกคนรู้เรื่องมนต์รักลูกทุ่งขี้มูกยืดของผมกันหมดแล้ว เพราะแม่เล่าให้ฟัง

พวกผมกินไปพลางดื่มไปพลางจนถึงสี่ทุ่ม จากที่นั่งคุยกันไปเรื่อย ตอนนี้เริ่มมีการเปิดเพลงเบาๆ สร้างบรรยากาศ ส่วนไอ้ตูมก็ยังอยู่ร่วมวงเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีอาหารเปียกใส่ถ้วยไว้นั่งกินเป็นของตัวเอง จะได้ไม่ต้องมาขอหมูย่างกิน

ส่วนผมกำลังรู้สึกกังวลโคตรๆ หลังจากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ นี่สี่ทุ่มแล้ว แต่คุณไป๋ยังไม่กลับบ้าน หลังจากเผลอถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ไอ้บาสก็ถามขึ้น

“มึงเป็นไรชุน”

“ยังไม่กลับบ้านเลย”

ผมพูดพลางชี้นิ้วหัวแม่มือไปที่บ้านข้างๆ

“ก็มึงบอกว่าเค้ามีนัด”

“ไม่รู้นัดกับใครว่ะ ตั้งแต่รู้จักกันมาเค้าก็ไม่เคยออกไปไหนค่ำๆ เลยนะ”

ได้ยินอย่างนั้นไอ้ธีร์ก็เหลือบตามามองผมแล้วถามต่อ

“ตั้งแต่รู้จักกันมาของมึงเนี่ยกี่วัน”

“เดือนกว่า”

ผมพูดออกมาแล้วถอนหายใจ พอได้ยินคำตอบของผมไอ้ไอซ์กับไอ้บาสก็กลั้นขำทันที ก่อนไอ้ธีร์จะหันมาแล้วให้คำแนะนำตามประสาผู้มีประสบการณ์

“มึงก็ถามเค้าดิวะ อ้างเรื่องลูกแมวอะไรก็ว่าไป”

“เออว่ะ กูขอตัวไปใช้สมาธิกับการพิมพ์ไลน์แป๊บ”

พูดจบผมก็คว้ามือถือลุกขึ้นจากวง เดินเข้าบ้านไปนั่งลงบนโซฟา เปิดไลน์ ใช้ความคิดอยู่สักพักแล้วพิมพ์ข้อความลงไป


‘คุณอยู่ไหนเนี่ย? ’



พิมพ์เสร็จอ่านจบแล้วสรุปกับตัวเองว่า ‘โคตรจิกเลยว่ะ จิกเป็นไก่เลย เอาใหม่ๆ ’



‘ยังไม่กลับบ้านเหรอคุณ? ’



ก็เห็นอยู่ว่ายังไม่กลับไงล่ะโว้ย!

เอาไงดีวะ!



‘วันนี้กลับดึกนะคุณ’



เอ๊า! แล้วมึงจะไปยุ่งเรื่องส่วนตัวเขาทำไม

พอหาทางออกสำหรับความว้าวุ่นอันนี้ไม่ได้ สุดท้าย ผมก็แค่ส่งสติ๊กเกอร์ ‘Hello’ ไปให้เขาอันหนึ่ง

สิ่งที่ผมส่งไปถูกอ่านในทันที และมีข้อความตอบกลับมา



‘ว่าไงคุณ? ’


‘ผมนั่งอยู่หน้าบ้านกับพวกเพื่อนๆ ’

‘ดึกแล้วเห็นคุณยังไม่กลับมา’

‘เลยเป็นห่วงพวกเด็กๆ ’




พอได้ปะวะ



‘วันนี้ผมไม่ได้กลับแหละ’

‘เป็นห่วงเป้ยกับเด็กๆ เหมือนกัน แต่เติมอาหารกับน้ำไว้ให้แล้วนะ’

‘พรุ่งนี้เช้าจะรีบกลับก็แล้วกัน’



ไม่กลับ! แล้วนอนที่ไหนวะน่ะ!

ถ้าอยากรู้ก็แค่ถามออกไปปะวะ เชี่ย...เรื่องแค่นี้เอง มึงก็แค่ถาม!

ผมสรุปกับตัวเอง แล้วก็ตัดสินใจพิมพ์ข้อความลงไป



‘แล้วคืนนี้คุณนอนที่ไหนเนี่ย? ’



ใช่...ผมพิมพ์ลงไปแต่ไม่ได้กดส่ง พิมพ์เสร็จก็นั่งมองตัวหนังสืออยู่อย่างนั้นสักพัก จนกระทั่งมีข้อความใหม่เด้งขึ้นมา



‘พอดีไปกินข้าวกับที่บ้านมาอะคุณ’

‘แล้วดื่มไวน์ไปนิดหน่อย’

‘หม่าม้าเลยไม่อยากให้ขับรถ’



พอเห็นข้อความผมก็ถอนหายใจออกมาสุดแรง อย่างน้อยก็แรงจนเพื่อนหันมามอง ก่อนที่ไอ้ไอซ์จะถาม

“ตกลงเป็นไง”

ผม...ซึ่งตอนนี้อยู่ในสภาพทิ้งตัวนอนแผ่หมดสภาพอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวเรียบร้อยก็ตอบกลับไป

“เค้าไปกินข้าวกับที่บ้าน แล้วกินไวน์ไปด้วย แม่เลยไม่อยากให้ขับรถมาคนเดียว”

“ก็แค่เนี้ย”

ไอ้ธีร์คือคนที่ตอบกลับมา ก่อนไอ้บาสจะรีบทับถมกันทันที

“แม่งเอ๊ย เหมือนจะตายซะให้ได้”

เพื่อนดีทั้งนั้น...


,
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 5 - 180163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 25-01-2020 19:59:45
,


ผมมองข้อความที่อยู่บนหน้าจอแล้วแล้วรู้สึกเหมือนพลังงานล้นๆ อารมณ์ดี มีกำลังใจอย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนจะลุกขึ้น เดินต่อไปยังห้องครัว แล้วตัดสินใจโทรหาอีกฝ่ายด้วยไลน์

คุณไป๋กดรับสายในทันที แล้วพูดออกมา

[ว่าไงคุณ

“เมาเหรอ”

[ก็ไม่ได้เมาขนาดนั้น แต่ว่าหม่าม้าเป็นห่วงไง]

“อ๋อออ....”

[อ๋อยาวเหมือนไม่เชื่อกันอะ]

“แต่เสียงคุณเหมือนเมาหน่อยๆ อยู่นะ”

[จะนอนแล้วต่างหากล่ะ]

“อ๋อออ....”

[กวนอะ!]

ไม่ทันได้ตอบกลับ หน้าจอของผมก็มีการแจ้งเตือนว่าปลายสายกำลังเปลี่ยนการโทรจากที่มีแค่เสียงอย่างเดียว เป็นแบบที่เห็นหน้ากันด้วย

แน่นอนว่าผมตกใจ แต่ก็รีบกดรับไปโดยที่ไม่ทันได้คิดอะไรทั้งนั้น

ถ้ารับช้า เกิดเขาวางสายขึ้นมาก็พลาดดิวะ!

ผมเห็นภาพคุณไป๋ที่อยู่ในชุดนอนและนั่งอยู่บนเตียง สีหน้าของเขาเอาเรื่องคล้ายวันที่เราเจอกันครั้งแรก แต่ความรู้สึกของผมกลับแตกต่าง

แล้วสิ่งที่เจ้าตัวพูดออกมาน่ะเหรอ

[ก็บอกว่าจะนอนแล้วไง ไม่ได้เมาซะหน่อย]

สิ่งที่ผมทำได้มีแต่การหัวเราะ ก่อนจะกดเปิดกล้องฝั่งตัวเองบ้างแล้วรีบตอบกลับไป

“เชื่อก็ได้ว่าไม่เมา”

[คุณนั่นแหละที่เมา กินเหล้ามาแน่ๆ]

“เฮ้ย! เห็นชัดขนาดนั้นเลยดิ”

แล้วอีกฝ่ายก็หัวเราะออกมา

[เพื่อนมาที่บ้านตั้งหลายคน ยังไงก็ต้องกินเหล้าอยู่แล้วปะ]

“ร้ายไม่เบานะคุณ”

คำตอบยังคงมีแต่เสียงหัวเราะ ก่อนที่เราจะเงียบไปทั้งคู่ ผมมองสบตาอีกฝ่าย สิ่งที่คิดอยู่ในใจตอนนั้นคือยังไม่อยากวางเลยว่ะ คงต้องหาเรื่องคุยซะหน่อย

“วันนี้ไปกินอะไรมา”

[ซีฟู้ดที่โรงแรม เป็นร้านอาหารที่เหมือนอยู่ในอะควอเรี่ยมเลยอะ กำแพงฝั่งนึงจะเป็นตู้ปลา ก็สวยดี]

“แล้วเป็นไงบ้าง”

[เป็นไงน่ะเหรอ พอผมคีบปลาดิบใส่ปาก มองไปข้างๆ ก็เจอปลาว่ายน้ำอยู่เต็มไปหมด อยู่ๆ ผมก็สงสัยขึ้นมาว่าปลามันจะอยู่สึกยังไงนะ ที่ต้องมานั่งดูมนุษย์กินเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวเองทุกวัน]

“โหดเหมือนกันเนอะ”

[ก็ใช่อะดิ พอคิดได้อย่างนั้นก็กินไม่ลงไปเลย]

“อ้าว แล้วอิ่มมั้ยนะ”

[อิ่มนะ เพราะผมขอย้ายที่ พอหันหลังให้ตู้ปลาก็สบายใจขึ้นเยอะ กินได้ปกติ]

ได้ยินอย่างนั้นผมก็หัวเราะออกมาทันที แล้วพูดต่อ

“สุดยอดเลยคุณ”

[ก็มันอร่อยอะ ผมสัญญาไว้ในใจด้วยนะว่าจะกินปลาทุกชิ้นอย่างรู้คุณค่า และซาบซึ้งในทุกอณูของความอร่อย ดังนั้นพวกปลาในตู้ก็อย่ามาถือโทษโกรธกันเลย]

ผมยิ่งฟังยิ่งขำจนหยุดตัวเองไม่อยู่ ส่วนอีกฝ่ายก็ยังคงเล่าต่อไป

[แล้วคุณคิดดู ผมจะบอกป๊าม้ากับน้องก็ไม่ได้อะ บอกไปเดี๋ยวก็กินไม่ลงกันทั้งบ้าน ต้องอดทนไว้จนถึงตอนนี้เนี่ย]

“อึดอัดแย่”

[นั่นสิ ดีนะที่คุณโทรมา]

ผมมองสีหน้าหนักใจของเขา ส่งยิ้มให้ แล้วพูดออกไปตามความรู้สึก

“ดีจริงๆ นั่นแหละที่วันนี้ตัดสินใจโทรหาคุณ”

คนฟังเหลือบสายตามองไปทางอื่นทันทีที่ได้ยิน เขาเม้มปากแล้วค่อยกลับมาสบตากัน ก่อนจะตอบกลับมาสั้นๆ พร้อมรอยยิ้ม

[อื้ม!]

อันนี้คือคิดไปเองได้มั้ยวะ ว่าเขิน?

“คุณจะนอนยัง”

[ก็บอกไปแล้วว่ากำลังจะนอน]

“งั้นก็ฝันดีคุณ”

[อืม วางนะ ฝันดี]

แล้วอีกฝ่ายก็วางสายไป

คุยเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินกลับไปหน้าบ้าน พร้อมกับที่เพื่อนสามคนและแมวหนึ่งตัวหันมามองพอดี คนแรกที่ถามกันว่าเป็นไงบ้างก็คือ

“เมี้ยว...”

ไอ้ตูมนั่นเอง...

ผมส่งยิ้มนำไปก่อน แล้วพูดออกมาเสียงดัง

“เค้าไปกินข้าวกับพ่อแม่เค้าโว้ย! ”


,



เช้าวันต่อมาผมตื่นนอนเพราะเสียงประตูบ้านข้างๆ ที่เปิดออก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงรถยนต์ ได้ยินอย่างนั้นผมก็ลุกขึ้นเดินข้ามพวกเพื่อนๆ ที่นอนอยู่ แล้วแง้มผ้าม่านออก

...คุณไป๋กลับมาแล้วจริงๆ

พอจอดรถเรียบร้อยเขาก็ลงมาปิดประตูรั้ว ผมเลยได้เห็นว่าเจ้าตัวขับรถกลับมาทั้งชุดนอน ในช่วงเวลาที่กำลังไขประตูบ้าน สายตาของเขาก็มองขึ้นมาทางนี้แล้วเราก็สบตากันพอดี

ผมเป็นฝ่ายที่โบกมือให้ไปก่อน และได้รับสิ่งเดียวกันกลับมา ทักทายกันเสร็จผมก็เดินข้ามไอ้ธีร์กับไอ้บาส กลับมาทิ้งตัวนอนลงบนเตียงอย่างมีความสุข

ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงเมี้ยวดังมาจากใต้ผ้าห่ม

โถ่เอ๊ย! ใครจะไปรู้วะว่าไอ้ตูมมันนอนห่มผ้าอยู่!



- to be continued -



talk.

เห็นแก๊งลุงมะตูมเค้าเผาตะเกียบ เผาถ่านย่างหมูแล้ว

สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ ลืมเรื่อง PM 2.5 กันไปสักพักแล้วกันเนอะ 555

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 06 - 250163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 25-01-2020 22:00:37
 :mew5:    :mew3:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 06 - 250163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: mkooo ที่ 25-01-2020 22:09:23
ขอบคุณมากๆนะคะ นิยายสนุกมาก
ติดตามตอนต่อไปค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
เป่าเป้ยกะมะตูมน่ารักมากเลยค่า
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 06 - 250163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 25-01-2020 23:00:19
คุณไป๋น่ารัก..ชอบๆๆๆๆๆ  o13
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 06 - 250163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 25-01-2020 23:44:46
คุยกับคนที่แอบชอบมันก็จะเขินๆหน่อยแหละเนอะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 06 - 250163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 26-01-2020 16:38:59
สองคนใจตรงกันมั้ยน้า  :hao3:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 06 - 250163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-01-2020 18:02:24
ทาสแมวมีความรักมันก็จะละมุน ๆ ยังงี้ละน้อ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 06 - 250163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 28-01-2020 00:59:16
น่ารัก ;-;
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 06 - 250163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 01-02-2020 20:39:26
​(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect fall07.jpg)

[07]


เรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับผมในช่วงนี้ก็คือการที่พวกตัวเล็กเริ่มลืมตากันแล้ว ตลกดีที่เด็กๆ จะลืมตากันวันละข้างและบางทีก็ลืมแค่ครึ่งตา

ในวันที่เจ้าส้มพี่ใหญ่ลืมสองข้างเรียบร้อย เจ้าตัวสีขาวกับสามสียังลืมตาขึ้นแค่ข้างเดียว ส่วนขาวส้มเล็กสุด ตาขวายังเปิดขึ้นมาแค่ครึ่งตา ส่วนอีกข้างปิดสนิท

แต่พอเวลาผ่านไปอีกวันสองวัน ทุกตัวก็ลืมตากันหมด

เรื่องที่ต้องลุ้นเป็นลำดับถัดไปคือสีตาและสีขนของลูกแมว สีขนที่ต่อให้เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่วันแรก แต่พอเริ่มโตขึ้นก็จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง

อย่างเจ้าตัวสีขาว ตอนนี้ก็เริ่มมีสีเทาที่ปลายหูให้เห็น

ส่วนสีตานี่สิ...ผมอยากรู้ว่าตัวไหนบ้างที่จะได้ตาสีฟ้าเข้มของเป่าเป้ยไป ส่วนตัวไหนที่จะโตขึ้นมาตาเหลืองแบบไอ้ตูม

ความรู้ใหม่ก็มาอีกแล้ว ผมเคยพยายามส่องดู ก่อนจะเห็นว่าเด็กๆ มีตาสีฟ้ากันหมด คุณไป๋เลยอธิบายให้ฟังว่าแมวเด็กจะมีตาสีฟ้าทุกตัว และสีตาจะค่อยๆ เปลี่ยนไประหว่างที่โตขึ้น จนอายุสองสามเดือนถึงจะได้บทสรุปแน่นอนว่าแมวจะมีตาสีอะไร ก็คงต้องรอดูกันต่อไปเรื่อยๆ

ช่วงนี้ผมจะต้องแวะมาหาลูกแมวทุกวันหลังเลิกงาน แล้วก็ได้เข้าใจว่าแมวเด็กมันช่างมีพลังเยียวยาหัวใจ ไม่ว่าจะงานยุ่ง รถติด ลูกค้าน่าปวดหัวขนาดไหน พอได้แวะเล่น เอานิ้วจิ้มๆ เขี่ยๆ ขนนุ่มๆ ของเจ้าตัวเล็กสักทีสองสี แค่นี้ก็หายเหนื่อย แล้วยิ่งหันไปเจอหน้าเจ้าของแมวที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยนะ บอกเลยว่าสดชื่น

เรื่องแมวก็ตื่นเต้นอยู่ประมาณหนึ่ง แต่เรื่องที่ตื่นเต้นกว่าก็คือ วันนี้ผมมีนัดลอยกระทงกับคุณไป๋!

เมื่อวานนี้ระหว่างที่พวกผมนั่งเอาน้ำอุ่นเช็ดหน้าให้พวกลูกแมวในตอนเย็น อะไรสักอย่างไม่รู้แหละ ทำให้ผมตัดสินใจชวนเขาไปลอยกระทงด้วยกัน และคำตอบก็คือตกลง

แน่นอนว่าผมไม่ได้อยากลอยกระทงหรอก แค่อยากใช้เวลาด้วยกันกับเขาต่างหาก

ใกล้บ้านผมมีมหาวิทยาลัยที่มักจะจัดงานลอยกระทงอย่างใหญ่โตทุกปี ช่วงที่เรียนอยู่ผมกับพวกเพื่อนๆ จะมาเดินเล่นที่งานนี้ตลอด เหตุผลไม่มีอะไรมากไปกว่าการส่องสาวต่างมหา’ ลัย แต่พอแยกย้ายกันไปทำงานแล้วก็ไม่ได้มาอีกเลย

ตอนที่รถกำลังติดไฟแดงตรงหน้ามหา’ ลัยดังกล่าวระหว่างเดินทางกลับบ้านหลังเลิกงาน สายตาของผมก็มองข้ามสี่แยกไปเพื่อสังเกตสถานการณ์ ก่อนจะพบว่าตรงประตูทางเข้ารถติดเอามากๆ

เห็นอย่างนั้นสมองผมก็เริ่มคิดหาทางออกทันที ช่วงที่เรียนอยู่เวลามาเดินงานลอยกระทงหรืองานอื่นๆ ที่จัดที่นี่ ส่วนใหญ่ผมกับเพื่อนก็จะขี่มอเตอร์ไซค์กันมา

ว่าแต่ คุณไป๋เขาจะนั่งมอเตอร์ไซค์ได้มั้ยวะ

รู้ว่าคิดเองน่าจะไม่ได้คำตอบ ผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พิมพ์ข้อความไปหาอีกคนทันที

 

‘เรานั่งมอเตอร์ไซค์มาลอยกระทงกันดีมั้ยคุณ? ’

‘วินมอ’ ไซค์อะเหรอ? ’

‘เปล่า ผมขี่ แล้วคุณซ้อนไง’

‘ไม่มีมอเตอร์ไซค์อะ’

‘ผมเสกให้คุณได้’

‘โม้ตลอด’


 

ผมส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะกลับไป ก่อนสัญญาณไฟจราจรจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว

พอถึงบ้านก็จัดการเอารถยนต์เข้าไปจอด แล้วเอามอเตอร์ไซค์เวสป้าที่ไม่ค่อยได้ขับสักเท่าไหร่ออกมา ช่วงที่กำลังเข็นรถไปหน้าบ้าน หันไปมองยังบ้านหลังถัดไปก็เจออีกคนมายืนรออยู่แล้ว

สิ่งที่เจ้าตัวพูดขึ้นมาแทนคำทักทายก็คือ

“ไปเอามอเตอร์ไซค์มาจากไหนน่ะคุณ”

“ขโมยมาเมื่อกี้”

“ต้องเชื่อมั้ย”

“มอเตอร์ไซค์พ่อผม จอดอยู่ในบ้านนี่แหละไม่ค่อยได้เอาออกมาขี่หรอก เมื่อกี้ผมผ่านหน้างานมารถเยอะมากเลย คุณนั่งมอเตอร์ไซค์ได้มั้ย”

“ต้องเป็นคนยังไงอะ ถึงจะนั่งมอเตอร์ไซค์ไม่เป็น”

คำตอบของเขาทำให้ผมหลุดขำ แล้วพูดต่อ

“งั้นก็ปิดบ้านเลย ผมเอามื้อเย็นให้มะตูมกินแป๊บนึง เดี๋ยวมา”

พอเข้าไปเทอาหารแมว เติมน้ำ เปิดไฟไว้ไม่ให้บ้านมืดเกินไปเรียบร้อยก็ลูบหัวมะตูมสองทีแล้วพูดต่อ

“เฝ้าบ้านนะมึง”

ออกมาผมก็เจอคุณไป๋มายืนรออยู่ที่ลานจอดรถข้างเจ้าเวสป้าสีเขียวเข้มเป็นที่เรียบร้อย สิ่งแรกที่เจ้าตัวพูดขึ้นมาก็คือ

“ไม่เคยเข้ามาบ้านคุณเลยอะ”

“เป็นไง เก่าอะดิ”

“ก็เก่านะ แต่เป็นเก่าในแบบที่ดี”

“เก่าในแบบที่ดี?”

“เก่าแบบมีบรรยากาศของครอบครัว ประมาณนั้น”

ผมยิ้มให้กับคำพูดของเขา ยื่นหมวกกันน็อกไปให้ พร้อมกับที่อีกคนรับเอาไว้

“พวกของวินเทจเก่าเก็บของพ่อแม่ผมเต็มบ้านไปหมดเลย ไว้สักวันจะพาคุณมาทัวร์ก็แล้วกัน”

คนฟังพยักหน้ารับ ส่วนผมไปสตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์แล้วก็ขับออกจากบ้าน ก่อนจะต้องฝากคุณไป๋ปิดประตูรั้วให้ รอจนเขาขึ้นมานั่งซ้อนท้าย เอามือมาเกาะไหล่กันถึงได้ออกรถ

เดินทางอยู่ไม่นานเราก็มาถึงบรรยากาศงานลอยกระทง ขอบอกเลยว่าคิดถูกมากที่เอารถมอเตอร์ไซค์มาเพราะรถติดมาก คนเยอะมาก ผมยอมเสียเงินฝากรถไว้ตรงจุดที่มีพนักงานเฝ้า เพื่อความปลอดภัยและจะได้ไม่ต้องเสียเวลาวนหาที่จอด

ระหว่างที่เรากำลังเดินตามแนวรั้วมหา’ ลัยเพื่อจะเข้าไปในงาน อีกฝ่ายก็พูดขึ้น

“ผมไม่ลอยกระทงได้มั้ยคุณ”

“อ้าว...”

ผมใจแป้วไปเลยทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ไม่ทันเดินเข้างาน อยู่ๆ ก็จะไม่ลอยกระทงซะแล้ว ไม่ทันได้ถามว่าทำไม คำอธิบายก็ตามมา

“มันทำให้น้ำเสียอะ ต่อให้ใช้กระทงที่ย่อยสลายเองได้อย่างพวกต้นกล้วยใบตอง มันก็ยังเป็นการเพิ่มงานให้คนที่ต้องคอยเก็บกระทงพรุ่งนี้อยู่ดี”

“...”

“ผมนั่งหาข้อมูลระหว่างที่รอคุณกลับบ้าน ตอนแรกก็คิดว่ากระทงขนมปังจะดี แต่ดันนึกไม่ถึงว่าพอคนลอยกระทงขนมปังเยอะๆ ปลามันก็อิ่ม สุดท้ายขนมปังก็ทำให้น้ำเน่า”

“จริงจังเลยนะเนี่ย”

“อืม คือผมไม่ได้ห้ามคุณลอยนะ ถ้าอยากลอยก็ลอยไปเถอะ กระทงอันเดียว คนเก็บเค้าก็ไหวอยู่ แต่ผมขอยืนให้กำลังใจแล้วกัน”

ผมหันไปมองคนที่พูดเรื่องเหล่านี้ด้วยสีหน้าจริงจัง ในขณะเดียวกันก็พร้อมจะเข้าใจคนอื่น สิ่งที่คิดขึ้นมาในตอนนั้นคือคนคนนี้มีมุมมองแปลกใหม่ให้ผมได้เปิดโลกอยู่เสมอ ตั้งแต่เรื่องที่ฝังเจ้ามะนาวและปลูกต้นไม้ไว้ด้านบน แล้วก็มาเรื่องลอยกระทงนี่อีก

การลอยกระทงเป็นการสร้างขยะ เรื่องนี้คิดได้ไม่ยาก แต่เป็นผมเองที่ไม่เคยคิดหรือมองในมุมนี้ คล้ายกับเรื่องที่ผมเลี้ยงมะตูมแบบปล่อย แถมยังไม่พาไปทำหมันนั่นแหละ พอนึกย้อนไป ทุกครั้งที่ผมไปลอยกระทงกับเพื่อนๆ ก็จะเห็นว่ามีคนอยู่ในน้ำ คอยเก็บกระทงที่ถูกลอยไปอยู่ตลอด ตลกดีเหมือนกัน คนหนึ่งลอยออกไปได้ไม่กี่เมตร ก็จะมีอีกคนรออยู่ในน้ำเพื่อเก็บออกไปทิ้ง

พอลองคิดต่อว่าผมลอยกระทงทำไมวะ ตอนเด็กๆ โรงเรียนก็สอนให้จำว่าเราลอยกระทงเพราะต้องการขอขมาพระแม่คงคา แต่ทุกครั้งที่ผมลอยกระทงก็ไม่เคยจะนึกถึงพระแม่คงคาตามที่เรียนมาเลยสักครั้ง ส่วนใหญ่ก็ลอยเพราะเพื่อนชวนมาลอย ลอยเพราะความสนุกสนาน

สำหรับผมนะ ย้ำว่า ‘สำหรับผม’ ไม่ลอยกระทงก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย

“ผมไม่ลอยด้วยก็ได้”

“ไม่เอาดิ คุณอยากลอยก็ลอยเลย ผมไม่ขัดจริงๆ”

“เฮ้ย ผมยังไงก็ได้ จะลอยหรือไม่ลอยก็เหมือนกันแหละ”

“นึกว่าคุณอินกับเทศกาลซะอีก เห็นอยากออกมาลอยกระทง”

กลายเป็นคนอินกับเทศกาลไปแล้ว...

ผมชวนเขาออกมาเที่ยวเพราะอยากไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่อีกฝ่ายกลับเข้าใจว่าผมเป็นพวกอินกับเทศกาลไปซะงั้น เจริญมั้ยล่ะพ่อไอ้ตูม

“เปลี่ยนจากลอยกระทงมาใช้น้ำอย่างประหยัด ไม่เปิดน้ำทิ้ง ไม่ทิ้งขยะลงน้ำ ผมว่าพระแม่คงคาคงเข้าใจแหละ เลี้ยงแมวค่าใช้จ่ายเยอะ เอาเงินค่ากระทงไปซื้ออาหารให้มะตูมกับลูกดีกว่า”

“ดูเป็นคนดี แถมยังรักแมวขึ้นมาทันทีเลยอะ”

“แน่นอน ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อกระทงแล้ว ผมเลี้ยงน้ำจรวดคุณแล้วกัน”

“ที่นี่มีน้ำจรวดด้วยเหรอ?!”

“มีดิ ชอบเหรอเนี่ย”

“เคยกินตอนเด็กๆ แถวเยาวราชอะ แต่ก็นานแล้วนะ”

“ไป เดี๋ยวพาไปกิน”

พวกเราเดินมาถึงบริเวณประตูทางเข้างานพอดี ผมกวาดสายตามองสำรวจซ้ายขวา ก่อนจะหันมาชวนคนข้างๆ เดินไปทางฝั่งของเล่นพวกชิงช้าม้าหมุนก่อน ถ้าเดาไม่ผิด น้ำจรวดก็น่าจะอยู่แถวของเล่นนี่แหละ

ซึ่งผมเดาถูก เราแวะซื้อน้ำคนละแก้ว พอหันมาหาก็เห็นคุณเขากำลังมอบไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้ม ท่าทางจะชอบนะเนี่ย

“คุณ...”

“ฮึ?”

“ปาลูกโป่งกัน”

คนฟังตอบรับด้วยการส่ายหน้าแบบที่รู้เลยว่าปาไม่เป็น

“มาเหอะน่า” ผมจับข้อมือเขาแล้วดึงให้เดินตามกันมา ก่อนจะหันไปบอกต่อ “ผมปาลูกโป่งเก่งนะ”

“โม้ปะเนี่ย”

“จริงจัง ไปถึงเดี๋ยวชี้เลยคุณ อยากได้ตัวไหน เดี๋ยวผมปาให้”

แน่นอนว่าอีกฝ่ายขมวดคิ้วเหมือนไม่เชื่อ จนกระทั่งเรามาหยุดลงตรงหน้าซุ้มปาลูกโป่ง ผมหันไปถามคนที่ยังเอาแต่มองตุ๊กตาซึ่งทั้งวางทั้งแขวนไว้เต็มไปหมด

“ว่าไงคุณ อยากได้ตัวไหน”

สักพักเขาก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่ตัวอะไรสักอย่าง แล้วหันมาบอกกัน

“ตัวนั้น...”

“...”

“...”

“มันตัวอะไรอะคุณ”

“สล็อธไง”

“...”

“ตัวที่มันเคลื่อนที่ช้าๆ อะ ที่มันเดินแบบเนี้ย”

ระหว่างที่พูด เจ้าตัวก็ยกมือขึ้นมาขยับเลียนแบบท่าเดินของตัวสล็อธอะไรนี่ ซึ่งเอาจริงปะ ไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจหรือเห็นภาพได้มากขึ้นเลยว่าสล็อธคือตัวอะไร แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะคนทำอะ น่ารักโคตร!

“อ๋อ นึกออกละ ที่มันร้องแบบนี้ปะ อย่าลืมเรื่องราวที่ผ่านที่เคยได้เจ็บช้ำ”

“คุณ...นั่นมันสล็อตแมชชีน นี่เล่นมุกเหรอ”

“อืม ผ่านปะ”

“ผ่านนะ ผ่านไปก่อน”

“คุณก็ ไม่ช่วยกันเลย”

คำตอบจากคนฟังคือเสียงหัวเราะ ผมสั่งตัวเองให้ละสายตาจากคนข้างๆ แล้วมองกลับไปยังไอ้ตุ๊กตาตัวนั้นอีกครั้ง สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะถาม

“มันไม่ใช่ชะนีแขนยาวเหรอ”

“คุณอะ ไม่ใช่!”

“โอเคๆ สล็อธก็สล็อธ”

พูดจบผมก็หันมาถามน้องคนขายลูกดอกที่รออยู่แล้ว

“อยากได้ตัวนั้นต้องปายังไงอะน้อง”

“ตัวนั้นสี่สิบบาทหกดอก ต้องปาให้โดนทั้งหมด กับร้อยนึงดอกเดียวพี่”

“เอามาหกดอก”

ผมพูดแล้วหยิบเงินจ่ายน้องเขา พอหันกลับมาอีกฝั่งก็พบว่าสายตาที่มองมา มันเต็มไปด้วยคำถาม

นี่ก็ไม่เชื่อใจกันเลยเหอะ!

“ดอกเดียวมีโอกาสได้เยอะกว่ามั้ยอะคุณ ถ้าปาโดนก็ได้ตุ๊กตาเลยนะ”

“ดอกเดียวมันสำหรับพวกใช้เงินแก้ปัญหา ผมจะใช้ความสามารถ เข้าใจปะ”

“ขี้โม้อีกแล้วอะ”

“อ้าว...ตั้งใจดูเลยนะ” พูดจบผมก็ขยับเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีกนิด ยกมือขึ้นมาป้องปากแล้วกระซิบเบาๆ “ปาเสร็จเดี๋ยวจะบอกเทคนิคให้”

“โอเค ถ้าปาไม่โดนผมหัวเราะเยาะนะ”

“เดินขึ้นเวทีนางนพมาศไปหัวเราะออกไมค์ได้เลย”

ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็นิ่วหน้าแล้วไม่ตอบอะไรกลับมาอีก ส่วนผมยื่นแก้วน้ำในมือให้เขา แล้วหยิบลูกดอกที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะเลือกสองดอกแรกที่จะปาขึ้นมาก่อน

บอกเลย ตลอดระยะเวลาห้าปีของการเรียนมหา’ ลัย นอกจากความรู้เรื่องสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในแล้ว ทักษะหนึ่งที่ผมกับพวกเพื่อนๆ แก๊งลุงไอ้ตูมได้มาคือการปาลูกโป่งงานวัดนี่แหละ

สองดอกแรกถูกปาออกไปและปักเข้าที่ลูกโป่งอย่างง่ายดาย จนต้องหันมามองคนข้างๆ แล้วยักคิ้วอวดไปทีหนึ่ง สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการถอนหายใจ

ก่อนที่ผมจะหยิบลูกดอกที่เหลือขึ้นมาชั่งน้ำหนักกับมือแล้วก็เริ่มลงมือปา แต่นอนว่าไม่มีอันไหนไม่เข้าเป้า เห็นอย่างนั้นผมก็หันไปบอกพนักงานที่ยืนอยู่ในคอกกั้น พร้อมกับยกมือขึ้นชี้ตุ๊กตาสล็อธซึ่งอีกคนเล็งไว้

“ตัวนั้นน้อง”

ผมรับตุ๊กตามายื่นให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะรับแก้วน้ำตัวเองกลับมาแล้วพูดต่อ

“เชื่อยัง”

“ปาโดนทุกอันได้ไงอะคุณ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยิ้มมุมปาก ยกมือข้างที่ว่างขึ้นจับต้นแขนเขา ก่อนจะพาเดินออกมาจากร้านแล้วเล่าให้ฟัง

“ผมเรียนรู้เทคนิคนี้มาจากรุ่นพี่”

“สถาปัตย์?”

“อือฮึ”

“สถาปัตยกรรมศาสตร์และการปาโป่งเหรอ”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมหัวเราะ แล้วก็เริ่มอธิบายต่อ

“ในลูกดอกที่เค้าเอามาให้เราปาอะคุณ มันจะมีบางอันที่มีน้ำตรงช่วงท้าย ถูกถ่วงให้หนักกว่าปลายเข็ม ในสามอันอาจจะมีปนมาบ้างอันสองอันอะไรงี้”

“พอก้นมันหนัก เข็มมันก็ไม่พุ่งไปจิ้มลูกโป่งอะดิ”

“ใช่เลย ดังนั้นอันที่ถูกถ่วงน้ำหนักไว้อะ ต้องเอามาปาก่อน เพราะมีโอกาสพลาดสูง เวลาปาต้องปาให้แรงมากๆ อย่างน้อยต่อให้เข็มไม่จิ้ม มันก็ยังพอมีแรงที่จะเข้าไปชนให้ลูกโป่งแตก”

“อ๋อ...”

“ส่วนอันที่ไม่ได้ถูกถ่วงน้ำหนักไว้ก็ปาตามธรรมดานั่นแหละ ถ้าปาแม่นยังไงก็ไม่พลาดหรอก”

“แต่ถ้าปาไม่แม่น...”

“ยังไงก็ไม่โดนไง”

พอเจ้าตัวทำหน้ามุ่ย ผมก็หัวเราะแล้วก็เดินต่อไปด้วย

“แค่ปาลูกโป่งยังต้องมีหลักการเลยอะ”

“ใช่ พวกผมจริงจังกันมากเลยนะ ถึงกับไปซื้อลูกดอกมา เอากาวจากปืนกาวมาติดถ่วงที่ก้นไว้ แล้วหัดปาให้ชัวร์ก่อนจะออกสนามจริง”

“สถาปัตยกรรมศาสตร์และการปาโป่งจริงๆ ด้วย”

พอเห็นสีหน้าของเขาผมก็หลุดขำอีกแล้วถามต่อ

“ลองมั่งมั้ยล่ะ”

“ไม่เอาอะ ได้สล็อธมาแล้ว จะปาอีกทำไม”

“งั้น...ยิงปืนมั้ย”

คนฟังหันมามองกัน หรี่ตานิดๆ แล้วถามต่อ

“มีเทคนิคอีกมั้ย”

“ไม่มีคุณ ใครแขนยาวหน่อยก็ยื่นไปให้ใกล้ตุ๊กตาแล้วค่อยยิ่ง เดี๋ยวก็โดน เอามั้ยล่ะ”

“....”

พอเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงเงียบเหมือนกำลังตัดสินใจ ผมก็แกล้งถามต่อ

“หรือจะระบายสีปูนพลาสเตอร์ อ๋อ ไม่ได้ดิ คุณไม่เก่งงานฝีมือ”

“เดี๋ยวเหอะ!”

“ป่ะ! ไปยิงปืนกัน!”

เดินเลยมาอีกหน่อย เราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าซุ้มยิงปืน พออีกฝ่ายเกี่ยงให้ผมยิงก่อน ผมเลยไปซื้อกระสุนมาสองถาดแล้วก็ลงมือยิง

กระสุนแปดนัดหมดไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ตุ๊กตาร่วงลงมาสี่ตัว ก็ไม่แย่ปะ

ยิงของตัวเองเสร็จผมก็รับตุ๊กตาสล็อธมาถือไว้ ระหว่างที่คนตรงหน้ากำลังติดกระสุนยางเข้าที่ปลายกระบอกปืน ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งแซวเข้าให้

“อย่ายิงโดนเยอะนะคุณ ไม่ได้เอารถยนต์มา เดี๋ยวอุ้มหมียักษ์กลับบ้านไม่ไหว”

ได้ยินอย่างนั้นคุณไป๋ก็เหลือบมามองผมด้วยหางตา ไม่พูดอะไรแต่ยกกระบอกปืนขึ้นมาจ่อกัน

“ยิงคนแทนได้มั้ย ไม่อยากยิงตุ๊กตาแล้ว”

“คุณ! ไม่เล่นดิ เดี๋ยวลั่น!”

“แซวเก่งนักนี่!”

พูดจบเจ้าตัวก็ยิ้มมุมปาก แล้วก็หันกลับไป

สรุปว่าคุณไป๋ยิงตุ๊กตาตกไปอีกสามตัว พวกผมเลยเอาทั้งหมดไปแลกเป็นพวงกุญแจหมีที่พอดูได้ขึ้นมาหน่อย เขายกมันให้ผมแทนคำขอบคุณที่ปาลูกโป่งเอาตุ๊กตาสล็อธมาให้ ผมเลยห้อยมันไว้กับกุญแจรถมอเตอร์ไซค์

หลังจากได้ของเต็มไม้เต็มมือเราก็เดินกันต่อ

เลยจากโซนของเล่นมาก็จะเป็นของกิน ส่วนใหญ่ของที่แม่ค้าเอามาวางขายก็จะซ้ำๆ เดิมๆ ไม่ต่างจากหลายปีก่อนที่ผมมา สักพักคุณไป๋ก็หันมาพูดกับผม

“คุณเคยกินอันนั้นปะ”

สิ่งที่เขาชี้คือลูกชิ้นยักษ์ ยักษ์ขนาดที่ว่าเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณสามนิ้วได้ พอผมส่ายหน้าเขาก็ถามต่อ

“ลองมั้ย”

“คุณอยากกินเหรอ”

“อยากรู้มากกว่าว่ามันจะเป็นยังไง เดี๋ยวมานะ”

พูดจบเขาก็แยกตัวไปไปซื้อลูกชิ้นที่ว่ามาไม้หนึ่งซึ่งมีอยู่สองลูก พออีกฝ่ายกัดคำแรกเข้าไป ผมก็ถามต่อ

“ลูกชิ้นอะไรอะคุณ”

“เออ ไม่รู้สิ”

“หมารึเปล่า”

ได้ยินที่ผมพูดปุ๊บ คนตรงหน้าก็ตอบกลับด้วยเสียงกระซิบ

“คุณ! เดี๋ยวแม่ค้าก็เดินมาตีหัวหรอก”

“อ้าว ไม่เคยเห็นข่าวเหรอ ที่เค้าจับหมาไปทำลูกชิ้น”

เสียงพูดของผมกลับไปอยู่ในระดับปกติอีกครั้งตอนที่เราเดินห่างจากร้านออกมา

“คุณอะ...”

“แน่ๆ กินหมาไปแล้วโดยไม่รู้ตัว”

ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็ยื่นไม้ลูกชิ้นในมือตัวเองมาตรงหน้าผมทันที

“กินเลย”

“ฮะ?”

“กัดเข้าไปคำนึง เร็วๆ”

“ไม่เอา ผมไม่ได้อยากชิม”

“กินเข้าไปเหอะน่า คำเดียวก็ได้”

พอมองสบตากันก็สรุปได้เลยว่าผมแพ้ทาง ยอมกัดลูกชิ้นเข้าไปคำหนึ่งก่อนจะเคี้ยวกลืน ตอนนั้นแหละที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้น

“เท่านี้ก็กินหมาทั้งคู่ละ ถ้าอันนี้เป็นลูกชิ้นเนื้อหมาจริง คุณก็กินเข้าไปเรียบร้อยแล้ว เสมอกัน”

พูดจบเจ้าตัวก็เดินต่อทันทีแบบไม่รอกัน ปล่อยให้ผมเร่งฝีเท้าตามไปเดินอยู่ข้างๆ แล้วพูดออกมา

“จริงๆ เลยนะคุณเนี่ย”

พวกเราเดินผ่านส่วนของเวทีที่มีทั้งการแสดง การประกวดอะไรต่างๆ มากมาย ก่อนจะเข้าสู่พื้นที่สำหรับขายต้นไม้ และปิดท้ายด้วยโซนสัตว์เลี้ยง

แปลกดีที่คุณไป๋เขาแทบไม่แวะดูสัตว์อะไรเลยระหว่างทาง จนกระทั่งมาถึงซุ้มของมูลนิธิช่วยเหลือแมวจรจัด คนข้างๆ ผมก็เดินเอาเงินไปบริจาค แล้วก็ช่วยซื้อเมล็ดพันธุ์ต้นข้าวสาลีไปอีกสี่แพ็ก ส่วนผมที่ไม่รู้จะซื้ออะไรก็ตัดสินใจหย่อนแบงก์ร้อยลงไปในกล่องบริจาค

เดินเลยมาหน่อยอีกฝ่ายก็ชวนผมแวะซุ้มสินค้าแฮนด์เมดของนักศึกษา ร้านนี้เป็นร้านขายปลอกคอแมวที่ทำมาจากอะไรสักอย่างซึ่งเป็นก้อนกลมๆ นุ่มๆ สีหวานๆ เอามาต่อกัน ป้ายราคาถูกเขียนไว้ด้วยลายมือน่ารัก บอกสิ่งที่วางขายอยู่คือ ‘ปลอกคอแมวปอมปอม’

อ๋อ...ไอ้ก้อนๆ นี่เขาเรียกว่าปอมปอมหรอกเหรอ

ระหว่างที่ผมกำลังทำความเข้าใจกับแฟชั่นสำหรับสัตว์เลี้ยง คนตรงหน้าก็เริ่มเลือกซื้อของเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะหันมาคุยกัน

“ผมซื้อไปฝากมะตูมด้วยนะ”

“ตามสบายเลยคุณ”

ได้ยินอย่างนั้นเจ้าตัวก็หันไปเลือกปลอกคอสีเขียวเหลืองให้มะตูมกับสีชมพูม่วงให้เป่าเป้ย พอน้องนักศึกษาที่ขายของอยู่จัดการเอาปลอกคอใส่ถุงกระดาษ ผมก็เป็นคนยื่นมือไปรับมาเอง แล้วหันมาบอกคุณไป๋

“ผมถือให้เอง เอาข้าวสาลีคุณมาด้วย เต็มมือไปหมดแล้ว”

คนตรงหน้าเหมือนจะชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ก็ยอมยื่นของที่ถือเอาไว้มาให้ผมในที่สุด ก่อนที่เราจะเดินต่อไปจนครบรอบหนึ่งของงานพอดี

ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน เขาก็หันมาพูดกับผม

“ไม่ได้เดินเที่ยวอะไรแบบนี้นานแล้วอะ สนุกดีเนอะ”

“ครั้งล่าสุดที่คุณมาคือเมื่อไหร่”

“ตอนเรียนมั้ง”

“ผมก็ตอนเรียนเหมือนกัน”

“...”

“เออ..แต่ตอนเรียนของคุณก็ต้องนานกว่าของผมถูกปะ ของผมสองปี ของคุณล่ะ สี่?”

“ใช่ เรียนจบมานานแล้วจะทำไม”

พอเห็นสีหน้าบูดบึ้งของคนที่หันมา ผมก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม แล้วตอบกลับ

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย”

“....”

“คุณหน้าเด็กกว่าผมตั้งเยอะจะเดือดร้อนอะไรฮึ”

คราวนี้คนฟังยักไหล่ ส่งสายตา ‘ก็ช่วยไม่ได้’ มาทางนี้ ก่อนผมจะต้องเอื้อมมือไปคว้าข้อมือเขาไว้แล้วดึงให้เดินเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม เพราะเห็นว่ามีคนกำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือเดินตรงมาทางนี้แบบไม่มีทีท่าว่าจะหลบ ซึ่งก็ไม่ทัน ใครคนนั้นชนคุณไป๋เข้าเต็มๆ ก่อนจะหันมาก้มหัวให้นิดหน่อยแทนคำขอโทษ แล้วเดินต่อไป

เจ้าตัวดูเหมือนจะตกใจอยู่หรอกที่อยู่ดีๆ ก็โดนชนเข้าอย่างจัง จนผมต้องก้มหน้าลงไปถาม

“เจ็บมั้ยคุณ”

เจ้าตัวตอบกลับพร้อมกับส่ายหน้า

“ไม่ๆ แค่ตกใจนิดนึง”

“ดีแล้ว ของอะไรอยู่ครบมั้ย โทรศัพท์กระเป๋าตังค์หายรึเปล่า”

ได้ยินอย่างนั้นคนตรงหน้าก็เช็กทุกอย่างที่ผมพูดถึง ก่อนจะหันมาบอกกัน

“อยู่ครบดี ไม่มีอะไรหาย”

“งั้น คุณอยากเดินดูอะไรอีกมั้ย”

“ไม่นะ คุณล่ะ”

ผมส่ายหน้า ก่อนจะพูดต่อ

“ถ้าอย่างนั้น เรากลับกันเลยดีปะ”

คนฟังพยักหน้ารับ ส่งยิ้มให้กันพร้อมกับเดินต่อ ตอนนั้นเองที่ผมเดินไปข้างคุณไป๋ มองฝ่ามือข้างที่ว่างของอีกฝ่ายซึ่งขยับไปมาตามจังหวะการเดิน หัวใจผมเต้นแรง สิ่งที่คิดอยู่ก็คือ อยากเดินจูงมือว่ะ

ผมค่อยๆ เลื่อนแขนเข้าไปใกล้เขา แต่พอมือเราจะสัมผัสกันก็ดันลังเล ปอดแหก ไม่กล้าขึ้นมาซะอย่างนั้น ถ้าเขาไม่ได้คิดแบบเดียวกันล่ะ ถ้าเคมีอะไรบางอย่างที่ผมรู้สึกได้ตอนที่เราวิดีโอคอลกันเมื่อคืนก่อน สายตาที่มองกันในวันถัดมา และอะไรอีกหลายอย่างคือสิ่งที่ผมคิดไปเองล่ะ ถ้าสุดท้ายแล้วมันก็แค่มิตรภาพและความมีน้ำใจ ระหว่างเราสองคนจะเป็นยังไง สิ่งดีๆ ที่มีอยู่ตอนนี้มันจะหายไปไหม

แววตา รอยยิ้ม ท่าทางการหัวเราะของเขา ผมจะยังมีโอกาสได้เห็นมันอยู่รึเปล่า ผมไม่ได้กลัวที่จะจับมือเขา ที่ผมกลัวคือผลที่จะตามมา

โคตรเสี่ยง...แต่ในโลกนี้มีอะไรไม่เสี่ยงบ้างวะ แค่การขับรถออกไปทำงานทุกวันก็คือความเสี่ยงแล้ว

กล้าหน่อยดิวะไอ้ชุน!

ผมพยายามนึกถึงอะไรที่ทำให้รู้สึกมีความกล้า กล้าที่จะเสี่ยง กล้าได้กล้าเสียในเรื่องของความสัมพันธ์ และสิ่งแรกที่นึกขึ้นมาได้ก็คือมะตูม ไอ้แมวหน้าเหลืองที่บุกเข้าบ้านคนอื่นไปปล้ำลูกสาวเขาถึงที่ ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

แต่ก็นั่นแหละ ในที่สุดผมก็ยื่นมือไปจับมือเขาเอาไว้ โคตรจะฟูนุ่มเลยให้ตาย!

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือหัวใจผม...มันเต้นไม่เป็นจังหวะมากกว่าเก่า แถมยังปั่นป่วนมากจนเหมือนแทบจะกระเด็นหลุดออกมา ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วผมยังไม่ตายไปซะก่อน

พอเหลือบสายตาไปมองคุณไป๋ สิ่งที่เห็นก็คือ...เขาดูสนใจกรงใบใหญ่แบบประกอบเองเอามากๆ

ไม่ทันไร...ฝ่ามือที่อยู่ในการเกาะกุมของผมก็ขยับเหมือนจะดึงกลับออกไป บอกตามตรงเลยว่านาทีนั้นรู้สึกว่าตัวเองต้องทุ่มสุดตัวและเสี่ยงให้เต็มที่ แต่ก็อดใจหายวาบไม่ได้ในเวลาเดียวกัน

ผมทำใจกล้าหันไปมองคนที่ยังคงฟังพ่อค้าขายกรงโฆษณาสินค้าต่อไป แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วทีขยับเข้ามาสอดประสานอยู่กับนิ้วมือของผม แล้วก็กุมแน่นเข้า ก่อนเจ้าตัวจะหันมาคุยด้วย

“กรงนี่น่าสนใจดีเนอะ”

ฮะ...?

พอผมเหวอ ไม่ตอบอะไรกลับไป เขาเลยพูดต่อ

“พวกลูกแมวเริ่มเดินเก่งแล้วอะ เวลาผมไม่อยู่บ้านก็กังวลอยู่นะว่าจะพากันไปเล่นซนจนอันตราย”

เราจับมือกัน แต่คุณไป๋...สนใจกรงแมวมาก

เอาวะ กรงแมวก็กรงแมว!

“ก็น่าสนอยู่นะคุณ ว่าแต่...จะขนกลับบ้านยังไง”

“นั่นดิ...”

“วันไหนว่าง เราค่อยเอารถยนต์ไปหาซื้อกันก็ได้ หรือไม่ก็ถามพี่เค้าว่านอกจากที่งานนี้แล้ว เขายังมีวางขายที่ไหนอีกบ้าง”

“โอเค...”

ตอบผมเสร็จเขาก็กลับไปคุยกับคนขายต่อ สุดท้ายก็ได้นามบัตรมาใบหนึ่ง พร้อมรายละเอียดการสั่งซื้อกรงในช่องทางอื่นๆ

พวกผมเดินต่อโดยคุยเรื่องความซนของพวกลูกแมวไปด้วย แล้วมาปล่อยมือจากกันตอนเดินมาถึงที่จอดรถ เพราะผมต้องหยิบบัตรเพื่อแลกออก มันเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย แค่ผมคลายมือที่กุมอยู่ เขาเองก็ดึงมือตัวเองกลับไป ก่อนเราจะขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วก็ขี่กลับบ้าน

 
- มีต่อนะคะ -
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 06 - 250163] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 01-02-2020 20:40:17
.

มาถึงบ้านผมก็เอามอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดต่อท้ายรถเก๋งคันเก่า หันไปก็เห็นคนที่ลงไปเปิดประตูรั้วให้ก่อนหน้านี้ เขากำลังเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะยื่นหมวกกันน็อกคืน

ผมยังไม่รับไว้ และไม่ได้พูดอะไร มองสบตาเขา ก่อนที่คำถามของอีกฝ่ายจะดังขึ้น

“มีอะไรรึเปล่า”

“มีสิ...มี”

ระหว่างที่พูดผมก็ยังคงตรึงสายตาตัวเองเอาไว้กับคนตรงหน้า โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะพูดอะไรต่อ พอคุณไป๋เขายื่นหมวกกันน็อกใกล้เข้ามาอีกจนถึงตัว ในที่สุดผมก็ต้องยื่นมือไปรับไว้ โดยที่สมองยังคงทำงานไม่หยุด

ควรจะเริ่มจากตรงไหนดีวะ

หรือไม่ต้องเกริ่นอะไร เอาแบบเข้าประเด็นไปเลย เหมือนเวลาลูกค้าคุณภาพบรีฟงาน ตรงๆ ไม่ซับซ้อน...คือนี่มันเป็นเรื่องของความรู้สึกนะเว้ย ไม่ใช่งาน มันจะใช้วิธีเดียวกันได้จริงเหรอวะ

แม่ง...อยู่คนเดียวด้วย จะให้ใครช่วยก็ไม่ได้

แต่ว่านี่มันเป็นเรื่องความรู้สึกของผม ก็ถูกแล้วที่ไม่ควรจะต้องไปขอให้ใครมาช่วย เตลิดไปถึงไหนแล้ววะ

พอรวบรวมสติกลับมา สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมก็คือใบหน้าของเขา

คุณไป๋ผิวขาว ตาสองชั้นแบบหลบใน พอได้มามองใกล้ๆ แบบนี้เลยได้รู้ว่าตาซ้ายจะเห็นความเป็นสองชั้นมากกว่าตาขวา และถ้าไม่ได้คิดไปเอง เขามีตาดำที่สีเข้มมากๆ จมูกที่ดูเป็นธรรมชาติ ริมฝีปากบนแบบบางได้รูปกับริมฝีปากล่างที่อิ่มกำลังดี

เขาดูพอดิบพอดีไปหมดในตอนนี้ ให้ความรู้สึกลงตัวมากกว่าวันแรกที่เราได้มีโอกาสคุยกันด้วยซ้ำ

“เรื่องนี้รึเปล่า”

คำพูดของเขาดึงความคิดผมกลับมา ก่อนจะเห็นว่าเจ้าตัวยกมือข้างที่ว่างอยู่ขึ้น ชูฝามือให้กัน เมื่อผมยังมีทีท่าว่าจะไม่เข้าใจ เขาก็ยื่นมือมา จับมือผมเอาไว้แล้วสอดปลายนิ้วประสานกันอีกครั้ง

“ผมหมายถึงอย่างนี้”

สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเจนเลยคือสีหน้าคนพูดไม่ได้อยู่ในโหมดกำลังแกล้งหรือว่าล้อเล่น ผมมองมือของเราที่ยังจับกันอยู่ หายใจเข้าลึกๆ ถอนหายใจออกมาสุดแรง ก่อนตัดสินใจพูดออกไป

“ผมรู้ว่าเรากำลังยืนอยู่ในโรงรถเก่าๆ หน้าบ้านผม สถานที่มันอาจจะไม่ได้พิเศษอะไรมากมาย...”

“...”

“แต่...ผมชอบคุณ”

ตอนลังเลก็โคตรลังเลเลย คิดโน่นคิดนี่ในหัวสารพัด แต่พอบทจะพูด ก็แค่นั้นแหละ...แค่พูดออกมา และสิ่งที่ผมได้เห็นคือแววตาและสีหน้าของความตกใจ พร้อมกับที่อีกฝ่ายดึงมือออกจากการสัมผัสของผม

เขาเงียบไปจนผมต้องพูดต่อ

“อาจจะทำให้คุณตกใจ แต่ผมชอบคุณจริงๆ”

“มะ...ไม่จริงอะ คุณไม่ได้ชอบผมซะหน่อย”

“อ้าว...ก็บอกอยู่นี่ไงว่าชอบ”

“ไม่เห็นจะชอบเลย”

“ก็บอกอยู่ว่าชอบ”

“ชอบอะไร อ่อยไปตั้งหลายทีแล้ว ไม่เห็นมีอาการเลย”

ฮะ...?

พูดจบคนตรงหน้าผมก็เหลือบสายตามองไปทางอื่น แต่ก็เห็นได้ชัดเลยว่าผิวแก้มขาวๆ นั่นเรื่อสีแดงขึ้นมาจริงๆ ท่าทางเหล่านี้ทำให้ผมยิ้มออกมา แล้วถามกลับ

“จริงดิ”

“ไม่จริงมั้ง”

“เฮ้ย...นี่อ่อยผมด้วยดิ”

“ก็พูดไปแล้วไง!”

“ตอนไหนบ้างอะ”

“ไม่บอก!”

“แบบนี้ก็แสดงว่าชอบผมเหมือนกันถูกมั้ย”

พอผมก้มหน้าลงไปถาม อีกฝ่ายก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ยกมือขึ้นมาผลักไหล่กันแล้วพูดต่อ

“พูดขนาดนี้แล้วต้องบอกอีกเหรอ!”

สิ่งที่ผมตอบกลับไปคือรอยยิ้ม แค่นั้น แล้วปล่อยให้อีกคนพูดต่อ

“กลับบ้านแล้วนะ”

พูดจบเขาก็ไม่รอฟังอะไรทั้งนั้นแล้วหันตัวเดินหนีกันไปทันที

โชคดีที่ผมไหวตัวทัน ยื่นมือไปคว้าข้อมือคนตรงหน้าเอาไว้ ดึงให้กลับมาอยู่ใกล้กันอีกครั้ง ผลคือตุ๊กตาสล็อธที่อีกฝ่ายอุ้มมาตลอด ดันตกตุ๊บลงไปนอนอยู่ที่พื้นเรียบร้อย โชคดีที่มันอยู่ในถุง

พออีกฝ่ายกลับมาอยู่ตรงหน้ากันอีกครั้ง ผมก็ก้มลงนิดๆ มองเข้าไปในดวงตาแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าเขามีตาดำที่สีเข้มมากจริงๆ พอเจ้าตัวกระพริบตาช้าๆ มันก็เหมือนกับว่าสวิตช์อะไรบางอย่างในตัวของผมถูกเปิด

ผมขยับเข้าไปใกล้ เลื่อนมือขึ้นมาจับอยู่ที่ต้นแขนของเขา เอียงคอแล้วก็จูบลงไปบนริมฝีปากคู่นั้น

วินาทีนั้น เหมือนมีปรากฏการณ์อะไรสักอย่างที่ทำให้ความรู้สึกฟูนุ่มนั้นของผมเปลี่ยนไป กลายเป็นเหมือนมีอะไรระเบิดปุ้ง! อยู่ในท้องจนสะเทือนมาถึงหัวใจ

หลังจากที่ทำแค่แตะริมฝีปากกันเบาๆ ผมก็ถอนจูบออก ริมฝีปากยกยิ้มจนภาพการมองเห็นแคบลง ตอนที่ยกมือขึ้น ปัดปลายนิ้วหัวแม่มือผ่านแก้มเขาเบาๆ โดยที่รอบตัวยังคงมีแค่ความเงียบ

ไม่ทันได้ปล่อยเขากลับไป ผมก็รู้สึกได้ว่ามีมือเลื่อนขึ้นมาคล้องคอเอาไว้ รั้งให้ผมก้มตัวลงไปอีกรอบ พร้อมกับที่อีกฝ่ายเขย่งเท้าขึ้นมา แล้วริมฝีปากของเราก็แตะกันอีกครั้ง

ผมเลื่อนมือลงไป กอดเอวคนตรงหน้าเอาไว้ ขยับริมฝีปากเม้มเบาๆ บนกลีบปากล่างของเจ้าตัว พร้อมกับที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายก็บดริมฝีปากตัวเองกลับมา เวลาผ่านไปไม่นานก่อนจูบที่สองจะจบลง

ผมมองเขา คนโดนมองก็ยังคงปั้นหน้าบึ้ง พยายามซ่อนรอยยิ้มไว้จนแก้มป่องออก สีหน้านั้นทำให้ผมพูดออกมา

“คุณโคตรน่ารักเลย ขี้โกงว่ะ ทำไมอายุยี่สิบแปดแล้วถึงยังน่ารักแบบนี้อยู่อีกฮึ”

คราวนี้คำตอบคือการที่เขายกมือขึ้นมาทุบลงบนไหล่ผมทีหนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงพึมพำ

“พอได้แล้ว ปล่อยมือด้วย”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็คลายแขนทั้งสองข้างที่โอบรอบเอวคนพูดออก ก่อนที่เขาจะหันไปเก็บตุ๊กตาสล็อธบนพื้น แล้วส่งสายตามาให้ผม

“ตุ๊กตาหล่นเลยเห็นปะ”

“มันยังอยู่ในถุง ไม่เลอะหรอกคุณ”

“อืม ผมกลับบ้านแล้วนะ”

“โอเค”

ผมพยักหน้ารับ ยกมือขึ้นโบกบ๊ายบาย แต่พอเขาเดินออกไปก็ต้องเอื้อมมือไปคว้าตัวกลับมาอีกครั้ง

“อะไร”

คนตรงหน้าถามกลับ เงยหน้าสบตาผมกับท่าทางที่แสดงออกชัดเจนว่ายังเขินอยู่หน่อยๆ จนผมหลุดยิ้มออกมากับท่าทีเหล่านั้น จากนั้นก็หันตัวกลับไปหยิบถุงพลาสติกที่แขวนไว้ตรงแฮนด์มอเตอร์ไซค์มาให้เขา

“ต้นข้าวสาลีกับปลอกคอแมวของคุณ”

“ลืมเลยอะ”

คนตรงหน้ารับของที่ผมยื่นไปให้ ยิ้มเขินๆ ยกมือบ๊ายบายกันอีกครั้งก่อนจะเดินไปยังประตูรั้ว ผมมองตามเขา แล้วพูดออกมา

“พรุ่งนี้เช้าตื่นมากินข้าวด้วยกันนะคุณ”

คนที่กำลังจะเปิดประตูรั้วชะงักไป หันมาหาผม ส่งยิ้มให้แล้วพยักหน้ารับ เราสบตากันอยู่ไม่นาน ก่อนที่เขาจะออกจากบ้านไป

ผมยืนรอจนกระทั่งอีกฝ่ายไปถึงบ้านตัวเอง ไขประตูเปิดออก ส่งสายตามาทางนี้ เราสบตากันอีก จนเขาเข้าบ้านตัวเอง ปิดประตูล็อกเรียบร้อยผมถึงได้ละสายตา หันตัวตั้งใจจะเดินเข้าบ้านเหมือนกัน แล้วตอนนั้นเองที่ผมต้องสะดุ้งสุดตัวกับภาพตรงหน้า

“ไอ้ตูม!”

ไอ้แมวเหลืองมันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย

ตอนนี้มะตูมนอนตัวตรงชูคออยู่บนหลังคารถผม พร้อมกับใช้ดวงตาสีเหลืองมองจ้องมาทางนี้อย่างจับผิด หางยาวๆ สะบัดไปมากระแทกหลังคารถเป็นเสียงเบาๆ ไม่ทันไรมันก็ร้องเมี้ยวพร้อมกับหาวอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจ

เห็นท่าทางการเคลื่อนไหวเหล่านั้นแล้วผมก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา

“นี่คือมึงเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเลยถูกมั้ย”

 

- to be continued -
[/i]
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 07 - 010263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 01-02-2020 22:30:57
คุณไป๋ไปอ้อยตอนไหนเนี่ย..ยยยยยยยยย    :katai1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 07 - 010263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 03-02-2020 20:25:52
คุณไปปปปปปปปป๋ ที่อ่อยคือตอนไหนอะ อ่อยเนียนไป อย่างอนชุนเลยเราก็ไม่รู้สึกอะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 07 - 010263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-02-2020 22:09:37
ดี ๆ ใจตรงกันก็ไม่ต้องเล่นตัวให้เสียเวลา คุณไป๋ชนะเลิศ
ชอบบรรยากาศการเดินเที่ยวงานจังเลย
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 07 - 010263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 08-02-2020 14:15:30
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect fall07(1).jpg)

- 08 -



สถานะระหว่างผมกับคุณไป๋ลงตัวกันที่ว่าเราจะดูๆ กันไปก่อน

คืนหลังจากที่ได้พูดความรู้สึกออกไป ผมนอนไม่หลับซะด้วยซ้ำ ในใจมีแต่คำถามว่าสรุปแล้วระหว่างพวกเราตอนนี้คืออะไร

ผมชอบเขา อันนี้ชัดเจนอยู่แล้ว และเขาเองก็มีใจ อันนี้ก็ชัดเจนพอกัน

แต่แค่ความรู้สึกอย่างเดียว มันมากพอที่จะเปลี่ยนสถานะของคนสองคนได้จริงเหรอ

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมสามารถตอบได้โดยไม่ลังเลเลยว่าใช่ แต่ตอนนี้ผมเองก็เริ่มไม่แน่ใจ การเริ่มคบกันมันง่ายก็จริง แต่สิ่งที่ยากก็คือการที่เราจะประคองมันไปได้แบบตลอดรอดฝั่ง

ผมอายุยี่สิบหกซึ่งก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะทำผิดพลาดมาบ้าง แต่ตอนนี้พอคิดว่าจะเริ่มมีความสัมพันธ์กับใครก็อยากให้มันจริงจังชัดเจนไปเลย ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวคนเดียวได้ มันต้องเป็นเราสองคนที่ตัดสินใจร่วมกัน

ดังนั้นวันถัดไประหว่างที่ผมกับคุณไป๋กำลังเดินไปกินมื้อเช้าที่ร้านประจำ ผมก็ตัดสินใจถามออกมา

“คุณคิดว่าระหว่างเราตอนนี้เป็นยังไง”

ผมใช้เวลานอนคิดคำถามทั้งคืน ถามยังไงให้ดูไม่ดราม่าเกินไป ไม่แสดงออกในแบบที่กดดันเขามากเกินไป แล้วก็ไม่ฟังดูโลเลเหมือนกำลังล้อเล่นกับสิ่งที่พูดเมื่อวาน ผมคิดแล้วคิดอีกจนแทบจะลุกขึ้นไปหยิบปากกามาเขียนทุกประโยคที่มีในหัวเพื่อเลือกอันที่ดีที่สุด แถมยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่พูดออกไปเนี่ย อยู่ในรายการที่ผมคิดเอาไว้รึเปล่า

คำถามของผมทำให้เขาหันมามอง เลิกคิ้วใส่ พอผมไม่สามารถให้คำอธิบายอะไรได้เพิ่ม เขาก็ตัดสินใจเอ่ยออกมาด้วยตัวเอง

“หมายถึงสถานะของเราสองคนน่ะเหรอ”

“ใช่...”

หลังจากได้ยินคำตอบของผมเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดเปิดหน้าจอเพื่อดูเวลาแล้วพูดต่อ

“งั้น เราแวะไปสนามเด็กเล่นก่อนแป๊บนึงได้มั้ย”

หลังจากนั้นเราสองคนก็มาหยุดอยู่ตรงชิงช้า เขานั่งลง ไม่ได้ไกว ส่วนผมก็ยืนมอง พร้อมกับได้ยินคำถาม

“คุณคิดว่าไงอะ”

ผมมองเขา ส่งยิ้มให้เพื่อสร้างความผ่อนคลาย แล้วค่อยๆ พูดออกไป

“สำหรับผมน่ะ ยังไงก็ได้ เราจะคบกันไปเลย หรือจะใช้เวลาทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้อีกก็ได้ สิ่งที่สำคัญก็คือ ผมคิดว่าเราต้องตกลงเรื่องนี้ด้วยกัน”

“อืม...ผมแน่ใจว่าตัวเองรู้สึกดีๆ กับคุณนะ แต่ไม่แน่ใจเลยว่าเราจะสามารถคบหากันในแบบของคนรักไปได้ดีไหม คุณ...เข้าใจใช่มั้ย”

ผมส่งยิ้มไปอีกครั้งพร้อมกับพยักหน้ารับ ส่วนเขาก็ยังคงอธิบายต่อไป

“คือไม่ใช่ว่าผมไม่มั่นใจในตัวคุณนะ แต่ผมไม่มั่นใจในตัวเองมากกว่า เราดูเหมือนจะรู้จักกันในหลายด้าน แต่มันก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สั้นมาก และถึงแม้ผมจะรู้สึกว่าต่อไปนี้มันคงมีเรื่องดีๆ ระหว่างเราเกิดขึ้นอีกเยอะแยะแน่ๆ แต่ถ้าเรารอให้มันเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอะไรลงไป มันก็ไม่สายไปไม่ใช่เหรอ”

คุณไป๋เป็นคนน่าประทับใจ แม้กระทั่งในตอนนี้เขาก็สามารถอธิบายเรื่องระหว่างเราออกมาได้เป็นลำดับ และเห็นภาพชัดเจนเอามากๆ ผมจึงตอบกลับไป

“อือฮึ ผมเข้าใจ ระหว่างนี้เราก็...ดูๆ กันไปก่อนแล้วกันเนอะ”

ผมพูด แล้วยื่นมือไปให้คนที่นั่งอยู่ ก่อนเขาจะยื่นมือกลับมา จับกันไว้แต่ยังไม่ยอมลุกขึ้น แล้วพูดต่อ

“คุณไม่เคยคบกับผู้ชายมาก่อนใช่มั้ย”

ผมตกใจทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น แล้วก็คิดว่าสีหน้าตอนนี้น่าจะเป็นคำตอบให้เขาได้แล้ว เลยถามกลับไป

“รู้ได้ไงอะ”

คุณไป๋ยิ้มมุมปาก ยักคิ้วให้ผม แล้วตอบกลับมาพร้อมกับลุกขึ้น

“ใช้เซ้นส์เอาล่ะมั้ง”

“ถามจริง?”

ผมปล่อยมือเขาแล้วเปลี่ยนไปกอดคอ พร้อมกับเห็นว่าอีกฝ่ายผยักหน้ารับแล้วไม่พูดอะไรต่อ เลยพยายามจ้องตาแล้วขมวดคิ้วเข้าเพื่อเค้นความจริง ก่อนคำอธิบายจะตามมา

“เพราะคุณทรีตผมดีมากล่ะมั้ง เหมือนเวลาผู้ชายทรีตผู้หญิง”

“ไม่เห็นเกี่ยวเลย ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ถ้าเป็นคนที่ชอบยังไงก็ต้องดูแลให้ดีไม่ใช่รึไง”

สิ่งที่ผมได้รับกลับมาแทนคำตอบคือรอยยิ้ม กับแก้มที่ซุกเข้ามาบนไหล่นิดๆ ก่อนจะผละออกไป จนผมต้องวกมือข้างที่วางพาดไหล่เขาอยู่มาสัมผัสลงบนผิวแก้มนุ่มของเจ้าตัวระหว่างที่กำลังเดินต่อ

แปลกใจเหมือนกันที่ตัวเองกลายเป็นพวกชอบถึงเนื้อถึงตัวไปได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่เวลาอยู่ใกล้เขามันรู้สึกอยากใกล้กันมากขึ้น อยากสัมผัสตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว ซึ่งผมเองก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน

ระหว่างที่เรากำลังเดินไปตามทางปูอิฐตัวหนอนของสนามเด็กเล่น ผมก็ถามขึ้นมาเจือเสียงหัวเราะ

“ว่าแต่ สถานะคนที่กำลังดูใจกันอยู่อะไรประมาณเนี้ย เค้าจูบกันได้มั้ยนะ”

คนฟังหันมาขมวดคิ้วใส่ทันที พร้อมกับที่ผมเห็นว่าใบหูที่โผล่พ้นเส้นผมสีดำของเขามันขึ้นสีแดงเรื่อ และสิ่งเดียวที่ส่งกลับมาที่ผมแทนคำตอบก็คือข้อศอกที่จิ้มเข้ามาตรงลำตัวผมเต็มๆ

ขอสรุปเอาเองว่ามันหมายถึงการตอบตกลงก็แล้วกัน



- - -

วันนี้เจ้านายผมเลี้ยงข้าวเที่ยง เพราะเพิ่งปิดจ็อบงานใหญ่ไปโปรเจ็กต์หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ไปกินอะไรที่ไหนไกลหรอก เป้าหมายคือร้านอาหารรสชาติดีหน้าปากซอยที่พวกผมไปอุดหนุนอยู่เป็นประจำ

พอถึงเวลาพักก็พากันเดินไปทั้งบริษัท ที่เอาจริงๆ ก็มีกันอยู่แค่หกคน รวมถึงแฟนเจ้านายที่แวะมารับเอกสารเพื่อเอาไปให้บริษัทบัญชี ระหว่างนั้นผมก็เพิ่งได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วก็เห็นรูปถ่ายที่คุณไป๋ส่งมาเมื่อเกือบสิบนาทีก่อน

ว่าแต่นั่นมันอะไรน่ะ ทำไมหน้าตาเหมือนดินหรือไม่ก็ทราย



‘อะไรอะคุณ’

‘อาหารแมวเด็ก’




สิ่งที่ถูกส่งตามมาคือคลิปวิดีโอพวกตัวเล็กกำลังกินอาหารในถ้วย โคตรน่ารักเลย!



‘ผมเอาอาหารแมวไปแช่ในนมแพะจนนิ่ม’

‘แล้วก็บี้ให้ละเอียด เด็กๆ จะได้กินได้’

‘แล้วคุณไปเอานมแพะมาจากไหนเนี่ย’

‘ขับรถไปซื้อมา’

‘ไวเนอะ’

‘อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง’

‘ก็ต้องลองปะ? ’

‘เรียกอีกอย่างว่าซน’

‘เดี๋ยวเหอะ!’




ไม่ทันไร แฟนเจ้านายผมก็ทักขึ้น

“มีแฟนแล้วเหรอ”

“ฮะ อะไรนะพี่”

“อ้าว ก็พี่เห็นชุนเดินพิมพ์โทรศัพท์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ถ้าไม่คิดว่ามีแฟน จะให้คิดว่าไง”

“ยังไม่ใช่แฟนหรอกพี่ ก็กำลังดูๆ กันอยู่”

“มีรูปปะ น่ารักมั้ย”

ผมพยักหน้ารับแล้วก็กดเปิดรูปให้อีกฝ่ายดู เห็นปุ๊บพี่แกก็ส่งเสียงเรียกเจ้านายผมที่เดินนำอยู่หน้าสุดทันที

“เฮีย ลูกชายเฮียจะมีแฟนอะ หน้าคล้ายแฟนเฮียเลย”

คนโดนเรียกหันกลับมา ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วถามแค่

“ไหน”

แล้วผมก็ยื่นหน้าจอโทรศัพท์ไปให้ดู ก่อนจะได้คำตอบกลับมาว่า

“แฟนกูขาวกว่าเยอะ”

ก็จริง...

เพราะรูปที่ผมเปิดให้ดูคือดิสเพลย์ไลน์ของคุณไป๋ ซึ่งเป็นหน้าเป่าเป้ยที่มีขนสีขาวแซมเทา ส่วนแมวของเจ้านายผมนี่สีขาวจั๊วะ แถมหน้ากลมแก้มใหญ่กว่าเป้ยไปอีก

มาถึงที่ร้านทุกคนก็ลงมือสั่งอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือเมนูที่กินกันอยู่เป็นประจำ ระหว่างนั้นโทรศัพท์ผมก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นอีกครั้ง พอเปิดเข้าไปดูก็ต้องเจอกับรูปไอ้ตูมที่กำลังกินอาหารแมวเด็กอย่างหน้าตาเฉย

จากเดิมที่หน้าตาไอ้ตูมก็กวนตีนด้วยตัวเองอยู่แล้ว ยิ่งพอใส่ปลอกคอปอมๆ น่ารักที่ได้มาเป็นของฝากก็ยิ่งทำให้ดูกวนตีนเข้าไปใหญ่

กูล่ะเหนื่อยใจกับมึงจริงๆ เลยตูม...



วันนั้นกว่าผมจะได้กลับบ้านก็สามทุ่ม โชคดีที่กลับไปแล้วบ้านข้างๆ ยังเปิดไฟอยู่ จอดรถเสร็จผมก็เดินไปหาเขา เปิดประตูรั้วเข้าบ้านเอง พร้อมกับที่เจ้าของบ้านยกมือขึ้นมาโบกทักทายทั้งที่ยังนั่งอยู่หน้าคอมฯ ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ

พอเข้าไปในบ้าน ผมก็วางมือค้ำไว้บนเก้าอี้ที่เจ้าตัวนั่งอยู่ ก่อนจะก้มตัวลงจิ้มคางลงไปบนหัวของเขา แล้วถามต่อ

“งานยุ่งเหรอคุณ”

ผมก็เหลือบสายตาไปมองเอกสารที่วางอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ที่อยู่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์คือส่วนที่แปลเป็นภาษาไทยแล้ว

“นิดนึงอะ งานยาก”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็แตะริมฝีปากลงไปบนเส้นผมของเขาแล้วพูดต่อ

“เชื่อเลย แค่เห็นตัวหนังสือผมก็จะเวียนหัวแล้ว”

“อืม พวกเอกสารทางการแพทย์นี่ไม่อยากทำเลยอะ เงินเยอะยังไม่อยากทำเลย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้”

“อ้าว ทำไมอะคุณ”

“คนที่ติดต่อมาเป็นคุณหมอที่เคยรักษาอาม่าผม ดูแลอยู่เป็นปีเลย”

“อ๋อ...”

“เคยจะคบกันด้วย”

“จริงดิ?”

“อืม แต่เค้ารับไม่ได้ที่ผมเอาแมวเข้าไปนอนในห้อง ก็เลยจบ”

ผมเกือบหลุดขำ ก่อนจะตอบกลับไป

“ดีนะ ทุกวันนี้ไอ้ตูมแทบจะนอนบนหัวผมอยู่แล้ว”

“รักกันขนาดนั้นเลย?”

“อืม แถมบางทียังเอาหางมาอุดจมูกกันด้วย”

คนฟังหลุดขำออกมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น

“มันมีหนังสือภาพเล่มนึงชื่อว่า ‘จะรู้ได้ยังไงว่าแมวกำลังวางแผนฆ่าคุณ’ ต่อให้คุณไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่บางทีอาจจะต้องลองอ่านเล่มนี้แล้วมั้ง”

“แค่ชื่อก็ขนลุกแล้ว”

“อ่านแล้วอาจจะรู้ใจมะตูมมากขึ้นก็ได้”

“ว่ามันวางแผนจะฆ่าผมเงี้ยเหรอ”

“แน่ๆ”

เขาเงยหน้าขึ้นมาตอบกลับ ยิ่งเห็นสีหน้าผมก็สนุกไปใหญ่ ก่อนจะก้มลงไปทำงานต่อ ระหว่างนั้นผมก็เงยหน้าขึ้นมามองตะแกรงสีดำที่เขาติดไว้หน้าโต๊ะทำงาน ส่วนใหญ่ก็จะมีโน้ตเรื่องงานหนีบอยู่เต็มไปหมด ภาษาไทยบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง แต่สิ่งที่สะดุดตาผมก็คือกระดาษกรีนรี้ดแผ่นหนึ่งซึ่งมีรายละเอียดเขียนเอาไว้มากกว่าแผ่นอื่น

ข้อมูลที่อยู่ในนั้นเป็นเรื่องของการดูแลลูกแมวทั้งหมด ทั้งพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย วัยไหนควรกินอะไร ไปจนถึงช่วงอายุที่ต้องจับไปฉีดวัคซีน

ผมยืนอ่านข้อมูลเหล่านั้นไปเงียบๆ ก่อนคนที่นั่งอยู่จะเงยหน้าขึ้นมามองจนผมต้องอธิบาย

“กำลังอ่านคู่มือเลี้ยงลูกแมวของคุณอยู่”

“อ๋อ...”

พอได้คำตอบเขาก็กลับไปทำงานของตัวเอง ส่วนผมที่ยืนอ่านกระดาษแผ่นนั้นจนจบนั้นถึงกับหลุดยิ้มออกมาเมื่อเจอพัฒนาการแมวในช่วงอายุสองเดือน ข้อความที่เขียนไว้คือ ‘ซนร้ายกาจ’

โคตรน่ารักเลย

หมายถึงแมวเหรอ...หึ! คนที่โน้ตเรื่องพวกนี้ไว้เหมือนกับว่ามันเป็นสิ่งสำคัญต่างหากล่ะ!

คุณไป๋ใส่ใจพวกเด็กๆ มากข้อนี้ผมรู้ดี มากถึงขนาดที่ว่าตอนนี้เขาขนของลงมานอนที่ห้องนั่งเล่นอย่างถาวรเรียบร้อยแล้ว บนโซฟาเลยมีทั้งหมอนหนุน ผ้าห่ม และตุ๊กตาสล็อธที่ได้มาเมื่อวันก่อนวางอยู่

ผมเข้าใจสถานการณ์ได้โดยที่ไม่ต้องให้เขามาอธิบาย อีกฝ่ายคงกังวลว่าถ้าขึ้นไปนอนบนห้องตามปกติ จะต้องลงมาเจอเหตุการณ์เหมือนเช้าวันนั้นอีกครั้ง

พอเห็นว่าเขาเริ่มกลับไปทำงานจริงจัง ผมเองก็ไม่อยากอยู่กวนสมาธิเลยพูดขึ้น

“ผมไปดูเด็กๆ ก่อนนะ”

“อือฮึ เสร็จย่อหน้านี้เดี๋ยวตามไป”

ผมแตะริมฝีปากลงไปบนเส้นผมของคนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะแยกตัวไป

พวกลูกแมวดูเหมือนยิ่งโตยิ่งแสบ ถ้าจะยกความดีความชอบในเรื่องนี้ให้กับใคร ก็คงต้องเป็นไอ้ตูม ที่เป็นหัวหน้าแก๊งพาลูกวิ่งเล่นอยู่ตลอด วันนี้มันก็ยังคงเดินโบกหางอยู่ในบ้านคนอื่น แถมยังกินอาหารสูตรบำรุงพิเศษสำหรับแม่แมวได้อย่างหน้าตาเฉย

ผมนั่งลงตรงหน้าลังที่ทำเอาไว้ เห็นพวกลูกแมวนอนหลับสบาย แถมยังตัวใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก็รู้สึกเลยว่าคิดถูกแล้วที่วันนั้นตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ลังใบใหญ่ ส่วนปราสาทที่ได้มาทั้งของผมและของเขา สุดท้ายก็โดนพับเก็บไว้ ไม่ได้เอาออกมาใช้งาน

ดูจากพัฒนาการและความซน คิดว่าไม่เกินสัปดาห์ถัดไป เจ้าเด็กพวกนี้ก็น่าจะปีนที่กั้นออกมาได้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทั้งแม่แมวและลูกๆ หลับกันไปหมด ยกเว้นเจ้าสามสีที่ตื่นมาเห็นหน้าผมแล้วก็ร้องแง้วใส่กันเสียงดังลั่น จนคนที่อยู่หน้าคอมฯ ยังพูดออกมา

“อย่าแกล้งเด็กสิคุณ”

“เด็กต่างหากล่ะขู่ผม โหดสุดๆ”

คำตอบคือเสียงหัวเราะ

ผมถ่ายรูปหลานส่งไปให้พวกลุงไอ้ตูมดูแบบที่ทำอยู่เป็นประจำ พวกเพื่อนๆ ตื่นเต้นมากแล้วก็กำลังพยายามหาวันนัดกันมาเล่นกับลูกแมวอีกครั้ง ถึงขนาดที่ว่าไอ้ข้าวยังอยากลางานแล้วลงจากเชียงใหม่มาเล่นกับแมวอะคิดดู

อีกอย่างที่ผมสังเกตได้เลยคือเป่าเป้ยตัวผอมลงนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าดูสุขภาพไม่ดี ช่วงวันหยุดจะเป็นวันที่ผมได้เห็นพฤติกรรมแม่แมวอย่างชัดเจน แล้วก็รู้สึกเห็นใจเป้ยเป็นที่สุด

บางทีคุณเธอเพิ่งได้ออกมาจากคอก กำลังกินอาหารกินน้ำยังไม่ทันอิ่ม แต่พอได้ยินเสียงลูกร้องก็ต้องหยุดทุกอย่างแล้ววิ่งกลับเข้าไปในคอกทันที

ผมก็เห็นอยู่นะว่าคุณไป๋เขาต้มไข่แดงมาคลุกกับอาหารเม็ดให้เป้ยกินเพื่อบำรุงอยู่บ่อยๆ แต่ทันทีที่แม่แมวกินไม่หมด ไอ้ตูมก็จะเดินเข้าไปช่วยรับผิดชอบส่วนที่เหลือทันที ตามประสาพ่อแมวคุณภาพ

ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ผมว่าตอนนี้มะตูมเริ่มเป็นแมวลงพุงแล้วด้วยซ้ำ

นั่งดูพวกเด็กๆ ไปได้สักพัก คนที่ทำงานอยู่ก็เดินมานั่งลงตรงหน้าผมทั้งที่ยังใส่แว่นอยู่ วันก่อนผมถามไปแล้วว่าเขาสายตาสั้นรึเปล่า และได้คำตอบมาว่ามันเป็นแค่แว่นกรองแสงเพื่อกันแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีผลให้ประสาทตาเสื่อมได้ อธิบายจบยังมีการแนะนำให้ผมไปตัดแว่นกรองแสงใส่บ้าง

ผมมองคุณไป๋ ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเขาจะดูเซ็กซี่เป็นพิเศษเวลาที่สวมแว่นตาอยู่แบบนี้ ส่วนสิ่งที่คนโดนมองนึกถึงอยู่ก็คือ

“ลูกแมวอึบ้างมั้ยคุณ”

ใช่ เขาถามถึงอึแมว

“ไม่เห็นนะ ทำไมเหรอ”

“วันนี้ให้กินอาหารไปวันแรกน่ะสิ กลัวระบบย่อยจะยังปรับตัวไม่ได้แล้วท้องอืด”

“อ้าว แล้วถ้าอืดต้องทำไงเนี่ย หาหมอมั้ย”

“ผมว่าถ้ายังไม่อึ พรุ่งนี้จะลองเอายาคูลท์ป้อนให้กินซะหน่อย”

ลูกแมวกินยาคูลท์?!

คนตรงหน้าเคยอธิบายให้ผมฟังไปแล้วครั้งหนึ่ง ว่าลูกแมวไม่สามารถกินนมวัวได้เพราะระบบย่อยอาหารอะไรสักอย่างนี่แหละ แต่ถ้าเป็นนมแพะก็สามารถกินได้ตามปกติ

แล้วใครจะไปนึกว่าลูกแมวจะต้องกินยาคูลท์ด้วย

“ยาคูลท์คนเนี่ยนะคุณ?”

“อือฮึ กระตุ้นระบบขับถ่ายไง”

พอเขาตอบแบบนั้น ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามย้ำ

“นี่ไม่ได้แกล้งใช่ปะ”

“ไม่แกล้ง จริงๆ”

“ยาคูลท์ก็มา...”

เพราะเสียงคุยของเราสองคนล่ะมั้ง เจ้าพวกตัวเล็กเลยทยอยตื่นกันขึ้นมาทีละตัวสองตัว จนตอนนี้คลานอยู่ในคอกกันเต็มไปหมด ดูท่าทางแล้วจะหนีแม่ออกมาเที่ยวได้เร็วๆ นี้อย่างที่ผมคิดไว้ จนต้องหันไปคุยกับคนข้างๆ

“ไว้วันเสาร์เราไปจตุจักร หาซื้อกรงให้ลูกแมวดีมั้ย”

แล้วปฏิกิริยาตอบกลับก็เป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็น

คุณไป๋นิ่วหน้าแล้วปฏิเสธกลับมาสั้นๆ

“ผมไม่ชอบไปจตุจักรเลยอะ”

“ร้อนใช่มั้ย”

“หึ ไม่ชอบเห็นสัตว์ที่ถูกขายอยู่ที่นั่นอะ มันน่าสงสาร”

แล้วนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เขาคิดอะไรในมุมที่ผมคิดไม่ถึง

เพราะอย่างนี้ล่ะมั้ง อีกฝ่ายเลยไม่แวะดูพวกสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะกระต่าย หนูแฮมสเตอร์ หรือแม้แต่หมาที่วางขายอยู่เต็มไปหมดตอนวันลอยกระทง

“ก็จริงของคุณ”

“อืม คือมันอาจจะดูไม่ค่อยเข้าใจโลก แล้วก็ไม่ยอมรับความเป็นจริงสักเท่าไหร่ แต่ผมเคยไปจตุจักรแล้วก็รู้สึกแย่มากตอนกลับมา”

“...”

“คือผมก็เข้าใจได้นะว่าพ่อค้าแม่ค้าเค้าก็ต้องทำมาหากิน ปัญหาคือผมที่รับไม่ได้เอง ก็เลยตัดสินใจไม่ไปซะเองไง”

“อือฮึ”

ผมรับคำ แล้วก็ได้ยินอีกคนพูดออกมาลอยๆ เหมือนบ่นกับตัวเอง

“เอาไงดีนะ”

ตอนนั้นเองที่ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“วันก่อนคุณขอนามบัตรร้านกรงแมวมานี่ ใช่มั้ย?”

“จริงด้วย”

คุณไป๋รับคำ ลุกขึ้นไปที่โต๊ะทำงาน แล้วกลับมาพร้อมกับนามบัตรในมือ ก่อนจะใช้มือถือเสิร์ชหาแฟนเพจของร้านที่ว่า ผมเองก็หันไปมองหน้าจอของเขา พอเห็นราคาแล้วก็พูดออกมาตามที่คิด

“โคตรแพงเลย”

“ลองหาร้านอื่นที่ถูกกว่านี้ดีมั้ย? หรือคุณว่าไง?”

สีหน้าคนพูดเห็นชัดเจนเลยว่าเขาไม่แน่ใจว่าผมจะเห็นด้วยรึเปล่ากับการสั่งกรงแมวแบบออนไลน์

อันที่จริงมันก็ขัดๆ อยู่นิดหน่อยนั่นแหละ เพราะเป็นการซื้อของชิ้นใหญ่แล้วก็ซื้อมาเพราะต้องการใช้งานจริงจังด้วย ผมรู้สึกว่าเราควรจะได้ตรวจเช็กมันก่อนว่าสภาพจริงเป็นยังไง แข็งแรงมั้ยอะไรประมาณนั้น และเท่าที่จำได้ โซนขายของสัตว์เลี้ยงของซูเปอร์มาร์เก็ตประจำของพวกเราก็ไม่มีกรงที่ขนาดใหญ่พอสำหรับลูกแมวสี่ตัว

“เอางี้ ผมขอหาข้อมูลแป๊บนึง”

“อันที่จริงมันมีแบบทำเองด้วยนะคุณ”

พูดจบเจ้าตัวก็ขยับเข้ามาใกล้ผม จนไหล่เราชนกัน แล้วพูดต่อ

"คุณลองเสิร์ชดู กรงแมวทำเอง อะไรประมาณนั้น"
ผมทำตาม แล้วภาพก็ขึ้นมาจริงๆ ว่าเราสามารถซื้อตะแกรงที่แม่ค้าใช้แขวนของขายทั่วไปมาประกอบกันเป็นกรงสำหรับสัตว์เลี้ยงได้ ผมกดเข้าไปดูรูป ใช้เวลาพิจารณาอยู่ไม่นานก่อนจะหันมาบอกคนข้างๆ

“ทำเองมั้ยคุณ มันไม่ยากเลยนะ ดูดี แล้วก็ประหยัดด้วย”

“ไม่ยากอีกละ”

“จริงๆ นะ อันนี้ไม่ต้องใช้ปืนกาวด้วยซ้ำ แค่เอาหนวดกุ้งมารัดมันก็อยู่แล้ว”

“หนวดกุ้ง?”

“ที่รัดสายไฟอะคุณ”

ดูจากสีหน้าคนพูดแล้ว คิดว่าอธิบายยังไงเขาก็น่าจะไม่เข้าใจจนต้องสรุปว่า

“วันเสาร์เราค่อยไปซื้อของกัน คุณจะได้เห็นว่าหนวดกุ้งที่ผมบอกมันหน้าตายังไง โอเค้?”

คนฟังยิ้มรับ พยักหน้าก่อนทำท่าจะลุกขึ้น

“งั้นผมไปทำงานต่อแล้ว คุณเล่นกับเด็กๆ ต่อไปเหอะ”

พูดจบเขาก็ลุกขึ้น เดินกลับไปยังมุมทำงาน ผมเองก็รู้สึกว่าต้องกลับบ้านแล้วเหมือนกัน เลยลุกขึ้นไปหิ้วไอ้ตูมขึ้นมา แล้วเดินไปหาคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เขาหันมามองตอนที่ผมเดินเข้าไปใกล้ แล้วส่งยิ้มให้ก่อนจะถามต่อ

“กลับแล้วเหรอ”

ผมพยักหน้ารับ ก้มลงไปจูบที่แก้มเขาเบาๆ

“ไปแล้ว พักผ่อนด้วยนะคุณ”

“เหมือนกัน ฝันดีล่วงหน้านะ”

เนี่ย...ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรไปมากกว่านี้



[มีต่อนะคะ]
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 07 - 010263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 08-02-2020 14:16:06
,

พอถึงวันเสาร์ผมก็ใช้เวลาในการหาข้อมูล ร่างแบบของกรงที่จะทำคร่าวๆ เพื่อคำนวณว่าควรจะซื้อตะแกรงเหล็กสักกี่อัน โดยมีอีกคนคอยช่วยคิดว่าควรจะจัดสรรพื้นที่ในกรงออกมาเป็นแบบไหน หลังจากมองผมวาดแบบของกรงอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้นมา

“คุณลากเส้นตรงมากเลยอะ”

“เรียนมาไง มันเป็นการฝึกกล้ามเนื้อ พอคุณหัดลากเส้นเยอะๆ กล้ามเนื้อมันจะจำได้นะ ว่าต้องขยับอย่างนี้เพื่อให้ได้เส้นตรง แล้วมันก็ลากออกมาเป็นแบบนี้ได้เองโดยธรรมชาติเลย”

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”

คนไม่เก่งงานฝีมือฟังสิ่งที่ผมพูดแล้วพยักหน้าตาม หลังจากนั้นพอแบบของกรงแมวเสร็จเรียบร้อยพร้อมรายการของที่ต้องซื้อ พวกเราก็พากันออกจากบ้าน โดยที่ผมเป็นคนขับรถของคุณไป๋

ซื้อของอยู่ในตลาดไม่นานก็กลับมานั่งอยู่ตรงนี้อีกครั้ง ที่เดิม มุมเดียวกับที่ทำห้องคลอดให้เป่าเป้ย สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นคือตอนแรกมีแค่มะตูมกับเป้ยเท่านั้นที่คอยมากวน แต่ตอนนี้มีพวกตัวเล็กเพิ่มมาคลานให้กำลังใจ แถมยังกระโดดตะครุบกันเองจนกลิ้งกันไปทั้งคู่อีกต่างหาก

หลังจากมองทุกอย่างอยู่สักพัก ผมก็หันไปบอกคนข้างๆ

“ต้องไปเอากรรไกรกับคีมก่อนคุณ เดี๋ยวผมมานะ”

ไม่ทันลุกขึ้น อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาคว้าแขนผมเอาไว้ แล้วพูดต่อ

“ไปด้วยสิ ไหนบอกจะพาทัวร์บ้านไง”

“โอเค”

ผมพยักหน้ารับ แล้วเราก็ช่วยกันจับพวกเด็กๆ ใส่กลับเข้าไปในคอก บอกมะตูมกับเป่าเป้ยให้เฝ้าลูกไว้ให้ดี ก่อนจะเดินออกจากบ้าน ระหว่างทางผมก็พูดไปด้วย

“บ้านน่ะไม่เท่าไหร่หรอกคุณ เพราะผมไม่ค่อยได้อยู่ แต่ห้องนอนนี่ดิไม่ให้ดูได้มั้ย”

“ทำไม ซ่อนอะไรไว้รึไง”

เขาถาม พลางใช้ดวงตาสีเข้มจ้องกัน พร้อมกับที่ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มนิดๆ และต่อให้ท่าทีโดยรวมดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอไปสบตาเขาเข้า ผมก็ต้องรีบปฏิเสธขึ้นมาทันที

“เปล่านะคุณ อาทิตย์นี้ผมงานเยอะอะ กลับมืดทุกวันคุณก็เห็น ห้องมันก็เลยรกไง”

“อ๋อ...”

“ปกติผมจะทำความสะอาดบ้านทุกวันเสาร์ แต่เสาร์นี้ก็ยังไม่ได้ทำเลย”

สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะ กับคำพูดสั้นๆ

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย”

บ้านที่ผมอยู่ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลยตั้งแต่วันที่พ่อแม่ผมซื้อมา จะมีบ้างก็คือซ่อมไปตามการใช้งานให้พอดูดีและไม่โทรม เช่นเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาที่เก่าจนเริ่มมีรอยรั่วหรือทาสีใหม่ แต่รวมๆ ทุกอย่างก็ยังอยู่ในสภาพเดิม

ประเด็นคือพ่อผมเป็นพวกชอบสะสมของเก่า อย่างพวกวิทยุ เครื่องเล่นแผ่นเสียง นาฬิกาโบราณ และสารพัดอย่างที่ซื้อมาวางไว้จนบ้านแทบจะกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ อย่างรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่ผมใช้อยู่ก็ใช่

ตอนพ่อแม่ย้ายออกไปก็เอาไปแค่บางส่วน พอทั้งบ้านมีแค่ผมกับพี่สาว เราก็เลือกบางอย่างที่เก่าจนใช้งานไม่ได้ทิ้งไปบ้าง ยกให้คนอื่นไปบ้าง เพื่อที่บ้านจะไม่รกเกินไป แล้วก็ตกแต่งใหม่ให้พอน่าอยู่

ความภูมิใจเล็กๆ ก็คือบ้านผมเคยถูกใช้เป็นโลเกชั่นในการถ่ายงานของรุ่นพี่ในคณะ ที่ตอนนี้ทำงานเป็นเบื้องหลังในวงการบันเทิง

ก็นะ ผมทำงานสายนี้ทั้งที จะอยู่บ้านรกๆ โทรมๆ ก็คงไม่ใช่

พอเราเข้ามาข้างในคุณไป๋เขาก็เดินไปหยุดอยู่ตรงตู้กระจกที่วางโชว์ถ้วยชามเก่าๆ ลายสวยๆ ถัดไปเป็นตู้เหล้าแล้วก็ตู้ไม้ ซึ่งมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบที่มีลำโพงวางอยู่

“อันนี้เจ๋งมากเลยอะคุณ”

ผมยิ้มรับแล้วอธิบายต่อ

“พ่อผมซื้อมาจากจตุจักร ยังใช้ได้อยู่เลยนะ”

“จริงดิ”

“อือฮึ มาเดี๋ยวเปิดให้ฟัง”

พูดจบผมก็เดินเข้าไปใกล้เขา เปิดตู้ที่ใส่แผ่นเสียงอยู่แล้วก็เลือกมาแผ่นหนึ่ง แบบที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือเพลงอะไร ก่อนจะเสียงปลั๊ก เปิดเครื่อง วางแผ่นเสียงลงไปตามด้วยขยับหัวเข็มมาแตะลงที่ร่องเสียง แล้วกดเล่นก่อนที่เพลงช้าๆ ฟังดูคลาสสิคและโบราณพอกันกับเครื่องจะดังขึ้นมา

ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายหันมามองหน้าผม สีหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดทั้งยังพูดว่า

“สุดยอดเลยคุณ! บ้านคุณเหมือนพิพิธภัณฑ์เลยอะ”

“ชอบขนาดนั้นเลย?”

“อื้ม! ทุกอย่างมันดูมีเรื่องราวแล้วก็ต้องใช้เวลา ไม่ใช่ว่าคุณนึกขึ้นมาว่าอยากจะมีบ้านแบบนี้ แล้วไปจ้างใครก็ได้มาทำให้แบบบ้านผมซะหน่อย”

“อ้าว บุลลี่บ้านใหม่ของตัวเอง แล้วก็อวยบ้านเก่าๆ ของผมซะงั้นอะนะ”

ได้ยินอย่างนั้นเจ้าตัวก็หันมาหัวเราะใส่กันแล้วก็เดินดูโน่นดูนี่ไปเรื่อย ส่วนผมก็ถือโอกาสนี้เดินขึ้นไปหยิบคีมตัดลวดกับกรรไกรอันใหญ่ที่ห้องทำงานชั้นบน

พอลงกลับมา อีกฝ่ายก็เดินมาหาแล้วชวนคุยต่อ

“รู้ปะ ผมประทับใจอะไรที่สุด”

“อะไร”

“ห้องน้ำกับถ้วยข้าวแมวคุณยังคุมโทนวินเทจเลยอะ”

ผมยิ้มรับ แล้วอธิบายต่อ

“ตาถึง ห้องน้ำไอ้ตูมมันไม่ใช่ห้องน้ำธรรมดานะคุณ คนออกแบบเป็นชาวฝรั่งเศส ได้แรงบันดาลใจมาจาก Igloo กระท่อมน้ำแข็งของชาวขั้วโลก ใช้เวลาออกแบบนานเก้าเดือน โครงสร้างดีไซน์ให้มีแสงในระดับที่ทำให้แมวรู้สึกสงบ และสามารถอึได้อย่างปลอดภัย สบายใจ และเป็นส่วนตัว แถมระบบถ่ายเทอากาศยังดีเยี่ยม”

ระหว่างที่ฟังผมพูด คุณไป๋ก็ทำหน้าตื่นเต้นไม่หยุด จนถึงประโยคปิดท้าย

“ราคาสี่พันบาท พี่สาวผมซื้อมาทำบ้าอะไรไม่รู้ ห้องน้ำแมวรูปโดมธรรมดา สี่พัน! ผมกับพี่แทบทะเลาะกันเลยตอนรู้ราคา”

แล้วสิ่งที่อีกฝ่ายทำคือการหัวเราะ ส่วนผมก็ยังพูดต่อไป

“มีวันนึง ผมกับเพื่อนไปเดินห้างแล้วเจองานสัตว์เลี้ยง มีร้านนึงเค้าขายห้องน้ำแบบอัตโนมัติอย่างของเป้ยด้วย พวกผมโคตรตื่นเต้นอะ แทบหุ้นตังค์กันซื้อตอนนั้น แต่คิดไปคิดมา ช่วงกลางวันผมก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านไง เกิดมันเป็นอะไรขึ้นมา ไฟช็อตไอ้ตูมไข่เกรียมไปอีก เลยไม่ได้ซื้อ”

“คุณอะ สงสารมะตูม! มันไม่ช็อตหรอกผมก็ใช้อยู่ไง”

พออีกฝ่ายขำ ผมก็ขำตาม

“นี่ไอ้ตูมนะคุณ เคยทำอะไรธรรมดาเหมือนแมวตัวอื่นซะที่ไหน”

“เค้าเรียกมีคาแร็กเตอร์หรอก”

ผมพยักหน้ารับเพลียๆ แล้วถามต่อ

“อยากสำรวจอะไรอีกมั้ยฮึ ชั้นบนเป็นห้องเก็บของใช้ของพ่อแม่กับพี่สาวผมที่ไม่รู้จะขนไปไว้ที่ไหนดี อีกห้องนึงผมทำเป็นคล้ายๆ สตูดิโอเอาไว้สุมหัวทำงานกับเพื่อนสมัยเรียน จนตอนนี้งานก็ยังกองอยู่เต็มไปหมด แล้วก็ห้องที่ตรงกับมุมทำงานของคุณที่ชั้นล่างเป็นห้องนอน”

ได้ยินอย่างนั้นเขาก็เงียบไปสักพัก เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่แล้วก็ตอบกลับมา

“ไม่เอาแหละ ไว้สำรวจวันอื่นบ้างดีกว่า”

“งั้นเราก็ไปทำกรงแมวกันเลยเนอะ”

พอเห็นคนฟังพยักหน้ารับ ผมก็ฝากของในมือไว้กับเขา เดินไปปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง เก็บทุกอย่างเข้าที่ให้เรียบร้อย แล้วก็เดินกลับไปยังบ้านหลังข้างๆ พอไปถึงหน้าคอกแมว สิ่งที่เห็นก็ทำเอาผมแทบหงายหลังลงไปนอนขำ

ตอนนี้แมวตัวที่อยู่ในลังไม่ใช่เป่าเป้ย แต่เป็นไอ้ตูมแถมยังนอนตะแคงเปิดพุงโดยมีลูกทั้งสี่ตัวรุมดูดนมไม่หยุด พอมองหาแม่แมวก็เห็นว่าเป่าเป้ยนอนหลับอยู่บนคอนโด คงจะเหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ

“โอ๊ย มะตูม!”

คุณไป๋พูดออกมาแค่นั้น ส่วนผมทำได้แค่หัวเราะอย่างเดียวก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ พอไอ้ตูมเห็นผมเอาโทรศัพท์ไปจ่อมันก็มองมา แล้วร้องเมี้ยวเบาๆ เหมือนขอความช่วยเหลือ

“คุณอย่าขำเยอะดิ สงสารมะตูม”

เขาหันมาห้ามผมทั้งที่ตัวเองก็ยังพูดไปพลางขำไปพลาง ก่อนจะยื่นมือเข้าไปช่วยกันเด็กๆ ออก แล้วอุ้มไอ้ตูมออกมา พอไม่มีนมให้ดูดพวกลูกแมวก็ร้องโวยวายทันทีจนเป่าเป้ยตื่น และต้องลงมาดูลูกอีกครั้ง พอเห็นสถานการณ์ตรงหน้าอีกฝ่ายก็หันมาบอกว่า

“ผมไปทำอาหารให้พวกแมวเด็กดีกว่า”

“ตามสบายเลยคุณ เดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการเอง”

เขาเดินเข้าไปในครัวสักพัก ก่อนจะกลับออกมากับอาหารเม็ดที่ลอยอยู่ในน้ำนม วางถ้วยลงเสร็จก็หันมาถามกัน

“ให้ช่วยอะไรมั้ย”

“อ้าว แล้วอาหารลูกแมวล่ะ”

“ต้องวางทิ้งไว้อย่างนี้จนกว่ามันจะนิ่ม ระหว่างนี้ก็ไม่มีอะไรทำ”

“งั้น...นั่งให้กำลังใจผมก็พอ”

ได้ยินอย่างนั้นเขาก็ทำหน้ายุ่งใส่ แล้วก็ปล่อยให้ผมประกอบตะแกรงเหล็กสีขาวที่ซื้อมา ใช้เวลาไม่นานก็ได้กรงเปล่าที่ขนาดใหญ่มากๆ

แต่ตามที่ร่างไว้ ผมตั้งใจจะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเอาไว้สำหรับวางห้องน้ำ อีกฝั่งสำหรับอาหารและน้ำ แล้วก็มีทางเดินขึ้นไปเป็นชั้นสองที่คิดว่าจะใส่พวกของเล่นเข้าไป

สักพักคุณไป๋ก็หันไปจัดการบดอาหารแมว ลุกไปหยิบถ้วยใบเล็กมาสี่ใบ แล้วอุ้มพวกเด็กๆ ออกมากินอาหาร ผมเลยต้องวางมือจากสิ่งที่ทำอยู่ แล้วก็ไปดูพวกลูกแมวตัวกลมกินกันกันอย่างเอร็ดอร่อย ระหว่างนั้นอีกคนก็หันมาอวดหลานชุดใหญ่

“ตอนผมหาข้อมูลมา เค้าบอกว่าถ้าลูกแมวไม่ยอมกินจะต้องเอาไซริงก์ป้อน แต่พวกตัวเล็กเก่งกันมากเลยนะ แค่ตักใส่ถ้วยให้ก็เดินมากินกันเองได้ทุกตัวเลย”

“เก่งหรือตะกละฮึ?”

“คุณนี่!”

เขาพูดออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นตีลงมาบนไหล่ผมทีหนึ่ง ก่อนจะกลับไปดูพวกแมวเด็กต่อ แล้วอยู่ๆ ไอ้ตูมมันก็เดินเข้ามาใกล้ ทำมาเป็นดมอาหารในถ้วยที่เจ้าส้มพี่ใหญ่กินอยู่ ก่อนที่คุณไป๋จะพูดขึ้นพร้อมกับดันมันออกไป

“ตูมรอก่อนเลยนะ เด็กๆ กินเสร็จแล้วค่อยกินต่อโอเคมั้ย”

นาทีนั้นเองที่เรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น ไอ้ดื้อตูมที่ทำมึนเก่ง ทำหูทวนลมไม่เข้าใจภาษามนุษย์เก่งที่สุด ก็นั่งรอตามที่คุณไป๋สั่งโดยไม่มีท่าทียึกยัก เหมือนจะเนียนเข้ามาแย่งอาหารลูกกินอีก

ไอ้แมวตอแหล!

พอเด็กๆ กินเสร็จ อาหารที่เหลือก็ตกเป็นของไอ้ตูมจริงๆ ส่วนเป่าเป้ยมีไข่แดงคลุกกับอาหารเปียกเป็นของตัวเอง กินเสร็จล้างจานเรียบร้อยคุณไป๋เขาก็กลับมานั่งใกล้ผมอีกครั้ง โดยที่ยังปล่อยให้พวกลูกแมวเล่นซนอยู่ข้างนอก ส่วนตัวเขากลับมีไอ้ตูมนอนตัวกลมอยู่บนตัก ไอ้เหลืองนี่มันอ้วนขึ้นจริงๆ นะ ผมไมได้ล้อเล่น

พอเขาเกาคางให้ไอ้ตัวแสบก็ทำเป็นหายใจครืดคราดๆ ไถหัวอ้อนไปมา และความอดทนของผมก็หมดลงตอนที่คุณไป๋อุ้มไอ้ตูมขึ้น แล้วจุ๊บจมูกมันไปทีหนึ่ง สิ่งที่ผมทำคือการยื่นมือไปฟาดลงบนหัวเหลืองๆ ของมัน ก่อนจะกลับมาประกอบกรงต่อ

“คุณก็! ชอบหาเรื่องแมว”

“ก็หน้ามันน่าหมั่นไส้อะ”

“เค้าบอกว่าปกติแล้วแมวกับเจ้าของก็จะเหมือนกันนั่นแหละ”

“เลยชอบมีคนบอกว่าไอ้ตูมเป็นแมวหล่อ”

“เฮ้อ...”

ผมหลุดขำกับเสียงถอนหายใจ ใช้เวลาอีกสักพักกรงลูกแมวก็เสร็จเรียบร้อย หันกลับมาอีกที คนที่ลุกไปไหนไม่รู้ก็กลับมาพร้อมกระบะทรายแมวอันเล็ก

“อันนี้น่าจะใส่ในกรงพอนะคุณ”

ผมรับกระบะทรายมา ลองใส่เข้าไปในช่องที่เตรียมไว้แล้วหันมาบอกคนที่รออยู่

“เป๊ะ!”

ระหว่างที่ผมกำลังตัดสายหนวดกุ้งที่ยาวออกมาทิ้งไปให้หมดเพื่อความเป็นระเบียบ อีกคนก็ลุกขึ้นเดินไปหลังบ้านอีกครั้ง และกลับมาพร้อมอุปกรณ์เลี้ยงแมวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเบาะ ของเล่น ตุ๊กตา ไปจนถึงที่ลับเล็บ

อย่าบอกว่าทั้งหมดนี่คือของที่เขาซื้อมาให้พวกแมวเด็ก?

ผมหันไปมอง แค่คิด ไม่ได้พูดอะไร แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มจนตาหยีแล้วพูดว่า

“คนเพิ่งเคยมีหลานอะคุณ เลยบ้าเห่อนิดนึง”

“ผมว่าไม่นิดแล้วมั้ง...”

“พวกของเล่นในห้องเก็บของยังมีอีกนะ บางอันผมก็ซื้อไว้ตั้งแต่ตอนเลี้ยงเป้ยใหม่ๆ แต่ยังไม่ได้เอามาใช้ นี่คือเลือกมาเฉพาะอันที่เหมาะอะ”

ผมส่งยิ้มให้เขา ส่ายหน้านิดๆ แล้วขยับตัวออกมา

“หน้าที่ตกแต่งยกให้คุณไปเลยก็แล้วกัน”

“มาช่วยกันสิ”

ใช้เวลาไม่นานกรงลูกแมวก็พร้อมใช้งาน คุณไป๋จัดการอุ้มไอ้ตูมใส่เข้าไปในกรงก่อนเป็นตัวแรก

“อะตูมตรวจงานให้หน่อย”

ไอ้นี่ก็รู้เรื่องเก่ง เข้าไปก็ทำเป็นปีนโน่นสำรวจนี่ ดมตามมุมโน้นมุมนี้ไม่หยุด สักพักเป่าเป้ยก็เดินมาดูด้วยความสนใจ จนโดนจับใส่เข้าไปในกรงอีกตัว ทั้งคู่เดินวนไปวนมาสำรวจกรงอยู่สักพัก แล้วก็จบลงด้วยการเข้าไปนอนซุกกันในปราสาทแมวที่ผมใส่เข้าไปเพื่อใช้เป็นห้องนอน เห็นแล้วโคตรเหม็นความรักแมวเลยให้ตาย!

สักพักผมก็หันไปถามคนข้างๆ ที่กำลังใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปแมวด้วยความตั้งใจ

“พวกเด็กๆ จะย้ายเข้ามาอยู่ในนี้เมื่อไหร่อะคุณ”

“คงเป็นตอนที่ซนจนปีนออกมาหนีเที่ยวเองได้ แล้วก็เข้าห้องน้ำเองเป็นด้วยอะ”

“นี่คือเดี๋ยวเราต้องสอนเข้าห้องน้ำอีกใช่มั้ยเนี่ย”

“ใช่แล้ว”

“มีอะไรใหม่ให้ได้ลองทุกสัปดาห์เลยเนอะ”

“อื้ม!”

พอเขาหันมาส่งยิ้มให้ ผมเองก็ยิ้มกลับไป

สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ก็คือ ความรู้สึกฟูนุ่มในใจผมมันขยายกว้างใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันผมก็รับมือกับมันได้มากขึ้น เป็นธรรมชาติมากขึ้น

ผมรู้สึกดีและมีความสุขง่ายมากเมื่ออยู่กับเขา และต้องการทำให้เขารู้สึกในแบบเดียวกัน



- to be continued -


talk .

เผื่อใครสงสัย หนังสือที่คุณไป๋พูดถึงคือ

How to Tell If Your Cat is Plotting to Kill You

โดย Matthew Inman นะคะ : )

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 08 - 080263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 08-02-2020 16:27:37
อิจฉากระทั่งแมวอ่ะคนเรา   :t3:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 08 - 080263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 08-02-2020 18:01:38
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 08 - 080263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 08-02-2020 21:47:08
เหม็นแมวทำไมมมมมม เดี๋ยวตัวเองก็มี อาจจะเห็นความรักกว่ามะตูมกับเป่าเป้ยก็ได้ 5555
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 08 - 080263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 08-02-2020 22:43:52
 :mew3:      :mew3:      :mew3:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 08 - 080263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 09-02-2020 03:46:40
เป่าเป้ยเลี้ยงลูกเก่งมาก
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 08 - 080263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 09-02-2020 07:38:53
น่ารักกันมาก ครอบครัวมากๆ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 08 - 080263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-02-2020 21:30:09
นี่ก็เป็นทาสแมว เคยเลี้ยงแมวเด็ก เลยนึกออกว่าบรรยากาศจะชุลมุนแค่ไหน
เป็นประสบการณ์ที่ดีและมีความสุขมาก
เห็นด้วยนะที่คนชอบอะไรเหมือนกันน่าจะไปด้วยกันได้ดีกว่า
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 08 - 080263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-02-2020 10:21:12
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 08 - 080263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: btoey ที่ 13-02-2020 10:01:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 08 - 080263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 16-02-2020 12:25:36
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect%20fall%2009.jpg)

- 09 -


บ่ายวันนี้ที่ออฟฟิศผมบรรยากาศเอื่อยเฉื่อยกว่าปกติ

เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมาทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำงานแก้งานกันจนดึก ได้ออกจากออฟฟิศกลับบ้านตอนห้าทุ่มเที่ยงคืนก็มี วันแรกก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอลากยาวมาตั้งแต่จันทร์ถึงพฤหัส วันศุกร์ก็จะหมดแรงกันแบบนี้แหละ

เวลาที่ผ่านไปได้ยากที่สุดสำหรับผมคือบ่ายสามถึงสี่โมงเย็น เพราะตาจะปิดซะให้ได้ ระหว่างที่กำลังหาวออกมา เสียงเจ้านายผมก็บ่นขึ้น

“แต่ก่อนนะ กูไม่นอนสองสามวันยังสบายๆ นี่แค่เลิกงานดึกติดกันไม่กี่วัน หมดสภาพได้ไงวะ”

พอพี่แกพูดจบ เสียงแฟนแกที่ใจดีซื้อสตาร์บัคส์มาเลี้ยงพวกผมทั้งออฟฟิศก็ดังขึ้น

“ก็เฮียแก่แล้วไง”

“มึงเด็กกว่ากูมากงั้นดิ”

และคำตอบคือเสียงหัวเราะคิกคักจากคนโดนถาม ส่วนเจ้านายผมก็ลุกขึ้นแล้วพูดต่อ

“เดี๋ยวพอห้าโมงห้าสิบพวกมึงปิดคอมฯ เก็บโต๊ะกันเลยนะ หกโมงปิดประตูล็อก กลับบ้านนอนให้หมด วันจันทร์ค่อยว่ากันใหม่”

ถ้าเป็นคนอื่นพูดผมอาจจะคิดอยู่บ้างหรอกว่าล้อเล่น แต่ถ้าคนนี้ เชื่อผมเหอะว่าพี่แกตั้งใจจะให้พวกผมทำอย่างนั้นจริงๆ

หลังจากยกกาแฟขึ้นมาดูดอีกรอบ การแจ้งเตือนจากไลน์ผมก็เด้งขึ้นมาที่มุมจอ สิ่งที่ถูกส่งมาคืออีโมจิร้องไห้หลายอันติดจากคุณไป๋ แวบแรกผมตกใจไปเลย ก่อนจะเห็นรูปที่ส่งตามมา

หนังเทียมสีเทาเข้มแบบนี้คงจะเป็นโซฟาที่บ้านเขา และโซฟานั่นก็โดนอะไรบางอย่างเจาะจนเป็นรูปเล็กๆ หลายรู สภาพเดาได้ทันทีว่าน่าจะโดนพวกแมวใช้เป็นเครื่องมือในการลับเล็บไปเรียบร้อยแล้ว

เห็นอย่างนั้นผมก็พิมพ์ข้อความกลับไป



‘ฝีมือใครน่ะ? ’



แล้วสิ่งที่ถูกส่งมาแทนคำตอบก็คือรูปแก๊งลูกแมวสี่ตัวที่โดนจับใส่กรงเรียบร้อย แถมทุกตัวยังมองกล้องด้วยแววตาอันสดใสแบบที่พร้อมจะเล่นซนตลอดเวลา เห็นแล้วรู้เลยว่าต้อง ‘ซนร้ายกาจ’ แบบในโน้ตที่คุณไป๋จดไว้หน้าโต๊ะ



‘เอาไงดี’

‘เลือกได้ยังว่าจะปล่อยวัดไหน’




ผมแกล้งถาม ทั้งที่ในใจรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางทำอย่างนั้น

ลองคิดเล่นๆ ถ้าคุณไป๋ตั้งใจจะเอาแมวไปปล่อยวัด ดีไม่ดีอาจจะทำไม่ลงแถมยังเก็บแมววัดกลับมาเลี้ยงเต็มบ้านซะด้วยซ้ำ ขนาดไอ้ตูมที่เดินไปเดินมาอยู่แถวบ้าน เขายังเกือบเอาเข้าบ้านไปเลี้ยงเป็นของตัวเอง



‘คุณอะ!’

‘กำลังหาซื้อที่กันแมวข่วนโซฟาจากในเน็ตอยู่’



ผมหลุดยิ้มเพราะคำตอบของเขา



‘ทาสแมวคุณภาพ’

‘อยู่แล้ว’

‘คุณเป็นไงบ้าง? ’

‘ง่วงจัดเลย’

‘เจ้านายบอกให้ปิดคอมตอน 5 โมง 50’

‘6 โมงทุกคนจะได้รีบกลับบ้านไปนอน’


‘555 ดีอะ’

‘งั้นผมไม่กวนละ’

‘ตั้งใจทำงานนะ’

‘โอเค เดี๋ยวเจอกัน’




“เฮ้ย น่ารัก! ”

เสียงที่ดังมาจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง ก่อนจะเห็นแฟนเจ้านายตัวเองยืนยิ้มแล้วมองภาพพวกลูกแมวที่ผมกดเปิดดู เห็นอย่างนั้นผมก็ตอบกลับไป

“ลูกมะตูมไงพี่”

“อ๋อ เฮียบอกพี่แล้วแหละ ว่าตูมไปทำผู้หญิงท้อง เด็กหน้ากลมขนแน่นมาก แสดงว่าตูมได้แฟนสวยอะดิ”

“ตัวนี้พี่”

ผมพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปเป่าเป้ยที่ถ่ายไว้ให้อีกฝ่ายดู คนมองนิ่งไปสักพักแล้วก็ร้องออกมาเสียงดัง

“อ้าว! แมวตัวนี้ก็แฟนน้องชุนไม่ใช่เหรอ”

เวรละ โป๊ะแตก! ผมเคยเอารูปเป่าเป้ยให้พี่แกดูแล้วบอกว่าคุยๆ กันอยู่นี่หว่า!

พอนึกขึ้นมาได้ผมก็ยิ้มเขินๆ แล้วพยักหน้ารับ ไม่ต้องเล่าอะไรอีกฝ่ายก็สรุปเอาเองเสร็จสรรพ

“แมวสื่อรักนี่เอง...”

ไม่ทันได้ตอบ ก็มีเสียงดังมาจากอีกมุมห้อง

“มึงก็อย่าไปเสือกเรื่องส่วนตัวน้องมันมากได้มั้ย”

ผมกลั้นขำแล้วก็มั่นใจเลยว่าพี่คนอื่นในออฟฟิศก็คงทำอย่างเดียวกัน ก่อนคนโดนว่าจะหันไปแยกเขี้ยวใส่แต่ก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำ หันมาคุยกับผมต่อ

“คนเป็นทาสแมวอะ ไม่มีใครนิสัยไม่ดีหรอก”

ระหว่างที่ผมกำลังงงว่านี่มันคือตรรกะแบบไหน อีกฝ่ายก็ก้มลงมาใกล้ๆ แล้วกระซิบต่อ

“พี่ก็จีบเฮียเพราะเฮียเป็นทาสแมวเหมือนกัน”

พูดจบเจ้าตัวก็ขำนิดๆ เดินไปที่ห้องเอกสารด้านหลังออฟฟิศ ปล่อยให้ผมมองตามแผ่นหลังที่ห่างออกไปแล้วดึงสายตากลับมายังเจ้านายที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะดราฟไฟ

คนบุคลิกนิ่งๆ จนเหมือนจะดุ ตัวสูง ไหล่กว้าง กล้ามแน่น มีบุหรี่ติดโต๊ะและชอบออกไปสูบเวลาเครียด คนนี้เนี่ยนะ? เวลาโดนจีบจะเป็นยังไงวะ

พอนึกถึงอีกคนที่เดินหายเข้าไปในห้องเอกสารยิ่งแล้วใหญ่

กล้าเข้าไปจีบได้ไงวะเนี่ย

สถานการณ์ในออฟฟิศเป็นอย่างที่บอกไว้จริงๆ พอห้าโมงห้าสิบนาทีทุกคนก็โดนสั่งให้เคลียร์สิ่งที่ทำอยู่เพื่อปิดคอมฯ เก็บของให้เรียบร้อย แล้วก็นั่งรอเวลากลับบ้านตอนหกโมงตรง ระหว่างนั้นจะเล่นมือถือ จะทำอะไรก็ตามสบาย จนแฟนเจ้านายผมต้องทักขึ้นมา

“แล้วทำไมเฮียไม่ให้น้องกลับบ้านไปตั้งแต่ตอนนี้เลยอะ รอหกโมงเพื่อ?”

“ไม่ได้เว้ย มันเป็นกฎบริษัท”

“น้องๆ ลำบากแล้ว เจอเจ้านายแบบเนี้ย”

“เรื่องมากมึงก็กลับไปก่อนเลยไป”

“ไม่กลับหรอก ไม่ได้เอารถมา”

ผมนั่งฟังเจ้านายกับแฟนต่อปากต่อคำกันจนถึงเวลาเลิกงาน ก่อนจะขับรถกลับบ้าน รถน่ะจอดที่บ้าน แต่ตัวผมนี่ขอเดินไปดูโซฟาบ้านคุณไป๋เขาก่อน โดนจิ้มไปกี่รูก็ไม่รู้

สรุปว่าความเสียหายอยู่ที่สามรูใหญ่กับรอยเล็กๆ อีกเกือบสิบ ซึ่งตอนนี้คุณไป๋เขาเอาเสาคอนโดแมวอันเล็กมาวางเอาไว้ตรงนั้น ตามวิธีที่หามาในอินเตอร์เน็ต แล้วยังจัดการสั่งที่กันแมวข่วนโซฟามาเรียบร้อบ เหลือแค่รอให้ของจัดส่งมาถึง

ตอนได้ยินว่ามีที่กันแมวข่วน ผมก็สงสัยอยู่หรอกว่าอะไรมันจะกันแมวข่วนโซฟาได้ เพราะตัวในห้องนอนผมก็เละเทะจากฝีมือไอ้ตูม จนต้องเอาผ้ามาคลุมไว้เหมือนกัน พออีกฝ่ายเปิดให้ดูว่าหน้าตามันเป็นยังไงก็เข้าใจได้ทันที

อันที่จริงมันไม่ใช่ที่กันแมวข่วนโซฟาหรอก มันน่าจะต้องเรียกว่า ผ้าคลุมโซฟาที่เอาไว้ให้แมวข่วนโดยเฉพาะมากกว่า เพราะของที่ว่ามันหน้าตาเหมือนเสื่อ พื้นผิวขรุขระชนิดที่ว่าลับเล็บได้ดีเยี่ยม วิธีการใช้งานคือเอาเสื่ออันนั้นมาพาดไว้ที่โซฟาตรงจุดที่แมวชอบข่วน สุดท้ายแมวก็จะมาข่วนไอ้เสื่อนี่ โดยที่เล็บไม่ไปโดนหนังของโซฟาจนเสียหาย แค่นั้นเอง

หายคาใจเรื่องแมวผมก็กินข้าวที่เจ้าของบ้านเขาสั่งมารอไว้อยู่แล้ว จัดการมื้อเย็นเรียบร้อยก็เผลอหลับไปบนโซฟาบ้านเขานั่นแหละ

ตื่นนอนอีกครั้งผมก็เจอคุณไป๋นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโซฟา โดยมีอะไรบางอย่างรูปทรงเหมือนแว่นกันแดดแต่เป็นถุงเจลสีฟ้าใสปิดอยู่บนดวงตา

ทำอะไรของเขาน่ะ

พอรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว อีกฝ่ายก็เอาแผ่นเจลนั้นออกแล้วหันมาหากัน

“ตื่นแล้วเหรอ”

“อืม คุณทำอะไรอะ”

“ประคบตา ใช้คอมฯ ทั้งวันแล้วตาล้าอะ ปวดกระบอกตานิดๆ ด้วยเลยขอพักหน่อย”

“อ๋อ...”

ผมตอบแล้วขยับเข้าใกล้เขามากขึ้น พอเห็นอีกฝ่ายนั่งแหงนหน้าหลับตานิ่งสนิทแล้วก็นึกอยากแกล้งขึ้นมา ดัวยการก้มลงไปจูบบนริมฝีปากคู่นั้นเบาๆ

ทำไปแล้วก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแบบนี้จะเรียกว่าแกล้งได้มั้ย แต่อีกฝ่ายก็โวยวายขึ้นมาทันทีทั้งที่ยังปิดตาอยู่ ไม่เอาแผ่นเจลออก เขายื่นมือมาทางนี้เพื่อกันผมเอาไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้ ซึ่งแน่นอนว่าทำอะไรไม่ได้ เพราะผมกำลังจับมือเขาไว้แล้วก้มลงไปจูบเบาๆ อีกครั้ง

คราวนี้เจ้าตัวยอมถอดที่ปิดตาออก หันมาหากัน ทำหน้ามุ่ยใส่แล้วพูดต่อ

“แกล้งกันอะ! ”

ผมหัวเราะรับ ไม่ทันได้พูดต่อเสียงการเคลื่อนไหวก็ดังมาจากคอนโดแมว ก่อนที่ผมจะเห็นแก๊งลูกแมวสี่ตัววิ่งไล่กวดกันมาจากตรงนั้น โดยมีไอ้ตูมเป็นหัวหน้า สักพักเจ้าตัวขาวแซมเทาก็พุ่งเข้ามางับขาไอ้ตูมจนล้ม ก่อนพี่ๆ น้องๆ จะกระโจนมาร่วมวงจนอุตลุดไปหมด

ผมทำได้แค่มองภาพตรงหน้านิ่งๆ แล้วถามออกมา

“คุณปล่อยพวกเด็กๆ ออกมาเหรอ”

“อือฮึ”

คุณไป๋ตอบพร้อมกลับไปประคบตาต่อ เห็นอย่างนั้นผมก็ตัดสินใจไม่กวนเขา ยกมือขึ้นจับแก้มอีกฝ่ายเบาๆ แล้วพูดต่อ

“คนไม่ยอมเล่นด้วยเลย ไปเล่นกับแมวดีกว่า”

และคำตอบคือรอยยิ้ม พูดจบผมลุกขึ้นไปหยิบไม้ตกแมวมาเล่นกับพวกเด็กๆ ซึ่งขอบอกเลยว่าโคตรมันส์ พวกลูกแมวกระโดดเฟี้ยวหมุนตัวกลางอากาศเพื่อไล่จับหนูปลอมกับขนนกที่อยู่ปลายเชือก พอกระโดดชนกันก็เปลี่ยนจากจับหนูไปสู้กันเอง วิ่งไล่งับกัน กระโดดขึ้นคอนโดแมว แล้วก็กลับมาไล่จับหนูอีกครั้ง

ผมเล่นกับพวกเด็กๆ ไปพลาง ขำไปพลาง ถ่ายคลิปวีดีโอส่งไปให้เพื่อนดู จนในที่สุดคนที่หมดแรงก่อนก็คือผมเอง

เวลาผ่านไปสักพักอีกฝ่ายก็เลิกประคบตา เดินตรงเข้าไปในครัวไม่นานแล้วก็ออกกลับมานั่งลงข้างกัน

เรานั่งกันตรงนี้บ่อยมากจนผมนึกอยากซื้อเก้าอี้บีนแบ็กมาวางไว้สักตัวสองตัว แต่คิดว่าใช้ได้ไม่เท่าไหร่ก็คงโดนพวกครอบครัวตัวแสบนี่ใช้เป็นที่ลับเล็บไปซะก่อน

” เป็นไงบ้างคุณ รู้สึกดีขึ้นมั้ย”

คนฟังตอบรับด้วยการพยักหน้า หยิบไม้ตกแมวมาเล่นกับพวกเด็กๆ อีกครั้ง ก่อนจะหันมาหาผม ทำตาโตขึ้นนิดหน่อยแล้วพูดต่อ

“นึกออกละ ผมมีเรื่องจะถาม”

“ว่า?”

“มะตูมเคยอาบน้ำมั้ยคุณ”

“อาบน้ำ?”

ผมทวนคำถาม ใช้ความคิดแล้วก็พบว่า มีเรื่องน่าอายให้ได้เล่าอีกแล้วสินะ

“เคยอยู่สักสองครั้งได้”

“อือฮึ”

“ครั้งแรกก็คือวันแรกที่ผมตัดสินใจว่าจะเลี้ยงมันเอาไว้ อีกครั้งก็ตอนมันท้องเสีย อ่อนเพลียมาก แล้วก็ย่ำลงไปบนอึของตัวเอง”

คุณไป๋ทำหน้าเหวอ ส่วนผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องหนึ่งที่ผมกับไอ้ตูมเหมือนกันมาก นั่นก็คือทั้งมันและผมมักจะทำให้ตัวผมเองขายหน้าเป็นที่สุด

พอผมไม่เล่าอะไรต่อ คุณไป๋ก็เริ่มอธิบาย

“คืออย่างงี้ ปกติอะ ผมจะพาเป้ยไปทำกรูมมิ่งที่ร้านอย่างน้อยก็เดือนละครั้งแหละ”

“กรูมมิ่ง?”

“อื้ม มันเป็นการนวดผ่อนคลาย อาบน้ำ เล็มขน ตัดเล็บ เช็ดหู ทำความสะอาดทั่วตัวอะไรประมาณนั้น ถ้าเป็นคนก็ทำสปานี่แหละ”

“แล้ว...คุณจะเอาไอ้ตูมไปทำด้วยเหรอ”

“ก็ว่าจะอะนะ ปกติผมจะเอาเป้ยไปทำที่ร้านเลย แต่ว่าพอมีลูกก็ไม่ได้เอาไปเพราะไม่อยากให้ห่างลูกด้วย คราวนี้ในเพจเฟซบุ๊กของร้านที่ผมพาเป้ยไปทำอยู่ประจำอะ เค้าเพิ่งเพิ่มบริการทำกรูมมิ่งถึงบ้าน ผมก็เลยอยากลองดู เดือนสองเดือนนี้เป้ยก็โทรมมากเพราะเลี้ยงลูกด้วย อยากให้เสริมสวยบ้าง”

เสริมสวย? ความรู้ใหม่เรื่องวิถีชีวิตแมวไฮโซมาอีกแล้ว

“ก็ฟังดูดีนะคุณ”

“ใช่ ผมโทรจองไปเรียบร้อยแล้ว ได้คิววันจันทร์ตอนสายๆ”

“จองแล้ว? ! ”

เดี๋ยว นี่นึกว่าจะมาปรึกษาเฉยๆ ว่าจะทำดีมั้ย แต่สรุปคือคุณเขาจองไปแล้ว?

“อือฮึ จองเสร็จเค้าก็ติดต่อมาขอข้อมูลแมวว่าเคยทำกรูมมิ่งมาก่อนมั้ย เคยอาบน้ำมั้ย เวลาอาบอาการเป็นยังไง อาบได้หรือมีอาละวาด กัด ข่วน อะไรทำนองนั้น ผมก็ให้ข้อมูลส่วนของเป้ยไป แต่มะตูมนี่สิ ผมไม่รู้เลยบอกเค้าว่าจะโทรไปให้ข้อมูลวันหลัง ก็ต้องมาถามคุณเนี่ย”

ผมพยักหน้า ก็รู้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าเลี้ยงแมวอย่างดี ดีมากๆ แต่ก็ยังมีเรื่องให้ผมได้ตื่นเต้นอยู่เรื่อยๆ จนได้ ผมต้องทำไงนะ ให้ข้อมูลพฤติกรรมการอาบน้ำของไอ้ตูมใช่มั้ย

“ตอนผมอาบน้ำไอ้ตูม มันก็ดูไม่ค่อยชอบนะคุณ พยายามหนีแต่หนีไม่ได้หรอก เพราะผมจับไว้ มันสู้แรงผมไม่ได้อะ”

คนฟังยิ้มรับแห้งๆ แล้วถามต่อ

“มีอาละวาด กัด มีข่วนอะไรประมาณนี้มั้ย”

“ไม่นะ ส่วนใหญ่ก็ร้องหง่าวดังๆ ไปเรื่อยๆ จนอาบเสร็จนั่นแหละ”

“อะฮะ แล้วมะตูมกลัวไดร์เป่าผมปะ”

“ไม่รู้ดิคุณ บ้านผมไม่มีไดร์”

“อ้าว แล้วตอนอาบน้ำแมว คุณทำไงอะ”

“ก็...ปล่อยให้มันแห้งเอง”

“สุดยอดไปเลย ดีนะตูมไม่เป็นเชื้อรา”

“ขนมันสั้นนิดเดียวเองคุณ ตากแดดแป๊บๆ ก็แห้งแล้ว”

ผมพูดยิ้มๆ แต่คนฟังกลับทำหน้าอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วรับคำ

“โอเคๆ”

“คุณจะเอามันไปกรูมมิ่งอะไรนั่นจริงดิ”

ผมถามออกมาพลางมองไอ้แมวส้มที่กำลังวิ่งไล่ฟัดกับเด็กอย่างไม่รู้จักเบื่อ พร้อมกับได้ยินคำตอบ

“อือฮึ มะตูมจะได้หล่อไง”

“สงสารคนอาบน้ำแย่ ต้องมาขัดสีฉวีวรรณแมวส้มสีหม่นปนสกปรกอย่างไอ้ตูม”

พูดจบคนข้างๆ ก็ยกมือขึ้นมาตีไหล่กันเต็มแรง แล้วพูดต่อ

“รอดูได้เลย วันจันทร์จะกลายเป็นคุณชายมะตูมให้อึ้งไปเลย”

- - -



วันเสาร์ที่ผ่านมาผมมีนัดกับพวกเพื่อนๆ ก็ไปกินข้าวดูหนัง กินเหล้าต่อตอนกลางคืนกันตามปกติ ส่วนวันอาทิตย์ผมพาคุณไป๋ไปเลี้ยงข้าวเพราะเจ้าตัวไม่ยอมให้ผมจ่ายค่ากรูมมิ่งไอ้ตูม แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนพักผ่อนชาร์จแบตเตรียมไปทำงานต่อวันจันทร์

แล้วในช่วงสายของวันจันทร์ ระหว่างที่กำลังประชุมงานกันอยู่ โทรศัพท์ผมก็สั่นแจ้งเตือน พอกดเข้าไปดูก็เจอรูปถ่ายถูกส่งมาจากคุณไป๋

บริการกรูมมิ่งถึงบ้านอะไรนี่ดูยิ่งใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก เพราะตอนนี้ที่บ้านเขามีรถบรรทุกสี่ล้อขนาดเล็กถอยท้ายเข้ามาจอด และจากรูปที่ส่งมา บริเวณด้านหลังของรถคันที่ว่าถูกดัดแปลงให้เป็นพื้นที่สำหรับอาบน้ำดูแลสัตว์

บริการกรูมมิ่งอะไรนั่นทำให้ผมอึ้งไปทีหนึ่งแล้ว ไอ้รถกรูมมิ่งครบวงจรอะไรนี่ทำให้ผมอึ้งยิ่งกว่า และที่อึ้งที่สุดก็คือมุมหนึ่งของรูป ซึ่งตอนนี้มีไอ้ตูมกลับตาพริ้มเพราะมีเจ้าหน้าที่กำลังนวดขมับให้มันอยู่

ชีวิตดีกว่าคนอีกโว้ย!



‘เกินไปแล้ว พ่อมันนั่งหน้าดำอยู่ห้องประชุมเนี่ย’

‘555 สู้ๆ นะคุณ’




มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 08 - 080263] [PAGE 2]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 16-02-2020 12:30:18
,


พอหมดช่วงงานยุ่งไป ตารางผมก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ออกจากออฟฟิศช่วงหกโมงกว่าและไปถึงบ้านประมาณทุ่มหนึ่ง

ส่วนใหญ่ชีวิตก็จะวนลูปอยู่อย่างนี้ งานยุ่ง พอมีเวลาบ้าง แล้วก็กลับไปยุ่งอีกครั้ง

สิ่งที่แปลกไปในวันนี้ก็คือบ้านข้างๆ ที่มักจะเปิดไฟอยู่เสมอเวลาผมมาถึงกลับมืดสนิท

เมื่อวานอีกฝ่ายบอกกันเอาไว้แล้ว ว่าเขามีนัดกินข้าวเย็นกับครอบครัวแบบที่มักจะไปอยู่เป็นประจำ แล้วก็น่าจะกลับดึกๆ หรือไม่ก็คงนอนที่บ้านใหญ่อีก ถ้าดื่มแอลกอฮอล์มา

อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรผิดปกติหรอก แต่เป็นผมเองที่เหงาขึ้นมานิดหน่อย ตอนเห็นว่าบ้านหลังนั้นไม่มีใครอยู่ ปกติถ้ากลับบ้านมาแล้วไม่มีอะไรทำ ผมก็มักจะไปอยู่บ้านเขา คุยเล่นกับเจ้าของบ้านบ้าง เล่นกับพวกแมวเด็กบ้าง รู้อีกทีก็สามสี่ทุ่มไปแล้ว

พอนึกย้อนไปตอนที่ยังไม่รู้จักกัน ผมทำอะไรบ้างนะหลังเลิกงาน?

ถ้าไม่ไปไหนก็ขึ้นห้องเปิดแอร์ อาบน้ำแล้วก็หลับไป รอเวลาที่จะตื่นขึ้นมาทำงานอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ถามว่าตอนนั้นผมมีความรู้สึกเหงาแบบตอนนี้มั้ย คำตอบคือไม่ แต่กลับรู้สึกว่ากำลังใช้ชีวิตเหมือนเป็นเครื่องจักร ต้องทำอะไรซ้ำๆ ทุกวันไปเรื่อยๆ

เทียบกันแล้ว ความรู้สึกในตอนนี้อาจจะดีกว่า ถึงแม้จะเหงาไปอีกแบบ แต่ก็ยังมีอะไรแปลกใหม่รอให้ผมไปเจออยู่เสมอ

หลังจากจอดรถเข้าที่ ไขกุญแจเปิดประตูบ้านเรียบร้อย ภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ทำให้ผมตกใจไปนิดหน่อย

สิ่งมีชีวิตที่นั่งอยู่กลางบ้านผมคือไอ้ตูมแน่นอนแหละ ไอ้ตูมแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าไอ้ที่อยู่ตรงคอมันนี่สิ...สิ่งที่เคยเป็นปลอกคอปอมๆ ลูกกลมๆ สีสันสดใส วันนี้มันกลายเป็นปกสีขาวและโบว์สีดำ รวมกันแล้วปกทักซิโด้ที่ดูผู้ดีสุดๆ ...หมายถึงปลอกคอนะ ไม่ใช่ไอ้ตูม

ผมเดินเข้าไปใกล้ อุ้มมันขึ้นมาแล้วก็ต้องยอมรับเลยว่าวันนี้ไอ้ตูมขนนุ่มมาก แถมตัวยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ แบบกำลังดี จมูกซึ่งมักจะเลอะเทอะเป็นคราบสีดำอยู่เสมอ วันนี้ก็สะอาดเป็นสีชมพู ขี้หูก็ไม่มีสักนิด

นี่แมวผมจริงปะวะ หรือใครมาสลับตัวเอาไอ้ตูมไป

คำถามคือใครจะเอา

ระหว่างที่ผมกำลังเกาคางให้เบาๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

“มึงคือไอ้ตูมจริงปะเนี่ย”

“เมี้ยว...”

ผมหัวเราะรับเสียงร้องที่ตอบกลับมาแล้วพูดต่อ

“มึงมันไม่ใช่ไอ้ตูมแล้ว คุณชายมะตูมชัดๆ”

สิ่งต่อมาที่ผมทำคือถ่ายรูปส่งไปให้คนที่ไม่อยู่บ้าน พร้อมข้อความ



‘คุณไปเอาแมวใครมาทิ้งไว้ที่บ้านผมเนี่ย’

‘หล่อล่ะสิ’

‘หล่อจนคิดว่าแมวคนอื่น’

‘555’

‘คุณอยู่ไหนอะ’

‘พอกลับมาแล้วบ้านคุณปิดไฟ ผมเหงาเลยรู้ปะ’


‘เกินไปมั้ง!’

‘เพิ่งออกจากร้าน กำลังจะกลับ’




เห็นอย่างนั้นผมก็เปลี่ยนจากการพิมพ์ข้อความไปเป็นการโทรออก ก่อนที่อีกฝ่ายจะรับสายทันที

[ฮัลโหล เหงาขนาดนั้นเลย? ]

“แน่นอน ขับรถอยู่เหรอ”

[กำลังจะขับ ขึ้นรถปุ๊บคุณก็โทรมาเลยเนี่ย]

“โอเค เป็นห่วงคุณหรอก ดื่มมารึเปล่า”

ก็ผมจำได้ว่าครั้งก่อนเขาดื่มมาเลยไม่ได้กลับบ้าน ครั้งนี้เลยแอบกังวลขึ้นมาว่าถ้าเขาฝืนขับรถเพราะผมดันไปบอกเขาว่าเหงา มันก็คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

[วันนี้ไม่ได้ดื่ม กินอาหารจีน แม่ผมอยากกินโอวนี้แป๊ะก๊วยอะ]

‘โอวนี้แปะก๊วย’ คืออะไรวะ

“มันคืออะไรอะคุณ”

[ขนมหวานไง เป็นเผือกกวน ข้าวเหนียวแบบข้าวเหนียวมะม่วง ราดน้ำหวาน ใส่แปะก๊วย พุทราเชื่อม แล้วก็กินรวมกัน]

“เหมือนจะเข้าใจ แต่ผมก็ไม่น่าจะเคยกินมั้ง”

[ขนมที่เค้าจะยกมาเสิร์ฟเป็นขนมหวานเวลาไปงานแต่งงานแบบโต๊ะจีนไง]

“ทำไมผมได้กินแต่เงาะกระป๋องอะ”

สิ่งที่ตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะ แล้วคำอธิบายก็ตามมาอีก

[มันเป็นขนมมงคลนะคุณ กินแล้วจะลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง]

“แสดงไอ้ตูมมันต้องแอบไปกินที่ไหนมาแน่ๆ”

[ว่าไปเรื่อยอะ...]

“คุณกำลังกลับแล้วใช่มั้ย”

[อือฮึ แต่รถติดอยู่นะ น่าจะอีกนานแหละกว่าจะถึงบ้าน]

“ผมรอแล้วกัน”

[โอเค ถึงแล้วเดี๋ยวไปหา]

“อืม ขับรถดีๆ ล่ะ”

[ดีอยู่แล้ว วางละนะ]

“โอเค”

ผมรับคำ ก่อนจะได้ยินเสียงสัญญานว่าอีกฝ่ายกดวางสายไปแล้ว

พอมีเวลาเหลือผมจึงเริ่มจากเก็บเสื้อผ้าที่ซักแล้วมาใส่ตะกร้า แยกเป็นชุดทำงานกับชุดอยู่บ้าน แล้วเอาตะกร้าชุดทำงานใส่รถเพื่อแวะส่งให้ร้านรีดผ้าในวันพรุ่งนี้ ส่วนชุดอยู่บ้านใส่ตะกร้าไว้ทั้งอย่างนั้นแหละ จะใส่ก็ค่อยคุ้ยหาเอาไม่ยุ่งยาก

เสร็จจากเรื่องเสื้อผ้าก็จัดการปัดฝุ่นชั้นวางของไปเรื่อยๆ บ้านแบบนี้ถึงจะดูอบอุ่นและมีบรรยากาศแบบครอบครัวอย่างที่คุณไป๋ว่า แต่ถ้าเผลอปล่อยให้ฝุ่นจับหรือสกปรกขึ้นมาล่ะก็ จากบ้านก็จะกลายเป็นโกดังรกๆ ไปในทันที ทำทุกอย่างเสร็จถึงได้ไปอาบน้ำ ลงมานั่งพิมพ์ข้อความคุยเล่นอยู่กับพวกลุงไอ้ตูม แล้วก็เผลอหลับไปได้ไงไม่รู้

รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงเรียกอยู่ใกล้ๆ พอลืมตาตื่นผมก็เห็นคุณไป๋นั่งจ้องหน้ากันอยู่แล้ว ทันทีที่เราสบตากัน เขาก็อมยิ้ม ใบหน้ากับแววตาที่มองมาทำเอาผมตั้งตัวไม่ทัน ต้องหันหน้าหนี หลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่แล้วถามต่อ

“กี่โมงแล้วเนี่ย”

“สี่ทุ่มกว่าแล้ว”

ตั้งตัวได้ถึงค่อยหันกลับไปเจอกับแววตาสีเข้มเป็นประกายของเขา และคำถาม

“ไหนว่ามาซิ เหงาอะไรนักหนาฮึ”

ผมลุกขึ้นเหยียดแขนบิดขี้เกียจ แล้วตบมือลงบนเบาะข้างตัวเพื่อให้เขามานั่งด้วยกัน ตอนนั้นเองที่เพิ่งเห็นเป่าเป้ยซึ่งใส่สายจูงเอาไว้ แถมยังมีปลอกคอเป็นระบายติดโบว์แบบเข้ากันกับไอ้ตูม

ผมยื่นมือไปเกาแก้มเป้ยพร้อมกับตอบคำถาม

“ก็ปกติผมกลับมาแล้วต้องเจอคุณนี่ เวลาเบื่อๆ เหงาๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็ไปอยู่บ้านคุณ พอวันนี้มองไปบ้านคุณปิดไฟมืดสนิทเลย จะไม่เหงาได้ไง”

คนฟังนิ่วหน้าเหมือนจะไม่เชื่อกัน ส่วนผมก้มลงไปอุ้มเป่าเป้ยขึ้นมา พอลูบมือไปตามตัวก็พบว่าแม่แมวเองก็ขนนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เนื้อตัวสะอาดเข้าไปใหญ่ จากเดิมที่ก็เป็นแมวสะอาดอยู่แล้ว

...นี่สินะพลังของการกรูมมิ่ง

พอสะดุดตาเข้ากับปลอกคอ ผมก็ถามต่อ

“นี่คุณซื้อให้ตูมกับเป้ยเหรอ”

“เปล่า อันนึงเป็นของแถมเพราะเค้าเพิ่งเปิดกิจการ ส่วนอีกอันได้มาตอนซื้อคอร์สอะ”

“มีคอร์สด้วย”

“ใช่ ตอนแรกผมจองไว้แบบครั้งเดียว แต่ดูแล้วพนักงานเค้าโอเคเลยนะ ดูมีประสบการณ์แล้วก็รับมือกับแมวได้จริงๆ ผมเลยซื้อไว้แบบสิบครั้งแถมฟรีสองครั้ง เผื่อลูกแมวโตเราก็ใช้บริการไปด้วยกัน เลยได้ปลอกคอมาด้วย”

ผมฟังเขาพูดแล้วพยักหน้ารับ ทั้งที่ในใจก็แอบมีคำถามอยู่หน่อยๆ ว่าไอ้การกรูมมิ่งอะไรนี่มันจำเป็นสำหรับแมวขนาดนั้นจริงรึเปล่า แต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะอินมาก ส่วนผมก็ไม่อยากขัดใจเขา

พอหันไปเห็นไอ้ตูมที่ตอนนี้เดินมาดมแก้มเป่าเป้ยแล้วเลียเข้าให้ ก็อดไม่ได้ที่จะแซว

“เนี่ย อย่างที่เค้าพูดกันเลย ว่าผู้ชายอะถ้าได้เมียดีชีวิตก็สบายไปแล้วเกือบครึ่ง ตกถังข้าวสารแล้วไอ้ตูม”

“...”

“ไม่สิ ตกถังรอยัลคานินดีกว่า”

“ไอ้เค้าพูดๆ กันนี่ ใครพูดกันฮึ”

“ไม่รู้สิ”

ผมหลุดขำ ยิ่งเห็นสีหน้าเหนื่อยใจของคนฟังก็ยิ่งขำ ก่อนจะถามต่อ

“เอ้อ ตอนอาบน้ำ ไอ้ตูมเป็นไงบ้างคุณ”

“มีร้องบ้าง หง่าวๆ เหมือนที่คุณบอกนั่นแหละ แต่ก็ไม่อาละวาดอะไรนะ อาบได้ปกติ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไปมองไอ้ตัวแสบที่นั่งอยู่บนพื้นแล้วส่งสายตามาทางนี้ ก่อนจะชมออกไป

“เก่งเหมือนกันนะเนี่ย”

ผมพูดพลางก้มลงไปเกาหัวไอ้ตูม จากนั้นไอ้แสบก็กระโดดขึ้นมาบนเก้าอี้ ไถตัวกับผมไปมาสองสามที แล้วเอาจมูกแตะเป้ย จุ๊บเบาๆ เหมือนจะบอกกันว่า ‘ก็รักพ่อนะ แต่รักเมียมากกว่า’

ระหว่างที่ผมกำลังมองไอ้ตูม คนตรงหน้าก็ขยับเข้ามาใกล้กันพร้อมกับยกมือขึ้นหยิบเศษขนสีเหลืองของไอ้แสบที่ติดอยู่แล้วขำออกมา

“ขนติดเต็มเสื้อเลยคุณ ขนาดเพิ่งอาบน้ำมานะมะตูม”

คุณไป๋ยังคงพยายามปัดขนไอ้ตูมออกให้ผมจนหมด จะว่าไปแล้วไอ้ตูมก็เพิ่งเดินมาไถตัวผมไปเมื่อกี้แค่ไม่กี่ครั้ง แล้วตรงที่มันไถก็ไม่ใช่ที่ที่มีขนแมวติดอยู่ตอนนี้ด้วย คิดไปคิดมาผมก็เลยพูดออกมาลอยๆ

“มาได้ไงเนี่ย”

“ตอนคุณหลับมะตูมก็ขึ้นมานอนอยู่บนตัวคุณนั่นแหละ พอผมเข้ามาถึงได้ตื่นแล้วกระโดดลงไป”

ไอ้ตัวแสบ...

“เอ้อ ขอโทษนะที่เข้ามาโดยพลการ ผมไลน์หาแล้วคุณไม่ตอบอะ พอมองเข้ามาเห็นว่านอนอยู่บนโซฟาเลยคิดว่าน่าจะหลับอยู่”

“ไม่เป็นไรหรอก”

ระหว่างที่พูดเขาก็ทำท่าจะดึงมือตัวเองกลับไป เพราะปัดขนไอ้ตูมออกหมดแล้ว แต่ผมกลับจับมือเขาไว้ พอเราสบตากันก็พูดออกมา

“ไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้ให้ผมเลย”

“ทำอะไร พาแมวไปอาบน้ำให้เหรอ”

“ก็ทุกอย่างอะ รวมถึงมาปัดขนไอ้ตูมออกจากเสื้อให้แบบนี้ด้วย”

“แฟนคุณไง”

“มีแฟนแล้วผมจะมาจีบคุณอยู่แบบนี้เหรอ ฮึ?”

“เปลี่ยนก็ได้ แฟนเก่าสิ”

“ผมเลี้ยงไอ้ตูมมาสองปี แต่โสดสนิทมานานกว่านั้นอีกนะ”

“ไม่ค่อยน่าเชื่อเลย...”

พอคนตรงหน้าจะดึงมือกลับไป ผมก็รีบรั้งไว้แล้วเอามาแนบหน้าตัวเอง จากนั้นก็จูบลงไปเบาๆ เขาเลยไม่พูดต่อ ทำเพียงหลบสายตา และท่าทางเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกดี

เพราะเจ้าตัวอายุมากกว่าด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้ บางครั้งเขาก็ดูกล้าเอามากๆ เข้ามารุกผมก่อนด้วยความมั่นใจ แต่ในบางช่วงเวลาอย่างในตอนนี้ ในเวลาที่เขาเขินจนไปไม่เป็น ก็ดูน่ารักจนผมแทบทนไม่ไหว

ผมมองสบตาเขา แล้วพูดสิ่งที่คิดอยู่ออกไป

“ผมเคยคิดว่าจะไม่มีแฟนไปตลอดชีวิตเลยด้วยนะ”

“...”

“แต่พอเจอคุณ น่าจะไม่ได้แล้วมั้ง”



- to be continued -



talk .

ช่วงนี้คนมาอ่านนิยายเพิ่มขึ้นหลายคนเลย

น่าจะเป็นเพราะพลังของ #รีวิวนิยายวาย ในทวิตแน่ๆ

สำหรับคนที่เพิ่งได้มาเจอกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ : >

ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนและกำลังใจค่ะ 



ปล. สำหรับใครที่ไม่เคยอ่านผลงานเรื่องอื่นๆของเรา

แอบบอกหน่อยว่า สามารถอ่านเรื่องของเจ้านายพี่ชุน แฟนตัวยุ่งของเค้า และยัยคุณนายแมวอ้วน ได้ใน 'Give Love #เราจะจีบเฮีย' ทางลิ้งก์นี้  ❤ (https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=1462833)

หรือใครอยากสนับสนุนกัน เราจะจีบเฮียตีพิมพ์เป็นหนังสือ กับสำนักพิมพ์ EverY นะคะ

สามารถซื้อได้ทั้งแบบอีบุ๊กและรูปเล่มเลยค่ะ

(ในเล่มมีตอนพิเศษให้อ่านมากกว่าในเว็บนะคะ) 

แบบรูปเล่มทางนี้ ❤  (https://jamshop.jamsai.com/product/4817-give-love--เราจะจีบเฮีย)

แบบอีบุ๊กทางนี้ ☁ (https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=89407&page_no=1)

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 09 - 160263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 16-02-2020 17:15:57
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 09 - 160263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 16-02-2020 20:10:02
 :laugh:     :laugh:     :laugh:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 09 - 160263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 16-02-2020 21:48:51
เขิน..นนนนนน     :impress2:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 09 - 160263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: mkooo ที่ 17-02-2020 16:52:42
อยากพาน้องแมวไป กรูมมิ่งบ้างจัง
งือคุณชายมะตูมน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 09 - 160263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-02-2020 21:59:10
มะตูมชีวิตดีทันตาเห็นได้เมียรวย ชักนำแฟนมาให้พ่ออีกต่างหาก
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 09 - 160263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 22-02-2020 03:03:29
คุณชายตูม 5555555555555
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 09 - 160263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 22-02-2020 20:03:22
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect fall10.jpg)

- 10 -


ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตอาจจะเกิดขึ้นในวันนั้น วันที่ผมไปกินหมูย่างเกาหลีกับคุณไป๋ และเกิดขึ้นในตอนนั้น ตอนที่ผมเล่าออกไปว่าตัวเองเป็นคนชอบดูหนังผีทั้งที่กลัวผีสุดชีวิต

เพราะเช้าวันหนึ่งที่ผมเดินไปซื้อมื้อเช้าให้เพราะเขาตื่นสาย แล้วเรามานั่งกินโจ๊กกับเกี้ยมอี๋ด้วยกันที่บ้านผม อยู่ๆ คนตรงหน้าก็พูดออกมา

“มีซีรี่ส์เรื่องนึงในเน็ตฟลิกซ์น่าดูมากเลยคุณ วันหยุดนี้เราดูด้วยกันไหม”

และผมรับปากไปในทันที รับปากไปโดยไม่ถามสักคำว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ผจญภัย ต่อสู้ การเมือง ไซไฟ ความรัก แฟนตาซี หรือว่า ผี

วันศุกร์ผมเคลียร์งานเสร็จตอนทุ่มกว่า ออกจากออฟฟิศมาแวะซื้อขนมกินเล่นประมาณหนึ่ง พอถึงบ้านก็จัดการอาบน้ำใส่ชุดนอนเรียบร้อยเพราะตั้งใจจะดูซีรี่ส์กันจนดึก ดีไม่ดีก็คงนอนค้างที่นั่นไปเลย...ก็แค่เผื่อไว้

พอไปที่บ้านหลังข้างๆ ผมก็ส่งเสียงทักทายให้อีกฝ่ายรู้ว่ามาแล้ว ก่อนจะเจอคุณไป๋ใส่ชุดนอน ผมเปียกหมาดๆ นั่งอยู่กับพวกเด็กๆ และหันมาพูดกับผม

“คุณ...ผมฝากล็อกประตูรั้วให้หน่อยสิ เอายาคูลท์ให้ลูกแมวกินอยู่”

“ได้ๆ”

ผมรับคำ เดินไปหยิบกุญแจบ้านที่เขาแขวนไว้แถวโต๊ะทำงาน แล้วออกไปปิดล็อกทั้งประตูรั้วประตูบ้าน กลับมาก็เจอคนกำลังเอายาคูลท์ใส่ไซริงก์ป้อนให้ลูกแมว

พวกเด็กๆ เริ่มหัดเข้าห้องน้ำกันตั้งแต่วันที่กรงเสร็จเรียบร้อย หลังจากคุณไป๋เอากระบะขนาดเล็กมาเติมทรายแล้ววางไว้ ตัวแรกที่ลงไปใช้บริการก็คือไอ้ตูม ข้อดีคือกลิ่นอึของมะตูมทำให้ลูกเข้าใจได้ว่าตัวเองควรจะอึที่ไหน จะมีบ้างบางตัวที่ไม่ยอมเข้าห้องน้ำในสองสามวันแรก แต่ไม่นานทุกตัวก็ลงกระบะทรายได้ด้วยตัวเอง

หลังจากนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ไอ้ตูมน่ะชอบเข้าห้องน้ำเด็ก ส่วนเด็กๆ ก็ดันชอบปีนเข้าห้องน้ำผู้ใหญ่ไปซะได้

คุณไป๋ลองจับพวกลูกแมวไปอยู่ในกรงกันมาแล้วครั้งหนึ่ง และผลคือแต่ละตัวปีนกันกระจุยกระจายจนคุณไป๋ต้องยอมแพ้ จับกลับมาอยู่ในคอกเหมือนเดิมเพราะกลัวจะเล่นกันจนบาดเจ็บ เอาเป็นว่าให้โตกว่านี้อีกหน่อยก็แล้วกัน

ผมเดินไปนั่งลงข้างเขา มองร่างกายกลมๆ ที่ปกคลุมไปด้วยขนนุ่ม หัวก็กลมบ๊อก แถมหน้าตายังโคตรดื้อ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะจับเจ้าพี่ใหญ่ขึ้นมาแกล้งเกาพุงจนร้องโวยวาย

“แกล้งเด็กอีกแล้วคุณ”

“ก็ดูแต่ละตัวดิ หน้าดื้อกันทั้งนั้นเลย”

พูดจบผมก็หันซ้ายหันขวา เจอไอ้ตูมนอนอยู่บนคอนโด ลูกแมวอยู่ตรงหน้า แล้วแม่แมวล่ะหายไปไหน

“เป้ยล่ะคุณ?”

“ตั้งแต่เด็กๆ เริ่มกินอาหารเองได้คุณเธอก็โน่น หนีไปนอนชั้นบน แต่ก็ลงมาเรื่อยๆ นะ คงอยากพักแหละเหนื่อยมาเป็นเดือนแล้ว”

“ไม่ได้ไม่สบายอะไรใช่มั้ย”

“ไม่หรอก แต่ก่อนก็เป็นแบบนี้แหละ หน้าต่างตรงบันไดอะ ผมติดเปลแมวเอาไว้ที่กระจก มุมโปรดของเป้ยเลย ตอนยังไม่มีลูกก็ชอบไปนอนที่นั่น”

ผมพยักหน้ารับ นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเห็นเป่าเป้ยเลย เพราะมุมโปรดดันไปอยู่ตรงหน้าต่างฝั่งที่ไม่ติดกับบ้านผมล่ะมั้ง

หลังจากนั้นไม่นาน คนตรงหน้าก็เก็บเด็กๆ เข้าคอก ส่วนผมก็จับไอ้ตูมใส่ไปอีกตัวให้มันเลี้ยงลูก ก่อนที่เราจะลุกขึ้น พร้อมกับที่คุณไป๋หันมาบอกกัน

“ป่ะ ดูหนัง!”

ผมก็งงตัวเองเหมือนกันนะว่าทำไมไม่คิดจะสงสัยสักนิดว่าคืนนี้เราจะดูซีรี่ส์เรื่องอะไร หรืออย่างน้อยมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร รู้แค่ว่าเขาถามปุ๊บ ผมก็รับปากปั๊บแบบไม่ทันคิด

อยู่ๆ ก็เพิ่งมาเอะใจเอาตอนนี้ ตอนที่อีกฝ่ายปิดไฟทั้งบ้าน เปิดไว้แค่โคมไฟโต๊ะทำงาน แล้วมาเปิดโทรทัศน์ พอผมได้เห็นโปสเตอร์หนังที่อยู่บนหน้าจอคำตอบก็ชัดเจนแบบไม่ต้องถาม มันเป็นรูปผู้หญิงคนหนึ่ง โดนปิดตาไว้ด้วยผ้าที่ดูเหมือนเป็นกระสอบ บนผ้าเก่าๆ นั้นมีรอยกากบาทสีดำ สีพื้นหลัง ฟอนต์ที่ใช้ ทุกอย่างบอกชัดเจน...ว่าคืนนี้เราจะดูหนังผี

ผมหันไปมองคนที่กำลังกดรีโมตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วถามออกมา

“หนังผีเหรอคุณ”

“อืม...”

คนฟังตอบหน้าตาเฉย ส่วนผมน่ะ...จะเป็นลม!

ใช่ ผมชอบดูหนังผี แต่ผมก็กลัวมากไง มากชนิดที่ว่า อย่างน้อยก็ควรมีเวลาเตรียมใจบ้างสักครึ่งวันก็ยังดี ไม่ใช่อยู่ๆ ก็มาปิดไฟเปิดหนังผีใส่กันเลยแบบนี้ ไม่ทันไรคำถามต่อไปก็ตามมา

“กลัวเหรอ”

“นิดนึง...”

“งั้นเปลี่ยนมั้ย”

“ไม่ๆๆ ดูได้ คุณเปิดเลย”

จะยอมรับว่ากลัวได้ไงวะ ขายหน้าแย่!

แล้วทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้น แม่งเอ๊ย! ขนาดโลโก้สีแดงของเน็ตฟลิกซ์ยังดูน่าสยองกว่าปกติเลยคิดดู

ผมพยายามตั้งสติให้มั่นคง มองภาพในจอที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก่อนจะตกใจนิดๆ เมื่ออยู่ดีๆ ภาพปากหลุมสีดำก็โผล่มา ก่อนจะตัดไปที่บ้านหลังหนึ่ง กล้องแพนให้ได้เห็นบรรยากาศต่างๆ ก่อนจะมาจบที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเดินอยู่ในบ้าน ระหว่างที่กำลังลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณไป๋เขาก็หันมาชวนคุย

“เหมือนบ้านคุณเลยอะ”

“คุณก็...”

ผมตอบกลับไปแค่นั้น ขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นอีกนิด จนในจอปรากฏภาพผู้หญิงแก่คนหนึ่งยืนอยู่ในห้องครัว แค่เธอหันหน้ามาผมก็ต้องหรี่ตาลงข้างนึงแล้ว

คนบ้าอะไรวะ หน้าตาน่ากลัวฉิบหาย!

ยังไม่ทันได้รวบรวมสติกลับมา ผู้หญิงแก่ที่กำลังคุยกับผู้หญิงอีกคนซึ่งเป็นลูกสาวของเธอก็ลงมือถอนฟันตัวเอง

ตอนนั้นเองที่ผมคว้าแขนคุณไป๋เข้า จับมือเขาเอาไว้ ก่อนจะเอนตัวซบลงไปบนไหล่ของเจ้าตัวทันที สิ่งที่ผมได้ยินมาจากเขาคือเสียงหัวเราะพร้อมกับคำถาม

“ไหวเนอะ?”

พูดจบเขาก็พลิกมือมา ประสานนิ้วมือกุมกันเอาไว้ พร้อมกับที่ผมตอบกลับ

“ไหวคุณ”

“...”

“ผ่าน Conjuring มาได้ ผมก็ต้องผ่านไอ้ยายนี่ไปได้เหมือนกัน”

“Conjuring นี่เรื่องโปรดผมเลย”

“ตอนดูในโรงผมแทบเขวี้ยงถังป็อปคอร์นใส่เก้าอี้ข้างหน้า”

พอเขาหัวเราะออกมาผมก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วเราก็ดูหนังกันต่อ...

หลังตอนแรกผ่านไปได้แค่ครึ่งเดียว ผมขอบอกเลยว่าไอ้ยายแก่ในเรื่องนี่ควรถูกระบุว่าเป็นบุคคลอันตรายของโลก และควรจะถูกเพิ่มเข้าไปในทำเนียบผีที่สมควรจะโดนปราบที่สุดหรืออะไรทำนองนั้นถ้ามันมีอยู่จริง

จากที่เราแค่นั่งกุมมือกัน ตอนนี้มือคุณไป๋กลายมาเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตชั้นดี เพราะผมจะยกมือเขาขึ้นมาปิดตาตลอดในช่วงที่บรรยากาศดูแล้วน่าจะมีพลังงานอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ยายแก่สักคนโผล่ขึ้นมา

ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวแล้วพูดขึ้นมาในช่วงที่บรรยากาศไม่ค่อยจะกดดันสักเท่าไหร่

“สาบานเลย ถ้าหมู่บ้านเรามีคนหน้าตาแบบนี้อยู่ ต่อให้อยู่คนละเฟสกันก็เหอะ ไม่ว่ายังไงผมก็จะย้ายออก”

และเขาก็ตอบกลับผมด้วยเสียงหัวเราะ ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดต่อ

“ผมว่ามันคือการแต่งหน้าเอฟเฟ็กต์ หรือไม่ก็ใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกนะ น่าจะไม่ใช่หน้าจริงหรอก”

“ผีก็คือผีปะคุณ ยังไงมันก็...ว้ากกก!!”

“คุณ!!”

คราวนี้ก็ไม่ใช่แค่ผมที่ตกใจแล้ว เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังตกใจไปด้วย

ไม่ทันไร สถานการณ์กลับมาอยู่ในความสงบ โดยที่ผมหดขาขึ้นมาบนโซฟา ตรงหน้ามีไอ้ตูมนั่งตัวตรงจ้องหน้ากันแล้วร้องเมี้ยว ส่วนทางขวามือมีคุณไป๋ที่หัวเราะจนลงไปนอน

ก่อนหน้านี้ระหว่างที่ผมกำลังคุยกับคนข้างๆ อยู่ๆ ไอ้ตูมที่ย่องมาจากไหนไม่รู้ ก็ดันกระโดดขึ้นมาบนตักผม แน่นอนว่าผมตกใจ ทั้งโยนทั้งถีบมันลงไปโดยไม่ทันดู พอรู้ว่าสิ่งที่หล่นตุ้บลงมาบนตัวคือไอ้แมวเหลือง สติถึงได้กลับคืนมา

ผมถอนหายใจ เอาขาลงกลับไปเหมือนเดิม ส่วนคนข้างๆ ที่ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งและกำลังพยายามหยุดหัวเราะอย่างสุดความสามารถ ซึ่งบอกเลยว่าไม่ค่อยสำเร็จ

ยิ่งเห็นสีหน้าของผมที่เหมือนจะเป็นลมให้ได้เขาก็ยิ่งขำ ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประคองใบหน้าผมเอาไว้แล้วขยับเข้ามาจูบเบาๆ บนริมฝีปาก

“ขวัญเอ๊ยขวัญมาเนอะ ดีขึ้นยัง”

ผมยิ้มมุมปาก ยกมือขึ้นมาจับมือทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ แล้วเป็นฝ่ายก้มลงไปจูบอีกครั้ง

ริมฝีปากที่ผมสัมผัสได้ช่างอบอุ่น ช่วยให้ความรู้สึกที่กระจัดกระจายเข้าที่ขึ้นมาก เขาปล่อยให้ผมเป็นคนนำ ส่วนตัวเองก็คล้อยตามไป ก่อนผมจะผละมือออกข้างหนึ่ง เปลี่ยนมาสัมผัสลำคอของคนตรงหน้าแล้วรั้งเขาเข้ามาให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น ตอนนั้นเองที่ปลายลิ้นของเราสัมผัสกัน

ผมจมดิ่งไปในความรู้สึกแสนหวาน ในขณะเดียวกันก็ชวนให้ตื่นเต้นจนรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ไหลผ่านทั่วร่าง และนั่นคือสัญญาณที่ผมต้องบอกตัวเองให้หยุด ถอนจูบออก มองสบตาเขา ขยับนิ้วหัวแม่มือจากลำคอมาสัมผัสริมฝีปากที่ตอนนี้เป็นสีเรื่อกว่าเก่า

ในตอนที่สายตากำลังจดจำภาพคุณไป๋ยกยิ้มเขินๆ ตอนนั้นแหละ ผมก็ได้รู้ว่าเสียงซึ่งดังอยู่ระหว่างที่เรากำลังจูบกันคือเสียงร้องของอีกาและเสียงพูดอันน่าขนลุกของยายแก่คนเดิม

“เมี้ยว...”

ขอบคุณไอ้ตูมที่ร้องขึ้นมา

ผมหันไปมองไอ้แมวส้มที่ต้องขอยืนยันอีกครั้งว่ามันอ้วนขึ้นทุกวัน จนแทบจะพูดได้ว่าอ้วนขึ้นทุกวินาทีที่หายใจ พอเห็นหน้ากวนตีน ตาสีเหลือง จมูกสีชมพูเลอะเทอะ แล้วก็ไอ้แต่แอบสงสัย

มันต้องเป็นแมวยังไงถึงได้ชอบมานั่งดูคนจูบกันวะ

แล้วอยู่ๆ คุณไป๋เขาก็ยกมือขึ้นตบโซฟาเพื่อเรียกให้มะตูมกระโดดขึ้นมาหา ก่อนจะลูบหัวเกาแก้มให้มันแล้วถามต่อ

“เจ็บมั้ยเนี่ยเรา เมื่อกี้โดนโยนลงไปใช่มั้ย”

ผมมองไอ้ตัวแสบที่เอาใบหน้าถูไปมากับฝ่ามือออดอ้อนคนพูด แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ไอ้แมวตอแหล!

แล้วพวกเราก็เริ่มดูหนังอีกครั้ง ด้วยท่าทางการนั่งที่ดูลงตัวยิ่งขึ้น ผมวาดแขนโอบเขาเอาไว้ ส่วนคุณไป๋ก็เอนตัวพิงลงมาบนอกผม โดยมีมะตูมขดตัวกลมอยู่บนตัก

สิ่งที่เหมือนเดิมก็คือมือข้างที่ว่างของผม ยังคงต้องกุมมือเขาเอาไว้แล้วยกขึ้นมาปิดตาตอนที่ผีทำท่าจะออกมา

เราต้องย้อนกลับไปเพื่อหาฉากล่าสุดที่ดูไว้ พอหนังเริ่มเล่นอีกครั้ง คนที่อยู่ในอ้อมแขนผมก็ถามขึ้นมา

“คุณจะดูตอนสองไหวมั้ยเนี่ย”

“สบาย สามตอนไปเลยถ้าคุณไม่ง่วงนอน”

และสิ่งที่ตอบกลับมาก็คือเสียงถอนหายใจ

พวกเราหยุดพักหลังดูตอนแรกจบ ก่อนที่คุณไป๋จะเดินเข้าไปในครัวเพื่ออบป็อปคอร์นด้วยไมโครเวฟ ส่วนผมแกะปลาเส้นที่ซื้อมา และขนมที่ว่าก็มีความสามารถทำให้เป่าเป้ยยอมลงจากมุมส่วนตัวบนบันได มานั่งจ้องหน้าผมแล้วร้องเมี้ยวเบาๆ ส่วนไอ้ตูมนี่แทบจะกระโดดมางับของกินไปจากมือผมอยู่แล้ว

พอเห็นท่าทางของเป้ยแล้วผมก็ต้องลุกขึ้น เดินไปหาอีกคนในครัว โดยที่มีสองแมวเดินตามมาติดๆ

“มีขนมแมวมั้ยคุณ ตูมกับเป้ยอยากกินขนมอะ”

ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็พยักหน้ารับ แล้วพูดต่อ

“เปิดตู้ด้านบนริมสุดติดตู้เย็นเลย ขนมกับอาหารแมวอยู่ในนั้น”

พอเปิดตู้ตามที่บอก ผมก็เจอกับเสบียงแมวเต็มไปหมด ก่อนจะเลือกหยิบอันที่เป็นขนมหน้าตาคล้ายบิสกิต แล้วก็เดินนำทั้งสองตัวกลับไปบริเวณห้องนั่งเล่น

กลายเป็นว่าระหว่างที่กำลังรอป็อปคอร์น ผมก็ต้องเลี้ยงแมวไปพลางๆ เราเริ่มดูตอนที่สองหลังจากคุณไป๋กลับมาพร้อมป็อปคอร์นในถ้วยใบใหญ่ น้ำอัดลมอีกแก้วแก้วกับหลอดที่ปักอยู่สองอัน

ผมมองแก้วน้ำ แล้วก็อมยิ้มกับความคิดที่เกิดขึ้นในใจ ถ้าเมื่อกี้จะจูบกันไปขนาดนั้น อันที่จริงก็ไม่จำเป็นจะต้องแยกหลอดแล้วล่ะมั้ง คิดเสร็จก็ตัดทอนคำพูดส่วนที่สุ่มเสี่ยงแล้วถามออกไป

“ต้องแยกหลอดด้วย?”

เหลือเชื่อดีที่เขาเข้าใจ ทำหน้ามุ่ยยกมือขึ้นมาชี้หน้าผมทีหนึ่งก่อนจะกลับไปดูซีรี่ส์ต่อ

สุดท้ายเราก็ดูจบสามตอนตามที่วางแผนเอาไว้ในเวลาเที่ยงคืนกว่า ไอ้ดึกน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ความรู้สึกของผมนี่สิ หลังจากเจอยายแก่ถอนฟันเข้าไป ไม่มีทางซะหรอกที่ผมจะกลับไปนอนที่บ้านคนเดียว ไม่มีทาง!

“คุณ...” ผมเอียงศีรษะไปพิงกับอีกคน ก่อนจะพูดต่อ “ผมนอนนี่นะ”

แล้วคำตอบที่ได้ยินก็ทำให้อึ้งไปเลย

“ก็ต้องนอนนี่สิ คุณล็อกประตูรั้วไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

เออ...นั่นสิ!

ผมมองสบตากับคนพูด ส่งยิ้มมุมปากไปให้แล้วถามว่า

“ล่อลวงผมอีกแล้วใช่มั้ย”

คนฟังยกมือขึ้นมาตีต้นแขนผมแทนคำตอบ หันไปหยิบหมอนใบหนึ่งมาโยนใส่กันเต็มๆ แล้วชวนเปลี่ยนเรื่อง

“ลุกขึ้นเลย! ผมจะกางโซฟาออกเป็นเตียง!”


= มีต่อนะคะ =
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 09 - 160263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 22-02-2020 20:03:44

เช้าวันต่อมาผมตื่นนอนด้วยความสดชื่น แต่พอพลิกตัวไปอีกฝั่งกลับพบกับเตียงนอนว่างเปล่า มองไปทางคอนโดแมวก็เห็นไอ้ตูมนอนตัวเหลืองอยู่ ส่วนเป่าเป้ยยังขดตัวนอนเป็นวงกลมอยู่บนหมอนอีกใบ

คุณไป๋ตื่นแล้วสินะ

พอลุกขึ้น เดินเข้าห้องน้ำไปแล้วก็ต้องยิ้มออกมา เพราะเห็นแปรงสีฟันของเราวางอยู่คู่กันในแก้วหน้ากระจก ผมจัดการล้างหน้าแปรงฟัน ออกจากห้องน้ำอีกครั้งก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังมาจากห้องครัวเลยเดินตรงไป และเจอเจ้าของบ้านยืนอยู่หน้าเครื่องชงกาแฟ

“คุณ...”

ส่งเสียงเรียกไปแค่นั้นอีกฝ่ายก็หันกลับมา ส่งยิ้มให้แล้วถามว่า

“กาแฟมั้ย”

“กาแฟดำเหรอ”

ผมถามก่อนจะเดินเข้าไปใกล้

“อื้ม กินได้มั้ย”

“ไม่มีหวานๆ เหรอ”

“หวานๆ” ระหว่างที่พูดอยู่นี่ เจ้าตัวก็ยื่นมือขึ้นเปิดตู้ด้านบน หยิบกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา แล้วยื่นหน้ากล่องให้ผมดู “วานิลลาลาเต้ได้มั้ย”

“เข้าทางเลย”

“งั้นรอแป๊บนึง”

พูดจบคุณไป๋ก็หยิบแก้วมาฉีกกาแฟใส่ก่อนจะเติมน้ำร้อน ในตอนที่ผมกำลังมองทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างเพลิดเพลิน อยู่ๆ ความรู้สึกอะไรบางอย่างก็ทำให้ต้องร้องออกมาเสียงดังลั่น

“โอ๊ย!”

“เป็นอะไรคุณ”

“ไอ้ตูมมันกัด...”

ระหว่างที่พูดผมก็ก้มหน้าลงไปมอง ก่อนจะชะงักไปเพราะไม่ใช่ไอ้ตูมหรอกที่กัดผม แต่เป็นเจ้าตัวเล็กพี่ใหญ่ที่สีส้มเข้มขึ้นทุกวันๆ กัดกันเสร็จยังจะเงยหน้ามาร้องแง้วโชว์เขี้ยวเล็กๆ ที่เพิ่งงอกให้ดู จะบ้าตาย

คนตรงหน้าผมกำลังหัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วอยู่ๆ ก็มีเจ้าจิ๋วสามสีวิ่งตามมาเป็นตัวที่สอง ก่อนที่ผมจะถามขึ้น

“คุณปล่อยเด็กๆ ออกมาเหรอ”

“เปล่า...”

“ผมก็เปล่านะ”

เฮ้ย!

เรายืนมองหน้ากัน ตกใจไปสักพัก แล้วพากันเดินออกไปดูหน้าบ้าน

ภาพที่เห็นก็คือเจ้าเหมียวตัวสีขาวล้วนซึ่งตอนนี้เริ่มมีสีเทาขึ้นแซมแบบเป่าเป้ยกำลังหล่นตุ้บลงมาจากแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสำหรับกั้น หล่นปุ๊บก็ลุกปั๊บแล้ววิ่งตามพี่น้องสองตัวมาทันที

ส่วนเจ้าสีขาวส้มน้องเล็กสุด ตอนนี้ทำได้แค่เอาขาหน้าสองข้างเกาะรั้วเอาไว้ แล้วร้องเสียงดังเพราะอยากออกมาด้วย

ผมหลุดยิ้มกับภาพที่เห็น ก่อนจะก้มลงอุ้มเจ้าตัวสีขาวส้มขึ้นมา ลูบเบาๆ โดยที่เจ้าเหมียวยังเอาแต่โวยวายดังลั่น

ไม่ทันได้ทำอะไรเป่าเป้ยก็เดินตามพวกลูกๆ มา จัดการเลียตัวให้พวกดื้อที่พอเห็นแม่ปุ๊บก็พร้อมจะพุ่งเข้าไปดูดนมทันที เลียไปเลียมาสักพัก คุณเธอก็คาบหลังคอเจ้าพี่คนโต แล้วก็พากลับเข้าไปในคอก

หลังจากมองเหตุการณ์อยู่พักใหญ่ คุณไป๋ก็สรุปออกมา

“สงสัยต้องพาเด็กๆ ไปไว้ในกรงแล้วแหละ”

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดต่อ

“ผมว่าน่าจะต้องดูเพศแล้วก็ตั้งชื่อด้วย”

“กำลังคิดอยู่พอดีเลย”

ระหว่างที่พวกผมกำลังจิบกาแฟกับกินขนมปังปิ้งรองท้องเป็นมื้อเช้า อาหารของพวกแมวเด็กก็โดนแช่เอาไว้ในนมเรียบร้อยแล้ว แต่ก่อนที่จะได้กินก็น่าจะต้องมาดูเพศกันก่อน

พวกผมหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมาแล้วว่า ระยะห่างระหว่างสองจุดที่ก้นคือตัวกำหนดเพศแมว ตัวผู้จะอยู่ห่างกันมากกว่าตัวเมีย ผมจัดการเซฟรูปตัวอย่างของทั้งเพศผู้และเพศเมียเอาไว้ในเครื่องเพื่อเป็นตัวช่วย...แล้วผมก็มาถึงจุดที่มีรูปก้นแมวอยู่ในโทรศัพท์มือถือจนได้

พอข้อมูลพร้อมก็ลงมือปฏิบัติ พวกเรามานั่งกันอยู่หน้ากรง และเริ่มจากจับเจ้าพี่ใหญ่ขึ้นมาหงายท้องเป็นตัวแรก ทั้งผมและคุณไป๋ก้มหน้าลงมองไปดูก้นเจ้าเหมียวใกล้ๆ

แล้วไอ้ตูมมันจะมามุงด้วยทำไมวะน่ะ!

เมื่อมองไปอีกทางก็เห็นเป่าเป้ยส่งสายตามาทางนี้ เหมือนจะถามว่าพวกมนุษย์ทำอะไรกับลูกๆ สุดที่รักของหนู พิจารณาอยู่สักพักผมก็พูดออกมา

“ผมว่ามันมีไข่”

พูดจบก็หันไปสบตากับคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ก่อนเขาจะพยักหน้ารับ

“ผมก็ว่าตัวผู้นะ”

“โอเค สรุปไอ้ส้มตัวผู้ ไปกินข้าวได้”

ดูเพศเรียบร้อยผมก็จับไอ้ตัวแสบที่งับกันเมื่อเช้าไปวางหน้าถ้วยอาหาร แล้วเอื้อมมือไปจับตัวถัดไปออกมาจากคอก

คิวสองคือเจ้าขาวที่ตอนนี้เริ่มมีสีเทาแซมมากขึ้นเรื่อยๆ แบบที่เดาได้เลยว่าโตขึ้นคงสีคล้ายแม่น่าดู นั่งพิจารณาก้นแมวอยู่สักพัก ผมกับคุณไป๋ก็ลงความเห็นตรงกันว่าเป็นตัวผู้ ตามมาด้วยตัวที่สาม ที่หยิบขึ้นมาปุ๊บอีกคนก็พูดขึ้นทันที

“จริงๆ ตัวนี้ไม่ต้องดูก็ได้นะคุณ แมวสามสี ยังไงก็ตัวเมีย”

“อ้าว ทำไมอะ”

“ก็ส่วนใหญ่แมวสามมีมันมีแต่ตัวเมีย คุณเคยเจอแมวสามสีตัวผู้ปะล่ะ”

ผมส่ายหน้า อธิบายต่อ

“จะว่าไม่เคยเจอก็ใช่อยู่ คือก่อนจะเลี้ยงมะตูมอะ ผมไม่เคยสนใจหรอกว่าแมวตัวไหนจะเพศอะไร”

“เป็นงั้นไป”

“อืม ว่าแต่ทำไมแมวสามสีถึงได้มีแต่ตัวเมียล่ะ”

คนตรงหน้าผมเงียบไปสักพัก เหมือนจะใช้ความคิดเรียบเรียง แล้วอธิบายออกมา

“โครโมโซมที่เป็นตัวกำหนดเพศแมวอะคุณ มันจะมีหน้าที่กำหนดสีด้วย แล้วมันจะจับคู่สีออกมาเป็นสามสีได้เฉพาะในโครโมโซมของแมวเพศเมียเท่านั้น”

“อ๋อ...งั้นก็ไม่มีทางที่แมวสามสีจะเป็นตัวผู้ได้เลยดิ”

“มีอยู่นะ จำตอนเรียนวิทยาศาสตร์สมัยมัธยมได้ปะ เวลาจับคู่โครโมโซม ของผู้ชายจะออกมาเป็น XY ของผู้หญิงจะออกมาเป็น XX ใช่มั้ย แต่แมวสามสีตัวผู้อะ โครโมโซมจะจับกันเป็น XXY มันก็สามารถเกิดขึ้นได้แต่น้อยมาก แล้วแมวสามสีตัวผู้ก็จะเป็นหมันด้วย”

แล้วนี่ก็เป็นอีกครั้งที่คุณไป๋สามารถอธิบายเรื่องราวที่ซับซ้อนให้ออกมาเข้าใจง่าย ผมพยักหน้ารับ มองเจ้าลูกแมวสามสีที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดต่อ

“ถ้าเจ้านี่เป็นตัวผู้ขึ้นมาก็ดีนะ จะได้เอาไปโชว์ไงคุณ ค่าเข้าชมคนละยี่สิบบาท ไว้ซื้ออาหารเม็ด”

คนฟังขมวดคิ้วนิดๆ แล้วตอบกลับ

“ใครจะมาดูฮึ”

ผมหัวเราะรับ จับเจ้าตัวเล็กหงายท้อง ดูอยู่สักพักแล้วพูดออกมา

“อดแล้ว ตัวเมีย...”

พอผมพูดจบ เขาก็มาจับเจ้าตัวเล็กไป อุ้มให้หันหน้ามาหาผมแล้วพูดต่อ

“แต่คุณดูนี่ ดูสีตาดีๆ ผมว่าข้างนี้มีความอมฟ้า ส่วนอีกข้างเหมือนจะเริ่มเป็นสีเหลือง ดีไม่ดีอาจจะโตขึ้นมาตาสองสีนะ”

ได้ยินอย่างนั้น ผมก็ใช้นิ้วลูบหัวเจ้าเหมียวเบาๆ แล้วพูดต่อ

“ไปเอาสีดำมาจากไหนไม่รู้ แล้วยังจะตาสองสีอีกเหรอเรา”

ผมคุยกับแมวแต่กลับมีคนตอบ

“จะกี่สีก็ไม่เป็นไรเลยเนาะ ยังไงก็เป็นหลานอากงอยู่ดี”

อากง? ใครบางคนมาถึงจุดที่กลายเป็นอากงแมวไปแล้วเรียบร้อย

ผมหลุดยิ้ม ปล่อยเจ้าสามสีไปกินอาหาร แล้วมาดูตัวสุดท้ายที่ทำเอาลังเลสุดๆ คือระยะห่างระหว่างสองจุดมันไม่ชัดเจนเท่าพี่ๆ มันดูไกลกันมากกว่าเจ้าสามสี แต่ก็ยังไม่มีไข่แบบเจ้าส้มตัวแรก เราสองคนนั่งเงียบกันไปสักพักเพื่อพิจารณาอวัยวะเพศแมว ก่อนคุณไป๋จะเป็นคนสรุป

“ผมว่าตัวเมียแหละ คือมันก็ห่าง แต่ก็ไม่มีไข่อะ คุณว่าไง”

“ไม่รู้เลย คุณว่าไงผมว่าตามนั้นแล้วกัน เชื่อเซ้นส์คุณ”

“แน่ใจ?”

“อืม ไว้โตมามีไข่ค่อยเปลี่ยนก็ยังทัน”

“ได้เหรอ”

“โถ่ ของแบบนี้มันเปลี่ยนกันได้ตลอดแหละคุณ”

“นี่หมายถึงเพศแมวถูกมั้ย”

“อือฮึ?”

“โอเค ถ้าไม่ใช่ก็ค่อยเปลี่ยนแล้วกัน”

ระหว่างที่พวกลูกแมวกำลังก้มหน้าก้มตากินอาหาร ผมก็เอื้อมมือไปหยิบอาหารสูตรแม่และเด็กที่อยู่ในถาดของเป่าเป้ยมาเม็ดนึง แล้ววางลงในถ้วยของเจ้าพี่ใหญ่ พร้อมกับที่คำถามดังขึ้น

“คุณทำอะไรอะ”

“ลองดู”

พูดจบเจ้าเหมียวก็กินอาหารเข้าปากไป และออกแรงกัดดังกร้วม อาหารครึ่งนึงตกกลับลงไปในถ้วย ส่วนอีกครึ่งที่อยู่ในปาก ก็ถูกเคี้ยวแล้วกลืนลงท้องไปทันที ก่อนที่คุณไป๋จะถามขึ้น

“ฟันหักมั้ยนั่น”

“ไม่หักหรอก เมื่อเช้ายังกัดผมเป็นรูได้เลย”

พอคนฟังหันมาขำใส่กันนิดนึง ผมก็พูดต่อ

“คราวนี้ก็ได้เวลาตั้งชื่อละ คุณก่อนเลย”

“ผมเหรอ”

“อืม เลือกเลย คุณมีชื่อที่ตั้งไว้แล้วนี่”

คุณไป๋พยักหน้ารับ เงียบไป ก่อนจะชี้เจ้าตัวที่สีเหมือนเป่าเป้ย แล้วหันมาบอกกัน

“เจ้านี่สีเหมือนเป้ย ตัวผู้ด้วย ผมให้ชื่อเป่าเปา ความหมายเดียวกับเป่าเป้ย แล้วก็เจ้าส้มขาวหน้าหมวยที่สุด ผมให้ชื่อชิงชิง ความหมายคล้ายกับชื่อผม”

“ความหมายว่า?”

“ไป๋ชื่อผมแปลว่าขาวสะอาด ชิงก็คล้ายๆ กัน ใสสะอาด”

ผมยิ้มรับ อยู่ๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมาที่ได้รู้ความหมายของชื่อเขา ส่วนคนพูดก็ดูจะเขินไปอย่างไม่มีเหตุผล เรามองสบตากัน ก่อนที่เขาจะพูดต่อ

“อีกสองตัวก็เป็นความรับผิดชอบของคุณแล้ว”

“โอเค สองตัวนั้นสายตระกูลชื่อจีน ศิษย์ท่านอาจารย์เป่าเป้ย สองตัวที่เหลือนี่ศิษย์อาจารย์ตูม สายตระกูลชื่อมะ...”

ผมมองไอ้ตัวแสบอีกสองตัว แล้วใช้ความคิด ก่อนจะพูดออกมา

“สีส้มพี่ใหญ่ มะยม”

“มะยม? ตัวผู้ชื่อมะยมได้เหรอคุณ”

“ได้สิ ไอ้ตูมยังชื่อมะตูมเลย”

“ไม่เห็นเกี่ยว”

“เกี่ยวเหอะน่า ส่วนตัวสามสีชื่อ...”

ระหว่างที่ผมเงียบไป สีหน้าคนฟังก็บอกเลยว่ากำลังลุ้นเต็มที่

“มะ?”

“มะระ”

“มะระเนี่ยนะ?”

“อืม มะระน่ารักออก หรือคุณว่าไง”

คำตอบคือความเงียบ แต่ไม่นานคำอธิบายก็ตามมา

“คุณไม่ขัดตอนที่ผมตั้งชื่อแมว ผมก็จะไม่ขัดคุณเหมือนกัน มะระก็มะระ เรียกไปเรียกมาเดี๋ยวก็น่ารักเองแหละ”

“ใช่เลย มะไป๋”

เขายกมือขึ้นมาตีไหล่กันทันทีที่ได้ยินผมพูด แล้วสรุป

“สรุปมีมะยม เป่าเปา มะระ ชิงชิง”

“อื้ม คราวนี้ผมมีคำถาม คุณจะให้เด็กๆ กับใครมั้ย”

ถามจบ คนฟังก็รีบตอบกลับมาทันที

“ไม่ให้”

“ตอบไวมาก”

“ใช่ ต่อให้เป็นคุณผมก็ไม่ให้”

“ขนาดนั้นเลย”

“อืม ไม่ให้ไปอยู่ด้วยหรอก คุณจะได้คิดถึงลูกแมวแล้วมาที่บ้านผมบ่อยๆ ไง”

“ร้ายกาจเกินไปแล้ว...”

ผมพูดแล้วยกมือขึ้นหยิกแก้มเขาเบาๆ พร้อมเสียงหัวเราะ

พอช่วงบ่ายผมก็ต้องกลับมาบ้านตัวเองเพื่อทำกิจวัตรประจำวันหยุด ประเภทซักผ้ากวาดบ้านอย่างที่ทำอยู่เป็นประจำ ก่อนออกจากบ้านข้างๆ มายังมีคนอ้อนทิ้งท้ายด้วยคำพูดสั้นๆ

“รีบไปรีบมานะ”



หลังจากผมจัดการธุระที่บ้านตัวเองเสร็จก็เดินกลับมาบ้านเขา พร้อมกับที่ได้ยินเจ้าของบ้านคุยโทรศัพท์อยู่พอดี

“ไม่เอาอะม้า ไป๋ไม่ไป”

เรียกแทนตัวเองว่าไป๋ด้วย พอผมส่งยิ้มไปให้เขาก็ยิ้มกลับมาแล้วพูดต่อ

“ฮื่อ! ไปตั้งหลายรอบแล้ว ขี้เกียจฟังพวกอาอี๊พูด บอกว่าไป๋งานเยอะก็แล้วกัน”

“...”

“ใช่ โตกันหมดแล้ว เพิ่งตั้งชื่อไปวันนี้เนี่ย...มะยม เป่าเปา มะระ แล้วก็ชิงชิง...ชื่อมะๆ ก็ตั้งตามมะตูมไงม้า”

“...”

“ยังเลย เนี่ยเดี๋ยวว่าจะไปหาอะไรกินละ”

“...”

“โอเคม้า ดูแลสุขภาพนะ ฝากสวัสดีป๊าด้วย”

“...”

“ครับ บ๊ายบาย”

วางสายเสร็จเขาก็หันมายิ้มให้กันด้วยท่าทางเพลียๆ จนผมต้องถาม

“เป็นอะไรฮึ”

“ทำไมอะ”

“ก็...คุณดูเหนื่อยๆ”

ได้ยินคำถามของผมเขาก็ขยับเข้ามาใกล้ โอบแขนกอดเอวแล้วซุกหน้าเข้ามาอ้อน

“หิวข้าวอะ อยากกินอาหารญี่ปุ่น”

“ไปมั้ยล่ะ เอารถคุณไปนะ ผมล็อกบ้านแล้วเรียบร้อย เดี๋ยวเลี้ยงเอง”

“เลี้ยงในโอกาส?”

ผมกอดเขากลับ จูบลงไปบนหน้าผาก แล้วพูดต่อ

“โอกาสที่คุณให้ผมตั้งชื่อแมวสองตัวแล้วกัน”

“งั้นถ้าจะออกไปหาอะไรกินก็...เก็บแมวก่อนเนอะ”

หลังผละอ้อมกอดออก พวกผมก็ไปเก็บพวกแมวเด็กใส่กรง เติมอาหารกับน้ำให้แมวโต แล้วก็พากันออกมากินมื้อเย็นที่ห้างสรรพสินค้า

อิ่มแล้วก็กลับบ้านไปรับมือกับยายแก่ต่อ

พวกเราเริ่มดูหนังกันประมาณสามทุ่มเหมือนเมื่อวาน และถ้าไม่ได้คิดไปเอง บอกเลยว่าผมรับมือกับผียายแก่ได้ดีขึ้น หรือไม่ก็เป็นเพราะยายแกทำตัวหลอนน้อยลง

วันนี้เราพับโซฟาให้เป็นเตียงตั้งแต่แรกแล้วก็นั่งเอนหลังยืดขากันอยู่บนนั้น

ส่วนพวกแมว ตอนแรกมีแค่เด็กๆ ที่โดนจับเข้าไปอยู่ในกรง สักพักความกังวลว่าพวกลูกแมวจะหิวนมก็ทำให้เป่าเป้ยต้องตามเข้าไป และสุดท้ายเพื่อความเท่าเทียม ผมก็จับไอ้ตูมใส่เข้าไปอีกตัว

อย่างน้อยก็มั่นใจได้ว่าคืนนี้จะไม่มีแมวกระโดดขึ้นตักให้ผมตกใจจนสติแตกไปอีก

เรานั่งอยู่ในท่าเดิม รวมถึงผมที่เอามือเขามาปิดตาเหมือนเดิมด้วย พอถึงช่วงประมาณกลางตอนที่ห้า คนที่พิงอกผมอยู่ก็หาวขึ้นมาจนต้องถาม

“นอนมั้ย”

อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองสบตาผม พยักหน้าแล้วพูดต่อ

“จบตอนนี้แล้วกัน”

“อือฮึ”

หลังตอนที่ว่าจบลง พวกผมก็เตรียมตัวเข้านอน ระหว่างนั้นความกังวลที่มีมาตั้งแต่ช่วงเย็นของผมก็ยังไม่หายไป

วันนี้คุณไป๋ดูแปลกไปจริงๆ เหมือนจะซึมแต่ก็ไม่ได้ออกอาการมากขนาดนั้น ประมาณว่าไม่สดชื่นเหมือนที่เคยล่ะมั้ง เพราะเหตุนั้นตอนที่พวกเรานอนลงบนโซฟาเบด ผมก็ยังไม่สามารถละสายตาจากเขาไปได้

เมื่อวานพวกเราก็นอนกันแบบนี้ ผมทำแค่ขยับเข้าไปใกล้ จูบหน้าผากเขาเบาๆ เพราะกลัวว่าถ้ามากกว่านั้นมันจะเกินเลยจนคุมไม่อยู่ ส่วนเขาก็ยิ้มเขิน พลิกตัวหันหน้าไปอีกฝั่งก่อนจะหลับไป

ส่วนวันนี้ผมมองสบตาเขา ส่งยิ้มให้ ก่อนจะยกมือขึ้นตบบนไหล่ตัวเองแล้วถามต่อ

“นอนนี่มั้ย”

คำตอบคือการพยักหน้ารับ ก่อนเขาจะขยับตัวมานอนหนุนไหล่ผม แล้วพาดแขนตามมากอดเอาไว้

ทั้งบ้านมีแต่ความเงียบ...ผมยังไม่ง่วงขนาดนั้น ส่วนอีกฝ่ายที่นอนนิ่งๆ ผมก็รู้สึกได้ว่าเขายังไม่หลับ

เวลาผ่านไปสักพักคุณไป๋ก็พูดขึ้น

“คุณ...”

“ฮึ?”

“วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายพ่อผม”

ฮะ? ผมอึ้ง

เอาจริงๆ ถ้าให้ผมลองเดาสักสิบครั้งว่าสาเหตุที่ทำให้บรรยากาศเศร้าๆ ปกคลุมอีกฝ่ายเอาไว้ในช่วงหัวค่ำคืออะไร มันคงไม่มีสักครั้งที่ผมจะคิดว่าเหตุผลคือเรื่องนี้

ผมกระชับอ้อมกอดแน่นเข้า จูบลงไปบนหน้าผาก แตะริมฝีปากค้างไว้พักใหญ่ ก่อนจะผละออกแล้วพูดออกมา

“คิดอยู่แล้ว ว่าทำไมวันนี้คุณดูไม่ค่อยสดใสเลย”

“อืม...”

เขารับคำ เงียบไป ก่อนที่ผมจะถามต่อ

“อยากเล่าอะไรให้ผมฟังมั้ย”

คุณไป๋นิ่งไปสักพัก เหมือนกำลังเรียบเรียงความคิดแล้วค่อยๆ เล่าออกมา

“พ่อกับแม่เลิกกันตั้งแต่ผมอายุยังไม่ถึงขวบ แล้วก็ไม่เคยรู้เลยว่าเพราะอะไร รู้แค่อาม่าชอบบอกอยู่ตลอดว่าถ้าผมไปอยู่กับพ่อผมจะลำบาก แต่เวลาพ่อมาหาผม มารับผมไปกินโน่นกินนี่ พ่อชอบพาผมไปกินอาหารญี่ปุ่นน่ะ สมัยนั้นนี่อาหารญี่ปุ่นคือหรูสุดๆ แล้วนะ ระหว่างที่นั่งกินอะไรอร่อยๆ พ่อก็จะบอกกันตลอด ว่าอาม่าพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผมกับพ่อได้อยู่ด้วยกัน ผมโตมาแบบนั้น เหมือนอยู่ตรงกลางแล้วโดนพ่อกับอาม่าดึงไปมาตลอดเวลา”

“...”

“ส่วนหม่าม้า ถึงแม้จะแต่งงานใหม่หลังเลิกกับพ่อได้ไม่ถึงปี แต่หม่าม้าก็คอยดูแลผมเหมือนเดิม ป๊า...หมายถึงพ่อเลี้ยง ก็ดีกับผม แต่ทั้งสองคนไม่เคยรู้เรื่องนี้ เพราะผมเลือกที่จะไม่พูด”

“...”

“ผมมารู้ทุกอย่างตอนโต เพราะแม่บ้านเล่าให้ฟังว่าที่พ่อกับม้าเลิกกันเป็นเพราะอาม่า อาม่าผมรับไม่ได้ที่พ่อเป็นคนไทยแท้ๆ แล้วก็อยากให้ม้าแต่งงานกับคนที่มีเชื้อสายจีนมากกว่า การที่ม้าแต่งงานใหม่ก็เป็นการจัดการของอาม่าเหมือนกัน ตอนรู้ครั้งแรกผมสับสนมากเลย อยากจะโกรธอาม่าที่ทำให้ครอบครัวแตกแยก แต่ม้าผมก็มีความสุขดีกับการแต่งงานใหม่ที่อาม่าจัดขึ้น สุดท้ายก็เหมือนเดิม ผมเหมือนถูกคนโน้นคนนี้ดึงไปมาตลอดเวลา ไม่รู้เลยว่าควรจะอยู่ตรงไหน”

ฟังมาถึงตรงนี้แขนข้างนึงของผมก็กอดเขาแน่นเข้า ส่วนอีกข้างก็กุมมือเขาเอาไว้

“ขนาดตอนโต เรียบจบทำงานแล้ว ป๊ากับม้ารู้แหละว่าผมชอบผู้ชาย แต่ก็ขอให้ผมเก็บเรื่องนี้ไว้จากอาม่าจนสุดความสามารถ หรือแม้แต่การที่ก่อนหน้านี้ผมไม่สามารถมาอยู่บ้านหลังนี้ได้เพราะเป็นบ้านของพ่อ ก็เป็นคำสั่งของอาม่าเหมือนกัน”

“...”

“ชีวิตผมง่ายขึ้นมา หลังจากอาม่าเสียไปเมื่อสองปีก่อน แต่ก็แปลกดีเหมือนกันที่ผมเสียใจเอามากๆ เลยตอนที่รู้ว่าท่านจากไป ทั้งที่ชีวิตผมยุ่งเหยิงขนาดนี้ก็เพราะการบงการของอาม่าทั้งนั้น”

“เพราะคุณรักท่านไง”

“อืม ก็คงจะเป็นอย่างนั้น...ส่วนบ้านของพ่อ หลังจากม้าแต่งงานใหม่ก็มองหน้ากันไม่ติดไปเลย ทุกอย่างยิ่งแย่ลงตอนที่พ่อผมป่วยเป็นมะเร็ง ที่บ้านหวังว่าม้าจะแสดงความห่วงใยหรือมาดูแลบ้าง เพราะพ่อผมไม่ได้แต่งงานใหม่ แต่พอม้าไม่ได้ทำอะไรมากกว่าเข้าไปเยี่ยมครั้งสองครั้งกับกระเช้าหน้าตาธรรมดา ความสัมพันธ์ระหว่างสองบ้านก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”

“...”

“สุดท้ายตอนที่พ่อเสีย ทางฝั่งคุณอาของผมก็ตัดสินใจเอากระดูกไปเก็บไว้ที่บ้าน ไม่ยอมให้ผมหรือว่าม้าไปไหว้ด้วยซ้ำ แม้แต่การที่บ้านหลังนี้เป็นของผม พวกเค้าก็ค้านอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่สามารถเอาชนะเอกสารที่พ่อทำไว้ได้”

แค่ฟังที่เขาเล่าผมก็เหนื่อยแทนแล้ว ชีวิตคนคนหนึ่งไม่ควรจะต้องมาแบกรับอะไรที่ยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้

“คุณเก่งมากเลยนะที่ผ่านทุกอย่างมาได้ งั้นพรุ่งนี้เราไปวัดมั้ย ถวายสังฆทานก็ได้ แล้วคุณก็ตั้งจิตอธิษฐาน ผมว่าพ่อคุณก็คงรับรู้ได้แหละ”

“อืม...ชั้นบนบ้านผมมีหิ้งพระเล็กๆ เมื่อเช้าตอนตื่นนอนผมก็ไปไหว้พระ ไม่รู้จะขออะไรเหมือนกัน สุดท้ายก็ได้แต่ขอให้พ่อมีความสุขดีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน”

“ท่านต้องรับรู้แน่ๆ”

“เนอะ”

เขาพูดออกมาแค่นั้นแล้วก็ถอนหายใจ

“เมื่อตอนบ่ายม้าผมโทรมา คุณก็อยู่นี่...”

“ใช่...”

“ม้าโทรมาชวนไปไหว้พระที่ไทเปตอนปีใหม่ แล้วก็ถามถึงลูกแมวด้วย แต่ไม่พูดถึงพ่อสักคำ”

“...”

“เหมือนเด็กเลยเนอะ พอรู้ว่าพ่อแม่ไม่รักกันแล้วก็เสียใจ ซึมไปซะอย่างนั้น” ผมหันไปจูบหน้าผากเขาอีกครั้ง ก่อนจะตอบกลับ

“เพราะเป็นผู้ใหญ่ต่างหากล่ะ คุณถึงได้เสียใจ...”

เขาหัวเราะนิดๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด

“นั่นสิ ตอนเป็นเด็ก เศร้าแป๊บเดียว ได้ออกไปวิ่งเล่นขี่จักรยานเล่นก็หายแล้ว”

“ใช่ไหมล่ะ...เป็นไง ได้พูดออกมาแล้วสบายใจขึ้นมั้ย”

“มาก” เขาซุกใบหน้าลงมาบนไหล่ผมมากขึ้นแล้วพูดต่อ “ดีนะที่มีคุณมาคอยฟังเรื่องวุ่นวายของครอบครัวผม พวกเพื่อนๆ นี่ฟังจนเบื่อแล้ว จะโทรไปเล่าอีกบางทีก็เกรงใจ”

ผมยิ้มรับ ไม่ตอบอะไร ก่อนที่เขาจะพูดต่อ

“แต่งงานกันมั้ย”

คราวนี้ผมขมวดคิ้ว ก้มลงไปมองสบกับแววตาสีเข้มคู่นั้นที่มองมาแล้วกระพริบช้าๆ เหมือนกำลังล่อลวงกัน ผมพยายามตั้งสติไว้แล้วตอบกลับ

“ไม่ครับ”

“ใจร้ายอะ”

“ไม่ เพราะตอนนี้คุณกำลังรู้สึกเหงา แล้วก็แค่อยากมีใครอยู่ด้วย แต่จะรีบโอเคเลย ถ้าคุณมั่นใจแล้วว่ารักผมจริงๆ”

“ทีเวลาแบบนี้แล้วสติมั่นคงเชียวนะ ไม่สนุกเลย”

เขาตอบกลับ ทำหน้ามุ่ย ขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะถามต่อ

“แล้วครอบครัวคุณล่ะ เป็นยังไงบ้าง”

ผมยิ้มรับแล้วก็เริ่มอธิบาย

“สมมติเรื่องที่คุณเล่าเมื่อกี้เป็นซีรี่ส์สามซีซั่น ซีซั่นละยี่สิบตอน เรื่องครอบครัวผมคงเป็นหนังสั้นที่จบในสิบห้านาที”

“ยังไงอะ”

“พ่อแม่ผมรู้จักกันตั้งแต่สมัยเด็กเลย แถมยังเลือกเรียนครูทั้งคู่น่ะ พอเรียนจบก็แต่งงานกัน พยายามสอบบรรจุให้ได้ในกรุงเทพฯ จนสำเร็จ แล้วก็ทำงาน หาเงิน เก็บเงิน ซื้อบ้านหลังที่ผมอยู่ แล้วก็มีลูกสองคน หญิงคนชายคน พอถึงวัยเกษียณก็กลับไปปรับปรุงที่ดินเก่าแก่ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษให้เป็นบ้านสวน ปลูกผักปลูกผลไม้เล็กๆ น้อยๆ จะได้ช่วยประหยัดเงินบำนาญ จบ”

“ไม่ลุ้นเลย”

“ก็บอกแล้วว่าหนังสั้น”

“นั่นสิ แต่ก็ไม่แปลกใจหรอก แค่เห็นบรรยากาศบ้านคุณก็รู้แล้วว่าคงประมาณนี้”

“ทำไมอะ”

“เรียบง่ายแต่อบอุ่นไง”

สิ่งที่คิดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขาก็คือ

สักวันหนึ่งผมจะทำให้เขาได้อยู่ในบ้านแบบนั้น...



- to be continued -
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 09 - 160263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 22-02-2020 21:26:52
ลืมถามไปว่า

นอกจากโซฟาแล้ว  มุ้งลวดยังปลอดภัยไหม


เพราะที่บ้าน ทั้งโซฟา มุ้งลวด ......รอยเล็บของเหมียว เหมียว ฝากไว้
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 09 - 160263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 22-02-2020 21:27:44
มะตูม เป่าเป้ย และลูกๆน่ารักมาก อินไปกับเรื่องจนอมยิ้มตามเลยค่ะ ตอนที่อ่านบรรยายเรื่องลูกแมว  :mew1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 09 - 160263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 22-02-2020 23:40:33
โอ๋ๆนะคุณไป๋  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 10 - 220263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 23-02-2020 21:52:07
ขำคนกลัวผีอยู่ดี ๆ จบดราม่าเฉยเลย กอดคุณไป๋นะคะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 10 - 220263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: ป้าหมีโคตรขี้เกียจ ที่ 26-02-2020 11:12:15
พอเด็กๆโตต้องวุ่นวายแน่ๆ โซฟาที่เคนนอนดูเน็ตฟลิ๊กกันน่ะไม่รอดหรอก 555
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 10 - 220263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 26-02-2020 13:04:18
น่ารักมากๆ เพิ่งจะได้ตามอ่าน ชอบบบบ ฮาตั้งแต่อุ้มเมาแล้วอุ้มแมวกลับบ้านล่ะ :hao7:

วันดีคืนดี ไอ้ตูมลูกชายหน้ามึนไปทำแมวสาวข้างบ้านท้อง แมวแพงผู้ดีไปอีก5555555

แต่ถึงไอ้ดีจะไปมีลูกเมียไม่ปรึกษาพ่อมัน แต่นำพาความรักมาให้พ่อแทน แถมหลานๆน่ารัก ซนร้ายกาจอีกเป็นโขยง  :laugh:

มะยม เป่าเปา มะระ ชิงชิง เป็นดีนะลู๊กก
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 10 - 220263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 26-02-2020 23:25:43
 :heaven



มะระ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 10 - 220263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 28-02-2020 21:04:02
 :hao3:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 10 - 220263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 29-02-2020 19:32:05
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect fall11.jpg)

-11-



นอกจากไฟประดับกับต้นคริสต์มาสแล้ว สัญญาณที่บอกให้รู้ว่าเทศกาลปีใหม่กำลังจะมาถึงอีกอย่างก็คือลานเบียร์

แล้วก็เหมือนทุกปีที่เจ้านายจะพาทุกคนไปเลี้ยงเบียร์ตรงห้างสรรพสินค้าไม่ไกลจากออฟฟิศ โดยให้พวกผมทั้งหมดจอดรถทิ้งไว้บริษัท แล้วนั่งแท็กซี่กลับบ้านเพื่อความปลอดภัย

ตอนเย็นก็บอกคุณไป๋ไปแล้วนะว่าจะไปดื่มต่อ พร้อมฝากเลี้ยงข้าวไอ้ตูมสักมื้อ แต่หลังจากเริ่มเบียร์ทาวเวอร์ที่สี่ ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความไปหาเขา



‘ฟังเพลงรักแล้วคิดถึงคุณอะ’



ใครอายก็อายไปเหอะ ตอนนั้นน่ะผมไม่อายเลยสักนิดเดียวเพราะเมาหน่อยๆ หลังจากส่งไปไม่นาน อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาอย่างตรงประเด็น



‘เมาแล้วแน่ๆ ’

‘นิดหน่อย ทำไมรู้อะคุณ? ’

‘ยังจะถาม กลับยังไงเนี่ย? ’

‘แท็กซี่คับ ทิ้งรถไว้ออฟฟิศแล้ว’

‘ไปต่อมั้ย? ’

‘น่าจะไม่แหละ พรุ่งนี้ยังต้องทำงาน’

‘ให้ไปรับปะ? ’

‘ไม่เอาอะ เกรงใจคุณ’

‘ลานเบียร์ปิดกี่โมง’

‘เที่ยงคืน’

‘ห้าทุ่มปลายๆ ผมออกจากบ้านก็แล้วกัน’

‘มาจริงดิ? ’

‘ล้อเล่นมั้ง’

‘โอเค มาถึงแล้วโทรหาผมนะ’

‘อื้ม’




หลังจากนั้นผมก็ไมได้ไปกวนอะไรเขาอีก จนกระทั่งเจ้าตัวส่งข้อความมาบอกกันตอนห้าทุ่มปลายๆ ว่าออกจากบ้านมาแล้ว และในตอนที่ผมกำลังพยายามกินเบียร์ส่วนสุดท้ายให้หมดเพราะพนักงานจะมาเก็บทาวเวอร์กลับไป โทรศัพท์ก็ดังขึ้น

พอมองหน้าจอก็เห็นว่าเป็นคุณไป๋ที่โทรมา ผมเลยกดรับสาย

“อยู่ไหนแล้วคุณ”

[มาถึงแล้วอะ ให้รอบนรถหรือว่าลงไปรับดี]

“ลงมาสิ”

ที่ตอบกลับไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้เขานั่งอยู่บนรถคนเดียว แล้วในตอนที่ทุกคนกำลังลุกขึ้นจากโต๊ะ ผมก็มองเลยไปเห็นว่าคุณไป๋กำลังเดินตรงมาทางนี้

ตอนนั้นแหละที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าเขาลงมาก็เท่ากับว่าต้องเจอพี่ๆ ที่ทำงานกับเจ้านายผมอะดิ

ผมน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่คุณไป๋เขาจะโอเคมั้ยนะ

ผมหันไปโบกมือให้คนที่ใส่เสื้อยืดกับกางเกงนอน ก่อนเขาจะโบกมือกลับมาด้วยท่าทีสบายๆ ในขณะเดียวกันคำถามจากพี่ซึ่งนั่งโต๊ะทำงานติดกับผมก็ดังขึ้น

“ใครอะ น้องมึงเหรอ”

“คนคุยผมไง เค้าอายุยี่สิบแปดเท่าพี่เลย”

แล้วเสียงถัดมาก็ดังมาจากคนรักของเจ้านายผม ที่เพิ่งมาถึงเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนเพื่อรับแฟนกลับบ้าน

“เฮีย ตอนอายุยี่สิบแปดเราดูดีแบบนั้นปะ”

“ไม่อะ เค้าดูสติดีกว่ามึงเยอะ”

คนฟังทำหน้ามุ่ย แล้วหันมาชวนผมคุยต่อ

“เค้าคือเจ้าของแมวตัวนั้นเหรอ”

“ใช่พี่”

เจ้าตัวพยักหน้ารับ พร้อมกับที่อีกฝ่ายมาถึงพอดี เขายกมือไหว้ทุกคน แล้วก็ดูออกแหละว่าเขินอยู่หน่อยๆ ผมเลยเดินไปหยุดอยู่ข้างเขา หันมาหาพี่ๆ แล้วถามต่อ

“พวกพี่มีใครจะติดรถกลับบ้านกับผมมั้ย”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวกูไปส่งพวกมันเอง มึงกลับบ้านดีๆ แล้วกัน”

ได้ยินเจ้านายพูดอย่างนั้นผมก็พยักหน้ารับ ยกมือขึ้นไหว้ทุกคน ก่อนจะเดินแยกตัวมา สักพักคนที่เดินอยู่ข้างผมก็ถามขึ้น

“คนนั้นคือเจ้านายคุณเหรอ คนที่บอกให้กลับบ้านดีๆ อะ”

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะยกมือขึ้นกอดคอพาดไหล่เขาแล้วพูดต่อ

“เป็นไง หล่อใช่ปะ”

“อืม ดูดีเลยอะ”

“งั้นผมคงต้องหล่อด้วยแล้วแหละ เพราะพี่ๆ ที่บริษัทบอกว่าผมกับเจ้านายหน้าเหมือนกัน”

สีหน้าของคนที่หันมามองกันทำให้ผมขำ กระชับแขนที่กอดไหล่เขาอยู่ให้แน่นขึ้นแล้วพูดต่อ

“ชีวิตดีเหมือนกันนะเนี่ย กินเบียร์เสร็จก็มีคนมารับกลับบ้าน”

ระหว่างนั้นคุณไป๋ก็พยายามผลักผมออกแต่ไม่สำเร็จ ก่อนจะพูดต่อ

“ไปไกลเลยๆ ผมอาบน้ำแล้ว เดี๋ยวกลิ่นเบียร์ติด”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็พยายามกอดเขาเข้ามาให้ใกล้กว่าเดิม จนรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาอย่างเอาเรื่องถึงได้ยอมปล่อย

“วันหลังไม่มารับแล้วนะ”

ระหว่างที่บ่น เขาก็ยกคอเสื้อตัวเองขึ้นมาดม แถมยังทำหน้ายุ่งไม่หาย

ผมมองภาพตรงหน้าแล้วได้แต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี จนเขาต้องหันมาตีที่ต้นแขนเข้าให้

พอมาถึงรถคุณไป๋ก็ขึ้นไปนั่งตรงเบาะฝั่งคนขับ ส่วนผมนั่งข้างๆ แล้วเราก็เดินทางกลับบ้านกัน

ความรู้สึกของผมตอนนี้มันไม่ถึงกับว่าเมาจนไม่รู้เรื่องหรอก แค่อยู่ในระดับที่กล้ากว่าปกติ แล้วก็ความยั้งคิดลดน้อยลงนิดหน่อย นอกเหนือจากสิ่งเหล่านั้นก็คือความร้อน ดังนั้นพอโดนแอร์เย็นๆ ของรถ ผมก็ได้แต่เอนหัวไปพิงกระจก เพื่อให้ลมที่ออกมาเป่าเข้าปะทะหน้าเต็มๆ

สักพักอีกฝ่ายถามขึ้น

“เพลงอะไรอะ”

“ฮึ?”

ผมกลับมานั่งตัวตรง หันไปมองคนที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับถนน ก่อนจะได้ยินเขาตอบกลับ

“ก็เพลงที่ไลน์มาบอกกันไง...”

“อ๋อ ที่ผมฟังแล้วคิดถึงคุณอะนะ”

“อืม”

ผมยิ้มทันทีที่ได้ยินคำตอบและเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย เขินแหละ ดูออก...

คำถามของเขาทำให้ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ต่อเข้ากับเครื่องเสียงในรถ หาเพลงพร้อมกับอธิบายไปด้วย

“ปีที่แล้วผมกับเพื่อนไปคอนเสิร์ตเคาต์ดาวน์ข้ามปี ตอนนั้นพวกผมโสดสนิททุกคน แล้วก็กอดคอกันร้องเพลงนี้ดังลั่น หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนคนแรกก็กลับไปคืนดีกับแฟนเก่าแบบเข้าใจกันมากขึ้น ส่วนอีกคนก็ได้คบกับคนที่แอบชอบอยู่ในที่ทำงาน ทุกครั้งที่พวกมันมาอัพเดตว่าคืนดีกันแล้วนะ ได้คบกันแล้วนะ เราก็จะพูดถึงวันที่เรากอดคอกันร้องเพลงนี้ตลอด”

“...”

“แล้วก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ วันนี้ผมฟังเพลงนี้แล้วคิดถึงคุณ”

“...”

“ชื่อเพลง ‘ขอเถอะปีนี้’ เคยฟังมั้ย”

พอเห็นว่าคำตอบคือการส่ายหน้า ผมก็เปิดเพลงให้เขาฟัง



แค่อยากที่จะรู้ว่าใครคือคนนั้นกัน เฝ้ารอ...

ต้องการได้เจอะเจอกับเธอคนที่แสนดี ที่เฝ้าคอย

อยากให้เธอรู้ยังรอเธออยู่ทุกเวลา เฝ้าแต่ภาวนา

หลบอยู่ตรงไหนทำไมไม่ปรากฏกายมา บอกหน่อย



ตราบใดฟ้ายังรอตะวันสาดส่องอยู่ตรงนี้

จะรอทุกนาทีเพราะรู้ว่ามีความหมาย

หากฟากฟ้ายังรอให้พบเจอกัน ในวันไหน

ก็ยังไม่รู้ว่ามันเมื่อไหร่ ที่จะได้พบเจอกันสักที...ปีนี้ขอให้เจอ




ผมมองคนที่กำลังกลั้นยิ้มระหว่างขับรถ พอเพลงจบถึงได้พูดออกมา

“คิดว่าจะไม่เจอซะแล้ว”


,


“ไม่ลงได้มั้ย”

ผมพูดอย่างนั้นออกมาตอนรถจอดตรงหน้าบ้าน ก่อนฝ่ายที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยจะหันมามองกัน ขมวดคิ้วใส่ ยกมือขึ้นผลักไหล่ผมแล้วพูดต่อ

“เข้าบ้านไปอาบน้ำก่อนไป”

“โอเคๆ”

ผมยอมลงจากรถ เข้าบ้านไปอาบน้ำสระผมและใส่ชุดนอนเรียบร้อย พอเดินออกมาหน้าบ้านก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะคว้าไอ้ตูมมือหนึ่ง ลากเก้าอี้มือหนึ่ง มาหยุดอยู่ตรงกำแพงระหว่างบ้านผมกับเขา

สิ่งแรกที่ทำคือจับไอ้ตูมโยนข้ามรั้วไปก่อน ส่วนผมเองก็ขึ้นเก้าอี้ ปีนข้ามรั้วแล้วกระโดดลงไปที่สนามหญ้าบ้านคุณไป๋เขาอย่างง่ายดาย

ปีนบ้านเสร็จผมก็หิ้วแมวเดินไปเคาะประตูกระจก จนคนที่นอนอยู่บนโซฟาเบดสะดุ้งขึ้นทันที

เสียงเพลงที่ดังลอดออกมาบอกให้รู้ว่าเขากำลังฟังเพลงซึ่งผมเปิดในรถก่อนหน้านี้ พอหันมาเห็นหน้ากัน เจ้าตัวก็รีบกดหยุดเพลงทันที...ซึ่งก็ไม่ทันแล้วปะ

คนตรงหน้าลุกขึ้นมาเปิดประตู พร้อมกับที่ผมส่งยิ้มให้เขา พอเห็นท่าทางเขินๆ ก็ตัดสินใจที่จะไม่แกล้ง เอาเป็นว่าไม่พูดเรื่องเพลงก็แล้วกัน

“คุณมาไงเนี่ย ไม่ได้ยินเสียงประตูเปิดเลย”

ผมตอบกลับไปด้วยการชี้ที่กำแพงบ้าน แล้วอธิบาย

“ปีนเก้าอี้ แล้วข้ามมา”

“คุณ!”

“ก็ขี้เกียจเดินอ้อม กำแพงมันก็ไม่ได้สูงมากด้วย”

“อีกนิดก็เป็นโจรแล้วนะ”

“โจรอะไร เจ้าของเต็มใจให้เข้าบ้านขนาดนี้”

คุณไป๋ทำหน้างอทันทีที่ได้ยิน ก่อนผมจะพูดต่อ

“สระผมมาอะ เป่าผมให้หน่อยนะ”

คำตอบคือการถอนหายใจ พร้อมกับที่เจ้าของบ้านชี้ไปยังมุมที่เขานั่งทำงานอยู่ประจำ

“รอโน่นไป ขอไปหยิบไดร์ก่อน”

ผมพยักหน้ารับ แต่กลับเดินไปดูพวกแมวเด็กที่นอนอยู่ในกรงกับแม่อย่างน่ารัก

ถัดไปเป็นมะตูมซึ่งปีนขึ้นไปนอนบนคอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันส่งสายตาให้ผมแล้วสะบัดหางไปมา ก่อนจะนอนลงหนุนขาหน้าตัวเองเตรียมจะหลับ ท่าทางดูน่าหมั่นไส้จนต้องเอื้อมมือไปตีหัวสักที ก่อนจะกลับมานั่งตรงจุดที่อีกฝ่ายบอกไว้

สักพักคุณไป๋ก็กลับมาพร้อมไดร์ในมือ ระหว่างที่เขากำลังใช้ไดร์เป่าให้ผมแห้ง เจ้าตัวก็พูดขึ้น

“วันเสาร์นี้ไปซื้อของเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ปะ”

“ไปด้วยได้ แต่ไม่เป็นเพื่อนได้ปะ”

“ฮื่อ!”

เขาตอบกลับพร้อมใช้มือข้างที่ว่างตีลงมาบนไหล่กันเต็มๆ จนผมต้องถามต่อ

“ซื้ออะไร...”

ผมหันไปหาเขา ก่อนจะโดนจับให้หันกลับแล้วเอ่ยเสียงดุ

“อย่าหันมาสิ นั่งนิ่งๆ”

“โอเคๆ”

“ซื้อของขวัญปีใหม่ให้คนที่ทำงานด้วยกัน น้องในเอเจนซี่คอยส่งงานให้อะ”

“อ๋อ ไปดิ”

“อาจจะนานหน่อยนะคุณ ผมจะเลือกเป็นอย่างๆ ให้แต่ละคนไปเลยอะ คือไม่ได้ซื้อแบบอย่างเดียวแล้วก็ยกโหลอะ”

พูดจบเขาก็หาวออกมา จนผมหลุดขำ

“ไม่เป็นไรหรอก ทีคุณยังขับรถไปรับกันตั้งไกล แล้วมายืนเป่าผมให้ตอนตีหนึ่งเลย”

“ในสภาพง่วงนอนด้วย”

“ใกล้แห้งยัง”

“อีกนิด ที่บ้านไม่มีไดร์แล้วปกติคุณทำไงเนี่ย”

“เวลาสระผมน่ะเหรอ”

“อืม”

“ถ้าไม่ปล่อยให้แห้งเอง ก็นอนเอาหัวห้อยลงจากเตียงแล้วใช้พัดลมเป่า”

“ฮะ? ไม่มึนหัวจริงดิ”

“หึ ชินแล้ว”

ตอนที่พูดอยู่เนี่ย ผมไม่เห็นหน้าเขาหรอก แต่ก็พอจะเดาได้อยู่ว่าคุณไป๋เขาจะทำหน้ายังไง เวลาผ่านไปสักพักแล้วเสียงไดร์เป่าผมก็เงียบลงพร้อมคำพูดที่ดังว่า

“เรียบร้อย”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ลุกขึ้น หันมายิ้มให้

“ดึกมากแล้ว เข้านอนดีกว่า”

คนฟังพยักหน้า เดินไปปิดประตูรั้ว ล็อกประตูบ้าน ส่วนผมปิดไฟเพดานแล้วเปิดโคมไฟทิ้งไว้ รออีกคนเดินมาทิ้งตัวนอนด้วยกัน ก่อนที่ผมจะขยับเข้าไปกอดเขาเอาไว้ และได้ยินอีกฝ่ายพูดขึ้น

“พรุ่งนี้ผมก็ต้องไปส่งคุณอีกถูกมั้ย”

“ใช่...เหมือนเด็กเลย ต้องมีคนไปรับไปส่ง”

พูดจบผมก็จูบลงไปบนหน้าผากของเขา กระชับอ้อมกอดให้แน่นเข้า แล้วพูดออกมาเบาๆ

“กู๊ดไนต์”



- มีต่อนะคะ -

หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 10 - 220263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 29-02-2020 19:35:58

- - -


วันนี้พวกผมมาที่ห้างสรรพสินค้าในเมือง เพราะคุณไป๋ต้องซื้อของขวัญปีใหม่ตามที่คุยเอาไว้ พอเข้ามาในห้างเราก็ได้เจอกับต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ประดับไฟหลากสี และตกแต่งด้วยของน่ารักๆ

ตอนนี้อีกฝ่ายได้ของที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ผมช่วยเขาถือไว้บางส่วน เป้าหมายต่อไปของพวกเราคือการหาอะไรกินเป็นมื้อเย็น ผมอยากกินชาบูแล้วเขาก็ไม่ขัด

ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ เลยชวนเขาคุย

“เดี๋ยวกินอะไรเสร็จ เราเอาของไปเก็บที่รถแล้วไปเดินดูไฟด้านหน้ากันมั้ย”

“ดูไฟเหรอ”

“ใช่”

“ที่บ้านก็มีหลอดไฟให้ดูนะ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยื่นมือไป ตั้งใจจะเอาตะเกียบจิ้มจมูกเข้าให้ พออีกฝ่ายเอนตัวหลบ ผมก็พูดต่อ

“มันมีต้นคริสต์มาส ซานต้า แล้วก็กวางเรนเดียร์ด้วยคุณ”

“อ๋อ ก็ไปดิ”

“อีกฝั่งนึงมีลานเบียร์ด้วยนะ”

“จะไปย้อนความหลังเหรอ”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ถอนหายใจ นึกถึงวันที่ผมไลน์ไปหาจนเขาต้องมารับขึ้นมาทันที

ถ้าไม่ทำเรื่องขายหน้าก็ไม่ใช่พ่อไอ้ตูมสิ ถูกมั้ย

 

กินข้าวเสร็จพวกผมก็จัดการเอาของที่ซื้อมาไปเก็บไว้ในรถ ระหว่างทางที่เดินกลับเข้ามาในห้าง เราก็คุยกันเรื่องที่พวกเด็กๆ กำลังจะอายุครบสองเดือนซึ่งเป็นกำหนดของการฉีดวัคซีนเข็มแรก เลยน่าจะต้องโทรไปนัดเวลาที่โรงพยาบาลเอาไว้ก่อน อีกอย่างคือต้องปรึกษาเรื่องของเป้ยด้วย เพราะอีกฝ่ายตั้งใจจะให้เป่าเป้ยทำหมันทันทีหลังลูกหย่านม

แล้วอยู่ๆ คนที่เดินอยู่ข้างกันก็ชะงักไป ผมหันไปมองเขา แต่สายตาของเขามองไปที่อื่น

คุณไป๋มองสบตาอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง เขาใส่แว่นสายตา สวมเสื้อสีขาวกับเนกไทสีอ่อน ข้างๆ ผู้ชายคนนั้นมีผู้หญิงยืนอยู่ พวกเขาจับมือกัน อันที่จริงก็ไม่ต่างจากเราสองคน

“ไป๋...”

“...หวัดดี”

คุยกันสั้นๆ แค่นั้น แค่สองสามคำ แต่แค่นี้รู้แล้วว่าคนตรงหน้าต้องเป็นแฟนเก่าเขาแน่ๆ

ก่อนคำพูดที่ดังขึ้นมาจะขัดจังหวะความคิดของผม

“เพื่อนเหรอคะ”

เฮ้อ...!

“อืม เพื่อนพี่เอง ไป๋เป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย”

“สบายดี...”

คำพูดนั้นมาพร้อมกับมือที่กุมมือผมแน่นเข้า พอรู้สึกอย่างนั้นผมก็แค่ใช้หัวแม่มือลูบไปมาที่มือเขา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากำลังปลอบใจหรือให้กำลังใจกันแน่

“ดีแล้ว เหมือนเราไม่เจอกันนานเลยเนอะ สองปีกว่าได้แล้วมั้ง”

“ประมาณนั้นแหละ”

“แล้วนี่ไป๋มาทำอะไร”

“ซื้อของ กินข้าว เดี๋ยวจะไปเดินเล่นต่อ”

“งั้น...พี่ไม่กวนแล้ว”

“...”

“ดีใจที่ได้เจอนะ”

คนที่ยืนอยู่ข้างผมพยักหน้ารับ ไม่ตอบกลับแล้วรีบเดินต่อทันที พอผ่านตรงนั้นมาเขาก็ยังไม่พูดอะไร จนผมต้องแกล้งแกว่งแขนไปมาเบาๆ ก่อนจะโดนบ่นจนได้

“แกว่งแขนทำไมเนี่ย”

ผมทำแค่หัวเราะกลับไป ส่วนอีกฝ่ายถอนหายใจ เดินเงียบๆ ไปสักพักเขาก็พูดออกมา

“เมื่อกี้แฟนเก่าอะ”

“ชัวร์ดิ ให้ไอ้ตูมมาดูยังรู้เลยว่าเมื่อกี้แฟนเก่าคุณ”

“มะตูมเนี่ยนะ?”

“อื้อ! ไอ้ตูมหน้าเหลืองนั่นแหละ”

“ไม่น่ามาที่นี่วันนี้เลย”

“ทำไมอะ คุณต้องซื้อของ แล้วที่นี่ก็ของเยอะกว่าห้างแถวบ้านเรา ไม่ดีตรงไหน”

“ก็ไม่ดีที่เจอแฟนเก่าไง”

“แต่ก็มีเรื่องดีด้วยนะ?”

“ดีอะไร ได้กินชาบู?”

“ได้เห็นคุณในโหมดที่ไม่ได้เห็นมาสักพักแล้ว”

“โหมดอะไร”

“โหมดเย็นชาอะดิ เหมือนช่วงแรกๆ ที่เรารู้จักกันเลย ทำหน้านิ่ง ตาแข็ง พูดจาห้วนๆ ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ”

ระหว่างที่ผมพูดนี่ก็โดนค้อนเข้าเต็มๆ ก่อนคำถามจะตามมา

“อยากเห็นอีกปะล่ะ”

น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทันทีทำเอาผมต้องหันไปส่งยิ้มให้แล้วส่ายหน้า

“อย่าทำหน้าหงิกดิคุณ เป็นเด็กไม่ดีซานต้าไม่เอาของขวัญมาหย่อนไว้ให้หน้าบ้านนะ”

“นี่กี่ขวบนะ”

“ยี่สิบหกครับผม”

ผมตอบเจือเสียงหัวเราะก่อนจะเดินออกจากห้างสรรพสินค้าไปยังลานที่ถูกจัดเอาไว้สำหรับต้อนรับเทศกาล พวกเราเดินดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ อันที่จริงมันก็ไม่ได้มีอะไรนอกจากไฟหรือของประดับ เดินเล่นอยู่ไม่นานก็ตกลงกันว่าจะกลับบ้านแล้วก็มารู้ว่าคิดผิดสุดๆ ตอนที่ติดแหง็กอยู่บนถนนนี่แหละ เย็นวันเสาร์ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

ระหว่างนั้นอยู่ๆ ผมก็นึกสงสัยจนอยากจะถามขึ้นมา

“คุณ...ผมถามอะไรหน่อยสิ”

“ฮึ?”

“เมื่อกี้อะ คุณดูเหมือนยังโกรธเค้าอยู่มากๆ เลย”

“เมื่อกี้? แฟนเก่าผมอะนะ?”

“อือ ผมก็ไม่แน่ใจว่าควรถามมั้ย แต่ถ้าคุณไม่สบายใจก็คิดว่าไม่เคยถามไปก็แล้วกัน”

“อืม...อยากถามอะไรล่ะ”

“ไม่รู้สิ ก็แค่อยากรู้เรื่องคุณให้มากกว่านี้มั้ง”

คนฟังถอนหายใจ แล้วก็ส่ายหน้า

“เพื่อความแฟร์ ผมเล่าแล้ว คุณก็ต้องเล่าด้วย”

“โอเค ดีล”

“ก็...ผมกับเค้าเลิกกันไปสักเกือบสามปีได้แหละ แล้วก็คบกันประมาณสามปีเหมือนกัน เรารู้จักกันเพราะอาม่าผมเริ่มป่วยแล้วก็เข้าโรงพยาบาล แต่เค้าไม่ใช่หมอที่รักษาอาม่าผมนะ เค้าเป็นหมอเด็ก”

“หมออีกแล้วเหรอ คนที่เคยจีบคุณอีกคนนึงก็หมอนี่”

“อือฮึ”

“ไม่ได้ละ ผมต้องไปหัดดูลายมือแล้วมั้ง”

“จะทำอะไร”

“ดูดวงไง เรียนหมอตอนนี้น่าจะไม่ทันแล้วอะ เป็นหมอดูแทนแล้วกัน”

“ตลกละ!”

“ไม่แกล้งแล้ว ยังไงต่อๆ”

“พอดีว่าเราชอบนักเขียนคนเดียวกัน เลยมีเรื่องให้ได้คุยเยอะแยะเลย จนพัฒนามาเป็นแฟน ปัญหาเริ่มจากตลอดระยะเวลาที่คบกัน เค้าไม่เคยเปิดตัวผมในฐานะคนรักเลย”

พูดจบเขาก็กดมุมปากเป็นรอยยิ้มเซ็งๆ

“อ้าว...”

“คือ...อันที่จริงจะว่าเค้าก็ไม่ได้นะ มันเป็นเรื่องที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่ตอนคุยแล้ว ว่าถ้าคบก็ต้องคบแบบเงียบๆ พูดให้แย่หน่อยก็แอบคบนั่นแหละ เพราะพ่อเค้าค่อนข้างมีหน้ามีตาในวงการของพวกหมอ แล้วก็จำเป็นมากๆ ที่จะต้องรักษาภาพลักษณ์ ในตอนนั้นผมเข้าใจได้ เพราะผมก็มีปัญหาเดียวกัน คือเรื่องอาม่าที่เคยเล่าให้คุณฟัง จำได้มั้ย”

“อือฮึ”

“ตอนนั้นผมคงรักเค้ามากแหละ ก็เลยยอมตกลงคบด้วย ความสัมพันธ์เลยเป็นแบบพออยู่นอกคอนโดเราคือเพื่อนกัน แล้วก็จะเป็นคนรักเฉพาะเวลาอยู่ในห้อง ตอนแรกมันก็ดีนะ แต่พอนานไปคำถามมันก็มากขึ้นเรื่อยๆ ผมสงสัยว่าเราจะอยู่อย่างนี้ไปได้ตลอดชีวิตจริงๆ ดิ”

“...”

“แล้วทำไมผมต้องทำตัวเหมือนกำลังทำความผิด ยิ่งพอมองไปที่คู่อื่น มันก็อดคิดไม่ได้ว่าเพราะอะไรเค้าถึงสามารถรักกันได้ โดยไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบของความเป็นเพศที่ต่างหรือเหมือนกัน ความคิดพวกนั้นมันเหมือนค่อยๆ กัดกินความรักที่เคยมีจนน้อยลงทุกวัน โดยที่ผมก็ไม่รู้ตัว”

“...”

“แต่พอถึงจุดนึงอะ ผมก็พบว่าตัวเองมองไม่เห็นอนาคตร่วมกับคนคนนี้ไปแล้ว ตอนนั้นผมถามว่าเค้ามองเรื่องของเราในวันข้างหน้าไว้ยังไงบ้าง คำตอบก็คือเราทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว มันคือประโยคที่ดี แต่สำหรับผมในตอนนั้นได้ยินแล้วโคตรจะรู้สึกแย่เลย เพราะไอ้การทำวันนี้ให้ดีที่สุดอะไรนั่นอะ มันคือสิ่งเดียวที่สามารถทำได้ไง”

“...”

“ผมอาจจะแย่เองที่ไม่สามารถรักษาสัญญา ทำตามข้อตกลงที่เราคุยกันเอาไว้ตั้งแต่แรก สุดท้ายผมก็ตัดสินใจบอกเลิกเค้าอย่างใจเย็น แต่เค้าเป็นคนเริ่มทะเลาะ เราเลยจบกันแบบไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

ผมเงียบและรับฟัง สิ่งที่คิดอยู่ในใจตอนนี้ก็คือ...วันนี้เขามากับผู้หญิง แล้วก็เหมือนว่าอีกฝ่ายจะอ่านใจกันได้ เขาเลยพูดออกมา

“ที่เราเห็นวันนี้ มันอาจจะเป็นทางเลือกที่ถูกต้องสำหรับเค้าแล้วก็ได้ ส่วนผมก็อาจจะเป็นเรื่องผิดพลาดเรื่องนึงที่เค้าสามารถแก้ไขและก้าวข้ามผ่านมันไปได้ในที่สุด”

ผมเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ก่อนจะเสริม

“มันก็ช่วยไม่ได้ปะ ถ้าบางครั้งเราจะกลายเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในชีวิตของใครบางคน”

“ก็ใช่ไง ผมก็อาจจะยังโกรธเค้าอยู่นิดๆ ล่ะมั้ง ไม่ได้โกรธที่เราจบกัน ไม่ได้โกรธที่เค้าเปลี่ยนไปคบกับผู้หญิง อาจจะแค่ไม่สามารถลืมคำพูดหลายอย่างที่เค้าพูดในวันที่เลิกกันได้ ตอนนี้ก็ไม่ได้เกลียดนะ แต่คงรู้สึกดีกับเค้าไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะในฐานะอะไร”

“บางทีชีวิตก็เป็นแบบนี้แหละเนอะ”

“อืม...ของผมจบละ ตาคุณแล้ว”

“ผมเหรอ แฟนคนล่าสุดที่คบคือตอนผมอยู่ปีสามอะ สี่ห้าปีที่แล้วโน่น”

“เค้า...เป็นไงบ้าง”

และสิ่งที่ผมตอบกลับไปคือการถอนหายใจ พอละสายตาจากรถคันข้างหน้าที่จอดติดไฟแดงอยู่แล้วมองไปที่อีกคน ผมก็ตัดสินใจสารภาพออกไปตามตรง

“คือ...พูดแล้วต้องดูแย่แน่เลยว่ะคุณ”

“อือฮึ เห็นสีหน้าก็รู้แล้ว”

“เราคบกันเพราะเค้ามาบอกว่าชอบผม ฝั่งผมเองอะ รู้สึกว่าเค้าก็ดี นิสัยดี น่าจะคบกันได้ อีกอย่างเค้าหน้าตาดีด้วย

“แล้ว?”

“แล้วคณะที่ผมเรียนมันก็ยุ่งมาก ผมเลยไม่มีเวลาให้ เค้าก็เหมือนน้อยใจอะคุณ มาหาผมที่คณะ แล้วก็ถามว่าผมรักเค้ามั้ย”

“คุณตอบว่าไม่...”

“ใช่ ผมตอบไปแบบนั้น คือเรื่องเรียนมันทั้งเครียดทั้งเหนื่อยจนแบบ ไม่อยากจะรักษาอะไรไว้แล้วอะ เลยเลือกที่จะพูดความจริง แล้วผมก็โดนตบใต้ตึกคณะ คนเห็นเพียบ วันต่อมาหน้าบวมเหมือนโดนต่อยเลยคิดดู”

สิ่งที่คุณไป๋ทำคือการหัวเราะ และต่อให้เขาจะพยายามกลั้นไว้ สุดท้ายยังไงก็ยังหลุดหัวเราะออกมาอยู่ดี

“เค้าคงโกรธมากจริงๆ นั่นแหละ คือผมก็ยังเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกับเค้าอยู่นะ แล้วช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็เห็นว่าแฟนขอเค้าแต่งงานที่ปารีส”

“โห...”

“ผมก็เลยแบบ ไปเมนต์แสดงความยินดี ในฐานะพี่ชายหรืออะไรก็ได้ ทำนองนี้”

“แล้วเป็นไง”

“เค้าลบคอมเมนต์ของผม”

ตอนนั้นเองที่คนฟังหัวเราะออกมาอย่างไม่เก็บอาการอีกต่อไป พอเห็นท่าทางอารมณ์ดีของอีกฝ่าย ผมก็พูดต่อ

“คุณอะ แทนที่จะสงสาร”

“แล้วคุณไปเมนต์ทำไมอะ”

“ก็อยากแสดงความยินดีไง”

พอผมพูดแบบนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอีก ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ส่งสายตาขำขันมาทางนี้แล้วพูดต่อเสียงอู้อี้เพราะมีมือบังอยู่

“โอเค ไม่ขำก็ไม่ขำ”

เห็นว่าอีกฝ่ายหัวเราะไม่หยุดผมก็ยื่นมือไปจับมือเขา แล้วดึงมางับเข้าทีหนึ่งก่อนจะยอมปล่อย พร้อมกับที่เขาพูดต่อ

“ตอนแรก ผมตั้งใจว่าจะพอสักทีกับเรื่องอะไรทำนองนี้ คุณรู้มั้ย”

“จริงดิ ทำไมล่ะ”

“เหนื่อยๆ มั้ง เวลาเรารู้สึกชอบหรือกำลังคบกับใครสักคนมันก็สนุกดีนะ แต่ละวันมีแต่เรื่องใหม่ๆ ให้ได้เจอตลอดเลย แต่การที่เราไม่ชอบใครเลย มันก็ไม่ได้แย่”

“...”

“สมมติว่าความรู้สึกเป็นกราฟ เวลามีความรักมันก็จะขึ้นสูงบ้างลงต่ำบ้าง แล้วแต่อารมณ์ใช่มั้ย แต่ถ้าไม่มีความรักมันก็เป็นเส้นตรงอยู่ในระดับกลางๆ ไม่สูงไม่ต่ำ แต่ก็จะเป็นอย่างนั้นไปตลอด ซึ่งมันก็สบายใจดี มั่นคงด้วย ผมอยู่กับเป้ยทุกวันก็ไม่เหงาซะหน่อย”

“แล้วทำไมถึงเปิดโอกาสให้ผม”

คำตอบคือการที่เขาเอื้อมมือมาจับมือผมที่ตอนนี้วางอยู่บนคันเกียร์รถ ก่อนคำอธิบายจะตามมา

“คำตอบอยู่ตรงเนี้ย...”

“ยังไงฮึ”

“วันที่เราไปงานลอยกระทงด้วยกันอะ คุณจับมือผมเดินได้หน้าตาเฉยเลย ตอนแรกผมกังวลว่าคุณจะรู้สึกยังไงที่โดนมองเพราะเดินจูงมือกับผู้ชายด้วยกัน แล้วสิ่งที่ผมเห็นคืออะไรรู้มั้ย”

“...”

“คุณไม่ได้แคร์ด้วยซ้ำว่าใครจะมองหรือไม่มอง”

“ก็จริง”

“เหมือนคุณอยากทำแล้วก็ทำเลย คนอื่นไม่ได้อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”

“เราสองคนก็ไม่ได้เป็นดาราอะไรปะคุณ ใครจะมาสนใจว่าคนโน้นจะเดินจับมือกับคนนี้ ถ้าไม่ใช่คนดัง”

“คนขายกรงแมวมองแน่แล้วแหละคนนึง แล้วก็คนเฝ้ามอ’ ไซด้วย”

“จริงดิ?”

“อื้ม!”

“ไม่เห็นรู้เลย”

“ก็นั่นแหละ...แต่มันก็ทำให้ผมตัดสินใจว่าจะลองดูอีกสักครั้ง”

ผมยิ้มรับสิ่งที่ได้ยิน แล้วตอบกลับไป

“แล้วคุณจะได้รู้ว่ามันคือการตัดสินใจที่เจ๋งที่สุดในชีวิต”

ผมพูดแล้วกลับไปจดจ่อกับถนนต่อเพราะสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นไฟเขียวเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นเองที่เสียงจากคนข้างๆ ดังขึ้นมา

“โม้ โคตรโม้เลย”

 

- to be continued -

 

talk .

มีอะไรมาอวดกันแหละ

ท๊าดาน~


(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/ER3YhGOUUAEBiWI.jpg)

ตอนนี้สำนักพิมพ์ลงรูปโปรโมทนิยายเรื่องนี้แล้วนะคะ

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ตามลิ้งนี้เลย >  ❤ (http://www.facebook.com/everyyyyy/photos/a.872362952846872/2769701186446363/?type=3&theater)

ลิขสิทธิ์ยังคงอยู่กับสำพักพิมพ์ EverY เจ้าเดิม

หมายความว่าเร็วๆนี้ก็จะได้เจอกับ ชุนไป๋ ตูมเป้ย แบบรูปเล่มกันแล้วน้า : )

 

ปล. สำหรับเพลงที่นายชุนบอกว่าฟังแล้วคิดถึงคุณไป๋คือเพลงนี้ค่ะ ขอเถอะปีนี้ - SOMKIAT (https://www.youtube.com/watch?v=BxVyuzs6dnQ)

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ

หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 11 - 290263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 29-02-2020 20:05:18
  :mew5:      :mew5:      :mew5:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 11 - 290263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 29-02-2020 22:28:49
ถ้าไม่อกหักก็ไม่เจอรักดี ๆ นะสิ
สองคนนี้เหมาะกันที่สุดแล้ว
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 11 - 290263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-02-2020 23:33:17
 o13


มันก็จริง
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 11 - 290263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 29-02-2020 23:41:52
รักครั้งนี้ ต้องดีแน่นวล..ลลลลลลล  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 11 - 290263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 01-03-2020 03:00:27
ถูกที่ถูกเวลา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 11 - 290263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 05-03-2020 02:38:24
น่าร้ากกกกกก มันงื้อๆๆ อยากฟัดเด็กๆ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 11 - 290263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 06-03-2020 17:46:26
พ่อไอ้ตูมโม้เก่งงง 55555
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 11 - 290263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 07-03-2020 19:35:10
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect fall12.jpg)

- 12 -

ไอ้ข้าว สมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มที่ไปอยู่เชียงใหม่หลังเรียนจบ ตัดสินใจลงมากรุงเทพฯ ช่วงปีใหม่ เหตุผลหนึ่งคืออยากมาเจอพวกผม แต่ที่สำคัญกว่าคือมันอยากมาดูลูกไอ้ตูม

พวกผมไปรับมันที่สนามบินในช่วงสายของวันที่ยี่สิบแปด แวะกินข้าวนั่งคุยกันทั้งวัน แล้วก็ตรงไปที่ร้านประจำ ก็ร้านที่เก็บไอ้ตูมมานั่นแหละ ผมเอารูปมะตูมกับครอบครัวให้พี่เต้ดู พี่แกดีใจเลยแหละตอนที่เห็นว่าไอ้ตูมแข็งแรงดี แถมยังมีครอบครัวเรียบร้อย

คืนนั้นพวกเราดื่ม สนุกสนานเฮฮาตามปกติ แล้วก็นั่งแท็กซี่กลับมานอนกองรวมกันที่บ้านผมเหมือนเมื่อก่อนตอนที่ยังเรียนอยู่

เช้าวันต่อมา หลังจากฟื้นคืนชีพกันทุกคน และกำลังรอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ไอ้ธีร์ต้มอยู่สุกดี ไอ้ข้าวก็พูดขึ้น

“งั้น เดี๋ยวกูจะได้เจอทั้งหลานทั้งคนคุยมึงเลยดิ”

“อืม ก็อยู่บ้านเดียวกันนั่นแหละ”

พวกเพื่อนๆ ทุกคนรู้ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับคุณไป๋ ซึ่งเอาจริงๆ บางทีมึงก็รู้มากไป แต่ผมก็ไม่เดือดร้อนอะไรนะ เพราะไม่ได้อยากปิดบังอยู่แล้ว

อันที่จริงผมก็แวะไปหาเขาที่บ้านมาแล้วรอบหนึ่งหลังอาบน้ำเสร็จ ปีนเก้าอี้ข้ามรั้วไปแบบคราวก่อน พร้อมโดนแซวมานิดหน่อยว่าเมื่อคืนเมาเสียงดังลั่นเลย ดีนะที่อีกฝ่ายย้ายมาตอนพวกผมเรียนจบแล้ว ถ้าอยู่มาตั้งแต่ตอนเรียนจะรู้เลยว่ายิ่งกว่านี้อีก

กว่าพวกผมจะได้ไปเยี่ยมลูกไอ้ตูมก็เที่ยงกว่าไปแล้ว พอเข้าไปก็เจอกับของอะไรก็ไม่รู้ที่ขนมากองไว้กลางบ้านเยอะแยะเต็มไปหมด พร้อมกับที่เจ้าของบ้านพูดขึ้น

“บ้านรกหน่อยนะ พอดีผมกำลังเก็บของที่ไม่ใช้แล้ว จะเอาไปทิ้งกับบริจาค”

ท่ามกลางหลายๆ เสียงที่บอกว่าไม่เป็นไร และกำลังเดินเรียงแถวกันเข้าไปดูลูกไอ้ตูม ไอ้ไอซ์ก็พูดขึ้น

“เอาเพื่อนผมไปกองรวมด้วยเลยครับ อันนี้ใช้ได้อยู่ แต่ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์”

มันพูดแล้วชี้มาทางผม ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะออกมา ผมมองคนที่ขำตามไอ้พวกบ้านี่ไปด้วย แล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

“ไง จะผมเอาไปไว้กองไหน ทิ้งหรือบริจาคฮึ”

คนฟังยิ้มรับ ไม่ตอบอะไรแล้วเดินเข้าไปในครัว แบบที่ดูก็รู้ว่าคงไปหาน้ำหาขนมอะไรให้พวกนี้กินตามเคย ผมเดินตามไปช่วยเขา พร้อมกับที่อีกฝ่ายเริ่มชวนคุย

“เย็นนี้ผมมีนัดกินข้าวกับเพื่อนๆ นะ น่าจะกลับดึก”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ถามต่อ

“ให้ไปรับมั้ย”

“แล้ว...วันนี้ไม่ออกไปกับเพื่อนเหรอ”

“ไม่อะ ให้พวกมันได้มีเวลาส่วนตัวมั่ง ยังไงวันที่สามสิบเอ็ดก็นัดเจอกันอยู่ดี ส่วนไอ้ข้าวก็นอนบ้านผมยาวไปแหละ”

พอเห็นว่าเขายังเงียบอยู่ผมก็สรุปเอง

“ตกลงว่าให้ผมไปรับเนอะ”

คุณไป๋พยักหน้ารับ ขยับเข้ามาใกล้แล้วเอาแก้มแนบไหล่ผม พร้อมกับถามต่อ

“งั้นไปส่งด้วยได้มั้ย ไม่อยากนั่งแท็กซี่ไปอะ”

ผมหลุดยิ้มออกมากับพฤติกรรมอ้อนๆ พร้อมยกมือขึ้นมาสัมผัสแก้มเขาเบาๆ

“ได้สิ กี่โมงฮึ”

“สักหกโมงนิดๆ ก็ได้”

“โอเค”

อีกฝ่ายหันมายิ้มให้กัน ก่อนจะเปิดตู้ใส่ของแล้วพูดออกมา

“เมื่อวานผมไปบ้านใหญ่มา ได้ของจากกระเช้ามาเต็มเลย เพื่อนคุณชอบกินอะไรกันอะ”

“ไม่ต้องเอาของดีไปให้พวกมันกินหรอก เปลืองเปล่าๆ”

ผมพูดพลางมองเข้าไปในตู้เก็บของ แล้วก็เห็นขนม บิสกิต เวเฟอร์วางอยู่เต็มไปหมด ก่อนจะหยิบมันฝรั่งทอดหน้าตาธรรมดาๆ ออกมา พร้อมกับที่โดนคนข้างๆ ตีต้นแขนเข้าเต็มๆ จนต้องเดินหนีออกมาหน้าบ้าน

พวกลุงไอ้ตูมเถลไถลอยู่ที่นั่นสักพัก พอผมปล่อยลูกแมวออกมา แน่นอนว่าทุกตัวพากันเล่นซนกระจุยกระจาย เล่นกันเองบ้าง เล่นกับของเล่นที่พวกเพื่อนผมหยิบมาเล่นด้วยบ้าง

ส่วนผมนั่งลงข้างคุณไป๋ แล้วลงมือช่วยเขาจัดการกับของที่กองอยู่ ทั้งแยกประเภทอย่างพวกกระดาษก็เอาไปชั่งกิโลขายได้ ของบางอย่างก็ต้องทิ้ง แต่บางอย่างเขาจะส่งไปบริจาค แถมยังให้ความรู้ใหม่กับผมอีกว่ามีบริษัทขนส่งเอกชนบางแห่งที่รับส่งของจากลูกค้าไปให้มูลนิธิต่างๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในช่วงปีใหม่ เพราะรู้ว่าคนจะเคลียร์บ้านกันเยอะในช่วงนี้

พอตอนบ่ายผมก็ไปส่งพวกเพื่อนๆ ขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านใครบ้านมัน แล้วก็มานั่งเอกเขนกอยู่ที่บ้านตัวเองกับไอ้ข้าว

ก่อนหน้านี้มันเพิ่งเอาไม้แกะสลักรูปแมวที่ทำเองออกมาให้ผม พอมองดีๆ ถึงได้รู้ว่ามันเป็นรูปมะตูม เป่าเป้ย กับพวกลูกๆ ระหว่างที่เพื่อนกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ ผมก็หาที่วางตุ๊กตาแมวทั้งหกตัว ก่อนจะถ่ายรูปส่งไปให้คนที่อยู่บ้านข้างๆ แล้วก็เดินมานั่งลงบนโซฟาอีกตัวที่ว่างอยู่

อยู่ดีๆ ไอ้ข้าวก็พูดขึ้น

“มึงดูชอบเค้ามาก”

“ฮะ?”

“กูหมายถึงคุณไป๋”

“อ๋อ...”

“เหมือนหมาเลย เวลาอยู่กับเค้านี่เดินตามกระดิกหางดุ๊กดิ๊กๆ”

“ไอ้สัด นี่เพื่อน”

มันหัวเราะรับ ส่วนผมพูดต่อ

“จะว่าแปลกก็แปลกนะมึง กูไม่เคยชอบผู้ชาย แต่พอรู้ตัวว่าชอบเค้า กูก็ชอบสุดๆ เลย”

“มึงไวไงชุน”

“ไว?”

“อืม แต่ไหนแต่ไรแล้วมึงอะ คิดไว ทำไว เวลาจะคบใคร มึงนึกจะคบก็คบเลย พอนึกจะเบื่อ มึงก็เบื่อไปซะอย่างนั้น เบื่อแล้วเบื่อเลยด้วย ไม่มีเริ่มเบื่อนิดๆ แล้วอาจจะกลับมาชอบได้เหมือนเดิม”

“มึงพูดเรื่องนี้หลายหนแล้วเนอะ คือฟังทุกครั้งกูรู้สึกว่าตัวเองเหี้ยทุกครั้ง”

ถึงจะตอบไปอย่างนั้น แต่ผมก็รู้ตัวนะว่าเป็นอย่างที่เพื่อนพูดจริงๆ

“มึงไวแต่มึงไม่เคยโกหก ถามกู กูว่ามันก็ไม่แย่ ชีวิตมันก็แค่นี้ปะวะ อยู่กันได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ยังไงก็ต้องแยก มึงไม่เคยโกหกเพื่อให้ใครอยู่หรือไปจากมึง กูว่ามันก็แฟร์แล้ว”

ผมพยักหน้ารับ ทิ้งตัวนอนลงบนโซฟา มองเพื่อนสนิทที่จดจ่อกับโทรศัพท์ด้วยท่าทางที่เดาได้ว่ากำลังแต่งรูป งานอดิเรกของไอ้ข้าวคือการถ่ายภาพ และมันคือคนที่ย้ายมาอยู่บ้านนี้กับผมหลังจากพ่อแม่กับพี่สาวย้ายออกไป ในกลุ่มเรามันคือคนที่อยู่กับผมมากที่สุด แน่นอนเลยว่าต้องเป็นคนที่รู้จักผมดีที่สุดเช่นกัน

“ถึงจะเจอกันแป๊บๆ แต่กูว่าคุณไป๋เค้าโอเคเลยนะ”

“ใช่มั้ยล่ะ”

ได้ยินสิ่งที่เพื่อนพูดแล้วผมก็ยิ้มรับ ดีใจไปด้วยทั้งที่มันไม่ได้ชมอะไรผมเลยสักคำ

สักพักผมก็ลุกขึ้นปัดกวาดทำความสะอาดบ้าน เสร็จเรียบร้อยก็กลับมานั่งที่เดิม จนกระทั่งคุณไป๋ส่งข้อความมาบอกว่าพร้อมจะออกจากบ้านแล้ว ผมถึงได้ลุกขึ้นไปถอยรถ แล้วทิ้งไอ้ข้าวไว้ที่บ้านคนเดียว

ยังดีที่สภาพการจราจรวันนี้ไม่แย่เท่าเมื่อวาน แต่ก็ใช้เวลาอยู่พอตัวเลยแหละกว่าจะมาถึง ส่งอีกฝ่ายเสร็จผมก็กลับไปนอนขี้เกียจอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม คุยสัพเพเหระกับไอ้ข้าวไปเรื่อย

วิถีชีวิตเพื่อนผมเปลี่ยนตั้งแต่กลับไปอยู่เชียงใหม่ พอสี่ทุ่มมันก็ง่วงและขอตัวไปนอน ส่วนผมนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่เดิม งีบหลับไปรอบนึง แล้วก็ออกจากบ้านเร็วกว่าเวลาที่คิดไว้นิดหน่อย เพราะไม่รู้จะทำอะไร

พอไปถึงผมก็จอดรถ ดับเครื่องแล้วนั่งรออยู่ในนั้น มองจากข้างนอกก็รู้ว่าในร้านน่าจะหรูพอตัว และวันนี้ผมก็ใส่เสื้อยืดเปื่อยๆ กับกางเกงขาสั้น ถ้าอีกคนชวนให้ลงไปหากันต้องดูไม่ดีแน่ๆ รอจนเห็นว่าคุณไป๋เดินออกมาจากร้านถึงได้โทรหา พร้อมกับจับตามองท่าทีของเขาเวลาอยู่กับเพื่อน

กลุ่มตรงหน้ามีทั้งผู้ชายและผู้หญิง จากท่าทางก็เหมือนจะดื่มกันไปไม่น้อยเลย เป้าสายตาของผมกำลังคุยอะไรบางอย่างกับเพื่อนผู้หญิงที่เมาจนต้องเดินเกาะแขนเขา สักพักเจ้าตัวก็หัวเราะออกมาจนตาปิด แล้วก็ตอบกลับไป

เชื่อมั้ย ผมสามารถนั่งมองการเคลื่อนไหวเหล่านี้ไปได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้สึกเบื่อด้วยซ้ำ

สักพักเขาก็รู้ตัวว่าโทรศัพท์ดัง เลยหยิบขึ้นมากดรับ และส่งเสียงทักทาย

“ฮัลโหล”

“ผมมาถึงแล้ว จอดรถรออยู่ทางขวามือ”

ได้ยินอย่างนั้นเขาก็หันหน้ามา ส่งยิ้มให้พร้อมโบกมือทักทาย แล้วหันกลับไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนอยู่สักพัก อาจจะชวนให้ติดรถผมกลับบ้านหรืออะไรทำนองนั้นและคงได้คำปฏิเสธกลับมา เขาเลยแยกตัวแล้วเดินตรงมาทางนี้ ก่อนจะขึ้นมานั่งบนรถผม และสิ่งแรกที่ผมพูดออกไปก็คือ

“เมามาเลย”

พอได้มองใกล้ๆ ถึงสังเกตเห็นว่าผิวแก้มทั้งสองข้างของเขาแดงเรื่อ ตั้งแต่บริเวณโหนกแก้มไปจนถึงสันจมูก ทำให้ดูน่ารักมากกว่าเก่า พอเขาหันมาทำหน้ายุ่งใส่กัน ผมก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองใบหน้าของเขา ขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วจูบลงไปเบาๆ บนริมฝีปาก ก่อนคำโวยวายจะตามมา

“ทำอะไรอะ”

“...นั่นสิ”

“รถมีฟิล์มปะเนี่ย”

เห็นท่าทางของเขาแล้วผมก็หลุดขำ ก่อนจะตอบกลับ

“มีนิดๆ มั้ง”

เขาหันมามองผมด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ ก่อนจะก้มหน้าลงไปฟุบอยู่บนคอนโซลหน้ารถ

นี่คืออะไร

เมา?

กลัวเพื่อนเห็น?

สักพักเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์ที่อยู่ในมือเขาก็ดังขึ้น ก่อนเจ้าตัวจะเปิดดูทั้งที่ยังนั่งอยู่ท่าเดิม แล้วพูดออกมา

“เพื่อนล้อเลยอะ”

ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเอง คุณไป๋เมาแล้วงอแงกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

ได้ฟังสิ่งที่เขาพูดแล้วผมก็ได้แต่หัวเราะรับก่อนจะออกรถ พอผ่านพวกเพื่อนๆ ที่ยืนกันอยู่เขาก็หันมาสะกิดให้หยุดรถ กดกระจกลงแล้วถามออกมา

“ไม่ให้กูไปส่งจริงดิ”

อยู่กับเพื่อนก็พูดกูมึงเหมือนกันนี่

ผมแอบยิ้มกับความคิดของตัวเอง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มแล้วก้มหน้าทักทายให้เพื่อนๆ เขาที่มองมาพอดี บอกตามตรงว่าโคตรประหม่า

“อยากลองนั่งรถวินเทจอยู่นะ แต่กูกดเรียกรถในแอพฯ ไปแล้ว ไม่อยากยกเลิกเค้า”

“แล้วไอ้สองคนนั้นไปไหนอะ”

“ขึ้นแท็กซี่กลับไปแล้ว”

ได้ยินอย่างนั้นเขาก็หันมาหาผม ยกมือขึ้นจับแขนกันแล้วพูดต่อ

“รอแป๊บนึงได้มั้ย ให้รถมารับเพื่อนก่อนแล้วเราค่อยกลับ”

“ได้...”

พอผมพยักหน้ารับเขาก็หันไปคุยกับเพื่อนๆ ต่อ คนที่เหลืออยู่ตอนนี้มีแต่ผู้หญิง ก็ไม่แปลกหรอกที่คุณไป๋เขาจะเป็นห่วง ถึงหน้าร้านจะไม่ได้มืดหรือว่าอันตรายมาก แต่ปลอดภัยไว้ก่อนยังไงก็ดีกว่า

“งั้นเดี๋ยวกูรออยู่นี่แหละ ให้รถมารับมึงก่อนแล้วค่อยกลับ”

พูดจบเขาก็หันกลับมาคุยกับผม ทั้งที่หน้าต่างรถยังเปิดอยู่

“รอแป๊บนึงนะ”

ผมพยักหน้ารับ มองถนนเส้นตรงหน้าที่โล่งกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด เพราะตอนนี้ก็จะตีหนึ่งไปแล้ว แถมยังเข้าสู่ช่วงวันหยุดปีใหม่เรียบร้อย แล้วอยู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้

“คุณ...”

“ฮึ?”

“อยากนั่งรถเปิดประทุนปะ”

“อะไรนะ”

“หลังคารถผมเปิดประทุนได้นะ เปิดมั้ย”

“เอาจริงดิ?”

“อื้ม! ปะล่ะ”

พอคุณไป๋พยักหน้ารับผมก็ก้มลงไปกดสวิตช์เปิดหลังคา เงยหน้าขึ้นมาก็สบตาเข้ากับเขาที่กำลังกวาดสายตามองไปมาอย่างคาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้น เห็นแล้วผมก็อดไม่ได้ถึงกับหลุดขำ ก่อนจะพูดต่อ

“หลังคาเปิดด้วยระบบอัตโนมือคุณ”

ระหว่างที่ตอบผมก็เอื้อมมือไปปลดล็อกด้านบน ก่อนจะต้องลงจากรถ เปิดฝาท้ายแล้วพับหลังคาที่เปิดออกลงไปเก็บไว้ในนั้น ขั้นตอนนี้แหละที่ต้องระวังที่สุดเพราะต้องระวังกระจกหลังรถที่จะถูกพับเก็บไปด้วย ในช่วงที่กำลังปิดฝาท้ายรถเข้า ผมก็ได้ยินเสียงคุยมาจากด้านหน้า

“อวดผัวสุดๆ ไปเลยจ้า”

“ชู่ว!”

เหลือบหางตาไปมองนิดๆ ก็เห็นว่าคนข้างบ้านผมเขากำลังยกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากตัวเอง เพื่อบอกให้เพื่อนหยุดพูด ซึ่งก็ไม่ทันแล้วปะ ผมได้ยินไปแล้วเต็มๆ

ก่อนเพื่อนผู้หญิงอีกคนซึ่งท่าทางเมาน้อยที่สุดจะพูดออกมา

“รถมาแล้ว คันโน้นๆ”

ผมมองตามไปแล้วก็เห็นว่ามีรถแท็กซี่คันหนึ่งขับเข้ามาจอดต่อท้ายรถผม สภาพรถโอเค คนขับเป็นผู้หญิง ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองทะเบียนแล้วก็จำไว้เพื่อความปลอดภัย พอกลับมานั่งหลังพวงมาลัยรถตัวเอง ก็หันมาบอกทะเบียนรถกับคนข้างๆ ให้เขาช่วยจำ แล้วได้คำอธิบายตามมา

“ไม่ต้องกังวลหรอก เพื่อนผมเรียกแท็กซี่คันนี้ให้มารับอยู่ประจำเวลาออกไปดื่มตอนกลางคืน”

ผมพยักหน้ารับแล้วก็ออกเดินทางกลับบ้าน

พอรถเริ่มวิ่ง ลมหนาวที่พอจะสัมผัสได้อยู่บ้างก็เข้ามากระทบใบหน้า ทำเอารู้สึกดีอยู่ไม่น้อย เหลือบหางตาไปมองก็พบว่าเขาเองก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน

พอถึงช่วงที่เป็นถนนโล่งๆ ด้านข้างไม่มีอะไรนอกจากไฟสีส้ม เขาก็ยื่นมือมาเกาะแขนผม แล้วเอนตัวมาซบไหล่พร้อมกับพูดออกมา

“สนุกจัง”

ผมยิ้มรับสิ่งที่ได้ยินหันไปหาเขานิดๆ โดยไม่ละสายตาจากทางข้างหน้า แล้วจูบลงบนขมับแทนคำตอบ

- - -

มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 11 - 290263] [PAGE 3]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 07-03-2020 19:38:28
​.

วันต่อมาคุณไป๋ออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปส่งครอบครัวขึ้นเครื่องบินไปไต้หวัน พอผมถามว่าทำไมเขาไม่ไปด้วย คำตอบก็คือครอบครัวที่ไปเนี่ย ไม่ได้มีแต่ป๊าม้าหรือน้องสาว แต่มีอากู๋ อากิ๋ม อาโกว บรรดาญาติเขาไปกันสิบกว่าคน ดังนั้นเหตุผลที่ไม่ไปก็คือไม่ชอบความวุ่นวาย อีกอย่างไหว้พระน่ะไปไหว้แถวเยาวราชก็ได้ เขาว่าอย่างนั้น

ช่วงกลางวันที่ไม่มีอะไรทำ ไอ้ข้าวเลยชวนผมไปเดินเล่นในมหา’ ลัยที่พวกผมไปลอยกระทงกัน มันเป็นคนชอบถ่ายรูป แล้วก็ตั้งใจจะเอากล้องฟิล์มมาหามุมสวยๆ ถ่ายไปตามเรื่องตามราว ส่วนผมจากที่คิดว่าจะแค่เดินไปเป็นเพื่อนมัน ก็ดันสนใจเรื่องการถ่ายรูปขึ้นมาซะได้

ยิ่งเพื่อนสนิทอธิบายหลักการพื้นฐานคร่าวๆ ให้ฟัง แถมยังให้ลองถ่ายดูหลายครั้งก็รู้สึกได้เลยว่าเงินในบัญชีมันเริ่มมีอาการเรียกร้องอยากถูกใช้

ผมเจอกับคุณไป๋อีกครั้งตอนกลับมาบ้านช่วงบ่าย สิ่งที่เห็นก็คืออีกฝ่ายใส่มาสก์ปิดปากกับจมูกเอาไว้พร้อมแปะเจลลดไข้ไว้บนหน้าผาก

เจ้าตัวส่งข้อความมาบอกผมตั้งแต่เช้าแล้วว่าปวดหัวนิดๆ เหมือนจะไม่สบายแต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ผมเลยตกใจไปนิดหน่อยตอนที่เห็นว่าเขาถึงกับต้องแปะเจลลดไข้

เขานั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟากับเป้ยและปล่อยพวกเด็กๆ ให้ออกมาวิ่งซนตอนที่ผมไปหา นั่งลงข้างเขาแล้วก็ใช้หลังมือแตะหน้าผาก ก่อนจะถามต่อ

“เป็นไงบ้างคุณ”

“ปวดหัวนิดๆ ตั้งแต่เช้าแล้วอะ พอไปส่งป๊ากับม้าที่สนามบินแล้วเจอแอร์เย็น คนเยอะด้วยมั้ง เลยเริ่มตัวร้อนแล้วเนี่ย”

“ไม่ใช่เพราะผมพาคุณไปนั่งรถตากลมเมื่อคืนหรอกเนอะ”

“ไม่รู้ดิ”

คนป่วยพูดแล้วหัวเราะออกมา ก่อนที่ผมจะถามต่อ

“กินยารึยัง”

“กินพาราไปแล้ว พักนิดนึงคงหายแหละ”

เขาตอบ เอนตัวมาพิงไหล่ ก่อนที่ผมจะโอบเขาไว้แล้วยิ้มออกมา

“แล้วคืนนี้ผมต้องออกไปกับพวกเพื่อนๆ ด้วยอะ คุณก็มีนัดนี่ใช่ไหม”

ตอนแรกผมตั้งใจจะชวนเขาไปฉลองด้วยกัน ใจจริงก็อยากเคาต์ดาวน์กับเขานั่นแหละ แต่เจ้าตัวบอกว่าเพื่อนเขาจองโต๊ะร้านอะไรสักอย่างไว้แล้ว

“ใช่ ผมก็มีนัดกับเพื่อนเหมือนกัน ไม่ครบกลุ่มหรอก แค่สามคนที่ยังไม่มีครอบครัวอะ แต่ถ้าป่วยแบบนี้สงสัยคงต้องนอนอยู่บ้าน”

พูดจบเขาก็หาวออกมา จนผมต้องถาม

“นอนมั้ยคุณ เดี๋ยวกางโซฟาออกมาให้”

พอเขาพยักหน้ารับ ผมก็ลุกขึ้น แล้วพูดต่อ

“องค์ชายยกเท้าขึ้นให้กระผมก่อนนะครับ”

คนฟังหัวเราะคิก ยกเท้าขึ้นไปขัดสมาธิ พอโซฟากางออกเป็นเตียงเขาก็นอนลง ส่วนผมเดินไปนั่งข้างๆ ก่อนจะได้ยินเสียงพวกแมวเด็กสู้กันจนต้องหันไปดู พร้อมกับที่คุณไป๋พูดขึ้น

“สักวันบ้านผมต้องถล่มลงมาแน่ๆ”

ผมหันไปมองคนที่นอนอยู่ ส่งยิ้มให้แล้วตอบกลับ

“ไม่เป็นไรหรอก ผมทำงานบริษัทสถาปนิก”

ดวงตาของเขาที่อยู่เหนือมาสก์หรี่เล็กลงเพราะรอยยิ้ม ก่อนผมจะขยับเข้าไปใกล้ ปัดเส้มผมที่ปรกลงมาบนหน้าผากคนตรงหน้าออกแล้วชวนคุย

“ได้ของเล่นใหม่มาด้วย กะว่าพรุ่งนี้ถ้าไม่มีอะไรจะชวนไปเล่นซะหน่อย”

“เล่นอะไรอะ”

“กล้องฟิล์ม”

“...”

“วันนี้เพื่อนผมมันไปเดินถ่ายรูปมา ถ่ายกับกล้องฟิล์มอะ ผมก็เลยลองเล่นดู น่าสนุกดีนะคุณ แล้วพอดีว่ามันมีกล้องใช้แล้วทิ้งติดมาด้วย มันเลยยกให้ผมมาลองใช้ดูตัวนึง”

“กล้องมีแบบใช้แล้วทิ้งด้วยเหรอ”

“อือฮึ ผมเพิ่งรู้วันนี้เหมือนกันเนี่ย ตอนแรกตั้งใจว่าจะชวนคุณไปไหว้พระที่ศาลเจ้าแถวเยาวราช แล้วเดินเล่นถ่ายรูปด้วยกัน”

“ไปได้อยู่แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย”

“อยากไปอะดิ”

คนฟังส่งสายตามาทางนี้ ดวงตาหยีลงเป็นรอยยิ้ม พยักหน้ารับ แล้วเลื่อนมือมากุมมือผมเอาไว้ ระหว่างที่เรากำลังสบตากันเสียงร้องง้าวและเสียงการต่อสู้ของพวกลูกแมวก็ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง เหมือนเป็นฉากหลัง

วันก่อนคุณไป๋โทรไปหาหมอเพื่อปรึกษาเรื่องการฉีดวัคซีนมาแล้ว และได้คำตอบว่าสามารถพาไปได้เลยหลังวันหยุดปีใหม่

นอกจากนี้สีตาของพวกเด็กๆ ก็เริ่มชัดเจนขึ้น เช่นเดียวกันกับบุคลิกของแต่ละตัว สิ่งที่ทุกตัวมีเหมือนกันเลยคือความซน ถึงอย่างนั้นแต่ละตัวก็ยังมีรายละเอียดในพฤติกรรมต่างๆ ที่แตกต่างกัน

ตัวแรก มะยม เจ้าพี่ใหญ่สีส้มที่ได้สีขนแบบไล่ระดับจากแม่มาเล็กน้อย ตอนนี้สีเริ่มเข้มขึ้น แต่ก็ยังเป็นส้มในโทนที่อ่อนกว่ามะตูม สีตาชัดเจนแล้วว่าเป็นสีเหลือง พฤติกรรมที่ผมสังเกตเห็นอย่างหนึ่งก็คือเจ้านี่มักจะไม่เข้ามาแย่งกินขนมกับน้องๆ เวลาที่คุณไป๋เขาให้ชิ้นเนื้อปลา อกไก่ หรือขนมแมวเลีย แต่จะยืนมองอยู่ห่างๆ รอจนน้องกินอิ่มแล้วตัวเองถึงจะเข้ามากิน

เป่าเปา พี่รอง ทั้งสีขนและสีตาเหมือนเป่าเป้ยทุกอย่าง ด้วยความที่สีเหมือนแม่ล่ะมั้ง เจ้านี่ก็เลยติดแม่ที่สุด ต่อให้ไม่กินนมก็ยังชอบไปนอนใกล้ๆ ไปคลอเคลียอยู่กับแม่ตลอดเวลา

มะระ เจ้าเด็กสามสี ที่ตอนนี้เห็นชัดเจนแล้วว่าตาทั้งสองข้างสีไม่เหมือนกัน ข้างหนึ่งเป็นสีเหลืองแบบมะตูม ส่วนอีกข้างเป็นสีฟ้าเข้มแบบเป่าเป้ย เพราะเป็นลูกสาวล่ะมั้ง เจ้าหนูนี่เลยเรียบร้อยที่สุด มักจะชอบปลีกวิเวกไปนอนพักผ่อนอยู่ตัวคนเดียว ในตอนแรกผมกังวลว่ามะระจะสุขภาพไม่ดีเพราะดูซึมๆ แต่คุณไป๋บอกว่าตอนเด็กเป่าเป้ยก็นิสัยแบบนี้ เลยวางใจไปได้หน่อยนึง

และเจ้าน้องเล็กชิงชิง เจ้าเด็กขาวส้มตาสีเหลือง ลูกสาวคนเล็กที่แสบที่สุดในบ้าน ซนที่สุดในบ้าน และเป็นแกนนำในการพาพี่ๆ วิ่งเล่นไปทั่ว ชอบเล่นต่อสู้กับมะยมเป็นที่สุด และชนโน่นนี่ล้มกระจายเป็นประจำ

ผมหันไปมองแก๊งแมวเด็กที่พากันวิ่งเข้าไปมุดใต้ท้องเป่าเป้ยเพื่อกินนม ทันทีที่เห็นว่าแม่เดินออกมาจากหลังบ้าน ภาพตรงหน้าทำให้ผมยิ้มได้ สักพักแม่แมวก็ต้องยอมทิ้งตัวนอนให้พวกตัวกลมแย่งกันดูดนมจนมีเสียงดัง ทุกครั้งที่เห็นอะไรแบบนี้ ในความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้น ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสงสารเป้ย

แล้วอยู่ดีๆ คนที่นอนอยู่ก็ส่งคำถามมา

“แล้วเพื่อนคุณล่ะ”

“ไอ้ข้าวอยู่ที่บ้านผม ส่วนคนอื่นนัดเจอกันที่ลานเบียร์ตอนทุ่มกว่า”

“อ้าว แล้วคุณไม่ไปเทกแคร์เพื่อนเหรอ”

“ไม่ต้องหรอกคุณ ไอ้ข้าวเนี่ย ตอนอยู่มหา’ ลัยมันก็อยู่บ้านนี้กับผมนี่แหละ”

“อ๋อ แล้วมะตูมอยู่บ้านคุณใช่มั้ย วันนี้ยังไม่เจอกันเลย”

ทันทีที่ได้ยินคำถาม ภาพไอ้แมวเหลืองที่ทำเป็นนอนเต๊ะท่าให้ไอ้ข้าวถ่ายรูปด้วยกล้องโปรก็แวบกลับเข้ามาในความทรงจำของผมทันที มันน่าหมั่นไส้จริงให้ตาย

“ใช่ ทดลองเป็นนายแบบให้เพื่อนผมถ่ายรูปอยู่”

สิ่งที่ผมพูดทำให้เขายิ้มได้แล้วเราก็เงียบกันไป ผมละสายตาจากเขา หันไปดูพฤติกรรมพวกเด็กๆ ที่กำลังกินนมแม่ มองกลับมาอีกทีคุณไป๋ก็หลับไปเรียบร้อยแล้ว

คงเป็นเพราะนอนดึกตื่นเช้า แถมยังไม่สบายด้วยล่ะมั้งเขาเลยหลับยาว

พอถึงเวลาที่ต้องกลับบ้าน ผมก็ค่อยๆ ดึงมือตัวเองออกมาจากการเกาะกุมของเขา ก้มหน้าลงไปจูบที่หน้าผาก แล้วกระซิบบอกกันเบาๆ

“ผมกลับก่อนนะคุณ”

คนที่นอนหลับอยู่ลืมตางัวเงีย พยักหน้ารับแล้วหลับต่อได้ในทันที

ผมกลับบ้านตัวเองมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวออกไปคืนนี้ ก่อนออกจากบ้านยังอดไม่ได้ที่จะชะโงกไปดูบ้านข้างๆ แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายน่าจะยังนอนหลับอยู่ เลยตัดสินใจที่จะไม่กวน

โทรศัพท์ผมแจ้งเตือนอีกครั้งตอนสองทุ่ม พอเปิดดูผมก็เห็นรูปถ่ายจากกล้องหน้า ในภาพมีคุณไป๋กับเพื่อนๆ สองคนที่รอรถมารับในคืนนั้น และทั้งหมดอยู่ที่บ้านของเขา ก่อนที่ข้อความจะตามมา

 

‘เพื่อนมาหาที่บ้านแหละ’

‘ดีแล้วคุณ จะได้มีคนอยู่ด้วย’

‘มาแล้วไปแล้วอะ’

‘สองคนนั้นจองโต๊ะกับจองคอร์สอาหารไว้ด้วย จ่ายมัดจำไปแล้ว เลยไม่อยากให้ทิ้ง เสียดายเงินแย่’

‘งั้นคุณก็ต้องอยู่คนเดียวอะดิ’

‘อยู่กับเป้ยหรอก’

‘อยู่กับเป้ยจะเหมือนอยู่กับผมเหรอ? ’

‘สนุกกับเพื่อนไปเถอะน่า’

‘จะดูหนังผีแล้ว’

‘ห้ามตอบนะ คุยกับเพื่อนเลย อย่ามัวแต่เล่นโทรศัพท์!’

 

ผมยิ้มรับกับข้อความที่ส่งมา ตัดสินใจทำตามที่เขาบอก กดล็อกหน้าจอก่อนจะได้ยินคำถามจากไอ้ธีร์

“คุณไป๋เหรอ”

“อืม”

ผมรับคำ แล้วหันไปมองสบตากับมัน วันนี้ทั้งไอ้ธีร์แล้วก็ไอ้ไอซ์พาแฟนมาด้วยทั้งคู่แบบที่นานๆ จะเห็นสักครั้ง

ไม่แปลกหรอก...ใครๆ ก็อยากข้ามปีไปกับคนพิเศษทั้งนั้นแหละ จริงมั้ย

ก่อนที่ไอ้ไอซ์จะพูดขึ้น

“ถ้ามึงเป็นห่วงเค้า จะกลับบ้านไปดูก็ได้นะ”

“เค้าอยากให้กูมาอยู่กับพวกมึงเนี่ย”

“เชื่องดีเหมือนกันนะมึงเนี่ย”

พอได้ยินไอ้ข้าวพูด ผมก็ยกมือขึ้นชูนิ้วกลางให้มันก่อนจะกินเบียร์ต่อ

พวกผมนั่งคุยเล่นกันไปเรื่อยๆ มีความสุขดีหรอกที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าเหมือนเมื่อก่อน แต่เวลามองไปที่ไอ้ธีร์แล้วเห็นว่ามันกระซิบคุยกับแฟน แตะตัวกันบ้างเล็กน้อยแบบที่ไม่โจ้งแจ้ง แต่ก็ชัดเจนในความสัมพันธ์ มันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงคนที่อยู่บ้านคนเดียว

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรส่งมา ใจหนึ่งก็อยากทักไปหา อย่างน้อยตัวไม่ได้อยู่ด้วย ได้คุยกันก็ยังดี แต่เขาก็ดันไม่อยากคุยด้วยซะอีก...

เวลาผ่านไปจนถึงช่วงห้าทุ่มกว่า อยู่ๆ ดนตรีที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น พวกผมมองหน้ากันแล้วขำออกมาเพราะนึกถึงเรื่องเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่แหกปากตะโกนร้องเพลงนี้

มันคือเพลง ‘ขอเถอะปีนี้’ ที่ผมเปิดให้คุณไป๋ฟังตอนนั่งรถ

ผมเห็นไอ้ไอซ์กุมมือแฟนมันเอาไว้ ส่วนไอ้ธีร์หันไปมองคนข้างๆ ด้วยสายตาลึกซึ้ง และอีกฝ่ายก็มองกลับมา ไอ้ข้าวกับไอ้บาสที่ยังโสดก็กอดคอกันร้องเพลงแหกปากดังลั่นเหมือนเดิม ส่วนผมทำได้แค่กำโทรศัพท์ในมือไว้ ก่อนไอ้ข้าวจะยกมือขึ้นมาตบหัวกันเต็มแรง แล้วใช้แขนข้างที่ยังว่างอยู่ล็อกคอผมไปเข้าแก๊งชายโสดกับพวกมัน

เฮ้อ กูอยากโสดที่ไหนล่ะ!

พอเพลงจบลง พวกผมก็เข้าสู่โหมดสนทนาจริงจังไปซะอย่างนั้น เป็นไอ้ธีร์ที่เปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง

“มึงกลับบ้านไปเหอะ”

ผมถอนหายใจ ยกเบียร์ขึ้นมาซดหมดแก้ว ระหว่างนั้นก็ปล่อยให้พวกมันพูดต่อ เริ่มจากไอ้ข้าว

“กูเข้าใจว่ามึงแคร์เพื่อน อยากอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา เนี่ยแม่งก็ครบละ พอละ ไปหาเค้าเหอะไป”

“เค้าโอเค เค้าบอกกูแล้ว”

“โอเคก็เหี้ยละ ไม่สบายแล้วต้องมาอยู่ข้ามปีคนเดียว เหงาตายห่า”

ไอ้บาสพูดออกมา พร้อมหยิบขนมบนโต๊ะใส่ปากแล้วกินเหล้า จนผมต้องพูดต่อ

“ก็พวกมึงสองคนจะนอนบ้านกูไม่ใช่รึไง”

“กูจะบอกอะไรให้ ไม่ว่ามึงจะทำเหี้ยอะไร สุดท้ายพวกกูก็ยังอยู่กับมึงไม่ไปไหน แต่กับเค้าอะ ถ้ามึงไม่คว้าไว้ เค้าก็อาจจะไปกับคนอื่น ดังนั้นมึงก็เลยต้องไปหาเค้า แล้วทิ้งพวกกูไว้ก่อน เข้าใจมั้ย”

ฟังสิ่งที่ไอ้ข้าวพูดแล้วผมก็นึกถึงบรรดาหมอๆ ของเขาขึ้นมาทันที แม่งเอ๊ย!

“กูไม่อยากติดหญิงแล้วทิ้งเพื่อน แบบที่เคยด่าพวกมึงไว้ปะวะ”

“หญิงเหี้ยอะไร เค้าเป็นผู้ชาย”

ขนาดไอ้ไอซ์ยังด่าผมเลย เฮ้อ...

“ดังนั้น กุญแจบ้านมึงอะ เอาออกมาวางไว้นี่ แล้วตัวมึงอะกลับบ้านไป”

ไม่พูดเปล่า ไอ้บาสมันยื่นขามาถีบผมจากใต้โต๊ะซ้ำอีกที ถีบเต็มแรงด้วยเหอะ

ผมกวาดสายตามองพวกมัน สีหน้าทุกคนบอกชัดว่า มึงรีบไปซะทีเหอะ ก่อนผมจะลุกขึ้น หยิบกุญแจบ้านมาวางลงบนโต๊ะเต็มแรง

“เอาไป!”

ได้กุญแจบ้านเสร็จพวกมันก็สะบัดมือไล่ผมกันใหญ่ แถมยังโห่ตามหลัง

นี่พวกมึงรักกูจริงๆ ใช่มะ

 

แท็กซี่พาผมกลับมาที่หมู่บ้านตัวเองเรียบร้อย มองเข้าไปยังบ้านคุณไป๋ก็เห็นว่าเขาปิดไฟไปแล้วแต่ยังเปิดโคมไฟอยู่

ผมตื่นเต้นขึ้นมาซะดื้อๆ ตอนที่กดกริ่งหน้าบ้าน รออยู่ไม่นานอีกฝ่ายก็เดินออกมา

เขาใส่ชุดนอนแล้ว แถมยังดูตกใจอยู่ไม่น้อยเลยที่เห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก ผมก็พุ่งตัวเข้าไปคว้าเขามากอดไว้ทันที

สิ่งที่ได้ยินอย่างแรกคือคำถาม

“มาได้ไงเนี่ย”

“คิดถึงคุณอะดิ”

ผมพูดแล้วหันหน้าไปจูบลงบนเส้นผมของเขา

พอผละกอดออกมาก็เจอกับดวงตาสีเข้มคู่เดิม และใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากอนามัย ผมก้มลงจูบริมฝีปากเขาผ่านแผ่นผ้าบางๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดต่อ

“คิดถึงอะไร ตอนบ่ายก็เพิ่งเจอกัน”

ผมยิ้มรับพร้อมกับถอนหายใจ หันไปปิดประตูรั้ว แล้วกลับมายกแขนโอบไหล่เขา เอนตัวลงไปให้ศีรษะเราสัมผัสกัน

“ผมจะปล่อยให้คุณอยู่ตัวคนเดียวในคืนข้ามปีได้ไงล่ะ ฮึ”

พอเข้ามาในบ้าน สิ่งที่ผมเห็นก็คือเขาเอาแมวทุกตัวขึ้นมานอนบนโซฟา ทุกตัวที่ว่านั่นรวมถึงไอ้ตูมแมวผมด้วย พวกแมวเด็กนอนหลับซุกแม่กันไปหมดแล้ว เหลือแต่ไอ้ตูมลูกพ่อนี่แหละที่ยังนอนลืมตาอยู่ข้างหมอนหนุน

ดูดิ ถึงขนาดเอาแมวมานอนดูหนังด้วยทุกตัว ไหนใครบอกว่าไม่เหงา

พอเขานั่งลงบนเบาะ ผมก็เดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะมีมือยื่นออกมาห้ามกัน

“เหม็นเหล้าอะ มีกลิ่นบุหรี่ด้วย ไปอาบน้ำก่อนเลย”

ผมถอยออกมาหนึ่งก้าว ยืนคอตกอยู่ตรงนั้นแล้วพูดออกมา

“ผมเข้าบ้านไม่ได้อะคุณ”

“อ้าว ทำไมอะ”

“พอดีทิ้งกุญแจไว้ที่เพื่อน”

สุดๆ ไปเลยพ่อไอ้ตูม

“งั้น เดี๋ยวหาชุดนอนให้”

พูดจบคนตรงหน้าก็ลุกขึ้น เดินไปห้องเสื้อผ้าที่อยู่หลังบ้าน หาอยู่ไม่นานก็ได้ชุดนอนสีน้ำเงินเข้มลายตารางแบบเข้ากัน กับผ้าขนหนูหนึ่งผืน เขายื่นทั้งหมดมาให้ผมแล้วพูดต่อ

“อาบน้ำข้ามปีแล้วกันเนอะ”

ผมยิ้มรับคำพูดของเขา ยื่นมือไปรับทุกอย่างที่ถูกส่งมาให้ แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไป

ระหว่างที่อาบน้ำอยู่ก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกับแมวแบบที่จับใจความได้ลางๆ ว่าพวกเด็กๆ น่าจะลับเล็บกับโซฟาของเขาอีกแล้ว

เมื่อออกจากห้องน้ำมาในสภาพที่ดีขึ้นก็เจอคุณไป๋ซึ่งยังใส่หน้ากากอนามัยกำลังนั่งดูหนัง แบบที่ฟังจากเสียงก็รู้แล้วว่าเป็นหนังสยองขวัญ ส่วนพวกลูกแมวที่เคยนอนอยู่กับเขา ตอนนี้โดนจับใส่กรงไปเรียบร้อย

ผมเดินไปหยุดลงตรงหน้าเขา กางแขนให้ดูชุดนอนที่ใส่อยู่แล้วพูดต่อ

“ก็ใส่ได้อยู่นะ”

“ชุดใหม่ด้วย ผมใส่ไปครั้งเดียวเอง”

ระหว่างที่เขากำลังตอบ ผมก็นั่งลงข้างๆ แล้วถามออกมาเจือเสียงหัวเราะ

“ใส่มาสก์ทำไมคุณ กลัวแมวติดหวัดเหรอ”

ได้ยินอย่างนั้นเขากดหยุดหนังที่เล่นอยู่ แล้วหันมาตอบกัน

“กลัวคุณนั่นแหละติด”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ยกมือขึ้น จับปลายคางคนตรงหน้าเอาไว้ แล้วก้มลงไปจูบเบาๆ ผ่านมาสก์อีกครั้งแล้วพูดต่อ

“ถอดออกเหอะน่า เกะกะ”

คนฟังขมวดคิ้วเข้า แล้วคำตอบน่ะเหรอ

“จะแต๊ะอั๋งกันอะดิ”

คำตอบของเขาทำเอาผมหลุดหัวเราะ พร้อมกับถอดมาสก์ที่ปิดใบหน้าเจ้าตัวไว้เกือบครึ่งแล้วถามต่อ

“ผมดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ”

“ไม่เลย”

ทันทีที่ได้ยินคำตอบ ผมก็ก้มลงไปจูบบนริมฝีปากคู่นั้น ซึ่งวันนี้ให้ความรู้สึกที่ร้อนกว่าปกติ สัมผัสใบหน้าเขาแล้วพูดต่อ

“ตัวยังร้อนนิดๆ อยู่เลย”

“แต่ก็รู้สึกดีขึ้นเยอะแล้วนะ”

ผมยิ้ม พยักหน้ารับก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวไปนั่งพิงโซฟาเพราะกลัวแม่แมวตื่น พอนั่งได้ที่ก็ถามออกมา

“จะมีใครในโลกนี้ชอบดูหนังผีไปมากกว่าคุณมั้ยเนี่ย”

“ไม่ใช่ผีซะหน่อย เพนนีไวส์เป็นปีศาจ ไม่ใช่ผี”

คนพูดขยับมานั่งข้างๆ กัน กดให้หนังเล่นต่อ ผมโอบเขาเอาไว้แล้วตอบกลับ

“ไม่ใช่ผี แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมกลัวน้อยลงเลย พูดจริงๆ”

และคำตอบคือเสียงหัวเราะ

ผมนั่งดูเรื่องราวของปีศาจตัวตลกที่ตามหลอกหลอนกลุ่มผู้ใหญ่ที่เคยมีอดีตร่วมกับมัน พอหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูอีกครั้งก็พบว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะข้ามไปสู่ปีใหม่แล้ว เลยพูดกับอีกคนที่สมาธิยังคงจดจ่ออยู่ในจอโทรทัศน์

“อีกห้านาทีจะปีใหม่แล้วคุณ”

“ต้องเคาต์ดาวน์ปะ”

คนฟังถามกลับเจือเสียงหัวเราะ

“นับกันสองคนเนี่ยนะ?”

“งั้น...ปลุกแมวมานับด้วยดีมั้ย”

“เอางั้นเหรอ”

“พลาดละ ไม่ได้สอนแมวนับเลขไว้ก่อน”

ผมพูดทีเล่นทีจริง ยิ้มออกมา ซึมซับช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกัน

ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่เกิดมา ไม่มีสักครั้งที่ผมจะได้ข้ามปีไปในบรรยากาศแบบนี้ เอ่อ...ไม่ได้หมายถึงข้ามปีด้วยการดูปีศาจตัวตลก แต่เป็นการข้ามปีด้วยการใช้เวลาเงียบๆ อยู่กับใครสักคน จมอยู่ในโลกใบเล็กที่มีแค่เรา เวลา ความวุ่นวาย หรืออะไรต่อมิอะไรจากโลกภายนอกแทบไม่ส่งผลกับพวกผมด้วยซ้ำ

ที่นี่มีแต่ผม เขา แล้วก็พวกแมวที่นอนหลับกันไปหมดแล้ว

หนังจบลงหลังจากนั้นไม่นาน ท่ามกลางความเงียบเสียงพลุก็ดังขึ้น แต่ด้วยความที่เราปิดประตูหน้าต่างทั้งหมดและเปิดแอร์ มันถึงได้ฟังดูห่างไกลเหลือเกิน

คนที่อยู่ในอ้อมกอดหันมามองหน้าผม ส่งยิ้มให้ แล้วกระซิบบอกกันเบาๆ

“แฮปปี้นิวเยียร์”

ผมยิ้มรับ สัมผัสใบหน้าของเขาแล้วจูบลงไปบนริมฝีปาก พอเขาจูบตอบ มันก็เลยยิ่งลึกซึ้งอ่อนหวานมากขึ้น ผมเลื่อนมือไปโอบเอว รั้งให้เขามานั่งบนตัก ดีที่เจ้าตัวโอนอ่อนขยับตามแล้วขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนตักผม เราสบตากัน ปลายจมูกคลอเคลีย

คุณไป๋ยกมือขึ้นมาคล้องคอผม ในแววตามีความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่าง ก่อนจะพูดออกมา

“ขอบคุณที่กลับมานะ”

ผมพยักหน้ารับคำพูดนั้น พร้อมกับที่เขากอดผมแน่นขึ้น ขยับเข้ามาซุกหน้าไว้ตรงช่วงคอ จูบลงที่ไหล่ผมเบาๆ แล้วก็นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น

ผมกอดเขากลับ ปล่อยให้เวลาได้ทำงาน ให้เราได้ซึมซับความรู้สึกระหว่างกัน

สักพัก...คนที่นั่งอยู่ก็เริ่มขยับตัว ดูท่าทางการนั่งแบบนี้อาจจะทำให้เขาเมื่อย แล้วตอนนั้นแหละที่เริ่มเดือดร้อนขึ้นมา

“คุณๆๆ”

“อะไร”

“อย่าขยับเยอะดิ มันกระเทือน”

ความขบขันเป็นประกายอยู่ในแววตาที่มองสบกัน เขาหัวเราะคิก เม้มปากนิดๆ ก่อนจะส่งคำถามกลับมา

“มันอ่อนไหวขนาดนั้นเลย”

“คุณ...”

“ขอพิสูจน์หน่อย”

คำพูดนั้นมาพร้อมกับสะโพกที่เบียดลงมา และแววตาที่ใสซื่อเป็นประกายเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

โอเค...ผมรู้ว่าพื้นฐานเขาเป็นคนขี้แกล้งอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ก็คิดไม่ถึงหรอกว่ามันจะขนาดนี้

เส้นความอดทนของผมขาดสะบั้นไปในวินาทีนั้น ผมคว้าเขาเข้ามาจูบหนักหน่วงเนิ่นนานกว่าทุกครั้ง เวลาที่ผ่านไปทำให้จูบที่เคยเร่งเร้าค่อยๆ ช้าลงแต่กลับลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

ห้วงลมหายใจที่สะดุดของเขาทำให้ผมต้องถอนจูบออก มองสบตากับอีกฝ่ายในความมืด พร้อมกับรู้สึกได้ว่ามีสัมผัสอุ่นๆ กำลังรุกล้ำเข้ามากอบกุมส่วนสำคัญของผมเอาไว้

ริมฝีปากแดงช้ำแวววาวคู่นั้นมุมปากยกยิ้มนิดๆ ส่งความรู้สึกร้ายกาจเล็กๆ แบบที่กำลังน่าตีมาให้ผม ก่อนเขาจะลดตัวต่ำลง พร้อมกับดึงเอวยางยืดของกางเกงนอนบนตัวผมให้เลื่อนออกไปพร้อมกัน มันเริ่มต้นจากฝ่ามือที่เข้ามาสัมผัส ตามมาด้วยปลายลิ้น และริมฝีปาก

ความอบอุ่นอันเย้ายวนเข้ามาโอบล้อมผมเอาไว้ ในช่วงที่ความอดทนกำลังจะสิ้นสุดลง ผมแทรกนิ้วเข้าไปในเส้นผมสีเข้มนุ่มมือ สัมผัสนั้นทำให้แววตาสีเข้มของเขาเลื่อนขึ้นมามองสบ และภาพนั้นทำให้ทุกอย่างจบลง ผมปลดปล่อยออกมาในที่สุด

ผมยังหายใจหอบ มองคนที่กำลังแลบลิ้นเลียมุมปากของตัวเอง เอื้อมมือไปจับไหล่เขาไว้ พลิกให้เจ้าตัวนอนลงไปกับเบาะก่อนจะตามไปคร่อมทับ แวะงับปลายจมูกเล็กๆ ด้วยความมันเขี้ยวแล้วกระซิบเบาๆ ก่อนจะจูบลงไปบนริมฝีปากคู่นั้น

“ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”

สารภาพตามตรงว่าความรู้ภาคปฏิบัติระหว่างผู้ชายด้วยกันของผมเป็นศูนย์ ข้อดีคือผมมีเพื่อนๆ และบางครั้ง ไลน์กลุ่มพ่อไอ้ตูมก็ได้กลายเป็นคาบวิชาสุขศึกษา ที่มีสื่อการเรียนการสอนเป็นทั้งตัวหนังสือ และไฟล์วิดีโอ หลังจากส่งหนังโป๊เกย์สามสี่เรื่องเข้ามาในไลน์กลุ่ม ไอ้ธีร์ก็พิมพ์ข้อความทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยความห่วงใย

 

‘กูพยายามเลือกเรื่องที่ไม่ปลอมมากมาให้มึงแล้วนะ’

‘ของจริงมันไม่แบบนี้เป๊ะๆ หรอก มึงก็ดูไว้เป็นแนวทางแล้วกัน’

‘พอถึงเวลาอารมณ์มันก็พาไปเอง’

,

ใช่...พอถึงเวลาอารมณ์มันก็พาไปเอง

ไม่รู้ทำไมความรู้สึกอยากครอบครองเป็นเจ้าของ และจับจองทุกส่วนในร่างกายของเขามันถึงมากมายขนาดนี้ ผมก้มลงไป จุมพิตริมฝีปากคู่นั้น เลื่อนมาจูบเน้นย้ำที่ลำคอ ก่อนจะกัดลงไปบนผิวขาว เสียงร้องเบาๆ ที่ดังขึ้นทำเอาความรู้สึกของผมพลุ่งพล่านเร่าร้อนอย่างหยุดไม่อยู่

ผมกลับมามองเขา และครั้งนี้ สิ่งที่ได้เห็นคือความเขินอาย เขาหน้าแดงมาก เม้มปากแน่นเหมือนทุกครั้งที่กำลังประหม่า ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมยิ้มออกและใจเย็นลงได้นิดหน่อย ก่อนจะก้มลงอีกครั้ง คลอเคลียปลายจมูกของเราเข้าด้วยกันแล้วถามด้วยเสียงกระซิบที่ติดจะแหบกว่าปกติอยู่นิดหน่อย

“เจ้าตัวร้ายที่ขึ้นมานั่งคร่อมตักผมเมื่อกี้หายไปไหนแล้วฮึ”

คนฟังทำปากคว่ำ ก่อนที่ผมจะเข้าไปจูบเบาๆ พร้อมกับเลื่อนมือลงไปสัมผัส ข้อดีของการที่เราเป็นผู้ชายเหมือนกันคือผมรู้ได้ทันทีว่าต้องทำยังไงเขาถึงจะรู้สึกดีจากประสบการณ์ส่วนตัว

คนตรงหน้ายกมือขึ้นมาเกาะไหล่กัน กำแน่นระหว่างที่ร่างกายถูกปลุกเร้า แววตาที่ดึงดูดผมอยู่เสมอมีกระแสเว้าวอนจนต้องก้มลงไปจูบซ้ำๆ หลายครั้ง

ในช่วงที่เขากำลังจะปลดปล่อยออกมา ผมดึงกางเกงที่ตัวเองสวมอยู่ลง ปล่อยมือออกแล้วบดเบียดร่างกายของเราเข้าด้วยกัน มือที่เพิ่งว่างลงของผมสัมผัสกับฝ่ามือของเขา เราประสานนิ้วมือ ในความเร่าร้อนนั้นคนตรงหน้าผมหายใจหอบ ร่างกายบดเบียดเข้าหากัน จนกระทั่งปลายทางมาถึง เขาหลับตาแน่น มีเสียงครางปนสะอื้นนิดๆ ดังลอดออกมาก่อนการปลดปล่อย

มือทั้งสองข้างของเขากอดผมแน่นแล้วซุกตัวเข้ามาเหมือนจะขอแบ่งปันความอบอุ่น ผมกอดเขากลับ ลูบเส้นผมนุ่ม รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของการถูกออดอ้อนและการได้ครอบครอง

ระหว่างที่กำลังซึมซับช่วงเวลานั้นนั้น สิ่งที่ดึงผมกลับมาคือการเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่เกิดขึ้นข้างหมอน ผมลืมตาขึ้นไปมอง และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คือแววตาสีเหลืองของมะตูมที่มองมาทางนี้ แถมยังหรี่เล็กลงกว่าปกติ

ผมขมวดคิ้วเข้า ชะงักไปนิดหน่อยแล้วตะโกนเสียงดังในใจ

เป็นมึง! เป็นมึงอีกแล้วเหรอไอ้ตูม!

 

- to be continued -

 

talk .

สวัสดีค่ะ

วันนี้มีปกนิยายมาอวดแหละ อย่างที่บอกไว้แล้วว่า มะตูมกับคุณไป๋จะวางขายวันที่ 10 เดือนนี้

ก็เลยเอาปกมาให้ดูกัน




(น่ารักมากกกกก ใช่มั้ยคะ?)

แจ้งเพิ่มเติมว่าหนังสือราคาเล่มละ 259 บาท ซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปและเว็บไซต์ของแจ่มใสเหมือนเดิม

ในส่วนของอีบุ๊กจะวางขายในเดือนพฤษภาคมนะคะ

 (https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/ESQvQA-UwAEA3lP.jpg)

อีกเรื่องที่ต้องบอกคือ ตอนหน้าก็จะเป็นตอนจบของ #รักแมวข้างบ้าน แล้วน้า : )

สำหรับใครที่อยากอ่านตอนจบก่อน ก็สามารถซื้อเล่มมาอ่านกันได้นะคะ ในนั้นมีตอนพิเศษให้อ่านอีก 2 ตอนด้วย

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดค่ะ

thank you .

[/i]
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก ที่ 07-03-2020 20:40:56
มะตูม......ร้ายมาก
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-03-2020 22:08:52
เอาอีกแล้วนะมะตูม 55555555
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 07-03-2020 23:45:20
ว๊าว ... มะตูมแอบมาอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นเลยดิ
 :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 07-03-2020 23:47:23
น่ารักมาก...กกกกกกกก  :mew1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-03-2020 01:06:29
คุณไป๋ยั่วอีกแล้ว ส่วนมะตูมนั้นต้องมีซีนตลอดสิน่า
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 08-03-2020 03:47:37
มะตูมมมม ช่วงเวลาสำคัญเลยนะ 5555555555
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-03-2020 07:56:00
 :impress2:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 09-03-2020 12:37:22
ไอ้ตูมมันร้ายยย ไม่เคยพลาดช็อตเด็ดของพ่อมัน 55555555555555555555555
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 14-03-2020 18:11:38
(https://cdn.readawrite.com/publicassets/1552154/images/purrfect fall 04(1).jpg)

- 13 -


ตอนแรกผมลังเลว่าจะเข้าบ้านตัวเองได้รึเปล่า เพราะเอากุญแจให้พวกเพื่อนๆ ไปตั้งแต่เมื่อคืน แต่พอเดินมาเปิดประตูบ้านก็พบว่า พวกมันเมาจนไม่ได้ล็อกประตูด้วยซ้ำ

คนที่จะนอนบ้านผมมีแค่ไอ้ข้าวกับไอ้บาส ซึ่งเมื่อคืนพวกมันกลับกันมาตอนตีสองกว่า พร้อมเสียงดังโหวกเหวกไปตามเรื่อง ผมรู้สึกตัวแต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นไปดูเพราะมีคนนอนหนุนแขน แถมยังซุกตัวเข้ามากอด

ระหว่างที่กำลังเดินเข้าไปในบ้านก็ระแวงอยู่หน่อยๆ ไม่ได้กลัวโจรขึ้นบ้านเพราะไม่ล็อกประตูหรืออะไรหรอก แต่พวกมันจะผิดสังเกตเรื่องที่เสื้อนอนกับกางเกงนอนผมมันไม่เข้าคู่กันอย่างชัดเจนมั้ยวะ สีตัดกันอย่างกับยาแคปซูล

พวกมันคงไม่สงสัยหรอกเนอะว่าทำไมผมต้องเปลี่ยนกางเกง คงไม่คิดหรอกว่าก่อนหน้านี้ผมก็ใส่ชุดนอนเข้ากันเป็นปกติ แล้วก็มี...อะไรๆ ...เกิดขื้น ทำให้ต้องเปลี่ยนมาใส่ตัวนี้

แค่คิดก็เขินแล้ว...

พอเดินขึ้นมาบนห้องก็เจอพวกมันสองคนนอนหมดสภาพอยู่บนเตียง ระหว่างที่ผมกำลังเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกชุดที่จะใส่วันนี้ ไอ้ข้าวก็ผงกหัวขึ้นมาแล้วถามเสียงงัวเงีย

“มึงทำไรอะ”

ผมตกใจ มองเพื่อนสนิทที่ลุกขึ้นนั่งหรี่ตามองหน้ากัน มันจะสังเกตมั้ยวะเนี่ย

“อาบน้ำ กูจะพาคุณไป๋ไปไหว้พระวัดจีนแถวเยาวราช บ่ายๆ ค่อยกลับมาส่งมึงขึ้นเครื่องแล้วกัน”

“มึงไปเหอะ กูนั่งแท็กซี่ได้”

“เฮ้ยไม่เป็นไร ไหว้พระแป๊บเดียว”

ก่อนเสียงไอ้บาสที่นอนอยู่อีกฝั่งจะพูดผ่านผ้าห่มออกมา

“พวกมึงอย่าพูดมากดิ๊ กูจะนอน”

ได้ยินอย่างนั้น ไอ้ข้าวโบกก็มือให้แบบที่ผมเข้าใจได้ว่า มึงจะไปทำอะไรก็ไปเหอะ แล้วทิ้งตัวนอนต่อ

ก็...เอาเป็นว่าตามนั้น

- - -

กรุงเทพฯ ช่วงปีใหม่คือเมืองในฝันชัดๆ รถไม่ติด คนน้อย แถมอากาศก็ดีขึ้นเพราะมลพิษไม่มากเท่าปกติ

คนที่ป่วยอยู่เมื่อวานไม่ปวดหัวหรือว่าตัวร้อนแล้ว เช้านี้มีอาการแค่เจ็บคอกับไอนิดหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ยังดื้ออยากนั่งรถรับลมหนาวจางๆ เพื่อความสดชื่น เลยขอให้ผมเปิดหลังคาให้เหมือนเมื่อคืนก่อน

ข้อแลกเปลี่ยนที่ผมเสนอไปก็คือเขาต้องใส่หน้ากากอนามัยไว้ตลอดทาง เพราะผมกังวลว่าเชื้อโรคในอากาศจะทำให้กลับไปไข้ขึ้นหนักกว่าเก่า

เราออกจากบ้านช่วงประมาณแปดโมงตรง แล้วก็เอารถมาจอดที่ห้างดิโอลด์สยาม เพื่อไปกินอาหารเช้าแบบดั้งเดิมตรงร้านที่อยู่ไม่ไกล

คุณไป๋บอกว่าปกติที่นี่จะคิวยาวตลอด เจ้าตัวอยากมากินอยู่สักพักนึงแล้ว แต่ก็ไม่ได้มาเพราะขี้เกียจต่อคิว เขาคิดเอาเองว่าในช่วงเวลาที่ใครๆ ก็ออกต่างจังหวัดกันหมดแบบนี้คือโอกาสดีที่จะได้กินแบบไม่ต้องรอนนาน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถึงแม้ร้านจะมีคนอยู่บ้าง แต่พวกผมก็ได้ที่นั่งทันที

เราสั่งเซ็ตอาหารเช้าที่มีไข่ ไส้กรอก แฮม เบคอน กันคนละเซ็ต ของผมเป็นไข่คน ส่วนของเขาเป็นไข่ดาว นอกจากนี้ยังมีขนมปังสังขยา ขนมปังเนยน้ำตาล ขนมปังชุบไข่ทอด เครื่องดื่มของผมคือไมโล ส่วนคุณไป๋สั่งชาเย็น แถมยังมีการหันมาบอกว่า ยังไงก็ต้องไปหากาแฟดำกินอีกสักแก้ว ไม่งั้นไม่ตื่นแน่ๆ

ระหว่างที่รออาหารผมก็เอากล้องที่ไอ้ข้าวให้ออกมา พร้อมกับที่คนข้างๆ ขยับเข้ามาใกล้กันทันที เขามองผมสำรวจวิธีการใช้งานอยู่เงียบๆ ก่อนผมจะหันไปหาแล้วชวน

“ไปถ่ายรูปหน้าร้านกัน”

พออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ผมก็ลุกขึ้น หยิบแค่ของมีค่า โทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์ติดตัวไป ส่วนของอย่างอื่นวางไว้ที่โต๊ะ เรามาหยุดกันอยู่ตรงหน้าร้าน ผมชี้ไปยังมุมหนึ่งที่มีกระป๋องนมแบบโบราณวางเรียงอยู่แล้วพูดต่อ

“ไปยืนเร็วคุณ”

คนฟังหันมาทำตาโตใส่ แล้วส่ายหน้าจนผมหลุดหัวเราะ

“ไม่เอา”

“อ้าว?”

“กล้องฟิล์มเค้าเอาไว้ถ่ายวิว ถ่ายอะไรเท่ๆ ไม่ใช่เหรอ มาถ่ายคนได้ไง”

“อยากถ่ายอะไรก็ถ่ายได้ทั้งนั้นแหละน่า”

“ไม่เอาอะ ถ่ายร้านไปเหอะ”

“โอเคๆ”

ผมรับคำ ยกกล้องขึ้นจ่อใกล้ใบหน้าเขาแล้วกดหนึ่งครั้ง แน่นอนว่าคุณไป๋ตกใจจนโวยวายออกมาตามคาด

“นี่!!”

“เปิดกล้องเฉยๆ ไม่ได้ถ่าย”

พอคนฟังหันมาขมวดคิ้วใส่ ผมก็ขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบเบาๆ

“อายอะไรฮึ”

ได้ผล เขาแก้มแดงขึ้นมาทันที ขยับตัวหนีกันไปนิดหน่อย ส่วนผมก็ได้แต่ขำ พร้อมกับเลื่อนนิ้วหัวแม่มือกรอฟิล์มจนเสร็จก็ถอยออกมา หามุมที่แสงกำลังพอดีแล้วกดถ่ายรูป

พอถ่ายเสร็จอีกคนก็ขยับกลับเข้ามาใกล้ๆ แล้วชวนคุย

“มันสนุกตรงที่ถ่ายเสร็จแล้วก็ต้องไปลุ้นต่อว่ารูปจะออกมาเป็นยังไงนี่แหละเนอะ”

“ใช่”

ผมตอบกลับ ยื่นกล้องให้เขาแล้วถาม

“ลองมั่งมั้ย”

คนฟังตอบกลับด้วยการส่ายหน้า

“ไว้มุมอื่นดีกว่า วันนี้ยังต้องไปอีกตั้งหลายที่”

พอเรากลับไปนั่งที่โต๊ะได้ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ

ไม่รู้ว่าเพราะตอนนี้เป็นช่วงปีใหม่ที่วัยรุ่นจะออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกันหมดหรือว่ายังไง แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ในร้านเป็นกลุ่มคุณลุงที่มานั่งคุยกันไปพลางจิบน้ำชาไปพลาง หัวข้อที่คุยกันก็ไม่พ้นเรื่องการเมือง

ในกลุ่มที่นั่งโต๊ะติดกันกับเรา มีคุณลุงคนหนึ่งกำลังพูดอย่างออกรสด้วยเสียงที่ไม่เบา พร้อมเพื่อนๆ ที่เป็นลูกคู่คอยสนับสนุน

บรรยากาศตรงหน้าทำเอาผมรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง และกำลังอยู่ในหนังวินเทจยังไงก็ไม่รู้ สักพักคนข้างๆ ก็ขยับเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบเบาๆ

“ถ้าคุณลุงเค้าเป็นชาวเน็ตนะ คนติดตามเพียบแน่เลย”

ผมยิ้มไปกับคำพูดของเขา แล้วตอบกลับ

“แก่ตัวไปคุณอาจจะเป็นอย่างนี้ก็ได้ มานั่งร้านกาแฟแล้วก็หัวร้อนเพราะเรื่อง พ.ร.บ. คุ้มครองสัตว์ไม่ปกป้องแมวอย่างที่คุณต้องการ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูดเขาก็ยกมือขึ้นมาตีลงบนต้นแขนกันเต็มๆ พร้อมกับหันมาถลึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง จนผมต้องหัวเราะออกมา

กินมื้อเช้าเสร็จพวกเราก็ออกจากร้านมาขึ้นรถไฟใต้ดินต่ออีกหนึ่งสถานี เพื่อไปไหว้พระวัดจีนตามที่ตั้งใจไว้

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในวัด ผมรับรู้เลยว่า ถ้ามาคนเดียวต้องไม่รอดแน่ๆ โคตรงงเพราะคนเยอะมาก แถมมีทั้งเต็นท์ทั้งซุ้มอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ระหว่างที่กำลังหันซ้ายหันขวา คนข้างๆ ก็ยกมือขึ้นมาจับต้นแขนผมไว้แล้วดึงให้เดินไปในทางเดียวกัน

“ต้องไปซื้อธูปเทียนก่อน”

ผมจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากพยักหน้ารับแล้วเดินตามเขาไป

ระหว่างที่กำลังต่อแถวก็ได้แต่กวาดสายตามองบรรยากาศรอบๆ ด้วยความสนใจ เพราะวัดสวยมาก ไม่ว่าจะเป็นหลังคา เสา โคมสีแดง ทุกอย่างดูเป็นศิลปะไปหมด จนเล็งไว้แล้วว่าไหว้พระเสร็จต้องได้เดินหามุมถ่ายรูปเล่นซะหน่อย

ความงงอันเก่ายังไม่ทันหาย ความงงแบบใหม่ก็เข้ามาอีก ว่าทำไมถึงได้ธูปมาเยอะขนาดนี้ ปกติไปวัดไทยจุดธูปสามดอก ไหว้พระในโบสถ์ก็จบจริงมั้ย นี่ได้มาเป็นกำเลย

เอาเป็นว่าค่อยๆ เรียนรู้ไปก็แล้วกัน...

ตอนที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร ผมก็หันไปมองคุณไป๋ พอเห็นว่าอีกฝ่ายจุดธูปทั้งกำก็ทำตาม แล้วก็พบว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด คือไอ้ตอนจุดน่ะไม่ยาก แต่ตอนดับนี่ดิ ไฟลุกแล้วโว้ย!

แล้วของก็เต็มมือไปหมด ทั้งเทียนทั้งพวงมาลัยดอกไม้ อะไรวะเนี่ย

ในตอนที่ผมกำลังพยายามเอามือพัดไฟที่ปลายธูปให้ดับ อีกฝ่ายก็ขยับเข้ามาใกล้ ยื่นกำธูปของตัวเองที่จุดติดเรียบร้อยสวยงามให้ผมถือ แล้วมาเอาธูปของผมไปแทน ก่อนจะสะบัด พรึบเดียวดับทั้งกำ...ทำได้ไงวะ

ผมยืนพัดตั้งนาน ยิ่งพัดไฟก็ยิ่งลุก!

“ไหวมั้ยเนี่ย”

คนตรงหน้าถามออกมาเจือเสียงหัวเราะ ก่อนที่ผมจะตอบไปตามตรง

“ไม่มีคุณผมแย่แน่”

เขายิ้มรับ แล้วพูดต่อ

“ถือดีๆ ระวังไปโดนคนอื่นด้วย”

“อ้าว แล้วถ้าคนอื่นมาโดนผมอะ”

“ก็ไหม้ไง”

คนพูดหลุดขำ เขาพาผมไปวางดอกไม้ วางเทียน แล้วก็เริ่มไหว้พระ

มาเข้าใจได้ในตอนนี้นี่แหละ ว่าที่ใช้ธูปเยอะขนาดนี้ เพราะต้องไหว้เทพเจ้าหลายองค์ แถมแต่ละองค์ก็ยังใช้ธูปไม่เท่ากัน โชคดีที่มีตัวเลขบอกลำดับการไหว้ และจำนวนธูปติดไว้ในทุกที่

สิ่งที่ผมทำได้ก็คือเดินตามคุณไป๋ ตามเขาไปเรื่อยๆ เขาไหว้ตรงไหนผมก็ไหว้ตรงนั้น จนมาถึงที่สุดท้าย ผมมองจำนวนธูปที่ติดไว้ กับธูปที่อยู่ในมือ แล้วก็แทบจะตะโกนออกมา

เกินมาจากไหนวะ!

หรือว่าปักตรงไหนไม่ครบ!

เวรแล้วไงไอ้ชุนมึง!

ทำอะไรไม่ได้ก็เรียกคนข้างๆ ไว้ก่อน

“คุณ...”

“ฮึ?”

“ธูปผมเกินอะ ทำไงดี”

“อ้าว...”

เขามองผมแล้วกระพริบตาปริบๆ ขนาดผู้เชี่ยวชาญยังงง ผมก็ไม่รู้ต้องทำไงแล้ว สักพักคุณไป๋ก็พูดออกมา

“ไม่เป็นไร เกินก็ไหว้ไปเท่าที่มีนั่นแหละ ไหนๆ ก็จุดมาแล้ว”

“ได้เหรอคุณ”

“ได้หมดแหละน่า”

ตอบเสร็จเขาก็หันมาส่งยิ้มให้ แล้วก็เริ่มอธิษฐาน เห็นอย่างนั้นผมก็ขอพรบ้าง ปักธูปเรียบร้อยก็เป็นอันว่าเสร็จพิธีการไหว้พระขอพร

ระหว่างที่เรากำลังเดินออกมาจากตรงนั้น อีกฝ่ายก็ถามขึ้น

“เสี่ยงเซียมซีมั้ยคุณ”

“ได้...”

ผมรับปากไปด้วยความเต็มใจ แล้วก็ไม่คิดเลยว่าการรับปากครั้งนั้นมันจะนำพาชีวิตมาพบกับวิกฤตอีกครั้ง

ที่ผ่านมาก็เคยเห็นอยู่บ้างว่าเสี่ยงเซียมซีเนี่ยเขาทำกันยังไง แต่พอต้องมาทำเองก็ยอมรับเลยว่าทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเขย่าท่าไหน จนต้องให้คุณไป๋สาธิตให้ดู

เขาก็แค่ถือกระบอกไม้ไผ่ไว้ อธิษฐานนิดหน่อย แล้วก็เขย่ามันด้วยท่าทางที่ดูดีเอามากๆ ก่อนจะมีแผ่นไม้เล็กๆ อันนึงค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นจนหล่นลงมา ดูตัวเลขเสร็จ เขาก็เก็บไม้อันนั้นกลับไปแล้วยื่นกระบอกไม้ไผ่ให้ผม

อธิษฐานแล้วก็แค่เขย่าก๊อกแก๊กๆ เดี๋ยวมันก็พุ่งออกมาเอง ผมบอกตัวเองอย่างนั้น แต่มันไม่ออก! ผมเลยยิ่งเขย่าแรงขึ้น จนกระทั่งมีแผ่นไม้พุ่งออกมาจริงๆ แต่มันออกมาครึ่งนึงของที่ใส่ไว้ทั้งหมด

ผมหันไปมองคนที่ยังคงคุกเข่าอยู่ข้างๆ ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังกลั้นขำ ขยับเข้ามาใกล้ แล้วก็ช่วยผมเก็บมันกลับไป พร้อมกับที่ผมหันไปพูดกับเขาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

“แย่แล้ว”

“ใจเย็นดิคุณ ค่อยๆ เขย่า เดี๋ยวอันไหนที่จะออกมามันก็ออกมาเองแหละ”

“โอเค...”

ผมรับคำถอนหายใจ ลงมือเขย่าเซียมซีอีกครั้ง ก่อนจะอายจนแทบเอาหัวมุดพื้น ตอนที่เด็กผู้ชายตัวเล็กมานั่งลงข้างๆ เขย่าอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะมีไม้อันหนึ่งหลุดออกมา

เด็กเดินไปโน่นแล้ว แต่ผมยังอยู่ที่เดิม ยังเขย่าเซียมซีอยู่จนเหงื่อแตก ใช้เวลาสักพักมันก็มีไม้อันหนึ่งค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นมา สูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหล่นลงมาในที่สุด

นาทีนั้นผมแทบร้องเฮ หยิบไม้ขึ้นมาดูตัวเลข หันไปยิ้มให้คนที่อยู่ให้กำลังใจกันไม่ไปไหน ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามเขาไปยังอีกมุมหนึ่ง ซึ่งมีกล่องใส่กระดาษติดอยู่หลายช่อง

ปรากฏว่าช่องที่ตรงกับเลขของผม ดันไม่มีกระดาษเหลืออยู่ไปซะอีก พอยืนอ่านคำทำนายที่แปะอยู่ด้านหน้าก็สรุปได้เลยว่า...ไม่เข้าใจ

คือคร่าวๆ ก็พอจะจับใจความได้อยู่ ว่าความหมายมันเป็นไปในทางที่ดี แต่บางประโยคก็แปลไม่ออกเลยว่าหมายถึงอะไร

วิถีแห่งชาวไทยเชื้อสายจีนช่างเป็นอะไรที่ซับซ้อน

จนคุณไป๋ต้องเดินมาใกล้แล้วถาม

“เป็นไงบ้างคุณ”

“คำทำนายหมดอะ ที่ติดอยู่ก็ดีล่ะมั้ง แต่ผมอ่านไม่ค่อยเข้าใจ”

เขาหลุดยิ้มกับท่าทางอันสิ้นหวังของผม ยืนอ่านคำทำนายให้ หันมาอธิบายแล้วกล่าวเสริมว่า

“ที่หมดก็เพราะว่ามันดีนี่แหละ ที่เหลือเยอะๆ จะเป็นคำทำนายที่ไม่ดีทั้งนั้น เพราะอันที่ดีอะ เค้าจะเอากลับไปพกติดตัว แต่ถ้าไม่ดีก็วางไว้ที่เดิม ไม่เอากลับไป”

“แล้วของผมมันหมด ควรทำไงอะ”

“ถ่ายรูปเก็บไว้ในมือถือดิ”

“มงคล.png เงี้ยเหรอ”

“เหอะน่า นี่ของผมก็ถ่ายไว้แล้ว ดีเหมือนกัน”

พูดจบเขาก็ชูโทรศัพท์มือถือในมือให้ผมดู ถ่ายเอาไว้จริงด้วยแฮะ

เอาวะ ถ่ายก็ถ่าย ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป มงคลดอตอะไรก็มงคลทั้งนั้นแหละ

หลังจากนั้นพวกผมเดินอยู่ในวัดอีกพักใหญ่ ให้คุณไป๋เขาหามุมสวยๆ เพื่อลองถ่ายรูป

ผมสอนเขาใช้กล้องที่พกมาวันนี้ อันที่จริงวิธีการก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าอยู่ในที่มืดให้เปิดแฟลช ระยะโฟกัสจะต้องไกลกว่าหนึ่งช่วงแขน และต้องกรอฟิล์มทุกครั้งก่อนจะถ่ายรูปถัดไป ถ้ายังไม่ถ่ายก็ยังไม่ต้องกรอ

พอได้ลองถ่ายรูปเองสักครั้งสองครั้งเขาก็เริ่มสนุกมากขึ้น คราวนี้พอผมให้เจ้าตัวไปยืนเป็นแบบ เขาก็ไม่มีท่าทีขลาดเขินอีกต่อไป แลกกับการที่บางครั้งผมก็ต้องไปยืนให้เขาถ่ายรูปบ้าง

เราออกจากวัดมาโดยที่กล้องยังสามารถถ่ายภาพได้อีกทั้งหมดสิบเก้ารูป ก่อนจะเดินไปตามถนน เจอมุมดีๆ ก็แวะ ผมถ่ายเขาบ้าง เขาถ่ายผมบ้าง บางครั้งก็เลือกถ่ายรูปกำแพงหรือสิ่งของในมุมมองที่น่าสนใจ

จนกระทั่งตอนนี้ คุณไป๋ยืนอยู่ตรงกำแพงหน้าตาวินเทจของร้านค้าที่ปิดช่วงปีใหม่ ส่วนผมยืนอยู่ข้างหน้าเขา ย่อตัวลงเพื่อให้ได้ภาพในมุมที่ต้องการ

ยังไม่ทันกดชัตเตอร์ ผมก็ชวนเขาคุย พร้อมกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา

“คุณ...”

สิ่งที่ผมคิดอยู่ตอนนี้มันโคตรจะบ้าเลย แต่ก็เป็นความบ้าที่อยากจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง

“ฮึ?”

“ปีนี้ปีอะไรแล้ว”

“2563 ไง ถามทำไมเนี่ยไม่ถ่ายเหรอ”

“พ.ศ. ก็เปลี่ยนแล้วนะคุณ”

“อืม”

“เราสองคนอะ เปลี่ยนบ้างดีมั้ย”

“ฮะ?”

“เป็นแฟนกันได้แล้ว”

ถามจบ ผมก็กดชัตเตอร์บันทึกภาพเขาในช่วงเวลานั้นเอาไว้ กลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่ตอบคำถาม แล้วเดินตรงเข้ามาหากันทันที

“ถ่ายรูปเหรอ?!”

“อืม...” ผมตอบ ยิ้มให้พร้อมยักคิ้ว ส่วนคนฟังทำหน้ามุ่ยแถมยังพยายามจะแย่งกล้องไปจากมือ จนผมต้องจับข้อมือเขาไว้แล้วถามต่อ

“เมื่อกี้คำถามนะคุณ ตอบก่อน”

“ถามช้าไปมั้ง! เอากล้องมานี่เลย!”

“ฮึ?”

“เอามาเร็วๆ สิ!”

“ทำไมต้องโวยวายเนี่ย”

ได้ยินในสิ่งที่ผมพูด คนตรงหน้าเงียบไปในทันที

ผมยิ้มกับท่าทางของเขา ลดมือที่พยายามชูกล้องหนีอยู่ลง ใช้มืออีกข้างเช็ดหน้าผากที่เริ่มมีเหงื่อซึมเพราะเราเดินกันมาสักพัก แล้วพูดต่อ

“ถามก็ไม่ยอมตอบ”

“...”

“ไหนใครบอกว่าเล็งร้านไอติมไว้ฮึ”

ระหว่างที่กำลังขับรถมาที่นี่ คุณไป๋เขาโฆษณาร้านไอศกรีมโฮมเมดร้านนึงให้ฟังว่าน่าสนใจสุดๆ เพราะนอกจากจะสามารถทำไอศกรีมรสชาติที่วางขายกันทั่วไปได้แล้ว ยังมีเมนูสร้างสรรค์ประเภทไอศกรีมรสข้าวต้มที่เอาไว้กินคู่กับเครื่องเคียงแบบจีน หรือไอศกรีมรสชาติยาแก้ไอโบราณ

“เลี้ยวเข้าซอยข้างหน้านี่ก็ถึงแล้ว”

ผมเดินไปข้างเขา โดยที่ในใจยังเต็มไปด้วยคำถาม

สรุปว่าคำตอบคืออะไร

ที่โวยวายออกมาเมื่อกี้คือตกลงหรือว่ากลบเกลื่อน

เขาอาจจะยังไม่พร้อม หรือเป็นผมเองที่บกพร่องอะไรสักอย่าง จนทำให้เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ แล้วอยู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งเลื่อนมาคล้องแขนผมเอาไว้ พร้อมกับผิวแก้มที่แนบเข้ามาบนไหล่ และคำพูด

“เงียบไปเลยอะ”

ผมยิ้มรับ ยอมรับว่าจ๋อยไปเหมือนกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มั่นใจเต็มที่อยู่แท้ๆ ผมยังคงเงียบอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายพูดต่อ

“ที่เราเป็นอยู่นี่ มันก็เหมือนเป็นแฟนกันมาสักพักนึงแล้วไม่ใช่รึไง”

“ก็ใช่”

“คือ...ผมหมายความว่า ที่คุณถามเมื่อกี้อะ คำตอบคือตกลง”

“...”

“อย่าซื่อบื้อได้มั้ยล่ะ!”

ไม่พูดเปล่า เขายกมือขึ้นกำหมัดแล้วต่อยเข้ามาที่ท้องผมเต็มๆ จุกเหมือนกันนะเนี่ย

ผมหัวเราะรับแถมยังหุบยิ้มไม่ลง ยกมือขึ้นลูบตรงจุดที่โดนกำปั้นของอีกฝ่ายกระแทกเข้า แล้วหันไปพูดกับเขา

“เป็นแฟนผมแล้วนะ”

“อื้ม!”

ได้ยินคำตอบแล้วผมก็เลื่อนมือมากุมมือเขาไว้ พร้อมกับกรอฟิล์มไปเรื่อยๆ ผมเดินช้าลง ปล่อยให้อีกฝ่ายจูงมือนำไป พอถึงจังหวะนึงก็เรียกให้เขาหันมา ขยับถอยหลังนิดๆ ยกมือของเราที่จับกันอยู่ให้สูงพอที่จะเข้าเฟรม แล้วกดถ่าย

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือกล้องในมือผมถูกแย่งไป พร้อมกับคำพูดที่ตามมา

“ทำไมชอบถ่ายตอนไม่รู้ตัวอะฮึ”

“ธรรมชาติไง”

“เส้นบางๆ ที่คั่นระหว่างธรรมชาติกับเหวออะดิ”

เขาพลิกกล้องในมือไปมาแล้วพูดต่อ

“ย้อนดูรูปแล้วเลือกลบอันที่ไม่ชอบทิ้งก็ไม่ได้”

ผมยิ้มรับ สบตาเขา ก่อนจะตอบกลับไป

“เวลาถ่ายถึงได้เลือกถ่ายเฉพาะสิ่งที่สำคัญจริงๆ ไง”

คนฟังอมยิ้มเขินรับสิ่งที่ได้ยิน แล้วทำเป็นดุ

“งั้นก็เลิกถ่ายตอนคนอื่นเค้าทำหน้าเหวอได้แล้ว”

ผมมองคุณไป๋ ส่งยิ้มกลับไปแต่ไม่ตอบอะไร คิดดูแล้วกันว่าขนาดหน้าตาบูดบึ้งของเขายังทำให้อารมณ์ดี

เรามานั่งพักกันที่ร้านไอศกรีมโฮมเมด พอได้แอร์ก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาหน่อย ผมสั่งไอศกรีมช็อกโกแลต ส่วนอีกฝ่ายได้กาแฟดำใส่น้ำส้มกับโซดา เมนูพิเศษของที่ร้าน

นั่งฆ่าเวลาอยู่ไม่นาน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือผมหิว...

พอดูนาฬิกาก็ไม่แปลกใจ เพราะเที่ยงกว่าเข้าไปแล้ว

เราเลยขยับเข้ามานั่งใกล้กัน แล้วเสิร์ชหาร้านน่าสนใจเพื่อไปกินมื้อเที่ยง ก่อนจะจบลงที่ว่าจะไปคาเฟ่อาหารจีน จากข้อมูลในรีวิวมีแต่คนบอกว่าคิวยาวมาก แต่สามารถจองคิวผ่านแอพพลิเคชั่นได้

เมื่อรู้อย่างนั้นคุณไป๋เขาก็จัดการโหลดแอพฯ แล้วก็กดจองคิวเสร็จสรรพ โชคดีที่คิวไม่ยาวเท่าที่คิด ยังมีเวลาอีกนิดหน่อย พวกผมเลยเดินไปพลาง แวะถ่ายรูประหว่างทางไปบ้าง พอมาถึงที่ร้านรอคิวไม่นานก็ได้กิน

ระหว่างที่เรากำลังจัดการมื้อเที่ยง คนตรงหน้าก็เปิดรูปถ่ายที่แม่เขาส่งมาให้ดู เลยได้รู้ว่าแม่คุณไป๋จะขึ้นเครื่องจากไต้หวันกลับไทยมาประมาณสองทุ่ม และคงถึงกรุงเทพฯ ตอนดึก

คุยไปคุยมาก็เข้าเรื่องผมจนได้

“เออ แล้วเพื่อนคุณล่ะ กลับวันนี้ไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ ตอนเช้าบอกมันแล้วว่าเดี๋ยวช่วงบ่ายๆ จะกลับไปส่ง มันบอกว่านั่งแท็กซี่ไปสนามบินเองได้”

“อ้าว ทำไมไม่ไปส่งเพื่อนอะ”

“จริงๆ ก็อยากไปส่งอยู่นะ”

“เนี่ย กินข้าวเสร็จกลับไปรับเพื่อนคุณยังทันเลย เราก็ไม่ได้จะไปไหนแล้วนี่ ว่าไง”

“ไลน์ไปถามมันสักหน่อยก็ได้ บอกว่าเราจะกลับแล้วเนอะ”

พอเห็นเขาพยักหน้ารับ ผมก็ทำตามที่พูด ส่งข้อความไปบอกไอ้ข้าวว่าจะกลับแล้ว ให้มันรออยู่ที่บ้านอย่าเพิ่งออกไปไหน

จัดการมื้อเที่ยงเสร็จพวกผมก็กลับมาบ้าน แถมยังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย ไอ้ข้าวเลยเอากล้องถ่ายรูปออกมาถ่ายภาพครอบครัวของไอ้ตูมกับเด็กๆ เอาไว้ ส่วนผมกับคุณไป๋ก็ใช้ฟิล์มที่เหลือถ่ายรูปแมวไปจนหมด

ระหว่างทางที่จะไปสนามบินก็แวะเอาฟิล์มให้ร้านที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านช่วยล้างรูปให้ ตอนเด็กผมจำได้ว่าเวลาพ่อเอาฟิล์มไปล้าง เขาจะให้รูปถ่ายกลับมาเป็นอัลบั้ม ตอนแรกผมเลยเข้าใจว่ารูปที่เราถ่ายกันวันนี้จะถูกอัดออกมาในลักษณะนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ ที่ร้านให้ผมทิ้งอีเมลเอาไว้และจะส่งรูปมาให้ทางเมลหลังจากจัดการล้างเสร็จเรียบร้อย

ตอนขาออกจากบ้านไปสนามบิน พวกผมก็คุยกันอยู่หรอก ว่าพอรถไม่ติดแล้วรู้สึกเหมือนสามารถทำอะไรได้เยอะแยะมากในหนึ่งวัน แต่หลังจากส่งไอ้ข้าวเสร็จ และเดินทางขับกลับบ้านเท่านั้นแหละ กรุงเทพฯ แบบเดิมก็กลับมาอีกครั้ง เพราะคนที่ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดเริ่มเดินทางกลับมาแล้ว

ขามาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ส่วนขากลับนี่ ผ่านไปชั่วโมงกว่าแล้ว ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงบ้าง

ระหว่างที่รถติดอยู่ ผมก็มองอีกคน สังเกตความเคลื่อนไหวเล็กน้อย ตอนเขาปรับเครื่องเล่นวิทยุในรถ ยกมือขึ้นเสยผมโดยไม่ตั้งใจ หรือแม้แต่ตอนกำลังไล่ปลายนิ้วเลื่อนดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ทุกสิ่งทุกอย่างคือความเพลิดเพลินใจของผม ไม่น่าเชื่อว่าผมสามารถนั่งมองเขาทำโน่นทำนี่ไปเป็นนาทีได้โดยไม่รู้สึกเบื่อแม้แต่น้อย

เห็นเขาแล้วอยากอยู่ใกล้ๆ พอได้อยู่ใกล้ก็ยิ่งอยากใกล้มากขึ้น ยิ่งได้ใกล้มากขึ้นก็ยังอยากใกล้ชิดเขายิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

ผมเอื้อมมือไปกุมทับฝ่ามือเขาที่วางอยู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งสายตากลับมา ยกยิ้มให้จนตาหยี

วินาทีนั้นเอง ตัวผมในวัยยี่สิบหกปีก็ได้เข้าใจมากขึ้นว่าการตกหลุมรักใครสักคน มันให้ความรู้สึกแบบไหน


- มีต่อนะคะ -

หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 14-03-2020 18:12:15


หนึ่งในเรื่องที่เราคุยกันระหว่างรถติดก็คือคุณไป๋เขาจะกลับไปนอนบนห้องนอน เพราะลูกแมวโตแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมเลยมายืนอยู่ตรงนี้ ตรงกลางห้องนอนของเขา

ผมขโมยเสื้อผ้าอีกฝ่ายใส่ตามเคย ทั้งที่บ้านตัวเองก็อยู่หลังถัดไป

ส่วนเจ้าของบ้าน หาชุดนอนให้กันแล้วก็ขึ้นมาอาบน้ำที่ชั้นบน และยกห้องน้ำชั้นล่างให้ผมใช้ พร้อมบอกว่าห้องนอนของเขาคือห้องที่มีระเบียง ซึ่งผมก็เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะบ้านเราสองคนใช้แปลนแบบเดียวกัน

ผมขึ้นบันไดมา เปิดประตูเข้าไปแล้วก็เจอกับห้องที่ตกแต่งในลักษณะเดียวกันกับชั้นล่าง ซึ่งเปิดแอร์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว เสียงจากในห้องน้ำบอกว่าอีกฝ่ายยังไม่เสร็จธุระส่วนตัว ผมเลยถือวิสาสะเดินสำรวจไปรอบๆ

สักพักเจ้าของห้องก็ออกมาจากห้องน้ำในชุดนอน ผมเปียกหมาดๆ บนไหล่มีผ้าขนหนูผืนเล็ก

ผมหันไปหาเขา ส่งยิ้มให้แล้วพูดต่อ

“ห้องคุณไม่มีอะไรสนุกๆ เลย”

“ก็ห้องนอน จะให้มีอะไรอะ โรลเลอร์โคสเตอร์เหรอ”

“ไม่ใช่สิ ก็อย่างเช่นรูปคุณสมัยเด็ก ตอนมัธยมที่ตัดผมเกรียน หรือทำทรงผมพลาดๆ ช่วงขึ้นมหา’ ลัย อะไรทำนองนั้น”

ผมพูดพร้อมกับหยิบผ้าขนหนูจากมือเจ้าตัว ถอยมายืนอยู่ข้างหลังแล้วเช็ดผมให้เขา จากนั้นก็ได้ยินคำตอบ

“อะไรแบบนั้นต้องไปดูที่บ้านใหญ่โน่น ที่นี่ไม่มีหรอก แล้วก็...” ระหว่างที่พูด คุณไป๋ก็หันมาสบตาผมกับรอยยิ้ม “ขอแสดงความเสียใจด้วย โรงเรียนที่ผมจบมาไม่บังคับเรื่องทรงผม”

พอเห็นหน้าตาผมที่แสดงออกชัดเจนเลยว่าเสียดาย เขาก็ยกมือขึ้นมาตีต้นแขน ส่วนผมก็พูดต่อ

“ไปเป่าผมให้แห้งดีกว่าไป เดี๋ยวเป่าให้ ทิ้งไว้อย่างนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดอีก”

“แน่ใจ?”

“อืม”

“จะไม่เผาหัวกันเนาะ”

“คอกแมวยังทำได้เลยคุณ แค่เป่าผมแฟนคงไม่เกินความสามารถหรอกมั้ง”

ผมพูดแล้วกอดคอเขาล็อกตัวไว้ ก่อนจะลากไปตรงมุมแต่งตัวที่มีกระจกกับเก้าอี้วางอยู่ ทันทีที่ไดร์เป่าผมอยู่ในมือ ผมก็เหวอไปอีกครั้ง

ทำไมมันมีที่ปรับหลายอันจังวะ

ก่อนคนที่นั่งอยู่จะหันมาแล้วอธิบาย

“ปรับอันนี้ไปตรงนี้ ความแรงลมปานกลาง ส่วนฝั่งนี้คือความร้อนของลม ก็ปานกลางเหมือนกัน โอเคมั้ย”

ผมพยักหน้ารับ ปรับไดร์เป่าผมตามที่อีกคนบอก พอมองกลับมาก็เจอกับรอยยิ้มขำๆ จนผมต้องใช้มือจับให้เขาหันหน้ากลับไป ก่อนจะเริ่มลงมือเป่าผมให้

หลังจากนั้นไม่ผมคุณไป๋ก็แห้ง พร้อมกับที่เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามองผม ส่งยิ้มให้แล้วเอ่ยชม

“เก่งเหมือนกันนะเนี่ย”

ผมรับคำชมด้วยการก้มลงไปจูบบนริมฝีปากคู่นั้นแบบกลับด้าน เขาเรียกว่า ‘สไปเดอร์แมนคิส’ รึเปล่านะ...พอผละจูบออกมาเขาก็ยืนขึ้น หันมากอดคล้องคอกันแล้วพูดต่อ เจือเสียงหัวเราะ

“เดี๋ยวก็คอเคล็ดหรอก”

“มุมนี้ดีกว่าถูกมั้ย”

ผมถาม ไม่รอคำตอบ ยกมือขึ้นสัมผัสท้ายทอยเขาแล้วเข้าไปจูบอีกครั้งอย่างเนิ่นนานและลึกซึ้ง แต่ก็ไม่รีบร้อนเกินไป

พอเราได้สบตากันอีกครั้ง แววตาของเขาก็พราวระยับไปด้วยความซุกซน ก่อนที่คนตรงหน้าจะปีนขึ้นมาบนตัวผม โดยใช้ขาทั้งสองข้างล็อคอยู่ที่เอว ตอนที่ผมเสียงจังหวะไปนิดหน่อย เสียงหัวเราะคิกคักก็ดังตามมา

ผมยิ้มตอบ ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่หงายหลังร่วงลงไปทั้งคู่ ก่อนจะพาอีกคนไปส่งที่เตียง แล้วตามไปคร่อมทับ แต่พอจะกลับเข้าไปจูบอีกครั้ง คนตรงหน้าก็ยกมือขึ้น ใช้นิ้วชี้ทาบริมฝีปากผมเอาไว้แล้วพูดต่อ

“คุยกันก่อน”

“ฮึ...?”

“คุณคิดจะทำ...ไปถึงขั้นไหน”

นาทีนั้นผมตื่นตัวแล้วเต็มที่ พอโดนถามเข้าก็แทบต้องสั่งให้เลือดไหลจากข้างล่างกลับขึ้นมายังสมองเพื่อใช้ความคิด

นั่นสิ ผมคิดจะทำถึงขั้นไหน ให้ชัดเจนไปเลยก็คือ ผมคิดจะเข้าไปในตัวเขามั้ยนะ

แน่นอนสิ...แน่นอนอยู่แล้ว

“มากที่สุดเท่าที่คุณจะอนุญาต”

ผมตอบพร้อมกับกดจูบลงไปบนปลายนิ้วมือที่แนบอยู่ แต่คนตรงหน้ากลับไม่เล่นด้วย แล้วตอบกลับ

“เอาล่ะ งั้นเราต้องคุยกัน”

เปิดโหมดจริงจังไปเฉยว่ะ

“อือฮึ”

“ก่อนอื่น ผมรู้นะว่าคุณไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันมาก่อน อาจจะฟังดูงี่เง่าไปหน่อย แต่คุณรู้ใช่มั้ยว่าผู้หญิงกับผู้ชาย...มันไม่เหมือนกัน”

“รู้สิ”

ซึ่งคำตอบของผมก็ไม่ได้ช่วยให้สีหน้าเขาดูดีขึ้น บางทีแค่คำสองคำอาจจะไม่หนักแน่นพอ เอาเป็นว่าลงรายละเอียดด้วยก็แล้วกัน

“ผมก็ศึกษามาบ้างนะคุณ”

“ศึกษา...?!”

“อื้อ!”

“ศึกษายังไง”

“นี่...คุณไป๋ครับ โทรศัพท์มือถือที่เราใช้กันอยู่ทุกวันเนี่ย มันเข้าอินเตอร์เน็ตได้แล้วนะ”

ผมพูดแล้วใช้นิ้วจิ้มลงไปบนปลายจมูกเขาเบาๆ

“หมายถึงว่าคุณเสิร์ชข้อมูลอะเหรอ”

“อืม ก็ศึกษาทั้งจากตัวหนังสือ ภาพนิ่ง แล้วก็ภาพเคลื่อนไหว”

และถ้าไม่ได้คิดไปเอง เขากำลังทำตาโตขึ้นเรื่อยๆ ตามสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะถามต่อ

“คุณดูหนังโป๊เกย์เหรอ!”

“ก็...ใช่...” อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนจับได้ว่าแอบทำตัวนอกลู่นอกทางไปเฉยเลย “เพื่อนผมก็เป็นเกย์นะคุณ มันก็ช่วยติวมาให้บ้าง”

“ติว!”

“อื้ม!”

“เอ่อ...ผมควรจะช็อกเรื่องที่คุณดูหนังโป๊เกย์ หรือช็อกเรื่องที่คุณคุยเรื่องพวกนี้กับเพื่อนก่อนดีนะ”

“เห็นอย่างนี้ผมเป็นคนใฝ่รู้นะคุณ อะไรที่คิดว่าน่าจะจำเป็นในอนาคตมันก็ต้องศึกษาเอาไว้”

“...”

ได้ยินสิ่งที่ผมพูดปุ๊บ ริมฝีปากของเขาก็คว่ำลงทันที

“ดังนั้น ผมรู้ว่าเวลาผู้ชายเขาจะมีอะไรกันเนี่ย จะต้องทำยังไงบ้าง คราวนี้ถึงตาผมถามคุณมั่ง ถ้าเราจะทำกัน คุณต้องเตรียมตัวด้วยถูกมั้ย...อยากขอเวลานอกก่อนรึเปล่า”

คำถามของผมทำให้คนฟังแก้มแดงจัดไปจนถึงหู ก่อนที่เขาจะตอบกลับมาด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา

“เรียบร้อยแล้ว”

“อะไรนะ”

“ก็บอกว่าเตรียมตัวมาเรียบร้อยแล้วไง!”

สิ่งที่ได้ยินทำให้ผมยิ้มรับ แถมยังอดไม่ได้ที่จะงับลงไปบนปลายจมูกของคนตรงหน้าด้วยความมันเขี้ยว พร้อมกับยกมือขึ้นแกะกระดุมเสื้อเขาทีละเม็ด

ในตอนที่ผมก้มหน้าลงจูบที่ลำคอของเขา ก็ยังมีเรื่องให้ต้องถามต่อ

“คำถามสุดท้าย...”

“ฮึ?”

“ปิดไฟหรือเปิดไฟดีกว่า”

คนฟังเม้มปากเข้าระหว่างที่เรามองสบตากัน ก่อนจะตอบกลับด้วยท่าทีเขินๆ

“วันนี้ปิดก่อนได้มั้ยอะ ไว้คราวหน้าค่อยเปิด”

ผมยิ้มรับ ขยิบตาข้างนึงให้เขาแทนคำตอบ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยุดที่หน้าปลั๊กไฟ มองกลับมาก็เห็นว่าอีกคนกำลังขยับตัวไปยังตู้ข้างเตียง หยิบของที่ต้องใช้ออกมาวางไว้ ก่อนจะเปิดโคมไฟ ผมรอให้ไฟดวงเล็กสว่างขึ้นมาก่อน ถึงได้กดสวิตช์ให้ทั้งห้องมืดลง แล้วเดินกลับมานั่งลงตรงหน้าคนที่ลุกขึ้นมานั่งเช่นกัน

เรามองสบตา ต่างฝ่ายต่างก็ยิ้มเขิน ก่อนที่ผมจะก้มลงจูบตรงปลายจมูกได้รูป พร้อมกับยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนสุดของคนตรงหน้า สาบเสื้อที่ค่อยๆ แยกออก ทำให้ผมเห็นผิวขาวเนียนละเอียดได้มากขึ้นทีละน้อย จนต้องพูดสิ่งที่คิดอยู่ออกมา

“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าชุดนอนลายสก็อตก็ดูเซ็กซี่ได้”

คำตอบคือมือที่ยกขึ้นมาตีลงบนต้นแขน จนผมได้แต่หัวเราะกลับไป พอกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลดออก ผมก็เข้าไปจูบลงบนไหล่ ไล่ขึ้นมาตามลำคอ แก้ม และริมฝีปาก พร้อมกับที่รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้ากำลังเอนตัวนอนลงไปอย่างช้าๆ

ริมฝีปากของเราสัมผัสกัน ลึกซึ้ง ไม่รีบร้อน ระหว่างนั้นผมก็รู้สึกได้ว่ามีมือเลื่อนขึ้นมาแกะกระดุมเสื้อที่ผมใส่อยู่ จูบนั้นผละออกตอนกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลด

ผมลุกขึ้น คุกเข่าคร่อมเอวของคนที่นอนอยู่ ถอดเสื้อนอน โยนลงไปข้างเตียง ตามด้วยกางเกง มองสบตาเขา ยักคิ้วให้แล้วยกมือขึ้นตีที่สะโพกของคุณไป๋เบาๆ แน่นนอว่าเจ้าตัวทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยกเอวขึ้นนิดๆ ให้ผมสามารถถอดกางเกงนอนที่เขาใส่อยู่ออกไปได้

หลังสิ่งไม่จำเป็นถูกเคลียร์ออกไปจนหมด ผมก็กลับมาทาบทับอยู่บนตัวเขา ร่างกายของเราประกบแนบแน่นบดเบียด

ในตอนที่มองสบแววตาสีดำสวยซึ่งมองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ผมกลับรู้สึกได้ถึงความกังวลลึกๆ และมันทำให้ผมเปลี่ยนทิศทาง จากที่ตั้งใจจะจูบลงไปที่ปาก เลยย้ายมาเป็นหน้าผาก และได้ยินเสียงของเขา

“แน่ใจนะคุณ”

“ผมรู้ดีน่าว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร”

คำตอบของผมไมได้มีแค่คำพูด แต่มาพร้อมฝ่ามือที่เลื่อนลงไปสัมผัสส่วนสำคัญของเขาเพื่อปลุกเร้า ความลังเลทั้งหมดของคุณไป๋หายไปอย่างช้าๆ เหลือไว้แค่เพียงกระแสอ้อนวอนในสีหน้าและแววตา

ภาพที่เห็นกระตุ้นให้ผมตื่นตัวและพร้อมจะขยับไปยังขั้นตอนต่อไปได้ภายในสามวินาทีนี้ด้วยซ้ำ ผมอยากเข้าไปแล้ว อยากเป็นหนึ่งเดียวกับเขา แต่ถ้าว่ากันตามทฤษฎีที่ศึกษามา กว่าจะไปถึงตอนนั้นก็ยังต้องมีขั้นตอนต่ออีกนิดหน่อย

“คุณรู้มั้ย ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเราสองคนตอนนี้คืออะไร”

“ฮึ?”

เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูอ้อนอ้อนจนผมต้องก้มลงไปจูบที่ใบหูของคนพูดแล้วกระซิบคำตอบ

“ผมว่าเราน่าจะต้องใช้ของที่คุณวางเอาไว้ข้างโคมไฟ แต่มือผมไม่ว่าง ข้างนึงกำลังค้ำตัวเองไว้ จะได้ไม่ทับคุณแบบแต๊ดแต๋ ส่วนอีกข้างก็นะ”

ไฟสลัวในห้องสว่างพอให้เห็นว่าตอนนี้เขาแก้มแดงสุดๆ แต่มันก็ยังเรื่อสีได้มากกว่าเดิมตอนที่ได้ยินคำพูดของผม ริมฝีปากคู่นั้นคว่ำลง ก่อนมือข้างนึงที่เกาะไหล่ผมอยู่จะผละออกไปหยิบเจลหล่อลื่นกับถุงยางอนามัยที่เจ้าตัวเอาออกมาวางไว้ตั้งแต่ตอนที่เปิดโคมไฟ และยื่นให้กัน ผมรับมา จูบลงไปบนผิวแก้มนุ่ม พร้อมคำพูด

“ขอบคุณครับ”

ผมลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง สวมถุงยางอนามัยให้ตัวเอง ก่อนจะบีบเจลหล่อลื่นใส่มือเพื่อเตรียมพร้อมให้คนตรงหน้า

ตอนที่ปรึกษากับเพื่อน บอกตามตรง ผมคิดว่ามันจะยากและทุลักทุเลกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ เสียงร้องเบาๆ ดังขึ้นทันทีที่ผมแทรกนิ้วมือเข้าไปในร่างกายของเขา

คนที่หายใจถี่กระชั้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลื่อนมือมาจับข้อมือผมไว้หลังจากที่เวลาผ่านไปได้ไม่นาน นั่นทำให้ผมต้องมองสบกับแววตาที่ปรือปรอยของเจ้าตัว เลิกคิ้วขึ้นแทนคำถามว่า ‘เป็นอะไร?’ ก่อนริมฝีปากเรื่อสีแดงจัดขยับและส่งเสียงพูดออกมาแผ่วเบา

“ดะ...ได้แล้ว เข้ามาได้แล้ว”

ได้ยินอย่างนั้นผมก็ถอดถอนนิ้วมือตัวเองออกมา จับข้อมือเขาไว้ จูบลงไปเบาๆ แล้วขยับจัดท่าทางที่คิดเอาว่าน่าจะถนัดที่สุด ทางที่ดีก็ถามเพื่อความแน่ใจอีกหน่อย

“แบบนี้โอเคมั้ยคุณ หรือว่าตะแคงซ้าย ตะแคงว่า นอนคว่ำฮึ?”

คำตอบแรกคือกำปั้นที่ทุบลงมาบนไหล่ผม ก่อนคำพูดจะตามมา

“แบบนี้ดีแล้ว จะได้เห็นหน้ากัน”

ผมยิ้มรับ จูบลงบนปลายจมูกเขาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ แทรกตัวเข้าไป โดยที่สายตาของเรายังคงประสานกันอยู่ตลอด

ในช่วงเวลานั้น ความรู้สึกหนึ่งที่แทรกเข้ามาในใจผมคือความกังวล ความรู้สึกคับแน่นทำเอาผมเกิดคำถามว่าเขาจะเจ็บมั้ย จะทรมาณรึเปล่า

ก่อนจะมีมือข้างนึงเลื่อนมาจับมือผมไว้ ประสานปลายนิ้วเข้าด้วยกันและเกาะกุม คุณไป๋ส่งยิ้มมาให้ผม พร้อมพยักหน้าเพื่อเป็นสัญญานว่าทุกอย่างยังคงอยู่ในระดับที่เขาสามารถรับได้ หลังจากนั้นไม่นานผมก็แทรกลึกเข้าไปในตัวเขาทั้งหมด และเริ่มขยับตามความต้องการของร่างกาย

คนตรงหน้าผมหอบหายใจกระชั้น เขาเริ่มมีเสียงร้องเบาๆ ตอนปลายทางใกล้เข้ามาทุกที ก่อนเจ้าตัวจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่สัมผัสตัวเองเพื่อปลุกเร้า และแล้วความสุขจากจุดสุดยอดก็ถาโถมเข้าหาเขา

ในขณะเดียวกัน ผมก็ยังคงสอดแทรกร่างกายเข้าหา เร่งจังหวะ จนได้สัมผัสกับช่วงเวลาอันล่องลอยของวินาทีแห่งความสุข ก่อนจะทรุดร่างกายลงโอบกอดคุณไป๋เอาไว้ พร้อมกับรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดลงมาบนซอกคอ พร้อมอ้อมแขนที่โอบกอดกัน

ความเงียบโรยตัวอ้อยอิ่งอยู่ไม่นาน ก่อนอ้อมกอดจะเปลี่ยนมาเป็นฝ่ามือที่ลูบไล้บนแผ่นหลังของผมและคำถาม

“เป็นไงบ้าง?”

คำถามฟังดูไม่ชัดเจน แต่ผมเข้าใจในความหมาย ว่าอีกฝ่ายกำลังถามกันว่า รู้สึกยังไง หลังจากมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันเป็นครั้งแรก

ผมจูบลงไปบนลำคอด้านข้างของเขาทันทีที่ได้ยิน ใช้แขนข้างนึงค้ำตัวเองขึ้นมามองสบตากับคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง มืออีกข้างปัดเส้นผมซึ่งลงมาปรกอยู่บนหน้าผาก ก่อนจะเลื่อนไปสัมผัสติ่งหูนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายแล้วสัมผัสเล่น ส่งยิ้มไปให้ ก่อนจะพูดออกมา

“ไม่แน่ใจว่าควรตอบยังไงดีอะคุณ”

“อะ..อ้าว”

“น่าจะต้องลองทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วล่ะมั้ง เผื่อจะคิดออกว่าควรตอบคำถามคุณด้วยคำไหนดี”

พูดจบผมก็ส่งยิ้มให้เขา ก้มหน้าลงไปจูบลึกซึ้งบนริมฝีปาก พอผละจูบออกมาถึงได้กระซิบเบาๆ ให้เจ้าตัวได้ยิน

“ไหนๆ คุณก็ถามแล้ว งั้นผมขอลองอีกรอบนึงตอนนี้เลยได้มั้ย”



สิ่งหนึ่งที่ทำให้การร่วมรักกันออกมาสมบูรณ์แบบคือช่วงเวลาอ้อยอิ่งเชื่องช้าที่เต็มไปด้วยความผูกพันหลังจากนั้น

ตอนนี้ผมนั่งอยู่บนเตียง มีอีกคนเอนหลังพิงอกกันอยู่ และในมือของเขาคือโทรศัพท์ของผม

ใครมันจะไปรู้ว่าร้านล้างฟิล์มจะส่งรูปเข้าอีเมลมาตอนห้าทุ่มกว่า นี่คือทำงานไม่หลับไม่นอนกันเลยใช่มั้ย และยิ่งกว่าการที่ร้านส่งรูปมาตอนห้าทุ่มกว่าก็คือการที่พวกผมมานั่งดูรูปด้วยกันตอนเที่ยงคืน

หลังจากเรามีอะไรกัน เข้าห้องน้ำ ล้างตัวเตรียมเข้านอน ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งนาฬิกาปลุก เพราะพรุ่งนี้ต้องกลับไปทำงาน แล้วก็ดันเจออีเมลจากร้านล้างรูปที่ส่งมาเข้าพอดี

จากที่จะนอนก็เลยมานั่งดูรูปกันแทน ผลงานที่ออกมาก็มีทั้งที่ดูดีไปเลย แล้วก็พลาดบ้าง มืดไปบ้าง ไม่โฟกัสบ้าง แต่ทุกรูปก็ดูมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง

จนกระทั่งมาถึงรูปที่ผมถ่ายไว้ตอนที่ขอเขาเป็นแฟน ผลปรากฏว่าภาพออกมาเบลอ น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในตอนที่ผมกำลังกดชัตเตอร์พอดี

มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ยกขึ้นมาให้ผมดูรูป พร้อมกับที่เจ้าตัวหันมายักคิ้วให้พร้อมพูดว่า

“ถ่ายรูปยังไง ไม่เห็นจะโฟกัสเลย”

ผมยิ้มรับ ก้มลงไปกัดไหล่ขาวๆ ที่อยู่ตรงหน้าเต็มคำแล้วจูบย้ำลงไปอีกทีโดยไม่พูดอะไร ทั้งที่ในใจมีคำตอบอยู่แล้ว

รูปจะไม่ชัดก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะสีหน้าท่าทางของเขาในช่วงเวลานั้น ถูกบันทึกเอาไว้ในความทรงจำของผมเรียบร้อยแล้ว...



- - -

พวกเด็กๆ เข้าคอร์สฉีดวัคซีนไปได้ครึ่งทางแล้ว

คือลูกแมวจะต้องเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อฉีดวัคซีนอยู่ประมาณสองเดือน ทุกอย่างจึงจะเสร็จเรียบร้อย อาจจะยุ่งยากไปหน่อยในครั้งแรก แต่หลังจากนี้ก็แค่มากระตุ้นวัคซีนให้ตรงเวลาทุกปี เหมือนมะตูมกับเป่าเป้ย

ครั้งนี้ผมยืนยันว่ายังไงเราก็ต้องแชร์ค่าใช้จ่ายกันคนละครึ่ง อย่างที่เคยบอกว่าเลี้ยงแมวค่าใช้จ่ายเยอะ รอบนี้ถึงกับเลี้ยงแมวสี่ตัว แน่นอนว่าทุกอย่างก็ต้องคูณสี่เข้าไปทั้งหมด จะให้คุณไป๋เขารับผิดชอบคนเดียว ผมไม่ยอมแน่ๆ

วันนี้ผมกลับบ้านช้า เพราะต้องทำโอทีต่ออีกเกือบสามชั่วโมง พอขับรถกลับมาถึงบ้านก็ได้เจอกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน

ช่วงที่อยู่ตัวคนเดียว บ้านมักมืดสนิทในตอนที่ผมกลับมา แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างนั้น ห้องนั่งเล่นที่บ้านผมเปิดไฟจนสว่าง และถ้ามองเข้าไปก็จะเจอกับคนที่นั่งอยู่หลังคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ตรงโต๊ะทำงานตัวเก่าของคุณพ่อ

ก่อนหน้านี้เป็นผมที่มักจะไปขลุกอยู่บ้านเขาทั้งวันทั้งคืน แต่หลังจากที่เราคบหากันอย่างจริงจังแล้ว กลายเป็นว่าคุณไป๋เป็นฝ่ายชอบมาอยู่ที่นี่แทน เหตุผลของเขาคือ ‘ผมนั่งทำงานที่นี่แล้วสบายใจกว่า’ แถมยังบ่นต่อว่าบ้านตัวเองบรรยากาศเหมือนห้องตัวอย่างที่เอาไว้โชว์ ไม่มีความอบอุ่นผ่อนคลายเลยสักนิด

ผมจำได้ว่าวันแรกมีแค่คุณไป๋ที่เอาโน้ตบุ๊กกับเอกสารมานั่งทำงานอยู่บ้านผม พอสักวันสองวันผ่านไป ก็เป็นคุณไป๋กับเป่าเป้ย จนกระทั่งวันนี้ บ้านที่เคยมีแค่ผมกับมะตูม ก็มีคุณไป๋ เป่าเป้ย และลูกๆ อีกสี่ตัว มาอยู่จนครึกครื้น

ตัวผมเองน่ะไม่มีปัญหาอะไรหรอก ออกจะมีความสุขที่มีเขาอยู่ในบ้านแบบนี้

แถมยังมีเหตุผลอีกอย่างที่ผมอยากให้เขามาอยู่บ้านผม เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อเช้าวันแรกที่ผมต้องกลับไปทำงานหลังหยุดปีใหม่

วันนั้นผมออกไปซื้อโจ๊กกับเกี้ยมอี๋ที่ร้านเดิม ส่วนอีกฝ่ายอยู่บ้าน ชงกาแฟดื่มตามปกติ พอกลับมาเราก็คุยเล่นกัน ก่อนที่ผมจะจูบเขาแล้วอุ้มให้ขึ้นไปนั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว

ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆ จะมีผู้หญิงคนหนึ่งเดิมเข้ามาในบ้านพร้อมคำพูดอันสดใส

‘พี่ไป๋ หม่าม้าผัดหมี่เตี๊ยวมาให้กินฉลองปีใหม่แน่ะ’

ด้วยความโมเดิร์นของบ้านหรืออะไรก็ตาม แม่ของเขามองเห็นสิ่งที่เราทำกันอยู่ตั้งแต่ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยซ้ำ

ผมโคตรจะทำตัวไม่ถูกเลย ใจนึกอยากจะกระโดดออกนอกหน้าต่างหนีกลับไปบ้านตัวเองไปตั้งหลักสักพักแล้วค่อยกลับมา แต่ก็ทำไม่ได้

ส่วนสิ่งที่แม่เขาพูดออกมาหลังจากเห็นลูกชายตัวเองโดนจูบน่ะเหรอ

‘ถึงว่า ทำไมพี่ไป๋ไม่ยอมไปไทเปกับหม่าม้า’

โถ่เอ๊ย...

สรุปว่าเช้าวันนั้นพวกผมได้มื้อเช้าเพิ่มมาอีกอย่างคือหมี่เตี๊ยว ซึ่งเป็นเส้นหมี่สีครีม ผัดกับเนื้อหมู เบคอน เห็ดหอม แล้วก็ผัก

วิธีการกินมีเทคนิคอันสำคัญก็คือ ห้ามกัดเส้นหมี่เด็ดขาด เส้นยาวขนาดไหนก็ต้องสูดเข้าไปให้หมด เพราะหมี่เตี๊ยวอะไรนี่เป็นอาหารมงคลแทนคำอวยพรให้อายุยืนยาว เลยต้องกินไปทั้งเส้นยาวๆ อย่าไปกัด

เอาจริงปะ แม่คุณไป๋เขาดูจริงจังกับการไม่กัดเส้นหมี่มากกว่าสิ่งที่ผมทำกับลูกชายเขาซะอีก

คือแม่เขาก็ไม่เดือดร้อน เจ้าตัวก็ไม่เดือดร้อน แต่เป็นผมนี่แหละที่เดือดร้อน เพราะหลังจากนั้นก็เอาแต่ระแวงว่าจะมีใครเดินเข้ามาตอนไหนอีก จนไม่กล้าทำอะไรไปหมด

แต่ถ้าอยู่บ้านตัวเองล่ะก็ บอกได้เลยว่าทางสะดวก



ผมจอดรถ เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับที่อีกฝ่ายลุกขึ้นมารับ สิ่งแรกที่ทำคือการเดินเข้าไปใกล้ และหอมแก้มเขาเบาๆ แทนคำทักทาย แค่นี้ชีวิตก็มีความสุขแล้ว

“กินอะไรมารึยัง”

“เรียบร้อย กินที่ออฟฟิศมาแล้ว เจ้านายเลี้ยง”

คนฟังพยักหน้ารับ ยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้ากันแล้วพูดต่อ

“ทำโอทีอีกแล้ว เหนื่อยแย่เลย ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนได้แล้ว ผมขอทำงานอีกนิด เดี๋ยวตามไป โอเค?”

“อืม...”

ผมรับคำ เอียงหน้าไปจูบลงบนฝ่ามือเขา แล้วก็ขึ้นห้องมาอาบน้ำ

ด้วยความที่ช่วงนี้งานเริ่มกลับมายุ่งอีกแล้ว ผมเลยเพลียจนหลับไปในทันที รู้สึกตัวแบบเบลอๆ อยู่ครั้งหนึ่งตอนที่มีคนปีนขึ้นมาบนเตียง แล้วซุกตัวเข้ามาในอ้อมแขน ผมกอดเขาแน่นเข้าทั้งที่ยังไม่ตื่นดี แล้วก็รับรู้ลางๆ ว่ามีคนจูบริมฝีปากกับเสียงหัวเราะ

ก่อนจะตื่นนอนอีกครั้งตอนเช้าเพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือ สิ่งแรกที่รู้สึกหลังรู้สึกตัวก็คือ หนัก... หนักเหมือนมีอะไรมาทับ พอลืมตา สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือ สีเหลือง...

ไอ้ตูมเหรอ...ไม่ใช่ว่ะ นี่ไม่ใช่ไอ้ตูม ไอ้ตูมต้องเหลืองกว่านี้หน่อย นี่มันมะยม...พอได้คำตอบก็มีอะไรบางอย่างพาดเข้ามาที่คอจนต้องหันไปมอง แล้วก็ต้องเจอกับสีเหลืองอีกครั้ง เหลืองเข้มๆ แบบนี้แหละ ไอ้ตูม!

ผมผลักแมวลงจากตัว เอาหางแมวออกจากคอแล้วลุกขึ้นนั่ง พอมองไปรอบห้องก็พบว่ามีแต่แมว แมว แมว แล้วก็แมว แถมแฟนยังหายไปอีก

คุณไป๋น่าจะตื่นนอนแล้ว เขานอนดึกตื่นเช้าเป็นนิสัยจนผมต้องถามว่าไม่เพลียบ้างรึไง และได้คำตอบว่าเคล็ดลับก็คือการแอบงีบตอนบ่ายสามโมงทุกวัน

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวพร้อมไปทำงาน ผมก็ลงไปข้างล่าง และได้กลิ่นหอมของเนยที่ลอยมา

ความลับที่ผมเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้คือคุณไป๋ทำอาหารเป็น ในช่วงเวลาที่ผมตกใจ เขากลับตอบมาแค่

“ก็ไม่เคยบอกว่าทำไม่เป็นนี่”

“เคยดิ”

“หึ บอกแค่ไม่อยากทำ ไม่ได้บอกว่าทำไม่เป็นซะหน่อย”

เหตุผลที่เขาอธิบายตามมาก็คือตอนอยู่ตัวคนเดียวจะกินอะไรก็ซื้อเอาสะดวกกว่า เพราะไม่ต้องเก็บล้าง อีกอย่างคือเขาไม่อยากให้ห้องครัวมีคราบจากน้ำมัน แล้วก็ไม่อยากให้บ้านมีกลิ่น ถึงแม้จะติดเครื่องดูดควันไว้แล้วก็เหอะ แต่พอมาบ้านผม ซึ่งห้องครัวกับซิงก์ล้างจ้านสร้างไว้นอกบ้าน อีกฝ่ายจึงทำโน่นทำนี่ให้กินเป็นประจำ ถึงจะเป็นเมนูง่ายๆ ก็เถอะ

อย่างวันนี้ ถ้าเดาจากกลิ่นหอมของเนยก็น่าจะเป็นขนมปังชุบไข่ทอด แบบที่เราไปกินที่ร้านอาหารเช้าเมื่อวันปีใหม่

ผมเดินมาหยุดมองภาพแผนหลังของคนที่ยังใส่ชุดนอนและกำลังทำอาหาร

พอนึกย้อนไป ตั้งแต่เรียนจบและเริ่มทำงาน ผมก็ไม่เคยจินตนาการถึงภาพตัวเองตอนมีแฟน ไม่เห็นภาพอนาคตของผมร่วมกับใครสักคน ไม่เคยคาดหวังถึงการแต่งงานหรือใช้ชีวิตคู่ของตัวเองเลยสักครั้ง ก็แค่ใช้ชีวิตของตัวเองไปในแบบที่เป็น

แต่พอเจอเขาทุกอย่างมันเกิดขึ้นง่ายมาก มันเหมือนมีเคมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้เราต้องใกล้กัน ให้ผมพยายามใกล้เขา ให้เขาเองก็เข้าใกล้ผมมากขึ้นทีละนิด มันเริ่มจากความสบายใจ และความสนุกเล็กๆ รู้อีกที มันก็กลายเป็นความรู้สึกอันแสนพิเศษ

เราเพิ่งรู้จักกันได้ประมาณสี่เดือน ถ้ามีเพื่อนสักคนมาบอกว่าตกหลุมรักคนที่รู้จักกันในช่วงเวลาแค่นั้นแบบถอนตัวไม่ขึ้น ผมคงบอกว่ามันกำลังหลง กำลังหน้ามืดตามัว ลองให้เวลาผ่านไปสักปีหนึ่งเถอะ เดี๋ยวได้รู้แน่ว่าอะไรเป็นอะไร

เพราะฉะนั้นผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วเรื่องระหว่างเราจะเป็นแบบนั้นไหม

ผมไม่เคยกังวลที่จะต้องเลิกรากับใคร การคบหาที่ผ่านมาอยู่บนเงื่อนไขง่ายๆ ว่าถ้ายังรู้สึกดีต่อกันก็อยู่ ถ้าไม่แล้วก็แค่เลิก ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง และเขาคือคนที่ทำให้ผมไม่อยากใช้เงื่อนไขนั้น ผมอยากให้เขาอยู่ อยากให้อยู่ไปอีกนานเลย...ไม่อยากลับไปใช้ชีวิตแบบที่ไม่มีเขาอีกแล้ว

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่เคยรู้สึกกับใครอย่างลึกซึ้งในเวลาอันรวดเร็วแบบนี้ ไม่เคยให้คนที่คบหาย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้าน ใช้ชีวิตร่วมกัน แชร์ห้องนอน แชร์ห้องน้ำ เข้านอนด้วยกันและตื่นขึ้นมาเจอหน้ากันในทุกเช้า

แต่ความจริงที่ต้องยอมรับก็คืออนาคตเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ผมอาจจะเบื่อเขาในสักวันหนึ่ง หรือไม่ก็อาจจะเป็นเขาที่ไม่อยากมองหน้าผมขึ้นมาซะอย่างนั้น

ถ้าเกิดวันนั้นมาถึง ผมจะรับมือกับมันยังไง

แล้วความคิดทั้งหมดก็ถูกหยุดไว้ด้วยใบหน้าที่หันมาหากันพร้อมรอยยิ้มและคำถาม

“ผมทำขนมปังชุบไข่แหละ คุณจะราดซอสพริกหรือว่าน้ำผึ้งดี”

ผมยิ้มรับคำถามนั้น แล้วตอบกลับไป

“น้ำผึ้งแล้วกัน”

ความสดใสและท่าทางสบายๆ ของเขาทำให้ผมเข้าใจอะไรบางอย่าง เข้าใจว่ามันจะมีประโยชน์อะไรจากการจินตนาการถึงเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นล่ะ

...ตอนนี้ผมมีความสุขที่มีเขา และมันคือเรื่องจริง


- END -



มีบทส่งท้ายต่ออีกนิดหน่อยนะคะ 
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: kipuuu ที่ 14-03-2020 19:02:35
- EPILOGUE -

2 ปีผ่านไป



ผมจำได้ ไอ้ข้าวเพื่อนสนิทที่รู้จักผมดีที่สุดเคยบอกว่าผมเป็นคนไว ในความหมายที่ว่าเปลี่ยนความรู้สึกได้ไว บทจะชอบก็ชอบ พอถึงเวลาอยากเลิกชอบก็เลิกไปซะอย่างนั้น

แต่สองปีที่ผ่านมานี่ ความรู้สึกที่ผมมีกับเขาไม่เคยเปลี่ยนเลย

จริงที่ว่าความรู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่มันอาจจะน้อยลง สิ่งที่คงเหลืออยู่ระหว่างเราตอนนี้คือความอบอุ่นและคุ้นเคย ถึงอย่างไรก็ตาม ทุกวันผมก็ยังลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกอยากเห็นหน้าเขา

วันนี้ก็เช่นกัน...

ผมตื่นนอน ลุกขึ้นนั่ง หันไปเห็นคนข้างๆ ซึ่งยังหลับอยู่ แล้วในใจก็เกิดคำถามที่ทำให้หลุดยิ้มออกมาซะเอง

อายุสามสิบแล้วยังหน้าตาแบบนี้ได้ไงเนี่ย

ระหว่างนั้นก็เอื้อมมือไปดึงผ้าที่ห่มกองอยู่ตรงช่วงเอวเขาให้เลื่อนขึ้นมาที่อก ก้มลงไปจูบบนแก้มแล้วพูดต่อ

“ตื่นได้แล้วที่รัก”

วันเวลาทำให้คำถามทั้งหมดที่ผมเคยมีหายไป ความรู้สึกขุ่นมัวที่เคยเกิดขึ้นในใจกลายเป็นความชัดเจนในช่วงเวลาไหนไม่รู้

ในระหว่างการคบหากันของเราสองคน ผมก็เลิกคิดไปแล้วว่าสักวันเขาอาจจะหมดรักผม หรือผมอาจจะไม่รักเขา

ผมลืมความลังเล ละทิ้งความกังวลที่ว่าสักวันเราอาจจะต้องเลิกกัน และเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ปล่อยตัวเองให้จมไปกับความสุขอของการได้รัก และถูกรัก

คุณไป๋ตื่นแล้ว เขาพลิกตัวกลับมา แล้วขยับขึ้นมานอนอยู่บนตักผมในสภาพงัวเงีย ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ และดูเหมือนอยากหลับต่อมากกว่าลุกไปไหน

ผมแทรกนิ้วมือเข้าไปในเส้นผมของเขา ลูบไปมาเบาๆ แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์หนึ่งในตอนที่เรากำลังศึกษาดูใจกัน ในคืนที่เขาเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ให้ผมฟัง ตอนนั้นเขาดูเปราะบางมาก แตกต่างจากปกติที่ดูจะมีความร้ายกาจน่าตีอยู่สักหน่อย

สิ่งที่ผมคิดในคืนนั้นก็คือ สักวันหนึ่งจะพาเขาไปอยู่ในบ้านที่มีความอบอุ่น อยู่ในสถานที่ที่จะสามารถวางใจได้ว่ามันเป็นบ้านของเขาจริงๆ และวันนี้ผมทำสำเร็จ

คุณไป๋ย้ายมาอยู่ที่บ้านผมแบบเต็มตัวในช่วงที่เราคบกันไปได้ประมาณครึ่งปี และตัดสินใจปล่อยบ้านตัวเองให้คนมาเช่าอยู่ในราคาที่ไม่แพง พอดีกับช่วงนั้นบริษัทที่ผมทำงานอยู่มีงานเยอะขึ้นจนต้องรับพนักงานเพิ่มสองคน และน้องสองคนนั้นก็ตัดสินใจเช่าบ้านคุณไป๋ในราคาพอๆ กับเช่าหอพัก

ย้ายเข้ามาได้ไม่นานเราก็จัดการกั้นฝั่งหนึ่งของห้องนั่งเล่นให้เป็นห้องนอนแมว ช่วงกลางวันพวกเหมียวจะยังได้ออกมาเล่นเหมือนเดิม แต่พอกลางคืนปุ๊บทุกตัวจะต้องเข้าไปนอนในห้อง...ซึ่งก็ไม่ค่อยสำเร็จหรอก

ผมต้องแบ่งชั้นวางของชั้นหนึ่งให้เขาใช้วางหนังสือ ส่วนเขาก็ซื้อเครื่องครัวใหม่ๆ ทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่เข้ามาเต็มไปหมด จนล่าสุดบ้านผมมีเตาอบขนมเรียบร้อยแล้ว

ความเป็นเขาค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในบ้านผมทีละนิดๆ แม้กระทั่งตอนนี้ บนเตียงที่เรากำลังนอนอยู่ ทั้งผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนและผ้าห่มก็เป็นลายที่เขาเลือกเองทั้งหมด

“ขอตื่นสายวันนึงนะ”

ผมยิ้มกับสิ่งที่ได้ยิน ลูบผมเขาเบาๆ แล้วตอบ

“แก่ตัวแล้วก็จะเริ่มขี้เกียจแบบนี้แหละเนอะ”

คำตอบคือฝ่ามือที่ทุบลงบนต้นขากัน ผมจับมือเขา ใช้นิ้วหัวแม่มือลูบผิวนุ่มไปมาเบาๆ แล้วไปสะดุดกับแหวนสีเงินวงเล็กที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย

ผมสวมแหวนวงนี้ให้คุณไป๋ไปเมื่อวานเป็นของขวัญวันเกิด

เราไปดินเนอร์ด้วยกันที่ร้านอาหาร พอถึงช่วงเวลาที่เหมาะ ผมก็หยิบแหวนขึ้นมายื่นให้ ก่อนจะได้คำถามกลับมา

“นี่คืออะไร ของขวัญวันเกิดเฉยๆ หรือว่าขอแต่งงานด้วย”

คำถามนั้นทำเอาผมไปต่อไม่ถูก จนต้องค่อยๆ อธิบาย

“คือผมก็ไม่รู้ว่าเวลาผู้ชายคบกันเค้าต้องแต่งงานหรือว่ายังไงมั้ยอะนะ แต่...ผมอยากให้ของที่มีค่ากับคุณเป็นของขวัญวันเกิด แล้วก็...อยากให้คุณใส่แหวนที่ผมให้”

คนฟังยิ้มรับเขินๆ พร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างมาให้กัน

“งั้นก็เอามาดิ จะใส่นิ้วไหน เลือกเลย”

และผมตัดสินใจสวมมันบนนิ้วนางข้างซ้าย พอคนตรงหน้าดึงมือกลับไป พิจารณาแหวนที่อยู่บนนิ้ว ผมก็พูดต่อ

“โทษทีนะ ไม่มีเซอร์ไพรส์อะไรใหญ่โตหรอก คือผมไม่แน่ใจว่าคุณจะชอบอะไรที่เล่นใหญ่ แล้วก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนเยอะๆ รึเปล่า”

คนฟังยิ้มรับ ละสายตาจากแหวนที่อยู่บนนิ้วมือมาสบตาผมแล้วตอบกลับ

“ผมไม่ชอบเซอร์ไพรส์...”

“รู้ใจปะล่ะ”

“แต่ก็มีเซอร์ไพรส์อยู่ครั้งนึงในชีวิตนะ ที่ผมชอบเอามากๆ”

“...”

“ก็คือตอนพาแมวไปหาหมอ แล้วหมอบอกว่าเป้ยท้อง”

พูดจบเขาก็เลื่อนมือมากุมมือผมเอาไว้ พร้อมกับยิ้มเขินๆ

“เพราะมันทำให้เราได้รู้จักกัน”



- END -



talk .

จบไปแล้วนะคะ สำหรับเรื่องรักฟูนุ่ม : )

อยางแรกที่ต้องบอกเลยคือ หนังสือวางขายเรียบร้อยแล้วนะคะ ตอนนี้น่าจะเริ่มวางที่ร้านหนังสือแล้ว

สำหรับคนที่สะดวกสั่งซื้อออนไลน์ ตามลิ้งนี้ไปเลยค่ะ  ❤ (https://jamshop.jamsai.com/product/5366-the-purr-fect-fall--รักแมวข้างบ้าน)

ในเล่มจะมีตอนพิเศษ​ 2 ตอนด้วยกัน (จำนวนน้อย แต่ตอนนึงก็ยาวอยู่น้า)

ตอนแรก จะเป็นเรื่องเล่าจากฝั่งของคุณไป๋ค่ะ (เชื่อว่าหลายคนรอคอยตอนนี้แน่ๆ)

ตอนที่สอง จะเป็นเรื่องราวของทั้ง 2 คน พาพวกเหมียวไปออกทริป เที่ยวบ้านสวนของพ่อแม่นายชุนด้วยกันค่ะ



นอกจากเรื่องรัก #รักแมวข้างบ้าน แล้ว ตอนนี้ทาง EverY มีโปรโมชั่นลดราคาหนังสืออยู่

ทั้ง #ยิ้มหวานของหมอ กับ #เราจะจีบเฮีย ร่วมโปรอยู่นะคะ

#ยิ้มหวานของหมอ (ราคา 200 บาท) :  ❤  (https://jamshop.jamsai.com/product/5712-that-smile-ยิ้มหวานของหมอ--ลด-50--)

#เราจะจีบเฮีย (ราคา 175 บาท)  :  ❤  (https://jamshop.jamsai.com/product/5737-give-love--เราจะจีบเฮีย--ลด-50--)

ใครเล็งอยู่ เป็นโอกาสดีที่จะไปซื้อกันน้า

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดค่ะ

ไว้โอกาสหน้ามาเจอกันอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 14-03-2020 22:37:15
น่ารักมาก..กกกกกกก แอบทวง #เรื่องสั้นคนแปลกหน้า เลยงานบอลประเพณีมาพักใหญ่แล้วนะ พี่รออยู่  :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 16-03-2020 21:52:38
น่ารักสุดๆ ชอบมากเลย
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: เก้าแต้ม ที่ 18-03-2020 07:56:21
ขอบคุณคนแต่งค่า
หัวข้อ: Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
เริ่มหัวข้อโดย: tonpaicat ที่ 05-11-2020 17:18:21
เรื่องนี้ถูกใจทาสแมวอย่างเรามาก
ที่ชอบอีกอย่างคือซีนมีอะไรกัน ดูอิงตามหลักความจริงดี