- 03 -
คุณไป๋บอกว่าเป่าเป้ยมีนัดไปหาหมออีกครั้งวันศุกร์ แล้วมีเหรอที่ผมจะไม่ไปด้วย เย็นวันนั้นผมขอออกจากที่ทำงานล่วงหน้าหนึ่งชั่วโมง จนพี่ที่ทำงานถึงกับทักว่าจะรีบไปไหน ส่วนคำตอบน่ะเหรอ?
“ลูกสะใภ้มีนัดไปหาหมอว่ะพี่”
พวกพี่ๆ คงงงไปแล้ว ถ้าเจ้านายผมไม่หันมาอธิบายเพิ่ม
“แมวมันไปทำแมวข้างบ้านท้อง มันก็เลยต้องรับผิดชอบ”
ได้ยินอย่างนั้นคำถามก็ตามมาทันที
“มะตูมที่เป็นรูปหน้าจอคอมมึงอะนะ”
“ใช่พี่ ไอ้ตูมตัวนั้นนั่นแหละ”
คุยกันอีกนิดหน่อยผมก็ออกจากที่ทำงานมาทันที
คุณไป๋เค้าพาเป่าเป้ยไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์เดียวกันกับที่ผมพาไอ้ตูมไปทำหมัน ก่อนออกมาก็ไลน์ไปถามแล้วแหละว่าถึงรึยัง และได้คำตอบว่าคุณเค้าเพิ่งมาถึงคลินิก กำลังจะเข้าไปข้างใน
ที่ทำงานผมกับคลินิกอยู่คนละฝั่งกันเลย ถ้านับบ้านเป็นจุดศูนย์กลาง ระหว่างทางรถติดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ ใช้เวลาเดินทางสักพักผมก็มาถึง จอดรถเสร็จ เดินเข้าไปก็เจออีกฝ่ายนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เลยไปนั่งลงข้างๆ แล้วถามต่อ
“เป็นไงบ้างคุณ”
“เอ็กซเรย์แล้ว รอหมอเรียกเข้าไปดูฟิล์ม”
“อ้าว ผมมาไม่ทันเหรอเนี่ย อุตส่าห์อยากเห็นโมเม้นนี้ของเป้ย”
ระหว่างที่พูดออกมา ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วเปิดรูปที่เซฟมาจากอินเตอร์เน็ตให้ดู มันเป็นรูปแมวสีส้มที่นั่งอยู่บนตักคน พร้อมกับโดนเครื่องอะไรบางอย่างแตะตรงท้อง
จุดที่น่ารักคือสีหน้าเจ้าเหมียวที่รูปแรกดูเหมือนกำลังงง รูปที่สองหันไปมองจอ ส่วนรูปที่สามก็ทำหน้าตกใจ เหมือนอึ้งไปแล้วที่ตัวเองท้อง
“อันนี้คืออัลตร้าซาวด์ ทำไปตั้งแต่วันก่อนแล้ว ส่วนวันนี้เป็นเอ็กซเรย์ ไม่เหมือนกัน”
“อ้าวเหรอ แล้ววันนั้นเป้ยทำหน้าแบบในรูปปะ?”
เขามองผม ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วตอบกลับ
“ไม่อะ”
“เสียดายเลย”
พูดจบผมก็ก้มลงไปมองเป่าเป้ยที่นอนอยู่ในกรงหิ้วแบบเดียวกันกับของมะตูมแต่คนละสี ดูท่าทางเจ้าเหมียวก็นิ่งสนิทดี ไม่โวยวายอะไรจนต้องหันมาพูดกับพ่อแมวที่นั่งอยู่
“เป้ยนิ่งมากเลย คุณรู้มั้ย ไอ้ตูมนะ สติแตกทุกทีที่มาโรงพยาบาล ร้องหง่าวๆ ๆ แถมยังทำตาโตด้วย”
คนฟังเหลือบมามองกันนิดๆ แล้วตอบกลับ
“ก็สมกับเป็นแมวคุณ”
“เฮ้ย? ผมไม่เคยร้องหง่าวๆ แล้วก็ทำตาอย่างนี้เลยนะ”
ระหว่างที่พูดผมก็เบิ่งตาให้โตขึ้น คนมองเกือบจะหลุดขำ แต่ก็ไม่ตอบอะไร จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ส่งเสียงเรียกขึ้นมาว่า ‘น้องเป่าเป้ย เชิญพบคุณหมอค่ะ’
นึกถึงตอนผมพาไอ้ตูมทำหมัน เจ้าหน้าที่ก็เรียกแบบนี้เหมือนกัน ‘น้องมะตูม เชิญพบคุณหมอค่ะ’ คำเดียวกัน พนักงานก็คนเดียวกัน แต่ตอนเรียกไอ้ตูมประโยคฟังดูไม่เห็นอ่อนโยนเหมือนเรียกเป้ยเลย ติดตลกซะด้วยซ้ำ
พอโดนเรียกพวกผมก็ลุกขึ้น เดินตามทางเพื่อเข้าไปในห้อง
เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสคุยกับคุณไป๋เลยได้รู้ว่า ที่อีกฝ่ายเอาเป้ยไปหาหมอก็เพราะสังเกตเห็นว่านมของลูกสาวสุดที่รักเค้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู คิดอยู่ 2 อย่างว่า ถ้าไม่ใช่กำลังจะหง่าวอยากมีแฟน ก็คงพลาดไปท้องกับใครเข้าแล้ว เพราะมะตูมก็เดินไปมาเข้าออกบ้านอยู่บ่อยๆ เลยพามาให้หมอตรวจดู
แล้วก็อย่างที่เห็น ผลออกมาว่าคุณเธอท้องได้ประมาณเดือนนึง แถมยังได้ความรู้เพิ่มด้วยว่าแมวจะใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 2 เดือน แสดงว่าอีกไม่นานผมก็คงจะได้เห็นหน้าหลานแล้ว
พอเข้ามาในห้องคุณหมอก็เริ่มอธิบายว่าสิ่งที่เพิ่งทำไปคือการเอ็กซเรย์แมว เพื่อดูจำนวนลูกที่แน่นอน และยังดูได้ด้วยว่าคุณแม่มือใหม่จะสามารถคลอดลูกเองได้รึเปล่า
หลังจากนั้นคุณหมอก็ยกฟิล์มขึ้นมาส่องไฟพร้อมกับใช้ปลายปากกาชี้ให้ดูว่าตอนนี้ในท้องของเป่าเป้ยน่าจะมีเจ้าตัวเล็กอยู่ 4 ตัว
ส่วนของการดูกระดูกอุ้งเชิงกรานกับหัวลูกแมวเพื่อวิเคราะห์ว่าเป้ยจะสามารถคลอดลูกเองได้มั้ย คำตอบก็คือได้ สบายมาก เวลาคลอด น่าจะประมาณ 1 สัปดาห์นับจากวันนี้
นอกจากการดูฟิล์มและอธิบายว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว หมอยังแนะนำวิธีการเตรียมตัว ดูแลแม่แมวมือใหม่ระหว่างคลอดอีกด้วย
เจ้าของแมวตัวจริงน่ะ นั่งฟังคำพูดพวกนี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่งเป็นที่สุด และคนที่ตื่นเต้นมากกว่าก็คือผม สัปดาห์หน้าก็คลอดแล้วเหรอวะ? ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก!
,
วันต่อมา ทั้งผมและมะตูมก็มานั่งอยู่ที่บ้านหลังข้างๆ เพื่อดูปราสาทแมวที่ได้มาเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน และหาวิธีทำให้มันเป็นห้องคลอดมที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเป่าเป้ย ตอนแรกผมเข้าใจว่าแค่เอาลังมาส่องไฟก็คลอดได้แล้ว จนกระทั่งฟังคำแนะจากหมอถึงได้รู้ว่ามันยังมีอะไรมากกว่านั้น เพราะแม่แมวจะใช้ลังใบนี้เพื่อคลอดลูก และเลี้ยงลูกแมวอยู่ในนั้นอีกเป็นเดือนทีเดียว
นอกจากคำแนะนำเรื่องสถานที่แล้ว คุณหมอยังบอกอีกว่า นี่เป็นท้องแรกของเป่าเป้ย สิ่งที่ต้องจับตาดูให้ดีคือ แม่แมวสามารถคลอดได้ด้วยตัวเองรึเปล่า หลังจากคลอดแล้วสามารถจัดการกับลูกได้ไหม ซึ่งถ้าทำไม่เป็น สิ่งที่เจ้าของแมวต้องทำคือการฉีกรก และตัดสายสะดือให้ลูกแมว
เอาจริงปะ แค่ฟังก็สยองแล้ว
ห้องคลอดที่เคยคิดว่าเป็นลังส่องไฟ ก็ต้องเตรียมเหมือนกัน เพราะต้องมีผ้าปูรองให้ด้านล่าง หรือไม่ก็เป็นทิชชู่อย่างหนาที่สามารถซับความชื้นได้
รอบด้านควรมีความมิดชิดประมาณนึง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าพฤติกรรมของแม่แมวจะเป็นยังไงระหว่างคลอด รวมไปถึงตอนที่ดูแลลูก บางตัวอ้อนเจ้าของมากขึ้นและต้องการให้เจ้าของอยู่ใกล้ๆ เพื่อเป็นกำลังใจตลอดเวลา แต่ก็มีบางตัวที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเอามากๆ
ถ้าเป่าเป้ยเป็นอย่างหลัง ขอบอกเลยว่าปราสาทแมวที่ได้มาอาจจะไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นห้องคลอดสักเท่าไหร่ เพราะมีประตูถึงสองบาน แถมยังเจาะเป็นหน้าต่างรอบด้านเข้าไปอีก
เมื่อวานนนี้ หลังจากคุยกับคุณหมอเสร็จ ผมก็ลองแนะนำสิ่งที่ควรทำกับปราสาทแมวเพื่อให้สามารถใช้เป็นห้องคลอดได้ และได้คำตอบสั้นๆ กลับมาว่า
“ผมไม่เก่งงานฝีมือ”
และนั่นก็ทำให้เรามาจบลงตรงนี้ ตรงที่ผมกำลังใช้โทรศัพท์มาหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่าควรทำห้องคลอดแมวยังไง อ่านไปสักพักก็เงยหน้ามาคุยกับคนข้างๆ
“เค้าบอกว่าถ้าให้ดี ด้านหน้าควรมีขอบยกขึ้นนิดนึง เพื่อไม่ให้ลูกแมวคลานออกมา”
“จริงด้วย”
“แล้วก็ ทั้งแม่แมวและลูกแมวจะอยู่ในนี้ไปเป็นเดือนเลย ทางที่ดีไซส์ควรจะใหญ่หน่อย เผื่อแมวเด็กโต”
ผมพูดพลางขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น แล้วก็ส่งโทรศัพท์ไปให้ดูรูป คุณไป๋เค้าเงียบไปสักพักพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเลื่อนดูรูปภาพจากมือถือของผม แล้วก็พูดออกมา
“งั้นอันนี้ก็ใช้ไม่ได้”
“เอางี้ ผมมีที่ๆ น่าจะหาลังใบใหญ่ได้อยู่ เราค่อยไปดูกัน ในเน็ตเค้าเอาฟิวเจอร์บอร์ดมาใส่ไปในลังทั้งสี่ด้านแล้วก็ทำเป็นประตูเปิดปิดได้ เราก็ทำตามไปเลย ถ้าจะให้ดีเจาะด้านนึงเอาไว้เป็นช่องสำหรับส่องไปด้วยก็ได้”
ฟังจบ คนที่นั่งอยู่ข้างกันก็พูดออกมาสั้นๆ
“มันดูยากมากเลยอะ”
ได้ยินแล้วถึงกับหลุดขำ ก่อนที่ผมจะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ยากหรอกคุณ”
“...”
พอเห็นสีหน้าคนพูด ผมก็นึกขึ้นมาได้
“อ๋อ คุณไม่เก่งงานฝีมือนี่เนอะ”
“แล้วจะทำไม?”
ผมยักไหล่แทนคำตอบ นั่งอ่านโพสที่เจ้าของแมวมารีวิวการทำคลอดต่อไปเรื่อยๆ จนจบ ก่อนจะหันมาพูดกับคนข้างๆ
“เดี๋ยวทำให้ แค่นี้เอง แป๊บเดียวก็เสร็จ”
“...”
ทันทีที่ผมพูดจบ สีหน้าของอีกคนก็บอกชัดเลยว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จนผมต้องพูดซ้ำ
“อย่าดูถูกสกิลตัดโมของเด็กถาปัตย์นะคุณ แค่เนี้ยยังไม่ถึงหนึ่งในร้อยของสิ่งที่ผมทำมาตลอด 5 ปีด้วยซ้ำ”
“โม้เก่ง”
“เดี๋ยวทำให้ดู”
พอหันไปยิ้มให้พร้อมกับยักคิ้ว อีกฝ่ายก็ทำหน้ายุ่งกลับมา จนผมถึงกับหลุดขำ
บอกไปรึยังนะ ว่าคุณไป๋เขาขับ Nissan Juke ตัวใหม่ ส่วนผมมี Nissan เหมือนกัน แต่เป็น Nissan Figaro รถคลาสสิคยุค 90 ที่พ่อผมอ้างว่าซื้อให้ลูก ทั้งที่ตัวเองเป็นคนอยากได้ แถมในบ้านยังมีมอเตอร์ไซค์เวสป้าที่พ่อซื้อมาด้วยเหตุผลเดียวกันอีกหนึ่งคัน และวันนี้คนข้างบ้านเขาก็นั่งอยู่ในรถคันจิ๋วของผมนี่แหละ
เรากำลังไปร้านขายเครื่องเขียนเพื่อซื้อฟิวเจอร์บอร์ดสำหรับทำห้องคลอดให้เป่าเป้ย แล้วผมก็ตั้งใจจะมาขอลังกระดาษจากที่ร้าน ซึ่งสนิทกับผมตั้งแต่สมัยเรียน
ที่นี่มีทั้งเครื่องเขียนทั่วไป จนถึงอุปกรณ์ที่ต้องใช้สำหรับทำโมเดลเพื่อส่งอาจารย์ ส่วนอีกฝั่งแบ่งเป็นร้านถ่ายเอกสารที่มีเครื่องพริ๊นต์ตัวใหญ่ เหนือสิ่งอื่นใด ที่นี่ให้พวกผมเซ็นไว้ก่อนได้ เวลาไม่มีเงินจ่ายค่างาน ค่าของ คิดดูว่ากว่าจะมีวันนี้ ผมเคยเป็นหนี้ร้านถ่ายเอกสารมาแล้ว
พอได้ของทุกอย่างที่ต้องการ พวกเราก็กลับมาที่บ้าน แล้วก็ลงมือทำห้องคลอดให้เป่าเป้ยทันที
ตรงหน้าผมมีลังใบใหญ่ ถัดไปเป็นฟิวเจอร์บอร์ด อุปกรณ์อื่นๆ ที่ซื้อไว้ทำงานตั้งแต่สมัยเรียน และมะตูมกับเป่าเป้ยที่ตอนนี้กลายเป็นแมวท้องโตไปเรียบร้อย
สิ่งแรกที่ต้องทำน่าจะเป็นการวัดขนาดลัง สักพักเจ้าของบ้านก็เดินมาจากห้องครัว พร้อมยื่นแก้วน้ำกับกล่องขนมที่น่าจะเป็นคุ้กกี้มาให้แล้วพูดต่อ
“บ้านผมไม่ค่อยมีอะไรกินอะ”
“คุณอยู่คนเดียวนี่เนอะ”
“ใช่...แล้วผมก็ไม่ชอบทำอาหารด้วย”
“เหมือนกัน ว่าแต่คุณซื้อบ้านหลังนี้เหรอ?”
ระหว่างที่มือกำลังทำโน่นทำนี่ รวมไปถึงผลักไอ้ตูมที่เดินเข้ามาเกะกะวุ่นวายให้หลบออกไป ผมก็ชวนอีกคนคุยไปด้วย ก็ดีกว่านั่งเงียบๆ ใช่มั้ยล่ะ
“เปล่า ที่นี่เป็นบ้านของคุณพ่อผมมาก่อน คือ...ท่านเสียไปได้ 8 ปีแล้ว”
“อ๋อ แสดงว่าคุณลุงที่เคยอยู่ที่นี่คือคุณพ่อของคุณ นึกออกอยู่หรอกว่าบ้านนี้เคยมีคนอยู่ แต่ก็นานแล้วเนอะ”
“งั้น...คุณก็เคยเจอพ่อผม”
“จะว่าเคยเจอก็ใช่นะ แต่ก็จำอะไรไม่ค่อยได้ ตอนนั้นผมเรียนมัธยมอยู่ เอาแต่เล่นเกมไม่ใส่ใจอะไรหรอก”
“8 ปีก่อนยังเรียนมัธยม ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้คุณก็อายุ...”
“26 ขอถามกลับ แล้วคุณล่ะ?”
“ผม 28 แล้ว”
แล้วทำไมต้องทำหน้าไม่พอใจที่ตัวเองอายุเยอะกว่าล่ะนั่น?
“เฮ้ย งั้นคุณก็เป็นพี่ผมอะดิ”
“เรียกพี่เลย”
“ไม่เอาหรอก”
“นิสัยไม่ดี”
ได้ยินแล้ว ผมก็ต้องหลุดขำ ตอบกลับ ก่อนจะกลับไปกรีดฟิวเจอร์บอร์ดตามขนาดที่วัดไว้ แล้วตอบกลับ
“ไม่ชินไง แล้วก่อนจะมาอยู่ที่นี่ คุณอยู่ที่ไหน”
“ผมอยู่บ้านของแม่ คือพ่อแม่ผมหย่ากันตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมก็อยู่กับบ้านฝั่งแม่มาตลอด ระหว่างนั้นก็ยังติดต่อกับพ่ออยู่เรื่อยๆ นะ จนพ่อเสียบ้านหลังนี้ก็ตกเป็นของผม”
ผมพยักหน้ารับเงียบๆ แล้วก็ไม่อยากถามอะไรต่ออีก เพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป แต่อีกคนกลับเล่าออกมาด้วยท่าทีสบายๆ
“ช่วงเรียนมหาลัยอะ ผมอยู่คอนโด พอย้ายมานี่ก็ยกคอนโดให้น้องสาวคนละพ่ออยู่ต่อ แม่ผมแต่งงานใหม่น่ะ”
“อ๋อ ผมไม่เคยอยู่คอนโดหรอก แต่คิดว่าอยู่บ้านน่าจะสบายใจกว่าอยู่เป็นห้องอะ ยิ่งมีสัตว์เลี้ยงด้วย ยังไงบ้านก็เหมาะกว่า”
“ใช่เลย ตอนแรกผมแพลนไว้ว่าย้ายมาอยู่บ้านแล้วจะเลี้ยงแมวเพิ่ม เลยไปติดต่อพ่อพันธุ์บริติชชอร์ตแฮร์ไว้ เพราะอยากให้เป้ยมีลูก ที่ผมบอกคุณ จำได้มั้ย?”
“จำได้สิ คุณดูโกรธมาก เหมือนจะฆ่าผมได้เลยตอนนั้นอะ”
แล้วคำตอบก็คือรอยยิ้มมุมปาก
“ผมเห็นมะตูมตั้งแต่วันแรกๆ ที่ย้ายมาแล้ว ไม่สิ เห็นตั้งแต่ตอนรีโนเวตบ้านด้วยซ้ำ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแมวจรอยู่หรอก แต่มีช่วงนึงคุณใส่ปลอกคอให้มะตูมนี่ ก็เลยรู้ว่ามีบ้าน จับตาดูอยู่ไม่นานก็รู้ว่าเป็นแมวบ้านคุณ”
“ใช่ ไอ้ตูมใส่อยู่ไม่ถึงอาทิตย์ แล้วเอาไปทำหายที่ไหนไม่รู้”
สุดยอดปะล่ะแมวผม
“มีวีรกรรมตลอดเลยนะเรา”
แน่นอนว่าคุณไป๋เค้าไม่ได้พูดกับผม โน่น พูดกับไอ้ตูมที่นั่งหน้าเหลืองหลับตาพริ้มเพราะคนพูดเกาคางให้อยู่นั่น ผมมองคนที่ส่งสายตาอ่อนโยนไปให้มะตูมแล้วก็ยิ้มตามไปด้วย
หลังจากนั้นไม่นานผมก็ตัดฟิวเจอร์บอร์ดเสร็จ ใส่เข้าไปในลังกระดาษทีละด้าน และหันไปให้อีกคนที่นั่งอยู่ดู แล้วถามต่อ
“พอได้เนอะ”
คนฟังพยักหน้ารับพร้อมตอบกลับ
“ดูดีเลย”
“เดี๋ยวเจาะช่องข้างๆ ไว้ส่องไฟนิดนึง แล้วทำที่กั้นด้านหน้าแบบในรูป แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย”
“ผมไปเอาโคมไฟมาให้แล้วกัน”
“โอเค”
ผมต้องรออีกฝ่ายเอาโคมไฟลงมาถึงจะสามารถกำหนดว่าควรจะเจาะลังตรงส่วนไหน โชคดีที่โคมไฟเป็นแบบที่ขาตั้งเป็นลวดซึ่งสามารถดัดขึ้นลงได้ตามการใช้งาน พอได้จุดที่แน่นอนก็จัดการลากดินสอเป็นวงกลมบนลังกระดาษ ก่อนจะหยิบคัตเตอร์ขึ้นมาตัด ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายพูดออกมา
“คุณจบสถาปัตย์จริงๆ ด้วย”
“ฮึ?”
“วงกลมที่คุณวาดมันกลมมากเลย”
ผมยิ้มรับ แล้วพูดต่อ
“เห็นมั้ยล่ะ เมื่อวานใครหาว่าผมโม้ฮึ?”
“ถอนคำพูดก็ได้”
“ผมจบสถาปัตย์ก็จริง แต่เป็นเอกการตกแต่งภายใน บางที่ก็จะเรียกว่ามัณฑนศิลป์”
“อ๋อ...”
“ตอนคุณรีโนเวตบ้านอะ ผมโดนพี่ที่ทำงานล้อเลยรู้ปะ งานอยู่ข้างบ้านผมเลย แต่คุณก็ไปจ้างคนอื่น”
“จริงด้วย”
คนฟังหลุดขำ เอื้อมมือไปเกาหัวไอ้ตูมสองสามครั้ง พูดต่อเจือเสียงหัวเราะ
“แถมยังเกือบขโมยแมวคุณแล้ว ถ้าไม่เห็นว่าใส่ปลอกคอไปซะก่อน”
“ขโมยไอ้ตูมไปแล้วเอาเป่าเป้ยมาแลกได้นะ ผมไม่ขัด”
“แต่ผมขัด”
“อ้าวเหรอ?”
หลังจากผมกรีดกระดาษเสร็จเสร็จ ก็ต้องวาดวงกลมอีกครั้งตามรอยของลังที่กรีดไว้ เพื่อจะตัดฟิวเจอร์บอร์ดให้เป็นช่องในจุดเดียวกัน และด้วยความที่พื้นบ้านเป็นกระเบื้องที่ลื่นอยู่พอตัว คนตรงหน้าเลยยื่นมือมาช่วยผมจับฟิวเจอร์บอร์ด พอลองประกอบทุกอย่างกลับไปอีกครั้ง ห้องคลอดเป่าเป้ยก็เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นมาก
ระหว่างที่ผมกำลังวัดขนาดทางกั้นไม่ให้ลูกแมวคลานออกมาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อยู่ๆ ไอ้ตูมมันก็เดินเข้าไปในลัง แล้ววางมาดทำเป็นดมโน่นดมนี่อยู่พักใหญ่
นี่ก็หาซีนเก่งตลอด!
หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย มีฟิวเจอร์บอร์ดเหลืออีกหน่อยผมเลยเอามาติดเป็นกันสาดง่ายๆ หลังจากเช็คดูและพบว่าไม่มีอะไรที่ต้องทำเพิ่มอีก ก็หันไปคุยกับอีกคนที่ตอนนี้เอาหวีมาแปรงขนแมวอยู่ไม่ไกล แถมยังเอื้อเฟื้อแปรงขนสั้นๆ แข็งๆ ให้ไอ้ตูมด้วย ก่อนที่ผมจะหันไปคุบกับเขา
“น่าจะเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ เหลือแค่ซื้อของที่ต้องปูด้านใน กับพวกเครื่องมือที่ต้องใช้ตอนคลอด ไปซื้อให้เสร็จวันนี้เลยมั้ยล่ะ?”
“ก็ดีนะ เที่ยงกว่าแล้วด้วย หิวยัง?”
“นิดนึง ซื้อของเสร็จก็หิวพอดี”
คนฟังหันมามองหน้าผม ขมวดคิ้วใส่แล้วพูดต่อ
“รู้ล่วงหน้าด้วยเหรอว่าจะหิวในอีก 1 ชั่วโมงอะไรแบบนั้น”
“ก็พอเดาได้อยู่นะ”
ระหว่างที่พูดนี่ผมก็ขยับเอาห้องคลอดของเป่าเป้ยเข้าไปวางไว้ตรงมุมที่มีปลั๊กพร้อมสำหรับโคมไฟ จัดเข้าที่เรียบร้อย สองเหมียวก็เดินเข้ามาใกล้เพื่อสำรวจของใหม่ในบ้าน
ผมจัดการอุ้มเป่าเป้ยเข้าไปข้างใน พร้อมกับที่อีกคนขยับตัวเข้ามาสังเกตการณ์ด้วยกัน
แม่แมวเดินอยู่ในบ้าน ดมตามซอกมุมต่างๆ แล้วยังไม่ทันได้ทำอะไร ไอ้ตูมที่ทำเป็นด้อม ๆ มองๆ อยู่ข้างนอก
ก็กระโดดเข้าไปด้วยอีกตัว กลายเป็นว่าตอนนี้แมว 2 ตัวกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ในลังแคบๆ
สุดท้ายก็กลายเป็นเป่าเป้ยที่กระโดดออกมาจากห้องคลอด แล้วไอ้ตูมก็ไปนอนสะบัดหางอยู่ในนั้นอย่างหน้าตาเฉย
ผมมองภาพตรงหน้าแล้วถอนหายใจ ถ่ายรูปส่งไปให้ลุงมันดู ส่วนอีกคนถึงกับหลุดขำออกมา พร้อมกับอุ้มเป่าเป้ยขึ้นไปนอนบนตักแล้วลูบขนให้เบาๆ
หลังจากนั้นไม่นาน พวกผมก็ออกจากบ้าน มาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้อยู่ตรงส่วนที่ขายยาและอุปกรณ์สุขอนามัยอื่นๆ
ของที่ต้องซื้อก็มีทั้งถุงมือ สำลี ทิชชู่อย่างหนา ที่ดูดเสมหะ แผ่นรองฉี่ ไปจนถึงกรรไกรปลายมนอันใหม่ บางอย่างที่มีอยู่ที่บ้านผมอย่างด้าย เบดาตีน หรือน้ำเกลือล้างแผล ก็เป็นอันว่าไม่ต้องซื้อ จะได้ประหยัดไปบ้าง บอกแล้วใช่มั้ยว่าเลี้ยงแมวนี่ค่าใช้จ่ายเยอะจริงๆ
ระหว่างที่รอจ่ายเงิน ผมก็หันไปพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างกัน
“เริ่มหิวจริงจังแล้วเนี่ย”
“เหมือนกัน”
“คุณกินอาหารเกาหลีได้มั้ย?”
“ก็ได้อยู่นะ”
“หมูย่างเกาหลีล่ะ?”
“ได้สิ”
“เดี๋ยวเลยจากที่นี่ไปนิดนึงอะ จะมีซอยเล็กๆ ในนั้นมีร้านอาหารเกาหลี อร่อยมาก ไปมั้ย?”
“ฟังแล้วรู้เลยว่าอยากกินจริงๆ”
“แสดงว่าไป?”
“ไม่ไปดีกว่า”
“คุณ...”
“ล้อเล่น ไปก็ไป”
เขาตอบกลับ เจือเสียงหัวเราะ
ซื้อของเสร็จเรียบร้อย พวกผมก็มาจบลงที่ร้านอาหารเกาหลี จัดการสั่งเนื้อหมู กับอาหารสองสามอย่าง แล้วก็ได้รู้ว่าตัวเองหิวแค่ไหนตอนที่นั่งรอว่าเมื่อไหร่อาหารจะมาเสิร์ฟนี่แหละ ระหว่างนั้นผมก็ได้แต่ชวนอีกคนคุยฆ่าเวลา
“ปกติวันหยุดเสาร์อาทิตย์คุณทำอะไรบ้าง?”
คนที่กำลังพิมพ์โทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้นมามองกัน นิ่งใช้ความคิดไปสักพักแล้วก็พูดออกมา
“คือ ตารางชีวิตผมไม่ค่อยแน่นอนอะ บางทีเสาร์อาทิตย์ก็ยังนั่งทำงานอยู่ วันจันทร์ถึงศุกร์ถ้าเบื่อๆ ก็ออกไปเดินเล่นบ้าง บางครั้งก็ออกไปกินข้าวกับพ่อเลี้ยง แม่ แล้วก็น้องสาวบ้าง”
“ก็ฟังดูอิสระดีนะคุณ”
“อิสระแต่ก็ต้องสร้างความรับผิดชอบให้ได้ด้วยตัวเองเหมือนกันนะ แบบต้องวางแผนเองทำตามแผนให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครมานั่งคุมถ้าผมเถลไถล ทำงานเสร็จไม่ทันกำหนด ประมาณนั้น”
“ก็จริง”
“แล้วถ้าไม่มาทำห้องคลอดให้เป้ยอย่างวันนี้ ปกติคุณทำอะไรอะ”
“ผมเหรอ? สิ่งที่ต้องทำเลยคือซักผ้า แล้วก็ออกไปกับเพื่อน กินข้าว ทั่วๆ ไป อ๋อ แต่ผมชอบดูหนังมาก...”
แล้วบทสนทนาก็ชะงักไปตอนที่อาหารมาเสิร์ฟ ผมมองคนตรงหน้าช่วยพนักงานยกอาหารที่อยู่ในถาดมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะลงมือช่วยบ้าง เสร็จเรียบร้อยคำตอบก็ตามมา
“ผมก็ชอบดูหนังเหมือนกัน”
“จริงดิ ชอบดูแนวไหน? ห้ามบอกแนวนอนนะคุณ”
“...”
แล้วคำตอบก็คือความเงียบ ผมกลั้นขำ มองคนที่ส่งสายตามาให้ ถอนหายใจ แล้วก็หันไปคีบหมูสามชั้นมาวางลงบนเตา แต่ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาสักที จนต้องพูดต่อซะเอง
“ผมนะ ดูได้หมดแหละ แต่ชอบดูหนังสยองขวัญเป็นพิเศษ ปัญหาคืออะไรรู้มั้ย ผมโคตรกลัวผีเลย”
คนตรงหน้าตกใจไปนิดหน่อย แล้วค่อยถามต่อ
“ฮะ? โคตรกลัวผี แต่ดูหนังผีเนี่ยนะ?”
“อื้อ เหมือนได้ชาเลนจ์ตัวเองไง ดูเยอะๆ เผื่อจะกลัวน้อยลง”
“แล้วเป็นไง?”
“ไม่เลย ดูเรื่องนึงนอนเปิดไฟนอนไปอีกเจ็ดวัน”
ได้ยินคำตอบปุ๊บคนตรงหน้าก็หัวเราะรับทันที จนผมต้องยิ้มตาม พอนึกย้อนไปก็รู้ว่าตัวเองยังไมได้คำตอบในสิ่งที่ถาม
“คุณยังไม่ตอบผมเลย ตกลงชอบดูหนังแนวไหน”
“แนวนอนสิ ทั้งจอโทรทัศน์ จอโรงหนังก็เป็นแนวนอนทั้งนั้น”
“คุณ...”
“ไม่ได้เหรอ?”
ผมส่ายหน้า ก่อนที่คำตอบจะตามมา
“จริงๆ ผมก็ดูได้หมดแหละ แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ ก็เหมือนคุณเลย แต่ผมไม่กลัวผีนะ บอกไว้ก่อน”
“นิดนึงก็ไม่กลัวเหรอ?”
“ไม่เลย ผีในหนังก็คือคนแต่งตัวมาปะ”
“เวลาโผล่มามันเหมือนคนที่ไหนล่ะคุณ”
“แต่มันก็คือคนอะ หรือไม่ก็คอมพิวเตอร์กราฟฟิค”
“ซึ่งก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”
คนฟังขมวดคิ้ว มองกัน แล้วส่ายหน้ามาให้ ส่วนผมยักไหล่ ส่งยิ้มให้เขา กลับไปย่างหมูต่อ ก่อนจะลงมือกิน พวกเราเงียบกันไปสักพัก ก่อนที่ผมจะถามขึ้นมาอีก
“เออ คุณตั้งชื่อลูกแมวรึยัง”
“ลูกแมวเหรอ?”
“อืม”
“ตั้งไว้คร่าวๆ แล้วนะ แต่ก็เปลี่ยนได้แหละถ้าไม่ค่อยเข้า”
“ชื่ออะไรบ้าง?”
“ถ้าตัวเมียชิงชิง ตัวผู้ก็เป่าเปา เหลืออีกสองตัว ยังไม่รู้จะตั้งอะไรเลย คุณอยากตั้งปะล่ะ”
“ได้เหรอ?”
“อื้ม คุณก็เป็นคุณปู่ไง”
คุณปู่? ตลกดีเหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นปู่แมวว่ะ
“งั้นขอนึกก่อน”
ผมใช้ตะเกียบคีบหมูที่อยู่ในเตาขึ้นมากิน ระหว่างที่เคี้ยวก็ใช้ความคิดไปด้วย ส่วนคนตรงหน้ามองกันอยู่สักพัก เมื่อพบว่าผมไม่พูดอะไรออกมาสักที เจ้าตัวก็กินต่อ
เป่าเป้ย ลูกชื่อ เป่าเปากับชิงชิง ก็เข้ากับแม่ งั้นอีกสองตัวก็ต้องตั้งให้เข้ากับไอ้ตูม
“มะระ”
“ฮะ?”
คนที่กำลังกินอยู่ชะงักไปทันที แล้วทำหน้าตกใจใส่กัน ส่วนผมก็พูดสิ่งที่คิดอยู่ต่อไป
“มะยม”
“นะ...นั่นชื่อแมวเหรอ?”
“มะดัน”
“หนักเลย....”
“มะนาวมั้ย?”
“อันนี้ไม่ค่อยแย่”
“แล้วมะดันแย่เหรอ?”
“จริงๆ มันก็แย่ตั้งแต่มะตูมแล้วอะนะ”
เห็นสีหน้าคนพูดผมก็รีบแก้ตัวทันที
“มะตูมนี่ผมไม่ได้ตั้งนะคุณ มันชื่อนี้ของมันอยู่แล้ว?”
“อ้าว เจ้าของเก่าตั้งไว้เหรอ?”
“จะว่าเจ้าของเก่าก็ใช่ครึ่งไม่ใช่ครึ่ง มันเคยเป็นแมวร้านเหล้ามาก่อน เนี่ย...พอเริ่มพูดก็รู้เลยวว่าต้องขายหน้าแน่”
“อ้าว...”
“คือมันเคยอยู่ร้านเหล้าที่พวกผมไปประจำสมัยเรียน แล้วตอนเลี้ยงฉลองหลังรับปริญญาอะ ผมกับเพื่อนเมาล่ะมั้ง ก็ต้องเมาแหละ... แล้วเจ้าของร้านก็เมาด้วย พี่แกก็เลยให้ไอ้ตูมกับพวกผมมาเป็นของขวัญรับปริญญา”
ฟังสิ่งที่ผมเล่าจบ คุณไป๋เค้าก็ตาค้างไปแล้ว
“....”
“แล้ววันต่อมา ผมกับเพื่อนก็เอามันไปคืนที่ร้านเหล้า”
“มีการเอาไปคืนด้วย...”
“แต่พี่เจ้าของร้านบอกให้ผมเอาไปเลี้ยงเหอะ ปล่อยไว้ที่ร้านสักวันมันก็คงโดนทับรถตาย”
“คุณก็เลยเลี้ยงมะตูมตั้งแต่วันนั้น”
“ใช่...”
“คือ... ผมก็อยู่ในกลุ่มคนเลี้ยงแมว กลุ่มช่วยเหลือแมวในเฟสบุ๊กอะไรอย่างเงี้ยอะนะ แต่รู้มั้ย ไม่เคยมีใครเริ่มเลี้ยงแมวเพราะเมาแล้วอุ้มกลับมาจากร้านเหล้าโดยไม่รู้ตัวเลย”
“เฮ้ย เพื่อนผมยังเคยเมาแล้วเอากรวยจราจรกลับมาที่ห้องเลย”
“กรวยจราจรเนี่ยนะ?!”
เขาดูตกใจมาก บอกตามตรงว่าวันแรกที่ตื่นนอนแล้วเห็นกรวยจราจรวางอยู่ในหอพักของเพื่อน ผมเองก็ตกใจไม่เบาเหมือนกัน
“อือ อันใหญ่กว่าไอ้ตูมอีก”
“สรุป ที่เค้าพูดกันว่าเด็กสถาปัตย์เถื่อนเนี่ย เรื่องจริงใช่มั้ย?”
“แค่เก็บของกลับบ้านเอง ไม่เห็นเถื่อนเลยคุณ”
ผมพูดเองยังเกือบหลุดขำ ก็ไม่คิดหรอกว่าไอ้ที่เป็นกันอยู่กับเพื่อนจะจำกัดความได้ด้วยคำว่า ‘เถื่อน’ ถ้าไม่มีใครมาบอกแบบนี้
“แต่เก็บสิ่งมีชีวิตกับกรวยจราจรเลยนะ”
“เหอะน่า ตอนนี้มะตูมก็มีความสุขดีเห็นปะ แฟนสวยด้วย”
“แล้วกรวยจราจรอะ?”
“เอาไปคืนแล้ว กรวยจราจรเลี้ยงไม่ได้เก็บไว้ทำไม”
“มันไม่ใช่ตั้งแต่เก็บกลับมาแล้วมั้ยอะ”
ผมถึงกับหลุดขำออกมากับสีหน้าและคำตอบที่ได้ยิน ก่อนจะสรุปให้
“สรุปลูกแมวชื่อมะยมกับมะนาวนะ มะระกับมะดันไม่ผ่านถูกมั้ย?”
คนฟังพยักหน้ารับ แบบที่สีหน้าแสดงออกชัดเจนเลย ว่าอันที่จริงมันก็ไม่ผ่านทั้ง มะยม มะนาว แล้วก็มะระ มะดันนั่นแหละ
หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยกันหลายต่อหลายเรื่อง และสิ่งนึงที่ผมพูดออกไปก็คือ
“แปลกดีนะคุณ เรารู้จักกันตั้งหลายวันแล้ว แต่เจอหน้าทีไรก็พูดเรื่องแมวกันตลอดเลย มีวันนี้นี่แหละที่ได้พูดเรื่องคนบ้าง”
คุณไป๋เค้ายิ้มรับคำพูดนั้น แล้วตอบกลับมาสั้นๆ พร้อมรอยยิ้ม
“นั่นสิ”
- to be continued -