'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 12 - 070363] [PAGE 4]  (อ่าน 14795 ครั้ง)

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



**********************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-03-2020 19:41:05 โดย kipuuu »

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0

- One day, someone will walk into your life and make you realize why it never worked out with anyone else -

นิยายอัปเดตทุกวันเสาร์ เวลา 3 ทุ่มไม่ตรง
ทักทายกันได้ที่แฮชแท็ก #รักแมวข้างบ้าน นะคะ


- สารบัญ -
ll INTRO  ll   01   ll   02   ll   03  ll
ll   04  ll   05  ll   06  ll   07  ll   08  ll

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2020 14:30:53 โดย kipuuu »

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0

- INTRO -


   คนเราอาจจะมีเหตุผลเป็นร้อยข้อที่จะเลี้ยงสัตว์สักตัว แต่เชื่อเถอะว่าไม่น่าจะมีใครมาใช้เหตุผลแบบเดียวกับผม
   ในคืนนั้น พวกผมดื่มฉลองที่สามารถเรียนจบมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมเมา...คือส่วนตัวผมว่าพวกเราก็ไม่ได้เมามากเท่าไหร่ แต่ก็ยังเมาพอที่จะเอาแมวตัวนึงจากร้านเหล้าใส่กระเป๋ากลับมาที่บ้าน
   ใช่ -- ย้ำอีกครั้ง ผมเมาและเอาแมวจากร้านเหล้าใส่กระเป๋ากลับบ้าน
   มันเป็นแมวสีส้มซึ่งอยู่ที่นั่นเป็นประจำ และชื่อของมันที่ผมเองก็ไม่เคยรู้ว่าใครตั้งให้ คือ ‘มะตูม’
   แน่นอนเลยว่า วันต่อมาบ้านผมซึ่งเป็นที่รวมตัวของพวกเรา 5 คนจะทั้งวุ่นวายทั้งโกลาหล เพราะใครสักคนแม่งตื่นขึ้นมา แล้วพบว่ามีแมวตัวนึงอยู่ในห้องนอน
   เอาเป็นว่าเช้าวันนั้น ผมถูกปลุกด้วยคำพูดพวกนี้

   ‘เชี่ย...ไอ้ตูม!’
   ‘เหี้ยชุน ทำไมมะตูมมันมาอยู่บ้านมึง!’
   ‘สัดเอ๊ย! พวกมึงเอาแมวร้านเหล้ากลับบ้านมาทำไม’
   ‘โดนพรบ.คุ้มครองสัตว์เล่นแน่มึง!’

   และ

   ‘เมี๊ยว...’
   จากมะตูม

   ผมลุกขึ้น มองไอ้ธีร์ ไอ้บาส ไอ้ไอซ์ แล้วก็ไอ้ข้าว เหล่าเพื่อนตัวเองในสภาพบ๊อกเซอร์คนละตัว ที่ยืนอย่างน่าทุเรศอยู่คนละมุม แล้วเลื่อนสายตาไปยังแมวสีเหลืองซึ่งนั่งตัวตรงอยู่กลางห้อง พร้อมโบกหางไปมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   แมวยังดูสติดีกว่าพวกมึงอีก นี่กูพูดตรงๆ
   หลังลุกจากที่นอน อาบน้ำสระผม ทำสภาพตัวเองให้กลับมาดูได้ และประชุมเรียกสติไปหนึ่งยก ภาพทุกอย่างก็ค่อยๆ ย้อนกลับมา
   โคตรน่าขายหน้าเลยตอนนึกขึ้นได้ว่า ผมคือคนที่อุ้มไอ้มะตูมใส่กระเป๋ามาด้วยมือทั้ง 2 ข้าง เพราะพี่เต้ เจ้าของร้านเหล้าแกดันยกแมวให้เป็นของขวัญรับปริญญา
   ไม่ต้องบอกก็รู้ พี่เต้แม่งก็เมาพอกัน
   เที่ยงวันนั้น ทุกอย่างก็จบลงที่พวกผมก็จับมะตูมใส่ตะกร้า หิ้วขึ้นรถ แล้วพากลับไปยังร้านเหล้าประจำของกลุ่ม เพื่อจะได้คำตอบว่า
   “กูยกมันให้พวกมึงเป็นของขวัญรับปริญญาแล้ว ไม่รับคืนโว้ย”
   แล้วพี่เต้ก็เปิดคลิปวีดีโอเหตุการณ์เมื่อคืนให้ดู ในจอโทรศัพท์ปรากฎภาพการส่งมอบไอ้มะตูมให้พวกผมบนเวที พร้อมประโยคอวยพรเมาอ้อแอ้ที่ว่า
   “แมวคือสัตว์มงคล ยิ่งแมวสามสีก็ยิ่งมงคลเข้าไปใหญ่ วันนี้กูให้แมวตัวนี้กับมึง มันสีหนึ่งสี ส่วนสีที่
สองกับสาม ประสบการณ์ ความตั้งมั่น ความไม่ย่อท้อ จะเอามันมาให้พวกมึงเอง!”
   สิ่งเดียวที่ผมจับใจความได้จากคลิปนั้น คือมะตูมมีหนึ่งสี และผมก็คือคนที่รับมันไว้ด้วยความเต็มใจ เห็นเต็มตาเลยว่าผมหอมแก้มไอ้มะตูมเข้าไปฟอดใหญ่กลางเวทีด้วยซ้ำ
   นอกจากนี้ยังมีรูปถ่ายจากกล้องหน้า เป็นภาพของพวกผม เจ้าของร้านเหล้า และไอ้มะตูม ในรูปนั้น มนุษย์ทุกคนดูหน้าตาสดใสแถมเมาแอ๋ เหลือก็แต่แมวตัวเดียวที่ยังติดจะงงๆ แต่พอมาเช้าวันนี้ มนุษย์ทุกคนงงตาแตก ส่วนไอ้มะตูม มันดูเหมือนจะยอมรับกับชะตาชีวิตของตัวเองได้เรียบร้อยแล้ว
   มึงก็เก่งเหมือนกันเนอะ...
   ผมแม่งโคตรเกลียดที่ตัวเองเป็นคนใจอ่อนเลย...
    แต่พอพี่เต้แกบอกว่า พ่อแม่พี่น้องไอ้มะตูมโดนรถทับตายหมดแล้ว ถ้าผมไม่รับมันไป สุดท้ายก็คงจะมีจุดจบอย่างเดียวกัน เรื่องทุกอย่างเลยจบลงที่ผมยอมอุ้มมันกลับบ้านมาจนได้
   นั่นเป็นครั้งแรกที่แมวตัวนึงเปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล
   หลังจากนั้นผมต้องเริ่มเรียนรู้การเลี้ยงแมว ต้องเอามันไปหาหมอ เริ่มทำวัคซีน หัดเลือกซื้ออาหารแมว และอะไรอื่นๆอีกมากมาย หลายเดือนอยู่เหมือนกัน กว่าจะชินกับการที่บ้านมีสัตว์เลี้ยง

   แต่ใครจะไปรู้ ว่านั่นจะไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งเดียวที่ไอ้แมวมะตูมมันเปลี่ยนแปลงชีวิตผม
   การเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ผมเองเพิ่งกลับมาจากออฟฟิศเพราะทำโอทีลากยาว หลังจากเอารถเข้าบ้านเรียบร้อย เสียงกริ่งที่ดังขึ้นรัวๆก็ทำให้ต้องเดินไปเปิดประตู
   มีคนๆนึงยืนอยู่ตรงนั้น ผมจำเขาได้ อีกฝ่ายคือคนที่อยู่บ้านหลังถัดไปทางขวามือ ถ้าไม่ได้คิดไปเอง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แล้วสิ่งแรกที่เจ้าตัวพูดออกมาน่ะเหรอ
   “แมวคุณทำแมวผมท้อง”
   ฮะ?
   ท้อง?
   ไอ้ตูมทำแมวท้อง!
   ผมนิ่ง เหวอไปเลย แต่ในใจกลับส่งเสียงตะโกนดังลั่น
   มึงอีกแล้วเหรอไอ้ตูม!

- to be continued -


talk.

สวัสดีค่ะ กลับมาเจอกันกับนิยายเรื่องใหม่ ซึ่งก็มีแมวอีกแล้ว...
บอกก่อนว่า เราจะลงให้อ่านทุกวันเสาร์ 3 ทุ่มไม่ค่อยตรงนะคะ เร็วบ้างช้าบ้างเนอะ
ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ

kipuu

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
งูยยยยย มะตูมมาแย้วววว โดนตกตั้งแต่เห็นคุณนข.แปะรูปพี่ตูมในทวิต ขอทางให้ทาสแมวด้วยค่าาา

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew2:     :mew1:

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0

- 01 -
   
   “ตูม… นี่กูเปิดใจกับมึงแบบลูกผู้ชายด้วยกันเลยนะ แมวผู้หญิงบ้านข้างๆอะ เค้าท้องกับมึงจริงๆใช่มั้ย?”

   ขณะนี้เวลา 3 ทุ่มครึ่ง ผมนั่งอยู่บนพื้นหน้าถ้วยอาหารเม็ด และกำลังเปิดใจกับแมวที่เลี้ยงมาได้ 2 ปีกว่าอย่างจริงจัง

   ผมน่ะเปิดใจ ส่วนไอ้ตูม กำลังเปิดปาก ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวแบบไม่สนใจผมสักนิด คือมึงไม่ได้ช่วยอะไรเลย หน้าก็เหลือง แดกก็เยอะ อาหารก็แพง แล้วยังจะไปทำหญิงท้องให้พ่อมันต้องมาโดนเค้าด่าอีก!

   เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ผมเพิ่งผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจมา หลังจากคุณคนข้างบ้านเขาบอกว่า ลูกชายผมไปทำลูกสาวเค้าท้องเป็นที่เรียบร้อย คำอธิบายรายละเอียดก็ตามมา

   อีกฝ่ายเลี้ยงแมวเอาไว้ในบ้านและตั้งใจจะให้แมวไปผสมพันธุ์กับพ่อพันธุ์ชั้นดีที่จองตัวเอาไว้ แต่วันนี้ ตอนที่เขาเอาเจ้าแมวไปตรวจร่างกาย ก็พบว่ามันตั้งท้องได้เดือนกว่าๆแล้ว

   พอมาย้อนกล้องวงจรปิด สิ่งที่เห็นก็คือ ไอ้มะตูมชายไทย แมวหนุ่มที่ผมเลี้ยงไว้ มันแอบเข้าไปปล้ำลูกสาวเขาถึงในบ้าน อีกฝ่ายถึงกับอัดคลิปเหตุการณ์ที่ไปย้อนดูเอาไว้เป็นหลักฐาน และเปิดให้ผมดูด้วยซ้ำ!

   นั่นทำให้ผมได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ดูหนังโป๊แมวเป็นครั้งแรกในชีวิต

   หลักฐานมัดตัวทำเอารู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย เลยออกตัวไปว่าผมยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อแสดงความรับผิดชอบ แล้วคำตอบที่ได้กลับมาน่ะเหรอ

   ‘ก็แค่อยากให้คุณรู้ไว้ ต่อไปนี้จะได้เลี้ยงแมวอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น’

   หน้าชาไปเลยพูดตรงๆ

   “ลูกสาวบ้านเค้าสวยมากเหรอวะ กูถามจริง”

   “เมี๊ยว…”

   “ทีอย่างนี้ละทำเป็นตอบ กินข้าวไปเลย กูฟ้องลุงมึงก่อน”

   หลังจากที่ผมอุ้มไอ้ตูมกลับบ้านเป็นครั้งที่ 2 ตลกดีที่พวกเพื่อนๆ มันตกลงกันว่าจะรับเป็นลุงไอ้แมวส้มตัวนี้ โดยที่ผมเป็นพ่อ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือไลน์กลุ่มที่เราเคยใช้คุยเรื่องไร้สาระทั่วๆ ไปตลอดระยะเวลา 5 ปีที่เรียนด้วยกันมา ก็ถูกผมเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ลุงไอ้ตูม’ พร้อมเปลี่ยนรูปดิสเพล์ยเป็นหน้าเหลืองๆของมัน

   ผมเปิดเข้าไปในไลน์กลุ่ม และเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นลงไปแบบคร่าวๆ

   ‘พวกมึง ไอ้ตูมแม่งทำสาวท้อง’
   ‘พ่อเค้ามาเอาเรื่องกูถึงบ้านเลยว่ะ’


   พิมพ์ทิ้งไว้ แล้วก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า มาจับโทรศัพท์อีกทีก็ตอนจะเข้านอน แล้วก็ได้นั่งขำกับข้อความที่พวกมันตอบกลับมา

   ‘เอาจริง?’
   ‘แล้วต้องทำไงวะ? ยกขันหมากแมว?’
   ‘เชี่ยตูมแม่งของจริงเลยว่ะ’
   ‘พ่อมันนี่นั่งไข่แห้งอยู่หน้าคอม มึงดันไปทำสาวท้องเฉย’
   ‘5555’
   ‘เมียไอ้ตูมสวยปะ’
   ‘เออ สีอะไรวะ?’


   อ่านทั้งหมดแล้ว ผมก็พิมพ์ข้อความตอบกลับไป

   ‘เมียมันหน้าตายังไง กูยังไม่รู้เลย’

   นั่นสิ… ผมไม่เคยเห็นแมวตัวอื่นแถวนี้เลยจริงๆ แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะกลางวันผมก็ไปทำงาน กลับมาช่วงเย็น หรือไม่ก็มืดค่ำตลอด ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลย คงไม่แปลกหรอกมั้งที่จะไม่เคยเห็น

   พอคิดได้อย่างนั้นผมก็ขยับตัวไปแง้มผ้าม่าน แล้วมองไปยังบ้านทางฝั่งขวามือ เผื่อจะเจอแมวสักตัว สิ่งที่ได้เห็นกลับไม่ใช่แมว แต่เป็นคนที่เคยมายืนอยู่หน้าบ้านผมก่อนหน้านี้ 

   เขายังอยู่ที่ชั้น 1 นั่งหันข้างให้หน้าต่าง ตรงหน้าเป็นคอมพิวเตอร์ สิ่งที่แปลกไปคือเขาสวมแว่นสายตา ดูจากสีหน้าท่าทางก็เหมือนจะกำลังทำงานมากกว่าเล่น

   ผมอยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เกิด รู้ว่าบ้านฝั่งซ้ายเป็นสามีภรรยาที่รับราชการทั้งคู่ และมีลูกที่กำลังเรียนอนุบาลอยู่หนึ่งคน ทั้งสองคนจะส่งลูกไปโรงเรียน แล้วเลยไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนจะกลับมาช่วงเย็น

   ส่วนคนที่เข้ามาทักกันวันนี้ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณปีกว่าๆ หลังจากบ้านถูกรีโนเวตครั้งใหญ่  ผมเคยเห็นเขามาก่อน แต่ก็ไม่เคยทักอะไรหรอก ทุกทีที่เจอกัน เขาเองก็จดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ ส่วนผมก็จดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็ไม่มีสถานการณ์อะไรที่ชักนำเราสองคนให้ได้ทำความรู้จักกัน

   ความทรงจำเลือนลางของผมบอกว่าคุณลุงที่เคยอยู่บ้านหลังนี้ตัวคนเดียวป่วย แล้วก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นบ้านก็ถูกปิดไว้ไม่มีคนอยู่ นานๆทีถึงจะมีคนเข้ามาทำความสะอาดสักครั้ง

   ตอนที่บ้านถูกปรับปรุง ผมเองก็ยังแปลกใจอยู่ไม่น้อย หมู่บ้านนี้อยู่ในตัวเมือง และไม่ได้ห่างจากสถานีรถไฟฟ้ามากสักเท่าไหร่ แต่ก็เป็นหมู่บ้านเก่า คิดดูแล้วกันว่าพ่อกับแม่ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แต่งงานใหม่ๆ จนตอนนี้ผมอายุ 26 ปีเข้าไปแล้ว

   คนที่อยู่ส่วนมากก็มีแต่หน้าเดิมๆ คนในไม่ย้ายออก คนนอกไม่ย้ายเข้า แต่ก็ไม่แปลก เพราะถ้าใครมีความคิดว่าจะซื้อบ้านอยู่เองสักหลัง ก็น่าจะไปซื้อหมู่บ้านโครงการใหม่ๆ หรือคอนโดที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดไว้สักห้องน่าจะดีกว่า

   ประเด็นคือ ตอนนี้บ้านหลังข้างๆ ดูยังไงก็ยังไม่เห็นว่าจะมีแมวสักตัว

   พอดีกับที่มะตูมมันเดินเข้ามาใกล้แล้วกระโดดขึ้นบนเตียง ผมมองไอ้แมวเหลืองที่ทั้งโตและอ้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายในเวลาไม่นาน แล้วพูดต่อ

   “ตูม เมียมึงสวยปะ สีอะไร ขนสั้นหรือว่าขนฟูฮึ”

   ไอ้ตัวแสบหันมามองหน้า ร้องเมี๊ยวเบาๆ ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงใกล้ข้อเท้าผมแล้วส่งเสียงเปอร์ดังครืดคราด

   ... ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

,

   วันต่อมาผมตื่นนอนแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวพร้อมไปทำงาน แล้วก็ตัดสินใจนั่งรอคนข้างบ้านเพื่อคุยกันให้รู้เรื่อง เพราะมีอะไรอีกหลายอย่างที่ยังค้างคาใจ

   เมื่อคืนนี้ผมทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก มีบางช่วงที่แอบคิดขึ้นมาเหมือนกันว่าหรือเขาจะเป็นมิจฉาชีพ เพราะมองไปที่บ้านก็ไม่เห็นจะมีแมวสักตัว แต่มิจฉาชีพอะไรวะ เงินก็ไม่เอาอะไรก็ไม่เอา บอกแค่ว่าให้ผมตั้งใจเลี้ยงแมวหน่อย

   แต่ถ้ามะตูมมันไปทำแมวเค้าท้องจริงๆ บอกตามตรงเลยว่ารู้สึกผิดเป็นบ้า

   ลองสมมติให้ไอ้ตูมไม่ใช่แมวไทยที่ผมเก็บมาเลี้ยง แถมยังเก็บมาแบบไม่ตั้งใจซะด้วย แต่เป็นสายพันธุ์ดีราคาแพง ผมเลี้ยงมันมาแบบประคบประหงมทุกอย่าง จนกระทั่งวันนึงก็ได้รับรู้ความจริงที่ว่า แมวของผมโดนพรากความบริสุทธิ์ไปจากไอ้หนุ่มหน้าตาบ้านๆที่เจ้าของเลี้ยงแบบลูกทุ่งสุดๆ ผมเองก็คงโมโหอยู่ไม่น้อย

   รออยู่ไม่นาน ประตูบ้านข้างๆก็เปิดออก พร้อมกับคนที่อยู่ด้านในเดินออกมา สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการหันมามองหน้าผมเหมือนกัน แถมยังไม่ยอมทักทายอะไรสักคำด้วยซ้ำ

   เราเจอกันที่หน้าประตูรั้ว ระหว่างนั้นผมก็พยายามทำท่าทางสบายๆ และเป็นมิตรสุดๆ ก่อนจะถามออกไป

   “เรามาคุยเรื่องเมื่อวานต่อกันดีมั้ย?”

   คนฟังเหลือบมามองผมด้วยหางตา แล้วตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งสนิท

   “ผมพูดสิ่งที่อยากพูดออกไปหมดแล้ว”

   “แต่ผมยัง”

   “...”

   พอคำตอบคือความเงียบ ผมก็ใช้โอกาสตรงนี้พูดต่อ

   “เรื่องแมวอะ ผมรู้สึกผิดจริงๆนะคุณ”

   “ช่างเหอะ”

   “ผมช่วยคุณดูแลแมวได้มั้ย เลี้ยงแมวหลายตัวใช้เงินเยอะนะ เราแชร์ค่าใช้จ่ายกันก็ได้”

   “ผมเลี้ยงไหว ไม่ได้อยากได้เงิน”    

   “งั้น พอลูกแมวคลอด คุณก็แบ่งมาให้ผมเลี้ยงครึ่งนึง หรือไม่ก็สักตัวสองตัวก็ได้ ดีมั้ย?”

   “ผมจะแน่ใจได้ไงว่าคุณจะไม่เอาลูกแมวไปขาย”

   “เฮ้ย... มากไปคุณ”

   “ไม่รู้แหละ ผมไม่ไว้ใจคุณหรอก”

   “ถามจริง? ผมหน้าโจรรึไง?”

   คนฟังไม่ตอบอะไร แต่มองมาทางนี้ด้วยสายตาเย็นชาจนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ กลับไป สุดท้ายก็ได้แต่เดินกับเขาไปเงียบๆ จนมาหยุดลงที่หน้าร้านขายอาหารเช้าในหมู่บ้าน

   จำได้ว่าช่วงเรียนม.ปลาย ที่พ่อกับแม่ผมยังไม่ย้ายไปอยู่บ้านสวนที่ต่างจังหวัด ผมได้กินมื้อเช้าจากร้านนี้อยู่บ้าง แต่พอขึ้นมหาลัย ไปจนถึงวัยทำงานก็ไม่ได้กินอีกเลย

   ตอนเรียนมหาลัย ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีเวลากินมื้อเช้า หรือวันไหนมีเวลา ก็เป็นผมเองที่นอนไม่ตื่น พอมาทำงาน ก็อยากรีบไปให้ถึงออฟฟิศก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรกินแถวนั้นมากกว่า

   ผมมองสำรวจในร้านและก็พบว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ร้านตั้งขึ้นง่ายๆด้วยการเปลี่ยนบริเวณที่จอดรถหน้าบ้านมาเป็นร้านอาหาร โต๊ะและเตาสำหรับทำโจ๊กอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านในมีอีกมุมสำหรับนวดแป้งและทอดปาท่องโก๋กับซาละเปา

   พื้นที่สำหรับลูกค้าก็ยังไม่ถูกเปลี่ยน มุมหนึ่งมีโต๊ะไม้ ส่วนอีกมุมเป็นเก้าอี้ม้าหิน ไม่ต่างจากตอนที่ผมเป็นเด็ก แม้กระทั่งตู้กระจกที่วางไข่ ตับ หมูสับ และผักโรย ไปจนถึงกระป๋องสแตนเลสที่ถูกใช้เป็นตัวช่วยเวลาตักโจ๊กใส่ถุงก็ยังเหมืนเดิม ...โคตรคลาสสิค

   สิ่งที่เปลี่ยนไปคือคนขาย จากเดิมที่เป็นคุณยายคนคนนึง จนร้านถูกเรียกว่า ‘ร้านโจ๊กอาม่า’ ไปโดยปริยาย ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นรุ่นลูกสาว

   ผมยืนอ่านเมนูที่เขียนไว้ด้วยลายมือบรรจง และแปะไว้หน้าตู้ พร้อมกับที่ได้ยินคำถามดังขึ้น

   “หวัดดีค่ะน้องไป๋ เหมือนเดิมใช่มั้ย?”

   ตอนนั้นเองที่สีหน้าบูดบึ้งของคนที่เดินมาพร้อมกับผม เปลี่ยนไปมีรอยยิ้มบางๆ ตามมาด้วยคำพูด

   “ครับพี่เปรี้ยว”

   “เกี้ยมอี๋น้ำใสไม่ใส่ผักเนอะ แล้วน้องอีกคนล่ะคะ”

   “โจ๊กหมูพิเศษ ใส่ไข่ 2 ฟองครับ”

   หันมาอีกทีคนที่เคยยืนอยู่ตรงนี้ก็เดินไปนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผมตามไป นั่งลงตรงข้าม ยื่นมือไปให้แล้วพูดต่อ

   “คุณชื่อไป๋ใช่ปะ? ผมชุน ยินดีที่ได้รู้จัก”

   สิ่งที่ได้กลับมาแทนคำตอบก็คือ ความเงียบ... คุณไป๋ข้างบ้านเค้าเงียบสนิท จนผมต้องค่อยๆ ลดมือตัวเองกลับมา แล้วพูดต่อ

   “ทำความรู้จักกันหน่อยสิ เราเป็นเพื่อนบ้านกันนะ แถมลูกเรายังเป็นแฟนกันด้วย”

   “เป็นแฟน?”

   “อือฮึ มีลูกด้วยกัน ไม่ให้เป็นแฟน จะให้เป็นอะไรล่ะ สามีภรรยามั้ย?”

   “คุณคิดจริงๆ รึไง ว่าแมวที่ผสมพันธุ์กันจะต้องเป็นแฟนกัน”

   ผมเงียบไปสักพัก ยกมือขึ้นกอดอก มองสบตากับคนตรงหน้า แล้วตอบกลับไป

   “มะตูมจริงใจนะคุณ เท่าที่รู้จักกันมาผมว่ามันไม่ได้มีรสนิยมชอบเปลี่ยนคู่นอน คงไม่มีอะไรกับใครเล่นๆ หรอก”

   คำตอบคือความเงียบ และสีหน้าอึ้งสนิท

   ไม่รู้เว้ย ยังไงผมก็ต้องเซฟตัวเองไว้ก่อน พฤติกรรมของแมวมีผลต่อภาพลักษณ์คนเลี้ยงแน่ๆ ล่ะ ถ้าไอ้ตูมมันมีนิสัยมีอะไรกับสาวไม่เลือกหน้า ผมคงโดนมองว่าเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง ไม่รู้จักอบรมลูก และอาจจะมีนิสัยเสียอย่างเดียวกัน

   อีกฝ่ายไม่ทันได้ตอบอะไรกลับมา มื้อเช้าก็มาเสิร์ฟ ระหว่างนั้นผมก็หันไปเห็นปาท่องโก๋ร้อนๆ ที่เพิ่งขึ้นมาจากกระทะพอดี มันดูน่ากินซะจนต้องลุกขึ้นไปสั่ง และถือกลับมาที่โต๊ะด้วยตัวเอง พร้อมนมข้นหนึ่งถ้วย พอวางจานลงแล้วก็ใช้มือดันให้มันเลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นอีกหน่อย

   “กินได้นะคุณ สั่งมาเผื่อ”

   แต่อีกฝ่ายก็ทำแค่เหลือบสายตามามอง แล้วก็นั่งหลังตรง กินเกี้ยมอี๋ของตัวเองต่อไปเงียบๆ ผมมองสีหน้าท่าทางของเขา แล้วก็แอบยิ้มออกมานิดๆ

   คุณไป๋อะไรนี่ผิวขาวจัด เหมือนคนไม่ค่อยออกแดด เครื่องหน้าบอกชัดว่ามีเชื้อสายจีน ตาโต แบบสองชั้นหลบใน ที่มีเส้นหางตาลากยาวออกไปโดยธรรมชาติ จมูกเล็กๆไม่ได้โด่งอะไรมากมาย แต่มีปลายเชิด กับริมฝีปากหยัก ที่ดูชุ่มชื้นสุขภาพดี ผมสั้นสีดำสนิทตัดกับผิวชัดเจน

   ถ้าไม่นับบุคลิดท่าทางที่เหมือนจะคว้าส้อมขึ้นมาแทงผมได้ทุกเมื่อ รวมๆแล้วเขาก็ดูดีทีเดียว

   ระหว่างที่ผมกำลังฉีกปาท่องโก๋ใส่ลงไปในโจ๊ก ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

   “ว่าแต่ แมวผมชื่อมะตูม แล้วแมวคุณชื่ออะไรอะ?”

   ตอนนั้นเอง คนที่นั่งหลังตรงกินเกี้ยมอี๋อยู่ก็เหลือบสายตามามองผม แล้วพูดออกมาแค่ 2 คำสั้นๆ

   “เป่าเป้ย”

   “อะไรนะ? เป่าเป้ย?”

   “อืม”

   “ภาษาอะไรอะ?”

   “จีน”

   “แปลว่า?”

   “ที่รัก”

   “อ๋อ...”

   ผมรับคำ หลุดยิ้ม แล้วสรุปในใจว่าเห็นท่าทางนิ่งๆ ชอบทำหน้าหงิกแบบนี้ จริงๆ ก็มีความมุ้งมิ้งอยู่ในใจไม่เบาเหมือนกัน

   หลังจากรับผิดชอบโจ๊กของตัวเองจนหมดถ้วย ผมก็ดูนาฬิกา แล้วพบว่าหมดเวลาเถลไถลแล้ว เลยลุกขึ้น พร้อมกับที่คนตรงหน้ามองตาม

   “ผมต้องไปแล้วคุณ เดี๋ยวเข้างานสาย มื้อนี้ผมเลี้ยงนะ แล้วเจอกัน”

   “...”

   อีกฝ่ายไม่ทันได้ตอบอะไร พอทำท่าขยับปากจะพูด ผมก็รีบแทรกขึ้นมาทันที

   “กินปาท่องโก๋ด้วยล่ะ อย่าเหลือทิ้ง เสียดายของ”

   พูดจบผมก็ส่งยิ้มให้พร้อมโบกมือบ๊ายบาย แล้วออกมาจ่ายเงิน ก่อนจะต้องรีบเดินกลับบ้านเพื่อเอารถ และไปทำงานต่อ

   ระหว่างทางก็เผลอยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงสีหน้า ไปจนถึงทุกๆ การกระทำของอีกฝ่าย
   
,

   เสาร์อาทิตย์คือวันหยุดของผม ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วันนึงทำความสะอาดบ้าน ส่วนอีกวันก็ไปเที่ยวกับเพื่อนๆบ้าง เดินเล่นตามห้างสรรพสินค้าบ้าง หรือถ้าไม่อยากทำอะไร ก็แค่นอนอยู่บ้านเฉยๆ ดูหนังกับไอ้ตูม

   วันนี้วันเสาร์ ผมตื่นนอนช่วงสาย แล้วก็จัดการซักเสื้อผ้าที่ใส่ทำงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนจะก็โทรหาโรงพยาบาลสัตว์ที่พามะตูมไปฉีดวัคซีนอยู่ทุกปีเพื่อจองคิวทำหมัน เพราะอยากแก้ปัญหาเรื่องที่มันไปทำสาวท้องเข้าให้ และได้คำตอบว่า ผมต้องจัดการอดอาหารแมวก่อนผ่าตัด เป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง

   นับเวลาดูแล้ว ก็น่าจะต้องจับมะตูมใส่กรงช่วงเย็น ให้อดอาหารตอนกลางคืน แล้วเช้าวันอาทิตย์ซึ่งโชคดีมากที่โรงพยาบาลสัตว์ยังเปิด ค่อยจัดการเอาไอ้แสบนี่ไปตอนซะ

   ระหว่างที่ผมกำลังขยับราวตากผ้าให้เลื่อนไปยังมุมที่โดนแดด ก็เจอเข้ากับคนข้างบ้านที่ออกมาหยิบอะไรสักอย่างบนรถ ไหนๆสบตากันแล้วก็ทักทายซะหน่อย

   “หวัดดีคุณ”   

   ฝ่ายนั้นหันมามองทางนี้ แต่ก็ไม่พูดอะไร จนผมต้องเดินไปหยุดอยู่ตรงกำแพงระหว่างบ้าน 2 หลังแล้วชวนคุยต่อ

   “พรุ่งนี้ผมจะเอามะตูมไปทำหมันแหละ”

   “ก็ดีแล้ว”

   ดูทำหน้าดิ โคตรขำ

   “ว่าแต่… แมวคุณอยู่ไหนอะ ผมไม่เคยเห็นเลย อยู่ในบ้านเหรอ?”

   “ใช่”

   “ขอดูหน่อยได้มั้ย อยากเห็นสะใภ้อะ”

   คนฟังขมวดคิ้วเข้านิดๆทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ชัดเจนเลยไอ้ตูม ว่าพ่อตาเค้าไม่ยอมรับเอ็ง

   “เฮ้ย ทีคุณยังกลัวผมเอาลูกแมวไปขายเลย ผมก็กลัวคุณโม้มั่งดิว่าไอ้ตูมไปทำสาวท้อง ถ้าคุณมาเรียกเก็บสินสอดแมวจากผม จะทำไงอะ”

   “ไม่มีทาง”

   “เหอะน่า ขอดูแมวหน่อยสิ”

   คนตรงหน้ายืนทำหน้ามุ่ยสบตาผมอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจแล้วตอบกลับมาเสียงเบา

   “ก็ได้...”

   สำเร็จ! ผมยิ้มรับคำตอบ พอเห็นว่าอีกฝ่ายเดินไปเปิดประตูรั้วบ้านตัวเอง ผมก็ก้มลงไปอุ้มไอ้ตูมที่ยืนอยู่ไม่ไกลมาชูขึ้นตรงหน้า มองสบกับตาเหลืองๆของมันแล้วพูดต่อ

   “เค้าจะให้มึงเข้าบ้านมั้ยเนี่ย”

   พอถึงหน้าบ้านหลังข้างๆก็ต้องถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

   “มะตูมเข้าบ้านคุณได้ใช่มั้ย?”

   เค้าอาจจะไม่ถูกกันแบบพ่อตาลูกเขยในละครก็ได้ ใครจะไปรู้

   “ปกติก็มาประจำ”

   ผมพยักหน้ารับ คิดต่อในใจว่า ‘อย่างนี้นี่เอง...’ แล้วเดินตามคนข้างหน้าไปจนถึงประตูกระจกบานเลื่อน พอเข้าไปข้างในก็เจอกับโซฟา

   แต่ที่สะดุดตาสุดๆ คือคอนโดแมวที่ทำขึ้นเป็นบิวด์อินติดกับผนังบ้านจากพื้นจรดเพดาน โดยใช้ไม้สีอ่อนทำเป็นเสา พันเชือกปอเอาไว้สำหรับลับเล็บ แล้วก็ใช้ไม้ชนิดเดียวกัน ติดยื่นออกมาคล้ายๆชั้นวางของ ลดหลั่นเป็นขั้นบันไดให้แมวสามารถเดินขึ้นเดินลงได้

   ขั้นนึงติดเปลผ้าเอาไว้สำหรับนอนพักผ่อน ส่วนอีกขั้นทำเป็นห้องนอนจากกล่องที่มีทางเข้าเจาะไว้เป็นวงกลม ถึงจะยังไม่ได้สำรวจใกล้ๆ แต่ดูก็รู้ว่าข้างในจะต้องมีเบาะนอนสำหรับแมวอยู่แน่ๆ

   ระหว่างที่ผมกำลังตื่นตาตื่นใจกับคอนโดแมว เสียงเรียกก็ดังมาจากคนข้างๆ

   “เป้ย... เป้ยอยู่ไหนครับ”

   แล้วก็มีแมวตัวหนึ่งเดินตรงมาทางนี้

   ในวินาทีแรกที่มองสบกับดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้น ผมสรุปให้ฟังได้เลย ว่าเป่าเป้ยอะไรนี่คือดอกฟ้า ส่วนไอ้ตูมของผมคือแมววัด พูดให้ดูดีหน่อยก็แมวร้านเหล้านั่งชิว

   เป่าเป้ยเป็นแมวที่สวยมาก ขนเป็นสีขาวแซมเทา หน้ากลมมีแก้ม ตาโตสีฟ้าเข้มจนแทบเป็นสีน้ำเงิน แถมขอบตายังกรีดอายไลน์เนอร์คมกริบ จมูกสีชมพูขอบดำ แล้วไอ้เน่าตูมของผมมันกล้าดียังไงถึงได้เดินไปเลียแก้มลูกสาวเค้าหน้าตาเฉยล่ะนั่น! ปากยิ่งเหม็นๆอยู่ด้วย!

   ระหว่างที่ผมกำลังทำหน้าเหวอกับพฤติกรรมของไอ้ตูม คุณเจ้าของบ้านเค้าก็เดินหายเข้าไปในครัว ส่วนผมที่ตอนนี้นั่งอยู่บนโซฟา ก็ค่อยๆขยับลงมานั่งบนพื้นช้าๆ เพื่อถ่ายรูปเจ้าเหมียวสุดสวยอย่างเป่าเป้ย

   ถ่ายเสร็จแล้วทำอะไรน่ะเหรอ? ส่งไปให้แก๊งลุงไอ้ตูมดู พร้อมคำอธิบายสั้นๆ

   ‘เมียไอ้ตูม’

   ส่งรูปเสร็จผมก็ยื่นมือไปลูบเป่าเป้ยเบาๆ ถึงขนเจ้าเหมียวจะไม่ยาว แต่ก็หนาและนุ่มมือเอามากๆ และสะดุดตาเข้ากับขนตรงท้องที่โดนโกนออกไปบางส่วน

   หลังจากที่ได้ลองเลี้ยงแมวมาประมาณนึง สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ก็คือ แมวจะชอบเป็นพิเศษเวลาโดนเกาที่แก้มหรือคาง พอผมก็ทำอย่างนั้น เป่าเป้ยก็ซุกใบหน้าลงมาในมือผม แล้วไถตัวไปมาเพื่อออดอ้อน

   นี่อาจจะเป็นสถิติใหม่ของการตกหลุมรักที่เร็วที่สุดในโลก… จะโทษอะไรได้นอกจากความน่ารักน่าเอ็นดูของคุณเธอ

   สักพักคุณไป๋เค้าก็เดินออกมาจากในครัว พอเห็นว่าผมลงมานั่งที่พื้น เขาก็เลยนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้า แล้วยื่นน้ำเปล่ามาให้
 
   ผมรับแก้วน้ำมา แล้วพูดต่อ

   “เป่าเป้ยน่ารักมากเลยคุณ”

   “…”

   คนฟังไม่ตอบผม แต่หันไปลูบขนเจ้าเหมียวแล้วยิ้มออกมาบางๆ ก่อนที่ผมจะถามต่อ

   “แล้วขนที่ท้องนี่ ทำไมถึงโดนโกนล่ะ?”

   “โกนตอนไปอัลตร้าซาวด์ว่าท้องรึเปล่า หมดสวยเลยเนอะ”

   น้ำเสียงอ่อนโยนขนาดนั้น แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ได้พูดกับผม

   “แมวแบบนี้เค้าเรียกพันธุ์อะไรอะคุณ?”

   “บริติชช็อตแฮร์”

   แค่ชื่อยังหรูหราเลย…
   ได้ยินอย่างนั้นผมก็เอื้อมมือไปลากมะตูมมาอุ้ม ชูขึ้นให้เผชิญหน้ากับอีกคนแล้วแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

   “ส่วนนี่มะตูม ไทย เทมเพิล เยลโลวแฮร์”

   ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ผมว่ามีคนเกือบหลุดยิ้มกับชื่อสายพันธุ์ของแมวผมแหละ พอเราสบตากันเข้า ผมก็ส่งยิ้มให้เขา ยักคิ้วตามไป แล้ววางมะตูมลง ก่อนจะหันไปสนใจเป่าเป้ยต่อ

   “ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมมีแมวที่น่ารักขนาดนี้อยู่ใกล้ตัวแต่ไม่เคยรู้ เป่าเป้ยเคยออกไปข้างนอกบ้างมั้ย?”

   คนฟังเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม พร้อมกับพูดออกมา

   “เป้ยโตมาในคอนโด พอผมย้ายมาอยู่บ้าน ก็ยังติดนิสัยไม่ชอบออกไปข้างนอกสักเท่าไหร่ ปกติเวลาออกไปก็ใส่สายจูงตลอด”

   “เนื้อตัวก็เลยสะอาดสุดๆ”

   อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่แมวหรอก บ้านหลังนี้ก็สะอาดสุดๆ และเท่าที่ผมสังเกตและสรุปเอาเอง เขาอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว
 
   ถ้าตอนรีโนตเวตอีกฝ่ายไมได้เปลี่ยนแปลงอะไร บ้านก็จะมี 2 ชั้น 3 ห้องนอนเหมือนบ้านผม กำลังจะแปลกใจอยู่แล้วเชียวว่าอยู่บ้าน 3 ห้องนอนตัวคนเดียวได้ไง ถ้าไม่นึกขึ้นมาได้ว่าผมเองก็อยู่คนเดียวเหมือนกัน

   ก่อนหน้านี้ ที่บ้านผมมีทั้งพ่อแม่และพี่สาวอยู่ด้วย แต่หลังจากพ่อแม่ผมเกษียณอายุราชการ ทั้งคู่ก็ย้ายไปอยู่บ้านสวนที่ต่างจังหวัด ส่วนพี่สาวที่อายุห่างกับผมตั้ง 8 ปี ก็ย้ายออกไปช่วงที่ผมเรียนมหาลัยปี 3 เพราะแต่งงาน

   ช่วงแรกๆพี่ก็ยังแวะเข้ามาหากันอยู่บ่อยๆ แต่พอมั่นใจว่าผมสามารถใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้แล้ว ก็นานๆถึงจะแวะมาหากันสักที

   ระหว่างที่คุยกันนี่ พอหันไปอีกที ไอ้ตูมตัวแสบก็ขึ้นไปนั่งอยู่ชั้นบนสุดของคอนโดแมว เหมือนเป็นบ้านตัวเอง อยากจะบ้าตาย!

   พอเห็นสีหน้าของผม คนตรงหน้าก็พูดขึ้น

   “มะตูมเข้ามานอนเล่นที่บ้านผมประจำแหละ วันไหนเปิดแอร์ก็เคาะประตูเรียกด้วย”

   “เอ่อแล้ว…คุณไม่ได้โกรธที่มันทำเป่าเป้ยท้องรึไง?”

   “เปล่า”

   “อ๋อ ดีแล้ว...”

   ไม่ทันจะพูดจบ อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมาทันที

   “ที่ผมโกรธคือคุณ”

   อ้าว… เจ้าตัวพูดออกมาแบบนั้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ไม่ทันเว้นช่วงให้ผมได้ถาม ประโยคต่อไปก็ตามมา

   “แต่ก็จะพาไปทำหมันแล้วนี่”

   “ก็ใช่ไง”

   “คุณต้องอดอาหารแมว 8 ชั่วโมงก่อนเอาไปทำหมันนะ รู้ใช่มั้ย?”

   “เพิ่งรู้เมื่อเช้าเลยเนี่ย โรงพยาบาลสัตว์บอกมา”

   คนฟังพยักหน้ารับ มองผมด้วยสายตาไม่ไว้ใจ แล้วอธิบายต่อ

   “ห้ามลืมเด็ดขาด แล้วก็ห้ามเอาแมวไปทำหมันทั้งๆที่ยังไม่อดอาหารด้วย มันเสี่ยงมากที่อาหารในกระเพาะจะไหลย้อนมาอุดหลอดลมตอนที่แมวกำลังสลบอยู่ ตายได้เลยนะคุณ”

   “ครับๆๆ”

   ผมรับคำ หลังจากได้ยินคำอธิบายก็หายสงสัยว่าทำไมทำหมันแล้วถึงห้ามกินข้าว พออีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่ออีก ผมก็วกกลับเข้ามาเรื่องเดิม

   “คุณโกรธผมจริงดิ”

   “หือ?”

   “ก็ที่พูดเมื่อกี๊ไง”

   “ไม่ถึงกับโกรธหรอก ก็แค่ไม่ค่อยชอบ”

   แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่มีคนมาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้ากันตรงๆ ผมมองคนตรงหน้า จ้องเข้าไปในดวงตา ก่อนจะเห็นว่าเจ้าตัวกำลังทำปากคว่ำ ส่วนผมก็ตอบกลับ

   “รู้สึกแย่เหมือนกันนะเนี่ย”

   ก่อนที่คำอธิบายจะตามมา

   “ไม่ใช่แค่เรื่องที่มะตูมมาทำเป้ยท้องหรอก ก็คุณเลี้ยงแมว แต่ปล่อยให้แมวเดินไปทั่ว รู้มั้ยว่ามันอันตรายขนาดไหน ถ้าโดนหมากัดล่ะ ถ้าโดนรถทับล่ะ คิดว่าไง?”

   สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมปฏิเสธไม่ออก ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้หรอกนะ ผมน่ะคิดอยู่บ้าง แต่มั่นใจเลยว่าไอ้ตูมมันไม่ยอมคิดด้วย ไอ้แสบนี่ไม่มีทางยอมอยู่บ้านแบบไม่หนีเที่ยวแน่ๆ ถ้าไม่โดนจับขัง

   “ก็ไม่ได้จะแก้ตัวหรอก เรื่องที่คุณพูดอะ ผมก็คิดอยู่ แต่อาจจะจริงจังกับมันไม่มากพอล่ะมั้ง ก่อนอื่น มะตูมเคยเป็นแมวจรจัดมาก่อน พอมาอยู่บ้านผม ซึ่งผมก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านทั้งวัน แถมในบ้านยังมีช่องทางให้หนีเที่ยวได้เต็มไปหมด มันก็เลยออกมาอย่างที่เห็น”

   คนฟังพยักหน้ารับ ไม่พูดอะไร ผมเลยอธิบายต่อ

   “ผมลองหาข้อมูลดู เค้าบอกว่าการทำหมันช่วยทำให้แมวอยู่บ้านมากขึ้นได้ เลยจะเอาไปทำอยู่เนี่ย”

   “ก็ใช่”

   “ก็ยอมรับอยู่หรอกว่าในสายตาคนเลี้ยงแมวจริงจังอย่างคุณ ผมอาจจะเป็นทาสแมวชั้นแย่ แต่ก็ขอโอกาสพัฒนาตัวเองหน่อยแล้วกัน แล้วก็กรุณาไม่ชอบผมให้น้อยลงด้วย บอกตรงๆ ได้ยินแล้วรู้สึกแย่โคตร”

   ผมเห็นคนอมยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น  ก่อนคำตอบจะตามมา

   “เท่าที่ฟังคุณพูดก็น้อยลงนิดนึงแล้วนะ”

   ผมยิ้มรับคำพูดนั้น ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้เป่าเป้ยที่ตอนนี้ไปนอนอยู่บนโซฟา ยกมือขึ้นลูบขนนุ่มเบาๆอยู่สองสามครั้ง พอมองไปยังคนตรงหน้าก็เห็นว่าเจ้าตัวไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าไอ้ตูมที่กำลังลับเล็บอยู่บนคอนโดแมว ผมเลยหยิบน้ำเปล่าที่อีกฝ่ายเอามาให้ ดื่มไปอึกใหญ่ แล้วก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับพูดต่อ

   “ผมต้องกลับบ้านไปตากผ้าต่อแล้ว ตูม...มานี่”

   แน่นอนว่าไอ้แมวเหลืองของผมมันไม่ฟัง แถมนั่งสะบัดหางบนคอนโดบ้านคนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย จนผมต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วอุ้มมันขึ้นมา

   มองกลับมาอีกทีก็เห็นว่าทางเจ้าของบ้านเขาก็ลุกขึ้นยืนเหมือนกัน และเดินตามไปส่งผมจนถึงหน้าประตูรั้ว ตอนนั้นเองที่คนตรงหน้ายื่นมือออกมาแล้วพูดต่อ

   “ยินดีที่ได้รู้จัก”

   ผมมองมือขาวๆเรียวยาวที่ยื่นออกมาแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ร้านโจ๊กเมื่อวานนี้ ก่อนจะยื่นมือกลับไปให้ใกล้จนกระทั่งมือของเราเกือบสัมผัสกัน พอทางนั้นจะจับ ผมก็รีบดึงมือตัวเองกลับมาซ่อนไว้ มองสบตาแล้วก็ยักคิ้วกวนๆกลับไป

   แน่นอนว่าสีหน้าของอีกฝ่ายนิ่งสนิทจนผมแทบหลุดขำ ก่อนจะรีบยื่นมือไปจับกับเขา เขย่าเบาๆแทนการทักทาย แล้วพูดต่อ

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณไป๋”
 
,
มีต่อนะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2019 20:44:00 โดย kipuuu »

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0

   วันอาทิตย์ที่ผมเอามะตูมไปทำหมัน ดันเป็นวันเดียวกับที่ผมและพวกเพื่อนๆแก๊งลุงไอ้ตูมมีนัดกินข้าวแล้วก็ดูหนัง บรรยากาศในวันนั้นเลยไม่เฮฮาเหมือนปกติ เพราะทุกคนต่างก็กังวลเรื่องไอ้แมวสีเหลืองที่ตอนนี้น่าจะอยู่ในมือหมอ

   ตอนนี้สมาชิกกลุ่มเราลดลงเหลือแค่ 4 คน เพราะไอ้ข้าวกลับไปทำงานที่เชียงใหม่ บ้านเกิดของมันตั้งแต่เรียนจบ แต่สภาพรวมๆ ก็ยังเละเทะเหมือนเดิม การเข้าสู่วัยทำงานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรพวกผมได้หรอก

   ผมถึงกับยอมไม่ปิดโทรศัพท์ระหว่างดูหนัง เพราะกังวลว่าจะไม่ได้รับสาย ถ้าทางโรงพยาบาลโทรเข้ามา

   จนกระทั่งดูหนังจบ ไอ้ธีร์เพื่อนคนนึงในกลุ่มก็ตัดสินใจบอกให้ผมเลิกรอสายโทรเข้า และเป็นฝ่ายโทรไปที่โรงพยาบาลเพื่อถามอาการให้รู้ไปเลยว่าตอนนี้มะตูมเป็นไงบ้าง

   ความกังวลทั้งหมดจบลงในตอนนั้น ตอนที่พวกผมได้คำตอบว่ามะตูมสบายดี เพิ่งฟื้นจากฤทธิ์ยาสลบได้ไม่นานและกำลังนอนพักอยู่

   กิจกรรมกินข้าวดูหนังของพวกผมก็เลยจบลงด้วยการไปเยี่ยมแมวที่โรงพยาบาล เพื่อจะพบว่าไอ้ตูมมันนอนอยู่ในกรงพร้อมกับปลอกคอกันเลีย แล้วภาพไอ้ตัวแสบที่เหมือนมีลำโพงครอบหน้าเอาไว้ก็ทำให้ความกังวลของพวกผมก็กลายเป็นความตลกไปในทันที

   พวกผมถ่ายรูป นั่งอยู่กับมันไม่นาน และสัญญาว่าพรุ่งนี้จะมารับกลับบ้าน แล้วก็ตกใจไปเลย ตอนออกมาจากห้องพักฟื้นแมวแล้วพบว่าพวกเพื่อนๆจัดการจ่ายค่าทำหมันให้ไอ้ตูมไปเรียบร้อยแล้ว

   พอผมไม่ยอม ไอ้บาสก็อธิบายออกมา

   “คิดดู ตอนเก็บมันมาก็เก็บด้วยกัน แต่พวกกูดันปล่อยให้มึงเลี้ยงอยู่คนเดียวเป็นปี เล็กๆน้อยๆก็ให้พวกกูจ่ายบ้างเหอะ”

   “ตอนตรวจเลือดกับทำวัคซีนพวกมึงก็ช่วยหารปะวะ”

   แล้วไอ้ไอซ์ก็พูดต่อ

   “ไอ้สัส นั่นมันสองปีมาแล้ว”

   แน่นอนว่าผมคนเดียวเถียงพวกมันไม่ชนะ หลังจากคุยกับเจ้าหน้าที่เรื่องเวลาที่ผมสะดวกจะมารับไอ้ตูมกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ แล้วก็วิธีดูแลหลังจากทำหมันเสร็จไปอีกนิดหน่อย พวกผมก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

   ยอมรับเลยว่าคืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับเหมือนปกติ เพราะไม่มีไอ้ตูมมาคอยกวนโดนขึ้นลงเตียง เดินมานอนเบียดผมบ้าง เอาหางมาพาดหน้าบ้าง แถมยังชอบมานอนทับบนอกตอนตีสี่ตีห้า พอไอ้ตัวแสบไม่อยู่ก็คิดถึงมันเหมือนกัน

   จากที่คุยกันเมื่อวาน ที่โรงพยาบาลสัตว์ให้มะตูมกลับบ้านได้ช่วงเช้าวันจันทร์ แต่เอาเข้าจริง กว่าผมจะได้ไปรับ ก็เป็นตอนเย็นไปแล้ว เพราะต้องไปทำงาน

   จะให้ออกจากออฟฟิศมารับช่วงพักเที่ยงก็ได้อยู่หรอก แต่รับแล้วสุดท้ายมันก็ต้องกลับไปอยู่ตัวคนเดียวที่บ้าน ถ้าเป็นแบบนั้น ให้อยู่กับหมอต่อไปดีกว่า ส่วนผมก็แค่ต้องจ่ายค่าฝากเลี้ยงเพิ่มอีก 1 วัน

   ที่โรงพยาบาลสัตว์ หมอจัดยาทาแผลพร้อมบอกให้ผมทาให้มะตูมทุกวันจนกว่าแผลจะแห้ง แล้วก็แนะนำให้ซื้อปลอกคอกันเลียไปใส่ให้ เพื่อความปลอดภัย ผมตัดสินใจเลือกแบบสีชมพูลายสตร์อวเบอร์รี่ให้มันใส่ แบบที่ยอมรับตรงๆเลยว่าแกล้งแมว

    พอมาถึงบ้านมะตูมก็เดินดมโน่นดมนี่แบบไม่ถนัดสักเท่าไหร่เพราะมีลำโพงกันอยู่รอบใบหน้า สุดท้ายก็เดินไปนั่งร้องอยู่หน้าถ้วยอาหารตามเคย

   ผมเทอาหารให้ ยอมถอดปลอกคอชั่วคราวเพราะกินอาหารไม่สะดวก ก่อนจะใส่กลับทันทีหลังกินเสร็จ เคลียร์ภารกิจดูแลแมวทุกอย่างแล้ว ถึงได้ขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ก่อนจะปิดไฟก็ยังอดไม่ได้ที่จะอุ้มมันขึ้นมาเพื่อดูแผล

   เท่าที่หมออธิบายให้ฟัง มะตูมทำหมันแบบไม่เย็บแผล ตอนนี้ที่แหนมตุ้มจิ๋วของมันเลยมีรอยกรีดสองรอยบางๆ และน่าจะค่อยๆหายไปหลังจากนี้ ปล่อยให้ผมนั่งพิจารณาแผลอยู่สักพัก ไอ้ตัวแสบก็ร้องออกมา
   
        “เมี๊ยว...”

   เห็นหน้ากวนๆแล้วก็อดไม่ได้ที่จะบ่นเข้าให้ พร้อมยกมือขึ้นตบหัวมันไปเบาๆ

   “สมน้ำหน้า ซ่าส์นัก ไข่แฟบเลยมึง”


- to be continued -




ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
ว๊ายยยย ไปเลียแก้มลูกสาวเค้าแต่พ่อโดนเขม่นแทน

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เรื่องน่ารักมาก ๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: 'The Purr-fect Fall' #รักแมวข้างบ้าน [PART 1 - 141262]
« ตอบ #9 เมื่อ: 15-12-2019 22:02:47 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
มะตูมได้เมีย ส่วนพ่อมะตูมก็จะได้แฟน


 :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โดนตัดไข่เลย 55555555555555

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew5:        :mew4:

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0


- 02 -


มะตูมเป็นแมวฉลาด แต่เชื่อผมเถอะ มันไม่ได้ใช้ความฉลาดที่มีในทางที่ถูกที่ควรสักเท่าไหร่ อย่างในตอนนี้ หลังจากโดนจับใส่ลำโพงสีชมพูลายสตรอว์เบอร์รี่อยู่ 1 วันเต็มๆ ในที่สุดมันก็เรียนรู้วิธีการถอดลำโพงด้วยตัวเองเป็นที่เรียบร้อย

อย่าถามว่าผมตกใจขนาดไหน ตอนกลับมาจากที่ทำงานแล้วเห็นไอ้ตูมนั่งหน้าเหลืองอยู่บนโซฟา โดยมีปลอกคอสีชมพูวางแผ่อยู่ที่พื้น สิ่งแรกที่ผมทำคืออุ้มมันขึ้นมา เพื่อดูแหนมตุ้มจิ๋ว โชคดีที่รอยกรีดเล็กๆ 2 รอยยังอยู่ในสภาพเดิม สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากบ่น

“แสบเกินไปแล้วนะมึง”

ตอนแรกก็ว่าจะใส่ลำโพงกลับไปให้ทันทีหรอก แต่เดี๋ยวก็ต้องถอดตอนกินข้าวอีก เอาไว้ค่อยใส่ก็แล้วกัน

คอลลาร์น่ะเรื่องเล็ก ปัญหาคืออยู่ดีๆ ผมก็มีเรื่องด่วนให้ผมต้องออกต่างจังหวัด เพราะไซต์งานที่รับผิดชอบอยู่ดันมีปัญหา จะทิ้งไอ้เหลืองนี่ไว้ตัวเดียวก็เป็นห่วง ถ้าเป็นตอนปกติก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่นี่เพิ่งทำหมันมาด้วย

ระหว่างที่กำลังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอามันไปฝากโรงพยาบาลสัตว์ก่อนออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ หรือปล่อยให้อยู่บ้านตัวเดียวเหมือนทุกครั้งที่ต้องออกต่างจังหวัดดี ผมก็ออกไปปิดล็อคประตูบ้าน เพื่อเตรียมขึ้นชั้นบน แล้วตอนนั้นเองสายตาก็ดันมองเลยไปเห็นเพื่อนบ้านที่วันนี้ก็ยังคงนั่งใส่แว่นอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม

ตัวช่วยอยู่ตรงหน้านี่แล้วไง!

ถึงเขาจะเพิ่งพูดไปวันก่อนว่าไม่ค่อยชอบผม แต่ท่าทางก็แสดงออกชัดเจนว่าชอบแมวมาก แถมเราก็สงบศึกกันแล้ว ฝากส่องไอ้ตูมให้สักวันสองวันก็ไม่น่าจะปฏิเสธหรอกมั้ง

เห็นอย่างนั้นผมก็ตัดสินใจเปิดไฟโรงรถจนสว่าง แล้วก็เดินไปหยุดอยู่ตรงกำแพงบ้าน จุดที่ไม่ไกลจากหน้าต่างซึ่งเขานั่งทำงานอยู่สักเท่าไหร่ สิ่งแรกที่ทำคือการยกมือขึ้นโบกไปมา พร้อมส่งเสียงเรียก

“คุณ...คุณไป๋”

แล้วสายตาคู่นั้นก็ละจากหน้าจอมามองกันทันที พอเราสบตากัน ผมก็กวักมือเรียก และสิ่งที่ได้รับกลับมาแทนคำตอบ คือการขมวดคิ้ว จนต้องพูดต่อ

“รบกวนเวลาแป๊บนึง”

คนฟังนิ่งไปสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินมาหากันทั้งที่ยังสวมแว่นอยู่ จนอดไม่ได้ที่จะทัก

“คุณใส่แว่นแล้วดูดีเนอะ”

“...”

คำตอบน่ะเหรอ? เงียบสนิท...

“คืองี้คุณ มะตูมอะ เพิ่งไปทำหมันมาใช่มั้ย?”

“มะตูมเป็นแมวคุณนะ ถามผมเหรอ?”

“ไม่ใช่!”

นี่คือกวนใช่มั้ย?

“โอเคๆ มะตูมไปทำหมันมา แล้วผมก็ดันต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดสองวันติด เลยอยากรบกวนคุณหน่อย ฝากดูๆ มันให้ด้วย ที่ทำหมันมาเป็นแบบไม่เย็บแผล ผมกลัวมันจะซนจนแผลฉีก”

“แล้วไม่ต้องใส่ยาทุกวันรึไง?”

“ก็ต้องใส่ เดี๋ยวผมใส่ไว้ช่วงเช้า แล้วก็มาใส่อีกทีค่ำๆ วันถัดไป ตอนกลับมาแล้ว”

ผมน่ะพูดออกไปยาวเหยียด ส่วนคุณไป๋เค้าก็เอาแต่นิ่งสนิท จนเริ่มจะไม่แน่ใจขึ้นมาว่าตกลงฝากได้หรือไม่ได้ แต่ไม่ทันได้ถามต่อ คำตอบก็ตามมา

“ก็เอามะตูมมาไว้ที่บ้านผมก่อนสิ”

“เฮ้ย ได้เหรอ?”

“ช่วงกลางวันผมอยู่บ้านทั้งวัน เดี๋ยวดูให้”

“จริงดิ”

“ไม่จริงมั้ง”

ผมหลุดขำรับสิ่งที่ได้ยิน แล้วพูดต่อ

“โอเคๆ งั้นก็ต้องรบกวนคุณแล้ว”

“อะฮะ มีอะไรอีกมั้ย?”

“ก็...ไม่มีแล้วนะ”

“โอเค งั้นผมขอตัว”

อ้าว แล้วก็ไปเลย?

“คุณ! มีละๆ เดี๋ยวก่อน!”

คนที่กำลังจะเดินไปชะงักฝีเท้าไว้ทันทีที่ได้ยินผมเรียก ก่อนจะมองกลับมา

“...”

“พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อยนะ ผมจะเลี้ยงข้าวตอบแทน ร้านโจ๊กเหมือนเดิมแล้วกัน”

“ไม่ต้องหรอก”

“ไม่รู้แหละ พรุ่งนี้เช้าเจอกัน! อย่าออกมาสายล่ะ ผมต้องรีบไปทำงาน บายคุณ”

พูดจบผมก็ไม่รออีกคนปฏิเสธ โบกมือให้เร็วๆ แล้วรีบเดินเข้าบ้านไปทันที

เอาเป็นว่า รอดตายแล้วไอ้ตูม!

,

วันต่อมา ผมตื่นนอนทำกิจวัตรตอนเช้าเหมือนปกติ แล้วก็ไม่คิดหรอกว่าจะออกจากบ้านมาเจออีกคนนั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวเล็กหน้าบ้านหลังข้างๆ ผมส่งยิ้ม โบกมือให้แทนคำทักทาย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจากบ้านมาเหมือนกัน คำแรกที่พูดน่ะเหรอ

“ไหนบอกต้องรีบไปทำงาน”

“ก็รีบไงคุณ แต่ตอนนี้ก็ยังทันอยู่ เจ้านายจะมารับผมตอน 9 โมง”

คือเนี่ย ยังไม่แปดโมงเลย...

“อืม...”

อืม นี่คืออืมอะไรวะ? ‘อืม...ผมตื่นเช้าไป’ หรือ ‘อืม ทำไมไม่บอกกันล่ะว่าเดินทางเก้าโมง’ ผมเหลือบสายตามองคนที่ยังคงเอาแต่เงียบ แล้วก็เผลอยิ้มออกมาจนได้ ก่อนจะชวนคุยต่อ

“ผมเตรียมอาหารกับยาทาของมะตูมไว้แล้ว เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วจะเอาไปให้ ส่วนห้องน้ำ มะตูมตรวจเลือดแล้ว ไม่เป็นโรคอะไร แล้วก็ทำวัคซีนเรียบร้อยครอบถ้วน ไม่แน่ใจว่าจะใช้ห้องน้ำเดียวกับเป่าเป้ยได้รึเปล่า”

“ก็น่าจะได้”

“ไอ้ตูมก็จับใส่กรงหิ้วไปส่งให้คุณที่บ้านแล้วกัน”

“ไม่ต้องจับหรอก พอคุณออกไปทำงานได้สักพักก็มาบ้านผมแล้ว”

“จริงดิ นี่ผมไม่เคยรู้เลยนะเนี่ยว่ามันมีพฤติกรรมแบบนั้น”

“แมวคุณเจ้าเล่ห์จะตาย”

ก็จริงของเค้า...

สิ่งนึงที่ได้รู้คือคุณไป๋นี่น่าจะชอบกินเกี้ยมอี๋เอามากๆ เพราะวันนี้ก็กินเมนูเดิมอีกแล้ว ไม่ใส่ผักแบบเดิมด้วย แถมเจ๊คนขายก็ยังจำได้ด้วยว่าคุณเค้ากินอะไร แต่ผมเองก็ไปว่าอะไรไม่ได้หรอก เพราะผมก็กินโจ๊กใส่ไข่ 2 ฟอง เหมือนเดิมเช่นกัน

ระหว่างที่กำลังจัดการมื้อเช้า ผมก็นึกเรื่องนึงขึ้นมาได้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วพูดต่อ

“คุณ ขอเบอร์โทรหน่อยสิ”

“ฮึ?”

“ก็เดี๋ยวผมต้องฝากแมวไว้ที่คุณ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินจะได้ติดต่อกันได้ไง”

“อืม”

คนตรงหน้ารับมือถือผมไป ก่อนจะพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ แล้วส่งกลับมา ระหว่างที่ผมกำลังกดบันทึกหมายเลข ปากก็ถามต่อ

“อันนี้เมมเบอร์แล้ว ไลน์จะขึ้นมาอัตโนมัติเลยมั้ย?”

“ไม่นะ”

ผมหันไปมองคนพูด ก่อนจะกดเปิดไลน์ แล้วก็ยื่นโทรศัพท์ไปอีกครั้ง

“งั้นก็ขอไลน์ด้วย”

อีกฝ่ายก็เลยต้องรับโทรศัพท์ไปอีกครั้ง พิมพ์อะไรก็ไม่รู้อยู่สักพัก ก่อนจะยื่นมือถือกลับมา พร้อมกับที่ไลน์ผมมีรายชื่อเพื่อนคนใหม่เป็นภาษาจีน แน่นอนว่าผมอ่านไม่ออก ยังดีที่รูปดิสเพล์ยเป็นหน้าเจ้าเหมียวเป่าเป้ยสุดสวย แบบที่เห็นก็รู้เลยว่าเป็นแอคเค้าน์ของใคร

ผมกดเข้าไปในรายชื่อนั้น ก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์ไปให้แล้วพูดต่อ

“ผมทักคุณไปแล้วนะ”

คนฟังหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าตัวเองออกมาเปิดดูพร้อมกับที่หน้าจอผมปรากฎตัวหนังสือว่าข้อความถูกอ่าน แล้วก็เก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงกลับไป

ถามจริง…ไม่คิดจะตอบกันหน่อยเหรอ?

แต่ก็เอาเหอะ อย่างน้อยผมก็สามารถไปทำงานต่างจังหวัดได้โดยไม่มีความกังวล

ไอ้แมวตัวแสบนี่ก็ฉลาดเหลือเชื่อ พอพวกผมกลับมาก็เจอมันไปนั่งรออยู่ตรงกำแพงระหว่าง 2 บ้านแบบพร้อมย้ายตัวเองไปอยู่กับเค้าเต็มที่

ผมจัดการส่งของใช้ไปให้อีกคนที่ยืนรอรับของอยู่ที่ฝั่งบ้านตัวเอง เอ่ยขอบคุณอีกครั้ง พร้อมกับที่รถของเจ้านายมารับพอดี

ก่อนไปก็อดไม่ได้ที่จะอุ้มไอ้ตูมขึ้นมาลูบหัวสองสามทีพร้อมกับสั่งทิ้งท้าย

“อย่าดื้ออย่าซนนะเว่ย!”



- - -



ผมตัดสินใจพิมพ์ข้อความไปหาคุณไป๋ตอนแวะกินข้าวเที่ยงหลังจากมาถึงจังหวัดที่ต้องมาทำงาน บอกตามตรงว่าไม่ได้กังวลใจเรื่องมะตูมมากหรอก แต่ติดจะเกรงใจคนที่รับฝากแมวไว้มากกว่า



‘เป็นยังไงบ้างคุณ’

‘ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย?’



ข้อความของผมถูกอ่านในทันทีก่อนจะมีรูปส่งกลับมา เป็นไอ้ตูมตัวดี นอนกอดเป่าเป้ย แถมยังทำเป็นหรี่ตาเซ็กซี่ใส่กล้องอีกต่างหาก เห็นแล้วอยากจะบ้า



‘โอเคดี ไม่มีปัญหาอะไร’



หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ส่งรูปมะตูมมาให้ผมดูอีกสองครั้งตอนบ่าย แล้วก็เงียบไปเลยจนถึงช่วงเย็นที่ผมกินข้าวกับลูกค้า ก่อนจะเข้าพักที่โรงแรม

แล้วก็เหมือนทุกครั้งที่เจ้านายผมจะชวนมานั่งจิบเบียร์นิดหน่อย นั่งคุยเรื่องงานบ้าง เรื่องอื่นบ้างไปเรื่อยๆ เจ้านายผมจบสถาปัตย์ มหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม แต่คนละเอก เขามาทางด้านสถาปัตย์โดยตรง แต่ของผมจะเป็นการตกแต่งภายใน

พี่แกชวนผมไปทำงานด้วยทันทีที่รู้ว่าผมมีบ้านอยู่ไม่ไกลจากออฟฟิศ เหตุผลก็คือ ‘คนบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานแม่งไม่ค่อยลาออกหรอก นอกจากบริษัทจะเหี้ยจริงๆ แล้วกูก็มั่นใจว่าบริษัทกูก็ไม่ได้เหี้ยขนาดนั้น’ ซึ่งก็จริง ผมทำงานที่นี่มา 2 ปี โดยไม่เคยมีความคิดจะลาออกเลยสักนิด

ที่บริษัทมีมื้อเช้าให้ ถึงแม้จะเป็นแค่ขนมปัง แยม นมข้น แล้วก็ไข่ไก่สดพร้อมเตาไฟฟ้ากับไมโครเวฟให้พอทำอะไรง่ายๆ กินเองได้ นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ด้วย

ช่วงแรกที่เข้ามาทำงาน ก็มีโดนญาติพูดใส่อยู่บ้าง ว่าทำงานในบริษัทเล็กๆ จะไม่มีความมั่นคง แต่อย่างน้อย ผมว่าตัวเองก็ยังโชคดีที่ไม่มีปัญหาเรื่องที่ทำงาน เรื่องเพื่อนร่วมงาน เหมือนคนอื่นๆ

นอกจากนี้ พี่ๆ ที่ออฟฟิศชอบแซวว่าผมเป็นลูกชายของเจ้านาย เพราะเราสองคนหน้าคล้ายกันอีกด้วย

นั่งคุยกันได้ไม่นาน เสียงแจ้งเตือนที่ดังขึ้นก็ทำให้อีกฝ่ายต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก่อนจะหันมาบอกผม

“กูไปคุยโทรศัพท์แป๊บ”

“โอเคพี่”

รู้เลยว่าแฟนโทรมา

แฟนของพี่เขาเป็นทาสแมวมืออาชีพอีกคนนึง แล้วก็เป็นคนสอนผมเลี้ยงมะตูมด้วย

ผมเลี้ยงไอ้ตูมอยู่สักประมาณ 2 เดือน แบบที่แค่ให้กินอาหารกับมีห้องน้ำให้ จนคนในบริษัทเริ่มรู้เรื่องที่ผมกำลังหัดเลี้ยงแมว เจ้านายกับแฟนก็เลยมาแนะนำเรื่องที่ผมควรทำ

ตั้งแต่พาไปเจาะเลือดเพื่อตรวจโรค ทำวัคซีน แนะนำให้รู้จักอาหารเกรดพรีเมี่ยมราคาแพง ไปจนถึงอาหารคุณภาพดี แต่ราคากลางๆ แบบที่พอจะจ่ายเงินซื้อได้ในตอนนั้น บอกเคล็ดลับว่าผมสามารถเอาอาหารราคาแพงมาผสมกับอาหารเกรดกลางๆ ก็ได้ ก็ปรับไปตามงบประมาณที่มี

แล้วผมก็ได้รู้ว่าทั้งคู่เลี้ยงแมวสีขาวอยู่ตัวนึง เป็นพันธุ์สก็อตติชโฟล์ดแบบหูไม่พับ ที่สำคัญคือ ตอนนี้แมวตัวนั้นอายุเกือบจะ 20 ปี ถ้าเทียบเป็นอายุคน ก็คนอายุเกิน 100 ปีไปแล้ว แต่น้องแมวตัวนั้นก็ยังแข็งแรงสุขภาพดีอยู่

บอกตามตรงว่าถ้าไม่มี 2 คนนี้มาคอยให้คำแนะนำ ไอ้ตูมก็ไม่มีทางโตขึ้นมาเป็นหนุ่มแน่นสุขภาพดี จนมีเมียสวยแบบตอนนี้หรอก

นั่งอยู่คนเดียวสักพัก ผมก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดูบ้าง เพื่อที่จะเห็นว่าไม่มีรูปมะตูมส่งมาเลยตั้งแต่บ่าย 3 โมง ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะพิมพ์ข้อความ แต่ยังไม่ทันกดส่ง อยู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เลยเลื่อนหน้าจอย้อนไปดูสิ่งที่ผมส่งไปเมื่อตอนเที่ยง เพื่อจะพบว่ามันเป็นข้อความเดียวกันกับสิ่งที่ผมพิมพ์อยู่ในตอนนี้ ก็คือประโยค ‘เป็นยังไงบ้างคุณ’

เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ จับเจ่าอะไรประมาณนั้นเลยว่ะ

แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเบียร์ 1 กระป๋องที่ดื่มเข้าไปหรืออะไรกันแน่ แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนไปเลือกดูรายชื่อที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ แล้วโทรออกเบอร์ที่บันทึกเอาไว้ว่า ‘คุณไป๋’

รออยู่สักพัก อีกฝ่ายก็รับสาย แล้วส่งเสียงมา

“ฮัลโหล”

“หวัดดีคุณ ผมโทรมากวนมั้ยเนี่ย?”

“ไม่อะ”

“คุณไม่ได้ทำงานอยู่ใช่มั้ย?”

คือจากที่ผมสังเกตอะ คนปลายสายมักจะชอบนั่งทำงานหน้าคอมตอนดึกๆ อาจจะเป็นฟรีแลนซ์พวกงานออกแบบหรือกราฟฟิคอะไรทำนองนั้นล่ะมั้ง

“ตอนนี้ไม่”

“งั้น... มะตูมเป็นไงบ้างคุณ เอ๊ย! ไม่เอา ถามใหม่ๆ เป่าเป้ยเป็นไงบ้าง?”

“สบายดีทั้ง 2 ตัว”

“ตูมเข้าห้องน้ำได้ใช่มั้ย?”

“ได้ ไม่มีปัญหาอะไร”

“อือฮึ ดีแล้ว”

ผมรับคำ มองกระป๋องเบียร์ว่างเปล่าที่วางอยู่ พร้อมกับคิดว่าจะถามอะไรต่อดี จนกระทั่งเลื่อนสายตาไปเห็นนาฬิกาที่อยู่บนข้อมือตัวเอง

“สี่ทุ่มแล้วเหรอเนี่ย? ปกติป่านนี้คุณจะนั่งทำงานอยู่นี่”

“หือ?”

“เอ๊ย.. คือผมไม่ได้แบบ โรคจิตชอบแอบมองอะไรงี้นะ แต่หน้าต่างห้องนอนผม กับมุมที่คุณนั่งทำงานตรงชั้น 1 อะ มันใกล้กัน บางทีเวลาผมมองโน่นมองนี่ มันก็เห็นบ้าง ว่าคุณนั่งทำงานจนดึกทุกวันเลย”

“เหรอ?”

พอได้ยินคำตอบ ผมก็ถอนหายใจออกมา แล้วพูดต่อ

“ยิ่งพูดยิ่งดูแย่ยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมเกรงใจคุณนะ ฝากแมวไว้แล้วก็ไม่อยากเงียบไป ดูเหมือนไม่ใส่ใจยังไงไม่รู้ ผมยิ่งดูเหมือนทาสแมวเกรดบี ไม่ๆ ๆ เกรดซีในสายตาคุณอยู่ด้วย เลยไม่อยากฝากไว้แล้วทำเหมือนไม่ใส่ใจ เข้าใจใช่มั้ย?”

“อืม อธิบายยาวมากเลยอะ”

“พอโทรมาก็กังวลว่าจะกวนเวลาทำงานคุณอีก เฮ้อ เลิ่กลั่กไปหมด”

และถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง น่าจะมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากปลายสายนะ

“อันที่จริงผมก็ทำงานอยู่นั่นแหละ ขอบอกอีกครั้งว่าแมวทั้งสองตัวสบายดี แล้วผมก็ไม่มีปัญหาอะไร”

“อ้าว แล้วเมื่อกี๊บอกไม่ทำ”

“ก็ตอนตอบคุณผมคุยโทรศัพท์อยู่ จะทำงานได้ไง”

“นี่ไม่ได้กวนผมใช่มะ?”

“นิดนึงก็ได้”

“เออ... คุณทำงานอะไร ทำไมชอบนั่งหน้าคอมดึกๆ ดื่นๆ”

“อยากเดามั้ย?”

“ฟรีแลนซ์แน่ๆ ล่ะ กราฟฟิคมั้ย?”

“ไม่ใช่”

“ขายของออนไลน์เหรอ?”

“ไม่ใช่”

“โห ไม่เดาแล้วได้มั้ย? ผมเดาไม่เก่ง”

แล้วเสียงหัวเราะเบาๆ จากอีกฝั่งก็ดังมาอีก พร้อมคำตอบ

“ผมเป็นนักแปล”

“นักแปล?”

“ใช่”

“แปลอะไรอะคุณ”

“ก็...ส่วนใหญ่จะเป็นเอกสารของบริษัทต่างประเทศ พวกสัญญา โครงการ หรือเอกสารจากทนายทำนองนั้น”

“โห...ฟังดูยาก”

“ทำงานอะไรก็ยากทั้งนั้นแหละ”

“ก็จริงของคุณ”

“แต่แปลพวกเอกสารทางการมันก็น่าเบื่อจริงๆ นั่นแหละ บางทีผมก็เปลี่ยนแนวมาแปลนิยายบ้างเหมือนกัน”

“นิยาย? นิยายแบบไหน?”

“นิยายรัก”

“ฮะ? ! นิยายรักเนี่ยนะ?”

“อืม...”

ก็ยอมรับอยู่หรอกว่าเสียงดังไปหน่อย แต่เอาจริงๆ รอบนี้คือการตกใจที่สมเหตุสมผลครั้งนึงในชีวิตผมเลยนะ

ลองนึกภาพคุณไป๋ที่ตัวขาวๆ ไม่ได้สูงมาก ชอบทำเป็นเย็นชา หน้าตาบึ้งตึงใส่ผมตลอดเวลา แต่รักแมวสุดชีวิต คนที่เดินทำหน้านิ่งมาบอกผมที่หน้าบ้านเมื่อวันก่อนว่า ‘แมวคุณทำแมวผมท้อง’ แถมยังเทศนาผมต่อเป็นชุดว่าไม่ควรเลี้ยงแมวแบบปล่อยปละละเลยอย่างที่ทำอยู่ แต่ก็อนุญาตให้ผมเข้าไปดูแมวที่บ้าน แถมยังช่วยดูมะตูมให้ระหว่างที่ผมมาทำงาน

คุณไป๋คนนั้นอะนะ แปลนิยายรัก?

ตอนบอกว่าเอกสารราชการน่ะไม่ตกใจเท่าไหรหรอก แต่พอนิยายรักนี่ดิ นึกไปนึกมา อีกฝ่ายถึงกับตั้งชื่อแมวว่า ‘เป่าเป้ย’ ซึ่งแปลว่าที่รัก ก็ดูมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน

ไม่ทันไร คำถามก็ดังขึ้นมา

“นี่คือวางสายไปแล้วใช่มั้ย?”

“ยังอยู่!”

เนี่ย คราวนี้ชัดเจนเลยว่าอีกฝ่ายกำลังหัวเราะ ถึงจะเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ก็เหอะ

“ตกใจมากเหรอ?”

“ก็พอตัว”

แล้วเสียงหัวเราะก็ตามมาอีก ผมเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดต่อ

“แอบอยากรู้ขึ้นมาเลย ว่าคุณจะแปลนิยายรักออกมาเป็นแบบไหน”

“จะเป็นแบบไหนมันก็อยู่ที่คนเขียนหรอก”

“คุณเขียนก็ส่วนนึง คุณก็ส่วนนึงสิ สมมติ Cat ที่แปลว่าแมว คนนึงอาจจะแปลว่า ‘แมว’ ตรงๆ ไปเลย อีกคนแปล อาจจะเลือกใช้คำว่า ‘เจ้าเหมียว’ เงี้ย ความรู้สึกมันก็ต่างกันแล้ว”

“...”

พอเขาเงียบ ผมก็เริ่มไม่มั่นใจว่าสิ่งที่คิดอยู่มันถูกต้องรึเปล่า จนต้องถาม

“ถูกมั้ย?”

“ก็ใช่”

“แต่คุณรู้มั้ย เวลาผมเห็นตัวหนังสือเยอะๆ อะ รู้สึกเหมือนโดนวางยานอนหลับทุกทีเลย”

พูดจบผมก็หาวออกมาทันที

“เห็นมั้ย แค่พูดคำว่าหนังสือก็ง่วงแล้ว”

“นอนมั้ยคุณ”

“ตอนแรกก็ง่วงนิดๆ อยู่นะ แต่ตกใจเรื่องคุณเมื่อกี๊ ตาสว่างเลย”

“ไปนอนเลย ผมจะทำงานต่อแล้ว”

“โอเคๆ อ๋อ ก่อนวางขอบอกอะไรอย่างนึงได้ปะ เวลาคุยโทรศัพท์นี่คุณพูดเยอะกว่าปกติรึเปล่านะ”

“มั้ง...”

“นั่นสิ ฝันดีนะคุณ พรุ่งนี้ก็ฝากมะตูมอีกวันนะ”

“ได้เลย”

“โอเค งั้นผมวางละ”

“อืม...”

แล้วอีกฝ่ายก็วางสายไป ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ ขมวดคิ้วเข้านิดๆ แล้วสุดท้ายก็เผลอยิ้มออกมากับความคิดของตัวเอง

คุยกันยาวเฉยเลย...

,

วันต่อมาผมทำงานต่อจนถึงช่วงเย็น ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพ ระหว่างทางก็เล่าเรื่องไอ้ตูมให้เจ้านายฟัง ตั้งแต่มันไปทำสาวท้อง จนต้องพาไปทำหมันแล้วฝากไว้กับบ้านข้างๆ ทั้งหมดก็เพื่อให้พี่แกพาผมแวะร้านของฝากสักที่ จะได้แวะซื้ออะไรกลับไปฝากคุณไป๋เขาหน่อย

สุดท้ายก็ได้เค้กบ้านสวนติดมือมากับผัดหมี่โคราชแบบสำเร็จรูป ที่ตั้งใจว่าจะเอาไปฝากพี่สาวด้วย ส่วนเจ้านายผมก็ซื้อของหลายอย่างเอาไปฝากแฟน แล้วก็ทุกคนที่ออฟฟิศ

พอขึ้นรถมาได้ผมก็จัดการถ่ายรูปของที่ซื้อมาส่งให้คนข้างบ้าน พร้อมพิมพ์ข้อความต่อ



‘ซื้อของฝากมาให้คุณด้วย’

‘พอซื้อเสร็จถึงนึกขึ้นมาได้’

‘คุณกินเค้กได้ใช่มั้ย?’


‘กินได้สิ’



สักพักก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นมาอีก พอกดเข้าไปดูก็เห็นรูปแหนมตุ้มจิ๋วของไอ้ตูมตัวแสบ



‘ผมทายาให้มะตูมแล้วนะ’



เห็นอย่างนั้นผมก็กดส่งสติ๊กเกอร์คำว่า ‘Thank you’ กลับไป แอบขำอยู่นิดๆ กับการที่ผมส่งรูปเค้กไป แล้วได้รูปไข่แมวกลับมา

ผมมาถึงกรุงเทพประมาณหนึ่งทุ่ม แล้วก็ให้เจ้านายส่งลงตรงซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเพื่อซื้ออาหารแมว

ตอนเอาแมวไปฝาก ผมเอาอาหารไอ้ตูมให้คุณไป๋ไปด้วย ซึ่งก็เหลืออยู่ไม่เยอะ ยังไงซื้อเผื่อไว้น่าจะดีกว่า นอกจากนี้ยังต้องซื้ออาหารเปียกไปฝากมะตูมแทนคำปลอบใจ แบบที่ทำอยู่ทุกครั้งเวลาไม่อยู่บ้านหลายวัน ถึงแม้รอบนี้จะไม่แน่ใจว่าไอ้ตูมจะเหงาหรือว่าดีใจกันแน่เพราะได้ไปอยู่บ้านเดียวกับแฟน

ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่นี่จะอยู่ไกลจากบ้านผมออกมาหน่อย ข้อดีคือด้านหลังจะมีส่วนที่จัดไว้สำหรับของใช้สัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ของที่ขายก็ค่อนข้างหลากหลายและมีครบทุกอย่างที่คนเลี้ยงสัตว์ต้องใช้ ที่สำคัญคือ มีอาหารยี่ห้อที่หมอแนะนำให้มะตูมกินขายอยู่ด้วย และอาหารอะไรนั่นก็ราคากิโลกรัมละสามสี่ร้อยเลยทีเดียว

การเลี้ยงแมว แถมยังเป็นการเลี้ยงโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยี่ห้ออาหาร จากที่เคยรู้จักแค่ยี่ห้อที่โฆษณาในสื่อบ่อยๆ ผมก็ได้รู้ว่าอันที่จริงแล้วอาหารแมวมีหลายเกรดด้วยกัน แล้วเกรดของอาหารก็ส่งผลถึงสุขภาพแมวด้วย

หลังจากเข้าใจเรื่องอาหารก็มาต่อด้วยทรายแมว ของเล่นแมว ขนมแมว จากตอนแรกที่เจ้าของร้านเหล้าบอกไว้ว่าแมวตัวเดียว เลี้ยงขำๆ ไม่วุ่นวายหรอก เพราะแต่ก่อนมะตูมก็กินแค่เศษอาหารที่ร้านเหล้าเท่านั้น พอต้องมาเลี้ยงอย่างจริงจัง ก็ได้รู้ว่าโลกของการเลี้ยงสัตว์มันกว้างไกลกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก แถมค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่เล่นเลยด้วย

ระหว่างที่ผมกำลังเดินดูสูตรอาหารแมว ก็ได้แปลกใจอีกครั้งตอนที่เห็นว่ามีอาหารสำหรับแมวเพิ่งทำหมันด้วย จับพลิกไปพลิกมาอยู่สักพักก็ตัดสินใจว่าจะลองซื้อไปดูถึงแม้จะไม่ใช่ยี่ห้อที่กินอยู่ประจำ

ในตอนนที่กำลังหยิบถุงอาหารใส่รถเข็น สายตาก็มองเลยไปสะดุดกับอีกคนที่ยืนอยู่หน้าชั้นอาหารแมวไม่ไกลจากผม

“คุณไป๋”

เสียงเรียกของผมทำให้เขาหันมามอง แล้วคำตอบน่ะเหรอ

“อ้าว”

แค่นั้นแหละ

ผมเดินมาหยุดลงตรงหน้ารถเข็นของอีกฝ่ายที่จอดอยู่ แล้วก็พบว่าสิ่งที่อยู่ในมือเจ้าตัวคืออาหารสูตรสำหรับแม่แมว เลยถามออกมา

“ซื้ออาหารให้เป่าเป้ยเหรอคุณ?”

“อือฮึ ก่อนหน้านี้เป้ยกินสูตรของแมวในบ้านอยู่ แต่มันหมดแล้ว”

ตอบเสร็จเจ้าตัวก็หันกลับไปอ่านถุงอาหารแมว ส่วนผมก็มองใบหน้าด้านข้างของเขา รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมานิดหน่อยเพราะคนที่เพิ่งส่งข้อความหากันเรื่องขนม ดันมายืนอยู่ตรงหน้าได้ไงไม่รู้

สักพักคำถามก็ถูกส่งมา

“คุณมาถึงนานรึยัง?”

“เมื่อกี๊เลย ให้เจ้านายมาส่งด้านหน้าเนี่ย”

คำตอบคือการพยักหน้า และความเงียบ

พอผมเห็นว่าอีกฝ่ายท่าทางเหมือนกำลังจริงจังกับการอ่านถุงอาหารแมวมาก เลยตัดสินใจว่าจะไม่กวน แล้วเดินไปหยิบอาหารเปียกมาใส่รถเข็นตัวเองอีกกล่อง มองกลับไปอีกที คุณไป๋เค้าก็พูดขึ้นมา

“คุณ...”

“ฮึ?”

“คุณว่าแบบไหนดีกว่า”

ระหว่างที่พูด เจ้าตัวก็ยกมือขึ้นชี้ป้ายโฆษณา อันแรกบอกว่าถ้าซื้ออาหารแมวแบบเปียกสามโหล จะได้บ้านแมวแบบสีน้ำตาล ส่วนอีกอันบอกว่า ถ้าซื้ออาหารแมวแบบเม็ด 1 ถุงใหญ่ พร้อมแบบเปียก 1 โหล จะได้ปราสาทแมว อ่านจบผมก็หันไปมองสิ่งที่อยู่ในรถเข็นตัวเองแล้วพูดออกมา

“งั้นผมก็ได้ปราสาทแมวแล้วสิ”

“ใช่.. ผมว่าจะเอาไปใช้เป็นห้องคลอดเป้ย ไม่รู้แบบไหนจะเหมาะกว่า”

“ห้องคลอดเป่าเป้ย?”

เห็นมั้ย การเลี้ยงแมวทำให้โลกผมกว้างขึ้น และการที่แมวผมไปทำแมวคนอื่นท้อง ก็ทำให้โลกผมกว้างกว่าเดิมเข้าไปอีก แมวต้องมีห้องคลอดด้วย?

“อืม”

“มันต้องเป็นยังไงอะคุณ”

“ผมก็ไม่แน่ใจ คิดว่าน่าจะต้องเป็นประมาณในรูปนี่แหละ แต่ว่าต้องมีไฟให้ความอบอุ่นลูกแมวด้วย”

ฟังสิ่งที่คนตรงหน้าพูดแล้ว สิ่งแรกที่ผมนึกถึงก็คือ โมเดลที่ผมต้องตัดส่งอาจารย์ช่วงที่เป็นนักศึกษา ใช่เลย กระดาษประกอบเป็นบ้านแล้วก็มีไฟ ผมขยับเข้าไปใกล้อีกนิด อ่านรายละเอียดที่เป็นตัวหนังสือเล็กๆ ตรงมุมแผ่นโฆษณาแล้วพูดต่อ

“อันที่เป็นปราสาทขนาดใหญ่กว่านะคุณ เอาของผมไปมั้ยล่ะ?”

“ไม่เป็นไรแหละ ยังไงผมก็ต้องซื้ออยู่แล้ว”

พูดจบคุณเค้าก็หยิบอาหารสูตรแม่แมวทั้งแบบเปียกและแบบเม็ดใส่รถเข็นทันที พร้อมกับที่ผมนึกเรื่องนึงขึ้นมาได้

“คุณมายังไงอะ?”

“ขับรถมา”

“ติดรถกลับบ้านด้วยได้ปะ?”

“ไม่ได้มั้ง บ้านก็อยู่ข้างกัน”

“เนี่ย...”

คนฟังยิ้มบางๆ แล้วพูดต่อ

“งั้นก็ย้ายของจากรถเข็นคุณมาคันนี้สิ”

“โห ไปส่งที่บ้านแล้วยังเปย์กันด้วยดิ?”

“ค่อยไปแยกจ่ายตรงช่องจ่ายเงิน”

ผมหลุดขำนิดๆ ก่อนจะจัดการย้ายของตัวเองที่นอกจากอาหารแมวแล้วยังมีกระเป๋าเป้ กับของฝาก มาใส่รถเข็นคันเดียว แล้วยืนจับรถเข็นไว้เพื่อเสนอตัวเข็นรถให้ ก่อนจะถามต่อ

“คุณจะไปซื้ออะไรอีกมั้ยอะ”

“ไม่ ของผมครบแล้ว”

“งั้นขอไปซื้อทรายแมวอีกถุงนะ”

“ถ้าไม่ให้ก็จะไม่ซื้อใช่มั้ย?”

“คุณ...”

เจ้าตัวหันมาหัวเราะใส่กันทีนึง ก่อนจะเข็นรถเข็นเดินนำไปก่อน ปล่อยให้ผมเดินตาม พร้อมกับลอบถอนหายใจ อารมณ์ดีมาจากไหนเนี่ย?



พวกเรามาถึงบ้านตอนประมาณ 3 ทุ่ม หลังจากเอาของฝากให้คนที่ขับรถอยู่ ผมก็ลงรถที่หน้าบ้านตัวเอง พอไขกุญแจรั้วเดินเข้าไปก็เจอแมวสีเหลืองนั่งรอกันอยู่แล้ว

ผมมองสบตามัน ยอมวางของลงที่พื้น ยกมือขึ้นลูบหัวไปสองสามทีแล้วพูดออกมา

“คิดถึงกูอะดิ”

แล้วเสียงเมี๊ยวเบาๆ ที่ร้องกลับมาแทนคำตอบก็ทำให้ผมยิ้มได้ ถึงแม้จะเหนื่อยจากการทำงานและการเดินทางมาสองวันเต็มๆ



- to be continued -

talk .

ตอนนี้มาเจอกันเร็วหน่อยนะคะ
เพราะเราติดภารกิจไปเที่ยวภูกระดึงเชียงคานวันเสาร์พอดี้ลยมาลงให้อ่านกันก่อน
พร้อมกับขอบอกว่า
อาทิตย์หน้าของดลงนิยาย 1 เสาร์นะคะ เพราะติดเที่ยวเหมือนกัน

ได้เจอกันอีกทีก็คงจะเป็นปี 2563 ไปแล้ว
ยังไงก็ขอสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้ากันตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกันเนอะ
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันและเป็นกำลังใจกันมาตลอดนะคะ ปีที่แล้วเป็นอีกปีที่ยากพอตัวสำหรับเราเลย
แต่ก็ผ่านมาได้เพราะทุกคนยังอยู่ด้วยกันนี่แหละน้า
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ :)

ปล. มีแต่คนบอกว่าเป่าเป้ยจะต้องน่ารักมากแน่ๆเลย อันที่จริงเป่าเป้ยก็คือแฮนบิลของตอนที่ 2 นั่นแหละค่ะ
แว๊บเอามาแปะให้ดูอีกทีแล้วกัน

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
อารมณ์ประมาณช้อปของใช้เข้าบ้านด้วยกันเลย แม้จะเป็นของแมวทั้งหมดก็เหอะ

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
เหมือนพ่อ แม่ ลูก(แมว)มาก55555

มาต่อไวๆน๊าาาาาา

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
เหมือนพ่อแม่มาซื้อของรอรับคลอดหลานเลยค่ะ

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
ตอนแรกนึกว่าคุณไป๋จะรำคาญซะอีก พูดน้ำไหลไฟดับแล้วยังจะเอาแมวมาฝากอีก มีตบมุกกับไปมา ดีจังเลย ♥️

ปล. เที่ยวให้สนุกนะค๊าาาา

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เอ็นดูคุณไป๋   :catrun:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
แลดูเป็นครอบครัวสุขสันต์พากันซื้อของเข้าบ้าน 55555 จะรออ่านนะคะ

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0
- 03 -

   คุณไป๋บอกว่าเป่าเป้ยมีนัดไปหาหมออีกครั้งวันศุกร์ แล้วมีเหรอที่ผมจะไม่ไปด้วย เย็นวันนั้นผมขอออกจากที่ทำงานล่วงหน้าหนึ่งชั่วโมง จนพี่ที่ทำงานถึงกับทักว่าจะรีบไปไหน ส่วนคำตอบน่ะเหรอ?

   “ลูกสะใภ้มีนัดไปหาหมอว่ะพี่”

   พวกพี่ๆ คงงงไปแล้ว ถ้าเจ้านายผมไม่หันมาอธิบายเพิ่ม

   “แมวมันไปทำแมวข้างบ้านท้อง มันก็เลยต้องรับผิดชอบ”

   ได้ยินอย่างนั้นคำถามก็ตามมาทันที

   “มะตูมที่เป็นรูปหน้าจอคอมมึงอะนะ”

   “ใช่พี่ ไอ้ตูมตัวนั้นนั่นแหละ”

   คุยกันอีกนิดหน่อยผมก็ออกจากที่ทำงานมาทันที

   คุณไป๋เค้าพาเป่าเป้ยไปหาหมอที่โรงพยาบาลสัตว์เดียวกันกับที่ผมพาไอ้ตูมไปทำหมัน ก่อนออกมาก็ไลน์ไปถามแล้วแหละว่าถึงรึยัง และได้คำตอบว่าคุณเค้าเพิ่งมาถึงคลินิก กำลังจะเข้าไปข้างใน

   ที่ทำงานผมกับคลินิกอยู่คนละฝั่งกันเลย ถ้านับบ้านเป็นจุดศูนย์กลาง ระหว่างทางรถติดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ ใช้เวลาเดินทางสักพักผมก็มาถึง จอดรถเสร็จ เดินเข้าไปก็เจออีกฝ่ายนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เลยไปนั่งลงข้างๆ แล้วถามต่อ

   “เป็นไงบ้างคุณ”

   “เอ็กซเรย์แล้ว รอหมอเรียกเข้าไปดูฟิล์ม”

   “อ้าว ผมมาไม่ทันเหรอเนี่ย อุตส่าห์อยากเห็นโมเม้นนี้ของเป้ย”

   ระหว่างที่พูดออกมา ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วเปิดรูปที่เซฟมาจากอินเตอร์เน็ตให้ดู  มันเป็นรูปแมวสีส้มที่นั่งอยู่บนตักคน พร้อมกับโดนเครื่องอะไรบางอย่างแตะตรงท้อง

   จุดที่น่ารักคือสีหน้าเจ้าเหมียวที่รูปแรกดูเหมือนกำลังงง รูปที่สองหันไปมองจอ ส่วนรูปที่สามก็ทำหน้าตกใจ เหมือนอึ้งไปแล้วที่ตัวเองท้อง

   “อันนี้คืออัลตร้าซาวด์ ทำไปตั้งแต่วันก่อนแล้ว ส่วนวันนี้เป็นเอ็กซเรย์ ไม่เหมือนกัน”

   “อ้าวเหรอ แล้ววันนั้นเป้ยทำหน้าแบบในรูปปะ?”

   เขามองผม ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วตอบกลับ

   “ไม่อะ”

   “เสียดายเลย”

   พูดจบผมก็ก้มลงไปมองเป่าเป้ยที่นอนอยู่ในกรงหิ้วแบบเดียวกันกับของมะตูมแต่คนละสี ดูท่าทางเจ้าเหมียวก็นิ่งสนิทดี ไม่โวยวายอะไรจนต้องหันมาพูดกับพ่อแมวที่นั่งอยู่

   “เป้ยนิ่งมากเลย คุณรู้มั้ย ไอ้ตูมนะ สติแตกทุกทีที่มาโรงพยาบาล ร้องหง่าวๆ ๆ แถมยังทำตาโตด้วย”

   คนฟังเหลือบมามองกันนิดๆ แล้วตอบกลับ

   “ก็สมกับเป็นแมวคุณ”

   “เฮ้ย? ผมไม่เคยร้องหง่าวๆ แล้วก็ทำตาอย่างนี้เลยนะ”

   ระหว่างที่พูดผมก็เบิ่งตาให้โตขึ้น คนมองเกือบจะหลุดขำ แต่ก็ไม่ตอบอะไร จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ส่งเสียงเรียกขึ้นมาว่า ‘น้องเป่าเป้ย เชิญพบคุณหมอค่ะ’

   นึกถึงตอนผมพาไอ้ตูมทำหมัน เจ้าหน้าที่ก็เรียกแบบนี้เหมือนกัน ‘น้องมะตูม เชิญพบคุณหมอค่ะ’ คำเดียวกัน พนักงานก็คนเดียวกัน แต่ตอนเรียกไอ้ตูมประโยคฟังดูไม่เห็นอ่อนโยนเหมือนเรียกเป้ยเลย ติดตลกซะด้วยซ้ำ

   พอโดนเรียกพวกผมก็ลุกขึ้น เดินตามทางเพื่อเข้าไปในห้อง

   เมื่อวันก่อนได้มีโอกาสคุยกับคุณไป๋เลยได้รู้ว่า ที่อีกฝ่ายเอาเป้ยไปหาหมอก็เพราะสังเกตเห็นว่านมของลูกสาวสุดที่รักเค้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู คิดอยู่ 2 อย่างว่า ถ้าไม่ใช่กำลังจะหง่าวอยากมีแฟน ก็คงพลาดไปท้องกับใครเข้าแล้ว เพราะมะตูมก็เดินไปมาเข้าออกบ้านอยู่บ่อยๆ เลยพามาให้หมอตรวจดู

   แล้วก็อย่างที่เห็น ผลออกมาว่าคุณเธอท้องได้ประมาณเดือนนึง แถมยังได้ความรู้เพิ่มด้วยว่าแมวจะใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 2 เดือน แสดงว่าอีกไม่นานผมก็คงจะได้เห็นหน้าหลานแล้ว

   พอเข้ามาในห้องคุณหมอก็เริ่มอธิบายว่าสิ่งที่เพิ่งทำไปคือการเอ็กซเรย์แมว เพื่อดูจำนวนลูกที่แน่นอน และยังดูได้ด้วยว่าคุณแม่มือใหม่จะสามารถคลอดลูกเองได้รึเปล่า

   หลังจากนั้นคุณหมอก็ยกฟิล์มขึ้นมาส่องไฟพร้อมกับใช้ปลายปากกาชี้ให้ดูว่าตอนนี้ในท้องของเป่าเป้ยน่าจะมีเจ้าตัวเล็กอยู่ 4 ตัว

   ส่วนของการดูกระดูกอุ้งเชิงกรานกับหัวลูกแมวเพื่อวิเคราะห์ว่าเป้ยจะสามารถคลอดลูกเองได้มั้ย คำตอบก็คือได้ สบายมาก เวลาคลอด น่าจะประมาณ 1 สัปดาห์นับจากวันนี้

   นอกจากการดูฟิล์มและอธิบายว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว หมอยังแนะนำวิธีการเตรียมตัว ดูแลแม่แมวมือใหม่ระหว่างคลอดอีกด้วย

   เจ้าของแมวตัวจริงน่ะ นั่งฟังคำพูดพวกนี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่งเป็นที่สุด และคนที่ตื่นเต้นมากกว่าก็คือผม สัปดาห์หน้าก็คลอดแล้วเหรอวะ? ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก!

,

   วันต่อมา ทั้งผมและมะตูมก็มานั่งอยู่ที่บ้านหลังข้างๆ เพื่อดูปราสาทแมวที่ได้มาเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อน และหาวิธีทำให้มันเป็นห้องคลอดมที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเป่าเป้ย ตอนแรกผมเข้าใจว่าแค่เอาลังมาส่องไฟก็คลอดได้แล้ว จนกระทั่งฟังคำแนะจากหมอถึงได้รู้ว่ามันยังมีอะไรมากกว่านั้น เพราะแม่แมวจะใช้ลังใบนี้เพื่อคลอดลูก และเลี้ยงลูกแมวอยู่ในนั้นอีกเป็นเดือนทีเดียว

   นอกจากคำแนะนำเรื่องสถานที่แล้ว คุณหมอยังบอกอีกว่า นี่เป็นท้องแรกของเป่าเป้ย สิ่งที่ต้องจับตาดูให้ดีคือ แม่แมวสามารถคลอดได้ด้วยตัวเองรึเปล่า หลังจากคลอดแล้วสามารถจัดการกับลูกได้ไหม ซึ่งถ้าทำไม่เป็น สิ่งที่เจ้าของแมวต้องทำคือการฉีกรก และตัดสายสะดือให้ลูกแมว

   เอาจริงปะ แค่ฟังก็สยองแล้ว

   ห้องคลอดที่เคยคิดว่าเป็นลังส่องไฟ ก็ต้องเตรียมเหมือนกัน เพราะต้องมีผ้าปูรองให้ด้านล่าง หรือไม่ก็เป็นทิชชู่อย่างหนาที่สามารถซับความชื้นได้

   รอบด้านควรมีความมิดชิดประมาณนึง เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าพฤติกรรมของแม่แมวจะเป็นยังไงระหว่างคลอด รวมไปถึงตอนที่ดูแลลูก บางตัวอ้อนเจ้าของมากขึ้นและต้องการให้เจ้าของอยู่ใกล้ๆ เพื่อเป็นกำลังใจตลอดเวลา แต่ก็มีบางตัวที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเอามากๆ

   ถ้าเป่าเป้ยเป็นอย่างหลัง ขอบอกเลยว่าปราสาทแมวที่ได้มาอาจจะไม่เหมาะสำหรับใช้เป็นห้องคลอดสักเท่าไหร่ เพราะมีประตูถึงสองบาน แถมยังเจาะเป็นหน้าต่างรอบด้านเข้าไปอีก

   เมื่อวานนนี้ หลังจากคุยกับคุณหมอเสร็จ ผมก็ลองแนะนำสิ่งที่ควรทำกับปราสาทแมวเพื่อให้สามารถใช้เป็นห้องคลอดได้ และได้คำตอบสั้นๆ กลับมาว่า

   “ผมไม่เก่งงานฝีมือ”

   และนั่นก็ทำให้เรามาจบลงตรงนี้ ตรงที่ผมกำลังใช้โทรศัพท์มาหาข้อมูลเพิ่มเติม ว่าควรทำห้องคลอดแมวยังไง    อ่านไปสักพักก็เงยหน้ามาคุยกับคนข้างๆ

   “เค้าบอกว่าถ้าให้ดี ด้านหน้าควรมีขอบยกขึ้นนิดนึง เพื่อไม่ให้ลูกแมวคลานออกมา”

   “จริงด้วย”

   “แล้วก็ ทั้งแม่แมวและลูกแมวจะอยู่ในนี้ไปเป็นเดือนเลย ทางที่ดีไซส์ควรจะใหญ่หน่อย เผื่อแมวเด็กโต”

   ผมพูดพลางขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น แล้วก็ส่งโทรศัพท์ไปให้ดูรูป คุณไป๋เค้าเงียบไปสักพักพร้อมกับใช้ปลายนิ้วเลื่อนดูรูปภาพจากมือถือของผม แล้วก็พูดออกมา

   “งั้นอันนี้ก็ใช้ไม่ได้”

   “เอางี้ ผมมีที่ๆ น่าจะหาลังใบใหญ่ได้อยู่ เราค่อยไปดูกัน ในเน็ตเค้าเอาฟิวเจอร์บอร์ดมาใส่ไปในลังทั้งสี่ด้านแล้วก็ทำเป็นประตูเปิดปิดได้ เราก็ทำตามไปเลย ถ้าจะให้ดีเจาะด้านนึงเอาไว้เป็นช่องสำหรับส่องไปด้วยก็ได้”

   ฟังจบ คนที่นั่งอยู่ข้างกันก็พูดออกมาสั้นๆ

   “มันดูยากมากเลยอะ”

   ได้ยินแล้วถึงกับหลุดขำ ก่อนที่ผมจะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม

   “ไม่ยากหรอกคุณ”

   “...”

   พอเห็นสีหน้าคนพูด ผมก็นึกขึ้นมาได้

   “อ๋อ คุณไม่เก่งงานฝีมือนี่เนอะ”

   “แล้วจะทำไม?”

   ผมยักไหล่แทนคำตอบ นั่งอ่านโพสที่เจ้าของแมวมารีวิวการทำคลอดต่อไปเรื่อยๆ จนจบ ก่อนจะหันมาพูดกับคนข้างๆ

   “เดี๋ยวทำให้ แค่นี้เอง แป๊บเดียวก็เสร็จ”

   “...”

   ทันทีที่ผมพูดจบ สีหน้าของอีกคนก็บอกชัดเลยว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จนผมต้องพูดซ้ำ

   “อย่าดูถูกสกิลตัดโมของเด็กถาปัตย์นะคุณ แค่เนี้ยยังไม่ถึงหนึ่งในร้อยของสิ่งที่ผมทำมาตลอด 5 ปีด้วยซ้ำ”

   “โม้เก่ง”

   “เดี๋ยวทำให้ดู”

   พอหันไปยิ้มให้พร้อมกับยักคิ้ว อีกฝ่ายก็ทำหน้ายุ่งกลับมา จนผมถึงกับหลุดขำ

   บอกไปรึยังนะ ว่าคุณไป๋เขาขับ Nissan Juke ตัวใหม่ ส่วนผมมี Nissan เหมือนกัน แต่เป็น Nissan Figaro รถคลาสสิคยุค 90 ที่พ่อผมอ้างว่าซื้อให้ลูก ทั้งที่ตัวเองเป็นคนอยากได้ แถมในบ้านยังมีมอเตอร์ไซค์เวสป้าที่พ่อซื้อมาด้วยเหตุผลเดียวกันอีกหนึ่งคัน และวันนี้คนข้างบ้านเขาก็นั่งอยู่ในรถคันจิ๋วของผมนี่แหละ

   เรากำลังไปร้านขายเครื่องเขียนเพื่อซื้อฟิวเจอร์บอร์ดสำหรับทำห้องคลอดให้เป่าเป้ย แล้วผมก็ตั้งใจจะมาขอลังกระดาษจากที่ร้าน ซึ่งสนิทกับผมตั้งแต่สมัยเรียน

   ที่นี่มีทั้งเครื่องเขียนทั่วไป จนถึงอุปกรณ์ที่ต้องใช้สำหรับทำโมเดลเพื่อส่งอาจารย์ ส่วนอีกฝั่งแบ่งเป็นร้านถ่ายเอกสารที่มีเครื่องพริ๊นต์ตัวใหญ่ เหนือสิ่งอื่นใด ที่นี่ให้พวกผมเซ็นไว้ก่อนได้ เวลาไม่มีเงินจ่ายค่างาน ค่าของ คิดดูว่ากว่าจะมีวันนี้ ผมเคยเป็นหนี้ร้านถ่ายเอกสารมาแล้ว

   พอได้ของทุกอย่างที่ต้องการ พวกเราก็กลับมาที่บ้าน แล้วก็ลงมือทำห้องคลอดให้เป่าเป้ยทันที

   ตรงหน้าผมมีลังใบใหญ่ ถัดไปเป็นฟิวเจอร์บอร์ด อุปกรณ์อื่นๆ ที่ซื้อไว้ทำงานตั้งแต่สมัยเรียน  และมะตูมกับเป่าเป้ยที่ตอนนี้กลายเป็นแมวท้องโตไปเรียบร้อย

   สิ่งแรกที่ต้องทำน่าจะเป็นการวัดขนาดลัง สักพักเจ้าของบ้านก็เดินมาจากห้องครัว พร้อมยื่นแก้วน้ำกับกล่องขนมที่น่าจะเป็นคุ้กกี้มาให้แล้วพูดต่อ 

   “บ้านผมไม่ค่อยมีอะไรกินอะ”

   “คุณอยู่คนเดียวนี่เนอะ”

   “ใช่...แล้วผมก็ไม่ชอบทำอาหารด้วย”

   “เหมือนกัน ว่าแต่คุณซื้อบ้านหลังนี้เหรอ?”

   ระหว่างที่มือกำลังทำโน่นทำนี่ รวมไปถึงผลักไอ้ตูมที่เดินเข้ามาเกะกะวุ่นวายให้หลบออกไป ผมก็ชวนอีกคนคุยไปด้วย ก็ดีกว่านั่งเงียบๆ ใช่มั้ยล่ะ

   “เปล่า ที่นี่เป็นบ้านของคุณพ่อผมมาก่อน คือ...ท่านเสียไปได้ 8 ปีแล้ว”

   “อ๋อ แสดงว่าคุณลุงที่เคยอยู่ที่นี่คือคุณพ่อของคุณ นึกออกอยู่หรอกว่าบ้านนี้เคยมีคนอยู่ แต่ก็นานแล้วเนอะ”

   “งั้น...คุณก็เคยเจอพ่อผม”

   “จะว่าเคยเจอก็ใช่นะ แต่ก็จำอะไรไม่ค่อยได้ ตอนนั้นผมเรียนมัธยมอยู่ เอาแต่เล่นเกมไม่ใส่ใจอะไรหรอก”

   “8 ปีก่อนยังเรียนมัธยม ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้คุณก็อายุ...”

   “26 ขอถามกลับ แล้วคุณล่ะ?”

   “ผม 28 แล้ว”

   แล้วทำไมต้องทำหน้าไม่พอใจที่ตัวเองอายุเยอะกว่าล่ะนั่น?

   “เฮ้ย งั้นคุณก็เป็นพี่ผมอะดิ”

   “เรียกพี่เลย”

   “ไม่เอาหรอก”

   “นิสัยไม่ดี”

   ได้ยินแล้ว ผมก็ต้องหลุดขำ ตอบกลับ ก่อนจะกลับไปกรีดฟิวเจอร์บอร์ดตามขนาดที่วัดไว้ แล้วตอบกลับ

   “ไม่ชินไง แล้วก่อนจะมาอยู่ที่นี่ คุณอยู่ที่ไหน”

   “ผมอยู่บ้านของแม่ คือพ่อแม่ผมหย่ากันตั้งแต่ผมยังเล็ก ผมก็อยู่กับบ้านฝั่งแม่มาตลอด ระหว่างนั้นก็ยังติดต่อกับพ่ออยู่เรื่อยๆ นะ จนพ่อเสียบ้านหลังนี้ก็ตกเป็นของผม”

   ผมพยักหน้ารับเงียบๆ แล้วก็ไม่อยากถามอะไรต่ออีก เพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องส่วนตัวมากเกินไป แต่อีกคนกลับเล่าออกมาด้วยท่าทีสบายๆ

   “ช่วงเรียนมหาลัยอะ ผมอยู่คอนโด พอย้ายมานี่ก็ยกคอนโดให้น้องสาวคนละพ่ออยู่ต่อ แม่ผมแต่งงานใหม่น่ะ”

   “อ๋อ ผมไม่เคยอยู่คอนโดหรอก แต่คิดว่าอยู่บ้านน่าจะสบายใจกว่าอยู่เป็นห้องอะ ยิ่งมีสัตว์เลี้ยงด้วย ยังไงบ้านก็เหมาะกว่า”

   “ใช่เลย ตอนแรกผมแพลนไว้ว่าย้ายมาอยู่บ้านแล้วจะเลี้ยงแมวเพิ่ม เลยไปติดต่อพ่อพันธุ์บริติชชอร์ตแฮร์ไว้ เพราะอยากให้เป้ยมีลูก ที่ผมบอกคุณ จำได้มั้ย?”

   “จำได้สิ คุณดูโกรธมาก เหมือนจะฆ่าผมได้เลยตอนนั้นอะ”

   แล้วคำตอบก็คือรอยยิ้มมุมปาก

   “ผมเห็นมะตูมตั้งแต่วันแรกๆ ที่ย้ายมาแล้ว ไม่สิ เห็นตั้งแต่ตอนรีโนเวตบ้านด้วยซ้ำ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแมวจรอยู่หรอก แต่มีช่วงนึงคุณใส่ปลอกคอให้มะตูมนี่ ก็เลยรู้ว่ามีบ้าน จับตาดูอยู่ไม่นานก็รู้ว่าเป็นแมวบ้านคุณ”

   “ใช่ ไอ้ตูมใส่อยู่ไม่ถึงอาทิตย์ แล้วเอาไปทำหายที่ไหนไม่รู้”

   สุดยอดปะล่ะแมวผม

   “มีวีรกรรมตลอดเลยนะเรา”

   แน่นอนว่าคุณไป๋เค้าไม่ได้พูดกับผม โน่น พูดกับไอ้ตูมที่นั่งหน้าเหลืองหลับตาพริ้มเพราะคนพูดเกาคางให้อยู่นั่น ผมมองคนที่ส่งสายตาอ่อนโยนไปให้มะตูมแล้วก็ยิ้มตามไปด้วย

   หลังจากนั้นไม่นานผมก็ตัดฟิวเจอร์บอร์ดเสร็จ ใส่เข้าไปในลังกระดาษทีละด้าน และหันไปให้อีกคนที่นั่งอยู่ดู แล้วถามต่อ
 
   “พอได้เนอะ”


   คนฟังพยักหน้ารับพร้อมตอบกลับ

   “ดูดีเลย”

   “เดี๋ยวเจาะช่องข้างๆ ไว้ส่องไฟนิดนึง แล้วทำที่กั้นด้านหน้าแบบในรูป แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อย”

   “ผมไปเอาโคมไฟมาให้แล้วกัน”

   “โอเค”

   ผมต้องรออีกฝ่ายเอาโคมไฟลงมาถึงจะสามารถกำหนดว่าควรจะเจาะลังตรงส่วนไหน โชคดีที่โคมไฟเป็นแบบที่ขาตั้งเป็นลวดซึ่งสามารถดัดขึ้นลงได้ตามการใช้งาน พอได้จุดที่แน่นอนก็จัดการลากดินสอเป็นวงกลมบนลังกระดาษ ก่อนจะหยิบคัตเตอร์ขึ้นมาตัด ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายพูดออกมา

   “คุณจบสถาปัตย์จริงๆ ด้วย”

   “ฮึ?”

   “วงกลมที่คุณวาดมันกลมมากเลย”

   ผมยิ้มรับ แล้วพูดต่อ

   “เห็นมั้ยล่ะ เมื่อวานใครหาว่าผมโม้ฮึ?”

   “ถอนคำพูดก็ได้”

   “ผมจบสถาปัตย์ก็จริง แต่เป็นเอกการตกแต่งภายใน บางที่ก็จะเรียกว่ามัณฑนศิลป์”

   “อ๋อ...”

   “ตอนคุณรีโนเวตบ้านอะ ผมโดนพี่ที่ทำงานล้อเลยรู้ปะ งานอยู่ข้างบ้านผมเลย แต่คุณก็ไปจ้างคนอื่น”

   “จริงด้วย”

   คนฟังหลุดขำ เอื้อมมือไปเกาหัวไอ้ตูมสองสามครั้ง พูดต่อเจือเสียงหัวเราะ

   “แถมยังเกือบขโมยแมวคุณแล้ว ถ้าไม่เห็นว่าใส่ปลอกคอไปซะก่อน”

   “ขโมยไอ้ตูมไปแล้วเอาเป่าเป้ยมาแลกได้นะ ผมไม่ขัด”

   “แต่ผมขัด”

   “อ้าวเหรอ?”

   หลังจากผมกรีดกระดาษเสร็จเสร็จ ก็ต้องวาดวงกลมอีกครั้งตามรอยของลังที่กรีดไว้ เพื่อจะตัดฟิวเจอร์บอร์ดให้เป็นช่องในจุดเดียวกัน และด้วยความที่พื้นบ้านเป็นกระเบื้องที่ลื่นอยู่พอตัว คนตรงหน้าเลยยื่นมือมาช่วยผมจับฟิวเจอร์บอร์ด พอลองประกอบทุกอย่างกลับไปอีกครั้ง ห้องคลอดเป่าเป้ยก็เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้นมาก
 
   ระหว่างที่ผมกำลังวัดขนาดทางกั้นไม่ให้ลูกแมวคลานออกมาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อยู่ๆ ไอ้ตูมมันก็เดินเข้าไปในลัง แล้ววางมาดทำเป็นดมโน่นดมนี่อยู่พักใหญ่

   นี่ก็หาซีนเก่งตลอด!

   หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย มีฟิวเจอร์บอร์ดเหลืออีกหน่อยผมเลยเอามาติดเป็นกันสาดง่ายๆ  หลังจากเช็คดูและพบว่าไม่มีอะไรที่ต้องทำเพิ่มอีก ก็หันไปคุยกับอีกคนที่ตอนนี้เอาหวีมาแปรงขนแมวอยู่ไม่ไกล แถมยังเอื้อเฟื้อแปรงขนสั้นๆ แข็งๆ ให้ไอ้ตูมด้วย ก่อนที่ผมจะหันไปคุบกับเขา

   “น่าจะเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ เหลือแค่ซื้อของที่ต้องปูด้านใน กับพวกเครื่องมือที่ต้องใช้ตอนคลอด ไปซื้อให้เสร็จวันนี้เลยมั้ยล่ะ?”

   “ก็ดีนะ เที่ยงกว่าแล้วด้วย หิวยัง?”

   “นิดนึง ซื้อของเสร็จก็หิวพอดี”

   คนฟังหันมามองหน้าผม ขมวดคิ้วใส่แล้วพูดต่อ

   “รู้ล่วงหน้าด้วยเหรอว่าจะหิวในอีก 1 ชั่วโมงอะไรแบบนั้น”

   “ก็พอเดาได้อยู่นะ”

   ระหว่างที่พูดนี่ผมก็ขยับเอาห้องคลอดของเป่าเป้ยเข้าไปวางไว้ตรงมุมที่มีปลั๊กพร้อมสำหรับโคมไฟ จัดเข้าที่เรียบร้อย สองเหมียวก็เดินเข้ามาใกล้เพื่อสำรวจของใหม่ในบ้าน

   ผมจัดการอุ้มเป่าเป้ยเข้าไปข้างใน พร้อมกับที่อีกคนขยับตัวเข้ามาสังเกตการณ์ด้วยกัน

   แม่แมวเดินอยู่ในบ้าน ดมตามซอกมุมต่างๆ แล้วยังไม่ทันได้ทำอะไร ไอ้ตูมที่ทำเป็นด้อม   ๆ มองๆ อยู่ข้างนอก
ก็กระโดดเข้าไปด้วยอีกตัว กลายเป็นว่าตอนนี้แมว 2 ตัวกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ในลังแคบๆ

   สุดท้ายก็กลายเป็นเป่าเป้ยที่กระโดดออกมาจากห้องคลอด แล้วไอ้ตูมก็ไปนอนสะบัดหางอยู่ในนั้นอย่างหน้าตาเฉย

   ผมมองภาพตรงหน้าแล้วถอนหายใจ ถ่ายรูปส่งไปให้ลุงมันดู ส่วนอีกคนถึงกับหลุดขำออกมา พร้อมกับอุ้มเป่าเป้ยขึ้นไปนอนบนตักแล้วลูบขนให้เบาๆ

   หลังจากนั้นไม่นาน พวกผมก็ออกจากบ้าน มาที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้อยู่ตรงส่วนที่ขายยาและอุปกรณ์สุขอนามัยอื่นๆ

   ของที่ต้องซื้อก็มีทั้งถุงมือ สำลี ทิชชู่อย่างหนา ที่ดูดเสมหะ แผ่นรองฉี่ ไปจนถึงกรรไกรปลายมนอันใหม่ บางอย่างที่มีอยู่ที่บ้านผมอย่างด้าย เบดาตีน หรือน้ำเกลือล้างแผล ก็เป็นอันว่าไม่ต้องซื้อ จะได้ประหยัดไปบ้าง บอกแล้วใช่มั้ยว่าเลี้ยงแมวนี่ค่าใช้จ่ายเยอะจริงๆ

   ระหว่างที่รอจ่ายเงิน ผมก็หันไปพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างกัน

   “เริ่มหิวจริงจังแล้วเนี่ย”

   “เหมือนกัน”

   “คุณกินอาหารเกาหลีได้มั้ย?”

   “ก็ได้อยู่นะ”

   “หมูย่างเกาหลีล่ะ?”

   “ได้สิ”

   “เดี๋ยวเลยจากที่นี่ไปนิดนึงอะ  จะมีซอยเล็กๆ ในนั้นมีร้านอาหารเกาหลี อร่อยมาก ไปมั้ย?”

   “ฟังแล้วรู้เลยว่าอยากกินจริงๆ”

   “แสดงว่าไป?”

   “ไม่ไปดีกว่า”

   “คุณ...”

   “ล้อเล่น ไปก็ไป”

   เขาตอบกลับ เจือเสียงหัวเราะ

   ซื้อของเสร็จเรียบร้อย พวกผมก็มาจบลงที่ร้านอาหารเกาหลี จัดการสั่งเนื้อหมู กับอาหารสองสามอย่าง แล้วก็ได้รู้ว่าตัวเองหิวแค่ไหนตอนที่นั่งรอว่าเมื่อไหร่อาหารจะมาเสิร์ฟนี่แหละ ระหว่างนั้นผมก็ได้แต่ชวนอีกคนคุยฆ่าเวลา

   “ปกติวันหยุดเสาร์อาทิตย์คุณทำอะไรบ้าง?”

   คนที่กำลังพิมพ์โทรศัพท์อยู่เงยหน้าขึ้นมามองกัน นิ่งใช้ความคิดไปสักพักแล้วก็พูดออกมา

   “คือ ตารางชีวิตผมไม่ค่อยแน่นอนอะ บางทีเสาร์อาทิตย์ก็ยังนั่งทำงานอยู่ วันจันทร์ถึงศุกร์ถ้าเบื่อๆ ก็ออกไปเดินเล่นบ้าง บางครั้งก็ออกไปกินข้าวกับพ่อเลี้ยง แม่ แล้วก็น้องสาวบ้าง”

   “ก็ฟังดูอิสระดีนะคุณ”

   “อิสระแต่ก็ต้องสร้างความรับผิดชอบให้ได้ด้วยตัวเองเหมือนกันนะ แบบต้องวางแผนเองทำตามแผนให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครมานั่งคุมถ้าผมเถลไถล ทำงานเสร็จไม่ทันกำหนด ประมาณนั้น”

   “ก็จริง”

   “แล้วถ้าไม่มาทำห้องคลอดให้เป้ยอย่างวันนี้ ปกติคุณทำอะไรอะ”

   “ผมเหรอ? สิ่งที่ต้องทำเลยคือซักผ้า แล้วก็ออกไปกับเพื่อน กินข้าว ทั่วๆ ไป อ๋อ แต่ผมชอบดูหนังมาก...”

   แล้วบทสนทนาก็ชะงักไปตอนที่อาหารมาเสิร์ฟ ผมมองคนตรงหน้าช่วยพนักงานยกอาหารที่อยู่ในถาดมาวางบนโต๊ะ  ก่อนจะลงมือช่วยบ้าง เสร็จเรียบร้อยคำตอบก็ตามมา

   “ผมก็ชอบดูหนังเหมือนกัน”

   “จริงดิ ชอบดูแนวไหน? ห้ามบอกแนวนอนนะคุณ”

   “...”

   แล้วคำตอบก็คือความเงียบ ผมกลั้นขำ มองคนที่ส่งสายตามาให้ ถอนหายใจ แล้วก็หันไปคีบหมูสามชั้นมาวางลงบนเตา แต่ไม่ยอมตอบอะไรกลับมาสักที จนต้องพูดต่อซะเอง

   “ผมนะ ดูได้หมดแหละ แต่ชอบดูหนังสยองขวัญเป็นพิเศษ ปัญหาคืออะไรรู้มั้ย ผมโคตรกลัวผีเลย”

   คนตรงหน้าตกใจไปนิดหน่อย แล้วค่อยถามต่อ

   “ฮะ? โคตรกลัวผี แต่ดูหนังผีเนี่ยนะ?”

   “อื้อ เหมือนได้ชาเลนจ์ตัวเองไง ดูเยอะๆ เผื่อจะกลัวน้อยลง”

   “แล้วเป็นไง?”

   “ไม่เลย ดูเรื่องนึงนอนเปิดไฟนอนไปอีกเจ็ดวัน”

   ได้ยินคำตอบปุ๊บคนตรงหน้าก็หัวเราะรับทันที จนผมต้องยิ้มตาม พอนึกย้อนไปก็รู้ว่าตัวเองยังไมได้คำตอบในสิ่งที่ถาม

   “คุณยังไม่ตอบผมเลย ตกลงชอบดูหนังแนวไหน”

   “แนวนอนสิ ทั้งจอโทรทัศน์ จอโรงหนังก็เป็นแนวนอนทั้งนั้น”

   “คุณ...”

   “ไม่ได้เหรอ?”

   ผมส่ายหน้า ก่อนที่คำตอบจะตามมา

   “จริงๆ ผมก็ดูได้หมดแหละ แต่ที่ชอบเป็นพิเศษ ก็เหมือนคุณเลย แต่ผมไม่กลัวผีนะ บอกไว้ก่อน”

   “นิดนึงก็ไม่กลัวเหรอ?”

   “ไม่เลย ผีในหนังก็คือคนแต่งตัวมาปะ”

   “เวลาโผล่มามันเหมือนคนที่ไหนล่ะคุณ”

   “แต่มันก็คือคนอะ หรือไม่ก็คอมพิวเตอร์กราฟฟิค”

   “ซึ่งก็ยังน่ากลัวอยู่ดี”

   คนฟังขมวดคิ้ว มองกัน แล้วส่ายหน้ามาให้ ส่วนผมยักไหล่ ส่งยิ้มให้เขา กลับไปย่างหมูต่อ ก่อนจะลงมือกิน พวกเราเงียบกันไปสักพัก ก่อนที่ผมจะถามขึ้นมาอีก

   “เออ คุณตั้งชื่อลูกแมวรึยัง”

   “ลูกแมวเหรอ?”

   “อืม”

   “ตั้งไว้คร่าวๆ แล้วนะ แต่ก็เปลี่ยนได้แหละถ้าไม่ค่อยเข้า”

   “ชื่ออะไรบ้าง?”

   “ถ้าตัวเมียชิงชิง ตัวผู้ก็เป่าเปา เหลืออีกสองตัว ยังไม่รู้จะตั้งอะไรเลย คุณอยากตั้งปะล่ะ”

   “ได้เหรอ?”

   “อื้ม คุณก็เป็นคุณปู่ไง”

   คุณปู่? ตลกดีเหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นปู่แมวว่ะ

   “งั้นขอนึกก่อน”

   ผมใช้ตะเกียบคีบหมูที่อยู่ในเตาขึ้นมากิน ระหว่างที่เคี้ยวก็ใช้ความคิดไปด้วย ส่วนคนตรงหน้ามองกันอยู่สักพัก เมื่อพบว่าผมไม่พูดอะไรออกมาสักที เจ้าตัวก็กินต่อ 

   เป่าเป้ย ลูกชื่อ เป่าเปากับชิงชิง ก็เข้ากับแม่ งั้นอีกสองตัวก็ต้องตั้งให้เข้ากับไอ้ตูม

   “มะระ”

   “ฮะ?”

   คนที่กำลังกินอยู่ชะงักไปทันที แล้วทำหน้าตกใจใส่กัน ส่วนผมก็พูดสิ่งที่คิดอยู่ต่อไป

   “มะยม”

   “นะ...นั่นชื่อแมวเหรอ?”

   “มะดัน”

   “หนักเลย....”

   “มะนาวมั้ย?”

   “อันนี้ไม่ค่อยแย่”

   “แล้วมะดันแย่เหรอ?”

   “จริงๆ มันก็แย่ตั้งแต่มะตูมแล้วอะนะ”

   เห็นสีหน้าคนพูดผมก็รีบแก้ตัวทันที   

   “มะตูมนี่ผมไม่ได้ตั้งนะคุณ มันชื่อนี้ของมันอยู่แล้ว?”

   “อ้าว เจ้าของเก่าตั้งไว้เหรอ?”

   “จะว่าเจ้าของเก่าก็ใช่ครึ่งไม่ใช่ครึ่ง มันเคยเป็นแมวร้านเหล้ามาก่อน เนี่ย...พอเริ่มพูดก็รู้เลยวว่าต้องขายหน้าแน่”

   “อ้าว...”

   “คือมันเคยอยู่ร้านเหล้าที่พวกผมไปประจำสมัยเรียน แล้วตอนเลี้ยงฉลองหลังรับปริญญาอะ ผมกับเพื่อนเมาล่ะมั้ง ก็ต้องเมาแหละ... แล้วเจ้าของร้านก็เมาด้วย พี่แกก็เลยให้ไอ้ตูมกับพวกผมมาเป็นของขวัญรับปริญญา”

   ฟังสิ่งที่ผมเล่าจบ คุณไป๋เค้าก็ตาค้างไปแล้ว

   “....”

   “แล้ววันต่อมา ผมกับเพื่อนก็เอามันไปคืนที่ร้านเหล้า”

   “มีการเอาไปคืนด้วย...”

   “แต่พี่เจ้าของร้านบอกให้ผมเอาไปเลี้ยงเหอะ  ปล่อยไว้ที่ร้านสักวันมันก็คงโดนทับรถตาย”

   “คุณก็เลยเลี้ยงมะตูมตั้งแต่วันนั้น”

   “ใช่...”

   “คือ... ผมก็อยู่ในกลุ่มคนเลี้ยงแมว กลุ่มช่วยเหลือแมวในเฟสบุ๊กอะไรอย่างเงี้ยอะนะ แต่รู้มั้ย ไม่เคยมีใครเริ่มเลี้ยงแมวเพราะเมาแล้วอุ้มกลับมาจากร้านเหล้าโดยไม่รู้ตัวเลย”

   “เฮ้ย เพื่อนผมยังเคยเมาแล้วเอากรวยจราจรกลับมาที่ห้องเลย”

   “กรวยจราจรเนี่ยนะ?!”

   เขาดูตกใจมาก บอกตามตรงว่าวันแรกที่ตื่นนอนแล้วเห็นกรวยจราจรวางอยู่ในหอพักของเพื่อน ผมเองก็ตกใจไม่เบาเหมือนกัน

   “อือ อันใหญ่กว่าไอ้ตูมอีก”

   “สรุป ที่เค้าพูดกันว่าเด็กสถาปัตย์เถื่อนเนี่ย เรื่องจริงใช่มั้ย?”

   “แค่เก็บของกลับบ้านเอง ไม่เห็นเถื่อนเลยคุณ”

   ผมพูดเองยังเกือบหลุดขำ ก็ไม่คิดหรอกว่าไอ้ที่เป็นกันอยู่กับเพื่อนจะจำกัดความได้ด้วยคำว่า ‘เถื่อน’ ถ้าไม่มีใครมาบอกแบบนี้

   “แต่เก็บสิ่งมีชีวิตกับกรวยจราจรเลยนะ”

   “เหอะน่า ตอนนี้มะตูมก็มีความสุขดีเห็นปะ แฟนสวยด้วย”

   “แล้วกรวยจราจรอะ?”

   “เอาไปคืนแล้ว กรวยจราจรเลี้ยงไม่ได้เก็บไว้ทำไม”

   “มันไม่ใช่ตั้งแต่เก็บกลับมาแล้วมั้ยอะ”

   ผมถึงกับหลุดขำออกมากับสีหน้าและคำตอบที่ได้ยิน ก่อนจะสรุปให้

   “สรุปลูกแมวชื่อมะยมกับมะนาวนะ มะระกับมะดันไม่ผ่านถูกมั้ย?”

   คนฟังพยักหน้ารับ แบบที่สีหน้าแสดงออกชัดเจนเลย ว่าอันที่จริงมันก็ไม่ผ่านทั้ง มะยม มะนาว แล้วก็มะระ มะดันนั่นแหละ
   หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยกันหลายต่อหลายเรื่อง และสิ่งนึงที่ผมพูดออกไปก็คือ

   “แปลกดีนะคุณ เรารู้จักกันตั้งหลายวันแล้ว แต่เจอหน้าทีไรก็พูดเรื่องแมวกันตลอดเลย มีวันนี้นี่แหละที่ได้พูดเรื่องคนบ้าง”
   คุณไป๋เค้ายิ้มรับคำพูดนั้น แล้วตอบกลับมาสั้นๆ พร้อมรอยยิ้ม

   “นั่นสิ”

- to be continued -
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-01-2020 19:03:26 โดย kipuuu »

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :mew6:   :mew4:   :mew2:

ออฟไลน์ AeAng11

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 528
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เดี๋ยวมาอ่านนะคะทำงานแป๊บมาให้กำลังใจกันก่อน

ออฟไลน์ ป้าหมีโคตรขี้เกียจ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
เอ๊ะะะะะ กรวยจราจรนี่นึกว่ามีแต่เพื่อนเราที่เอากลับมา ตอนนั้นเพื่อนบอกว่าอะไรก็จำไม่ได้คือเมากันทั้งแก๊งแต่ไม่มีใครห้ามใคร น่าจะเพราะประมวลผลแล้วเห็นด้วยกับเพื่อนมัน พอเช้ามานี่งงกันหมดว่าทำไมมีกรวยจราจรอยู่กลางห้อง คือแบบบ เอามาทำม๊ายยยย  :z3:

ของหยิบฉวยอื่นๆมีประปราย บ่อยสุดคือที่คีบน้ำแข็ง เพราะเอาซ่อนคนชง ชงเก่ง ชงได้ชงดีทางนี้เมาหัวทิ่มแล้ว พอเช้ามาก็จะ เอ่ออออ ในเป๋ามีที่คีบน้ำแข็งได้ไง

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
สนิทกันได้เพราะแมวเหมียว..วววววว    :mew1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ระหว่างที่พูดนี่ผมก็ขยับเอาห้องคลอดของปลาทูเข้าไปวางไว้ตรงมุม///
ปลาทูมาจากไหน

เอ็นดูทาสแมวเขาคุยกัน ต่อไปนี้ก็เป็นญาติกันแล้วนะ จะมีหลานร่วมกันแล้วนี่

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
มีเรื่องคุยกันเยอะเลย  :heaven

ออฟไลน์ Kfc_Pizza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-1

ออฟไลน์ kipuuu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-0

- 04 -

        ยิ่งใกล้วันคลอดเป่าเป้ยผมก็ยิ่งตื่นเต้น รู้สึกเหมือนกำลังจะคลอดลูกเองยังไงก็ไม่รู้ เมื่อวันศุกร์ที่แล้วหมอบอกว่าอีกประมาณ 1 สัปดาห์เป่าเป้ยจะคลอด แล้ววันนี้ก็ครบ 1 สัปดาห์พอดี

   ที่ตื่นเต้นพอกันคือพวกลุงไอ้ตูม พวกมันถึงกับบอกให้ผมวีดีโอคอลระหว่างที่แมวคลอดลูก บอกตามตรงว่าผมไม่กล้ารับปาก เพราะไม่เคยช่วยทำคลอดแมวมาก่อนในชีวิต เลยไม่รู้ว่าสถานการณ์มันจะเป็นยังไง วุ่นวายมากมั้ย

   พอลองถามคุณไป๋ดูว่ามันจะวุ่นวายมากไหน เลยได้คำตอบว่าเจ้าตัวก็ไม่เคยทำคลอดแมวเหมือนกัน 

   ก่อนหน้านี้เขาเคยเลี้ยงแมวมาบ้างตอนที่อยู่บ้านกับแม่ แต่ก็เป็นแมวไทย และจับทุกตัวทำหมันทันทีที่ถึงวัย เพื่อไม่ให้มีลูก เป่าเป้ยเป็นแมวพันธุ์ตัวแรกที่เขาเลี้ยง และจะเป็นแม่แมวตัวแรกที่เขาช่วยทำคลอดให้

   สรุปว่าเราสองคนต่างก็มือใหม่กันทั้งคู่

   คุณไป๋น่ะมือใหม่ ส่วนผม มือใหม่กว่า...

   ดังนั้น ช่วงสองสามวันมานี่ สิ่งที่เราสองคนทำคือการแชร์คลิปแมวคลอดลูกให้กันไปมาเพื่อเตรียมตัว และครั้งแรกที่ผมไอ้ดูคลิปการคลอดลูกของแมว ขอบอกเลยว่า อยากจะเป็นลม เลือดกระฉูดอยางกับดูหนังเรื่อง SAW

   ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็น ซึ่งปกติผมควรได้กลับบ้านแล้ว ถ้าไม่ทำโอทีหรือมีงานติดพัน ปัญหาคือวันนี้ดันไม่ปกติ เพราะลูกค้าขอเลื่อนเวลานัดจากบ่าย 3 มาเป็น 5 โมงเย็น ผมก็เลยต้องมานั่งจ๋องอยู่ที่ร้านกาแฟ

   หูกับสมองน่ะรับรู้สิ่งที่ลูกค้าพูดอยู่หรอก แต่สายตาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่โทรศัพท์เป็นระยะ ด้วยความกังวลว่าจะมีข้อความประมาณ ‘เป้ยคลอดแล้วคุณ’ อะไรทำนองนั้นส่งมา โชคดีที่โทรศัพท์ผมไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จนกระทั่งคุยงานเสร็จเรียบร้อย

   ออกจากร้านกาแฟมา อุปสรรคต่อไปก็คือเย็นวันศุกร์ที่รถโคตรติด กว่าผมจะถึงบ้านก็สองทุ่มไปแล้ว หลังจากส่งข้อความไปถามอีกคนว่าเป่าเป้ยเป็นไงบ้าง และได้คำตอบมาว่าสบายดี ไม่มีอะไร ผมก็ตัดสินใจแวะกินข้าวเย็นที่ตามสั่งหน้าหมู่บ้าน หิวจะแย่แล้ว

   หลังเอารถเข้าบ้านเรียบร้อยก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความเป็นอันดับแรก
   
   ‘ถึงบ้านละคุณ’
   ‘เหมือนไปออกรบมาเลย’


   ‘เพิ่งเอารถเข้าบ้านไม่ใช่เหรอ’
   ‘ทำไมไม่เดินมาคุยเนี่ย’

   ‘โอเคๆ เดี๋ยวไปคร้าบ’


   ผมลงจากรถ เห็นไอ้ตูมมานั่งรออยู่หน้าประตูบ้านเลยแวะไปลูบหัว แล้วอุ้มเดินต่อไปที่กำแพงบ้านข้างๆ พร้อมกับที่อีกคนออกมาหากันพอดี ใส่แว่นอยู่แบบนี้แสดงว่ากำลังทำงาน เขาส่งยิ้มมาให้ พร้อมกับที่ผมถามออกไป

   “เป็นไงบ้างคุณ?”

   “ยังไม่คลอดหรอก แต่วันนี้ก็เข้ามาอ้อนเยอะกว่าปกติ”

   “เฮ้อ ผมกังวลทั้งวันเลยคุณ ลูกค้าก็มาเลื่อนนัดอีก”

   “ไม่มีอะไรหรอก เข้ามาดูเป้ยก่อนมั้ย”

   “โอเค”

   แล้วผมก็เดินออกจากบ้านตัวเอง ส่วนเขาก็ไปเปิดประตูบ้านรอ พอเข้ามาข้างในก็เจอเป่าเป้ยนอนตะแคงอวดพุงกับนมสีชมพูระเรื่อ ภาพตรงหน้าทำเอาผมถึงกับหลุดขำ ปล่อยไอ้ตูมลงกับพื้นแล้วก็เดินไปลูบหัวแม่แมวเบาๆ พร้อมกับที่อีกคนพูดขึ้น

   “นอนท่านี้ทั้งวันเลย สงสัยอึดอัด”

   “ติดพุงแหละ”

   “ไม่รู้สิ น่าจะมั้ง”

   ระหว่างที่ผมคุยกับคุณไป๋ที่ยืนอยู่ เป่าเป้ยก็ลุกขึ้น กระโดดลงจากโซฟา เดินเข้าไปในห้องคลอดที่เตรียมไว้ให้ ก่อนเสียงเล็บตะกุยกับพื้นจะตามมา ได้ยินอย่างนั้นทั้งผมและคนตรงหน้าก็มองหน้ากัน แล้วรีบเดินไปหยุดหน้าห้องคลอดทันที

   เป่าเป้ยตะกุยพื้นเหมือนกำลังขุดอะไรสักอย่างอยู่สักพัก ก่อนจะก็หยุด แล้วก็ทิ้งตัวนอนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนผมต้องหันไปสบตากับคนข้างๆ เราต่างขมวดคิ้วทำหน้างงใส่กัน

   คุณไป๋ถอนหายใจออกมา ก่อนจะถามผม

   “คุณคิดว่าเมื่อกี๊เป้ยทำอะไร?”

   “คุ้ยเล่นมั้ย แบบ...แก้เบื่อ”

   ได้ยินอย่างนั้นเขาก็ถอนหายใจอีกรอบ แล้วบ่นต่อ

   “เฮ้อ...ป๊าจะพยายามเข้าใจเป้ยแล้วกันนะ”

   สักพักไอ้ตูมก็เดินมาร่วมวงกับพวกผม ทำเป็นดมโน่นดมนี่แล้วก็โดดเข้าห้องคลอดไปอีกตัว ก่อนจะไปกอดเป่าเป้ยแล้วก็เลียหัวเลียแก้มให้อยู่นั่น

   สุดท้ายก็จบลงที่สวีตหวานแหววตามเคย ผมล่ะเหนื่อยใจกับแมว

   “คุณว่าคืนนี้จะคลอดมั้ย?”

   คำตอบคือการส่ายหน้า ตามมาด้วยคำอธิบาย

   “น่าจะยัง แต่ผมว่าคืนนี้จะลงมานอนข้างล่าง”

   “ก็ดีนะคุณ เผื่ออะไรฉุกเฉิน”

   เรานั่งคุยกันต่ออีกหน่อย เรื่องทั่วไป อย่างงานของผมวันนี้ จนถึงเรื่องที่พวกเพื่อนๆ ตื่นเต้นขนาดไหนที่แมวคนอื่นจะคลอดลูก เขาเองก็กังวลจนแทบไม่ได้ทำงานเหมือนกัน ผมได้รู้เพิ่มว่าตอนแรกคุณแม่ของอีกฝ่ายตั้งใจจะมาอยู่ด้วยช่วงที่เป้ยคลอด แต่ก็ติดธุระเรื่องงานต้องไปต่างจังหวัด

   จนกระทั่งสี่ทุ่มกว่า ผมก็หิ้วไอ้ตูมกลับบ้าน อาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน พอขึ้นไปบนห้องก็อดไม่ได้ที่จะเปิดผ้าม่านมองออกไปยังบ้านหลังข้างๆ และเห็นว่าคุณไป๋กำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เหมือนทุกวัน แต่วันนี้ปิดหน้าต่างเรียบร้อยแบบที่พอเดาได้ว่าคงเปิดแอร์

   ผมเลยหยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความไป
   
   ‘มองออกมานอกหน้าต่างหน่อยคุณ’

   อ่านข้อความของผมแล้ว เขาก็ลุกขึ้นมายืนตรงหน้าต่างพร้อมกับโบกมือให้กัน เห็นอย่างนั้นผมก็เปิดกระจกฝั่งตัวเอง แล้วก็ทำมือเป็นท่าทางให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าให้ทำอย่างเดียวกัน พอเห็นคนที่อยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ชะโงกตัวออกมาผมก็พูดต่อ

   “พรุ่งนี้กินมื้อเช้าด้วยกันมั้ยคุณ”

   “ร้านเดิมเหรอ?”

   “ก็ได้”

   คำตอบคือการที่คนฟังยกมือขึ้นมาทำเป็นสัญลักษณ์ ‘ok’ ก่อนผมจะพูดต่อ

   “พักผ่อนด้วย อย่ากังวลเรื่องแมวจนไม่นอนล่ะ”

   “โอเค เดี๋ยวก็นอนละ”

   “บ๊ายบาย”

   พออีกฝ่ายโบกมือกลับมา พร้อมปิดหน้าต่างเข้า ผมก็ปิดหน้าต่างบ้านตัวเองแล้วก็เข้านอนบ้าง


,
[มีต่อหน้า 2 นะคะ]


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด