__เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสุดท้าย__[28/03/63]  (อ่าน 11532 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :กอด1: ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
 :pig4:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ระวังตัวดีมาก

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งแปด__[16/02/63]
«ตอบ #34 เมื่อ16-02-2020 19:40:39 »


กาลครั้งแปด



            ‘มาห้องพี่มั้ย เดี๋ยวทำอะไรให้กิน’

            เพราะข้อความที่ส่งไปชวนเมื่อวาน ทำให้วันนี้ไอ้ดื้อกลับมาเยือนห้องผมอีกครั้ง

            กำลังจะก้าวเข้าสู่สัปดาห์ที่สามแล้วหลังจากที่เราได้เริ่มทำความรู้จักกันใหม่ เป็นการสานความสัมพันธ์ที่แสนราบเรียบไม่มีอะไรหวือหวา ลองนับครั้งที่ได้เจอกันดูแล้ว ห้องผมก็ดูจะเป็นสถานที่ยอดนิยมไม่ต่างจากในอดีต เพราะไม่ว่าจะนัดกันไปไหนก็มักจะกลับมาตายรังที่นี่ทุกครั้ง

            วันนี้ผมตื่นแต่เช้า ออกจากบ้านแวะห้างฯ ซื้อวัตถุดิบก่อนมาหอ ตั้งแต่ปิดเทอมผมยังไม่ได้ลงมือทำอาหารเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้ง ล่าสุดที่ทำคือแซนวิชง่ายๆ ตอนพาไอ้ดื้อมาห้องครั้งแรก ตอนนั้นโม้ไปด้วยว่าทำอาหารเป็น จนวันนี้ได้เวลาที่ต้องพิสูจน์

            บ่ายโมงตามเวลานัดไอ้ดื้อก็มาถึง ก่อนหน้านี้ผมเสนอว่าจะไปรับ แต่พอบอกไปว่าจะนั่งแท็กซี่ไปก็โดนปฏิเสธทันที สุดท้ายเลยตกลงกันว่าต่างคนต่างมา เป็นแบบนี้แล้วผมยิ่งคิดถึงรถที่ลิขิตมันเอาไป เพราะไม่มีรถโอกาสที่จะได้สร้างความทรงจำเวลาได้ไปส่งไอ้ดื้อที่บ้านเลยหายไปด้วย แม้ในอดีตความทรงจำแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลยก็ตาม

            "ให้ช่วยอะไรมั้ย" ไอ้ดื้อเพิ่งมาถึง วางของเสร็จก็เดินเข้ามาถามตอนผมกำลังจัดโต๊ะพอดี

            "ไปนั่งรอไป"

            "น่ากินนะเนี่ย"

            "เหมือนที่ส่งมาให้ดูมั้ย"

            "เหมือน"

            ข้าวไข่ข้นกุ้งเป็นเมนูที่ไอ้ดื้อขอมา ตอนผมทักไปอีกฝ่ายก็ตื่นเต้นรีบตอบตกลง พอถามว่าอยากกินอะไรก็เสนอเมนูนี้มา โดยให้เหตุผลว่าเห็นเพื่อนโพสต์ในเฟซบุ๊กแล้วอยากกินตาม

            "ของพี่กับของเพื่อนอันไหนน่ากินกว่ากัน"

            "ถ้าตอบไม่ถูกใจจะอดกินมั้ย"

            "อันนี้ก็ไม่รู้" ผมยักไหล่ คนที่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่เมื่อครู่เลยรีบยิ้มกว้างให้

            "ของพี่กาลอยู่แล้ว"

            "รู้เลยว่ากลัวอดกิน"

            "ยังไงก็ต้องได้กินอยู่แล้วมั้ยอ่ะมาหาถึงที่ขนาดนี้ แต่เมื่อกี้ชมแค่หน้าตานะ รสชาติต้องรอชิมก่อน" พูดไปยิ้มไปแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป

            "ถ้าลงก็แท็กมาด้วย"

            ไอ้ดื้อเหลือบมองแล้วไม่ตอบอะไร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตอนกดถ่าย เปลี่ยนอยู่หลายมุมจนผมเคลียร์ของในครัวเสร็จ ถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้แล้วเชิญนั่ง อีกฝ่ายถึงได้ยอมวางมือถือเปลี่ยนมาจับช้อนส้อมแทน

            สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดสำหรับคนทำอาหารคือปฏิกิริยาตอบรับจากคนกิน มือผมจับช้อนแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่คนตรงหน้า ไอ้ดื้อเองก็รู้ว่าผมกำลังรออะไรถึงได้ทำตัวลีลาตักกินโดยไม่พูดอะไรสักคำ ไหนจะสีหน้านิ่งๆ นั่นอีก

            "จะไม่วิจารณ์หน่อยเหรอ" สุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน

            "อร่อยดี"

            "แค่นี้"

            "ผมไม่ใช่นักวิจารณ์อาหารนะครับ จะให้วิจารณ์เยอะๆ เป็นเรื่องเป็นราวได้ไง บอกได้แค่อร่อยกับไม่อร่อยแค่นี้แหละ" กวนไม่หยุดเลยไอ้เด็กคนนี้

            "แล้วชอบไม่ชอบ"

            "ชอบดิ ทุกอย่างที่พี่กาลทำให้ก็ชอบหมดนั่นแหละ" สบตาได้ครู่เดียวก็ก้มหน้าเขี่ยข้าวในจาน ยังเก่งไม่จริงเหมือนเดิม

            คำว่าชอบคำเดียวแค่นี้ก็สามารถทำให้ผมยิ้มแก้มแตก เป็นความทรงจำดีๆ ที่ครั้งอดีตผมไม่เคยนึกอยากทำ จนสงสัยว่าเพราะอะไรกันนะ ทั้งที่ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันคนตรงหน้าผมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แล้วทำไมถึงไม่รักให้เร็วกว่านี้ ทำไมถึงได้รู้สึกตัวเมื่อสาย ทำไมถึงไม่เคยสร้างเรื่องราวดีๆ เก็บไว้ในความทรงจำบ้าง

            "พี่กาล"

            ผมสบตาคนเรียกเพื่อถามกลับ รอยยิ้มที่แต่งแต้มบนหน้าดื้อๆ เมื่อครู่นี้หายไป มือที่จับช้อนส้อมก็หยุดขยับ

            "เป็นอะไรอยู่ดีๆ ก็ทำหน้าเศร้า"

            "เปล่า" ผมปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ไม่คิดว่าแค่นึกถึงความผิดพลาดในอดีตชั่วขณะจะเผลอแสดงสีหน้าออกไปแบบนั้น

            "ถามได้มั้ยว่าคิดอะไรอยู่" น้ำเสียงที่ถามเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

            เรื่องที่ไอ้ดื้ออยากรู้ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากบอก แต่มันเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถบอกได้ ถึงบอกไปก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะยอมเชื่อ

            "ช่วงนี้ฝันอะไรแปลกๆ อีกมั้ย" เรื่องเป็นกังวลที่ผมพอจะนึกออกในตอนนี้ก็มีแค่เรื่องเดียว

            "ไม่นะ ก็บอกแล้วไงครับว่าถ้าฝันจะบอก"

            "อืม"

            "ทำไมอยู่ๆ คิดเรื่องนี้"

            "เพราะที่ห้องนี้เป็นสถานที่เกิดเหตุมั้ง"

            "โหพี่กาล รอบที่แล้วก็มาดันไม่คิด มาคิดอะไรตอนนี้"

            "ลืม"

            "ได้เหรอ"

            "ได้มั้ง ได้ดิ"

            เจอผมถามเองตอบเองไอ้ดื้อก็ส่ายหน้าใส่แล้วเริ่มกินต่อ พยายามทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับบทสนทนาก่อนหน้านี้แต่กลับซ่อนหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงนั่นไม่ได้ เรื่องความฝันนั้นแม้จะพูดถึงโดยไม่ได้ลงรายละเอียดก็ชวนให้รู้สึกเขินทุกที ผมว่าน้องต้องคิดบ้างล่ะว่ามีสิทธิ์ที่จะเกิดเหตุการณ์แบบในฝันขึ้นได้

            หลังจากกินกันจนเกลี้ยงเราก็ช่วยกันเคลียร์โต๊ะ ผมเก็บจาน ไอ้ดื้อเก็บแก้ว แล้วก็ไม่รู้ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ชอบมีปัญหากับแก้วน้ำนัก เจอกันครั้งแรกทำหกใส่ผม ส่วนรอบนี้ทำหกใส่ตัวเอง โชคดีที่แก้วไม่แตก

            "ไม่ระวัง"

            "ขอโทษ มือปัดโดนอ่ะ" บอกหน้าง้ำหน้างอรับผ้าจากผมไปเช็ดโต๊ะ แก้วที่หกเหลือน้ำอยู่ครึ่งแก้ว แถมยังเป็นโคล่าเหมือนวันนั้นด้วย แก้วล้มตรงขอบโต๊ะตอนไอ้ดื้อเอื้อมมาหยิบแก้วผมแล้วตอนดึงมือกลับดันชนแก้วตัวเอง น้ำทั้งหมดเลยหกใส่เจ้าของแก้วที่ยังนั่งอยู่เต็มๆ

            "วางไว้เลยเดี๋ยวพี่เก็บเอง ไปหาเสื้อผ้าเปลี่ยนไป"

            "เสื้อผ้าที่ไหนอ่ะ"

            "เปิดหาในตู้เอา หยิบมาใส่ได้ทุกตัวนั่นแหละ"

            "ห้องพี่กาลเหรอ"

            "ก็ห้องพี่ไง หรืออยากเข้าห้องลิขิต"

            "ไม่ใช่ หมายถึงเจ้าของห้องต้องเข้าไปด้วยดิครับ ใครจะกล้าเข้าไปค้นคนเดียว"

            "อนุญาตแล้วนี่ไง เข้าไปก่อน เดี๋ยวพี่ตามเข้าไป" บอกไว้แค่นี้ก่อนยกของทั้งหมดไปวางไว้ในอ่างล้างจาน หันกลับมาอีกทีไอ้ดื้อยังนั่งอยู่ที่เดิม

            ไม่รู้เกรงใจผมหรือเพราะกลัวอะไรกันแน่ ทั้งที่คราวก่อนก็เคยมานอนกลางวันแล้วแท้ๆ

            เข้ามาในห้องแล้วไอ้ดื้อก็เอาแต่ยืนหลบหลังผม ทำตัวเป็นเด็กดีไม่แตะข้าวของอะไรสักอย่าง ผมเปิดตู้เสื้อผ้าหาชุดที่น้องพอจะใส่ได้ ขนาดตัวเราไม่ได้ต่างกันมาก แต่เอวไอ้ดื้อน่าจะเล็กกว่าผมอยู่พอสมควร

            "ใส่กางเกงวอร์มก็ได้นะ" เสียงจากข้างหลังทักขึ้นตอนผมเปิดเจอกางเกงวอร์มอาดิดาสสีดำ

            "เสื้อตัวนี้แล้วกัน" ผมหยิบเสื้อยืดสีขาวอีกตัวออกมาให้

            "ถ้างั้นอาบน้ำเลยได้มั้ย มันเหนียวอ่ะ"

            "ตามสบายเลย"

            ผมเอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่พับวางไว้บนชั้นด้านบนลงมา แต่ผ้าผืนนี้ดันเกี่ยวกล่องบางอย่างลงมาด้วย เราก้มลงมองพร้อมกัน เห็นกล่องสีเทาที่ไม่ได้ใช้บริการมันมาพักใหญ่แล้วก็เผลอถอนหายใจออกมา ช่างเลือกจังหวะการตกได้ดีจริงๆ

            ก้มลงเก็บกล่องถุงยางโยนกลับเข้าไปในตู้ ผมจำไม่ได้ว่าทำไมถึงเก็บมันไว้บนนั้น อาจจะเป็นช่วงที่ต้องเก็บของตอนขี้เกียจ เห็นตรงไหนว่างก็ยัดๆ เอาไว้ อีกอย่างไอ้กล่องนี้ผมยังไม่เคยเปิดใช้เลยสักครั้ง ซื้อเก็บไว้ตอนไปเที่ยว แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้ไปต่อที่ไหนกับใคร เป็นแบบนี้มาเกือบปีได้แล้ว

            "ปกติเขาเก็บถุงยางไว้ในตู้เสื้อผ้ากันเหรอ" ไม่รู้ว่าถามจริงหรือเล่น ไอ้ดื้อยังทิ้งสายตาไว้ยังกล่องสีเทาที่ผมโยนเข้าตู้ไปเมื่อครู่นี้ เป็นสายตาที่ผมเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายไม่ออก

            "ปกติเราเก็บที่ไหนล่ะ"

            "หัวเตียง ไม่ก็กระเป๋าสตางค์มั้ง"

            "พกเหมือนกันเหรอ"

            "เปล่า"

            "พี่ไม่ได้ใช้มันมานานแล้ว"

            "เหรอ"

            "ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ"

            "จริงๆ มันก็คงไม่แปลกสำหรับพี่"

            "ทำไมคิดแบบนี้"

            ในอดีตชื่อเสียงผมไม่ค่อยดีนัก เที่ยวบ่อย คุยกับคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย ไอ้ดื้อเองก็น่าจะรู้ดี แต่คงไม่รู้ว่าผมเลิกนิสัยแบบนั้นมานานแล้ว

            "พี่ทำอะไรให้เราไม่เชื่อใจเหรอ"

            "เปล่าครับ ขอโทษ" ตอบกลับมาเสียงอ่อย

            ผมปิดตู้เสื้อผ้า มองคนที่เอาแต่หลบตา ไม่อยากให้ความรู้สึกอึดอัดเกิดขึ้นระหว่างเรา คิดอะไรอยู่ในใจ ไม่พอใจหรือขุ่นเคืองกันตรงไหน เคลียร์ให้รู้เรื่องไปเลยย่อมดีกว่า

            "เอิร์ธ"

            "ครับ"

            "คิดอะไรอยู่บอกพี่ได้มั้ย"

            "เปล่าครับ ไม่ได้คิดอะไร"

            "เอิร์ธ"

            "ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ พี่กาลจะทำอะไรมันก็สิทธิ์ของพี่นั่นแหละ จะนอนกับใครผมก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม"

            "เราคิดว่าพี่นอนกับคนอื่นเหรอ"

            "ไม่งั้นจะพกถุงยางไว้ทำไมล่ะครับ"

            อาการแบบนี้เรียกว่าหวง หวงแบบคนที่ตีตราตัวเองไว้ว่าเป็นคนไม่มีสิทธิ์แต่ก็ยังจะหวง ผมดีใจนะที่โดนหวง แต่ครั้งนี้ไอ้ดื้อดูจะไร้เหตุผลไปหน่อย เห็นๆ อยู่ว่ากล่องมันยังไม่ได้เปิดใช้ เที่ยวกลางคืนผมก็ไม่ได้ออก ตามเด็กดื้อต้อยๆ ทั้งวัน ทักไปคุยสามเวลาหลังอาหาร จะเอาเวลาไหนไปนอนกับคนอื่น

            "พี่แค่ซื้อเก็บไว้ไง ยังไม่ได้ใช้"

            "แต่ก็ตั้งใจจะใช้"

            "ก็ใช่ ไม่คิดว่าพี่อยากใช้กับเราบ้างเหรอ"

            คนที่กำลังจะอ้างปากเถียงต่อเงียบกริบทันที ใจผมไม่ได้อยากพูดแบบนี้ แต่มันอดไม่ไหวจริงๆ

            "เราชอบพี่มั้ย"

            "ถามทำไม"

            "ตอบ"

            "ก็...ชอบ"

            "งั้นเป็นแฟนกันมั้ย"

            "เดี๋ยวพี่"

            ไม่ใช่แค่ไอ้ดื้อที่ตกใจ ผมยังตกใจตัวเองที่ถามออกไปแบบนั้น เพราะถูกกระตุ้นด้วยคำว่า ‘สิทธิ์’ ที่ไอ้ดื้อยกมาพูดก่อนหน้านี้ และเกิดความกลัวที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่ถูกรักเหมือนในอดีตอีกครั้ง

            "เอิร์ธชอบพี่ พี่ก็ชอบเอิร์ธ ก็คบกันไปเลย"

            "แต่เราเพิ่งรู้จักกัน"

            "เวลามันไม่สำคัญเลยเอิร์ธ"

            "พี่ยังรู้จักผมไม่ดีพอหรอก เชื่อสิ"

            "พี่รู้จักเอิร์ธมากกว่าที่เอิร์ธคิดอีก" ผมไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ แต่บรรยากาศตอนนี้มันดูเหมือนกับว่าเรากำลังทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

            "พี่จะมารู้จักผมดีได้ไง"

            เป็นคำถามที่ผมไม่สามารถตอบให้อีกฝ่ายฟังได้ แต่พอถูกถามแบบนี้อยู่ๆ มันก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมา เพราะผมรู้ รู้ดีทุกอย่างเกี่ยวกับคนตรงหน้า มันอึดอัดที่ไม่สามารถบอกสิ่งที่อยากบอกออกไปได้ แม้กระทั่งคำว่าชอบยังถูกมองว่าเร็วไปด้วยซ้ำ

            "ไปอาบน้ำเถอะ" ยื่นผ้าเช็ดตัวให้ก่อนดันหลังให้น้องเดินออกจากห้อง ฝืนคุยตอนอารมณ์ไม่ปกติไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา

            บรรยากาศดีๆ ที่สร้างไว้มันพังหมดแล้ว

           

            ประตูห้องน้ำเปิดออกตอนผมล้างจานเสร็จพอดี เวลาหลายนาทีช่วยให้ใจเย็นลงและคิดทบทวนอะไรได้บ้าง เราเงียบใส่กันชั่วครู่ ก่อนผมจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากบอก

            "เอาเสื้อผ้าใส่ตะกร้าไว้ก็ได้ เดี๋ยวพี่ซักให้"

            "ผมเอากลับบ้านดีกว่า ส่วนชุดนี้เดี๋ยวซักแล้วเอามาคืน"

            "ทิ้งไว้ที่นี่แหละ เดี๋ยวก็ได้กลับมาใส่"

            ไอ้ดื้อขมวดคิ้วใส่ ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องน้ำเมื่อยังหาข้อตกลงเรื่องชุดไม่ได้ ผมเลยต้องช่วยขยายความให้เข้าใจกว่าเดิม

            "ทิ้งชุดไว้ที่นี่บ้างก็ได้ ต่อไปคงได้มาบ่อยๆ"

            "ใครจะมาบ่อยๆ"

            "ใส่ไว้ในตะกร้าเลย" ผมบุ้ยปากออกคำสั่ง

            สุดท้ายคนที่ทำท่าเหมือนจะไม่ยอมในทีแรกก็โยนชุดลงตะกร้าผ้า ทำเป็นถามกลับว่า 'ใครจะมาบ่อยๆ' ขนาดเจอกันแค่สองอาทิตย์ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่ไอ้ดื้อมาห้องผม แม้จะไม่ได้มานอนค้างก็ตาม

            "คุยกันหน่อยมั้ย" เอ่ยถามออกไป อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ

            เราเดินมาจากคนละฝั่งห้องแล้วหยุดที่โซฟา นั่งลงแล้วปล่อยให้ห้องตกอยู่ในความเงียบสักพัก ผมกำลังคิดว่าควรจะเริ่มพูดยังไง ผมอยากรู้ความคิดของไอ้ดื้อ อยากเข้าใจทุกอย่าง อยากอธิบายในส่วนที่น้องกำลังเข้าใจผิด แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะให้ความร่วมมือมากแค่ไหน

            ดูเหมือนจะเป็นคนเปิดเผย แต่กับบางเรื่องกลับเก็บเอาไว้ในใจเก่งนัก

            "พี่ขอโทษ"

            "ผมก็ขอโทษเหมือนกัน"

            "บอกพี่มาตามตรงเลยนะ ตอนนี้เอิร์ธคิดว่าพี่แค่คุยเล่นๆ กับเอิร์ธหรือเปล่า" ผมไม่ได้โกรธ แต่น้ำเสียงนิ่งๆ ที่ใช้ถามกลับเปลี่ยนสีหน้าของเด็กดื้อข้างๆ ให้หงอได้

            "ก็คิดนิดหน่อย"

            "ทำไมถึงคิดแบบนั้น เพราะแค่เห็นถุงยาง"

            "ไม่ใช่ แต่ด้วยความเป็นพี่กาลไง พี่ดังนะ หลายคนก็ชอบพี่ แล้วทำไมพี่ถึงมาคุยกับผมล่ะ พี่อาจจะคุยเล่นกับทุกคนก็ได้ พอคิดว่าพี่คงพาคนอื่นๆ มานอนที่ห้องนี้ด้วยมันก็เลย..." ไอ้ดื้อไม่พูดต่อ แต่ความรู้สึกนั้นเดาได้ไม่ยากนัก ความรู้สึกที่รู้ว่าคนที่ชอบพาใครอีกคนมานอนที่ห้อง เป็นผมก็คงจุกเอาเรื่องเหมือนกัน

            "ไปขุดประวัติพี่มาเหรอ"

            "ไม่ต้องขุดก็พอจะรู้อยู่ ใครๆ ก็พูดกัน"

            "เอิร์ธฟังนะ ชื่อเสียงพี่อาจจะไม่ค่อยดี แต่ตั้งแต่ที่เราเจอกันพี่ดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ"

            ได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบ เพราะมันไม่มีอยู่แล้วเรื่องเหลวไหลทั้งหลายที่ผมเคยทำ แต่อดีตที่สร้างไว้ย่อมไม่เปลี่ยน ใครๆ เขาก็พูดกันว่าเหนือกาลน่ะเจ้าชู้ชอบเที่ยว ต่างกับเหนือลิขิตคนพี่ที่ดูเป็นผู้ชายอบอุ่น

            "หรือเพราะความฝัน"

            รอบนี้ไอ้ดื้อไม่รีบแย้ง นั่งก้มหน้ามองมือตัวเองอยู่อย่างนั้น

            "คิดว่าพี่จะเป็นเหมือนในฝันเราใช่มั้ย เพราะมันดูเหมือนตัวตนจริงๆ ของพี่มากกว่า"

            "ครับ ก็คิด" ในฝันน้องบอกว่าผมไม่รัก เจอข่าวลือไม่ดีกับไอ้กล่องถุงยางที่ตกมาไม่รู้เวล่ำเวลานั่นเข้าไปคงไขว้เขว

            "มันก็แค่ความฝันนะเอิร์ธ" เป็นประโยคที่ผมรู้สึกกระดากปากที่สุดเมื่อพูดมัน อยู่ๆ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีกครั้ง กลัวความฝันที่เคยเป็นความจริง

            "ไม่รู้ดิ ผมรู้สึกเหมือนมันเป็นฝันบอกเหตุ"

            "ยังไง"

            เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มพูดคุยที่ไอ้ดื้อเงยหน้าขึ้นมาสบตา แววตาคู่นั้นสั่นไหว ดูหวาดกลัวไม่ต่างจากผม

            "ที่จริงก่อนเจอพี่กาลผมก็ฝัน ฝันว่าเจอพี่ที่ร้านข้าว ผมทำน้ำหกใส่ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ พอมาฝันถึงพี่แบบนี้อีกครั้ง ผมก็คิดว่ามันมีสิทธิ์เป็นจริงได้ไม่ใช่เหรอ"

            "ทำไมถึงไม่เล่าเรื่องนี้ให้พี่ฟัง" ผมเกือบเผลอขึ้นเสียง เมื่อสิ่งที่กลัวอาจจะกำลังเกิดขึ้นจริงๆ

            ฝันร้ายของผมไม่ได้หายไป มันแค่เปลี่ยนเป้าหมาย ย้ายไปหาคนที่เหมือนเพิ่งตื่นจากความตาย เรื่องที่ผมต้องแก้ไขในครั้งนี้มันไม่ง่ายเลย

            คิ้วผมขมวดแน่น รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าเครียดแค่ไหน เด็กดื้อตรงหน้าก็ไม่ต่างกันนัก

            "ที่ไม่บอกเพราะผมไม่เชื่อไง พี่กาลคนที่ผมเจอกับในความฝันไม่เห็นเหมือนกันเลยสักนิด มันก็แค่ความฝัน ผมพยายามคิดตามที่พี่เคยบอก แต่มันก็ยังเชื่อไม่สนิทใจอยู่ดี"

            ผมจับมือไอ้ดื้อเอาไว้ อยากมอบทั้งกำลังใจและหากำลังใจให้ตัวเอง การเปลี่ยนความคิดคนเป็นเรื่องยาก ความเชื่อใจต่างแลกมาด้วยการพิสูจน์ แต่สำหรับบางคน แม้จะพิสูจน์ยังไงก็อาจจะไม่ได้รับความเชื่อใจกลับมา

            "เชื่อต่อไปว่ามันเป็นแค่ความฝัน เพราะเรื่องจริงพี่จะเป็นคนทำให้เราเชื่อแบบสนิทใจเอง"

            ริมฝีปากที่เคยเหยียดตรงมอบรอยยิ้มบางๆ กลับมาเมื่อผมยิ้มให้ ผมบีบมืออีกฝ่ายแน่น แม้จะยากแค่ไหนก็จะพิสูจน์ ไม่มีทางที่เรื่องราวครั้งใหม่นี้จะจบลงเหมือนเดิมอีกแน่ คนคนนี้ไม่ใช่เหนือกาลที่รู้ใจตัวเองเมื่อสาย ไม่ใช่เด็กดื้อคนที่รักข้างเดียวอีกต่อไป

            "แต่จริงๆ พี่กาลไม่จำเป็นต้องทำอะไรก็ได้นะ ผมเป็นคนเข้ามาเอง ผม..."

            "รู้ใช่มั้ยว่าไม่ใช่เอิร์ธคนเดียวที่รู้สึก" ก่อนที่ไอ้เด็กดื้อจอมคิดมากจะพูดมากไปกว่านี้ผมก็ขัดขึ้น ขยับเข้าไปใกล้แล้วถามย้ำอีกครั้งในสิ่งที่เคยถามไปแล้ว

            "รู้"

            "ถ้ารู้ก็อย่าพูดแบบนี้อีก เราเป็นฝ่ายเดินเข้าหากัน ไม่ใช่เอิร์ธเดินเข้าหาพี่ฝ่ายเดียว เข้าใจใช่มั้ย"

            "เข้าใจแล้ว" บอกแล้วน้องก็ดันตัวผมออก

            "ไอ้ดื้อเอ้ย" เห็นหน้าดื้อๆ แล้วนึกมันเขี้ยวจนอดไม่ไหวต้องยีผมสีเทาเล่น แต่ผมแข็งกระด้างเป็นบ้า

            "พี่กาล" ไอ้ดื้อยอมให้เล่นผมจนพอใจก่อนจะเรียก เห็นหูที่กลายเป็นสีแดงแล้วแสดงว่าตั้งใจจะพูดอะไรที่ทำให้ตัวเองเขินอีกแน่ๆ

            "อะไร"

            "ไม่เอาอ่ะ ไม่พูดดีกว่า"

            "เฮ้ย ได้ไง บอกมา" ผมดึงไหล่คนที่หันหลังหนีให้หันหน้ากลับมา เล่นมาทำให้อยากรู้แล้วแบบนี้ไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก

            "ไม่มีอะไร"

            "เอิร์ธ"

            "ไม่พูดแล้ว"

            ไอ้ดื้อลุกหนี ผมเลยดึงตัวกลับมานั่งตักแล้วล็อกเอาไว้ แต่ถึงลุกหนีได้ยังไงก็ไปไหนไม่รอดอยู่ดี เพราะที่นี่มันห้องผม

            "เมื่อกี้จะพูดอะไร"

            "ไม่อยากบอกแล้ว"

            "บอกมา" ถามดีๆ ไม่ยอมบอกก็ต้องใช้กำลัง ผมจับแขนไอ้ดื้อไพล่หลังแล้วกดลงกับโซฟา ก้มตัวตาลงไปแล้วพูดข้างหู อยากจะงับแก้มสักทีสองที แต่ได้แค่งับหูแบบเฉียดๆ เพราะน้องมันดิ้น

            "บอกแล้วๆ" ต่อสู้กันจนเริ่มเหนื่อยไอ้ดื้อก็ยอมแพ้ ผมปล่อยตัวให้น้องกลับมานั่งดีๆ ช่วยจัดผมเผ้าที่กระเซิงไปหมด

            "บอกมาเลยเร็วๆ"

            "ก็แค่จะบอกว่าพี่กาลน่ะมีสิทธิ์ในตัวผมนะ แล้วก็ถุงยางอ่ะ" พูดมาถึงต้องนี้แล้วก็เงียบ ผมก็ลุ้นตาม

            "ถุงยางทำไม"

            "ที่บอกว่าอยากใช้กับผม"

            "..."

            "อนุญาตให้ใช้ได้นะ"

            ไม่ได้แปลกใจที่สุดแต่ก็ทำเอาช็อกไปชั่วครู่ ไม่ว่าจะเอิร์ธในอดีตหรือปัจจุบันยังไงก็คือคนเดียวกัน คนที่ยอมให้ผมได้ทุกอย่าง เพียงแต่เอิร์ธคนในอดีตไม่พูดออกมาตรงๆ แบบนี้ก็เท่านั้น

            "เนี่ย ไม่น่าพูดเลย" โวยวายแล้วก็ทำท่างอแงปิดหน้าปิดตา มันไม่ทันแล้วไอ้ดื้อเอ๊ย

            ผมไม่แซวเอาแต่นั่งขำ ไม่อยากทำตัวเหมือนคนอยากได้แม้ความจริงจะคิดถึงจนอยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากคนคนนี้ก็ตาม



tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งแปด__[16/02/63]
«ตอบ #35 เมื่อ16-02-2020 20:50:28 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

สิ่งที่ไอ้ดื้อฝัน  มันคือเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีตก่อนที่เหนือกาลจะย้อนเวลากลับมาหรือเปล่า?

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งแปด__[16/02/63]
«ตอบ #36 เมื่อ17-02-2020 22:20:19 »

 :katai1: โอ้ยยยยยยย...เครียดเด้

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งเก้า


                ขิลิตกลับมาแล้ว ถึงบ้านตอนฟ้ามืดของเมื่อวาน ผมเผลอหลับไปตั้งแต่ทุ่มกว่าเลยไม่รู้เรื่อง รู้อีกทีก็ตอนตื่นลงไปกินข้าวเช้า เห็นของฝากวางกองอยู่เต็มโต๊ะ แต่ก็ดีใจไม่เท่าตอนเห็นรถตัวเองจอดอยู่ ในที่สุดก็ได้ลูกรักกลับคืนสู่อ้อมอกสักที

                เรื่องนี้ต้องรีบอวด

                ‘อยากไปเที่ยวไหนมั้ยครับน้อง’

                ถ่ายรูปลูกรักส่งให้คนที่อยากไปรับไปส่งมานานแต่ไม่มีโอกาส ไอ้ดื้อเงียบหายยังไม่มีท่าทีว่าจะตอบกลับมาแสดงว่ายังไม่ตื่น

                วันนี้เป็นวันอาทิตย์ นานแล้วที่ครอบครัวเราไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ ลิขิตที่เพิ่งกลับมาก็เอาแต่พูดเรื่องที่บ้านสวน ผมเลยบ่นเรื่องที่ไม่มีรถใช้บ้าง สุดท้ายเลยปิดประเด็นบนโต๊ะอาหารว่าพ่อกับแม่จะพาลิขิตไปดูรถวันนี้ ส่วนผมก็ใช้ลูกรักคันเดิมต่อไป

                สิ้นสุดช่วงเวลาของครอบครัวกับมื้อเช้าผมก็ขึ้นห้อง ตั้งใจว่าจะเปิดหนังดูระหว่างรอไอ้ดื้อตอบ แต่ยังไม่ทันเลือกหนังได้แจ้งเตือนก็ดัง

                ‘ได้รถคืนแล้วเหรอ ดีใจด้วย’

                ผมหยิบมือถือมาอ่านแล้วกระโดดขึ้นเตียง นอกจากข้อความตอบกลับแล้วไอ้ดื้อยังรัวเลขห้ามาอีกหลายตัว ดีใจกับผมได้จริงใจมาก

                ‘ลิขิตมันกลับมาเมื่อคืน วันนี้พ่อจะพามันไปดูรถใหม่แล้ว อยากไปเที่ยวไหนมั้ย อยากขับรถไปรับ’

                ‘จะให้ไปเที่ยวไหนอีก’

                ‘ไปไหนก็ได้ อยากขับรถ ไม่ได้ขับนานเดี๋ยวลืม’

                ‘อะไรมันจะขนาดนั้นพี่กาล’

                แล้วไอ้ดื้อก็รัวเลขห้ามาไม่เลิก

                จริงอยู่ที่ผมอาจจะเวอร์เกินไปหน่อย แต่ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ไม่มีรถใช้สำหรับคนที่ขับรถไปไหนมาไหนตลอดอย่างผมเนี่ยมันโคตรลำบาก ที่สำคัญเลยคือไปรับไปส่งไอ้ดื้อไม่ได้

                ‘ไปเถอะ อยากเจอ’

                ‘ออกทุกวันเลย แม่ไม่ว่าเหรอ’

                ‘โตแล้วครับ เราก็โตแล้วแม่ไม่ว่าหรอก’

                ‘สรุปแทนกันเฉย’

                ‘เอิร์ธไม่อยากเจอพี่เหรอ’

                ‘เปล่าครับ’

                ‘งั้นก็คิดมาเลยว่าอยากไปไหน’

                แทนที่จะได้ชื่อสถานที่กลับได้เลขห้ารัวมาเต็มหน้าแชตอีกรอบ มันจะขำอะไรขนาดนั้น ก็แค่คนเห่อรถคันเก่าอยากพาไปเที่ยวเนี่ย

                ‘อยากไปคาเฟ่แมว’

                ‘ถามจริงๆ เลยนะ’

                แกล้งแน่ๆ ไม่ต้องสืบ รู้ว่าผมกลัวแมวแต่ดันอยากไปคาเฟ่แมว รู้ว่าผมไม่มีทางไปแน่ๆ เลยเสนอมา ไอ้เด็กนี่มันแสบใช่เล่นที่ไหน

                ‘ผมชอบแมวมากเลยนะรู้เปล่า’

                ‘เพิ่งรู้นี่แหละ’

                ถ้าไม่ได้แกล้งกันอีกรอบถือว่าเป็นข้อมูลใหม่ที่ผมได้รู้ ในอดีตเราไม่เคยพูดถึงเรื่องสัตว์เลี้ยง ผมไม่เคยเห็นไอ้ดื้ออยู่กับสัตว์เลย พวกหมาแมวก็ไม่เคยเห็นเข้าไปเล่น เพราะงั้นเลยไม่รู้ว่าที่บอกว่าชอบแมวเนี่ยแค่อยากแกล้งผมเล่นหรือชอบจริงๆ

                ‘แต่ถ้าอยากไปพี่ไปส่งหน้าร้านก็ได้’

                เป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่รู้ที่ไอ้ดื้อรัวเลขห้ากลับมา ผมว่าน้องน่าจะยิ้มกับความอยากขับรถของผมจริงๆ ไม่ใช่พิมพ์ห้าแต่หน้านิ่ง

                ‘อยากขับรถขนาดนั้นเลยเหรอ’

                ‘อยากพาเด็กไปเที่ยว’

                ‘งั้นไปไหนดี อยุธยามั้ย นั่งรถไฟ แล้วไปเช่าจักรยาน’

                ‘แล้วพี่จะได้ขับรถตรงไหน’

                ไอ้ดื้อดูจะชอบใจที่ได้แหย่ผมเล่น ผมเองก็เต็มใจเป็นต้นเหตุของเสียงหัวเราะให้อีกฝ่ายเหมือนกัน นึกแล้วก็อยากโทรไปคุย อยากรู้ว่าจะหัวเราะจริงมั้ย อยากได้ยินเสียงแหลมๆ เวลาน้องหัวเราะดังๆ

                ‘โทรไปนะ’

                บอกแล้วก็กดโทร และเสียงแรกที่ผมได้ยินก็คือเสียงหัวเราะที่อยากฟัง เสียงที่ในอดีตน้อยครั้งจะได้ยิน

                "หัวเราะเหนื่อยมั้ย"

                [จะขาดใจเพราะพี่กาลเลยเนี่ย เหมือนเด็กเห่อของเลย]

                "ก็แค่อยากขับรถ"

                [งั้นไปทริปแบบไปเช้าเย็นกลับมั้ย พัทยา นครนายก]

                "ไกลไป"

                [เอ้า ไหนบอกอยากขับรถไง พี่กาลสับสนอะไรกับตัวเองหรือเปล่า]

                "เอาใกล้ๆ หน่อย" มันสายแล้วผมขี้เกียจเตรียมตัว อย่างน้อยก็ต้องวางแผนว่าจะไปไหนอะไรยังไงบ้าง วันอาทิตย์คนออกเที่ยวเยอะ ขากลับเข้าเมืองรถติดแน่ๆ

                [งั้นอยู่บ้านเถอะ]

                "ก็ได้นะ พี่ชอบทำกิจกรรมที่บ้าน"

                [แล้วจะได้ขับรถเหรอ]

                "งั้นไปห้องพี่แล้วกัน"

                ไอ้ดื้อหัวเราะอีกรอบ มันเป็นแผนแบบไม่เนียนของผมที่จะชวนอีกฝ่ายไปใช้เวลาด้วยกันที่หอ หรือไม่ก็อยู่ด้วยกันที่ไหนสักที่ กินข้าวดูหนัง ทำอะไรง่ายๆ และใช้เวลาอยู่ด้วยกันไปจนหมดวัน

                [เออพี่กาล พรุ่งนี้เพื่อนนัดกินเหล้านะ ฉลองปีใหม่ บอกเฉยๆ] เรื่องเก่ายังไม่ทันได้ข้อสรุปไอ้ดื้อก็เปิดประเด็นใหม่เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ เป็นประโยคบอกเล่าที่ทำเอายิ้มกว้าง เห็นทั้งความดื้อและความน่ารักที่สื่อผ่านมาในประโยคนี้

                "ยังไม่ปีใหม่เลย"

                [ก็กินก่อนหนึ่งวัน วันปีใหม่ต้องอยู่กับครอบครัวไง]

                "แล้วไปยังไง พี่ไปส่งมั้ย"

                [ไม่เป็นไรครับ ใกล้ๆ]

                "ขากลับล่ะ นอนที่ไหน อยู่ดึกหรือเปล่า"

                [มาเป็นชุดเลย]

                "ก็ห่วง รำคาญมั้ย"

                [ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย อาจจะนอนบ้านเพื่อนมั้งนะ ถ้ากลับไม่ไหว]

                "พี่ไปรับได้นะ"

                [จะไปเฝ้าเหรอ]

                "ให้ไปมั้ยล่ะ"

                [อย่าเลย]

                "ถ้างั้นขากลับเดี๋ยวพี่ไปรับ"

                [ตามใจพี่กาลเลย]

                ไอ้ดื้อตอนแอลกอฮอล์เข้าปากค่อนข้างน่าห่วง จากที่แสบอยู่แล้วความแสบจะเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า ความกล้าก็เช่นกัน

                "กลับกี่โมงก็บอกนะ"

                [ครับ แล้วเดี๋ยวนี้พี่กาลไม่ไปเที่ยวบ้างเหรอ]

                "นานๆ ที ปีสามงานเยอะ"

                [ฉลองปีใหม่อ่ะ]

                "เพื่อนยังไม่นัดเลย ถ้าไปเฝ้าเด็กก็น่าไปอยู่"

                [อย่ามาเลย หวง]

                "แต่ถึงไปก็ไม่พาใครกลับมาด้วยหรอก จริงๆ"

                ช่วงสัปดาห์ที่สองที่รู้จักกันผมเจอน้องที่ร้านเหล้า เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงเลยง่ายต่อการต่อรอง จากนั้นความสัมพันธ์ที่ผมให้ค่าอีกฝ่ายเพียงแค่ร่างกายก็เริ่มต้นขึ้น ครั้งนี้ผมเลยไม่อยากให้มันจบเหมือนเดิม และจะไม่ปล่อยให้น้องมีความคิดเหมือนในอดีตเด็ดขาด

                "สรุปวันนี้ไม่อยากเจอพี่จริงดิ" จบช่วงโฆษณาผมก็ดึงกลับมาที่ประเด็นเดิม

                [ขี้เกียจออกอ่ะ]

                "เดี๋ยวไปรับไง"

                [ขี้เกียจอาบน้ำด้วย]

                "มันจะขี้เกียจอะไรขนาดนั้น"

                [ก็มันคือวันอาทิตย์]

                จะเถียงว่าปิดเทอมก็เท่ากับว่ามีวันหยุดทุกวันก็ไม่ได้เพราะผมชวนไอ้ดื้อออกจากบ้านแทบทุกวัน อีกฝ่ายอยากพักแต่ผมอยากเจอ แล้วก็จะเจอให้ได้ด้วย

                "งั้นขอไปเล่นที่บ้านได้มั้ย"

                [จะมาจริงอ่ะ]

                "ให้ไปมั้ยล่ะ"

                ปลายสายเงียบไปคงจะคิดหนักน่าดู วันอาทิตย์แบบนี้แม่น้องคงอยู่บ้าน แถมความประทับใจแรกที่มีต่อผมน่าจะติดลบซะด้วย แต่วันนั้นผมฝ่ายไอ้ดื้อไปแก้ตัวให้แล้ว คิดว่าแม่น่าจะเข้าใจว่าผมมาดี

                [จะมาก็แล้วแต่พี่กาลเลย]

                ละแล้วก็ได้คำตอบที่ผมไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน

                "อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเจอกันครับ"



                ปิดคอมฯ คว้ากระลงมาข้างล่างก็เจอลิขิตนั่งอยู่หน้าทีวีแต่ตามองจอมือถือ มันหันมองตอนผมเดินไปหยิบกุญแจรถ ละความสนใจจากมือถือชั่วครู่แล้วโยนคำถามมาให้

                "จะไปไหนวะ"

                "ไปหาเอิรธ์"

                "เรื่องแปลกประหลาดของมึงอ่ะนะ"

                "อืม"

                ถ้าคนอื่นได้ยินคำว่าเรื่องแปลกประหลาดคงรู้สึกไม่ดีนัก แต่เหมือนบ้านเราจะใช้คำนี้กันจนชินไปแล้ว เพราะเรื่องแปลกประหลาดที่ว่านั้นไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่คือปัญหาที่ต้องแก้ไขให้มันดีขึ้นเท่านั้น

                "พามาบ้านดิ"

                "เดี๋ยวกูก็พามาเองแหละ ทีมึงยังไม่พาพุดมาบ้านเลย"

                "ก่อนไปบ้านสวนก็พามาแล้วไง"

                "พ่อไม่อยู่ไม่นับ" แถมมันยังพามาไม่ถึงชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ

                "เออ เร็วๆ นี้แหละ"

                หลังจากคุยกับพ่อผมก็พอเดาได้ว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของเรื่องนั้นคืออะไร พ่อเคยบอกให้พาเรื่องแปลกประลาดของผมมาหาพ่อถ้ามันจบลงแล้ว ลิขิตก็พูดแบบเดียวกันอีก บวกกับเหตุการณ์ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ สรุปก็คือแม่เองก็เคยเป็นเรื่องแปลกประหลาดของพ่อ ส่วนพุดตานก็คือเรื่องแปลกประหลาดของลิขิต สิ่งที่ต้องแก้ไขมาพร้อมคู่ชีวิต

                "อยากเห็นหน้าเด็กมึงว่ะ" มันพูดต่อ

                ตอนเห็นหน้าพุดตานครั้งแรกผมโคตรตกใจ ลิขิตเองก็ตกใจไม่ต่างกันเพราะมันเคยเจอไอ้ดื้อมาก่อน แต่ด้วยเรื่องราวประหลาดบ้าๆ นี้กลับทำให้มันลืม

                "ก็เหมือนพุดนั่นแหละ เหมือนกว่าฝาแฝดอย่างเราอีก"

                "คนที่ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดแต่หน้าเหมือนกันก็มีเยอะแยะ"

                "แล้วก็ดันมาเป็นแฟนมึงกับกูด้วยนะ"

                "พูดงี้ ได้เป็นแล้วเหรอแฟน"

                "เดี๋ยวก็เป็น"

                ลิขิตยิ้มขำ ผมอยากจำได้จริงๆ ว่าเรื่องระหว่างมันกับพุดตานเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่มันก็ปิดปากเงียบไม่ยอมเล่า ในความทรงจำที่ผมมีอยู่เรื่องราวของคู่นี้ดูเหมือนคู่รักปกติทั่วไป ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้แน่ๆ

                "หรือรอเรื่องมึงจบก่อนดีวะ แล้วพามาพร้อมกัน"

                "จะพามาก็มาพา กูยังไม่รู้เลยมันจะจบเมื่อไร"

                "ประเด็นนี้โคตรเข้าใจ เพราะตอนนั้นกูงงมาก"

                "เพราะงั้นมึงควรเล่าเรื่องของมึงให้กูฟังอย่างละเอียดไง จะได้เอามาเป็นแนวทาง"

                "ถ้าเรื่องมันอยากให้มึงรู้ความทรงจำมึงคงไม่หายไปหรอก อีกอย่างกว่ากูจะหาทางแก้ได้แม่งโคตรลำบาก พ่อกับอาพิทักษ์ไม่มีใครบอกรายละเอียดกับกูสักคน เพราะงั้นมึงก็สู้ๆ นะ"

                "ขอบใจ" ทำหน้าประชดใส่มันแต่ผมก็เข้าใจมันนะ ถ้าอยากให้จำได้อะไรบางอย่างคงไม่ทำให้ผมลืม เพราะเรื่องในอดีตของผมกับไอ้ดื้อก็ไม่มีใครจำได้นอกจากผม

                "แล้วมึงจะกลับมากี่โมง"

                "ยังไม่รู้ว่ะ แล้วพ่อกับแม่อ่ะ"

                "อยู่หลังบ้าน"

                "งั้นฝากบอกด้วยแล้วกัน"

                "บอกว่ามึงไปหาแฟน"

                "เออ จะบอกว่าไงก็บอกไปเถอะ ไปละ"

                มันยกมือทำสัญลักษณ์โอเคผมก็เดินออกมา กดปลดล็อกรถแล้วปากมันก็ยิ้มขึ้นมาเอง ดีใจที่ได้รถกลับมา แต่ดีใจมากกว่าที่จะขับรถไปหาไอ้ดื้อที่บ้านสักที

               

                ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอ้ดื้อถึงยอมให้ผมมาหาที่บ้านง่ายนัก คำตอบคือพ่อกับแม่น้องไปหาญาติที่อยุธยา กว่าจะกลับมาถึงคงดึกๆ ทิ้งลูกชายแสนขี้เกียจให้อยู่เฝ้าบ้าน เพราะเจ้าตัวนั่นแหละที่ไม่อยากไปเอง

                ระหว่างขับรถมาผมเตรียมใจไว้แล้วกับการเจอหน้าพ่อแม่อีกฝ่าย มารู้แบบนี้มันก็โล่งใจขึ้นมานิดหน่อย แต่ถ้าให้คุยกันตรงๆ ผมเองก็ไม่มีปัญหา พร้อมนำเสนอตัวเองว่าผมคนนี้พร้อมจะดูแลลูกชายของพ่อกับแม่แค่ไหน

                "แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่ทีแรกว่าไม่มีใครอยู่บ้าน"

                "บอกก็ไม่สนุกดิ" ตอบด้วยรอยยิ้มแสนร้ายกาจ เพราะแบบนี้ไงถึงได้เป็นไอ้เด็กดื้อ

                "พี่ก็กังวลไปดิ"

                "กังวลทำไม ผมเคยบอกแม่เรื่องพี่แล้ว ก็เข้าใจแล้วว่าเป็นรุ่นพี่ที่มหา'ลัย แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ"

                "บอกไปแค่นั้นเองเหรอ"

                "แล้วอยากให้บอกว่ายังไง"

                "เป็นรุ่นพี่ที่เอิร์ธชอบด้วยครับแม่ ต้องบอกแบบนี้"

                "งั้นพี่กาลคงไม่ได้มาบ้านนี้อีกเลย" รู้ใจตัวเองแล้วไม่เคยปฏิเสธว่าไม่ชอบหรือโวยวายแก้เขินกลบเกลื่อน เป็นความซื่อตรงของไอ้ดื้อที่ผมรับรู้มาตลอด

                "แม่หวงขนาดนั้นเลย"

                "ก็ขนาดนั้นแหละ"

                "ขี้โม้ว่ะ" ยีผมสีม่วงอมชมพูด้วยความมันเขี้ยว

                เรื่องนี้โกหกผมไม่ได้หรอก แม่ไอ้ดื้อไม่ใช่คนขี้หวงไร้เหตุผลและปิดกั้นขนาดนั้น หลังเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นที่ผมสามารถมาหาน้องที่บ้านได้ทุกสัปดาห์เพราะแม่รับรู้ทุกอย่างว่าผมเป็นใครอยู่ในสถานะไหน เพียงแต่ตอนนี้ทุกเรื่องราวมันถูกลบออกไปจากความทรงจำหมดแล้ว

                เราปักหลักกันอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่น ภายในบ้านดูต่างออกไปจากครั้งล่าสุดที่ผมมาเมื่อเกือบสามสัปดาห์ก่อน พื้นที่เล็กๆ ติดหน้าต่างด้านขวามือ มันเคยถูกกั้นเป็นห้องผู้ป่วย บนเตียงที่มีร่างผอมแห้งนอนไม่ได้สติ ภาพที่สร้างความทุกข์ทรมานให้ผมนั้นยังติดตา

                "พี่กาลไม่อยากเปลี่ยนสีผมบ้างเหรอ" คำถามจากคนข้างๆ เรียกให้ผมละสายตาจากที่ตรงนั้น ไอ้ดื้อกำลังจัดทรงผมที่ผมยีจนยุ่งให้เข้าที่ แววตาช่างสงสัยนั้นมองมาที่ผม

                "ไม่รู้จะทำสีอะไร" ตอบพลางเหลือบตามองหน้าม้าสีน้ำตาลที่ยาวจนต้องปัดไปด้านข้าง นานแล้วที่ไม่ได้เปลี่ยนสีผม

                "ลองทำสีสว่างๆ ดิ บลอนด์ทอง"

                "เคยทำแล้ว"

                "งั้นสีชมพู"

                "ต้องกัดสีผมอีก กลัวผมเสียจนร่วงหมดหัวเหมือนเด็กแถวนี้" มองคนหัวม่วงข้างๆ ที่ผมเหมือนไม่ใช่ของจริง

                "เวอร์ไปพี่กาล บำรุงมันอยู่เถอะ ไม่นุ่มขึ้นบ้างเหรอ"

                "ไม่" ตอบจากใจจริง เคยสากยังไงตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น

                "งั้นก็ช่างมันเถอะ" ตอบปัดแบบไม่สนใจก่อนจะเปิดเข้าไอจีของผม เลื่อนดูรูปเก่าๆ ที่ลงไว้ สีผมก็มีหลากหลายเฉดสีให้ดูเช่นกัน

                "ยังไม่เคยทำสีชมพูเลยนี่" แล้วไอ้ดื้อก็พาวนกลับมาที่สีชมพู

                "พักเรื่องสีผมก่อนเถอะ แล้วนี่ไม่มีอย่างอื่นให้ทำเหรอ" ผมชวนเปลี่ยนเรื่อง เห็นรีโมตวางอยู่ข้างๆ เลยหยิบขึ้นมากดเปลี่ยนช่องทีวีที่เปิดทิ้งไว้

                "พี่กาลอยากทำอะไรอ่ะ"

                "ไม่รู้"

                "วันหยุดก็ต้องนอนแหละ" ไอ้ดื้อเลิกสนใจเรื่องสีผม กดล็อกมือถือวางไว้ข้างตัว เปลี่ยนมามองผมที่กำลังไล่กดเปลี่ยนช่องหาสิ่งน่าสนใจดูไปเรื่อยๆ

                "เราจะนอนอย่างเดียวไม่ได้หรือเปล่า"

                กับประโยคที่เพิ่งพูดออกไปตัวผมไม่ได้คิดอะไร แค่อยากบอกว่าเราควรหากิจกรรมอย่างอื่นทำนอกจากการนอก แต่เพราะไอ้ดื้อมองแปลกๆ มันก็เอยอดคิดถึงเรื่องลึกซึ้งขึ้นมาไม่ได้

                "พี่หมายถึงดูหนัง ทำกับข้าว ทำสวน เราคิดอะไร"

                "เปล่า"

                "ไม่คิดเลยเนอะ คนที่เคยบอกว่าใช้ถุงยางกับผมได้เนี่ย"

                "จำเก่ง" แยกเขี้ยวใส่ผมแล้วหันหน้าหนี เป็นประโยคที่ผมจำได้ขึ้นใจสุดๆ ไปเลย

                "สรุปจะทำอะไร" แล้วผมก็ย้อนกลับมาที่คำถาม

                "ผมขี้เกียจอ่ะ อยากอยู่เฉยๆ ไม่ก็นอน พี่กาลอยากทำอะไรก็ทำไปเลย ดูหนังก็ได้ ทำกับข้าวเล่นก็ได้ ในตู้เย็นน่าจะพอมีของให้ทำอยู่"

                "ใครมันจะบ้าทำกับข้าวเล่น"

                "ก็เสนอไง"

                "งั้นเอิร์ธก็ไปนอนเถอะ"

                "เอ้า แล้วพี่กาลอ่ะ"

                "จริงๆ ก็แค่อยากมาอยู่ด้วยเฉยๆ"

                เด็กดื้อข้างๆ หลบตาแล้วอมยิ้ม แม้จะรู้สึกเลี่ยนตัวเองหน่อยๆ แต่เป็นปกติของผมอยู่แล้วที่จะพูดอะไรทำนองนี้กับชอบที่ชอบ อยากให้อีกฝ่ายรับรู้และมั่นใจในตัวผม

                "ถ้าผมหนีไปนอนพี่กาลจะไม่เบื่อเอาเหรอ" ถามแล้วหันมาสบตาแล้วก็เบือนหนีอย่างรวดเร็ว

                "อยู่ด้วยกันพี่ไม่เบื่อหรอก นอนกลางวันที่ห้องพี่ก็เคยมาแล้วไง ได้เปลี่ยนสถานที่บ้างก็ดี"

                "พอพูดแบบนี้ชักเริ่มรู้สึกไม่ง่วงแล้ว โดนจ้องตอนนอนหลับไม่ลงแน่ๆ"

                หลังจากปล่อยให้ไอ้ดื้อหัวเราะใส่มาตั้งแต่เช้าตอนนี้ถึงตาผมหัวเราะบ้าง เรื่องที่ผมพอจะเอาคืนได้ก็มีแค่ทำให้อีกฝ่ายเขินจนหน้าแดงหูแดงแค่นั้น เขินกันมายาวๆ ตั้งแต่ประเด็น ‘นอนอย่างเดียวไม่ได้’ ก่อนหน้านี้

                "เอิร์ธ"

                "ครับ"

                สารภาพตามตรงว่าทนไม่ไหว ผมขยับเข้าใกล้กว่าเดิมตอนน้องหันมาตอบ หน้าเราอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่เซนติเมตร อีกฝ่ายไม่ขยับหนี เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยกลัว ไม่เคยต่อต้าน ไม่ตั้งรับก็พุ่งเข้าชน เป็นนิสัยที่ชวนติดอกติดใจตั้งแต่อดีต

                จูบแรกหลังจากได้ทำความรู้จักกันอีกครั้ง รสสัมผัสที่คุ้นเคยยิ่งชวนให้โหยหา คิดถึงจนเกินจะควบคุม การตอบรับที่รู้ใจชวนให้สติยิ่งล่องลอย ไม่อาจหยุดสัมผัส ไม่อยากให้ช่วงเวลานี้ผ่านเลยไป

                "พี่กาล"

                มีจังหวะให้พักหายใจสติผมก็ถูกดึงกลับคืนมา ริมฝีปากเรายังคลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง ในตำแหน่งท่าทางที่ชวนให้สานต่อ

                ผมกดจูบเบาๆ อีกทีก่อนลุกขึ้นนั่ง ดึงมืออกจากเสื้อคนที่กำลังดันตัวลุกขึ้นตาม เสียงเรียกนั้นผมรู้ดีว่าไอ้ดื้อไม่ได้ห้าม มันเป็นเพียงคำที่พูดออกมาตามอารมณ์ ชื่อของผมที่อีกฝ่ายชอบเรียกยามเราร่วมรักกัน

                "อายุแค่นี้ก็เอาแค่นี้ไปก่อนแล้วกัน" พูดดักไว้ก่อนกลัวไอ้ดื้อคิดมาก ผมไม่ได้อยากหยุด แต่ด้วยสถานที่กับเวลามันยังไม่สมควร

                "อายุแค่นี้อะไร สิบเก้าแล้วเถอะ" เด็กดื้อขยับปากมุบมิบเถียงไม่เลิก ทั้งเจ่อทั้งแดงลอยเด่นอยู่ตรงหน้าจนอยากจะจับจูบอีกสักรอบ

                "ไปนอนกลางวันไป"

                "นอนไม่หลับแล้ว"

                "เดี๋ยวพาไปนอน"

                กดปิดทีวีล็อกตัวเจ้าของบ้านพาขึ้นห้องนอน ผมทำเป็นไม่รู้ทางบังคับให้ไอ้ดื้อบอก เข้าห้องมาได้ก็เปิดแอร์ปิดไฟ เด็กขี้เกียจอยากนอนกลางวันก็ให้นอน ปากบ่นว่าจะนอนหลับได้ไงแต่ผมชวนคุยได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีก็หลับปุ๋ย ปล่อยให้ผมพูดคนเดียวอยู่นานสองนอน

                ลูบผมสีม่วงอมชมพูที่สากเหมือนไม้กวาดดอกหญ้าเล่นไปพลางมองหน้าคนหลับไปพลาง ขนาดตอนหลับยังดูดื้อ เป็นเด็กดื้อที่มีความน่ารักเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ความรู้สึกอุ่นใจที่มีอยู่ตอนนี้ มันบอกได้ว่าผมไม่ต้องการสิ่งอื่นแล้วจริงๆ นอกจากการมีคนคนนี้อยู่ข้างๆ

                ขอเพียงแค่ตื่นขึ้นมาในทุกเช้ายังได้ยินเสียงหัวเราะ ยังได้เห็นรอยยิ้ม ยังสามารถพูดคุยกันได้

                ขอให้ฝันร้ายเป็นเพียงฝันร้าย ขอเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว


tbc.


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
 :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งเก้า__[18/02/63]
« ตอบ #39 เมื่อ: 19-02-2020 07:02:14 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ไม่ใช่แค่กาลที่เปลี่ยน  :hao5:

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบ__[23/02/63]
«ตอบ #41 เมื่อ23-02-2020 17:58:48 »

กาลครั้งสิบ



'ถึงร้านแล้วนะ'

ผมรีบกดเข้าไปดูเมื่อเห็นแจ้งเตือนเด้งบนหน้าจอ เด็กดื้อรายงานตัวตามที่ผมขอ จากนั้นก็แค่รอเวลาที่อีกฝ่ายจะโทรให้ไปรับตามที่ตกลงกันไว้ ระหว่างรอผมนอนฟังเพลงเฝ้าไอจีสลับกับเฟซบุ๊กเผื่อว่าจะมีการอัพเดตสถานการณ์บ้าง แต่ไทม์ไลน์ไอ้ดื้อกลับเงียบกริบเหมือนกำลังนอนหลับฝันดีอยู่ที่บ้าน

ส่องไอ้ดื้อไม่ได้ก็เข้าไปส่องเพื่อนน้องแทน ผมสุ่มเอาจากคนที่เคยเจอที่อีกฝ่ายติดตามไว้ เพื่อนคนหนึ่งลงไอจีสตอรี่ถ่ายบรรยากาศรอบโต๊ะไว้เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เห็นเอิร์ธติดเข้ามาในเฟรมเสี้ยววินาที มือจับแก้วตามองเวที คล้ายกำลังดื่มด่ำกับเสียงเพลง ละความสนใจจากผู้คนรอบตัวที่กำลังโยกตัวไปตามจังหวะดนตรี

กดแคปรูปในสตอรี่นั้นไว้แล้วส่งไลน์ไปหา ถามสั้นๆ ว่าเมาหรือยัง ไม่ได้อยากก่อกวนช่วงเวลาผ่อนคลาย แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าอยู่รอเฉยๆ แล้วมันเหงา

พูดถึงร้านเหล้ากับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ดื้อแล้วต้องย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นเพิ่งเริ่มเข้าสัปดาห์ที่สองที่เรารู้จักกัน ผมเจอไอ้ดื้อกับเพื่อนที่ร้านนี้ อีกฝ่ายในสายตาผมเป็นเพียงไอ้เด็กแสบคนหนึ่ง โต๊ะเราอยู่ไม่ห่างกันนัก หันไปทีไรก็บังเอิญสบตาตลอด แล้วอีกฝ่ายก็หันหนีทันที ทำให้ผมนึกสนุกและอยากรู้ว่าไอ้เด็กที่ชอบผมคนนี้จะให้ในสิ่งที่ผมต้องการได้สักแค่ไหน

เริ่มดึก แต่ละคนเริ่มเมาได้ที่ ผมไม่ได้ดื่มเยอะเพราะต้องขับรถกลับเอง และอีกหนึ่งแผนการในหัวที่อยากพาใครสักคนกลับห้องด้วยกัน

จังหวะเหมาะเห็นเป้าหมายลุกไปเข้าห้องน้ำผมก็ตามไป ยืนรออยู่ข้างหน้า เจรจาไม่นานแผนที่วางไว้ก็สำเร็จลุล่วง ผมพาไอ้ดื้อกลับไปด้วยกัน และคืนนั้นก็เป็นครั้งแรกของเรา เรื่องราวที่ไอ้ดื้อฝันถึงเมื่อหลายวันก่อน เหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน

มือถือในมือที่สั่นเพราะแจ้งเตือนดึงให้ผมหลุดจากความคิด ไอ้ดื้อตอบกลับมา พิมพ์ผิดและแก้มาหลายครั้งจนอดคิดไม่ได้ว่าต้องเมาแล้วแน่ๆ

‘ไหนว่าไม่เมา’

‘ไม่ได้เมาขนาดนั้น มันมืด’

‘แสงหน้าจอมันก็สว่างมั้ย’

‘งั้นเมานิดนึงก็ได้’

มันเขี้ยว คิดแต่ไม่ได้พิมพ์ตอบกลับไป

ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่ความแสบของไอ้เด็กคนนี้จะเพิ่มขึ้นเวลาเมา ไม่ว่าจะคำพูดคำจาหรือท่าทาง เป็นความแสบที่มาพร้อมความน่ารัก หรือจะบอกว่าเพราะชอบไปแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรก็มองว่ามันน่ารักไปหมดก็ได้

‘ไปกินต่อไป’

‘ไม่อยากคุยด้วยแล้วเหรอ’

‘เดี๋ยวกวนไง’

‘ยังไม่ได้บอกเลยว่ากวน’

‘อย่าอ้อน ไม่งั้นจะไปรับกลับตอนนี้เลย’

‘อ้อนตรงไหนเนี่ย’

‘พรุ่งนี้สร่างแล้วค่อยกลับมาอ่านที่เราพิมพ์มา’

‘อ่านตอนนี้ก็รู้ว่าไม่ได้อ้อน’

‘ครับๆ จะกลับเมื่อไรก็บอก’

‘กลับเลยได้มั้ย’

เอาล่ะ ผมเตรียมลุกขึ้นไปคว้ากุญแจรถแล้ว ดูจากการคุยน่าจะกำลังมึนได้ที่ ใจผมไม่อยากให้น้องเมามากจนครองสติตัวเองไม่อยู่

‘จะกลับจริงมั้ย พี่จะได้ออกเลย’

‘มาเลยก็ได้ครับ อยากเจอพี่กาลแล้ว’

ไอ้เจอแน่ๆ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงผมถึงร้านแน่นอน



ผมมาถึงร้านสายกว่าที่ตั้งใจไว้เกือบสิบนาทีเพราะต้องตอบคำถามแม่ที่ยังนั่งดูละครอยู่ที่ห้องนั่งเล่น โดนบ่นมานิดหน่อยแต่ไม่โดนห้ามอะไร ไม่ได้สัญญาว่าจะกลับบ้าน แถวนี้ใกล้หอผม ไปส่งไอ้ดื้อแล้วกลับไปนอนที่ห้องเลยมันสะดวกกว่า

กดเข้าไลน์ส่งข้อความบอกไอ้ดื้อโดยที่ยังไม่ลงจากรถเพราะไม่อยากเดินเข้าไปหาในร้านทำตัวให้เป็นจุดสนใจ แม้เพื่อนๆ น้องจะรู้ว่าเรากำลังคุยกันอยู่ก็ตาม

‘ถึงแล้ว ให้พี่รอตรงไหน’

‘รอหน้าร้านได้มั้ย เดี๋ยวเดินออกไปหา’

‘ครับ’

เปิดประตูลงจากรถเมื่อได้คำตอบ ผมยืนหลบมุมอยู่ข้างทางเข้า ก้มมองมือถือสลับกับมองคนที่เดินเข้าออก กระทั่งหันไปสบตากับใครคนหนึ่ง

“กาลลล” เสียงแหลมเสียดหูของพี่รหัสดังขึ้นก่อนจะพาตัวเองเดินเข้ามาหาพร้อมกลุ่มเพื่อน พี่ณดาตรงเข้ามากอดแขนผม ตาเยิ้มอารมณ์ดีดูท่าแล้วน่าจะกำลังเมาได้ที่

“เมาแล้วนะพี่ จะกลับกันแล้วเหรอครับ” ผมปล่อยให้พี่ณดาแปะตัวไว้กับผมอยู่อย่างนั้นด้วยความเคยชิน เราเป็นแค่พี่น้องกันไม่มีอะไรเกินเลย เพราะคุณพี่เธอเพิ่งอกหักจากพี่ชายฝาแฝดผมมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหนุ่มๆ ต่อแถวรอคุยอีกเพียบ

“กำลังจะไปต่อ กาลไปด้วยกันมั้ย แล้วนี่มากับใคร เพิ่งมาเหรอ ทำไมไม่เห็นบอกพี่เลย”

“เพิ่งมาครับ มารับคนเฉยๆ”

“รับใคร ไหนๆ แอบมีแฟนไม่บอกพี่เหรอ” พี่ณดายกนิ้วชี้หน้าจนมันจะจิ้มตาผมอยู่รอมร่อ เพื่อความปลอดภัยเลยต้องจับมือออกมา คุณพี่เธอขยับขาทีเท้าก็พลิกเลยต้องช่วยประคองไว้ แล้วก็ดันใส่ส้นสูงมาอีก

“ยังไม่ใช่แฟนครับ”

“งั้นแสดงว่าอนาคตแฟน ไหนอยู่ไหน พี่อยากเห็นหน้า” ผละออกจากตัวผมออกไปชะเง้อมองรอบๆ จนเพื่อนพี่ณดาต้องเข้ามาช่วยพยุง

“พากลับมั้ยพี่ ดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว” บอกกับกลุ่มเพื่อนพี่ณดาที่ผมสนิทด้วยระดับหนึ่ง

“ก็ว่าจะพามันกลับนี่แหละ เมาอยู่คนเดียว งั้นพวกพี่ไปก่อนนะ”

“ครับ”

“บ๊ายบายนะกาล”

“ครับ”

ยิ้มให้พี่รหัสที่หันมาโบกมือให้ก่อนจะยอมให้เพื่อนลากไปอย่างว่าง่าย พี่ณดาเป็นประเภทเมาแล้วไม่ดื้อ แต่ถ้าไม่มีคนดูแลก็มีสิทธิ์ที่จะโดนใครสักคนหิ้วไปได้ง่ายๆ

ยืนมองจนกลุ่มพี่รหัสเดินลับสายตาไปก็กลับมาชะเง้อหาคนที่กำลังรอ ตั้งใจจะส่งไลน์ไปถามอีกรอบก็เห็นคนผมม่วงอมชมพูหน้ามึนๆ เดินเข้ามาในสายตา

“เมามั้ยเนี่ย” ถามพลางยกมือขึ้นแตะแก้ม

“แค่นี้สบาย”

“แก้มแดงหมดแล้ว”

“อืม”

“ออกมาคนเดียวเหรอ เพื่อนกลับกันหรือยัง”

“เพื่อนออกมาส่งเมื่อกี้เดินกลับไปแล้ว ส่วนคนอื่นยังไม่กลับ”

ผมมองตามทางที่ไอ้ดื้อพยักพเยิดไปแต่ไม่เจอใคร คงเป็นใครสักคนในกลุ่มเพื่อนที่เจอเมื่อวันนั้น

“แล้วเราอยากกลับจริงๆ ใช่มั้ย”

“ก็เรียกมารับขนาดนี้แล้วนะพี่กาล แต่เอาจริงก็เริ่มไม่ค่อยอยากกลับแล้ว”

“ไหงงั้น”

ไอ้ดื้อไม่ตอบเอาแต่จ้องหน้าผม ไหน ไอ้คนน่ารักตอนคุยไลน์ก่อนหน้านี้มันหายไปไหนแล้ว

“กลับเถอะ” ไม่ตอบว่าอยากอยู่ต่อหรือเปล่าผมก็วาดแขนโอบไหล่พาเดินไปด้วยกัน แต่ถ้าบอกมาชัดๆ ว่าอยากอยู่ต่อผมก็จะรอ

เปิดประตูให้คนเมาเข้าไปนั่ง คาดเข็มขัดให้เรียบร้อยก่อนเดินอ้อมมานั่งประจำที่คนขับ ไอ้ดื้อเอนหัวพิงเบาะแล้วหลับตา ดูเมากว่าที่คิดแล้วก็เงียบกว่าที่ควรจะเป็น

“ไหวมั้ยเนี่ย” ถามตอนกำลังเลี้ยวรถออก ไอ้ดื้อลืมตาหันมามอง

“บอกแล้วไงว่าสบาย”

“เหรอ”

ยิ้มให้เด็กอวดเก่งที่สภาพดูต่างจากคำพูด รับรู้ได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา ซึ่งไม่น่าจะใช่เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ

“หลับเลยก็ได้นะ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วปลุก”

“ไม่กลับบ้านได้มั้ยพี่กาล"

ผมเหลือบมองคนเมา สายตาที่มองกลับมานั้นเว้าวอน

“ทำไมล่ะ”

“บอกแม่ไว้แล้วว่าจะไม่กลับ”

“แต่ก็กลับบ้านได้นี่ ถ้าไม่กลับแล้วจะไปไหน”

“ไปนอนห้องพี่กาลได้มั้ยครับ”

หันมองคนพูดที่ยังมองกันด้วยสายตาแบบเดิมก่อนจะกลับไปโฟกัสถนนตรงหน้า เพราะเมาคงเป็นสาเหตุหนึ่ง แต่น่าจะมีอีกสาเหตุซึ่งผมไม่รู้ที่ทำให้ไอ้ดื้อเอ่ยปากขอออกมา บรรยากาศกับสถานการณ์เริ่มคลับคล้ายคลับคลากับอดีต เว้นแต่ความรู้สึกที่เรามีให้กันตอนนี้ที่ต่างออกไป

ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ตกลงกันชัดเจนว่าปลายทางคือที่ไหน ผมเข้าใจมาตลอดว่าที่ไอ้ดื้อยอมให้มารับเพราะอยากกลับไปนอนบ้าน หรืออาจจะเป็นเพราะทนความวอแวของผมไม่ไหว แต่เรื่องจะไปค้างด้วยกันที่ห้องนั้นผมไม่เคยคิดไว้จริงๆ ไม่ว่าจะต่างคนต่างนอน หรือมีกิจกรรมทำด้วยกันก่อนนอนก็ตาม

“ไม่ตอบ” เงียบนานจนโดนทวงคำตอบ

“มันก็ได้อยู่”

“พูดเหมือนไม่อยากให้ไป”

“ไม่ใช่แบบนั้น"

"ความจริง..."

ผมเหลือบมองเพราะคำพูดที่ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร ไอ้ดื้อเงียบไป กำลังจะถามกลับน้องก็ช่วยขยายคำพูดก่อนหน้านี้ให้พอดี

“อยากให้พี่กาลใช้ถุงยางกับผมนะ”

“เอิร์ธ” ผมกำพวงมาลัยแน่น หนึ่งเหตุผลที่ผมไม่อยากพาไอ้ดื้อกลับห้องด้วยกันตอนเมาเพราะรู้ว่าจะเป็นแบบนี้

“หรือว่าพี่กาลไม่อยาก”

“เมามากแล้วนะเรา”

“ไม่ได้เมาขนาดนั้น"

"แล้วอยู่ๆ ทำไมพูดเรื่องนี้"

"ผมเคยบอกไปแล้วไงว่าถุงยางน่ะใช้กับผมได้”

“จำได้ครับ”

“ผมชอบพี่กาลมากนะ ชอบมานานแล้วด้วย”

“รู้ครับ”

“รู้ได้ไงอ่ะ ไม่เคยบอกซักหน่อย”

“กวนตีนเหรอ”

ไอ้ดื้อหัวเราะคิกคักชอบใจจนผมชักจะเดาอารมณ์ไม่ถูก

รูปประโยคที่ออกมาจากปากไอ้ดื้อชักจะคล้ายกับอดีตเข้าไปทุกที วันนั้นตอนขึ้นรถกลับมาด้วยกันอีกฝ่ายสารภาพทุกอย่างออกมาหมดเปลือก เอิร์ธรู้จักผมมาก่อนเพราะเจอกันที่ร้านข้าวบ่อยๆ รวมถึงรู้จักจากเพจมหาวิทยาลัย รู้ทุกช่องทางในโซเชีลยต่างๆ แต่กดเลิกติดตามและเริ่มต้นใหม่ทุกอย่างทำให้เหมือนกับว่าเราเพิ่งรู้จักกันจริงๆ สารภาพไปจนถึงวันแรกที่ทำน้ำหกใส่ผม มันเป็นอุบัติเหตุจริง ส่วนสาเหตุนั้นเป็นเพราะมัวแต่เดินเล่นมือถือ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีเห็นผมนั่งอยู่ใกล้ๆ เลยตกใจ

"พี่กาล ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง" และน้องก็พูดมันออกมา เรื่องราวที่ผมพอจะรู้อยู่แล้ว

ในอดีตผมฟังเรื่องราวเหล่านี้ด้วยความรู้สึกเฉยเมย รับรู้เพียงแค่ว่าเด็กคนนี้เป็นแฟนคลับคนหนึ่ง ได้ลองสักครั้งแล้วก็คงจบกัน แต่กลับไม่ใช่ จบครั้งแรกผมไม่ตื๊อต่อ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายเสนอให้ เสพติดจนกลายเป็นผูกพันในที่สุด

ผมฟังไอ้ดื้อพูดเจื้อยแจ้วเล่าความจริงเกี่ยวกับการพบเจอกันครั้งนี้ให้ฟัง มันต่างออกไปจากอดีตเล็กน้อย เพราะผมเป็นฝ่ายเริ่มติดตามอีกฝ่ายก่อน และความรู้สึกของเราตรงกัน ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว

เมื่อเล่าจบคำขอที่ใจผมไม่อยากปฏิเสธก็ถูกเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“คืนนี้ให้ผมนอนกับพี่กาลนะครับ”

แล้วเส้นทางที่ผมอยากมุ่งหน้าไปในตอนแรกก็เปลี่ยนไป



‘จงระวังการกระทำของตัวเองไว้ให้ดี’ ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ปู่อยากเตือนในความฝันครั้งนั้นคืออะไร

ผมเคยสัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ด้วยความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างอยากมอบให้กันมันเอ่อล้นจนไม่สามารถเก็บเอาไว้ ความสัมพันธ์ลึกซึ้งทางกายที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงก็เกิดขึ้นในที่สุด

มันคือความผิดของผมเองที่ไม่อาจหักห้ามใจ ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้รีบเร่งจนปฏิเสธไม่ได้ ยังพอมีเวลาให้คิดไตร่ตรอง แต่เมื่อถูกเอ่ยปากขออีกครั้งความอดทนที่มีก็มลายหายไปไม่มีเหลือ

อยากใกล้ชิดให้มากกว่านี้ อยากสัมผัสให้ลึกซึ้งกว่าเคย มันคือความรู้สึกในใจที่ผมพยายามข่มไว้มาตลอด

สิ้นชื่อเหนือกาลคนเจ้าชู้เมื่อถูกเด็กดื้อคล้องคอไปจูบ ตอบสนองทุกการสัมผัส ผละออกจากปากแต่ยังคลอเคลียไม่ห่าง แก้ม หู คอ และหน้าผาก กดจูบอย่างลุ่มหลงรักใคร่ กับคนคนนี้ผมสามารถยอมให้ได้หมดแล้วไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม

ช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นอุ้มในท่าเจ้าหญิงเดินเข้าห้อง วางลงบนเตียงแล้วต่างฝ่ายต่างช่วยปลดเปลื้องเสื้อผ้าของกันและกันออก ท่วงท่าและสัมผัสชวนให้นึกถึงบรรยากาศครั้งเก่า อดยอมรับไม่ได้ว่าในอดีตนั้นชื่นชอบ ไอ้เด็กคนนี้มันช่างรู้งาน ไม่ว่าจะทำอะไรให้ก็ถูกใจไปเสียหมด

เมื่อเป็นฝ่ายถูกเอ่ยปากขอ ตัวผมก็แทบจะไร้บทบาท ไม่อาจต่อกรคำขอของคนเมาที่ยังมีสติ ยอมทุกอย่างยอมไปเสียหมด เหมือนลูกหมาที่ไม่ว่าเจ้าของจะจูงไปไหนก็ส่ายหางเดินตามไป

“เดี๋ยวผมทำให้”

สองมือจับเอวเล็กๆ ที่กำลังขยับอยู่บนตัว รู้สึกยังไงก็แสดงสีหน้าออกมาอย่างเปิดเผย ยิ่งช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้พุ่งสูงตาม มือไม้ไม่เคยอยู่สุข จับตรงนั้นลูบตรงนี้ จนทนไม่ไหวต้องขยับสะโพกตาม ขอขัดใจเด็กดื้อสักหน่อยคงไม่ว่ากัน

“พี่กาล” ไอ้ดื้อโน้มตัวมาด้านหน้าใช้สองแขนค้ำไหล่ผมไว้ เสียงที่เจ้าตัวไม่เคยพยายามกลั้นมันไว้ดังให้ได้ยินตลอดการเคลื่อนไหวร่างกาย

เสียงที่ผมชอบฟัง ไม่ว่าปัจจุบันหรืออดีตที่ผ่านมา

ไอ้ดื้อโน้มตัวมาด้านหน้าคล้ายจะทรงตัวไม่อยู่ ผมเลยจับเอวน้องแน่นกว่าเดิมขณะขยับสะโพกตามความต้องการที่เพิ่มสูง คนด้านบนหลับตาแน่น บางจังหวะกัดริมฝีปากสลับกับครางให้ได้ยิน มันคล้ายกับครั้งแรกของเราผมจำมันได้ดี สีหน้าที่ผมถูกใจ

“พี่กาล” ชื่อผมถูกเรียกออกมาอีกครั้งก่อนคนด้านบนจะหลั่งออกมาเต็มหน้าท้อง เลยจำใจต้องหยุดเคลื่อนไหวให้อีกฝ่ายได้พักหายใจหายคอ

ผมจับที่ส่วนนั้นของไอ้ดื้อแล้วรีดเค้นออกมา คนถูกกระทำก็นั่งหูแดงหน้าแดงแต่ไม่ได้ขัดขืนอะไร มองหน้าแล้วก็หลบตา พยายามใช้สองมือกันสิ่งที่ตัวเองปล่อยออกมาเอาไว้ ซึ่งมันกำลังจะไหลลงสู่ที่นอน

“มีทิชชูมั้ย เช็ดก่อนเดี๋ยวเปื้อนที่นอน” บอกเสียงอ้อมแอ้ม จนอยากจะแกล้งอีกซักที

“อยู่บนโต๊ะ” ผมชี้บอก คนที่นั่งทับผมอยู่ก็ค่อยๆ ดันตัวลุกไปหยิบทิชชูมา

ใจอยากจะต่อให้จบๆ เพราะผมยังค้างคาแต่ไอ้ดื้อกลับดูไม่สบายใจที่จะทำให้เตียงผมเลอะเลยต้องปล่อยให้น้องทำความสะอาดไปก่อน เช็ดเสร็จแบบลวกๆ ผมก็คว้าทิชชูโยนลงข้างเตียง เอาไว้เก็บทำความสะอาดทีเดียวตอนเช้า

ยอมตามใจให้ไอ้ดื้ออยู่ด้านบนไปแล้วคราวนี้ผมขอควบคุมเองบ้าง สลับตำแหน่งให้หลังอีกฝ่ายติดพื้น ปากจูบส่วนมือสาละวนอยู่ที่ส่วนล่าง ละจากปากลงมาที่คอ แวะทักทายติ่งไตบนหน้าอกทั้งสองข้างก่อนกลับขึ้นไปชิมรสจูบที่ชอบพร้อมกับการสอดใส่

เริ่มด้วยจังหวะเนิบนาบแล้วเพิ่มตามอารมณ์ ไอ้ดื้อยังคงทำให้ผมสุขใจได้ทุกครั้งที่สัมผัส ลุ่มหลงแบบถอนตัวไม่ขึ้นและไม่คิดจะปฏิเสธ จบคืนแรกกับการเริ่มต้นใหม่ของเราด้วยความรู้สึกที่ดีและเติมเต็มกว่าเดิม

“พี่กาล”

และฟังเสียงที่ผมชอบมากที่สุดในค่ำคืนนี้



ตั้งแต่ลิขิตมันเริ่มติดพุดตานล่ะมั้งที่ผมตื่นมาทุกเช้าแล้วไม่มีคนนอนข้างๆ ผ่านมาสักพักแล้วที่ผมลืมความรู้สึกของการมีใครสักคนอยู่ข้างกันในยามเช้า ตื่นมาด้วยความรู้สึกสบายใจที่เมื่อคืนไม่ต้องฝันร้าย เป็นบรรยากาศที่ชวนให้คิดถึง

แม้จะบอกว่าคิดถึงแต่ไม่ได้ความหมายว่าผมกำลังคิดถึงพี่ชายฝาแฝดที่แค่มานอนร่วมเตียงให้ผมรู้สึกสบายใจยามนอนหลับ มันเป็นความคิดถึงที่ในอดีตผมไม่ค่อยได้สัมผัส ผมไม่เคยกอด ไม่เคยแอบมองหน้าคู่นอนที่กำลังหลับในยามเช้า ไม่เคยรู้สึกอยากจูบที่หน้าผากแล้วบอกอรุณสวัสดิ์ ไม่เคยยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายสบตากลับมา

เรานอนมองตากันโดยไม่มีใครพูดอะไร ไอ้ดื้อไม่ได้ยืมแขนผมหนุน เรานอนหมอนใครหมอนมัน ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันกับระยะห่างอันน้อยนิด และแขนที่ผมวางพาดเอวอีกฝ่ายอยู่

“อย่าจ้องดิ” แล้วไอ้ดื้อก็เป็นฝ่ายแพ้ทนอยู่เงียบๆ ไม่ไหว

“แล้วจะให้พี่ทำอะไร”

“ลุกไปอาบน้ำ”

“ไล่เจ้าของห้องได้ไง”

“งั้นผมไปอาบก่อน”

“เดี๋ยวค่อยอาบก็ได้ เมื่อคืนพี่เช็ดตัวให้แล้วไง” กระชับกอดยกขาก่ายล็อกคนที่ทำท่าจะลุกหนีเอาไว้

“ปล่อยก่อนก็ได้พี่กาล ไม่หนีไปไหนหรอก” บอกโดยไม่ดิ้นไม่ขัดขืน ผมเลยกระชับกอดให้แน่นขึ้นอีกนิด

“อยากกอด”

“ก็กอดอยู่นี่ไง”

“กอดแบบเมื่อคืน” ยิ้มให้เพราะอยากแซวให้เด็กมันเขินแต่ก็ตามสไตล์ไอ้ดื้อ หน้าแดงหูแดงแต่ยังทำเป็นนิ่ง

“วันหลังเถอะครับ”

ได้ฟังคำตอบแล้วชักมันเขี้ยว อยากจะชวนไปอาบน้ำด้วยกันแต่ถ้าทำแบบนั้นคงอาบไม่เสร็จกันสักที

“พี่กาล”

“ครับ”

“เรื่องความฝันอ่ะ”

“เมื่อคืนฝันอีกเหรอ”

“ไม่ใช่ฟังก่อนดิ”

ผมต้องรีบปิดปากหยุดคำถามต่างๆ ที่พรั่งพรูเข้ามาในหัว คำว่าความฝันเหมือนเป็นคำต้องห้ามสำหรับผมไปแล้ว

“พี่กาลจำความฝันที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้มั้ย”

“จำได้ดิ”

“อืม นั่นแหละ ในฝันเป็นครั้งแรกที่เรานอนด้วยกัน แต่กับความจริงอ่ะมันไม่เหมือนกันเลย”

“เพราะพี่ก็ชอบเราไง” ในอดีตผมไม่ใช่คนที่บอกชอบใครง่ายๆ กับไอ้ดื้อผมยังไม่เคยบอกน้องสักครั้ง แต่ตอนนี้กลับพูดมันออกมาได้อย่างง่ายดาย

“แต่ในความฝันไม่ได้ชอบไง”

"เพราะงั้นก็เลยยิ่งต้องบอกไง"

"ครับ ตอนนี้ก็รู้แล้วไง"

อดไม่ได้ต้องยื่นมือไปบีบจมูกรั้นๆ หนึ่งที ไอ้ดื้อยู่หน้าใส่ ก่อนจะพูดต่อ

“ก็นั่นแหละ ผมแค่อยากจะบอกว่า ในฝันพี่กาลไม่กอดผมเลย ตื่นมาต่างคนก็ต่างแยกย้ายแต่ตอนนี้ที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นพี่อยู่ข้างๆ ผมมีความสุขมากเลยนะ”

“ทำไมพูดจาน่ารักขนาดนี้วะ”

“น่ารักอะไรเล่า” พูดแล้วปัดมือผมที่กำลังจะแอบจับแก้ม เด็กดื้อไม่ยอมให้ผมได้ทำอะไรตามใจอีกแล้ว

“แค่นี้หวง”

“อย่าดึงมันเจ็บ”

“แต่หอมได้”

“ก็ไม่เคยว่า”

“พูดเองนะ”

“ก็ยอมให้ขนาดนี้แล้วอ่ะพี่กาล”

ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เขินหูแดงไม่หายแต่ก็ยังจะพูด ถ้าเกิดทนไม่ไหวอยากกอดอีกขึ้นมาจริงๆ ต้องโทษไอ้ดื้อคนเดียวเลย

“ไปอาบน้ำไป”

ผมปล่อยตัวคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ ไอ้ดื้อลุกจากเตียงเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนที่ใช้เมื่อคืนแล้วออกจากห้องนอนไป

พลิกตัวคว้ามือถือมากดดูเวลา เก้าโมงกว่าแล้วท้องก็เริ่มหิว ลุกขึ้นจากเตียงหยิบเสื้อยืดในตู้มาใส่เดินเข้าครัว เปิดตู้เย็นดูว่ามีอะไรเหลืออยู่บ้าง มีอะไรพอจะทำเป็นมื้อเช้าของเราได้หรือเปล่า

ความสุขที่ผมได้รับตอนนี้มากจนแทบสำลัก ริมฝีปากหุบยิ้มไม่ได้ขณะหยิบจับเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ มีความสุขมากจนเหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน มีความสุขมากเกินไปจนกลัวว่ามันอาจจะหายไปในสักวัน

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังยินดี เพราะถ้าหากว่ามันคือความฝัน อย่างน้อยก็เป็นฝันดี ไม่ใช่ฝันร้ายที่ผมต้องเผชิญเสมอมา



tbc



ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณมากค่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2020 18:10:51 โดย kinsang »

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบ__[23/02/63]
«ตอบ #42 เมื่อ23-02-2020 19:07:29 »

 :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: __เ ห นื อ ก า ล__กาลครั้งสิบ__[23/02/63]
«ตอบ #43 เมื่อ23-02-2020 21:51:51 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

เหตุการณ์ที่เกิดนี้  สอดคล้องกับคำเตือนของปู่หรือเปล่าอ่ะ

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสิบเอ็ด



                สระน้ำหน้าบ้าน จานขนมที่วางบนโต๊ะ และบุคคลที่จากไปแล้ว

                ผมมองภาพที่เห็นอย่างใช้ความคิดชั่วครู่ก่อนจะเข้าใจสถานการณ์ ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านสวน นั่งเล่นอยู่ชานบ้านกับจานขนมที่ป้าบุหงาน่าจะเตรียมมาให้ และปู่ บุคคลที่ไม่น่าจะอยู่ตรงนี้ได้ซึ่งนั่งอยู่ข้างกัน มองผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หากแต่สายตาคู่นั้นดูกังวล

                มันเป็นบรรยากาศที่ค่อนข้างน่าอึดอัดนิดหน่อย ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร หรือทำอะไรกันอยู่ ทำไมผมถึงมาอยู่ที่บ้านสวน และทำไมปู่ถึงนั่งอยู่ตรงนี้

                “ปู่ครับ”

                “ปู่เคยเตือนหลานแล้วให้ระวัง”

                ผมหยุดความคิดต่างๆ ที่กำลังตีกันในหัว แล้วเริ่มครุ่นคิดถึงสิ่งที่ปู่บอกแทน เรื่องที่เคยเตือน ปู่เคยเตือนผมเรื่องอะไรกัน

                “หมายถึงเรื่องอะไรครับ”

                “เราไม่สามารถรู้ความคิดของคนอื่นได้ ฉะนั้นจงระวังคนรอบข้าง ระวังการกระทำของตัวเองให้ดี อย่าทำให้คนที่รักเสียใจ”

                “ครับ” ผมขมวดคิ้วถามเสียงสูงกลับไป แต่ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมาอีก

                เรายังนั่งกันอยู่ที่เดิมโดยไม่มีใครพูดอะไร ความอึดอัดที่มีก่อนหน้านี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงไม่ยอมถาม ทำไมถึงนั่งบื้อทั้งที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ปู่พูดมา ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ มันเนิ่นนานจนรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างเราเริ่มดีขึ้น กำลังจะอ้าปากถาม แต่แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป

                ภาพสีดำหายไปกลายเป็นแสงสว่างเข้ามาแทนที่เมื่อผมลืมตา ถอนหายใจเบาๆ กับความฝันอันแสนงงงวย ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ผมก็ฝันถึงปู่อีกครั้ง กับการมาตอกย้ำคำเตือนจากความฝันครั้งที่แล้ว จนชักสงสัยว่าผมทำอะไรผิดพลาดไปอย่างนั้นเหรอ

                ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเริ่มทบทวนการกระทำของตัวเองในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘คนที่รัก’ ที่ปู่พูดถึงแน่นอนว่าคือไอ้ดื้อ แล้วผมทำอะไรให้น้องเสียใจงั้นเหรอ เรื่องถุงยางก็เคลียร์แล้ว หรือเพราะเรื่องเมื่อคืนก่อน

                หยิบมือถือขึ้นมากดส่งไลน์เมื่อรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี สัปดาห์ที่แล้วผมฝันถึงปู่ ไอ้ดื้อเองก็ฝันถึงเรื่องในอดีต ในเมื่อครั้งนี้ผมฝันอีกครั้ง ไอ้ดื้อก็ต้องฝันเหมือนกัน ฝันครั้งที่สามเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้น

                ‘เมื่อคืนฝันอะไรมั้ย’

                เวลาที่กดส่งขึ้นเก้าโมงสามนาที ผมรอคำตอบอยู่สักพัก เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบกลับมาเลยเข้าเฟซบุ๊กส่องไอจีเผื่อน้องจะมาบ่นอะไรบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่มี

                กดล็อกมือถือวางไว้บนเตียงออกไปล้างหน้าแปรงฟัน ตอนเดินออกจากห้องน้ำเจอลิขิตออกมาจากห้องของมันพอดี เดินก้มหน้ากดโทรศัพท์ คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากกำลังคุยกับพุดตาน

                “มึง”

                “ว่า” เงยหน้าขึ้นมาตอบ มันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

                “ตอนเกิดเรื่องของมึงอ่ะ ปู่มาเข้าฝันมึงบ้างมั้ย” เป็นเรื่องที่ชวนให้สงสัย ก่อนหน้านี้ลิขิตพูดแค่ว่าเรื่องราวประหลาดพวกนี้ปู่เป็นคนเล่าให้ฟังและผมเองก็รู้เรื่องดี ส่วนเรื่องความฝันไม่เคยพูดถึง แต่ถ้าปู่มาบอกผม ก็น่าจะบอกเราทั้งคู่

                “ไม่นะ ทำไม ปู่มาหามึงเหรอ”

                “อืม ในฝัน”

                “ปู่ว่าไง” มันเก็บมือถือ สีหน้าดูจริงจังขึ้นมา

                “มาเตือน กูเลยสงสัยว่าปู่จะเคยมาบอกมึงเหมือนกันมั้ย”

                “ตอนนั้นไม่มีใครเตือนอะไรกูสักคน มีแต่พ่อที่บอกว่าเรื่องมันจะจบด้วยดี”

                “แล้วทำไมปู่ถึงมาเตือนกูวะ หรือว่ากูทำอะไรผิด”

                “ตอนนี้สถานการณ์มันดูไม่ดีเหรอ”

                “ก็ไม่” ผมยังนึกไม่ออกว่าเรามีเรื่องผิดใจอะไรกันอีก ไอ้ดื้อกำลังคิดอะไร แล้วคนรอบข้างผมกำลังทำอะไร ทุกอย่างที่ผมรับรู้ไม่มีความผิดปกติใดๆ เลย

                “งั้นก็อย่างเพิ่งเครียด”

                “เครียดไปแล้วว่ะ กูนึกไม่ออกว่าทำอะไรไม่ดีไว้หรือเปล่า”

                “งั้นก็ลองนึกดูใหม่ดีๆ ว่ามึงไปทำอะไรไว้หรือเปล่า หรือถ้าไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรก็ถามคนที่มึงคิดว่าเขาน่าจะรู้”

                “เขาจะตอบเหรอวะ”

                “ก็ต้องลองก่อนมั้ย”

                “เออๆ”

                “มันต้องจบด้วยดี เชื่อกู” ลิขิตยังคงบอกแบบเดิม มันตบไหล่ผมเบาๆ ส่งกำลังใจตามประสาพี่ชาย

                “อืม”

                “กินข้าวกัน” พูดจบมันก็กอดคอผมพาเดินลงไปข้างล่างด้วยกัน



                ‘ทักมาเหมือนรู้ล่วงหน้า’

                กลับขึ้นมาบนห้องหยิบมือถือมาดูก็เจอคำตอบของคำถามที่ผมถามไอ้ดื้อไปก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่คำตอบที่ชัดเจนก็จริง แต่ก็เดาได้ไม่ยาก

                ผมกดโทรหาเพราะคิดว่ามันคือเรื่องสำคัญ สัญญาณครั้งแรกดังยังไม่ทันจบปลายสายก็รับ

                [ถึงกับโทรมาเลย]

                “อยากคุย”

                [พี่กาลดูเครียดมากเลยเรื่องความฝัน] ไอ้ดื้อตรงเข้าประเด็นโดยไม่รอให้ผมเปิดก่อน

                “เรื่องฝันก็เครียด แต่ไม่คิดว่าพี่โทรหาเพราะอยากได้ยินเสียงบ้างเหรอ”

                [ไม่ต้องมาจีบ] นึกภาพเด็กดื้อทำปากมุบมิบบ่นแล้วชวนให้ยิ้ม แต่อารมณ์ดีได้ไม่กี่วินาทีก็ต้องเข้าโหมดซีเรียสต่อ

                “แล้วเมื่อคืนฝันว่าอะไร”

                [พี่กาลลองเดาดู]

                “ทำไมต้องให้พี่เดา”

                [ไม่รู้ดิ มันมีความรู้สึกว่าพี่กาลต้องรู้ยังไงไม่รู้ ครั้งที่แล้วก็เดาถูก]

                “แต่ครั้งที่แล้วเราใบ้พี่มาก่อนนะ”

                [ถ้างั้นทำไมพี่กาลถึงรู้ล่ะว่าผมจะฝัน]

                ทุกประโยคที่ไอ้ดื้อถามผมรับรู้ได้ถึงความหวาดระแวงจากอีกฝ่าย มันให้ความรู้สึกคล้ายความสัมพันธ์เมื่อครั้งก่อน ความรู้สึกที่น้องมีต่อผม ไม่เชื่อใจ ไม่มั่นคง แต่ไม่คิดจะทำอะไร ไม่คิดอยากจะไขว่คว้ามาเป็นของตัวเอง มองดู และจงรักภักดีอยู่ฝ่ายเดียว

                “พี่แค่ถามว่าเราฝันมั้ย ไม่ได้รู้ว่าเราจะฝัน”

                [แต่ก็ทักมาเหมือนรู้ไง ครั้งนี้ผมไม่ได้โพสต์เฟซด้วย ไม่ได้บอกใครเลย]

                “โอเคครับโอเค” ผมยอมแพ้ไม่ดื้อแถต่อ

                [เล่ามา]

                “เอิร์ธจำได้มั้ยว่าครั้งที่แล้วพี่ก็ฝัน”

                [จำได้]

                “ครั้งนี้พี่ก็ฝันอีก ก็เลยคิดว่าเราน่าจะฝันเหมือนกันแค่นั้น”

                [จริงๆ เหรอ]

                “หมายถึงยังไง”

                [แค่นี้จริงๆ เหรอ]

                “ไม่เชื่อพี่เหรอ”

                [ผมเองก็ไม่รู้]

                ผมเข้าใจความสับสนที่เกิดขึ้น หากจะให้อธิบายเรื่องราวทั้งหมดแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ไอ้ดื้อคงไม่เชื่อ และผมไม่รู้ว่ามันจะทำให้ปัจจุบันของเราเปลี่ยนแปลงไปอีกหรือเปล่า

                [แล้วพี่กาลฝันว่าอะไร]

                "เหมือนครั้งที่แล้ว" และผมก็เลือกที่จะไม่พูดความจริงเหมือนเดิม

                [เรื่องที่ผมไม่สามารถใช้ชีวิตแบบปกติได้น่ะเหรอ]

                "ใช่ครับ"

                [มันเป็นยังไงเหรอพี่กาล บอกผมเพิ่มอีกนิดได้มั้ย พี่กาลทำอะไร แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้น]

                "พี่ก็ไม่รู้ มันน่ากลัว" ผมไม่กล้าเล่า ไม่อยากบอกว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น เพราะยังไงไอ้ดื้อก็คงฝันถึงมันในสักวัน

                [พี่กาลครับ]

                "พี่เห็นเอิร์ธนอนอยู่บนเตียง ยังหายใจได้ แต่ไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกแล้ว" ผมเลือกที่จะตอบเพียงเท่านี้

                มีเพียงความเงียบที่ได้ยิน ผมไม่สามารถเดาได้เลยว่าไอ้ดื้อกำลังคิดอะไรอยู่กับฝันร้ายที่ผมบอกออกไป

                "เอิร์ธ"

                [ครับ ฟังอยู่]

                "โอเคใช่มั้ย"

                [โอเคดิ มันก็แค่ความฝัน เขาว่าฝันร้ายมักจะกลายเป็นดี ผมว่าพี่กาลน่าจะคิดมากไปกว่าดี ยิ่งเป็นคนเครียดง่ายๆ อยู่]

                "ก็คงงั้น เพราะห่วงเรา"

                [ผมไม่เป็นอะไรหรอก]

                “พี่บอกไปแล้ว ตาเอิร์ธเล่าความฝันตัวเองบ้าง เคยสัญญากันไว้แล้วไงว่าถ้าฝันอีกจะเล่าให้พี่ฟัง”

                [รู้แล้วครับ ไม่ต้องทวงสัญญาก็ได้]

                “พี่จะไม่ขัดแล้วนะ เล่ายาวๆ มาเลย”

                ผมเงียบรอปลายสายพร้อม เหมือนได้ยินเสียงบ่นพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ แต่คงไม่พ้นบ่นผมนั่นแหละ

                [ฝันว่าพี่กาลนอกใจ]

                บอกมาแค่นี้แล้วก็เงียบ ผมยังรอฟังเรื่องราวต่อจากนั้นตามที่บอกไป แต่กลายเป็นว่าเราต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กันเสียอย่างนั้น

                [ไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ]

                “ก็บอกแล้วไงว่าจะเงียบฟัง”

                [ตกใจมั้ย]

                “ขอฟังเรื่องทั้งหมดก่อน เล่าต่อดิ”

                ผมไม่แปลกใจเลยกับความฝันครั้งนี้ เพราะมันตรงกับสิ่งที่ผมเดาเอาไว้ ไม่สิ ต้องบอกว่ามันตรงกับความเป็นจริงในอดีตต่างหาก แม้คำพูดที่ไอ้ดื้อเลือกใช้มันจะผิดไปสักหน่อย เพราะในเมื่อเราไม่ได้เป็นแฟนกัน จะเรียกว่าผมนอกใจคงไม่ได้

                [จริงๆ จะเรียกว่านอกใจได้มั้ยไม่รู้ มันเหมือนเป็นความฝันที่ต่อเนื่องกับครั้งที่แล้ว พี่กาลได้ผม แล้วก็แปลกที่เป็นตอนกลับจากร้านเหล้าพอดีเหมือนกันอีก ผมรักพี่ แต่พี่ไม่รักผม ได้แล้วคบแบบทิ้งๆ ขว้างๆ มันอาจจะผิดที่ผมเองด้วยที่เลือกจะยืนตรงนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่ไม่รัก แต่ผมดันรักพี่มากเลยยอม]

                “มันก็แค่ความฝัน” ผมได้แต่บอกย้ำคำเดิมที่พูดออกไปแล้วไม่รู้กี่รอบ บอกเพื่อหนีความจริงที่ตามมาหลอกหลอนในรูปแบบความฝัน บอกเพื่อให้อีกคนไม่คิดหลงเชื่อ

                [แต่พี่ดันเครียดกว่าผมอีก]

                “ต้องเครียดดิ ครั้งก่อนเราก็เชื่อว่ามันคือฝันบอกเหตุ"

                [ก็มันดันตรงไง]

                "ตอนนี้พี่ไม่ใช่คนแบบนั้นแล้วนะ”

                [แต่อดีตเป็น]

                "เอิร์ธ" ใจผมมันหวิวๆ ยังไงไม่รู้ ยิ่งปู่มาเตือนยิ่งรู้สึกไม่ดี

                [อืม ผมรู้ เพราะพี่ได้ผมแล้วแต่ก็ยังติดต่อมาหาแบบนี้ไง ไม่ใช่ให้ผมตามตื๊ออยู่ฝ่ายเดียว]

                “อย่าเบื่อพี่ก่อนแล้วกัน”

                [ถ้าเบื่อคงเบื่อไปนานแล้ว]

                ก็คงจะจริงอย่างที่ไอ้ดื้อว่า เพราะตั้งแต่ได้รู้จักกันอีกครั้งผมก็ตามอีกฝ่ายต้อยๆ นัดให้ออกมาเจอกันแทบทุกวัน ถ้าจะเบื่อ ก็คงเป็นน้องนั่นแหละที่เบื่อผม ถึงผมจะเป็นฝ่ายถูกชอบก่อนก็เถอะ

                [แล้วแบบนี้ต้องไปทำบุญกันอีกมั้ย หรือต้องให้หมอดูทำนายฝันให้หรือเปล่า]

                “คิดว่าไม่น่าจะช่วยอะไร”

                ตั้งแต่ไปทำบุญรอบที่แล้วผมว่าไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ซ้ำยังซวยกว่าเดิมอีก ไหนจะตกน้ำเพราะกลัวแมว โดนเข้าใจผิดเรื่องถุงยาง แล้วมาได้กันทั้งที่คิดว่าจะค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ ซึ่งทุกอย่างที่ว่ามานั้นบาปบุญไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้อง มันเกิดขึ้นเพราะตัวผมเองล้วนๆ การกระทำของผมที่ปู่อยากให้ระวัง ผมคิดว่าเรื่องที่ปู่อยากเตือนก็คงเป็นเรื่องพวกนี้

                “ไปหาได้มั้ย ตอนนี้”

                [ปีใหม่แล้วอยู่กับครอบครัวบ้าง]

                เมื่อคืนเป็นวันสิ้นปี เป็นปีที่ผมไม่ได้ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนแต่อยู่บ้านฉลองกับครอบครัวแทน และเป็นปีแรกที่ผมได้นับถอยหลับขึ้นปีใหม่กับไอ้ดื้อ แม้จะเป็นทางโทรศัพท์ก็ตาม

                “อยากเจอ”

                [วันนี้ไปวัดกับที่บ้านไง เมื่อคืนบอกไปแล้ว]

                “กลับบ่ายใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ไปหาก็ได้ อยากเจอจริงๆ”

                [ทำไมงอแง]

                “อยากเจอครับ"

                ปลายสายเงียบไปคล้ายจะทนกับความงอแงเอาแต่ใจของผมไม่ไหว แต่เชื่อเถอะว่าไอ้ดื้อไม่มีทางรำคาญผมหรอก

                [ก็ได้ครับ ยังไงเดี๋ยวผมบอกอีกทีนะ]



                เรานัดเจอกันที่สยาม ใช้วันหยุดไปกับการกินข้าวดูหนังเหมือนคนอื่นๆ ไอ้ดื้อเช่าพระให้ผมเป็นของขวัญปีใหม่ บอกว่าองค์นี้พุทธคุณเด่นด้านป้องกันภูติผีปีศาจ แถมยังอวยพรให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ไอ้เด็กนี้มันคิดว่าผมโดนวิญญาณร้ายตามรังควานอยู่หรือไง

                ผมเองก็มีของขวัญให้น้อง แอบมาเดินหาซื้อก่อนเวลานัด เพราะกล่องค่อนข้างใหญ่เลยเอามาเก็บไว้ในรถ กินข้าวเสร็จตอนทุ่มกว่า ออกปากขอไปส่งที่บ้าน ขึ้นรถแล้วก็เอี้ยวตัวไปหยิบของขวัญที่เบาะหลังยื่นให้

                "อะไรอ่ะ หูแมว ของเล่นเหรอ"

                "ลองแกะดู"

                ไอ้ดื้อดูตื่นเต้นและงงงวยไปพร้อมๆ กันขณะแกะกล่องของขวัญ เจ้าสิ่งนี้คือหูแมววัดอารมณ์ที่บังเอิญเจอเข้าที่ loft มันน่ารักและน่าจะเข้ากับอีกฝ่ายดีผมเลยซื้อมา ความจริงก็มีเป้าหมายอยู่ในใจนิดหน่อย

                "ลองใส่ดูดิ"

                "ต้องใส่ตอนนี้เลยเหรอ"

                "อยากเห็น ซื้อถ่านมาให้ด้วย"

                "เตรียมพร้อมมาก"

                "มา เดี๋ยวช่วย"

                ผมแกะถ่านใส่ประกอบนู่นนี่ไอ้ดื้อก็หยิบคู่มือมาอ่าน ก่อนจะวางไว้เหมือนเดิมเมื่อเห็นว่ามันเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่ต้องห่วง ผมอ่านรีวิวศึกษามาแล้วเรียบร้อย

                "มันใช้ทำอะไรอ่ะ"

                "เป็นหูแมวขยับได้ ใช้วัดอารมณ์ได้ด้วย"

                "จะแอบจับผิดกันเหรอ"

                "ไม่ใช่ มันน่ารักเลยซื้อมา"

                ผมช่วยใส่หูแมวให้ มันหมุนหนึ่งรอบก่อนหูข้างหนึ่งจะพับลงแสดงการปรับค่าให้ตรงกับคลื่นสมอง จากนั้นหูทั้งสองข้างก็พับลง ส่วนคนใส่ก็น่ารักอย่างที่ผมคิดไว้

                "หูขยับออกอ่ะ กำลังสนใจอะไรอยู่เหรอ" ถามเพื่อยืนยันว่าอารมณ์จริงๆ กับสิ่งที่หูแมวแสดงนั้นตรงกัน

                "สนใจมันนี่แหละ ไม่เคยเห็นอ่ะ"

                ไอ้ดื้อขยับตัวมาส่องกระมองหลัง หันซ้ายหันขวาส่องแต่ละข้างหูแมวก็ยิ่งขยับ เป็นมุมน่ารักๆ ที่ผมไม่เคยเห็นจนต้องถ่ายรูปเก็บไว้

                "เออ แล้วแบบนี้พี่กาลไม่กลัวเหรอ" อยู่ๆ ก็หันขวับมาถาม

                "แมวปลอมอ่ะกลัวทำไม"

                "ก็แมวนะ ดูดิ หูกระดิกได้ด้วย"

                "แต่แมวตัวนี้น่ารักไง กลัวไม่ลง"

                "แมวตัวอื่นก็น่ารักเถอะ" หูทั้งสองข้างกระดิกขึ้นลงบอกว่าคนใส่กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

                "คิดอะไรอยู่น่ะเรา"

                "คิดว่าทำไมพี่กาลปากหวานจัง"

                "จะไม่พูดนะว่าเคยชิมมาแล้ว"

                เด็กดื้อแยกเขี้ยวใส่ ทำให้ผมนึกภาพออกเลยที่ลิขิตมันเคยบอกว่าพุดตานชอบแยกเขี้ยวใส่แล้วร้องเงี้ยวๆ น่ารักเหมือนแมวมันเป็นยังไง ถ้าแมวทุกตัวบนโลกน่ารักเหมือนแมวที่ชื่อเอิร์ธตัวนี้ผมไม่มีทางกลัวแน่

                "ถึงบ้านค่อยถอดนะ"

                "ไม่..."

                แรงสั่นจากแจ้งเตือนดึงความสนใจเราทั้งคู่ให้หันมองมือถือของผมที่วางอยู่หน้าเกียร์ แอพสีเขียวขึ้นข้อความจากพี่รหัสผมที่ชอบทักมาคุยเป็นปกติ แต่เพราะตอนนี้อยู่กับคนสำคัญผมเลยเลือกที่จะยังไม่ตอบ

                "เมื่อกี้เอิร์ธว่าอะไรนะ"

                "ถอดนะ"

                "อย่างเพิ่งถอดดิ ใส่จนถึงบ้านไม่ได้เหรอ"

                "มันหนัก"

                หูแมวกระดิกขึ้นลงไม่หยุด แต่ถึงไม่มีเจ้านี้ช่วยบอกอารมณ์อีกฝ่ายก็สังเกตได้ว่าไม่ปกติ ถามคำตอบคำ บรรยากาศชวนให้รู้สึกอึดอัดขึ้นมา

                ไอ้ดื้อจะถอดหูแมวออกแต่ผมรวบมือทั้งสองมากุมไว้ อยู่ๆ ก็เป็นอะไรขึ้นมา ไม่พอใจหรือระแวงอะไรกันอีก

                "เอิร์ธเป็นอะไรครับ คิดมากอะไรอยู่บอกพี่ได้มั้ย มีอะไรที่พี่ทำให้ไม่พอใจหรือเปล่า"

                คนตรงหน้าหลบตา สูดลมหายใจเข้าเบาๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนออก หูแมวยังคงขยับขึ้นลง

                "กับพี่ณดานี่สนิทกันขนาดไหนเหรอ" หันกลับมาสบตาอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม เฉลยทุกคำตอบที่ผมสงสัย

                "เพราะคนนี้เหรอ"

                "คนนี้แหละ"

                ไม่แปลกถ้าคนที่ไม่รู้จักผมกับพี่ณดามองแล้วจะเข้าใจผิด พี่ณดาเป็นพี่รหัสผมและเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ คนหนึ่ง เราค่อนข้างสนิทกัน เล่นถึงเนื้อถึงตัวกันได้ แต่ก็เป็นแค่พี่น้องไม่มีอะไรเกินเลย ในเมื่อคุณพี่เธอมีคนคุยในสต็อกเยอะแยะขนาดนั้น มีบ้างที่ถูกเชียร์แต่เราทั้งคู่ไม่สามารถข้ามเส้นความเป็นพี่น้องไปได้ แล้วก็เป็นความผิดของผมเองที่ไม่เคยเก็บเรื่องนี้มาคิด และไม่เคยได้อธิบายให้ไอ้ดื้อฟัง

                "ไปเห็นมาจากที่ไหนทำไมคิดมาก ปิดเทอมพี่แทบไม่ได้เจอพี่ณดาเลย แล้วเรารู้จักพี่ณดาได้ไง" พอจะเดาได้แต่ก็อยากถาม ในอดีตไอ้ดื้อรู้จักพี่ณดาได้ยังไง ตอนนี้ก็คงไม่ต่าง

                "ในเพจมอก็เคยลงรูปคู่ไง คนก็เชียร์กันเยอะแยะ"

                "แค่นั้นเหรอ"

                "ไม่ใช่แค่นั้นดิ"

                "อ๋อ" ผมแกล้งลาวเสียงยาว นอกจากสาเหตุที่อีกฝ่ายบอกมาก็พอจะนึกได้อีกข้อ เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ที่ผมไม่เคยคิดกังวล

                "อย่าอ๋อแล้วเงียบดิ"

                "ขอโทษที่ถึงเนื้อถึงตัวกันเกินไป แต่พี่ณดาเมาไงตอนนั้น ไม่รู้ว่าเราก็เห็น"

                "ก็เลยไม่บอกเหรอ"

                "ก็เพราะไม่รู้ไงเลยไม่ได้บอก พี่ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ ระหว่างพี่กับพี่ณดามันคือเรื่องปกติ ไม่มีอะไรต้องคิดมาก"

                "ถึงเนื้อถึงตัวกันได้ขนาดนั้นไม่ให้คิดมากได้ไง"

                "แค่สนิทกันเฉยๆ"

                "แต่คนเห็นคิดมากไง"

                "คนเห็นที่ชื่อเอิร์ธ อ๋อ" ผมอ๋ออีกรอบทำเอาไอ้ดื้อกดตามองต่ำอย่างไม่ไว้ใจ หูแมวที่ใส่อยู่ก็ขยับไม่หยุด

                "อ๋ออะไรอีก"

                "เพราะงั้นคืนนั้นถึงได้อยากมาห้องพี่ใช่มั้ย"

                "รู้ตัวช้าจริง" ตอบแล้วหลบตา ทำเป็นเมินใส่เพราะเขิน หูที่เริ่มแดงนั่นไม่เคยปิดความรู้สึกของเจ้าของมันได้เลย

                "มานี่มา" ผมรั้งไอ้ดื้อให้เข้ามาหาแต่มันก็ออกจะทุลักทุเลไปนิด กอดไว้จากด้านหลังแล้วกดจมูกที่ขมับไปหนึ่งที

                เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ถึงสาเหตุทำให้เรื่องมันกลับไปคลับคล้ายคลับคลากับอดีต เพราะอยากรั้งไว้ไอ้ดื้อเลยยอมให้ผมมาเรื่อยๆ แม้จะรั้งได้เพียงร่างกายก็ยังยินยอมที่จะทำ

                "ตอนนี้พี่มีแค่เอิร์ธนะ มีแค่เอิร์ธคนเดียวจริงๆ อย่าคิดมากอีกได้มั้ย อย่าไปเชื่อความฝัน อย่าไปเชื่อคนอื่น เชื่อแค่พี่คนเดียวก็พอ ได้มั้ยครับ"

                "รู้แล้ว"

                ผมถอดหูแมวแสนเกะกะนี้ออกก่อนกดจูบที่ขมับอีกครั้งแล้วกระชับกอดให้แน่นขึ้น ไอ้ดื้อเอนหลังมาพิง ตอบรับคำขอโดยการจับมือผมที่กำลังโอบกอดเอาไว้ ก่อนพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา

                "ตอนนั้นผมกลัวนะ เพราะความฝันด้วย เพราะเมาด้วยมั้งอารมณ์มันเลยอ่อนไหวเป็นพิเศษ แต่ก็ยอมให้พี่เอง ไม่โทษใครหรอก ถึงโดนฟันแล้วทิ้งก็ไม่คิดโทษใคร"

                "ใครจะไปทิ้ง"

                "แค่พูดถึงเฉยๆ รักนะถึงยอม อะไรแบบนี้" พูดอ้อมแอ้มเสียงเบา ก้มหน้าหนีเหมือนไม่อยากให้ผมเห็นหน้าตอนพูด

                "ไม่มีทาง"

                "รักหรือหลง"

                "อาจจะทั้งสองมั้ง"

                "เหมือนกัน แล้วแบบนี้พอจะรั้งไว้ได้มั้ย"

                "หืม" ผมก้มหน้าไปหา ที่ถามซ้ำไม่ใช่ว่าได้ยินไม่ชัด แต่อยากฟังคำถามให้แน่ใจอีกที

                "เรื่องคืนก่อนพอจะรั้งให้พี่กาลไม่ไปไหนได้มั้ยครับ"

                ฟังคำถามอีกรอบแล้วผมอยากจะจับคนให้อ้อมกอดใส่ปากเคี้ยวๆ กลืนให้รู้แล้วรู้รอด ประเด็นก่อนหน้านี้อาจจะมีส่วนที่ทำให้คำถามนี้หลุดออกมา แต่เมื่อฟังจากน้ำเสียงแล้ว ถามแบบนี้เพราะอยากจะอ้อนกันมากกว่า

                "ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ไม่ไปไหนอยู่แล้ว แต่พอทำแล้วกลายเป็นไปไหนไม่รอดไปเลย"

                "หลงกันนี่หว่า"

                "ไม่เถียง"

                ไม่ปฏิเสธ แล้วก็ไม่อยากปล่อยออกจากอ้อมกอดง่ายๆ ด้วย ไหนๆ ก็หลงขนาดนี้แล้ว ขอฟัดให้หายมันเขี้ยวก่อนส่งกลับบ้านสักหน่อยก็แล้วกัน


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :katai1: ใบ้ที จะจบด้วยดีใช่ป่าว

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
อ่ยยยยย เครียด  :katai1:
ปู่เตือนเรื่องอะไรกันแน่

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสิบสอง


            คล้ายกับไอ้เรื่องราวสุดแปลกประหลาดบ้าๆ นี้กำลังเล่นตลก ผมจำได้แม่นว่าอาทิตย์นี้เป็นช่วงสัปดาห์ที่หนักหน่วงที่สุด ทั้งเรื่องความเจ้าชู้ของผม รวมถึงเรื่องน่าปวดหัวของไอ้ดื้อด้วย ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมทำตัวเป็นเด็กดีอยู่ในลู่ทาง ความฝันที่เหมือนลางบอกเหตุกับเรื่องพี่ณดาก็เพิ่งเคลียร์ แต่ทำไมผมต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ด้วยก็ไม่รู้

            อุตส่าห์หนีมาถึงสุพรรณบุรีก็ยังจะเจอ...

            "พี่กาลก็มาดูควายเหมือนกันเหรอครับ"

            คนข้างๆ ผมกำลังกลั้นขำสุดกำลัง ขณะที่ผมกำลังนึกโทษทุกสรรพสิ่งที่บันดาลให้ผมต้องมาเจอกิ๊กเก่าที่เคยคบแล้วทิ้งที่นี่ ที่หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย จังหวัดสุพรรณบุรี

            "ครับ" ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรแม้อีกฝ่ายดูจะไม่อยากผูกมิตรกับผมสักนัก เพราะเราจบกันไม่ค่อยสวยเท่าไร

            "กับควายตัวใหม่เหรอครับ"

            "แรงไปแล้วฟาร์"

            ผมหันมองปฏิกิริยาคนข้างๆ จากที่ยิ้มๆ เมื่อกี้ไอ้ดื้อก็เปลี่ยนมาจ้องอดีตกิ๊กเก่าผมเขม็ง โดนพาดพิงทั้งที่ไม่รู้จักกันแบบนี้เป็นใครก็คงเคือง แต่ผมไม่อยากให้มีเรื่อง นิสัยจาฟาร์เป็นคนแรงๆ เจ้าคิดเจ้าแค้น ถึงได้กัดผมไม่ปล่อยทั้งที่เลิกติดต่อกันมาเกือบปีแล้ว

            "แสดงว่าคุณก็เป็นควายตัวเก่าใช่มั้ยครับ" เด็กดื้อเริ่มแผลงฤทธิ์ ถ้าเป็นคนเจียมตัวเมื่อปีก่อนไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาแน่ๆ

            "ไปเถอะ โชว์จะเริ่มแล้ว" ผมคว้าแขนไอ้ดื้อลากเข้าไปในลานแสดงควายด้วยกันก่อนจะเกิดศึกครั้งใหญ่

            อุตส่าห์พามาเที่ยวช่วงปีใหม่เพื่อเก็บความทรงจำดีๆ มาดูน้องควายน่ารักๆ แต่ดันมาเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุดซะงั้น ได้แต่พนมมือขอพรหลวงพ่อในใจ ช่วยปกป้องลูกกับไอ้ดื้อจากปีศาจร้ายที่ชื่อจาฟาร์ด้วยเถอะ

            "ทำไมพี่กาลปล่อยให้โดนด่าแบบนั้นอ่ะ" เดินหนีจากอดีตกิ๊กเก่าผมมาได้นิดเดียวก็โดนยิงคำถามใส่

            "ฟาร์มันแรง ถ้าพี่แรงกลับบ้านควายพังแน่" เพราะเมื่อก่อนเราต่างแรงใส่กันทั้งคู่ไม่มีใครยอมใคร ทำให้ทุกอย่างมันระเบิดจนแหลกไม่เหลือชิ้นดี ไอ้ดื้อเองก็เคยรู้

            "แฟนเก่าเหรอ หรือคนคุย"

            "คนคุย"

            "แสดงว่าช่วงนั้นคุยหลายคนเลยอ่ะดิ"

            "ยอมรับครับ"

            "เหมือนในฝันผม"

            "ไม่เอาไปโยงกับความฝันแล้วได้มั้ย ตอนนี้พี่มีเราคนเดียว"

            "รู้แล้วครับ" หันมายิ้มให้ก่อนนั่งลงจับจองที่สำหรับชมการแสดง

            เหมือนกับผมกำลังถูกอีกฝ่ายคุมเกม หลอกให้พูดในสิ่งที่อยากฟัง และยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ แต่เมื่อรักไปแล้วไม่ว่าอะไรผมก็ยินดีทำ ขอแค่ยังเชื่อใจกันอยู่ก็พอ

            ควายช่างน่ารักและแสนรู้ การแสดงก็สนุกและน่าประทับใจ แต่เพราะคนที่นั่งเยื้องไปไม่ไกล แม้พยายามไม่สนใจ สมาธิที่จดจ่ออยู่กับน้องควายก็มักหลุดโฟกัสทุกที

            "สนใจน้องควายหน่อย" ผมพยายามจึงความสนใจไอ้ดื้อกลับมา

            "ควายตัวเก่าก็น่าสนใจ"

            "ไม่เอาดิเอิร์ธ"

            "ก็เขามองผมก่อนอ่ะ"

            "เราก็ไม่ต้องไปสนใจ"

            "นัดต่อยเลยมั้ยจะได้จบๆ"

            "อย่ามีเรื่องเลยขอร้อง"

            "กำลังพยายาม" ไอ้ดื้อยอมละสายตาจากจาฟาร์พอให้ผมได้อุ่นใจขึ้นมาบ้าง

            การแสดงจบลงช่วงเวลาที่น่าสนุกกว่าก็มาถึง ไอ้ดื้อคว้าแขนผมชวนไปขี่ควาย จังหวะไล่เลี่ยที่จาฟาร์กับเพื่อนเดินมาพอดี ผมกำลังจะขืนแรงรั้งเด็กดื้อไว้แต่คนที่เดินนำหน้าก็หยุดก้าวแล้วหันมาบอกกัน

            "รอเขาไปก่อนค่อยขี่ก็ได้"

            ถ้าไม่เกรงใจน้องควายก็อยากจะหอมแก้มเด็กดีหวานออกสื่อให้อดีตคนคุยได้เห็น แต่คาดว่าหากทำอย่างนั้นคงโดนหมั่นไส้หนักกว่าเก่า ดีไม่ดีโดนตามราวีทั้งวันเที่ยวไม่สนุกกันพอดี

            เพื่อนหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เราจึงเลือกถ่ายรูปกับน้องควายผู้แสนน่ารักระหว่างรอจาฟาร์และผองเพื่อนออกไปจากลานแสดง



            ได้ทั้งขี่ควาย นั่งควายเทียมเกวียนไอ้ดื้อก็ดูอารมณ์ดีขึ้นเยอะ เราไปต่อกันที่คาเฟ่ที่มีชื่อว่า ‘กินแฟ ดูฟาย’ เป็นร้านที่สามารถกินกาแฟและดูน้องควายอาบน้ำไปพร้อมๆ กัน

            อากาศร้อนในหน้าหนาวบวกกับกลิ่นโคลนสาบควาย ฟังแล้วอาจจะดูแย่แต่บรรยากาศกลับดีกว่าที่คิด

            ลาเต้ ชาเขียว และลูกชิ้นทอด มีเปลตาข่ายยื่นออกมาคล้ายกับที่มัลดีฟแต่เปลี่ยนจากน้ำทะเลเป็นสระน้ำสีขุ่นให้นั่งเล่น ผ่อนคลายไปกับการดูน้องควายว่ายน้ำ พร้อมบริการพิเศษที่สามารถให้อาหารน้องควายได้ด้วย

            ไม่รู้ว่าจาฟาร์กับกลุ่มเพื่อนหายไปไหนแต่ก็ดีแล้วที่พวกนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ เด็กดื้อที่ชมน้องควายว่านักรักไม่หยุดปากเลยยิ่งอารมณ์ดี คว้าหญ้ามาโบกๆ ควายทั้งฝูงก็พร้อมใจกันว่ายมาหา

            "พี่กาล หรือจริงๆ แล้วควายเป็นสัตว์น้ำ" สะกิดยิกๆ ชี้ให้ผมดู ท่าทางตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อยที่ได้เห็นเจ้าสัตว์บกตัวใหญ่ที่ชื่นชอบการแช่น้ำ

            "ควายมันชอบน้ำ"

            "ดูดิน่ารัก เขามันใหญ่มากอ่ะ"

            "ครับ น่ารัก" น่ารักทั้งควายทั้งคนให้อาหาร

            ไอ้ดื้อเล่นกับควายส่วนผมถ่ายรูปคนกับควายอีกที หญ้าหมดคนก็กลับมากินของว่างที่ซื้อไว้ ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนผ่อนคลายที่ผมว่ามันก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ คิดไม่ผิดเลยที่ชวนมา

            "พี่กาล"

            หันไปมองคนเรียก ไอ้ดื้อนั่งขัดสมาธิหันหน้ามาหา คล้ายกับมีเรื่องจริงจังอยากคุยด้วย

            "ถามได้มั้ยอ่ะ ว่าทำไมคนนั้นเขาถึงดูเกลียดพี่กาลขนาดนั้น คุยหลายคนต้องโกรธแหละอันนี้เข้าใจ แต่น่าจะมีเรื่องอะไรที่ทำให้โกรธจนไม่อยากอภัยด้วยหรือเปล่า อันนี้เดาเฉยๆ ไม่ได้จะว่าหรือจับผิดนะ จะไม่ตอบก็ได้ แต่ก็อยากรู้" ถามเองลนเอง แต่สายตาเป็นประกายอยากรู้นั้นไม่สั่นไหวเลยตั้งแต่เริ่มพูดจนจบประโยค

            "เพราะดันไปคุยซ้อนกับเพื่อนฟาร์ด้วยไง" มันไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากเล่าแต่ก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง

            "แบบนั้นกลุ่มแตกดิ"

            "ก็ทำนองนั้น แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นกลุ่มแตก พี่ไม่รู้ว่าเขาเป็นเพื่อนกันไง ตอนคุยกับฟาร์ไม่ได้จะปิดบังแต่ก็ไม่ได้เปิดตัว ก็ตามสไตล์พี่อ่ะคุยไปเรื่อยๆ ไม่ได้จริงจัง"

            "ตอนนั้นพี่กาลคุยกี่คน"

            ผมมองเข้าไปในแววตาของคนถาม กลัวว่าถ้าพูดไปแล้วจะทำให้ความเชื่อใจที่มีต่อผมลดลงอีกหรือเปล่า เพราะตอนนั้นผมไม่ได้คุยแค่จาฟาร์กับเพื่อน แต่ยังมีเด็กดื้อที่ชื่อเอิร์ธด้วยอีกคน

            "แค่สองคนนั้นแหละ" สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่บอกความจริง

            "แล้วความแตกได้ไง"

            "เล่าไปแล้วจะเกลียดพี่มั้ย"

            "มันร้ายแรงเหรอ"

            "ก็เปล่า ไม่ขนาดนั้น"

            "ที่มายืนอยู่จุดนี้ก็ใช่ว่าผมไม่รู้จักพี่กาลมาก่อนนะ ก็เพราะยอมรับไง เรื่องในอดีตไม่เก็บมาคิดใส่ใจหรอก"

            "แต่ก็หวั่นไหวเพราะความฝันกับพี่รหัส"

            "ก็ไม่ได้คิดว่าเก่งกล้าสามารถจนปราบพยศคนเจ้าชู้ได้สักหน่อย"

            "พี่เลิกเจ้าชู้ตั้งนานแล้วเถอะ"

            "แต่ก็ทำให้ผมระแวงจนต้องเอาตัวเข้าแลกนี่ไง"

            "เอิร์ธ" ผมลากเสียงยาวเรียกชื่อเด็กดื้อเมื่อโดนเล่นงาน ส่วนคนที่กำลังอารมณ์ดีนั้นยิ้มตาปิด

            "ถ้าพี่กาลลำบากใจไม่ต้องเล่าก็ได้นะ"

            "เพราะได้กับพี่นี่แหละ"

            ไอ้ดื้อเลิกคิ้วเป็นเชิงถามอีกรอบเมื่อผมตอบ ตอนนั้นมันเป็นช่วงที่ชีวิตผมค่อนข้างวุ่นวาย คุยกับจาฟาร์ได้ไม่ถึงเดือนไอ้ดื้อก็เข้ามาในชีวิต เก็บน้องเอาไว้โดยที่ไม่บอกให้ใครรู้ ถัดมาอีกหนึ่งอาทิตย์เพื่อนของจาฟาร์ก็เข้ามา ไอ้ดื้อเป็นคนที่รู้เรื่องทุกอย่างแต่ก็ยังยอมอยู่ในที่ของตัวเองเงียบๆ ความสัมพันธ์ที่ผมไม่คิดจริงจังดำเนินต่อไปจนกระทั่งจาฟาร์รู้เรื่องเพื่อนของตัวเอง

            "เพื่อนฟาร์เอาไปคุยว่าได้นอนกับพี่ก็เลย..." ละไว้ในฐานที่น่าจะเข้าใจ

            คนฟังพยักหน้ารับ หยิบชาเขียวขึ้นมาดูดก่อนขยับหันหน้าไปมองฝูงควายที่กำลังว่ายน้ำเล่นสบายใจ แต่เป็นผมเองที่เริ่มไม่สบายใจแล้ว

            "คิดมากอีกมั้ยเนี่ย"

            "เปล่า"

            "เลิกแล้วจริงๆ นะนิสัยแบบนั้น"

            "บอกกันรอบที่ร้อยแล้วพี่กาล" หันมาหัวเราะใส่เบาๆ แต่เบาใจไม่ได้ เด็กคนนี้มันเก็บความรู้สึกที่ไม่อยากแสดงออกเก่งนัก

            นั่งมองฝูงควายที่ดูจะอยู่ดีกินดี มีน้ำให้ว่ายเล่น มีคนคอยให้อาหารแล้วนึกอิจฉาที่ชีวิตผมต้องมาเจอเรื่องน่าปวดหัวแบบนี้ จะมีทางไหนอีกบ้างที่จะทำให้ไอ้ดื้อเชื่อใจผม อาจไม่ต้องเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงแค่ไว้ใจว่าผมจะไม่มีทางออกนอกลู่นอกทางอีก ผมต้องทำยังไง

            "เอิร์ธ"

            เจ้าของชื่อหันมามอง สิ่งที่ผมจะพูดออกไปอาจไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่สุด แต่มันคือสถานะที่ผมไม่เคยได้มอบให้ใคร

            "เป็นแฟนพี่นะ"

            "พี่กาล มันเร็วไป" คำตอบไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้ เพราะมันเป็นคำตอบเดียวกับตอนที่ผมขอไอ้ดื้อเป็นแฟนครั้งแรก

            "จะบอกว่าเรายังไม่รู้จักกันดีพอเหรอ"

            "หรือไม่ใช่ พี่รู้จักผมยังไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ"

            ผมไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่ายเลย อยากรั้งไม่ให้ไปแต่กลับไม่ยอมขยับสถานะ มันเร็วไป ใช่ ก็แค่สองอาทิตย์กว่า แต่สำหรับผมมันนานเกินพอแล้ว

            "แล้วถ้ามากกว่าหนึ่งเดือนเราจะยอมตอบตกลงมั้ย"

            คนฟังขมวดคิ้วใส่ ในเมื่อห่วงเรื่องเวลานักผมจะยอมสารภาพก็ได้

            "ไม่ใช่แค่เอิร์ธหรอกที่ตกหลุมรักก่อน"

            "ยังไง"

            "ไปร้านข้าวบ่อยขนาดนั้นคิดว่าพี่จะไม่เห็นเราจริงๆ เหรอ ไม่งั้นคงไม่รู้หรอกว่าเด็กแถวนี้ชอบกินข้าวมันไก่"

            "เดี๋ยวนะ แล้วทำไมตอนนั้นบอกไม่เคยเจอ" ไอ้ดื้อเบิกตากว้างถามกลับ

            "เราก็หลอกพี่เหมือนกัน เพราะงั้นก็หายกันนะ"

            ตอนนั้นเราต่างโกหกกันว่าไม่เคยเจอกันมาก่อน จนไอ้ดื้อมาสารภาพหมดเปลืองตอนเมาว่าแอบชอบผมมานานแค่ไหน

            "จริงดิ แอบมองเหรอ งั้นที่บอกว่ารู้จักชื่อจากพวงกุญแจก็โกหกอ่ะดิ" ถามรัวหน้าตาตื่น เราใจคงเต้นแรงไม่ต่างกัน ทั้งคนสารภาพและคนฟัง

            "ประมาณนั้น"

            "แล้วที่ตามไปบ้าน"

            "เพราะคิดว่าไหนๆ ก็เป็นโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกันแล้วไง"

            "แล้วทำไมตอนนั้นไม่พูดความจริงอ่ะ" ขยับตัวเข้ามาใกล้เหมือนอยากได้ยินคำตอบชัดๆ

            "เพราะเป็นคนหล่อมีฟอร์ม เป็นอดีตผู้ชายเจ้าชู้ เลยไม่อยากตกหลุมรักใครก่อน"

            "ได้เหรอพี่กาล"

            ได้ไม่ได้ก็ทำให้เด็กดื้อยิ้มออก เรื่องที่ผมพูดไปอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดเพราะมันคือความจริงที่พอจะปรับแต่งให้อีกฝ่ายเชื่อได้ การโกหกซ้ำๆ ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำ แต่การโพล่งออกไปว่าความฝันที่อีกฝ่ายฝันถึงคือเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงในอดีตหรือคุณคือคนใกล้ตายที่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ ผมว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดี

            "พี่มองเอิร์ธมานานแล้วนะ มองโดยไม่คิดว่าจะชอบ แต่ก็ดันชอบขึ้นมาจริงๆ แม้ตอนนั้นจะยังทำตัวเหลวไหลอยู่ก็เถอะ"

            "แบบพี่กาลน่ะเหรอ แค่มองก็ชอบ..."

            "งั้นก็ลองถามตัวเราเองว่าทำไมถึงชอบพี่ คำตอบมันคงไม่ต่างกันนักหรอก"

            จุดเริ่มต้นความชอบของผมไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้ก็จริง แต่ถ้าคนมันจะรัก ถึงไม่เคยคุย แค่เห็นเขาในสายตาทุกวันมันก็รัก คนอย่างผมก็ไม่มีข้อยกเว้น

            "เป็นแฟนกันนะ" ถามย้ำอีกรอบ ไอ้ดื้อสบตาผมนิ่งจนกลัวว่าคำตอบจะออกมาเหมือนเดิม กระทั่งริมฝีปากคู่นั้นค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา

            "ครับ"

            ให้ควายทั้งฝูงเป็นพยาน ในที่สุดเด็กดื้อก็ยอมตอบตกลงเป็นแฟนผมสักที



            ออกจากคาเฟ่ก็สวนกับกลุ่มของจาฟาร์พอดี ต่างฝ่ายต่างจ้องกันคล้ายอยากหาเรื่อง ผมจับมือไอ้ดื้อไว้แน่น เราเดินสวนกันโดยไม่มีใครพูดหรือเอ่ยทักอะไร ลงสะพานมาได้ผมก็โล่งใจ ขอบคุณที่อีกฝ่ายไม่นึกแค้นแล้วผลักเราตกสระให้ไปเล่นน้ำเป็นเพื่อนควายซะก่อน

            เพราะตื่นช้ากว่าจะออกจากบ้านก็เที่ยงกว่า แผนเที่ยวที่วางกันไว้เลยล่มไม่เป็นท่า บึงฉวากกับตลาดสามชุกร้อยปีถูกตัดออกจากทริป มุ่งหน้าตรงสู่หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยเสร็จแล้วตีรถกลับเข้าเมือง ได้แวะร้านเอกชัยซื้อสาลี่กลับไปเป็นของฝากอีกนิดหน่อย

            ส่งไอ้ดื้อแล้วผมก็ตรงกลับบ้าน เจอลิขิตมันนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาก็เดินไปทิ้งตัวข้างๆ พ่อน่าจะยังไม่กลับ ส่วนแม่น่าจะกำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว

            "หน้าบานเป็นจานข้าวหมา"

            "เป็นอย่างอื่นได้มั้ยไอ้สัด"

            ลิขิตมันมองผมตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว สาเหตุนั้นไม่ต้องเดา เมื่อควายทั้งฝูงได้เป็นพยาน ผมก็ได้ป่าวประกาศให้ผู้ติดตามทุกคนได้รับรู้หมดแล้ว

            "เร็วจัดเลยนะ"

            "คนมันหล่อก็งี้"

            "โรแมนติกมั้ยวะขอเป็นแฟนที่คาเฟ่ควาย เผื่อกูชวนพุดไปเที่ยวบ้าง"

            "ก็ดีนะมึง บรรยากาศโคตรดี น้องควายน่ารัก"

            "คนมันกำลังอินเลิฟอ่ะนะ อะไรก็ดีไปหมด"

            ผ่านความทรมานมาเป็นปีมันต้องดีอยู่แล้ว ผมคนใหม่กับความรักครั้งเก่า ผลตอบรับที่ออกมาไม่แย่นัก หลายคนพอจะเดาได้เพราะเราแท็กหากันในไอจีบ่อยๆ บ้างยินดีบ้างครหาว่าเราจะคบกันได้นานสักเท่าไร แต่มันก็เป็นแค่ความคิดของคนนอก ความสัมพันธ์จะสั้นหรือยาวผมกับไอ้ดื้อจะกำหนดมันเอง

            "แล้วไง สรุปเรื่องของมึงจบแล้วเหรอตกลงคบกันแบบนี้"

            "กูไม่รู้ว่ะ"

            ผมยังไม่รู้สึกเลยว่ามันจะจบลง แค่ทำในสิ่งที่พอทำได้ก็เท่านั้น หากเรื่องราวครั้งนี้คือการแก้ไข้สิ่งผิด สิ่งที่ผมควรทำให้ถูกต้องคือไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก ผ่านมันไปได้เมื่อไรเรื่องนี้ก็คงจะจบ ผมคิดแบบนั้น แต่เหมือนยิ่งพยายามวิ่งหนีไอ้เรื่องแปลกประหลาดนี้กลับพยายามลากผมเข้าไปหาสิ่งผิดพลาดในอดีตตลอด

            "แต่ก็เป็นแฟนกันแล้วนะ แบบนี้มันดีแล้วไม่ใช่เหรอ"

            "ก็ดี แต่กูว่ามันยังไม่จบง่ายๆ หรอก กูยังผ่านปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ได้เลย"

            "มันคงใช้เวลาซักเดือนนึงล่ะมั้ง"

            "ทำไมวะ" ผมหันนขวับไปมองมัน ไม่ใช่เพราะผมอยากรู้ แต่เป็นเพราะผมเองก็คิดว่ามันคงจบราวๆ นั้นเหมือนกัน

            "เพราะเรื่องของกูกับพุดก็ใช้เวลาประมาณนั้น นี่กูบอกมึงเยอะมากเลยนะเนี่ย"

            "เออเนอะ บอกโคตรเยอะเลย เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากๆ ต้องขอบคุณมึงจริงๆ ว่ะ"

            "ไม่เป็นไรมึง พี่น้องกัน มีอะไรช่วยๆ กัน"

            เรายิ้มให้กัน ต่างฝ่ายก็ต่างกวนประสาทใส่กัน แต่ผมรับรู้ได้ถึงความห่วงใยของมันนะ ไม่งั้นคงไม่ถามไถ่กันตลอด

            น่ารักรองจากไอ้ดื้อก็คือพี่ชายผมเอง


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เรื่องที่จะทำให้เอิร์ธเป็นเจ้าชายนิทรารึป่าว  :ling2:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
เรื่องความสนิทกับณดาคือเรื่องที่ปู่มาเตือนใช่ไหม หวังว่าจะไม่มีมาม่ามากกว่านี้นะ

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :katai1: :katai1: :katai1:  ประสาทจะกินแล้วววววว

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสิบสาม


                ตั้งแต่เรื่องราวสุดแปลกประหลาดในชีวิตเกิดขึ้นผมก็เป็นเด็กดีทำตัวอยู่ในลู่ในทางตลอด ไม่สังสรรค์ไม่ออกเที่ยว เพื่อนชวนก็ปฏิเสธเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่สำหรับไอ้ดื้อนั้น

                ‘วันนี้ไปกินเหล้านะ วันเกิดเพื่อน บอกเฉยๆ’

                ได้บอกแบบนี้กับผมเป็นรอบที่สองแล้ว

                แม้จะขยับสถานะมาเป็นแฟนผมก็ไม่ห้ามไม่ตีกรอบ อ่านไลน์ที่อีกฝ่ายส่งมาแล้วคิดว่าช่วงเวลานี้ในอดีตมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ช่วงสัปดาห์ที่สามนอกจากเรื่องน่าปวดหัวของจาฟาร์กับเพื่อนแล้วยังมีอีกเรื่องที่ทำให้ผมหงุดหงิด เป็นชนวนเหตุของเรื่องราวแย่ๆ และผมมั่นใจว่ามันต้องเข้ามาปั่นป่วนชีวิตผมเหมือนเดิม

                ‘ร้านไหน’

                ‘ร้านเดิมครับ’

                ‘ไปยังไง’

                ‘แท็กซี่แหละ ใกล้ๆ’

                ‘กี่โมง’

                ‘ไปสองทุ่ม กลับยังไม่รู้’

                ‘ระวังตัวนะ’

                ‘รู้แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก ไปกับเพื่อน’

                จะไปกับใครผมก็ห่วง ในตอนนั้นช่วงนี้เป็นเวลาแห่งความอ่อนไหวเมื่อหลายๆ ปัญหาเข้ามารุมเร้า อาการหึงหวงของผมเริ่มแสดงชัดทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมกลายเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่าย ใช้อารมณ์จัดการกับปัญหา พูดจาไม่คิดจนส่งผลแย่ๆ ตามมา แล้วระเบิดทุกอย่างใส่คนที่ไม่มีความผิดใดๆ

                ‘ถึงร้านแล้วบอกพี่ด้วยนะ’

                ‘ครับ จะรายงานทั้งไปทั้งกลับเลย’

                ‘อย่าเมามากนะ ถ้าไม่ไหวก็บอก’

                ‘โอเค’

                ผมยิ้มให้กับคำธรรมดาๆ ที่แสนน่ารัก ตอนพิมพ์อีกฝ่ายต้องทำหน้าดื้อใส่มือถืออยู่แน่ๆ

                เราคุยกันเรื่องสัพเพเหระต่ออีกนิดหน่อยก่อนแยกย้าย ออกจากไลน์ไอ้ดื้อก็กดเข้าไลน์กลุ่มเพื่อน แค่พิมพ์ไปว่า ‘วันนี้ไปร้านเดิมกันมั้ยพวกมึง’ ก็ได้การตอบรับเป็นอย่างดี ตกลงกันเรียบร้อยที่ร้านประจำตอนสองทุ่ม เสร็จแล้วก็กลับเข้าไลน์ไอ้ดื้ออีกรอบเพื่อบอกข่าว

                 ‘เพื่อนพี่มันเพิ่งนัดเหมือนกัน ยังไงเดี๋ยวพี่ไปรับแล้วไปพร้อมกันเลยนะ’

               

                ถึงจะบอกว่าเพื่อนนัดแต่มีหรือที่ไอ้ดื้อจะไม่รู้ทัน ไลน์ตอบรับโดยไม่ว่าอะไร แต่ตอนไปรับยิ้มกรุ้มกริ่มมาตั้งแต่หน้าบ้าน ขึ้นรถได้ก็แซวผมทันที

                "ขี้หวง"

                "ก็มีให้หวง"

                "ถ้าเพื่อนรู้ว่าพี่กาลไปเฝ้ามันแซวแน่ๆ" ได้ข่าวว่าตอนเพื่อนรู้ว่าคบกันก็โดนแซวหนักอยู่เหมือนกัน

                "ก็บอกไปว่าพี่มากับเพื่อน บังเอิญเจอ"

                "มันคงเชื่อกันหรอก"

                "ไม่เชื่อก็ปล่อยเขา พี่ไปได้กินนานแล้วด้วยไง จังหวะมันได้พอดี"

                "เออเนอะ ตั้งแต่ปิดเทอมยังไม่เห็นพี่กาลไปเที่ยวไหนเลย แต่ก่อนออกทุกวัน"

                ไม่ใช่ทุกวันแต่ก็ไม่แก้ตัว ให้มันรู้ไปเลยว่าผมปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นขนาดไหน เรียนหนักก็ต้องพัก กลัวคนเป็นห่วงนักก็ต้องเลิกพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง

                สองทุ่มกว่าเราก็มาถึงร้าน ย้ำเด็กดื้ออีกครั้งว่าให้ระวังตัวอีกฝ่ายก็รับปากแข็งขัน เดินเข้าร้านพร้อมกันแต่แยกไปนั่งคนละมุม ยังดีที่โต๊ะพวกผมไม่ไกลจากโต๊ะกลุ่มน้องมาก พอให้สังเกตสถานการณ์ได้ มีอะไรฉุกเฉินจะได้รีบพุ่งเข้าชาร์ต

                "ที่แท้แม่งก็มาเฝ้าแฟนว่ะ"

                แม้ไม่รู้จุดประสงค์ที่ผมชวนในทีแรกแต่เมื่อเห็นว่าผมเดินเข้ามากับใครเพื่อนๆ ก็รู้ความตั้งใจของผมทันที แน่นอนว่าต้องโดนแซว

                "สิ้นลายแล้วน้องเหนือกู"

                "ยังไม่ได้เค้นเลยว่าคนนี้ไปเจอที่ไหน ทำไมพวกกูไม่เคยเจอ เห็นแท็กกันในไอจีนึกว่าจะเล่นๆ สรุปคบเฉย"

                "กูไปส่องมาละ ศิลป์กรรมปีหนึ่ง เอกออกแบบ"

                ผมได้แต่ส่ายหน้ากับคำแซวของพวกมัน ยกแก้วขึ้นจิบขณะที่สายตาจับจ้องอยู่ที่โต๊ะไอ้ดื้อ

                สถานการณ์ยังปกติ

                "จะไม่เล่าให้พวกกูฟังจริงดิว่าไปเจอได้ไง"

                "เจอกันที่ร้านข้าวแถวหอกู"

                "ปกติหิ้วจากร้านเหล้า เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปหิ้วจากร้านข้าวนะครับ"

                "หิ้วก็เหี้ยละ"

                พวกมันหัวเราะชอบใจ ผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องที่เพื่อนแซวนัก เป็นคนยอมรับความจริงเสมอ เพราะถ้าเรื่องไหนไม่มีมูลคงไม่มีใครเอามาพูด

                "แล้วยังไงต่อวะ ไปถูกใจกันได้ไง ขอแบบละเอียดๆ"

                ผมยังคงโดนซักอย่างต่อเนื่อง ก็เล่าไปตามที่พอจะพูดได้ ในอดีตกลุ่มเพื่อนผมไม่มีใครรู้เรื่องไอ้ดื้อเพราะผมไม่เคยพูด และน้องเองก็ไม่เคยป่าวประกาศว่ามีความสัมพันธ์กับผมยังไง รวมถึงเรื่องราวที่กลายเป็นฝันร้ายของผมพวกมันก็ไม่รู้ว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้อง

                "กูขอไปชนแก้วซักครั้งได้มั้ยวะ ทำไมน้องเหนือของพวกกูชอบได้เพราะแค่เห็นบ่อยๆ เนี่ย" พวกมันไม่ยอมเลิกใส่ใจเรื่องไอ้ดื้อง่ายๆ ทำท่าจะลุกไปหาจริงๆ จนผมต้องรีบดึงมันกลับมา

                "อย่าเยอะไอ้สัด"

                "แต่แฟนมึงหน้าเหมือนแฟนพี่เหนือเลยนะ" ห้ามคนหนึ่งได้อีกคนก็เปิดประเด็นต่อ

                "เออใช่ กูว่าจะทักเหมือนกัน เหมือนแฝดกันมากกว่าพวกมึงอีก ต่างแค่สีผม"

                "เหมือนแฟนไอ้พี่เหนือจะรุ่นเดียวกันปะวะ แต่เรียนคนละมอ"

                ผมปล่อยให้พวกมันถกกันเรื่องแฟนของเราสองพี่น้องต่อไป คอยตอบเมื่อถูกถาม หันมองโต๊ะไอ้ดื้อเป็นระยะเพื่อสังเกตการณ์ มีบ้างที่บังเอิญสบตากันพอดีเด็กดื้อก็ฉีกยิ้มให้

                สถานการณ์ยังปกติ

               

                ยิ่งดึกยิ่งครึกครื้น แอลกอฮอล์ในร่างายเพิ่มสูงขึ้นความกล้าหาญก็เพิ่มขึ้นตาม ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงที่ผมเห็นทุกเหมือนจะปกติแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะรู้ถึงได้เลือกที่จะตามมาเฝ้า เมื่อได้เวลาสัตว์กินเนื้อก็เริ่มออกล่า ตัวผมในอดีตเองก็เคยเป็นแบบนั้นถึงได้รู้ดี

                "มึงๆ โต๊ะนู้นมองตั้งนานละ" โดนเพื่อนสะกิดบอกแต่ผมรู้ตัวตั้งนานแล้ว

                "กูมีแฟนแล้วเผื่อมึงลืม"

                "ไม่ลืมจ้า ลองทักเผื่อน้องเหนือสนใจเฉยๆ"

                "ไอ้ส้นตีน"

                โดนด่าไปมันก็หัวเราะชอบใจ แล้วไม่วุ่นวายกับผมเรื่องนี้อีก

                ผมยังคอยมองไปทางโต๊ะไอ้ดื้อเป็นระยะ และแล้วผู้ล่าคนนั้นก็ผ่านเข้ามาในสายตา ผมจำเขาได้ดี บุคคลที่ช่วยกระตุ้นความหึงหวงของผม ครั้งนี้เขาก็ยังคงทำหน้าที่นั้น แต่ผมรู้ทันหมดแล้ว

                เหตุการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนกับในอดีต และผมไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาจะโผล่มาจริงๆ เพียงเดาจากระยะเวลาและความน่าจะเป็นเท่านั้น

                ผู้ชายคนนั้นชื่อแฮม เรียนคณะวิทยาศาสตร์ อยู่ปีเดียวกับผม ครั้งอดีตมันรู้จักเพื่อนในกลุ่มไอ้ดื้ด แต่แปลกที่แม้ในตอนนี้เพื่อนไอ้ดื้อไม่ใช่กลุ่มเดิมมันก็ยังเข้ามาวอแวคนของผมได้อยู่

                ด้วยเจตนารมณ์อันชัดเจนว่าต้องการอะไรไม่ต่างจากครั้งก่อนมองแค่ปราดเดียวผมก็รู้ หากเป็นในอดีตผมจะไม่ติดใจกับการกระทำของไอ้แฮมเลย แต่เมื่อตอนนี้ไอ้ดื้อมีแฟนแล้วมันกลับยังคิดที่จะทำแบบนี้อยู่ จะอ้างว่าไม่รู้ว่าผมกับเอิร์ธคบกันแล้วก็ไม่น่าใช่ นอกเสียจากว่าเรื่องราวแปลกประหลาดจะสร้างความทรงจำใหม่ให้มัน

                เด็กดื้อที่โดนจู่โจมหันมาส่งสายตาให้ผมตลอด คล้ายกับต้องการเช็กว่าผมยังโอเคมั้ย คิดมากอะไรหรือเปล่า ไอ้ดื้อยังคงทำตัวเป็นเด็กดีไม่เล่นกับอีกฝ่ายจึงทำให้ผมเบาใจ ทำเพียงนั่งสังเกตการณ์ต่อไปอย่างสงบ พร้อมกับทีมงานที่ช่วยสอดส่องอีกแรง

                "ไอ้นั่นมันเข้าไปคุยกับแฟนมึงไม่ใช่เหรอวะ"

                "เออ เห็นแล้ว"

                "แล้วจะปล่อยไว้งี้เหรอ"

                "ก็แค่คุย น้องมันไม่ยุ่งหรอก กูไม่อยากเข้าไปเดี๋ยวมีประเด็น"

                พวกมันรู้ดีว่าตอนผมโกรธเป็นยังไง ยิ่งกับไอ้คนนั้นที่พอจะรู้นิสัยอยู่บ้าง ถ้าพุ่งเข้าไปหาตรงๆ ไม่มีใครยอมถอยง่ายๆ แน่

                ปล่อยให้ถูกวอแวได้ไม่เท่าไรไอ้ดื้อก็เดินออกมาจากโต๊ะ เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง พอเพื่อนๆ พยักหน้ารับถึงได้ผละออกมา ทุกคนต่างมองตาม มันคนนั้นก็ด้วย

                ริมฝีปากผมยกยิ้มทันทีเมื่อมั่นใจในเส้นทางที่อีกฝ่ายกำลังเดินมา นั่งรอยกแก้วขึ้นจิบเงียบๆ เพียงชั่วอึดใจเด็กดื้อก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า กลุ่มเพื่อนผมหยุดการเคลื่อนไหว ทิ้งสายตาไว้ยังคนที่เพิ่งมาถึงอย่างพร้อมเพรียง

                "ว่าไงครับ" ผมวางแก้วลงเปลี่ยนไปคว้ามือไอ้ดื้อมาจับแทน

                "อยากมาหาเฉยๆ นั่งด้วยได้มั้ยครับ"

                พวกมันรีบขยับที่ทางก่อนผายมือเชิญให้ไอ้ดื้อนั่งลงข้างผม น้องยิ้มขอบคุณไอ้พวกขี้หลีก็รีบยิ้มกว้างกลับไปให้ทันที

                ผมมองกลับไปที่โต๊ะไอ้ดื้อ กับเพื่อนๆ น้องเราค้อมหน้าพยักหน้าทักทายกันพอเป็นพิธีเมื่อบังเอิญสบตากันเข้าพอดี ส่วนมันคนนั้นดูเหมือนจะกลับโต๊ะตัวเองไปแล้ว

                "กินอะไรมั้ยครับ เดี๋ยวพี่ชงให้" เพื่อนผมถามพลางมองหาแก้ว น้ำเสียงที่ใช้ถามเบิกบานจนน่าหมั่นไส้

                "ไม่เป็นไรครับ"

                "กินแก้วพี่ก็ได้" ผมเลื่อนแก้วไปให้ ไอ้ดื้อแค่ยิ้ม ไม่แตะต้องอะไรสักอย่าง

                ปกติถ้ามีใครมาหาผมที่โต๊ะพวกมันจะทำตัววุ่นวายพูดกันไม่หยุดปาก แต่พอเป็นไอ้ดื้อกลับไม่มีใครแซวอะไรสักคน อาจจะเป็นเพราะระดับความจริงจังที่ผมแสดงออกต่อคนคุยแต่ละคนแตกต่างกันก็ได้ อีกอย่างไอ้ดื้อเป็นแฟนไม่ใช่คนคุย

                "พี่กาล" เห็นว่าเพื่อนผมเลิกสนใจไอ้ดื้อก็เรียก

                "ครับ"

                "เมื่อกี้เห็นใช่มั้ย" ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ทั้งที่เสียงเพลงก็ไม่ได้ดังขนาดนั้น

                "ที่มีคนมาคุยน่ะเหรอ"

                "อืม เห็นจ้องซะ"

                "ก็หวง"

                "แล้วไม่ไปหาอ่ะ"

                "ไม่อยากทำตัวมีปัญหาไง"

                "แต่สายตาอาฆาตมาก"

                "ขนาดนั้นเลย" นึกภาพตามแล้วผมก็ขำตัวเอง แค่มองเฉยๆ สายตาผมมันดูปองร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ

                "เลยเดินมาหานี่ไง เลี่ยงพี่แฮมด้วย ตอนแรกจะไปเข้าห้องน้ำแต่กลัวพี่กาลไม่ตามไป แล้วพี่แฮมตามไปแทน"

                "มันวอแวขนาดนั้นเลยเหรอ"

                "คนเมาอ่ะ พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง"

                "ชื่อแฮมเหรอ มันเป็นใคร" แกล้งถามออกไป

                "ใช่ เรียนมอเดียวกันนี่แหละ อยู่คณะวิทย์ ปีเดียวกับพี่กาล เพื่อนในกลุ่มรู้จักก็เลยพอรู้จักด้วย"

                "คุยอะไรกันไปบ้าง"

                "ชวนชนแก้ว ชวนคุย จะจีบอ่ะดูออก พี่มันก็รู้นะว่าผมมีแฟนแต่ดูไม่สนใจไม่รู้เพราะเมาหรือเปล่าเลยเดินหนีออกมา" ขยับปากมุบมิบฟ้อง หน้าดื้อจนอยากจูบโชว์เพื่อนสักที

                ยีผมสีม่วงอมชมพูที่แข็งเหมือนไม้กวาดจนยุ่งแล้วกดจูบที่ขยับไปหนึ่งที คนที่ไม่ชอบให้แสดงความรักในที่สาธารณะถลึงตาใส่รีบขยับตัวออกห่าง แต่เพื่อนผมมันไม่สนใจหรอก กับคนอื่นมากกว่านี้ก็เคยทำต่อหน้าพวกมันมากแล้ว

                "ขอบคุณนะครับ"

                "ขอบคุณอะไร" คนฟังทำหน้างง

                "ขอบคุณที่น่ารัก"

                ไอ้ดื้อยู่หน้าใส่ ไอ้คนที่นั่งใกล้ผมได้ยินมันก็ทำท่าเหมือนจะอ้วก มันทำไมนัก คนอย่างผมจะพูดจาหวานๆ กับแฟนไม่ได้เลยหรือไง

                "ไปห้องน้ำมั้ย เมื่อกี้เห็นบอกว่าจะไป"

                "แค่จะหนีเฉยๆ"

                "งั้นไปเป็นเพื่อนพี่หน่อย" ลุกจากโต๊ะแล้วคว้ามือให้เดินมาด้วยกันโดยไม่รอคำอนุญาต เพื่อนผมมันรีบโบกมือให้ เพราะไปห้องน้ำไม่จำเป็นต้องไปปลดทุกข์อย่างเดียว

                ผมพาไอ้ดื้อเข้าห้องด้านในที่ยังว่าง ปิดประตูแล้วก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามาจูบ คนที่รู้ชะตากรรมตัวเองอยู่แล้วไม่ต่อต้าน ซ้ำยังให้ความร่วมมืออย่างดี จูบๆ พักๆ อยู่หลายรอบ

                "กลับห้องเลยได้มั้ย" รั้งตัวเข้ามากอด กระซิบถามตอนคลอเคลียอยู่ข้างแก้ม พอเอาแอลกอฮอล์เข้าร่างกายไปได้ประมาณหนึ่งแล้วโดนกระตุ้นต่อร่ายกายก็ยิ่งตื่นตัว

                "มันทนไม่ไหวขนาดนั้นเลยเหรอ"

                "ครับ ทนไม่ไหวกลัวจะไม่ถึงห้อง"

                "พี่กาลลล" ไอ้ดื้อลากเสียงยาวเหมือนจะรับไม่ได้แต่กลับหัวเราะ

                "นะครับ"

                "ขอกลับไปบอกเพื่อนก่อนได้มั้ย"

                "เดินไปเดินมาทำไม ในเมื่อเรามีไลน์"

                คนในอ้อมกอดยอมแพ้ กดจูบที่ริมฝีปากแรงๆ อีกหนึ่งทีผมถึงปล่อยตัวแต่ยังจับมือไว้ไม่ให้ห่างไปไหน กลับมาถึงรถแล้วถึงได้ส่งไลน์บอกเพื่อนๆ ว่าขอตัวกลับก่อน



                ตลอดทางที่ขับรถกลับห้องไอ้ดื้อหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังไม่หยุด หรืออาจจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์อ่อนๆ เจ้าตัวเลยเล่นมุกเองตบเองแล้วหัวเราะเสียงดังอยู่คนเดียว เวลาที่ริมฝีปากแสนดื้อขยับไปมาช่างน่ามันเขี้ยว อดไม่ไหวเลยต้องดึงมาจุ๊บทุกครั้งที่ติดไฟแดง

                เพราะไอ้ดื้อบ่นหิวเราเลยแวะเซเว่นข้างหอกันก่อนขึ้นห้อง ภาพในหัวผมที่คิดว่าปิดประตูห้องเราปุ๊บจะพุ่งเข้าหากันด้วยความร้อนแรงเป็นอันต้องสลาย กลายเป็นนั่งจิบเบียร์กระป๋องมองอีกคนซดมาม่าคัพรสหมูสับด้วยความหิวโหยแทน

                "ไปอาบน้ำก่อนไป" เห็นไอ้ดื้อวางถ้วยมาม่าที่กินจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น้ำลงบนโต๊ะผมก็ออกคำสั่ง แต่เด็กดื้อก็ขยันเถียง

                "เขาบอกห้ามอาบน้ำหลังกินเสร็จ ต้องรอครึ่งชั่วโมง"

                "แค่มาม่าถ้วยเดียว ไปอาบเลยอย่าลีลา"

                "ไม่อาบก็ได้นะ ขี้เกียจแล้วอ่ะ"

                "ให้เวลากินตั้งหลายนาทีอาบน้ำให้หอมๆ หน่อย"

                "แล้วตอนนี้ไม่หอมเหรอ" ทั้งสีหน้าทั้งน้ำเสียง มันน่าจับกดโซฟาตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

                "หรือจะอาบด้วยกัน"

                "ไม่เอาอ่ะ ไม่ชอบที่แคบ"

                "งั้นก็รีบลุกเลยถ้าไม่อยากโดนจับอาบน้ำ"

                คำขู่ได้ผลเมื่อเด็กดื้อยอมทำยอมที่บอก แต่ก็ไม่วายทำหน้างอแงใส่ก่อนเดินเข้าห้องนอนผมไปหยิบผ้าขนหนู ตอนเดินออกมาจากห้องก็ถอดเสื้อโชว์แถมยังทำหน้าทะเล้นใส่อีก พอทำท่าจะลุกไปหาก็รีบหนีเข้าห้องน้ำไป ตอนมีแอลกอฮอล์ในร่างกายแล้วกล้าหาญชาญชัยจริงๆ เด็กคนนี้

                กินเบียร์จนหมดกระป๋องผมก็เก็บของเตรียมเสื้อผ้าที่ไม่น่าจะได้ใส่ให้ไอ้ดื้อระหว่างรอ ออกมาจากห้องอีกทีก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนดังถี่ๆ จากมือถือของน้องที่วางอยู่บนโต๊ะเลยเดินเข้าไปดู

                ‘เอิร์ธกลับแล้วเหรอครับ ทำไมกลับไวจัง คืนนี้ฝันดีนะครับ’

                ผมอ่านข้อความที่แสดงอยู่ในใจก่อนหน้าจอจะดับ คนมันอยากได้ก็จะเอาให้ได้ แม้จะรู้ว่ามีแฟนแล้วก็ยังไม่สนใจ เพื่อนน้องก็อีกคน ทำตัวเหมือนไม่รู้ว่าไอ้แฮมมันเข้าหาด้วยจุดประสงค์อะไร

                ใจอยากจะบล็อกมันซะให้สิ้นเรื่องแต่ผมไม่มีรหัสเข้าเครื่องน้อง ยังเว้นระยะห่างให้ความเป็นส่วนตัวและไม่เคยคิดจะก้าวก่าย เพราะตัวไอ้ดื้อเองก็ไม่เคยทำให้ผมคิดระแวงใจ มีแต่ตัวผมและคนอื่นทั้งนั้นที่ขยันสร้างเรื่อง ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน

                และเชื่อเถอะว่าไม่ว่าผมจะพยายามผลักทุกคนที่พยายามเข้าหาไอ้ดื้อออกยังไง เรื่องราวสุดแปลกประหลาดที่ผมกำลังเผชิญก็จะดึงสิ่งเหล่านั้นกลับเข้ามาอยู่ดี

                กลับเข้าห้องนอน ถอดเสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวก่อนเดินไปยืนหน้าห้องน้ำ ยกมือเคาะไปสองครั้งเสียงน้ำก็หยุด พร้อมกับคนข้างในที่ตะโกนกลับมา

                "แป๊บนึงยังไม่เสร็จ"

                "เปิดประตู"

                "ยังไม่เสร็จไงพี่กาล"

                "เดี๋ยวช่วยให้เสร็จเอง"

                "หมายถึงยังอาบไม่เสร็จโว้ย"

                "นั่นแหละ เดี๋ยวช่วยอาบ"

                "ไม่ต้อง"

                "อย่าให้พี่ต้องไขกุญแจเข้าไปนะ"

                "ทำไมนิสัยไม่ดีแบบนี้"

                "เร็วครับ"

                เปิดตูห้องน้ำแง้มออกเล็กน้อยก่อนไอ้ดื้อจะโผล่แค่ช่วงหัวกับไหล่ออกมาให้เห็น ทำหน้าบึ้งคิ้วขมวดแน่น ที่หูยังมีฟองติดอยู่

                "เป็นบ้าอะไรเอ่ยพี่กาล"

                "พี่อาบด้วย"

                "ไม่เอา"

                "อายอะไรเล่า อดทนมานานแล้วเนี่ยจะได้ไม่เสียเวลา"

                ผมดันประตูเข้าไปโดยไม่ฟังคำคัดค้านอะไรอีก ตอนแรกก็คิดว่าจะรอ แต่พอเห็นไอ้แฮมนั่นไลน์มาหาความอดทนก็หมดลง อยากตีตราจองอีกครั้ง อยากทำทุกอย่างให้มันรับรู้ว่าไอ้ดื้อคือคนของใคร ส่งคลิปค่ำคืนสุดพิเศษที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ไปให้มันดูได้มั้ยจะได้ตัดใจเลิกวุ่นวายสักที

                มือหนึ่งถอดผ้าขนหนูพาดราว อีกมือรั้งเอวเล็กๆ ที่มีพุงน้อยๆ ให้เข้ามาหา คนที่ตอนแรกไม่อยากให้เข้ามาก็ยกแขนคล้องคอรั้งผมเข้าไปจูบ

                บางที...คนที่ร้ายกาจที่สุดในเรื่องอาจจะเป็นเด็กดื้อคนนี้ก็ได้


tbc.


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
เอาล่ะจะเป็นยังไง

ออฟไลน์ Chucream.nabi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 315
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
 :katai1: ยังไงอีกกกกกกกก

ออฟไลน์ kinsang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +242/-5

กาลครั้งสิบสี่


                ทุกครั้งที่มาเจอกันผมมักจะเป็นฝ่ายนัดหรือออกปากชวน แต่หลังจากไม่ได้เจอหน้ากันหนึ่งวันไอ้ดื้อก็นัดให้ออกมาเจอกันที่คาเฟ่ใกล้หอ ผมมาถึงก่อนเวลานัดไม่กี่นาที เลือกโต๊ะได้ก็ได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าร้าน ทั้งพนักงานและลูกค้ามองตามเมื่อเห็นผู้ชายผมสีม่วงอมชมพูเดินเข้ามา เป็นคนที่เด่นสะดุดตาที่ไม่ใช่แค่สีผม แต่รวมถึงรอยยิ้มที่มอบให้ผมด้วยที่ทำให้ทำใครต่อใครไม่อาจละสายตาไปได้

                ไอ้ดื้อนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้มกว้างให้อีกที วันนี้ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

                "เดินเข้ามาคนมองทั้งร้าน" ผมบอก อีกฝ่ายเองก็น่าจะรู้ตัว

                "สงสัยสีผมเด่นเกินไป"

                "น่ารักเกินไปด้วย"

                "ขยันจีบจังเลยพี่กาล"

                "แม้จะคบกันแล้วเราแต่ก็ต้องขยับจีบไม่รู้เหรอ"

                "เบื่อคนเจ้าชู้จริงๆ" พูดจบก็ลุกเดินหนีไปสั่งของที่เคาน์เตอร์

                ผมส่ายหน้าใส่ยิ้มๆ จะเรียกให้มาฟังคำอธิบายก่อนก็ไม่ทัน รู้ว่าไอ้ดื้อแค่พูดเล่น ไม่งั้นคงไม่ยิ้มก่อนลุกออกไป

                สีหน้าเด็กดื้อยังคงสดใสเมื่อกลับมาที่โต๊ะ รอครู่เดียวชาเขียวปั่นกับเค้กเรดเวลเวดก็มาเสิร์ฟ ไอ้ดื้อหยิบส้อมแล้วตักเค้กใส่ปากทันที

                วันนี้เราไม่มีโปรแกรมอะไรเป็นพิเศษ เป็นเพียงวันธรรมดาที่อยากใช้เวลาด้วยกัน จะว่าไปในอดีตผมกับไอ้ดื้อไม่เคยมาสถานที่แบบนี้เลย ทุกครั้งที่เจอกันหากไม่ใช้ห้องผมก็เป็นร้านเหล้า

                "พี่กาล" เรียกตอนตักเค้กคำแรกเข้าปาก พูดไปเคี้ยวไปจนต้องดุ

                "กลืนก่อนแล้วค่อยพูด"

                "ไม่ตัดหน่อยเหรอ ยาวจนจะมัดได้แล้ว"

                ไม่คุยเรื่องสีผมก็เป็นเรื่องทรงผม พอโดนทักเลยต้องเหลือบตามองปลายผมหน้าม้าที่ยาวเลยหางตามานิดหน่อย ด้านหลังก็ยาวพอจะรวบเป็นจุกเล็กๆ ได้

                "แบบนี้ไม่ดีเหรอ"

                "เปล่า"

                "กะว่าจะตัดก่อนเปิดเทอม"

                "ดีแล้ว"

                "ทำไมอ่ะ อยากให้พี่ตัดผมเหรอ"

                "พอผมยาวแล้วเท่เกินไป ยิ่งเวลาเสยผมนะ..." บอกด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเว้นท้ายประโยคไว้ให้ผมเติมคำเอาเอง

                "หล่อสุดๆ ไปเลยใช่มั้ย"

                "นั่นแหละ" ยังคงบอกด้วยสีหน้าแบบเดิม มันก็ขี้หวงเอาเรื่องเหมือนกันนะไอ้เด็กคนนี้

                "เออใช่ ไอ้คนนั้นยังทักมาหาเราอยู่มั้ย" เหลือบไปเห็นมือถือที่วางอยู่ข้างจานเค้กก็นึกขึ้นได้ ผมบอกไอ้ดื้อไปตั้งแต่คืนนั้นแล้วว่าเห็นแชต น้องก็บล็อกให้เพื่อความสบายใจ แต่นอกจากไลน์แล้วยังมีอีกหลายช่องทางให้ตามได้เลยลองถามดู

                "พี่แฮมเหรอ"

                "อืม มันนั่นแหละ"

                "ทักเฟซมาเมื่อวาน แต่ผมยังไม่ได้ตอบ"

                "บล็อกไปเลย"

                "จริงๆ เป็นเพื่อนกันมาก่อนหน้านี้ด้วยแต่ผมไม่รู้ จะให้บล็อกเลยเหรอ มันจะไม่แบบ..."

                ผมเข้าใจในสิ่งที่ไอ้ดื้ออยากสื่อ คนเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนอยู่ๆ ก็บล็อกทั้งที่อีกฝ่ายแค่อยากเข้ามาทำความรู้จักมันก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อย แต่ถ้ามันจะเข้ามาโดยไม่หวังผลอะไรผมก็จะยอมอยู่หรอก

                "หรืออยากคุย"

                "ไม่ใช่ พี่กาลอย่างเพิ่งโกรธดิ" คนกลัวผมโหมดนิ่งดูหงอทันมาขึ้นมา

                "ไม่ได้โกรธ แค่ถาม"

                "ไม่ได้อยากคุยครับ"

                "งั้นก็บล็อก"

                "แต่ผมไม่คิดจะคุยอยู่แล้วไง"

                "งั้นยิ่งต้องบล็อก"

                ทำหน้างอแงใส่แต่ก็ยอมเปิดแชตที่ไอ้แฮมนั่นส่งมาให้แล้วกดบล็อกให้ดู

                "ไอจีฟอลกันมั้ย

                "ฟอลครับ"

                "บล็อกให้หมดเลย"

                "หวงอะไรขนาดนี้" พึมพำเบาๆ แต่ผมดันได้ยิน

                "ไม่ต้องบ่นเลย"

                ไอ้ดื้อเงยขึ้นมายู่หน้าใส่ กดบล็อกทุกช่องทางแล้วโชว์ให้ดู แค่นี้ผมก็สบายใจ อย่างน้อยก็ตัดช่องทางติดต่อไปได้ แต่ถ้ามันจะมีความมุมานะมาหาถึงที่ก็ลองดู

                หมดปัญหากวนใจเราก็กลับมามีความสุขกับของกิน ผมนั่งมองไอ้ดื้อกินเค้ก กินไปก็พูดไป ขยันหาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่า เห็นภาพตรงหน้าแล้วก็นึกถึงอดีต ผมที่นั่งฟัง กับเด็กดื้อที่พูดไม่หยุด แล้วก็ทำให้ผมย้อนกลับไปคิดอีกว่าทำไมตอนนั้นผมถึงฟังอย่างสงบ ทั้งที่ไม่ใช่คนที่ชอบให้คนอื่นมาพูดเรื่องของตัวเองให้ฟังอยู่ฝ่ายเดียวแท้ๆ มันเป็นเรื่องที่ตอนนี้ผมเพิ่งจะเริ่มเข้าใจ

                บางทีผมอาจจะไม่ได้เริ่มชอบคนตรงหน้าเพราะถูกกระตุ้นให้หวง แต่ชอบเพราะเสียงเจื้อยแจ้วที่ได้ฟังเกือบทุกวันมากกว่า

                หนึ่งชั่วโมงให้หลังเราก็ชวนกันกลับ เดินออกจากร้านได้ไม่กี่ก้าวอารมณ์ดีๆ ของผมก็ดิ่งลงวูบเมื่อเห็นคนที่ไม่อยากเห็นหน้าเดินตรงมา มันยิ้มกว้างสบตาทักทายคนที่ยืนอยู่ข้างผม แต่ผมไม่ได้หันไปมองว่าไอ้ดื้อกำลังทำหน้ายังไง

                "อ้าว จะกลับแล้วเหรอ" ไอ้แฮมเดินเข้ามาทักเอิร์ธเหมือนผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ เด็กดื้อหันมาสบตาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น เพราะสีหน้าผมเองแสดงออกชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์แค่ไหน

                "ครับ"

                "ทำไมรีบกลับจัง"

                "ก็กินเสร็จแล้วอ่ะครับ" ตอบพลางเหลือบมามองผม ดูจากสีหน้าก็พอเดาได้ กลัวโดนผมดุ แต่ก็ไม่อยากพูดจาทำร้ายจิตใจอีกคน

                "พี่เห็นเอิร์ธลงสตอรี่ เค้กน่ากินดี"

                "อ๋อ ครับ พี่มาคนเดียวเหรอ" สถานการณ์ดูอึดอัดแต่ไอ้ดื้อก็ยังอุตส่าห์ชวนอีกฝ่ายคุย

                "ใช่ พี่ว่าจะมาหาเอิร์ธนี่แหละ"

                "อ่า...ครับ เออใช่ นี่พี่กาลแฟนผมเอง ที่บอกไปวันนั้น" รีบผายมือแนะนำหลังจากปล่อยให้ผมยืนเงียบอยู่พักใหญ่

                "รู้จักๆ ว่าแต่นายไม่ได้คบกับพี่ณดาอยู่เหรอ เห็นเขาพูดกัน" คนมันมาเพื่อหาเรื่องคงยากที่จะคุยกันดีๆ แต่ผมยังใจเย็นพอ

                "พี่ณดาเป็นแค่พี่รหัสผมครับ ช่วยทำความเข้าใจใหม่ด้วย"

                "แต่วันนั้นผมยังเห็นนัวกันที่ร้านเหล้าอยู่เลย"

                "วันไหนล่ะครับ กี่โมง เพราะผมจำไม่ได้ว่าเคยทำแบบที่คุณพูด"

                "ผ่านมาแค่ไม่กี่วันจำไม่ได้แล้วเหรอครับ"

                "พี่แฮมพอเถอะ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด พี่กาลเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว"

                "แล้วเอิร์ธก็เชื่อเหรอ" ไอ้แฮมหันไปขมวดคิ้วใส่ไอ้ดื้อแทน ขณะที่ผมกำลังเรียบเรียงเรื่องราวว่ามีสิ่งที่ผมยังไม่รู้อยู่หรือเปล่า

                "ใช่ ผมเชื่อ"

                "แต่นิสัยมันเป็นยังไงเอิร์ธก็รู้ เพื่อนๆ เอิร์ธก็บอกไม่ใช่เหรอ"

                "นั่นมันก็เรื่องของผม พี่แฮมเลิกมาวุ่นวายกับผมได้แล้ว ผมรักพี่กาล ถึงพี่พยายามไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกครับ" พูดจบก็เดินหนี ไอ้แฮมทำท่าจะเดินตามไปแต่ผมคว้าไหล่มันเอาไว้

                ผมไม่ได้พูดอะไร เราแค่จ้องหน้ากันอย่างไม่ยอมก่อนมันจะปัดมือผมทิ้งแล้วหันหลังเดินกลับทางเดิม ก่อนขึ้นรถขับออกไป

                จากที่ไม่สบอารมณ์กลายเป็นว้าวุ่นและสับสน เกิดคำถามมากมายขึ้นในใจ บทสนทนาที่เหมือนต่างฝ่ายต่างรู้เรื่องของกันและกันดีแบบนั้น ทั้งที่ไอ้ดื้อกับไอ้แฮมน่าจะเพิ่งรู้จักและได้คุยกันไม่นาน เรื่องนี้มันเคยเกิดขึ้นครั้งอดีตหรือเป็นบททดสอบใหม่ของผมกันแน่ ยังมีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้อีกบ้าง

                ไอ้ดื้อยืนรอผมอยู่ที่รถ อีกฝ่ายทำหน้าเป็นกังวลใส่ ทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่ผมไล่ขึ้นรถก่อน เพราะดูเหมือนเราน่าจะมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กันหลายเรื่อง

                "ไหนว่าบล็อกแล้ว ทำไมมันยังเห็นสตอรี่แล้วตามมา" เริ่มถามจากเรื่องแรกที่สงสัย

                "เห็นก่อนจะบล็อก"

                "แล้วเรื่องที่ร้านเหล้า มันไม่ได้หมายถึงเมื่อวันก่อนใช่มั้ย" ผมจำได้ว่าเจอไอ้แฮมครั้งเดียวเมื่อวันก่อน ซึ่งเป็นวันที่มันไม่น่าจะเห็นผม และเป็นวันที่พี่ณดาไม่อยู่

                "พี่แฮมหมายถึงก่อนปีใหม่ ที่พี่กาลอยู่กับพี่ณดาหน้าร้าน"

                "วันนั้นมันก็ไปด้วยเหรอ"

                "ครับ พี่เขาเป็นคนเดินออกมาส่งผม"

                "แล้วไหนบอกเพื่อนมาส่ง" ถามเสียงแข็งจนอีกฝ่ายหลบตา

                "เพราะ...ตอบแบบนั้นมันง่ายกว่า" ตอบกลับมาเสียงแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน

                ผมรู้ไอ้ดื้อกำลังกลัว มันมากกว่าทุกครั้งที่ผมเคยดุ มากกว่าในอดีตที่ผมเคยทำเมินเฉยใส่ ผมกำลังโมโหไอ้เรื่องราวแปลกประหลาดบ้าๆ นี้ โมโหที่เหมือนมันกำลังจะดีขึ้นแต่กลับไม่ใช่เลย

                "ผมขอโทษ ไม่ได้คิดจะโกหก"

                "รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร"

                "อย่างที่เคยบอก เรารู้จักกันนานแล้ว พี่แฮมรู้จักกับเพื่อนผม แต่ไม่ได้สนิท"

                "งั้นเปลี่ยนคำถาม เริ่มคุยกันตั้งแต่เมื่อไร"

                "พี่กาล ผมไม่ได้คุยกับพี่เขา"

                "ใครกันแน่ที่ควรระแวง"

                ผมไม่ชอบตัวเองตอนนี้เลย ทั้งที่รู้ว่ากำลังถูกไอ้เรื่องราวแปลกประหลาดบ้าๆ ปั่นหัว สถานการณ์ถูกชักจูงให้กลับไปเหมือนกับเหตุการณ์ในอดีต หึงหวง ไม่ไว้ใจ จนนำไปสู่เรื่องราวเลวร้ายที่จะตามมา ผมรู้และเข้าใจทุกอย่าง แต่กลับควบคุมอารมณ์ให้เป็นปกติไม่ได้ เพราะรักมากถึงได้รู้สึกมากขนาดนี้

                "พี่กาลฟังนะ"

                ไอ้ดื้อคว้ามือผมไปจับไว้ มองกันด้วยสายตาที่มีความกล้าอยู่น้อยนิดหากแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ

                "ผมรู้จักกับพี่แฮมนานแล้วก็จริง แต่พี่มันเพิ่งแสดงตัวว่าชอบเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมบอกไปแล้วว่าผมชอบพี่ โดนเป่าหูมาก็เยอะเรื่องนิสัยของพี่ บวกกับหลายๆ เรื่องที่เจอมันก็เลยเกิดระแวงบ้าง ที่ไม่เคยบอกเพราะพี่มันไม่เคยแสดงตัว เลยปล่อยผ่าน คิดว่าจะจบแต่ก็ไม่ พอเราคบกันพี่มันก็เริ่มมาวุ่นวายอีก" ขอบตาแดง เสียงพูดขาดหายเป็นบางช่วง ไอ้ดื้อไม่ได้ร้องไห้ น้องมันเข้มแข็งพอ ผิดกับใจผมที่อ่อนยวบตั้งแต่โดนอีกฝ่ายคว้ามือไปจับ

                ผมไม่ได้พูดอะไรกลับไป ไม่ได้รู้สึกโกรธเคือง ไม่ได้รู้สึกว่าโดนหักหลังเพราะเข้าใจทุกอย่างดี ไอ้ดื้อเองก็พิสูจน์แล้วว่าน้องมันแคร์ผมแค่ไหน

                "พี่กาลไม่เงียบได้มั้ย สงสัยตรงไหน ไม่เข้าใจอะไรถามผมมา พี่กาลรู้มั้ยว่าการที่คนที่เราชอบก็ชอบเราเหมือนกันมันโคตรเหมือนฝันเลย มันเร็วนะ ตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามันโคตรเร็ว แต่ผมไม่ยอมให้มันจบลงง่ายๆ หรอก ไม่ยอมปล่อยพี่กาลไปง่ายๆ แน่"

                "ไปบ้านพี่กัน"

                "ครับ?"

                "ไปหาพ่อกับแม่พี่"

                ไอ้ดื้อคงปรับอารมณ์ไม่ทันที่อยู่ๆ ก็ชวนออกไปแบบนั้น ผมกำลังคิดหาวิธีรับมือ ถ้ามันจะบังคับให้เรื่องต้องจบลงแบบเดิมก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้สิ่งที่เป็นตรงข้ามกับอดีต ทำให้อันตรายอยู่ห่างจากไอ้ดื้อที่สุด และทำให้มีคนรู้เรื่องของเราให้มากที่สุด

                "ทำไมอยู่ๆ ถึง..."

                "เพราะพี่ก็จะไม่ยอมปล่อยเราไปง่ายๆ เหมือนกัน"

               

                ถอยรถเข้าจอดที่ประจำ ดับเครื่องยนต์ หันมองคนข้างๆ ที่ดูจะเงียบลงตั้งแต่ผมขับรถออกมาจากร้าน

                "ตื่นเต้นเหรอ"

                "ตื่นเต้นดิ ไม่มีของติดไม้ติดมือมาฝากด้วย"

                "ไม่เป็นไรหรอกน่า ไปกัน" ยิ้มให้กำลังใจก่อนลงจากรถ

                วันอาทิตย์ช่วงปิดเทอมแบบนี้ครอบครัวผมอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมไลน์บอกลิขิตไปแล้วว่าจะพาใครมาด้วย ฝากมันบอกพ่อกับแม่ไว้ตอนเห็นไอ้ดื้อเดินเข้าไปจะได้ไม่ตกใจ ผมว่าพวกท่านคงตื่นเต้นกันน่าดู ทั้งพ่อที่ไอ้เจอเรื่องแปลกประหลาดของผม กับแม่ที่อยากเห็นแฟนของผม

                ลิขิตเป็นคนมาเปิดประตูรั้วให้ ลงจากรถแล้วมันก็เข้ามาตบบ่าทักทาย ผมรู้ว่ามันตั้งใจจะแซวแต่พอได้เห็นไอ้ดื้อชัดๆ ในระยะประชิดพี่ชายผมมันก็อึ้งไปเลย

                "พี่เหนือหวัดดีครับ"

                "สวัสดีครับ"

                ปฏิกิริยาพี่ชายผมโคตรตลก ลิขิตมันยกมือรับไหว้ จ้องไอ้ดื้อตาค้าง เชื่อเลยว่าถ้าไม่ใช่ผมสีม่วงอมชมพูมันต้องคิดว่าพุดตานกลับมาจากบ้านสวนแล้วแน่ๆ

                "พ่อกับแม่อ่ะ" ถามดูเพราะยังไม่เห็นวี่แวว ปกติน่าจะออกมาต้อนรับแล้ว

                "แว้นมอไซค์ไปตลาด แม่บอกว่ากาลพาแฟนมาบ้านทั้งทีต้องต้อนรับดีๆ หน่อย ว่าแต่มึงอ่ะตัดหน้ากู" มันเล่าระหว่างที่เรากำลังเดินเข้าบ้าน

                "ตัดหน้าอะไร มึงไม่ยอมพาพุดมาเอง" ครั้งที่ลิขิตมันพาพุดตานก็เหมือนแค่แวะมาเฉยๆ ยังไม่ทันได้เจอพ่อเลย

                "ถ้ามาเจอกันบังเทิงแน่ๆ"

                "กูก็ว่างั้น"

                เราสองพี่น้องหันมองไอ้ดื้อพร้อมกัน ทำเอาคนที่ตกเป็นเป้าสายตาทำตัวไม่ถูกแล้วส่งยิ้มแหยๆ มาให้

                "ตามสบายเลยนะเอิร์ธ พ่อแม่พี่ไม่ดุ สงสัยอะไรถามไอ้กาล"

                "ครับ"

                "เออใช่ เอิร์ธจำได้มั้ยที่พี่เคยบอกว่ามีคนที่หน้าเหมือนเรามากๆ อยู่คนหนึ่ง" เป็นการกลับมาพบกันครั้งที่สามถ้าผมจำไม่ผิด ข้ออ้างที่ผมใช้แก้ตัวที่เผลอเรียกอีกฝ่ายว่าน้อง

                "จำได้"

                "คนนั้นชื่อพุดตานเป็นแฟนลิขิตมัน ถ้าครั้งค่อยนัดมาเจอพร้อมกันคงสนุกดี"

                "เหมือนขนาดนั้นเลยเหรอ"

                "ก็ประมาณนี้" ลิขิตมันเปิดรูปพุดตานในมือถือให้ไอ้ดื้อดู เห็นแล้วก็ทำตาโตเหมือนไม่อยากเชื่อ

                "หรือผมจะมีพี่น้องวะ"

                "ต่างกันแค่สีผมเอง"

                "จริงด้วยพี่"

                กลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อไอ้ดื้อขอดูรูปอื่นๆ ของพุดตาน เราปักหลักกันที่โซฟา คุยกันเรื่องความเหมือนของทั้งคู่ หนักเข้าก็เริ่มขิงแฟนตัวเอง คุยไปคุยมาจบด้วยการที่ลิขิตมันวิดีโอคอลไปหาพุดตาน สองคนที่เหมือนพี่น้องที่พลัดพรากจากกันก็ตื่นเต้นยกใหญ่ คุยกันถูกคอจนดูเหมือนเพื่อนที่สนิทกันมานาน ทั้งพี่ชายผมแล้วก็แฟนมัน

                โหวกเหวกโวยวายกันอยู่ที่โซฟาพักใหญ่จนพุดตานขอตัวไปช่วยงานแม่ถึงได้วางสาย พ่อกับแม่เองก็กลับมาจากตลาดพอดี แล้วก็พากันทำหน้าอึ้งเหมือนไอ้ลิขิตตอนเห็นหน้าไอ้ดื้อครั้งแรก

                "คนที่แม่เจอที่ห้างตอนนั้น" แม่ผมจำได้ ยิ้มกว้างให้ไอ้ดื้อก่อนหันมาขมวดคิ้วใส่ผม

                "อะไรแม่"

                "ก็ไหนตอนนั้นบอกว่าเป็นรุ่นน้อง"

                "ก็ตอนนั้นเป็นรุ่นน้องแต่ตอนนี้เป็นแฟนแล้วไง"

                "ตามสบายนะลูก รอแม่ทำกับข้าวแป๊บนึงเดี๋ยวมากินข้าวเย็นกัน" ได้คำตอบที่พอใจก็หันไปยิ้มกว้างใส่ไอ้ดื้ออีกรอบ

                "ให้ผมช่วยมั้ยครับ"

                "ไม่เป็นไรลูก อยู่เล่นกับแฝดนั่นแหละ" พูดจบแม่ก็ผมหอบของหนีเข้าครัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

                เห็นแม่อารมณ์ดีขนาดนี้พ่อผมเองก็ไม่ต่างกันเพียงแต่เก็บอาการเก่งกว่า หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธีก็เอาแต่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มองไอ้ดื้อด้วยความเอ็นดู พ่อผมไม่ใช่คนคุยเก่ง ชวนคุยได้นิดหน่อย ถามในสิ่งที่ตัวเองอยากรู้หมดแล้วก็หนีไปช่วยแม่ในครัว ผมเลยชวนไอ้ดื้อขึ้นไปบนห้องทิ้งให้ลิขิตมันนอนดูทีวีอยู่คนเดียว

                ปิดประตูกดล็อกแล้วก็ดึงตัวเด็กดื้อเข้ามากอด เห็นทำตัวร่าเริงแต่ไม่รู้ว่าในใจนั้นหายตกใจกับท่าทางนิ่งเฉยก่อนหน้านี้ของผมหรือยัง

                ไอ้ดื้อกอดตอบ ซุกหน้าลงที่ไหล่ผมได้ไม่นานนักก็ผละออก มองกันตาละห้อยอย่างคนมีความผิดติดตัว แม้ผมจะไม่ได้โกรธน้องมันจริงๆ ก็เถอะ

                "พี่กาล ผมยังไม่ได้บอกอะไรพี่อีกอย่างเลย"

                หัวคิ้วที่คลายไปนานแล้วเริ่มมุ่นเข้าหากันอีกครั้ง ตกใจเรื่องที่เพิ่งรู้ว่าไอ้แฮมนั่นตามจีบไอ้ดื้อมานานแล้วไม่พอ ยังมีเรื่องอะไรให้ตกใจอีก

                "ว่ามา จะได้จัดการทีเดียว"

                "อย่าทำหน้านิ่งดิ รู้ป้ะว่าพี่กาลโคตรน่ากลัว"

                "รู้ครับ"

                "ไม่กล้าพูดเลยเนี่ย"

                "แต่ถ้าไม่พูดจะทำให้กลัวยิ่งกว่านี้อีก"

                ผมไม่ได้ขู่ ที่บอกว่าจะจัดการไม่ได้หมายถึงเด็กดื้อคนนี้ แต่หมายถึงไอ้ปัญหาบ้าบอที่กำลังเกิดขึ้น ถ้ามันจะดึงให้ผมกลับสู่อดีตนัก ก็จะขอข้ามด่านไปจัดการบอสตัวสุดท้ายให้มันจบๆ ไป

                "ว่าไงครับ มีอะไรจะสารภาพ" ออกปากทวงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดสักที

                คนในอ้อมกอดมองผมแล้วทำตาปริบๆ ใส่ มันโคตรจะน่ารัก ยิ่งผมเป็นสีม่วงอมชมพูแบบนี้ยิ่งเหมือนสายไหม อยากจับกินซะให้รู้แล้วรู้รอดแต่ต้องวางฟอร์มทำนิ่งไว้ก่อน

                เจ้าสายไหมขยับเข้ามาใกล้ แตะปากตัวเองกับปากผมเบาๆ แล้วผละออก ยิ้มง้ออย่างที่น้อยครั้งจะเห็น รวมถึงสายตาที่เหมือนลูกแมวนี้ด้วย

                "ขอโทษนะครับ ผมยังไม่ได้ขอโทษพี่เลยที่ไม่ได้บอกเรื่องพี่แฮม"

                "อืม" พยักหน้ารับพยายามคุมเสียงให้นิ่ง ไม่เคยโกรธน้องเรื่องไอ้แฮม แต่ขอโกรธให้ง้อเรื่องที่ทำให้คิ้วขมวดนึกว่าจะมีเรื่องอะไรมาทำให้ตกใจก็แล้วกัน

                "แค่อืมเองเหรอ"

                "อืม"

                "หายโกรธนะ นะครับ"

                ผมต้องพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถเมื่อไอ้ดื้อพยายามง้อด้วยการทำหน้าตาน่ารักใส่ เดี๋ยวยิ้มตาปิด เดี๋ยวทำแก้มป่อง เดี๋ยวทำปากจู๋ หนักเข้าก็ทำมินิฮาร์ตส่งให้กันรัวๆ ไม่พอมุดตัวออกจากอ้อมกอดผมไปทำท่าซารางเฮโยให้อีก ตั้งแต่รู้จักกันมาก็เพิ่งจะเคยเห็นน้องมันดีดขนาดนี้

                "ไอ้ดื้อเอ้ย!"

                ความอดทนของผมหมดลงในเวลาอันรวดเร็ว ก้าวเข้าไปประชิดก่อนช้อนตัวเด็กดื้อโยนขึ้นเตียงแล้วกระโดดตามไปทับทันที มันเขี้ยวมาพักใหญ่แล้วขอฟัดให้หายคันเขี้ยวสักครั้งครึ่งชั่วโมง มื้อนี้กินของหวานก่อนของคาวแม่คงไม่ว่ากัน



                ลิขิตเป็นคนขึ้นมาเรียกหลังจกแม่ทำมื้อเย็นเสร็จ เราไม่ได้ทำอะไรเกินเลยแค่กอดรัดฟัดเหวี่ยง ฟัดแก้มนุ่มกับจูบปากดื้อๆ จนช้ำแค่นั้น หลังจากจัดผมเผ้ากับเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วถึงได้ตามลงไปข้างล่าง

                บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยร้อยยิ้มและเสียงพูดคุย ในครอบครัวผมนั้นแบ่งนิสัยคนออกเป็นสองแบบ ผมกับแม่จะช่างพูด ส่วนลิขิตกับพ่อจะค่อนข้างเงียบกว่า บวกไอ้ดื้อที่คุยเก่งเข้าไปอีกคนเลยยิ่งครึกครื้น แม่ผมก็เม้าท์ลูกชายเก่งจนต้องคอยเบรก เดี๋ยวภาพพจน์ดีๆ ที่มีอยู่น้อยอยู่แล้วจะลดลงไปอีก

                เราล่ำลากันหลังจบมื้ออาหาร พ่อกับแม่ยิ้มกว้างตอนโบกมือลา ผมขับรถไปส่งไอ้ดื้อที่บ้านก่อนจะดึกดื่นค่ำมืด เป็นอีกหนึ่งวันที่มีเรื่องแย่ๆ เข้ามาบ้าง แต่สุดท้ายก็ยังเป็นวันที่ดี กับความทรงจำดีๆ ครั้งใหม่ที่เราได้สร้างด้วยกัน



tbc.


เป็นกำลังใจให้เจ้ากาลด้วยค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่กาลพาแฟนเข้าบ้านแซงไปก่อนแล้ว พี่เหนือรีบพาพุดตานเข้าบ้านด้วยนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด