ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ด้วยรักและปลาทู :: {ตอนที่ 38 :: up! 2-10-63} #หน้า 8 ( ตอนจบ )  (อ่าน 43913 ครั้ง)

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆ

น่าสงสารนายท่าน  คงฝังใจมากเลยสินะ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เอ็นดูอาร์มคุยกับแมวเป็นวรรคเป็นเวร รู้เรื่องพยักหน้าหงึกหงัก 5555  กลับบ้านนะนายท่าน  :pig4:  :pig4:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
กอดเมี่ยงน้า ได้ปลดปล่อยแล้ว และอาร์มก็เข้าใจ
ยิ่งตอนนี้เจอนายท่านแล้ว ยิ้มได้แล้วเนาะ

ต่อไปทั้งรพ. ก็ต้องระวังกันให้เยอะขึ้นนะ

อาร์มทำได้ดีค่ะ ใจเย็นพอตัว ช่วยเมี่ยงได้เยอะเลยน้า

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 34

ห้องขนาดใหญ่แบบหนึ่งห้องนอน และหนึ่งห้องเลี้ยงแมว เต็มไปด้วยกระดาษลังที่บรรจุของใช้ต่างๆจากห้องเก่าไว้เต็มทุกใบแบบที่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจัดการกับอะไรก่อน  วันนี้เป็นวันย้ายห้องใหม่ หลังจากที่นายท่านทำเรื่องที่ผมคงจำไม่ลืมไปจนวันตาย วันนี้ก็เหมือนจะเป็นวันที่เราเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หลังจากผ่านมาสามวัน

รวมถึงความวุ่นวายก็ด้วย

“ ม๊าวววววววว ม๊าววววววว ” เสียงขัดใจที่ดังมาจากในกรง เจ้าก้อนขนสีขาวดูเหมือนจะไม่พึงพอใจเท่าไหร่ที่ถูกขังอยู่ในที่อึดอัดคับแคบอย่างงั้น แก้มหอมร้องเรียกให้เราเปิดกรงให้มัน แบบรับบท คุณหนูเอาแต่ใจ

“ ร้องทำไมอ้วง มีอารายยยยย ” ลากเสียงเอ่ยถามทั้งๆที่รู้ แต่เจ้าตัวน่ารักก็แค่ร้องตอบแบบเดิม

“ ม๊าววว ”

“ อะไรนะ ได้ยินไม่ชัด ”

“ ม๊าว ”

“ ม๊าวๆอะไร ขี้บ่นเหรออ้วงน่ะ ” ถามออกไปแบบนั้น ผมลุกขึ้นเดินมาหยุดที่หน้ากรงก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าเจ้าตัวเรื่องมาก แบบที่พร้อมจะเจรจาด้วย “ คือฟังนะอ้วงนะ พี่เมี่ยงรู้ว่าอ้วงก็คืออยากจะออกมา แต่ว่าตอนนี้อ้วงยังออกมาไม่ได้เข้าใจเปล่า แล้วนั่นก็เพราะว่า ของมันยังจัดไม่เสร็จ ถ้าอ้วงออกมาแล้ว ไปกระโดด ไปซน จนของมันหล่นตกแตก ป๊ากับพี่เมี่ยงก็ต้องตามเก็บอีกไงครับ เพราะงั้นก็ต้องอดทนนะ  เข้าใจมั้ยคะ ”

ไม่มีเสียงตอบรับแต่ในตอนที่ลุกขึ้นจากเจ้าตัวกลมที่ฟังผมตาแบ๋ว เจ้าของแมวที่คิดว่ากำลังจัดเตรียมของ ก็ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยท่าทีที่ดูเหมือนจะเอ็นดูกันอยู่ไม่น้อย

เป็นสายตา และท่าทางที่ผมอดแซวไม่ได้

“ มองด้วยสายตาแบบนั้น  เพราะกูน่ารักมากเลยใช่มั้ย ”

“ มั่นหน้าจังครับ ” เสียงเรียบๆว่าแบบนั้น แต่ผมก็แค่ยักไหล่ใส่อีกคนไป

“ แน่นอน และเพราะกูก็คือ แฟนทั้งรักทั้งหลงมากเลยแหละ ” คนฟังที่ถึงขั้นหลุดยิ้ม ก่อนจะยกมือขึ้นกวักเรียกให้เข้าไปใกล้

“ มานี่หน่อย ”

“ ยังไง ” แต่พอถามออกไป กลับไม่มีคำตอบอะไรนอกจากริมฝีปากที่ลดลงจูบกับสิ่งเดียวกันนั้น อาร์มมันยกยิ้มในตอนที่ผละออกจากกันเพื่อมองหน้า

“ ก็แค่ไม่ผิดจากที่มึงคิดไง  ” คำพูดที่ตบท้ายด้วยการหอมแก้มไปอีกฟอดใหญ่ “ เพราะทั้งรักทั้งหลงจริงๆนั่นแหละ ”

“ บ้าบอ ” และระหว่างเรา ก็เหมือนจะเป็นแบบเดิมในทุกครั้ง  แบบที่สุดท้ายเหมือนว่าจะชนะ แต่ก็ยังไม่เคยชนะได้จริงๆสักที

กล่องใบแล้วใบเล่าถูกดึงเอามาจัดการตามพื้นที่ที่เราคิดกันเอาไว้ เราแยกกันไปคนละมุม อาร์มรับหน้าที่จัดของตรงส่วนครัว ส่วนพื้นที่ห้องนอนเป็นของผมที่ตอนนี้ตู้เสื้อผ้าก็ถูกจัดแยกแบบคนละฝั่ง และเหมือนจะเต็มไปหมดด้วยเสื้อผ้าที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆจากน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นโปรด

บนโต๊ะเครื่องแป้ง ผมพยายามจัดให้ดูโล่งที่สุด ด้วยการจัดน้ำหอมที่มีมากมายนั้นใส่ลงไปตรงชั้นวางข้างๆ และแน่นอนว่ามันเป็นของผม 98% ส่วนอีกเปอร์เซ็นที่เหลือเป็นของผู้ร่วมอาศัย อาร์มมีน้ำหอมอยู่แค่ไม่กี่ขวด กลิ่นก็เป็นโทนอบอุ่นตามฉบับที่ชอบ กลิ่นที่ผมชวนให้ผมไหลตัวไปซุกเวลาที่เรานั่งดูหนังด้วยกันในทุกครั้ง แต่ที่น่าแปลกคือพอผมฉีด มันกลับไมได้หอมอย่างงั้น

ในส่วนของห้องน้ำ สบู่ถูกวางลงบนชั้น  ผมหย่อนแปรงสีฟันที่เพิ่งซื้อใหม่คนละสีลงในที่ใส่ แล้วก็ยิ้มให้การเริ่มต้นใหม่ที่ไม่ว่าจะหยิบจับอะไร ก็รู้สึกน่ารักไปหมด ส่วนตัวผมชอบน้ำมาก เพราะมันแยกโซนดี แถมยังมีอ่างน้ำ

“ เสร็จแล้ววววว ” เดินลากเสียงออกมาจากห้องนอนหลังจากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย แต่ในตอนที่ปิดประตูลง ผมหันมองอีกฝ่ายที่ก็ยกยิ้มเก็กหล่อให้กัน แบบที่เหมือนจะบอกว่า ในส่วนครัวก็เสร็จเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน

“ เป็นไง ”

“ อะไรเป็นไง หมายถึงในห้องเหรอ ”

“ อื้ม ” ร่างสูงพยักหน้ารับ

“ แน่นอนว่า เรียบร้อย งดงาม เป็นระเบียบ ขนาดพรมปลายเตียงก็คือมีการคำนวนมาอย่างดีแล้วว่า ขนานกับเตียงแบบไม่มีล้ำเส้นแม้แต่น้อย เหมือนในโรงแรมเลยแหละ น่านอนสุดๆอะครับ ”

“ เชื่อ แต่จะน่านอนสุดๆมั้ย คืนนี้ต้องลอง ” ขาที่เดินเข้ามาหากอดเข้าที่รอบเอวแบบคนมือไว อาร์มเบียดแก้มเข้ากับแก้มของผม มันซบ “ เพราะเหมือนจะไม่มีอะไรมาสู้คนที่นอนกอดกันบนเตียงทุกคืนได้เลย ไม่มีอะไรชวนให้นอนกอดกว่านี้ ”

“ จีบเก่งอีกแล้วจ้า  อย่าให้มีช่องว่าง พี่อาร์มกูเสียบหมด ”

“ ไม่ได้จีบเก่งอย่างเดียวนะบอกไว้ก่อน อย่างอื่นก็เก่ง ”

ประโยคที่ทำให้ได้แต่นิ่งคิด ปกติเท่าที่อ่านนิยายรักฉบับวัยรุ่น ถ้าพระเอกพูดแบบนี้กับนางเอกในเรื่องก็เหมือนจะมีอย่างเดียวมั้ยนะ ที่อีกฝ่ายจะสื่อถึง

“ เชี้ย...” ในใจของผมสถบออกมาอย่างงั้น ‘ อย่าบอกนะว่าคืนนี้มันจะบุกตีเมืองของผม ’

“ เงียบไปเลย ” คนพูดดึงตัวเองออกมองกันด้วยสายตางุนงง ผมก็ได้แต่นิ่งเพราะไม่รู้ว่าจะต้องแสดงความรู้สึกอะไรกับประโยคนั้น

จะบอกว่า  ‘ ไหนมาลองดูสิ ว่าจะเก่งอย่างที่พูดหรือเปล่า ’ แบบที่ใจต้องการก็ดูจะพร้อมรับมากเกินไป แต่จะบอกว่า ‘ อะไรอะ พูดอะไรอย่างงั้น ’  ก็กลัวอีกฝ่ายจะคิดว่าไม่พร้อม

ทั้งๆที่ก็พร้อมมาก และพร้อมมาหลายวันแล้ว

“ เมี่ยงครับ ” อาร์มเอ่ยเรียกผมซ้ำ

“ ครับ ” ส่วนผมที่หันไปตอบ ก็ทำได้แค่ยิ้มก่อนสายตาจะหันไปเห็นกล่องที่ยังคงวางอยู่ เป็นส่วนของของตรงโซฟาหน้าทีวี “ ตรงโซฟาหน้าทีวีค่อยจัดแล้วกันนะมึง ไปจัดส่วนในห้องแมวก่อน สงสารพวกมัน คงอึดอัด ”

“ โอเคครับ” มือที่ไม่มีทีท่าจะปล่อย อาร์มออกแรงดึงผมให้เดินไปพร้อมๆกัน

ส่วนของห้องแมว เป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางที่มีระเบียงแบบปิด รวมถึงขั้นบันไดที่ตกแต่งมาเพื่อให้แมวได้ปีนป่ายมองวิวด้านนอก แต่ที่ผมภูมิใจนักหนา ก็คงเป็นเปลแมวไล่ระดับที่ผมแอบสั่งซื้อมาชนิดที่สีสันสดใสเอามากๆ ไม่นับที่ลับเล็บแบบรู้กระบองเพชรอีก

ห้องน้ำแมวถูกจัดไว้ตรงส่วนมุม  ส่วนคอนโดแมวเอามาตั้งไว้ใกล้กันเพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่เกรียงไกร ส่วนของตกแต่งที่มีก็เหมือนจะเข้ากันมาก มากแบบเกือบจะรก รวมถึงที่นอนกล้วยนุ่มๆที่คนเห็นยังรู้สึกอยากจะหย่อนตัวลงไปนอน

 ส่วนอาร์มซื้อโต๊ะญี่ปุ่นสีเข้ากับห้องไว้ตรงกลาง ด้วยแนวคิดที่ว่าบางทีก็อยากจะทำงานไปเล่นกับแมวไป

ที่ซึ่งก็ไม่อยากจะไม่อยากจะทำลายหัวใจคนซื้อเลยว่า
มึงคงไม่ได้ทำงานหรอกเลิกฝันไปได้เลย

 “ มาจ้า ได้เวลาออกมาทำห้องรกแล้วพวกมึง ” ว่าแบบนั้นผมย่อตัวลงหน้ากรงพร้อมสบสายตาสีฟ้ากของเจ้าคนฟูที่อาร์มบอกย้ำกันบ่อยๆ ว่าไม่ต่างอะไรกับผมในร่างแมว “ แก้มหอมขา จะออกมาเปล่า ”

“ เมี๊ยว ” พอได้ยินคำว่า ‘แก้มหอมขา’ เจ้าตัวน่ารักก็ขานรับกันเต็มที่ แต่ถึงอย่างงั้นผมกลับแค่ยิ้มมองมันแบบไม่ยอมเปิด อย่างที่อยากจะนั่งจ้องอีกตัวแบบกวนตีนไปอย่างงี้

“ ไม่ให้ออกหรอกอ้วง แบร่ๆ ” แลบลิ้นใส่อีกฝ่ายก็ส่งเสียงร้องขัดใจขึ้นมาทัน

“ ม๊าววววว ” ท่าทางที่ดูเหมือนจะรู้เรื่อง แก้มหอมประท้วงใหญ่

“ ม๊าวๆอะไร หื้มมม อ้วงโดนแกล้งเหรออออ ”

“ เมี๊ยววว ” เสียงใสมาพร้อมเท้าปุยที่เขี่ยเข้ากับประตูกรง ก่อนที่คนป็นพ่อแมวจะเดินเข้ามาใกล้ อาร์มย่อตัวลงนั่งข้างผม

“ ไหน ไหนใครแกล้งแก้มหอมของป๊าคะ”

“. เมี๊ยว ” เสียงอ้อนในระดับน่ารักเอ่ยร้องราวกับฟ้องคนเป็นพ่อ แววตากลมที่มอง เท้าปุกปุยทำหน้าที่เขี่ยประตูกรงแบบที่เรียกร้องความสนใจเต็มที่ “ เมี๊ยว เมี๊ยว “

แบบชนิดที่ว่าถ้าแปลเป็นภาษาคนก็คงมีใจความประมาน ‘ ป๊าขา~ พี่เมี่ยงแกล้งหนู พี่เมี่ยงแกล้งแก้มหอม ’

“ พี่เมี่ยงเค้าแกล้งหนูเหรอครับลูก ” เออออไปตามเรื่องด้วยเสียงสองแบบที่ชวนให้ต้องเหลือบมองผ่านหางตาแล้วยิ้มเกร็ง ก่อนคนพูดที่เหมือนรู้ตัวจะหันมามองหน้ากัน “ งั้นเดี๋ยวป๊าจัดการพี่เมี่ยงให้เลย มาทำแบบนี้กับแก้มหอมของป๊าได้ยังไงกันนะ ”

วินาทีต่อมาหลังจากจบประโยคนั้น อาร์มดึงตัวเองเข้ามาใกล้ผมแบบชนิดที่ไม่ทันให้ตั้งตัว สายตาคมไม่ผละไปมองสิ่งอื่นใด จนริมฝีปากของเรานั้น แนบสนิทชิดลง

“ อยากจูบก็บอก ต้องอ้างแมวด้วยเหรอ ” ถามคนที่ผละริมฝีปากออกไปแบบยิ้มๆแต่เหมือนคำพูดนั้นคล้ายจะเป็นคำดูถูกอยู่เสียหน่อย  คนฟังก็เลยยกยิ้มขึ้นมา อาร์มก้มหน้าลงอยู่สักพัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม แต่ทว่า

“ เพราะถ้าเป็นกูนะ ” ประโยคที่เว้นช่วงเสียงไป ผมเอื้อมมือไปประคองหน้าของอีกคนก่อนจะดึงเข้าจูบ “ กูจะจูบเลย ไม่อ้างแมวหรอก ”

“ ร้ายจัง ” เสียงเบาๆที่พูด มาพร้อมริมฝีปากที่จูบลงบนริมฝีปากของผมอีกครั้งและครั้งนี้มันก็ไม่ได้แค่สัมผัสเพียงบางเบาที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่มันกลับเคลื่อนไหวและขบเม้มลงบนอวัยวะเดียวกันนี้ อย่างดูดดื่ม จนท้ายที่สุด คนโดนท้าทาย ต้องจำยอมเผยอริมฝีปากออกเพียงน้อยอย่างยากห้ามใจ ผมทำตามความรู้สึกและขยับตอบรับรูปปากนั้นในจังหวะเดียวกัน


มันที่ทั้งดูดดื่ม

ลุ่มหลง

และชวนให้จมดิ่ง

เราแหวกว่ายลงสู่ความรู้สึกที่ไร้ความเขินอายใดนี้ ไม่สนเสียงน้ำลายที่กอดเกี่ยวกันและกันไว้อย่างคลอเคลีย ตราบเท่าที่ต้องการ

สายตาของผมหลับสนิทลงในตอนนั้น ร่างกายชานิ่งราวกับตุ๊กตาตัวน้อยยามที่ร่างสูงดันร่างตัวเองขึ้นทาบทับ แผ่นหลังลดระดับลงนอนราบบนพื้นห้อง รับรู้ถึงความอบอุ่น หรือแม้แต่กลิ่นน้ำหอมยามที่แผ่นอกของเราแนบชนิดกัน

สัมผัสมือข้างนึงสอดเข้ามาในเสื้อ ส่วนอีกข้างก็ลูบไล้ไปตามความยาวแขนพลางดึงขึ้นเหนือหัวแล้วกดไว้อย่างงั้น ก่อนคนมอบจูบดูดดื่มจะดึงตัวเองขึ้นจดจ้องริมฝีปากบวมแดงของผมด้วยรอยยิ้มมุมปากแบบชนิดที่พึงพอใจกับผลงานตัวเองอย่างที่สุด

มันเป็นท่าทางที่ชวนให้ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่น และอย่างไม่รู้ว่าต้องทำยังไง มือข้างที่ว่างยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง พร้อมกับกัดริมฝีปากล่างของตัวเองเบาๆ

“ เก่งแบบเมื่อกี้อีกสักหน่อยสิครับ ” อาร์มที่ก้มลงจูบข้างแก้มผม มันที่ว่าแบบนั้นพลางเหลือบมองกัน ” แบบที่พูดว่าอยากจูบ แต่จริงๆก็อ้างแมว ”

“ มึงอะ เลิกพูดเลยนะ ”  เสียงหัวเราะที่ดังลั่นออกมาในตอนนั้น คนที่อยู่ด้านบนดึงตัวเองลงนอนราบข้างกัน ก่อนมือหนาจะเอื้อมมาจับมือของผมไว้ ท่ามกลางความเงียบเชียบ อากาศอบอุ่นและเสียงแมว ที่อยู่ๆก็ดังขึ้น เหมือนเครื่องเตือนสติ

“ เมี๊ยว..”

‘  ยังไม่ได้เปิดกรงแมวเลย  ’ ประโยคนั้นคงแล่นเข้ามาหัวของเราไม่ต่างกัน ผมกับอาร์มหันมองหน้า เราหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม


............................................................


ห้างใกล้คอนโดในวันหยุด ดูคนบางตากว่าทุกอาทิตย์ในตอนที่มองไปโดยรอบ หลังจากที่เราจัดห้องเรียบร้อย ก็ได้เวลาหุงหาอาหารสำหรับมื้อเย็นนี้ และแน่นอนว่าพ่อครัวมือฉมังก็ออกตัวเต็มที่สำหรับมื้ออาหารแรกในห้องใหม่ของเรา

“ จะว่าไปยังไม่มียาสีฟันเลย ” ผมพูดในตอนที่หยุดรถเข็นที่ตัวองกำลังเข็นอยู่ตรงหน้าชั้นวางที่เต็มไปด้วยยาสีฟันหลากหลายแบบ “ มึงชอบแบบไหน ”

“ แบบไหนก็ได้ ใช้ได้หมดอะ ”

“ สมุนไพร ”

“ ก็ได้ ” อีกฝ่ายบอก

“ แต่อะไรก็ได้ไม่ได้นะ เราต้องเลือกแบบที่มีส่วนประกอบที่เหมาะสมสำหรับฟันสวยๆของเรา เข้าใจมั้ยครับน้องอาร์ม ” แสดงท่าทางแบบสอนเด็กเล็กคนฟังก็หลุดยิ้ม ก่อนผมจะหันไปเลือกดูยาสีฟันที่จะใช้ แต่เหมือนว่าคนข้างกันจะจับจ้องโดยคนข้างกันแบบชนิดที่ไม่วางเลย

“ มองอะไร ไปซื้อของทำกับข้าวไปมึงอะ ไหนบอกจะทำหมูทอดซอสเปรี้ยวหวานอะไรนั่นไง ”

“ ไม่อะ อยากไปด้วยกัน ” พูดแบบเอาแต่ใจ คนที่ยืนอยู่ก็จับเข้าที่รถเข็น “ เลือกไปสิ กูเข็นให้ ”

“ อารมณ์ไหน ติดแฟนอ๋อ เราอะ ”  เอื้อมมือไปเขี่ยล้อๆที่ใต้คาง ผมแซวมันยิ้ม แต่อีกคนก็แค่เบือนหน้าหนี

“ ตกลงเลือกได้ยัง ยาสีฟันมึงอะ ”

“ ยอมรับมาก่อนว่าติดกูมาก ไม่อยากจะห่างกันไปไหน แล้วจะบอก ”

“ กูแค่คิดวันนั้น ” เผลอขมวดคิ้วในตอนที่อีกคนพูด อาร์มหยิบยาสีฟันที่ผมถืออยู่ในมือใส่ลงในรถเข็น

“ วันไหน ”

“ ก็วันที่เราเจอกันที่ห้าง หลังจากที่กูบอกมึง ว่ากูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว จำได้มั้ยว่ากูบอกมึง ว่าสักวันกูจะลืมเค้า แล้วมาเดินซื้อของกับมึง เพื่อเข้าบ้านของเรา ”

“ ก็จำได้ ” พูดแบบเสียงอ้อมแอ้ม แก้มเองก็ระเรื่อแดงไปหมดเพราะภาพในวันนั้นฉายเข้ามาในหัว

ทั้งสีเสื้อ บรรยากาศ หรือแม้แต่ใบหน้าของคนที่พูดคำนั้น ผมเหลือบมองคนที่ค้ำตัวเข้ากับมือจับรถเข็นมองหน้ากันด้วยความรู้สึกมีความสุข อาร์มยักคิ้วให้ผม แบบที่แปลได้ประมานว่า ‘ เจ๋งมากเลยใช่มั้ยละตัวกู ’

“ จ้า เท่สุด แต่ช่วยเข็นรถออกมาด้วยจ้า จะได้กลับบ้าน หิวข้าวแล้วหน้าสัด ”

“ บ่นเป็นเมียเลย ” ประโยคที่ได้ฟังทำเอาผมหันไปเหลือบมองคนที่ยิ้มให้กันอย่างงั้น แต่อย่าหาถึงความสำนึกผิดใดไม่ และแน่นอนว่า อาร์มมันต้องเจอคนอย่างผม

“ ก็ใช่ไง หรือมึงจะให้กูเป็นผัวอะ ก็ได้อยู่น้า ” ลากเสียงในตอนท้ายแบบรอยยิ้มกรุ่มกริ่ม คนฟังก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น อาร์มแค่เข็นรถออกไปข้างหน้า แล้วดึงมือข้างนึงขึ้นมากอดคอผม เราที่เดินข้างกันไปเรื่อยๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหยุดแล้วตอนที่หันไปมองล็อคตรงนั้น ก็ทำให้ผมรู้ว่า ไม่น่าจะไปยุยงอะไรมันเลยจริงๆ

“ แบบไหนดี มาเลือกกันดีกว่า ยังไงก็ขาดอยู่พอดี ”

“ ปกติมึงใส่ไซส์ไหนอะ ” ทำทีเป็นเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไรในตอนที่ถาม มือที่เอื้อมไปทำทีเป็นจับ ทั้งที่จริงหน้าแดงไปหมด ภาพก่อนหน้านี้ที่เรานอนทับก็ไหลวนเข้ามาในหัวเหมือนหนังเรื่องโปรดติดตา ผมหยิบของตัวเองแล้วโยนใส่รถเข็น “ ของกูประมาน 52 ”

“ ของกู 54 ” หยิบอย่างเหนือกว่าด้วยสายตาภาคภูมิใจราวกับเด็กเล็ก อาร์มหยิบแบบบางใส่ลงไปในรถเข็นแล้วยิ้มให้ผมที่ก็ทำได้แค่หันไปทางอื่นแบบยิ้มเกร็ง ด้วยนิสัยที่ต้องบ่นออกมาเบาๆว่า

“ เด็กเล็กชิบหายไอ้สัด มีอวดผ่านสายตาด้วย ”

“ แต่เอาจริงก็ไม่ได้ใหญ่หรอก จริงๆประมาน 52 นั่นแหละ แค่ไม่ชอบใส่แบบคับเกิน ก็เลยเอาแค่ไม่หลุดพอ กูเคยลองใส่ 52 แล้วอึดอัด ไม่ชอบ ”

“ น่าเศร้าที่กูรู้สึกสบายในตอนที่ใส่ 52  ” ยิ้มแห้งอีกหนึ่งกรุบคนที่ยืนข้างกันก็ยื่นมือมาขยี้หัวพร้อมเสียงหัวเราะที่เหมือนจะย่ำยีความเป็นชายอยู่ไม่น้อย  ‘ หึยยยยยยยยยยยยยยยยย แค้นใจนัก ’ “ แต่เดี๋ยวนะ..”

“ อะไร ” คำถามที่ทำให้ผมนิ่ง เพราะสมองสั่งการว่าหยุด และห้ามพูดสิ่งที่คิดออกไปเด็ดขาด กับประโยคที่ว่า ‘ ซื้อถุงยางอนามัยเตรียมไว้ขนาดนี้ คืนนี้มันอาจจะเกิดก็ได้ใช่มั้ย ภาคต่อจากห้องแมวเมื่อครู่ ’ “ เมี่ยงครับ ”

“ ไม่มีอะไรมึง ” ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเข็นออกไปข้างหน้าแบบที่ไม่พูดอะไรออกมาอีก

ของในรถเข็นถูกเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ตามความจำเป็น ทั้งของใช้ในบ้าน วัตถุดิบอาหารเย็น แล้วก็ขนม แต่เหมือนว่าอย่างสุดท้ายที่ว่ามันจะไม่ได้รับอนุมัติจากผู้อยู่ร่วมห้องโดยง่ายเลย เพราะว่าไม่ว่าผมจะหยิบอะไร อาร์มมันหยิบออกหมด

“ มึง ขอร้อง ” จับมือหนาที่กำลังจะหยิบถุงขนมออก อาร์มถอนหายใจยิ้มๆก่อนจะปล่อยมือออกจากห่อขนมรสโปรด ก่อนจะย้ำ

“ ถุงเดียวนะ ”

“ ถุงเดียวเองอะ ” ผมท้วง

“ บ็อปคอร์นอีกไงครับ พอแล้วมั้ง มีเยอะก็กินเยอะนะ ” โทนเสียงที่อ่อนนุ่มมบวกกับสายตาที่อบอุ่นนั้นชวนให้อยากงอแงแบบเด็ก ผมทำหน้างอ “ ตัวกินขนมแบบมึงซื้อมาเท่าไหร่ก็หมด ซื้อแค่พอกิน แล้วค่อยมาซื้อใหม่ ห้างมันก็แค่นี้ ”

“ งั้นขอไอศกรีมสักแท่งได้มั้ย กินรอมึงทำกับข้าว ” ยิ้มอ้อนคนข้างๆด้วยสายตาที่กระพริบปริบๆ จนคนมองถึงกับนิ่งไปสักพักแบบแพ้ยับ อาร์มเบือนหน้าหนีแต่ก็พยักหน้ารับตามใจในท้ายที่สุด เป็นเหตุลให้ไอติมรสส้มก็เลยมาอยู่ในมือผม ที่ตอนนี้ก็กำลังกินมันอยู่ด้วยข้ออ้างกลัวละลาย ในระหว่างทางที่เราเดินกลับบ้านด้วยกัน

“ จับมือหน่อย ” มือของคนข้างไประสานเข้าหากันแล้วกุมมันไว้แน่น  ผมยิ้มพลางดูดไอติมในมือก่อนจะยื่นให้อีกคน “ ดูดขนาดนั้นแล้วก็ยังจะให้กูกิน ”

“ รังเกียจเหรอ นี่แฟนไง ” ท้วงมันอย่างงั้นอีกคนก็อ้าปากเตรียมงับด้วยปากที่กว้างมาก “ อ้า... เยอะไป อ้าปากนิดเดียวพอ ”

“ ขี้เหนียว ” ว่าแบบนั้นพร้อมกับกัดไปนิดหน่อย ผมก็ถอนหายใจโล่งแล้วเอามากินต่อ แน่นอนว่าไม่มีรอบสองแน่นอน ไว้ใจไม่ได้มากกับผู้ชายคนนี้ แต่ถึงอย่างงั้นผมก็ยังกระชับมือนั้นไว้ พลางกับแกว่งเบาๆไปตามทางเดินกลับ

มีความสุขยิ่งกว่าวันไหนๆเลย หัวใจผมตะโกนออกมาอย่างงั้น
แล้วคนที่เดินยิ้มอยู่ข้างๆก็คงคิดไม่ต่างกัน


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
อาหารมื้อเย็นแสนอร่อยจบไปแล้ว แต่เสียงบดเคี้ยวยังไม่จางหายไป บ็อปคอร์นรสคาราเมลถูกยัดใส่ปากไปตามจังหวะของหนังที่กำลังเปิดฉาย มันถูกหยุดช่วงไปบ้าง แล้วแน่นอนว่าก็เพราะโดนคนข้างๆฉกฉวยไปกินอย่างหน้าตาเฉย แบบที่ไม่ได้เต็มใจป้อนให้เลย

“ มึง กินของกูอีกแล้วนะ ” หันไปขึ้นเสียงหงุดหงิดใส่คนที่เหมือนจะมีความสุขกับการแกล้งผมมากกว่าดูหนังก็แค่ยิ้ม

“ ก็อยากให้แฟนป้อน ”

“ แต่มันน่ารำคาญ กูจะดูหนัง มันไม่รู้เรื่องเลยเนี้ย ”

“ เมี่ยงบอกว่าอาร์มน่ารำคาญเหรอครับ ” หน้าดูสลดลงทันทีในตอนที่พูดสายตาที่เบือนหน้าหนีไปทางอื่นดูเศร้าสร้อยแต่ก็พอดูออกมาแสดง ทว่าผมก็ยังรู้สึกผิด

“ ก็ไม่ได้..”

“ ได้เค้าแล้ว เธอคิดว่า เธอจะทำอะไรกับเค้าก็ได้งั้นเหรอ ”

“ เดี๋ยวๆ ไอ้สัด เรายังไม่ได้กัน ” ผมยกมือขึ้นเบรค อาร์มมันยกยิ้ม “ ผู้กำกับเหี้ย บทเว่อร์มาก ”

“ แต่อยากได้แล้วอะ ” ดึงตัวเองเข้ามาใกล้กัน ผมก็ทำทีเป็นเอนตัวออกห่างแต่หลังกลับเหมือนจะเอนลงนอนราบบนโซฟา แม้ปากจะบอก

“ เฮ้ยบ้า มึงขอแบบนี้เลยเหรอ ” คนที่อยู่ด้านบนเบือนหน้าหนีกันไปทางอื่นแบบที่ยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับอะไรที่มันดูสวนทางอย่างงั้น ก่อนจะหันมาถาม

“ ไม่พร้อมหรือเปล่าครับ ”

“ เหี้ย..” สบถออกไปอย่างงั้น อีกคนก็ยักคิ้ว ดูก็รู้ว่ามันรู้ว่าผมตอบตกลงทางท่าทางไปแล้ว ไม่พร้อมก็เหี้ยละเอนหลังขนาดนี้ แต่มันก็เหมือนยังกวนตีนแบบอยากให้ตอบ ทั้งๆที่ก็รู้อีกนั่นแหละ ว่าผมไม่ตอบหรอก

เพราะตอบก็ดูเหมือนจะต้องการมากเกินไปดูไม่งาม แต่ถ้าไม่ตอบก็แบบไมได้อะ เพราะต้องการ

“ ไม่ตอบอะ คิดเอง ”

“ คิดเองไม่ได้นะเมี่ยง มันต้องเตรียมตัว มึงรู้ใช่มั้ย ” สีหน้าจริงจังพูดขึ้นแบบนั้น ผมก็ได้แต่ถอนหายใจ พลางเหลือบมองมันด้วยสายตาที่ก็อยากจะบอกว่า ‘ นี่โง่จริง หรือแกล้งโง่ ’

“  กูจัดการตั้งแต่อาบน้ำแล้วหน้าเหี้ย ก็มึงเสือกซื้อถุงยางมา ” เหลือบมองคนที่มองกัน อีกคนก็ค่อยๆแย้มยิ้มออกมาก่อนจะซบลงบนไหล่แบบชนิดทุ่มน้ำหนักตัวลงเข้าใส่ “ อาร์ม ”

“ ทำไมมึงน่ารักจังวะ กูแพ้ไอ้สัด ” มันว่าแบบนั้นด้วยเสียงอแงแบบเด็กๆ “ ไม่ยั่วแต่โคตรยั่วแบบนี้ ได้เหรอวะ ”

“ ยั่วเหี้ยอะไรก่อน แค่บอกเฉยๆ ” ท้ายประโยคที่เบาเสียงลงเพราะใบหน้าคมที่ลดระดับลงที่ริมฝีปากของผมอีกครั้ง

อาร์มจูบผมเบาๆ ก่อนจะไล่ออกมาตรงข้างแก้ม มันที่ดึงตัวเองขึ้นมองหน้ากัน ก่อนริมฝีปากบางนั้นจะจูบลงบนริมฝีปากของผม ไล่ไปตรงข้างแก้ม จมูก แก้มอีกข้าง ก่อนจะเลื่อนขึ้นมาด้านบนเป็นดวงตาสองข้าง แล้วก็จบลงที่ริมฝีปากในท้ายที่สุด

เจ้าของใบหน้าคมนั้น ดึงตัวเองขึ้นมองผมด้วยลมหายใจบางเบาที่ผ่อนออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม

“ นั่นแหละ ที่เรียกว่าความน่ารัก ไม่รู้ตัวเหรอครับ ” จูบลงที่ริมฝีปากอีกครั้งในอกของผมก็เริ่มร้อนขึ้นกระทันหัน อัตราการเร่งของหัวใจยามที่ริมฝีปากนั้นบดเบียด ผมเผยอมันออกเล็กน้อยก่อนจะผ่อนลมหายใจที่ในอกอัดแน่นไปด้วยความอึดอัด มันผสมปนเปไปกันไปหมด

ความรู้สึกที่ร่างกายร้อนขึ้น หายใจลำบากขึ้น มือที่ทำได้แค่จิกไปบนโซฟาตัวที่นอนพายุลูกเล็กก่อตัวอยู่ในช่องท้องแม้ว่าปากจะขยับบกอดเกี่ยวกับลิ้นชื้นและน้ำลายก็เหมือนจะเป็นสารหล่อลื่น ถึงอย่างงั้นความรู้สึกก็ยังดึงให้ทุกอย่างยิ่งจมดิ่งลง

เหมือนสระน้ำดำมืด ลึก ที่เราทั้งคู่ตกลงไป ภาพทุกอย่างถูกตัดออก ไม่มีแม้แต่ความสว่างรอบตัว อาร์มผละริมฝีปากนั้นออกแล้วค่อยๆจูบลงที่ต้นคอ พร้อมกับมือที่สอดเข้าไปในเสื้อยืดสีขาวของผม

ฝ่ามือหนาลูบขึ้นจากเอว สะกิดเบาๆตรงยอดอกก่อนปลายนิ้วโป้งชี้จะค่อยๆขยี้บี้มันเพียงน้อยพร้อมกับริมฝีปากที่จูบไปเรื่อยตรงซอกคอ จนลมหายใจของผมร้อนผ่าว แบบชนิดที่ต้องผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆอย่างห้ามใจไว้ไม่อยู่

อารมณ์ และความต้องการ ค่อยๆเพิ่มสูงขึ้น

“ มึง..” เสียงเบาหวิวที่หลุดออกจากปาก ความเสียวซ่านแผ่ซ่านไปตามร่าง ความรู้สึกในท้องร้อนขึ้น ผมดึงมือที่วางปิดหน้าตัวเองแบบที่ไม่รู้จะพามันไปตั้งไว้ส่วนไหน ก่อนที่เสื้อตัวนั้นจะถูกปลดออกโทษฐานที่มันขัดขวางและดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นใดในตอนนี้ อาร์มไล่จูบซอกลงต่ำมาที่ยอดอกนั้น ริมฝีปากขบเม้นเบาๆ บนยอดออกที่แข็งชันขึ้นอย่างไม่ช่วยปกปิด ร่างกายของผมซื่อตรงจนน่าหงุดหงิด เพียงแค่ลมหายใจของอาร์มผละผ่านร่างทั้งร่างก็เหมือนจะละลายยอมแพ้ ไม่ต่างกับยอดอกอีกข้างที่ถูกบี้ด้วยฝ่าจนมันตั้งชันขึ้น

จมูกคมกรีดร่างของผมในตอนที่ผละออกจากยอดอก มันไล่ตั้งแต่กลางอกมาจนถึงสะดือ ก่อนจูบลงไปเบาๆบนนั้น แบบที่ฝากรอยรักสีแดงจางไว้เป็นสัญลักษณ์

“ เมี่ยง เรียกชื่อสิอาร์มหน่อยสิครับ ”

“ หื้ม ? ” ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะเหลือบตามองตรงด้านบนที่ก็แค่ยิ้ม ในตอนที่ล้วงมือเข้าไปตามขอบกางเกงยางยืด ก้นถูกยกขึ้นตอนที่มือนั้นสอดเข้าไปบีบก้นกลมกลึง

กางเกงตัวที่สวมจะถูกโยนออกจากตัว สภาพร่างกายเปลือยเปล่า ปรากฏสู่สายตาคนรักเป็นครั้งแรก และนั่นก็ทำให้ผมถึงกับปิดหน้าตัวเองด้วยมือเล็กๆที่ก็แดงจัดไปทั้งตัว

“ น่ารักแล้วครับ ไม่ต้องเขินหรอก ” ว่าแบบนั้นริมฝีปากบางก็จูบลงบางเบาที่ข้างเอว

“ มึงลองโดนจับแก้ผ้าแบบกูบ้างสิ ” เสียงอู้อี้ที่บอกไปอย่างงั้น แต่เหมือนคนฟังจะไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ อาร์มแค่ยิ้มในตอนที่ผมมองผ่านซอกนิ้วที่เอาแต่ปิดหน้า มันดึงตัวเองขึ้นมาก่อนจะถอดกางเกงบอลตัวที่ใส่แล้วโยนมันออกไปจนพ้นทาง

“ โอเคมั้ยครับ เท่าเทียมแล้ว ”

“ ไม่รู้มึง ” บอกปัดแบบนั้นร่างสูงก็เอื้อมมือเข้ามาสอดใต้ขา อาร์มดึงตัวผมให้เข้ามาใกล้ก่อนจะดึงขาข้างนึงนั้นตั้งไว้บนบ่า นิ้วเรียวสอดเข้าไปในปากแตะน้ำลายเหนียวเล็กน้อย ก่อนจะสอดนิ้วนั้นเข้ามาในช่องทางหลัง

ความรู้สึกที่รับรู้ตอนนั้นมีเพียงแค่ความว่างเปล่าในสมอง นิ้วยาวสอดใส่จากหนึ่งไปถึงสาม อาร์มดึงมันเข้าออกจนสมองของผมขาวโพลนไปทั้งร่างในยามที่มันกดย้ำความรู้สึกตรงด้านในที่เป็นจุดกระสัน ร่างทั้งร่างสั่นเทา จนผมเผลอถอนหายใจแรงอย่างควบคุมความรู้สึกไม่ได้ มือนั้นขยับลงปิดปากตัวเองแน่น ผมรู้สึกเสียงของผมมันน่าอาย

“ อ๊า อาร์ม.. ตรงนั้นมันแบบว่านะ..” ปลดปล่อยเสียงที่มีแต่ลมหายใจถี่ แต่คนทำดูเหมือนว่าจะได้ใจ นิ้วเรียวนั้นกดย้ำพร้อมกับตั้งคำถาม

“ ตรงนี้เหรอครับ ”

“ อ๊า อย่ากดย้ำอย่าง งั้น มัน บอกไม่ถูก แต่กู.. อ๊า ” บางทีส่วนกลางอาจจะบอกได้ดีที่สุดเพราะมันกำลังแข็งชันขึ้นมาเพียงน้อยพร้อมน้ำล่อลื่นหยดใสที่ไหลออกมาจากปลายทางออกนั้น ผมเม้มริมฝีปาก แต่เหมือนอีกฝ่ายยังแค่ย้ำ   “ อ๊า พอ พอก่อน อะ อาร์ม ”

“ ครับผม ” ใบหน้าคมจูบเข้าที่ข้างขา นิ้วนั้นถูกดึงออกมาก่อนจะถูกแทนที่ด้วยส่วนกลางที่ถูกขยับเข้าออกเป้นจังหวะด้วยฝ่ามือของเจ้าของร่าง อาร์มใส่ถุงยางอนามัย ก่อนจะค่อยๆตั้งท่า แล้ววินาทีต่อจากนั้น มันสอดเข้ามาในร่างของผม แบบที่ต้องอ้าปากค้างอยู่แบบนั้นด้วยความรู้สึกไม่เคยที่ของบางอย่างจะถูกสอดใส่เข้ามา “ เจ็บมั้ยครับ ”

“ อื้อ เจ็บ ” บอกแบบนั้นเสียงเบา ผมที่ยกมือปิดหน้าพลางหอบหายใจออกมาถี่ ร่างสูงเองก็หยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น “ ไม่เป็นไรครับ  อาร์มไม่รีบ ไว้แบบนี้ก่อน ถ้าเมี่ยงหายเจ็บ แล้วอาร์มจะขยับนะ ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากผมแต่อีกคนก็แค่รออยู่แบบนั้นอย่างใจเย็น ก่อนจะค่อยๆขยับเข้ามาเพียงช้า ทีละนิด ในตอนที่รับรู้ได้ถึงการขมิบเบาๆของช่องทางหลังนั้น  ความรู้สึกอุ่นขยับเข้าออกมันไม่เชิงกับเป็นจังหวะแต่เหมือนจะเป็นไปตามความรู้สึก ผมเหลือบมองคนกระทำที่เลียริมฝีปากเบาๆในวินาทีนั้น

“ มึง ก็เจ็บเหรอ ”

“ นิดหน่อย ” บอกกันแบบนั้นยิ้มๆ แต่ก็พอดูออกว่ามากอยู่

ผมเข้าใจความรู้สึกนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการยัดอะไรสักอย่างลงไปในที่ที่แคบกว่าสิ่งที่มี ไม่ใช่แค่ผมที่เจ็บ อาร์มเองก็คงเจ็บด้วย " แต่แค่เมี่ยงไม่เจ็บก็พอครับ ประมานนี้โอเคมั้ย ”

“ ก็โอเค ” บอกแบบนั้นเสียงเรียบๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา ผมปิดตาตัวเองสนิทก่อนจะพูดออกไป “ แต่เร่งกว่านี้ก็ได้ รู้แล้วว่ารัก ว่าถนอมความรู้สึกกัน แต่ว่าเซ็กส์แม่ง ยังไงมันก็ต้องมีความสุขทั้งมึงทั้งกูอยู่ดีอะ เพราะงั้นถ้ามึงอยากมากแล้ว ก็ใส่ๆเข้ามาเถอะน่า ยิ่งค้างแบบนั้นกูก็ยิ่งเจ็บนะ ”

“ น่ารักอีกแล้ว ” ส่วนกลางขยับเข้ามาในร่างเพิ่มอีกนิดหน่อย ร่างสูงดึงตัวเองเข้ามาใกล้กันในจังหวะนั้น อาร์มดึงมือที่ปิดหน้าของผมออกก่อนจูบลงไปที่ริมฝีปาก แล้วก็ดึงมือนั้นให้เปลี่ยนที่ยึดเกาะไปที่ด้านหลัง เสียงทุ้มนั้นกระซิบลงข้างหู “ จิกนิ้วลงบนหลังกูได้ตามใจเลย เจ็บแค่ไหนใส่ลงไปเท่านั้น ”

“ อื้อ ” ตอบในลำคออย่างงั้น

“ น่ารักที่สุดเลยครับเด็กดี ” ประโยคสุดท้ายที่อาร์มพูดก่อนจะริมฝีปากนั้นจะบดเบียดลงมาที่ริมฝีปากของผมราวกับจะให้ละทิ้งความสนใจจากส่วนกลางที่กำลังขยับเป็นจังหวะมากขึ้น

ผมขยำเสื้อตัวที่ร่างสูงใส่มันจนย่นยับ ยามที่แรงกระแทกนั้นเริ่มแรงขึ้น จังหวะสอดใส่ที่เน้นลึก จนต้องส่ายหน้าหนีจากการจูบนั้น มาเป็นการเปล่งเสียงตามความรู้สึกเสียแทน

“ อ๊า อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ ”

แรงกระแทกที่เน้นเข้ามาจนลึก ผมหลับตา พลางกัดปากตัวเองด้วยความครั้นเนื้อครั้นตัวไปหมด เหงื่อเม็ดเล็กไหลออกจากหน้า ความรู้สึกเสียวซ่านแล่นไปทั่วร่าง ผมจับส่วนกลางของตัวเองรูดขึ้นลงในตอนนั้น ควบคู่ไปกับความรู้สึกที่ช่องทางหลังที่กำลังโดนเสียดสีและสอดใส่

อยากเสร็จแล้ว ผมอยากปลดปล่อยทุกอย่างออกมา จังหวะที่มันทั้งหน้าทั้งหลังแบบนี้ เหมือนยิ่งเพิ่มความรู้สึกทุกอย่างให้ผม แม้แต่การกระแทกของเสียงน้ำหล่อลื่น ที่ดังยิ่งกว่าเสียงตบมือ แอร์ที่เคยเย็นฉ่ำวินาทีนี้มันร้อนไปหมด

ส่วนกลางนั้นสอดเข้าไปลึกอีกนิดแล้ว ลึกแบบที่รับรู้ถึงไรขนที่สัมผัสสัมผัสกับผิว อาร์มดันมันจนมิดด้ามแล้วดึงออกมาราวกับเครื่องสูบแรงดี ที่ดึงตัวเองเข้าออกอยู่อย่างงั้นจนในที่สุด การจมลงสู่ทะเลลึก ผมก็ลอยระล่องเข้าสู่ฝั่งฝัน พร้อมกับน้ำความต้องการที่ฉีดพุ่งออกมาจากมือ
 
“ อาร์ม..” เสียงที่เอ่ยเรียกตัวของผมกระตุกเบาๆ ลมหายใจหอบถี่ทำเอาคนที่อยู่ด้านบนยิ้ม ผมดึงมือสองข้างขึ้นกอดรอบคอของร่างสูง ดึงตัวเองจูบริมฝีปากนั้นที่ก็ตอบรับกันอย่างดี ทั้งที่ลมหายใจของเราจะยังหอบแรงอยู่

ดึงตัวเองขึ้นอย่างระวัง อาร์มกลายเป็นคนที่นั่งแทนที่ผมที่ขึ้นไปค่อมทับอีกฝ่ายไว้ แผ่นหลังของร่างสูงแนบชิดกับโซฟาขาของผมเกางเกงออกอ ส่วนกลางของอาร์มอยู่ในร่างผม และส่วนกลางของผมก็แนบชิดอยู่กับท้องของอีกคน

“ ไม่แฟร์ ” พูดแบบนั้นก่อนจะถอดเสื้อตัวที่ร่างสูงใส่ออก ผมก้มลงจูบอาร์มก่อนจะค่อยๆขยับตัวเองขึ้นลงแบบที่ยอดอกแข็งชันยังโดนอีกฝ่ายขบเม้มอยู่แบบนั้น “ อ๊า อ๊ะ อื้อออ อ๊ะ อ๊ะ ”

มือหนาบีบเข้าที่ก้นกลมอย่างช่วยบังคับจังหวะสอดใส่ให้จมลึก ก่อนที่อาร์มจะหยุดมือเพราะเหมือนว่ามันคงไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ กับมุมนั่งแบบนี้

“ รอบนี้ขอเสร็จพร้อมกัน แล้วกันนะครับ ” มันพูดแบบนั้นก่อนจะดึงส่วนกลางออกจากตัวของผม อาร์มดึงให้ผมยืนขึ้นก่อนที่จะใช้มือดันให้โน้มตัวลงไปด้านหน้า แล้วสอดใส่ส่วนกลางเข้ามาอีกครั้ง

“ อ๊า ” มือหนาจับเข้าที่เอวหลังจากฝังมันเสียมิดด้าม ก้นของผมถูกขยับเข้าออกครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงกระทบดังคลอไปกับเสียงครางไม่ขาดช่วง ลำตัวของตัวโยกเข้าออกจนแทบนับจังหวะไม่ทัน เสียงครางหลงทิศไปไม่เป็นภาษา ด้วยความลึกและแรงกระแทกที่ถูกสอดใส่เข้ามาไม่มียั้ง  “ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อาร์ม อื้อออออ อ๊าห์ ”

ในตอนนี้สุขสม ผมแทบจะทรุดลงนั่งกับโซฟากับการปลดปล่อยออกมาในก๊อกที่สองแต่โชคดีที่มือหนากอดกันไว้ก็เลยไม่ล้มตัวลงไปกอง แต่เสียงหอบหายใจของเราในตอนนั้นแทบไม่มีใครต่างกัน

เหนื่อยจนแทบจะขาดใจ แต่มือที่กอดกันไว้ต่างฝ่ายต่างดึงให้หันไปเผชิญหน้ากัน เราโอบกอด และจูบอย่างดูดดื่มอยู่อย่างงั้นราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผละริมฝีปากหัวเราะให้กัน ก่อนจะจูบอีกครั้งด้วยแรงดึงดูดของไฟอารมณ์ที่ยังไม่มอดดับ  ขาเองก็ค่อยๆเดินถอยหลังอย่างเชื่องช้าเข้าไปในห้องนอน

เรายังคงมีอารมณ์ และเราก็ยังคงต้องการกันและกันอยู่
ผมคิดว่า อาจจะมีอีกสักรอบ บนเตียงของเรา ในคืนนี้

ครืน ครืน ครืน

ความเงียบเชียบของห้องนอนในเช้าวันใหม่ถูกรบกวน ด้วยเสียงลั่นเบาๆของมือถือที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง ผมที่เอื้อมมือไปควานหามันอย่างสะเปะสะปะก่อนจะหยิบขึ้นมามองดู บนหน้าจอที่ไม่ใช่ของผม ปรากฏข้อความตัวอย่างของโปรแกรมสนทนา

แต่มันไม่ได้มีอะไรมาก

ก็แค่โฮม ที่ส่งข้อความมาหาอาร์ม ‘ มึงไอ้ดีนมันหายไปเกิน 5 วันแล้วนะ ’ และกับอีกข้อความที่ว่า ‘ กูชักเป็นห่วงแล้ว มันไม่ได้ติดต่อมึงมาเลยเหรอวะ  ’

ถอนหายใจเบาๆออกมาหนึ่งครั้ง ผมกดปิดหน้าจออย่างไม่ใส่ใจ แล้ววางมันลงที่เดิมก่อนจะพลิกตัวไปกอดคนที่ตอนนี้ยังคงหลับอุตุและกอดกันไว้แน่น

รู้แค่ว่า ผมมีความสุขมาที่สุดเลย ในตอนนี้

............................................................

ในที่สุด นั่นแหละค่ะ คนอ่าน
เจอกันตอนหน้านะคะ คิคิ

ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ในทวิตด้วยน้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่ฮับ
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นายท่าน ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลหรอ  :hao4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนนี้   นายท่านหายไปไหน?  นายท่านโก่งค่าตัวเหรอ?

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
แหมมมม หมั่นไส้คนมีความสุขมากที่สุดในตอนี้อ่ะ   :impress2: ห่วงเพื่อนในฐานะเพื่อนร่วมโลกบ้างก็ได้เด้อ 5555

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 35

ลืมตาตื่นได้สติขึ้นมาหลังจากหลับเป็นตายอย่างหมดแรง มือของผมกระชับร่างที่เคยอยู่ในอ้อมกอดแต่ทว่าตอนนี้มันกลายเป็นเพียงแค่หมอนใบนุ่ม หลงเหลือไว้เพียงแค่กลิ่นของเจ้าของแบบจางๆ

“ อยู่ข้างนอกเหรอวะ ” พูดกับตัวเองอย่างงั้นก่อนจะยกมือเกาคอตัวเองไปเรื่อยในตอนที่ลุกขึ้นนั่ง

ผมดึงตัวเองขึ้นจากเตียง ตรงออกไปนอกห้องที่ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่คนที่อยากจะเจออย่างที่ใจคิด ผมเดินต่อไปที่ห้องแมว  แล้วภาพที่เห็นก็คือ หัวหน้าแมวที่กำลังตามหา กำลังนั่งกอดเข่าในชุดนอน อยู่ตรงหน้าเตียงกล้วยของไอ้นายท่านกับแก้มหอม ที่ตอนนี้กำลังนอนกอดกันอยู่แบบชื่นมื่นในนั้น

“ นี่..” เมี่ยงหันมามองผมที่เปิดประตูเข้ามา มันไม่ได้ทักกันหรอก มันกำลังทักแมวพร้อมกับเอื้อมมือไปจิ้มเข้าตรงพุงของไอ้ตัวลาย แต่กลับโดนมือนั้นตะบบเข้าให้ คล้ายว่าอย่ามายุ่ง “ โกรธอ๋ออออ ขอโทษนะ ”

“ งอนอะไรกันอีก ” ผมถามก่อนจะเดินเข้าไปขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ปากที่หาวออกมาเพราะยังง่วง มือที่ทำทีจะเอื้อมมือไปอุ้มแมวตัวเอง แต่เหมือนไอ้ตัวลายจะหวงเป็นพิเศษ มันเอามือมาขวางผมไว้เหมือนกัน “ อะไร แมวกูมั้ย ลูกสาวกู ”

“ ม๊าวว ”

“ ม๊าวอะไร ”

“ มันบอกว่าแก้มหอมก็ของมันเหมือนกัน ” เมี่ยงแปลภาษาแมวให้ผมฟัง ที่ก็ได้แต่หลุดยิ้ม เอาจริงไม่รู้หรอกว่าถูกต้องมั้ย แต่ใจก็เชื่อไปแล้วด้วยความรู้สึกแบบที่ว่า แฟนผมก็น่ารักเหมือนลูกแมว ยังไงก็ต้องใช่แน่

“ เหรอครับ คุณหัวหน้าแมว ”

“ อื้ม ” พยักหน้ารับหงึกหงักเมี่ยงก็ลดตัวเองลงนั่งขัดสมาธิลงข้างผม ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ มันหันมามองผมแบบงงๆ “ เดี๋ยวนะ หัวหน้าแมวอะไร ”

ไม่ได้ตอบความสงสัยอะไรแค่ยื่นมือไปบีบแก้มคนตรงหน้าจะปากจู๋ ผมจูบมี่ยงซ้ำๆก่อนที่อีกคนจะดันหน้าเข้ามาสู้แบบไม่ยอมแพ้ มันคล้ายกับตอนแก้มหอมอ้อนผม เวลาที่เอาหน้าเข้ามาคลอเคลีย

“ มึงมาอาร์ม เข้ามา กูจะสู้  ” จูบกันซ้ำๆไม่พอ มือที่เอื้อมมือมากอดคอ มันจูบไปทั่วหน้าผม แบบที่ต้องยู่หน้าแล้วเอียงหนี

“ โอเคครับ ผมยอมแพ้แล้ว ” นั่นถึงไอ้ตัวซนมันถึงหยุด  “ แล้วตกลงงอนอะไรกัน ”

“ ก็ปกติตอนเช้าไอ้นายท่านจะเข้าไปในห้องกูใช่มั้ย แต่เมื่อเช้ามันไม่ได้เข้าอะ คงร้องเมี๊ยวๆอยู่ตรงนี้ แต่กูก็ไม่ได้ยิน ”  คนตรงหน้าส่ายหน้าประกอบประโยคเหมือนจะฟ้อง แบบชนิดที่ทั้งตาทั้งปากดูงอแงไปหมด เมี่ยงดึงตัวเองออกจากผม “ แล้วพอกูตื่น เดินมาหามันในห้อง มันก็สะบัดตูดหนีไปนอนกอดกับแก้มหอมเลย กูจะอุ้มก็ผลักมือ มีความจะตบเบาๆด้วย  ”

“ เฮ้ย มึงกล้างอนเมียกูเหรอ ” เอื้อมมือไปจิ้มตรงตูดแต่ก็โดนไอ้ตัวลายตะบบเข้าให้ มันที่จ้องตาผมไม่กระพริบ ราวกับจะให้สำนึกในความผิดที่เอาไปเมี่ยงไปกอดไว้ทั้งคืน

“ หรือเราจะติดประตูแมวดี ทางคอนโดเค้าบอกใช่มั้ยว่าติดได้ ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับกับคำพูดนั้น ก่อนหน้านี้ทางคนดูแลถามมาเหมือนกันว่าเราจะติดมั้ยสำหรับประตูแมว เพราะเค้าจะทำการติดตั้งให้ก่อนที่เราจะย้ายเข้ามาอยู่ แต่ตอนนั้นทางเราปฎิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่ากลัวมันจะเดินออกมาในตอนที่เราเผลอเปิดประตูระเบียงไว้ แล้วอาจจะตกลงไปจากตึก

“ แต่ถ้าติด เผลอลืมปิดระเบียงแล้วชิบหายเลยนะ ” เมี่ยงมันถอนหายใจ อย่างคิดหนัก “ แต่พรุ่งนี้คงได้ยินแล้วมั้ง เมื่อเช้ามันเหนื่อยอะ กูเลยไม่ได้ยินอะไรเลย หลับลึกสัด ”

“ ทำไมถึงเหนื่อยอะ ” แซวออกไปเล่นๆแต่เหมือนคนพูดจะไมได้เล่นด้วย คนน่ารักตรงหน้าหันมามองแบบหาเรื่อง เมี่ยงบอกผม

“ เอากับมึงไงไอ้สัด ”

“ ฮ่าๆ ”  หลุดหัวเราะออกมาเสียงกัง อดไมได้เลยที่จะยื่นหน้าเข้าไปฝังจมูกเข้ากับแก้มนั่น ผมส่ายหน้าไปมาแบบอดไม่ได้

“ แล้วจริงๆ กูหลับนานกว่านั้นอีก เสือกมา มาตื่นก็ตอน..”

“ ตอน ? ” เพราเห็นมันเงียบไป ผมก็เลยเอียงหน้าถาม แต่คนตอบก็แค่เหลือบมองกันเหมือนแปลกใจในสิ่งที่ผมถาม

“ นี่จับมือถือยังมึงอะ ”

“ ยัง อยู่ไหนยังไม่รู้เลย ” ว่าแบบนั้นผมก็ได้แต่ถอนหายใจยิ้มๆ “ ทำไม ? มีอะไร มีคนโทรหากู มึงเลยตื่นเหรอ ”

“ ก็ประมานนั้น “ อีกฝ่ายบอกเสียงอ้อมแอ้ม “ แต่บอกไว้ก่อนเลยว่า กูไม่ได้ตั้งใจอ่านนะ คือมันสั่นที่หัวเตียงแล้วกูก็คิดว่าเป็นของกู กูเลยหยิบขึ้นมาดู แต่มันคือของมึง ” พยักหน้ารับยิ้มๆกับท่าทางอธิบายแบบเกินเบอร์ด้วยนิสัยที่ชอบหน้าตาตื่นเวลารู้สึกผิด

“ แล้วยังไงต่อ ”

“ กูเห็นตัวอย่างข้อความไอ้โฮม มันส่งมาหามึง ” ผมขมวดคิ้วในตอนที่เมี่ยงถอนหายใจออกมา พลางเม้มริมฝีปากแล้วทำทีเป็นหันไปมองทางอื่น ท่าทางที่ทำให้ผมต้องถาม

“ แล้วข้อความนั้นมันคืออะไร ”

“ ก็...” เมี่ยงหันมาเหลือบกัน ไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กที่ไม่ค่อยอยากจะบอกความจริงกับพ่อแม่สักเท่าไหร่ “ เรื่องดีนอะ ”

สิ้นคำนั้น ผมรู้สึกว่าสายตาของคนตรงหน้าเปลี่ยนไป เมี่ยงดูเป็นกังวล กังวลจนผมต้องเอ่ยถาม “ มีอะไรเปล่าวะ ”

“ มึงไม่เห็นเล่าเลย ดีนไม่มาเรียนห้าวันแล้วเหรอวะ ” ประโยคนั้นทำให้ผมหันไปมองทางอื่นแบบไม่รู้จะอธิบายยังไงดี “ แล้วลองโทรหามันบ้างยัง ”

“ โทรแล้ว แต่มันปิดเครื่อง ”

“ เหรอ ” ท่าทางที่ดูเป็นกังวลมากขึ้น เมี่ยงจ้องมองผม “ แล้วมึงสนิทกับมันขนาดนี้ ไม่มีเบอร์แม่มัน หรือว่าช่องทางติดต่ออื่นเลยเหรอวะ ”

“ มี ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเอนตัวค้ำมือลงกับพื้นด้านหลัง ก่อนจะผ่อนลมหายใจหนักใจนั้นออกมา แบบที่ก็คิดไม่ตกมาหลายวันแล้วเหมือนกันสำหรับเรื่องนี้ “ ก่อนหน้านี้ดีนมันบอกแม่มันว่า มาอยู่กับกู ซึ่งตอนนี้มันก็คงยังไม่ได้กลับบ้านหรอก ”

“ ทำไมคิดงั้น ”

“ ก็ถ้ามันกลับบ้าน แม่มันก็ต้องบังคับให้มันมาเรียน ”

“ มึงก็คิดง่ายไป เราไม่ใช่เด็กเล็กที่รถโรงเรียนมาส่ง แล้วต้องเดินเข้าโรงเรียนสักหน่อย แค่ออกจากบ้าน เค้าก็ไม่รู้แล้วว่าเราไปไหน จริงมั้ย บางทีมันอาจจะกลับบ้าน แล้วก็ทำทีเป็นออกมาเรียนแต่ไม่มาก็ได้ อาจจะไปที่อื่น เพราะไม่อยากเจอมึง  ” คนตรงหน้าผมบอก “ เอาจริงๆนะ ”

“ อะไร ”

“ ที่มึงไม่อยากจะสนใจมัน เพราะกลัวกูคิดมากหรือเปล่า ” สายตาที่ถามกันด้วยยิ้มจางๆ “  แบบว่า กลัวว่ากูจะคิดมาก เรื่องที่มึงดูเป็นห่วงเป็นใยในตัวไอ้ดีน ”

“ ไม่เกี่ยวกับมึงเลย แต่กูแค่ไม่อยากจะสนใจอะไรแล้วเมี่ยง ” แล้วนั่นก็คือสิ่งที่ผมคิดแบบไม่ได้จะโกหกอะไร

เอาจริงๆเรื่องนี้ก็เป็นอะไรที่คาราคาซังอยู่ในกลุ่มตั้งแต่สองวันแรกที่อีกฝ่ายหายไปแบบที่ไม่มีการติดต่อแล้ว ตอนนั้นดีนไม่มาเรียนเข้าวันที่สาม จุ้นเลยสั่งให้ผมโทรไปหา ที่ก็ซึ่งไม่ต่างกับเพื่อนคนอื่น มันปิดเครื่อง โทรหาไม่ติด แล้วพอบอกไปแบบนั้น อีกฝ่ายก็คะยั้นคะยอให้โทรไปหาแม่มันหน่อย แต่ผมก็ปฎิเสธไป วันนั้นอีกฝ่ายเลยบอกผม

 ‘ กลัวไม่เมี่ยงจะเสียใจที่มึงยังรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยไอ้ดีน ที่เป็นแฟนเก่าเหรอวะ ถึงไม่อยากจะยุ่งกับมันอีก ’

ที่ซึ่งความจริงไม่ได้เป็นแบบนี้เลย ผมไม่อยากจะโทรหาแม่ดีน เพราะไม่รู้ว่ามันโกหกอะไรอีกฝ่ายไว้ คนอย่างแม่ไอ้ดีนที่คุมความประพฤติลูกจนน่าอึดอัด เค้าไม่มีทางปล่อยมันให้หายไปเกิน 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว

ถ้าไม่อยู่บ้าน มันก็คงอยู่บ้านเพื่อนสักคน แล้วก็เปิดเบอร์ใหม่ ให้แม่มันโทรหา เพราะฉะนั้นแม่ของมันคงเป็นคนเดียวที่ยังคงติดต่อมันได้ และเพื่อไม่ให้แผนของมันที่ผมก็ไม่รู้ว่ามันบอกเธอไปว่ายังไงแตก ก็เลยตัดสินใจที่จะอยู่เงียบๆ ไม่โทรไป

ทุกอย่างมันก็แค่นั้น แต่เหมือนว่า จุ้น มันจะไม่เข้าใจ

“ รู้มั้ยว่าบางทีกูเหนื่อยมากเลยกับเรื่องนี้ ” ได้แต่ก้มหน้าลงในตอนที่พูด ผมหลับตาลงก่อนจะลุบหน้าตัวเองไปมา “ กูไม่อยากจะโทรไปหามันด้วยซ้ำ กูไม่ได้อยากรู้ กูไม่ได้อยากสนใจ แต่พอกูไม่ทำ เพื่อนก็บอกว่า เพราะมึงเหรอ กลัวมึงเสียใจเหรอ ทั้งๆไม่ใช่ ” ผมส่ายหน้า

“ กูแค่เหนื่อยแล้ว เหนื่อยที่ต้องอธิบายกับมัน ถ้ามันเผลอพูดว่า ที่โทรมาเพราะเป็นห่วงเหรอ กูก็เหนื่อยที่จะบอกมันแล้วอะ ว่าไม่ใช่ กูแค่ห่วงในแบบเพื่อน ไม่ได้คิดอะไร กูคิดถึงตอนที่กูต้องมาอธิบายเรื่องความรู้สึกของกูซ้ำๆ แค่นั้นก็ไม่อยากจะโทรแล้ว ” ผมถอนหายใจ

“ แต่มันไม่มีใครคิดถึงความรู้สึกของกูในจุดนี้เลย ทุกคนมองแค่ว่า กูแม่งใจร้ายว่ะ ต้องขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่ กว่ากูจะตัดมันขาดได้ กว่าจะพูดให้มันเข้าใจว่ากูไมได้รักมันได้ กูใช้เวลาตั้งเท่าไหร่ เพื่อถนอมความรู้สึกมันไว้ ทั้งๆที่มันไม่เคยคิดอะไรอย่างงั้นกับกูเลย  ”

“ อาร์ม ”

“ แต่แค่ครั้งนี้ที่กูเหนื่อยแล้ว อยากพอแล้ว มันกลับมองว่ากูแม่งแย่ว่ะ เออ ตลกดีไอ้สัด ” ผมยกยิ้มอย่างรู้สึกขัน

จุ้น มันก็สงสารแต่ไอ้ดีน เพราะเจ้าตัวคิดว่า ทางนั้นคือคนที่โดนทิ้ง แล้วพอเห็นว่าผมมีความสุขดีกับเมี่ยงความรู้สึกที่ผมเลือกเมี่ยง ไม่เลือกดีน ก็ยิ่งตอกย้ำลงไปในใจมัน ว่าอีกฝ่ายคือคนที่น่าสงสาร เอาแต่บอกว่าผมใจร้าย ไม่ดูดำดูดีเลย คบกันมาตั้งนานบ้างละ ความเพื่อนยังไม่มีให้บ้างละ


ทั้งๆที่ไม่ได้รู้เลย ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมต้องเจออะไรบ้าง
ถึงได้กล้าตัดสินใจเดินออกมาอย่างงั้น


“ โอ๋ๆ มานี่มา มาซบอกน้องเมี่ยงนะ ” มือขาวกางออกเหมือนเด็ก เมี่ยงดึงตัวเองเข้ามาหาผมก่อนจะดึงให้ซบลงตรงอก มันลูบหัวปลอบ “ กูเข้าใจ ว่ามันรู้สึกแย่ ที่เราอดทนมาตั้งนานแต่ไม่มีใครเข้าใจ มามองเห็น พอเห็นก็มาเห็นตอนที่เราเลิกที่จะอดทน แล้วก็มาบอกว่าเราใจร้าย กูเข้าใจว่ามึงเหนื่อยแล้ว ไม่อยากจะยุ่งอีก เพราะกลัวดีนมันวอแว”

“ จูบหน่อย ” เงยหน้าบอกคนปลอบแบบนั้น แต่หมือนเมี่ยงมันจะรู้ทัน อีกคนขมวดคิ้ว

“ เศร้าตอแหลเหรอไอ้สัด ”

“ เศร้าจริง ” ผมย้ำก่อนจะดึงขึ้นจูบที่ปลายคาง แล้วสูงขึ้นไปอีกหน่อยที่ปาก แล้วก็ข้างแก้ม “ แต่เศร้าเพราะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอเมียนอนอยู่ข้างๆ จะมอนิ่งคิสสักหน่อย เซ็ง ”

“ โถ่ ไอ้สัด กูก็เผลอห่วงใยไปสิ ”

“ กูรู้สึกอย่างที่พูดกับมึงจริงๆ แต่อยู่มึง กูไม่อยากจะเอาเรื่องใครมาใส่ใจทั้งนั้น ” ผมบอก“ แล้วเป็นยังไงบ้าง ปวดตัวบ้างมั้ย ” คนที่ต้องตอบยกยิ้มในตอนที่ผมถาม มันหัวเราะในคอ

“ ระดับกู ” มันว่าอย่างงั้น “ จะเหลือเหรอไอ้สัด ปวดตูดจะตายห่าแล้วเนี้ย ”

“ โอ๋ๆ มาครับ จะปลอบ ” ดึงตัวมันเข้ามากอดแทน จูบลงไปบนผมนุ่มนั้นซ้ำอีกคนก็กัดฟันกรอดจนชวนให้ต้องกระชับฝ่ามือของตัวเอง ผมโยกตัวไปมา เมี่ยงนิ่งอยู่แบบนั้นสักพัก ก่อนจะดึงตัวเองออกจากอ้อมกอดของผม

“ แต่ว่าอาร์ม ”

“ ครับผม ”

“ กูว่ามึงโทรไปหน่อยก็ดีนะ เรื่องดีนอะ ” ว่าแบบนั้นด้วยเสียงเรียบ ผมก็หันไปทางอื่น พยายามแล้วจะออกจากบทสนทนาที่ไม่ชอบแต่อีกฝ่ายก็ดึงกลับมาจนได้ “ กูรู้ว่ามึงไม่อยากคุย แต่ฟังหน่อย กูเป็นห่วงมัน มันหายไปแบบนี้ ติดต่อไม่ได้แบบนี้ มันน่าเป็นห่วงนะ ยิ่งมึงบอกว่า แม่มันเป็นคนเดียวที่ติดต่อมันได้ กูว่ามันยิ่งน่าห่วงนะ ถ้ามันอยู่บ้าน ออกมาเรียนตลอด แล้วมันไปไหนอะ ทำไมไม่มา ”

“ แล้วจะให้โทรไปที่ไหนละครับ ก็บอกอยู่ว่ามันปิดเครื่อง ”

“ เบอร์บ้านมั้ย ”

“ ถ้าแผนมันแตกทำไง ” ผมถามกลับอีกคนก็นิ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแบบครุ่นคิด ท่าทางที่ดูคิดหนัก ชวนให้ไอ้นายท่านที่ก่อนหน้านี้นอนอยู่ที่เตียง เดินมานั่งลงบนตัก “ อะ หายงอนแล้วเหรอ ” แขนขาวกอดแมวตัวเอง พุงน้อยๆโดนลูบ เมี่ยงก้มลงหอมบนหัวเจ้าตัวลายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ก็คงสังเกตได้นั่นแหละ ว่าเจ้านายตัวเองเครียด มันเลยมาเดินมาหาด้วยความเป็นห่วง ไม่ค่อยต่างกับแก้มหอมเท่าไหร่ เจ้าตัวน่ารักก็นั่งมองผมอยู่เหมือนกัน

“ ตอนนี้เลิกคิดเรื่องแผนแตกไม่แตกเถอะ แล้วมึงไม่เป็นห่วงเหรอวะ ถ้าเกิดว่า มันอยู่บ้าน แต่ทำทีเป็นออกมาเรียน ทั้งที่ความจริง ไปเมา ไปติดยา อะไรแบบนั้นอะ ”

“ ดีนมันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก ”

“ เราไม่รู้หรอกอาร์ม มันเสียใจอยู่นะมึง  แล้วเรื่องแบบนี้ ก็ชอบเข้ามาตอนคนมันขาดสติทั้งนั้นแหละ ”  ผมนิ่ง ในตอนนั้นเมี่ยงก็เอื้อมมือจะจับมือผม แต่ทว่าก็โดนไอ้นายท่าตะบบห้ามไว้ จนเราต้องหันไปสนใจไป “ ขอจับมืออาร์มหน่อย นี่แฟนเมี่ยง แล้วตอนนี้ก็กำลังเครียดอยู่ โอเคนะ ”

“ กวนตีน ” ผมพูดเสียงเบา พร้อมกับมือขาวที่ก็กระชับมือแน่น

“ กูเข้าใจนะว่ามึงรู้สึกยังไง เข้าใจว่าไม่อยากจะเหนื่อยหน่ายกับความดื้อของมัน แต่โทรไปหน่อยเถอะ มันต้องมีสักทางที่มึงติดต่อมันได้สิ มึงเป็นเพื่อนรักมันนะ ”

“ ทำไมอยากให้กูโทรไปจัง ไม่หึงเหรอ ”

“ ไม่เกี่ยวกับหึงไม่หึงเลย แต่ถ้าถ่านไฟเก่ามันลุกขึ้นมา กูเอาน้ำสาดเองไอ้สัด ” เมี่ยงว่าด้วยสีหน้าอินจัด จนผมหลุดยิ้ม “ เอาเป็นว่า ถ้าเกินขอบเขตกูคงหึง แล้วก็คงพูดกับมึงตรงๆ แต่ตอนนี้กูเชื่อใจมึง ว่ามันจะไม่มีอะไร แล้วก็เพราะบางทีที่มันหายไปแบบนี้ มันอาจจะแค่ไม่กล้าก็ได้ ”

“ ไม่กล้าอะไร ? ” ขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าที่ก็แค่ยิ้มพลางก้มลงหัวหอมแมวตัวเอง

“ ก็ไม่กล้าสู้หน้ามึงไง เพราะสิ่งที่ทำเอาไว้ไง แล้วแบบนั้นมึงก็ยิ่งต้องทักไปนะ เพื่อบอกกับมันว่า ทุกอย่างโอเค ไม่เป็นไรหรอก ”

“ ไว้จะลองดู ” ก็ถ้ามันตอบกลับมานะ 

......................................................

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

สถานการณ์ภายในห้องดูไม่น่าไว้วางใจ มือของผมที่กำลังถือนิวเทนโด้ในมือชะงักความเร็วของการเล่นลง พลางมองไปยังจุดที่คล้ายว่าจะเป็นจุดเกิดเหตุในอีกไม่ช้า แผ่นหลังหนาของผู้ร่วมอยู่อาศัยที่เคยเป็นศัตรู

ดีนตอนนี้ยืนอยู่หน้าเตาในครัวของคอนโด มันอยู่ที่นี่มาห้าวันแล้ว ห้าวันที่ไม่ไปเรียน แล้วก็เอาแต่เล่นเกมส์ หมกตัวอยู่ในผ้านวมของผมที่กลายเป็นของส่วนตัวของมัน

“ ทำเชี้ยอะไรอีก ” เอ่ยทักออกไปคนที่เหมือนจะตั้งใจทำอะไรบางอย่างก็ถึงกับสะดุ้งเฮือก มันหันมามองผมตาขวาง

“ ตกใจไอ้เหี้ย ” ถอนหายใจออกมาพลางจับหน้าอก แล้วในตอนนั้นผมก็เห็นกลุ่มควันลอยขึ้นมาจากเตา

“ แล้วนั่นจะทำอะไร จะทำครัวกูไหม้อีกเหรอ ”  คนฟังถึงขั้นนิ่ง มือที่กำลังจะจัดการอะไรบางอย่างหยุดชะงักลง มันเหลือบมองผมด้วยสีหน้าหาเรื่อง

“ จะแดกมั้ย ”

“ ทำเผื่อกูด้วย ? ” ถามออกไปแต่คนฟังก็แค่ถอนหายใจทิ้งแล้วหันกลับไปทำอาหารตรงหน้าต่อ

ผมยังจำสองวันก่อนได้เลย ไม่รู้อีกคนคิดอะไร ถึงเกิดอยากจะกินบ็อปคอร์นช็อคโกเล็ตขึ้นมา แล้วก็แบบที่ราดช็อคโกเล็ตเองด้วย เจ้าตัวที่ลงทุนขับรถออกไปห้าง ไปซื้อบ็อปคอร์นถังใหญ่ที่โรงหนัง ก่อนจะกลับมาตั้งหม้อ โยนช็อคโกเล็ตลงไป

ที่สุดท้ายแล้ว...มันก็ไหม้ไปทั้งหม้อ

หน้าหงิกงอของคนที่ไม่ได้กิน เดินขึงขังมานั่งลงข้างตัว ปากที่เคี้ยวบ็อปคอร์นแบบที่ซื้อมา พอถามว่าทำไมไม่ซื้อมาง่ายกว่า ดีนก็บอกกันว่า อยากจะกินแบบ เป็นซอสราดช็อคโกเล็ตเยิ้มๆ ไม่ได้อยากจะกินแบบ คลุกไว้แห้งๆ วันนั้นผมก็เลยถามกลับไป

‘ แล้วทำไมไม่ซื้อซอสช็อคโกเล็ตที่มันทางหนมปังมา ’  ก็นั่นแหละ มันถึงได้หายโง่

กลิ่มหอมอ่อนๆของอาหารเริ่มโชยมาเข้าจมูกหลังจากที่ผ่านไปสักพัก ดีนไม่ได้เก่งขึ้นหรอก แต่ก็ฉลาดในการใช้ชีวิตมากขึ้น ยกตัวอย่างก็การทำมาม่าในรูปแบบต่างๆ ผมว่ามันทำได้ดี

“ มาม่าอีกแล้วเหรอวะ ” พอถามออกไป เสียงครางในคอที่แทบไมได้ยินก็ตอบกลับมา

“ อื้อ มาม่าเผ็ดเกาหลีอะ กูทำสามห่อเลย ”

ก้มลงมองนิวเทนโด้ที่อยู่ในมือ นิ้วขยับต่อเนื่องจนมันจบด่าน พอดีกับอาหารถาดยักษ์ที่วางลงบนโต๊ะตรงหน้า

“ เชี้ย ” ถึงขั้นสถบออกมาในตอนที่เห็น ไม่ใช่แค่มาม่าเผ็ดอย่างที่เข้าใจ แต่มีไส้กรอก ข้าวโพดเป็นท็อปปิ้งที่ก็เยอะมาก ตามภาษาคนเริ่มมีสกิลในการทำอาหารแต่ยังคำนวนปริมานไม่เป็นว่าต้องทำเท่าไหร่ กับการกินสองคน

“ ทำไม ไม่กิน ? ” พ่อครัวหัวร้อนถามออกมาแบบหาเรื่อง มือข้างนึงถือถ้วยแบ่ง อีกมือก็ถือส้อม เตรียมพร้อมจะนั่งลง แน่นอนว่าถ้าผมเรื่องมาก มันน่าจะโยนของในมือพวกนั้นแหละ เข้ามาใส่หน้า

“ กิน ” ตอบรับเสียงหนัก คนทำก็เดินลงมานั่ง ดีนยื่นถ้วยกับส้อมให้ผม มันที่เหลือบมองกัน แน่นอนว่าคง อยากได้คำชมเหมือนทุกที “ เดี๋ยวนี้อาหารมียกระดับเว้ย ใส่นู้นใส่นี่ด้วย สุดยอด ”

“ แน่นอน ” แล้วก็เป็นเหมือนอย่างทุกที คนได้รับคำชมกลั้นยิ้มไว้แบบที่ก็ทำทีเป็นไม่ได้สนใจ ทั้งที่หน้า หลัง ยืดตรงไปหมด “ กูซื้อไส้กรอกเวฟ แล้วก็ข้าวโพดต้มแล้วมาด้วยตอนไปเว่น เลยจับใส่เข้าไปรวมกัน ”

“ สุดยอด ” ยกมือให้หน่อย คนทำก็ยิ่งกลั้นยิ้ม ดีนมันก้มหน้าลงตักเส้นมาม่าใส่ชามของตัวเอง ก่อนเสียงสูดเส้นของเราสองคนจะดังตามมาเป็นระยะอย่างไม่มีขาดช่วง มันตามมาพร้อมกับเสียงซี๊ดซ๊าดของความเผ็ดร้อน จนผมต้องวางชามแล้วเดินไปที่ตู้เย็น

แป็ปซี่กระป๋องถูกเปิดเสียงดังป๊อก! ผมกินมันก่อนเพื่อระบายความเผ็ด แล้วค่อยหยิบแก้ว มาเปิดจ้วงน้ำแข็งที่อยู่ตรงตู้บน

“ เผื่อด้วย ”

“ คนใช้มึงเหรอกูน่ะ ” ถามกลับไปแบบนั้นคนกำลังเผ็ดก็ซี๊ดซ๊าดแบบผ่อนลมเข้าออกพลางมองด้วยสายตาอาฆาต

“ K ” มันพูดแบบนั้นก่อนจะทำทีเป็นลุกมา แต่ผมก็ยื่นแก้วของตัวเองที่ยังไม่ทันกินไปให้ไปก่อน

“ เอาไป ”  เดินกลับมาตักน้ำแข็งแก้วใหม่รวมถึงรินแป็ปซี่ใส่ใหม่  ผมกลับมานั่งที่เดิม แน่นอนว่าก็ยังกินต่อ  แลเมื่อพ่อครัวมือใหม่เห็นแบบนั้นมันก็เอ่ยแซวผม

“ อร่อยใช่มั้ย กินไม่หยุดเลยน้า ”

“ เอาอะไรมาไม่อร่อย มาม่า ไส้กรอกเวฟ กับข้าวโพดที่ต้มแล้ว สำเร็จรูปมาทั้งนั้น ” เชิดหน้าถามอีกฝ่ายที่ถึงกับต้องแบะปาก แล้วปล่อยตัวเองพิงหลังกับโซฟาตัวที่นั่ง ท่าทีที่ไม่สบอารมณ์ชวนให้ผมยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงกินอาหารตรงหน้าต่อ  “ แล้วเมื่อไหร่มึงจะได้ฤกษ์ไปเรียนสักที ห้าวันแล้วนะ ”

เสียงถอนหายใจหนักดังมาเป็นคำตอบอย่างไม่อยากให้ถาม ท่าทางที่ชวนให้คนฟังหงุดหงิดมากขึ้น ดีนมันหยิบมาม่าที่เหลือในจานขึ้นมากินเพื่อเลี่ยงที่จะตอบ

“ เพื่อนไม่โทรมาหามึงบ้างเลยเหรอวะ ”

“ ก็คงโทรมา แต่ไม่ติด เพราะกูเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว ” อีกคนบอกด้วยท่าทีหน่ายๆ ผมก็ขยับมือที่ถือส้อมหนุมเส้นมาม่าที่อยู่ในมือก่อนจะซัดเข้าไปอีกคำ ก่อนจะจ้องสายตาเรียวที่มองมา

“ ไปเรียนได้แล้ว อย่าปล่อยให้เพื่อนเป็นห่วงนาน ”

“ ใครมันจะมาเป็นห่วงกู มันก้ใช้ชีวิตของมันปกตินั่นแหละ ” หันมาถามกลับยิ้มๆ ส่วนผมก็แค่ยกยิ้มกลับไปให้

“ มันมีอยู่แล้ว คนที่เป็นห่วงมึง แล้วมึงก็รู้ด้วยว่ามันมี แต่มึงยังไม่กล้าที่จะยอมรับ เพราะยังไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับใครหรือเปล่า ”

“ ไม่ใช่เลยไอ้สัด ” ปฎิเสธออกมาแบบที่ไม่สำเหนียกในสายตาหลบลงต่ำของตัวเองสักเท่าไหร่ ผมกินมาม่าคำสุดท้ายในจานก่อนจะวางถ้วยเปล่านั้นลงบนโต๊ะ

“ ตอแหล ตอนนี้มึงแค่คิดถึงหน้าไอ้สัดอาร์ม มึงก็ไม่กล้าที่จะแต่งตัวแล้ว ทำไมกูจะไม่รู้ มึงตื่นเวลาเรียนตลอด เตรียมตัวจะไปในทุกคืน แต่พอเอาเข้าจริง มึงแม่งก็ไม่กล้า เพราะเผลอคิดถึงหน้ามัน ”

“ กูจะไปคิดถึงหน้ามันทำไมก่อน มีอะไรให้ต้องคิดถึงด้วย ” คนตรงหน้าเอ่ยถามผม ด้วยสายตาที่บอกกันว่า ดีนก็คือดีน ดีนคือคนไม่ว่ายังไง ก็ไม่ชอบแสดงด้านอ่อนแอให้ใครเห็น

ต่อให้จนตรอกแค่ไหน ปากก็ยังพูดออกมา ว่าไม่เป็นไร

“ กูจะไปคิดถึงคนที่ตอนนี้ ความรักสุกงอม จนแทบจะเน่าอยู่แล้วทำไม ” กระดกน้ำแข็งในแก้วที่ถือเข้าไปในปาก ด้วยท่าทีไม่สนใจ ผมก็ได้ยิ้ม

“ คำพูดนางอิจฉาชัดๆ ”

“ K ”  น้ำแข็งในปากถูกพ่นออกมาใส่ มันคะตอกถาม “ อิจฉาเหี้ยอะไร ”

“ ไม่อิจฉาก็ไปสิ หรือว่าที่ไม่กล้ามองหน้า เพราะไปทำกับเค้าไว้แสบนัก ” คราวนี้คนที่จ้องหน้าหาเรื่องกับเบือนสายตาหนีไปทางอื่น ดีนเขย่าน้ำแข็งนแก้วแบบที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก่อนจะกินน้ำที่เหลือนั้นเข้าไป “ ใช่ จริงๆด้วยสินะ ”

“ ใครจะเหมือนมึง ทำเหี้ยกับกูไว้ตั้งเท่าไหร่ วันต่อมาก็ยังทำเหี้ยใส่เท่านั้น ” แก้วที่ถือถูกวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับเจ้าของร่างหนาที่นอนลงบนโซฟา แบบเหยียดยาว ผ้าห่มผืนหนามันม้วนๆเอามากอดไว้ กลายร่างเป็นตัวอะไรอย่างที่อาจจะมีจำนวนนับว่า ก้อน

“ คนละเรื่องกันเลย คนฉลาดมันไม่เอามารวมกันหรอก ” ว่าแบบนั้นผมก็ลุกขึ้นเก็บจานเปล่าบนโต๊ะ ไปวางไว้ที่เค้าท์เตอร์ในครัว เปิดน้ำเตรียมล้างจาน ก่อนจะเห็นคนที่นอนก้อนกลมอยู่นั้น ลุกเด้งขึ้นมา ก่อนจะหันมามองกัน “ คิดทบทวนดีๆ ว่าที่ไม่อยากไปมันเพราะอะไรกันแน่ หวังว่ามึงจะไม่เอาอนาคตตัวเองไปทิ้งไว้กับคนที่มันไม่ได้รักมึง ”

“ ถึงขั้นใช้คำว่า เอาอนาคตตัวมาทิ้งเลยเหรอวะ ” คนที่นั่งอยู่บนโซฟาเถียง “ เว่อร์ไปไอ้สัด ”

“ แล้วแม่มึงส่งมึงมาเรียนมั้ย ทำไมไม่ทำในสิ่งที่มึงต้องรับผิดชอบ ” ปากที่กำลังอ้างเถียง แต่ผมก็ไม่เว้นช่วงให้มันได้พูด “ หยุดสองสามวันแรกกูยังพอเข้าใจ แต่สี่ห้าวันแล้วนะ เหลือเอาไว้เวลาเจ็บป่วยบ้างไอ้สัด เดี๋ยวก็ต้องดร็อปหรอก แล้วก็ต้องเปลือยตังค์แม่มึงอีก ”

“ มึงไม่เป็นกู จะไปรู้อะไร ” คนที่อยู่นั่งอยู่ตรงโซฟาเถียง ดีนมันหันไปมองทางอื่น “ ก็ตอนนั้นพอมาคิดย้อนไปแล้วโคตรเหี้ยเลย ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำของกู แค่คิดว่า ต้องไปเจอหน้ามัน ต้องไปมอง ต้องไปยิ้ม แล้วทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร กูแม่งทำไม่ได้วะ ”

“ รู้สึกว่าตัวเองเหี้ยว่างั้น ”

“ ก็เออ ” ยกยิ้มขึ้นมาในตอนที่ได้ยิน ผมสะบัดมือตัวเองตอนล้างจานใบสุดท้ายเช็ดมันเข้ากับผ้าที่อยู่ใกล้ ก่อนเดินมาหยุดอยู่หน้ามัน อีกคนที่ก็เงยหน้าขึ้นมอง  “ อะไร ”

“ แต่ถ้าไม่ลองดูก็ไม่รู้นะ ว่ามันจะเป็นยังไง ”

“ ก็ตอนนี้ ไม่ได้อยากจะลอง ไม่พร้อม ”

“ งั้นรอให้มันเรียนจบก่อนมั้ย แล้วค่อยไปเรียน ” ผลักหัวคนที่นั่งหน้าเซ็งอยู่แบบนั้น ดีนเงยหน้ามองเพดาน มันเงียบอยู่สักพัก

“ มึงแม่งไม่เข้าใจ ”

“ กูเข้าใจ แต่แค่ไม่อยากจะให้มึงหนีอยู่แบบนี้ เดินหน้าต่อไปได้แล้วดีน ไอ้อาร์มมันเดินต่อไปแล้ว มึงก็รู้ว่ามึงหนีมันไปไม่ได้ตลอดอยู่แล้ว ”

“ ก็รู้ ” เสียงเรียบๆที่บอกกันอย่างงั้น ชวนให้บรรยากาศภายในห้องน่าเบื่อไปหมด

ผมรู้ว่ามันเองก็คงมีเหตุผลของมัน แล้วก็รู้ดีว่า ไม่ใช่คนที่อยู่ในจุดนั้น จะพูดอะไรออกมามันก็ดูง่าย ดูดีไปหมด ซึ่งแน่นอนว่ามันต่างกับคนปฎิบัติ คนเราต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนในการเดินเข้าไปหาคนที่เราทำเหี้ยไว้ตั้งเยอะแยะขนาดนั้น

“ รู้มั้ย กูคิดถึง ตอนกูจูบมัน แล้วก็บอกว่า มันคงจะรักใครไม่ได้นอกจากกูมากๆเลย ” ดีนพูดแบบนั้นยิ้มๆ “ มั่นหน้าชิบหายไอ้สัด ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน ไม่นับตอนที่กูเอาแต่ไม่ฟังเหี้ยอะไร บอกว่ามันแค่วางแผนกับไอ้เมี่ยง เพื่อที่จะบีบบังคับกูอีก เหอะ ” คนพูดเบือนหน้าไปทางอื่นก่อนจะถอนหายใจทิ้ง ใบหน้านั้นก้มลงต่ำ นิ้วยาวเขี่ยไปมากับพื้นโซฟาตัวที่นั่ง “ แล้วแค่คิดว่ากูต้องไปเจอหน้ามัน ก็ไม่รู้แล้วว่าจะเอาตาไปมองตรงไหน ”

“ ตรงตาเค้าสิ ” แซวมันยิ้มๆ อีกคนก็ตวัดสายตามองแบบหาเรื่อง

“ K ”

“ ฮ่าๆ ” หลุดหัวเราะออกไปอย่างงั้น แต่เหมือนดีนจะไมได้ยิ้มด้วย “ ยั๊วะเก่ง ”

“ ไว้มึงอยู่ในสถานการณ์เหี้ยๆแบบนี้เมื่อไหร่ กูจะสมน้ำหน้าเช้าเย็นเลยไอ้สัด”

“ แหมมมมมมมมมมมมม ร้ายจังน้า ” ว่าแบบนั้นดีนมันก็ถอนหายใจด้วยสายตาหงุดหงิดที่ก็เหลือบไปมองทางอื่น มือเอื้อมไปหยิบนิวเทนโด้เตรียมจะเปิดเล่น ผมก็เอื้อมมือไปยึดมันมา “ ไปซื้อของกัน ”

“ ซื้ออะไรอีก ” สายตาเล็กขมวดคิ้วมองกันด้วยท่าทางงุนงง

“ ซื้อของเข้าบ้านไง ของบางอย่างมันหมดแล้ว ”

“ ก็ไปซื้อเองสิวะ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะทำทีเป็นจะหยิบเกมที่อยู่ในมือ แต่ทว่าผมก็ถอยหลังออกห่างทัน “ เอาเกมกูมา ”

“ ซื้อเองเหี้ยอะไร ใช้ด้วยกันแต่ให้กูไปคนเดียวอะนะ” คนฟังลุกขึ้นจากโซฟา ดีนเดินตรงมาหาผม ท่าทางที่ดูหาเรื่อง มือคว้าเข้ากับเกมส์ที่ผมถือ แต่ใครเล่าจะยอม ผมเองก็จับมันไว้แน่นเหมือนกัน พร้อมทั้งขาที่ถอยหลังไปเรื่อยจนเกือบติดกำแพง แต่เหมือนอีกฝ่ายก็ไม่มียอมแพ้ แม้จะเตี้ยกว่าแต่ดีนมันก็ยืดสุดแขนเพื่อจะเอานิวเทนโด้ของตัวเองคืนไป

“ ว้าย เตี้ยจุงน้า ”

“ เฮ้ย.. เชี้ย! ” สิ้นสุดคำนั้น ขาที่กำลังยืดตัวก็เหมือนจะอ่อนลงกระทันหันดีนเอนตัว]h,มาทางผม หน้าเราที่ใกล้กันแค่คืบ เป็นวินาทีที่ทุกอย่างเงียบไปหมด มันเหมือนภาพค้างในทีวี และสิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวก็ดูเหมือนจะเป็นหัวใจที่อยู่ๆก็เต้นแรงจนแทบทะลุอก “ เอามา ”

ดีนดูเหมือนมีสติก่อน มันดึงเอาเกมในมือไปจากผม ก่อนจะเดินออกห่างไปหยุดยืนนิ่งแบบที่หันซ้ายหันขวาอยู่กลางห้อง นิวเทนโด้เครื่องนั้นมันวางลงบนโต๊ะกินข้าว ก่อนอีกฝ่ายจะพูดเสียงอ้อมแอ้มแบบที่แทบไม่ได้ยิน

“ ไปด้วยก็ได้ ”

“ อะไร หมายถึงซื้อของ ? ”

“ ก็เออน่ะสิ ” สายตาที่หันมามองแบบติเตียน มันทำทีเป็นเดินนำออกไปก่อนแบบที่เหมือนมีอะไรต้องหลบกัน แต่ผมก็เห็นแล้วละ ไอ้หูแดงๆของมัน

บรรยากาศในห้างดูคึกคัก เสียงพูดคุยที่ดังมาจากทุกทิศวันนี้เราตัดสินใจมาห้างใหญ่เพราะระหว่างทางคนที่นั่งมาข้างๆ อยากกินไก่ทอดเกาหลีร้านดัง ต่อด้วยดูหนัง และที่ขาดไม่ได้ก็คือ อยากจะซื้อบ็อปคอร์น ดีนบอกกันว่า วันนี้จะซื้อทั้งซอสช็อคโกเล็ต และก็นูเทล่าไปกินด้วยกัน แบบที่ไม่กลัวเลยว่า ในอนาคตอาจจะต้องโดนตัดขา

“ ไปซื้อของก่อน หรือว่าจะไปกินก่อน ”

“ ซื้อของก่อนสิวะ  เพราะเพิ่งกินมา ” มองกันแบบถามไม่คิด ผมเองก็ถึงขั้นถอนหายใจมือที่ขยับอยากจะเอื้อมไปฟาดมันสักที กับไอ้คนที่เดินเก็กหล่ออยู่ข้างๆ แต่ทว่าขานั้นก็ชะงักลงในตอนที่ดีนหยิบมือถือขึ้นดูอะไรสักอย่าง หลังจากมีเสียงแจ้งเตือน

“ หยุดทำไม ” ถามออกไปก่อนหันไปมองดู บนนั้นเหมือนมีข้อความอะไรสักอย่าง ถูกส่งเข้ามาในโปรแกรมทวิตเตอร์ที่มันเล่น

“ เปล่า ” ตอบแค่นั้นมือก็กดล็อคมือถือก่อนจะยัดมันใส่กระเป๋ากางเกงข้างหลังแล้วเดินต่อ แต่ทว่ามันหยุดอีกครั้ง พร้อมด้วยกับดึงผมเข้าไปตรงทางหนีไฟข้างๆ ท่าทีนั้นรีบร้อนจนชวนหัวเสีย

“ เหี้ยอะไรของมึงอีก มีอะไร ”

“ พ่อกูมา ”

“ ห๊ะ ? ” ได้แต่เอียงหน้างงคำพูดนั้น ดีนเชิดหน้าทำทีเป็นสัญลักษณ์ให้ผมหันไปดู แล้วในตอนที่เหลือบมอง พ่อที่มันว่า ก็ตอบทุกอย่างได้หมดเลยว่าทำไมถึงรีบร้อนอย่างงั้น 

เพราะตอนนี้ อาร์มกับเมี่ยง กำลังเดินยิ้มให้กัน
และแน่นอน...มันตรงมาทางเรา

“ ห้างก็มีทั่วเมือง เสือกจะมาห้างเดียวกันก็วันนี้ ”

“ เอาฮูดขึ้น ” ดีนบอกผมที่ก็จำใจเอาฮูดตรงเสื้อของตัวเองขึ้นอย่างปิดบังให้ มันดึงให้ผมบังตัวมันไว้ ทำทีเหมือนตัวเล็กมาก ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ แค่เตี้ยกว่าหน่อยเดียวเอง

“ บังมิดมากเลยอะจ้ะ น้องดีนก็ตัวนิดเดียวแหละเนอะ ”

“ K ” มันเหลือบตาบอก “ เงียบไปเลยไอ้สัด ” ใบหน้านั้นก้มลงมาหลบกับอกผมหลังจากที่พูด ลมหายใจที่ผ่อนออกมาด้วยความตื่นกลัว ดีนเริ่มเม้มริมฝีปากด้วยความไม่มั่นใจในสิ่งที่ทำ ก็คงกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้  แล้วในตอนนั้นมันก็บอกผม ” มึง ”

“ อะไร ”

“ จูบกูหน่อยได้มั้ย ”

“ ห๊ะ ? ” ดังกว่าเมื่อครู่ ผมงงแบบสุดตัวแต่ยังไม่ทันจะได้ถามว่าทำไม เพราะอะไร จูบทำไม คนตรงหน้าที่ตัดสินใจเร่งด่วนก็คว้าเข้าตรงต้นคอ แล้วดันให้ผมเข้าไปใกล้

วินาทีต่อมานั้น ปากของเราแนบสนิทกันแบบที่ผมตาตั้งค้างโตที่สุดในชีวิต ก่อนที่มันจะผละออกในตอนที่เห็นว่าอีกฝ่ายเดินผ่านไป

“ ไอ้...”

“ ยังเจ็บอยู่เลยว่ะ ” ประโยคสั้นๆนั้น ยุติคำพูดด่าของผมให้หยุดลง ลมหายใจที่ผ่อนออกช้าๆ ดีนมองผม “ กูไม่ได้รักมันจริงๆเหรอวะ ”

“ ทำไมถามแบบนั้น ”

“ ก็ทำไมมันยังรู้สึกอยู่เลย ตอนที่เห็นมันเดินมา ” มือข้างนึงยกขึ้นลูบที่อกฝั่งซ้าย “ มันรู้สึกเจ็บที่ตรงนี้ ”

‘ เหมือนกูเลย ’ ต่างกันที่กูไมได้เจ็บ หัวใจกูแค่เต้นแรง

.................................................


ขอยิ้มกริ่ม หนึ่งกรุบ
ฝากแท็ก #นายท่านและแก้มหอมด้วยนะคะ
นิยายเรื่องนี้ใกล้จบแล้ว อีกนิสนึงง ท่านใดสนใจ เกียมหยอดกระปุกหมูไว้ได้เลยน้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์

หนมมี่  :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ขำ  อารมณ์ของท่านผู้นำเผ่าวิฬา  :laugh:

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ต่างคนก็ต่าง....หัวใจ  :o8:

 :katai2-1: :katai2-1: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
จ๊ะ ไปให้สุดค่ะ เบสดีน คนหนึ่งกำลังเสียใจ อีกคนกำลังเปิดใจ
รีบจูนให้ตรงกันไวๆ นะ จะได้มีคนรักกัน ดูแลกันจริงๆ สักที

แหมมมมม อยากจะแหม ย้ายห้องใหม่ก็ฉลองเลยเนาะคนเรา
อาร์มก็ชัดเจนนะ และก็เสียใจเป็น ไม่ใช่คนทิ้งก่อนจะไม่เจ็บ
เพราะเจ็บมาเยอะ เลยเลือกเดินออกมา แค่นั้นเอง
เมี่ยงน่ารักมาจ้า ก่อกวน ทำให้ฟีลมุ้งมิ้งตลอด
เมี่ยงเปิดใจสุดแล้วนะตอนนี้ อยากให้ทุกอย่างจบแหละ จะได้ใช้ชีวิตต่อ

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

ตอนที่ 36


“ ก็ทำไมมันยังรู้สึกอยู่เลย ตอนที่เห็นมันเดินมา ” ราวกับอยากจะหยุดความเคลื่อนไหว ผมวางมือที่อกข้างซ้าย “ มันรู้สึกเจ็บที่ตรงนี้ ”

“ ก็ไม่เห็นจะแปลกที่เป็นแบบนั้น ” คนที่อยู่ตรงหน้าบอกกันแบบนั้น ด้วยสายตาที่เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ต่างกับตอนตั้งท่าจะกร่อนด่ากันเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง เบสมันถอนหายใจ “ มึงไม่เจอมันตั้งนาน ตื่นเต้นที่เห็นก็ปกติเปล่าวะ ”

“ มึงดูเชื่อมั่นจังเลยนะไอ้สัด ว่ากูไม่ได้รักมัน ”

“ แน่นอน เพราะถ้ามึงรักมันจริงๆ มึงจะไม่ทำกับมันแบบนั้น ” สีหน้าเรียบเฉย สายตาเรียวที่เหลือบมองกัน ก่อนจะยักคิ้วให้  แต่ผมในตอนนั้นกลับไม่ต่างอะไรกับคนที่ถูกปลายมีดแหลม ปักลงไปกลางอก จนร่างกายมันเย็นเฉียบ และคำเดียวที่ผุดขึ้นมาก็มีเพียงแค่ ‘ ก็จริง ’ 

ถึงความรักจะไม่ใช่การครอบครองเสมอไป แต่ก็ไม่ใช่การผลักไสในแบบที่ผมทำ ไม่ใช่การบอกให้อีกคนรออย่างไม่มีความหวัง แล้วก็ไม่ใช่การดึงกลับมา เพียงแค่เพราะกลัวว่า มันจะหายไป

“ แล้วตอนดึงกูมาจูบกูอะ ใครอนุญาตมึงไอ้สัด ” ประโยคที่ผมหันไปมองพลางขมวดคิ้วเพราะรู้สึกหยุมหยิมเสียเหลือกิน แต่ดูเหมือนคนถามจะไม่คิดแบบนั้น เบสมันขยับตัวเข้ามาใกล้ ในตอนนั้นแผ่นหลังของผมถูกดันจนติดกำแพง ทั้งสายตาและสีหน้านั้นดูจริงจัง จนผมต้องยกยิ้มกลบเกลื่อนในตอนที่เหลือบไปมองรูปปากนั้นเข้า จนรู้สึกหน้าร้อน

“ ทำไม ? ตื่นเต้นเหรอจ้ะ ที่จูบกับกูอีกครั้ง ” ส่งจูบให้คนตรงหน้าอีกครั้ง แต่เบสมันก็แค่นิ่ง สายตานั้นบอกกันว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันจริงจัง และกำลังหงุดหงิดกับท่าทางนั้นของผม “ อะไรวะ แค่จูบเอง ทำเป็นหงุดหงิดไปได้ มึงเป็นสาวน้อยที่เพิ่งหัดมีรักครั้งแรกหรือไง ถึงได้..”

“ แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไรกับกูละ ถึงมาจูบกู ” คำถามนั้นทำให้ผมนิ่ง “ ไม่รู้เหรอ ว่าถ้าไม่รู้สึกอะไรกัน เค้าไม่ให้จูบกัน เพราะไม่อย่างงั้น มันจะทำให้คนที่โดนจูบรู้สึก ”

“ รู้สึก ? รู้สึกอะไร ” ทวนคำพูดนั้นกับคนที่เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะพูดคำนั้นออกมาสักเท่าไหร่ เบสเองก็ดูตกใจที่เป็นแบบนั้นสายตาของมันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนป็นลุกลี้ลุกลน เจ้าตัวมองไปทางอื่น

“ แล้วมึงยังจะกินมั้ย ไก่ทอดเกาหลีอะไรของมึง ” แล้วสุดท้ายพอไม่อยากจะตอบก็ทำทีเป็นพูดเรื่องอื่น อย่างที่ชอบทำ

“ K ” พูดแบบไม่ออกเสียง อีกฝ่ายก็ถามซ้ำ

“ ว่าไง ตกลงจะกินมั้ย ”

“ กินเหี้ยอะไรละ คิดหน่อยมั้ยไอ้สัด ” ผมถามมัน “ นั่งแดกอยู่แล้วมันเดินมาเห็นจะทำยังไง  คาบไก่แล้ววิ่งออกมาเหรอ ”

“ ก็สภาพเหมือนหมาดีออก เข้ากับมึง ”

“ หน้าเหี้ย ” สบถอย่างงั้น ผมดึงตัวเองออกห่างอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจเซ็งแล้วเดินนำออกมา

แต่ที่แปลก คือทำไมต้องรู้สึกหงุดหงิดจังวะ
หงุดหงิดที่มันไม่ตอบเรื่องนั้น เรื่องที่ผมถาม
ว่ารู้สึกอะไร

ในตอนที่เราจูบกัน

 
 “ เป็นอะไรอีก ” คนที่เดินตามมาเอ่ยถาม ผมก็ส่ายหน้า ทั้งสติ สมอง และหัวใจ พยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะชักจูงความรู้สึกนั้นให้ลดลง “ ดีน ”

“ อะไร ” หยุดขาที่กำลังเดิน แล้วหันไปมองคนที่ก็มองกันนิ่งๆ

“ หงุดหงิดอะไร ”

‘ ก็มึงไม่ตอบอะ ทำไมไม่ตอบที่ถาม คนโดนจูบจะรู้สึกอะไร ’  ใจที่เถียงออกไปอย่างงั้น ผมส่ายหน้าไปมากับความรู้สึกที่มันดูเหมือนจะแปลกๆนั่น  ‘ หึยยย ขนลุกไอ้สัด ทำไมต้องไปอยากรู้ด้วยวะ ’

“ ตกลงว่าไง ”

“ ก็เรื่องไอ้อาร์มนั่นแหละ ” โบ้ยให้อีกฝ่ายที่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย ผมทำทีเป็นถอนหายใจ “ อุตส่าห์อยากแดกไก่ทอดเกาหลี ต้องมาไม่ได้แดกเพราะแม่ง ไอ้หน้าสัด ขัดขวางความสุขของกูจริงๆ ทั้งๆที่มันแม่งก็มีความสุขจนจะสำลักตายอยู่แล้ว ”

“ แบบนี้เรียก แพ้แล้วพาล ”

“ มึงก็อีกคน ” ผมบอกคนที่เดินนำหน้าไป เบสหันมามองกันก่อนจะยิ้ม

“ ทำไมครับ ”

“ เหี้ย ” พูดแบบไม่ออกเสียง แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น ร่างสูงเดินนำผมไปก่อนที่มันจะโยนกุญแจรถของตัวเองมาให้

“ เอาไป ”

“ อะไร ” รับมาแบบงงๆ ผมมองกุญแจรถที่อยู่ในมือ

“ ไปรอที่รถ กูจะไปซื้อไก่ทอดเกาหลี เหี้ยอะไรนั่นให้ เพราะถ้ามันเจอกูคนเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอก จริงมั้ย ”

“ ก็จริง..”

“ แล้วอย่าได้คิดว่ากูทำเพื่อมึง เพราะแค่มาแล้ว และมันก็เสียเที่ยว ถ้าเราไมได้เหี้ยอะไรกับไปเลย ”  บอกกันแบบนั้นก่อนจะเดินไป แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังหันกลับมาย้ำ “ แล้วอย่าเสือกอยู่แบบไม่ติดเครื่อง เพราะกลัวเปลืองน้ำมันอีกละ มันร้อน ”

“ โอเค ” ตอบรับเจ้าของรถยิ้มๆ แต่เหมือนเบสมันจะนิ่งไปในตอนที่เห็นผมทำทีท่าอย่างงั้น

“ ยิ้มเหี้ยอะไร ” มันถาม “ กูแค่อยากจะซื้อของเสร็จ แล้วเข้าไปตากแอร์ต่อในรถเลย ไม่อยากจะทนร้อน รอแอร์มันเย็นเท่านั้น ”

“ ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร ” บอกมันไปแบบนั้นอีกคนก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไป ทั้งๆที่ในใจก็อยากจะแซวต่อ ว่ามันไม่ได้ร้อนอะไรขนาดนั้นหรอก ในห้างแอร์เย็นชิบหายขนาดนี้ เดินออกจากห้างขึ้นรถนิดเดียว เหงื่อจะมาทันไหลได้ยังไง

ยกเว้นว่ามันจะเป็นห่วงผม กลัวว่าจะนั่งทนร้อนอยู่ในรถ

“ เชี้ย ” สบถกับตัวเองกับความคิดงั้น พร้อมกับเลือดทั้งร่างที่เหมือนจะไหลกองมารวมกันที่หน้าแบบไม่นัดหมาย ผมหันหลังเดินไปตรงลิฟต์แบบคนเก็บอาการ ขาที่เดินตรงไปที่รถ สมองก็เอาแต่ถาตัวเองวนซ้ำไปมา

“ แล้วจะเขินทำเหี้ยอะไรวะ ” นั่นสิ เขินมันทำไม ไร้สาระ

สะบัดความคิดพร้อมกับส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทีเหมือนจะขนลุกอยู่หน่อยๆ ผมผ่อนหลังลงกับเบาะคนขับที่นั่ง เร่งแอร์ที่ไม่รู้ว่าเพราะร้อน หรือเพราะอะไรที่ทำให้รู้สึกงุ่นง่านอย่างงั้นจนทำตัวไม่ถูก

“ เห้ออออ ” ถอนหายใจออกมาก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา อย่างคิดจะเล่มเกมส์ฆ่าเวลาแต่ทว่าข้อความที่ไม่คิดว่าจะกลับไปอ่านอีกครั้งกลับฉายขึ้นมาบนหน้าจอที่ก่อนหน้านี้ ผมยังไม่ได้กดออกจากโปรแกรมแค่อย่างใด

ทวิตเตอร์ เป็นสื่อสังคมเดียวที่ผมไม่ได้ลบทิ้ง ในนั้นผมติดตามข่าวสารต่างๆ เพื่อให้มันอัพเดทความเป็นรอบๆตัวให้ได้รู้ และเพราะเพื่อนในกลุ่มไม่เล่นกัน ผมก็เลยเลือกที่จะเล่นมันเหมือนเดิม

แต่กลับลืมไปว่า ครั้งแรกในตอนที่สมัครเล่น เคยคะยั้นคะยอให้ไอ้อาร์มมันสมัครเป็นเพื่อนกัน เพียงเพื่อแค่อยากจะมีสักหนึ่งฟอลโลเว่อร์ที่คอยติดตามกัน และในวันนี้ หนึ่งคนที่ว่านั้นก็ส่งข้อความเข้ามาหา แบบที่เรียกว่า ตกม้าตายในเรื่องโง่ๆ อย่างแท้จริง

‘ หายหัวไปไหน ทำไมไม่มาเรียน กลับมาเรียนได้แล้วนะ เพื่อนเป็นห่วง รวมถึงกูด้วย อยากเจอมึงแล้ว ไอ้หน้าหมา ’

“ แต่กูยังไม่อยากจะเจอมึงสักหน่อย ” พูดกับตัวเองแบบนั้น ผมกดออกจากโปรแกรม ทำเป็นไม่สนใจมัน แล้วปล่อยมือถือลงข้างตัวทั้งอย่างงั้น

ไม่มีแม้แต่ประโยคที่คิดออก ก็เหมือนที่เบสบอก ไม่ผิดจากที่อีกคนคาดเท่าไหร่ ทุกตอนเย็นผมเตรียมตัวจะไปเรียน เรียกพลังใจเต็มเปี่ยม ก่อนจะไฟแห่งความกล้านั้นจะมอดไหม้ลงในตอนเช้าที่อาบน้ำเสร็จ และเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อจะหยิบเสื้อนักศึกษามาใส่

ที่สุดท้าย มันก็กลายเป็นแค่เสื้อยืดสีขาว กับกางเกงบอลโง่ๆ

ผมเคยลองจินตนาการถึงใบหน้าหล่อเหลาในตอนที่เราพบเจอ มานับครั้งไม่ถ้วน ในแววตาที่มองมาไม่มีหลบอย่างที่ชอบทำ คนหน้าดุที่พอไม่ยิ้มก็กลายเป็นคนน่ากลัวแบบที่ต้องบอกให้มันยิ้มอยู่บ่อยๆ เวลาพบเจอใคร

แต่ตอนนี้แม้คำว่า หวัดดี  ที่จะออกจากปากผม มันก็เหมือนจะหลุดไปได้ยาก เพราะแค่คิดว่า ต่อไปจากนั้นจะกลายเป็นเพียงความเงียบงันระหว่างเราที่คงมาพร้อมการหายใจไม่ออกของผม และเหงื่อที่คงไหลออกมาจากมือเต็มไปหมดอย่างยากจะควบคุม ด้วยความตกประหม่า


หลายคนเคยบอก
ว่าก้าวแรกนั่น สำคัญที่สุด ถ้าเราผ่านมันไปแล้ว ทุกอย่างก็จะโอเค

แต่นั่นแหละ
มันยากเพราะผมยังไม่คิดกล้า ที่จะก้าวผ่านมันไป
 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก


หันไปมองตามเสียงเรียก คนที่ยืนอยู่ด้านนอกเป็นเจ้าของรถที่ก็หอบของมาแบบพะรุงพะรัง เบสมันก้มลงมามองกัน ผมก็กดปุ่มปลดล็อค ประตูหลังก็ถูกเปิดออก ก่อนต้องเบิกตากับกองอาหารที่อีกคนแบกมาด้วย

“ มึงซื้ออะไรมาเยอะแยะขนาดนั้น ” คนที่ต้องตอบตวัดสายตามามองกัน ผมก็ได้แต่เม้มปากนิ่ง  แน่นอน ว่าผมคงถามเหี้ยอะไรออกไปแบบไม่เข้าหูมันเท่าไหร่

“ ก็ใครมันอยากแดกไก่ทอดเกาหลี ”

“ กู ” ผมตอบเสียงเรียบ ก่อนจะเหลือบมองที่ถุงพวกนั้น แน่นอนว่ามันต้องมีมากกว่าไก่ทอดเกาหลีแน่ๆละ เพราะงั้นก็ไม่น่าจะใช่ผมที่ผิดอยู่คนเดียว มันเองก็คงมีของที่อยากกินแล้วก็ซื้อมาแน่นอน “ แล้วไก่ทอดเกาหลี มึงซื้อมาทั้งฟาร์มเลยหรือไงไอ้สัด ถึงเยอะขนาดนี้ ”

“ แล้วใครบอก ว่าอยากแดกบ็อปคอร์นด้วย ” ได้แต่เงียบในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น  ผมเหลือบไปทางอื่น “ กูสั่งไก่เกาหลีของมึง แถมยังมีข้าวเปล่า นู้นนี่นั่น แล้วเสือกคิดขึ้นได้ว่ามึงอยากกินบ็อปคอร์น มึงพูดก่อนเราจะออกมา กูก็เลยไปซื้อมาให้ ซอสช็อคโกเล็ตอะไรของมึงนั่นอีก ”

“ ซื้อมาด้วยเหรอ ” พลิกตัวไปจะหาด้วยความกระตือรืนร้น แต่คนที่หอบหิ้วมาก็แค่มองจ้องกันด้วยสายตาหงุดหงิดอย่างงั้น ไม่มีเปลี่ยน “ แล้วมึงจะหงุดหงิดทำเหี้ยอะไร กูใช้ให้ไปซื้อให้เหรอ ก็ไม่เปล่าวะ ” ปลายประโยคที่ค่อยๆเบาลง เพราะคนฟังที่เอาแต่จ้องกัน เบสวางมือจากการจัดถุงพวกนั้น

“ หอบมาให้ขนาดนี้ ขอบคุณสักคำ คือจะตาย ? ”

“ ขอบคุณครับ ” ตอบไปสั้นๆ แบบนั้นอีกคนก็หันไปจัดของต่อ

“ แล้วกูมายืนอยู่ตั้งนานไม่ได้เห็นเลยเหรอวะ ว่ากูยืนอยู่ ”

“ เหรอ ? ”  สบตากับอีกคนที่ก็เงยหน้าขึ้นมาจากของ เบสปิดประตูลงมันเดินกลับมานั่งข้างผม

“ เหม่อไปถึงไหนละ ” มันถามก่อนจะเชิดหน้าไปด้านนอก “ กูมายืนตรงหน้า เห็นมึงนั่งนิ่งๆ คิดว่าจะมอง แล้วจะแกล้งให้กูถือของอยู่แบบนั้นซะอีก ”

“ กูก็ไม่ได้เหี้ยขนาดนั้นมั้ย ”

“ สรุปก็คือไมได้มองอยู่จริงๆสินะ ” เบสมันว่ายิ้มๆ ก่อนจะดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด แล้วพิงหลังกับเบาะ “ คิดถึงไอ้อาร์มอยู่ละสิ ”

“ พูดเหี้ยอะไร  กูจะไปคิดถึงมันทำไม ” หันไปเหลือบถามอีกคนก็ยิ้ม

“ แต่เมื่อกี้กูเจอมันด้วยนะ ” ชะงักมือที่กำลังจะออกรถ ก่อนจะผ่อนลมหายใจแบบทำเป็นไม่สนใจอะไร ผมปลดเกียร์ว่างเป็นเดินหน้า ก่อนจะเหยียบคันเร่ง แล้วขับออกไป

“ แล้วยังไงอะ ”

“ อยากรู้อ๋อออออ ” ลากเสียงยียวนผมก็ได้แต่เหลือบมอง

“ ก็แล้วแต่มึงอะ อยากเล่าก็เล่า ไม่อยากจะเล่าก็ไม่ต้องเล่า ”

“ ปากแข็งชะมัด ห้อยที่ยกน้ำหนักไว้กี่โลเหรอไอ้สัด ”  คนข้างกันลอยหน้าลอยตาปาก เบสมันเหลือบมองผม ก่อนที่จะเริ่มเล่า “ แต่จะพูดว่าเจอก็ไม่ถูก มันคงไม่เห็นกู ถ้ากูไม่ทัก ”

“ เหรอ ”

“ อื้ม ” อีกคนตอบแบบเสียงในคอ “ กูก็ถามว่ามาทำอะไรกัน มันก็บอกว่ามาดูหนัง กินข้าว แล้วก็ซื้อเสื้อผ้านิดหน่อย แล้วก็จัดการแซวมันไปหนึ่งกรุบ ว่าหวานกันจังเลยนะ แค่นั้น แล้วมันชวนกูไปกินข้าว กูก็บอกมีนัดกับทีวีที่บ้าน เพราะเสือกถือบ็อปคอร์นถังควายนั่นอยู่ จนไอ้เมี่ยงแซวว่า จะเอาไปแดกหรือซื้อเอาไปอาบ ”

“ หึ ” ผมเผลอหลุดยกยิ้ม

“ ตอนนี้ไอ้สัดนั่นคงคิดแล้วมั้งว่ากูแม่งคงชอบแดกบ็อปคอร์นมาก ดีไม่ดีอาจจะซื้อมาให้เป็นของขวัญวันเกิดกูปีหน้า ”

“ ก็ดีไม่ใช่เหรอ ”

“ กูแดกถึงสองคำก่อนมั้ย เวลามึงนั่งจ้วงเอา จ้วงเอาน่ะไอ้สัด ”

“ บ่นเก่ง ” เหลือบมองมันอีกคนก็ยกยิ้ม “ งั้นก็เอามาให้กูสิ เดี๋ยวกูกินให้แทน ”

“ เรื่องอะไรอะ ” เบสมันท้วง “ ของขวัญวันเกิดกู อยากกินก็มาแดกที่ห้องกู กูคงเอาไปให้มึงหรอกนะตอนนั้นอะ ”

“ ทำไมอะ กลัวเพื่อนล้อว่าดีกับกูแล้วเหรอ ”

“ กูไม่กลัวอะไรหยุมหยิมแบบนั้นหรอก กูไม่ใช่มึง ” อีกฝ่ายพาดพิง “ ก็แค่หวังผลพลอยได้อะไรนิดๆหน่อยๆ ”

“ อะไร ”

หลังคำถามนั้น อยู่ๆ อากาศในรถก็ร้อนขึ้นมากระทันหัน ผมเผลอกลืนน้ำลายในตอนที่สมองคิดทบทวนขึ้นมาได้ว่า ผลพลอยได้ที่ว่า หรืออาจจะเพราะอีกคนอยากให้ผมมาที่ห้องก็เลยให้มาเอาที่ห้องมันคงไม่เอาไปให้ ผลพลอยได้ที่ว่า คือผมจะได้มาเจอมันเหรอ ?  เหรอวะ ?

“ แล้วก็เงียบ ” เบสมันท้วง ผมก็เอื้อมมือไปเปิดแอร์แบบที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ “ แล้วจะเปิดแอร์เพิ่มทำไม่หนาวเหรอ

“ ช่างกูเถอะน่า กูร้อน”

“ ชั้นไขมันมึงหนาเท่าไหร่เนี้ย เช็คไขมันบ้างนะมึงอะ ”

“ K เงียบๆไปเลย กูจะขับรถ ” หันไปด่ามันอย่างงั้นอีกคนก็สถเสียงหลง

“ อะไรของมึง อยู่ๆก็ยั๊วะขึ้นมา ” ผมถอนหายใจทิ้งก่อนจะพิงหลังกับเบาะเมื่อชะลอรถหยุดเพราะไฟแดง

“ แล้ว..”

“ อะไร ”

“ แล้วไอ้อาร์มมันเป็นยังไงบ้างอะ ” คำถามนั้นทำให้เบสหันมาเหลือบมองมัน ก่อนจะแบะปากยิ้มๆเชิงล้อ “ กูแค่ถามเฉยๆ แล้วมึงก็แค่ตอบ แค่นั้น จะได้มั้ย ”

“ ค้าบบบบบบบบบบบบบบบ” ลากเสียงยาวบอกแบบกวนตีน  “ แต่ก็ไม่เป็นยังไงอะ มันก็มีความสุขดี เดินมากับไอ้เมี่ยง จูงมือกันมา ภายใต้ความหยอกล้อ ก็โลกสีชมพูดกันไป สองคน ก็คิดดูว่า ไม่เห็นกูเลยอะ เหมือนกูตัวเล็กๆ สูงแค่สักสองเซ็นได้ ”

“ เหรอ ”

“ มันมีแต่มึงนั่นแหละ ที่ยังจมอยู่กับความไม่กล้าสู้หน้า กูว่ามันไม่คิดอะไรหรอก ไอ้อาร์มอะ มึงก็กลัวไปเองทั้งนั้น ” ประโยคที่เหมือนจะกำลังเข้าเรื่องซ้ำๆเดิมที่พูดกันมาแทบจะทั้งอาทิตย์ ทำให้ผมผ่อนลมหายใจบอกใบ้อีกฝ่าย ด้วยทั้งหน้าตาและท่าทาง ว่าไม่อยากจะฟัง 

“ ดื้อชิบหาย ” มือที่เอื้อมมาขยี้หัว แต่ก็เพียงแค่นั้น เบสไม่ได้พูดอะไรอีก อย่างที่ก็ตามใจกันเหมือนเคย

แต่นั้นก็แค่ในช่วงขณะนึง
เพราะอย่าลืมว่า คนสันดานดื้อด้าน ไม่ว่ายังไง มันก็ดื้อด้าน


ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

 “ มึงยังจำร้านขายเครปที่ขายในโรงอาหารได้มั้ย ” อยู่ๆคนที่นั่งดูทีวีอยู่ข้างๆกันก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมที่กำลังหยิบบ็อปคอร์นใส่ปากชะงักลงก่อนจะขมวดคิ้วแล้วหันเหลือบไปมอง

ก็คงคิดว่าถ้าพูดดีๆไม่ได้ ก็ต้องเอาของกินมาล่อละมั้งนะ

“ เห้ออออ ” ถอนหายใจออกมาอย่างรู้ทัน ผมเหลือบมองมันที่ก็มมองกันแบบมีความหวัง ราวกับรู้สึกว่าแผนการณ์ที่คิดนี้ ต้องได้ผล

“ นึกออกแล้วใช่มั้ย ”

“ อื้ม แต่ไม่ได้ชอบกินเครป ” อีกฝ่ายนึงเงียบแบบที่เรียกว่านิ่งไป “ แล้วอีกอย่าง กูไม่ใช่คนที่ล่อด้วยคนกินได้ไอ้สัด ”

“ ใครบอกกูล่อมึง ” แล้วพอเสียเชิงคนอย่างมันก็บอกปัด “ กูแค่พูดให้ฟัง เผื่อมึงอยากกิน ”

“ แล้วถ้ากูอยากกิน มึงจะซื้อมาให้เหรอ ”

“ เรื่องอะไร ” เชิดหน้าบอกแบบหาเรื่อง ผมก็หลุดยกยิ้ม “ ไปซื้อเองสิ ”

“ ไม่ไปอะ ไม่ได้อยากกินอะไรขนาดนั้น ” ลุกขึ้นจากที่นั่งในตอนที่พูดคำนั้น

บ็อปคอร์นส่วนที่เหลือถูกเก็บใส่ตู้เย็น ก่อนจะถอนหายใจแล้วหยิบเอาแก้วน้ำจากชั้นวางลงมา ผมกดน้ำออกจากปุ่มหน้าตู้เย็น ก่อนจะหันไปมองร่างสูงที่ก็เดินมายืนใกล้ๆ เบสมันคว้าน้ำออกจากมือของผมไป แน่นอนว่าโดยที่ไม่ได้ขอ

“ นี่ ” แถมตอนที่จะพูดด่าอะไร อีกฝ่ายก็สวนขึ้นก่อน

“ มึงกลัวอะไร บอกกูหน่อยได้มั้ย ” ประโยคนั้นทำให้ผมเงียบ เบสเองก็พิงตัวเองกับเค้าท์เตอร์เพื่อรอฟัง “ คือกูเข้าใจนะว่า มันยาก กับการที่มึงจะเริ่มต้นเข้าไปคุยกับไอ้อาร์ม เพราะสิ่งที่มึงรู้สึกอยู่ในใจ แต่บอกกูหน่อยได้มั้ยว่าต้องทำยังไง มึงถึงจะไปเรียน ”

“ แล้วมึงจะวุ่นวายอะไรกับชีวิตกูนักหนา จะไปเรียนหรือไม่เรียนก็อยู่ที่กูมั้ยวะ หรือว่ามึงไม่ได้อยากจะให้กูอยู่ที่นี่แล้ว ถ้าแบบนั้นก็พูดมา..”

“ กูแค่ไม่อยากให้มึงหนี ไม่อยากให้มึงต้องใช้ชีวิตแบบนี้ กูอยากให้มึงเผชิญหน้ากับมัน กับไอ้อาร์ม มึงรู้มั้ย ว่ามันความสุขมากกับชีวิตของมันที่มีไอ้เมี่ยง แล้วมึงก็มีสิทธิ์นั้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอวะ มีสิทธิ์ที่จะมีความสุขเหมือนกัน แล้วทำไมมึงถึงไม่กล้าออกมาจากห้องมืดๆของมึงสักทีวะ ”

หัวใจของผมเต้นช้าลงอย่างชะงัก ไม่ต่างอะไรกับที่อีกคนพูดสักนิด ใช่ ผมในตอนนี้ก็เหมือนกับคนที่นั่งเล่นเกมส์อยู่ในห้องที่แทบไม่มีแสงอื่นใดนอกจากทีวี ไม่รับแสงแดด ไม่มีข่าวสาร ขังตัวเองไว้อย่างงั้น เหมือนปิดซ่อนที่จะพบเจอกับความจริงใดๆ ที่อาจจะถาโถมเข้ามา

“ ข้างนอก มันดีกว่าห้องมืดๆของมึงตั้งเยอะ มันมีทั้งแสงแดด สายลม แล้วก็วันที่ฝนตกหนัก มันมีทุกอย่างเลย แล้วไอ้สิ่งเหล่านี้มันก็กำลังรอมึงอยู่  ทำไมมึงไม่คิดที่จะออกไปโดนแดด สูดอากาศดีๆ หรือแม้แต่เล่นน้ำฝนในวันเหี้ยๆกับเค้าบ้างเหรอวะ ”

“ พูดเหี้ยอะไรของมึง ” ผมบอกปัด ก่อนจะหัวเราะ แต่ก็โดนอีกคนที่วางแก้วน้ำลงบนเค้าท์เตอร์ คว้ามือขึ้นมาจับ

“ กูรู้มึงเข้าใจในสิ่งที่กูพูด กูรู้ว่ามึงรู้ ว่ากูหมายถึงอะไร ทั้งๆที่เรื่องนี้คือเรื่องของมึงกับไอ้อาร์ม แต่ทำไมมันเป็นคนเดียวที่มีความสุขได้ แล้วทำไมมึงถึงเป็นคนเดียวที่ต้องทุกข์  ที่ต้องหลบหน้าอยู่แบบนี้ด้วยวะ ”

“ ก็เพราะว่ากูมันเหี้ยไง ”

“ แล้วก็ก้มหน้ารู้สึกผิดอยู่แบบนี้น่ะเหรอ ไม่กล้าสู้หน้าใครอยู่แบบนี้ ทั้งๆที่มึงแค่ยอมรับในสิ่งที่ทำ ก้าวออกไปเผชิญหน้ากับแม่ง ทุกอย่างก็จบแล้ว ทุกอย่างมันก็อยู่ที่มึง แค่มึงคิดจะเผชิญหน้ากับมัน ชีวิตมึงก็มีค่าเหมือนกันนะเว้ย เริ่มต้นให้ได้แล้ว ”

“ มึงจะไปรู้อะไรวะ มึงจะมาเข้าใจความรู้สึกอะไรของกู มึงไม่ใช่กู ”

“ กูไม่ใช่มึง แต่กูอยากให้มึงมีความสุขไง! ” เสียงตะโกนนั้นทำให้ผมสะดุ้ง “ กูอยากให้มึงเดินอยู่ข้างๆ ในห้าง ได้ใช้ชีวิตแบบมีความสุข แบบที่มึงควรใช้ กูไม่รู้หรอก ว่ามึงต้องเผชิญกับเหี้ยอะไรบ้าง ใช่กูไม่รู้ แต่สิ่งที่กูรู้ คืออยากให้มึงออกไป อยากให้ได้มีชีวิตใหม่ อยากให้มีความสุข แบบที่เคยชวนกูทะเลาะทุกวัน กูรู้แค่นั้นแหละ  ”

“ พอเถอะไอ้สัด ” เสียงเรียบๆของผมทำให้คนที่พูดอยู่หยุดนิ่ง ผมก้นหน้าลง ในตอนนั้นไม่มีอะไรที่เบสพูดผิดเลย มันพูดถูก ถูกทุกอย่าง ติดแค่อยู่แค่ที่ผมมันกลัวเกินไป     ก้าวแรกสำหรับผมตอนนี้มันน่ากลัวเกินไป “ กูไม่อยากฟังแล้ว พอเถอะนะ ”

“ ดีน ” มือที่กำกันไว้แน่นบีบแน่นขึ้นเพื่อรั้งกันไว้ “ ไปมหาลัยเดี๋ยวนี้ มันไม่สนุกเลย มองไปทางไหนแม่งก็ไม่มึงให้ชวนทะเลาะด้วย เรากลับไปทะเลาะกันเหมือนเดิมเถอะ กลับไปเป็นมึง ที่กวนตีนกูในทุกวันได้แล้ว ” มือนั้นผ่อนแรงลง เบสปล่อยข้อมือของผมในตอนที่เห็นว่าผมนิ่ง “ แล้วมึงก็อย่าเข้าใจผิด กูไม่เคยคิดรำคาญที่มึงอยู่ที่นี่ แต่กลับกันที่ว่า กูยังอยากให้มึงอยู่ด้วยกัน ”

แล้วหลังจากนั้น
เราก็ไมได้พูดอะไรอีกนับจากนั้น

บรรยากาศตกดึกเต็มไปด้วยความเงียบเชียบ วันนี้ไม่เหมือนกับทุกวัน แม้เราจะนั่งอยู่ตรงโซฟาตัวเดิมที่เยื้องกัน แต่ต่างคนก็ต่างเล่นเกมส์ของตัวเอง เราไม่จอยเกมส์กันแบบปกติ เหมือนมันปล่อยให้ผมได้อยู่คนเดียว และก็ได้คิด

บางทีก็อาจจะให้ผมได้ถาม ว่าเบื่อหรือยัง กับการนั่งอยู่ในห้องมืดๆ จ้องหน้าจอทีวี และเกมส์ที่เล่นอยู่ในทุกวันนี้

“ ฝันดี ” ประโยคนั้นถูกพูดขึ้น หลังจากที่อีกฝ่ายลุกขึ้นจากโซฟา ผมที่หันไปมองมัน พยักหน้ารับ ตามด้วยยักคิ้วให้

“ อื้ม ฝันดี ”

พูดแบบนั้นจอยเกมส์ก็วางลงหลังจากที่อีกฝ่ายหันหลังเดินไป หรือว่าควรจะออกไปได้แล้วกันนะ 

เดินออกไปจากหลังประตูบานนั้นที่ปิดตัวมานาน


..............................................


ลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเก้าโมง ผมตื่นขึ้นมาก่อนคนที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วสิ่งที่ต้องถามตัวเองก่อนเป้นอันดับแรกในทุกครั้งก็คือ ‘ ไปเรียนดีมั้ยวะ ’ ก่อนจะพาตัวเองลงจากเตียง อาบน้ำแล้วก็เดินกลับมายืนอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้า แต่วันนี้ไม่เหมือนเดิมอยู่อย่าง เพราะมันมาพร้อมกับคำพูดของไอ้เหี้ยนั่นที่ลอยเข้าหู

 ‘ เริ่มใหม่ได้แล้ว ’ และเมื่อหัวใจของผมบอกย้ำอย่างงั้น มือมันก็ปฎิบัติตามด้วยการเอื้อมออกไปหยิบชุดนักศึกษาที่ก็ไม่ได้ใส่มันมานานแล้ว

“ จะไปเรียนเหรอ ” คนที่เพิ่งตื่นเดินมาหยุดอยู่ตรงประตูห้องน้ำชวนให้สะดุ้งสุดตัว เบสมองผม มันที่อยากจะยิ้มแต่ทำเป็นนิ่งไว้ สายตาที่ดูดีใจ ผมถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น

“ ไม่ได้ไปเพราะคำพูดของมึงหรอกไอ้สัด ”

“ จ้า ก็แล้วแต่จะโกหกหัวใจตัวเองเลยสุดหล่อ ”

‘ K ’ สบถออกไปอย่างงั้นในใจ แต่ทว่าตอนนี้ผมกลับรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องสักเท่าไหร่บนรถที่แล่นไปตามทาง มหาวิทยาลัยดูใกล้คอนโดเสียจนมือของผมมันชาเมื่อเห็นป้ายตรงทางเข้า และขาเองก็ดูจะเป็นอย่างงั้น

ร่างกายดูงุ่นง่านไปหมดตั้งแต่ออกเดินทาง และแม้ว่าในรถจะเปิดแอร์เย็นเฉียบแค่ไหน แต่ถึงอย่างงั้น มันก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี จนผมผ่อนลมหายใจออกช้าๆ เพื่อระบายความรู้สึกพวกนั้นอยู่ดี ก็คงเป็นความรู้สึกที่อาจจะเรียกรวมๆว่า ความวิตกกังวล ละมั้งนะ

“ ใช่แหละ สติหน่อย สูดหายใจเข้า หายใจออก ลึกๆ ” พูดเองตอบเอง ผมสูดลมหายใจเข้าออก

“ เป็นอะไร ” คำถามของคนที่นั่งมาด้วยกันเอ่ยพูดขึ้นแบบนั้น ก่อนที่รถจะจอดลงที่ลานจอด แล้วนั่นก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกของผมที่พยายามเก็บกักมันแทบจะทะลักออกมา

“ อยากอ้วก ” พูดออกไปตามที่คิดอีกคนฝ่ายก็ตาโต

“ อย่าเชียวนะไอ้สัด ”  แต่ถึงจะพูดอย่างงั้น น้ำลายในปากมันกลับใสไปหมดแล้ว ท้องก็เหมือนมีอากาศหมุนวนไปมา ผมรู้สึกลมหายใจเข้าออกมันไม่ปกติอีกต่อไป อึดอัดครั้นเนื้อครั้นตัวไปหมด เหงื่อเองก็ออกไปจนมือชุ่ม “ ถ้าจะอ้วกก็โก่งคอออกไปนอกรถกูนู้น ”

“ อยากได้ยาดม ”

“ ไม่มี ทำได้มากสุดก็แค่ผายปอด จะเอามั้ย ”

“ K ” หันไปสถบใส่คนพูดไม่เหี้ยๆ ผมพิงหลังลงกับเบาะ ก่อนจะมองเจ้าของรถที่ก็เดินออกไปจากรถ ก่อนจะวนกลับมาที่ตรงประตูฝั่งผม เบสเปิดมันออก

“ ลงมา ” ใบหน้าคมที่ก้มลงมองกัน ผมเบือนหน้าหนีก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ ขอกุญแจรถมึงได้มั้ย ”

“ ไม่ได้ ” เบสบอกปัด พลางจ้องมองกัน “ กูรู้นะ ว่ามึงจะชิ่ง ”

“ ไม่ชิ่ง ” ผมส่ายหน้าบอก “ ก็แค่อยากจะนั่งพักสักพัก มึงอยากไปจะไปไปก่อน ”

“ ลงมา ” มือที่ยื่นมา ผมเงยหน้าขึ้นมองคนที่ก็หันไปมองทางอื่น “ กลัวอะไร กูจะไปกับมึงเอง ” ก้มลงมามองดูมือนั้นแต่ยังไม่ทันจับ คนพูดก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะก้มลงมาคว้ามือผมไว้แทน เบสมันดึงให้ออกมาจากรถ แล้วก็กดล็อคกุญแจแบบที่ไม่ให้เข้าไปได้อีก

“ K ” สบถด่ามันอีกครั้ง ก่อนจะโดนจูงมือแบบลากออกมาจากข้างตัวรถ ผมสะบัดมันออกพลางกลืนน้ำลายของความตื่นกลัวในตอนที่เห็นลิฟต์ลงตึก แต่ตอนนั้นคนที่อยู่ข้างกันก็แค่จับเข้าที่เอวตรงด้านหลัง เบสกระซิบลงข้างๆหู

“ ไม่ต้องกลัว กูจะอยู่ข้างๆมึงเอง ไปกันเถอะ กูไปส่ง ”

“ อื้ม ” หัวใจที่เบาบางลงอย่างย่าประหลาด ผมตอบออกไปอย่างงั้นแบบที่ไม่รู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน แม้ว่าหน้าของผมมันร้อนไปหมดในยามที่หันไปมองตาอีกฝ่าย เป็นความสุขที่ก่อตัวขึ้นกระทันหัน แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรเสียงนึงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น

“ เชี้ย... ไอ้ดีน ” เสียงที่ผมหันไปมอง เพื่อนตัวเองที่เบิกตากว้าง ไอ้จุ้นยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆเหมือนตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นกัน ก่อนมันจะวิ่งตรงเข้ามาหาผมก่อนจะกอดกันไว้แน่น “ มึงมาเรียนแล้ว!!! ”

“ อะ อื้ม ” ตอบมันออกไปสั้นๆ อีกคนที่ดึงตัวเองออกมาห่าง ในแววตากลมนั้นสั่นคลอไปด้วยน้ำตา

“ เชี้ย ใจเย็นไอ้สัด อย่าเพิ่งร้องไห้ ”

“ ก็กูดีใจ มึงมา มึงมาเรียนแล้ว มึงรู้มั้ยว่า แม่งโคตรคิดถึง ” ว่าแบบนั้นอีกคนก็หันไปมองเบส มันที่ขวมดคิ้วลง ก่อนจะหันมามองหน้าผม “ แล้วไอ้เชี้ยนี่ยังไง มันมาหาเรื่องมึงเหรอ ”

“ โหหหห มองกูในแง่ดีไม่ได้เลยสินะ ”

“ ก็คนอย่างมึง..”

“ กูมากับมัน ” ขวางคำพูดของตัวเตี้ยที่จะพูด ไอ้จุ้นก็เบิกตากว้าง แต่ก่อนที่มันจะถามอะไรผมก็ขวางไว้ก่อน เพราะแน่นอนว่า ถ้าตอบก็คงจะยาว “ ไว้ค่อยคุยกัน กูจะเล่าให้ฟังหมดทุกอย่างเลย ”

“ งั้นก็ไปเรียน ” มันว่าแบบนั้น ผมก็หันไปมองหน้าคนที่บอกว่าจะพาไปส่ง เหมือนบอกใบ้ด้วยสีหน้าว่า  ‘ งั้นเราก็ไปกัน ’  แต่ทว่า

“ งั้นก็ไว้เจอกัน ” ประโยคที่ไม่เหมือนกับที่พูดไว้หลุดออกมา ผมเบิกตามองมันที่ก็ยิ้มกว้าง “ ก็มึงมีเพื่อนแล้ว งั้นมึงก็ไปกับเพื่อนมึงแล้วกัน โชคดีนะจ้ะ จ๊วบ ” ส่งจูบให้แบบกวนตีน ผมที่อ้าปากค้างอยู่แบบนั้น แม้ในใจจะอยากจะโกนออกไปให้ดังลั่นลานจอด

“ Kยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ” แต่ไอ้สัดเบสก็คือไอ้สัดเบส ไว้ใจไม่ได้ยังไง ก็ยังไว้ใจไม่ได้อย่างงั้น ‘ ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้หน้าเหี้ย อย่าให้ถึงทีกูแล้วกัน ’

“ มึง อยากให้มันไปด้วยเหรอวะ นี่สนิทถึงขนาดนั้นเลยอะ ” ประโยคที่อยู่ๆจุ้นมันหันมาถามผม อยู่ๆความรู้สึกทุกอย่างนั้นก็หยุดนิ่ง

เออ ก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีก็แค่อยากจะให้มันเห็นมั้ง ถึงความสำเร็จของผม ที่มันผลักดันกันมาตลอดทั้งอาทิตย์ ก้าวแรกที่ผมจะก้าวออกไป มีมุมเล็กๆ มุมนึงที่ผมรู้สึกว่าอยากจะให้มันร่วมยินดีไปด้วยกัน

“ ทำได้อยู่แล้ว ” เสียงที่ตะโกนออกมาของคนที่เดินห่างออกไปนั้น เบสไม่ได้หันมามอง มันแค่ยกมือขึ้นโบกบ๊ายบายให้กัน  “ กล้าให้ได้แบบทะเลาะกับกูอะไอ้สัด มึงมันเก่งอยู่แล้ว ”

“ อะไรของมันวะ ” จุ้นหันมาถามผม ที่ก็ทำได้แค่ยิ้มออกมา

“ ไปกันเถอะ กูพร้อมแล้ว ”  ที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวมาตลอด


..................................................


ตั้งใจว่าจะเขียนม้วนเดียวจบ แต่คุณพี่มันไม่จบเจ้าค่ะ
อีกอย่าง หนมไม่อยากจะยัดๆ จนขาดส่วนใดส่วนนึงไปของบางความสัมพันธ์ไป
เรามองว่ามันก็ยากนะ สำหรับดีน แล้วก็สิ่งที่ทำ
เพราะงั้นตอนหน้าเจอพี่อาร์ม

ป.ล. นิยายเรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะคะ มีรวมเล่มแน่นอน แบบตอนพิเศษจุกใจเหมือนเดิม
ใครสนใจ เตรียมหยอดกระปุกหมูรอไว้ได้เลยยยยย

ท้ายนี้ ฝากแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์ฮับ
 :L2: :3123: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

จากคู่กัดแปรเปลี่ยนเป็นคู่รัก  ทั้งสองคู่เลย  อิอิ

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เปิดใจมากขึ้นแล้วเว้ยคู่นี้ ใกล้ละๆ จากคู่กัด มาเป็นคนเคียงข้าง อีกไม่นานก็.... คึ :impress2: :-[

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ถามนิด ถามหน่อย เรื่องนี้ใครค่าตัวแพงสุด ๆ เป็นเรา ๆ ว่า "น้องเหี้ย" เนี่ยล่ะ แพงสุด มาเกือบทุกตอน  :laugh3:

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 37

ภายในห้องเรียนไม่มีคำว่าเงียบเชียบ ทุกคนดูแตกตื่นในตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องเรียน ท่าทางดีใจผสมปนเปไปกับความแปลกใจในแววตานั้น พร้อมทั้งคำถามมากมายที่พุ่งเข้ามาใส่อย่างไม่มีพัก แต่โดยทั่วไปแล้ว มันก็เป็นคำถามประเภทเดียวกันหมด 

อย่าง ‘หายไปไหนมา’ ‘ทำไมไม่มาเรียน’ แล้วสุดท้ายก็ ‘คิดว่ามึงดร็อปเรียนไปแล้ว’  แต่ทว่าคำถามพวกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่ในขณะนี้ แต่กลับเป็นคนที่คิดว่าน่าจะอยู่ที่นี่ แต่ยังไม่เห็นต่างหาก ที่ทำให้รู้สึกอย่างงั้น

“ อีกนานกว่ามันจะมา ” คนที่ยืนข้างกันเหมือนจะจับสังเกตได้พูดขึ้นมาแบบนั้น ผมก็ถอนหายใจโล่ง แน่นอนว่าเพราะไม่มีไอ้อาร์มอยู่ “ ป่านนี้มันคงนั่งกินข้าวอยู่กับเมียมันที่โรงอาหารนั่นแหละ ห่างกันแทบไม่ได้ หวานจนอยากจะอ้วก กูบอกเลย ”

“ มึงพูดเหมือนหึงเลย ” หันไปแซวอีกคนที่ก็เหลือบตามองบน ไอ้จุ้นมันถอนหายใจ “ ทำไม จะอ้วกเหรอไอ้สัด ”

“ อยากให้มึงไปเห็นมันสวีทกันสักครั้งจังไอ้สัด ”

“ ยังไง มันป้อนข้าว ป้อนน้ำกันเหรอ ”

“ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ” พูดแบบนั้นก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งตรงที่นั่งแถวประจำของเรา แผ่นหลังที่พิงลงกับเก้าอี้ก็ทำทีเป็นคิด “ มันก็ประมานว่า ดูแลกันจนออกนอกหน้าเหลือเกิน ถ้าเช้าๆมาถึงมหาลัยมันก็จะเดินมานั่งที่โต๊ะด้วยกัน พอกันไปกินข้าว ก็งุ้งงิ้งกันสองคน ”

“ แล้วไงต่อ ” ผมยิ้มถาม เพราะรู้สึกถึงความไม่มีอะไรในเนื้อหานั้น

“ พอซื้อข้าวเสร็จ ไอ้อาร์มก็เดินไปซื้อน้ำให้ กินน้ำอะไรดี แล้วไอ้เมี่ยงก็แบบ น้ำเปล่าก็ได้ แล้วจากนั้นก็กลับมากินด้วยกัน คุยกันสองคน ตอนเย็นไปซื้อของกันนะ อีกฝ่าย อื้ม เอาสิ อยากกินของทอด ทอดให้กินหน่อย ไอ้อาร์มก็ยิ้ม ได้สิครับ กูแบบ จ้า ไอ้สัด อย่าให้กูมีบ้าง ขิงเช้าเย็นแบบยาวไปเลยไอ้เหี้ย ”

“ กูว่าอันนี้ไม่ได้หวานเหี้ยอะไรหรอก แฟนกันเค้าดูแลกันปกติไอ้สัด ส่วนมึง คืออคติ หน้าเหี้ย ”

“ ดีน.. มึงแม่ง ” อีกฝ่ายส่ายหน้าไปมา ราวกับผิดหวังในการตอบรับกลับของผมอยู่ไม่น้อย

“ อะไร ”

“ ปกติมึงต้องไม่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอวะ ยั๊วะหน่อยไอ้สัด ” หลุดยิ้มกับคำพูดนั้นก่อนจะส่ายหน้า

“ แล้วมึงจะให้กูยั๊วะเหี้ยอะไร ก็มันเป็นแฟนกัน ” คนฟังถอนหายใจ  “ เอาจริงๆ นี่พูดเพราะแค่อยากจะเข้าข้างกูเปล่าวะ ”

“ ไม่ใช่แบบนั้นไอ้สัด ” ถึงจะเถียงออกมา แต่ผมก็รู้แหละว่ามันคิดแบบนั้น ไอ้จุ้นเป็นเพื่อนที่ดี ผมรู้ มันก็แค่อยากจะอยู่ข้างผม อยากให้ผมรู้สึกว่ามีมันอยู่ข้างๆ

ถึงบางทีมันจะออกมาในรูปแบบ
ที่เหมือนจะตามใจกันอย่างผิดที่ผิดทางบ้างก็เถอะ

“ แล้วมึง..” เงียบไปอยู่นาน อีกคนก็ถามขึ้นมาแบบไม่เต็มเสียง “ เป็นยังไงบ้างวะ ”

“ สบายดี ” ตอบเรียบๆอีกคนก็ถอนหายใจ

“ พวกกูแม่งโคตรเป็นห่วงเลยรู้มั้ย ” จุ้นมันว่า “ กูโทรหามึงทุกวัน แล้วก็ทุกเวลาที่ว่างเลย  แต่มึงแม่งคือไม่เปิดมือถือเลยเหรอวะ ”

“ อื้ม ” ตอบสั้นๆ อีกคนก็ถอนหายใจ

“ กูส่งข้อความไปหามึงทุกช่องทางเลยนะมึงรู้มั้ย ทั้งไลน์ เฟส ข้อความ คือกูแม่งติดต่อมึงทุกทางเลย ยันอ้อนวอนให้ไอ้สัดอาร์มโทรหาแม่มึง ”

“ ห๊ะ ? ” ถึงขั้นสบถออกมาในตอนที่ได้ยิน ในตอนนั้นสีหน้าผมเปลี่ยนจนไอ้จุ้นถึงกับงง “ ไอ้อาร์มมันติดต่อแม่กูไปเหรอ ”

“ กูแค่บอก แต่มันไม่ทำ ” อีกฝ่ายว่า ผมก็ผ่อนลมหายใจ

“ มึงไม่ได้อยู่บ้านเหรอวะ กูคิดว่ามึงกลับไปอยู่บ้านตลอดเลย เลยอยากจะให้ไอ้อาร์มโทรไป ”

“ ก็โชคดีที่มันไม่โทร ” ได้แต่ยิ้มแห้งๆ กับคำพูดนั้น ผมหันมองไอ้จุ้น “ กูไม่ได้อยู่บ้านเลยไอ้สัด ”

“ แล้วมึงไปอยู่ไหนมา ”

“ ก็..” ปากที่กำลังจะเอ่ยบอก สวนทางกับสมองที่ตั้งคำถามอย่าง ‘ บอกดีมั้ยวะ ’ ขึ้นมา ก่อนที่สายตาของผมจะหันไปเหลือบมองประตู อาจารย์ประจำภาควิชาเดินเข้ามาแล้ว และคนที่ผมไม่อยากจะเจอหน้า ก็เดินตามเข้ามาด้วยเช่นกัน

“ มาละ ” จุ้นมันพูดเสียงเรียบๆ ต่างกับคนเข้ามาใหม่ที่หันมาเห็นผมแล้วฝีเท้านั้นกลับชะงักลง อาร์มนิ่งอยู่นานในตอนนั้น สายตาของเราที่มองจ้องกัน ก่อนไอ้โฮมจะได้สติ เอื้อมมือดันหลังอีกคนให้เดินมา

“ มาเรียนได้แล้วเหรอมึง ” โฮมมันทักผมที่ก็แค่ยักคิ้วกลับไปให้ ก่อนอีกคนจะหันไปเหลือบมองคนข้างตัวที่ตอนนี้ทำได้แค่มองหน้า แต่มันเหมือนจะไม่สามารถเอ่ยคำพูดอะไรออกมาได้สักอย่าง

“ ไง ” ใจของผมสั่น แม้มือจะยกขึ้นทักอีกฝ่ายพร้อมกับยักคิ้วให้ตามถนัด แต่ถึงอย่างงั้นฟันในปากกลับกัดกันแน่ราวกับจะเก็บกดความรู้สึกตื่นเต้นที่แทบจะทะลักออกมานั้นไม่ได้ แต่คนที่มองกันอยู่กลับดูตกใจไม่น้อย แววตาคมเบิกตาขึ้น  ก่อนจะยกยิ้มดีใจ

“ ไง ” พูดแบบนั้นก่อนจะดึงเอาเก้าอี้ที่อยู่ถัดจากผมตรงที่ปกติออก มันนั่งลง ส่วนไอ้โฮมก็นั่งตรงตัวถัดไป

ทุกอย่างก็เหมือนกับปกติในทุกครั้งที่เคยเป็น แต่วันนี้บอกเลยว่าโคตรอึดอัด จนต้องแสดงออกมาทางกายภาพ แบบที่แขนสองข้างของผมเกร็ง มือเองก็กำกันแน่น เป็นความรู้สึกที่ไม่กล้าแม้จะหันไปสบตา

ลมหายใจเหมือนจะกลายเป็นของหนัก ทุกอย่างจุกอยู่ในอกนี้ น้ำลายเหนียวถูกกลืนลงคอซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่ว่าจะพยายามสงบสติอารมณ์ลงยังไง ก็เหมือนจะข่มใจให้ทำตัวตามปกติไม่ได้เลย

“ ย้ายที่นั่งกันหน่อย ” อาร์มหันไปบอกโฮม ในตอนนั้นผมก็หันไปมองหน้ามัน อีกคนก็ยิ้มให้ผม แบบที่รู้ดีว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอะไร “ ไม่ต้องคิดมาก กูเข้าใจว่ามึงเกร็ง ”

“ อ่า..” ได้แต่ตอบออกไปสั้นๆ แบบที่เถียงอะไรออกไปไม่ได้เลย เพราะท่าทางที่ดูสบายใจขึ้นในตอนที่ไอ้โฮมย้ายมานั่งด้วยกันใกล้ๆนั้น ไม่มีทางไหนเลยที่พอจะปฎิเสธได้ ว่ามันไม่ใช่อย่างงั้น “ โทษที ”

“ ไม่เป็นไร ” โฮมมันว่าในตอนที่เหลือบมองผม “ แต่ดีแล้วที่มึงมาเรียนสักที พวกกูแม่งโคตรเป็นห่วงเลย ”

“ อื้ม ” ขานรับสั้นๆในคอก่อนจะก้มลงมือโทรศัพท์แบบที่ไม่รู้ว่าจะเอาสายตาจดจ่อไปทางไหน ก็คิดไว้อยู่แล้วว่าวันแรกมันต้องอึดอัด แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพอเอาเข้าจริง มันจะหนักขนาดนี้


ครืน ครืน ครืน

เหลือบสายตาไปมองมือถือในตอนที่มันสั่น บนหน้าจอนั้นปรากฏข้อความจากคนที่เพิ่งทิ้งกันหน้าตาเฉยตรงลานจอดรถ แต่ก็เป็นคนเดียวกันที่ทำให้รู้สึกสบายใจขึ้นอย่างฉับพลันในตอนที่เห็น

best:
เป็นยังไง
สุขสบายดีมั้ยครับ

deen:
คนที่มันทิ้งกูได้หน้าตาเฉย
มีหน้ามาถามเหี้ยอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ

best:
งอนเป็นเมียเลยน้า

deen:
ไอ้สัด

best:
ถามจริงๆ
เป็นยังไงบ้าง

deen:
แย่อะ

best:
เหรอ

deen:
อื้ม

คำว่า อ่านแล้ว ขึ้นอยู่ข้างๆข้อความของผมแต่ทว่ากลับไมมีข้อความอะไรตอบกลับ แม้จะแบบกวนตีนกันเหมือนปกติ ก็ไม่มี จนผมได้แต่ถอนหายใจออกมา

best:
ก้าวแรกก็แบบนี้
เพราะงั้นต้องมีก้าวสอง

deen:
K

best:
ทำไม
คือจะไม่มาแล้วว่างั้น

deen:
ก็ไม่ใช่จะอย่างงั้น

best:
ตอแหลแน่ๆ
พล๊อตพรุ่งนี้อาจจะฟอร์มป่วยใกล้ตาย


ได้แต่ถอนหายใจออกมากับคำพูดนั้นอีกครั้ง ‘ก็เสือกมองกันออกอีกไอ้หน้าสัด’ เอาจริงก็ไม่ต่างกับที่คิดเท่าไหร่ ในในใจลึกๆของผมตอนนี้ คือพรุ่งนี้จะฟอร์มป่วย เพราะไม่อยากจะมาเรียนแบบที่ต้องเรียนทั้งเช้า แล้วก็บ่าย


best:
แต่กูเชื่อว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นนะ
ไม่แย่ลงหรอก

deen:
เหรอ

best:
ก็ไอ้อาร์มมันส่งข้อความมาหาไอ้เมี่ยง
ขอไปกินข้าวกับมึงหลังเลิกเรียน
แสดงว่ามันไม่มีอะไรแย่หรอก
จริงมั้ย


ผมหันไปมองคนที่ถูกพูดถึง อาร์มที่กำลังกดพิมพ์อะไรสักอย่างในมือถือ พร้อมกับเงยหน้ามองหน้าจอของสไลค์ที่กำลังฉายเนื้อหาการเรียนภายในชั่วโมงที่อาจารย์กำลังอธิบาย


deen:
มึงรู้ได้ยังไง

best:
ก็ไอ้เมี่ยงมันนั่งข้างกู
แล้วมันก็หันมาบอก
ว่าหลังเลิกเรียนอาร์มจะชวนมึงไปกินข้าว
เพราะมันมีเรียนคาบเดียว
แล้วพวกกูมีสอง

deen:
เหรอ

best:
มันยังไม่ได้บอกมึงเหรอ

deen:
บอกเหี้ยอะไร
นอกจากคำว่าไง
ยังไม่ได้พูดเหี้ยอะไรกันเลย

best:
ทำเหี้ยมาเยอะอะเนอะ
เข้าใจอยู่
ว่ายากหน่อย

deen:
หน้าเหี้ย

best:
แต่เพราะงั้นมึงยิ่งควรไปนะ
จะได้คุยกับมันแค่สองคนไง


ผ่อนลมหายใจออกมากับข้อความนั้นอย่างอดไม่ได้ที่จะกังวล ผมเหลือบมองคนข้างๆอีกครั้ง แต่เหมือนไอ้โฮมมันจะสังเกตได้ ก็เลยหันมามองกันก่อนจะค่อยๆเอียงตัวเองพิงกับเบาะพิงของเก้าอี้เพื่อให้ผมเห็นคนที่ตั้งใจจะมองชัดขึ้น จนต้องหลุดยิ้มกับความพยายามของมันแล้วสบถออกไป

“ ไอ้สัด ”

“ เห็นว่ามึงอยากมองไง กูเลยหลีกทางให้ ” มันว่าแบบนั้นก่อนจะยักคิ้วให้กัน ผมก็ก้มลงอ่านข้อความบนหน้าจอมือถือนั่นอีกครั้ง


deen:
แล้วไอ้เมี่ยงให้ไปเหรอวะ
กูไม่ชอบสร้างปัญหาครอบครัวให้ใคร

best:
แหม
แล้วที่สร้างมาละครับ

deen:
ไอ้สัด

best:
มันให้ไป


deen:
ช่างกล้าหาญ
ไม่กลัวถ่านไฟเก่ามันคุเหรอไง
บอกก่อนว่ารอบนี้ถ้าคุขึ้นมา
ดับไม่ได้แล้วนะ

best:
ไม่คุหรอก

deen:
มันมั่นใจอะไรขนาดนั้นก่อน

best:
กูต่างหาก
ที่มั่นใจในตัวมึง
ว่ามันจะไม่เป็นอย่างงั้น
ไอ้เมี่ยงไม่ได้พูด


คำพูดนั้นทำให้ผมนิ่ง ไม่มีข้อความอะไรหลุดเข้ามาในหัวเลยแม้แต่จะเป็นประโยคแค่ประโยคเดียว ผมคิดถึงสีหน้าของคนที่กำลังสนทนาด้วยนั้น ผมคิดถึงเมื่อคืน ตอนที่ดีนมองตาผม แล้วพูดเพื่อให้ผมก้าวไปข้างหน้า

แล้วตอนนี้มันก็เหมือนจะยังผลักดันกันอยู่แบบนั้น ด้วยความรู้สึกที่อยากจะให้หลุดพ้นออกจากเรื่องราวที่ค้างคาใจที่ทำให้ผมไม่มีความสุขสักที

best:
แล้วกูก็เป็นคนที่บอกไอ้เมี่ยง
ว่าปล่อยให้มันได้ชวนมึงไปเถอะ
เพราะถ้ามึงไม่คุยตอนนี้
ก็คงไม่ได้คุยแล้ว

deen:
ทำไมจะไม่ได้คุย
ได้คุยสิ

best:
ไม่ใช่คุยแบบทั่วไป
หมายถึงเรื่องของพวกมึงที่ค้างคาอยู่
กูอยากให้มึงบอกมัน
บอกในสิ่งที่มึงรู้สึก


deen:
สิ่งที่กูรู้สึกเหรอ


best:
อื้ม

deen:
ไม่มีอะไรที่กูรู้สึกมั้ยละไอ้สัด

best:
แล้วมึงไม่อยากจะขอโทษมันหน่อยเหรอ
ตลอดหลายปีที่มึงบอกให้มันคอย
แต่จริงๆมึงไม่ได้รักมันเลยอะ

deen:
แต่กูยังไม่รู้เลย
ว่าตอนนั้นกูรู้สึกยังไงกับมันกันแน่

best:
มึงได้คุยกับมัน
มึงก็รู้เองแหละ
ว่าจริงๆแล้ว
ความรู้สึกนั้นคืออะไร

deen:
เหรอ

best:
อื้ม
เพราะช่วงเวลานั้น
มันจะตอบคำถามที่มึงสงสัยได้หมดเลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2020 20:37:05 โดย patwo »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

คว่ำหน้าจอมือถือของตัวเองลงพร้อมกับถอนหายใจ สายตาที่จ้องไปข้างหน้าผมนิ่งคิดประโยคที่อ่านซ้ำไปมา ก่อนจะส่ายหน้าสะบัดความคิดนั้นออกไป ยิ่งคิดยิ่งกังวล ยิ่งคาดเดาก็ยิ่งไม่ได้อะไร ตอนนี้มันเองก็ยังไม่เอ่ยปากชวน ถ้าชวนเมื่อไหร่ก็ค่อยว่ากัน เพราะบางทีมันอาจจะนั่งทบทวนแล้วรู้สึกว่า ไม่ชวนดีกว่า ก็ได้

“ มึง ” เสียงที่เอ่ยเรียกกันในตอนที่เลิกเรียนของคนที่นั่งถัดไปแค่เก้าอี้สองตัว ผมหันไปมองต้นเสียงนั้น อาจเพราะมันไม่มีเสียงอะไร ผมก็เลยได้ยินมันชัด อาร์มที่กำลังจ้องมองกัน “ หลังเลิกเรียนไปกินข้าวกัน ”

ท่ามกลางสายตาของทั้งไอ้โฮมกับไอ้จุ้นที่มองกันแบบยิ้มๆ พร้อมด้วยสายตาคาดหวังในคำตอบของผม ก็คงอยากจะให้ไปแบบสุดตัว ในตอนนั้นผมตอบรับ

“ ได้สิ ”

หลังจากคำตอบตกลง เวลาภายในห้องก็เหมือนจะเดินเร็วขึ้นแบบที่กระพริบตาไม่กี่ครั้ง เวลาที่เคยเชื่องช้าในคราวแรก ก็กลายเป็นติดสปีช จนจบลง นักศึกษาทุกคนถอยหลังออกจากโต๊ะ จัดเก็บของ ลุกขึ้นยืน รวมถึงผมที่ก็พยายามทำตัวให้ปกติที่สุด แม้ว่ามือตอนนี้จะพยายามจัดเอกสารซ้ำไปมา แบบที่ให้เข้าที่แล้ว เข้าที่อีก

“ แล้วจะไปกินข้าวที่ไหนกัน ” ไอ้จุ้นหันมาถามผม เอกสารที่ถือก็หล่นลงโต๊ะไปแบบไม่ทันตั้งตัว มือโกยมันเข้าที่อีกครั้งผมหันไปหาอาร์ม มันก็ยืนมองกันยิ้มๆ

“ ไม่รู้เหมือนกัน อาหารญี่ปุ่นมั้ย มึงชอบกิน ”

แทบจะลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศในตอนที่ได้ยินท้ายประโยคนั้น ก็ยังจำได้อยู่เลย ว่าผมชอบกินอาหารญี่ปุ่น ทั้งๆที่คิดว่า น่าจะลืมกันไปหมดแล้ว

“ กูคิดว่ามึงลืมไปแล้วนะ ว่ากูชอบกินอะไร ”

“ แล้วทำไมต้องลืมอะ ” มันที่ถามกลับมาแบบนั้นทำให้ผมนิ่ง “ แค่เลิกชอบ ต้องเลิกเป็นเพื่อนด้วยเหรอวะ คบกันมาเป็นสิบปี กูไม่ลืมหรอกว่าเพื่อนสนิทกูชอบกินอะไร ”

ประโยคที่ชวนให้ผมใบ้กินนั้น สายตาที่เหลือบมองไอ้จุ้นที ไอ้โฮมที แต่พวกมันทั้งคู่ก็แค่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไร ผมหันไปมองอาร์มที่ยกมือขึ้น แล้วชี้ไปตรงประตู

“ ไปกันเถอะ ”

“ โอเค ” ผ่อนลมหายใจออกไปก่อนจะก้ามเดินตาม เราเดินมาถึงลานจอด

รถของอาร์มเป็นรถคันดีสีดำที่ผมจำป้ายทะเบียนได้แม่น ท่ามกลางเลขไม่กี่ตัวที่จำได้ในหัว เสียงปลดล็อคดังขึ้นตอนที่ร่างสูงเดินไปอีกฝั่ง แต่ตอนที่ผมจะเปิดประตูข้างคนขับ กลับพบตุ๊กตาโดนัลดั๊กตัวขนาดอุ้มที่วางอยู่บนที่นั่ง

“ โทษที ” คนขับว่าแบบนั้นก่อนจะดึงตุ๊กตาตัวนั้นไปวางไว้ตรงที่นั่งหลัง “ ตุ๊กตาของไอ้เมี่ยงมันน่ะ มันชอบกอดเวลานั่งรถมากับกู ”

“ เหรอ ” เผลอหลุดยยิ้มให้กับความน่ารักนั้น อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ

“ ไอ้สัดนั่นชอบขับรถเอง เวลากูขับมันจะพกตุ๊กตามาด้วย บอกว่าไม่ชอบให้มือว่าง ”

“ เหมือนเด็กเล็กเลยนะไอ้สัด ต้องกอดตุ๊กตา ”

“ นิสัยมันก็เหมือนเด็กเล็ก ” หันมาบอกกันด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้ยิ้มแค่ปาก แต่เป็นความสุขที่ออกมาจากทั้งหมด  ไม่ว่าจะแววตา หรือท่าทาง “ แล้วเมื่อเช้างอแงชิบหาย อยากกินซาลาเปาหมูแดงเซเว่น กูบอก กินข้าวต้มแล้ว พอก่อน ก็คือไม่ยอม อยากกิน จนต้องจอดรถ ให้ลงไปซื้อ ”

“ พูดเหมือนหงุดหงิด แต่ในแววตาคือเอ็นดูชิบหายเลยนะ ” แซวมันแบบนั้น อีกคนก็พยักหน้ารับ “ หลงสุด ”

“ กรุณาเรียกว่าหลงสัด ขอพูดแค่นี้ กูคือโคตรรักมัน แบบที่ในสมองมีแค่คำว่า น่ารัก เวลามองหน้ามัน ”

“ ไม่รู้จะพูดอะไรเลยกู ” ผมบอกมันแบบจำยอม “ มึงมาขนาดนี้แล้ว ”

“ แล้วมึงอะ เป็นยังไงบ้าง หายไปไหนมาตั้งนาน กลับบ้านเหรอ หรือยังไง ”

“ กูได้ข่าวว่า ไอ้จุ้นบอกให้มึงโทรหาแม่กู แต่มึงไม่ยอมโทร ” คนฟังพยักหน้ารับพอดีกับเครื่องยนต์ที่ถูกสตาร์ทขึ้น “ ขอบใจที่ไม่โทรนะไอ้สัด ไม่งั้นชิบหายแน่ ”

“ ก็คิดไว้แล้วว่าต้องอย่างงั้น ” อาร์มมันบอก “ แล้วยังไง มึงใช้ชีวิตยังไงก่อนหน้านี้ ”

“ ฟังแล้วมึงจะอึ้ง ” คนฟังขมวดคิ้ว ผมก็หันไปบอกก “ ไปอยู่กับไอ้เบสมา ”

“ ห๊ะ ? ” ไม่ใช่แค่คำพูด แต่มันมาพร้อมกับรถที่เบรคแบบที่เรียกว่ากระทันหันจนผมแทบจะพุ่งออกไปด้านนอก คนขับถามย้ำอีกครั้ง “ ไอ้เบส ไอ้เบสเพื่อนรักมึงอะนะ ”

“ K ” ผมสบกับคำประชดนั่น “ เออ เพื่อนรักกูนั่นแหละ ”

“ เดี๋ยวนะ ไปเจอกันได้ยังไง แล้วยังไงถึงไปอยู่กับมันได้ ” รถยนต์ถูกขับออกไปอีกครั้ง ผมก็หันออกไปนอกหน้าต่าง

“ วันนั้นหลังจากที่ทะเลาะกับมึง กูไปเมา แล้วก็เจอมันที่ผับ ตอนนั้นไม่อยากกลับบ้าน ก็เลยขอมันไปอยู่ด้วย เพราะคิดว่าคงไม่มีใครตามกูเจอแน่นอน ก็คงไม่มีใครคิดว่ากูจะอยู่กับมันอะนะจริงมั้ย ”

“ อื้ม ” เสียงทุ้มขานรับในคอ ก่อนจะยกยิ้ม “ กูคนนึงแหละไอ้สัดที่ไม่คิดอย่างงั้นเลย ” ยักคิ้วให้มันเป็นคำตอบแบบภูมิใจ อีกฝ่ายก็ถามต่อ “ แล้วอยู่กับมันเป็นยังไง เลิกเป็นศัตรูกันยัง ”

“ ก็คิดว่าเลิกแล้วมั้ง ” บอกแบบนั้นกันหันไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง น่าแปลก ที่อยู่ๆผมก็คิดถึงความรู้สึกตลอดอาทิตย์ที่อยู่กับอีกคนมา

ระหว่างเรา มันไม่มีประโยคไหน หรือตอนไหนเลยที่เราจะมานั่งชวนกันพูดคุยถึงเรื่องส่วนตัว ที่ประจำของเราเป็นโซฟาตัวใหญ่หน้าทีวี เรื่องเดียวที่เข้ากันได้ก็เหมือนจะเป็นเกมส์ เรานอนพร้อมกันแต่ไม่มีใครคุยกันเลยก่อนนอน เราแค่เล่นมือถือ แต่ถึงอย่างงั้น ระหว่างเรากลับเป็นอะไรที่สบายใจมากๆ

มันน่าสบายใจ จนรู้สึกตกใจ ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกอย่างงั้น

เป็นความสบายใจที่ผมไม่ได้คิดถึงใครอื่น ไม่ได้คิดถึงอาร์ม และสิ่งเดียวที่กังวล ก็มีเพียงแค่เช้าตื่นนอนที่ต้องตัดสินใจก่อนไปเรียน ว่าต้องทำตัวยังไงในการเผชิญหน้า ให้ผมกับอาร์มรู้สึกไม่อึดอัด

ผมไม่เคยถามตัวเองเลยด้วยซ้ำ ว่าตอนนี้รู้สึกยังไงกับการไม่ถูกรัก ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ก็ไขว่คว้าจะเป็นตาย จนยอมทำแทบทุกอย่าง แล้วกลายร่างเป็นคนสิ้นคิดคนนึง

“ มึง ”

“ ว่าไง ”

“ ความรักคืออะไรวะ พอรู้มั้ย ” หันไปมองคนขับที่ขมวดคิ้วให้กันตอนที่ฟังอย่างสงสัย “ กูก็แค่อยากรู้ว่ากูรู้สึกยังไงกับมึง บอกหน่อยได้มั้ยวะ ”

“ ความรักคืออะไรเหรอวะ ” คนตอบทวนคำพูดนั้นซ้ำพลางมองไปข้างหน้า อาร์มกำลังคิดมันอย่างดี “ กูว่ามันต่างไปในเฉพาะบุคคลนะ อาจจะเรียกว่า คนละนิยาม แต่ละคนคงรู้สึกถึงความรักคืออะไรได้ต่างกัน ”

“ เหรอวะ ”

“ ตอนที่กูรักมึง กูรู้ตัวว่ากูรัก เพราะกูไม่อยากจะให้มึงรักใครนอกจากกู กูไม่ชอบเวลาที่มึงมีคนอื่น ไม่ชอบเวลาที่มึงมีแฟน แต่กับรู้สึกมีความสุขทุกครั้ง ที่เห็นมึงเลิกกัน  กูอยากเป็นคนที่กอดมึงได้ในตอนที่มึงเศร้า กูอยากเป็นทั้งรอยยิ้ม แล้วก็ความสุขของมึง แล้วนั่นก็คือความรักของกู ที่เคยมีให้มึง ”

“ อื้ม แล้วกับเมี่ยงละ ตอนนั้นรู้ได้ยังไงวะ ว่ารักมัน ”

“ อาจจะเป็นตอนที่มันไม่สนใจกูเลย ตอนที่มันบอกว่า ถ้ายังเลิกรู้สึกกับคนเก่าไม่ได้ ก็อย่ามายุ่งกับมัน ตอนนั้นใจกูเหมือนจะขาด เหมือนเจอคนที่อยากจะกอดมากๆ แต่กอดไม่ได้ ”

“ เหรอ ”

“ ความรู้สึกของกูตอนนั้น มันโคตรทรมานเลยรู้มั้ย เหมือนความสุขมันกองอยู่ตรงหน้า แต่ทำเหี้ยอะไรไม่ได้เลย กูรู้แค่ว่า กูอยากมีมัน อยากใช้ชีวิตแบบที่มีความสุขกับมันไปทุกวัน ”

“ รู้มั้ยว่ากูไม่เคยรู้สึกอย่างงั้นกับมึงเลย ” ทุกอย่างในรถตอนนั้นมีแต่ความเงียบกับประโยคที่ผมพูด “ กูขนลุกทุกครั้งที่เราจูบ กูไม่ชอบทุกครั้งที่เราต้องใกล้กัน แต่กูรู้สึกว่ากูปฎิเสธไม่ได้ เพราะถ้ากูทำ กูจะเสียเพื่อนแบบมึงไป แล้วกูก็ไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้น ”

“ ขอโทษ ”

“ ขอโทษทำไมไอ้สัด ” ผมถามยิ้มๆ “ มึงไม่ผิดหรอก กูผิดเอง กูสิต้องขอโทษ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกมึงออกไปตามตรงว่ารู้ยังไง กูขอโทษที่แม้แต่เมื่อวาน หรือเมื่อกี้ กูก็ยังนั่งถามตัวเองว่าจริงๆ สิ่งที่กูรู้สึก มันคือความรักมั้ย ทั้งๆที่มันไม่ต้องถามแล้ว ทุกอย่างมันชัดมากๆอยู่แล้ว ว่ากูไม่ได้รัก เพราะถ้ารัก กูจะไม่บอกให้มึงรอ ถ้ารักก็คงอยากจะให้มึงมาอยู่ใกล้ๆ ไม่มีใครรักแล้วบอกให้อยู่ไกลๆ หรือรอก่อนหรอก จริงมั้ย ”

“ จริง แต่ก็ไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด ที่มึงทำ มึงก็รัก แต่มึงแค่รักแบบเพื่อน มึงเลยไม่อยากจะเสียกูไป ทุกอย่างมันก็แค่นั้น ไม่ใช่มึงไม่รักหรอกดีน มึงรักกูนะ แต่ความรักของกูกับมึงในตอนนั้น มันแค่มีสถานะที่ไม่เหมือนกัน ก็เท่านั้นเอง ”

หัวของผมโล่งไปในช่วงขณะนึง และแม้แต่หัวใจเองก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้น คล้ายกับลมพัดอ่อนๆในช่วงฤดูหนาว ลมเย็นของช่วงเวลานั้นพัดผ่านผิวกาย เป็นความสบายอกสบายใจอย่างที่อยากสูดอากาศนั้นเข้าไปให้เต็มปอด

 “ ฟังเพลงหน่อยแล้วกัน แก้เบื่อ ” อาร์มมันว่าแบบนั้นก่อนจะเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดเพลง บนหน้าปัดวิทยุ เป็นช่วงเวลาที่เปิดเพลงยาวๆพอดี แต่เรามาสายไปเล็กน้อย เพลงที่ฟังมันถึงช่วงจบพอดี ก่อนที่มันจะขึ้นเพลงใหม่

ด้วยทำนองที่คุ้นหู ผมหันมองคนขับรถที่หันมามองกันพอดีในตอนนั้น ตอนที่คำร้องของบทเพลงนั้น เริ่มต้นขึ้น ‘ รู้ไหมว่าเราเจอกันครั้งแรกตอนไหน ความทรงจำเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ที่ทำให้เราสองคนเริ่มหวั่นไหว ’

ผมหลุดยิ้มออกมา จำได้ว่าครั้งนึง เราเคยนั่งอยู่ด้วยกันแบบนี้ วันนั้นเพลงนี้ก็ดังขึ้นมาเหมือนวันนี้ อาร์มตอนนั้นจับมือของผม ตอนที่ถึงประโยคที่ว่า ‘ขอสัญญา ว่าจะรักเพียงคุณ ว่าจะรักแค่คุณ ว่าจะรักแค่คุณเท่านั้น’ แต่ในตอนนี้มือนั้นกลับเอื้อมออกไป มือข้างนั้น ปิดวิทยุลง

“ ไม่ใช่กูแล้วเนอะ ” เอ่ยพูดออกไปสั้นๆ เสียงทุ้มก็ตอบกลับ

“ อื้ม ตอนนี้มันไม่ใช่มึงแล้ว ”

“ มึงมีความสุขมากเลยใช่มั้ย ที่ได้คบกับเมี่ยง ”

“ อื้ม มีความสุขมากๆ ”

“ ดีแล้ว ” พูดอย่างงั้น ด้วยความรู้สึกที่มาจากใจ ผมยิ้มให้มัน เหมือนมันเองที่หันมายิ้มให้ผม “ มีความสุขให้มันมากๆนะมึง กอดมันไว้ให้แน่นๆด้วยนะ ความรักของมึงน่ะ ”

“ แน่นอนอยู่แล้ว ” คำพูดมั่นใจสมเป็นคนตรงหน้าทำให้ผมยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีก

“ กูดีใจนะ ที่เห็นมึงมีความสุข ”

“ ดีน ” เลิกคิ้วมองคนที่หันมายิ้มให้ “ ถึงทุกอย่างที่เคยเป็นของมึง จะไม่ใช่ของมึงแล้ว แต่มึงยังเป็นเพื่อนกูนะ เพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิตกู แล้วตำแหน่งตรงนี้ มันจะเป็นของมึงไม่เปลี่ยนแปลง ”

“ กูรู้ ” ผมพยักหน้ารับ “ ดีที่สุดแล้วที่เป็นแบบนั้น ”

“ อื้ม ”

“ แต่ว่า ไม่ไปแล้วได้มั้ยวะ กินข้าว ” หันไปบอกกคนพามาที่ก็หันมามองด้วยความไม่เข้าใจ “ ไม่ได้อะไรนะไอ้สัด กูแค่รู้สึกว่าตอนนี้ มันไม่ใช่อารมณ์ที่กูจะไปกินข้าวกับมึงอะ ”

“ เศร้าๆเนอะ ”

“ อื้ม ” ผมตอบรับ “ ก็ไม่ได้เศร้า เสียใจเหี้ยอะไรหรอก แต่รู้สึกเศร้า จนไม่อยากจะแดกแล้วว่ะ ”

“ เข้าใจ ” อาร์มมันตอบ “ แล้วจะเอายังไง ให้ไปส่งที่ไหน ”

“ ข้างหน้านี่ก็ได้ ” เชิดหน้าไปตรงทางเท้าที่มีจอดพอดี อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปจอดตามที่บอก “ เจอกันพรุ่งนี้ ”

“ อื้ม ” ยิ้มให้กันอย่างงั้น ผมก็ยิ้มตอบ  ก่อนจะเดินลงไปจากรถ ที่ก็ขับออกไปหลังจากนั้นไม่นาน ส่วนผมที่ได้แต่ยืนมามองตามมันไป

ที่บอกว่าเศร้า คือเศร้าจริงๆ เศร้าจนกินอะไรไม่ลง เศร้าแบบที่คงไม่อยากจะยิ้ม หรือหัวเราะ มันเป็นเศร้าที่ทำไมตอนนั้นถึงไม่พูดออกไป ว่าไม่เคยรักมันเลย เศร้าที่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจมาตั้งนานแล้วเพิ่งรู้สึกตัวก็วันนี้ ว่าไม่น่าเลย

“ ขอโทษนะมึง ” ไม่มีอะไรเหมาะกับคำพูดนี้อีกแล้ว ท้ายที่สุดก็มีแค่นี้ ที่พอจะพูดได้ แม้กับเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว “ ขอโทษจริงๆ ”

ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาหลังจากถอนหายใจ บนหน้าจอที่ไม่มีแจ้งเตือนอะไร นิ้วมือกดปุ่มโทรออกไปหาเบอร์ที่โทรหาบ่อยที่สุดในช่วงนี้ แบบที่รองจากเบอร์ของแม่

“ ยังไง ” เสียงกวนตีนที่ตอบรับอย่างเคย ชวนให้ผมยกยิ้ม “ ว่าไงไอ้สัด ”

“ ยั๊วะจัง ”

“ ก็แล้วทำไมไม่พูด ”

“ อยากกินอาหารญี่ปุ่น ” พูดแบบนั้นปลายสายก็เงียบ “ มากินด้วยกันหน่อย ”

“ ไมได้ไปกินข้าวกับไอ้อาร์มเหรอวะ ”

“ เคลียร์กันเสร็จแล้ว แต่เศร้าเกินอะ เลยไม่ไปละ ”

“ เหรอ ”

“ มากินอาหารญี่ปุ่นเป็นเพื่อนหน่อย ” ผมพูดย้ำอีกฝ่ายก็ถอนหายใจ

“ กูเรียนอยู่ ” แต่ก็เหมือนทุกทีที่ผมเอาแต่ใจ  “ แล้วอยู่ไหน ”

“ ห้างข้างมหาลัยอะ ”

“ อีกสิบนาที ”

“ โอเค เจอกันนะ ”

“ ครับ ไอ้สัด ” นั่นแหละ แต่ก็ตามใจกันอยู่ดี

.............................................

มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก กับเรื่องราวตรงนี้
อบอุ่น แต่ก็เศร้าๆยังไงไม่รู้
แต่ตอนหน้าเจอน้องเมี่ยงดีกว่า คิดถึงยัยน้องแล้วววว ใช่ม้ายยย
ฝาแท็ก #นายท่านของแก้มหอม ด้วยนะคะ
ขอบคุณมากฮับ
 :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เปิดใจคุยกันอะไรๆมันก็จะผ่านไปได้ดี  :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 38


บรรยากาศในรถค่อนข้างเงียบเชียบ และเหมือนจะมีแต่ความงุนงงของคนที่เหมือนจะรู้สึกได้ว่าทุกอย่างรอบตัว ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่คาดคิด ใบหน้าน่ารักที่กำลังขมวดคิ้วงงอยู่ตรงประตูรถ เมี่ยงเอียงหน้ามองผม

“ ทำไมมึง... ใส่ชุดอยู่บ้านวะ ” ถามแบบนั้นมันก็นิ่ง สีหน้าที่ดูไม่สู้ดี ผมมองดูเสื้อผ้าตัวเองแบบอดไม่ได้ที่จะส่งความสงสัยท่าสีหน้านั้นคืนกลับไป

เสื้อยืดสีขาวธรรมดาที่ใส่ แม้แต่กางเกงขายาวสีดำก็ดูธรรมดา ไม่มีอะไรแปลกไปสักอย่าง จะบอกว่าหยิบเสื้อผ้าผิดก็ไม่น่าจะใช่

“ มึงไปกินข้าวกันแน่นะ..”

“ คิดเหี้ยอะไรอยู่ ” เพราะรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดีเลยถามออกไปแบบนั้น “ อย่าบอกนะ ว่ามึงคิดว่ากูไปมีอะไรกับไอ้ดีนมา ”

“ ไอ้เชี้ย!! กูไม่ได้คิดอย่างงั้นเลยนะ ไม่ได้ไม่เชื่อใจมึงเลยนะ ”  สายตาเรียวจ้องผมเขม็งพร้อมด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน ท่าทางจริงจังจนชวนให้ผมยิ้ม แล้วแน่นอนว่าสุดท้ายก็หลุดหัวเราะออกมา

“ เหรอครับ ” พูดออกไปแบบล้อๆ เมี่ยงที่ตอนนั้นดึงตัวเองเข้ามานั่งมันจ้องหน้าผม จนต้องเอื้อมมือไปจับที่แก้ม ก่อนจะบีบเบาๆ จนอีกคนหน้ายู้ “ แล้วทำไมทำหน้าตกใจจังครับ แค่เห็นกูใส่ชุดอยู่บ้านเอง ”

“ ก็มึงบอกว่าจะไปกินข้าวกับไอ้ดีนใช่มั้ยละ ”

“ อื้ม ” ผมขานรับ

“ กูเลยคิดว่ามึงจะออกไปกินข้าว แล้วก็จะมารับกู ไม่คิดว่าถึงขั้นจะต้องกลับไปอาบน้ำก่อน ”

“ หรือมึงจะคิดว่าทำไมกูต้องอาบน้ำน้า กูไปทำอะไรกับไอ้ดีนมากันนะ ทำไมถึงต้องกลับมาอาบน้ำ แล้วเปลี่ยนชุดใหม่มารับมึงด้วย ” เหลือบคนที่ต้องตอบ เมี่ยงตาโตขึ้นมาก่อนจะส่ายหน้าไปมาแบบผมปลิวไปหมด และแน่นอนว่ามันชัดมาก ว่าตรงกันข้ามกับความอยากรู้ที่มี

แล้วพอเห็นว่าผมไม่เชื่อเท่าไหร่ คนน่ารักที่เริ่มรู้จักหลบหลีกก็เหลือบมองไปทางอื่น มือขาวหยิบเอาไอ้ตุ๊กตาโดนัลดั๊กขึ้นมากอดด้วยท่าทางที่ไม่รู้จะทำยังไง ในสถานการณ์ที่โดนจับได้อย่างงี้

“ ว่าไง มึงคิดอะไรแบบนั้นอยู่มั้ยนะ ”

“ นี่มันกอดไอ้เป็ดกูมั้ย มึงได้ปกป้องไอ้เป็ดน้อยของกูเปล่า ” คำถามเบี่ยงเบนแบบที่หันมาหาเรื่องผมแทนนั้น ชวนให้ถอนหายใจออกมาก่อนจะยกยิ้ม ผมจ้องมองมัน

“ แล้วมึงคิดว่าไง ” ถามแบบนั้นอีกคนก็นิ่ง “ ผมเป็นคนแบบที่จะยอมให้คนอื่นมาแทนที่แฟนผม แล้วก็กอดตุ๊กตาเน่าๆของแฟนผมเหรอครับ ”

“ ไม่เน่าไอ้สัด อย่าว่าน้อง ” อีกฝ่ายบอกจริงจัง “ อย่าคิดว่าพอเป็นบทบอกรัก แล้วกูจะไม่สนใจในคำด่าของมึงที่มีต่อลูกน้อยของกูนะไอ้สัดอาร์ม ”

“ ครับๆ คุณแม่ดีเด่น ”

“ จะเป็นพ่อ! ” เมี่ยงมันเถียงเสียงดัง ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ

“ ก็แล้วแต่เมียเลยครับ ”

“ มึงแม่ง อย่ามาบลูลี่สถานะชีวิตกูนะเว้ย ” ปากสีสวยนั่นขยับเถียงอย่างเอาเรื่อง “ กูเป็นเมียมึง เพราะกูชอบที่จะเป็นอย่างงั้น แล้วก็เพราะกูรักมึงมากๆ แต่จะไม่เป็นแม่ ทำไมต้องเป็นแม่แค่เพราะเป็นเมียด้วยไอ้สัด กูนะ..”


จุ๊บ


ดึงตัวเองจูบเข้าที่ริมฝีปากของอีกคน เมี่ยงหยุดชะงักประโยคที่กำลังจะพูดนั้นไปโดยทันทีมันมองผม “ เมื่อกี้มึงบอกว่ารักกู ”

“ เห้อออออออออออออออ ” คนฟังถอนหายใจทิ้งออกมาแบบยาวๆ สายตาที่จ้องมองผม เอาจริงมันดูหาเรื่องอยู่ไม่น้อย “ ให้มันได้แบบนี้สิไอ้สัด ไม่เคยได้พูดจบเลยนะตัวกู”

“ รู้แล้วครับว่าไม่ชอบ ทีหลังจะไม่ทำอีก โอเคมั้ย ”

“ โอเค ” ตอบรับแบบนั้น แต่เหมือนว่าเรื่องราวนี้อีกคนจะปล่อยให้จบลงไม่ได้ เมี่ยงเหลือบมองผม “ นี่ ถ้าพูดว่ารักมึง จะถูกจูบเหรอ กูน่ะ ”

“ อื้ม ”

“ งั้นต้องลอง ” ว่าแบบนั้นมันก็ดึงตัวเองเข้ามาใกล้กันแบบยิ้มๆ  ก่อนจะเอียงหน้าไปมาแล้วพูดออกมาไม่มีหยุด “ รักมึง รักมึง รักมึง รักมึง ไหนอะ ไม่เห็นจะจูบเลย รักมึง รักมึงนะ รักนะ รักมึงอะ ”

“ เห้อออออออออออออออออ ” คราวนี้กลายเป็นผมที่ต้องเบือนหน้าหนีแล้วถอนหายใจออกมาบ้าง

จนท้ายที่สุดก็ทนไม่เคยไหว

 “ ก็น่ารักแบบนี้ไงไอ้สัด ทุกวันนี้ถึงได้โงหัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว ” มือสองข้างเอื้อมไปประคองใบหน้าน่ารักที่กำลังยิ้มหวาน ผมจูบเมี่ยง จูบซ้ำๆ จูบเกินคำว่ารักที่อีกฝ่ายบอกด้วยซ้ำ ก่อนจะงับเบาๆเข้าไปที่ข้างแก้มขาว จนคนโดนกระทำถึงกับร้องโวยวาย

“ โอยยยยยย อย่ากินแก้มน้องงงง ” ว่าแบบนั้นพลางดันตัวออก เมี่ยงมันจ้องหน้าผมกลับ แน่นอนว่าก็ต้องกล่าวโทษกันตามเคยที่เป็น “ หนอยยย ไอ้สัด อ่อยไม่ได้เลย ตะครุบเป็นหมาเลย ”

“ แน่นอน ของดีใครไม่สนก็เสียของแย่ แถมแฟนกูยังน่ารักขนาดนี้ ”

“ บ้าบอ ใครบอกให้มึงพูดความจริงออกมาหน้าด้านๆอย่างงั้น ” ถอนหายใจยิ้มๆ พลางก้มมองอีกคนที่ก็กำลังมองกันแบบล้อเลียน

“ นี่คือไม่สงสัยเรื่องไอ้ดีนกับกูแล้ว ” สีหน้านั้นเปลี่ยนไปในตอนที่ผมถาม เมี่ยงยิ้มจางๆ พร้อมกับทำทีเป็นคิด ก่อนจะพยักหน้ารับในตอนที่ผมถาม “ ทำไม ? ไม่อยากจะถามแล้ว ”

“ ก็มันดูเหมือนไม่เชื่อใจ ”

“ เลยทำตัวน่ารักกลบเกลื่อนแทนว่างั้น ”

“ ไอ้เรื่องน่ารักก็คือกูน่ารักอยู่แล้วมั้ยละ ” ว่าแบบนั้นพลางดึงตัวเองเข้ามากอดคอผมด้วยมือทั้งสองข้าง เมี่ยงจูบกัน มันยิ้ม “ แต่ยอมรับก็ได้จ้ะ ว่าเป็นอย่างงั้นแหละ กูกลบเกลื่อนอยู่ แต่ที่บอกก็เพราะว่าพี่อาร์มก็คือมองออกอยู่แล้วอะเนอะ ไม่มีทางโกหกได้เลย ”

“ รู้ตัวก็ดี ” ตอบแบบนั้นก่อนจะดึงตัวเองเข้าไปจูบริมฝีปากสีสวยนั่นอีกครั้ง เราที่มองตากันอยู่อย่างงั้น เอาเข้าจริง บางทีผมก็มีคำถาม
 
ต้องทำยังไงตัวเองถึงจะหยุดอยากจะเข้าไปจูบ เข้าไปกอดคนตรงหน้านี้ได้ 

แม้บางครั้งจะอยู่เฉยๆ แต่แค่ผมเห็นเมี่ยง ไม่ว่าจะมุมไหนของห้อง หรือนั่งข้างกันในรถ ร่างกายมันก็เหมือนอยากจะพุ่งเข้าใส่ แล้วกอดอีกฝ่ายอยู่อย่างงั้น

ผมรู้ว่าเมี่ยงรู้ตัวเองดีว่ามันน่ารัก แต่ผมเชื่อว่ามันไม่มีทางเดาได้หรอกว่าสำหรับผมแล้ว มันน่ารักขนาดไหน เพราะแม้แต่คำว่า น่ารักมากๆ ก็ยังรู้สึกไม่ใช่อยู่ดี จะบอกว่า น่ารักไปหมด ก็ยังไม่พอดี

เมี่ยงน่ารักแบบที่หน้าตาน่ารัก ทำตัวน่ารัก แม้แค่นั่งอยู่นิ่งๆ ก็ยังน่ารัก

ผมว่ามันก็คืออาการหลงเมียนั่นแหละ แต่ของผมมันหลงแบบ หลงโดยแท้จริง หลงแบบไม่มีอะไรมากั้น

“แต่ไม่มีอะไรหรอกครับ ” ผมบอกมันกก่อนจะดึงตัวเองกลับมาจับพวงมาลัยรถอีกครั้ง “ กูไมได้ไปกินข้าวกับมันด้วยซ้ำ ”

“ อ้าว ก็มึงบอกจะไปนี่ ไม่ใช่เหรอ ”

“ ใช่ ตอนแรกก็ออกมาด้วยกันนั่นแหละ แต่พอพูดกันไปสักพัก มันก็ขอตัวลงกลางทาง บอกว่าไม่อยากจะไปแล้ว ”

“ เหรอ ” เสียงเบาๆของคนที่ตอบรับชวนให้ผมยิ้ม

“ ไม่ต้องกังวลหรอก เราเคลียร์กันแล้ว ไม่มีอะไรแล้วละ ดีนมันเข้าใจกูดีแล้ว มันเองก็ขอโทษกูแล้วด้วย ”

“ แล้วมึงรู้สึกยังไงบ้างละตอนนั้น แบบ ตอนที่เห็นดีนมันมาเรียน ”
“ ตกใจ ” ผมตอบตามที่คิด “ แต่ควรเรียกว่าช็อคมากกว่ามั้ง วินาทีนั้นกูแม่งนิ่งไปเลย ตอนที่เห็นมันนั่งอยู่ในห้อง ”
“ ตอนไอ้เบสบอกกู กูก็ช็อค มันบอกกูว่า มันเห็นไอ้ดีนมาเรียนแล้ว ”

“ มันบอกมึงอย่างงั้น ” ผมทวนคำถาม อีกคนก็พยักหน้ารับแบบไม่มีทีท่าว่าจะโกหก

“ ช่ายยย มันบอกว่าเจอกันที่ลานจอดรถละ ” เมี่ยงว่าแบบนั้นผมก็คิดถึงคำพูดของดีนที่บอกกันว่าช่วงที่ผ่านมามันไปอยู่กับไอ้เบส

‘ หรือว่าจะไม่อยากบอกใครวะ หรือบางทีอาจจะยังไม่ได้ถามไอ้ดีนว่าบอกได้มั้ย หรือไมได้ ก็เลยโกหกออกมาอย่างงั้นกับอีกคน ’

“ มึง เงียบไปเลย ” โดนจิ้มเข้าที่แก้ม ผมหันไปมองคนพูดก่อนจะยิ้ม

“ อยากให้กูพูดว่ารักมึงเหรอ จะได้ไม่เงียบไง ”

“ ได้ทีเอาใหญ่นะไอ้สัด ” บอกแบบนั้นมือขาวก็กระชับตุ๊กตาเป็ด เมี่ยงบี้แก้มลงกับตัวไอ้ตุ๊กตาขาวนั้น แต่สายตาเรียวยังดูเหมือนกังวล “ โอเคแล้วแน่ๆนะมึง มึงกับไอ้ดีนอะ ”

“ ทำไม ไม่มั่นใจเหรอครับ หรือคิดวด่ากูโกหก ”

“ อื้ม กลัวมึงโกหก เพราะแค่อยากจะให้กูสบายใจ ”

“ ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกครับ ” ผมย้ำ “ ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ ดีนขอโทษกูแล้ว เรื่องที่มันไม่เคยรักกูเลย ซึ่งเอาจริงๆ กูก็ไม่ได้ต้องการให้มันพูดอะไรแบบนั้นหรอก แต่พอพูดแล้ว ก็เคลียร์ดีว่ะ กูรู้สึกเหมือน เราจะกลับเป็นเพื่อนกันได้ เพื่อนแบบที่มันเป็นเพื่อนจริงๆ อย่างที่มันควรเป็นตั้งแต่แรก ”

“ ก็แน่นอนละครับ มันต้องเป็นอย่างงั้นอยู่แล้ว มึงต้องเป็นเพื่อนกับมันจริงๆ เพราะมึงมีกูอยู่แล้ว ” ชี้หน้าเข้าหาตัวเอง ผมก็หลุดยิ้ม “ แล้วบอกไว้ก่อนว่าถ้ามึงคิดเป็นอย่างอื่น ไอ้ตุ๊กตาเป็ดถูกดึงออกมาจากอ้อมกอด เมี่ยงตีมันซ้ำเหมือนขู่เด็กเล็ก ก่อนจะหันมามองผมตาขวาง “ มึงตายแน่!! ”

“ ครับๆ กลัวแล้วครับผม ขู่เก่งจริง ”

“ แล้วแบบนั้น พอไม่ได้ไปต่อ มึงก็เลยกลับบ้านเหรอ ”

“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับ “ สุดท้ายก็ไปซื้อข้าวกินที่ห้าง แล้วก็เอาไปกลับไปกินที่ห้อง ยิ่งไปกว่านั้นคือกูเสือกซื้อข้าวปลาแซลม่อนไป ไอ้นายท่านกับไอ้แก้มหอมก็คือไม่มีใครทนไหวเลย กระโดดขึ้นโต๊ะกันวุ่นเลย ”

“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะของคนที่นั่งข้างกัน เมี่ยงเอื้อมมือมาหยิกแก้มที่แทบไม่มีของผม ก่อนจะดึงให้ส่ายไปมา “ โถๆ พี่อาร์มของกู โดนเทนัดก็ทีนึงแล้ว แถมยังโดนลูกตัวเองกับแฟนลูกแย่งข้าวกินอีก ”

“ ปลอบใจหน่อยสิครับ ” ดึงตัวเองเข้าไปใกล้ เมี่ยงยิ้มก่อนจะจูบผม ที่ก็ต้องหลุดยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างไม่มีเบื่อ

“ งั้นเราไปกินข้าวกัน กินอะไรกันดี ”

“ อยากกินอาหารญี่ปุ่น ” พูดแบบนั้นมือของผมก็กระชับจับพวงมาลัย เกียร์ที่หยุดนิ่งผมเลื่อนมันให้เดินหน้าก่อนจะขับออกมาจากลานจอด พร้อมกับเสียงถอนหายใจของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน “ ถอนหายใจอะไรขนาดนั้น ไม่อยากจะกินอาหารญี่ปุ่นเหรอ กินอย่างอื่นก็ได้นะ ”

“ ไม่ๆ อยากกินๆ กูแค่คิดเรื่องอื่นอยู่เฉยๆ ” ท้ายประโยคที่เบาลงเมี่ยงมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมในตอนนั้นก็เลยเอื้อมมือไปหยิกแก้ม จนเจ้าของแก้มนุ่มนิ่มนั้นหันมามองกัน

“ มีอะไร ไหนลองบอกแฟนสิครับ ”

“ ง่อววววว ใจบางเลยนะพูดแบบนั้น ” พูดแบบนั้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะพิงตัวเองลงกับเบาะรถที่นั่ง “ คือกูแค่กำลังคิดเฉยๆ ว่าพรุ่งนี้มันจะเป็นยังไง ”

“ อะไรเป็นยังไง ”

“ ก็ไอ้ดีนกลับมาแล้วไง  แต่กูยังอยากจะไปกินข้าวกับมึงทุกเช้าเลยนะ แล้วก็ตอนเที่ยงด้วย ” ขมวดคิ้วกับคำพูดนั้น ผมงงนิดหน่อยว่ามันเกี่ยวข้องอะไรกันกับการที่ไอ้ดีนกลับมาเรียน

“ แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับเรา ”

“ ก็ไอ้ดีนกับไอ้เบสมันไม่ถูกกัน มึงก็เพิ่งกลับมาดีกับไอ้ดีนใหม่ๆ กูเองก็ไม่อยากจะต้องอยู่ในสภาพแบบต้องเลือกด้วย ว่าต้องกินข้าวกับแฟนหรือว่าเพื่อน  เลยคิดว่าพรุ่งนี้เราอาจจะต้องแยกกันไปก่อน กลุ่มใครกลุ่มมัน ”

“ บางทีอาจจะไม่เป็นอย่างงั้นก็ได้ ” บอกคนที่หันมามองกันแบบสงสัย ผมยิ้ม “ ก็ให้มันถึงพรุ่งนี้ก่อน ไม่เห็นว่าต้องกังวลอะไรไขนาดนั้น ”

“ แต่ว่า ”

“ บอกไว้ก่อนว่ากูติดแฟนมากนะ แน่นอนว่ากูเลือกแฟนอยู่แล้ว ” เมี่ยงที่ยิ้มกว้างออกมา ผมก็เอื้อมมือไปขยี้หัวมัน “ ยิ้มได้แล้ว มึงมีกูอยู่นะ คิดว่ากูจะปล่อยให้มึง หงุดหงิดหรือว่าเสียใจเหรอ นี่ใคร กูอาร์มนะ ” ผมย้ำ “ อาร์ม แฟนเมี่ยงอะ ”

“ โหห อย่างเท่เลย ” นิ้วโป้งที่ยกให้กันนั้นในแววตามีแต่รอยยิ้มแบบที่ชอบ ผมยักคิ้วให้อีกฝ่าย “ แล้วจะไม่ให้รักได้ยังไงจริงมั้ย ”

“ มีแต่รักหัวปักหัวปำเท่านั้นแหละ บอกไว้เลย ว่าต่อจากนี้และตลอดไป โงหัวไม่ขึ้นแน่นอน ”

“ ยอมแล้วครับ พี่อาร์มค้าบบบบบบบบบบบบ ” ไม่ว่าเปล่าแก้มขาวที่เบียดกับตุ๊กตาตัวที่กอดพลางส่ายหน้าไปมาจนผมต้องหลุดยิ้มกว้าง

ก็อย่างที่ผมบอกดีน เมี่ยงน่ารักจนผมโงหัวไม่ขึ้นแล้ว เป็นความน่ารัก ที่ทำให้รู้สึกทั้งรักทั้งหลง  แบบที่ถ้าเป็นตุ๊กตาตัวเท่ากำมือก็อยากจะพกไปไหนมาไหนด้วย แล้วก็อยากเอาขึ้นมากอดมาหอมทั้งวัน

“ อ้าว จอดรถทำไม จะซื้ออะไรวะ ” สายตาเรียวหันมามองกันด้วยความท่าทางสงสัย คงเห็นว่าอยู่ๆรถของเราก็เบี่ยงออกจากเส้นทาง ก่อนที่ผมจะหยุดมัน เปลี่ยนเกียร์ให้หยุดนิ่ง แล้วดึงเบรคมือ “ อาร์ม ”

“ ขอจูบหน่อย ” เข็มขัดนิรภัยถูกปลดออกแบบรวดเร็ว ผมดึงตัวเองเข้าไปจูบริมฝีปากนั้น และแน่นอนที่ว่าคนตอบรับก็แค่กางมือออกกว้าง เมี่ยงกอดคอผม มันย้ำจูบเต็มแรงลงบนริมฝีปาก ก่อนจะค่อยๆเผยอมันออกเพียงน้อยเพื่อขยับรูปปากนั้นอย่างบดเบียดกันและกัน

เรายิ้มในตอนที่ผละตัวเองออก ก่อนจะดึงเข้าหากันอีกครั้งตามความรู้สึกที่ดึงดูดอย่างไม่คิดปิดบัง ก่อนที่ริมฝีปากสีแดงเจ่อนั้นจะกัดเบาๆลงบนริมฝีปากล่างของผมแล้วดึงออกเพียงน้อยด้วยความขี้เล่น

“ เด็กมันร้ายว่ะ ” ผมว่าก่อนจะยิ้ม แล้วจูบลงไปบนต้นคอขาว “ เอาจริงๆนะเมี่ยง ไม่อยากจะกินอาหารญี่ปุ่นแล้วว่ะ อยากกินอย่างอื่นแทนมากกว่า ”

“ คล้ายๆว่าจะเป็นกูมั้ยนะไอ้สัด สิ่งที่มึงอยากกิน ”

“ ใช่ ” ตอบรับกันออกไปตามตรง ผมดึงตัวเองขึ้นมองหน้ามันอีกคนก็ยกยิ้ม แต่แน่นอว่า แฟนผมน่ะ เรื่องกิน ต้องมาอันดับหนึ่ง

“ ไม่ได้ ” ว่าแบบนั้นก่อนจะดันตัวผมออก “ กูจะกินอาหารญี่ปุ่น มึงเลิกหวังไปได้เลย ”

“ อะไรวะ ”

“ ไปขับรถ ” บอกย้ำกันยังไม่พอ อีกฝ่ายเชิดหน้าไปตรงที่นั่งคนขับ มันบ่น “ เล่นด้วยหน่อยไม่ได้เลยนะ ใดๆก็คือจะกินกูอย่างเดียวเลยนะ ”

“ เมี่ยงอะ ” กระพริบตามองมันแบบอ้อนๆ แต่ทว่าอีกคนกลับหลบตา ใบหน้าขาวแก้มขึ้นสีแดงจัด แน่นอนว่ามันแพ้มาก

สำหรับไม้เด็ดของผม ก็คือลูกอ้อนที่อีกฝ่ายไม่เคยชนะ

“ เมี่ยงครับ ”

“ ไม่ต้องเลยยยยยย ไปกินข้าว ” เบือนหน้าหนีไปมองตรงหน้าต่างอีกฝ่ายถอนหายใจเหมือนกำลังสงบจิตใจของตัวเองลงยังไงอย่างงั้น “ มึงต้องกินข้าวก่อน ”

“ ก็ได้ครับ ” ตอบแบบเสียงอ่อนคนพูดที่ไม่มองหน้ากันก็ยิ่งขมวดคิ้ว เมี่ยงถอนหายใจแบบที่สุดท้ายก็ต้องพูดในสิ่งที่ไม่อยากจะพูด

“ ทำกันทีนึงมันนาน มึงแม่งก็ไม่เคยจบง่ายๆเลย มีรอบสองตลอด ไหนจะชอบกอดกูไม่ยอมลุกไปไหนอีก แล้วพอมันเป็นแบบนั้น มึงก็จะมารู้สึกว่ามึงหิว ก็ตอนที่อาบน้ำเสร็จนั่นแหละ คราวนี้ก็ต้องหาของกินกันให้วุ่นอีก ” เมี่ยงเหลือบมองผม “ ไปกินข้าวก่อน แล้วกู... ค่อยกินหลังกินข้าว เพราะเป็นของหวานอยู่แล้วนี่ จริงมั้ย ”

ไอ้ชิบหาย...

นี่สินะที่เค้าบอก เหนือฟ้ายังมีฟ้า และตอนนี้เหนือผมยังมีเมี่ยงอย่างแท้จริง

เพราะต่อให้อ้อนแค่ไหน อีกคนก็กำราบลงได้ทุกยก ต่อให้มันเขินแค่ไหน มันก็ทำได้ แบบที่ผมแพ้ราบคาบอย่างไม่อาจต่อกร

แล้วแน่นอนว่า ยกนี้ก็เหมือนกัน

“ โอเคครับ ” ตอบได้แค่นั้น หลังจากนิ่งไปสักพัก ผมดึงตัวเองกลับมาคาดเข็มขัดนิรภัยพร้อมทั้งริมฝีปากที่เม้มเข้ากันแน่น อย่างที่อยากจะเปิดกระจกรถ แล้วตะโกนออกไปสุดเสียงว่า โคตรน่ารักเลยเว้ยเมียกู

แม้ว่าจริงๆ ผมจะไม่ใช่คนชอบของหวานเลย

แต่ตอนนี้ต้องยอมรับเลยว่า อยากกินของหวานมากครับ


.................................................................

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27


“ มึง พนันกันมั้ย ” คนขับหันมาพูดกับผมด้วยแววตาแบบที่เห็นว่าเรื่องสนุกกำลังจะเกิดขึ้น

วันนี้เมี่ยงเป็นคนขับรถ ส่วนผมที่กลายเป็นคนนั่งข้างๆก็ทำหน้าที่วอแวมือมันบ้าง เกลี่ยแก้วมันบ้าง จนอีกฝ่ายหันมาทำทีเป็นจะงับด้วยความรำคาญอยู่หลายครั้ง

“ พนันอะไรครับ ” จิ้มแก้มคนขับที่ก็เอียงหน้าหลบ

“ ยุ่งกับแก้มกูอีกแล้วนะ ” ว่าแบบนั้นด้วยท่าทางเสียอารมณ์ ผมก็ถามย้ำแบบวกเข้าเรื่องเดิม “ แล้วตกลงยังไง จะพนันอะไร ”

“ มึงว่าไอ้เบสไอ้ดีนวันนี้ มันจะเขม่นกันมั้ย ”

“ ไม่ ” ตอบแบบมั่นใจ คนฟังก็หันมามองหน้าด้วยความงุนงง แบบที่ผมต้องยกยิ้ม

“ ทำไมมึงคิดงั้น ”

“ ความรู้สึกมันบอก ว่าคงไม่ทะเลาะกันหรอก แต่อาจจะมีกวนตีนกันเล็กๆละมั้ง ”

“ กูทายว่า มันจะไม่นั่งโต๊ะเดียวกันด้วยซ้ำ คนอย่างไอ้ดีน ต่อให้ไอ้เบสชวนมัน มันก็ไม่มานั่งหรอก มันเกลียดไอ้เบสจะตาย ”

“ เหรอ ” มองออกไปด้านหน้า หลังที่พิงกับเบาะผมยิ้ม “ ก็รู้อยู่ว่าคนเรามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรกันง่ายๆ แต่อย่าลืมว่า เราคนเมื่อวาน ต่างจากเราในวันนี้นะ ”

“ พูดอะไรของมึง ” ถามแบบขมวดคิ้ว หนำซ้ำยังบ่นเบาๆ “ เพ้อเจ้อ ถามแค่ว่าพนันกันมั้ย เลือกข้างไหน ก็พูดไปนู้น ”

“ งั้นก็ขอโทษนะครับ ที่ขัดคุณหนูน่ะ ” หันไปบอกมันอีกคนก็ส่ายหน้าไปมา

“ ดีมาก งั้นก็เข้าเรื่อง กูอยู่ฝ่ายไอ้สัดเบส ไอ้ดีนแยกโต๊ะ แต่ไม่รวมเรานะ กูว่ามันจะต้องออกมาในรูปแบบของ ดีนก็นั่งกับไอ้จุ้นไอ้โฮม ส่วนไอ้เบสก็นั่งกับไอ้เจ้ย ส่วนเราก็นั่งกันสองคน งุงิกันปายยยย ” ท้ายประโยคนั้นอีกคนดูร่าเริงขึ้นมากระทันหัน “ เช้านี้กินอะไรกันดี ข้าวมันไก่ทอดมั้ย หรือว่าโจ๊กดี ”

“ ให้กูพูดก่อนสิว่าเสือกข้างไหน ” หันไปหยิกแก้มมันอีกคนก็ทำหน้ายู่

“ อะๆ มึงคิดว่าไง ”

“ คิดว่าไอ้เบสไอ้ดีนนั่งด้วยกัน ” บอกแบบนั้นเมี่ยงก็ถึงขั้นแบะปาก ก็คงคิดแหละว่าทำไม ผมถึงทายไปอย่างงั้น แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แน่นอนอยู่แล้วว่าขึ้นชื่อว่าการพนัน ยังไงก็ต้องอยู่คนละข้าง ไม่งั้นก็คงไม่สนุก แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ถามกันอีกครั้ง

“ มั่นใจนะ ”   

“ มั่นใจครับ ว่าแต่คนแพ้พนันต้องทำอะไรอะ ”

“ เลี้ยงข้าว ” คนที่ในสมองมีแต่เรื่องกิน แน่นอนว่ายังไงก็พ้นเรื่องกิน

“ น้อยไป หอมแก้มต่อหน้าเพื่อนดีมั้ย ถ้ามึงแพ้ กูหอมแก้มมึง แต่ถ้ากูแพ้ มึงหอมแก้มกู ” แววตาที่ดูเหมือนจะสนใจของคนขับ ก่อนมันจะขมวดคิ้วเล็กน้อยในตอนที่คิดทบทวนอย่างดี “ เดี๋ยวนะ ”

“ ทำไม ไม่โอเคเหรอ เพิ่มหลายฟอดก็ไม่ได้นะ ”

“ ไม่สิ คือเดี๋ยวนะ กูหอมแก้มมึงถ้ามึงชนะ แล้วมึงก็หอมกูถ้ากูแพ้ มันไม่มีอะไรที่กูได้เปรียบเลยนะไอ้สัด ”

“ ก็เมี่ยงหอมแก้มอาร์มต่อหน้าเพื่อน ไม่ได้เปรียบเหรอครับ ”

“ ไม่ได้เปรียบเลยไอ้สัด ” มันพูดเสียงดัง ก่อนจะโวยวายคาดโทษกัน “ หน้าเหี้ย เลวมาก ดีนะ กูไหวตัวทัน ”

“ เสียใจจัง ” ทำหน้าเศร้าใส่อีกคนอ้อนๆ เมี่ยงมันก็ยิ่งส่ายหน้าไปมา

“ จิ๊ๆ ร้ายมากนะผัวกู ”

“ แล้วตกลงจะเอายังไง จะถึงแล้วนะครับ รีบคิดเร็ว ”

“ ให้มึงเลี้ยงโอมากาเสะกู ถ้ากูชนะ ”

“ แล้วถ้ากูชนะ กูหอมแก้มมึงนะ ”

“ ไม่เอาๆ ” คนชวนพนันในตอนต้นส่ายหน้าแบบชนิดที่หัวสั่นดุ๊กดิ๊กในตอนนี้ ก็คงจินตนาการถึงผู้คนมากมายที่ก็คงหันมาหามันในตอนที่เราหอมแก้มกันจนสีหน้านั้นแดงจัด “ กูอายเค้าไอ้บ้า ถ้ามึงชนะ กูจะเลี้ยงข้าวมึง ตกลงมั้ย อยากกินอะไรก็เลือกมาได้เลย ”

“ ไม่ได้อยากกินอะ ขอเป็นของหวานแทนได้มั้ย ” เหลือบมองคนที่มองกันแบบจับไต๋ได้ตั้งแต่ประโยคแรกที่พูด “ ของหวานแบบเมื่อคืน ”

“ ร้ายมากนะ ” เสียงเรียบๆที่เอ่ยบอกกัน แต่ผมก็แค่ยักคิ้วตอบกลับไป

“ กล้าพนันมั้ยละ ”

“ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ถ้ากูชนะ ขอโอมากาเสะ ร้านที่แพงที่สุด ”

“ งั้นถ้ากูชนะ กูขอเสือกสถานที่เอง ”

“ มึงจะเอ้าดอร์เหรอ!! ไม่ได้นะ ถึงความรักจะไม่ใช่เรื่องบนเตียงไประเบียงบ้างก็ได้ แต่กูไม่ชอบระเบียงนะ ถ้ามีคนมองมาจะทำยังไง กูอาย ”

“ ใจเย็น ใจเย็นนะ ” เอื้อมมือไปจับมือของอีกคนที่กำอยู่ตรงพวงมาลัย เมี่ยงเถียงชนิดที่หน้าแดงไปหมด “ ไม่ระเบียงแน่นอน กูก็ไม่ชอบโชว์เมียกูให้ใครได้เห็นเหมือนกัน โอเค๊ ? ”

“ โอเค ” ตอบเสียงเบาๆอย่างโล่งใจ ผมก็ถามย้ำ

“ ตกลงก็ตามนี้นะ ”

“ อื้ม ” เมี่ยงที่พยักหน้ารับ ในตอนนั้นเรามาถึงมหาลัยพอดี   

ลานจอดตรงชั้นล่างที่ว่าง เราไม่ปล่อยให้โอกาสนี้เสียไป แต่ทว่าตอนที่กำลังจะลงจากรถ ร่างขาวก็หันมามองก่อนจะยื่นนิ้วก้อยมาให้ “ มาทำสัญญากัน ”

“ สัญญาครับ ” เกี่ยวนิ้วก้อยขาวเล็กๆนั่นด้วยรอยยิ้มกว้าง ผมยักคิ้วให้มันที่ก็จ้องผมแบบตาเขม็งอย่างมั่นใจ แน่นอนว่าไม่ต่างจากไอ้แก้มหอมสักเท่าไหร่ เมี่ยงมันย้ำ

“ ต้องไปหาร้านไว้แล้วสินะ ร้านไหนดีน้า ”

“ ครับ กูก็จะคิดไว้เหมือนกัน ว่ามุมไหนของบ้านดี ” 

คนอารมณ์ดีที่เดินอยู่ข้างกัน ฮัมเพลงอยู่ในใจแบบชนิดที่ดูออกทั้งหมดว่ามั่นใจมากแค่ไหนสำหรับการแข่งพนันในครั้งนี้ เมี่ยงมันยิ้มกว้าง ท่าทางใจลอยแบบที่กลืนน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะคงคิดถึงอาหารแสนอร่อยที่ฝัน

“ แล้วเช้านี้กินอะไรกันดีครับ ” เอื้อมมือไปกอดคอ เมี่ยงเองก็เงยหน้ามาหาผมแบบที่แววตาเป็นประกาย แน่นอนว่ามันคงคิดมาแล้ว ตั้งแต่ตื่นนอน และก็คงถามผมไปแบบนั้น สำหรับเมื่อครู่ที่ผ่านมา

“ อยากกินโจ๊กหมู กับขนมขาไก่ มึงเคยกินมั้ย ”

“ ไม่เคย เคยกินแต่กับปาท่องโก๋ ”

“ เออ อันนั้นก็อร่อย เพราะงั้นมึงต้องลองกับขนมขาไก่ ” กระพริบตาให้กัน หนำซ้ำยังชี้นิ้วใส่แบบที่เชิญชวน

“ แต่มันโคตรอ้วนเลยไม่ใช่เหรอวะ ”

“ อาร์ม แม่มึงไม่สอนเหรอ ว่าห้ามพูดแบบนี้ก่อนที่จะกินข้าว ”

“ นึกว่าจะเป็นสโลแกนประมาณว่า ถ้าของอร่อยไม่ว่าอะไรก็ศูนย์แคล ” เมี่ยงยิ้มกว้างในตอนที่ได้ยินอย่างงั้น มันยักไหล่

“ สโลแกนนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วละน่า ”


โรงอาหารให้เช้าวันนี้ ผู้คนดูบางตามากกว่าปกติ  แต่ถึงอย่างงั้นเราก็ยังกวาดสายตาหาเพื่อนที่คิดว่าน่าจะมาก่อนแล้วอย่างเช่นทุกที และในตอนนั้นผมก็เห็นพอดี เพื่อนกลุ่มเดียวกับเมี่ยง ไอ้เจ้ยมันนั่งอยู่ตรงนั้น

“ นั่นไอ้เจ้ย ” ผมบอกเมี่ยงมันก็หันไปมองตามเสียงพูด และก็เช่นเดิมในทุกวัน เมนูที่มันกินในตอนเช้าก็คือขนมปังปิ้ง อย่างที่ก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าไม่เบื่อบ้างเลยเหรอวะ

“ ขนมปังปิ้งอีกแล้วเหรอวะ ”

“ ช่างหัวกูเถอะน่า ” คนโดนทักบอกปัด “ พวกมึงไปหาข้าวกินเถอะไป ไอ้ดีนไอ้เบสมานู้นแล้วอะ ” ใบหน้าที่เชิดไปตรงทางเข้า ทำเอาคนตัวขาวเบิกตาขึ้นด้วยความสนใจ แล้วแน่นอนว่าอะไรแบบนั้นก็ยิ่งทำให้คนเดินเข้ามาใหม่ถึงกับชะงัก โดนเฉพาะไอ้ดีน

“ แล้วไปจ้องอะไรมันขนาดนั้นวะ ” เจ้ยมันถาม อีกคนก็เบิกตาตามปกติที่เวลามีคนจับได้ แบบชนิดที่โกหกใครไม่เก่ง เมี่ยงมันส่ายหน้าไปมา

“ ไม่มี ”

“ ใครจะเชื่อ เสียงสูงขนาดนั้น ” ผมพูดเสียงเบาก่อนจะก้มลงไปกระซิบ “ อยากให้เพื่อนมึงรู้เรื่องพนันหรือไง ”

“ ก็กูโกหกใครไม่เก่ง ” เมี่ยงบอกแบบนั้นเบาๆ สายตาของมันเหลือบไปมองไอ้เบสไอ้ดีนที่ตอนนี้เดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะเหมือนเรา

“ ไง ” เบสมันทักเราแบบชนิดที่ยกยิ้มด้วยสายตาล้อๆ “ หวานกันตั้งแต่ลานจอดเลยนะพวกมึง ”

“ เห็นด้วยเหรอวะ ” เมี่ยงถามแบบงงๆ

“ พวกกูจอดรถอยู่ข้างหลังรถมึง แต่พวกมึงคงจะไม่เห็นหรอก ”

“ ตั้งแต่มันคบกัน มันก็ไม่เห็นใครอยู่ในโลกของพวกมันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ ” เจ้ยมันพูดเสริมแต่เหมือนคนโดนพาดพิงจะแค่ยิ้มแห้ง แน่นอนว่าเถียงไม่ออกตามระเบียบ “แล้วทำไมพวกมึงเดินมาด้วยกันวะ ไม่ร้อนเหรอ อยู่ใกล้กันอะ”

“ ร้อนสิ ยังกับนรก ” เสียงตอบเรียบๆของดีน มันหันไปยกยิ้มให้คนข้างๆที่ก็ยกยิ้มขึ้นมาไม่ต่างกัน แต่ไอ้เบสก็แค่พยักรับยิ้มๆแบบจำยอม

“ ครับๆ ไม่มีเหี้ยอะไรดีสักอย่างแหละกูน่ะ โดดเรียนไปหา ตามใจทุกอย่างยังไม่ดีเลย ”

“ ห๊ะ ? ” เมี่ยงที่เอียงหน้าถามงงๆ ในตอนนั้น แต่เหมือนว่าทั้งคู่จะไม่ได้ตอบอะไร หนำซ้ำไอ้ดีนยังเดินออกไปแบบชนิดที่ไม่สนใจจะตอบอะไรสักคำ จนร่างขาวต้องหันมาถามผม “ มันหมายความว่าไงนะเมื่อกี้ ”

“ หมายความว่ามึงแพ้พนันกูไงครับ ” ก้มลงกระซิบบอกกมัน เมี่ยงมันก็ทำได้แต่นิ่ง พร้อมกับปากที่กำลังจะอ้าเถียง “ ไอ้เบส ไอ้ดีนมามหาลัยด้วยกัน เหนือชั้นกว่าการนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันอีกเนอะ ว่ามั้ยครับ ”

“ ไอ้สัด ” พอเถียงไม่ได้ก็เริ่มหยาบโลน มันส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ยอมรับ “ ไม่สิ ไม่หรอก มันเข้าใจคำถามผิดเปล่า ” นิ้วเล็กชี้ไปที่คนสองคนนั้น เมี่ยงที่ยังคงดูงง จนต้องเดินตามออกไป และทั้งๆที่ปากบอกกว่าจะกินโจ๊ก แต่ร้านที่มันไปยืนต่อแถว คือข้าวมันไกทอดที่ไอ้สองคนนั้นยืนอยู่

“ ไหนบอกว่าจะกินโจ๊ก ”

“ ฉู่วววววววววววววววววว ” มาทั้งเสียงทั้งมือที่ยื่นมาปิดปากผม ท่าทางเลิ่กลั่กของมันชวนให้ไอ้ดีนหันมามอง

“ พวกมึงจะกินด้วยเหรอวะ ”

“ เปล่า ” ตอบออกไปยิ้มๆ ก่อนจะดึงเจ้าตัวทำแผนเสียให้ออกมาจากตรงนั้น แล้วมาต่อคิวร้านขายโจ๊กแทน แต่เหมือนว่าคนโดนลากจะไม่เข้าใจ

“ มึง ดึงกูออกมาทำไม กูจะฟังว่ามันคุยอะไรกัน ”

“ แล้วจะฟังทำไม ขี้เสือกเหรอมึงน่ะ ”

“ ไม่ได้เสือก ” สีหน้าจริงจังเถียงออกมา มันที่เหลือบมองคนสองคนข้างๆ เหมือนว่ายังติดใจ “ แต่มันเป็นไปไม่ได้ไง เนี้ย มึงไม่เห็นเหรอ มันยืนอยู่ด้วยกันเลยนะ มึง มันไม่เคยยืนอยู่ใกล้กันขนาดนี้แล้วไม่ทะเลาะกัน ”

“ กูรู้ ” ผมบอก “ แต่ก็เพราะมันไม่เป็นไปไม่ได้ไง แล้วแบบนี้มึงยังจะสงสัยอะไรอีก ” คำถามของผมทำให้อีกคนนิ่งก็จริง แต่เมี่ยงก็ยังหันไปมองพวกนั้น มันขมวดคิ้ว

“ แล้วมึงไม่สงสัยเหรอ ”

แล้วคราวนี้ดูเหมือนว่าผม จะต้องนิ่งบ้าง

“ ทำไมมึงดูไม่สงสัยเลยละ หรือว่ามึงรู้ ว่ามันดีกันอยู่ก่อนแล้ว ”

“ ใครจะไปรู้ ” ผมบอกปัด

“ แล้วทำไมพวกมึงดูไม่แปลกใจเลย แบบ เอ๊ะ ให้แรงกว่านี้ อย่างน้อยก็เอ๊ะ ให้เท่ากูเนี้ยไอ้สัด ”

“ บางทีไอ้เจ้ยมันอาจจะสงสัยกว่ามึงก็ได้ ” ผมเชิดหน้าไปที่อีกคนที่นั่งกินขนมปังอยู่ที่โต๊ะ แน่นอนว่ามันก็มองอยู่ และมองแบบชนิดที่เรียกว่า มองแบบไม่วางตาเลยด้วยซ้ำกับคนสองคนที่กำลังคุยกับ ยิ้มให้กัน ทั้งๆที่ปกติ มันเข้าใกล้กันไม่ได้ด้วยซ้ำ “ แต่ที่มันไม่พูด เพราะมันไม่อยากเสียบรรยากาศมากกว่า มึงน่ะไม่รู้เรื่อง ”

“ เหรอ ที่มึงไม่พูด ก็เพราะไม่อยากจะให้เสียบรรยากาศเหรอ ”

“ ใช่น่ะสิ ใครจะไปเหมือนมึง เก็บเป็นมั้ยครับคุณ อาการเนี้ย ”

“ หึยยยยยยย ” คนโดนว่ากัดฟันกรอด ก่อนจะหันไปมองเพื่อนตัวเองกับอดีตอริ “ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีอะ ว่าทำไมมันถึงหันหน้าเข้ามาหากันได้วะ มันทะเลาะกันมาตลอดเลยนะ เห็นหน้ากันไม่ได้เลยนะ ”

‘ ไว้กูจะเล่าให้ฟัง ’ ประโยคนั้นผุดขึ้นจากหัวผม แต่เหมือนว่าถ้าบอกก็คงอดของหวานที่พนันอย่างแน่นอน เมี่ยงคงบอกว่า ทุกอย่างยกเลิก เพราะมึงรู้อยู่แล้วว่ามันดีกันแล้ว และแบบนั้นผมก็เลยได้แค่ตอบออกไปสั้นๆ “ ไม่รู้สิ ”

“ กูว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ ” ท่าทางที่คิดไม่ตกของคนไม่ยอมแพ้ ผมเชิดหน้าไปที่ร้านขายโจ๊ก

“ ตกลงจะคิดหรือจะแดก ”

“ แดกสิ แหมม ” ว่าแบบนั้นเมี่ยงก็จิ๊ปากพลางสะบัดความคิดออกไปจากหัว ผมได้ยินเสียงมันเดินไปสั่งโจ๊กสองถ้วย พร้อมกับเสียงของไอ้ดีนที่หัวเสียกับน้ำซุปกระดูกที่ป้าคนขายยื่นให้มัน แต่โดนไอ้เบสชิงไปก่อน

“ โอ้ย ไอ้สัดนี่ หน้าเหี้ยจริง แย่งของกูอีกแล้วนะ ”

“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะที่ได้ยิน ก็ยังดูยียวนเหมือนเก่านั่นแหละ แต่ผมกลับเห็นมันยิ้มในตอนที่โดนแกล้ง ต่างจากตอนนั้นที่มันนั่งหงุดหงิดเป็นวันๆ

“ ท่าทางว่าจะมีเรื่องเซอร์ไพร์สกว่านี้แน่ๆ ” แล้วบางทีก็อาจจะมาเร็วแบบไม่ทันตั้งตัวก็ได้

“ ยืนเหม่ออะไรของมึง ได้แล้วเนี้ย ” คนข้างกันก้มหน้าลงใส่โจ๊กที่วางอยู่ตรงถาดที่ใส่ “ เดี๋ยวกูก็ใส่น้ำตาลลงไปให้สักร้อยช้อนเลยดีมั้ย  ”

“ คิดว่ากลัวอ๋อ ปกติแฟนกูหวานกว่าน้ำตาลร้อยช้อนอีก ”

“ หึยยย ขนลุก ” พูดแบบนั้นก่อนจะเดินเอาถ้วยโจ๊กนำออกไป ผมก็ได้แต่เดินตามไปหยุดอยู่ที่หยิบช้อน และแน่นอนว่า คงจะไม่ยอมปล่อยให้ช่วงเวลานั้นหายไป

“ แล้วอย่าลืมซะละ ” ก้มลงกระซิบข้างหูมัน อีกคนก็ยืนลวดช้อนอยู่ก็เอียงหน้ามามอง “ เพราะคุณแฟนแพ้พนันผมนี่ครับ ” เชิดหน้าไปตรงที่โต๊ะในโรงอาหารที่ตอนนี้ไอ้เบสไอ้ดีนนั่งตรงข้ามกันแล้วก็คุยกันอยู่ ไม่นับท่าทางไอ้เจ้ยที่ก็สนใจสุดๆแบบชนิดที่ มือถือตรงหน้ายังไม่สามารถดึงดูดมันได้

แต่ตอนนั้นเมี่ยงมันก็แค่ถอนหายใจ

“ แม่ง ฝากไว้ก่อนเถอะ ”

“ ครับ ” เพราะแน่นอนว่า ถ้าพนันอะไรแบบนี้ได้ ก็ขอยอมเสี่ยงกระเป๋าฉีกในทุกเกมส์

“ หมั่นไส้ในรอยยิ้มของมึงสัดๆอยากจะเอาโจ๊กราดหน้า แต่คิดอีกที เออ ก็ผัวกูเนอะ เลยจะยั้งมือไว้  แต่จำไว้นะ ”

“ ครับ ? ” ผมตอบยิ้มๆ

“ วันพระไม่ได้มีหนเดียว ”

“ แต่ก่อนอื่นเมี่ยงก็ จ่ายค่าพนันรอบนี้มาก่อนแหละเนอะ ”

“ หึยยยยยยยย ” ใบหน้าที่แม้ขนาดยู่หน้าขัดใจยังน่ารักนั้น ผมเผลอหลุดหัวเราะเสียงดังชนิดที่เรียกลั่นโรงอาหาร “ สีหน้ามีความสุขของมึงนี่แม่ง น่าหงุดหงิดจริงๆเลยนะไอ้หน้าสัด ”

ดูเหมือนว่า ลูกแมวขนฟูของผม จะขู่ไม่หยุดแล้วครับตอนนี้

......................................................



ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27


สภาพโรยแรงของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ตอนเย็นวันนี้ กลายเป็นว่าหลังเลิกเรียนผมต้องเป็นคนขับรถแทน ส่วนคนที่ไม่ได้ขับ เอนเบาะเลื้อยไปมากับหมอนติดรถ ที่ก็เอามากอดแก้ขัดเพราะไม่ชอบให้มือมันอยู่ว่างๆ

“ เออ วันนี้พี่ที่คอนโดส่งข้อความมา ”

“ ว่า ” หันไปถามคนที่เหมือนอยู่ๆจะนึกขึ้นมาได้ เมี่ยงเบียดแก้มจลงกับหมอนก่อนจะหันมาบอกผม

“ คือเราย้ายออกก่อนสิ้นเดือนใช่มั้ย คราวนี้เค้าก็เลยอยากจะให้เราไปเช็คในห้องอีกที ก่อนที่เค้าจะมาเช็ค แล้วก็ปล่อยเช่าต่อ ”

“ โอเค งั้นไปเลยมั้ย หรือจะกลับไปเก็บของที่ห้องก่อน ”

“ กลับไปเก็บของที่ห้องก่อน ” ตัดสินใจได้อย่างงั้น ก็ทำตามที่วางแผน

เราเดินขึ้นไปบนห้อง แบบที่จับมือกันแล้วแกว่งไปมาตามประสา แต่วินาทีที่เปิดประตูเข้าไป เสียงใสของคนที่ยืนอยู่ข้างๆก็ตะโกนออกเหมือนทุกครั้ง

“ เมี่ยงกลับมาแล้วจ้า เด็กๆที่แสนจะน่ารักทั้งสองตัวววววววววววววววววววววววว ” ลากเสียงยาวไปแบบที่ผมต้องหันไปมองห้องข้างๆ ว่ามีใครเปิดประตูออกมาเพราะความตกใจมั้ย ก่อนจะดันหลังร่างขาวให้เข้าไป และผมเองก็ต้องรีบปิดประตู “ แม่ง เฉยเมย ”

เหลือบมองภาพที่ทำให้อีกคนบ่นออกมาอย่างงั้น แน่นอนว่า แมวสองตัวของเรากำลังนอนอยู่บนโซฟาไม่ได้สนใจอะไรสักเท่าไหร่เหมือนทุกที แม้แต่แมวเจ้าตัวอย่างไอ้นายท่าน มันก็ยังแค่นั่งเลียขนตัวเองหน่ายๆอยู่อย่างงั้น

“ ดูท่าทางรักพี่เมี่ยงมากเลยแต่ละตัว ”

“ ก็ไม่เห็นว่ามันจะเดินมาหามึงเหมือนกันนั่นแหละ ” เด็กน้อยที่เหมือนจะไม่ยอมอะไรทั้งนั้น เมี่ยงหันมาบอกผมก่อนจะยิ้มเยาะ

“ แก้มหอมขา มาป๊านี่มา ”

“ ม๊าวววว ” เจ้าก้อนขนเดินต้วมเตี้ยมเข้ามาตามเสียงเรียก ก่อนจะยืดตัวบิดขี้เกียจระหว่างทางแบบที่เล่นตัวกันในทุกครั้ง

“ แก้มหอมขา มาเร็วครับ มาหาป๊า ” เรียกซ้ำอีกคนเจ้าตัวน่ารักก็เดินเข้ามาหากันแบบที่ก็คลอเคลียตรงขา จนผมต้องก้มลงไปอุ้ม แล้วก็หอมไปเต็มฟอดแบบแสนรัก ก่อนจะเหลือบมองคนข้างกันที่มองอยู่ และแน่นอน ผมไม่มีทางลืมคำพูดบาดใจ “ ผิดกันเลยเนอะ ดูสิ ”

“ หนอยยยยยยยยยย นายท่านมึงยอมได้เหรอ ลุกขึ้นมาเลย นายท่าน!! ” ตะโกนออกไปด้วยความเกรี้ยวกราด แต่เหมือนอีกตัวจะแค่หันมามอง อ้าปากหาว แล้วก็พลิกตัวนอนเหยียดตามความยาวของโซฟาตัวที่นั่ง แบบที่ถ้าพูดได้ก็คงบอกกันว่า ‘ เป็นอะไรของมึงอะเมี่ยง ไร้สาระ ’

“ เหมือนมันจะบอกว่ามึงแม่ง โคตรไร้สาระ ”

“ คิดเหมือนกัน ” เสียงเรียบๆของคนที่ยอมแพ้ตอบ ก่อนจะมันจะหันมามองไอ้ก้อนขนของผมแทน เมี่ยงเอื้อมมือมาขยี้หัวไอ้ตัวยุ่ง “ อ้วน!! น่ารักนักนะ เดี๋ยวเถอะ ”

“ เมี๊ยว ” ไม่เพียงแต่ส่งเสียงร้อง แก้มหอมยังดึงตัวเองขึ้นคลอเคลียผมแบบแสนรัก แต่ตอนนั้นเมี่ยงมันก็แค่นิ่ง ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

“ เหมือนมันกำลังบอกกูเลย ”

“ หื้ม ? ” เอียงหน้าสงสัย อีกคนก็ยิ้มแห้งๆแบบขยายความ

“ ก็เหมือนไอ้แก้มหอมมันกำลังบอกกู ‘ ป๊าเป็นของของหนู พี่เมี่ยงน่ะ กล้าจะทำอะไรแบบนี้หรือเปล่าคะ ’ ”

“ ฮ่าๆ ” หลุดหัวเราะออกมากับความคิดนั้น ผมเอียงหน้าลงถูเบาๆกับขนนุ่มๆนั้น แต่เหมือนร่างขาวเองจะยิ่งหงุดหงิดกับท่าทางอย่างงั้น

“ ใช่สิ กูแม่งก็แค่เมียน้อยแมว ”

อยากจะมันเหมือนกัน  ว่าไม่ใช่หรอก

แต่ในช่วงเวลาแบบนี้
ถ้าบอกว่าเป็นแม่ไอ้แก้มหอม รับรองว่ายั๊วะกว่าเดิมแน่

ห้องเก่าของเราอยู่ต่ำกว่าชั้นที่อยู่ปัจจุบันประมานห้าชั้น เป็นห้องแรกที่ผมย้ายมาอยู่ตอนที่ตัดสินใจอยู่คนเดียว เพราะเหนื่อยกับการขับรถไปกลับบ้านที่ก็ค่อนข้างไกลในความรู้สึก แต่เหตุผลหลักจริงๆตอนนั้น ก็แค่อยากจะมีเวลาอยู่ด้วยกันกับคนที่ตัวเองรักแบบสองต่อสอง ในพื้นที่ที่วาดฝันเอาไว้ว่า คงไม่มีใครมาล่วงรู้ความลับของเรา

แต่ทว่าวันนึง โลกได้เหวี่ยงคนที่รู้สึกเกลียดขี้หน้าตั้งแต่เจอครั้งแรก ให้ได้มาเป็นเพื่อนบ้านกัน  อย่างไม่ทันตั้งตัว ราวกับว่า เป็นพรหมลิขิต

“ มึงไปเช็คห้องมึงนะ กูจะไปเช็คห้องกู โอเคม่ะ ”

“ โอเคครับ ”

ก้าวเท้าออกจากลิฟต์ เราเดินตรงมาแค่นิดหน่อยก็ถึงหน้าห้องเก่า บานประตูสีน้ำตาลเข้ม เลขห้องที่ต่างกันแค่เลขหลัง ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องตัวเองพร้อมกับเมี่ยง เราปิดประตูลงแบบห้องใครห้องมัน

ผมถอนหายใจออกมาในตอนนั้นที่มองไปรอบๆอย่างละเอียด เริ่มต้นตั้งแต่ส่วนครัว ที่ก็เปิดลิ้นชักทุกตู้ ก่อนจะถัดมาเป็นห้องนอน  ห้องนั่งเล่นส่วนกลาง จนครบ จริงๆก็ไม่ต้องเข้ามาเช็คหรอก ผมมั่นใจว่ามันไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีก ตั้งแต่ย้ายออกแล้ว

“ โอเค ” พูดกับตัวเองสั้นๆ หลังจากที่ไม่พบอะไร ยกเว้นฝุ่นที่ก็หลงเหลืออยู่บ้าง ตามประสาของสิ่งของที่ผ่านการใช้งาน

“ ฮัลโหลลลลล พ่อหนุ่มห้องข้างๆ ทำอะไรอยู่ละจ้ะ ” หลุดยิ้มออกมาในตอนที่หันไปตามเสียงที่มาจากระเบียง อย่างที่ไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นใครกัน

“ ว่างเหรอครับคุณข้างห้องน่ะ ” เปิดประตูระเบียงแล้วเอียงหน้ามองคนเรียกที่ตอนนี้มายืนมายิ้มแฉ่งให้กันแบบที่ขอให้ได้แกล้งผมก็เหมือนจะมีความสุขที่สุดแล้ว

“ ไม่ว่างแต่คิดถึงแฟนแล้วง่ะ ห่างกันถึงสิบนาทียัง ”

“ ยัง ”

“ แต่อยากบอกให้รู้ว่า เวลาไม่สำคัญสำหรับเรานะ เพราะกูน่ะ คิดถึงมึงตลอดเวลาอยู่แล้วละ ปิ๊วๆ ” นิ้วเล็กประกอบท่ายิงส่งมาให้แบบที่ต้องรับมุกด้วยการเอามือจับหัวใจเบาๆ เหมือนโดนเข้าให้แล้ว กระสุนที่น่ารักนัดนั้น

“ มึงเช็คห้องเสร็จยัง ”

“ เหลือห้องนอน มึงอะเสร็จยัง ”

“ เสร็จแล้ว ” ตอบออกไปผ่านระเบียง คนฟังก็เบิดตาขึ้นเหมือนไม่ค่อยชื่อสักเท่าไหร่

“ เช็คให้ดีนะพี่อาร์ม ของหายไปน้องเมี่ยงไม่รู้ด้วยน้า ”

“ มึงอะเช็คให้ดี ” ผมสวนกลับอีกคนก็ยู่หน้าใส่ เมี่ยงเดินกลับเข้าไปในห้อง ผมก็ได้แต่หลุดยิ้ม

เผลอนึกถึงตอนคาบเช้าที่มีเรียน ระหว่างการสอนที่น่าเบื่อ อยู่ๆไอ้โฮมมันก็หันมาหาผม หลังจากที่เหล่เห็นหน้าจอมือถือที่เป็นภาพของเมี่ยงกำลังยิ้มกว้างจนตาปิด สองมือขาวอุ้มไอ้ตัวแสบที่ก็ทำหน้าหงุดหงิด เป็นภาพที่ผมขำทุกครั้งที่เห็น ก็เลยเอามาตั้งไว้ตรงหน้าจอ

‘ เอาจริงๆ กูไม่คิดเลยนะ ว่ามึงกับไอ้เมี่ยงจะมาถึงขั้นนี้ได้ ’ คนพูดยกยิ้มไม่ต่างอะไรกับผม แน่นอนว่าคิดแบบนั้นเหมือนกัน ผมก็ไม่คิดหรอก ว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้ ‘ จากคนเกลียดขี้หน้ากัน ชนิดที่มองหน้าแทบไม่ติด เพราะจะพุ่งตีนเข้าใส่กันตลอด สู่คู่รักที่แทบจะห่างกันไม่ได้ ’

‘ ก็ทำไงได้วะ ตอนนั้นลูกกูชอบลูกเค้า กูเป็นพ่อที่ดี ก็มีแต่ต้องตามใจลูกนั่นแหละ ’

‘ ขอบคุณแก้มหอมยังล่ะ ที่ทำให้พ่ออย่างมึงได้เมียอะ ’

‘ เออ คงต้องขอบคุณแก้มหอมจริงๆ ’

ขอบคุณที่เดินมาร้องเมี๊ยวๆ อยู่นอกระเบียงตรงนี้ จนเส้นขนานที่มันดูเป็นไปไม่ได้ของเรา มันได้บรรจบกัน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูชวนให้ผมหันไปมอง ขาที่เดินออกจากระเบียงผมปิดล็อคมัน ไม่ลืมปิดม่าน แล้วมองดูโดยรอบอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ก่อนจะเดินตรงไปเปิดประตูที่คนมาเคาะก็ไม่ใช่ใครที่ไหน

อดีตคนข้างห้อง ที่ค่อยๆน่ารักขึ้นในทุกวัน และดูเหมือนว่าตอนนี้ จะกำลังยึดครองพื้นที่ทุกซอกทุกมุมของหัวใจผมไปหมด

“ กลับบ้านเรากัน ” ประโยคสั้นๆที่เมี่ยงเอ่ยบอก ผมยิ้มกว้างออกมาแบบที่ไม่ได้พูดอะไร

แน่นอน มันมีความหมายในตัวของมันอยู่แล้ว

ในตอนนั้น ผมประตูห้องถูกปิดลง และล็อคมัน ห้องที่เคยเงียบเหงา และว่างเปล่านั้น ต่อไปนี้คงไม่มีแล้ว ความรู้สึกเศร้า หรือแม้แต่หนาวเหน็บ ก็คงเช่นกัน

“ แน่ใจนะ ว่าไม่ลืมอะไร ” คนตรงหน้าถามย้ำอีกครั้ง ตอนที่เราเดินถึงหน้าลิฟต์แต่ในตอนนั้นผมก็ทำเป็นคิดอย่างหนัก

“ เออ เหมือนจะลืมไปอย่างนึง ”

“ อะไร ” ถามออกมาอย่างไม่คิดสงสัย ผมยิ้ม

“ หัวใจกู อยู่ที่มึงมั้ย ”

“ แน่นอนสิ เหมือนหัวใจกูที่อยู่กับมึงนั่นแหละไอ้สัด ” แก้มขาวที่แดงจัด ผมก้มลงไปจูบริมฝีปากนั้น ที่เอื้อมมือมาคว้ามือผมแล้วกุมเอาไว้แน่น

“ กลับบ้านเรากัน ” ผมที่พูดย้ำคำที่ชอบนั้นออกไป เมี่ยงก็พยักหน้ารับ

“ อื้ม กลับกันเถอะ ”
กลับไปในพื้นที่ที่เป็นความสุขของเรา
กลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ ที่ต่อจากนี้ จะไม่มีคำว่าเหงาและเดียวดาย
เพราะเรามีกันและกันอยู่

“ จะว่าไป กูยังไม่ได้เลี้ยงข้าวนายท่านกับแก้มหอมเลย ” เมี่ยงหันมาบอกกันในตอนที่เดินเข้าไปในลิฟต์

“ เลี้ยง ? ทำไม ปกติก็เลี้ยงอยู่แล้วไม่เหรอ ”

“ หมายถึงเลี้ยงของที่ดี แบบงานฉลองน่ะ ”

“ เนี่ยงในโอกาส ”

“ ขอบคุณที่ทำให้เราได้มาเจอกันไง ” ว่าแบบนั้นมือข้างที่กุมกันอยู่ก็กระชับแน่น “ กูละอยากจะเลี้ยงแบบจัดเต็มจริงๆเลยนะ ที่อุตส่าห์หารักดีๆแบบมึงมาให้ ”

“ เหมือนกัน ” ผมยิ้มรับ ก่อนจะก้มลงจูบอีกคน “ ขอบคุณที่หารักดีๆ แบบมึงมาให้เหมือนกัน ”

 “ ต่อไปถ้าใครถามว่ากูกับมึงรักกันได้ยังไงกูจะตอบ ว่ากูกับมึงน่ะโดนกามเทพแมวชื่อแก้มหอม  ร้องเมี๊ยวใส่ ”

“ เออ เป็นความคิดที่ดี ”

เราที่คิดไม่ต่างกันในตอนนั้น
ไขประตูเข้าไปในห้องใหม่ของเรา เพื่อเริ่มใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน นับจากนั้น

.........................................................................

และเรื่องราวน่ารัก ยังคงดำเนินต่อไป อย่างไม่มีขีดจำกัด
ติดตามได้ใน เล่ม .. ( ที่ก็ขายอยู่ในตอนถัดไป ซึ่งแน่นอนว่า ตอนพิเศษจุกใจหายห่วง )

ท้ายนี้ ขอขอบคุณสำหรับการติดตามมาตลอดนะคะ
ขอบคุณกำลังใจ คอมเม้นท์ แรงโดเนท ที่เป็นแรงผลักดัน เรื่องราวที่เราเหมือนจะถอดใจอยู่หลายครั้งให้จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ

ความรักของอาร์เมี่ยงเป็นความรักที่น่ารักมากเลย เหมือนพบเจอได้ทั่วไป
มันไม่ได้พิเศษมาก แต่มันกลับดีมาก กับการได้เจอใครสักคนนึง
ในตอนนึง น้องเมี่ยงเคยพูดว่า เค้าอยากมีรักดี แล้วพี่อาร์มเองก็เหมือนจะรอรักดีๆนี้มาตลอด
แล้วเค้าสองคนก็พบกัน และหลังจากนั้นก็ทุ่มเทความรู้สึกให้และกันอย่างไม่มีหยุด

จบไปอีกเรื่องแล้ว

สุดท้ายนี้ เจอกันใหม่เรื่องหน้านะคะ

ขอบคุณสำหรับการติดตามมาเสมอค่ะ

หนมมี่ผู้ใสซื่อ

 
 :กอด1: :L2: :3123: :L1: :pig4:

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27

ประกาศขายนิยาย °•*⁀➷=͟͟͞♡

(੭•̀ᴗ•̀)੭ ด้วยรักและปลาทู #นายท่านของแก้มหอม ꔛ



ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2.10.62 – วันที่ 9.12.62

εїз รายละเอียดของหนังสือมีดังนี้

♡̶   ตอนหลัก 38 ตอน + ตอนพิเศษ 10 ตอน + ตอนพิเศษเฉพาะรอบพิมพ์เล่ม 2 ตอน
♡̶   รวมทั้งหมด  50 ตอน

⸝⸝⸝ หนังสือทั้งหมด 3 เล่มจบ ( จำนวน 1120 หน้าโดยประมาณอาจจะมากกว่านี้ )
แบ่งเป็น หนังสือตอนหลัก 2 เล่ม และตอนพิเศษอีก 1 เล่ม

⸝⸝⸝ ของแถม แบ่งเป็น 3 รอบนะคะ
•͜•♡  รอบตีพิมพ์ครั้งแรก
หนังสือทั้งหมด 50 ตอน + ปลอกสวม + photo card 2 ใบ + โปสการ์ดภาพหน้าปก 2 แผ่น + ที่คั่น 3 ชิ้น
•͜•♡  รอบตีพิมพ์ทั่วไป ( ในกรณีที่มีการรีบริ้นท์ )
หนังสือทั้งหมด 50 ตอน + ปลอกสวม + โปสการ์ดภาพหน้าปก 2 แผ่น + ที่คั่น 3 ชิ้น
•͜•♡  รอบ ebook
หนังสือ 48 ตอนจบ

ราคา 1250 รวมส่ง ems  ˓♡˒

 


꒰ รายละเอียดการสั่งจอง ꒱

1.   เมื่ออ่านรายละเอียดเรียบร้อบแล้ว ให้โอนเงินมาที่บัญชี
#พร้อมถ่ายสลิปหลักฐานการโอนเงินไว้ด้วยนะคะ

ชื่อบัญชี นางสาวอรชา ภูมิมาตร
ธนาคารไทยพานิชย์ สาขา บางจาก
เลขที่บัญชี 0892649044
**( ไม่ใช่เบอร์โทรศัพท์และไม่มีพร้อมเพย์ )
#สำคัญมาก " ถ่ายสลิปหลักฐานการโอนเงินเก็บไว้ด้วยนะคะ ”

2.   แจ้งโอนเงิน และกรอกข้อมูลด้านล่าง {. ด้านล่าง.   }
https://forms.gle/iqwANGcLchLQpy4B7

3.   อัพเดทการแจ้งโอนในภายใน 3 วัน

 ถ้าหากไม่มีชื่อขึ้นในฟอร์มภายใน 3 วัน
กรุณาติดต่อที่ DM twitter : @realkanom หรือ กล่องข้อความ facebook : หนมมี่ผู้ใสซื่อ
 
❝  หนังสือเล่มนี้สามารถ โอนเงินและกรอกรายละเอียดได้เลย เป็นการพรีออเดอร์ ที่ซึ่งเมื่อหมดเขตการจองเมื่อไหร่ หนังสือจะถูกส่งไปที่โรงพิมพ์ และหลังจากนั้น จะใช้เวลาในการตีพิมพ์ประมาณ 2 อาทิตย์ ซึ่งรายละเอียดในส่วนนั้น ทางเราจะอัพเดทความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะค่ะ ❞

❝ เพราะการเปิดจอง ติดกับงานหนังสือพอดี หนมจึงยกเลิกของแถมสำหรับรอบ 50 หรือ 80 คนแรกไปค่ะ เนื่องด้วยสภาพการเงินของทุกคน อาจจะค่อนข้างบีบรัด เราเลยจะแถมให้กับทุกคนในรอบพิมพ์แรกนี้เลยค่ะ ❞


ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม และสนับสนุนมาโดยตลอด

หนมมี่ผู้ใสซื่อ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :L2: :L2: :pig4:   ยินดีด้วย มีความสุขกันให้มาก ๆ นะเด็ก ๆ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด