ตอนที่ 7
“ แล้วกูในสายตามึงมันเป็นยังไง ” ผมเลือกที่จะชวนคุยท่ามกลางความเงียบนั้น เราเริ่มลงมือกินข้าวกันต่อหลังจากคำถามเมื่อครู่นั้นทำให้เรานิ่งไปอยู่นาน
“ ก็น่ารักดี ”
เคล้ง!
ถึงขั้นว่าช้อนหล่นลงจากมือแล้วกระทบลงบนจานทันทีในตอนที่ได้ฟัง คนพูดท้าวคางกับโต๊ะอาร์มเอียงหน้ายิ้มๆแล้วมองหน้ากัน เป็นท่าทีที่ดูหนักข้อขึ้นจากเมื่อครู่เป็นอย่างมาก ราวกับจะให้น็อคเอ้าท์และทำให้หัวใจเต้นแรงจนตายไปในที่สุด
“ พูดเองนะ ” ผมพูดเสียงเรียบด้วยสายตาแบบที่จับผิดอีกคน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องแข็งใจไว้ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ากำลังขึ้นนำ
“ ก็รู้สึกอย่างงั้นจริงๆ ครั้งแรกที่กูเห็นมึง จำได้ว่ามึงเดินเข้ามาในโรงอาหารกับพวกไอ้เบส วินาทีนั้นทุกคนในกลุ่มกูคิดว่ามึงคือเพื่อนใหม่ที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแน่นอน ”
“ มึงหมายถึงเรื่องที่พวกมึงกับไอ้เบสมีปัญหากัน ”
“ ใช่ ” ร่างสูงพยักหน้ารับ
“ แล้วยังไงต่อ ”
“ ตอนแรกกูก็คิดสงสารนะ เพราะมึงหน้าตาดูไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย พอพวกมันถามอะไร มึงก็แค่ยิ้ม เหมือนเพื่อนว่าไงก็ว่าตามนั้น ”
“ โหห จดจ้องกันเบอร์นั้นเลย ” ผมถามก่อนจะเหล่มองมันยิ้มๆ “ แล้วแบบนี้จะให้กูคิดว่ามึงไม่ชอบกูได้ยังไงวะอาร์ม มึงดูใส่ใจในตัวกูนะ แบบทำอะไรอยู่น่ะ เป็นยังไงบ้างนะ อยากรู้จังครับ เธอชื่ออะไร ”
“ เข้าข้างตัวเองชิบหาย ” อีกคนบอกเสียงเรียบ “ กูแค่สงสารมึง ถ้ามึงต้องเข้ามาอยู่ในวงจรปัญญาอ่อนเหี้ยนี่ กูก็เลยมอง แล้วก็คิดอยากจะบอกเรื่องที่พวกกูทะเลาะกันให้มึงฟัง เผื่อมึงจะตีตัวออกห่างได้ทัน ”
“ แล้วทำไมไม่บอกวะ ”
“ ใช่เรื่องกูเหรอ ” จบทุกอย่างสั้นๆ ผมก็ได้แค่ถอนหายใจออกมา “ แล้วอีกอย่างตอนที่ทะเลาะกันครั้งแรก กูก็คิดว่า ไม่บอกนั่นแหละดีแล้ว ”
“ ทำไม ”
“ เพราะมึงเปรี้ยวตีนชิบหายเลยไง ออกหน้าแทนสัดๆ ” ได้แต่ยิ้มแห้งๆกับคนตรงหน้า ผมยักไหล่
“ กูแค่ไม่ชอบเรื่องปัญญาอ่อน เวลาเห็นไอ้ดีนมันหาเรื่องไอ้สัดเบสแบบปัญญาอ่อน กูคันตีนมากบอกตามตรง ทั้งๆที่ถามว่ากูชอบมีเรื่องเหรอ ก็ไม่นะ แต่มันอดไม่ได้จริงๆมึง ”
“ แล้วเวลาไอ้เบสมันกวนตีนไอ้ดีนมึงรู้สึกยังไง ” อีกฝ่ายถาม ผมก็ได้แต่นิ่งก่อนจะถอนหายใจแล้วก็มองหน้าอีกคน
“ เอาตามตรงนะ กูว่าจริงๆ กูก็แค่คนที่อยากมีเพื่อนมันก็เท่านั้นแหละสัด ก็เลยไหลไปตามมัน เหมือนอยากเป็นที่ยอมรับมั้ง ก็เลยช่วยมันบ่อยๆ แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดแทนมันเวลามันมีเรื่อง ส่วนดีนมันไม่ใช่เพื่อนกู ก็เลยไม่ใช่คนที่กูต้องแคร์ มันก็เท่านั้น ”
“ สัตว์สังคม ” อาร์มยิ้ม
“ พูดเหมือนมึงไม่เป็น มึงก็เดือดแทนไอ้ดีนเหมือนกันนั่นแหละ เดือดแบบ เงียบๆ แต่ถ้าไอ้สัดเบสต่อยไอ้ดีน มึงต้องสวนไอ้สัดเบสจนตายแน่ๆ กูท้าเลย ” รอยยิ้มของคนตรงหน้าบอกกับผมได้อย่างดีว่ามันก็เป็นแบบนั้น ตามที่ผมบอกไป
“ เพราะงั้นทางที่ดีมึงก็พยายามอย่าเปรี้ยวตีนให้มันมาก เวลาเค้ามีเรื่องกันก็ยืนให้มันเงียบๆแบบไอ้สัดเจ้ยหน่อย เข้าใจมั้ย ”
“ ทำไม พวกมึงจะทำอะไรกู ” สบสายตาคมที่จ้องมองกัน ผมยกคิ้วล้อ
“ กูว่าหน้ามึงคงดูไม่ได้แน่ ถ้าเกิดโดนต่อยขึ้นมา ”
“ ไม่อยากให้กูโดนต่อยก็บอกมาเถอะ หวงอะดิ ”
“ เออ มึงก็รู้ตัวนะ งั้นกูก็คงไม่ต้องพูด ”
“ ไอ้ชิบหาย ” เผลอสบถออกไปก่อนจะเหลือบไปมองทางอื่นแล้วผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ แค่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกประโยคที่พูดเพื่อให้มันเขินกันบ้าง แต่สุดท้ายเหมือนเป็นผมมากกว่าที่ต้องนิ่งไปเพราะเขินมัน
อ่อนชิบหายเลยกู
“ เมี่ยง ”
“ อะไร ” ตอบรับด้วยเสียงหงุดหงิดอีกคนก็หลุดยิ้ม
“ ทำไมชอบปูทางให้กูจีบ อ่อยเปล่าวะ ถามจริง ”
“ อ่อยแม่มึงสิ ” พูดออกไปแบบนั้น ก่อนจะก้มหน้าลงกินข้าวต่อท่ามกลางรอยยิ้มกว้างของคนตรงหน้าที่ยังคงท้าวคางมองกันแบบไม่ยอมขยับมือตักข้าวกินอีกเลยสักพักใหญ่ ผมรู้สึกว่าในสายตานั่นเหมือนมีคำว่า น่ารัก ลอยเต็มไปหมด แต่นั่นแหละ บางทีผมอาจจะคิดไปเอง
“ กูยังไม่ได้ตอบคำถามมึงเลย ”
“ คำถามอะไร ” เพราะลืมไปแล้วก็เลยเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนแบบงงๆ
“ ก็มึงถาม ว่าภายนอกมึงดูเป็นคนยังไง ”
“ อ้อ เออ แล้วเป็นยังไงวะ กูในสายตามึง ” ท่าทางที่ดูสนใจในคำตอบของผม ทำเอาคนตรงหน้ายกยิ้ม ก่อนจะมองกันแบบพิจารณา
“ ถ้ามองกันภายนอกมึงดูเหมือนลูกคุณหนู ที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็น เติบโตมาแบบทั้งชีวิตมีคนงานที่บ้านทำให้ตลอดไม่ว่าจะเรื่องอะไร พวกที่มาเรียนหนังสือให้จบๆไป แล้วก็กลับไปรับช่วงต่อธุรกิจที่บ้าน ”
“ เมื่อกี้มึงบอกว่า กูเดาเรื่องมึงไม่ถูกเลยใช่มั้ย ” ผมถาม “ แต่ครั้งนี้มึงเดาเรื่องกูถูกเกือบหมดเลย กูเป็นอย่างที่มึงพูดมาทั้งหมดนั่นแหละ ”
พ่อแม่เป็นเจ้าของบริษัทส่งออกขนาดกลาง ฐานะทางบ้านจัดอยู่ในระดับกลางค่อนข้างดี ส่วนพี่สาวตอนนี้ทำงานอยู่ฝ่ายบัญชีแทนแม่ ส่วนผมจบไปก็จะไปทำงานแทนพ่อ เป็นการบริหารงานในครัวเรือนสุดๆอย่างที่อีกคนบอกจริงๆ
“ แล้วทำไมมึงถึงมาคบกับพวกไอ้เหี้ยเบสละ ”
“ มันแค่มาทักกูก่อน กูเลยคบด้วย อีกอย่างเพราะกูไม่มีเพื่อนจากโรงเรียนเก่ามาเรียนด้วยกันเลยสักคน พวกมันไปเรียนเมืองนอกกันหมด เหลือแค่กู แล้วอีกอย่างกูว่ามันก็นิสัยดีนะ ถึงมันจะปัญญาอ่อนกับเพื่อนมึงบ้าง แต่สำหรับกูพวกมันก็ดี อย่างน้อยมันก็ไม่เอาเปรียบ มีปัญหาอะไรมันก็ช่วยกูแบบสุดตัวด้วย กูว่าพวกมันก็จริงใจดี ไม่แย่สักนิด ”
“ สำหรับกูดีนก็ไม่ได้แย่ มันไม่ได้เป็นอย่างที่มึงเห็นด้วยซ้ำ ”
“ แต่เหมือนพอเห็นหน้าไอ้สัดเบสแล้ว ต่อมกวนตีนเพื่อนมึงก็กำเริบ กูต้องจัดการ กูต้องจัดการ สมองมันสั่งการแบบนั้นใช่มั้ย ”
“ ไอ้เบสก็เป็นไม่ใช่เหรอ ต่อมกวนตีนกำเริบตอนเห็นหน้าไอ้ดีนเหมือนกัน ”
“ ไม่เถียงไอ้สัด ” ผมบอก
“ แต่จริงๆ ไอ้ดีนเป็นคนที่เห็นใจคนอื่นนะ มันเป็นคนรักเพื่อน รักในความเป็นเพื่อนมากๆ แบบที่ ไม่อยากจะให้หายไปไหนเลยละ ”
“ เหรอ ”
ไม่รู้คิดไปหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าปลายเสียงนั่นค่อนข้างเบาคล้ายกับว่ามันกำลังเศร้า อาร์มยิ้มให้ผม หลังจากนั้นมันก็ตักข้าวคำสุดท้ายขึ้นกิน แล้วลุกขึ้นเต็มความสูง
“ กินเสร็จแล้วก็เก็บตามมา กูจะได้ล้าง ”
“ เดี๋ยวกูล้างให้เอง ” บอกอีกคนที่ก็ชะงักไป “ ตอบแทนที่เลี้ยงข้าวกูไง แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าจานมึงจะแตกนะ เพราะกูล้างจานเก่งมาก เซียนสุดๆ บอกไว้ก่อน ”
“ งั้นก็ตามสบาย กูไปเอาข้าวให้แก้มหอมกินก่อนแล้วกัน ”
“ โอเค๊ ” ตักอาหารขึ้นกินต่อหลังจากคำพูดนั้น เพราะเป็นพวกที่ชอบกินกับข้าวอยู่แล้ว ผมก็เลยนั่งกินไปเรื่อยก่อนจะได้ยินเสียงของถุงอาหารแมวที่ถูกเปิดออก ห่อถุงสีเดียวกับที่ผมให้ไอ้นายท่าน พร้อมกับอาหารเปียกที่ก็ยี่ห้อเดียวกันนั้น ถูกเอาออกมาจากตู้เย็น
“ มึงใช้อาหารแมวยี่ห้อเดียวกับกูเลย ” บอกแบบนั้นอีกคนก็เลิกคิ้วมองกัน
“ หมายความว่าไง จะให้กูเลี้ยงข้าวแมวมึงด้วยเหรอ ”
“ ไม่ได้คิดเหี้ยอะไรอย่างงั้นเลย ” ส่ายหน้าปฎิเสธไปมาก่อนจะหันกลับมากินต่อ “ กูแค่ชวนคุย มันเท่านั้นแหละสัด ”
“ อ้อเหรอ ”
“ จ้า ” ลากเสียงยาวใส่อีกคนก็ยิ้ม
“ พี่ชายกูเป็นสัตวแพทย์ เค้าเป็นคนแนะนำมา อีกอย่างแก้มหอมก็ชอบด้วย โดยเฉพาะถ้าโรยผงปลาทูป่นลงไป ” ผงปลาทูป่นที่ว่าถูกตักแบบช้อนโตโรยลงไปบนในถ้วยข้าวนั้น ขนาดอาหารยังดูมีมีความใส่ใจและรายละเอียดเลยว่ะ กูละยอมใจ “ กูให้แก้มหอมกินแบบนี้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยน ”
“ เหมือนกันเลยยยยยย ” ลากเสียงด้วยความตกใจในตอนที่ผมกินอาหารคำสุดท้ายเข้าไป “ พี่หมอที่โรงพยาบาลสัตว์ของกูเค้าก็แนะนำอาหารสองตัวนี้เหมือนกัน แต่ของกูไม่มีปลาทูป่นไรนี่นะ แต่เหตุผลของแมวกู คือมันเป็นอาหารจากโรงพยาบาลที่เค้าป้อนเพื่อรอเจ้าของมารอรับอะ แล้วแมวมันไม่ชอบเปลี่ยน กูเลยต้องให้อาหารเหมือนเดิม ”
“ แล้วทำไม มึงอยากเปลี่ยนเหรอ ” อาร์มถาม ผมก็เอียงหน้างง “ กูฟังจากน้ำเสียงของมึงแล้วกูรู้สึกอย่างงั้น เหมือนมึงอยากให้มันเปลี่ยน ”
“ กูอยากให้มันกินของที่ดีกว่านี้ไง เข้าใจความรู้สึกที่ว่า มีคนรับเลี้ยงใหม่แล้ว ไม่ถูกทิ้งแล้ว ชีวิตใหม่ อาหารก็เลยต้องใหม่จ้ะ ” ยิ้มให้พลางลุกขึ้นเต็มความสูง พร้อมกับจานอาหารที่ถูกกินจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะเปิดน้ำเป็นลำดับแรก ผมเริ่มล้างจาน ส่วนคุณเจ้าของห้องก็เดินออกไปวางถ้วยข้าวไว้ตรงที่กินอาหารของเจ้าแมวตัวสวย อาร์มเอ่ยเรียก
“ แก้มหอมขา ”
“ เมี๊ยว ”
“ กินข้าวค่ะ ” มันบอก ผมก็ได้แค่ทำปากมุบมิ๊บเพื่อเสียนแบบอย่างอดไม่ได้ ก็มันน่าเอ็นดูมากจริงๆ กับคำว่า แก้มหอมขา ของไอ้เหี้ยนั่น มีความเสียงอ่อนเสียงหวาน “ ไม่กินเหรอคะ ทำไมละครับแก้มหอม นี่ของโปรดหนูเลยนะ ”
“ เมี๊ยว ”
ดูท่าว่าน่าจะมีปัญหานิดหน่อย ผมหันไปมอง ฉากที่ผมเห็นตอนที่หันหลังไปนั้น คือร่างสูงที่ยืนขมวดคิ้วมองแมวของตัวเองที่ก็กำลังนั่งมองเจ้านายตัวเองตาแบ๋ว พร้อมกันนั้นก็มีความเอียงซบแมวของผมอยู่
“ มันเขินเปล่ามึง ” ผมบอกอีกคน “ แบบว่าน้องแก้มหอมเขินนายท่านไง น้องไม่กล้ากินต่อหน้าพี่นายท่าน เดี๋ยวพี่นายท่านจะรู้ว่าจริงๆน้องชอบกินปลาทู ทั้งๆที่ท่าทางน้องอาหารควรจะแบบราชนิกูลมากกว่ากว่านั้น มันควรจะเป็นปลาแซลม่อนจากน้ำทะเลลึก อีกอย่างเดี๋ยวพี่นายท่านจะหาว่าน้องแก้มหอมขากินเยอะ เป็นแมวอ้วงๆไง ”
“ แง๊ว ” เสียงตอบรับของคนที่กำลังวิเคราะห์ความคิดอยู่ร้องขึ้นเสียงเบาๆ ในตอนนั้นผมที่เบิกตากว้างหันไปไปบอกไอ้อาร์มเสียงดัง
“ เห็นมั้ย ใช่แน่นอน น้องแก้มหอมเขิน ”
“ ประสาท มันก็แค่ขานเพราะได้ยินคำว่าแก้มหอมขา ก็เท่านั้น ”
“ หมายความว่าไงวะ ” ร่างสูงถอนหายใจออกมา มันยกมือขึ้นท้าวสะเอวของตัวเองทั้งสองข้างอย่างคิดวิเคราะห์ สายตาคมมองหน้าแมวผมที่ก็เงยหน้ามองหน้ามัน ต่างฝ่ายที่ต่างมองกันแบบไม่มีใครยอมกัน เป็นฉากที่คุ้นตามาก คล้ายว่าเป็นไอ้ดีนกับเบสที่ประชันหน้ากันบ่อยๆ
“ เมี๊ยว ” แล้วสุดท้ายพอน้องแก้มหอมทัก อาร์มก็เดินกลับเข้ามาในครัวอีกครั้ง มันหยิบจานที่คล้ายกับถ้วยใส่อาหารแมวออกมา แล้วเปิดถุงอาหารคล้ายว่ามันจะทำอาหารแมวอีกจาน
“ จะทำอะไรวะนั่น ”
“ ก็เห็นๆอยู่ กูจะเอาข้าวให้แมวมึงกินไง ”
“ เฮ้ยๆ ไม่ต้องๆ เกรงใจไอ้สัด เดี๋ยวกูล้างจานเสร็จ จะพามันกลับไปกินที่บ้านเอง ”
“ กูให้เพราะเห็นว่าแก้มหอมคงไม่กินแน่นอน ถ้าไอ้แมวนั่นไม่กินด้วย ไม่ได้อยากให้เลยสักนิด ” บอกแบบนั้น คนข้างกันก็คลุกอาหารเม็ดเข้ากับอาหารเปียกแบบเชี่ยวชาญ พร้อมกับโรยปลาทูป่นลงไป ก่อนจะหันมามองผม แล้วเอามืออีกมือที่ไม่สกปรกหยิบจานนั้นแล้วยื่นมาให้กันดูตรงหน้า
“ โอเคแล้ว ปกตินายท่านก็กินประมานนี้แหละ ”
“ ให้ดม เป็นแมวด้วยกันน่าจะรู้ ว่าแบบนี้มันน่ากินมั้ย ”
“ K ” สบถใส่คนกวนตีนที่ก็เดินออกไปแบบอารมณ์ดี อาร์มวางถ้วยอาหารลงบนพื้นแบบที่จัดให้เจ้าแมวสองตัวเองอยู่ตรงข้ามกัน ก่อนจะหันไปมองแมวผม
“ ของมึง กินซะ ” นายท่านเบือนหน้าหนีกับคำพูดนั้นอย่างไม่สนใจ ท่าทางกวนตีนของมันชวนให้อาร์มเลิกคิ้ว “ ยังไง ไม่กินเหรอ ”
“ เมี๊ยว ” เสียงของน้องแก้มหอมที่ร้องขึ้นพร้อมกับกินก้มลงกินอาหารในชามตัวเอง แล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองนายท่านอีกครั้ง น้องส่งเสียงร้อง “ เมี๊ยว ” ราวกับจะเชิญชวนให้อีกฝ่ายกินข้าวด้วยกัน ท่าทางที่เหมือนจะบอกว่า ‘ กินสินายท่าน กับข้าวของป๊าแก้มหอมอร่อยมากเลยน้า ’
“ ยังไง ถ้าไม่กินกูจะได้เอาไปทิ้ง ” ร่างสูงตรงหน้าแมวของผมบอกพลางยกคิ้ว “ แต่คิดให้ดีนะ เพราะไม่ใช่ทุกวันที่ลูกพี่มึงจะพามึงมาที่นี่ แล้วมึงก็ได้กินข้าวกับแก้มหอมลูกสาวกู ”
ไม่มีเสียงตอบรับอะไร ผมเห็นนายท่านก้มลงกินข้าวในชามตัวเองหลังจากนั้น ท่าทางจำยอมของมันทำให้ไอ้อาร์มยกยิ้มก่อนจะเดินออกมาอย่างผู้ชนะ ซึ่งสำหรับผมมันไม่ต่างกันเลย ระดับความกวนตีนระหว่างคนกับแมว เรียกได้ว่า ช่างเป็นมวยคู่เอกที่สูสี
“ นี่สินะเดทแรก นั่งตรงข้ามกัน กินข้าวด้วยกัน ” เอ่ยพูดกับคนที่เดินเข้ามาในครัว พร้อมมือที่ก็ล้างจานในอ่างไปเรื่อย ก่อนจะหันไปมองเจ้าของห้องที่ก็ยืนอยู่ข้างกัน เพราะรู้สึกถูกจดจ้องมากเกินไป “ อะไร ”
“ มึงว่าอะไรนะ ”
“ ก็.. เดทแรก ” อ้าปากออกมาตอนที่คิดขึ้นมาได้ ผมยิ้มกว้างออกมาก่อนจะปัดมือเหมือนจะบอกด้วยท่าทางว่าอีกฝ่ายแค่เข้าใจผิด “ ไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น กูหมายถึงว่า เพื่อนกัน นั่งกินข้าวด้วยกันไง สานสัมพันธ์ครั้งแรก ”
“ กูไม่ได้บอกว่ามึงพูดผิด ” อาร์มมันท้วง ผมก็ได้แต่นิ่ง
“ งั้นมึงยอมรับแล้วเหรอว่า แก้มหอมของมึงกับนายท่านของกู มันรู้สึกต่อกันแบบมากกว่าคำว่าเพื่อนแมว ”
“ เปล่า ” ใบหน้าคมส่ายไปมา
“ อ้าว..”
“ แต่หมายถึงมึงกับกูน่ะ เมื่อกี้เรานั่งตรงข้ามกัน กินข้าวด้วยกัน มันเหมือนเลยไม่ใช่เหรอ เดทแรกที่มึงพูดถึง ”
“ เชี้ย..” สบถแบบไม่ออกเสียง ในใจผมคิด จีบสัด มีช่องว่างไม่ได้เลยนะไอ้เหี้ย อาร์มยกคิ้วให้กัน เราเงียบไปสักพัก ก่อนที่ผมจะสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วหันไปชวนคุยอีกครั้งเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองกันมากเกินไป
“ ว่าแต่มึงนี่ สุดยอดคุณพ่อผู้รู้ใจคุณลูกเลยนะ รู้หมดเลยว่า แก้มหอมต้องการอะไร ”
“ ก็กูเลี้ยงมันมาตั้งแต่เด็ก ”
“ อ้าว ไหนมึงบอกเจ้าของน้องแก้มหอมฝากมึงเลี้ยงไว้ หรือว่าเจ้าของจริงๆเป็นพี่ชายมึงที่ตอนนี้เรียนอยู่ที่อังกฤษ ” ผมถามอีกคนก็ขมวดคิ้ว
“ กูเคยไปบอกมึง เรื่องแก้มหอมตั้งแต่เมื่อไหร่ ”
“ ก็ตอนที่เข้าห้องกูครั้งแรก มึงบอกว่า มีคนฝากแก้มหอมไว้กับมึงเหมือนกัน เค้าไปเรียนต่อเมืองนอก เหมือนจะเป็นอังกฤษด้วยนะ ถ้าจำไม่ผิด ”
“ เหรอ ” อาร์มมันถามผมกลับด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะเป็นคนพูดแบบนั้นออกมา มันพยักหน้ารับ “ อื้ม ก็เป็นแบบนั้นแหละ ”
“ ตอแหลแน่ไอ้สัด ” ผมถามกลับเพราะเห็นท่าทางของมันเหมือนยอมจำนนแบบให้ผ่านไปมากกว่า “ ทำไม เรื่องที่มาของแก้มหอม น่าอายจนต้องโกหกกันเลยเหรอวะ ”
“ คงงั้น ” อาร์มก้มหน้าลงก่อนจะยกยิ้ม “ บางที แก้มหอมอาจจะเป็นการย้ำเตือนความโง่หลายๆอย่างกูก็ได้ ”
“ หมายความว่าไงวะ ” เสียงเบาๆของผมถาม แต่เหมือนประโยคนั่น จะเป็นประโยคที่อีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจจะให้ผมได้ยินตั้งแต่แรก อาร์มหันไปมองทางอื่น
“ ไม่อยากบอก มึงมีปัญหาอะไรมั้ย ”
“ ก็ไม่มีจ้า ” ยกมือขึ้นสองข้างตอนที่สบสายตาคมเข้มที่ถามอย่างหาเรื่องกัน “ หรือว่านะ แมวตัวนี้จะเป็นของนาเดีย แล้วจริงๆเธอเองก็แอบคบกับมึง ”
“ ที่ถามคือผ่านสมอง กลั่นกรองออกมาแล้วใช่มั้ย ”
“ ไอ้สัด ” ผมเบือนหน้าหนี “ ด่าว่าโง่ก็ได้ ไอ้เหี้ย ถ้ามึงจะมาถึงขั้นนั้นแล้ว ” พูดเสียงเบาๆกับตัวเองก่อนจะเหล่มองอีกคน “ แล้วอีกอย่างนะ มันจะแปลกอะไร มันก็คิดได้ทั้งนั้นอะ ตอนนั้นมึงเองก็บอก มีคนฝากเลี้ยงไว้ไปก่อนไปอังกฤษ นาเดียก็ไปเรียนอังกฤษเหมือนกันอะ ”
“ แล้วในโลกนี้มันมีคนไปเรียนต่ออังกฤษคนเดียวเหรอ แล้วนี่กูยังจำไมได้เลยว่ากูบอกแบบนั้น บอกว่าไปอังกฤษ สับสนมั้ยมึงน่ะ ” อาร์มหันมาถาม ก่อนจะยกนิ้วขึ้นจิ้มที่หน้าผากผม “ คือถ้ามึงใช้ตรงนี้สักนิด มึงจะคิดวิเคราะห์ได้ว่า กูเป็นเพื่อนกับดีน แล้วเรื่องอะไรที่กูจะเอาผู้หญิงหลายใจคนนั้นมาเป็นเมีย แล้สมาทำให้ความเป็นเพื่อนของกูกับมัน ขาดลง ”
“ ก็ใครมันจะไปรู้.. ตอนแรกมึงบอกว่าน้องแก้มหอมมีคนฝากไว้ เค้าไปเรียนต่ออังกฤษ พอวันนี้ก็เลี้ยงมาตั้งแต่มันเล็กๆ สรุปตอนนี้กูก็ยังไม่รู้เลย ว่าน้องแก้มหอมคือยังไง ได้มาได้ยังไง ”
“ แต่ประเด็นคือแก้มหอม มันเกี่ยวเหี้ยอะไรกับมึง ”
“ เออว่ะ ” เผลอหลุดพูดออกไปอย่างงั้น ผมก็ตาโต แต่ตอนนั้นเหมือนไอ้อาร์มจะหลุดยิ้มกว้าง วีหน้าของมันเปลี่ยนเป็นความสุขอย่างฉับพลัน “ ไม่ใช่นะเว้ย ก็ ก็มึงยังรู้เรื่องนายท่านของกูเลยถูกมั้น เพราะงั้นมึงเองก็ต้องเล่าเรื่องของน้องแก้มหอมให้กูฟังเหมือนกันไง ทุกอย่างมันก็เท่านั้นแหละ ”
“ ประสาท ฮ่าๆ ” อีกฝ่ายที่หลุดหัวเราะออกมา ไม่รู้เพราะท่าทางเลิ่กลั่กที่อีกฝ่ายชอบบอกว่า มันจับผิดได้โคตรง่าย แต่ที่รู้แน่ๆ คือผมไม่เคยเห็นมันยิ้มกว้างแบบนี้มาก่อน รวมถึงเสียงทุ้มอบอุ่นนั่นก็ด้วย “ คือมึงจะแม่งจะน่ารักไปไหนวะ ”
ตาผมเบิกกว้าง เป็นปฎิกิริยาที่อยู่ๆหัวใจก็สั่นรุนแรง และฉับพลัน ผมพยายามก้มหน้ากับอ่างล้างที่ตอนนี้พยายามล้างจานแค่ไม่กี่ใบนั้น ด้วยความขะมักเขม้นแบบไม่เคยเป็นมาก่อน แก้มของผมร้อนผ่าว จนคิดว่าถ้าตอนนี้มีกระจกอยู่ตรงหน้าแล้วได้ส่องดู มันคงไม่ต่างอะไรกับผลมะเขือเทศสีแดงสุกติดอยู่บนนั้น
“ มึงน่ะสิประสาท ”
“ ว่าไงนะ ” คนข้างกันถาม ในตอนนั้นผมก็สูดลมหายใจ แล้วหันไปมองหน้ามัน เห็นทีว่าต้องเปลี่ยนหัวเรื่อง ก่อนที่หัวใจจะไม่ไหวไปก่อน ผมคิดได้แค่นั้น
“ ว่าแต่เมื่อกี้มึงยังไม่ตอบกูเลย ที่บอกว่า แก้มหอมขานรับ เพราะแค่ได้ยินกูเรียกว่าแก้มหอมขา ทำไมมึงถึงคิดงั้น บางทีมันอาจจะขานรับความคิดกูก็ได้นะ แบบว่ามันฟังภาษาคนเข้าใจไง ”
“ ภาษาคนหน้าแมวอย่างมึงน่ะเหรอ ” อาร์มมันพูดยิ้มๆ ก่อนจะหยิบเอาจานที่ผมล้างฟองสบู่แล้วขึ้นมาล้างน้ำให้ จานสะอาดใสถูกสะเด็ดน้ำแล้วเคลื่อนไปวางลงในเครื่องอบจาน “ ที่กูรู้เพราะกูฝึกแก้มหอมเอง ”
“ ฝึก ? ”
“ แก้มหอมถูกฝึกให้ขานรับ เวลาที่ถูกเรียก ว่าแก้มหอมขา ”
“ มึงฝึกแมวได้ด้วยเหรอวะ ” ผมถามแบบตาโต เพราะรู้ว่ามันยากมากที่จะเห็นใครสักคนฝึกแมว ปกติมันก็ตกเป็นทาสแมวกันทั้งนั้น
“ แล้วทำไมจะทำไม่ได้ แมวมันฝึกได้ แต่ต้องใช้ความอดทนแบบที่เรียกว่ามากๆมันก็เท่านั้น ไม่งั้นมันก็คงถูกฝึกให้เข้าห้องน้ำไม่ได้ถูกมั้ยละ ”
“ นั่นก็จริงของมึง ” พยักหน้ารับกับตัวเอง และขอสารภาพตามตรงเลยว่า ในใจตอนนี้ก็ยกยอความดีของมันพอสมควร ทำอาหารก็เก่ง เลี้ยงแมวก็เก่ง หน้าตาดี แถมยังมีเสน่ห์อีก ไม่ติดว่าเป็นอริกันแถมมันยังหมายหัวผมให้ตกหลุมรักมันแล้วละก็ บางที ผมอาจจะเลยตามเลยกับมันไป
‘ แต่ไม่ได้เมี่ยง ’ ไหนมึงบอกจะหาลูกสะใภ้ให้แม่ไง ไขว่เขวได้เหรอวะ แล้วอีกอย่างไอ้เหี้ยนี่ มันไม่ได้ชอบมึงจริงๆ มันก็แค่จีบมึงเล่นๆ เพราะงั้นมึงก็เอง ก็ต้องแข็งแกร่งเอาไว้นะไอ้สัด!
“ เป็นเหี้ยอะไร ผีเข้ามึงเหรอ ” อาจเพราะพูดกับตัวเองแล้วมีรีแอคชั่นมากเกินไปหน่อย คนข้างกันก็เลยถาม
“ เปล๊า ” ผมพูดเสียงสูง “ กูแค่สมเพชตัวเองนิดหน่อยน่ะ ”
“ เรื่อง ” แล้วคำถามนั้นก็ทำให้ผมนิ่งไป ก็อยากจะบอกออกไปอยู่นะ ว่าหวั่นไหวไปกับความเฟอร์เฟ็คของมึงในระดับหนึ่งแล้วละตอนนี้ แต่ผมก็คิดว่า เราไม่ควรพูดจุดอ่อนของตัวเองออกไป
“ ก็ สมเพช เอ่อ..” สมองของผมมันคิดหาคำตอบ สายตาของผมเองก็ด้วย มันกรอกวนไปมา “ แบบว่า.. ”
“ แนะนำว่าถ้าคิดอะไรไม่ออก ก็พูดความจริง ”
“ เนี้ยแหละความจริง! ” ย้ำออกไปด้วยสายตาจริงจัง “ กูแค่รู้สึกสมเพชตัวเองเฉยๆ ว่าแมวกู ขนาดเรียกให้มาใกล้ๆมันยังเมินเลย นี่มันเข้าห้องน้ำเป็นก็ดีเท่าไหร่แล้ว ”
“ ตอนแรกคิดว่ามึงจะพูดอะไรเกี่ยวกับกู ”
“ ใช่ที่ไหน ” หันไปบอกอีกคนตาโต แต่เหมือนจะไม่ได้รับความน่าเชื่อถือกันสักเท่าไหร่ อาร์มมันนิ่งก่อนจะค่อยๆดึงตัวเองเข้ามาใกล้กกัน พร้อมกับมือที่เอื้อมมือมาจับมือของผมที่อยู่ใต้ฟองสบู่พวกนั้น “ ดะ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนนะ มึงจะทำอะไร ”
“ เมี่ยงครับ บอกความจริงมา..”
“ แง๊ว!!! ” เสียงร้องดังคล้ายกับใครเอากลองใหญ่ของโรงเรียนมาตีอยู่ข้างหู ภาพที่เราหันหลังไปเห็นตอนนั้นคือเจ้าแก้มหอมที่พองตัวขึ้นมาขู่ กับแมวของผมที่กำลังฉี่อยู่บนโต๊ะกินข้าว น้ำสีเหลืองที่ไหลนอง และฉากที่เหี้ยที่สุดคือไอ้นายท่านทำท่ากลบทั้งที่มันเป็นโต๊ะธรรมดา
“ เหี้ย ” อาร์มมันพูดเสียงเบาพร้อมกับนิ่งไป ส่วนผมที่มีสติกว่าในตอนนั้นคว้าเอาทิชชูที่ใช้สำหรับซับน้ำมันอาหาร ฉีกดึงออกมานับสิบแผ่นก่อนจะวิ่งไปซับฉี่พวกนั้นเพื่อหยุดไม่ให้มันไหลงมาบนพื้นด้านล่าง
ผมผ่อนลมหายใจออกมารัวๆ พร้อมกับมองแมวตัวเองที่เดินนัวนาดแล้วกระโดดลงจากโต๊ะไป แต่ก่อนหน้านั้น ก็ไม่ลืมหันกลับมามองเจ้าห้องด้วยแววตาท้าทาย คล้ายจะถามว่า ‘ มีไรป่ะ ’
“ แมวเหี้ย ”
“ เออ กูไม่เถียงหรอก ” หันไปบอกเจ้าของบ้านที่มองกันด้วยสีหน้าหงุดหงิด สายตาว่างเปล่านั้นที่เห็นนั้น ผมทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ “ คือ...เดี๋ยวจะหาว่าปกป้องเนอะ แต่มันเข้าห้องน้ำได้ปกติไม่มีเกเรเลยนะมึง แปลกใจ
เหมือนกันว่าทำไมมันมาฉี่เรี่ยราดในบ้านมึงแบบนี้ อาจเพราะไม่รู้ว่าต้องไปเข้าตรงไหนเปล่าวะ ต้องใช่แน่ๆเลย ใช่แหละ ใช่เนอะ ”
“ ห้องน้ำบ้านกูกับบ้านมึงก็เหมือนกัน ” ร่างสูงเชิดหน้าไปที่ห้องน้ำแมวที่คล้ายกับยานอวกาศนั่น
“ ก็มันอาจจะมีกลิ่นของแก้มหอมอยู่ไง แมวกูก็เลยไม่ชิน หรืออาจจะเขิน ” พูดแบบนั้นก่อนจะจัดการเอาทิชชู่ชุ่มฉี่แมวใส่ถุงแล้วมัดปากให้มิดชิด
“ แต่กูว่ามึงมีคำพูดนึงที่ควรพูดมากกว่าอะไรทั้งหมดนั่นนะ ”
“ ขอโทษครับ ” ยิ้มให้กับคนตรงหน้า ก่อนจะเดินไปหาเจ้าแมวของตัวเอง แต่ตอนที่ทำทีเป็นจะจับอีกฝ่ายก็เดินหนีกันไปก่อน “ เฮ้ย! นายท่าน มานี่เลยนะมึง มาให้กูจับเดี๋ยวนี้ มึงต้องมาขอโทษเค้านะ ทำผิดก็ต้องขอโทษ เข้าใจมั้ย ”
“ เอาเข้าไป ” เจ้าของห้องว่าเสียงเบาๆ ในตอนที่เห็นผมเดินไปทั่วบ้าน แต่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นผมก็จับตัวอีกฝ่ายได้พอดี จัดการอุ้มนายท่านที่ตอนนี้โคตรขืนตัวขึ้นมา ก่อนจะเอามือสองมือของมันมาประกบเข้าด้วยกัน และแน่นอนว่า หน้ามันโคตรจะไม่สำนึกสักนิด
“ ขอโทษนะครับ ผมขอโทษนะครับ คราวหลังผมจะไม่ทำอีก จะฉี่ให้เป็นพี่เป็นทาง ขอโทษนะครับพี่อาร์ม คราวหลังนายท่านจะไม่ทำอีกแล้ว ” จับแมวก้มหัวแต่ก็ขืนตัวกันเหลือเกิน “ พี่อาร์มหายโกรธนายท่านนะ ”