Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Dear you, แด่คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก [18] 02/11/2020  (อ่าน 11357 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ manarina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
กอดๆ นะคะ
กอดๆ สองด้วย
อย่าทำร้ายสองเลยนะภู ขอร้องง
 :katai1:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
16 [PART1/2]


TW: เนื้อหาตอนนี้มีการกล่าวถึงฉากร่วมเพศโดยไม่เต็มใจและความรุนแรง ผู้อ่านที่มีความเสี่ยงต่อการ trigger โปรดหลีกเลี่ยงเนื้อหาตอนนี้นะคะ



ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคืออะไร ผมควรควรถามหาคลิปนั้น หรือเริ่มขุดคุ้ยทวิตเตอร์ของภูกับแฟนเก่า ผมไม่เคยลนลานขนาดนี้มาก่อน อาการใจหวิวเหมือนจะเป็นลมทำให้ต้องนั่งในท่ากุมขมับ ความเครียดอัดแน่นจนหัวแทบระเบิด ผมกัดริมฝีปากแน่นโดยไม่รู้ตัว กัดแรงจนแผลเก่าที่ภูทิ้งไว้เริ่มปริ ผมเจ็บและกลัว แต่ผมก็หยุดอาการตัวสั่นไม่ได้

เน่หาคลิปภูไม่เจอแล้ว
แต่ลองสุ่มทักไปหาคนในกลุ่มดูนะคะ
บอกว่าอยากได้คลิปน้องภูสัตวแพทย์

“ตื่นแล้วเหรอที่รัก”

ผมรีบคว่ำโทรศัพท์ลงบนโต๊ะเมื่อถูกสวมกอดจากข้างหลัง ภูซบหน้าลงบนบ่าอย่างออดอ้อน หอมแก้มและลูบหัวด้วยความรักใคร่ อาการไม่รู้ไม่ชี้ของภูกำลังทำให้ผมแตกสลายช้าๆ

“ตื่นนานหรือยัง ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ” เขายิ้ม
“ฝนตกน่ะ” ผมตอบไม่ตรงคำถาม พยายามสุดความสามารถเพื่อข่มเสียงไม่ให้สั่นหรือแสดงท่าทีให้ภูสงสัย “คุณก็รู้ว่า --”
“สองชอบฝน ภูจำได้” เขายิ้มหวานและจุมพิตหน้าผากของผมอีกครั้ง “ยังปวดอยู่ไหม”
“ไม่ ไม่ปวดแล้ว” ผมฝืนยิ้ม “เช็กเอาท์เร็วกว่าเดิมได้ไหม”
“ทำไมเหรอ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ผมต้องรีบกลับไปทำงาน”
“งานร้านหรืองานส่วนตัว”
“งานส่วนตัว เป็นงานแปลส่วนตัว” ผมนั่งให้เขากอดและหอมอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับตัวไปไหน สีหน้าของผมคงดูกังวลมาก ภูจึงผละตัวออกมาเพื่อยืนจ้อง
“สองดูไม่โอเคเลย”
“ไม่มีอะไร”
“โกหกอีกแล้ว ไหนว่าจะไม่มีความลับระหว่างเราไง”
“ใช่”

ผมอยากถามภูว่าแล้วคุณล่ะมีความลับอะไรที่ยังไม่บอก แต่มันพูดไม่ออกนอกจากมองหน้าภู ผมจ้องมองเข้าไปในแววตาเพื่อเค้นเอาความลับดำมืดออกมา แต่ไม่มี มันไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย มันว่างเปล่าจนน่ากลัว คุณเคยมองหน้าคนที่คุณรักแล้วรู้สึกกลัวไหม จู่ๆก็นึกสงสัยว่าผู้ชายคนนี้คือใคร เขาคือคนรักของเราจริงๆเหรอ ในบรรดาถ้อยคำบอกรักหวานซึ้งที่คุณพูดนั้นมีความจริงอยู่เท่าไหร่กัน หรือมันไม่เคยมี หรือคุณไม่ได้รักผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมเป็นแค่นักแสดงทำเงินให้คุณจากคลิปโป๊เท่านั้น

“ทะเลาะกับพ่อหรือเปล่า”
“อืม” ผมโกหก “พ่ออีกแล้ว”
“เล่าให้ภูฟังได้นะ รู้ใช่ไหมว่าภูอยู่ตรงนี้เสมอ”

เหรอ
ทำไมคุณไม่เล่าเรื่องคลิปให้ผมฟังบ้างล่ะ

“ก็เรื่องทั่วไป ไม่มีอะไรหรอก” ผมหลับตาเมื่อภูใช้มือลูบหน้าอย่างแผ่วเบา สัมผัสจากเขายิ่งทำให้ผมกลัวจนอยากร้องไห้ “ไว้ผมจะเล่าให้ฟังวันหลัง”
“ได้เลยครับ” เขาหอมแก้มของผมอีกครั้ง “งั้นเดี๋ยวภูไปส่งนะ อยากกินอะไรก่อนกลับบ้านไหม?”
“ไม่”
“แต่ภูหิว ภูอยากกินข้าวเช้ากับสองก่อน”
“วันนี้ฝนตกหนักมากเลยภู”
“แล้วยังไงครับ?”
“รถติด” ผมบอกเขาพร้อมกับดึงมือของภูมาจูบ “ผมมีงานด่วนที่ต้องเคลียร์จริงๆ แต่คุณรู้ใช่ไหมว่าที่ผมทำงานหนักขนาดนี้ก็เพื่อเรานะ”

ภูยิ้ม เขาแพ้คำว่าเพื่อเรา คำว่าเพื่อเราที่เป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้ทำงานหนัก ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมยกคำนี้มาอ้าง ภูจะเลิกก้าวก่ายทุกอย่างที่ผมกำลังทำอยู่โดยไม่ตั้งข้อสงสัย

“ก็ได้” ภูตอบ “เก็บของกันเถอะ เดี๋ยวภูไปส่ง”

ผมขอบคุณและมองแผ่นหลังภูที่เดินหายไปในห้องน้ำ เมื่อพ้นสายตาของเขา ผมก็เปิดอ่านข้อความ เนเน่ผู้ประสงค์ดีส่งภาพแคปสกรีนจากทวิตเตอร์มาให้ รูปนั้นคือภูตอนกำลังมีเซ็กซ์กับชายสวมหน้ากาก ผมอยากขอร้องให้เธอปล่อยผมอยู่คนเดียวเพื่อเรียบเรียงความคิดซักพักแต่โทรศัพท์ยังคงสั่นไม่หยุด ภาพพวกนั้นถูกส่งเข้ามาเรื่อยๆไม่ขาดสาย โอเค ผมรู้แล้ว ผมเห็นแล้วว่าแฟนผมเคยลงคลิปตัวเองในทวิตเตอร์ หยุดเสียที หยุดส่งมาเสียที ขอร้อง พอเถอะ เลิกยุ่งกับผมได้แล้ว เลิกส่งภาพแฟนของผมมีอะไรกับชายคนอื่นมาให้ดูได้แล้ว ผมรับรู้ถึงความปรารถนาดีของคุณแล้ว ไปให้พ้น

โทรศัพท์สั่นอีกไม่กี่วินาทีก็นิ่งไป ผมคลิ๊กดูภาพเปลือยของชายที่ตัวเองรักในอิริยาบถต่างๆ ทั้งคู่สวมหน้ากากเพื่อปกปิดตัวตนระหว่างมีเซ็กซ์ แต่ใครบ้างจะจำริมฝีปากและคางของคนที่ตัวเองรักไม่ได้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือภู คำบรรยายแต่ละภาพก็บ่งบอกถึงความเป็นภู หมอหมาน่าเอา หมอหมาตูดแน่น หมอหมาชอบท่าหมา ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นภูร่วมรักกับใคร ผมขอร้องให้เนเน่เลิกส่งรูปพวกนั้น ผมพิมพ์บอกเธอ ผมพูดอย่างสุภาพเพื่อให้เธอหยุด แต่เนเน่กลายเป็นหุ่นยนต์ที่บังคับตัวเองไม่ได้ เธอยังคงส่งรูปมาราวกับผมเป็นฝ่ายร้องขอ แต่ละรูปเริ่มทำร้ายจิตใจผมหนักขึ้นเรื่อยๆจนอยากร้องไห้ ล่าสุดเป็นรูปภูมีเซ็กซ์กับผู้ชายตัวใหญ่อีกสองคน

ภูชอบหมู่
พี่สองรู้เรื่องนี้มั้ย

ไม่ – ไม่รู้

เธอแนบหลักฐาน ภูกำลังมีเซ็กซ์กับคนหนึ่ง ส่วนอีกคนบีบปากของเขาให้รับเอาส่วนนั้นเข้าไป ใบหน้าของภูเปื้อนของเหลว เขาหลับตาปี๋ หากรูปภาพมีเสียง ผมคงได้ยินเสียงภูโก่งคออาเจียน

เจอคลิปแล้วค่ะ

ผมคลิ๊กลิ้งค์เพื่อดูวิดีโอ ในคลิปมีผู้ชายสองคนกำลังง่วนอยู่กับการเสพสุขจากภู ทุกคนสวมหน้ากาก แต่ผมก็รู้ว่าภูคือคนไหน เขาคือคนที่โดนตบจนหน้าหัน โดนบีบปากบังคับให้กลืนส่วนนั้น โดนจิกหัวและถ่มน้ำลายรดหน้า ส่วนอีกคนที่กำลังตักตวงจากเขาเป็นยิ่งว่าปีศาจ มันโถมแรงทั้งหมดใส่ภูไปพร้อมกับทุบตีเขา มันตบภูจนแก้มแดงเป็นปื้น เมื่อภูพยายามยกแขนปัดป่าย มันก็ต่อยท้องภูจนตัวงอ ผมได้ยินเสียงภูร้องโอดโอยเหมือนสัตว์บาดเจ็บ เขาครวญคราง ร้องเสียงแผ่วขอชีวิต ผมเห็นภูน้ำตาไหลแต่ไม่มีใครหยุด พวกมันสนุกกับภู มันทำร้ายภู พอเสร็จกิจก็เอาเท้าเหยียบหัวภูและหัวเราะลั่น มันทำเหมือนภูไม่มีชีวิตจิตใจ ย่ำยีภูราวกับเขาไม่ใช่คน ผมดูเซ็กซ์เทปของชายที่ตัวเองรักทั้งน้ำตา มันคือน้ำตาของความโกรธแค้นและเจ็บช้ำ ผมเจ็บหน้าอก น้ำตาไหลพรากเหมือนของรักของหวงถูกทำลาย ไอ้สัตว์นรกตัวไหนทำกับภูแบบนี้ ไอ้เหี้ยตัวไหนมันทำกับคนที่ผมรักแบบนี้!!!!

แกร๊กก!!!!!!!!!!!

โทรศัพท์ของผมถูกแย่งไปจากมือ มันถูกเหวี่ยงใส่ผนังจนได้ยินเสียงแตก ผมหันมองภูที่ไม่รู้โผล่มาเมื่อไหร่ด้วยความตกใจ เขาก้มมองผมที่นั่งบนเก้าอี้ ริมฝีปากสั่นราวกับกำลังข่มความโกรธสุดชีวิต

“ไปเอามาจากไหน!!!” ภูตะคอกเสียงดังจนผมกลัว เขากลายเป็นคนอื่นที่ผมไม่รู้จัก “ตอบมาสิวะว่าไปเอาคลิปนั่นมาจากไหน!!!!!”

ผมกลัวภูในตอนนี้มากกว่าอะไรทั้งหมด ผมกลัวภูที่สีหน้าบิดเบี้ยวและเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความโกรธ เขาตะคอกใส่หน้าผม เขาออกแรงบีบต้นแขนของผมจนเจ็บ ความโกรธของเขาทำให้ผมกลัว บางครั้งความโกรธของภูก็รุนแรงราวกับสามารถฆ่าคนให้ตายได้ วูบหนึ่งผมกลัวถูกฆ่า ผมกลัวว่าเขาจะพลั้งมือทุบตีหรือทำร้ายผมจริงๆ พอคิดแบบนั้นผมร้องไห้ออกมาจนภูทำตัวไม่ถูก เขาตกใจเพราะไม่คิดว่าผมจะปล่อยโฮต่อหน้าเขา ภูจึงเลิกเขย่าตัวของผมแล้วเดินหนีไปอีกด้าน เขาหายใจแรงและดูงุ่นง่านยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ภูเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องที่มีเสียงร้องไห้ของผมดังคลอเสียงฝน ฟ้าร้องเหมือนจะถล่ม ส่วนภูงึมงำพูดคนเดียวไม่เป็นภาษา จากนั้นเขาก็ใช้มือปัดของทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะ ขวดแชมเปญฉลองวันครบรอบกลิ้งหล่นไปอีกทาง ฟิกเกอร์ที่ผมให้เป็นของขวัญร่วงกระเด็นหายไปที่ไหนซักแห่ง กลีบกุหลาบจากช่อดอกไม้ที่ภูซื้อให้ปลิวว่อน กลายเป็นขยะสกปรกบนพื้นพรม

“รู้ไหมว่าภูใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะลืม” ภูหันมามองผม แววตาของเขามีแต่ความเจ็บปวดและอับอาย “สองจะให้ภูทำยังไง” เขาถามก่อนจะทรุดตัวนั่งลงและร้องไห้ “ถ้าภูพูดความจริง สองจะไม่ทิ้งภูไปใช่ไหม”
ผมส่ายหน้า “ถ้าคุณอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ผมให้สัญญาและเดินไปสวมกอดเขา คุณไม่รู้หรอกว่าการมองคนที่ตัวเองรักหัวใจสลายต่อหน้าต่อตามันเจ็บปวดแค่ไหน เรากอดกันและร้องไห้ด้วยกันทั้งคู่ ผมเองก็เจ็บปวดและต้องการคำอธิบายไม่ต่างจากภู แต่ผมทนเห็นภูแตกสลายต่อหน้าต่อตาไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะทิ้งตัวเองและโอบกอดเขาเอาไว้ เพราะความรู้สึกของผมไม่สำคัญเท่าความรู้สึกของภู

“ภู” ผมย่อตัวลงตรงหน้าและลูบหัวเขา “ภู คุณอย่าร้องไห้เลย ผมขอโทษ” ผมขอโทษโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรผิด ภูสะอึกสะอื้นในอ้อมกอดของผม ร้องเหมือนเด็กเล็กที่แผดเสียงจ้าและครวญครางด้วยความความเจ็บปวด ภูที่กำลังเสียใจกอดผมแน่น เขาพึมพำข้างหูของผม จับใจความได้ว่าอย่าทิ้งภูไป เขาพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ขอร้องไม่ให้ผมทิ้งเขาไป

“ผมไม่ได้ต้องการอะไรเลยภู ผมแค่ต้องการคำยืนยัน” ผมบอกเขา “ผมแค่อยากรู้ว่าคุณเอาคลิปของเราไปขายไหม ผมอยากรู้แค่นั้น” ภูยังคงร้องไห้อยู่ ผมจึงใช้นิ้วเช็ดน้ำตาให้
“ภูไม่เคยอัดคลิปของเรา” เขาตอบและมองหน้าผมตรงๆ “ถ้าภูอัด สองต้องรู้สิ สองเห็นตลอดว่าภูทำอะไร” เขาตัดพ้อราวกับเป็นความผิดของผมที่ไม่เชื่อใจกัน “ใครเป็นคนส่งคลิปนั้นมาให้สอง”
“อย่ารู้เลย”
“ใคร”
“เนเน่” ผมตอบเสียงแผ่ว ภูในอ้อมกอดของผมเริ่มตัวเกร็ง ผมรู้ในทันทีว่าความโกรธเริ่มมากกว่าความเศร้าแล้ว “เนเน่แค่จะบอกให้ผมระวังคลิปหลุด เธอบอกว่าแฟนเก่าคุณขายคลิป”
“ใช่”
“คุณรู้ไหมว่าเขาขายคลิปของคุณ”
“รู้” ภูตอบ เขาเบนสายตาไปทางอื่นราวกับไม่อยากยอมรับความจริง “ภูยอมให้เขาทำแบบนั้นเอง”
“ทำไมล่ะภู” ผมโอบกอดภูไว้ในขณะที่ตัวเองแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“เพราะภูไม่มีเงินไง!” ภูร้องไห้ “แม่ยึดทุกอย่างไปหมดเพราะโกรธที่ภูเป็นเกย์ แม่ไม่ส่งเงินให้ภูซักบาทเดียว ค่าเทอมภูก็ต้องหามาจ่ายเอง สองคิดว่าคนอย่างภูจะทำอะไรได้ ขายคลิปคือทางที่หาเงินได้เร็วและเยอะที่สุดแล้ว”
“แฟนเก่าของคุณบังคับให้คุณทำแบบนี้ใช่ไหม”
“ไม่ เราแค่เห็นตรงกันว่ามันจำเป็นต้องทำ”

ภูหันกลับมามองผม เขาเหมือนคนที่กำลังรู้สึกผิดต่อบาปและทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสกับเรื่องราวในอดีต แม้ว่าผมจะไม่ใช่พระเจ้าที่สามารถชี้ขาดได้ว่าใครเป็นคนดีหรือคนเลว แต่ภูก็ยังมองมาราวกับขอให้ผมยกโทษให้สำหรับสิ่งที่เขาเคยทำ

“ตอนนั้นเราต้องจ่ายเช่าห้อง พี่เขาก็มีภาระเป็นของตัวเอง เขาช่วยภูจ่ายทุกอย่างไม่ไหว ไหนจะค่าเทอม ค่ากิน ค่าชีทเรียน ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเป็นหมื่น สองน่าจะเข้าใจดีว่าเวลาหมุนเงินไม่ทันเป็นยังไง คนเรามีทางเลือกชีวิตไม่มากหรอกนะ” ผมหน้าชานิดหน่อยเมื่อได้ยินแบบนั้น รู้สึกอับอายที่ตัวเองคือสัญลักษณ์ของคำว่าหมุนเงินไม่ทันแทนที่จะเป็นอะไรดีๆซักอย่างที่น่าภาคภูมิใจ “พี่เขาบอกว่าใส่หน้ากากแล้วคงไม่เป็นไร ไม่มีใครรู้หรอกว่านั่นคือเรา ภูเห็นว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว มันจำเป็นต้องทำ ตอนแรกมีแค่คลิปของภูกับพี่เขา มันขายดีมาก เคยขายได้สัปดาห์ละหมื่นด้วย พอแอคเคานท์เริ่มมีคนติดตามเยอะก็เริ่มมีรีเควส ขอให้ทำแบบนั้น ขอให้ทำแบบนี้”
“เหมือนที่คุณเคยขอผมใช่ไหม”
“ใช่ แต่หนักกว่านั้นเยอะ” ภูยิ้มเยาะให้ตัวเอง “ภูเจอมาหมดแล้ว ทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ สองลองไล่มาสิว่ามีอะไรบ้าง ภูพูดได้ว่าภูผ่านมาแล้วทั้งหมด แต่ภูไม่ชอบเซ็กซ์ที่จำเป็นต้องทำ ภูอยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป เรามีอารมณ์เมื่อไหร่ก็ค่อยอัด เราอยากเล่นแบบไหนก็ค่อยทำแบบนั้นออกมาขาย แต่ช่วงนั้นพี่เขาเพิ่งดาวน์มอเตอร์ไซค์คันใหม่เพราะอยากขับรถไปรับไปส่งภู” ภูเงียบอีกครั้ง “ภูห้ามเขาไม่ได้หรอก ในเมื่อเขาบอกว่าทำเพื่อภู ภูก็ต้องยอมอัดคลิปบ่อยขึ้นเพื่อให้เรามีเงินพอดีใช้”
“แม่คุณรู้เรื่องนี้ไหม เรื่องที่คุณไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม”
“รู้ รู้สิ แต่ภูจะทำอะไรได้ สองก็รู้ว่าเวลาแม่โกรธ แม่ใจร้ายมากเลยนะ แม่เอาทุกอย่างไปจากภูจริงๆ ที่บอกว่าทุกอย่างคือทุกอย่าง” ภูเงยหน้ามองผมและฝืนยิ้ม “คลิปที่สองเห็น คือคลิปสุดท้ายของภู ตอนนั้นพี่เขาบอกว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็เลยชวนไปบ้านของเพื่อน” ผมนิ่งคิด “ภูไม่เอะใจเพราะนึกว่าเขาคงขอยืมห้องไว้ถ่ายเหมือนคราวก่อนๆแต่มันไม่ใช่ เพราะเขา – เขาให้เพื่อนมาแจมด้วย”
“เขาไม่ได้บอกแต่แรกเหรอ”
“ไม่” ภูส่ายหน้า “เขาไม่บอกว่าจะให้เพื่อนมาถ่ายด้วยจนเราไปถึงบ้านหลังนั้น ภูบอกเขาว่าภูไม่โอเค ภูไม่อยากมีอะไรกับคนที่ภูไม่ได้รัก แต่พี่เขาบอกว่าถ้าไม่ทำอะไรใหม่ๆคนก็จะเบื่อ สุดท้ายเราก็จะไม่มีเงิน ถ้าภูไม่ยอม ภูจะไม่มีเงินเรียนต่อ ภูอาจจะต้องดรอปหรือไม่ก็เลิกกับเขาแล้วกลับไปขอเงินแม่”

ไอ้สัตว์นรก

“ตอนนั้นภูรักเขามาก เขาเป็นคนเดียวที่ยอมรับสิ่งที่ภูเป็น ภูไม่อยากเสียเขาไปก็เลยยอม แต่พอถ่ายไปได้ซักพัก ภูรู้สึกว่ามันไม่ใช่” ภูเริ่มตัวสั่น “ภูบอกเขาว่าภูกลัว ภูไม่อยากถ่าย แต่เขาไม่ยอม เขาขู่ภู เขาใช้กำลังกับภู แล้วก็เป็นอย่างที่สองเห็น นั่นแหละคือสิ่งที่เขาทำกับภู” ภูปล่อยโฮออกมา “แม้แต่ตอนถ่ายเสร็จ เขาปล่อยให้เพื่อนเหยียบหัวภูจนเจ็บ ภูบอกเขาให้เอาเท้าออกไป แต่เขาก็ยังเหยียบต่อ ภูถึงรู้ว่าจริงๆแล้วเขาไม่ได้รักภู เขาเห็นภูเป็นแค่ตัวทำเงิน”
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้แล้ว พอแล้ว คุณไม่ต้องคิดถึงมันอีกแล้ว” ผมดึงภูเข้ามากอด ชายที่ผมรักร้องไห้อย่างน่าสงสารในอกของผม “แม่ของคุณรู้เรื่องคลิปไหม” ภูพยักหน้าแทนคำตอบ “แม่ว่ายังไง แม่พาคุณไปแจ้งความไหม”
“ไม่” ภูบอก “แม่ร้องไห้ ภูเดาว่าแม่คงอาย แม่ไม่ได้เสียใจที่ภูเจ็บตัวหรอก แม่คงอายที่ต้องบอกตำรวจว่าลูกชายเป็นคนเดินเข้าบ้านหลังนั้นเอง ภูยอมให้พวกมันถ่ายคลิปเอง แล้วแบบนี้จะเอาผิดใครได้”
“ไม่เลยภู แม้ว่าคุณจะเป็นคนเดินทางไปที่นั่นเอง คุณยอมตอบตกลงในตอนแรก แต่เมื่อทำไปซักพักแล้วคุณไม่โอเค คุณมีสิทธิ์ปฏิเสธและพวกเขาต้องหยุด” ผมอธิบายให้ภูเข้าใจ “คุณไม่ได้สมยอม ภู นั่นไม่เรียกว่าสมยอม คุณขอให้มันหยุดแล้วแต่มันไม่หยุดนั่นคือการบังคับขืนใจ ตำรวจต้องเอาผิดพวกมันได้สิเพราะคุณไม่ยินยอม”
“ถ้าภูไม่ขายคลิปตั้งแต่แรก ภูก็คงไม่ต้องเจอเรื่องแบบนี้” ผมส่ายหน้ารัว และยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าไม่ใช่
“ไม่ว่าใครก็ไม่สมควรเจอเรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ฟังนะ – มันไม่ใช่ความผิดคุณเลย คุณจะอัดคลิปขายหรือคุณจะมีอะไรกับใครกี่คนก็ไม่ใช่ความผิดของคุณ ไอ้พวกสัตว์นรกนั่นต่างหากที่เป็นคนผิด”
“แต่ในประเทศที่คนถามเหยื่อว่าไปทำอะไรถึงโดนข่มขืน สองว่าจะมีใครเชื่อสิ่งที่ภูพูดไหม” คำถามของภูยิ่งทำให้ผมอยากร้องไห้ “ภูเป็นผู้ชาย ใครจะเชื่อว่าผู้ชายถูกข่มขืน”

เราสองคนกอดกันร้องไห้บนพื้นพรม ภูร้องไห้เพราะเจ็บปวดกับอดีตที่ไม่อยากจำ ส่วนผมร้องไห้เพราะโกรธแค้นกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา ผมโกรธความอยุติธรรมในประเทศนี้ โกรธที่ไม่มีใครมองว่าภูคือเหยื่อเพียงเพราะเขาเป็นเกย์ เกย์ที่ขายเซ็กซ์เทปและเดินทางไปสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง สังคมแปะป้ายภูว่าสำส่อน พวกเขามองว่าภูสมควรโดนเพราะอยากพาตัวเองเข้าไปเสี่ยง นี่เป็นความคิดที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุดเท่าที่ผมเคยสัมผัส แต่สิ่งที่ทำให้ผมเกลียดจนถึงกระดูกคือคุณแม่ของภู

แม่ที่บอกว่ารักลูกนักหนา แต่ก็ทอดทิ้งลูกง่ายๆเพียงเพราะเขาเป็นเกย์

หากมีโอกาส ผมคงตบหน้าเธอ คงด่าเธอด้วยคำหยาบคาย แกรักลูกประสาอะไรถึงผลักไสภู แม้ตอนที่ภูโดนข่มเหง แกก็ยังเลือกรักษาหน้ามากกว่าปกป้องลูกทั้งๆที่ตัวเองมีเงินถุงเงินถัง จะยัดใต้โต๊ะให้ตำรวจขยันทำงานหน่อยก็ย่อมได้ แต่นังแม่คนนี้กลับไม่ทำ นังสารเลว ผมก่นด่าเธอ แกฆ่าลูกชายด้วยมือของตัวเองแล้วยังจะทิ้งเขาให้เจอเรื่องอุบาทว์แบบนี้คนเดียวอีกเหรอ แกน่าจะไปทำหมันซะ แกไม่ควรเป็นแม่คน แกไม่สมควรได้รับความรักจากภูเลยด้วยซ้ำ อีแม่เหี้ย

“สอง”
“ว่าไง”
“สองจะไม่ทิ้งภูไปใช่ไหม” ภูเงยหน้ามองผม แววตาของเขามีความกลัวมากกว่าความหวังเสียอีก “พอรู้ความจริงแล้ว สองรังเกียจภูไหม”
“ไม่” ผมยืนยันด้วยคำพูด “ทำไมผมต้องรู้สึกอย่างนั้น”
“ภูกลัวสองรังเกียจที่ภูเคยขายคลิป ภูเคยโดน --”
“ผมไม่คิดว่าการขายคลิปเป็นเรื่องน่ารังเกียจ และผมคงไม่เลิกรักคุณเพียงเพราะเรื่องพวกนี้หรอกนะ” ผมรีบตัดบทและแกล้งดึงปลายจมูกของเขา “มากอดกัน” ผมบอก ภูรีบกางแขนโอบรอบเอวของผมเอาไว้แน่น “ผมรักคุณ”
“ภูก็รักสอง”

ผมหวังว่าคำบอกรักจะช่วยเยียวยาบาดแผลในหัวใจของภู ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้สึกที่ถ่ายทอดไปถึงเขาจะช่วยให้ภูเจ็บปวดน้อย น่าเศร้าที่มันคงไม่มากพอที่จะทำให้ภูกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม เขาเอาแต่นั่งหลังงองุ้มตรงปลายเตียง ดวงตาแดงช้ำเหม่อมองเศษกลีบดอกกุหลาบที่ร่วงบนพื้น เขาเมินเฉยผมที่กำลังเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีของชิ้นไหนถูกทิ้งไว้ในห้อง เราก็ออกเดินทางกลับคลินิก



พาร์ท 2 ต่อข้างล่างเลยคับผม  :hao5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2020 23:18:41 โดย ambiguous95 »

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
16 [PART 2/2]


เราสัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก แต่ภูก็โพล่งขึ้นมาระหว่างขับรถกลับบ้านว่าภีมเป็นคนช่วยเขา “ภีมมาหาแล้วก็รีบพาภูย้ายออกจากห้องนั้น” เขาพึมพำเหมือนพูดคนเดียว “ภีมให้เงินภู หาหอให้ใหม่ แล้วก็ให้ยืมรถขับ” เขาเล่าต่อไป ผมฟังเงียบๆไม่แสดงความเห็น ระหว่างที่ภูเล่าเรื่องออกมาโดยไม่มีร่องรอยของความเจ็บปวด ผมก็หันไปมองหน้าเขา

“ภีมเป็นพี่ชายที่ดี” ผมเอ่ยปากชม
“อืม” ภูยิ้ม “แต่บางทีก็ปากไม่ดี”

เขาหยุดเรื่องเล่าเอาไว้แค่นั้นอยู่ครู่ใหญ่ เนิ่นนานหลายนาทีกว่าที่ภูจะเปิดปากพูดอีกครั้ง รถเลี้ยวเข้าไปในลานจอดของคลินิก ผมสะพายกระเป๋าและเก็บของลงจากรถ ส่วนภูเดินตัวเปล่า เขาเหม่อลอยเหมือนคนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และผมก็ไม่ว่าอะไรหากจะต้องแบกสัมภาระทุกอย่างรวมถึงช่อดอกกุหลาบคนเดียว เราเดินผ่านพี่ส้มที่กำลังง่วนกับการคิดเงินลูกค้า ผ่านเพื่อนหมอคนหนึ่งเอ่ยทักทายภูแต่เขาทำเป็นไม่ได้ยิน แม้แต่ตอนที่ชานมวิ่งกระโดดไปมาด้วยความดีใจ ภูก็เมินเฉย เขารีบขึ้นห้องไปพักผ่อน ส่วนผมวุ่นวายกับการแบกทั้งสัมภาระและอุ้มเจ้าหมายักษ์ขึ้นข้างบน

ภูล้มตัวนอนลงทันที เขาปิดม่าน ไม่คิดจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยด้วยซ้ำ ผมวางชานมลงบนพื้นและลงบันไดไปขนของขึ้นมาอีกรอบ กลับขึ้นมาก็เห็นภูนอนคลุมโปงไม่พูดกับใคร แม้ชานมจะใช้เกยหัวตรงขอบเตียงและส่งเสียงร้องหงุงหงิงเรียนพ่ออย่างออดอ้อน แต่วินาทีนี้ไม่มีใครช่วยภูได้ เขากลายเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่พังไปแล้ว

“มานี่สินม”

ผมเรียกเจ้าหมาอ้วน ชานมเล่นกับผมแค่ครู่เดียวก็วิ่งไปหาภูอีก มันนั่งเรียบร้อย ยกขาก่ายเตียงเรียกภูให้หันมาทักทายแต่เจ้าตัวดูจะไม่สนใจ ภูพลิกตัวหนี พูดห้วนๆแค่ว่าอย่ายุ่งแล้วก็เงียบไป ผมมองภูอย่างอับจนหนทาง ไม่รู้จริงๆว่าต้องทำยังไงภูถึงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม บางทีความรักคงไม่พอ ผมอาจต้องทำอะไรมากกว่านี้ แต่ผมนึกไม่ออกเลยว่าคนอย่างสิปปกรจะทำอะไรได้ สุดท้ายผมก็ต้องปล่อยภูไว้แบบนั้นแล้วลุกไปจัดการเคลียร์ข้าวของให้เข้าที่ ผมซักผ้าและจัดเรียงของขวัญวันครบรอบบนชั้นวาง กล่องฟิกเกอร์ราคาถูกบุบบิ่นจนไร้ราคา ส่วนช่อดอกกุหลาบวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ผมง่วนอยู่กับการเคลียร์ห้องและเก็บแผ่นรองฉี่ของชานมไปทิ้ง กลับมาอีกทีภูก็หลับสนิทเสียแล้ว ผมใช้โอกาสนี้เช็กข้อความจากโทรศัพท์ เนเน่ออนไลน์อยู่ เธอคงรอดูปฏิกิริยาของผมว่าจะพูดยังไงกับเรื่องนี้ ผมรัวนิ้วลงบนหน้าจอที่ร้าวเป็นทางยาว ผมไม่ได้ติดฟิล์มกระจก นั่นหมายความว่ารอยแตกเกิดขึ้นกับตัวเครื่อง ผมเสียดายนิดหน่อยเพราะเพิ่งซื้อได้ไม่นาน แต่จะให้ตำหนิภูก็ทำไม่ลงเหมือนกัน

ผมคุยกับภูแล้ว
ค่ะ
ภูแก้ตัวว่าไงคะ
ขอบคุณสำหรับความหวังดีครับ
แต่คิดว่าไม่จำเป็น
ไม่ต้องส่งมาอีก


ผมกดบล็อกเนเน่ทันทีที่พิมพ์จบแล้วโยนโทรศัพท์ลงบนที่นอน ความเหนื่อยล้าที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนทำเอาผมแทบหมดแรงจะยืน ผมเดินเซไปตรงปลายเตียง นั่งหลังงองุ้มในท่าเดียวกับภูเมื่อเช้าไม่มีผิด ชานมรีบวิ่งอย่างร่าเริงมาหาผมพร้อมลูกบอล

“ภูนอนอยู่ ไว้เล่นวันหลังนะ”

ผมบอก แต่ชานมเป็นหมา ชานมจะไปเข้าใจอะไร ผมจึงลูบหัวมันสองสามทีและเมินเฉย ชานมที่น่าสงสารนั่งรออยู่นานกว่าจะตัดใจยอมแพ้ มันเดินคอตกกลับไปนอนบนฟูกของตัวเองและมองสลับไปมาระหว่างผมกับภู ในห้องนอนของเราไม่มีเสียงรบกวนนอกจากเสียงรถที่วิ่งผ่านคลินิก ผมเอื้อมตัวไปหยิบช่อดอกกุหลาบมาถือและนั่งมองอยู่อย่างนั้น ไม่ทำสิ่งอื่นเลยนอกจากชื่นชมความงดงามของมัน สวยมาก ผมพูดกับตัวเอง สวย สวย เป็นช่อดอกไม้ที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยได้รับ แม้ดอกจะช้ำและกลีบร่วงหล่นจนดูตลกแต่มันก็ยังสวย มันสวยเพราะเป็นดอกไม้ที่ได้รับจากภู มันสวยเพราะเป็นหนึ่งในของขวัญวันครบรอบของเรา ผมใช้ปลายนิ้วสัมผัสกลีบดอกอย่างแผ่วเบา มันร่วงติดมือโดยไม่ได้ตั้งใจ ยิ่งจับมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งร่วง ผมจึงตระหนักได้ว่าผมไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย ผมไม่สามารถทำให้ดอกกุหลาบนี้กลับมาบานสะพรั่งหรือรีดกระดาษห่อให้กลับมาเรียบดังเดิม ทำได้เพียงแค่โอบกอดมันเอาไว้แนบอก ชื่นชมความงดงามของมันในโลกส่วนตัว แม้ว่าอีกหน่อยดอกกุหลาบช่อนี้จะเหี่ยว มันจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและแห้งกรอบจนกลายเป็นผง แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ยืนยันว่าจะเก็บดอกไม้ช่อนี้เอาไว้ ผมจะเก็บมันไว้ในห้องนอนรกๆโกโรโกโส ห้องที่ไม่มีสิ่งใดสวยงามน่าพิสมัยซักชิ้นนั่นล่ะ ผมจะวางดอกไม้ช่อนี้ไว้บนตู้หนังสือที่เรียงรายด้วยผลงานแปลที่แสนภาคภูมิใจ และเมื่อใครถามถึงที่มาที่ไป ผมก็จะยิ้มและตอบพวกเขาว่า

“ดอกไม้ช่อนี้มาจากคนที่ผมรัก”

มาจากชายที่ผมรักสุดหัวใจ มาจากชายที่ทำให้โลกของผมสดใสเมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขา ผมกอดช่อดอกไม้เอาไว้แนบอกอีกครั้งและเริ่มร้องไห้ ผมหวังว่าเมื่อภูตื่นขึ้นมา เขาจะรู้ว่าชีวิตของเขานับจากวินาทีนี้จะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ภูควรรู้ไว้ว่ามีใครคนหนึ่งรักเขามากกว่ารักตัวเอง ผมหวังว่าเขาจะรู้ หวังว่าภูจะรู้ หวังว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงความรักจากคนไร้ประโยชน์ที่รอเขาตื่นอยู่ตรงนี้ หวังว่าความรักนั้นจะเพียงพอสำหรับการเยียวยาและโอบกอดภูเอาไว้ไม่ให้จมดิ่งในห้วงความทุกข์ หากโชคไม่ดี – หากความรักของผมไม่เป็นที่เพียงพอสำหรับเขา คนที่บุบสลายก่อนดอกกุหลาบช่อนี้อาจเป็นสิปปกร อาจเป็นผมที่แห้งเหี่ยวและตายทั้งเป็น เพราะผมไม่มีอะไรจะให้ภูนอกจากความรักและชีวิตที่เหลือของตัวเองอีกแล้ว



TBC

____________________


#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะพี่สาว แง้นๆๆ นิยายรายเดือนมาเสิร์ฟแล้วค่า 555555555555555555555555555555555555555555555555555
คิดถึงนะคะ ไม่พบกันนานเกือบเดือนเลย ต้องขออภัยจริงๆค่ะ ;-; ช่วงนี้เนื้อหาก็จะหน่วงๆหน่อย ช่วยเป็นกำลังใจให้กันจนกว่าเรื่องราวของทั้งสองคนจะถึงจุดสิ้นสุดด้วยนะคะ ขอบคุณค่า  :monkeysad:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สงสารภูและเกลียดแม่ภู ทำไมถึงได้หน้าบางขนาดนี้ ทำไมไม่ทำอะไรเพื่อลูกเลย ลูกตัวเองโดนทำถึงขนาดนี้เพราะอะไรถ้าไม่ใช่เพราะตัวแม่เองเป็นคนทำให้ภูหมดทางออกถึงได้โดนทำถึงขนาดนี้ ชีวิตของลูกก็ต้องให้ลูกเลือกเอง เราให้ได้แค่ชีวิต ส่วนตัวเขาจะไปทำอะไรกับชีวิตตัวเองเราที่เป็นแม่คงทำได้แค่ดูแลอยู่ห่าง และเป็นกำลังใจให้เมื่อลูกต้องการ ไม่ใช่ไปซ้ำเติมให้ลูกต้องไปทำอะไรแบบนี้แล้วโดนคนอื่นข่มเหงแบบนี้

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เบื้องหลังรอยยิ้มของภู

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
17 [PART 1/2]


ผมรู้สึกราวกับว่าภูของผมได้จากไปแล้ว เขาจากไปในเช้าหลังวันครบรอบหนึ่งปีของเรา ส่วนภูที่เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ตรงปลายเตียงคือคนหน้าเหมือนภูที่ไม่มีวิญญาณของภู

สุดที่รักของผมไม่ยิ้มอีกเลยหลังระเบิดอารมณ์ในเช้าวันนั้น ใบหน้าของเขาราบเรียบ เฉยชา ดูหมดอาลัยตายอยากแม้ว่าผมจะอยู่เคียงข้างตลอดเวลา ผมโทรศัพท์หาติณณภพตั้งแต่เมื่อวาน ขออนุญาตลากิจหนึ่งสัปดาห์เพื่ออยู่ดูแลสุดที่รักซึ่งกำลังซึมกะทือไร้ชีวิตชีวา ตอนนี้เขาดูเหมือนช่อดอกกุหลาบไม่สมประกอบของผม

“จะไม่กลับร้านก็ได้ แต่ต้องมีงานส่งนะ” ติณว่า ผมให้สัญญาและรับปากอย่างดีว่าสคริปต์พอดแคสต์ประจำสัปดาห์จะเสร็จตามกำหนดเวลา แม้ว่าตอนนี้สมองจะไม่มีเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องของสุดที่รักก็ตาม “เป็นอะไรอีกล่ะ หมอหมางอแงไม่ให้กลับเหรอ”
“เปล่าหรอก” ผมอ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอะไร “เดี๋ยวกูกลับอาทิตย์หน้า”
“ตามใจ”

ติณณภพดูอารมณ์เสียเล็กน้อย แต่เป็นภาวะฉุนเฉียวที่ยังพอพูดคุยกันได้ ผมจึงกดตัดสายและสูบบุหรี่ต่อ ระหว่างสุดที่รักกำลังบังคับตัวเองให้ทำงาน ผมก็ปลีกตัวขึ้นมาพักผ่อนหย่อนใจด้วยการอัดนิโคตินเข้าปอด ผมคงมีความสุขมากกว่านี้หากสุดที่รักส่งยิ้มหรือแสดงอารมณ์อย่างมนุษย์ออกมาบ้าง ทีแรกผมคิดว่าการเห็นภูร้องไห้นานเป็นชั่วโมงคือเรื่องที่บีบคั้นที่สุดและรุนแรงจนเกือบเรียกได้ว่าหัวใจสลาย แต่การเห็นเขาไร้อารมณ์ต่างหากที่รุนแรงกว่านั้นหลายเท่า ผมอาจตายได้หากภูยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป ผมคงตายจริงๆหากสุดที่รักของผมไม่กลับมาอีกแล้ว ผมอัดบุหรี่เข้าปอดอีกหนึ่งครั้ง บี้ก้นที่เหลือกับขอบกำแพง ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ผมเดินลงบันไดไปหาภูซึ่งอยู่ชั้นล่าง

ทุกย่างก้าวที่เดินลงไปพบสุดที่รัก ผมเอาแต่ครุ่นคิดว่ามีสิ่งใดบ้างที่อาจทำให้ภูรู้สึกดีขึ้น จู่ๆผมก็นึกถึงทริปไปเที่ยวต่างจังหวัดของติณณภพ บางทีภูอาจรู้สึกดีขึ้นหากได้เอาเท้าแช่น้ำทะเล ได้นั่งฟังเสียงคลื่นหรือกินอาหารอร่อยๆด้วยกันริมหาด แต่แล้วผมก็รู้สึกเศร้าขึ้นมากะทันหันเมื่อนึกได้ว่าผมขับรถไม่เป็น ผมไม่มีรถยนต์ส่วนตัว และไม่มีเงินมากพอจะดาวน์รถในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ถึงจะไม่มีรถก็ช่างเพราะผมมีภูเป็นคนขับ ผมยินดีจ่ายค่าพักโรงแรมเต็มที่เพื่อให้สุดที่รักได้พักผ่อนหย่อนใจ แต่เมื่อลงมาเห็นสีหน้าเหมือนคนไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว ผมจึงสำนึกได้ว่าภูไม่สามารถขับรถได้ในเวลานี้ เขาไม่ควรออกไปไหน และดูท่าว่าจะไม่อยากไปไหน ภูไม่บอกเลยว่าเขาต้องการหรืออยากกินดื่มอะไร วันๆภูเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง

ชานมก็อยู่ที่นั่น มันคงไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงได้เดินตามภูต้อยๆราวกับอยากง้อขอคืนดี ผมเรียกชื่อมัน ชานมรีบหยุดเดินตามภูและวิ่งก้นส่ายมาหาทางนี้ “นมไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก” ผมหอมหัวมันหนึ่งฟอดและเกาคอด้วยความรักใคร่ “ภูกำลังเสียใจ ภูไม่ได้โกรธนมเลย” เป็นครั้งแรกที่ผมอยากได้วุ้นแปลภาษา หากสามารถคุยกับชานมได้ ผมก็คงบอกชานมไม่ให้กระวนกระวายจนเกินไป “เดี๋ยวภูก็กลับมา” ผมกระซิบบอกมัน “เราต้องให้เวลาภูเยอะๆนะนม”

ผมบอกชานมเหมือนที่บอกตัวเอง คงจะดีไม่น้อยหากสุดที่รักของผมตอบสนองต่อสิ่งเร้าบ้าง ทุกวันนี้เขาเหมือนซากศพเดินได้ ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่มีสีหน้าท่าทีของความเสียใจ ไม่เหลือเค้าโครงของภูคนเดิมที่เคยรู้จัก แต่เขายังคงเป็นภูที่ผมรักเสมอไม่เคยเปลี่ยน ตลอดสามวันที่ผ่านมา ผมได้แต่เฝ้ามองภูเดินไปตรงนั้นที ตรงนี้ที เขาทำกิจวัตรตามปกติ เข้าคลินิก จ่ายยา ยกเว้นงานหัตถการที่ต้องใช้สมาธิ สัตวแพทย์อีกคนเป็นผู้รับผิดชอบส่วนนี้แทนภู อาการเหมือนคนป่วยทางใจของเขาทำให้ทุกคนสงสัยว่าความสัมพันธ์ของเราเริ่มส่อเค้าจะล่มเหมือนเรือไททานิคหรือไม่ แต่พวกเขาไม่มั่นใจเพราะผมยังคงอยู่ที่ร้าน และภูก็ไม่ได้มีท่าทีขับไสไล่ส่งผมอย่างออกหน้าออกตา ผมอยู่ที่นี่กับภูแต่เขามองไม่เห็น การไม่มีตัวตนในสายตาของคนที่เรารักกำลังฆ่าผมให้ตายทั้งเป็น ผมรักภู ผมเป็นห่วงภู แม้เขาจะบอกว่าตัวเองสกปรกและแหลกเหลวแต่ผมก็ไม่เคยคิดแบบนั้น ผมให้ทุกอย่างแก่ภูเท่าที่จะให้เขาได้ แต่การให้มีขีดจำกัด เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ทนไม่ไหว ผมก็เผลอร้องไห้ต่อหน้าเขาเพราะภูปฏิเสธที่จะทานมื้อเย็น เขาเมินเฉยผมที่อุตส่าห์สั่งอาหารราคาแพงจากภัตตาคาร แถมยังเตรียมใส่จานสวยงามรอทานด้วยกันกับเขา แต่ภูกลับไม่สนใจ เขาไม่แคร์เลยว่าผมหน้าเสียแค่ไหนตอนที่ภูบอกว่าไม่อยากกิน ผมเดินตามหลังเขาไปติดๆถึงห้องนอน เมื่อเราอยู่ด้วยการสองต่อสอง ผมก็ระบายความรู้สึกทั้งหมดออกมา

“ผมรู้ว่าคุณเศร้า คุณเสียใจ แต่คุณจะทำเหมือนผมไม่สำคัญไม่ได้นะภู” ผมฟูมฟายไปพร้อมกับทุบอกตัวเอง “ผมอยู่ตรงนี้ ผมรอคุณมาตลอด ทำไมคุณถึงไม่ยอมให้ผมกอดคุณ ทำไมคุณถึงผลักไสผมออกไป คุณไม่เห็นความรักของผมเลยเหรอ”

ผมไม่รู้จริงๆว่าเราต้องแตกสลายอีกกี่ครั้ง ต้องให้พูดย้ำอีกกี่ครั้งว่าผมรักภูโดยไม่มีข้อแม้ หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่เชื่อเนเน่ ผมจะบล็อคเธอตั้งแต่ทีแรกและไม่ดูคลิปบ้าๆพวกนั้นต่อหน้าภู ทั้งๆที่ผมควรเป็นฝ่ายเสียใจ ผมควรได้รับคำปลอบใจจากใครซักคนทว่าไม่มีใครยืนอยู่ตรงนี้เพื่อผมเลย ไม่มี ผมต้องเยียวยาตัวเองภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมต้องทำใจยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งเงื่อนไข ผมต้องพยายามเข้มแข็งเพื่อที่จะโอบกอดและบอกภูว่าเขาจะไม่มีวันถูกทอดทิ้ง แต่ภูกลับหนีผมไป เขาหนีไปที่ไหนซักแห่งซึ่งผมตามหาเขาไม่เจอ

“คุณจะให้ผมทำยังไง คุณจะให้ผมทำยังไง” ผมถามเขา เริ่มรู้สึกว่าตัวเองพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง “หากผมมีรถ ผมคงพาคุณไปทะเล ผมจะพาคุณไปพักผ่อนต่างจังหวัดเพื่อให้คุณลืมเรื่องเฮงซวยพวกนั้น เราจะหนีไปพักใจที่ไหนไกลๆกันสองคน หนีไปใช้ชีวิตข้างนอกโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไร ผมอยากพาคุณไปจากตรงนี้แต่ทำไม่ได้เพราะผมไม่มีเงิน” ผมร้องไห้โฮ “แต่ผมทำดีที่สุดแล้ว ผมพยายามแล้วเพื่อไม่ให้คุณรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง ผมไม่กลับร้านเพื่ออยู่กับคุณ ผมอยู่ที่นี่เพื่อดูแลคุณ เพื่อออกไปซื้ออาหารอร่อยๆให้คุณกิน คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนอย่างผมจะทำอะไรได้อีกนอกจากรักคุณและรักคุณเท่านั้น ผมทำมากกว่านี้ไม่ได้หรอก แต่ผมสาบานเลยว่าหากผมมีเงินมากพอ ผมคงพาคุณไปเที่ยวโดยไม่ลังเล แต่อย่างน้อยๆนะ อย่างน้อยที่สุดเลยนะภู คุณไม่ควรเมินเฉยต่อการมีอยู่ของผมขนาดนี้ หรือคุณเห็นว่าผมไม่สำคัญ คุณถึงทำเหมือนผมไม่มีตัวตนในสายตา”

ภูมองผมด้วยแววตาเหม่อลอย เขาดูมีคำพูดมากมายที่อยากพูดแต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรหลุดจากปากของเขา มีเพียงผมคนเดียวที่ร้องไห้เหมือนคนบ้า ผมขึ้นเสียงและโวยวายจนหมดแรง จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งร้องไห้บนพื้น ผมใช้หลังมือเช็ดน้ำตา เสียงคร่ำครวญดังอยู่ในลำคอไม่เงียบแม้แต่วินาทีเดียว ชานมเริ่มกระวนกระวายจนแสดงอาการประหลาด มันย่ำเท้าไปมาและเริ่มเอาหัวดุนแขนผม ชานมคิดว่าผมทำร้ายตัวเองแต่เปล่าเลย ผมแค่จิกดึงเส้นผมเพื่อลดอาการปวดตุบ ผมปวดหัวเรื้อรังและเหนื่อยเกินกว่าจะลุกขึ้นไปหยิบยา ผมเอาแต่นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนภูเดินเข้ามาหา เขาย่อตัวลงตรงหน้าและสวมกอดผมเอาไว้แน่น

“ขอโทษนะสอง แต่ภูไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตแล้ว” เขาเสียงสั่นก่อนจะร้องไห้ “ภูคิดทุกวันว่าจะทำยังไง แต่ภูคิดไม่ออก ภูไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะลืม บางทีภูก็อยากตายไปให้มันจบๆ ภูไม่อยากคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว”
“คุณไม่อยากอยู่กับผมหรือไง คุณจะทิ้งผมไปไหนเหรอภู” ผมกอดเขาตอบ เราสะอึกสะอื้นในอ้อมกอดของกันและกัน จู่ๆวินาทีนั้นภูก็กลับมาจากการเดินทางไกล เขาดูเหนื่อยล้าและเปราะบางเหลือเกิน “ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะแกล้งทำเป็นลืม ผมเข้าใจดีทุกอย่าง แต่ผมไม่ชอบเลยที่คุณคิดจะหนีผมไปด้วยวิธีแบบนั้น คุณจะทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวจริงๆเหรอ คุณไม่สงสารผมบ้างเลยเหรอ”
“แต่ภูอาย” เขาร้องไห้ “สองไม่อายเหรอถ้าทุกคนรู้ว่าภูโดนข่มขืน”
“พูดอะไรอย่างนั้น! ใครจะรู้ก็ช่างมัน ผมไม่สนใจเลยซักนิด” ผมผละตัวออกและบรรจงเช็ดน้ำตาให้สุดที่รักอย่างแผ่วเบา “คุณจะสนใจคนรอบตัวผมทำไม สนใจแค่ผมสิ ในเมื่อผมรักคุณ ผมยินดีร่วมหัวจมท้ายกับคุณ ทำไมคุณต้องคิดไกลว่าผมจะอับอายขายขี้หน้ากับเรื่องนั้น ภู – คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าผมรักคุณมากแค่ไหน จะให้ทิ้งคุณไปน่ะเหรอ ไม่มีวันหรอก! ผมรักคุณมากกว่าที่คุณรู้เสียอีก”
“แต่ถ้าวันหนึ่ง พ่อแม่ของสองรู้เรื่องนี้ล่ะ”

ผมสะอึกเมื่อได้ยินคำถามนั้น ส่วนภูยังคงมองมาด้วยแววตาคาดหวังว่าผมจะพูดบางอย่างออกมา แต่ผมก็ไม่ได้พูดถ้อยคำใดออกไปจนกระทั่งภูบีบมือผมแรงขึ้น เขากำลังจะปล่อยโฮอีกครั้งหากผมไม่ทำอะไรซักอย่าง

“ผมจะยังรักคุณเหมือนเดิม” ผมให้สาบาน “คุณกังวลเรื่องพ่อกับแม่ทำไม ผมไม่ได้อยู่ในสถานะต้องง้อครอบครัว พวกเขาต่างหากที่พึ่งพาผม”
“จริงเหรอ”
“จริงสิ! ผมไม่โกหกคุณหรอก” ผมยิ้มทั้งน้ำตา “เล่าให้ผมฟังหน่อยว่าคุณคิดอะไรอยู่ บอกให้ผมรู้ถึงความกลัวของคุณหน่อย เราจะได้เข้าใจตรงกันไง”

เรานั่งขัดสมาธิด้วยกันบนพื้น ภูยังคงร้องไห้ขณะพรั่งพรูเอาความเศร้า ความกังวล และความกลัวออกมาไม่ขาดสาย ชานมที่เคยเอาหัวมาเกยหน้าขาของผมย้ายก้นไปประจบสอพลอเจ้านายตัวเอง ภูสารภาพความในใจออกมาพร้อมกับลูกหัวชานม สุดที่รักของผมกลัวและกังวลว่าคลิปนั่นจะกระทบหน้าที่การงานของเขา กลัวว่าเพื่อนหมอ ลูกจ้าง ลูกค้า และคนรอบตัวของผมจะรู้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยขายคลิปโป๊ตัวเองบนอินเทอร์เน็ต เขากลัวว่าผมจะอับอายขายขี้หน้าจนไม่สามารถคบกับเขาต่อไปได้ ภูกลัวติณณภพรู้เรื่องนี้และหาทางขัดขวางไม่ให้เราอยู่ด้วยกัน

“ติณเป็นเพื่อนสนิทของผมก็จริง แต่ติณไม่ใช่เจ้าชีวิต” ผมบอกภู “คุณลืมเรื่องของติณไปเถอะ มันไม่เกี่ยวกับคุณเลย ไม่เกี่ยวกับเรา” ความไม่พอใจฉายชัดบนใบหน้า ภูขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนที่ผมพูดว่าไม่เกี่ยวกับเขา “ทำไม คุณโกรธที่ผมพูดถึงติณเหรอ” ผมถาม แต่ภูไม่ตอบ เขากุมมือของผมแน่นและเลิกกล่าวถึงเรื่องราวอัดอั้นตันใจของตัวเอง

เรานั่งท่านั้นอยู่นาน นั่งขัดสมาธิไปพร้อมกับประสานมือกันโดยมีชานมเอาหัวเกยทับอีกทอดหนึ่ง เรากำลังอยู่ในช่วงสงบสติอารมณ์ หลังจากระเบิดเสียงร้องไห้และความอัดอั้นตันใจออกมาเป็นน้ำตาและคำพูด เราก็ใช้เวลาเงียบๆไปกับการนั่งอยู่ด้วยกันซักพัก ผมรู้ว่าภูกลับมาแล้วเมื่อเขาเริ่มเกลี่ยนิ้วบนหลังมือของผม หยดน้ำตาแห้งเหือดทิ้งร่องรอยเป็นดวงตาแดงช้ำ โถ่ – ภูผู้น่าสงสาร ผมเอื้อมตัวหยิบทิชชู่มาเช็ดหน้าให้ภู แก้มของเขาร้อนเห่อเหมือนคนเป็นไข้ ผมเดาเอาว่าคงเป็นพลังงานตกค้างจากการปลดปล่อยอารมณ์มากกว่า เรานั่งอยู่ตรงนั้นอีกไม่กี่วินาที จู่ๆภูก็บอกรักผม

“ผมก็รักคุณ” ผมยิ้มหวาน “ผมรักคุณมากนะภู”

ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ไม่มีประโยคหวานซึ้งอื่นใดทำให้หัวใจของเราได้รับการเยียวยาเท่าคำว่ารัก ภูปล่อยมือจากผมแล้วเลื่อนมาสัมผัสแก้ม เรารู้ในทันทีว่าเหตุการณ์ต่อไปคืออะไร และยิ่งมั่นใจว่ามันต้องเกิดขึ้นเมื่อภูโน้มตัวลงมาจุมพิต เขาเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่มีโรลเพลย์พิเศษ วันนี้เขาคือภูผู้บอบช้ำจากเรื่องราวในอดีต ส่วนผมคือสองผู้ไม่มีอะไรดีนอกจากรักภูมากกว่าใคร หากร่างกายของผมสามารถเยียวยาความเจ็บช้ำในใจให้เขาได้ ผมก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ภูลืมเรื่องราวทั้งหมดไปเสีย

“ถ้าเราจะมีอะไรกัน คุณต้องเอาชานมไปเก็บ” ผมเบี่ยงหน้าออกจากภูเมื่อชานมเริ่มกระโดดเกาะไหล่และเลียแก้มของผมจนเปียก “เอาไปเก็บเดี๋ยวนี้เลย”

ภูหัวเราะ เขาจูบหน้าผากผมแล้วอุ้มชานมด้วยสองมือ เจ้าหมายักษ์ตาเหลือกเพราะรู้ว่าตัวเองต้องกลับไปอยู่ในคอกและคงไม่ได้ออกมาเล่นกับเราจนกว่าอะไรๆจะเสร็จ ภูรีบปิดม่านกั้น ตอนนี้เราตัดขาดจากเจ้าตัวป่วนโดยสมบูรณ์แล้ว ในห้องนอนที่มีแค่เรา ผมกับภูจ้องหน้ากันในความเงียบ

“คิดถึงผมแค่คนเดียว” ผมบอกเขาเมื่อแววตาของภูอ่อนลง เขากำลังครุ่นคิดหรือหวนนึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องดี “ตอนนี้คุณมีแค่ผมนะ”

ภูยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ไม่สดใสร่าเริงอย่างที่ควรเป็น เขาเดินเข้ามาหาผมที่นั่งรอตรงปลายเตียงและลูบหัวของผมเบาๆ

“ในหัวของภูก็มีแค่สองนั่นแหละ” มือของภูเลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ เขาจงใจไล้ปลายนิ้วบนคอของผมก่อนจะไปหยุดที่หน้าอก “ภูถอดให้ดีไหม” เมื่อได้รับคำอนุญาตเป็นรอยยิ้ม ภูก็ใช้นิ้วปลดกระดุมเสื้อของผมด้วยความชำนาญ ผมรู้ในทันทีว่าได้ปลุกสัตว์ป่าตัวหนึ่งเข้าให้แล้ว



PART 2 ต่อด้านล่างนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
17 [PART 2/2]

ผมนอนคว่ำหน้าบนเตียง เนื้อตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อจากการบอกรักกันเมื่อครู่ ผมรู้สึกปวดมากกว่าปกติเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร

“ภูรักสอง” ภูกระซิบข้างหูหลังกระแทกกระทั้นอย่างเอาแต่ใจมาหลายนาที “ภูรักสองที่สุดเลย” เสียงเขาแหบพร่า ฟังดูก้ำกึ่งระหว่างยั่วยวนกับเหนื่อยจนหอบแดก ผมมั่นใจว่าคงเป็นความเหนื่อยมากกว่า เรานอนจูบกันอีกหน่อยก่อนที่ภูจะผละหน้าออก เขาจ้องมองผมด้วยแววตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรักใคร่ มือข้างหนึ่งของเขาเกลี่ยผมหน้าม้าปรกตาออกให้อย่างแผ่วเบา เรานอนมองตากันอยู่อย่างนั้นไม่กี่นาทีก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายโผกอดเขา

ภูยังคงเหนื่อยอยู่ เขากอดผมเอาไว้แน่นขณะที่ยังหายใจแรง เรากอดก่ายกันบนเตียงจนตัวแห้งจากนั้นจึงชวนกันไปอาบน้ำและทานข้าวที่ถูกทิ้งจนเย็นชืด สีหน้าของภูดูดีขึ้นมานิดหน่อยแต่ไม่ถึงกับสดใสเหมือนก่อนหน้า ผมดีใจที่ตอนนี้ภูกลับมาแล้ว แม้ว่าการกลับมาของเขาจะไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม

เรายืนแปรงฟันด้วยกันหน้ากระจกหลังทานอาหารเสร็จ จากนั้นก็ส่งชานมเข้านอนและขึ้นเตียง ผมหยิบผ้านวมผืนใหญ่มาคลุมร่างของเรา ส่วนภูย้ายศีรษะมาซบตรงซอกคอของผม เขาขอให้อ่านหนังสือให้ฟังเหมือนเช่นทุกที

“คุณอยากฟังเรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องอะไรก็ได้ของมาร์กาเร็ต”
“มันคงไม่สนุกสำหรับคุณหรอกนะ”

ผมว่าพลางเอื้อมตัวรื้อหนังสือในลิ้นชักใต้เตียง ภูยกลิ้นชักส่วนนี้ให้เป็นกรุสมบัติส่วนตัวของผมซึ่งส่วนใหญ่ก็มีแต่หนังสือ ผมพยายามหาว่ามีหนังสือของมาร์กาเร็ตซักคนหลงอยู่ในลิ้นชักนี่หรือไม่ แล้วผมก็พบว่านอกจากเรื่องอย่าไปไหนที่ภูอุดหนุนด้วยตัวเอง ยังมีเรื่องคนรักจากโคลองของมาร์เกอริต ดูราส

“มาร์กาเร็ตคนไหน?”
“มาร์กาเร็ตคนฝรั่งเศส” ผมตอบพลางกระถดตัวกลับไปนอนให้ภูนอนซบไหล่ “อันที่จริงต้องออกเสียงว่ามาร์เกอริต”

ผมบอกเขา ในมือมีหนังสือปกเหลืองเล่มบาง นี่ไม่ใช่หนังสือต้นฉบับของสำนักพิมพ์ มันคือฉบับก็อปปี้ที่ผมถ่ายเอกสารเก็บไว้ตอนเรียนปีสาม ผมบังเอิญเจอหนังสือเรื่องนี้จากชั้นที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่าน จำได้ว่าปกของมันเก่ารุ่ย หน้าปกตัวจริงขาดไปแล้ว เหลือเพียงปกกระดาษแข็งสีน้ำเงินเข้มที่หอสมุดทำขึ้นใหม่เท่านั้น บ่ายวันพฤหัสหลังเลิกเรียนวิชานวนิยายเอกอังกฤษ ผมกับติณนั่งรื้อหาหนังสือน่าอ่านด้วยกัน วันนั้นติณถูกใจงานเขียนเก่าๆของนักเขียนญี่ปุ่น ส่วนผมได้รู้จักกับมาร์เกอริตครั้งแรกผ่านทางหนังสือเรื่องนี้ ผมจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ จำได้แค่ว่าอ่านจบแล้วผมรู้สึกเหมือนกำลังนอนแช่ในแอ่งน้ำขังอยู่ที่ไหนซักแห่ง มันเย็นเยือก บาดลึก และไม่สมหวัง ผมชอบงานเขียนโศกนาฎกรรม

“คุณแน่ใจนะว่าอยากฟังเรื่องนี้”
“ใช่” ภูยืนยัน เขาขยับหมอนให้เข้าที่เพื่อนอนฟังผมอ่านหนังสือด้วยใจจดจ่อ “จบเศร้าอีกแล้วเหรอ”
“อืม ตัวเอกไม่ได้อยู่ด้วยกันในตอนจบ” ผมตอบ “อยากเปลี่ยนเรื่องไหม”
“ไม่ เอาเรื่องนี้แหละ”
“คุณไม่กลัวฝันร้ายเหรอ มันไม่ค่อย – จะพูดยังไงดีละ จรรโลงใจน่ะ”
“ฝันร้ายก็ไม่กลัว เพราะภูมีสองอยู่ด้วยแล้วไง” ภูยิ้มหวาน เขาดึงมือของผมไปจุมพิตและเอนตัวซบไหล่อย่างออดอ้อน ภูตัวน้อยของผมกลับมาแล้ว “อ่านให้ภูฟังหน่อยนะ”
ผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเขาถึงหมกมุ่นกับนักเขียนที่ผมชื่นชอบนักหนา ผมเองก็เคยบอกภูไปแล้วว่าเขาไม่จำเป็นต้องชอบทุกอย่างที่ผมสนใจหรอก เราไม่ต้องอ่านหนังสือแนวเดียวกันทุกเล่มก็ได้ แต่ภูยังคงรบเร้าขอให้ผมพาเขาไปทำความรู้จักกับโลกส่วนตัวของตัวเองเสมอ แน่นอนว่าผมตามใจภู ไม่ว่าอะไรที่ภูร้องขอ ผมยินยอมที่จะให้เขาโดยไม่มีเงื่อนไข ดังนั้นคืนนี้ผมจึงอ่านคนรักจากโคลองให้ภูฟัง หนังสือเรื่องนี้เคยทำเป็นภาพยนตร์ในปี 1992 พวกเขายกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์อีโรติคที่ดีที่สุดแห่งยุค ติณณภพเองก็เคยดูหนังและชื่นชอบพอสมควร ส่วนผมชอบหนังสือมากกว่า ผมชอบการบรรยายชีวิตขัดสนของคนฝรั่งเศสที่เกิดในเวียดนาม ชอบการที่ดูราสพูดถึงความรักของแม่ที่มีต่อพี่ชายมากกว่าลูกคนอื่นในบ้าน และความเกลียดชังที่เธอมีต่อพี่ชาย ในขณะเดียวกันเธอก็ใช้เวลาแรกรุ่นไปกับการรักลูกเศรษฐีชาวจีนซึ่งไม่อาจปฏิเสธคู่ครองที่มารดาเลือกให้ ผมจำตอนหน้าสุดท้ายของเรื่องนี้ไม่ได้ มันผ่านมานานหลายปีจนอาจลืมรายละเอียดพวกนี้ แต่ผมไม่เคยลืมความรู้สึกจับใจยามซึมซับถ้อยคำของมาร์เกอริต ดูราสเลย

การเขียนหนังสือไม่ใช่อะไรอื่นนอกไปเสียจากเพื่อที่จะซ่อนเร้นตัวตนอันแท้จริง แล้วสร้างภาพพจน์ให้ตัวเองเป็นอะไรขึ้นมาแล้วทำให้มีคนมาอ่าน –

ภูขยับตัวเล็กน้อยเมื่อผมอ่านถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาปรือปรอยใกล้หลับเต็มทน แต่ก็ยังฝืนฟังสิ่งที่ผมอ่านโดยไม่ยอมนอน ผมเลื่อนริมฝีปากไปจุมพิตบนหน้าผากของเขา “นอนเถอะ นอนก็ได้หากคุณง่วง” แต่ภูยังคงไม่ยอมแพ้ เขาหอมแก้มของผมกลับและยืนยันว่าจะฟังต่อไป

บนเรือข้ามฟาก ใกล้ๆกับรถประจำทาง รถลีมูซีนสีดำคันใหญ่จอดอยู่ มีคนขับสวมเครื่องแบบผ้าฝ้ายขาว ใช่ มันคือรถบรรทุกศพคันใหญ่ในหนังสือหลายๆเล่มของฉัน รถยนต์คันนี้ยี่ห้อมอริส-เลอง-ขอ เล ดูเอาเถิด... แม้แต่รถแลนเซียสีดำของสถานทูตฝรั่งเศสในกัลกัตตาก็ยังมิได้ปรากฎในวรรณคดีเลย
 
ผมเพลิดเพลินกับการอ่านจนไม่ดูเวลา กว่าจะรู้ตัวอีกทีภูก็หลับโดยพิงไหล่ของผมเสียแล้ว ผมจึงรู้ว่าภูไม่ได้อยากฟังหรืออยากรู้อะไรเกี่ยวกับโลกของผมนักหรอก เขาก็แค่ต้องการคนกล่อมนอนที่อ่านอะไรซักอย่างซึ่งตัวเองไม่เข้าใจต่างหาก สุดที่รักของผมนอนคอพับไม่รู้เรื่อง ผมต้องค่อยๆปรับท่านอนเพื่อให้ภูหลับสบายไม่อย่างนั้นเขาจะเมื่อยคอ ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าภูหลับสนิท เขาตัวอ่อนปวกเปียกยามที่ผมดึงผ้านวมมาห่มให้ ดวงตาของเขาหลับพริ้ม แพขนตายาวเรียงเป็นระเบียบยิ่งทำให้เขาดูงดงามแม้กระทั่งตอนหลับ ผมจูบหน้าผากของภูอีกหนึ่งครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปทำงาน

หากไม่มีงานที่ต้องทำ ผมคงล้มตัวลงนอนเคียงข้างภูเหมือนเช่นทุกคืน แต่หลายวันที่ผ่านมานี้ผมเสียเวลาไปกับการตามหาภูจนแทบไม่เป็นอันทำงาน กล่องข้อความมีอีเมลแจ้งเตือนจากพี่ดาวและอีเมลติดต่อเสนองานจากเว็บไซต์รับงานแปลต่างประเทศ เดาว่านายจ้างคงหายเกลี้ยงเพราะไม่ได้ตอบอีเมลใครซักฉบับ ผมจึงต้องใช้เวลาช่วงดึกไล่ตอบอีเมลและเริ่มทำงาน ผมเพลียและปวดหลังแต่ก็ทิ้งงานไม่ได้ซักงานเดียว สมองของผมตื้อตันและอ่อนล้าเกินกว่าจะสรรหาไอเดียพอดแคสต์ พอสลับกลับไปทำงานแปล ตาทั้งสองข้างก็พร่ามัวจนมองหน้าจอไม่ชัด ผมนึกคำแปลสวยๆไม่ออก คิดอะไรไม่ออกนอกจากนั่งหาวและใช้กำปั้นทุบหลังตัวเอง พรุ่งนี้ผมจะรีบไปร้านขายยาเพื่อซื้อแผ่นแปะร้อนบรรเทาอาการปวดกับครีมร้อนนวดคลายกล้ามเนื้อซักหลอด หลังจากนั้นก็ขอให้ภูช่วยนวดให้ พอเริ่มดีขึ้นผมก็กลับไปเคลียร์งานทั้งหมดก่อนจะติดแบล็คลิสต์จากบรรดานายจ้าง นี่คือแผนคร่าวๆสำหรับวันพรุ่งนี้ ส่วนวันนี้ –

ผมปิดแล็บท็อปก่อนจะเดินสะโหลสะเหลกลับไปที่เตียงนอน สุดที่รักของผมหลับสนิทแล้ว เขาพลิกตัวมาสวมกอดผมเมื่อสัมผัสได้ถึงแรงยวบข้างเตียง ผมกอดเขาตอบไปพร้อมกับลูบหลังของสุดที่รักอย่างแผ่วเบา ภูหลับตาพริ้มในอ้อมกอดของผม เขาดูบอบบางและน่าทะนุถนอมเหมือนเทวดาตัวน้อยยามหลับ ขณะที่จ้องมองเขา ผมก็ได้ภาวนาว่าหลังจากนี้ภูจะไม่ต้องพบเจอเรื่องที่ทำให้เสียใจอีก หรืออย่างน้อยถ้าเขาต้องเจอเรื่องไม่ดีก็ขอให้ผมเป็นคนแบกรับความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้เพียงผู้เดียวเพราะประสบการณ์ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้สอนให้รู้ว่าไม่มีอะไรจะเจ็บปวดไปกว่าการที่เห็นสุดที่รักของเราร้องไห้อีกแล้ว


 


เราตื่นนอนเพราะเสียงนาฬิกาปลุก ตอนตื่น ภูบิดขี้เกียจด้วยท่าทางพิสดารจนผมไม่แน่ใจว่าเขาสามารถงอแขนและบิดหลังโดยกระดูกไม่หักได้ยังไง ผมปรือตามองภูที่ส่งเสียงในลำคอ เขายังดูอ่อนแรงและเพลียราวกับการพักผ่อนเมื่อคืนไม่ช่วยอะไร แต่เมื่อเห็นผมกำลังจ้องอยู่ ภูก็ยิ้มหวานและกระถดตัวเข้ามาใกล้

“ตื่นแล้วคับ” ภูรายงานด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย เก่งนักละกับการขยันทำตัวน่ารักให้ผมหลงจนโงหัวไม่ขึ้น “อยากจูบสองจัง”
“ไปแปรงฟันก่อน” ผมตอบและหลับตาต่อ “ไม่แปรงฟันไม่ให้จูบนะ”
“ได้ แต่เมื่อคืนสองอ่านจบไหม ภูง่วงมาก หลับไปตอนไหนยังไม่รู้เลย”
“ไม่จบหรอก พอคุณหลับผมก็ลุกไปทำงาน”
“งานอะไร”
“งานแปลสิ คุณลืมแล้วเหรอว่าผมเป็นฟรีแลนซ์” ผมแกล้งตีเขา “ไปอาบน้ำได้แล้ว คุณต้องทำงานนะ”
“ไม่อยากทำงานเลยอ่ะ”
“ผมก็ไม่อยากทำ”
“งั้นเราเลิกทำงานกันเถอะ”
“ไม่ทำงานแล้วจะเอาอะไรกิน ผมยังมีครอบครัวที่ต้องส่งเสียอยู่นะ”

ผมตอบ แล้วสมองก็คิดถึงงาน วันนี้มีสิ่งที่ต้องทำเยอะแยะไปหมด ผมต้องกลับไปแปลงานค้าง ต้องตอบอีเมลของพี่ดาวและเกลางานแปลบางบทเสียใหม่ ต้องคิดสคริปต์พอดแคสต์ส่งติณณภพให้ทันเวลา ต้องโอนเงินประจำเดือนให้พ่อกับแม่ โอนเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์เพื่อเป็นเงินสำรองให้เปเปอร์ ต้องจ่ายค่าโทรศัพท์และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ต้อง – ต้อง – ต้องทำอะไรอีกนะ ผมจะลุกขึ้นนั่งไปพร้อมกับนึกให้ออกว่าต้องทำอะไร อ้อ แน่ละ สิ่งแรกที่ต้องทำทุกครั้งหลังตื่นนอนในห้องของภูคือการเก็บอึของชานม

ภูหยิบผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำ ส่วนผมเปิดม่านทักทายเจ้าหมายักษ์ที่ส่ายก้นดุ๊กดิ๊กอย่างเริงร่า ผมลูบหัวชานมก่อนจะเปิดกรงให้มันออกมาวิ่งเล่น แผ่นรองฉี่เปียกไปครึ่งเดียว สามารถใช้ต่อได้แต่ก็ไม่ควรวางไว้ในห้องนอน ข้างชามน้ำมีอึก้อนมหึมาวางอยู่ ผมถอนหายใจเฮือกและเดินไปหยิบทิชชู่ เก็บสิ่งปฏิกูลของชานมลงถุงพลาสติก จากนั้นก็ใช่ทิชชู่เปียกเช็ดพื้นตามด้วยเดทตอล เรียบร้อย คอกของชานมสะอาดแล้ว เจ้าหมายักษ์วิ่งวนไปมาด้วยความดีใจเพราะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีจะได้กินมื้อเช้าแสนอร่อย ผมนำแผ่นรองฉี่ลงไปข้างล่างพร้อมกับอุ้มเจ้าหมายักษ์ไปด้วย พี่ส้มมาถึงร้านเร็วกว่าเวลาทำงานเช่นเคย เธอทักทายผมและถามถึงภู

“อาบน้ำอยู่ครับ” ผมบอกเธอ “เดี๋ยวก็ลงมา”
“ช่วงนี้หมอภูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ดูเครียดๆ”
“อ้อ –” ผมเปล่งเสียงในลำคอ แต่ไม่บอกความจริงกับพี่ส้ม “ไม่มีอะไรหรอกครับ ธรรมดาของเขาแหละ”
“เหรอคะ”

พี่ส้มยิ้มแหย เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ผมจึงเดินกลับขึ้นห้องโดยไม่สรรหาบทสนทนามาผูกมิตรอีก เมื่อเปิดประตูเข้าไปผมก็เห็นภูนั่งอยู่ตรงปลายเตียง เขากำลังแกะกล่องฟิกเกอร์ผิดลิขสิทธิ์ที่ผมเป็นคนซื้อให้ด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ว้าว น่ารักจัง” ภูพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง เขากลับมาเป็นคนเดิมที่ผมตามหาแล้ว “จะวางไว้ตรงไหนดีนะ” เขาพึมพำและหมกมุ่นกับการสรรหาที่วางฟิกเกอร์ของฮาวล์ โซฟี และมาร์เคิล ผมปล่อยให้เขาใช้เวลาอยู่กับตัวเองจึงเดินไปแปรงฟัน จากนั้นก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวลงไปทานมื้อเช้ากับภู

หมอจ๋อมแจ๋มก็อยู่ในครัวเมื่อเราลงไปด้านล่าง เธอยกมือไหว้ผมและรายงานให้ภูฟังว่าเมื่อคืนมีเคสกี่เคส มีเคสหนักไหม มีสัตว์ตัวไหนต้องดูแลเป็นพิเศษระหว่างวันหรือเปล่า ภูพยักหน้าหงึกหงักขณะฉีกอาหารซองให้ชานม ส่วนผมวุ่นวายอยู่กับการชงไมโลและปิ้งขนมปัง หลังจากฟังหมอจ๋อมแจ๋มสรุปเคสแล้วผมก็เล็งเห็นว่ากะกลางคืนไม่ค่อยมีเคสเท่าไหร่ หากแม่ของภูรู้ข้อมูลนี้ ผมเดาเอาว่ากะกลางคืนน่าจะโดนยุบเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

“มาร์กาเร็ตเป็นไงบ้างคะพี่สอง”
“สบายดีครับ ติณเลี้ยงอย่างดี” ผมยิ้มพลางวางแก้วไมโลร้อนตรงหน้าภู เสียงเคี้ยวอาหารยับๆของชานมดังเป็นแบคกราวน์บทสนทนาของเรา “มาร์กาเร็ตเป็นมาสคอตของร้านกู้ด รี้ดดิ้งไปแล้วด้วย”
“โชคดีจังเลยเนอะที่มาร์กาเร็ตได้อยู่กับคนใจดีแบบพี่ติณ”

ผมยิ้มและไม่พูดอะไร ติณเป็นคนใจดีจริงๆตามที่เธอว่า บางครั้งก็ใจกว้างอย่างเหลือเชื่อ เราสามคนนั่งทานอาหารเช้าด้วยกันในครัว หมอจ๋อมแจ๋มจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่าภูซึ่งเอาแต่นั่งกินขนมปังและซดไมโลจนหมดแก้ว หลังถึงเวลาออกกะ หมอจ๋อมแจ๋มก็สะพายกระเป๋าข้างและเดินออกจากคลินิกไป ภูถอนหายใจโล่งอกราวกับมีเรื่องให้กังวลนักหนา เมื่อผมถามว่าเขามีปัญหาอะไรกับหมอจ๋อมแจ๋ม ภูก็บอกว่าไม่มี เขาไม่มีปัญหากับจ๋อมแจ๋ม เขาแค่ไม่อยากทำงาน

“ทำเถอะ อย่างน้อยคุณก็ยังพอมีเวลาพักช่วงที่ไม่มีเคสนะ”
“แต่ภูอยากนอนเฉยๆ”
“เหรอ”
“นอนกอดสองเฉยๆ”
“อ้อนอะไรขนาดนั้น คุณอยากได้อะไรล่ะ”
“เปล่าหรอก ภูแค่ – กลัว” เขาสารภาพจากใจจริง “ภูกลัวสองเปลี่ยนใจ”
“ไร้สาระมาก” ผมหัวเราะแต่ภูไม่ขำ เขาจริงจังมากเมื่อเราคุยกันเรื่องนี้อีกครั้ง “คุณเป็นอะไรไหนลองบอกผมหน่อยสิ” ผมตบตักเรียกให้ภูมาหา เขานั่งคร่อมผมโดยหันหน้าเข้าหากัน สีหน้าเศร้าสร้อยของภูทำให้ผมรู้สึกไม่ดี “ทำไมถึงคิดว่าผมจะเปลี่ยนใจอีกล่ะ”
“ไม่เคยมีใครรับได้เลย ตอนแรกก็บอกว่าไม่เป็นไรแต่สุดท้ายก็ขอเลิก บางทีภูก็สงสัยว่ามันน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อะไรน่ารังเกียจ ผมไม่เห็นว่ามันจะน่ารังเกียจตรงไหน” ผมพูดตามตรง “ผมไม่แคร์เรื่องพวกนั้นหรอกนะ ไม่สนใจเลยซักนิด ผมสนใจแค่คุณในปัจจุบันมากกว่า” ผมลูบหัวของภูเบาๆ เขายังคงไม่มั่นใจในคำพูดของผมเท่าไหร่ “นี่ ถ้าผมเปลี่ยนใจ ผมคงไม่ขอติณค้างกับคุณอาทิตย์นึงหรอกนะ”
“แต่ภูก็ยังรู้สึกว่าตัวเองสกปรกอยู่ดี”
“ไม่จริงเลย คุณไม่สกปรกเลยซักนิด” ผมดึงมือของภูมาจูบ “มือคุณหอมจะตาย” ผมยิ้มแหย่ ภูเริ่มแก้มแดงเป็นมะเขือเทศ “ตัวคุณก็หอมนะ” ผมพูดแล้วแกล้งยื่นหน้าเข้าไปดมซอกคอของเขา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงของภูทำให้ผมสดชื่นกว่าเดิม “แก้มคุณก็หอม ยื่นหน้ามาสิ ผมจะหอมแก้มคุณ”

ภูหัวเราะแต่ก็ยื่นแก้มมาให้ ผมหอมเขาอย่างรวดเร็ว หอมแก้ม หอมหน้าผาก และจูบริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา เรามองตากันโดยไม่พูดอะไร วินาทีนั้นภูหน้าแดงแจ๋ แก้มเปล่งปลั่งเหมือนเด็กหนุ่มขี้อายผู้งดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องฝรั่งเศส บางทีเขาก็กลายเป็นอะไรบางอย่างที่น่ารักจนผมอยากกลืนลงท้อง บางครั้งเขาก็เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่ทำตัวรุ่มร่าม มือของภูเริ่มอยู่ไม่สุขอีกแล้ว ผมตีมือเขาเพื่อเตือนว่านี่คือห้องครัว ห้องครัวไม่ใช่สถานที่ที่เราจะมานั่งล้วงกันอย่างนี้ เมื่อภูยอมหยุดมือที่ซุกซนของเขาไว้ตรงขอบกางเกง  ผมจึงหยิกแก้มเจ้าตัวยุ่งและไล่เขาให้ไปทำงาน

“ย้ายมาอยู่กับภูได้ไหม” เขาอ้อนเสียงหวาน “สองย้ายมาอยู่กับภู ส่วนกลางวันก็ไปอยู่ร้านพี่ติณเหมือนเดิม”
“ผมเหนื่อยเดินทาง”
“เดี๋ยวภูรับส่งเอง”
“อย่าเลย รถมันติด” ผมลูบแก้มเขา รู้สึกหนักใจทุกครั้งที่ต้องคุยกันเรื่องนี้ “ภู ผมรักคุณนะ ผมรักคุณจริงๆ”
“ภูรู้ แต่ภูก็อยากให้เราอยู่ด้วยกัน”
“ผมก็อยากอยู่กับคุณ แต่ผมทิ้งร้านกู้ด รี้ดดิ้งไม่ได้”
“เพราะพี่ติณขอไว้เหรอ”
“เปล่า” ผมส่ายหน้า “เพราะกู้ด รี้ดดิ้งคือความภูมิใจของผม”

ภูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจดีว่าผมรักร้านหนังสือนั่นขนาดไหน ผมผูกพันกับมันมานานเกินกว่าจะยอมตัดใจลดบทบาทตัวเองลง และภูก็รับรู้มาเสมอ เขาอาจจะรู้ถึงกระทั่งหากผมต้องเลือกระหว่างภูกับกู้ด รี้ดดิ้ง ผมอาจจะเลือกกู้ด รี้ดดิ้ง

“แล้วซักวันเราจะได้อยู่ด้วยกัน”
“ยังไง” ภูถาม เขาเองก็คงมองไม่เห็นอนาคต “ถ้าภูยังต้องทำงานที่นี่ และสองก็ต้องเฝ้าร้านที่นนฯ เราจะอยู่ด้วยกันได้ยังไง”
“ผมจะหาทาง ผมสัญญา” ผมสอดประสานมือทั้งสองข้างกับภู เขาก้มลงมองมือของเราและเงยหน้าจ้องตาผม “วันนั้นเราจะมีบ้านซักหลัง บ้านที่เป็นของเรา บ้านเล็กๆมีพื้นที่สำหรับชานม มีห้องนอนใหญ่สำหรับวางตู้โชว์ฟิกเกอร์ที่คุณชอบ มีชั้นหนังสือสะสมของผม เราจะอยู่ด้วยกันในบ้านหลังนั้น วันหยุดก็จะออกไปเที่ยวกัน พาชานมไปว่ายน้ำ ไปทะเล ไปต่างจังหวัด ไปที่ที่เราอยากไป”
“จริงเหรอ”
“จริงสิ ผมถึงทำงานเอาเป็นเอาตายเพื่อเก็บเงินไง” ผมโกหก เพราะต่อให้ทำงานจนสายตัวแทบขาดก็ไม่มีวันซื้อบ้านได้ซักหลัง แต่ผมใช้คำหวานหลอกล่อภูเพื่อให้เขายอมปล่อยผมไปทำสิ่งที่ควรจะทำ “ทีนี้ลุกขึ้นไปทำงานเก็บเงินเพื่อความฝันของเรากันนะ ถ้าเราช่วยกัน วันหนึ่งเราต้องซื้อบ้านด้วยกันได้แน่ๆ”
“สองจะอยู่แถวนี้ใช่ไหม”
“ใช่สิ ผมก็จะนั่งอยู่ชั้นล่างนี่ล่ะ ไม่ไปไหนหรอก” ผมยิ้มและโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูของเขา “ผมมีเวลาเฝ้าคุณทั้งวัน”

ภูหัวเราะคิกคัก เขาดูชอบใจเมื่อผมพูดอะไรชวนจั๊กจี๋แบบนั้นออกมา เรานั่งกอดกันบนเก้าอี้ในครัวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ภูจะผละตัวออก เขายื่นหน้ามาจูบผม และบอกรัก จูบผมซ้ำอีกครั้งและบอกว่าจะไปทำงาน แต่เขาก็ยื่นหน้าเขามาจูบอีกจนผมต้องตีต้นแขนเขา พอได้แล้ว! ผมบอกทั้งๆที่ยังหัวเราะ หน้าของเราทั้งคู่ร้อนผ่าวและแดงเห่อ เราผลักตัวออกจากกันเมื่อถึงเวลาทำงาน ผมช่วยภูจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกจากห้องครัว ตรงนั้น ตรงด้านหน้าของคลินิกซึ่งเป็นที่รับแขก มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งยืนหันหลังอยู่ ข้างเธอคือพี่เลี้ยงเด็กที่มีเด็กอยู่ในเป้อุ้ม เด็กคนนั้นสวมชุดสีชมพูหวาน ดวงตาของเธอใสเหมือนลูกแก้ว เมื่อเธอเห็นภู เธอก็ร้องเรียกด้วยความดีใจราวกับไม่ได้พบกันมานาน

“แม่” ภูยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องครัว ผมหยุดยืนข้างภูโดยอัตโนมัติ สุภาพสตรีคนนั้นหมุนตัวกลับมามองเราทั้งคู่ เธอปรายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าและมองลูกชาย “แม่มาทำไมแต่เช้า”
“แม่มาดูว่าภูเปลี่ยนคลินิกของแม่เป็นอะไร” เธอยิ้มด้วยรอยยิ้มเดียวกับภู แต่เยือกเย็นและดูน่าเกรงขามกว่าลูกชายหลายเท่า “แม่ไม่คิดเลยนะว่าภูทำได้ถึงขนาดนี้ ภูกล้าเปลี่ยนคลินิกรักษาสัตว์ของแม่เป็นโรงแรมเหรอ” เธอถามติดตลก ส่วนผมหน้าชา พูดไม่ออก ผมรู้ในทันทีว่าความสัมพันธ์ของเราอาจไม่ราบรื่นเหมือนที่วาดฝันไว้อีกแล้ว



TBC

________________________

#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก


ว้าวซ่า ตาฝากหรือเปล่าเนี่ย แต่มาจริงๆนะคะ เพราะความรักและฟี้ดแบคจากทุกคนทำให้เรารีบมาต่ออย่างไวเลยค่ะ TT

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์และแฮชแท็กนะคะ หลายครั้งเรากังขากับฝีมือของตัวเองมากจนอยากถอดใจยอมแพ้หลายครั้งแต่เพราะคอมเม้นต์และแฮชแท็กทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย ยังมีคนชอบเรื่องนี้อยู่นะ มีคนชอบเรื่องราวของคุณสองและน้องภูจริงๆ ถึงจะไม่เป็นที่นิยมเท่าน้องก้องแต่ก็มีคนรักและรอเรื่องนี้อยู่ เพราะแบบนั้นตอนล่าสุดถึงได้มีออกมาเรื่อยๆก็เพราะกำลังใจดีๆจากพวกคุณทุกคนเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ เรารักพวกคุณนะ เรารู้สึกขอบคุณจริงๆ เราไม่มีอะไรจะตอบแทนความรักของพวกคุณนอกจากเขียนตอนใหม่ออกมาเรื่อยๆ หวังว่าเราจะอยู่ด้วยกันจนสุดท้ายเลยน้า ฝากติดตามเรื่องราวของคุณสองและน้องภูหลังจากนี้จนถึงตอนจบด้วยนะคะ


ปล. ตอนนี้รายชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญใกล้เป็นจริงแล้วค่ะ ขอเรียนเชิญทุกคนร่วมแสดงพลังของเราผ่านทางการลงชื่อเพื่อยุติการสืบทอดอำนาจของคสช.ด้วยกันนะคะ อนาคตของเราอยู่ในมือของทุกคน หนึ่งเสียงของคุณมีค่าและมีความหมายมาก ร่วมสร้างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนไปพร้อมกันนะคะ รายละเอียดเพิ่มเติมและจุดตั้งโต๊ะรับรายชื่อตามลิ้งค์นี้เลยค่ะ: https://50000con.ilaw.or.th/    ขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะ ขอให้มีวันที่ดีค่ะ


ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3393
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เรื่องนี้ต้องจบแบบแฮปปี้นะคะ ไม่อยากให้พวกเขาทั้งคู่ต้องแยกกันเลย พี่สองกับน้องภูต้องอยู่ด้วยกัน พวกเขาเกิดมาเพื่อกันและกันนะ ส่วนคุณแม่เปิดใจให้กว้างหน่อยเถอะ ที่ภูต้องมีแผลใจ ต้องโดนข่มขืนแบบนี้้มันเป็นคุณแม่บีบบังคับน้องไม่ใช่เหรอค่ะ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอค่ะคุณแม่

ออฟไลน์ manarina

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 36
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ฝนเพิ่งจะซา ตื่นมามรสุมเข้าทับ...จะผ่านไปยังไงน้อ

ป.ล. พี่คะะ
อยากบอกพี่ว่า งานของพี่มีลายเซ็นอยู่ในนั้น แล้วมันก็พิเศษ มันมีกลิ่นของความจริง มีกลิ่นของความลำบากที่คนอ่านอย่างหนูคงคิดและเขียนอะไรแบบนี้ออกมาไม่ได้ ต้องขอบคุณเพื่อนที่แนะนำเรื่องของก้องให้หนูอ่าน หนูถึงได้สัมผัสอะไรแบบนี้ เชื่อมั้ยคะ ตอนอ่านแล้วแบบเริ่มเอ๊ะ ว่าพี่เป็นคนเขียน(เป็นคนไม่ค่อยจำนามปากกาค่ะ แหะ) หนูดีใจมากกก จะเรื่องนั้นหรือเรื่องนี้ มันจะมีจุดที่หนูอ่านแล้วเดาไม่ถูกเลยว่าพวกเขาจะเจออะไร จะเรียนรู้อะไร จะผ่านไปยังไง มันมีคุณค่ามากๆ นะคะ ตัวละครในเรื่องที่พี่เขียนเหมือนเขาเป็นคนจริงๆ เหมือนเรากำลังแอบดูชีวิตคนอยู่จริงๆ มันสุดยอดมากๆ เลยนะคะ ขอบคุณที่เขียนนะคะ ❤️

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
18 [PART 1/3]

วันนี้ผมทำอะไรพลาดไปหรือเปล่า ผมก้าวเท้าผิดข้าง หรือเผลอทำไม่ดีกับใคร ทำไมเวรกรรมถึงมาในรูปแบบคุณแม่ของแฟนซึ่งยืนมองผมด้วยแววตาหยามเหยียดตั้งแต่เช้า

“ถ้ารุ่งโผล่มาที่นี่อีกคน แม่คงนึกว่าเป็นซ่อง”
“แม่!” ภูตะโกนเสียงแข็ง ส่วนผมเริ่มสงสัยว่ารุ่งคือใคร “แม่มีธุระอะไรก็พูดมาเลย จะประชดประชันให้ได้อะไร!”
“อะไรกันภู แม่ก็มาคลินิกบ่อยๆอยู่แล้ว ทำไมต้องทำตัวไม่น่ารักด้วย”
“ภูไม่น่ารักยังไง”
“ส่องกระจกดูตัวเองตอนนี้สิ ดูสีหน้า ฟังน้ำเสียงที่ภูใช้กับแม่ ถ้าภูคิดว่ามันคือพฤติกรรมปกติแม่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว”

ไม่จริง

ภูเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เวลาเขาโกรธหรือโมโห ผมมักจะเห็นสีหน้าหงุดหงิดรำคาญใจและได้ยินน้ำเสียงที่เจือไปด้วยอารมณ์เสมอ บางครั้งเขาก็กำหมัดเหมือนพร้อมจะต่อยใคร บางครั้งเขาก็ขบกราม บางครั้งก็สบถคำหยาบตามประสามนุษย์ที่มีน้ำโห หากภูโกรธจนฟิวส์ขาดจริงๆเขาจะพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายเหมือนที่เคยทำกับไอ้เหี้ยปั๊ป แล้วเธอเอาอะไรมาพูดว่าภูไม่ปกติ สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คืออาการปกติของภูด้วยซ้ำ ตกลงผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของภูจริงเหรอถึงไม่รู้ลักษณะท่าทางของลูกชายตอนไม่สบอารมณ์ และท่าทีของเธอทำให้ผมปวดหัวแทบบ้าเมื่อต้องเป็นประจักษ์พยานของการทะเลาะระหว่างแม่ลูกอีกครั้ง มันน่าอึดอัด น่าเบื่อ ชวนให้เสียอารมณ์จนต้องยืนหลับตาเพื่อหนีภาพตรงหน้า ผมไม่รู้จะทำยังไง ถ้าหายตัวไปจากตรงนี้ได้เสียตอนนี้ก็คงดี

“หลับตาทำไม” คุณแม่ของภูทัก ผมจึงต้องลืมตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ภูที่กำลังปะทะคารมกับแม่ทุ่มความสนใจทั้งหมดมาที่ผมอีกครั้ง สุดที่รักจับแขนของผมและถามด้วยความเป็นห่วง
“สองหน้ามืดเหรอ”
“เปล่า ผมแค่ – คิดว่าจะขึ้นไปเก็บของ”
“ไปไหน”
“กลับร้าน”
“แต่สองบอกว่าจะอยู่กับภูต่ออีกหน่อย”
“ผมว่าตอนนี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่ คุณคุยกับแม่เถอะ”
“สอง”

ผมหนักใจเพราะไม่รู้จะทำยังไง รักภูก็รัก อยากอยู่ข้างเขาก็อยาก แต่คุณแม่ส่งสายตาเป็นนัยว่าต้องการให้ผมไปจากตรงนี้จะแย่ ผมไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากพาตัวเองออกไปให้ไกลเพื่อปล่อยให้สองแม่ลูกเถียงกันจนกว่าจะพอใจ พวกเขาอยากคุยอะไรก็คุย ผมเหนื่อยแล้ว ผมไม่อยากเป็นพยานในเหตุการณ์อีกแล้ว

“ผมจะโทรหาคุณตอนเย็น”

ผมตัดสินใจแกะมือของภูออก แต่สุดที่รักดื้อรั้นด้วยการไม่ยอมให้ผมกลับขึ้นไปเก็บของ เขากอดแขนของผมเอาไว้แน่น ใช่ กอดผมต่อหน้าคุณแม่ของเขาซึ่งมองเราตาเขม็งนั่นล่ะ ภูกำลังทำให้คุณแม่ของเขาเกลียดสิปปกรมากกว่าเดิม

“ภู คุณก็รู้ว่าทำแบบนี้มันไม่ดี”
“ภูคิดมาดีแล้ว ถ้ามีใครซักคนที่ภูต้องแคร์ คนนั้นก็คือสอง”
“เหรอ” คุณแม่พูดแทรก “แล้วสองของภูรู้หรือยังล่ะ เรื่องของรุ่ง”
“สองรู้แล้ว!!! และสองก็เข้าใจภูมากกว่าที่แม่ที่เป็นแม่แท้ๆด้วย!!!!!”

นาฬิกาหยุดเดิน พี่ส้มปล่อยมือจากแฟ้มเอกสารที่ถืออยู่ น้องพีชซึ่งอยู่กับพี่เลี้ยงแผดเสียงร้องจ้า ชานมครางหงิงและรีบเดินมาหลบหลังของผม เราทุกคนแทบหยุดหายใจเมื่อภูตวาดคุณแม่เสียงดังลั่นร้าน เราต่างรู้ดีว่าภูเป็นคนโมโหร้าย แต่ไม่มีซักครั้งที่เขาจะขึ้นเสียงใส่คุณแม่ต่อหน้าคนอื่น

“ทีนี้เธอรู้หรือยังว่าทำไมฉันถึงไม่ชอบเธอ” คุณแม่ปรายตามองผม หลังจากหลบเลี่ยงการปะทะคารมกับแฟนของลูกชาย ในที่สุดเธอก็กล่าวโทษผมเสียที “เธอทำให้ภูก้าวร้าว”
“ภูไม่ได้ก้าวร้าว!”
“ส่องกระจกดูตัวเองบ้างเถอะภู ดูสีหน้าของตัวเองตอนนี้หน่อยว่ากำลังมองแม่ด้วยสายตาแบบไหน แล้วจะให้แม่สบายใจได้ยังไงในเมื่อภูกลายเป็นแบบนี้”

คุณแม่ยังคงใจเย็นอย่างเหลือเชื่อ เธอไม่ตะคอกใส่ภู ไม่โวยวายหรือกรีดร้องที่ภูแสดงอาการต่อต้านอย่างออกหน้าออกตา เธอทำให้ทุกคนมองภูในแง่ลบโดยไม่ต้องพูดขยายความอะไรเลย ส่วนผมคือสาหตุที่ทำให้หมอภูกลายเป็นลูกชายที่ไม่น่ารักสำหรับแม่ พวกเขาต้องคิดว่าเพราะผม ภูถึงกล้าขึ้นเสียงใส่แม่ เพราะผมเป็นแฟนที่คอยให้ท้ายในเรื่องแย่ๆ หมอภูที่เคยสุภาพและมีมารยาทถึงได้มองแม่ตัวเองตาขวาง และเริ่มแสดงอาการฮึดฮัดขัดใจ

“จะไม่ให้ภูโมโหได้ยังไง แม่จงใจพูดถึงคนอื่นเพื่อให้สองเข้าใจผิด”
“แม่คิดว่าสองของภูควรรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“แม่รู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่ แม่ทำให้ภูสงสัยว่าแม่รักภูจริงหรือเปล่า”
“ทำไมถึงคิดว่าแม่ไม่รักภูล่ะ”
“เพราะถ้าแม่รักภูจริง แม่จะไม่พูดถึงคนอื่น” ภูพูดเสียงแข็ง “ตอนภูคบกับเนเน่ แม่แทบไม่เคยเอ่ยชื่อคนอื่นเลย แต่พอเป็นสอง ทำไมแม่ต้องป่าวประกาศทุกเรื่องให้แฟนของภูรู้ แม่คิดอะไรอยู่เหรอ แม่คิดว่าถ้าสองรู้ สองจะเลิกคบกับภูงั้นเหรอ”
“แล้วภูจะเลิกกับสองไหมล่ะ”
“ไม่เลิก”

ภูตอบและสอดประสานมือกับผม เราเหมือนอยู่ในฉากละครที่พระเอกแสดงความรักมั่นคงต่อนางเอก ผิดกันที่ผมไม่ใช่นางเอก ผมคือตัวร้ายในสายตาของแม่พระเอกต่างหาก

“ภูมั่นใจแล้วว่าภูเป็นเกย์ ต่อให้เราเลิกกันภูก็คงไม่มีวันกลับไปคบกับผู้หญิงแล้วมีลูกให้แม่หรอก ถามจริงเถอะ แม่เคยกดดันภีมขนาดนี้ไหม แม่เคยบอกภีมกับแพรไหมว่าอีกหน่อยต้องหาคนดีๆแล้วแต่งงานเป็นครอบครัว แล้วก็รีบมีหลานให้แม่เลี้ยง อ้อ – แม่ไม่ต้องพูดกับแพรหรอก เพราะมันท้องป่องกลับบ้านให้แม่เลี้ยงพีชสมใจอยากแล้วไง”

คุณแม่จ้องเราเขม็ง ตอนนี้เป็นเธอเองที่ข่มความโกรธเอาไว้ไม่มิด เนื้อตัวของเธอสั่นเทา ริมฝีปากขบแน่นราวกับพยายามกลั้นถ้อยคำมุ่งร้ายสุดชีวิต ผมไม่นึกเลยว่าภูจะกล้าพูดกับคุณแม่ขนาดนี้ เขากล้ามากกว่าที่ผมคิด และการพูดความจริงไม่ช่วยให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้นเลย

“ภูจะลองดีกับแม่เหรอ”
“ภูไม่ได้จะลองดี ภูคุยกับแม่หลายครั้งแล้วแต่แม่ไม่เข้าใจ”
“เพราะแม่หวังดีกับภูไง”
“ถ้าแม่หวังดีจริง แม่ต้องปล่อยให้ภูกับสองคบกันสิ เพราะภูรักเขา”
“จะให้แม่ปล่อยภูไปลำบากเหรอ ภูพูดเหมือนแฟนของภูดูแลภูได้อย่างนั้นแหละ ขนาดตัวเขาเองยังต้องอาศัยอยู่ร้านหนังสือของเพื่อนเลย แล้วเขาจะดูแลภูของแม่ได้ยังไง”

ไม่ว่าเมื่อไหร่ การไม่มีที่อยู่เป็นของตัวเองก็คือแผลใจขนาดใหญ่สำหรับผม มันคือปมด้อย คือความพ่ายแพ้เจ็บใจที่พยายามหลีกเลี่ยงและไม่ยอมรับความจริงมาโดยตลอด ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าตัวเองกระจอก ผมรู้ดีแต่ก็ยังฝืนดันทุรังจะคบกับภู ผมรู้ว่าเราต่างกันสุดขั้วแต่ผมรักเขาจริงๆนะ ทำไมผมถึงไม่มีสิทธิ์รักและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับภูแค่เพราะไม่มีเงินมากเท่าที่คุณแม่คาดหวัง ในเมื่อผมสัญญาแล้วว่าจะขยับฐานะให้ดีกว่านี้ จะหาเงินให้ได้มากกว่านี้เพื่อให้ทัดเทียมเสมอเขา ทำไมถึงไม่ให้เวลาผมตั้งตัวบ้าง

“ผมว่าคุณคุยกับแม่เถอะ”

สุดที่รักหน้าเสียเมื่อผมตัดบทเรื่องของเราไว้แค่นั้นแล้วเดินขึ้นบันได ที่ห้องนอน ผมเลือกเก็บแล็ปท็อปกับไอแพดลงกระเป๋า มือหนึ่งถือช่อดอกกุหลาบ ส่วนพวกเสื้อผ้าและของใช้อื่นๆถูกทิ้งไว้ที่นี่เพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องกลับรังรักเพื่อมากกกอดสุดที่รักอีกแน่ๆ เมื่อเดินลงไปชั้นล่างของร้านก็ไม่เจอภูเสียแล้ว พี่ส้มบุ้ยปากไปทางห้องพักแพทย์เพื่อบอกเป็นนัยว่าสองแม่ลูกกำลังโต้เถียงกันยกใหญ่ ลูกค้าคนหนึ่งอุ้มหมาพุดเดิ้ลเข้ามาในร้านพอดี เมื่อเห็นว่าบรรยากาศอึดอัดชอบกล เธอก็ถามอ้อมๆว่ามีสัตวแพทย์พร้อมฉีดวัคซีนประจำปีให้ลูกชายของเธอหรือไม่

“น้องชื่ออะไรคะ รบกวนขอเบอร์โทรศัพท์เจ้าของน้องด้วยค่ะ”

พี่ส้มทำหน้าที่ของตัวเอง ส่วนผมผู้ไม่มีบทบาทใดๆในคลินิกจึงต้องออกมาแต่โดยดี เมื่อชานมเห็นผมหอบข้าวของเตรียมเปิดประตูออกจากร้านก็รีบวิ่งมาพันแข้งพันขา มันไม่ยอมให้ไป มันกำลังทำหน้าที่ของตัวเองราวกับโดนพ่อภูสั่งเอาไว้

“นม ตามมาไม่ได้นะ” ผมย่อตัวลงนั่งและลูบหัวมัน เจ้าหมายักษ์ดูจะไม่เข้าใจอะไรเสียเลย “ไว้เจอกันใหม่วันหลัง อยู่กับพ่อภูก่อนนะ”

ชานมร้องหงิงและรีบวิ่งไปดักที่ประตู มันจ้องบานกระจกเขม็งและเตรียมพร้อมจะพุ่งออกไปข้างนอกทันทีที่มีใครผลักประตู ผมเรียกพี่ส้มให้อุ้มชานมไปเก็บหลังร้านแต่เธอกำลังวุ่นอยู่กับลูกค้า ผมจึงต้องขอร้องให้พี่เลี้ยงน้องพีชดึงปลอกคอของชานมเอาไว้ เพื่อที่ผมจะได้จากไปตามความต้องการของทุกคน และชานมจะได้ไม่หลุดออกจากร้านด้วย

“ไม่ใช่หน้าที่ค่ะ”

เธอตอบอย่างถือตัวเหมือนคุณแม่ของภู ผมมองเธอและใช้สายตาถามเป็นนัยว่าจะเอาแบบนี้เหรอ จะปฏิบัติต่อผมด้วยท่าทีแย่ๆเหมือนเจ้านายของตัวเองอย่างนั้นหรอกเหรอ เธอมองตอบโดยไม่เกรงกลัวราวกับได้รับอนุญาตให้ทำตัวเย็นชาใส่ผมได้ เรามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งจนมั่นใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้คงไม่หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ ผมจึงอุ้มชานมไปขังในคอกหลังร้านด้วยตัวเองและเดินออกจากคลินิก
 



ผมกลับถึงกู้ด รี้ดดิ้งในอีกชั่วโมงถัดมา ติณณภพยังคงนั่งเฝ้าร้านเมื่อผมผลักบานประตูเข้าไป เขากำลังอุ้มมาร์กาเร็ตในท่าอุ้มเด็กทารก เจ้าแมวหางกุดแสนเย่อหยิ่งนอนนิ่งให้ติณโอบกอดอย่างรักใคร่ ไม่ว่าติณจะพูดอะไร มาร์กาเร็ตก็ตอบรับคำพูดของติณด้วยการร้องเหมียว! เหมียว! เสียงเบาเหมือนแมวเชื่อง แต่เมื่อผมปรากฏตัวขึ้น มันก็รีบดีดตัวออกจากอ้อมกอดของติณและยืดตัวบิดขี้เกียจบนโต๊ะ ดวงตาสีเหลืองของมันมองผมอย่างหยามเหยียด แม้แต่มาร์กาเร็ตเองก็ไม่ชอบผมเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ

“ไหนว่าจะกลับอาทิตย์หน้า” ติณถามขณะที่ผมวางช่อดอกกุหลาบไม่สมประกอบลงบนโต๊ะ “หมอหมาซื้อให้เหรอ” เขามองมันด้วยความสงสัยเพราะดอกกุหลาบช่อนี้ดูไม่สวยงามสมกับเป็นของขวัญวันครบรอบเท่าไหร่ “ไอ้หมอหมาให้ดอกไม้แบบนี้กับมึงจริงๆเหรอ ทำไมดูหรอมแหรมจัง”
“ซื้อมาหลายวันก็ต้องเหี่ยวเป็นธรรมดา”
“เหรอ ทำไมถึงกลับเร็วล่ะ”
“แม่ภูมาที่คลินิก”
“อ้อ” ติณขานรับเหมือนไม่ใส่ใจ “แล้วยังไงต่อ”
“กูก็ต้องออกมาสิ แม่เขาไม่อยากให้อยู่”
“ไอ้หมอหมาไม่ปกป้องมึงบ้างเหรอ”
“ภูจะทำอะไรได้ นั่นคลินิกแม่เขา” ผมแค่นหัวเราะ เป็นการหัวเราะเยาะตัวเองที่กระจอกจนคุณแม่ของสุดที่รักไม่ยอมรับ “ร้านเป็นไง”
“ปกติดี”
“อืม” ผมขานตอบพลางหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาวางบนโต๊ะ ติณที่เห็นรอยร้าวขนาดใหญ่ถึงกับเอ่ยปากทัก “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก มันหลุดมือน่ะ” ผมโกหก ไม่อยากบอกให้เพื่อนสนิทรู้ว่าหน้าจอโทรศัพท์ที่หวงนักหวงหนาแตกเพราะอะไร
“มึงไม่ได้ติดฟิล์มกระจกนี่”
“ใช่”
“เสียดาย” ติณย่นคิ้ว “เปลี่ยนจอก็หลายพันอยู่เหมือนกัน”
“ทำไงได้ล่ะ” ผมพึมพำ “งานยังไม่เสร็จนะ เดี๋ยวทำต่อตอนนี้เลย”
“กูรู้อยู่แล้ว” ติณตอบก่อนจะดึงมาร์กาเร็ตไปอุ้มอีกครั้ง แต่คราวนี้เจ้าหางกุดแสนเย็นชาไม่ยอมง่ายๆ มันกระโดดหนีติณแล้ววิ่งไปหลังชั้นหนังสือ แม้แต่มาร์กาเร็ตก็ไม่อยากอยู่ข้างผม “อยู่กับแฟนทั้งวันจะมีสมาธิทำงานได้ยังไง เนอะ”

ติณพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้ผมนั่งทำงานเพียงลำพังจนถึงตอนเย็น




Part 2 ต่อข้างล่างเลยคับ  :mew1:

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
18 [PART 2/3]

 ฝนตกอีกหนักอีกแล้ว บรรยากาศในร้านหนังสือหนาวจัดจนต้องปิดแอร์หนึ่งเครื่องเพื่อไม่ให้หนาวจนเกินไป ผมยังคงนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะไม้ตัวใหญ่ ข้างผมคือมาร์กาเร็ตซึ่งกำลังนอนเลียขนตัวเองอย่างอ้อยอิ่ง กระดิ่งตรงปลอกคอส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งทุกครั้งเมื่อมันขยับตัว ผมกับมาร์กาเร็ตนั่งด้วยกันมาครู่หนึ่งแล้ว ข้อสันนิษฐานที่ว่ามันเกลียดผมคงไม่ใช่ความจริง มาร์กาเร็ตไม่ได้เกลียดผม มันเกลียดเสื้อผ้าที่มีกลิ่นของชานมต่างหาก

จนถึงตอนนี้ผมยังคงเฝ้าคิดถึงภูทุกลมหายใจเข้าออก ผมคิดถึงเขา ผมอยากกลับไปอยู่กับเขาแต่ทำไม่ได้ ทำไมสุดที่รักถึงไม่ตอบข้อความเลย ทำไมคุณหายไปไม่ติดต่อมา ผมเป็นกังวลจนต้องหยิบโทรศัพท์มาเช็กทุกห้านาที หยิบแล้ววางอยู่อย่างนั้น หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่อย่างนั้นจนติณณภพรำคาญ ติณคงรู้ว่าผมกับภูมีปัญหากันแต่ไม่เอ่ยปากถาม เขาเว้นระยะห่างเพื่อให้ผมสบายใจเรื่องความสัมพันธ์เสมอ

ผมรอภู รอข้อความหรือสายโทรศัพท์จากเขาจนกระทั่งร้านปิดแต่ไม่มีวี่แวว หรือคุณแม่ของเขายื่นคำขาดให้เราต้องเลิกกันจริงๆ ถ้าหากคุณแม่ทำแบบนั้น คุณน่าจะติดต่อกลับมาหน่อยนะ น่าจะบอกผมซักคำว่าคุณเลือกทางไหน คุณยังอยากจับมือของผมหรืออยากกลับไปเป็นภูเด็กดีของคุณแม่ พูดมาเถอะ ผมรับได้ทั้งนั้นขอแค่อย่าทิ้งกันไว้กลางทางเลย หัวใจของผมเหี่ยวเฉาเหมือนต้นไม้ใกล้ตายทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผมอาจจะตายจริงๆก็ได้หากภูไม่ทำให้มันชัดเจน ผมเฝ้ารอเขาจนทุกคนแยกย้ายกลับ ร้านปิดแล้ว คืนนี้ติณกลับไปค้างที่บ้านกับแม่ ส่วนผมนั่งทำงานคนเดียวที่ชั้นหนึ่งกับมาร์กาเร็ตซึ่งไม่ทำอย่างอื่นนอกจากนอนแผ่บนโต๊ะ เราต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวเองจนกระทั่งมีเสียงทุบประตูดังขึ้น

ปึง!!

 มาร์กาเร็ตผงกหัวตามสัญชาติญาณ มันกระโดดลงจากโต๊ะและวิ่งไปดูหน้าประตูร้านเพราะความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็เดินถอยห่างออกมาแล้วหนีหายไปทางชั้นหนังสือ

ปึง!!!!

เสียงทุบดังขึ้นอีกครั้ง ผมใจไม่ดีเพราะกลัวว่าจะเป็นพวกขี้เมาซึ่งชอบเดินเตร่อยู่แถวนี้ ก่อนไปถึงประตู ผมคว้าเอาร่มของติณมาถือไว้ หากมันพังเข้ามาเราคงได้เห็นดีกัน มือที่กอบกุมร่มสั่นเพราะความกลัว ผมกลืนน้ำลายขณะขยับเข้าไปเรื่อยๆจนถึงบานประตู และเมื่อเผชิญหน้ากับแขกผู้ไม่ได้รับเชิญผมก็ตกใจจนต้องร้องออกมา

“ภู!!”

สุดที่รักของผมตัวเปียกซกเพราะน้ำฝน เส้นผมแนบไปตามใบหน้า หยดน้ำไหลตั้งแต่หน้าผากจนถึงปลายคาง ผมรีบเปิดประตูให้ภูเข้ามาข้างใน เขายังสวมชุดคลินิกอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดลำลองอย่างที่เคยทำประจำ

“เกิดอะไรขึ้น”

ผมถาม แต่ภูไม่ตอบ เขาดูเหนื่อยล้าจนแทบไม่อยากขยับตัวนอกจากยืนเฉยๆ ผมเปิดประตูและลากเขาเข้ามาข้างใน สุดที่รักยังคงยืนตัวแข็งทื่อไม่ขยับเขยื้อนไปไหนจนผมต้องเป็นฝ่ายพาเขาขึ้นไปชั้นสาม

“อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”

ผมบอกแต่ภูก็ไม่ตอบสนองต่อคำขอเสียที เขาเหมือนคนหัวใจสลายอีกแล้ว ภูเอาแต่ยืนนิ่งและไม่พูดไม่จาจนผมต้องเป็นคนช่วยถอดเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำให้เขา ผมเปิดเครื่องทำน้ำอุ่น ยกฝักบัวรดตัวของภูอย่างเร่งรีบ ผิวของเขาเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง ผมจึงต้องรีบอาบน้ำสระผมให้สุดที่รักก่อนที่เขาจะไม่สบาย จากนั้นก็เป็นผมอีกที่หาผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เป่าผมให้ ตอนนี้ผิวของภูเริ่มอุ่นขึ้นเล็กน้อย ผมจึงใช้ผ้านวมห่อตัวเขาอีกชั้นเพื่อความมั่นใจว่าภูจะไม่หนาวจนเกินไป

“หิวไหม” ผมถามขณะไดร์ผมให้ภู “คุณทานข้าวมาหรือยัง”
“ยัง”
“เดี๋ยวผมทำอะไรให้กินนะ”

ผมดันไหล่สุดที่รักให้ลงไปทานอาหารด้วยกันในครัวและอุ่นข้าวผัดที่ซื้อไว้เมื่อตอนเย็น ข้าวผัดกล่องนี้เป็นส่วนของผม แต่เพื่อภูที่กำลังหิวโหย ผมยินดียกให้โดยไม่สนว่าตัวเองจะหิวโซแค่ไหน ผมจัดจานอาหารเสร็จแล้วแต่ภูยังคงไม่พูดอะไร ผมจึงเอื้อมตัวไปจับมือของเขาเพื่อบอกว่ายังมีใครคนหนึ่งรับฟังอยู่ตรงนี้เสมอ

“กินข้าวหน่อยเถอะ คุณหิวไม่ใช่เหรอ” ผมคะยั้นคะยอแต่ภูยังไม่ยอมจับช้อนเสียที “ภู” ผมเรียกสุดที่รักด้วยความเป็นห่วง “ใจคอคุณจะไม่คุยกับผมหน่อยเหรอ”

ภูเบนสายตามาหาผม ดวงตาของเขาแดงก่ำเหมือนคนเพิ่งร้องไห้มาหมาดๆ ผมอดทนรอเขาอย่างใจเย็นไปพร้อมกับบีบมือและบอกภูว่าไม่เป็นไร คุณยังมีผมอยู่ทั้งคน

“สอง”
“ว่าไง”
“ชานมไม่อยู่แล้ว”
“ทำไม ชานมเป็นอะไร”
“แม่เอาชานมไปแล้ว” ภูเริ่มสะอื้น “แม่เอาชานมไปแล้ว”

แล้วภูก็แผดเสียงร้องไห้จ้ายิ่งกว่าเช้าหลังวันครบรอบของเรา เสียงของเขาเสียดแทงเข้ากลางหัวใจของผมจนเจ็บ ยิ่งสุดที่รักร้องไห้เหมือนจะขาดใจก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อเขาที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อดูแลชานม ผมคงไม่สามารถบอกภูให้ทำใจเพราะหมาตัวนั้นไม่ใช่สัตว์เลี้ยงธรรมดา แต่ชานมคือเพื่อน คือครอบครัว คือสิ่งมีชีวิตที่เยียวยาหัวใจของภู ผมรู้สึกโกรธเหลือเกินเมื่อรู้ว่าคุณแม่ตั้งเงื่อนไขให้ภูมารับชานมกลับไปได้หากจ่ายเงินสดให้เธอหกหมื่นบาทซึ่งเป็นค่าตัวที่เธอซื้อชานมจากฟาร์ม

ทำแบบนี้เพื่ออะไรอีแม่เหี้ย

ทำทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไร เพื่อเอาชนะลูกชาย เพื่อย่ำยีหัวใจของลูกชาย เพื่อทำลายความรู้สึกของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนั้นหรอกหรือ อีแม่เหี้ย ผมก่นด่าเธอโดยไม่ออกเสียง และอยากทำมากกว่าก่นด่าเมื่อรู้ว่าเธอยึดเอาทุกอย่างไปจากภูจริงๆ ทุกอย่างที่ภูได้รับเป็นของขวัญจากคุณแม่ ทั้งรถ ทั้งโทรศัพท์มือถือ ทั้งบัตรเครดิต เธอเปลี่ยนตารางทำงานในคลินิกทั้งหมดโดยอ้างว่าลูกชายคนเล็กไม่เอาไหน เธอจึงต้องเข้ามาบริหารก่อนที่กิจการจะเจ๊งไม่เป็นท่า ภูโดนลดเงินเดือนหลายหมื่น ส่วนหมอจ๋อมแจ๋มอาจจะโดนเลิกจ้างหากเธอมาทำงานตามตารางใหม่ไม่ได้ แถมคลินิกที่เคยอาศัยอยู่ฟรีก็ต้องจ่ายค่าเช่าเดือนละสามหมื่นบาท อีแม่เหี้ยตัดขาดภูโดยสมบูรณ์ เธอบีบภูให้ต้องย้ายออกจากคลินิก บีบให้เขายอมจำนนและตัดใจจากผม แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการยึดชานมไป ภูบอกว่าแม่สั่งให้คนขับรถอุ้มชานมไประหว่างที่เขาเย็บแผลอยู่ ออกมาอีกทีพี่ส้มถึงบอกว่าชานมไม่อยู่แล้ว

“ภูไม่เอาอย่างอื่นก็ได้ ภูขอแค่ชานมคืน” สุดที่รักฟูมฟายจนตัวแดง เขาทั้งหอบทั้งสะอื้นอย่างน่าสงสาร “ภูอยากได้ชานมคืน”

ผมเจ็บปวดหัวใจจนไม่รู้จะพูดยังไง จู่ๆก็นึกโกรธตัวเองที่ไม่มีเงินเก็บมากพอที่จะช่วยเหลือสุดที่รักให้ได้ชานมกลับมา หากผมมีเงิน – หากผมมีเงินซักก้อน ผมคงไม่ลังเลที่จะกดเงินสดเพื่อไถ่ชานมกลับมาให้ภู แต่ตอนนี้ผมไม่มีอะไรเลย ผมมีเงินเก็บเพียงเล็กน้อยที่ต้องสำรองเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ผมไม่สามารถช่วยอะไรสุดที่รักได้

“เราช่วยกันหาทางจะพาชานมกลับมา” ผมลูบแผ่นหลังของเขา “คุณไม่ต้องกังวลนะ พรุ่งนี้ผมจะหาเงินมาให้”

ผมให้สัญญาโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหาเงินหกหมื่นมาจากไหน และภูเองก็เศร้าเสียใจเกินกว่าจะเรียบเรียงว่าเขามีเงินติดตัวเท่าไหร่ นอกจากบัตรเครดิตที่คุณแม่ยึดไป ภูน่าจะมีเงินเก็บส่วนตัวไว้บ้างไม่มากก็น้อย ผมเฝ้ารอด้วยความอดทน รอว่าเมื่อไหร่ภูจะพร้อมคุยกันจริงจังว่าเราควรทำยังไงต่อไปแต่กลับไม่ได้อะไร เวลาล่วงเลยจนถึงสี่ทุ่ม ผมปิดไฟชั้นล่างและบอกลามาร์กาเร็ตเพื่อกลับไปนอนกกกอดสุดที่รัก จังหวะที่เปิดประตูห้องนอนบนชั้นสาม ผมพบว่าภูหลับสนิทด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา

โถ – คนดี

คุณคงเหนื่อยและเจ็บปวดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นใช่ไหม แต่รู้เอาไว้นะว่าผมจะรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับคุณโดยไม่มีข้อแม้ ผมจะไม่มีวันทอดทิ้งคุณและสิ่งที่คุณรัก ผมจะไม่ทำให้คุณต้องทนตรอมตรมอยู่กับความทุกข์เหมือนอย่างตอนนี้ พรุ่งนี้เช้า ทันทีที่คนรู้จักของผมตื่นนอน ผมจะหยิบยืมเงินจากพวกเขาและพาชานมกลับมาหาคุณให้ได้



 


ผมสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิผิดปกติของภูตอนหกโมงเช้า ทันทีที่รู้ว่าสุดที่รักไม่สบายก็รีบปั่นจักรยานฝ่าฝนเพื่อไปซื้ออาหารและยา เมื่อกลับมาถึงผมก็รีบปลุกให้เขาตื่นมาทานยาลดไข้ แถมยังต้องคะยั้นคะยอให้ภูทานโจ๊กรองท้องแต่ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าไหร่ เขางอแง หงุดหงิด และงุ่นง่านเพราะพิษไข้ ภูหลับตาแน่นไปพร้อมกับเพ้อหาชานม เขาขอร้องให้ผมช่วยพาชานมกลับมา

“ผมรู้ ผมรู้” ผมบีบมือของเขาก่อนจะป้อนโจ๊กให้อีกคำ “กินข้าวก่อนนะ ไข้ลงเมื่อไหร่เราค่อยคุยกันเรื่องชานม”

ภูดื้อรั้นกว่าปกติหลายเท่าและอ่อนแรงจนน่ากังวล ผมต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติในการพูดคุยกับเขา ขอร้องให้เขาทานยา ขอให้เขาถอดเสื้อผ้าเพื่อเช็ดตัว แต่ภูไม่ยอมทำอะไรเลย เขาเอาแต่กอดซบผมและร้องไห้ “อยู่ด้วยกันได้ไหม” เขาร้องขอ “อยู่กับภูก่อนได้ไหม” ภูอ้อนเสียงสั่นจนหัวใจของผมอ่อนยวบ ผมวางชามโจ๊กไว้บนโต๊ะแล้วปีนกลับขึ้นไปบนเตียงเพื่อนอนกอดเขา ผมกอดสุดที่รักที่ตัวร้อนเพราะพิษไข้ ภูร้องไห้ถามผมว่าจะทำยังไงดี เขากลับคลินิกไม่ได้และไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป ภูไม่เหลืออะไรเลยทั้งรถ ทั้งโทรศัพท์ หน้าที่การงานในคลินิกก็คงจบสิ้นแล้วเหมือนกัน

“ภูคิดถึงนม” เขากอดผมแน่น “สอง ภูคิดถึงนม”
“ผมรู้” ผมตอบสุดที่รักได้แค่นั้น “ผมรู้ ผมจะพานมกลับมาหาคุณ”

ผมลูบหลังภูจนกระทั่งเขาผล็อยหลับอีกครั้ง เปลือกตาของเขาไม่เคยแห้งเลย มันเปียกชื้นเพราะน้ำตาตลอดเวลาตั้งแต่เขามาที่นี่ ผมเจ็บใจจริงๆที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองภูร้องไห้ หากผมมีเงินมากกว่านี้ หากผมรวยกว่านี้อีกซักนิดก็คงขับรถไปหาคุณแม่ที่บ้าน เอาเงินฟาดหน้าเธอ ด่าทอเธอแล้วก็พาชานมกลับมา แต่ในชีวิตจริงผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะมีเงินไม่พอ เงินที่มีอยู่ก็เป็นเงินสำหรับใช้จ่ายไม่ใช่เงินเก็บ ความรู้สึกอับจนปัญญานี้กดดันผมมากเพราะไม่รู้จะหันไปหาใคร คงมีเพียงไม่กี่คนที่ยินยอมให้คนกระจอกอย่างสิปปกรยืมเงิน และคงไม่ใช่พ่อกับแม่ เพราะทั้งสองคนก็มีภาระอย่างน้ำหนึ่งและลูกต้องดูแลอยู่แล้ว

ผมนอนกอดภูจนถึงเวลาเปิดร้าน ผมถอนหายใจและผละตัวออกอย่างระมัดระวังเพราะกลัวเขาตื่น เมื่อเช็กว่าสุดที่รักหลับสนิทดี ผมจึงเดินลงไปชั้นล่างซึ่งมาร์กาเร็ตกำลังนั่งรออยู่ มันตำหนิด้วยสายตาโทษฐานที่ลงมาช้าเพราะตอนนี้เลยเวลาอาหารเช้ามาชั่วโมงกว่าแล้ว ถ้ามาร์กาเร็ตพูดได้ มันคงวิ่งแจ้นไปฟ้องติณณภพแน่ๆ

“เอ้า กินซะ”

ผมเทอาหารเม็ดใส่ชามและไปจัดการธุระของตัวเอง พนักงานกู้ด รี้ดดิ้งเริ่มทยอยเดินทางมาถึงร้าน ส่วนติณมาถึงเป็นคนสุดท้าย ตัวเขาเปียกซ่กเพราะวิ่งฝ่าฝนจากลานจอดรถโดยไม่มีร่ม ประโยคแรกที่เราคุยกันคือเรื่องสภาพอากาศที่ไม่ค่อยเป็นใจ จากนั้นก็คุยเรื่องอาหารเช้า เรื่องยอดขายที่ไปได้ค่อนข้างดี ผมทำเพียงแค่ขานตอบเป็นระยะๆ เมื่อมีโอกาสได้อยู่เพียงลำพังสองคน ผมจึงประชิดตัวเพื่อนสนิทเพื่อคุยธุระส่วนตัว

“ติณ” ผมเรียก “ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“เรื่องอะไร”
“กูมีเรื่องอยากรบกวน คือ – คืออย่างนี้นะ” ผมอ้ำอึ้ง จู่ๆก็รู้สึกกระดากอาย “พอดีว่าตอนนี้กูจำเป็นต้องใช้เงินด่วน มากๆ กูเลยอยากจะขอร้อง –”

ติณละสายตาจากโทรศัพท์ เขามองหน้าผมด้วยแววตาเคร่งขรึมเจือความเป็นห่วง ติณณภพซักไซ้เอาความว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อป่วยเหรอ น้ำหนึ่งต้องใช้เงินเหรอ ผมไม่อยากโกหกติณจึงสารภาพความจริงทั้งหมด ผมบอกเพื่อนว่าตอนนี้เรากำลังมีปัญหาอะไร เราที่ว่านั่นคือผมกับสุดที่รัก และผมต้องการเงินอีกประมาณสามหมื่นเพื่อไปรับหมาตัวนั้นกลับมา

“มึงบ้าไปแล้วเหรอ!” ติณโกรธมากเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาถึงกับคว่ำโทรศัพท์ลงบนโต๊ะแล้วมองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง “เพื่อหมาตัวเดียวเนี่ยนะ!”
“แต่ภูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีชานม เขารักหมาตัวนั้นจริงๆนะ”

ผมพูดเสียงสั่นเหมือนคนจะร้องไห้ ติณอาจไม่เข้าใจว่าเราผูกพันกับเจ้าหมาอ้วนแค่ไหน ชานมไม่ใช่หมาคอร์กี้ธรรมดาแต่เป็นลูกชายของภู เป็นครอบครัวที่อยู่กับภูตลอดเวลา ผมทำใจปล่อยให้ภูอยู่อย่างหัวใจสลายไม่ได้หรอก อาการตรอมใจของสุดที่รักมีแต่จะทำให้ผมรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น ผมจึงขอร้องอ้อนวอนขอให้ติณเข้าใจ แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง จะโน้มน้าวหรือแสดงความเจ็บปวดออกมาแค่ไหน เพื่อนสนิทกลับไม่เห็นด้วย

“มันไม่ใช่เรื่องของมึงไงสอง หมาตัวนั้นไม่ใช่ของมึง ทำไมมึงต้องวิ่งหาเงินเพื่อไปเอามันกลับมา!”

ติณเสียงแข็งและแสดงท่าทีไม่พอใจ ยิ่งรู้ว่าตอนนี้ภูอยู่ชั้นสามก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก ผมรู้ตัวดีว่าทำผิดโดยไม่มีข้อแก้ตัว และผมจะไม่แก้ตัวด้วยนอกจากยกมือไหว้ขอโทษเพื่อนสนิท ผมบอกติณว่าขอโทษ ขอโทษจริงๆที่เกิดเรื่องแบบนี้ มันปุบปับกะทันหันไม่ทันตั้งตัวและเราไม่มีที่ไป นอกจากชั้นสามของกู้ด รี้ดดิ้งแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าจะพาภูไปอยู่ที่ไหนเพราะเพื่อนกระจอกๆคนนี้ไม่มีเงินมากพอจะซื้อคอนโดหรือบ้านเป็นของตัวเอง

“ติณ กูขอร้อง กูสัญญาว่าจะคืนภายในสามเดือน”

ผมให้สัญญาเหมือนคราวก่อนที่หยิบยืมเงินจากติณจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้น้ำหนึ่ง ทว่าคราวนี้ติณไม่ยอมใจอ่อน เขายืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการนำเงินหกหมื่นไปไถ่ชานม เพราะต่อให้เราได้เจ้าหมาอ้วนกลับมาก็ไม่ได้แปลว่าค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะจบ ไหนจะค่าอาหาร ค่าแผ่นรองฉี่ ไหนจะพื้นที่สำหรับเลี้ยงหมาอีก ติณยืนยันเสียงแข็งว่ากู้ด รี้ดดิ้งไม่พร้อมเลี้ยงสัตว์เพิ่มเพราะมาร์กาเร็ตไม่ชอบหมา อีกอย่างพื้นที่ในร้านนี้มีไว้ให้เพื่อนสนิทของติณเท่านั้น แน่นอนว่าคนรักของเพื่อนสนิทไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขนี้ด้วย

ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อได้ยินคำขาดจากติณ ผมจนตรอกแล้ว ผมไม่มีทางไปแล้ว ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้นนอกจากพาชานมกลับมาหาภู ไม่อย่างนั้นสุดที่รักของผมจะตรอมใจตาย เขาต้องตายแน่ๆหากไม่มีหมาตัวนั้น ผมมือสั่นไปหมดขณะยกมือไหว้ขอร้องติณ ผมให้สัญญาว่าจะหาเงินมาคืน จะให้ดอกเบี้ยเพิ่ม และจะหาจุดกึ่งกลางที่เราสามคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ ติณไม่ยอมฟังคำขอของผมด้วยซ้ำ พอเป็นเรื่องของภู คำขอร้องอ้อนวอนก็ไม่มีความหมายเลย ติณณภพตัดเยื่อใยด้วยการบอกว่าถ้าภูจะตายเพราะขาดหมาตัวนั้นก็กลับไปอยู่กับแม่เถอะ

“แต่ภูเป็นแฟนกูนะติณ” ผมพูดอย่างจนปัญญา “ถ้าภูกลับไปหาแม่ กูจะอยู่ยังไง มึงก็รู้ว่ากูรักเขา กูรักผู้ชายคนนี้จริงๆนะ”

ติณขมวดคิ้วมุ่นขณะที่มองผมด้วยสายตาเหมือนรำคาญ เขาเสหน้าไปทางอื่นก่อนจะพ่นลมหายใจยาว ยังคงไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องเงิน และความเงียบนั้นก็ทำให้ผมกับติณอยู่ในช่วงเวลาที่น่าอึดอัดที่สุดตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมา ผมยืนน้ำตาไหลเงียบๆ ส่วนติณขมวดคิ้วมุ่นเหมือนคิดหนัก เมื่อผมยกมือไหว้ขอร้องและทำท่าจะคุกเข่า ติณก็รีบห้ามด้วยการรวบมือของผมลง

“อย่าทำอย่างนี้”

ติณพูดเสียงแข็งและเงียบไปพักใหญ่ เราอยู่ในบรรยากาศแตกหักซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระยะยาว ผมได้แต่อ้อนวอนเพื่อนสนิทผ่านทางสายตา ละทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างโดยไม่สนว่าติณจะสมเพชเวทนาแค่ไหน ผมไม่แคร์หรอกว่าใครจะมองยังไง ผมสนใจแค่ว่าภูจะอยู่ต่อไปยังไงเท่านั้น

“นี่คือครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่กูจะให้มึงยืมเงินเพื่อไอ้หมอเหี้ยนั่น”

คำพูดของติณไม่น่ารักแต่ผมไม่ถือโทษโกรธเขา ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมกับเขย่ามือของเพื่อนสนิท ผมขอบคุณติณซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้งและให้สัญญาว่าภายในสามเดือนข้างหน้าเขาจะได้รับเงินคืน ต่อให้ต้องทำงานจนตายคาโต๊ะ ผมก็ยินยอมรับผลของการกระทำโดยไม่ลังเล

เงินสามหมื่นบาทถูกโอนเข้าบัญชีของผมในอีกไม่กี่นาทีถัดมา ความรู้สึกหนักอึ้งสูญหายในพริบตา ผมโล่งอกมากเมื่อเห็นว่าเรามีเงินมากพอสำหรับไถ่ชานมกลับมาแล้ว หลังจากสุดที่รักตื่นนอนและฟื้นจากพิษไข้ เขาต้องดีใจแน่ๆหากรู้ว่าแฟนกระจอกๆอย่างผมก็ยังคงรักษาสัญญาที่ให้ไว้ได้เป็นอย่างดี

“พอเป็นเรื่องความรัก มึงไม่เคยรอเลยสอง”

ติณพูดเสียงเรียบเมื่อเห็นอาการดีอกดีใจอย่างออกหน้าออกตา ผมหันไปหาเพื่อนโดยไม่รู้จะตอบโต้คำกล่าวหานั้นยังไง ใช่ เมื่อเป็นเรื่องของความรัก ไม่ว่าอะไรก็เร่งด่วนไปเสียหมด ผมไม่สามารถอดทนรอได้เพราะทุกวินาทีคือความทรมานของภู และผมทนเห็นแก้วตาดวงใจอยู่อย่างตรอมตรมไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว

“ติณ ขอบใจมากนะ” ผมยกมือไหว้ “ขอบใจมึงมากๆ กูสัญญาว่าจะรีบคืนให้เร็วที่สุด”
“มึงจะทำยังไงต่อไป”
“ไม่รู้” ผมตอบตามตรง “คงเอาชานมกลับมาก่อน”
“จำไว้นะว่าร้านนี้มีที่ว่างสำหรับมึง แต่ไม่ใช่สำหรับหมอหมากับหมาของมัน” ติณพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ผมรู้ว่าเขาเองก็ไม่ได้เต็มใจจะให้ยืมเงินเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่นึกว่าจะพูดตรงขนาดนี้ “สอง ความรักที่ต้องเหนื่อยขนาดนี้มันดีกับมึงจริงๆเหรอ”
“ติณ –”
“ถึงขนาดต้องยืมเงินเป็นหลายหมื่นเพื่อเด็กเอาแต่ใจอย่างมัน กูว่ามึงคิดให้ดีๆเถอะว่าคนแบบนี้มันน่าฝากชีวิตด้วยหรือเปล่า อีกหน่อยมึงไม่ต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อซื้อใจมันจนตายเหรอ สอง ฟังนะ – ถ้าไอ้หมอหมานั่นมันรักมึงจริง มันจะไม่พร่ำเพ้อหาหมาตัวละหกหมื่นทั้งๆที่รู้ว่ามึงไม่มีเงินหรอก”

ติณจ้องหน้าผมอยู่ครู่ใหญ่ แววตาของเขาเจือไปด้วยความผิดหวังที่สิปปกรกลายเป็นคนคลั่งรักอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง ติณกำลังทำให้ผมตั้งคำถามว่าสิปปกรตอนมีความรักมันผิดมากเลยเหรอ ผมแค่ทนเห็นภูอยู่อย่างตรอมใจไม่ได้ก็เท่านั้นเอง เขาโดนความทรงจำแย่ๆหลอกหลอน โดนคุณแม่ยึดรถ ยึดข้าวของ แถมตกงาน และต้องย้ายออกจากบ้านที่เคยเป็นเซฟโซนอีก สุดที่รักของผมเสียทุกอย่างในวันเดียว จะไม่ให้ผมดิ้นรนพาชานมกลับมาได้ยังไงในเมื่อหมาตัวนั้นเป็นแก้วตาดวงใจของเขา เป็นครอบครัวเรา สิ่งที่ผมทำไม่ใช่เรื่องเกินตัวเลยด้วยซ้ำ

“ติณ มึงไม่เคยรักใคร มึงไม่เข้าใจหรอก”
“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่เคยรักใคร”
“ถ้ามึงรักใครซักคน มึงจะเข้าใจความรู้สึกที่ว่าเราทนเห็นเขาทรมานไม่ได้ แม้แต่วินาทีเดียวก็ทนไม่ได้” ผมบอกเพื่อนสนิท
“ทำไมกูจะไม่รู้” ติณแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์พร้อมกับลุกขึ้นยืน “มึงคิดว่าตัวเองมีความรักอยู่คนเดียวเหรอ คนทั้งโลกเขาก็เคยมีความรัก เคยรักใครซักคนทั้งนั้นแหละ เพียงแต่เขาไม่ทุ่มจนตัวตายเหมือนมึง”

ติณพูดทิ้งท้ายและเดินจากไป ตลอดทั้งวันเราไม่คุยกันอีกเลย ไม่ใช่เรา แต่เป็นติณ ติณไม่เฉียดใกล้ ไม่เข้าหา และเลี่ยงที่จะคุยกับผมจนพนักงานสังเกตได้ เราไม่แทบไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน มีบ้างทีเถียงกันเล็กๆน้อยๆแต่สุดท้ายเราก็คืนดีกันในวันถัดไป ผมไม่อาจรู้เลยว่าอาการเมินเฉยของติณเป็นเพราะโกรธที่ผมยืมเงิน โกรธที่ภูยังนอนอยู่บนชั้นสาม หรือโกรธทุกเรื่องรวมกัน ผมตั้งใจว่าจะรอให้ทุกอย่างลงตัวแล้วขอโทษติณอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันถึงเที่ยงวันก็มีโทรศัพท์จากคนแปลกหน้าโทรเข้าเครื่องของผม

“ขอสายคุณสองค่ะ”

เธอพูดอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เป็นความนุ่มนวลเด็ดขาดที่ไม่สามารถเดาได้ว่าคือน้ำเสียงของใคร ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง บางทีเบอร์แปลกหน้าไม่คุ้นตานี้อาจเป็นเบอร์ของลูกค้า ผมจึงบอกเธอว่าสองกำลังพูดอยู่ ไม่ทราบว่าปลายสายคือใครครับ แต่เธอไม่แนะนำตัว เธอพูดต่ออย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้ผมมีโอกาสถามต่อ

“ขอสายภูค่ะ”
“จากใครครับ”

ผมตกใจเมื่อปลายสายถามหาสุดที่รัก ผู้หญิงคนนี้คือใคร ไม่น่าจะใช่คุณแม่เพราะเสียงของเธอไม่แก่และดูห้วนตึงเหมือนตอนคุยกัน น้ำเสียงฟังดูเหมือนคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ผมเดาไม่ออกเลยว่าเธอคือใคร เธอคือเนเน่ คือเพื่อนของภู หรือเธอคือใครถึงได้ถามหาสุดที่รักของผมผ่านทางเบอร์นี้

“นั่นใครครับ”
“แพรค่ะ”

เธอตอบในที่สุด ผมตกใจมากเมื่อรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือน้องสาวแท้ๆของสุดที่รัก

“รบกวนขอสายภูด้วยค่ะ”



ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
18 [PART 3/3]

ภูไม่เคยบอกว่าแพรกลับมาแล้ว ภูไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง ดังนั้นตอนที่รู้ว่าแพรอยู่ที่บ้านของคุณมาและกำลังรอภูกลับมาก็ทำเอารู้สึกแย่ไปพักใหญ่

ผมปล่อยให้สุดที่รักคุยกับครอบครัวเพียงลำพัง หัวข้อที่พวกเขาพูดกันอาจมีเรื่องของผมและอนาคตของเราอยู่ด้วย เกือบสิบห้านาทีที่ภูคุยกับแพรในห้องนอน ผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าน้องสาวของเขาโทรมาเพื่อโน้มน้าวให้ภูเปลี่ยนใจหรือแค่โทรมาอัปเดตว่าคุณแม่มีแผนอะไร ผมไม่อาจรู้เลยว่าแพรคิดเห็นยังไง เธอมองว่าผมเป็นคนรักของภูหรือเป็นแค่คนคั่นเวลาขำๆที่พี่ชายไม่ได้จริงจังมาก หากเขาจนตรอกและลำบากอย่างสุดทนก็อาจจะทิ้งผมไปได้ทุกเมื่อ ผมนั่งรออย่างกระวนกระวายอยู่ครู่ใหญ่หน้าห้องนอน เมื่อได้ยินเสียงภูตะโกนเรียกจึงเดินเข้าไป

“สอง”

ภูเรียกผมเสียงแหบ เขาดูหมดแรงยิ่งกว่าตอนตื่นนอนเสียอีก ผมยื่นมือไปจับมือของสุดที่รักแล้วทิ้งตัวนั่งข้างเตียง ผิวของเขาร้อนกว่าปกติ ริมฝีปากแดงจัด ผมใช้ฝ่ามือสัมผัสใบหน้าของเขาด้วยความเป็นห่วง หลังคุยเรื่องนี้เสร็จ ผมจะเช็ดตัวให้เขา

“ผมหาเงินได้แล้ว เราไปรับชานมด้วยกันนะ”

ผมพูดอย่างมีความหวัง และหวังว่าภูจะดีใจหรือแสดงอาการร่าเริงซักเล็กน้อย ทว่าภูกลับส่ายหน้ารัว เขานอนกลับตาและกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ท่าทางของเขาทำให้ผมขลาดกลัวว่าเราอาจไม่จำเป็นต้องไปรับชานมอีกแล้ว เพราะภูจะกลับบ้านตามคำขอร้องของแพร

“ไม่ต้อง”ภูซบหน้าลงบนฝ่ามือของผม
“ทำไมล่ะ”
“ภูคุยกับแพรแล้ว เราจะเอาชานมกลับมาโดยไม่ต้องเสียเงินซักบาท” ภูหัวเราะ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่แผ่วเบาและไร้เรี่ยวแรง “ภูจะกลับไปที่บ้าน ไปเก็บของทุกอย่างกลับมา แล้วเรามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันนะ”
“จริงเหรอ” ผมถาม รู้สึกอยากร้องไห้เมื่อรู้ว่าสุดที่รักเลือกผมแทนที่จะเป็นคุณแม่ “คุณคิดดีแล้วเหรอที่จะมาลำบากกับผม”
“คิดดีแล้ว” ภูยิ้ม เขาสอดประสานมือของผมเอาไว้แน่น ส่วนผมกลั้นน้ำตาไม่ไหวจนต้องร้องไห้ออกมาจริงๆ “เรียกแท็กซี่เลย”
“คุณตัวร้อนขนาดนี้ เราไปวันหลังดีไหม”
“ต้องวันนี้เพราะแม่ไม่อยู่บ้าน แม่ไปวัดที่สระบุรี”

ภูลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดผ้านวมออกก่อนจะมองหน้าผมซึ่งไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ผมยืนกรานว่าจะไม่ไป เราจะไม่ฝ่าฝนออกไปรับชานมตอนที่คุณป่วย ถ้าคุณเป็นอะไรขึ้นมา ผมคงโกรธตัวเองไปจนวันตาย

“ภู คุณไม่สบาย และข้างนอกก็ฝนตกหนักมาก”
“ไปเก็บของแป๊ปเดียวค่อยกลับมานอนต่อก็ได้”
“ภู”
“สอง” สุดที่รักจ้องตาของผม เขาบีบมือทั้งสองข้างแน่นและขอร้องให้ผมตามใจซักหนึ่งเรื่อง “เรียกแท็กซี่เลย”
 
ผมไม่อยากใจอ่อน แต่เมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดียวของสุดที่รัก ผมจึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่มาที่ร้าน แน่นอนว่าเราต้องบอกความจริงกับคนขับว่าเรากำลังจะไปรับหมามาด้วย เป็นหมาขนยาวตัวใหญ่ที่อาจทำให้รถของพวกเขาเหม็นสาบและมีแต่ขนซึ่งโดนปฏิเสธไปตามระเบียบ ผมกระวนกระวายว้าวุ่นจนติณต้องเอ่ยปากถาม ผมจึงเล่าให้เพื่อนสนิทด้วยความตื่นเต้นว่าน้องสาวของภูตกลงจะช่วยเรา แต่ไม่มีแท็กซี่คันไหนยอมมาเลยเพราะพวกเขาไม่อยากรับหมา ติณได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็ยืนนิ่งไม่พูดอะไร เมื่อเห็นว่าผมหาแท็กซี่ไม่ได้เสียทีจึงบอกว่าจะพาเราไปรับชานมเอง

“จริงเหรอ” ผมถามด้วยความดีใจ “จริงเหรอติณ”
“เออ” เขาตอบห้วนๆ “รีบตามมา”

ผมกลับขึ้นไปบนชั้นสามเพื่อช่วยภูแต่งตัว ผมสวมหมวกและเสื้อแจ็คเก็ตให้เขา ก่อนออกจากร้านผมให้ภูทานยาลดไข้ครั้งที่สองก่อนจะขึ้นรถไปพร้อมกับติณ บรรยากาศบนรถไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ติณเงียบสนิท ส่วนผมกับภูคุยกันด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบกันสองคน ภูรู้แล้วว่าเราอยู่ที่ร้านกู้ด รี้ดดิ้งไม่ได้ เขาดูหนักใจแต่ไม่ออกความเห็นอะไรเพราะอ่อนเพลีย ภูเอาแต่ซบกระจกหน้าต่างในขณะที่ผมแปะแผ่นเจลลดไข้บนหน้าผากของเขา เราคุยกันว่าหลังรับชานมกลับมาจะคิดเรื่องอนาคตอีกครั้งในภายหลัง

เราเดินทางจนถึงบ้านของคุณแม่ ประตูรั้วยังคงปิดสนิทจนดูไม่ออกว่าหลังประตูมีใครอยู่ข้างใน ระหว่างที่นั่งรอภูโทรศัพท์คุยกับแพร จู่ๆประตูบ้านก็เปิดออกให้ติณณภพขับเข้าไปจอดด้านใน เราสามคนลงจากรถไปเจอแพรที่กำลังอุ้มน้องพีชอยู่ เจ้าหลานสาวหน้าตาหงุดหงิดโมโหเพราะโดนรบกวนเวลานอน ยิ่งเห็นคนแปลกหน้าสองคนเธอก็ยิ่งหัวเสียจนต้องซบหน้าลงบนไหล่ของแม่เพื่อหลบเลี่ยงสายตา

“ไม่สบายเหรอ”

แพรถามด้วยสีหน้าตื่นๆ เธอมองผมอย่างตำหนิเมื่อรู้ว่าภูยังไม่ได้ไปหาหมอ ผมไม่รู้จะอธิบายเธอยังไงว่าปกติชีวิตของสิปปกรไม่ได้เข้าโรงพยาบาลง่ายขนาดนั้น เรารักษาตัวเองก่อนจะไปพบหมอ การไปโรงพยาบาลคือทางเลือกสุดท้ายเมื่อยาจากเภสัชกรไม่ได้ผลหรืออาการมันสาหัสจนใกล้ตาย แต่แพรคงคิดว่าผมไม่ใส่ใจภูมากพอถึงปล่อยให้เขาทานยาเอง

“ไหนนม”

ภูถาม แพรจึงบุ้ยปากไปด้านหลัง ชานมหมาอ้วนกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางนี้ด้วยความดีใจ เมื่อเห็นภูยืนอยู่ตรงหน้ามันก็กระโดดพุ่งใส่จนเขาเซล้ม ชานมดีใจมากที่ได้เจอเราอีกครั้ง มันส่งเสียงร้องหงิงๆและวิ่งรอบเราเป็นวงกลม ภูเองก็มีความสุขที่ได้กอดเจ้าหมาอ้วนเช่นกัน เขากอดชานมแน่นจนมันตาเหลือก ทั้งกอดทั้งหอมและบอกว่าจะพาไปอยู่ด้วยกัน

“โทรศัพท์” แพรพูดขัดเมื่อเห็นเราหมกมุ่นอยู่กับชานมจนหลงลืมเธอ กระเป๋าเป้ใบใหญ่ถูกส่งมาให้ติณ ผมจึงรีบรับมันมาถือแทน “พวกไอแพด โน้ตบุ๊กก็อยู่ในนี้ทั้งหมด ส่วนสายชาร์จหาไม่เจอ ค่อยซื้อใหม่ก็แล้วกัน”
“สายชาร์จอยู่ที่คลินิก”
“เหรอ” แพรตอบเหมือนไม่ใส่ใจแต่ผมดูออกว่าเธอเป็นห่วงพี่ชายมาก เธอมองภูด้วยสายตาไม่สบายใจก่อนจะมองหน้าผม “พาภูไปหาหมอด้วยนะคะ ภูไม่ค่อยแข็งแรง”
“ครับ”

ผมรู้สึกตัวหดเล็กเมื่อได้คุยกับน้องสาวของสุดที่รัก แพรไม่ได้ใจร้ายอย่างออกหน้าเหมือนคุณแม่ แต่ผมสัมผัสได้ว่าความประทับใจแรกพบของเราไม่ดีเท่าที่ควร เธอคงโกรธที่ผมไม่พาภูไปโรงพยาบาล และอาจจะกำลังกังขากับอนาคตของเราสองคนซึ่งดูร่อแร่พิกลพิการ ผมมีคำพูดหลายอย่างที่อยากบอกแพรแต่สุดท้ายก็ไม่ได้บอก เราจากกันโดยแพรยกมือไหว้ผมแบบขอไปที สีหน้าไม่ได้พอใจนักเมื่อเราสามคนพบกัน ที่เธอยอมให้เราเข้ามารับชานมและคืนโทรศัพท์ให้คงเป็นเพราะเธอรักพี่ชายมากจนยอมปล่อยให้ภูเลือกทางเดินของตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าแพรไม่ได้ปล่อยโดยสมบูรณ์หรอก เธอคงจับตารอวันที่เราเลิกกันเหมือนคุณแม่เพราะเชื่อว่าคนกระจอกอย่างผมไม่มีทางดูแลพี่ชายของเธอได้ดีเท่าที่ควร

“ขอบใจมากแพร” ภูยิ้มหวาน เขาเริ่มหอบอย่างเห็นได้ชัด
“ไปหาโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย!”
“รู้แล้ว เดี๋ยวไปเอง” ภูตอบ “อยากกอดนะแต่กลัวพีชติดหวัด”
“ไม่ต้อง!”
ภูหัวเราะ “งั้นไปแล้วนะ ไว้คุยกัน”

แพรมองเราสามคนขึ้นรถจนกระทั่งประตูรั้วปิดสนิท ทันทีที่ออกจากหมู่บ้าน ภูก็ขอร้องให้ติณขับวนไปที่คลินิกเพื่อเก็บของส่วนตัวอื่นๆ ผมนึกว่าติณจะแสดงท่าทีหงุดหงิดขัดใจเพราะถูกสั่งทว่าเพื่อนของผมกลับไม่พูดอะไร ติณพาเราไปถึงคลินิกและจอดรอในรถอย่างในเย็น เขาสั่งให้เรารีบเก็บของและรีบกลับก่อนที่ติณจะกินหัวชานมเพราะรำคาญเจ้าหมาอ้วน

เราสองคนรีบเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว พี่ส้มดีใจมากเมื่อเห็นว่าภูกลับมาที่ร้าน แต่พอเห็นผมเดินตามมาด้านหลัง รอยยิ้มดีใจของเธอก็หดน้อยลงจนกลายเป็นยิ้มเจื่อน ทุกคนที่คลินิกคิดว่าภูจะกลับมาทำงานที่นี่แต่เปล่าเลย เราแค่มาเก็บของ เราไม่มีเวลาอำลาใครหรือบอกว่าหลังจากนี้จะทำอะไร เราช่วยกันโกยทุกอย่างใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เสื้อผ้าที่จำเป็น รองเท้า ชุดชั้นใน ของใช้อื่นๆในห้องน้ำ ที่แขวนแปรงสีฟันของเรา ผมอัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าแล้วรูดซิป หันกลับไปอีกทีก็เห็นภูกำลังหยิบฟิกเกอร์ใส่ถุงพลาสติกอย่างรีบร้อน

“ภูไม่จ่ายเงินซื้อใหม่หรอกนะ ของรักของภู”

เขาพูดติดตลก ผมไม่ว่าอะไรนอกจากรีบเข้าไปช่วยโกยตุ๊กตาพวกนั้นลงถุง ทั้งฟิกเกอร์ที่ผมซื้อให้และของรักชิ้นอื่น เราช่วยกันเก็บไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็หอบหิ้วลงมาอย่างทุลักทุเล ภูดูเหนื่อยเหมือนจะเป็นลมจนผมต้องสั่งให้เขาเดินตัวเปล่า ผมไล่ภูให้ลงไปคุยกับทุกคนข้างล่างเพื่ออำลาและยอมวิ่งขึ้นลงสามครั้งเพื่อขนของทั้งหมด ผมแบกทุกอย่างไปที่รถคนเดียวเพราะภูไม่ไหวแล้ว ลำพังแค่เดินโดยไม่หอบเขายังทำไม่ได้เลย

“หมอภูคิดดีแล้วเหรอคะ” ผมได้ยินเสียงพี่ส้มคุยกับสุดที่รัก เธอเหลือบมองผมแล้วหันกลับไปหาภู “เขาไม่มีอะไรเลย หลังจากนี้ต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดนะ”

ผมอยากใส่ใจแต่ไม่มีเวลาเพราะกำลังวุ่นกับการขนสัมภาระขึ้นรถ กว่าจะขนหมดก็เล่นเอาเหงื่อท่วม ตัวของผมเปียกเหงื่อและฝนจนแยกไม่ออก ความเปียกปอนนั้นทำเอาหนาวจนตัวสั่นเมื่อกลับเข้าไปด้านในคลินิก ที่นั่น ผมเห็นภูกำลังปลดกรอบรูปจากผนัง มันคือใบรับรองจากสัตวแพทยสภา ภูบอกทุกคนว่าเขาไม่ใช่สัตวแพทย์ของ Smiling Lion อีกต่อไปแล้ว

“มึงจริงจังเหรอภู” เพื่อนหมอคนหนึ่งถามสุดที่รักด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อเห็นผม เขาก็หลุบตาลง เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้กระทบกระทั่งหัวจิตหัวใจของคนฟัง “ยังไงก็แล้วแต่ โชคดีนะมึง”

พวกเขาโบกมือลา พี่ส้มได้กอดอำลาภูเป็นครั้งสุดท้าย เธอน้ำตาคลอเพราะใจหายที่หลังจากนี้จะไม่ได้เจอชานมและหมอภูอีกแล้ว ผมมองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกหม่นเศร้าไม่แพ้กัน ผมกำลังกลัวอนาคตที่มองไม่เห็นเพราะไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้เราจะเป็นยังไง ภูที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากคุณแม่จะพอใจกับคุณภาพชีวิตแบบสิปปกรหรือเปล่า เขาอยู่ได้จริงๆเหรอหากผมไม่มีอะไรจะมอบให้นอกจากความรัก

“ไปแล้วนะ มีอะไรไลน์มาก็ได้”

ภูโบกมือลา เขาไม่ได้เศร้าหนักหรือดูเสียใจกับทางเลือกนี้ซักนิด อาจเป็นเพราะพิษไข้กำลังทำให้เขามึนอยู่หน่อยๆ ภูหอบหนักขึ้นเมื่อเราฝ่าฝนมาถึงรถซึ่งติณณภพกำลังรออยู่ ตอนเปิดประตูแล้วเห็นว่าติณแอบใช้นิ้วจิ้มหูชานม เราหลุดยิ้มออกมาทันที

“ชานมน่ารักใช่ไหมครับ” ภูพูดขณะขึ้นไปนั่งเบาะหลังข้างเจ้าหมาอ้วน ส่วนผมย้ายมานั่งเบาะหน้ากับติณ “ชานมเป็นเด็กดีนะ”
“เด็กดีแล้วไง มาร์กาเร็ตไม่ชอบหมา”

ติณพูดห้วนๆไม่มีเยื่อใยแล้วออกรถ เรามุ่งหน้ากลับร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้งทันที บรรยากาศในรถไม่อึดอัดเท่าขามาเพราะชานม มันทิ้งตัวนั่งข้างภู เอาหัวซบอย่างออดอ้อนและเริ่มไสตัวไปกับเบาะ ขนของมันปลิวฟุ้งไปทั่วจนผมกลัวว่าติณจะไม่พอใจ ผมจึงบอกเพื่อนสนิทว่าหลังเสร็จเรื่องนี้เมื่อไหร่จะจ่ายค่าน้ำมันและค่าล้างรถให้เป็นการตอบแทน ผมตั้งใจว่าจะคุยกับติณเรื่องที่อยู่ของเราสองคนทว่าเสียงโก่งคอจากด้านหลังดึงความสนใจไปทั้งหมด ภูอาเจียนเอาโจ๊กเมื่อเช้าออกมาจนเลอะใส่ชานม เขาโก่งคอจนตัวงอ หน้าแดงก่ำและน้ำตาไหล ภูอ้วกเอาอาหารออกมาจนหมดจากนั้นก็นั่งร้องไห้เงียบๆ ภูเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือด้วยการบอกว่าไม่ไหวแล้ว

“ติณ ไปโรงพยาบาลเลย!”

ผมบอกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ส่วนติณณภพไม่พูดอะไร เขาดูหงุดหงิดที่รถเปื้อนขนหมาและอาเจียน แต่สุดท้ายติณก็ช่วยเหลือเราด้วยการพาภูไปส่งที่โรงพยาบาล




ผมไม่รู้เลยว่าภูท้องเสีย อาจเพราะผมไม่ได้เฝ้าเขาตลอดเวลาถึงไม่รู้ว่าภูปวดท้องและเข้าห้องน้ำมาหลายรอบแล้ว การอาเจียนเอาอาหารที่เพิ่งกินเข้าไปก็เป็นหนึ่งในอาการของอาหารเป็นพิษ คุณหมอให้ภูแอทมิดเพื่อเฝ้าระวังหนึ่งคืน ดังนั้นเราสองคนจึงต้องพักในห้องพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนแทนที่จะเป็นชั้นสามของร้านหนังสือกู้ด รี้ดดิ้ง

ผมคอยเฝ้าภูไม่ห่าง ผมอยู่ข้างเขาตอนที่พยาบาลแทงเข็มให้น้ำเกลือ แม้แต่ตอนที่เขาเจ็บ ภูยังไม่สามารถร้องโวยวายหรือแสดงความเจ็บปวดได้มากนัก ภูเอาแต่นอนหลับตาเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง เขาลุกไปเข้าห้องน้ำหลายครั้งและหลับยาวจนถึงช่วงเย็น ผมใช้เวลาตอนเขาหลับโทรหาติณเพื่อเช็กว่าชานมเป็นยังไงบ้าง ผมกังวลว่าติณอาจจะเกลียดผมกับภูมากกว่าเดิมเพราะเราสร้างปัญหาให้เขามากจนเกินไป แต่เมื่อติณถ่ายวิดีโอชานมตอนวิ่งเล่นกับพนักงานในร้าน ข้างๆมีชามอาหารเม็ดที่ยังคงมีป้ายราคาแปะอยู่ก็ใจชื้น ติณยังคงมีหัวใจที่เมตตาต่อคนอื่นเสมอ

“หมอมาเป็นไงบ้าง”

ติณถาม ผมจึงเล่าอาการคร่าวๆของสุดที่รักให้เขาฟัง ติณไม่แสดงความเห็นอะไรมากนักนอกจากเป็นฝ่ายรับฟังอย่างเคย ผมถือโอกาสนี้ขอบคุณและขอโทษติณอีกครั้ง ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากติณณภพ ผมคิดไม่ออกเลยว่าเราจะกลับเข้าไปรับชานมได้ยังไง

“กูโอนเงินคืนแล้วนะ ค่าล้างรถค่าน้ำมันก็อยู่ในนั้น” ผมบอกติณ “ขอบใจมาก ถ้าไม่มีมึงกูคงแย่แน่ๆ” ผมย้ำเป็นหนที่สามจนติณรำคาญ มันขอร้องให้เลิกพูดถึงเรื่องวันนี้เสียที เราเงียบใส่กันอยู่ครู่หนึ่งราวกับอยากลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่ติณก็ยังคงเป็นติณคนเดิม ติณคือเพื่อนที่ไม่เคยโกรธหรือทะเลาะกับสิปปกรข้ามวันเลยซักครั้ง

“ติณ”
“อืม”
“ที่เราคุยกันวันนี้น่ะ ที่มึงบอกว่ารู้ได้ไงว่าไม่เคยรักใคร” ผมเกริ่น “มึงมีคนคุยอยู่เหรอวะ”
“เปล่านี่”
“อ้าว”
“กูพูดรวมๆ” ติณตอบ “ทำไม มึงติดใจอะไร”
“เปล่าหรอก” ผมยิ้มขำ “กูแค่สงสัยว่าใครคือผู้โชคดีที่ได้หัวใจของมึงไป”
“พอเหอะ จะอ้วก อย่ามาพูดจาอะไรน้ำเน่า” ผมแทบเห็นสีหน้าติณเลย เขาคงกำลังเบ้ปากและโก่งคออยากอาเจียน “ไปเฝ้าหมอหมาเถอะ เดี๋ยวตื่นมาก็เพ้อเจ้อร้องหาสอง สอง สองอีก”
“เออ ขอบใจมากนะสำหรับเรื่องวันนี้” ผมบอกเพื่อนอีกครั้ง “รักมึงนะติณ”
“กูไม่รักมึง!”

เราหัวเราะก่อนจะวางสาย ผมหันกลับไปมองภูที่กำลังหลับอยู่ ใบหน้าไร้เดียงสาของเขาดูอิดโรยและอ่อนแรง ผมรู้สึกไม่ดีเลยเมื่อต้องมอบใบหน้าเหนื่อยล้าของสุดที่รักบนเตียงคนไข้ โชคดีที่ภูมีประกันชีวิต ผมจึงไม่ต้องเตรียมเงินก้อนใหญ่เหมือนที่เคยช่วยน้ำหนึ่ง แต่เหตุการณ์ในวันนี้ก็ทำให้ผมกังขาในตัวเองเหมือนกันว่าจะสามารถประคับประคองความสัมพันธ์ของเราให้เหมือนกับที่วาดฝันเอาไว้ได้ไหม ผมกังวลไปหมดจนข่มตาหลับไม่ลง และกังวลมากขึ้นไปอีกเมื่อคิดว่าเราสามคนจะไปอยู่ที่ไหนหากกู้ด รี้ดดิ้งไม่เหมาะกับเรา

ผมคิดหนักจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่ยังคงหาทางออกไม่ได้เพราะสุดที่รักกำลังหลับพักผ่อน ผมได้แต่นอนเล่นอินเทอร์เน็ตและไลน์คุยกับติณบนโซฟา จากนั้นก็ผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้าสะสมตลอดทั้งวัน ช่วงหนึ่งที่ไม่แน่ใจตื่นหรือฝัน ผมได้ยินภูเรียกสอง! สอง! ด้วยความหวาดกลัว ผมลืมตาโพลงกลางความมืด ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อแยกให้ออกว่าเสียงนั้นคืออุปทานหรือเรื่องจริงเพราะมันเบามาก เมื่อได้ยินภูเปล่งเสียงเรียกสอง! อีกครั้ง ผมจึงรีบลุกขึ้นยืนและเดินไปข้างเตียง ผมจับมือของภูเอาไว้แน่นและถามเขาว่ามีอะไร

“ภูนึกว่าภูอยู่คนเดียว”

ผมเปิดไฟหัวเตียงเพื่อดูหน้าของสุดที่รักชัดๆ เขาดูแตกตื่นและขลาดกลัวมากในเวลาเดียวกัน เหงื่อผุดตามกรอบหน้าจนต้องหยิบผ้าชุบน้ำมาช่วยเช็ดให้ ไข้ลงแล้ว สีหน้าของเขาเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย ผมคิดว่าอาการตัวสั่นตอนนี้คงเป็นเพราะตกใจที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นใครนอกจากห้องมืดๆเท่านั้น

“ผมก็อยู่กับคุณไง ผมนอนบนโซฟา”
“นอนด้วยกัน”
“ที่ไหน”
“บนเตียง” ภูตอบและกระถดตัวให้ผมปีนขึ้นไป “นอนกับภูนะ”

ผมปฏิเสธในทีแรกแต่เพราะสายตาอ้อนวอนของเจ้าหมาป่วย ผมจึงใจอ่อนยอมขึ้นไปนอนเบียดด้วยกันบนเตียง มันไม่ได้โรแมนติคเหมือนในละครหรอกนะ เตียงแคบๆที่มีร่างของผู้ชายของคนเบียดแน่นเป็นปลากระป๋อง แต่เราก็ขยับจนหาท่าที่สบายที่สุดจนได้ ภูสวมกอดเอวของผมและซบหน้าอย่างออดอ้อนทันที ผมจึงใช้มือลูบหัวของเขาอย่างแผ่วเบา เรานอนกอดกันในความเงียบครู่ใหญ่ก่อนจะคุยเรื่องทั่วไปที่ไม่มีอนาคตของเรามาเกี่ยว

“นี่ ภู”
“หืม”
“คุณคิดดีแล้วใช่ไหม”
“เรื่องอะไร”
“ที่ทิ้งทุกอย่างมาอยู่กับผม” ผมหันหน้าไปหาสุดที่รัก เขาเองก็กำลังมองมาที่ผมเหมือนกัน “คุณรู้ใช่ไหมว่าหลังจากนี้คุณคงจะลำบากมาก”
“ลำบากอะไรกัน ไม่ลำบากหรอก” ภูตอบพึมพำ “สองไม่ดีใจเหรอ”
“ดีใจสิ ผมไม่คิดว่าคุณจะเลือกผม”
“ต้องเป็นสองอยู่แล้ว ต้องเป็นสองเท่านั้น” ภูหัวเราะ “บนโลกนี้ – ก็มีแค่สองคนเดียวนั่นแหละที่ภูอยากอยู่ด้วยตลอดไป”

เราสอดประสานมือกัน ผมจุมพิตลงบนหน้าผากของสุดที่รักและเอนหัวลงซบเขา ภูของผมช่างเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นกับเส้นทางครั้งนี้เหลือเกิน เขาดับเครื่องชนและเลือกสิปปกรผู้ซึ่งไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนของตัวเอง ผมเป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเรา แต่เมื่อเห็นว่าภูไม่ได้เสียใจหรือรู้สึกแย่ที่เลือกทิ้งทุกอย่างเพื่อมาอยู่ด้วยกัน ความกังวลนั้นก็เบาบาง กลายเป็นสิ่งไม่สลักสำคัญเท่ากับปัจจุบันที่เราได้นอนข้างกันอย่างเช่นคืนนี้ แม้ว่าจะเป็นเตียงผู้ป่วยแคบๆที่มีเสาน้ำเกลือวางอยู่ด้านซ้าย แต่เราก็มีความสุขกับการกกกอดกันใต้ผ้าห่มโดยไม่สนว่าใครจะเข้ามาเห็น

“ผมรักคุณมากจริงๆนะ คุณรู้ใช่ไหม”
“รู้ ภูก็รักสองเหมือนกัน” ภูหอมแก้มของผม “สองว่าพรุ่งนี้เราจะเป็นยังไง”

ผมนิ่งเงียบเมื่อได้ยินคำถามจากสุดที่รัก เราจะเป็นยังไงงั้นเหรอ ไม่รู้หรอก ผมไม่รู้ ผมเองก็ตอบไม่ได้ว่าเราจะเป็นยังไง เอาเป็นว่าขอให้คุณรักษาเนื้อรักษาตัวให้แข็งแรง รีบออกจากโรงพยาบาลและกลับไปอยู่ด้วยกันในห้องแคบๆบนชั้นสาม จากนั้นเราค่อยวางแผนกันว่าจะทำยังไงต่อไป คุณจะหางานใหม่ จะทำประกอบอาชีพอะไรก็ขอให้เป็นเรื่องของอนาคต แต่รู้ไหมว่าผมไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว

“เพราะแค่มีคุณ ผมก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว”

ผมนอนอมยิ้มขณะคลอเคลียตรงแก้มของสุดที่รัก ภูเงียบไปพักหนึ่งราวกับกำลังใช้สมาธิ จากนั้นเขาจึงถามผมด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนคนกวนส้นเท้าว่า

“ภูแค่ถามว่าพรุ่งนี้เราจะกินอะไร”
“ผมได้ยินว่าพรุ่งนี้เราจะเป็นยังไง”
“ไม่ ภูถามว่าเราจะกินอะไร”
“จริงเหรอ”
“จริง” เขายืนยัน “สองคิดอะไรเนี่ย”

สุดที่รักยู่ปากได้น่ารักน่าหมั่นไส้ ผมจึงแกล้งงับแก้มของเขาเบาๆแล้วนอนกอดภูเอาไว้แน่น คืนนั้นเราไม่ได้นอนด้วยกันบนเตียงผู้ป่วยเพราะมันอึดอัดเกินไป ผมย้ายไปหลับบนโซฟา ส่วนภูนอนพักผ่อนบนเตียงจนถึงเช้า เมื่อเราตื่นมาพบหน้ากันอีกครั้งตอนพระอาทิตย์ขึ้น เราก็บอกรักกันด้วยการจูบกันบนเตียงผู้ป่วย หลังจากนี้อาจจะมีเรื่องให้เหนื่อยอีกเยอะแต่ผมไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไปแล้ว
 


TBC


_____________________


#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก

สวัสดีค่ะ ขอโทษที่มากลางดึกและหายไปนานเกือบสองเดือนเลยนะคะ ด้วยอะไรหลายๆอย่างทำให้เราไม่สามารถเขียนนิยายได้เท่าเมื่อก่อน แต่จะยังรักษาสัญญาเหมือนเดิมนั่นคือเราจะเขียนเรื่องนี้ให้จบและมาต่อให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ ;-;

ขอขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆที่ทุกคนแวะเวียนมามอบให้ไม่ขาดสายเลยนะคะ เราอ่านแล้ว เราชอบมาก เรามีความสุขมากเลยค่ะที่คุณนักอ่านบอกว่างานเขียนของเรามีลายเซ็นอยู่ในนั้น  :hao5: จริงๆก็แอบกังวลว่าหายไปนานคนอ่านจะลืมกันไหม แต่ไม่เป็นไรค่ะ แค่ได้เขียนให้คุณอ่านก็มีความสุขมากแล้ว ฝากเป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ ช่วงนี้ฝนตกสลับแดดออก รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ รักพวกคุณทุกคนมากๆเลยค่ะ

ปล. มีคำผิดท้วงได้นะคะ เรากลัวทุกคนจะรอนานเลยรีบอัปก่อน หลังเลิกงานพรุ่งนี้จะเช็กอีกครั้งน้า ;-;

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Nuu_nl

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอคุณเพื่อนติณเปิดตัว แอบเชียร์นานแล้ว

ออฟไลน์ Sunset and Eeyore

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 69
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
บีบหัวใจมาก ตอนนี้ใกล้จะได้เลือกตั้งแล้ว ความหวังที่คุณนักเขียนจะกลับมาอัพต่อก็ขออย่าให้จางหายนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด