2 [PART 3/3]
เราสี่คนเดินทางถึงคอนโดของน้ำหนึ่งในอีกชั่วโมงถัดมา ผมคิดว่าภูอาจจะแค่ส่งข้างล่างทว่าเขาก็แสดงความมีน้ำใจอีกครั้งด้วยการช่วยเราแบกข้าวของไปถึงประตูห้อง พี่สาวของผมเชิญเพื่อนใหม่ให้ทานมื้อเที่ยงด้วยกันเพื่อแทนคำขอบคุณ แถมยังอนุญาตให้ภูใช้ห้องน้ำระหว่างรอเธออบแห้งเสื้อของเขาด้วย
“อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนนะคะ”
น้ำหนึ่งเอ่ยปากชวนหลังป้อนยาและกล่อมเปเปอร์เข้านอนเรียบร้อย คำพูดของพี่สาวทำให้ผมหน้าบึ้งทันทีเมื่อภูรีบตอบรับด้วยความยินดี นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงกินอะไรไม่ลงและทำได้แค่จ้องหน้าชายหนุ่มที่ตักข้าวเข้าปากคำโตพร้อมกับชมฝีมือการทำอาหารจนน้ำหนึ่งตัวลอย
“คุณก็พูดเว่อร์ ไม่เห็นจำเป็นต้องเอาใจพี่ผมขนาดนี้เลย”
“ผมเปล่าเว่อร์เสียหน่อย กับข้าวพี่น้ำหนึ่งอร่อยจริงๆนะครับ”
ผมอยากจะเบ้ปากเป็นรูปตีนเมื่อได้ยินคำว่า พี่น้ำหนึ่ง ชักรู้สึกหมั่นไส้ไอ้หมอนี่ขึ้นมานิดหน่อยเมื่ออีกฝ่ายสวมบทเป็นเพื่อนได้เนียนเกินไป ผมแอบมองสำรวจเพื่อนใหม่เงียบๆ มองใบหน้า มองจมูก มองริมฝีปาก มองสันกราม ก่อนจะเลื่อนไปมองใบหูเพื่อดูโหงวเฮ้งว่าหน้าตาเหมือนคนเชื่อไม่ได้ในตำราหรือเปล่า แต่นอกจากใบหน้าแล้ว ผมก็ไม่เห็นความผิดปกติในตัวของอีกฝ่ายเลย
ภู (ที่ชื่อจริงคืออะไรก็ไม่รู้) เป็นคนเฟรนลี่ที่มีมารยาทมากๆ หมอนั่นรู้วิธีเข้าหาผู้ใหญ่ รู้วิธีพูดจาเอาใจคนที่แก่กว่าด้วยคำพูดรื่นหู แถมยังแสดงสีหน้าท่าทางได้อย่างแยบยลจนดูไม่ออกว่ามาขายตรงหรือผูกมิตร บางทีนี่อาจจะเป็นก้าวแรกของงานขาย หมอนี่ต้องตีซี้น้ำหนึ่งเพื่อชวนไปลงทุนอะไรซักอย่างเหมือนที่เคยได้ยินจากไอ้ตี๋แน่ๆ
มันคืออะไรนะ -- การทำพอร์ตแบบมืออาชีพ? ช่างเหอะ อะไรซักอย่าง
“คุณสองมองหน้าผมแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ผมสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อลืมตัวว่าเผลอจ้องหน้าภูนานเกินไป สัตวแพทย์หนุ่มเอียงคอทำหน้าแบ๊วแบบไม่เกรงใจอายุราวกับว่าสงสัยว่ามองเหี้ยอะไรนักหนา ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วคีบผัดผักวางบนชามข้าวของผมแทน
“อยากทานผัดผักใช่ไหม?” ภูอมยิ้ม “เดี๋ยวผมตักให้นะ”
“ผมไม่กินผัก”
เพล้ง!
เสียงเศษหน้ากับเสียงหัวเราะของน้ำหนึ่งดังขึ้นพร้อมกัน หลังจากนั้นผมต้องนั่งกลอกตาฟังพี่สาวเล่าเรื่องส่วนตัวของน้องชายให้เพื่อนใหม่ฟังจนหมดเปลือก
“เงียบเถอะน้ำหนึ่ง จะไปเล่าให้เขาฟังทำไม?”
ผมพูดอย่างหงุดหงิดแต่ภูกลับกระตือรือร้นจะฟังให้ได้ มื้อเที่ยงของเราก็เลยจบลงตรงที่หมอนั่นรู้ทุกอย่างว่าผมกินหรือไม่กินอะไรราวกับเป็นสมาชิกในครอบครัวอีกคน
เราทานอาหารพร้อมกับคุยเล่นจนเสื้อของภูแห้งพอดี น้ำหนึ่งจึงไล่ผมกลับร้านเมื่อเห็นน้องชายหาวปากกว้างแสดงความง่วงออกมา ถึงจะอยากกลับไปบนเตียงของตัวเองแค่ไหนทว่าผมก็ไม่แน่ใจว่าพี่สาวจะดูแลหลานคนเดียวไหวหรือเปล่า น้ำหนึ่งยืนยันว่าทุกอย่างโอเคดี และถ้ามีปัญหา เธอสัญญาว่าจะโทรหาผมทันที
“ถ้าเปเปอร์ไม่สบายกลางดึกหรือมีเรื่องฉุกเฉิน โทรหาผมนะครับ” ภูพูดพร้อมกับส่งนามบัตรของตัวเองให้ “ไม่ต้องเกรงใจครับ ผมเป็นเพื่อนคุณสอง อะไรที่ช่วยได้ก็ยินดีช่วย”
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรำคาญที่สุดคือการแสดงความเกรงใจของมนุษย์ คนหนึ่งหยิบยื่น ส่วนอีกคนจะบอกปฏิเสธ ทั้งสองคนจะดื้อดึงกันไปมาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งน้ำใจอีกครู่ใหญ่ๆ ดังนั้นผมจึงตัดบทด้วยการพูดว่า
“ขอบคุณครับ เผื่อน้ำหนึ่งมีอะไร ผมสัญญาว่าจะโทรหาคุณ” แล้วฉุดข้อมือภูให้เดินไปด้วยกันแทนที่จะปล่อยให้พวกเขาแข่งกันแสดงความเกรงอกเกรงใจตรงโถงทางเดิน
“ไอ้สอง! ความเกรงใจเป็นมารยาทของผู้ดีนะ!”
น้ำหนึ่งแว้ดเสียงดังเมื่อถูกผมรวบรัดทุกอย่างโดยไม่ไว้หน้าแขก ใบหน้าบึ้งตึงด้วยความไม่ชอบใจที่ไม่ว่าเมื่อไหร่เจ้าน้องชายตัวดีก็ขวางโลกไปเสียทุกเรื่อง
“แต่ผมยังไม่ได้บอกลาพี่น้ำหนึ่งเลยนะ --”
“บาย ยายน้ำเน่า! เดี๋ยวโทรหาเย็นนี้!” ผมหันไปตะโกนเสียงดังแล้วจ้องหน้าภูที่เอาแต่ยืนอึ้งค้าง “ผมแค่ทำให้ทุกอย่างจบเร็วๆ คุณแปลกใจอะไร?”
“ยังไง?”
“รู้ไหมว่าการที่คุณยื่นนามบัตรให้น้ำหนึ่งมันทำให้เราเสียเวลาแค่ไหน พี่สาวผมต้องบอกปฏิเสธคุณด้วยความเกรงใจ และคุณก็จะยัดเยียดให้น้ำหนึ่งรับมันไปแม้ว่าคุณเองก็รู้ว่าเธอดีใจแทบบ้าที่มีคนหยิบยื่นน้ำใจให้ขนาดนี้ กว่ายายนั่นจะยอมรับและปั้นหน้าเกรงอกเกรงใจเสร็จก็คงกินเวลาเกือบห้านาที เพราะฉะนั้นผมเลยให้น้ำหนึ่งรับบัตรของคุณไปให้จบๆเพื่อที่พิธีการอันยืดเยื้อของการรักษาหน้าจะได้จบไวๆ แต่แน่นอนว่าหลังจากนี้เราจะไม่รบกวนคุณอีก สำหรับวันนี้ขอบคุณมากครับ ลาก่อน”
ผมรัวไฟแล่บ สัตวแพทย์ยิ้มหวานได้แต่ยืนกระพริบตาปริบๆเมื่อโดนแรพใส่ ผมรีบใช้โอกาสนี้เดินหนีภูที่ยังคงหน้ามึนอยู่ข้างรถเอสยูวีเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเสนอตัวไปส่งที่ร้านหนังสือ ผมไม่อยากให้หมอนี่รู้ว่าพักอยู่ที่ไหน ไม่อยากให้ความเกรงใจทำให้ภูได้โอกาสเข้าถึงผมมากกว่าเดิม
“เดี๋ยวสิครับ! ให้ผมไปส่งคุณสองนะ!” ภูตะโกนเสียงดังพร้อมกับเริ่มวิ่งตาม แม้ผมจะพยายามก้าวให้ไวขึ้นเพราะไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับหมอนี่อีกแต่ภูก็ตามทันจนได้
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะกลับเอง”
“ได้ยังไงล่ะ ฝนจะตกอีกแล้วนะ คุณเห็นไหม?” ภูพูดพร้อมกับเงยหน้ามองท้องฟ้า “ให้ผมไปส่งคุณที่บ้านนะครับ”
“ไม่เอาครับ ขอบคุณ”
“อย่าเกรงใจเลย ผมยินดีไปส่งคุณจริงๆนะ”
กูไม่ได้เกรงใจโว้ย! กูหนีมึง! ไอ้ฟาย!
“ในเมื่อคุณบอกว่าเบื่อวิธีการรักษาหน้าแบบยืดเยื้อ ผมคิดว่าคุณก็ไม่ควรปฏิเสธผมนะ”
ภูเถียงหน้าตาย ผมหยุดเดินก่อนจะหมุนตัวไปมองอีกฝ่ายที่เริ่มยิ้มกว้างอีกครั้งเมื่อเห็นผมหันกลับมา
“ผมไม่ได้รักษาหน้า แต่ผมหมายความตามนั้นจริงๆ”
“ทำไมคุณถึงตีตัวออกห่างกับผมจัง นี่ผมทำอะไรผิดหรือเปล่า?”
ภูถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ผมเกือบจะสงสารแล้วถ้าไม่ติดว่าต้องใจแข็งเพราะกลัววัฏจักรขายตรงทำชีวิตผมพัง พ่อเป็นหนี้ตั้งหลายหมื่นจนผ่อนไม่ไหว ของที่ซื้อไว้ก็ค้างสต็อกอยู่อย่างนั้นเพราะขายไม่ได้ ผมสาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับวงจรนี้อีก ผมไม่อยากเดือดร้อนเพราะธุรกิจของใคร เพราะฉะนั้นต่อให้ภูดีกับผมและพี่สาวแค่ไหน แต่ถ้าเขาขายตรง ผมก็ไม่อยากนับเขาเป็นเพื่อน
“ผมสิต้องเป็นฝ่ายถาม ทำไมคุณต้องวอแวผมด้วย?”
“เพราะผมอยากรู้จักคุณ”
“แค่นั้น?”
“ใช่ครับ” ภูยิ้ม อาจจะเป็นครั้งที่ร้อยของวันที่หมอนี่ยิ้ม แต่รอยยิ้มกลับไม่ซ้ำกันเลย “ถ้าคุณสองยอมขึ้นรถ ผมสัญญาว่าจะบอกเหตุผลว่าทำไมผมถึงอยากรู้จักคุณ”
“ถ้าผมปฏิเสธล่ะ?”
ผมยืนทิ้งสะโพกและกอดอกมองภูด้วยท่าทางเอาเรื่อง ผมคิดว่าตัวเองต้องเป็นผู้ชนะในศึกปะทะฝีปากอยู่แล้วเชียวถ้าไม่ติดว่าฝนเม็ดใหญ่เริ่มเทตัวลงมาอีกครั้งจนเสื้อผ้าของเราต่างเปียกชุ่มด้วยกันทั้งคู่ ภูรีบก้าวเท้ามาหาพร้อมกับพยายามยกมือบังฝนให้ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรในเมื่อฝนตกห่าใหญ่ขนาดนี้ และเรายืนอยู่ด้านนอกที่ไม่มีแม้แต่หลังคาหรือที่ร่มให้หลบเลย
“คราวนี้ผมหวังว่าคุณสองจะไม่ปฏิเสธคำชวนนะ” ภูยิ้มกว้างด้วยท่าทางดี๊ด๊า แม้ว่าเสื้อจะเปียกอีกครั้งแต่สัตวแพทย์หนุ่มกลับไม่หงุดหงิด “ให้ผมไปส่งคุณเถอะครับ”
❤
ห่าเหว คือคำพูดติดปากของนายสิปปกร และวันนี้ผมก็สบถคำหยาบนี่ในใจมาไม่ต่ำกว่าสิบครั้งโดยเฉพาะตอนที่ฝนเทลงมาจนเปียกซ่กไปทั้งตัวแบบนี้
“หนาวไหมครับ?”
ภูถามพลางปรับแอร์ในรถให้เบาขึ้น ผมส่ายหน้า สองมือกระชับผ้าห่มผืนหนาที่โอบรอบตัวเอาไว้แน่นก่อนจะจามอีกรอบ
“ฮัดชิ่ว!”
“Bless you”
“Thank you”
ผมประหลาดใจที่ภูรู้จักธรรมเนียมนี้ด้วยจึงถามเขาว่าเคยไปต่างประเทศมาหรือเปล่า ภูก็เฉลยว่าเขาเคยไปเที่ยวสั้นๆก็เลยพอจะรู้ธรรมเนียมหลายอย่างที่ผมเคยอ่านเจอจากหนังสือ น่าตลกที่เราสองคนผลัดกันพูดประโยคนี้เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจาม เราพูดมันซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบเพราะอากาศเย็นๆเริ่มทำให้รู้สึกคันจมูกนิดหน่อย
“คุณพกผ้าห่มติดรถเสมอเลยเหรอ?”
“ครับ เผื่อฉุกเฉิน ผมเคยโดนฝนจนไม่สบายก็เลยต้องมีเผื่อไว้เช็ดตัว”
“แล้วแบบนี้คุณจะไม่เป็นไรเหรอ โดนฝนตั้งหลายรอบ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแข็งแรงดี”
ภูยิ้มอีกครั้งก่อนจะจามเสียงดัง ฮัดชิ่ว! ผมจึงรีบพูดต่อว่า
“Bless you”
“Thank you”
เรามองหน้ากันแล้วหลุดหัวเราะ เห็นทีว่าวันนี้กว่าจะถึงร้านกู้ด รี้ดดิ้งเราคงได้ผลัดกันพูดไดอะล็อกนี้เดิมๆอีกสองสามหน ฝนตกทำให้การจราจรในนนทบุรีค่อนข้างติดขัดกว่าปกติ น่าแปลกที่ตอนแรกผมคิดว่าการนั่งรถมากับเพื่อนใหม่คือเรื่องที่น่าอึดอัดใจ แต่ภูก็ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายด้วยการพูดว่า Bless you เมื่อเขาจาม และหลังจากนั้นเราก็ไม่หยุดคุยเลย
“เมื่อวานคุณบอกว่าเป็นฟรีแลนซ์” ภูเปลี่ยนเรื่อง “คุณทำงานอะไรอยู่เหรอครับ?”
“ผมเป็นนักแปลครับ แปลหนังสือ แปลเอกสาร นานๆทีก็มีไปเป็นติวเตอร์รับจ้างบ้างขึ้นอยู่กับว่าช่วงไหนมีงานอะไรให้ทำ”
“แบบนี้ก็ดีสิครับ” ภูยิ้มกว้าง “ปกติคุณทำงานกี่ชั่วโมงครับ? มีเวลาเข้างานที่แน่นอนเหมือนผมไหม?”
นั่นไง ถามเรื่องเวลาทำงานแบบนี้ –
“ผมทำงานทั้งวันทั้งคืนครับ ยุ่งมาก ไม่ค่อยมีเวลา” ผมตอบด้วยน้ำเสียงโอเว่อร์ “ตื่นนอนผมก็แปล ก่อนนอนผมก็แปล ชีวิตผมขยับตัวไปไหนไม่ได้เลย งานแน่นจริงๆ มีเงินใช้เยอะด้วย ไม่ต้องหารายได้ทางอื่นเพิ่ม”
“คุณเก่งจัง”
“แน่นอนครับ ไม่ต้องเล่นหุ้นผมก็มีเงินมากพอที่จะกินบุฟเฟ่ทุกวัน” ผมโอ้อวด เรื่องที่โม้น่ะไม่เป็นความจริงเลยซักนิด “ผมคงไม่ทำงานเพิ่มแล้ว ผมรวย”
“น่าอิจฉาจัง ผมยังไม่รวยเลย”
“อีกหน่อยคุณอาจจะรวย ถ้าคุณเลิกทำธุรกิจแบบนั้น”
“คุณหมายถึงคลินิกของผมเหรอครับ?”
“เปล่าครับ ผมหมายถึงงานอย่างอื่นน่ะ” ผมยิ้มหวาน พยายามส่งสายตาเป็นนัยๆให้ภูรู้ตัวว่าขายตรงไม่สามารถทำอะไรนายสิปปกรได้ “รู้ไหมครับว่าที่คุณทำอยู่มันไม่มั่นคง”
“ใช่ครับ มันมีปัจจัยหลายอย่าง ช่วงที่ทำแรกๆก็ไม่มีลูกค้าเหมือนกัน แต่อยู่ได้เพราะลูกค้าเก่าของเพื่อนพ่อ คลินิกนี้ผมเซ้งต่อมาอีกที”
“คุณคงพูดไม่เก่งล่ะมั้งลูกค้าถึงไม่หลงเชื่อ”
“หมายถึงผมปากเสียเหรอครับ?”
“เปล่าครับ ผมแค่บอกว่า -- คุณภูอาจจะยังพูดไม่เก่ง ฝึกไปเรื่อยๆนะครับ ผมเชื่อว่าวันหลังต้องมีลูกค้ามากกว่านี้แน่ๆ”
แต่ -- ไม่ -- ใช่ -- กู
“คุณสองสะดวกช่วงไหนบ้างครับ? ผมอยากชวนคุณสองไปทานข้าวด้วยกันซักมื้อ”
“ไม่สะดวกครับ ผมไม่ว่าง”
“ถ้างั้นผมอยากขอเวลาสั้นๆ พรุ่งนี้เก้าโมง --”
“ผมคงนอนอยู่”
“ถ้า --”
“จริงๆนะ ผมไม่ว่างเลย” ผมตัดบท “น่าเสียดายจัง นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมรบกวนคุณ คุณเป็นคนดีนะภู แต่เราคงเป็นเพื่อนกันไม่ได้ ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ”
ภูเงียบทันทีเมื่อเจอมุกไม่ว่างชนิดที่ไม่เปิดช่องว่างให้ได้ซักไซ้ถามต่อ บรรยากาศในรถเงียบลงจนเราเริ่มอึดอัด สีหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มของภูราบนิ่ง สัตวแพทย์หนุ่มไม่ชวนคุยหรือเล่นมุกตลกอะไรอีกนอกจากมองการจราจรที่แออัดอยู่เบื้องหน้า
“คุณสองไม่ชอบผมเหรอครับ?”
“ครับ?” ผมขานตอบแบบงงๆ
“ผมทำอะไรให้คุณสองไม่ชอบหรือเปล่า?”
“ก็ --” ผมอ้ำอึ้ง ตากลอกไปมาด้วยความลังเลเพราะไม่รู้ว่าควรพูดยังไงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายช้ำใจกับความจริงที่ว่าผมไม่อยากติดต่อกับพวกขายตรง
“วันนี้ที่เจอกันคุณสองก็ทำเป็นไม่รู้จัก” ภูพูดเสียงเรียบ “ผมเผลอทำให้คุณสองรู้สึกแย่ตอนไหนหรือเปล่า?”
“คุณภูไม่ได้ทำอะไรหรอก เป็นผมเองที่แสดงออกแบบนั้นเพราะ --”
ผมเว้นวรรค เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการพูดออกไปตรงๆคือทางเลือกที่ดีหรือไม่ ผมไม่อยากหักน้ำใจภูที่อุตส่าห์เป็นธุระช่วยไปรับไปส่งผมกับน้ำหนึ่ง แต่ผมเองก็ไม่อยากให้ภูรุกล้ำความเป็นส่วนตัวเพื่อชวนไปทำธุรกิจเหมือนกัน
“โอเค เพราะคุณสองไม่ชอบผม”
“มันไม่ใช่แบบนั้น”
“งั้นแบบไหนล่ะครับ?”
ภูถาม ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปยังท้ายรถยนต์สีขาวแทนที่จะเป็นใบหน้าของผมเหมือนอย่างเคย ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว ความเงียบก็เลยแผ่ขยายไปทั่วห้องโดยสารจนแทบได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของตัวเอง หลังจากนั่งชั่งใจอยู่นาน ผมคิดว่าควรพูดอย่างจริงจังเพื่อที่ภูจะได้ไม่เข้าใจผิด และผมจะได้ไม่ต้องอึดอัดกับการตามตื๊อของอีกฝ่ายแบบนี้
“คือ -- ผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับคุณ ผมไม่อยากสนิทกับคุณ”
ผมตอบ ภูหน้าเจื่อนทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป สัตวแพทย์หนุ่มที่เคยฉีกยิ้มสดใสร่าเริงดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัดจนต้องรีบอธิบายเพิ่ม
“ฟังนะ ผมรู้ว่าคุณภูกำลังทำงานอะไร แต่อย่างที่บอก ตอนนี้ผมไม่ต้องการรายได้เสริมหรือสนใจครอบครัวนักลงทุนอะไรนั่นด้วย ผมสบายดี ผมมีเงินพอใช้ จริงอยู่ที่มันไม่ได้มีงานทุกเดือนแต่ผมก็ค่อนข้างพอใจกับชีวิตตัวเองในตอนนี้ อีกอย่างผมเจอคนที่ทำงานแบบคุณมาแล้วหลายคน ไม่มีใครรวยเหมือนหัวหน้าเครือข่ายหรอก ทุกคนก็แค่ลิ่วล้อทางผ่านให้มันเหยียบเท่านั้น ผมขอเตือนเลยนะว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มันไม่มั่นคง เคยคิดบ้างไหมว่าการลงทุนกับสินค้าแบบนามธรรม ลงทุนไปกับธุรกิจที่ไม่มีสินค้าจริงๆมันคือความเสี่ยง คุณกำลังเล่นกับไฟนะภู! ทำไมคุณถึงโง่ -- หัวอ่อนจนเอาเงินของตัวเองไปให้ใครก็ไม่รู้ที่บอกว่าจะช่วยแนะวิธีลงทุนให้ คุณกำลังเสียเงินให้กับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ อย่าคิดว่าเงินปันผลไม่กี่หมื่นบาทจะเป็นก้าวสำคัญทำให้คุณมีเงินเป็นล้าน ผมจะบอกอะไรให้ คุณจะได้แค่หมื่นเดียว หลังจากนั้นจะมีแต่เสียกับเสีย หรือบางทีคุณอาจไม่ได้อะไรเลยนอกจากประกาศของทางการที่แนะนำให้คุณไปแจ้งความเพราะถูกโกงเงิน!”
“เดี๋ยว --”
“พูดตรงๆนะครับว่าผมซึ้งใจและนับถือในความดีของคุณมากๆ”
ผมพูดอย่างจริงจังและหันไปมองภูเพื่อแสดงออกตรงๆว่ารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“แต่อย่าพยายามทำดีกับผมเพื่อหาลูกค้าเพิ่มเลย ถ้าให้เลือก ผมขอไม่สนิทกับคุณดีกว่า ไม่ใช่ว่าผมดูถูกงานนักลงทุนอะไรนะครับ ผมแค่ไม่อยากเอาตัวเองไปพัวพันกับเรื่องแบบนี้อีกแล้ว แค่ธุรกิจขายตรงของพ่อคนเดียวผมก็ตามใช้หนี้ไม่ไหว ผมเหนื่อย ผมไม่อยากรับโทรศัพท์จากคุณที่พยายามขอเวลาไปทานข้าวแล้วคุยเรื่องเงิน ไม่อยากฟังคำโน้มน้าวให้ไปทำพอร์ตอสังหาแบบไม่ใช้เงินตัวเอง คุณอาจจะคิดว่างานของคุณนี่ช่างสุดยอดไปเลย แต่คุณภู ขายตรงคือการหลอกลวงนะ! คุณจะใช้วาทศิลป์กับคำนำหน้าอย่างสัตวแพทย์หาเครือข่ายไม่ได้! ห่าเหว! ผมพูดมันออกมาหมดแล้ว ทั้งๆที่ผมไม่อยากทำร้ายน้ำใจคุณ แต่ -- แต่ผมไม่อยากยุ่งกับขายตรง ขอโทษนะครับ”
“คือ --”
“ถึงคุณจะบอกว่าไม่ชวนผมไปลงทุน แต่อีกหน่อยคุณคงหาเรื่องมากวนใจผมแน่ๆ อย่างเช่นผมวางแผนทางการเงินยังไง อยากรวยก่อนเกษียณไหม อยากมีบีเอ็มขับเหมือนคุณหรือเปล่า โทษทีนะภู ผมชอบชีวิตเส็งเคร็งแบบนี้ของตัวเองมาก ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ เรื่องเงินฝากผมจัดการได้ ผมออมเงิน --”
“คุณสองครับ”
“ครับ?”
“ผมไม่ได้ทำธุรกิจขายตรงครับ”
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าสิ่งที่พูดไปช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน ผมหอบหายใจนิดหน่อยเพราะเผลอแรปยาวเป็นนาทีชนิดที่ไม่ได้หยุดพัก ตอนนี้สมองแบล๊งไปหมดเมื่อภูหันมาขมวดคิ้วด้วยท่าทีงุนงงราวกับไม่เข้าใจว่าไอ้สิปปกรกำลังพูดถึงอะไร
“ผมไม่ได้ขายของครับ ผมเป็นแค่สัตวแพทย์” ภูตอบ “แต่ที่ร้านก็มีขายพวกอุปกรณ์กับอาหารสัตว์เหมือนกัน แบบนั้นเรียกว่าขายตรงไหมครับ?”
“งั้นตอนนี้คุณทำงานอะไรบ้าง? ผมหมายถึงงานที่ทำแล้วได้เงิน ทุกงานที่ไม่ใช่แค่รักษาสัตว์”
“ไม่มีครับ ผมเป็นแค่สัตวแพทย์อย่างเดียว”
“พูดจริง?”
“จริงสิครับ” ภูยิ้ม “อย่างที่บอกไปว่าผมมีคลินิกของตัวเอง มีเพื่อนหมออีกหลายคนที่ทำงานด้วยกัน”
“แล้ว -- แล้วทำไมคุณถึงเอาแต่ถามตารางเวลาของผมล่ะ?”
“เพราะผมอยากโทรหาคุณสองตอนที่คุณว่างจริงๆ อย่างแปดโมงเช้าจะเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีลูกค้า ถ้าคุณสองว่างช่วงนี้เหมือนกัน ผมก็แค่อยากโทรไป”
“ทำไมคุณต้องพยายามโทรหาผมด้วย?”
“คนเราจะมีซักกี่เหตุผลที่ต้องโทรศัพท์หากันเหรอครับ?” ภูหัวเราะ ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้นเมื่อรู้ว่าจริงๆแล้วผมก็แค่เข้าใจผิด
“แล้วเรื่องลูกค้าวันนี้ล่ะ? ไหนจะที่คุณถามเรื่องงาน --”
“เพราะผมไม่รู้ว่าฟรีแลนซ์ทำงานกันยังไง ผมแค่อยากแน่ใจว่าแปดโมงจะไม่เช้าเกินไปเผื่อว่าคุณสองนอนไม่เป็นเวลา ส่วนลูกค้าเป็นเจ้าของน้องพุดเดิ้ลที่ป่วยเป็นโรคไตครับ มันเป็นโรคเรื้อรัง ผมก็แค่มาเยี่ยมเพราะป้าเขาเป็นลูกค้าประจำที่พาหมามารักษาบ่อยๆ”
“แค่นั้น?”
“ครับ แค่นั้น” สัตวแพทย์หนุ่มพยักหน้า “ทีนี้ถึงตาผมถามคุณสองบ้างแล้ว ทำไมวันนี้คุณถึงทำเป็นไม่รู้จักตอนที่เจอกันตรงทางเชื่อมอาคารล่ะครับ?”
“ผมเปล่าเสียหน่อย” ผมตอบเสียงอู้อี้ “ผม -- ผมแค่จำคุณไม่ได้”
“คุณจำไม่ได้เหรอครับ?”
“ใช่ เมื่อคืนมันมืดมาก ผมจำอะไรไม่ได้หรอก ตื่นมาก็แฮงค์ ผมไม่มีอารมณ์นึกหน้าใครทั้งนั้น อีกอย่างคุณเอาหน้าม้าลงด้วย แบบนี้ --” ผมพูดพร้อมกับทำท่าทางประกอบ ภูพยักหน้ารับยิ้มๆเมื่อผมใช้นิ้วสางผมตัวเองลงมาเป็นหน้าม้าบ้าง “หน้าคุณก็เลยเด็กกว่าเมื่อคืนเยอะมาก แถมยังสวมเสื้อยืดอีก ผมจำไม่ได้หรอก”
“เหมือนคุณสองกำลังชมผมทางอ้อมเลย”
“ผมไม่ได้จะแก้ตัวนะ แต่หน้าคุณเด็กมากจริงๆ คุณอายุเท่าไหร่เหรอ?”
“คิดว่าไงครับ?”
“ไม่รู้สิ คุณบอกว่าเป็นแฟนเก่าของเมียวิน น่าจะซัก -- ยี่สิบเก้า? เท่าผมไหม?”
“ผมอายุยี่สิบหกครับ เพิ่งยี่สิบหกเมื่อต้นเดือน”
“ใช้ชีวิตให้คุ้มนะ พอคุณย่างสามสิบเมื่อไหร่ คุณจะรู้สึกแก่เหมือนผม”
“คุณสองไม่เห็นแก่เลย”
“แก่สิ เห็นตีนกาผมไหม?” ผมบ่นพลางชี้หางตาตัวเอง “ยิ้มทีไร โดนล้อทุกที”
“ถ้าผมสัญญาว่าจะไม่ล้อ คุณสองจะยิ้มให้ผมเห็นบ่อยๆได้ไหมครับ?”
“ฝันไปเถอะ ผมไม่ยิ้มหรอก แม่บอกว่าผมเป็นเสือยิ้มยาก”
“แต่ผมว่าไม่จริงนะ” ภูแย้ง “วันนี้คุณสองยิ้มตั้งหลายครั้ง เมื่อกี๊คุณก็ยิ้ม ตอนนี้คุณก็ -- ยิ้มอยู่เหมือนกัน”
ผมไม่รู้จะปรับสีหน้ายังไงดีเมื่อภูเอาแต่หันมาจ้องตาแบบนี้ แม้ตอนแรกผมคิดว่าการนั่งรถกลับบ้านช่างยาวนานเหลือเกิน แต่พอได้ปรับความเข้าใจกันเวลาก็เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว และกว่าจะรู้ตัวอีกที รถเอสยูวีสีสาวก็จอดหน้าร้านกู้ด รี้ดดิ้งเสียแล้ว
“ขอบคุณครับ” ผมปลดเข็มขัดนิรภัย ตั้งท่าจะส่งคืนผ้าห่มที่ห่อตัวแต่ภูก็ใช้สองมือจับมันเอาไว้แน่น
“ไม่ต้องคืนหรอกครับ ถึงฝนจะหยุดตกแล้วแต่ข้างนอกอากาศหนาวมากเลยนะ” ภูยิ้มพลางพยักเพยิดไปทางหน้าต่างเพื่อให้เห็นบานกระจกของร้านหนังสือมีไอน้ำเกาะหนากว่าปกติ “รีบเข้าร้านเถอะครับ เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยนะ”
“สั่งเหมือนผมเป็นเด็ก ผมแก่กว่าคุณเกือบห้าปีเลยนะ ให้ตายเถอะ” ผมยู่ปาก “ขอบคุณที่เป็นธุระรับส่งผมกับพี่สาวนะครับ”
ภูนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้ารับ
“ทีแรกคุณสองบึ้งตึงกับผมเพราะเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นนักลงทุน แต่พอเราได้คุยกัน คุณสองน่ารักกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย” ภูเอ่ยชม “ผมอยากทำความรู้จักกับคุณสองอีกครั้ง เรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมครับ?”
ผมเงียบเพราะไม่เข้าใจว่าภูกำลังสื่อถึงอะไรในเมื่อวันนี้เราตัวติดกันแทบตลอดทั้งวัน แม้จะยังงุนงง แต่พอสัตวแพทย์หนุ่มยื่นมือมาข้างหน้า ผมก็ยื่นมือไปจับโดยอัตโนมัติทันที
“ผมชื่อภูครับ” เพื่อนใหม่ยิ้มกว้างพร้อมกับบีบมือของผมเบาๆ
“ผมสองครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณสอง”
“เช่นกันครับ”
เรายิ้มกว้างออกมาพร้อมกันเมื่อรู้สึกว่าการทำความรู้จักใหม่อีกครั้งดูตลกเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเริ่มรู้สึกเป็นเคอะเขินแปลกๆ หลังจากนั่งหัวเราะสักพัก ผมจึงขอตัวกลับไปพักผ่อน วันนี้เปียกมานานจนกางเกงในเปื่อยแล้ว ผมต้องการเสื้อผ้าอุ่นๆและเตรียมตัวแปลงานที่ค้างไว้ให้เสร็จเรียบร้อย
“บายภู”
“บ๊ายบายครับ”
ผมโบกมือและเปิดประตูลงจากรถ ลมหนาวที่พัดฉิวมาปะทะร่างกายทำให้ตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ ผมกระชับผ่าห่มของภูเอาไว้แน่น สองมือโอบรัดตัวเองเอาไว้ราวกับมันจะช่วยคลายความหนาวได้ เหลืออีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงประตูร้านหนังสือทว่าสัมผัสแผ่วเบาที่แตะลงบนแก้มเรียกให้ผมต้องหยุดเดิน
ฝนตกอีกแล้ว ความเย็นของน้ำฝนตรงใบหน้าเรียกให้ต้องเช็ดออก จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นแล้วพบว่าฝนห่าใหญ่กำลังจะเทตัวลงมา ผมอมยิ้มเมื่อคิดว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูฝนแล้ว หลังจากนี้ผมคงใช้แอร์น้อยลง ประหยัดค่าไฟมากขึ้น คงได้นอนฟังเสียงฝนกระทบหลังคาเปาะแปะจนหลับทุกคืนอีกครั้ง ผมชอบฤดูฝน ชอบตอนที่ฝนตกหนัก แม้ว่ามันจะทำให้หน้าเสื้อผ้าอับชื้นเพราะไม่ตากแดด แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผมหลงใหลฤดูเหงาๆและกลิ่นอายของมันมากแค่ไหน
Rrrr
แรงสั่นของสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงฉุดให้ตื่นจากภวังค์ ผมล้วงหยิบมันออกมาก่อนจะกดรับอย่างรวดเร็วด้วยความลืมตัว ทันทีกรอกเสียงลงไปในสายว่า “ฮัลโหลครับ” ก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าใครโทรมา
“อย่ายืนตากฝนสิครับ เดี๋ยวจะไม่สบายนะ”
เป็นภูนั่นเอง ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวกลับไปมองบีเอ็มดับเบิลยูที่ยังคงจอดนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขับออกไปแต่อย่างใด
“มีอะไรหรือเปล่าภู?”
“ผมลืมบอกเหตุผลว่าทำไมผมถึงตามวอแวคุณสองไม่เลิก อยากรู้ไหมครับว่าทำไม?
ยังไม่ทันได้ตอบว่าอยากรู้เหตุผลนั่นหรือไม่ เอสยูวีคันนั้นก็ค่อยๆลดกระจกลงจนสามารถมองเห็นคนขับได้ชัดเจน ภูอมยิ้มเมื่อรู้ว่าผมมองเห็นข้างใน เราสบตากันเงียบๆโดยไม่พูดอะไร มีเพียงแค่เสียงลมหายใจเท่านั้นที่ดังขึ้นในสาย คำพูดทุกอย่างถูกพับเก็บลงลำคอเมื่อเห็นว่าดวงตาคู่นั้นดูจริงจังมากกว่าปกติแค่ไหน แววตาของภูอ่อนลง มันอบอุ่นยิ่งกว่าผ้าห่มที่กำลังคลุมตัวในตอนนี้
“ผมชอบคุณสอง”
ภูพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น รอยยิ้มขวยเขินเหมือนเด็กน้อยฉายบนใบหน้าจนผมสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังล้อเล่น
“หลังจากนี้ช่วยเมมเบอร์ผมเอาไว้ในเครื่องของคุณสองด้วยนะครับ”
TBC
___________________
#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก
สวัสดีวันจันทร์ที่แสนจะไม่น่ารักค่ะ

เจบบบบบบบบบบ ไปหมดทั้งตัวแล้วตอนนี้ อยากนอนมากๆเลยแต่ใจมันว้าวุ่น คิดถึงแต่สัญญาที่ให้ไว้กับทุกคนก็เลยแวะมาอัปซักหน่อย ขอบคุณสำหรับกำลังใจน่ารักๆที่คอยซัพพอร์ตกันมาเสมอนะคะ ความสุขเล็กๆที่ยังพอยิ้มได้คือการได้อ่านข้อความจากทุกคนนี่แหละค่ะ