8 [PART 2/2]
“ชานมดีใจใหญ่เลย คืนนี้มีคนมาค้างที่ห้องชานมด้วย!”
ภูเอ่ยเสียงใสขณะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน ชานมก้นใหญ่ส่ายตูดดุ๊กดิ๊กด้วยความดีใจที่เห็นว่าเจ้าของกลับมาร่าเริงแจ่มใสเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ส่วนผมที่เดินตามหลังได้แต่แอบกังวลเพราะกลัวว่าคืนนี้จะทำบ็อกเซอร์ของภูเลอะอีกหรือเปล่า โดยปกติผมไม่เคยฝันเปียกติดต่อกันสองคืน หวังว่าทฤษฎีนี้จะยังใช้ได้อยู่ ไม่อยากนั้นผมคงไม่มีหน้ากลับมาเหยียบห้องนอนของเจ้าโกลเด้นอีก
คืนนี้ต่างจากคืนก่อนตรงที่มันมีความพิเศษบางอย่างเกิดขึ้น ภูเดินไปเปิดตู้เก็บของในห้องน้ำ หยิบเอาที่แขวนแปรงสีฟันตัวการ์ตูนออกมาสองลายเพื่อถามว่าผมชอบแบบไหนมากกว่าระหว่างริลัคคุมะกับตุ๊กตาวัวนม แน่นอนว่าต้องเป็นริลัคคุมะอยู่แล้ว ดังนั้นภูจึงแกะที่แขวนแปรงสีฟันออกจากพลาสติกและแปะตัวดูดสุญญากาศบนกระจกห้องน้ำทันที
“ตัวนี้คือที่แขวนแปรงของคุณสองนะ”
ผมได้แต่เลิกคิ้วประหลาดใจเมื่อเห็นว่าบนกระจกห้องน้ำมีตุ๊กตาแขวนแปรงสองตัว ตัวหนึ่งเป็นตุ๊กตาหมูซึ่งไว้สำหรับแขวนแปรงของเขา ส่วนริลัคคุมะเป็นที่แขวนแปรงของผม
“ไม่ต้องแกะก็ได้ เสียดายของ” ผมบ่น “แปรงผมจะวางตรงไหนก็ได้ ในแก้วน้ำก็ได้ ไม่เห็นต้องแกะตุ๊กตาแพงๆนี่มาแขวนเลย”
“ได้ไง? ต่อไปเวลาคุณสองมา คุณสองจะได้หยิบแปรงสะดวก จะก้มๆเงยๆล้วงหาหน้ากระจกอยู่ทำไม ก็แปะไว้ข้างกันนี่แหละ หมูของผม หมีของคุณสอง”
“คุณนี่นะ --” ผมส่ายหน้า “ต่อไปไม่ต้องยกผ้าเช็ดตัวให้ผมด้วยหรือไง”
ผมพูดโดยไม่คิดอะไร แต่เจ้าโกลเด้นก็เดินออกไปตรงระเบียงและกลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่ผมใช้เมื่อวาน ผมเบิกตากว้างมองเจ้าโกลเด้นเดินถือผ้าเข้ามาใกล้ พอถามว่าทำไมไม่โยนใส่ตะกร้าเตรียมซัก จะเอาไปแขวนตากข้างนอกทำไม ภูก็ตอบหน้าตาเฉยว่า
“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณสองต้องมาอีก”
และยิ้มหวานจนตาหยี
“มาค้างที่นี่บ่อยๆนะครับ ชานมดีใจมากที่คุณสองมา”
“ชานมหรือใครกันแน่ที่ดีใจ?”
“ผมเองแหละที่ดีใจมากเวลาคุณสองมา” ภูยิ้มเขิน “ไปอาบน้ำดีกว่า วันนี้เราจะดูอะไรกันดี?”
“คุณอยากดูอะไรล่ะ?”
“อยากดูจิบลิอีกแต่คราวนี้เป็นเรื่องใหม่ คุณสองเคยได้ยินหนังเรื่อง Spirited Away ไหม?”
“ไม่”
“งั้นคืนนี้ดูเรื่องนี้นะ สนุกกว่าแม่มดกิกิที่เราดูเมื่อคืนอีก”
ภูบอกก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ เหลือเพียงผมกับชานมที่นอนกัดลูกบอลเสียงดังปี๊บๆอยู่บนเบาะ เมื่อได้อยู่เพียงลำพังในโลกส่วนตัวของภู ผมถือวิสาสะใช้โอกาสนี้สำรวจความเป็นตัวตนของเขาผ่านทางข้าวของเครื่องใช้ ภูมีตู้กระจกโชว์โมเดลตู้ใหญ่ ในนั้นมีตุ๊กตาอะไรไม่รู้วางอัดแน่นเต็มไปหมด มันไม่ใช่กันดั้ม ไม่ใช่ฟิกเกอร์ผู้หญิงสวยๆ แต่เป็นโมเดลตัวการ์ตูนน่ารักปะปนกันไป มีโตโตโร่มากกว่ายี่สิบตัวในหลายๆอิริยาบถวางอยู่ด้วย ภูดูเป็นคนชอบของกุ๊กกิ๊กน่ารัก เขามีความเป็นเด็กในขณะเดียวกันก็มีมุมผู้ใหญ่อยู่ในตัว ผมถือวิสาสะไล่สายตาเพื่อมองสำรวจฟิกเกอร์ในตู้โชว์ของเขา นับในใจคร่าวๆว่าอย่างต่ำในตู้นี้ต้องเกือบร้อยตัวแน่ๆ
ผมครุ่นคิดก่อนจะหันมองสิ่งต่างๆที่จัดวางอยู่ในห้องนอน ตรงปลายเตียงมีหุ่นยนต์ดูดฝุ่นวางอยู่ คูณรู้ไหมว่าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นยี่ห้อที่เขามีราคาอยู่ที่หลักหมื่น เป็นราคาที่ผมกัดฟันซื้อไม่ได้เพราะมันสูงเกินไป นอกจากนี้ในห้องยังมีเครื่องฟอกอากาศ มีเครื่องพ่นไอน้ำที่ให้กลิ่นหอมวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง นอกจากนี้ยังมีน้ำมันหอมระเหยหลายกลิ่นหลายยี่ห้อวางอยู่ในถาดพลาสติก แล็ปท็อปส่วนตัวของเขาคือแม็คบุ๊ก แถมด้วยไอแพด ไอพอด ไอโฟน เอียร์พอดแยกอีกต่างหาก ผมได้แต่มองของใช้ในห้องของภูแล้วรู้สึกท้อใจยังไงไม่รู้ ความเป็นอยู่ของเรามันคนละชั้น ราวกับเรามาจากคนละโลก คนละสังคมอย่างไรอย่างนั้น ภูไปหาเงินมาจากไหนนะ ในขณะที่เขาเด็กกว่าผมสี่ปีและเพิ่มเริ่มทำงานได้ไม่เท่าไหร่ ทำไมเขาถึงมีของเล่น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาแพงที่ผมยังไม่มีปัญญาครอบครองเยอะแยะมากมายขนาดนี้
“คุณสองจะอาบน้ำเลยไหมครับ?”
ผมสะดุ้งเมื่อภูออกจากห้องน้ำไม่ให้สุ้มให้เสียง เขาเปลือยท่อนบนเหมือนเดิม สวมกางเกงขายาวตัวเดียวกับเมื่อวาน ผมมองหน้าเขาไม่กี่วินาทีก็ตอบว่าอาบเลย คืนนี้จะได้เข้านอนไวๆเพราะพรุ่งนี้ภูต้องตื่นแต่เช้าเตรียมเฝ้าร้านอีก
“พรุ่งนี้ตื่นมาผมจะเจอคุณสองไหม?” ภูถามแกมหยอกเหมือนไม่คิดอะไร
“เจอสิ ทำไมจะไม่เจอ” ผมตอบเขา แต่ภูก็ไม่ได้แสดงออกว่าโล่งใจเท่าไหร่ “ผมอาบน้ำก่อนนะ”
“นี่เสื้อกับกางเกง และก็บ็อกเซอร์ครับ”
“ขอบคุณ”
“อย่าขโมยบ็อกเซอร์ผมอีกนะ”
“รู้แล้วน่า”
ผมยกมือจะเขกหัวเจ้าโกลเด้นขี้แซวแล้วรีบเข้าไปอาบน้ำ บนเคาน์เตอร์หน้ากระจก มียาสีฟันที่พ่อแถมให้วางอยู่ในแก้วพลาสติก ผมหยิบแปรงของตัวเองจากที่แขวนตุ๊กตาริลัคคุมะ ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีในการทำความสะอาดตัวก็เสร็จเรียบร้อย ผมออกจากห้องน้ำในชุดนอนของภูเป็นคืนที่สอง เปิดประตูออกมาก็เจอภูเกาพุงให้ชานมไปพร้อมกับกดรีโมตทีวี
“หอมมาถึงนี่เลย” ภูพูดขึ้นเมื่อผมเดินผ่านหน้าเขาเพื่อตากผ้าเช็ดตัวนอกระเบียง
“อย่าเว่อร์ ผมก็ใช้สบู่ยี่ห้อเดียวกับคุณนั่นแหละ”
ผมส่ายหน้าเอือมระอาให้ความปากหวานของภูก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นข้างเขา เจ้าชานมเห็นเหยื่อรายใหม่ก็ผละตัวออกจากเจ้าของ เอาหัวมาเกยตักผมอย่างออดอ้อนราวกับขอให้ลูบหัวหน่อย เกาพุงก็ได้ ยังไงก็ได้ แต่ช่วยให้ความสนใจชานมเยอะๆเพราะนมชอบเป็นที่รัก
“คอร์กี้มันอ้วนแบบนี้ทุกตัวเหรอภู?”
“จริงๆก็ประมาณนี้แหละครับ คอร์กี้ไม่ใช่หมาพันธุ์เล็กนะคุณสอง มันแค่เตี้ย”
“น่ารักดี”
ผมยิ้มพลางยีขนฟูนุ่มของชานม ปล่อยภูใช้เวลาไปกับการเลือกสิ่งที่ตัวเองอยากดูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองเขาเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบแปลกๆ เมื่อเราสบตากัน ผมถึงรู้ว่าภูจ้องอยู่ก่อนแล้ว เขามองผมราวกับมีเรื่องมากมายให้คิดด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าที่ควร
“แก้มคุณสองช้ำน่ากลัวมาก”
“อืม ช่างมันเถอะ”
“ตกลงคุณสองไปแจ้งความหรือยังครับ?”
“ยัง”
ผมตอบและบอกภูว่าคงไม่แจ้งแล้ว เจ้าโกลเด้นไม่สบายใจที่จู่ๆสิปปกรก็ปล่อยให้ไอ้ปั๊ปต่อยฟรีโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ผมจึงต้องเบรกเขาไว้ด้วยการบอกว่าถ้าแจ้งความให้ไอ้ปั๊ปมาเคลียร์ที่สถานีตำรวจ ภูอาจจะโดนข้อหาหนักกว่าที่มันโดนก็ได้นะ เพราะภูซ้อมไอ้เหี้ยปั๊ปจนเลือดกบปากขนาดนั้น หนักกว่ามันที่ต่อยผมจนแก้มช้ำเป็นไหนๆ
“แล้วยังไงล่ะ ผมทำเพื่อปกป้องคุณสอง ปกป้องพี่น้ำ ปกป้องเปเปอร์ไง” ภูขมวดคิ้วไม่พอใจที่ผมถอดใจง่ายๆ “พรุ่งนี้ไปแจ้งความนะ ต่อให้ผมอาจจะโดนหางเลขก็ช่างมันเถอะ”
“ปล่อยให้เรื่องเงียบไม่ได้เหรอภู?”
“ไม่ได้หรอก มันทำคุณสองเจ็บขนาดนี้จะให้ปล่อยผ่านได้ไง”
ผมซึ้งในน้ำใจของภูยังไงไม่รู้ แต่พูดก็พูดเถอะ ผมขี้เกียจไปเดินเรื่องให้ยุ่งยาก ไหนจะต้องไปโรงพยาบาล ต้องไปสถานีตำรวจ ต้องเจอไอ้เหี้ยปั๊ปวันไกล่เกลี่ยอีก มันเยอะจนผมไม่อยากยุ่งอะไรด้วยแล้ว อยากให้มันจบตรงนี้ ถ้าไม่ติดว่าเราเองก็ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังสำหรับเลี้ยงเปเปอร์ให้มีอนาคตดีๆ ไอ้เรื่องฟ้องหย่าเรียกค่าเลี้ยงดูก็คงไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน
“ผมพาไปก็ได้นะ ถ้าคุณสองไม่สะดวกเดินทาง”
“อย่าเลยภู คุณทำงานเถอะ เดี๋ยวผมไปเอง” ผมบอกแต่ภูไม่ค่อยเชื่อ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้าโกลเด้นไม่เชื่อถือคำพูดของผม นี่เรารู้จักกันนานขนาดนั้นแล้วเหรอ “โอเค ผมจะไปแจ้งความ เดี๋ยวถ่ายรูปมาให้คุณดูด้วย ตกลงไหม?”
“ผมไปด้วย”
“ว่างมากเหรอ?”
“ครับ ว่างทั้งนั้นแหละ อะไรที่เกี่ยวกับคุณสองน่ะ”
ผมไปต่อไม่ถูกอีกครั้งด้วยคำพูดของเขา เป็นอีกครั้งที่ภูทำให้ผมคิดว่าตัวเองสำคัญ เป็นใครซักคนที่เขาห่วงจนเสนอตัวดูแลและให้ความช่วยเหลือซึ่งผมเองก็เคยได้รับความรู้สึกนี้จากคนใกล้ตัวบ้าง ไม่ว่าจะจากพ่อแม่ น้ำหนึ่ง หรือจากติณ แต่ภูกำลังทำให้มันพิเศษกว่าด้วยการใส่ใจ เขาไม่ได้กังวลแค่เรื่องแก้มช้ำๆของผม แต่ยังถามถึงคดีความของน้ำหนึ่งอีกด้วย
“ผมมีเพื่อนเป็นทนาย ถ้าคุณสองไม่ไหวหรือไม่รู้จะติดต่อใคร บอกผมได้นะ”
“คุณดีกับผมเกินไปแล้วภู”
“ถ้าคุณสองคิดว่าผมดี แล้วเมื่อไหร่คุณสองจะเปิดใจล่ะครับ?” ภูถามยิ้มๆ ส่วนผมยิ้มไม่ออก ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรเพราะไม่แน่ใจในตัวเองเหมือนกัน
“ดูหนังกันเถอะ”
ผมตัดบทเอาดื้อๆและลุกขึ้นไปนอนบนเตียง ภูดูงุนงงแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาต้อนชานมเข้าคอกก่อนจะเดินไปเปิดเครื่องทำความชื้นข้างหัวเตียง กลิ่นพีชหอมอ่อนๆชวนผ่อนคลายทำให้บรรยากาศน่าพักผ่อนเพิ่มขึ้นมาอีกร้อยเท่า ผมไม่เคยรู้สึกสบายขนาดนี้มาก่อนเลย ที่นอนของภูทั้งนุ่มและแน่น แอร์เย็นเฉียบไม่ได้ทำให้หนาวจนตัวสั่นเพราะผ้านวมผืนหน้าให้ความอบอุ่นได้ดีเยี่ยม ผมทิ้งน้ำหนักลงบนหมอน รู้สึกล่องลอยราวกับอยู่ในโรงแรมห้าดาวผิดกับห้องนอนในร้านกู้ด รี้ดดิ้ง มันสบายจนเกือบเคลิ้มหลับ ถ้าไม่ติดว่ารับปากจะดูหนังกับเขา ผมคงหลับคาเตียงโดยไม่สนใจอะไรไปแล้ว
อนิเมะที่ภูเปิดก่อนนอนคืนนี้ชื่อว่า Spirited Away ภูพูดย้ำนักหนาว่าสนุกอย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนผมก็ได้แต่ปรือตามองจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ตรงปลายเตียง เรื่องนี้สนุกว่าแม่มดกิกิอย่างที่ภูว่า จากตอนแรกที่ง่วงๆก็ตาสว่างเพราะการผจญภัยของจิฮิโระมันชวนตื่นเต้นมากกว่า ภูบอกว่าเรื่องนี้เป็นหนังรางวัล เป็นหนังที่เขาชอบมากๆถึงขนาดมีฟิกเกอร์ผีไร้หน้าเป็นสิบตัวในตู้โชว์
“ผมเชื่อแล้วว่าคุณชอบ ผมเห็นผีไร้หน้าเยอะพอๆกับโตโตโร่”
“โตโตโร่ผมซื้อเพราะมันน่ารัก แต่เนื้อเรื่องไม่สนุกขนาดนั้นหรอก ออกจะน่าเบื่อนิดหน่อยสำหรับผมนะ” ภูพูดขณะที่ตายังมองโทรทัศน์ “แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมาก”
“เรื่องอะไรเหรอ?”
“Howl's Moving Castle” ภูตอบ “เสียดายที่ฉบับแปลหมดเกลี้ยงแล้ว”
“ของสำนักพิมพ์มติชนใช่ไหม?”
“คุณสองรู้จักเหรอครับ? ที่ร้านพี่ติณมีขายไหม?”
“เคยมี แต่ขายหมดไปพักใหญ่แล้วล่ะ” ผมหาวออกมาหวอดใหญ่ “คุณก็ซื้อฉบับอิ๊งมาอ่านสิ ที่คิโนะคูนิยะยังมีขายอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“ผมไม่เก่งภาษาอังกฤษขนาดจะอ่านนิยายได้น่ะสิครับ”
ผมมองภู มองสีหน้าเสียดายของเขาด้วยความรู้สึกว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าโกลเด้นยังบ่นต่อไปว่าเขาชอบเรื่องนั้นมาก ชอบมากๆ มีคนรีวิวว่าในหนังสือไม่เหมือนกับอนิเมะ ภูอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง มันสนุกกว่าที่เคยดูไหม ภูอยากจะรู้จริงๆแต่คงไม่มีโอกาสเพราะเขาไม่เก่งภาษาอังกฤษถึงขนาดจะแปลได้ทั้งเล่ม
“เดี๋ยวแปลให้ เอาไหมล่ะ?”
“ได้เหรอครับ?”
“ได้สิ” เจ้าโกลเด้นกระดิกหากดีใจยกใหญ่ แต่ผมก็เบรกความดีใจของเขาด้วยการอธิบายเพิ่มเติมว่า “ผมไม่แปลออกมาเป็นหน้าๆให้คุณหรอกนะ ผมจะอ่านแล้วแปลเลย คุณต้องมีเวลาฟังด้วย ตกลงไหมล่ะ?”
“ตกลงอยู่แล้ว ทำไมจะไม่ตกลงล่ะครับ”
“คุณชอบเรื่องนั้นมากเลยหรือไง?”
“ชอบก็ส่วนนึง แต่ที่ดีใจคือผมจะได้มีโอกาสอยู่กับคุณสองมากกว่านี้ต่างหาก” ภูเฉลยคำตอบที่ผมคาดไม่ถึง “เพราะถ้าคุณสองต้องอ่านและแปลให้ฟัง เท่ากับว่าเราก็จะได้อยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น คุณสองจะมาค้างห้องผมถี่ขึ้นใช่ไหมครับ?”
“ไม่รับปากนะ บางวันผมก็ต้องช่วยติณดูร้าน” ผมตอบตามตรง “อีกอย่างนะ ผมสงสัยจริงๆว่าทำไมคุณถึงดีใจนักหนาเวลาผมมาค้างที่นี่ คนส่วนใหญ่เขาไม่ชอบหรอกนะเวลาแขกมานอนเบียดบนเตียง นี่ผมทั้งเอาเสื้อผ้าคุณมาใส่ เอาบ็อกเซอร์กลับไปซัก ผมเอาเปรียบคุณขนาดนี้ คุณยังจะต้อนรับให้ผมมาบ่อยๆอีกเหรอ?”
“ไม่เห็นแปลกเลย มันคือความชอบที่ผมมีให้คุณสองไง”
“ตาบอดนะคุณน่ะ”
“ตาถึงล่ะสิไม่ว่า” ภูย่นจมูกเมื่อผมดูถูกรสนิยมของเขา “คุณสองน่ะมีเสน่ห์มากๆเลยรู้ตัวไหม ยิ่งคุณสองใส่แว่นด้วย ผมยิ่งชอบ”
“ชอบคนใส่แว่นเหรอ?”
“ใช่” เจ้าโกลเด้นพยักหน้ารับ “ผมน่ะ ชอบคุณสองจริงๆนะ”
“ชอบผมแล้วจะทำยังไงต่อไปล่ะ?”
“จะจีบให้ติด แล้วก็คบกัน”
“เราคบกันแล้วได้อะไรเหรอภู คุณจะมีความสุขขึ้นหรือไง?” ผมถามตามตรง
“แน่นอนสิครับ” ภูตอบ “ไม่ใช่แค่ผมนะที่จะมีความสุข คุณสองเองก็จะมีความสุขด้วยเหมือนกัน”
“แต่ผม --” ผมอ้ำอึ้ง อยากพูดว่าเข็ดขยาดกับความรัก แต่จู่ๆก็กลัวว่าหากพูดแบบนั้นออกไป ภูคงเสียใจน่าดู “แต่ผมไม่ใช่คนดีอะไรหรอกนะ”
“ผมก็ไม่ใช่คนดี”
ภูตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง เขามองมาที่ผมด้วยแววตาหลากหลายความหมาย มันเป็นประกายวิบวับเหมือนเด็กไร้เดียงสาต่อความรัก เด็กที่ไม่คาดหวังสิ่งอื่นใดนอกจากการตอบรับของคนที่ตัวเองชอบ
“ผมไม่เป็นสลิ่มด้วยนะ”
ผมหลุดหัวเราะก๊าก ไอ้หมาบ้า พูดออกมาในบรรยากาศแบบนี้ได้ยังไง มันขัดมู้ดแอนด์โทนของการบอกชอบนะรู้ไหมเนี่ย
“คุณสองให้โอกาสผมนะ ผมจะดูแลคุณอย่างดี ผมจะไม่ทำให้คุณเสียใจเหมือนคนอื่นที่ผ่านมา”
ภูให้สัญญาและปล่อยให้บรรยากาศนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ หัวใจของผมเต้นโครมครามแทบไม่เป็นจังหวะเพราะรู้สึกว่าการบอกชอบครั้งนี้มันจริงจังที่สุดตั้งแต่เราคุยกันมา ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่อยากเชื่อว่าจะมีผู้ชายดีๆแบบภูเข้ามาในชีวิต ไม่อยากเชื่อว่าจะได้พบกับคนที่บอกว่าชอบผม ชอบใบหน้าแป้นๆของผม ชอบที่ผมสวมแว่นหนาเตอะเหมือนเด็กเนิร์ดและเอาแต่พูดอะไรก็ไม่รู้ทั้งวี่ทั้ง ชอบผม – แม้ว่าครอบครัวผมจะฐานะไม่ค่อยดีและมีแต่เรื่อง ทุกอย่างมันดูเหลือเชื่อเหมือนฝัน เหมือนความฝันเมื่อคืนไม่มีผิด เหมือนตอนที่เขากระซิบบอกว่าชอบผมและหลังจากนั้นก็ค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้ ใช้แววตาแสนหวานในการทำให้ผมหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ริมฝีปากเราจะค่อยๆแตะกัน หากแต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความฝัน
ผมกับภูจูบกันจริงๆ
คนเราถ้าไม่รู้สึกดีต่อกันก็คงไม่จูบกันหรอก ผมเชื่อแบบนี้เสมอจนกระทั่งยอมให้ภูได้ครอบครองริมฝีปากที่ไม่เคยมอบให้ใครนอกจากชวินทร์ จูบของภูทำให้ผมนึกถึงความเป็นเด็กซื่อและไร้เดียงสา เขาจูบไม่เป็น ราวกับห่างเหินการจูบมาเนิ่นนานอย่างไรอย่างนั้น ในที่สุดเมื่อถึงจุดที่เราต้องผละตัวออก ผมบอกภูว่าการจูบแบบนี้ทำให้ผมเจ็บ เขาต้องดูดริมฝีปากเบาๆ ไม่ใช่ขบเม้ม อย่าออกแรงมากจนเกินไปแต่ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติ
“ผมใช้ลิ้นได้ไหม?”
“ได้สิ” ผมตอบพลางถอดแว่นสายตาออก แม้จะรู้สึกกระดากอายแปลกๆแต่ความต้องการที่จะลิ้มลองภูมีมากกว่า “มานี่สิ เดี๋ยวผมจูบคุณ แล้วคุณลองทำตามนะ”
ผมน่าจะหยุดตัวเองตั้งแต่ตรงนั้น น่าจะคิดได้ว่าการจูบกันสามารถนำพาไปถึงเซ็กส์ที่ไม่ได้ตระเตรียมมาก่อน เพราะผมมัวแต่ลุ่มหลงในตัวภู มัวแต่รู้สึกดียามที่เราดูดดึงกันอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบากว่าก่อนหน้า ในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายขึ้นคร่อมภูก่อน สองมือไล้สัมผัสไปทั่วหน้าอกเขาของด้วยความหลงใหลเหมือนในความฝัน ผมเพิ่งรู้ตัวว่าชอบภูมาก ชอบร่างกายของเขา ชอบหุ่นและผิวของเขาจนหยุดลูบไม่ได้ สิ่งหนึ่งในตัวเราทั้งคู่ได้ถูกจุดขึ้นมาแล้ว และมันจะดำเนินต่อไปไม่หยุดจนกว่าจะเราจะเสร็จสม ดังนั้นหลังใช้ปลายนิ้วหยอกล้อหน้าอกกับภูจนเขาเริ่มเปล่งเสียงแห่งความรู้สึกดี ภูก็พลิกตัวผมกลับมาอยู่ด้านล่างและขออนุญาตถอดเสื้อ
“ไม่ต้องขอหรอก”
ผมพูดพลางถอดทุกอย่างจนเหลือแต่บ็อกเซอร์ หมดซึ่งความยับยั้งชั่งใจ ชั่วโมงนั้นเราทั้งคู่ไม่มีใครห้ามใจตัวเองซักคน ผมไม่ได้คิดว่ามันจะเลยเถิดจนถึงขนาดสอดใส่เพราะไม่ได้เตรียมตัวมา ภูเองก็ไม่มีเจลหล่อลื่นและถุงยาง ดังนั้นเซ็กส์ครั้งแรกของเราจึงจบลงที่จูบและการใช้มือช่วยเท่านั้น
ผมไม่สามารถบรรยายอะไรได้มากนักเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมือนฝันไปเหล่านั้น ครั้งแรกของเขาเป็นเพียงการสัมผัสภายนอก ผมใช้มือช่วยภู ในขณะที่เขาก็จูบผมไปพร้อมกับล้วงมือเข้ามาในบ็อกเซอร์ เราต่างรูดดึงให้กันและกันตามอารมณ์ที่พุ่งทะยาน ผมพรมจูบไปทั่วลำคอของภู สูดเอากลิ่นหอมของครีมอาบน้ำเข้าเต็มปอดด้วยความหลงใหล ตอนแรกอะไรๆก็ดูเคลิบเคลิ้มชวนฝันจนกระทั่งภูเริ่มใช้ริมฝีปากดูดผิวของผม เริ่มใช้ฟัน เริ่มออกแรงบีบตามเนื้อตัวของผมแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นผมถึงเริ่มสงสัยว่า –
ภูเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรงตอนมีเซ็กส์หรือเปล่า?
เพราะการดูดดึงของเขาต่างจากของผมที่แค่พรมจูบอย่างนุ่มนวลสลับกับใช้ลิ้น ภูดูดคอของผมด้วยความรุนแรงเหมือนจูบกันในทีแรก เขาดูดดึงด้วยปลายลิ้นและใช้ฟันขบเม้มจนเป็นรอย มือซ้ายที่เคยปรนเปรอให้ผมถูกยกขึ้นมาบีบข้อมือ ภูบีบแรงจนผมเจ็บ เจ็บเหมือนเนื้อจะแหลกคามือของเขายามที่ภูออกแรงมากขึ้น ผมเริ่มสังเกตว่ายิ่งเขารู้สึกดีเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งส่งต่อความรู้สึกนั้นเป็นความรุนแรง จุดหนึ่งที่เริ่มทนไม่ไหวกับความเจ็บทางกายภาพ ผมจึงสะบัดหน้าออกจากจูบของเขาและบอกว่า
“ผมเจ็บ!”
ภูชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงของผม เขาดูอึ้ง ตกใจปนสับสนราวกับไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ภูค่อยๆมองมือของตัวเองที่บีบรัดข้อมือของผมแน่น รอยเจ็บตรงคอยังคงปวดตุบเพราะแรงดูดที่ภูทิ้งเอาไว้ ผมหอบหายใจและมองหน้าเขา มองภูที่สติหลุดไปแล้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆใช้สองมือประคองแก้มของภูเอาไว้
“ทำเบาๆ โอเคไหม?”
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร ผมรู้ว่าคุณตื่นเต้น” ผมลูบต้นแขนเปลือยเปล่าของเขา “ทำเบาๆนะ ผมเจ็บ ผมเจ็บจริงๆ อย่าดูดคอผมเลย”
“ขอโทษครับ” ภูเสียงสั่นดูขลาดกลัว “ผมทำคุณสองเจ็บมากไหม?”
“ไม่” ผมปลอบใจและดึงหน้าภูเข้ามาจูบอีกครั้ง “ทำต่อให้เสร็จเถอะ”
แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ภูก็ยังลังเล ไม่กล้าแตะตัวผมอีก
“มาเถอะ ผมจะเสร็จแล้ว คุณก็จะเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่”
“มาเถอะ เร็วเข้า” ผมเร่งเร้า “ไม่ต้องคิดมาก มันไม่เจ็บขนาดนั้นหรอก”
ผมเอ่ยปากร้องขอ ภูค่อยๆกลับมามีสติและเราเริ่มมีเซ็กส์กันใหม่อีกครั้ง คราวนี้ภูนุ่มนวลมากขึ้น เขาอ่อนโยน แต่แววตากลับไม่ลุ่มหลงเมื่อช่วงแรกที่ทำให้ผมเจ็บตัว มันเกือบพังแล้ว ตอนแรกภูจะหยุดแล้ว แต่ผมก็โน้มน้าวให้เขากลับมาใหม่ด้วยการใช้ลิ้นหยอกล้อหน้าอกของเขา เราผลัดกันใช้มือจนผมใกล้ถึงฝั่งฝันเต็มที ภูแข็งตัวเต็มที่ เขาเริ่มเบ้หน้า ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนคนเป็นภูมิแพ้ เมื่อถึงจุดหนึ่งของอารมณ์ ภูเสร็จก่อนผมไม่กี่วินาที หลังจากนั้นก็ถึงคราวของผมบ้าง เรานอนกอดกันอยู่บนเตียงโดยที่มือต่างเปื้อนของเหลวจากอีกฝ่าย ภูหอบหนักมากจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาหอบแต่ก็ยังพรมจูบบนหน้าผากของผม
“ภูไม่ได้ตั้งใจทำสองเจ็บ ภูชอบสองจริงๆ” ภูพูดด้วยน้ำเสียงขาดห้วง สรรนามที่เราใช้แทนกันเริ่มเปลี่ยนไป “สองเกลียดภูไหม?”
“ไม่หรอก คิดมาก” ผมตอบทั้งๆที่ยังเหนื่อยไม่แพ้กัน “ผมไม่เกลียดคุณแค่เพราะคุณดูดคอผมหรอกนะ”
เรานอนหอบกันในสภาพที่ภูขึ้นคร่อมผม เขาซบหน้าลงบนซอกคอและไม่พูดอะไรอีกนอกจากหอบอยู่อีกพักใหญ่ ภูใช้เวลานานจึงจะกลับมาหายในเป็นปกติ เขาค่อยๆปล่อยมือจากส่วนนั้นของผมและเอี้ยวตัวเปิดลิ้นชักข้างเตียง หยิบเอาทิชชู่เปียกออกมาเช็ดทำความสะอาดมือของตัวเองและมือของผมที่ยังคงนอนหลับตาอยู่ข้างๆ
“ล้างตัวไหมครับ?”
“คุณล้างก่อนเลย เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ผมบอกเหมือนไม่ใส่ใจ ไม่ได้มองตาเขา ไม่พูดอะไรทั้งนั้นจนกระทั่งภูปิดประตูห้องน้ำ เสียงฝักบัวห่าใหญ่ดังขึ้นเมื่อเจ้าของห้องอาบน้ำใหม่อีกครั้ง แต่นั่นไม่สำคัญเท่าความสับสนและกังวลใจของผมในตอนนี้
เรามีเซ็กส์กันแล้ว
เราต่างเอาตัวเองไปผูกมัดอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว
ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปคือการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่เพราะผมไม่ใช่พวกที่แยกแยะเซ็กส์กับความรู้สึกออกจากกันได้ ผมพยายามเรียกมันว่าการเผลอตัวเผลอใจไปกับบรรยากาศแต่ก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันไม่ใช่ ผมคงรู้สึกชอบภูเหมือนกัน ผมคงแอบปลื้มเขามากถึงได้ตะกละตะกลามกับร่างกายของเขาขนาดนั้น นี่ไม่ใช่นิสัยผมเลย ผมจะไม่มีอะไรกับคนที่ไม่ใช่แฟน แต่พอเป็นภู ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างง่ายดายและจบอย่างเรียบง่ายจนอดกังวลไม่ได้ว่าหากมีครั้งแรกแล้ว ครั้งที่สองและสามต้องตามมาแน่ๆ แต่กว่าจะถึงตอนนั้น –
สถานะของเราจะเป็นอะไรกันนะ?
ผมครุ่นคิดกับตัวเองจนกระทั่งภูออกจากห้องน้ำ เขาอาบน้ำใหม่จริงๆด้วย เจ้าโกลเด้นภูที่โคตรเซ็กซี่ยืนเช็ดผมด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก ทันทีที่เปิดประตูออกมาเขาก็ถามว่าจะอาบน้ำใหม่ไหม ผมตอบไปว่าอาบสิ และเดินหนีเขาเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ
ให้ตายเถอะ – อยากต่อยหน้าตัวเองชะมัด
มันคงไม่เป็นไรเลยถ้าไม่เผลอตัวเผลอใจขนาดนั้น อย่างน้อยถ้าเรายังไม่มีอะไรกันก็ยังพอมีเส้นคั่นบางๆไม่ให้เลยเถิดไกลกว่านี้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ผมคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากทำใจยอมรับมัน ดังนั้นหลังแสร้งทำเป็นอาบน้ำนานเกือบสิบนาที ผมก็เปิดประตูออกไป ภูยังคงนั่งอยู่ปลายเตียง มองมาที่ผมด้วยแววตารู้สึกผิดมากกว่าจะเคอะเขินดีใจที่เรามีอะไรกัน ผมเดินไปหาเขาและถามว่าทำไมทำหน้าเศร้าอย่างนั้น เสียใจที่เรามีอะไรกันเหรอ
“เปล่าหรอกครับ” ภูตอบก่อนจะมองคอของผม “ผมทำสันดานไม่ดีอีกแล้ว”
“คุณหมายถึงนี่เหรอ?” ผมชูข้อมือที่มีรอยแดงของนิ้วภูชัดเจน “ช่างมันเถอะ ไม่เจ็บเท่าไหร่”
“แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี”
“จะคิดมากทำไม? เรามีความสุขด้วยกันทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ?” ผมเชยคางเจ้าโกลเด้นให้สบตากัน ภูยังคงเศร้าแปลกๆ ทำไมเขาถึงจริงจังกับเรื่องนี้มากจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่ามันเป็นปัญหาอะไร “หรือคุณไม่ชอบ?”
“ชอบครับ อยากทำอีก”
“พอ!” ผมเขกหัวเขา “นอนเถอะ คุณต้องทำงานแต่เช้าไม่ใช่เหรอ?”
ผมถามพลางเดินกลับไปประจำที่ตัวเอง รู้สึกเพลียชอบกลเมื่อได้ล้มตัวลงนอนบนฟูกนุ่มๆที่มีผ้านวมอุ่นๆคอยโอบกอดอีกชั้น อนิเมชั่นจิบลิคืนนี้ถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย เราทั้งคู่ไม่มีใครสนใจฟังชื่อจริงของฮาคุเลยซักนิด ภูกับผมต่างนอนเงียบกันคนละฝั่งของเตียง ภูเงียบเพราะอะไรไม่รู้ แต่ผมเงียบเพราะกังวล กลัวว่าจะตกหลุมรักภูมากกว่าไปนี้
“พรุ่งนี้ตื่นมาผมจะเจอคุณสองไหม?”
“คุณกังวลเพราะเรื่องแค่นี้เหรอ?”
ผมหัวเราะขำและหันไปมองหน้าเขา เจ้าโกลเด้นไม่ได้ล้อเล่นเหมือนคราวก่อนอีกแล้ว เขามองผมด้วยสายตาจริงจังราวกับอยากได้คำสัญญาว่าพรุ่งนี้ผมจะตื่นนอนพร้อมเขา จะไม่หนีกลับก่อนเหมือนที่ทำมาตลอดสองครั้ง
“พรุ่งนี้ผมจะอยู่กินข้าวเช้ากับคุณด้วย พอใจหรือยัง?”
ภูยิ้มพร้อมกับพยักหน้ารับ เขาบอกว่าจะสั่งนั่นสั่งนี่มาให้กินแต่ผมไม่ค่อยสนใจ ผมปล่อยให้ภูพูดต่อไปจนกระทั่งผล็อยหลับโดยไม่รู้ตัว คืนที่สามของการนอนบ้านภู ผมไม่ได้ฝันถึงเรื่องอย่างว่าอีกแล้ว แต่ผมฝันว่าได้ย้อนกลับไปในงานแต่งงานของชวินทร์ และในความฝันนั้น ผมเห็นภูยืนยิ้มด้วยรอยยิ้มแปลกๆเหมือนคนโรคจิต แต่มันก็แค่ความฝัน เพราะตื่นขึ้นมา ผมยังเห็นภูเป็นเจ้าโกลเด้นแสนซื่อเหมือนเดิม
TBC
________________________
#คุณผู้ไม่เชื่อในความรัก
สวัสดีค่ะวันจันทร์หรรษา หลังจากเบี้ยวอยู่หลายครั้งในที่สุดวันนี้ก็ได้เจอกับทุกคนอีกแล้วนะคะ หวังว่าพวกคุณจะมีความสุขและสนุกกับนิยายเรื่องนี้ ขอขอบพระคุณทุกการสนับสนุน กำลังใจ และความรักทุกรูปแบบที่มอบให้นะคะ เงินโดเนททุกบาททุกสตางค์ ถูกนำไปซื้อนมสดบราวน์ชูก้าร์เรียบร้อยแล้วค่ะ ขอบคุณที่ยังติดตามกันเสมอ ขอให้เป็นสัปดาห์ที่ดีของทุกคนเลยนะคะ