10 [PART1/2]
10
ภีมเป็นพี่ชายฝาแฝดของภู เขาสูงพอๆกับภู รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับภู แต่รอยยิ้ม แววตา รวมไปถึงท่าทางและคำพูดจาไม่เหมือนภู
ภีมปรากฏตัวในเสื้อยืดสบายๆกับกางเกงยีนสีซีด ไหล่ข้างหนึ่งสะพายเป้สีดำ ทรงผมตัดแต่งมาอย่างดีจนดูเหมือนเด็กมหาวิทยาลัยมากกว่าจะเป็นชายอายุยี่สิบหก หากเทียบว่าใครหน้าเด็กกว่ากัน ผมก็คงตอบว่าภู ใครดูสดใสร่าเริงกว่ากัน แน่นอนว่าคำตอบก็ยังคงเป็นภู สิ่งเดียวที่ภีมเหนือกว่าคือการเป็นลูกรัก คุณแม่ก็คงรักภูเหมือนกัน แต่วิธีแสดงออกต่างจากตอนอยู่กับภีมโดยสิ้นเชิง
ผมเดาว่าภีมคงทำงานไกลมาก นานๆถึงจะมีโอกาสกลับบ้านซักหนเพราะคุณแม่ทั้งกอดทั้งหอมด้วยความรักใคร่ ผิดกับภูที่แค่เดินโอบไหล่และรับไหว้สวัสดี ไม่มีการสัมผัสหรือแสดงออกถึงความรักมากกว่านั้น ผมนั่งมองสองแม่ลูกโอบกอดอยู่พักใหญ่ก่อนที่ภีมจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับภู เขาโยนกระเป๋าลงบนพื้นและยีขนชานมจนปลิวฟุ้งไปทั่วบ้าน แต่คุณแม่กลับไม่ดุด่าต่อว่าเขาซักทำที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์ในบ้านเลอะขนหมา
“แฟนใหม่ภูเหรอ?” ภีมถามคำถามไม่สมควรกับเรา ผมไม่ได้หันมองหน้าภูหรือปฏิเสธว่าเราไม่ใช่แฟนกันนอกจากยิ้มและเงียบแทนคำตอบเท่านั้น “คบกันมานานหรือยัง?”
“ภีม” คุณแม่ปรามเรียบๆ ท่านเองก็ไม่ได้อยากรับรู้รายละเอียดในความสัมพันธ์ของเราเท่าไหร่ “กินข้าวก่อนสิ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”
ภีมเอียงคอพร้อมกับทำหน้าน่ารัก เขาเหมือนภูแม้กระทั่งรู้วิธีปั้นหน้าให้ออกมาน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของคนที่พบเห็น บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวอึดอัดยิ่งกว่าเดิมเมื่อภีมปรากฏตัวขึ้น คุณแม่ไม่ชวนเราสองคนคุยอีกเลย ไม่เลย ไม่มีแม้กระทั่งบทสนทนาซักถามประวัติเหมือนก่อนหน้า ความสนใจทุกอย่างพุ่งเป้าไปที่ภีม พุ่งตรงไปหาชายหนุ่มที่เดินทางไกลมาเพื่อเยี่ยมเยียนครอบครัวแทนที่จะเป็นภู ผมเหลือบมองเจ้าโกลเด้นที่นั่งอยู่ข้างๆเพราะอยากรู้ว่าเขาคิดหรือรู้สึกยังไง ทว่าภูดูนิ่งสงบและเยือกเย็นกว่าที่คิดไว้ ราวกับเขาเคยชินแล้วที่บรรยากาศในบ้านเป็นแบบนี้ เขาชินชาเสียแล้วกับการเห็นแม่โอ๋ภีมมากกว่าถึงขนาดตักน่องไก่ชิ้นสุดท้ายให้ลูกชายคนโต แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะเพิ่งพูดเองว่าภูชอบเนื้อส่วนน่องที่สุด ถ้าไม่ใช่น่อง ภูก็ไม่ค่อยอยากจะกิน
“ไก่นึ่งน้ำปลาที่ภีมชอบ”
สรุปแล้วใครชอบเมนูนี้กันแน่
ผมนึกสงสัยแต่ไม่คิดเอ่ยปากถามให้เสียบรรยากาศ เมื่อน่องไก่ชิ้นสุดท้ายถูกยกให้เป็นของพี่ชาย ผมจึงตัดแบ่งจากของตัวเองให้ภู เขาก้มมองจานข้าวก่อนจะเงยหน้าและส่งยิ้มหวานที่ติดออกจะเศร้าเล็กน้อยมาให้
“ภีมก็รู้จักสองเอาไว้นะ เขาเป็นนักแปล” คุณแม่แนะนำผมให้ลูกชายคนโตรู้จัก
“แปลหนังสือหรือซับไตเติ้ลเหรอครับ?”
“ส่วนใหญ่เป็นหนังสือครับ”
“อ๋อ”
ภีมพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ดูตื่นเต้นกับอาชีพนักแปลเท่าไหร่ หลังจากนั้นบทสนทนาไม่มีอะไรพิเศษเลย มีเพียงการแลกเปลี่ยนเรื่องราวของแม่กับลูกชายที่ต้องทำงานไกลบ้านเท่านั้น คุณแม่ไม่ได้โอ้อวดว่าภีมประกอบอาชีพอะไร แต่เธออาศัยการถามตอบเพื่อเล่าเรื่องตัวเองกลายๆ ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าภีมป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ที่ภาคอีสาน เขาไม่ได้กลับบ้านเป็นปีดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่การปรากฎตัวของเขาสร้างความชื่นชมยินดีให้กับแม่มากกว่าภูซึ่งทำงานอยู่ทองหล่อ การตอบคำถามของภีมทำให้ผมรู้ว่าเขาจบจากมหาวิทยาลัยอะไร เขาเป็นนักเรียนแพทย์ที่มีประวัติการศึกษาน่าภาคภูมิใจแค่ไหน ผมรู้เรื่องของภีม แต่กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมัยเรียนมัธยม ภูจบจากโรงเรียนของรัฐที่ต้องตัดผมเกรียน หรือโรงเรียนเอกชนที่ยังพอให้เสรีภาพกับอนาคตของชาติอยู่บ้าง
“ถึงว่าช่วงนี้เห็นอัปสเตตัสเพ้อเจ้อบ่อยๆ ที่แท้ก็มีความรัก”
บรรยากาศอึดอัดทำให้ภีมพุ่งเป้ากลับมาที่น้องชายซึ่งนั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม ภูเงยหน้าจากน่องไก่ที่ผมแบ่งให้และเลิกคิ้วมองพี่ชายด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“อะไร สเตตัสอะไรเหรอภีม?”
“ไม่มีอะไรหรอกแม่ ไอ้ภีมมันปากมาก” ภูขมวดคิ้วหงุดหงิด
“สเตตัสอะไรทำไมแม่ไม่เห็น ภูบล็อกเฟสบุ๊กแม่เหรอ?”
“ภูไม่ได้บล็อก”
“แค่ซ่อนสถานะ” ภีมแซวก่อนจะหัวเราะร่วน “แม่อย่าว่าภู เดี๋ยวมันร้องไห้อีก”
“เออ แล้วทำไม? กูขี้ร้องแล้วมันหนักหัวมึงเหรอ?”
“หยุด! ทะเลาะกัน เดี๋ยวนี้เลย!”
คุณแม่พูดพลางจับแขนของลูกชายทั้งสองคน เธอทำด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติราวกับเคยชินมานับสิบปี ภีมแลบลิ้นใส่ภูเมื่อถูกแม่ห้าม พวกเขากำลังทำตัวเหมือนเด็ก
“แม่เหนื่อยแล้วนะ” เธอพูดเสียงแข็งและแสดงท่าทีไม่พอใจชัดเจนเมื่อลูกแฝดทะเลาะกันกลางโต๊ะอาหาร แถมยังเถียงกันต่อหน้า ‘แขก’ ที่ถูกรับเชิญมาด้วยความไม่เต็มใจ “เมื่อไหร่จะโตเป็นผู้ใหญ่เสียที”
สงครามระหว่างลูกชายจบลงแค่นั้น ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาทานข้าวของตัวเองจนเกลี้ยงโดยไม่มีการต่อล้อต่อเถียงหรือล้อเลียนกันอีก
❤
ผมอยากสูบบุหรี่ซักมวน
ผมอยากสูบบุหรี่ มีแต่ความคิดอยากสูบบุหรี่หลังมื้ออาหารที่น่าอึดอัดจบลง
ป้าแม่บ้านยกจานชามไปเก็บแล้ว เหลือแค่ภีมกับภูที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขก แฝดสองคนไม่ค่อยพูดกันเท่าไหร่นอกจากหมกมุ่นกับสมาร์ทโฟนของตัวเอง ส่วนผมนั่งข้างภูด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มที นั่งถามตัวเองในใจเป็นพันครั้งว่ามาทำอะไรที่นี่ มันสำคัญด้วยเหรอกับการต้องรู้จักคุณแม่ของเขา หากผมบอกว่าไม่ได้คาดหวังถึงความผูกพันขนาดนั้น ภูจะโกรธไหม แต่นี่คือความจริงสำหรับคนชายขอบอย่างพวกเรา แม้กระทั่งการจดทะเบียนสมรสยังทำไม่ได้ ผมไม่เห็นว่ามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมารู้จักคุณแม่ของเขาเลย ยังไงเราก็ไม่ได้แต่งงานกัน ไม่มีวันได้แต่งงานกัน ผมว่าเราควรคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังอีกครั้งก่อนที่ภูจะทำให้ผมรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้
“พีชนอนแล้วเหรอ?” ภีมถามภูที่กำลั่งนอนเกาพุงให้ชานมอยู่ข้างๆ พอมองจากมุมนี้ ผมรู้สึกราวกับว่าในห้องนี้มีภูสองคน ภูที่ดูมีความสุขมากๆกับภูที่เหนื่อยหน่ายมากๆ
“นอนแล้ว”
“ถึงว่า ไม่เห็นแม่อุ้มมาอวด” ภีมพึมพำกับตัวเองก่อนจะหันหน้ามาหาผม “คุณสองเคยเจอพีชไหม?”
“ไม่เคยครับ”
“อ้าว ไอ้ภู มึงไม่เคยพาเขามาที่บ้านเลยเหรอ?”
“พามาครั้งแรก”
“ช้ามาก”
“ก็เพิ่งคุยกันไม่กี่เดือน”
“ไม่ใช่ กูหมายถึง แม่อ่ะ รู้เรื่องมึงช้ามาก”
สองพี่น้องมองหน้าและหัวเราะอย่างรู้กัน ถือเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่าจริงๆพวกเขาไม่ได้เกลียดกันอย่างที่คิดหรอก มีบ้างที่ภูอาจรู้สึกไม่พอใจกับการเลือกปฏิบัติของแม่ แต่หากมองโดยภาพรวมแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้แย่เท่าไหร่ เหมือนคู่แฝดทั่วไปบนโลกใบนี้ คู่แฝดที่เกิดมาเพื่อเป็นพี่น้องและคู่แข่งของกันและกันโดยไม่เต็มใจ
“แม่ว่ายังไง?”
“ไม่ว่าอะไร” ภูตอบ “ยังไม่ชินอีกเหรอ?”
“ก็คนก่อนหน้าเป็นผู้หญิง กูนึกว่ามึงกลับใจแล้ว ตกลงมึงเป็นอะไรกันแน่?”
คำว่าเป็นอะไรคือการถามแบบนัยแฝง ภีมกำลังถามภูว่าเขานิยามตัวเองว่าเป็นตัวอะไร ผมรู้จากภูแล้วว่าเขาเคยคบทั้งผู้หญิงและชาย ก่อนหน้านี้คนที่เขาพามาเจอคุณแม่คงเป็นผู้หญิงมาตลอดจนครอบครัวของเขาแอบหวังว่าภูจะไม่ใช่เกย์จริงๆ แต่แล้วความฝันก็พังทลายเมื่อภูพาผมมาที่บ้านเพื่อรายงานให้แม่ทราบว่าลูกชายของคุณแม่กำลังคุยกับเกย์อายุสามสิบคนนี้อยู่
“กูเป็นอะไรแล้วมันทำไม?”
“ก็ไม่ทำไม แม่ก็คงบอกมึงว่าจะเป็นอะไรก็ได้ขอแค่เป็นคนดี”
“ทำไมต้องเป็นคนดี? เป็นคนธรรมดาที่มีดีบ้างเลวบ้างไม่ได้หรือไง” ผมโพล่งออกไปขณะที่กำลังเกาคางให้ชานม “การบอกว่าลูกจะเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วเป็นอะไรก็ได้ขอแค่เป็นคนดีเนี่ย มันเหมือนเป็นคำปลอบใจของพ่อแม่ที่รับไม่ได้ ได้แต่บอกตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร ถึงจะเป็นเกย์ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยลูกฉันก็เป็นคนดี”
“มันไม่ถูกตรงไหนล่ะครับ?”
“ไม่ถูกสิครับ ลองเป็นคุณเดินไปบอกแม่ว่าชอบผู้หญิง แม่จะร้องไห้และพูดว่าชอบผู้หญิงก็ไม่เป็นไรขอแค่เป็นคนดี หรือเปล่าล่ะครับ? คุณว่ามันไม่แปลกๆเหรอที่พ่อแม่ตั้งเงื่อนไขแบบนี้ขึ้นมาเฉพาะกับลูกชอบที่ชอบเพศเดียวกัน”
“มันก็แค่คำปลอบใจพ่อแม่ หรือคุณมองว่าพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ผิดหวังที่ลูกเป็นเกย์?”
“การเป็นเกย์มันน่าผิดหวังขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
ผมถามภีมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม คุณหมอผู้ซึ่งมีหน้าตาเหมือนชายที่ผมชอบกำลังมองตรงมาด้วยแววตาไม่เป็นมิตรเหมือนช่วงแรกที่พบกัน
“บางครั้งผมก็สงสัยจริงๆนะว่ารสนิยมความชอบส่วนตัวของเรามันกลายเป็นเรื่องที่ผิดในสังคมบิดเบี้ยวแบบนี้ได้ยังไง”
“พ่อแม่มีลูกชาย ใครๆก็หวังจะให้แต่งงานมีหลานทั้งนั้นแหละครับ หรือพ่อแม่คุณไม่หวัง?”
“แต่ลูกไม่ใช่ตัวแทนของพ่อแม่ครับ ลูกก็เป็นคน มีสิทธิ์ใช้ชีวิตเป็นของตัวเองเหมือนกัน ลูกไม่ใช่หุ่นเชิด ไม่ใช่ร่างโคลน ไม่ใช่ชีวิตที่สองของพ่อแม่ที่ปั้นขึ้นมาเพื่อแก้ไขความผิดพลาดในอดีตของตัวเอง”
“คุณจะพูดแบบนั้นก็ได้ แต่กว่าคุณจะโตจนรู้ว่าตัวเองชอบผู้ชาย มันต้องใช้เงินพ่อเงินแม่ เขาก็เลี้ยงดูฟูมฟักคุณด้วยความคาดหวัง ทำไมเขาจะผิดหวังไม่ได้?”
“ผิดหวังได้ครับ แต่อย่าลืมนะว่าเราไม่เคยขอให้ตัวเองเกิดมา” ผมตอบคุณหมอภีมตามตรง “ทำไมการเป็นลูกถึงต้องแบกความคาดหวังมากมายขนาดนั้น แม้กระทั่งเป็นตัวของตัวเองก็ยังไม่ได้เลยเหรอครับ?”
“คุณอยากจะเป็นอะไร พ่อแม่คุณคิดยังไงนั่นเป็นเรื่องของคุณครับ แต่สำหรับครอบครัวเรามันน่าผิดหวัง”
ได้ยินแบบนี้แล้วผมโมโหแทนภูจนเลือดขึ้นหน้า นึกอยากยกตีนถีบภีมตกโซฟาให้มันรู้แล้วรู้รอด พูดออกมาต่อหน้าภูได้ยังไงว่าการเป็นเกย์คือเรื่องน่าผิดหวัง ภีมเคยคิดบ้างไหมว่าภูจะรู้สึกยังไง เขาจะเสียใจแค่ไหนเมื่อพี่ชายฝาแฝดยอมรับตรงๆว่าพ่อแม่และทุกคนผิดหวังในตัวของเขาแค่เพราะเป็นเกย์
“อีกเรื่องนะ คุณคิดว่าภูชอบคุณจริงๆเหรอ?”
ภีมถามด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ใช่การประชดแดกดันเพื่อให้ผมโกรธหรือเจ็บใจอย่างที่คิด น่าแปลกที่เมื่อประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของคนที่มีใบหน้าคล้ายภู ผมกลับรู้สึกกลัวและเจ็บปวดยังไงไม่รู้
“ภูคบผู้หญิงกี่คน คบผู้ชายกี่คน คุณเคยรู้หรือเปล่า?”
“เสือก” ภูปาหมอนอิงใส่หน้าภีม “หุบปากไปเลยมึงอ่ะ ถ้ากลับบ้านมาพูดแต่เรื่องหมาๆก็ไม่ต้องมา”
“กูกลับมาหาแม่ ไม่ได้มาหามึง” ภีมปาหมอนกลับแต่มันพลาดไปโดนชานม เจ้าคอร์กี้ยักษ์ที่สะดุ้งตกใจจนตัวหดยิ่งทำให้ภูโกรธขึ้นไปอีก
“เลิกเสือกเรื่องกูซักที!” ภูปากลับ คราวนี้เขาใช้สองมือทุ่มหมอนไปที่หน้าภีมอย่างจงใจ และหมอนใบนั้นก็ถูกโยนกลับมาใหม่ด้วยความแรงไม่แพ้กัน
“กูไม่ได้อยากเสือก! มึงนั่นแหละทำให้แม่เครียดจนความดันขึ้น!”
“กูจะเป็นตัวอะไรมันก็เรื่องของกู!”
“กล้าพูดว่าเรื่องของมึงทั้งๆที่คลินิกรักษาหมาเป็นเงินของแม่เหรอ?!” ภีมปากลับ คราวนี้พวกเขาเลิกเล่นสงครามหมอนแต่เป็นการจู่โจมอย่างถึงเนื้อถึงตัว “มึงน่ะดีแต่ทำให้แม่ปวดหัว! แม่เครียดเพราะมึงตั้งเท่าไหร่! นี่ยังไม่รู้ตัวเหรอว่าแม่ประชด แม่ไม่ได้จะให้มึงพาแฟนที่เป็นเกย์เข้าบ้านจริงๆ!”
“กูก็ไม่ได้อยากทำให้แม่ช้ำใจ! แม่นั่นแหละดูกล้องวงจรปิดในร้านกูทำไม?!”
“เพราะแม่เป็นห่วงมึงไง! วันก่อนมึงปัดแจกันใส่เจ้าของหมาที่มาโวยเรื่องหมาตาย วันหน้ามึงจะทำอะไรอีกไม่มีใครรู้ แม่ถึงต้องดูพฤติกรรมมึงไง!”
ภีมพูดอย่างเหลืออดและดึงผมของภู พวกเขาตีกันแต่ไม่ได้ต่อยกัน ก็แค่ลงไม้ลงมือเป็นการรัดคอและทุบหลังเท่านั้น ผมที่นั่งอยู่ข้างภูถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นภูสองคนตีกันเอง พวกเขาด่าทอและตบตีราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับคนอายุยี่สิบหก แต่ผมไม่ได้ไร้สติถึงขนาดที่จะไม่ห้าม ดังนั้นเมื่อภีมได้โอกาสใช้แขนรัดคอของภู ผมก็ฟาดต้นแขนเขาและสั่งให้ปล่อยภูเดี๋ยวนี้
มันไม่ขำเลยนะ ผู้ชายสองคนทะเลาะกันถึงขนาดลงไม้ลงมือเพราะเถียงกันว่าใครทำให้แม่เจ็บปวดมากกว่ากัน สถานการณ์มันตึงเครียดและน่าตกใจ ขนาดชานมยังวิ่งกระวนกระวายและเห่าเสียงดังเมื่อเห็นเจ้าของถูกทำร้าย ทั้งคู่ฟัดกันได้ไม่ถึงนาที คุณแม่ที่อยู่ข้างบนก็รีบวิ่งลงบันไดมาและตวาดใส่ลูกทั้งสองคน
“ภีม! อย่าทำน้อง! แม่บอกว่าอย่าทำน้องไง!”
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้เป็นพยานในเหตุการณ์นี้ ผมไม่อยากเชื่อว่าพวกเขายังคงทำตัวเป็นเด็กและใช้ความรุนแรงแทนที่จะคุยกันด้วยเหตุผล ผมรู้ว่าภีมก็คงมีมุมอิจฉาภูบ้างเหมือนกัน ไม่งั้นเขาคงไม่พูดเรื่องที่แม่ทุ่มเงินเซ้งคลินิกให้ภูหลักล้าน ในขณะที่ตัวเขาต้องเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่ในชนบท ไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเพราะภูไม่เอาไหน ภีมถึงต้องทำหน้าที่นั้นแทนน้องชายฝาแฝดที่ไม่เอาเรื่องเอาราว
“ทะเลาะกันเรื่องอะไร!”
คุณแม่ถามด้วยความโมโห อย่างน้อยในเวลาที่พวกเขาทะเลาะกัน คุณแม่ก็ไม่ได้เข้าข้างภีมเสียทีเดียว เธอรู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อนทั้งๆที่เพิ่งลงจากชั้นสอง ราวกับความรุนแรงของทั้งสองคนมักจะเริ่มต้นเพราะคนเดียว
“ไอ้ภูมันดีแต่ทำให้แม่เครียด” ภีมใส่อารมณ์เต็มที่ก่อนจะหันมามองผม “แม่น่าจะพูดตรงๆได้แล้วว่าแม่ไม่ชอบที่มันเป็นเกย์!”
“ภีม”
คุณแม่พูดเสียงเรียบ แววตาไม่พอใจชัดเจนเมื่อลูกชายคนโตพยายามบีบบังคับให้เธอยอมรับต่อหน้าผมว่าไม่ปลื้มที่ลูกชายของตนเองกำลังคุยกับผู้ชายด้วยกัน
“แม่ผิดหวังที่ภูเป็นเกย์จริงๆเหรอ?”
“ภู เราค่อยคุยกันวันหลังที่มีแค่เราดีกว่าไหม?”
“แม่ตอบภูมาก่อน” ลูกชายคนเล็กสะบัดแขนจากแม่ “ไหนแม่บอกว่าไม่เป็นไรไง ไหนแม่บอกว่าภูจะรักใครก็ได้แต่ต้องแนะนำให้แม่รู้จักด้วย”
“ก็ใช่ไงภู แม่ไม่ได้ว่าอะไรที่ลูกชอบผู้ชาย”
“แม่ไม่ว่าอะไร แต่ความดันแม่ขึ้นทุกคืนตั้งแต่รู้ว่ามึงพาผู้ชายไปค้างที่คลินิก”
“พอซักทีเถอะภีม! จะพูดให้มันได้อะไรขึ้นมา!”
คุณแม่ตะโกนอย่างเหลืออด ผมรู้ในทันทีว่าภูกำลังจะร้องไห้ ริมฝีปากของเขาสั่น ดวงตาเริ่มแวววาวเพราะน้ำตา เขามองหน้าแม่ด้วยความโกรธและผิดหวังจนสัมผัสได้ ภูมองอยู่อย่างนั้นก่อนจะพรั่งพรูความในใจออกมา เขาตัดพ้อถามแม่ว่าเขาทำอะไรผิดนักหนา ทำไมการใช้ชีวิตของภูถึงทำให้แม่ความดันขึ้นทั้งๆที่สิ่งที่ภูเป็นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนเลย ในขณะที่แพรท้องป่องกลับบ้าน แม่ยังไม่พูดว่าผิดหวังซักคำ ตอนแพรทิ้งพีชให้แม่เลี้ยง แม่ก็ไม่ว่าอะไรแถมยังส่งไปเรียนเมืองนอกอีก แต่ทำไมพอเป็นภู ทำไม – แม่ถึงไม่กล้าปฏิเสธว่าแม่ไม่ได้ผิดหวัง หรือจริงๆแล้วแม่ก็เป็นอย่างที่ภีมว่า แม่ไม่พอใจที่ภูชอบผู้ชาย ถ้าไม่พอใจแล้วจะโกหกว่ารับได้ทำไม
“ภู แม่รู้ว่าภูโกรธ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันนะ”
“ภูไม่อยากคุยกับแม่แล้ว”
“ภู” เธอเรียกลูกคนรองด้วยน้ำเสียงหนักใจ “ภู กลับมาก่อน”
ภูลุกขึ้นหนีไปทางประตูใหญ่โดยมีชานมวิ่งตามหลังเราไปติดๆ ผมได้ยินเสียงสูดน้ำมูกฟุดฟิดขณะที่ภูก้มตัวลงสวมรองเท้า เมื่อเห็นผมตามทัน เขาก็พูดว่ากลับกันเถอะ ภูไม่น่าพาสองมาที่นี่เลย รู้แบบนี้จะไม่พามาตั้งแต่แรก
ตอนที่ได้ยินแบบนั้น – ผมเจ็บปวดจริงๆนะเพราะไม่รู้ว่าความหมายแฝงของประโยคเหล่านั้นคืออะไร ไม่น่าพาสองมาที่นี่ หมายถึงไม่น่าพาผมมารับรู้ความไม่ลงรอยของครอบครัว หรือไม่น่าพาผมมาเพราะการปรากฎตัวของเกย์วัยสามสิบทำให้คุณแม่เครียด ผมเสียใจที่ต้องรับรู้เรื่องพวกนี้ และผมอยากกอดภู อยากปลอบใจเขาแต่ยังไม่มีโอกาสเหมาะสม
“ภู! ภู!”
คุณแม่เรียกเสียงดังขณะที่เรากำลังเปิดประตูรถและอุ้มชานมลงบนเบาะ ภูล็อครถอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าคุณแม่กับพี่ชายเดินใกล้เข้ามาทุกที เขารีบถอยรถเพื่อขับกลับบ้านทว่าไปไหนไม่ได้เพราะประตูรั้วไม่เปิด
“ภู! มาคุยกับแม่ก่อน!”
คุณแม่ทุบกระจกปึงปังจนภูเครียด เขากำพวงมาลัยแน่นด้วยแววตาแข็งกร้าวไม่สบอารมณ์ ภูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนผมกลัวและทำอะไรไม่ได้นอกจากเอื้อมมือไปลูบแขนเขา
“ผมรู้ว่าคุณโกรธ ผมเข้าใจ เพราะผมเองก็โกรธเหมือนกัน” ผมเปลี่ยนจากลูบแขนที่กำพวงมาลัยจนเกร็งแน่นมาเป็นลูบต้นขาของภูเบาๆ “ไม่อยากคุยกับแม่วันนี้ก็ไม่เป็นไร แต่คุณต้องบอกแม่นะว่าขอคุยวันหลัง แม่จะได้ไม่ต้องเคาะรถกดดันคุณแบบนี้”
“แม่ไม่ฟังหรอก”
“เดี๋ยวผมคุยกับแม่คุณให้ รออยู่ตรงนี้และอย่าขับรถชนประตูล่ะ”
ผมพูดทีเล่นทีจริง แต่รู้ว่าภูทำจริงแน่หากคุณแม่ยังทุบกระจกปึงปังแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมจึงปลอดล็อคประตูจากฝั่งตัวเองและลงไปคุยกับเธอ คุณแม่ที่สีหน้าดูเครียดจนเก็บอาการไม่มิดรีบตวัดตามองด้วยความไม่พอใจ ตอนนี้ภูไม่เห็น จึงไม่มีความจำเป็นอะไรต้องเสแสร้งแกล้งทำอีก ผมไม่รู้ควรวางตัวยังไงก็เลยทำตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้ แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรสามารถทำให้คุณแม่ที่กำลังร้อนใจสงบลงได้
“ช่วยพูดกับภูให้ลงจากรถหน่อย”
“คุณแม่ครับ --”
“ฉันไม่ใช่แม่เธอ!”
ผมหน้าชาตัวชาจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งอย่างนั้นอยู่พักหนึ่งก่อนจะดึงสติกลับมาและบอกเธอว่ายังไงก็แล้วแต่ วันนี้ภูไม่อยากคุยกับคุณอีกแล้ว คุณต้องปล่อยให้เขากลับไปสงบสติอารมณ์ที่บ้าน เรื่องอื่นค่อยคุยกันวันหลัง
“ภู ภูครับ ภูลงมาคุยกับแม่ก่อน แม่ไม่ได้ลำเอียงรักภูน้อยกว่าใครนะ แม่ก็รักภูเหมือนที่รักภีมกับแพร” เธอพูดเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ “ภู ลงมาคุยกับแม่เร็ว อย่ากลับบ้านทั้งๆที่ยังโกรธกันแบบนี้”
ผมจนปัญญาเพราะไม่อยู่ในสถานะที่คุณแม่ของภูจะฟังคำแนะนำ ดังนั้นคนที่เกลี้ยกล่อมให้คุณแม่ยอมปล่อยภูกลับบ้านจึงเป็นภีม เขาเดินมาสวมกอดแม่จากด้านหลังและกระซิบกันเบาๆข้างหู ผมแอบได้ยินภีมขอให้แม่ปล่อยภูกลับบ้านไปก่อน เพราะหากคุยกันตอนนี้ภูอาจจะใช้อารมณ์จนเรื่องบานปลายได้
อีกอย่าง –
เราควรคุยกันในครอบครัวมากกว่า
พอฟังถึงตรงนี้ผมก็เบือนหน้าหนี รู้ในทันทีว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการสำหรับคนบ้านนี้ยังไงชอบกล ภีมกอดคุณแม่อยู่พักใหญ่ก่อนที่เธอจะสงบลงและเลิกเคาะกระจกรถเหมือนคนบ้า คุณแม่บอกภูว่ากลับบ้านไปอาบน้ำพักผ่อนให้สบายตัว แล้ววันหลังเราค่อยคุยกันนะ
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ”
ผมยกมือไหว้สวัสดีคุณแม่เมื่อประตูรั้วค่อยๆเปิดอัตโนมัติ เธอรับไหว้แบบขอไปที สายตายังคงจ้องภูอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งรถของลูกชายขับออกไปจนสุดสายตา ผมมองภาพภีมกอดแม่ผ่านทางกระจกมองข้างจนกระทั่งเราเลี้ยวออกสู่ถนนหลักของหมู่บ้าน ภูที่แหลกสลายจึงจอดข้างทางและร้องไห้ออกมา
ผมไม่อยากพูดอะไรในตอนนี้ ไม่อยากยกคำพูดสวยหรูหรือคำคมมาสอนใจภูนอกจากกอดเขาที่กำลังร้องสะอึกสะอื้นจนตัวสั่น ชานมที่เห็นเจ้านายปล่อยโฮได้แต่ส่งเสียงงี๊ดง๊าดอยู่ด้านหลัง มันกระวนกระวายพอสมควรเมื่อเห็นภูร้องไห้ แต่ในเวลาแบบนี้เราทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดภูแน่นๆและบอกว่าไม่เป็นไร
“ผมเอง – ก็ไม่ใช่ความภูมิใจของพ่อกับแม่เหมือนกัน”
ผมบอกภูเมื่อเขาร้องไห้ไปได้ซักพักหนึ่ง
“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจให้มันออกมาเป็นแบบนี้ --”
“ภูไม่น่าพาสองมาที่นี่เลย”
เขาพูดประโยคนี้ออกมาอีกแล้ว ผมได้แต่นึกสงสัยว่าทำไมนะ ทำไม ทำไมเขาถึงวนเวียนพูดแต่ประโยคนี้ อะไรคือใจความหลักที่ภูต้องการจะสื่อกันแน่
“บางทีความสัมพันธ์ที่มีแค่เราที่รู้มันก็ดีอยู่แล้ว”
“อืม”
ผมเห็นด้วย ความสัมพันธ์ที่รู้กันสองคนมันดีที่สุดแล้ว ยิ่งเราบอกคนอื่นมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรับรู้ถึงความไม่พอใจเล็กๆจากพวกเขา ดังนั้นการไม่บอกให้ใครรู้น่ะดีที่สุดเลย แม้คนอื่นจะถามว่าทำแบบนี้ถือเป็นการไม่ให้เกียรติครอบครัวหรือไม่ ผมก็จะยืนยันว่าถ้าพ่อแม่รู้แล้วเรื่องบานปลายแบบนี้
สู้ไม่บอกตั้งแต่แรกยังดีเสียกว่า
“สิ่งที่เราเป็นมันผิดมากเลยเหรอสอง?”
“ไม่ผิดหรอก” ผมตอบภูเสียงแผ่ว “ที่ผิดคือคนอื่นต่างหาก พวกเขาแค่ยอมรับมันไม่ได้แล้วก็เอาปัญหาของพวกเขามาลงที่เรา”
ผมกอดภูที่กำลังอ่อนไหวเป็นพิเศษพร้อมกับลูบหลังเขา ผมรู้ว่าภูรักแม่มาก เขารักแม่แต่ก็ต้องการการยอมรับจากแม่เช่นกัน เมื่อรู้ว่าจริงๆแล้วแม่ไม่ได้เปิดกว้างหรือรับได้อย่างที่พูด เขาก็หัวใจสลาย ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็สามารถหัวใจสลายได้หากคนที่เขารักไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
“ภู – ผมว่านะ บางที” ผมเกริ่นในขณะที่สวมกอดภูเอาไว้แน่น รู้สึกลังเลที่จะพูด แต่สุดท้ายผมก็พูดเพราะมันอาจจะเป็นเรื่องจริง “บางทีปัญหามันไม่ใช่เพราะเป็นเกย์หรอก”
“หมายความว่าไง?”
“บางที – แม่ของคุณอาจจะยอมรับแฟนของคุณก็ได้ หากเขาคนนั้นเป็นใครซักคนที่ดีกว่านี้ --”
“สองหมายความว่าไง?”
“ผมหมายถึง แม่คงอยากให้คุณคบกับคนดีๆ คบกับคนที่คู่ควรมากกว่านี้ คนที่ดีกว่าผม ไม่แน่นะถ้าคุณมีแฟนที่ดีถูกใจแม่ทุกอย่าง แม่อาจจะไม่ต่อต้านและยอมรับคุณกับแฟนก็ได้”
“แต่ภูไม่รักใครนอกจากสอง”
ภูพูดแค่นั้นและเงียบไป
“ภูรักสองจริงๆนะ”
ผมน้ำตาคลอ บอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกยังไง ภูพูดออกมาว่าเขารักผมแม้ว่าเราจะยังไม่มีสถานะชัดเจน ผมได้แค่ถอนหายใจและกอดภู รู้สึกว่าเรื่องของเรามันยากกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ เรามีหลายอย่างที่ต่างกันเกินไป ผมกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับชีวิตของภูได้ ในขณะเดียวกันผมก็รู้ตัวว่าชอบเขา ผมชอบเขามากๆ แต่ไม่อยากเจ็บหากเราไปด้วยกันไม่ได้
“ภูอยากให้แม่รับได้ที่เป็นเกย์ก็ส่วนหนึ่ง แต่แม่ต้องรับผู้ชายที่ภูรักด้วย” เจ้าโกลเด้นกระซิบบอกผมก่อนจะผละตัวออก “สองรักภูไหม?”
ผมไม่ตอบนอกจากมองหน้าเขา มองดวงตาแดงช้ำ มองริมฝีปากบวมเจ่อเพราะเจ้าตัวขบปากแน่นอยู่หลายวินาที ผมไม่ตอบภูว่ารักเขาหรือไม่ ไม่ให้คำตอบอะไรทั้งนั้นนอกจากเช็ดน้ำตาออกจากแก้มและจูบเขาเบาๆ เราจูบกันอย่างอ่อนโยนในรถที่จอดริมถนนอยู่ครู่เดียว แค่ครู่เดียวก็ผละตัวออก ผมมองหน้าภูอีกครั้ง พยายามจ้องเข้าไปในตาของเขาเพื่อให้ภูเห็นว่ามันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกแบบไหน
“กลับบ้านกันเถอะ” ผมลูบแก้มเจ้าโกลเด้นเบาๆ “คืนนี้ผมจะแปล Howl’s moving castle ให้ฟัง”
ต่อ Part 2 ข้างล่างเลยค่า
