(END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)  (อ่าน 12250 ครั้ง)

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************














...














รอยรักศักดาเดช

Theme : Yaoi / โรแมนติก / ดราม่า / ย้อนยุค






ภพตะวัน วงศ์วรรธน์ ลูกชายเพียงคนเดียวของเสี่ยใหญ่เจ้าของกิจการรถสิบล้อในจังหวัด ได้เดินทางกลับบ้านเกิด หลังถูกส่งตัวไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่จบมัธยมปลาย เขาใช้เวลาศึกษาต่อและเริ่มต้นชีวิตที่นั่นยาวนานถึงสิบปี จนในที่สุด เขาก็ได้ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดเมื่ออายุครบ 28 ปีบริบูรณ์




หากแต่การกลับมาในครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับเพื่อนเก่าอย่าง กันต์ธร ณรงค์กร ที่บัดนี้กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มอันธพาลในหมู่บ้าน และเข้ามาหาเรื่องเขาและคนรักตั้งแต่วันแรกที่กลับไทย คำถามเกิดขึ้นมากมายต่อความเป็นเพื่อนของพวกเขา และยังรวมไปถึงปัญหาระหว่างตระกูลที่ยืดเยื้อมาหลายสิบปีของพวกเขาด้วย




เมฆที่ตั้งเค้ามาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ถึงวันที่พายุจะเผยตัวตนออกมา การกลับมาของภพตะวันครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ชีวิตที่สุขสงบของเขาเปลี่ยนไป ยังเปรียบเสมือนการพรากลมหายใจของเขาไปถึงสองครั้ง และหากว่าเขาพลาดเพียงนิดเดียว บนโลกใบนี้ คงหลงเหลือไว้เพียงชื่อเขาเท่านั้น


















 :pig2:



ฝากติดตามกันด้วยนะคะทุกคน

:L2:








รอยเลือดแห่งรัตติกาลนคร 
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70773.0

(END) รัตติกาลนคร The couple series [อัคนี & ภาสกร]
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70850.0

รัตติกาลนคร The Couple Series [เพลิงพระพาย & ไออุ่น]
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71052.0


 :3123:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-01-2020 11:23:24 โดย Savahale »

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com

บทที่ 1 : ยินดีต้อนรับ


 

 

 

 

 

 

ภายในห้องทำงานอันโอ่โถงที่ประดับตกแต่งไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้เนื้อดีมากมาย ตั้งแต่พื้นไม้ขัดมันเงา โต๊ะทำงานทรงรีอันทันสมัย รวมไปถึงแหย่งไม้สักอย่างดีที่มีฟูกสีน้ำตาลปูรองสำหรับนั่งผ่อนคลายอารมณ์ ปรากฏชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าเกลี้ยงเกลา สวมเสื้อโปโลสีเขียวกางเกงขาสั้น กับแว่นตาสี่เหลี่ยมกรอบบาง หัวคิ้วเขาพุ่งเข้าหากันด้วยเจ้าตัวกำลังเพ่งพินิจกระดาษสีคล้ำมากมายในมือ

 




“ทำอะไรอยู่ธร?”




“ตรวจรายชื่อพวกลูกหนี้น่ะแม่”




“พอก่อนเถอะ มากินอะไรสักหน่อย แม่ทำสาคูของโปรดลูกมาให้”




“ขอบคุณครับแม่”




 




ชายหนุ่มผิวขาววัย 28 ปี วางกระดาษสีคล้ำในมือลงบนโต๊ะทำงาน ก่อนค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากเก้าอี้แล้วเดินตรงมายังโต๊ะไม้ตัวยาวความสูงเลยเข่าเพียงคืบที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ซึ่งมารดาเขาได้นั่งคอยอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในมุมนั้นเรียบร้อยแล้ว มารดาผู้มีรอยยิ้มพิมพ์ใจให้ใครต่อใครที่พบเห็นได้รู้สึกเบาใจและปลอดภัยเมื่อเข้าใกล้ หากแต่ยิ้มที่ใครต่อใครพบนั้น กลับแฝงไปด้วยความเศร้ามากมาย ที่มีเพียงกันต์ธรเท่านั้นที่ล่วงรู้

 







เจ้าของห้องทำงานตักสาคูของโปรดเข้าปากพร้อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี รสชาติแสนอร่อยที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง กันต์ธรจ้องมองมารดาที่มีรอยยิ้มเช่นเดียวกัน และนั่นก็ทำให้เขาขื่นขมอยู่ในใจไม่น้อย ไม่ใช่เพียงมารดาเขาเท่านั้นที่มีเพียงรอยยิ้มจอมปลอมฉาบบนใบหน้า จิตใจภายใต้เงานี้ของเขาเอง ก็แตกสลายไม่มีชิ้นดี ไม่ต่างอะไรกับมารดาของเขามาอย่างเนิ่นนานเช่นเดียวกัน

 







ภายใต้หลังคาบ้านหลังใหญ่อันมีพร้อมไปเสียทุกอย่างนี้ ไม่มีชีวิตใดเลย ที่จะอยู่อย่างเป็นสุขจริงแท้ได้สักวัน ความเศร้าหมองนั้นซุกซ่อน กัดกิน และค่อยๆ เข้าปกคลุมเสมือนเมฆหมอกก็ไม่ปาน รอเพียงเวลาที่ใครคนใดคนหนึ่งในที่นี้ จะหมดแรงที่จะอดทนต่อไปก็เพียงเท่านั้น

 

 

 




“นายครับนาย…!”

 




สาคูรสดียังไม่ทันได้หมดชาม ชายร่างใหญ่ผิวกายคล้ำแดดในเสื้อยืดแขนกุดสีขาว ก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามายังหน้าห้องที่ไม่ได้ปิดประตู แล้วตะโกนโวยวายเข้ามาเสียงดัง ขัดเจ้าบ้านทั้งสองที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่ในความมืดหม่นของบรรยากาศขึ้นมา

 

 

 




“มีอะไร?”




 

ผู้ถูกเรียกว่านาย เพียงเหลือบมองแวบเดียว รอยยิ้มที่ส่งให้มารดาเมื่อครู่ก็มลายหายไปจนหมดสิ้น หากแต่เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของลูกน้องต่อจากนั้น รอยยิ้มนั้นก็กลับมาประดับบนใบหน้าอีกครั้ง และนั่น หาใช่รอยยิ้มแบบเดียวกับตอนแรกไม่ มันเป็นรอยยิ้มที่แม้กระทั่งผู้เป็นมารดายังรู้สึกหวาดผวา จนต้องเบือนหน้าหนี

 




“มันกลับมาแล้วครับ”




“เป็นข่าวที่ดีจริงๆ เตรียมรถให้ฉันด้วย”

 

 

 




“ใครกลับมาหรือลูก?”




“ลูกหนี้คนสำคัญน่ะแม่ ธรไปเตรียมต้อนรับมันก่อนนะ…วันนี้สาคูของแม่อร่อยที่สุดเลย”

 




บัดนี้เจ้าบ้านอารมณ์ดีขึ้นมากจริงๆ ด้วยลูกหนี้คนสำคัญปรากฏตัว และเป็นหน้าที่เขา ที่ต้องทำการต้อนรับ ‘ลูกหนี้คนสำคัญ’ อย่างสมเกียรติที่สุด กันต์ธรลุกขึ้นแล้วตรงไปหยิบกระเป๋าหนังสีดำใบยาวมาพาดไว้บนบ่า แล้วตรงมาหอมแก้มมารดาหนึ่งครั้งด้วยแววตาลุกวาวกว่าคราวไหนๆ จากนั้นจึงรีบเดินลงไปพร้อมกับสมุนคนสนิทที่นำข่าวดีมากแจ้งเขาเมื่อครู่

 

 




‘สิบปีแล้วสินะ ในที่สุด…มันก็กลับมาจ่ายหนี้ฉันเสียที’

 

 




เจ้าบ้านสั่งบางอย่างกับลูกน้องที่ยืนเฝ้าหน้าบ้านกว่าสิบชีวิต ก่อนที่รถคันหรูจะเข้ามาจอดเทียบด้านหน้าเขา มีเพียงเจ้าหนี้สุดโหดและผู้นั่งฝั่งคนขับเท่านั้นที่ออกไปพร้อมกัน คนที่เหลือหลังจากได้ฟังคำสั่ง ต่างก็แยกย้ายกันปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อ และสิ่งหนึ่งที่ทุกคนรับรู้เมื่อครู่คือ พวกเขาได้พบกับรอยยิ้มที่น่ากลัวที่สุดจากผู้เป็นนาย

 







“มันอยู่ไหน?”




“ไอ้พันธุ์เจอมันที่สนามบินประมาณสิบห้านาทีที่แล้วครับ”




“แกรู้นะ ว่าจะเจอมันที่ไหน”




“ครับนาย”

 

 

 







รถยนต์คันหรูขับเลียบออกไปตามทาง ผ่านบ้านเรือนมากมายไปเรื่อยๆ จนที่อยู่อาศัยของคนในละแวกนั้นเริ่มบางตาไป ปรากฏเป็นคันนาและป่าไผ่แทน สารถีขับต่อไปอีกเพียงครู่ คันเร่งก็ค่อยๆ ถูกผ่อนลงจนรถหยุดลงในที่สุด

 







รถคันหรูจอดในที่ลับตาใกล้กับป่าทึบ กันต์ธรเพียงรอเวลาเท่านั้น รอเวลาให้รถยนต์ที่มีลูกหนี้ของเขาอาศัยมาได้ขับผ่านเส้นทางนี้ และเขาจะได้เริ่มการต้อนรับเพื่อนรักกลับบ้านเสียที

 







เจ้าพ่อในชุมชนอันห่างไกลนั่งรอเพียงไม่นาน รถคันที่เขาเฝ้ารอก็ขับมาให้เห็นได้ไกลๆ และสายตาอันเฉียบคมของกันต์ธรไม่เคยมองพลาด เขาตะโกนออกคำสั่งให้สารถีส่วนตัวเหยียบคันเร่งออกจากจุดนั้นในทันที เพื่อขับตามรถคันที่กำลังจะขับผ่านหน้าเขาไป

 










"ฮึฮึ คิดถึงฉันไหมภีม? "

 




กันต์ธรกำลังไล่ตามรถคันหนึ่งที่ขับด้วยความเร็วปกติเพื่อความปลอดภัย เขาไม่ปล่อยเวลาให้นานเกินไป เพื่อยับยั้งไม่ให้รถคันนั้นแล่นไปถึงย่านชุมชนได้เสียก่อน นายใหญ่สั่งคนรถให้ขับแซงรถคันหน้าขึ้นไปแล้วจอดขวางเอาไว้อย่างอุกอาจกลางถนน

 

 

 







เอี๊ยด!!!

 




เสียงยางรถของบ้านภพตะวัน บดขยี้ถนนอย่างรุนแรง เมื่อจู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งขับแซง แล้วปาดหน้าขวางทางเอาไว้ ทั้งคนขับและเจ้านายทั้งสองที่นั่งด้านหลัง ต่างตกใจไม่แพ้กันกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้น

 







“เกิดอะไรขึ้นคะลุงบุญ?”




“คือว่า..”

 




ลุงบุญยังไม่ทันได้ตอบคำถามคุณสาลี่ที่นั่งอยู่ทางด้านหลัง ดวงตาสองคู่ก็มองเห็นว่าด้านหน้ามีรถคันหนึ่งจอดขวางทางพวกเขาอยู่

 







“รถใครหรือครับ ลุงบุญรู้จักหรือเปล่า?”




“รถบ้านณรงค์กรครับคุณหนู”

 




คนขับรถประจำตระกูลวงศ์วรรธน์มีท่าทางหวาดกลัว เมื่อเอ่ยชื่อเจ้าของรถคันหรูที่จอดขวางทางไว้ หากแต่คนด้านหลังไม่ทันไม่สังเกตเห็นสีหน้านั้นของคนขับแต่อย่างใด ภพตะวันเพียงประหลาดใจและเริ่มมีท่าทีตื่นเต้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่านั่นคือนามสกุลของเพื่อนเก่าที่เคยสนิทสนมกันอย่างลึกซึ้งมาก่อน

 







“บ้านธรหรือครับ?”




“ครับคุณหนู”







“ไม่ได้เจอธรนานมาก คุณพ่อคงบอกเขาว่าผมกลับมาแล้ว”

 




“คุณหนูอย่าลงไปครับ!”


 




นายบุญเอ่ยห้ามเสียงดังจนคนที่กำลังจะเปิดประตูรถลงไปทักทายเพื่อนเก่าต้องหยุดชะงักในทันที ภพตะวันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องห้ามเขา แต่สีหน้าหวั่นวิตกของคนขับรถที่ฉายให้เขาเห็นในบัดนี้ ก็ทำให้มือที่กำลังจะเปิดออกไปนั้นหลุดออกจากมือจับประตูรถได้ในที่สุด

 










“ลุงบุญ?”







“ผมจะลงไปคุยเอง คุณหนูทั้งสองคอยบนรถเถอะครับ”

 




คนขับรถประจำตระกูลเปิดประตูเพื่อลงไปเจรจากับผู้ไม่หวังดีที่จอดรถขวางเส้นทางไว้ และเป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ประตูรถอีกคันได้เปิดออก และชายสองคนบนนั้นเดินลงมาพอดี

 




“ช่วยหลีกทางให้พวกเราด้วยครับ”




“อะไรกันลุงบุญ คนเคยๆ กันทั้งนั้น เพื่อนรักกลับมาทั้งที ผมก็แค่อยากมาต้อนรับ ให้สมน้ำสมเนื้อหน่อย”




“พวกคุณถอยไปดีกว่าครับ”







“เห้ย! ภีม! ลงมาทักทายเพื่อนหน่อยสิวะ!”


 




นายบุญและชายร่างยักษ์สองคน ยื้อแย่งกันอยู่พักใหญ่ สารถีบ้านวงศ์วรรธน์พยายามใช้ตัวเองเป็นเกราะกำบังไม่ให้กันต์ธรมองเข้าไปในรถได้ชัดเจนมากนัก จนเจ้าพ่อคนดังเริ่มหงุดหงิดเข้าให้แล้ว

 










“ลงมาสิวะ มัวหดหัวอยู่ได้!”

 




มือขวาคนสนิทเมื่อเห็นผู้เป็นนายเริ่มอารมณ์ไม่ดี จึงได้รีบจับรวบแขนของนายบุญแล้วล็อกเอาไว้ จากนั้นกันต์ธรจึงได้เดินเข้าใกล้กับจุดที่ภพตะวันนั่งอยู่บนรถ

 




ด้านภพตะวันที่ไม่เข้าใจแต่แรกว่านายบุญห้ามตนไว้ทำไม เมื่อเห็นเพื่อนรักวัยเด็กเดินมาหาถึงที่ จึงลงจากรถพร้อมรอยยิ้มยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง

 

 

 




รอยยิ้มที่กันต์ธรเกลียดเสียยิ่งกว่าสิ่งใด




รอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจ




รอยยิ้มที่คนอย่างเขา ไม่ได้มีประดับบนใบหน้ามานานร่วมสิบปีได้แล้ว

 

 

 







“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะธร”




“สิบปี”




“นายดูเปลี่ยนไปมาก แต่ฉันก็ยังจำนายได้อยู่ดี”




“ฮึ…ฉันควรต้องซาบซึ้งไหม”




“ฉันดีใจที่นายมาต้อนรับฉันนะ ไว้เราไปคุยกันที่บ้านฉันต่อไหม?”




“ฉันมีที่ ที่ดีกว่าบ้านนายในการคุยกันอีกนะ”

 




ภพตะวันไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนรักวัยเด็กพูด หากแต่ถ้านั่นเป็นความต้องการของเพื่อน เขาก็ยินดีตอบตกลง เว้นเสียแต่ว่าด้านหลังรถเขาบัดนี้ มีสุภาพสตรีอีกคนที่เดินทางกลับเมืองไทยมาพร้อมกับเขา นั่งอยู่ด้วย

 




“ฉันก็อยากไปกับนายนะ แต่เกรงว่าสาลี่จะอยากกลับบ้านเธอมากกว่า”




“สาลี่?”




“คู่หมั้นของฉันน่ะ ไว้คราวหน้าฉันจะแนะนำให้นายรู้จัก”




“งั้นเหรอ...แต่ฉันว่า ถ้าได้รู้จักเสียวันนี้ คงจะเป็นบุญหัวไม่น้อย”

 




ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้กล่าวอะไรต่อ ก็มีรถหรูอีกสองคันขับเข้ามาจอดขนาบข้าง ปิดทางเอาไว้ทั้งหน้าและหลังของทั้งห้าชีวิต และโดยไม่รอช้า ชายฉกรรจ์สี่คนย่างสามขุมลงจากรถ ตรงมายังจุดที่เพื่อนรักวัยเด็กสนทนากันอยู่เมื่อครู่

 







“นี่มันอะไร? พวกคุณเป็นใคร?”




“ไม่ต้องตกใจภีม พวกนี้เป็นคนของฉันเอง…ของขวัญต้อนรับนายกลับบ้านไง”

 







เมื่อคำพูดพร้อมรอยยิ้มเหยียดของชายหนุ่มในชุดเสื้อโปโลสีเขียวจบลง กันต์ธรก็ได้ส่งสัญญาณมือบางอย่างไปให้ชายท่าทางไม่น่าไว้ใจทั้งสี่คน และจากนั้นชายสี่คนก็พุ่งตรงเข้าหาชายรูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีเทาทันที

 

 

 

 




ชายสองคนล็อกแขนทั้งสองข้างของภพตะวันไว้ด้านหลัง จากนั้นมือหนักก็กดไหล่ให้ชายโชคร้ายคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนที่ชายฉกรรจ์อีกคน จะยกเท้าขึ้น แล้วฟาดเข้าเต็มใบหน้าหล่อเหลานั้น เพียงครั้งเดียว โลหิตสีแดงสดก็พวยพุ่งกระจายออกมาโดยรอบในทันที

 




ชายคนเดิมไม่หยุดลงเพียงเท่านั้น เขาพยักหน้าหนึ่งครั้งให้พรรคพวก จากนั้นร่างที่ถูกล็อก ก็ถูกปล่อยให้เซล้มลงไปกองกับพื้นดินลูกรัง จากนั้นแปดเท้าก็รุมแจกโชคให้คนบนพื้นอย่างไม่มีการออมแรง

 




สาวสวยด้านในรถที่เห็นเหตุการณ์ไม่คาดฝันทั้งหมด เร่งลงจากรถหวังเข้าช่วยเหลือว่าที่สามีในอนาคต แต่ข้อมือน้อยๆ นั้นกลับถูกชายเสื้อโปโลเขียวจับล็อกเอาไว้แน่น และไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เธอก็ไม่อาจสู้กับแรงจากกล้ามเนื้อที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีของกันต์ธรได้เลย

 







“ปล่อยฉันนะ! เอามือสกปรกๆ ก็นายออกไป!!!”




“ภีม!!! นี่! ...ทำร้ายเขาทำไม เขาเป็นเพื่อนนายไม่ใช่หรือไง!?!”

 




“เพื่อนเหรอ? ...มันบอกเธออย่างงั้นเหรอ? แต่จะว่าไป เธอนี่ก็สวยสมกับที่มันเลือกจริงๆ เลยนะ คุณสาลี่”

 




ชายหนุ่งร่างสูงเอ่ยวาจาล่วงล้ำไปพลาง ใช้สายตาจาบจ้วงไปพลางอย่างไม่เกรงใจ และเขาได้รับกลับมาเพียงความเกลียดชังอย่างเปิดเผยของสาวสวยเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กันต์ธรรู้สึกอะไรได้เลย

 







นายใหญ่คนสำคัญที่มีสีหน้าหงุดหงิด มีแววตาที่เปลี่ยนไปเมื่อไล่มองไปยังหญิงสาวในมือ และพบว่าเธอช่างงดงามอย่างที่หาได้ยากในชุมชนของเขา

 







“ภีม!”




“คุณหนู!”

 




กันต์ธรที่เห็นสภาพอันน่าสังเวชของภพตะวันจนรู้สึกพอใจ สั่งให้ลูกน้องเขาหยุด ก่อนที่ภพตะวันจะสลบไปเสียก่อน เขายังไม่พอใจที่จะให้ชายคนนี้ตายเร็วมากนัก เพราะความสนุกและการรำลึกความหลังกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

 




ทุกคนล่าถอยออกมาและพร้อมกลับขึ้นรถ แต่ก่อนที่กันต์ธรจะได้ออกจากจุดเกิดเหตุไป เขาได้เดินมานั่งลงข้างๆ เพื่อนเก่า แล้วกระซิบคำพูดแสนเย็นชาไปยังภพตะวัน

 







“ไงภีม ชอบไหม...นี่กูอุตส่าจัดชุดพิเศษเพื่อมึงเลยนะ ถือเป็นการต้อนรับ สายเลือดชั่วๆ อย่างมึงกลับมาไง ฮึฮึฮึ”

 

 

 

 




เมื่อเย้ยหยันจนพอใจ กันต์ธรก็ลุกขึ้นยืนพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นด้วยความสะใจ เรียกเสียงหัวเราะของลูกน้องอีกหลายคนที่กำลังนั่งรอเจ้านายบนรถ ให้ลอยมาร่วมวงความสนุกที่ได้กระทำลงไปเมื่อครู่ เสียงหัวเราะที่แทรกซึมเข้าสู่โสตประสาทของภพตะวันได้เพียงครึ่งเดียว ด้วยหูอีกข้างของเขานั้นได้ดับสนิทลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

 

 

 









​...





















-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com

บทที่ 2 : จำฉันให้ดี

 

 

 

 

 








 

"ภีม!?! "

 




 

"สวัสดีครับคุณพ่อ สวัสดีครับคุณแม่"

 




 

ภพตะวันประนมมือสวัสดีบิดาและมารดาที่พึ่งเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยพิเศษด้วยความยากลำบาก สิบปีที่ผู้ใหญ่ทั้งสองไม่ได้พบหน้าลูกชายสุดที่รัก แต่เมื่อได้พบกันอีกครั้ง กลับกลายเป็นได้เห็นใบหน้าและร่างกายนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลบวมช้ำ ซ้ำยังต้องนอนโรงพยาบาลด้วยอีก

 





 
 

"บุญบอกพ่อหมดแล้วนะ พ่อจะแจ้งความจับมัน"




 

"ผมไม่เป็นอะไรมากแล้ว พ่อปล่อยธรไปเถอะนะครับ"




 

"ทำไมล่ะภีม ลูกเจ็บหนักขนาดนี้เลยนะ"





 
 

"ธรเคยเป็นเพื่อนรักผมนะครับ เขาคงกำลังเข้าใจอะไรผิดสักอย่าง ถึงได้ทำแบบนี้"

 





 
 

สองสามีภรรยามองหน้ากันด้วยเข้าใจถึงเหตุผลจากการกระทำของกันต์ธรเป็นอย่างดี สิบปีที่ลูกชายคนดีของเขาไม่อยู่ มีเรื่องราวเลวร้ายมากมายเกิดขึ้น และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่พวกเขาไม่อยากให้ภพตะวันเดินทางกลับบ้านเกิดมาสักเท่าไหร่

 




 




 

ไม่มีใครบอกความจริงให้ภพตะวันรับรู้ ว่าเหตุใดกันต์ธรถึงกลายเป็นนักเลงหัวไม้ไปได้ และไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องปรับความเข้าใจกับเพื่อนวัยเด็กด้วยตัวเอง แม้ว่าจะเสี่ยงเจ็บตัวอีกกี่ครั้งก็ตาม

 




 

 

ขณะที่ภพตะวันกำลังพูดคุยกับบิดามารดาอยู่นั้นเอง ก็มีหญิงสาวหน้าตาท่าทางงดงามคนหนึ่งเปิดประตูเข้าห้องมา เธอยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ในห้องด้วยความนอบน้อมพร้อมรอยยิ้ม...คุณสาลี่ หลานสาวคนรอง ของตระกูลผู้สูงศักดิ์ ที่ภพตะวันเคยเล่าให้พ่อกับแม่เขาได้ฟังอยู่บ่อยๆ ทางจดหมาย





 
 

 

"สาลี่ นี่พ่อแม่ภีม"




 

"สวัสดีค่ะ คุณลุงคุณป้า"





 
 

 

วาจาชดช้อยเป็นที่ถูกอกถูกใจเสี่ยใหญ่เจ้าของธุรกิจรถสิบล้อของจังหวัดเสียยิ่งกว่าสิ่งใด หลังจากได้พูดคุยกับว่าที่สะใภ้ไม่นาน ข้อมูลต่างๆ มากมายของลูกชายพวกเขาระหว่างที่อยู่ต่างประเทศ ก็ไหลเข้าสู่ระบบความจำของท่านทั้งคู่เป็นที่เรียบร้อย





 
 

"แม่คิดไว้ว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับภีมกลับบ้านวันมะรืน แต่ดูท่าแล้วน่าจะต้องเลื่อนออกไปเป็นอาทิตย์หน้าซะแล้ว"

 




 

 




 

เจ๊ใหญ่คู่บารมีเจ้าของธุรกิจสิบล้อมองไปยังลูกชายบนเตียงผู้ป่วย เธอได้รับรอยยิ้มน้อยๆ กลับมาและคนไข้ก็ก้มหน้าลงไปด้วยเจ้าตัวนั้น ไม่ได้สนับสนุนเรื่องงานเลี้ยงที่สิ้นเปลืองนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความตั้งใจของบิดามารดาได้

 




 

"หลังจากภีมออกจากโรงพยาบาล หนูจะไปช่วยจัดงานที่บ้านนะคะคุณป้า"




 

"ขอบใจจ้ะ ป้าก็ไม่อยากรบกวนหนูสาลี่หรอกนะ แต่ดูท่าว่าหนูสาลี่จะรู้ใจตาภีมมากที่สุดแล้วตอนนี้"




 

"ไม่รบกวนเลยค่ะ หนูยินดีมาก"




 

 

 

ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ปรนนิบัติว่าที่สามีในอนาคตอย่างดีระหว่างอยู่ในโรงพยาบาลสามวัน จนกระทั่งภพตะวันได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ เธอก็ยังแวะเวียนไปดูแลเขาที่บ้านวงศ์วรรธน์ ทั้งยังช่วยงานตกแต่งในส่วนจัดเลี้ยงที่กำลังจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า





 
 





 
"หนูว่าเราเปลี่ยนผ้าม่าน ให้เป็นสีแดงเลือดนกขลิบทองจะเข้ามากกว่านะคะ"




 

"จริงด้วย แม่ก็คิดว่าน่าจะดีเหมือนกัน"




 

 

 

สตรีสองท่านที่ออกความเห็นเรื่องม่านประดับครุ่นคิดกันอยู่เนิ่นนาน เมื่อตกลงใจได้เป็นที่เรียบร้อย เจ้าบ้านก็ให้นายบุญช่วยขับรถไปส่งท่านหญิงที่ตลาด เพื่อเลือกผ้ามาทำม่านประดับในห้องโถงรับรองแขก





 




 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

"ลุงบุญรอหนูตรงนี้ก็ได้ค่ะ หนูเข้าไปครู่เดียว"




 

"ครับคุณหนู"




 

 

 

ท่านหญิงเดินเลือกซื้อสินค้ามากมายในตลาดอยู่พักหนึ่ง ก็มาหยุดอยู่บริเวณหน้าร้านผ้าชื่อดัง เธอขอให้คนขับรถยืนรออยู่ที่หน้าร้านก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปเลือกผ้าด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข




 

 

เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายร่างใหญ่สามคน เดินทางมาเก็บหนี้จากเจ้าของร้านขายผ้าแห่งนี้พอดิบพอดี เจ้าหนี้มองเห็นคนขับรถประจำตระกูลวงศ์วรรธน์ ใบหน้าก็ประดับรอยยิ้มชั่วร้ายในทันที กันต์ธรต์เดินเข้าไปหานายบุญและเริ่มหาเรื่อง

 




 




 

"หวัดดีลุง มาซื้อผ้าเหรอ? "




 

 

"คุณธร!"





 

 

"อะไร ทำหน้าตกใจอย่างกับเห็นผี"




 

 

 




 

เสี่ยธรประหลาดใจที่นายบุญตกใจมากเป็นพิเศษ เจ้าตัวจึงได้มองเข้าไปในร้าน และได้พบกับหญิงสาวคนเดิมที่พึ่งได้เจอเมื่อไม่กี่วันก่อน ความงามที่ทำให้เขาตกตะลึงได้...คู่หมั้นของเพื่อนรักเขา

 




 

 

 

 

 

 





 




 
 

"คุณเข้าไปไม่ได้นะ! "





 

 

"ทำไม? ฉันจะไปทวงหนี้ มีปัญหาอะไรเหรอครับลุง? "





 
 

 

กันต์ธรกับแว่นบาง หนีบสมุดปกสีสันสดใสไว้ใต้รักแร้ พร้อมขนาบข้างด้วยลูกสมุนซ้ายขวา เดินเข้าใกล้นายบุญจนหน้าแทบติดกัน





 
 

 

"มีปัญหาอะไร ก็คุยกับไอ้ศักดิ์ไปก่อนนะลุง ฮ่าฮ่าฮ่า"


 




 

 

ว่าแล้ว คนที่เดินขนาบข้างด้านขวาของกันต์ธรก็เดินเข้าใกล้นายบุญมากขึ้นอีก จากนั้นเจ้าตัวก็กันคนเฝ้าหน้าร้านให้ถอยห่างออกจากทางเดิน เพื่อเปิดทางให้นายใหญ่เดินเข้าร้านไปได้สะดวก เด็กจัดของหน้าร้านเมื่อเห็นหัวหน้ากลุ่มอันธพาลทวงหนี้ ก็กุลีกุจอวิ่งเข้าหลังร้านแจ้งข่าวให้เจ้าของร้านทราบในทันที

 

 

 





 
 

 

 

 

ความวุ่นวายเกิดขึ้นทุกย่างก้าวที่กันต์ธรเดินเข้าไป พนักงานในร้านเริ่มก้มหน้าก้มตาลงและมือไม้สั่นอย่างไม่อาจห้ามได้ จนเขาเดินไปถึงโต๊ะคิดเงินและตบลงไปเสียงดัง เรียกให้คนในละแวกนั้นสะดุ้งตัวโยนกันเป็นแถบๆ

 





 




 
 

"เจ๊สาวอยู่ไหม?"

 




 

"อ...อยู อยู่จ้ะ เดี๋ยวฉันไปตามให้นะ"


 




 

"อือ"

 




 

กันต์ธรนั่งลงบนเก้าอี้หมุนทรงกลมอย่างสบายใจ ไม่ทันที่เด็กคิดเงินจะเดินเข้าไปตาม เจ้าของร้านขายผ้านามว่า 'เจ๊สาว' ก็เดินออกมาพร้อมใบหน้าตึงเครียด เด็กในร้านที่ทำงานอยู่ในมุมต่างๆ ปิดปากเงียบกริบแทบได้ยินเสียงลมหายใจ กันต์ธรวางสมุดที่หนีบมาด้วยลงบนโต๊ะตัวเดิมแล้วเปิดหน้าที่มีชื่อเจ๊สาวเขียนติดไว้อยู่

 




 




 

 

"รอบนี้จะจ่ายทบต้นทบดอกเลยก็ได้นะเจ๊ ต้นจะได้ลดๆ ลงไปบ้าง"

 




 

"เสี่ยธร ฉัน...ยังไม่มี..."

 





 




 
 

ปึง!


 





 
 

 

"ไม่มีอะไร ก็เห็นลูกค้าเต็มร้าน!!! "





 
 

"ฉันขอเวลาอีกสักวันสองวันเถอะนะ วันนี้ฉันต้องจ่ายค่าเช่าที่แล้ว ถ้าไม่ให้เขาวันนี้เขาจะไล่ฉันออกจากที่ตรงนี้แล้วนะ ขอร้องล่ะเสี่ย"

 




 

 

เจ๊สาวน้ำตาคลอเบ้ายกมือขึ้นท่วมหัว

 




 

 

"แต่ถ้าไม่จ่ายฉันวันนี้ นิ้วก้อยเจ๊จะหายไปอีกข้างนะ"




 

"ฉันขอร้องนะเสี่ย ฉันขออีกสักวันสองวันเถอะ"




 

"สามวันก่อนเจ๊ก็ขอแบบนี้ ลืมแล้วเหรอ? "

 





 
 

กันต์ธรที่ได้รับคำตอบจากเจ้าของร้านพยักหน้าหนึ่งทีให้กับชายที่ยืนอยู่ด้านหลัง จากนั้นชายคนนั้นก็เดินอ้อมเข้าไปด้านในเครื่องคิดเงินประชิดตัวเจ้าของร้าน โดยเริ่มมีเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวของทั้งตัวเจ๊สาว และพนักงานในร้านบางคนที่ยังคงจดจำความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อคราวก่อนได้

 





 




 
เจ้าหนี้ผู้โด่งดังไม่เคยปราณีใคร ไม่ว่าจะเป็นเด็ก สตรี หรือคนชรา หากขึ้นชื่อว่าติดหนี้เขาแล้วเบี้ยวไม่จ่ายล่ะก็ เจ้าตัวก็มีวิธีมากมายที่จะขับไล่ขวัญและกำลังใจของลูกหนี้ให้หนีกระเจิงได้เป็นอย่างดี โดยสำหรับเจ๊สาวนั้น ได้ผัดผ่อนมาหลายงวดจนกันต์ธรต้องออกมาตามทวงเอง รอบนี้ จึงถึงเวลาที่เขาจะต้องรับของขัดดอกเป็นนิ้วก้อยอีกนิ้วของเจ้าของร้านผ้าไปแล้ว

 




 




 

มีดคมกริบถูกชักออกจากฝักโดยมือของกันต์ธร เจ๊สาวถูกนายพันธุ์จับล็อกคอและข้อมือเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นมืออีกข้างก็ดึงนิ้วก้อยที่เหลือเพียงนิ้วเดียวของเจ๊สาววางไว้บนโต๊ะเพื่อให้เจ้านายตัดได้ถนัดมือ

 




 




 

 

 

"อย่าาา!! เสี่ย! ฉันขอร้อง...อย่าทำฉันเลย ฮือ เสี่ยธร!! ฉันจะหามาให้ อย่าทำฉันเลย!!! "





 
 

 

 

เสียงกรีดร้องดังลั่นร้าน พร้อมเสียงร้องไห้ระงมจากหลายมุมของร้านที่ปลุกบรรยากาศให้น่าวังเวงเสียยิ่งกว่าเพลงในงานศพ

 

 





 




 
 

"ฮึฮึฮึ"

 




 

 

 

"อย่าทำฉัน!! อย่า!!!! "





 








 

"หยุดได้แล้ว! "

 




 

 

 

กึก





 
 

 

มีดที่กำลังจะสับลงไปบนนิ้วเรียวขาวชะงักค้างไว้บนอากาศ เมื่อเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งเอ่ยห้ามเอาไว้ เสียงหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่กันต์ธรลอบมองมาแต่แรก เมื่อหันไปหา ก็พบว่าเธอจ้องมองกันต์ธรด้วยดวงตาโกรธเกรี้ยวอย่างไม่กะพริบ

 

"อย่ามายุ่งดีกว่านะคุณผู้หญิง มันไม่ใช่เรื่องของเธอ"




 

"เท่าไหร่? "

 




 

"ว่าไงนะ"




 





 
"นิ้วที่นายกำลังจะตัด...มีราคาเท่าไหร่? "





 




 
 

"ฉันคิดไม่แพงหรอก สักห้าพันเป็นไง"




 

 

เมื่อได้ฟังราคาสุดสูงนั้นที่คนทั่วไปไม่มีทางมีพกในกระเป๋าเงิน ท่านหญิงก็ก้มลงแล้วควักเงินจำนวนห้าพันบาทออกจากกระเป๋าถือแล้ววางลงบนโต๊ะใกล้ๆ กับที่มือของเจ๊สาวถูกล็อกเอาไว้ แต่ถึงอย่างไร ถ้ายังไม่มีคำสั่งจากกันต์ธร นายพันธุ์ก็ยังคงไม่ปล่อยเจ้าของร้านให้หลุดออกจากการจับกุมไปได้อยู่ดี

 

 




 

"ปล่อยได้รึยัง"

 




 

"ไอ้พันธุ์ ปล่อยมัน!"

 




 

เจ้าหนี้หยิบเงินขึ้นแล้วนับ เมื่อเห็นว่าครบก็ได้ออกคำสั่งให้ลูกน้อง แล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้ม

 





 




 
 

"ระวังนะคุณสาลี่...ใจดีมากๆ เวลาผิดหวังขึ้นมาจะเอาชีวิตไม่รอด ฮึฮึฮึ"

 




 

กันต์ธรพร้อมลูกสมุนเดินออกไปแล้ว เจ๊สาวยกมือขอบคุณท่านหญิงอย่างไม่ยอมเอาลงทั้งน้ำตา คราวก่อนที่ร้านไม่ได้มีนางฟ้ามาโปรดเช่นวันนี้ จึงได้เกิดเหตุการณ์เลือดนองขึ้น สาหัสและรุนแรงเกินไป จนพนักงานบางคนที่เห็นเหตุการณ์และหวาดกลัวขอลาออกก็มี

 





 




 
 

 

 

 

 

 

 





 
 

"นายดูอารมณ์ดีนะครับ ผมเห็นยิ้มตั้งแต่ออกจากตลาดแล้ว"




 

"ไอ้ภีมมันหาเมียแบบนี้มาจากไหนวะ สวยไม่พอ ใจเด็ดอีกต่างหาก"

 




 

"นายก็ลองถามมันดูสิครับ...ผมได้ข่าวมาว่าอีกสามวัน บ้านวงศ์วรรธน์จะมีงานเลี้ยงต้อนรับลูกชายกลับบ้าน"





 
 

"มึงนี่ข่าวไวจริงๆ เลยนะไอ้พันธุ์ สมแล้วที่เป็นแหล่งข่าวให้กู"




 

"มากันแทบทั้งจังหวัด ผมว่างานนี้นายต้องไปร่วมแล้วล่ะครับ"

 




 




 

"กูไปแน่ คิดถึงมันใจจะขาดแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า"

 




 




 




 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

----------------------------------------------

 

 

 

 

 




 

“ภีม?”

 




 

“…”





 
 

“ไม่เป็นไรนะ ฉันมีหนังสือการ์ตูนเพียบเลย มีเกมให้ภีมเล่นด้วย ภีมไม่ร้องไห้นะ”

 




 

 

ภพตะวัน วงศ์วรรธน์ เด็กชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อายุ 13 ปี ไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่บิดาไม่มารับที่โรงเรียน เขารู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมากจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ด้านเพื่อนรักอย่างกันต์ธรที่ไม่เคยปลอบใจใครมาก่อน ทำได้เพียงเดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนและแผ่นเกมกดมากมายมาวางไว้ตรงหน้าของเด็กชายผู้กำลังร่ำไห้

 

 

 




 

“อยู่ด้วยกันไม่ดีเหรอภีม นายไม่อยากอยู่กับฉันเหรอ…ฉันอยากอยู่กับนายนะ”


 




 

“อึก ขอบใจนะธร”


 




 

ว่าแล้ว ดวงใจอันต้องการที่พึ่งของภพตะวัน ได้สั่งร่างกายให้โผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังหาทางปลอบประโลมเขาเข้าเต็มแรงโดยที่กันต์ธรไม่ทันได้ตั้งตัว บัดนี้หัวใจของเด็กน้อยเต้นระส่ำไม่ยอมหยุด เด็กชายกันต์ธรรู้สึกหายใจไม่ทันและอยากลุกขึ้นเต้นเป็นร้อยเป็นพันครั้งตามจังหวะหัวใจซะเหลือเกิน

 




 




 


 

 

 

----------------------------------------------

 

 




 




 

 

 

ภาพวันวานของเด็กแว่นสองคนที่เล่นด้วยกัน นอนด้วยกัน แวบผ่านเข้ามาในมโนความคิด เขาอยากจะลืมมันไปให้หมด แต่ก็ทำได้ยากเหลือเกิน บางสิ่งฝังลึกเกินกว่าที่มนุษย์เรา จะสามารถขุดมันออกจากจิตใต้สำนึกไปได้ ภาพของภพตะวัน เด็กชายที่กันต์ธรคอยปลอบโยนในวันนั้นก็เช่นเดียวกัน

 




 

ภาพที่นักเลงหัวไม้เช่นกันต์ธรไม่เคยลืม หากแต่สำหรับภพตะวันนั้น ภาพเหล่านั้นอาจไม่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำอีกเลยก็เป็นได้ แม้จะพยายามยิ้มร้ายขึ้นมา เพื่อลบล้างความรู้สึกเก่าๆ เท่าไหร่ แต่เพียงคนเดียวที่รู้ว่ามันไม่อาจหายไปได้ก็คือตัวของกันต์ธรเอง

 

 

 

 























​-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------











ขอบคุณ คุณ Chompoo reangkarn และคุณ  AkuaPink

สำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :กอด1:





 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:





ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
ติดตามค่ะ
 :3123:

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
เหตุผลอะไรที่ทำให้อีกคนร้ายขนาดนี้

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
 
บทที่ 3 : คุณรังสรรค์วิทยาลัย
















คุณรังสรรค์วิทยาลัย (คุ-นะ-รัง-สัน-วิด-ทะ-ยา-ไล)  โรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในภาคเหนือ สถานที่ร่ำเรียนอันโด่งดังและงดงามวิจิตรตระการตา โรงเรียนที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องการเข้าศึกษา ที่ยากยิ่งกว่าสิ่งใด เพียงสองวิธีที่จะทำให้สามารถเข้าเรียน ณ สถานศึกษาแห่งนี้ได้








คือหนึ่ง การสอบแข่งขันด้วยข้อสอบที่ขึ้นชื่อว่ายากที่สุดในประเทศ และสอง การจับฉลากเข้าเรียน สำหรับเด็กที่อยู่อาศัยในเขตพื้นที่การศึกษา








ความตั้งใจของใครหลายคนที่เพียรพยายามอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่ำเพื่อสอบเข้ายังสถานที่สุดพิเศษนี้ ไม่สามารถซึมลึกเข้าถึงความรู้สึกของ กันต์ธร ณรงค์กร ได้แต่อย่างใด เขาคือลูกชายคนเดียวของเสี่ยใหญ่ เจ้าของธุรกิจบริการ การขนส่งชื่อดังในจังหวัด และมีบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ห่างจากโรงเรียนประจำจังหวัดไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร








สิ่งที่เขารักที่จะทำมีเพียงสองสิ่งเท่านั้น คือหนังสือการ์ตูนและเกมกด เด็กชายที่เข้าเรียนด้วยการจับฉลากดั่งนอนลอยมาเหนือเมฆ เขาไม่เคยรู้จักกับคำว่าความพยายาม หรือตั้งใจเพื่อให้ได้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาก่อนในชีวิต กระทั่งเปิดเทอมวันแรกมาถึงเช่นวันนี้ แม้ว่าใครหลายคนจะตื่นเต้นมากสักเพียงใด สำหรับกันต์ธรแล้ว มันก็เป็นเพียงวันที่แสนน่าเบื่อวันหนึ่งเท่านั้น








“รู้รึยังว่าห้องอยู่ตึกไหน?”







“ยังอ่ะ พ่อกลับก่อนเลย เดี๋ยวธรเดินหาเอา”








เด็กชายผิวขาวกับแว่นสายตาขอบดำ ที่เปิดเทอมสำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในวันนี้เป็นวันแรก เขาไม่รู้จักใครมาก่อน เพื่อนเก่าที่เรียนประถมด้วยกันมา ก็แทบไม่ได้ติดต่อหรือถามไถ่ใครเอาไว้ ภาพพ่อแม่ของใครหลายคนจูงมือลูกหลานเพื่อเข้าไปส่งให้ถึงยังโต๊ะเรียน ไม่ได้ทำให้กันต์ธรรู้สึกประหม่าขึ้นมาแต่อย่างใด








เด็กชายตัวเล็กหน้าตาน่ารัก ผิดกับลักษณะนิสัยโดยสิ้นเชิง เขาไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด และก็ไม่คิดที่จะเข้าใกล้เรื่องยุ่งยากเช่นกัน













“เลิกเรียนแล้วพ่อมารับนะ”







“ธรเดินกลับก็ได้นะพ่อ บ้านอยู่แค่นี้เอง”







“เถอะน่า เลิกแล้วมายืนรอพ่อตรงนี้เข้าใจไหม”







“ครับ สวัสดีครับพ่อ”









เด็กชายเดินห่างจากรถยนต์ของบิดาเข้าไปภายในโรงเรียน แม้ว่าเขาจะจับฉลากเข้าเรียนที่นี่ได้อย่างง่ายดาย แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันว่าเขาจะได้ถูกคัดเข้าห้องเด็กหัวกะทิ และถึงอย่างไร นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่กันต์ธรกังวลใจใดๆ อยู่แล้ว








ชื่อของเขาถูกคละเข้าห้องเด็กทั่วไปและถูกสลับรายชื่อไปอยู่ถึงห้อง 14 ด้วยกัน โดยที่เขาพึ่งนึกขึ้นได้ว่า ก่อนวันเปิดเทอมลุงของเขาได้มาเยี่ยมครอบครัวเขาที่บ้าน แต่ครอบครัวของคุณลุงนั้น บ้านอยู่ไกลโรงเรียนหลายสิบกิโล ทำให้ลูกชายของบ้านนั้น ต้องใช้วิธีสอบแข่งขันเพื่อเข้าเรียน นอกจากเด็กคนนั้นจะสอบติดแล้ว คะแนนของเขายังสูงติดอันดับต้นๆ ของโรงเรียน และถูกจัดเข้าห้องเด็กหัวกะทิหรือห้อง 1 อีกด้วย








ญาติห่างๆ ที่กันต์ธรแทบจำหน้าไม่ได้ เนื่องจากไม่ได้พบกันมานานหลายปี แต่ก็ยังจำชื่อได้ดีเพราะเล่นด้วยกันมาตั้งแต่แบเบาะ ภพตะวัน วงศ์วรรธน์








เด็กชายกันต์ธรไม่ได้คิดสนใจญาติของเขาคนนี้มากมายนัก และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ห้องเรียนของพวกเขาทั้งคู่ก็อยู่ห่างกันมากโข ต่อให้มีการเข้าแถวรวมระดับชั้น ก็คงไม่มีทางได้พบหน้ากัน เพราะห้องเรียนห้องหนึ่งก็มีนักเรียนถึงห้าสิบหกสิบคน
















ปึก









“โอ๊ย!”









“เดินยังไงของเธอ”







“นายเป็นคนมาชนเราก่อนนะ”







“ใครบอกว่าเราชนเธอ มีใครเห็นเหรอ?”









ภาพเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับคำว่าทะเลาะวิวาท เกิดขึ้นใกล้กับจุดที่กันต์ธรเดินผ่านไปไม่ถึงสิบก้าว เขาเห็นหมดทุกอย่างตั้งแต่ที่เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง เดินมาอยู่บนทางเดินดีๆ แต่แล้วอยู่ๆ ก็มีเด็กชายสามคนเดินมาชนเข้าอย่างจัง เมื่อเด็กผู้หญิงไม่ยอม ฝั่งเด็กชายทั้งสามก็มีท่าทีว่าจะหาเรื่องต่อไม่หยุด








สิ่งที่กันต์ธรเฝ้าภาวนาและหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ชีวิตเขาต้องการเพียงความสงบและส่วนตัวเท่านั้น เขาเองก็เป็นเพียงเด็กชายตัวเล็กๆ จะทำตัวเป็นคนดีศรีสังคมก็คงจะถูกหาเรื่องตามเป็นแน่ ทั้งที่เฝ้าบอกตัวเองว่าให้เดินผ่านไปทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย แต่ขาเล็กๆ สองข้างนั้น กลับไม่ฟังความ จิตใต้สำนึกนำเขาเข้าไปขวางเด็กชายสามคนที่เริ่มเดินเข้าหาเด็กหญิงคนนั้น














“อย่าแกล้งผู้หญิงได้ป่ะ”







“แล้วนายเป็นใคร มายุ่งไรด้วย”







“เราชื่อธร อยู่ ม.1/14 และเราไม่ชอบที่นายหาเรื่องผู้หญิง”







“กระจอกว่ะ ตัวเล็กอย่างกับลูกหมา ยังกล้ามาขวางอีก”







“รอเดี๋ยว เราขอคุยกับเธอแปป”









ขณะที่เด็กชายทั้งสามเริ่มตีวงล้อมกันต์ธรอยู่นั้น เขาก็ขอเวลานอกสักครู่ แล้วหันไปคุยกับเด็กหญิงที่ไม่ได้มีท่าทีว่ากลัวเด็กชายกลุ่มนี้เลยสักนิด













“นี่เธอ…ขอโทษนายพวกนี้ไปเถอะ พึ่งเปิดเทอมวันแรกอย่ามีเรื่องกันเลย”







“นายธร นายก็เห็นว่าไอ้อ้วนนั่นเดินชนเราก่อน จะให้เราขอโทษได้ไง?”







“ไอ้อ้วน…?”







“ก็ขอโทษไปเถอะ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องมีราวกัน”







“ไม่! เราไม่ผิด เราไม่ขอโทษหรอก”







“เมื่อกี้เธอเรียกใครว่าไอ้อ้วนนะ!?!”







“นายใจเย็นๆ ก่อนได้ป่ะ ก็นายอ้วนจริงๆ จะโกรธอะไร?”







“ทนไม่ไหวแล้วโว๊ย!!!”









หัวโจกของกลุ่มเด็กชายทั้งสาม ที่มีลักษณะท้วมกว่าคนอื่นง้างกำปั้นขึ้นบนอากาศหวังชกเข้าให้เต็มหน้าของเด็กชายปากมอมที่ไม่เกรงกลัวต่อดินฟ้าอากาศใดๆ




















ปี๊ด!!!! ปี๊ดๆๆๆๆๆๆ








สถานการณ์เริ่มไม่สู้ดี และเสียงพูดคุยที่แสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนั้น ใกล้มีเรื่องกันเข้าไปทุกที ได้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนใครบางคนที่พบเห็นตั้งแต่ต้น ได้รีบไปตามคุณครูเวรมาช่วยห้ามไว้ได้ทัน









“เด็กๆ ทะเลาะอะไรกัน”







“นายคนนี้เดินชนเพื่อนผู้หญิงครับ แต่เขาไม่ยอมขอโทษ”









เป็นเด็กอีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณครูฟัง ผู้สงบศึกจึงได้บอกให้กลุ่มอันธพาลสามชายขอโทษเด็กหญิง แม้เจ้าตัวจะไม่เต็มใจนัก แต่ก็ยอมเอ่ยคำขอโทษออกไปแต่โดยดีทุกอย่างจึงได้สงบลง และต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเข้าห้องเรียนได้ในที่สุด














“มายุ่งอะไรด้วยก็ไม่รู้ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”







“เราก็ไม่ได้อยากมายุ่งหรอก มันมาของมันเอง”







“อะไรมา”







“ขา”







“ฮะฮะ นายนี่ประหลาดชะมัด”







“อือ ใครๆ ก็บอกแบบนั้น เราชื่อธรนะ อยู่ ม.1/14”







“จำได้น่า เมื่อกี้นายบอกพวกนั้นไปแล้ว ไม่กลัวพวกมันตามมาเอาคืนเหรอ?”







“ไม่กลัวอ่ะ มาก็มาดิ สู้ไม่ได้ก็แค่เจ็บตัว เดี๋ยวก็หาย”







“นายนี่ แปลกจริงด้วย…เราชื่อเลี้ยง อยู่ ม.1/8 ยินดีที่ได้รู้จักนะธร”







“อื้ม ยินดีที่ได้รู้จัก ดูเธอไม่กลัวพวกนั้นเลยนี่นะ”







“ก็ไม่กลัวน่ะสิ เอาจริงๆ พวกนั้นสู้เราไม่ได้หรอก บ้านเราเป็นค่ายมวย”







“โห วันหลังสอนเราบ้างนะ”









แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่บัดนี้กันต์ธรได้พบกับเพื่อนคนแรกในโรงเรียนของเขาแล้ว เด็กหญิงนามว่าเลี้ยง ผู้ไม่กลัวภัยพาลใดๆ ด้วยมีครอบครัวคอยสนับสนุน เลี้ยงช่วยกันต์ธรเดินหาจนพบกับห้องเรียนของเขาที่อยู่ตึกเดียวกันกับเธอ










เด็กชายเดินเข้าห้องเรียนไป ก็พบว่าบัดนี้มีคนนั่งจองไปเกือบหมดแล้ว เด็กชายมองไปยังที่นั่งสองที่ด้วยกันที่ยังว่าง หนึ่งคือโต๊ะหน้าสุดกลางห้อง กับอีกที่คือหลังห้องถัดริมหน้าต่างติดทางเดิน








ไม่ต้องคิดให้มากความ กันต์ธรเดินไปนั่งข้างเด็กชายหน้าตาเรียบร้อยคนหนึ่ง สวมแว่นทรงเหลี่ยมคล้ายกับเขา











“ตรงนี้มีใครนั่งไหม เรานั่งได้เปล่า”







“ไม่มีอ่ะ นั่งได้”







“เราชื่อกันต์ธรนะ ชื่อเล่นชื่อธร นายชื่ออะไรเหรอ?”







“เราวินาวิน เรียกวินก็ได้”







“ชื่อเพราะจัง”







“จริงดิ คนอื่นชอบบอกว่าเหมือนผู้หญิง”







“ก็เหมือนอยู่นะ แต่ก็เพราะด้วย”










กันต์ธรเอ่ยออกไปและลอบมองคนข้างกายเป็นพักๆ ชายคนนี้เมื่อได้มองตรงๆแล้ว มีผิวพรรณขาวเนียนอมชมพูเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าคนขาวๆ เช่นเขา พอได้มาใกล้กับชายคนนี้แล้ว เขาดูด้อยลงไปทันที ทั้งดวงตากลมโตใสนั้นที่คล้ายกับมีน้ำหล่อเลี้ยงตลอดเวลา น่ารักแบบสุดๆ ปากก็เป็นกระจับสีชมพูสด จมูกก็โด่งกว่าเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป เรียกได้ว่าสวยสมชื่อ มากกว่าหล่อเหลาแบบเด็กชายทั่วไปจริงๆ














“นายมองเราทำไม?”







“เราเปล่า”







“เปล่าอะไร เราเห็นนายมองหน้าเรานานแล้วนะ”







“ก็…นายสวย เหมือนชื่อเลย”







“หะ?”










กันต์ธรไม่เอ่ยสิ่งใดต่อจากนั้น เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างประหลาดที่ได้นั่งใกล้กับชายน่ารักคนนี้ และก็ตามคาด การได้นั่งข้างกันในวันแรก เด็กทั้งสองก็จะกลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย กันต์ธรพบว่าวินาวินนั้นเป็นมนุษย์เก็บตัว เรียกได้ว่าไม่สุงสิงกับใครหรือแทบไม่เข้าไปเล่นกับเพื่อนคนไหนเลย แต่ถึงอย่างนั้น กันต์ธรก็รู้สึกเข้ากันได้ดีกับวินาวินเป็นอย่างมากด้วยนิสัยใกล้เคียงกัน














“เย็นนี้กลับบ้านยังไงเหรอนายวิน”







“เดินกลับน่ะ บ้านเราอยู่ไม่ไกล ไปทางห้าแยก”







“จริงดิ บ้านเราก็ไปทางนั้น กลับด้วยกันไหม เย็นนี้พ่อเรามารับ”







“ไม่ล่ะ เราชอบเดินไปคนเดียว”







“แต่เราว่ามันอันตรายนะ เราเป็นห่วง”







“อะไรของนาย ไม่ต้องมาห่วงเรา”







“นะ กลับกับเราเหอะ”










“ไม่”










ไม่ว่ากันต์ธรจะพยายามพูดอย่างไร วินาวินก็ไม่มีทีท่าที่จะยอมกลับบ้านด้วย และด้วยวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก ในชั้นเรียนเกือบทุกวิชาจึงมีเพียงการแนะนำตัวและทำความรู้จักกันกับเพื่อนร่วมชั้นและครูผู้สอนเท่านั้น เมื่อทุกคาบเรียนจบลง กันต์ธรก็เดินออกไปรอบิดาที่หน้าโรงเรียนก่อนเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมง









เด็กชายตัวเล็กเดินไปยืนรอบิดาได้ไม่ถึงห้านาที กลุ่มเด็กชายหน้าตาคุ้นเคยก็เดินเข้ามาแล้วล้อมเขาไว้ในวง














“ไปด้วยกันหน่อยสิ นายธร”







“ไปไหน?”










เป็นกลุ่มเด็กชายสามคนกับเมื่อเช้านี้ที่เดินเข้ามา โดยยังไม่ทันที่กันต์ธรจะตอบรับหรือปฏิเสธ เด็กชายในกลุ่มสองคนก็ล็อกแขนน้อยๆ ของกันต์ธรไว้ แล้วลากให้เดินตามไปยังโรงไม้ใกล้สนามบอล














“นายไม่ควรมายุ่งกับเรื่องคนอื่น และไม่ควรมาเรียกคนอื่นว่าไอ้อ้วนด้วย”














ผลั๊วะ!








หมัดที่ถูกง้างทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าพุ่งเข้าเต็มหน้าของเด็กชาย กันต์ธรไม่เคยถูกต่อยหรือทำร้ายร่างกายมาก่อน เขาจุกหนักกับหมัดของเด็กท้วม เด็กกลุ่มนั้นปล่อยเขาไว้สักครู่บนพื้น จนสีหน้าของกันต์ธรกลับมาเป็นปกติ ก็ปล่อยหมัดใส่อีกไม่ยั้ง














“ถอนคำพูดซะ”







“เรื่องอะไร?”







“ที่นายว่าเราอ้วน”







“ไม่ล่ะ…เราไม่ชอบโกหก”












ผลั๊วะ!







เด็กชายตัวเล็กที่มีผิวกายขาวนวลเริ่มสำลักโลหิตออกทางปากและจมูกมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมเอ่ยขอโทษหรือถอนคำพูดดังที่หัวโจกกลุ่มสามชายบอกให้ทำ
















ก่อก แก่ก…ก่อก แก่ก









“นั่นใคร!?!”







“…”







“พวกนายไปเอาตัวมันมา”










ในขณะที่เด็กกลุ่มนั้นรุมกระทืบกันต์ธรอยู่ บริเวณพุ่มไม้พุ่งหนึ่งใกล้ๆ กับบริเวณนั้น ก็เกิดสั่นไหวขึ้นมา หัวโจกสั่งลูกน้องไปจับตัวคนที่ซ่อนหลังพุ่งไม้ออกมา ปรากฏเป็นใบหน้าขาวใสเดียวกับที่กันต์ธรนั่งมองมาทั้งวัน














“วิน?”







“นี่ใคร แฟนนายเหรอ?”







“เปล่า เพื่อนห้องเดียวกัน”









ว่าแล้วเด็กชายที่มีใบหน้าน่ารักก็ถูกนำตัวมาไว้ใกล้กับกันต์ธร หัวโจกของแก๊งสามชายนิ่งงันไปเมื่อได้เห็นหน้าของวินาวินใกล้ๆ เขาจ้องมองผู้มาใหม่อย่างไม่วางตา ความนิ่งงันของหัวหน้าแก๊งที่เกิดขึ้น เริ่มทำให้คนที่เหลือทำตัวไม่ถูก














“ให้ทำไงกับนายคนนี้จ้าว?”







“…”









“ปล่อยเขาไปนะ! จะตี ก็ตีฉันคนเดียว อย่าทำอะไรเขา เขาไม่รู้เรื่องด้วย”









“นายชื่ออะไร?”









เป็นหัวโจกของแก๊งสามชาย ที่เอ่ยถามชื่อของเด็กชายหน้าตาน่ารักก่อนที่คนอื่นๆ จะทันได้ลงไม้ลงมือ













“…วิน”







“วิน?”







“จ้าว ให้ทำยังไงกับมันดี”








“พวกนายสองคนอัดนายธรให้เละ ส่วนนายวินฉันจัดการเอง”











ว่าแล้วจ้าววายุก็เดินไปคว้าแขนเล็กๆ เอาไว้แน่น เขากระชากวินาวินออกไปทางหน้าโรงเรียน ปล่อยให้ลูกน้องอีกสองคนรุมกระทืบกันต์ธรต่อไป










“นายจะพาเราไปไหน!?! ปล่อยนะ!”







“…”







“ปล่อยแขนเรา เราเจ็บ”










เด็กท้วมหัวหน้าแก๊งสามชายคลายมือออกจากแขนขาว แล้วก้มลงมองรอยแดงที่ขึ้นเป็นแผ่นบริเวณแขนเนียนขาวอมชมพูนั้น เขาไม่พูดสิ่งใดออกมาอีก เพียงปล่อยวินาวินไว้บริเวณป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน แล้วเดินกลับเข้าไปสมทบกับพรรคพวกที่กำลังจัดการกับกันต์ธรอยู่ แต่ก่อนที่เด็กชายจะเดินกลับเข้าไป ก็มีเสียงเล็กๆ เรียกขึ้น















“นาย…”







“…”







“นายชื่ออะไร?”
















“จ้าววายุ…ห้อง 16”
  ​
   





































​-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------










ขอบคุณคอมเม้นจากคุณ AkuaPink และคุณ bun ด้วยนะคะ  :กอด1:

มาลุ้นกันต่อนะคะ


 :L2: :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
 
บทที่ 4 : ความประทับใจของเด็กชายผู้พ่ายแพ้

























ในขณะที่จ้าววายุพาวินาวินออกไปหน้าโรงเรียน สองสมุนของจ้าววายุซึ่งมีนามว่า ฟ้าและดิน ก็ยังคงต่อยตีกันต์ธรไม่หยุด ด้านกันต์ธรเองที่รู้ดีว่าไม่อาจสู้ได้แต่แรก ยอมเป็นกระสอบทรายให้เด็กชายทั้งสองคนรุมกระทืบจนกว่าจะพอใจ









“นายธร ทำไมถึงไม่ยอมขอโทษจ้าวไปดีดี นายจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”







“อั่ก…เราไม่ชอบโกหก”







“จ้าววายุเป็นลูกชายของคุณลุงขุนพล นายไม่กลัวตายเหรอ?”







“เราไม่รู้จักลุงขุนพลหรอก อยากต่อยตีเราก็เชิญเลย”







กันต์ธรนอนหอบหายใจคุยกับเด็กชายทั้งสองที่ดูท่าว่าจะเริ่มหมดแรงไปบ้างแล้ว












“พวกนายทำอะไรกันน่ะ!?!”








“ใครมาอีกล่ะ?”








“ทำร้ายเพื่อนทำไม?”









หลังจากเด็กชายสองคนเริ่มหมดแรงเพียงครู่เดียว ก็ปรากฏมีร่างของเด็กชายตัวสูงอีกคนหนึ่ง วิ่งเข้ามาช่วยห้ามเท้าทั้งสองที่ยังคงส่งตรงลงยังเสื้อนักเรียนตัวใหม่ของกันต์ธร เมื่อเด็กชายฟ้าและเด็กชายดิน เห็นว่าเด็กชายผู้มาใหม่คนนี้ ค่อนข้างตัวสูงกว่าพวกเขาทั้งคู่ ฟ้าและดินจึงยอมหยุดแล้วถอยกรูกันออกไป

















“นายไหมไหว ฉันพาไปห้องพยาบาลนะ”







“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ใครอนุญาตให้นายพานายธรไป?”







“ที่นี่ในโรงเรียนนะจ้าว นายจะทำร้ายเพื่อนได้ยังไง”








“ไม่ใช่เรื่องของนาย…ภีม อย่ามายุ่งดีกว่า”







“ไม่ยุ่งไม่ได้ นายคนนี้ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของนายนะจ้าว”








“มันเรียกฉันว่าไอ้อ้วน”














“แล้วมันผิดตรงไหนเหรอ ก็นายอ้วนจริงๆ”














“หุบปาก!!!!”




















ผลั๊วะ!!









โดยที่ไม่ทันตั้งตัว หมัดลุ้นๆ ของจ้าววายุ ก็พุ่งเข้าเต็มดั้งของเด็กชายผู้มาใหม่ และเพียงหมัดเดียว เด็กชายคนนั้นก็ลงไปนอนกองเคียงข้างกับกันต์ธรในทันที
















“แฮก แฮก”









“นายมายุ่งทำไม เจ็บตัวเลยเห็นไหม”









“ฉันอยากช่วยนะ”









“นายสู้พวกนั้นไหวเหรอ?”









“ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะลองดู”











ว่าแล้ว เด็กชายผู้มาใหม่ก็ยันตัวลุกขึ้นเตรียมพร้อมเข้าเผชิญหน้ากับจ้าววายุและพวกพ้อง หมัดแรกพุ่งออกไปหวังให้ปะทะเข้าเต็มหน้าจ้าววายุ...แต่กลับไม่เป็นไปตามนั้น เด็กชายตัวสูงจึงโดนอีกหนึ่งหมัดจากจ้าววายุสวนกลับจนทรุดลงไปกองข้างๆ กับกันต์ธรอีกครั้ง และครั้งนี้จ้าววายุไม่รอช้าที่จะตามลงมาต่อยเข้ากับใบหน้าหล่อเหลานั้นอีกหลายหมัด จนนายภีมผู้โชคร้ายเริ่มมึนเบลอและฟุบลงไปกองอย่างหมดสภาพ















เมื่อเห็นว่าเด็กชายสองคนที่ถูกอัดไม่อาจลุกขึ้นยืนได้อีก แก๊งสามชายจึงได้รีบหนีออกจากบริเวณนั้น ด้านกันต์ธรที่ถูกซ้อมก่อนหน้าแต่ก็ไม่ได้ถูกต่อยรุนแรงเท่าชายอีกคนที่เข้ามายุ่งกับเรื่องของคนอื่น ชะเง้อมองเด็กชายที่นอนใบหน้าอาบเลือดหลับตาพริ้ม

















“ตายรึยัง?”









“…ย…ยัง”









“นายชื่อภีมเหรอ?”









“อื้ม จำฉันได้แล้วเหรอ”















“จำอะไร? ฉันได้ยินไอ้อ้วนเรียกนายเมื่อกี้”









“ฉันภีมไง ญาตินาย”









“ญาติ?”









“ภพตะวัน”










“ภีม ภพตะวัน…อ๋อ ลูกลุงเตี๋ยวเหรอ”










“ใช่”









“ขอบใจมากนะภีมที่พยายามช่วย ถึงจะไม่สำเร็จก็เถอะ”
















“สำเร็จสิ”










“ยังไง?”
















“อย่างน้อยก็ทำให้ธรไม่ต้องรู้สึกเหงาที่ถูกซ้อมอยู่คนเดียว”










“ฮ่าๆ จริงด้วยสินะ”











กันต์ธรที่มีบาดแผลอยู่เต็มใบหน้าและลำตัวหัวเราะร่าออกมาอย่างอารมณ์ดี วันนั้นเขาได้พบเพื่อนใหม่ถึงสามคน ตั้งแต่ เลี้ยง ไพรรำพึง สาวห้าวประจำห้อง ม.1/8 รวมไปถึง วินาวิน เจริญนัจกร คนน่ารักที่นั่งข้างเขาทั้งวัน และล่าสุด ก็คือญาติห่างๆ ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี ภพตะวัน วงศ์วรรธน์ เด็กหัวกะทิ ห้อง 1










กลุ่มเด็กมัธยมที่ไม่ได้เข้ากันแต่อย่างใด แต่ก็มารู้จักกันได้ ผ่านคนคนเดียว…กันต์ธร










คุณลักษณะพิเศษที่เจ้าตัวไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามี คือการรวมคนให้เป็นกลุ่มก้อน และเป็นผู้นำโดยที่เจ้าตัวแทบไม่ต้องพยายามอะไรแม้สักนิด
























เวลาผ่านไปร่วมเดือนตั้งแต่วันแรกที่กันต์ธรพบเพื่อนใหม่ทั้งสาม บัดนี้พวกเขาทั้งหมดได้มานั่งรวมกันบริเวณโรงอาหารของโรงเรียน เพื่อทบทวนบทเรียนวิชาภาษาไทยสุดโหดร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย









“วันนี้กลับบ้านด้วยกันไหมวิน?”








“ไม่ล่ะ”









และไม่ว่าจะผ่านไปกี่เดือน วินาวินก็ไม่เคยยอมเดินกลับบ้านกับใครสักคนที่ชวนเขา รวมไปถึงกันต์ธร เพื่อนรักของเขาด้วย เพียงครู่หลังปิดหน้าหนังสือลง วินาวินกับเลี้ยงก็ขอตัวแยกออกไป วินาวินนั้นเดินกลับบ้านทุกวัน ส่วนเลี้ยงต้องตรงไปยังห้องนาฏศิลป์เพื่อรอน้องชายของเธอซ้อมดนตรีไทยจนเสร็จและกลับพร้อมกัน
















“แล้วภีมล่ะ กลับเลยไหม?”







“วันนี้พ่อมารับเย็นหน่อยเพราะติดธุระ ธรกลับก่อนเลยก็ได้นะ”







“ภีมกลับด้วยกันไหม เดี๋ยวฉันให้พ่อไปส่ง”







“ไม่เป็นไรธร พ่อธรคงไม่อยากไปส่งฉันเท่าไหร่หรอก”







“แต่ธรอยากไปส่งภีมนะ”









กันต์ธรจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของภพตะวัน ตั้งแต่วันที่เด็กชายมาร่วมทุกข์กับเขาในวันนั้น กันต์ธรก็ไม่อาจหยุดคิดถึงใบหน้าที่นอนจมกองเลือดกับเขาวันนั้นได้เลย ชายผู้ไม่สนใจโลกเช่นกันต์ธร กลับมีสิ่งใหม่ที่สนใจนอกจากการ์ตูนและเกมเข้าให้แล้ว นั่นก็คือ ภพตะวัน ญาติห่างๆ สุดสมบูรณ์แบบของเขาคนนี้









และแม้ว่าบิดาของพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน แต่ด้วยสัญชาตญาณเบื้องลึก พวกเขารู้ดีว่า บิดาของพวกเขาไม่ชอบหน้ากันเท่าไรนัก แต่กันต์ธรกลับชอบหน้าภพตะวันเป็นอย่างมาก จนแทบอยากจ้องมองในทุกวันเลยทีเดียว
















“ธรก็รีบโตไวไวสิ จะได้ขับรถไปส่งฉันได้”







“ฉันสัญญานะ ว่าโตมาแล้วฉันจะปกป้องภีมเอง”







“…ทำไมล่ะ คราวแล้วฉันน่าสงสารมากเลยใช่ไหม ฮ่าๆ”








“ก็ใช่น่ะสิ”









เด็กชายตัวเล็กอ้าปากหัวเราะลั่น จากนั้นเจ้าตัวก็ลุกขึ้นจากม้านั่งตัวยาว แล้วเปลี่ยนมานั่งข้างภพตะวันแทน กันต์ธรชอบอยู่ใกล้ๆ กับชายตัวสูงคนนี้ เพราะอยู่ใกล้ทีไรจะได้กลิ่นหอมและไอเย็นส่งมาให้ทุกที













“มีอะไรเหรอธร?”







“เปล่า”







“แล้วย้ายมานั่งตรงนี้ทำไม?”







“อยากนั่งใกล้ๆ ภีม อยู่ใกล้ๆ แล้วเย็นอะไรไม่รู้”







“จริงดิ ไหนลองจับดูดิ”









ภพตะวันที่มีสีหน้าประหลาดใจ คว้ามือของกันต์ธรไปกุมไว้ด้วยสองมือ นิ่งงันไปสักครู่ ก็ผละมือเด็กชายตัวเล็กออก















“ไม่เห็นรู้สึกเลย”







“รู้สึกอยู่นะ มาลองดูอีกที”









กันต์ธรคว้ามือข้างหนึ่งของภพตะวันขึ้นกุมไว้บ้างแล้วสอดประสานนิ้วของตนเข้ากับมือของภพตะวัน จากนั้นก็ค้างไว้อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย









“ทำอะไรธร ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย”







“ฉันรู้สึก…จับไว้แบบนี้แหละ เย็นดี”







“จริงเหรอ เอางั้นก็ได้”









เด็กชายตัวสูงไม่เข้าใจว่ากันต์ธรรู้สึกอะไร แต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าขาวๆ นั้นก็เป็นสัญญาณบ่งบอกให้ภพตะวันรู้ได้ว่า ฝั่งนั้นคงรู้สึกดีกับไอเย็นจากมือของเขาจริงๆ จึงได้ปล่อยให้มือประสานกันอยู่อย่างนั้น แล้วใช้มืออีกข้างกางหน้าหนังสือของตัวเองอีกรอบเพื่อรอเวลา









กันต์ธรไม่ยอมลุกไปไหน และไม่ยอมปล่อยมือที่จับกับภพตะวันไว้แน่น จนได้เวลานัดหมายที่บิดาของภพตะวันจะมารับ เขาจึงขอให้กันต์ธรปล่อยมือเพื่อเก็บกระเป๋า เด็กชายยอมคลายมือออกด้วยใบหน้าสุดเสียดาย จนหนังสือถูกเก็บเข้ากระเป๋าหมดแล้ว พวกเขาก็ลุกขึ้นเดินไปยังป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน









ระหว่างทางเดินไปหน้าโรงเรียน จะมีทางลัดที่ผ่านหน้าห้องนาฏศิลป์ เด็กชายทั้งสองใช้ทางนั้นสัญจรอยู่เป็นประจำ โดยที่บริเวณนั้นจะเป็นช่องเล็กๆ ที่มีตึกสองตึกบดบัง ทำให้แทบไม่มีแสงลอดผ่านเข้ามาในทางนี้มากนั้น















“ภีม”








“หืม?”








“ขอจับมือหน่อยได้ป่าว”









“…”















“นะ”









“เอาสิ”









เมื่อได้รับเสียงอนุญาต กันต์ธรก็รีบคว้ามือคนข้างๆ มากุมเอาไว้แน่นแล้วทั้งคู่ก็เดินต่อไป ในขณะนั้นเองเด็กชายทั้งสองก็พบกับเพื่อนที่ลุกจากโต๊ะมาเกือบชั่วโมง ยังนั่งรอน้องชายซ้อมดนตรีไทยอยู่แถวๆ หน้าห้องนาฏศิลป์ จึงได้เอ่ยทักขึ้น



















“ยังไม่กลับอีกเหรอเลี้ยง?”








“อืม อาโปยังซ้อมไม่เสร็จเลย”








“ให้เราอยู่เป็นเพื่อนไหม นี่ก็เย็นแล้ว อันตรายนะ”








“ไม่เป็นไร พวกนายกลับไปเถอะ แล้วนี่คือ?”









เลี้ยงชี้ไปที่มือของเด็กชายทั้งสองที่กุมกันเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ กันต์ธรนั้นก้มหน้างุดลงไปโดยที่ยังประสานมือกับภพตะวันอยู่

















“ธรบอกว่ามือฉันเย็น เลยขอจับไว้”








“เย็นจริงเหรอ?”









ว่าแล้วเลี้ยงก็ลุกจากที่นั่งมาแล้วดึงมือของภพตะวันมากุมเอาไว้บ้าง นิ่งงันเช่นนั้นเพียงครู่ก็ปล่อยมือออกแล้วฉายแววตาสงสัยอีกรอบ










“อืม ก็เย็นอยู่ล่ะมั้งนะ”








“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”








“งั้นพวกเราไปก่อนนะเลี้ยง กลับบ้านดีดีล่ะ”








“บาย”










ภพตะวันโบกมือลาเพื่อนนักเรียนหญิงไปแล้ว ด้านกันต์ธรก็เช่นเดียวกัน พวกเขาเดินต่อไป ผ่านที่นั่งสาธารณะใต้ร่มไม้ใหญ่ โดยมีสายตาของเด็กและผู้ปกครองคนอื่นๆ มองดูสองเด็กชายที่เดินกุมมือกันกลับบ้าน

















“พี่น้องคู่นั้นน่ารักดีนะ”








“นั่นสิ หน้าตาก็เหมือนกันด้วย”










เด็กชายทั้งสองเดินมาถึงป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนแล้ว แต่รออีกพักใหญ่ ก็ยังไม่พบว่าบิดาของภพตะวันจะเดินทางมารับแต่อย่างใด เด็กชายตัวสูงจึงปล่อยมือจากกันต์ธรแล้วหยิบเหรียญไปหยอดตู้โทรศัพท์เพื่อโทรหาบิดา

















“มีอะไรเหรอภีม?”








“พ่อฉันยังมาไม่ได้ เขาให้ฉันรอก่อน ฉันเลยบอกเขาว่าจะไปรอที่บ้านนาย”








“งั้นก็ดีเลยสิ”












กันต์ธรแสดงความดีใจออกมาอย่างชัดเจน เขายิ้มจนหน้าบาน และไม่รอช้าที่จะคว้ามือของภพตะวันไปกุมไว้อีกครั้ง จากนั้นเจ้าตัวจึงพาเพื่อนรักเดินลัดเลาะเพื่อกลับบ้านของเขาที่อยู่ห่างจากโรงเรียนไม่เกินหนึ่งกิโลเมตร ใช้เวลาเพียงสิบห้านาที เด็กชายทั้งสองก็มาถึงบ้านหลังใหญ่ของเสี่ยเจ้าของธุรกิจรถสิบล้อแล้ว

















“ภีมนอนบ้านฉันก็ได้นะ พรุ่งนี้ก็เดินไปโรงเรียนด้วยกัน”









“…”









“ภีม?”









“…”









“ไม่เป็นไรนะ ฉันมีหนังสือการ์ตูนเพียบเลย มีเกมให้ภีมเล่นด้วย ภีมไม่ร้องไห้นะ”










ภพตะวัน วงศ์วรรธน์ เด็กชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 อายุ 13 ปี ไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่บิดาไม่มารับที่โรงเรียน เขารู้สึกน้อยใจเป็นอย่างมากจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ด้านเพื่อนรักอย่างกันต์ธรที่ไม่เคยปลอบใจใครมาก่อน ทำได้เพียงเดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนและแผ่นเกมกดมากมายมาวางไว้ตรงหน้าของเด็กชายผู้กำลังร่ำไห้
















“อยู่ด้วยกันไม่ดีเหรอภีม นายไม่อยากอยู่กับฉันเหรอ…ฉันอยากอยู่กับนายนะ”









“อึก ขอบใจนะธร”










ว่าแล้ว ดวงใจอันต้องการที่พึ่งของภพตะวัน ได้สั่งร่างกายให้โผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังหาทางปลอบประโลมเขาเข้าเต็มแรงโดยที่กันต์ธรไม่ทันได้ตั้งตัว บัดนี้หัวใจของเด็กน้อยเต้นระส่ำไม่ยอมหยุด เด็กชายกันต์ธรรู้สึกหายใจไม่ทันและอยากลุกขึ้นเต้นเป็นร้อยเป็นพันครั้งตามจังหวะหัวใจซะเหลือเกิน












กันต์ธรสูดลมหายใจเข้าออกอย่างเต็มปอดอยู่สักพัก และเมื่อตั้งสติได้ เด็กชายเจ้าของบ้านก็ได้พยายามยับยั้งความลิงโลกในใจแล้วกอดตอบภพตะวันเพื่อปลอบใจ ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่กันต์ธรก็ยิ่งได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากชายคนนี้มากขึ้นเท่านั้น และบัดนี้ เขาอยู่ใกล้ชิดกับภพตะวันเพียงหนึ่งมิลลิเมตร












ระหว่างที่เด็กชายยังคงร้องไห้ไม่หยุด กันต์ธรก็ใช้จังหวะนั้น กดจมูกลงไปบนไหล่ที่กำลังสั่นเทาน้อยๆ นั้นเพื่อสูดดมความหอม ที่มาจากทั้งน้ำยาปรับผ้านุ่มและกลิ่นกายของภพตะวันเอง โดยที่ภพตะวันนั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย



















































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------












คุณ AkuaPink ขอบคุณสำหรับคอมเม้นด้วยนะคะ ^^

 :L2: :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


  ​

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
 
บทที่ 5 : สัมผัสที่คุ้นชิน














กาลเวลายิ่งล่วงเลย ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของภพตะวันและกันต์ธรนั้น ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ภพตะวันมาค้างที่บ้านใกล้โรงเรียนหลังนี้ของกันต์ธร 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ จนทั้งคู่ขึ้นมัธยมปลาย ด้านภพตะวันนั้นหัวดีมาแต่เด็ก เขาเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ และยังได้อยู่ห้องต้นๆ เช่นเคย ด้านกันต์ธรนั้น แม้ไม่ตั้งใจเรียนสายวิทย์คณิต แต่บิดาเขาก็ไม่อาจทนไหวกับความน้อยหน้าญาติคนอื่น จึงได้ใช้เส้นสาย ลากลูกชายเพียงคนเดียวให้เข้าเรียนสายเดียวกับภพตะวัน







กันธรต์แอบค้านอยู่เพียงในใจ เขาไม่ได้รักเรียนเช่นเพื่อนคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ชอบมีปัญหายุ่งยากกับคนในครอบครัวเช่นกัน จึงได้ตกลงทำตามสิ่งที่บิดาต้องการ แม้ว่าสมองของเขาจะไม่สามารถรับรู้บทเรียนได้เต็มรูปแบบ แม้กระนั้น โชคของกันต์ธรก็ยังพอมีอยู่มาก เมื่อเขามีเพื่อนรักเช่นภพตะวัน เลี้ยง และวินาวิน เพื่อนรักทั้งกลุ่มของเชาเรียนดีและเรียนต่อสายเคร่งเครียดนี้กันหมด








“โคตรงงเลย ข้อนี้ต้องใช้สูตรอะไรนะภีม?”






“ไหน? นายเปิดหนังสือหน้า 14 ดิ มีโจทย์แบบเดียวกันนี้เลย แค่เปลี่ยนตัวเลข ลองทำตามตัวอย่างดู เดี๋ยวก็ได้เอง”






“นายจำเลขหน้าได้ไง หนังสือมีตั้งร้อยสองร้อยหน้า”






“ฉันก็พึ่งเรียนมาวันนี้เหมือนกัน เลยจำได้”






“ฉลาดก็พูดมาตรงๆ”






“รีบทำการบ้านเถอะ ฉันเริ่มง่วงแล้วนะ”






“นายก็นอนก่อนเลย ฉันน่าจะอีกนาน”






“อือ ตามใจนาย”








เป็นอีกคืนที่เด็กชายตัวสูงมาอาศัยชายคาของเพื่อนรักพักพิง ภพตะวันเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงของกันต์ธร เขามาที่นี่บ่อยจนแทบจะกลายเป็นเตียงนอนหลังที่สองของเขาไปแล้ว และใช้เวลาเพียงไม่นาน เด็กหนุ่มที่มีคาบเรียนพลศึกษาเป็นวิชาสุดท้ายของวัน ก็หมดสติสลบไสลลงไป ปล่อยให้กันต์ธรพลิกหน้ากระดาษไปมาด้วยสีหน้าเคร่งตึงเพียงลำพัง เด็กหนุ่มเจ้าของห้อง ใช้เวลาหลายชั่วโมงกับโจทย์คณิตศาสตร์เพียงข้อเดียว

















“เฮ้อ ทำไมมันยากแบบนี้วะ! ?!”






“…”






“นั่นก็หลับไม่รู้เรื่องไปละ ฉันก็ไปนอนบ้างดีกว่า”








กันต์ธรลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วตรงไปปิดไฟ จากนั้นก็เดินขึ้นไปนอนบนเตียงเบียดตัวเข้ากับภพตะวันที่นอนกลางเตียงอย่างสบายตัว เมื่อก่อนตอนมาอยู่ด้วยใหม่ๆ เตียง 3 ฟุตนี้ก็พอดีกับเด็กชายตัวเล็กสองคนอยู่หรอก แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่มัธยมปลายแล้ว แถมทั้งภพตะวันและเขาเองก็ตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก ทำให้นอนอย่างไรก็ไม่พ้นต้องเบียดกันไปอย่างนั้น
















“ภีม ขยับไปหน่อยดิ…ภีม”






“…”






“ไม่ขยับ โดนฉันลักหลับไม่รู้ด้วยนะ”








ไม่ว่ากันต์ธรจะพยายามเบียดตัวลงนอนอย่างไร เขาก็ไม่พ้นขอบเตียงอยู่ดี และไม่ว่าจะขู่ภพตะวันไปขนาดไหน ก็ดูทางนั้นจะยังไม่ได้สติเช่นกัน กันต์ธรที่ไม่ได้มีความอดทนสูงมาก เริ่มลงมือทำบางสิ่งที่เขาข่มขู่เอาไว้เมื่อครู่








เด็กหนุ่มคร่อมตัวลงบนร่างของภพตะวันที่หลับไม่รู้เรื่อง แล้วค่อยๆ โน้มใบหน้าของตนเองลงไป แตะสัมผัสแผ่วเบาเบาลงบนปากของเพื่อนรักด้วยปากของเขาเอง จากนั้นจึงค่อยๆ ไล่เลียแล้วดูดกลืนอย่างช้าๆ ด้วยกลัวคนหลับใหลจะตื่นขึ้นมากลางคัน แล้วเขาจะอดลิ้มรสชาติอันหอมหวานนี้












ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ที่กันต์ธรจะแอบลักจูบเพื่อนรักหลังจากเขาหลับสนิทไปแล้ว มารู้ตัวอีกที ก็ไม่อาจหยุดการกระทำของตนเองลงได้ และมันยิ่งรุนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ แรกๆ ก็เพียงลองแตะแผ่วเบาลงบนริมฝีปากนั้นก็ทำให้เด็กน้อยหลับฝันดีไปทั้งคืนแล้ว แต่ยิ่งโตความต้องการเขาก็มากขึ้นตามอายุ ระยะนี้จึงทั้งดูด ทั้งไล่เลียริมฝีปากนั้นอย่างข่มใจ













“ภีม…ฉันเตือนอีกแค่ครั้งเดียว ถ้าไม่ขยับไปฉันจะทำมากกว่านี้แล้วนะ”







“…”








แม้จะขู่ไปเช่นนั้น กันต์ธรก็ไม่ได้มีความกล้ามากพอที่จะแตะต้องภพตะวันจนเจ้าตัวรู้สึกตัวขึ้นมาได้ เขาสอดแขนลงใต้ศีรษะของภพตะวันแล้วดันตัวให้ขยับไป จากนั้นก็นอนตะแคงกอดภพตะวันไว้ในอ้อมแขนแน่น
















‘ทำอะไรของมึงวะไอ้ธร’





เสียงกระซิบแผ่วเบาที่กันต์ธรเฝ้าถามตัวเองทุกครั้ง หลังลอบทำบางสิ่งกับคนที่กำลังนิทราในอ้อมแขน เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเองว่าต้องการสิ่งใดจากภพตะวันกันแน่ อาจเป็นเพราะด้วยช่วงวัยของเขาที่กำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นวัยรุ่นเต็มตัว หรือเพราะว่าภพตะวันนั้น น่ารักในสายตาเขามานานมากแล้วก็ไม่ทราบได้

























“เมื่อคืนนายกอดฉันอีกแล้วนะ”






“ก็ฉันบอกให้นายขยับแล้ว แต่นายไม่ยอมขยับ จะให้ฉันทำไง?”







เด็กหนุ่มสองคนเดินเคียงข้างกันไปโรงเรียนแต่เช้าตรู่ พักหลังมานี้ภพตะวันมักตื่นมาในอ้อมแขนของกันต์ธรทุกเช้า และเขารู้สึกไม่สบายใจนัก เพราะมันสร้างความรู้สึกประหลาดให้เขา รวมทั้งอวัยวะบางส่วนที่ขยายตัวทุกเช้าของกันต์ธรก็มาสัมผัสร่างกายเขา ให้ต้องรู้สึกได้ทุกวัน












“งั้นวันหลังฉันนอนพื้นก็ได้”







“ก็ตามใจ”







“วันนี้กลับด้วยกันป่ะ?”







“อือ ตอนเย็นเจอกันที่เดิม”







“เจอกัน”










สองหนุ่มแยกจากกันไปแล้ว ด้วยความที่เขาทั้งคู่อยู่ห้องที่ห่างกันพอสมควร ทำให้ตึกเรียนของพวกเขาอยู่คนละชั้น และถ้าวันไหนภพตะวันจะไปค้างบ้านของกันต์ธร เขาจะนัดเจอกันบริเวณหน้าโรงเรียนตอนหกโมงเย็น เพื่อเดินกลับบ้านพร้อมกัน























“กว่าจะเสด็จได้นะไอ้ภีม”






“มีไรแต่เช้า?”






“ขอลอกการบ้านหน่อย”






“เอาจริงดิ นายเก่งกว่าฉันอีกนะปราณ ทำไมไม่ทำการบ้านเอง”






“ก็ฉันขี้เกียจใช้สมองอันชาญฉลาดคิดนี่ มันเปลืองพลังงาน”






“อือ เอาไป”







ภพตะวันหยิบสมุดการบ้านในกระเป๋าแล้วโยนให้ปราณ เพื่อนสนิทในห้องด้วยสีหน้าหงุดหงิด จนคนอัจฉริยะประจำห้องต้องเอ่ยทักขึ้น












“หน้าหงิกมาแต่เช้านี่รู้เลยนะ”






“รู้อะไร?”






“โดนไอ้ธรกอดอีกแล้วอาดิ”






“อือ”






“ไม่ชอบแล้วไปนอนบ้านมันทำไม”






“ฉันนอนบ้านธรมา 4-5 ปีแล้วนะ แล้วเราก็เป็นญาติกัน”






“ญาติห่างๆ”






“อือ”






“ก็บอกมันไปตรงๆ ว่าห้ามกอด”






“บอกแล้ว แต่เตียงเขาเล็กลงจริงๆ นั่นแหละ”






“แล้วนายเคยรู้สึกตัวบ้างไหม ตอนมารวบนายไปกอดอ่ะ”






“ไม่ ฉันหลับตลอด”






“ทีนี้ตอนมันขึ้นเตียงมาจะกอดนาย นายก็บอกมันดิ แล้วก็ผลักมันออก”






“ก็เพราะฉันหลับสนิทไง ไม่งั้นใครจะไปยอมวะ”






“อยากรู้ไหมล่ะ?”






“ยังไง?”






“ก็ถ้าอยากรู้ว่าเอารวบนายไปกอดตอนไหน ก็ลองแกล้งทำเป็นหลับดูดิ พอมันจะดึงไปกอดก็ผลักมันออกเลย คราวหน้ามันก็จะได้ไม่กล้าทำอีก”









ภพตะวันที่ได้รับคำแนะนำจากปราณนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง และคิดว่าหากทำเช่นนั้นอาจเป็นไปได้ว่า ครั้งถัดไปกันต์ธรจะไม่กล้ากอดเขาอีก เมื่อคิดได้ดังนั้นสีหน้าหงุดหงิดก็หายไป แล้วกลับมาพูดคุยกับเพื่อนเช่นปกติตามเดิม







เสียงออดวิชาสุดท้ายดังขึ้นและภพตะวันไม่รอช้าที่จะเดินไปโรงอาหารเพื่อทำการบ้านให้เสร็จให้หมด ตั้งแต่เขารู้จักกับกันต์ธร เขาก็ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ที่ว่า หนังสือการ์ตูนนั้นสนุกแค่ไหน หลังกลับไปถึงบ้านกันต์ธร ภพตะวันก็จะอ่านแต่หนังสือการ์ตูนโดยที่ไม่แตะงานหรือการบ้านใดๆ อีกเลย




















“ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมวิชาสุขศึกษาต้องมีการบ้านด้วย”






“ทุกวิชาก็ต้องมีทั้งนั้น เพื่อให้นายได้ทบทวนบทเรียน”






“ฉันก็ลอกจากหนังสือมาใส่ในสมุดอยู่ดี”






“ฉันว่าเขาก็ต้องการให้นายทำแค่นั้นแหละ อย่างน้อยก็เป็นการท่องจำอีกรอบ”










“ภีม จิ้งจอกเก้าหางเล่มใหม่ออกแล้วนะ ฉันว่าพรุ่งนี้จะแวะไปดูก่อนกลับบ้าน ไปด้วยกันป่ะ?”









“จริงดิ! ไปอยู่แล้ว”








การ์ตูนเรื่องโปรดของภพตะวัน ที่เขาพึ่งค้นพบความสนุกและเก็บสะสมทุกเล่มไว้ในตู้ที่บ้าน และอีกหนึ่งชุดที่ถูกเก็บไว้ที่บ้านกันต์ธร การ์ตูนที่ภพตะวันรอเล่มใหม่ออกด้วยการอ่านเล่มเก่าซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่มีเบื่อ












“ฉันรีบนอนดีกว่า ตื่นเต้นชะมัด พรุ่งนี้จะได้อ่านเล่มใหม่แล้ว”








“นายจะรีบนอนไปไหน เออภีม ถ้าไม่อยากถูกฉันนอนกอดก็ขยับไปชิดๆ ริมหน่อย ฉันนอนไม่ได้ ไม่งั้นฉันคงได้ลงไปนอนบนพื้นจริงๆ แน่”







“อืม รู้ละ”







ภพตะวันหลับไปแล้ว และหลังจากนั้นอีกเพียงไม่นานกันต์ธรก็ปิดไฟแล้วลงไปนอนบนเตียงตามเพื่อนรัก และคืนนี้ ภพตะวันก็ยังคงนอนกลางเตียงอยู่เช่นเคย













“ภีม…บอกให้ไปนอนติดๆ ริมไง ฉันจะนอนยังไงเนี่ย ภีม”







ชายผิวขาวตัวสูงถูกเขย่าร่างอยู่หลายที แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาสนใจคำพูดของกันต์ธรเลยสักนิด และนั่นดีแล้วสำหรับกันต์ธร เพราะวันนี้เขามีสิ่งหนึ่งที่อยากทำเป็นพิเศษ








กันต์ธรคร่อมตัวลงบนตัวภพตะวันเช่นทุกวัน แล้วเริ่มทำดังเช่นที่ทำมาทุกวัน แต่วันนี้ ทุกอย่างกลับไม่ได้หยุดลงเพียงแค่ที่ผ่านมา เด็กหนุ่มเจ้าของเตียงค่อยๆ สอดมือเข้าไปใต้เสื้อยืดสีขาวของภพตะวัน ลูบไล้ไปตามหน้าท้องอันแบนราบแล้วค่อยๆ ลากขึ้นบนเรื่อยๆ จนหยุดตรงยอดอกที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน นิ้วหัวแม่โป้งและนิ้วชี้สะกิดและบิดเขี่ยบริเวณนั้นไปมาพร้อมลมหายใจที่เข้าออกอย่างรุนแรง ส่งผลให้คนที่แกล้งนอนหลับต้องลืมตาฝ่าความมืดขึ้นมาแล้วดึงมือกันต์ธรออก















“นายทำอะไรน่ะธร! ?!”















“ภีม!!!”









กันต์ธรที่กำลังเคลิบเคลิ้มและหลงลืมตน ตกใจอย่างหนักที่ภพตะวันรู้สึกตัว เขาเผลอทำสิ่งที่เจ้าตัวก็ไม่ทันนึกคิด หากแต่เป็นความต้องการของจิตใต้สำนึก ที่บงการเขาแทน เจ้าของเตียงเล็กกดไหล่ของภพตะวันเอาไว้แล้วประกบปากของตนลงไป และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาส่งลิ้นร้อนเข้าไปทักทายกับลิ้นของภพตะวันในโพรงปากนั้น ในขณะที่อีกฝ่ายมีสติ















“อื้อ!!!”










เสียงเอ่ยห้ามที่ถูกสกัดกั้นรวมทั้งร่างกายที่ดิ้นไปมา ไม่สามารถหยุดลิ้นร้อนของกันต์ธรได้ เขายังคงกวาดต้อนลิ้นของภพตะวันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งยังพยายามดูดกลืนความหอมหวานทั้งหมดนั้นอย่างตะกละตะกลาม










“อืม…”








จูบเสียงดังยังคงมีขึ้นอย่างต่อเนื่องจนคนถูกชักนำเริ่มนิ่งงันลงและหลงเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบอันเผ็ดร้อนของกันต์ธร เจ้าของห้องที่รู้สึกพอใจเป็นอย่างมากยอมผละออกเมื่อภพตะวันนิ่งไป เด็กหนุ่มผู้ถูกจู่โจมลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อสัมผัสสุดวาบหวามใจได้หายไป กันต์ธรมองดวงตาคู่นั้นของคนใต้ร่างอย่างนิ่งงันแล้วเอ่ยแผ่วเบา










“...ขอโทษ”






“บ้าไปแล้วเหรอธร นายจูบฉันทำไม”






“ฉันอยากลอง…วันนี้มีคนเอาวีดีอมาให้ฉันดู”






“นายเลยมาลองกันฉันเนี่ยนะ”






“อือ รู้สึกดีอย่างที่คิดไว้เลย นายล่ะภีม รู้สึกดีไหม?”






“ฉ…ฉันไม่รู้”






“ฉันว่านายก็รู้สึกดีนะ ฉันขอลองอีกหน่อยได้ป่ะ”






“แบบนี้มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอธร”






“นายจะกลัวอะไร เราเป็นเพื่อนกัน โตมาด้วยกัน ทำแบบนี้ก็รู้สึกดีด้วยกันไม่ใช่เหรอ”






“ของแบบนี้มันต้องเก็บไว้ทำกับแฟนนะ”






“ก็รอนายมีแฟนก่อนค่อยไปทำกับแฟนดิ ตอนนี้ก็ทำกับฉันไปก่อน ไม่เห็นจะเสียหายอะไร”














กันต์ธรที่ให้เหตุผลไปลอบมองใบหน้าของภพตะวันในความมืดอยู่สักพัก ก็เห็นว่าฝั่งนั้นไม่ได้ว่าอะไร จึงได้โน้มหน้าลงประกบจูบอีกครั้ง และคราวนี้ภพตะวันก็ยินยอมแต่โดยดี ซ้ำยังลองส่งลิ้นของตัวเองเข้ามาในโพรงปากของกันต์ธรด้วยเช่นกัน








ยิ่งลึกล้ำอารมณ์ของเด็กหนุ่มทั้งสองยิ่งรุนแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดกันต์ธรนั้น รู้สึกสุขสมเป็นอย่างมากกับการได้จูบแบบดูดดื่มเช่นนี้กับภพตะวัน


















“อืม”








ทั้งละมุนและหอมหวาน สัมผัสทางกายที่ให้ความรู้สึกดีอันเหลือล้น ทำให้เขาทั้งคู่ไม่อาจหยุดยั้งการทำสิ่งนี้ต่อกันได้ และคล้ายกับว่าเริ่มเสพติดจนโหยหากันมากขึ้นทุกวัน



















“รอแปป ฉันเก็บของก่อน”







สำหรับนักเรียนชั้นมัธยม 6 จำเป็นต้องเดินเรียน และระหว่างเปลี่ยนวิชาเรียน นักเรียนทุกคนจะมีช่วงเวลาเดินเพื่อย้ายห้องประมาณสิบนาทีเศษ กันต์ธรและภพตะวันจะมีตารางเรียนของกันและกันอยู่ในมือ และรู้ว่าหากมีวิชาใดที่เรียนตึกเดียวกัน ไม่คนใดคนหนึ่งก็จะเดินมาหาที่ห้องแล้วเดินไปยังห้องน้ำชายด้วยกันเป็นประจำ
















“อืมมมม”











แฮก แฮก












“วันนี้เดินมาหาฉันเองเลยเหรอภีม?”








“อืม...ฉันอยากทำ”







“ฉันก็เหมือนกัน”









รสจูบแสนเผ็ดร้อนไม่อาจรอคอยได้แม้แต่วินาทีเดียว เด็กหนุ่มสองคนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันในห้องน้ำ ต่างส่งจูบอันร้อนแรงให้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร และจะมีบางวัน ที่ภพตะวันไม่อาจอดรนทนรอกันต์ธรมาตามได้ไหว จึงเป็นเขาเองที่เดินไปจูงมือเพื่อนรักมามอบรสรักให้กันจนกว่าจะพอใจด้วยกันทั้งคู่














“คืนนี้นอนบ้านฉันไหม?”






“เย็นนี้พ่อฉันจะมารับ น่าจะไม่ได้ไปนอนบ้านนานสองสามวัน”






“แล้วฉันจะทำยังไง ฉันจะทนไหวเหรอภีม?”






“ฉันก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ถึงได้รีบไปตามนายมานี่ไง”












































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------













ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
โดนพ่อรู้แล้วจับแยกกันหรือเปล่า แต่เหตุผลที่ทำให้เกียจกันจนต้องมาทำร้ายกันนี่คืออะไร

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เรื่องราวมันเป็นมายังไงบ้างละนี่ รักกันมากมาก่อน ทำไมปัจจุบันถึงได้กลายไปเป็นแบบนี้ได้ โอ้วววว ความรู้สึกลึกๆในใจจะยอมรับและเปิดเผยมันออกตอนไหน รอจะไม่ไหวแล้วค่ะ สนุกอ่ะสนุก ชอบค่ะ ชอบอีกแล้วง่ะ อยากอ่านต่อ 5555

ออฟไลน์ smmikie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
ตัดแบบนี้ มันจะใจร้ายมากเกินไปไหมมมม

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 6 : รอยสัมผัสสุดอ่อนไหว




























"ภีม ขอลอกการบ้านหน่อย"









"..."











ภพตะวันเดินเข้าห้องเรียนมาในตอนเช้า วันนี้เขามาเช้ากว่าทุกวัน เนื่องจากบิดาของเขามาส่งเอง และเขาไม่ได้ไปนอนบ้านของกันต์ธรมาร่วมสัปดาห์แล้ว รวมทั้งกันต์ธรที่ถูกวินาวินดึงตัวเข้าร่วมกิจกรรมของห้อง ทำให้ภพตะวันแทบไม่ได้เห็นหน้าหรือทำเรื่องบางเรื่องที่พวกเขาทำกันเป็นประจำเลย เจ้าตัวจึงได้เดินหน้าหยิกเข้าห้องเรียนมาแต่เช้า ด้วยเมื่อคืนนอนไม่หลับ เพราะเอาแต่คิดถึงใบหน้าของกันต์ธร และเมื่อมาถึงห้องเรียนก็เป็นเช่นทุกวันที่ปราณจะขอลอกการบ้าน











ชายหนุ่มตัวสูงผิวขาวหยิบสมุดในกระเป๋าแล้วยื่นให้เพื่อนรักไม่พูดไม่จา และนั่นก็มากพอที่ปราณจะรู้ได้แล้วว่าเพื่อนเขากำลังอารมณ์ไม่ดีสุดๆ

















"ทำหน้าอย่างกับเบื่อโลก"









"อือ"









"ธรมันไม่มาหาอาดิ"









"ธรช่วยวินจัดงานวันครบรอบสถาปนาโรงเรียน"









"นายเลยเหงา? "









"เปล่า! "









"หลอกใครภีม นี่ฉัน...ปราณนะ"









"ฉันรู้ว่านายฉลาด งั้นบอกทีว่าทำไงให้หาย? "









"...ฮึฮึ"










ปราณหัวเราะอย่างมีเลศนัยอยู่สองที เขาก็ก้มเปิดกระเป๋าของตัวเองที่ปกติจะว่างเปล่า เพราะสมุดหนังสือทุกอย่างเขาเอายัดใส่ใต้โต๊ะเรียนไว้หมดแล้ว แต่วันนี้ในกระเป๋าเป้ใบนั้นกลับมีหนังสือปกบางเล่มหนึ่ง ถูกปราณหยิบออกมา

















"อะไร? "









"แก้เหงา"









"หะ? "










หนังสือปกขาวถูกภพตะวันกางออก ด้านในปรากฏเป็นภาพหญิงสาวหลายคนนุ่งน้อยห่มน้อยและกระทำบางสิ่งที่ภพตะวันไม่เคยเห็น แต่เขาก็พอเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นนี้คืออะไร

















"นายพกของแบบนี้มาโรงเรียนได้ยังไงปราณ เดี๋ยวก็ถูกฝ่ายปกครองเรียกหรอก"









"ก็รู้กันแค่ฉันกับนายไง ถ้าฉันโดนเรียก ก็โทษนายได้เลย"









"ฉันไม่เอาอ่ะ"









"เก็บไว้ภีม รับรองช่วยได้ เวลานายเหงาๆ ขึ้นมา"









"เอาของนายคืนไปเหอะ ฉันไม่อยากได้"









"เห้ยๆๆๆ ไปไปเข้าแถวแล้ว ไม่เอาก็ไม่เอาดิ"









"อือ เก็บไปเลย"










"ภีม ฉันรีบ เหลืออีกหลายข้อยังไม่เสร็จ นายไปเข้าแถวก่อนเลย เดี๋ยวฉันรีบทำนี่แปป"









"อือ รีบตามมาละกัน"










ด้วยความที่ปราณนั้นต้องลอกการบ้านของภีมก่อนออกไปเข้าแถวทุกวัน ทำให้เขาค่อนข้างชำนาญและรู้วิธีหลบหลีกคุณครูฝ่ายปกครองที่จะเดินมาสำรวจความเรียบร้อยเป็นอย่างดี ภพตะวันเดินออกไปก่อนแล้ว และปล่อยให้เซียนนักลอกเริ่มลงมือเขียนสมุดของตนเองต่อ

















หลังเข้าแถวเคารพธงชาติเรียบร้อย ภพตะวันก็เข้าเรียนตามปกติ และวันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวันหนึ่งที่หลังเลิกเรียนแล้ว กันต์ธรก็ตรงดิ่งไปทำกิจกรรมกับวินาวินทันที


























เด็กหนุ่มตัวสูงนั่งรอบิดามารับตรงจุดเดิมที่เขามารอทุกวัน แต่วันนี้เขานั่งรอบิดาเกือบสองชั่วโมงจนท้องฟ้ามืดลงไปแล้ว บิดาเขาก็ยังไม่มารับ ไม่ว่าจะพยายามโทรหาอย่างไร ก็ไม่มีใครรับสายเช่นกัน










"ภีม? "










"...ธร"










"ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก? "
















อึก









เมื่อถูกคนที่เขาไม่ได้พบหน้ามาร่วมอาทิตย์ถามเข้าอย่างนั้น น้ำตาหยดแรกก็ร่วงลงมาทันที หลายครั้งที่ภพตะวันถูกบิดาทิ้งไว้จนค่ำมืดเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ที่เขาเรียนประถมก็เช่นกัน ระยะทางสิบกิโลเมตรกับเด็กชายประถมที่ต้องอดทนเดินกลับบ้านทั้งน้ำตา ความเจ็บปวดอันฝังใจ รอยแผลที่หากถูกคนใกล้ชิดสะกิดเอาเพียงนิดเดียว น้ำตาแห่งความเจ็บปวดก็พร้อมหลั่งรินออกมาได้ทุกเมื่อ












"ลุงเตี๋ยวยังไม่มารับเหรอ? "









"อือ"









"ไปรอบ้านฉันไหม ฉันกำลังจะเดินกลับ"









"ไม่ล่ะ ฉันรอตรงนี้แหละ"











กันต์ธรที่พักผ่อนน้อยมาหลายวันมีใบหน้าและร่างกายที่ซูบผอมกว่าเก่า แต่ภพตะวันก็ไม่ทันได้สังเกต ด้วยบริเวณนั้นมืดลงแล้ว และมีเพียงไฟสลัวริมถนนสาดมาเท่านั้น เด็กหนุ่มผู้ถูกเพื่อนข้างๆ ชักจูงเข้าช่วยงานใหญ่ของโรงเรียนที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้นอกจากจะพักผ่อนน้อยแล้ว ยังต้องกลับบ้านดึกแทบทุกวันอีกด้วย


















"ไปเหอะ ไปรอบ้านฉัน"











กันต์ธรโค้งตัวลงคว้ามือของภพตะวันมากุมไว้ แต่ก็ถูกมือนุ่มอันคุ้นชินนั้นสะบัดทิ้ง เขาไม่เข้าใจว่าภพตะวันเป็นอะไร แต่ก็พอรู้ว่าบัดนี้เพื่อนรักกำลังเศร้าและน้อยใจบิดาเป็นอย่างมาก กันต์ธรจึงเอื้อมมือไปคว้ามือของภพตะวันไว้อีกครั้ง และคราวนี้แม้ภพตะวันจะพยายามสะบัดออก ก็ไม่สามารถหลุดจากการเกาะกุมได้ เพราะกันต์ธรจับไว้แน่นยิ่งกว่าคีมล็อก


















"นายเป็นอะไรภีม? "









"ปล่อยมือฉัน"










"ฉันจับมือนายมา 5 ปี และฉันจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ หรอก! "










"ฉันไม่ไปกับนาย! "









"ฉันก็อยากบอกนายเหมือนกัน ว่าฉันไม่อยากจูบนายโชว์คนแถวนี้สักเท่าไหร่หรอก แต่ถ้านายไม่ยอมลุกขึ้นมาดีดี ฉันทำแน่"









"ธร! "












"ฉันต้องการนายขนาดไหน ไม่รู้เลยเหรอ"









"ไม่ ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น"












"1"










"ฉันไม่ไปกับนายหรอก"










"2"











"ฉ...ฉัน"











"3"











กันต์ธรโน้มตัวลงไปแล้ว และทันใดนั้นภพตะวันก็ดีดตัวขึ้นมาได้ทัน และสุดท้าย เขาก็ต้องยอมเดินกลับบ้านกับกันต์ธรจนได้ แม้ทางเดินกลับบ้านจะมืดมิดเพียงใด แต่มือที่จับจูงกันอยู่นั้น ก็เรียกความอบอุ่นและปลอดภัยให้เด็กหนุ่มทั้งสองต้องสัมผัสความรู้สึกเดียวกันได้ ระยะทางที่ใช้เวลาสิบถึงสิบห้านาที ดูใกล้ไปถนัดตา เมื่อพวกเขาได้เดินเคียงข้างกัน


















"ปล่อยได้แล้วธร เดี๋ยวพ่อนายมาเห็นนายจับมือผู้ชายนะ"









"พ่อไม่อยู่อ่ะ"


















ปึง!












"อื้อ! "










ประตูบ้านถูกปิดลงดังลั่นและกันต์ธรกดไหล่ภพตะวันติดกับประตูก่อนโน้มใบหน้าลงมากะทันหัน แต่สองแขนของชายตัวสูงก็ดันกันต์ธรเอาไว้ได้ทัน



















"นายจะทำอะไรธร!?! "










"ขอจูบหน่อยนะ"










"นายจะบ้ารึไง! นี่หน้าบ้านนะ"









"ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่มีใครอยู่"









"ไม่ ห้ามทำนะ ถ้าไม่ใช่ห้องนอนนาย ฉันไม่ทำด้วยหรอก"









"ทำไมล่ะภีม ฉันทนมาตั้งหลายวัน นายไม่คิดถึงฉันบ้างเลยเหรอ? "










"ไม่! ปล่อย! "











กันต์ธรคลายมือออกจากไหล่ด้วยแววตาสุดเสียดาย ไม่ได้เจอหน้ามาหลายวัน ทำให้ความเข้าใจกันระหว่างคนสองคนเริ่มหดหายไป โดยเฉพาะความรู้สึกของชายร่างสูงในตอนนี้ที่กันต์ธรไม่อาจอ่านใจได้เลย ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในนั้น เจ้าของบ้านเพียงเดินเข้าไปในครัวแล้วเริ่มลงมือทำอาหารเย็นอย่างง่าย โดยที่ภพตะวันยิ่งนิ่งอยู่ที่เดิมสักพักก็เดินเข้าไปช่วยเพื่อนในห้องครัว


















"ทำอะไรกินอ่ะ? "









"ไข่เจียว"










กันต์ธรยังคงพยายามเค้นสมองคิดว่าเขาได้ทำอะไรที่ไม่ถูกใจเพื่อนไปแน่ๆ และเมื่อเจ้าตัวเผลอจมกับความคิดของตนเองเช่นนั้น จึงได้เริ่มเข้าสู่โลกภายในของตัวเอง ภพตะวันที่เห็นท่าทีของเจ้าของบ้านเปลี่ยนไปก็เริ่มถามหนักขึ้นเรื่อยๆ


















"ข้าวล่ะ? "









"ในตู้เย็น มีที่หุงไว้แล้วเหลืออยู่"









"อือ"











คนทอดไข่ยังคงนิ่งคิด จนไข่เจียวหอมฉุยสุกและถูกจัดขึ้นโต๊ะ เด็กหนุ่มทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยกันมากมายนัก เพียงรับประทานมื้อเย็นแสนอร่อยตรงหน้าอย่างเงียบเชียบเท่านั้น และเมื่อทุกอย่างเกลี้ยงจนหมดภพตะวันก็รับหน้าที่ในการล้างจานและเก็บกวาด



















"ฉันขึ้นไปทำการบ้านก่อนนะ"









"อือ วิชาไรอ่ะ? "









"ฟิสิกส์"









"อือ ฝากหิ้วกระเป๋าฉันขึ้นไปด้วย"









"อืม"









"นายจะลอกฉันก็ได้นะ เราน่าจะเรียนกับครูคนเดียวกัน"









"ฉันจะลองทำเองดูก่อนแล้วกัน"











กันต์ธรเอ่ยไว้เพียงเท่านั้นแล้วเดินกลับขึ้นห้องนอนส่วนตัวของเขาไป เตียงนอนสามฟุตที่กว้างเกินไปเมื่อไม่มีภพตะวันในอ้อมกอด กันต์ธรพยายามบอกให้เขาเข้าใจ แต่ดูท่าว่า นอกจากภพตะวันที่ไม่เข้าใจแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจตนเองเช่นกัน ว่าทำไมเขาจึงต้องการนอนกอดภพตะวันมากมายนัก มากกว่าที่อยากกอดเพื่อนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเลี้ยงหรือวินาวินก็ตาม











เจ้าของบ้านจัดการอาบน้ำและเริ่มลงมือทำการบ้านโดยที่ไม่คิดเรื่องของใครบางคนอีก จนกระทั่งแขกผู้มาเยือนเก็บกวาดทุกอย่างด้านล่างจนเสร็จสิ้นหมดทุกอย่าง จึงได้เดินขึ้นมาในห้องนอนที่เขามาบ่อยเสียอย่างกับเป็นบ้านหลังที่สอง


















แอด...

















"ธร นายทำอะไร? "









"ก็ฉันคิดไม่ออก นายบอกว่าลอกนายได้"









"แล้วนั่นสมุดอะไร? "











ภพตะวันเปิดประตูห้องเข้ามาด้านในและพบว่าบัดนี้กระเป๋าของเขาถูกเปิดค้นโดยเจ้าของห้อง และสมุดเล่มหนึ่งที่เจ้าของกระเป๋าจำได้ว่าไม่ใช่ของเขาอย่างแน่นอน ก็เปิดกางอยู่ในมือของกันต์ธร เจ้าตัวพยายามพับสมุดเล่มนั้นลง โดยใช้นิ้วชี้คั่นหน้าที่พึ่งอ่านไปเมื่อครู่ไว้




















"ฉันเจอในกระเป๋านาย แฮก แฮก"









"นายเป็นอะไร? "









"ฉัน ฉัน..."











แขกผู้มาเยือนคว้าดึงสมุดในมือกันต์ธรมาเปิดดู และพบว่านั่นคือเล่มเดียวกับที่ปราณเพื่อนสนิทเขาให้ไว้เมื่อตอนเช้า แต่เมื่อเช้าเขาเอาคืนปราณไปแล้ว ทำไมมันจึงมาอยู่ในกระเป๋าของเขาได้ โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยทั้งๆ ที่เปิดกระเป๋าอยู่ทั้งวันที่โรงเรียน















อึก









"นายมีหนังสือแบบนี้ด้วยเหรอภีม? "










เด็กหนุ่มหน้าขาวกับแว่นตาดำมีสีหน้าแดงก่ำ รวมทั้งมือสองข้างและใบหูที่ขึ้นสีแดงระเรื่อให้สังเกตเห็นได้ชัด ภพตะวันไม่กล้ามองใบหน้านั้นของกันต์ธรตรงๆ เพราะนั่นเริ่มทำให้เขามือไม้สั่นตามไปด้วยเช่นเดียวกัน


















"ปราณมันแกล้งฉัน เอามาใส่ไว้อาดิ"









"ฉันขอยืมหน่อยได้ป่ะ"









"อะไร! นายชอบดูภาพลามกแบบนี้ด้วยเหรอ? "









"ฉันจะสิบแปดแล้วนะภีม ยังไม่เคยลองสัมผัสผู้หญิงตัวเป็นๆ เลย"









"นายคิดว่าฉันเคยรึไง"









"แล้วนายไม่อยากลองเหรอ? "









"ฉัน..."









"ฉันรู้ว่านายก็แอบทำเหมือนกัน จะอายทำไม ยังไงเราก็เพื่อนกันอยู่แล้ว"









"ฉันไม่ได้อาย แล้วทำไมนายต้องมารู้เรื่องอะไรของฉันด้วยล่ะ? "











"งั้นถ้าไม่อาย ก็ถอดดิ"









"หะ? "









"ฉันอยากเห็น"









"เห็นอะไร ฉันก็เป็นผู้ชายเหมือนนายนะธร"









"ก็นายไม่ให้ฉันยืมไอ้เล่มนั้น ฉันก็ขอดูนายแทนแล้วกัน...ได้ไหมล่ะ? "









"งั้นเอาไปเลย เอาไปคืนไอ้ปราณมันด้วย"











ภพตะวันที่เริ่มมีใบหน้าขึ้นสี เหลือบมองไปทางอื่นตลอดเวลา จากนั้นก็ยื่นของในมือให้เพื่อนเขาไป เพื่อจัดการกับบางส่วนใต้ร่มผ้าที่เริ่มขยับขยายดันกางเกงบอลออกมาให้เริ่มจับสังเกตได้แล้ว

















วืด...















กันต์ธรไม่ได้เอื้อมมือไปหยิบหนังสือ แต่เขาคว้าข้อมือของภพตะวันเอาไว้แล้วดึงให้เพื่อนรักที่แสนคิดถึง ให้ล้มตัวลงนั่งบนตักเขา จากนั้นก็ประกบปากลงไปกับวงปากแดงหวานฉ่ำที่แสนคิดถึง โดยที่มือก็เริ่มแตะต้องยังส่วนแข็งร้อนภายใต้กางเกงของตนไปด้วย

























**********เซนเซอร์******ค่ำคืนอันหวานฉ่ำ************




































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------




 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:










ขอบคุณคอมเม้นท์จาก คุณ bun , คุณ AkuaPinkคุณ Chompoo reangkarn
คุณ cavalli  , คุณ blove  และคุณ smmikie  ด้วยนะคะ


 :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4:


มาลุ้นกันต่อนะคะ ^^ ขอบคุณสำหรับกำลังใจอีกครั้งค่าทุกท่าน  :pig4: :call:








 :กอด1:

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 7 : เปิดใจ




















‘…หวานละมุนดุจดั่งสายไหมสีชมพูอ่อน’







คงเป็นคำนิยามที่ดีที่สุด สำหรับคู่เพื่อนรักเช่นภพตะวันและกันต์ธรในขณะนี้ หลังจากวันวานอันหวานฉ่ำ ทั้งคู่ก็แทบไม่ห่างกันอีกเลย จะมีเพียงช่วงเวลาเรียนเท่านั้นที่พวกเขาจำใจต้องแยกกัน









สองหนุ่มนัดกันมาโรงเรียนแต่เช้าเพื่อทานอาหารเช้าร่วมกันที่โรงอาหาร ก่อนแยกกันไปเข้าแถว จากนั้นกลางวัน กันต์ธรก็จะเดินไปหาภพตะวันที่ห้องแล้วพากันไปนั่งกินข้าวสองคนในมุมเดิมทุกวัน และเมื่อตกเย็นที่กันต์ธรต้องไปช่วยงานกิจกรรมโรงเรียนต่อ เขาก็จะเดินไปหาภพตะวันก่อน แล้วจูงมือกันไปยังที่ที่กันต์ธรต้องช่วยงานเพื่อนร่วมชั้น









“นั่งทำการบ้านตรงนี้นายมีสมาธิไหมภีม?”







“ฉันทำได้”







“อืม ขอบใจนะที่มานั่งเป็นเพื่อนฉัน อีกไม่กี่วันก็จบแล้วล่ะ”







“นายมีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกละกัน”







“มีแน่ วันนี้นายโทรบอกลุงเตี๋ยวรึยัง?”







“บอกแล้ว ฉันให้พ่อมารับสองทุ่มที่หน้าโรงเรียน”







“อือ งั้นนายทำการบ้านไป ฉันไปช่วยวินก่อน”










กันต์ธรส่งยิ้มละมุนให้ชายตัวสูงหนึ่งที ก่อนเดินไปนั่งลงบนพื้นซีเมนต์ที่เต็มไปด้วยกองเศษกระดาษหลากสี งานวันนี้ของกันต์ธรคือเขาต้องนั่งตัดกระดาษตามลายต่างๆ ที่ถูกร่างไว้ แล้วทากาวติดกันเป็นช่อใหญ่ๆ เพื่อนำไปประดับยังซุ้มหน้าโรงเรียน โดยข้างๆ มีวินาวินและเลี้ยงที่ทำงานคล้ายๆ กันอยู่ก่อนหน้า










เพื่อนรักอีกสองคนที่แทบไม่ได้คุยกับกันต์ธรมาหลายวัน ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนักเกี่ยวกับเรื่องลับๆ ของสองหนุ่ม แม้จะเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันและค่อนข้างรู้ลึก แต่ก็ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันต์ธรแต่อย่างใด โดยเฉพาะวินาวิน ที่แม้บ้านจะใกล้กับกันต์ธร แต่ก็ยังไม่ยอมเดินกลับบ้านพร้อมเขาสักทีแม้จะผ่านมายาวนานถึงหกปีแล้วก็ตาม












“ธร ถ้าทำส่วนของนายเสร็จแล้วมาแบ่งของฉันไปหน่อยนะ วันนี้อาโปไม่ค่อยสบายฉันต้องกลับไวหน่อย”







“ได้ดิ แล้วอาโปเป็นไรมากป่ะ”









กันต์ธรที่ได้ฟังดังนั้นก็หันหน้าไปมองอาโป น้องชายของเลี้ยงที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไปจากภพตะวัน เด็กชายนั่งนิ่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะอาการน่าเป็นห่วง









“เป็นไข้มาสองสามวันแล้ว เมื่อกี้พึ่งกินยาไปฉันเลยให้นั่งรอตรงนั้น”







“เลี้ยงกลับเลยก็ได้นะ ที่เหลือเดี๋ยวฉันทำเอง”







“ไหวเหรอธร เดี๋ยวจะไม่ทันวันงานเอานะ”







“เดี๋ยวให้ภีมมาช่วยก็ได้ เลี้ยงพาอาโปกลับไปนอนเหอะ”







“เอาจริงดิ นายกล้าให้ภีมช่วยเหรอ”







“ทำไมล่ะ?”







“ก็เห็นนายคอยเอาใจเขาตลอด จะกล้าใช้เขาเหรอ”







“กล้าดิ ฉันกับภีมเป็นเพื่อนกัน เอาใจอะไร ไม่มีหรอก”







“เพื่อน?”







“อือ”







“ฉันเห็นพวกนายจูงมือกันไปห้องน้ำทุกวัน วันละสามเวลา เพื่อนแบบไหนธร?”







“เพื่อนจริงๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”







“แล้วภีมคิดว่านายเป็นแค่เพื่อนป่ะ?”







“แหงสิ จะลองไปถามเขาก็ได้นะ”







“อืมๆ เพื่อนก็เพื่อน ถ้านายกล้าวานเขาก็ลองดู งั้นฉันพาอาโปกลับก่อนแล้วนะ”







“ให้ฉันเดินไปส่งไหม ดูท่าทางอาโปไม่ค่อยดีเลย”







“น่าจะไหวอยู่ อาจง่วงเพราะพึ่งกินยาไป”









ว่าแล้ว เลี้ยงก็ลุกขึ้นไปเก็บกระเป๋าแล้วเดินไปประคองน้องชายให้ลุกเดิน ด้านกันต์ธรก็ลุกขึ้นเช่นกัน เขาบอกกับวินาวินว่าจะไปตามภพตะวันให้มาช่วย แต่จะขอไปซื้อขนมมากินก่อน จากนั้นก็จูงมือภพตะวันหายลับไปในความมืด ตามหลังเลี้ยงและน้องชายไปในทางเดียวกัน


















“การบ้านเสร็จรึยังภีม?”







“เสร็จแล้ว…เลี้ยงกลับแล้วเหรอ”







“อือ อาโปไม่ค่อยสบาย ฉันเลยให้กลับก่อน ถ้านายยังไม่ได้ทำอะไร มาช่วยทำส่วนของเลี้ยงหน่อยได้ป่าว”







“ได้ดิ จะให้ฉันช่วยแล้วพาฉันมานี่ทำไมธร?”










ภพตะวันและกันต์ธรเดินเลียบไปตามถนนในโรงเรียนที่มีเพียงแสงสลัวจากหลอดไฟทรงสูงตามข้างทาง เส้นทางที่จะนำพวกเขาไปยังลานกว้างที่มีรถเข็นขายของกินมากมายให้เลือกซื้อ กันต์ธรจะหาช่วงเวลาพัก เดินมาหาอะไรกินแถวนี้เป็นประจำ














“ฉันหิวนี่”







“แต่ถ้านายไม่รีบให้ฉันไปช่วย เดี๋ยวสองทุ่มพ่อฉันจะมารับแล้วนะ”







“ฉันขอซื้อแปปเดียวเอง นี่ทุ่มกว่าอยู่ ให้นายช่วยสักแปปก็พอแล้ว”











เมื่อเดินมาถึงตลาดนัดขนาดย่อม กันต์ธรก็ซื้อลูกชิ้นปิ้งสองไม้ราดน้ำจิ้มมาเรียบร้อย เขาพยายามแบ่งให้ภพตะวันกินด้วยกัน แต่ทางนั้นมีท่าทีอยากรีบไปช่วยงานเขาเสียมากกว่าอยากกินลูกชิ้นในมือ















“ภีม”







“หะ?”







“ฉันขอ 10 นาที”








“เดี๋ยวฉันช่วยงานไม่ทันนะ”







“ทันสิ เชื่อฉัน”










ให้ความมั่นใจเพื่อนรักไปอย่างนั้น มือของกันต์ธรก็คว้ามือภพตะวันไปประสานไว้แล้วนำเขาไปยังห้องน้ำใกล้ๆ กับลานสำหรับช่วยงานกิจกรรมโรงเรียนทันที









ลูกชิ้นสองไม้ถูกวางไว้บนอ่างล้างหน้าใกล้ๆ นั้น ก่อนที่ภพตะวันจะถูกกันต์ธรกระชากเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตูลงกลอน









“อือออ ธร!”








ร่างของภพตะวันถูกกดเข้ากับผนังด้านหนึ่ง แล้วตามมาด้วยจมูกและปากของกันต์ธรที่ประทับลงบริเวณต้นคอ ไล่เลียและสูดดมหนักๆ ด้วยลมหายใจเข้าออกที่รุนแรง
















“ภีม..”









“อื้อ!”









นิ้วมือทั้งคู่สอดประสานกันอีกครั้ง รวมทั้งปากเล็กๆ นั้นที่ครอบเข้าหากันอย่างดุเดือด แม้รสจูบนี้จะถูกมอบให้กันวันละ 3-4 ครั้ง ก็ไม่ได้ทำให้การสัมผัสครั้งถัดไป ลดความกระหายของอารมณ์เขาทั้งคู่ลงได้เลย















“แฮก เมื่อไหร่จะมานอนบ้านฉันสักที”







“ช่วงนี้ฉันกลับดึก พ่อเลยมารับได้ทุกวัน”







“งั้นถ้างานโรงเรียนจบ นายก็มานอนบ้านฉันได้แล้วใช่ป่ะ”







“อือ”







“ปิดเทอมมาอยู่กับฉันเลยได้ไหม”







“นายไม่ไปติวสอบเข้ามหาลัยเหรอธร?”







“ฉันอยากให้นายติวให้มากกว่า”









ประโยคสนทนาสุดธรรมดา กลับไม่ธรรมดาสำหรับเด็กหนุ่มที่ทาบทาบกันอยู่ในขณะนี้ เพราะทุกครั้งที่กันต์ธรถามเสร็จ เขาจะไม่เพียงรอให้ภพตะวันตอบ แต่จะมอบจูบแสนนุ่มนวล ประทับลงไปบนแก้มใส ปลายจมูก หน้าผากมน รวมไปถึงแตะแผ่วเบาครั้งแล้วครั้งเล่าไปบนปากสีแดงที่เขาหลงใหลนั้นด้วย














“แต่ฉันต้องไปติวนะธร”







“งั้นฉันไปด้วย”







“อืมม…”









กันต์ธรยังคงวนเวียนอยู่กับใบหน้าแสนงดงามนั้นไม่หยุด เขาสอดแขนเข้าไปด้านหลังของภพตะวันแล้วประคองร่างนั้นมาไว้ในอ้อมกอดแล้วกดหน้าหลงกับเสื้อนักเรียนที่หอมฉุยไปด้วยกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม โดยที่มือทั้งสองข้างก็ลูบวนไปตามแผ่นหลังของภพตะวัน















“ธร…”







“นายไปไหน ฉันก็จะไปด้วย”








“ฉันก็อยากให้นายอยู่กับฉันตลอดเหมือนกัน แต่พวกเราเล่นทำแบบนี้กันวันละสามสี่ครั้งเลยนะ ฉันกลัวมีคนจับได้”







“ไม่เห็นเป็นไร ยังไงเราก็เพื่อนกัน”







“แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ฉันจะมีแฟนได้สักทีล่ะ”




















ตึก ตึก…ตึก ตึก







“นายอยากมีแฟนเหรอภีม?”









ประโยคบอกเล่าแสนทั่วไปที่ทำให้หัวใจกันต์ธรเต้นแรงผิดจังหวะ ประโยคที่คล้ายกับบีบหัวใจอันหวานฉ่ำให้หดตัวลงเหมือนถูกกักขังในกล่องขนาดเล็ก ความรู้สึกหงุดหงิดที่ก่อตัวอย่างช้าๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับไม่อาจหยุดมือที่เผลอบีบหัวไหล่ของเพื่อนรักไปได้
















“ธร…ฉันเจ็บ”








“นายอยากมีแฟนเหรอ?”









น้ำเสียงที่อยู่ๆ ก็สั่นเครือปนความนิ่งสงบที่เจ้าตัวพยายามเค้นออกมาจากดวงใจอันถูกบีบรัด














“อือ”







“อยู่กับฉันไม่ดีเหรอ อยู่ด้วยกันแบบนี้”








“ก็อย่างที่นายว่า พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ สักวันทั้งฉันทั้งนาย ก็ต้องมีแฟนแล้วก็แต่งงาน”







“นายจะแต่งงานเหรอภีม?”







“ใช่สิ แบบที่คนทั่วไปเขาทำกัน”













“ฮึฮึ”








เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา ที่กันต์ธรค้นพบบางอย่างในใจ บางอย่างที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมา จากคำพูดไม่คิดของภพตะวัน บางอย่างที่แม้แต่ตัวกันต์ธรเองก็ไม่เคยรู้ว่ามีสิงอยู่ในตัวเขา เด็กหนุ่มโน้มใบหน้าชิดริมหูของภพตะวันแล้วไล่เลียจนฝั่งนั้นเผลอร้องครางออกมา แล้วกระซิบออกไปอย่างใกล้ที่สุด



















“จำใส่สมองของนายไว้นะภีม ปากนาย เป็นของฉัน ใบหน้านาย เป็นของฉัน ร่างกายนาย…เป็นของฉัน ความรู้สึกทั้งหมดของนาย เป็นของฉัน…จะไม่มีใครทำให้นายพอใจได้อีกบนโลกใบนี้ นอกจากฉัน”











“ธร…”








ประโยคที่เปล่งออกมา นิ่งตรงดั่งวาจาสิทธิ์ มันไม่เพียงสะกดคนฟังให้นิ่งค้างไป แต่กลับสะกดคนเอื้อนเอ่ยเอาไว้ด้วย ประโยคที่จมลับหายไปในส่วนลึกของคนทั้งคู่ ประโยคที่กันต์ธรเองก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะเอ่ยออกมาเช่นนั้น








ยิ่งจับจองอีกฝ่ายด้วยคำพูดรุนแรงเท่าไหร่ มือทั้งสองก็ลูบไล้ไปตามส่วนต่างๆ ที่เจ้าตัวจับจองเอาไว้มากขึ้นเท่านั้น กันต์ธรบีบขยำก้อนกลมใต้กางเกงสีดำอย่างแรงและไม่ว่าภพตะวันจะพยายามใช้มือดึงสองมือของเพื่อนรักออกอย่างไรก็ไม่เป็นผล
















“ธร พอแล้ว”








“…”








“ธร…ปล่อย!”













“จะห้ามทำไม!?! นายก็ชอบไม่ใช่เหรอ?”










“นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย!”









“พูดความจริงออกมาสิภีม ว่านายชอบขนาดไหน เวลาฉันขยำก้นนาย พูด!!!”









“ธร…ธรใจเย็นๆ ก่อนนะ”










“พูดออกมาภีม พูดออกมา!!!”












“ธร…อึก”








เพื่อนรักที่ภพตะวันใช้ชีวิตอยู่ร่วมมาถึงหกปีเต็ม กับชายที่กำลังล็อกร่างเขาไว้ตอนนี้ ใช่คนเดียวกันจริงหรือ? สีหน้าและแววตาที่เขามองอยู่ตอนนี้ช่างน่าหวาดกลัวอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน ภพตะวันที่เริ่มหวาดกลัวชายแปลกหน้าเผลอสะอื้นไห้ออกมาแผ่วเบา















เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร และเขาไม่อยากเสียเพื่อนรักของเขาไปเลย เขาทำอะไรให้กันต์ธรไม่พอใจอย่างนั้นหรือ












“ภีม…”








“…”









“ฉันขอโทษ”












ด้านกันต์ธรที่หน้ามืดไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าภพตะวันเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอออกมาก็กลับมาได้สติอีกครั้ง เขาชะงักค้างไปครู่หนึ่งด้วยความประหลาดใจในตัวเอง แล้วปล่อยร่างที่เขาล็อกเอาไว้ให้เป็นอิสระ
















“ฉันขอโทษนะภีม เมื่อกี้ฉัน…”







“นายอยากรู้จริงๆ เหรอธร”








“ภีม…”







“ฮือออ…”









ร่างที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ โผเข้ากอดกันต์ธรเอาไว้แน่น แล้วซบหน้าลงไปบนอกของชายที่ตัวเตี้ยกว่าเขา สองแขนรัดรอบเอวแล้วร่ำไห้ต่อ ด้านคนต้นเหตุทำได้เพียงกอดตอบแล้วลูบศีรษะมนๆ นั้นอย่างพยายามปลอบประโลม

















“ฉัน…ชอบมากเลย”









“ภีม”










“ฉันอยากอยู่กับนายตลอดเวลา อยากจูบ อยากกอดนายตลอดเวลาเลย…ฮืออ อึก แต่ฉันกลัวธร ฉันกลัว ฉันกลัวจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้”










“ภีม…ฉันขอโทษ”









“นายบอกกับฉันว่าเราเป็นเพื่อนกัน นายบอกกับทุกคนว่าเราเป็นเพื่อนกัน แล้วนายไม่กลัวบ้างเหรอ ว่าถ้าวันนึงพวกเรามีแฟนกันขึ้นมาจริงๆ เราจะหยุดทำแบบนี้กันไม่ได้”










“กลัวสิภีม…ฉันก็กลัวเหมือนกัน”









“แค่คิดว่านายมีแฟน ฉันก็อยากหยุดเรื่องนี้เร็วๆ แล้ว”









“ทำไมล่ะ?”









“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันอยากร้องไห้ทุกทีเลย เวลาที่คิดว่านายจะไปทำแบบนี้กับคนอื่น”









“ภีม…ฉันก็เหมือนกัน ฉันหงุดหงิดมาก เวลาที่นายบอกว่าจะมีแฟนแล้วใช่ชีวิตปกติ”










“มันคืออะไรธร บอกฉันที”









“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันภีม ฉันไม่รู้…ไม่มีใครรู้ ฉันแค่อยากอยู่กับนาย ใกล้ๆ นาย อยากกอดนาย อยากจูบนาย อยากทำอะไรลามกๆ กับนายตลอดเวลา แล้วก็อยากให้เวลามันหยุดลงแค่ตรงนี้”









“ฉันก็เหมือนกัน…ธร ฉันอยากหยุดเวลาไว้แค่นี้”










น้ำตาไม่ได้ไหลลงมาจากเพียงภพตะวันฝ่ายเดียวอีกต่อไป ด้านเพื่อนรักเช่นกันต์ธรก็มีน้ำตาที่ไหลรินออกมาเช่นเดียวกัน ช่วงเวลาเพียงสิบนาทีที่กันต์ธรขอไว้ ไม่ได้มีอยู่จริง เด็กหนุ่มทั้งสองที่พึ่งเปิดใจให้กันไปหมาดๆ เพียรส่งรสจูบประทับลงไปทั่วใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างพยายามปลอบประโลมกันและกัน และไม่เพียงสิบนาทีแสนสั้นที่ไม่เพียงพอ แม้จะผ่านไปร่วมชั่วโมงแล้ว แต่หน้าผากมนทั้งสองนั้นก็ยังคงสัมผัสเข้าหากันตลอดเวลา จนกันต์ธรต้องเป็นฝ่ายหยุดใจลงก่อนเพื่อกลับไปทำหน้าที่ ที่ค้างไว้ของเขาต่อ















ค่ำคืนนั้น บิดาของภพตะวันมารอที่หน้าโรงเรียนเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม และกันต์ธรเองก็ไม่ได้กลับบ้านตามเวลาที่ควรได้กลับ เนื่องจากเขาต้องทำส่วนที่เหลือของตนเองและส่วนของเลี้ยงที่เขาอาสารับทำ แม้กระนั้น วินาวินที่ทำงานของตัวเองเสร็จก่อนก็ยังไม่ได้รีบกลับบ้านในทันที เขายังคงอยู่ช่วงกันต์ธรจนเสร็จงานทุกส่วนลง และวันนั้นเอง ที่วินาวินได้เดินกลับบ้านพร้อมกับกันต์ธรเป็นครั้งแรก





















“ทะเลาะกับภีมเหรอ?”








“หืม?”








“เมื่อกี้เห็นพวกนายตาแดง เหมือนร้องไห้มา”









“อือ เข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะ”









“แต่ก็ดีกันแล้วใช่ป่ะ”








“น่าจะดีแล้วนะ”








“งั้นก็ดี”
















“วิน”







“ว่าไง?”








“นายเคยมีแฟนป่ะ”








“ถามทำไม?”









“ฉันแค่อยากรู้ว่าเป็นแฟนเนี่ย ต้องรู้สึกยังไง”









“แล้วนายรู้สึกยังไงกับภีมล่ะ”









“หืม…ฉันกับภีมเป็นเพื่อนกัน”









“เหรอ…งั้นก็ลองฟังแล้วคิดตามดู ว่านายรู้สึกกับภีมแค่เพื่อนหรืออยากได้เขาเป็นแฟน ถ้าถามฉันว่าเป็นแฟนต้องรู้สึกยังไง ก็คง…ต้องหวงตลอดเวลา หวงหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งรอยยิ้ม”










“อันนั้นเกินไปหน่อยมั้งวิน”









“นายเคยสังเกตใจตัวเองเวลาคนที่นายชอบยิ้มให้คนอื่นไหมล่ะ ถ้าจุกๆ ในใจขึ้นมา ก็นั่นแหละ หวง”









“แล้วไงต่อ”











“…ก็ต้องอยากเห็นหน้าเขาตลอดเวลา อยากเห็นเขายิ้มมากกว่าร้องไห้ อยากซื้อของดีๆ ให้เขากิน แลกได้ทุกอย่างแม้กระทั่งความสุขสบายของนาย เพื่อให้เขามีความสุข แล้วก็ นายจะรู้สึกอยากให้โลกทั้งใบ มันมีแค่นายกับเขา ตลอดไป”










“แบบนี้คือความรักเหรอ?”









“ส่วนมากก็ใช่ จริงๆ ก็แล้วแต่คนด้วย”








“แล้วนายว่า…ฉันกับภีม?”










“หมาหน้าโรงเรียนยังดูออกเลยธร ว่าพวกนายคบกันอยู่ คนปกติที่ไหนเดินจูงมือกันเข้าห้องน้ำวันละสามสี่รอบ เลิกเรียนก็ไม่ยอมกลับบ้าน มานั่งทำการบ้านเฝ้านายตลอด แถมยังมีตารางสอนของอีกฝ่ายพกติดตัวตลอดเวลาอีก?”











“ฉันต้องขอภีมเป็นแฟนไหม?”







“นายนี่มัน โคตรซื่อบื้อเลยว่ะ”








“ก็ฉันไม่รู้ว่าภีมคิดยังไง”








“ถามตรงๆ เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เขาเคยอ้อนนายไหม?”








“อ้อน? ยังไง?”









“แบบอยู่ๆ ก็เข้ามากอด เข้ามาหอม ซื้อของที่นายชอบมาให้กิน อะไรแบบเนี้ย”









“ก็…มีนะ”








“ลองคิดดู ว่าที่ผ่านๆ มาเขาทำอะไรให้นายบ้าง อะไรที่แบบ ทั้งๆ ที่เขาไม่ชอบ แต่เขาก็ยอมทำเพื่อนาย ประมาณนั้น”









“…”









“ฉันไปล่ะ บ้านฉันแยกไปทางนี้”








“อาหะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะวิน”















“อือ…จะทำอะไรก็รีบทำนะธร เดี๋ยวก็เข้ามหาลัยละ อย่างนายคงตามภีมไปได้ไม่ไกลหรอก ยิ่งโง่ๆ อยู่”








“ขอบใจที่ชม เหอะๆ”


























































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------



















:L1: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ช่วงสับสน ต่างคนต่างก็งงๆของความรู้สึกในความสัมพันธ์ ก็นะ ป๊อบปี้เลิฟ 555 แต่ธรก็รู้ตัวแล้ว จะยังไงต่อละเนี้ย รอตอนต่อไปเลยค่ะ ^^

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 8 : ไม่เห็นหน้า เห็นหลังคาก็ยังดี
















หลังจบงานสถาปนาของโรงเรียนไปได้ไม่นาน ก็ถึงฤดูกาลสำคัญสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ต้องเริ่มวางแผนเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น เช่นเดียวกันกับภพตะวันและกันต์ธรที่ได้ทำการตกลงกันอย่างลับๆ ว่า จะสอบเข้ามหาลัยเดียวกัน คณะเดียวกัน แล้วจากนั้นก็จะย้ายออกไปอยู่ด้วยกันดังใจปรารถนา








และเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการได้ กันต์ธรจำเป็นต้องเรียนพิเศษกับคนรัก? ที่ยังไม่ได้มีการตกลงกันแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่สามารถสอบเข้าที่เดียวกับภพตะวันได้เป็นแน่








ด้วยความที่ว่า การเรียนไม่ใช่สิ่งที่กันต์ธรถนัดมากนัก เขาจึงต้องใช้พลังงานอย่างหนักในการสู้กับใจตนเอง แต่ก็ถือว่ายังโชคดีมาก ที่ตลอดระยะเวลาที่เขาเรียนพิเศษนี้ ภพตะวันจะมาค้างบ้านเขาเพื่อสะดวกในการไปเรียนพิเศษตลอดสามเดือน















“ธร..”






“หืม?”






“พอแล้ว”






“ทำไมล่ะ”






“ฉันอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง”








กันต์ธรที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งนุ่มนิ่มบนพื้น มีร่างของภพตะวันนั่งทับอยู่ โดยที่เด็กหนุ่มกางหนังสือวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก แล้วพยายามดึงสมาธิให้จดจ่อกับบทเรียนตรงหน้า แม้ว่ารอบเอวจะมีแขนของกันต์ธรโอบรอบอยู่ก็ตาม







ปากและจมูกนั้นของเจ้าของห้อง กดลงทุกส่วนที่ลากผ่านได้ ทั้งมือก็ลูบไล้ไปมาบริเวณต้นขาเนียนนุ่มที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นตัวบางเกือบชิดขาหนีบ













จุ๊บ!







“ธร…”






“หืม?”






“หยุดลูบก่อนได้ไหม อืออ”






“ยังไม่จบบทเลย ภีมจะอ่านให้ฟังไม่ใช่เหรอ”






“อืม หยุดลูบฉันก่อนนะ”










ว่าแล้วมือของภพตะวันก็หยุดมือของคนด้านล่างเอาไว้ได้สำเร็จตรงบริเวณขอบกางเกงตัวน้อยนั้น กันต์ธรวางคางลงบนไหล่ของเพื่อนรัก แล้วตั้งใจฟังภพตะวันอ่านบทเรียนวิชาสังคมศึกษาอย่างตั้งใจ?












“ธร…”






“หืม?”






“พ…พอ พอแล้ว อืออ”









กันต์ธรที่คล้ายกับจะยอมหยุดไปเมื่อครู่ เริ่มลากมือไปมาตามร่างเนียนนุ่มอีกครั้ง หลังจากภพตะวันอ่านต่อไปได้เพียงสามบรรทัด คราวนี้ เขาสอดมือเข้าไปในเสื้อยืดคอกลมสีขาวของเพื่อนรัก แล้วเริ่มกดวนบริเวณยอดอกสีแดงสดนั้นหลายที ก่อนจะค่อยๆ ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ดึงแล้วบิดส่วนนั้นเล่นไปมาอย่างได้ใจ










“นายไม่อยากสอบติดเหรอธร”






“อยากสิ แต่ตอนนี้อยากทำอย่างอื่นด้วย”






“ตั้งใจเรียนก่อนนะ เดี๋ยวให้ทำเต็มที่เลย”






“จริงอ่ะ?”






“อือ”






“ภีมกลัวฉันสอบไม่ติดขนาดนั้นเลยเหรอ?”






“อืมม”






“อยากอยู่กับฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?”






“อือ”










“จุ๊บ!”







“…ฉันอยากอยู่กับนาย”










“โอเค ฉันยอมแพ้แล้ว จะตั้งใจละ”









กันต์ธรที่กำลังเคลิบเคลิ้มยอมหยุดทุกการกระทำลง แล้วตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือดังที่เจ้าตัวได้ว่าไว้ และนั้นเผยให้เขาได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของภพตะวัน มันน่ารักเสียจนเขาอยากพับหนังสือเก็บแล้วกระโจนเข้าใส่ขย้ำให้หนำใจ แต่ก็หาได้สามารถไม่ เมื่อบัดนี้ เขาจำเป็นต้องตั้งใจเรียนเพื่อนสอบเข้าคณะเดียวกับภพตะวันให้ได้เสียก่อน
















“อ้าว เด็กๆ …มามา วันนี้มีของโปรดของทุกคนเลยนะ”






มารดาของกันต์ธรนั้นสุดแสนใจดี เธอจะเตรียมอาหารเย็นสุดพิเศษที่แต่ละคนชื่นชอบเพื่อเติมพลังให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองที่ใช้สมองอย่างหนักในช่วงนี้ รวมทั้งบิดาของกันต์ธรที่แม้จะไม่ถูกโลกกับบิดาของภพตะวัน แต่ก็ยังต้อนรับขับสู้ญาติห่างๆ ที่เป็นเพื่อนสนิทของกันต์ธรคนนี้มาตลอดหกปีเต็ม








“กินเสร็จแล้วแม่ฝากเก็บทีนะเด็กๆ เดี๋ยวคืนนี้พ่อกับแม่ต้องรีบนอน พรุ่งนี้มีธุระกันแต่เช้าเลย”






“ได้ครับ”






“อ่อ แล้วก็มีบัวลอยสามสีในหม้อนะ ดึกๆ ถ้าหิวก็ลงมาอุ่นกินกันเอาเองนะจ๊ะ”






“คร๊าบบบ”









เจ้าของบ้านทั้งสองเดินขึ้นห้องส่วนตัวไปเป็นที่เรียบร้อย ปล่อยให้เด็กหนุ่มสองคนที่เหลือ เก็บล้างทำความสะอาดเช่นทุกวัน






“ฉันว่ายังไงคืนนี้ก็ดึกแน่ เราอุ่นบัวลอยขึ้นไปไว้เลยดีไหม จะได้ไม่ต้องลงมาอีก”






“อือ เอาสิ ภีมอุ่นเลย เดี๋ยวฉันล้างจานเอง”









บัวลอยในน้ำกะทิหอมฉุยถูกตักใส่ถ้วยเล็กๆ สองใบแล้ววางในถาด ของหวานอันน่าละมุนลิ้นที่กันต์ธรเดินเข้ามาดูแล้วก็อดใจไม่ไหวอยากลองชิมเสียตรงนั้น แต่ถึงอย่างนั้นภพตะวันก็ยังไม่ยอมให้เขาได้กิน ด้วยให้เหตุผลว่า เดี๋ยวดึกมาไม่มีอะไรรองท้อง














“ฉันมีภีมอยู่ทั้งคน หิวขึ้นมาก็กินภีมเอาก็ได้”






“ธร!”






“โธ่ภีม ก็บัวลอยมันน่ากิน ฉันขอชิมหน่อยไม่ได้เหรอ”






“เฮ้ออ อ่ะ ให้คำเดียวนะ”









ว่าแล้วภพตะวันก็ยื่นช้อนให้เพื่อนรักด้วยใจอ่อนกับใบหน้าทะเล้นนั้น แต่คนอยากกินกลับไม่ยอมรับมันเอาไว้












“ภีมป้อนหน่อยดิ”






“ธร นายจะบ้าเหรอ เดี๋ยวก็มีใครมาเห็นเข้าหรอก”






“พ่อกับแม่นอนไปแล้วน่า กลัวอะไร”










ไม่ว่าอย่างไร กันต์ธรก็ไม่ยอมกินเองอยู่อย่างนั้น และก็ไม่ยอมปล่อยเพื่อนรักให้ขึ้นไปอ่านหนังสือได้ด้วย จนกว่าจะป้อนบัวลอยให้จนเจ้าตัวพอใจ









สุดท้ายภพตะวันก็ต้องใจอ่อนแล้วค่อยๆ ตักบัวลอยสามสีด้วยช้อนในมือแล้วยื่นให้กันต์ธร












“อ่ะ! อ้าปาก”






“ป้อนด้วยปากสิ”






“ธร!”






“เร็วๆ ฉันอยากขึ้นไปอ่านหนังสือต่อแล้วนะ”











“…”




ภพตะวันมีสีหน้าเอือมระอาอย่างมาก แต่สุดท้ายก็ยอมส่งบัวลอยในช้อนเดิมนั้นเข้าปากตัวเอง แล้วเดินเข้าใกล้กันต์ธร และฝั่งเจ้าของบ้านที่เห็นดังนั้นก็ไม่รอช้า สองมือจับศีรษะของเพื่อนรักแล้วประกบจูบดูดเอาบัวลอยสามสีในปากของภพตะวันมาเข้าปากตัวเองด้วยลิ้นที่ส่งไปรับมา แล้วเคี้ยวอย่างอร่อยพร้อมกัน แม้ว่าปากทั้งคู่จะยังประกบกันอยู่











อืมม












รสหวานที่กันต์ธรสัมผัสอยู่นี้ เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะน้ำกะทิในบัวลอย หรือเพราะลิ้นน้อยๆ ของภพตะวันกันแน่ แม้ว่าบัวลอยในปากทั้งคู่จะถูกกลืนลงคอจนหมดแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงเกี่ยวตวัดดูดกลืนลิ้นของอีกฝ่ายไว้ดังเช่นขนมหวานเลิศรสอยู่เนิ่นนาน













“…อืมม”






“ภีม…ไปต่อกันข้างบนเถอะ ฉันอยากจับมากกว่านี้แล้ว”






“นายจะเอาแต่ใจมากเกินไปแล้วนะธร”






“ใช่เลย อยากทำมากกว่าเอาใจอีก เพราะอยากเอาอย่างอื่นด้วย”






“ธร!”










เด็กหนุ่มสองคนหยิบถ้วยบัวลอยสามสีในถาดขึ้นในมือคนละใบ และมืออีกข้างก็จับจูงกับขึ้นห้องไปเช่นทุกวัน














หากแต่วันนี้มีบางสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงกำลังยืนมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ทั้งหมดอยู่










บิดาของกันต์ธร ที่ลืมของไว้ในห้องนั่งเล่น มองเห็นทุกอย่างชัดเจนเต็มสองตา























สองเพื่อนรักสุดหวานละมุนคล้ายกับยังไม่รู้ตัวว่าถูกจับได้เข้าให้แล้ว สองวันถัดมาบิดาของภพตะวันโทรมาบอกให้เขาเก็บเสื้อผ้ากลับบ้าน และจะมารับในอีกสิบนาทีโดยไม่บอกเหตุผล ด้านภพตะวันไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของบิดาได้ แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่ก็ยอมทำตาม เช่นเดียวกันกันต์ธรที่ถูกบิดาของเขาเรียกไปคุยนานหลายชั่วโมง








ความรุนแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในบ้านหลังนี้ ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เมื่อบิดาของเขาบอกว่ารับรู้หมดทุกสิ่งและผิดหวังในตัวลูกชายเป็นอย่างมาก ระหว่างนั้นเขาได้ติดต่อไปหาญาติที่อยู่อเมริกา เพื่อจัดหามหาวิทยาลัยให้กับกันต์ธรเป็นที่เรียบร้อย และเด็กหนุ่มต้องเดินทางภายในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า














“ธร…ฉันรู้สึกเหมือนพ่อจะ…”






“รู้เรื่องของเรา”






“ธร…?”






“เขาจะส่งฉันไปอเมริกา”






“…”











ภพตะวันและกันต์ธร เด็กหนุ่มสองคนที่มีสีหน้าเศร้าหมองไม่ต่างกัน ยืนกอดกันอยู่ในห้องน้ำโรงเรียนสอนพิเศษ ภพตะวันเริ่มสะอื้นไห้ออกมาก่อนเป็นอันดับแรก และพยายามดันตัวเข้าหากันต์ธรอย่างหนัก เช่นเดียวกับกันต์ธรที่เครียดมาหลายวันก็น้ำตาไหลออกมาเช่นกัน ทั้งยังพยายามสูดดมกลิ่นของภพตะวันไปพร้อมๆ กันด้วย










“ภีมไปกับฉันได้ไหม?”






“ธร…”






“ขอพ่อไปเรียนต่อที่นู่น ไม่ต้องบอกก็ได้ว่าไปกับฉัน เราไปอยู่นู่นด้วยกัน”






“ธร…พ่อฉัน จะส่งฉันไปอังกฤษเหมือนกัน”






“ว่าไงนะ!?!”






“พวกเขาคุยกันธร”






“พ่อนายบอกเหรอ?”






“เปล่า เขาไม่ได้บอกฉันตรงๆ แต่ฉันรู้สึกได้”






“ทำไงดี ฉันจะทำไงดี ภีม ฉันจะทำไงดี”










กันต์ธรเริ่มมีอาการร้อนรนอย่างหนัก เช่นเดียวกันกับคนที่กอดเขาไว้แน่นก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยอาการร้อนรนไม่ต่างกัน










“ฉันก็ไปอเมริกาก่อน แล้วค่อยทำเรื่องย้ายไปหานายแบบนี้จะเป็นไปได้ไหม?”






“ธร…”






“หรือนายจะทำเรื่องย้ายมาหาฉัน”






“ธร…ธร…”







“งั้นฉันจะลองหาวิธีเรื่องโอนย้ายมหาลัยดูนะ”












“ฉันว่าเราจบเรื่องนี้กันดีกว่านะ”






“…นายหมายความว่าไง?”






“ฮือ ฉันหมายความว่า เราเลิกทำแบบนี้เถอะ”







“ภีม?”







“ยังไม่สุดท้ายเรื่องของเรามันก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้ที่บ้านพวกเราจับได้แล้วนะธร พวกเขาไม่ปล่อยให้เราคบกันหรอก”






“ฉันไม่เลิก”






“ธร…”






“หัวเด็ดตีนขาดยังไงฉันก็ไม่เลิก”






“แต่…”






“ไม่มีแต่! ฉัน ไม่ เลิก!”






“แล้วนายจะทำยังไง? ฉันต้องไปเดือนหน้าแล้วนะธร”






“ฉันจะไปอังกฤษกับนาย”






“พ่อนายไม่ยอมแน่”






“ฉันจะไปคุยกับเขาอีกที ยังไงฉันก็ไม่ยอมปล่อยนายไปแน่ๆ”






“ธร”






“นายล่ะภีม จะยอมปล่อยฉันไปง่ายๆ งี้เลยเหรอ? ใจร้ายจังนะ เอะอะก็เลิกๆ”










“ฉัน…ฉันเปล่า ฉันไม่ได้อยากเลิกนะธร! แต่ฉันไม่รู้จะทำยังไง”










ภพตะวันกอดเพื่อนรักไว้แน่นอีกครั้งแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาอย่างไม่หยุด มือที่ลูบหลังกันต์ธรสั่นเทาอย่างหนักจนเจ้าตัวสัมผัสได้ ความทุกข์ทรมานใจแห่งความพลัดพรากที่พวกเขาไม่เคยรู้จัก กำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามาแล้ว และคราวนี้ทางออกที่ดีที่สุด ก็คล้ายดั่งประตูที่ถูกปิดตายไร้ซึ่งกุญแจชนิดใดจะไขเปิดได้








แผนการมากมายถูกลอบคิดขึ้นโดยสองหนุ่มที่กำลังหัวใจสลาย แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ที่ผ่านโลกมามากกว่าก็คล้ายกับว่าจะมองออกในทุกสิ่งที่ลูกชายของพวกเขาคิดเอาไว้












เด็กชายภพตะวันที่ถูกบิดาทอดทิ้งประจำหลังเลิกเรียน บัดนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เพราะเมื่อหมดเวลาเรียนพิเศษแล้วเดินออกมาที่ถนน ภพตะวันก็จะพบกับรถยนต์ของบิดาที่จอดรออยู่ด้านหน้าในทุกวัน เช่นเดียวกันกันต์ธรที่ถูกกำชับอย่างหนักให้กลับบ้านทันทีหลังเลิกเรียน ทำให้พวกเขามีเวลาเพียงไม่กี่นาทีในหนึ่งวันที่จะได้พบกันและทำในสิ่งที่ใจต้องการ













ยิ่งนับวัน ความต้องการในใจก็โถมเข้าใส่คนทั้งคู่หนักขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งกำหนดการเดินทางที่พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้ ก็จะมีขึ้นในอีกเพียงสองสัปดาห์ข้างหน้า แม้กันต์ธรจะร้องขอบิดาเป็นร้อยเป็นพันครั้งที่จะเดินทางไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อังกฤษแทน แต่นั่นก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะบิดาเขารู้อยู่เต็มหัวใจว่าเขากำลังจะตามไปอยู่กับภพตะวัน















‘ฉันคิดถึงนาย’






‘ธร…ฉันก็เหมือนกัน’






‘ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ ฉันกำลังเริ่มหาท…’












ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด










ในคืนหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่ม กันต์ธรก็ตัดสินใจใช้โทรศัพท์บ้านโทรเข้าบ้านภพตะวัน และพูดคุยกันยาวเหยียด แต่แล้วสายก็ถูกตัดไป และไม่ว่าจะพยายามต่อสายกลับไปอีกกี่ครั้ง เสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่ดังขึ้นมาให้ได้ยินอีกเลย










เด็กหนุ่มเดินลงไปด้านล่างและพบว่าบิดาของเขายืนอยู่ที่โทรศัพท์อีกเครื่องในห้องนั่งเล่น ชายสูงวัยมองมาที่เขาด้วยดวงตาอาฆาตรุนแรง ทั้งมารดาที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ก้มหน้าคล้ายกับกำลังสะกดอารมณ์เศร้าหมองในใจอยู่














“ผมรักภีม! พ่อมายุ่งอะไร!?!”








“ยังมีหน้ามาพูดอีกนะไอ้ธร! ดูสภาพตัวแกเองบ้าง ฉันเลี้ยงแกมาให้เป็นพวกผิดเพศเหรอ!?! ห๊ะ!!!”









“พ่อ!!!!”











“เลิกติดต่อมันไปเลยนะ ไอ้ลูกชายบ้านนั้นน่ะ!!! ถ้ายังไม่รู้อะไร ฉันก็จะบอกให้ เผื่อแกจะฉลาดขึ้น! พ่อมันโกงฉันจนบ้านเราจะล้มละลายอยู่แล้ว แกยังมีหน้ามาบอกว่ารักลูกชายมันอีกเหรอ!!! ไอ้ลูกอกตัญญู!!!”








“พ่อ…”






อึก











“กลับขึ้นห้องแกไปซะ!! แล้วเก็บกระเป๋าให้เรียบร้อย ฉันเปลี่ยนใจแล้ว แกต้องไปขึ้นเครื่องวันมะรืน”









“แต่ว่า พ่อ”











“ไม่มีแต่!!!! ไป!!!!!!”










เสียงตะคอกลูกชายดังสนั่นไปทั่วบริเวณ กันต์ธรร้องไห้โฮดวงตาแดงก่ำ แต่ถึงอย่างนั้น บิดาเขาก็ยังคงตวาดออกมาเรื่อยๆ จนเด็กหนุ่มไม่อาจทนได้ไหวกับคำดูถูกเหยียดหยามสารพัดกับความรักของเขา กันต์ธรวิ่งกลับเข้าห้องของตัวเองแล้วฟุบหน้าร้องไห้กับหมอนอย่างบ้าคลั่ง















ดวงใจบอบช้ำหนัก อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เด็กหนุ่มมีคำถามมากมายที่หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เขาทั้งเจ็บปวด และกดดันติดกันมาหลายวันตั้งแต่ที่ต้องแยกกับภพตะวัน และวันนี้ทุกอย่างมันถึงที่สุดแล้ว ความรุนแรงจากบิดาที่เขาได้รับเมื่อสักครู่ สั่งให้ลูกชายเพียงคนเดียวของบ้านต้องปืนหน้าต่างห้องตัวเองออกมาด้านนอก








เด็กหนุ่มย่องเบาไปยังโรงจอดรถแล้วเร่งเครื่องจักรยานยนต์ออกรั้วบ้านไปโดยที่มีสายตาของเจ้าของบ้านทั้งสองเฝ้ามองอยู่














“ธร…”






“ปล่อยมันไป ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามันจะไปไหนได้!”










กันต์ธรมีเพียงจุดหมายเดียวที่ต้องการไป แต่เขาจำไม่ได้แล้วว่า บ้านหลังนั้นที่มีคนในดวงใจอาศัยอยู่ อยู่ที่ไหน เด็กหนุ่มขี่รถฝ่าความมืดไปตามถนนสองเลนส์ ผ่านป่ามืดและจุดเปลี่ยวสุดอันตราย ลึกไปเรื่อยๆ ด้วยจิตใต้สำนึกสั่งการออกมา เท่าที่ความทรงจำสมัยเด็กจะยังคงมีอยู่









เขาขี่รถไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด จนเจอเข้ากับตู้โทรศัพท์สาธารณะข้างทางในที่เปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง กดโทรออกไปยังเบอร์บ้านของภพตะวันที่จำได้ขึ้นใจ และเพียงไม่นานเส้นทางไปบ้านหลังนั้นก็ถูกบอกเล่า โดยมารดาของภพตะวัน











“ธรจะมาหาภีมเหรอลูก?”






“ครับ ผมไปได้ไหม”






“ธร…แม่พูดตามตรงนะ แม่อยากให้ลูกชายของแม่มีชีวิตแบบคนปกติทั่วไป”







“…”













“แต่พอแม่เห็นหน้าภีมแล้ว แม่ก็ทำใจไม่ได้เลย ภีมเอาแต่ร้องไห้ทุกวัน…ถ้าธรอยากมาก็มาเถอะ แม่จะออกไปรอเปิดประตูให้”









“ขอบคุณนะครับ”
































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------





 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:





ขอบคุณคอมเม้นท์จาก คุณ AkuaPink และ คุณ blove มากๆเลยนะคะ  :กอด1: :L1: :L1:

ลุ้นกันต่อแบบยาวๆนะคะ เรื่องนี้เราเขียนจบแล้วนะคะ กะว่าจะลงทุกวันจนจบเลยค่ะ

เป็นกำลังใจให้เราด้วยน้าทุกคนนนน // รักกกก   :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4:





ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
รอดูจุดเปลี่ยนของความโกรธที่รุนแรงนี้

ออฟไลน์ smmikie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
จุดแตกหักรอบแรกป่าวเนี่ย ยังจะมีจุดพีดกว่านี้อีกใช่ไหม?


*รบกวนคนเขียน ช่วยลดบรรทัดให้ชิดกันกว่านี้หน่อยได้ไหม? อ่านทีไรนึกว่าจบทุกที มันห่างกันเยอะอ่ะ

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
เรื่องน่าสนใจมากเลยยนน เราจะคอยติดตามนะคะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 10 : ตอกสลักลงกลางใจ













รถจักรยานยนต์ถูกขี่มาไกลถึงสิบกิโลโดยเด็กหนุ่มอายุ 18 ปี เขาฝ่าดงอันตรายที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้และความสลัวจากท้องถนนมาจนถึงบ้านหลังใหญ่ในชุมชนแห่งหนึ่ง บ้านที่เขาเคยมาเมื่อตอนที่ยังจำความแทบไม่ได้ และหากว่าเจ้าของบ้านไม่บอกทางไว้ให้ กันต์ธรคงไม่มีโอกาสมาถึงที่นี่ได้โดยสวัสดิภาพเป็นแน่




ไม่ต้องรอนานให้เสียวสันหลังกับความอันตรายแห่งรัตติกาลไปมากกว่านี้ เจ้าของบ้านผู้มีใบหน้างดงามที่ได้พูดคุยกับเด็กหนุ่มทางโทรศัพท์เมื่อครู่ ก็ได้เดินออกมาเปิดประตูรั้วแล้วเชิญแขกอายุน้อยให้เข้ามาในบ้าน…บ้านหลังใหญ่ที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ราคาแพง




“สวัสดีครับป้าบัว”


“สวัสดีจ้ะธร”


“ผมขอรบกวนไม่นาน แล้วจะรีบไปนะครับ ลุงเตี๋ยวรู้ไหมครับว่าผมมา?”


“พี่เตี๋ยวนอนแล้ว ธรไม่ต้องห่วงนะ คืนนี้จะค้างกับภีมก็ได้ ป้าไม่ว่าอะไร”


“ผม…”


“ภีมไปนอนบ้านธรมาตั้งหลายปี ธรมานอนที่นี่บ้างไม่เป็นไรหรอก”


“ขอบคุณนะครับ”



กันต์ธรที่ได้รับความเห็นใจจากผู้ใหญ่เป็นครั้งแรก น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง หลังจากที่มันเหือดแห้งไปแล้วก่อนเข้าบ้านมา เขาพยายามเช็ดมันออกเพื่อไม่ให้ใครได้พบกับความอ่อนแอของเขามากนัก





จนเมื่อเขาเดินขึ้นด้านบน เคาะประตูห้องของภพตะวัน และเจ้าของห้องเปิดประตูออกมานั่นแหละ กันต์ธรก็เข้าใจได้ในทันทีว่า ไม่ใช่เพียงเขาที่พยายามกลั้นใจไม่ปล่อยให้ร่างกายและจิตใจต้องจมดิ่งไปมากกว่าที่เป็นอยู่




“ธร…!?!”


“ภีม…ฉันขอเข้าไปหน่อยได้ไหม?”



ใบหน้าของภพตะวันที่กันต์ธรแสนหลงใหล ดำคล้ำลงไปทั้งผิวพรรณและใต้ดวงตา ความทุกข์ที่ฉายออกมาจากแววตาอย่างปิดไม่มิดนั้นก็ด้วย เจ้าของห้องเปิดประตูให้อ้ากว้างขึ้นแล้วปล่อยให้แขกเดินผ่านตัวเขาเข้าไปด้านใน ก่อนที่เจ้าของห้องจะปิดประตูแล้วเดินตามเข้าไป





“นายมานี่ได้ไง?”


“ป้าบัวบอกทาง”


“แม่เหรอ?”


“อือ แม่ภีมใจดีมากเลยนะ”


“แล้วพ่อรู้ไหมว่าธรมา?”


“ป้าบัวบอกว่าไม่รู้ ลุงเตี๋ยวหลับไปแล้ว”


“แล้วพ่อนายล่ะ?”


“ฉันออกมาเลย ไม่ได้บอกพ่อ”


“ธร…”




ภพตะวันน้ำตาไหลพรากโผเข้ากอดกันต์ธรไว้แน่นอย่างไม่ยอมปล่อย เด็กหนุ่มสองคนสะอื้นไห้ในอ้อมกอดของกันและกันอยู่เนิ่นนาน ด้วยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ ทั้งยังความพลัดพรากที่ประชิดพวกเขาเข้ามาทุกที




เจ้าของห้องที่ร้องไห้จนใจเริ่มเบาหวิว ดันกายออกแล้วใช้นิ้วนวลเนียนนั้นปาดเช็ดน้ำตาให้กันต์ธรอย่างแผ่วเบา แต่ไม่ว่าจะพยายามปาดมันออกอย่างไร เพื่อนรักก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องไห้ลงไปได้เลย




“ฉันอยากอยู่กับนายนะภีม”


“นายคุยกับพ่อนายรึยัง ที่จะขอไปอังกฤษ”


“ฉันขอแล้ว พ่อด่าฉันแรงมากเลยภีม ฮือ”


ภาวะจุกในอกจากการถูกดุด่ารุนแรงอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน สร้างความสะเทือนใจให้กับกันต์ธรได้จนนาทีนี้ เขาสะอื้นไห้อย่างเจ็บปวดในอ้อมกอดของภพตะวันอีกครั้ง เดาไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า หากถูกคนในครอบครัวล่วงรู้ความลับนี้เข้า คงถูกด่าว่าอย่างรุนแรง แต่พอโดนเข้าจริง เจ้าตัวกลับไม่สามารถทำใจยอมรับฟังคำปรามาสสุดเผ็ดร้อนเหล่านั้นได้เลย




“แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงดีธร ฉันนึกไม่ออกเลย”


“ฉันจะแอบย้ายไปเอง ขอเวลาฉันสักปีนะภีม แล้วฉันจะรีบไปหานายที่อังกฤษ”


“ถ้ามันง่ายแบบที่นายว่าก็ดีน่ะสิ”


“ถึงมันจะยาก ฉันก็จะพยายาม…ฉันสัญญา”



กันต์ธรเอื้อมกุมมือของภพตะวันเอาไว้ดังเช่นที่เขาทำมาตลอดหกปีเศษ เด็กหนุ่มเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้คนในดวงใจแล้วประทับรอยจูบสุดแสนเจ็บปวดเจียนขาดใจนั้นลงไปบนปากสีแดงที่บัดนี้แห้งกรัง แขกผู้มาใหม่ไล่เลียปากนั้นให้เริ่มชุ่มชื้นขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อย ก็ส่งลิ้นไล่เลียดูดกลืนคราบน้ำตาบนใบหน้าของภพตะวันต่อ จนเจ้าตัวรู้สึกพอใจในการได้ปลอบประโลมชายผู้งดงามในครั้งนี้





“คืนนี้ฉันนอนด้วยได้ไหม?”


“นี่มันดึกมากแล้วนะธร ยังไงฉันก็ไม่ปล่อยนายกลับหรอก”


“ภีม…พ่อเลื่อนกำหนดการของฉันเป็นวันมะรืนแล้วนะ”





“ฮือ…ธร”




น้ำตาที่เริ่มเหือดแห้งไปเมื่อครู่กลับมาอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ ไม่ว่าเจ้าของห้องจะพยายามเบียดตัวเข้าใกล้ชิดกันต์ธรมากเพียงใด นั่นก็ไม่อาจแทนความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีได้เลย







“ภีม”


“…”


“ฉันทำได้ไหม?”




“ธร…”



“ฉันสัญญาว่าจะไม่เกินเลยจนนายต้องเจ็บปวด…ได้ไหมภีม?”

ภพตะวันหลับตาร้องไห้ด้วยเข้าใจสิ่งที่กันต์ธรพยายามร้องขอมาโดยตลอด ใช่ว่าเขาจะไม่อยากถูกเพื่อนรักกอดอย่างลึกซึ้งเสียเมื่อไหร่ แต่หากว่าเหตุการณ์ดำเนินไปถึงขั้นนั้นแล้วล่ะก็ ความเจ็บปวดใจที่เกิดอยู่นี้ ก็จะเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณขึ้นไปอีก






“นายจะไปวันมะรืนแล้วนะ ไม่สงสารฉันบ้างเหรอ ถ้าเราทำแบบนั้นกันน่ะ”


“เราโตกันแล้วนะภีม ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องรับผิดชอบนายอยู่แล้ว”




“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น ฉันแค่ไม่อยากรู้สึกถึงนายตลอดเวลา”


“…แต่ฉันอยากรู้สึกถึงนายตลอดเวลา”


“นายก็เอาแต่ใจแบบนี้อยู่เรื่อย…เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอธร?”





“ใช่ เราเป็นเพื่อนกัน”





แขกผู้ฝ่าดงอันตรายมาไกลสิบกิโล ดึงภพตะวันมาโอบกอดอีกครั้ง และคราวนี้เขาเริ่มสอดมือเข้าไปใต้เสื้อนอนของเจ้าของห้องเป็นที่เรียบร้อย มือนั้นลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเรียบเนียนแล้วค่อยๆ เคลื่อนลงจนถึงขอบกางเกงนอนผ้าไหมลายเดียวกับเสื้อ ก่อนจะสอดมือเข้าไปแล้วออกแรงบีบแล้วปล่อย ครั้งแล้วครั้งเล่า กับก้อนกลมนุ่มมือนั้น








“อือ…ธร”



“ฉันสัญญา จะไม่เกินเลยจนนายต้องทุกข์ใจ…ได้ไหมภีม”


“นายจะทำยังไง? ทำเป็นเหรอ?”


“พูดตรงๆ ฉันก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ไม่รู้ขั้นตอนอะไรเลย ก็แค่จะขอลองทำต่อจากที่เราทำกันอยู่บ่อยๆ แค่นั้นเอง”



“ฉันก็เป็นผู้ชายแท้ๆ ไม่ได้นุ่มนิ่มแบบเด็กผู้หญิงด้วยซ้ำ นายแน่ใจเหรอว่าชอบจริงๆ”









“ฉันไม่ได้ชอบ…ฉันรัก”







“ธร…”







“เป็นแฟนกันนะภีม”








“ฮะฮะ มาขออะไรตอนนี้ อยู่ด้วยกันมาตั้งห้าหกปีไม่ยักกะขอ”


“ก็มั่นใจมาได้สักพักละ ว่าจะขอหลังฉันสอบติดคณะเดียวกับนายได้ ฉันพลาดเอง ไม่น่าทำแบบนั้นกับนายในครัวเลย”


“ฉัน…จะตกลงเป็นแฟนนายก็ได้ ถ้านายย้ายมาหาฉันที่อังกฤษได้จริงๆ”


“ทำไมไม่เป็นตอนนี้เลยอ่ะ?”


“เป็นไม่ได้”


“ทำไม…นายไม่รักฉันบ้างเลยเหรอภีม?”


“ฉันไม่รู้…แค่อยากมั่นใจกว่านี้ ว่านายจะไม่ทิ้งฉัน”


“ฉันไม่มีวันทิ้งนาย”


“มั่นใจจังนะธร โลกนี้มีอะไรอีกตั้งเยอะแยะที่พวกเรายังไม่รู้ บางทีพอนายไปอยู่นู่นอาจมีใครที่ทำให้นายรู้สึกดีกว่าฉันก็ได้นะ”





“ฉันมั่นใจ ไม่ว่าร้ายหรือดีที่กำลังจะผ่านเข้ามา หัวใจฉันจะมีแค่นายเพียงคนเดียวตลอดไป”





“ธร…นาย”





ภพตะวันไม่สามารถมองหน้าเพื่อนรักได้อีกต่อไป ด้วยเขินอายสุดขีด ร่างกายเด็กหนุ่มสั่นเทาอย่างหนักจนเสียอาการไปเป็นที่เรียบร้อย พัฒนาการในการหยอดของกันต์ธรมีมากขึ้นทุกวันอย่างที่เจ้าตัวจะรู้สึกตัวบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ด้านคนที่ถูกหยอดนั้น ไม่อาจทนไหวกับคำพูดหวานเจี๊ยบมดขึ้นนั้นได้อีก




เจ้าของห้องผละออกจากอ้อมกอดของเพื่อนรักแล้วเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงหกฟุต แล้วคลุมโปงเอาไว้มิดด้วยใจสั่นอย่างรุนแรง ทั้งใบหน้าและร่างกายก็ร้อนผ่าวอย่างไม่อาจหยุดยั้ง น้ำตาที่ไหลมาหลายวันของทั้งคู่ เหือดแห้งไปหมดแล้ว เมื่อได้รับไอเย็นอันหวานเจี๊ยบนั้นเข้ามาแทนที่




กันต์ธรที่พูดเองเออเอง เริ่มระลึกได้ในสิ่งที่เขาใช้ใจพูดออกไปเมื่อครู่ โดยที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองของสมอง เจ้าตัวจึงเริ่มมีใบหน้าขึ้นสีไม่ต่างกัน รอยยิ้มกว้างฉายออกมาจากภายใน ภพตะวันที่เขินอายในวันนี้ น่ารักขึ้นกว่าที่เขาพบมาตลอดหลายเท่าตัว ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เพื่อนรักไปฝึกความน่ารักมาจากที่ไหน แต่แขกเช่นกันต์ธรไม่อาจข่มใจทนต่อไปได้ไหวอีกแล้ว





เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนข้างก้อนบางอย่างที่ขดอยู่บนเตียง แล้วรวบเจ้าก้อนนั้นมาไว้ในอ้อมแขน พร่ำคำหวานต่อไม่หยุด พร้อมลมหายใจที่รินรดรุนแรง จนคนที่กำลังซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มนั้นรู้สึกได้






“นายจะให้ฉันกอดนายนอนแบบนี้ทั้งคืนจริงดิภีม ไม่สงสารฉันเหรอ ฉันอยากจูบนายใจจะขาดแล้วนะ”


“…”


“ภีม…ฉัน ฉัน….”


“…”







“…ธร?”


กันต์ธรส่งเสียงประหลาดออกมาครู่หนึ่งก็นิ่งเงียบไปไม่ไหวติงใดๆ อีก จนคนที่กำลังเขินอายจนม้วนเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมา ดักแด้น้อยค่อยๆ โผล่หัวออกมาจากผ้าห่มผืนหนาชะโงกไปยังชายหนุ่มผู้ใช้วงแขนโอบรัดร่างดักแด้น้อยอยู่ และพบว่ากันต์ธรหลับตานิ่งไปจนน่าเป็นห่วง






“ธร…นายเป็นอะไร?”


“…”





“ธร!”



เจ้าดักแด้ดันตัวออกจากเปลือกเรียบร้อยแล้ว แล้วเคลื่อนกายเข้าใกล้กับใครบางคนที่คล้ายหมดสติไป มือนุ่มจับสัมผัสใบหน้าของกันต์ธรเอาไว้แล้วลูบไล้ไปมาอย่างแผ่วเบา เขาใกล้ชิดกับชายคนนี้มาเนิ่นนาน แต่ก็ไม่เคยได้ทันสังเกตอย่างจริงจังว่าใบหน้านี้นั้น ช่างให้ความรู้สึกที่น่ารักน่าใคร่มากมายถึงเพียงใด







ภพตะวันบรรจงจูบลงไปบนแก้มใสของเด็กหนุ่มที่เตี้ยกว่าเขา แล้วลากไปยังปลายจมูก ประทับลงบนหน้าผาก ปลายคาง และเปลือกตาที่ปิดลงอยู่ในตอนนี้



“ธร…เป็นอะไร”




น้ำเสียงแผ่วเบาเล็กแหลมที่น่ารักน่าชังไม่ต่างจากใบหน้าของคนเอื้อนเอ่ยเลยสักนิด เขายังคงลูบไล้ใบหน้าที่คุ้นชินพร้อมส่งเสียงและแววตาสุดหวานจ๋อยไปยังกันต์ธร แม้จะไม่มีเสียงใดตอบกลับมาเลยก็ตาม อารมณ์หวานๆ ที่คล้ายกับใส่ฟิลเตอร์หัวใจสีชมพูโดยรอบเช่นนี้ พึ่งเคยเกิดขึ้นกับใจของภพตะวันครั้งนี้เป็นครั้งแรก






“ธร…”


“…”












“…ฉันรักนาย”










พรึบ


“ฮะฮะ”


เปลือกตาที่แสร้งปิดมาได้พักใหญ่ เบิกโพลงขึ้นทันทีที่จบคำพูดแสนแผ่วเบาและหวานละมุนนั้น ส่งให้เจ้าของเตียงมีเสียงคิกคักในลำคออย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นท่าทางสุดประหลาดของกันต์ธรในตอนนี้





“นายว่าไงนะ?”



กันต์ธรถามออกไปด้วยดวงตาเบิกโพลงเช่นเมื่อครู่ด้วยคิดว่าตนเพียงหูฟาดไป แต่คำยืนยันที่ได้รับกลับมาพร้อมรอยยิ้มและรอยจูบนั้น ยืนยันได้เต็มร้อยว่าเขาได้ยินไม่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ใจปรารถนาจะได้ยิน














“ฉันรักนาย”





“ภีม…”



“ทำหน้าตลกชะมัด ฮะฮะ”



แม้จะหัวเราะแผ่วเบา แต่เจ้าของห้องก็ไม่กล้าจ้องมองใบหน้าเพื่อนรักได้อย่างตรงๆ อีกต่อไป กันต์ธรดึงมือน้อยๆ ของภพตะวันขึ้นมาแล้วทาบลงบนอกข้างซ้ายของเขา เสียงหัวใจที่เต้นกระหน่ำสูบฉีดโลหิตรุนแรง เรียกเลือดฝาดให้ฉาบไล้บนใบหน้าของภพตะวันให้เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นเท่าทวีคูณ…เสียงหัวใจที่ภพตะวันคิดมาตลอดว่าแสนไพเราะเหนือสิ่งอื่นใด










“โคตรดีใจเลย”



“อือ..”



“จริงๆ นะ”


“รู้แล้วน่า”





กันต์ธรที่เลือดสูบฉีดอย่างหนักไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป เขาดันตัวลุกขึ้นแล้วคร่อมทับร่างของภพตะวันที่นอนยิ้มอยู่เอาไว้ มือขาวลูบเสยผมที่ปรกใบหน้าของเจ้าของห้องออกอย่างแผ่วเบา แล้วประทับรอยจูบลงไปทุกส่วนอย่างรักใคร่ ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มส่งลิ้นเข้าไปในโพรงปากของเพื่อนรักแล้วกวาดต้อนเอาทุกสัมผัสสุดหอมหวานกลืนกลับเข้ามาในกายและใจของเขา ให้มันประทับตราตรึงลงไปอย่างไม่มีวันลืมเลือนด้วยความตั้งใจของเขาเอง












*****เซ็นเซอร์*****ค่ำคืนอันหวานฉ่ำ*****























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------
    ​




 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:








ขอบคุณ คุณ bunคุณ smmikie  และ คุณ singalone มากๆเลยนะคะ สำหรับคอมเม้นท์  :กอด1:


มาลุ้นกันต่อนะคะ ^^ เราขยับบรรทัดให้แล้วนะคะ มีอะไรแนะนำตรงไหนบอกเราได้นะ

ขอบคุณมากค่าาา  :pig4: :pig4: :pig4: :L2:





ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
รักกันมากขนาดนี้ มันต้องกลับมาต่อติดละน๊า อิอิ  :z2:  รอตอนต่อไปเลยค่ะ จะยังไงดีกับอุปสรรคนี้  :n1:

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 10 : เมฆฝนที่เริ่มก่อตัว























“ฮัลโหลแม่ สวัสดีครับ”



“ธร…”




กันต์ธรที่เดินทางไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่อเมริกาครบหนึ่งปีเต็ม วันนี้ เขาได้รับโทรศัพท์ทางไกลจากบ้านเกิด โดยที่มารดาได้โทรมาแจ้งข่าวเรื่องให้เขาทำเรื่องย้ายกลับไทยโดยเร็วที่สุดด้วยเหตุผลบางอย่างของครอบครัว







เด็กหนุ่มที่เริ่มคุ้นชินกับวัฒนธรรมต่างแดน ไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมากนัก แต่ก็ไม่อาจโต้แย้งใดใดต่อความต้องการของบิดาเขาได้ หลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ มารดาก็โทรกลับมาเร่งเขาให้เดินทางกลับบ้านเกิดอีกครั้ง และนั่นทำให้อีกสัปดาห์ต่อมากันต์ธรได้ตีตั๋วกลับในทันที






ข้อตกลงที่ได้ให้กันไว้ระหว่างภพตะวันและกันต์ธร คือเมื่อกันต์ธรเรียนจบ จะย้ายไปอยู่ที่อังกฤษกับเพื่อนรัก และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นด้วยกันโดยไม่ต้องรู้สึกผิดใดใดอีกต่อไป หากแต่เมื่อแผนการถูกเปลี่ยนแปลงกะทันหัน กันต์ธรที่รีบร้อน ทำได้เพียงส่งจดหมายฉบับเดียวไปให้ภพตะวัน จากนั้นเขาก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปอีกเลย เพราะ…










“แม่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”



เด็กหนุ่มใกล้วัย 20 ปี เดินเข้าบ้านตัวเองด้วยดวงใจวูบไหว ของภายในบ้านหายไปเกือบหมด หลงเหลือไว้เพียงพื้นที่โล่งให้กันต์ธรได้มองเห็น และเสื่อลายขวางที่ถูกปูไว้บนพื้นกับเบาะรองนั่งเก่าๆ



มันเกิดอะไรขึ้น?



คำถามมากมายที่เจ้าของบ้านอายุน้อยต้องการคำตอบมากที่สุดในตอนนี้ หากแต่เขากลับไม่ได้รับคำตอบใดกลับมา มีเพียงน้ำตาของมารดาที่เอ่อคลอแล้วโผเข้ากอดลูกชายสะอื้นไห้ตัวโยนอย่างเนิ่นนาน ความรู้สึกจุกอยู่ในลำคอ ไม่สามารถเอ่ยตอบใดใดลูกชายได้ในตอนนี้





เมื่อปลอบโยนมารดาได้พักใหญ่ เขาก็ขอเดินสำรวจรอบบ้านให้หายสงสัยเสียหน่อย เด็กหนุ่มเดินไปยังห้องครัว ห้องนั่งเล่น และอีกหลายห้องที่ชั้นหนึ่ง ซึ่งบัดนี้ไม่หลงเหลืออุปกรณ์เครื่องใช้หรือของตกแต่งใดให้ได้มองเห็นถึงความร่ำรวยและมั่งมีของผู้อยู่อาศัยได้อีกแล้ว







ดวงใจชาวาบตกลงไปถึงปลายเท้า กันต์ธรเดินขึ้นชั้นสองของตัวบ้าน แล้วค่อยๆ ก้าวไปยังห้องส่วนตัวที่ไม่ห่างจากบันไดมากนัก เขาใช้มือผลักเข้าไปด้านใน และบัดนี้ เตียงเล็กๆ ที่เขาใช้นอนตั้งแต่จำความได้ ได้มลายหายไปจากห้องนอนเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีเพียงของใช้ส่วนตัวของเขาบางส่วนเท่านั้นที่วางกองอยู่กับพื้น ทั้งชั้นวางชั้นโชว์ของ หายไปเกลี้ยงห้อง





และที่มากไปกว่านั้น หนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดของเขาและภพตะวัน รวมทั้งเกมกดที่เขารักและหวงแหนยิ่งสิ่งใด ก็หายไปเกือบหมด











“แม่!!!!!”





เด็กหนุ่มวิ่งลงบันไดเสียงดัง ในอกที่ออกอาการชาเมื่อครู่ เต้นกระหน่ำรุนแรงขึ้น ด้วยของสำคัญได้หายไปเกือบหมดทุกอย่าง เขาลงมาและเห็นมารดานั่งอยู่บนเสื่อตัวเดียวในห้อง จ้องมองมาที่เขา





“ของธรอ่ะ!?! การ์ตูนธรหายไปไหนหมด แม่!!!!!”





กันต์ธรร้อนรนหนัก จุกแน่นไปหมดจนไม่อาจหยุดยั้งน้ำตาแห่งคำถามมากมายที่เกิดขึ้นได้ เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่เขาไม่อยู่ ระยะเวลาเพียงปีกว่าเท่านั้น ทำให้สิ่งต่างๆ ที่นี่เปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?





“ธร…ใจเย็นๆ ก่อนนะลูก”





มารดาที่นั่งนิ่ง สะอื้นไห้อีกครั้ง เธอไม่สามารถบอกเล่าใดใดได้ทั้งหมดในตอนนี้ ด้วยตนนั้นก็ยากเหลือเกินกับการรับมือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น



















ตระกูลณรงค์กร เจ้าของธุรกิจรถสิบล้อชื่อดังในจังหวัด บัดนี้ไม่หลงเหลืออำนาจบารมีใดให้น่านับถืออีกต่อไป เด็กหนุ่มวิ่งออกจากบ้านเมื่อได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ จากมารดา เขาวิ่ง วิ่งไป และวิ่งไปเรื่อยๆ จนโผล่พ้นละแวกบ้าน วิ่งต่อไปทางโรงเรียนที่เขาเดินไปเรียนเป็นประจำหกปี แล้วเลยไปอีกเกือบหนึ่งกิโลเมตร






จนถึงชุมชนแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินเข้าไปตามทางเดินที่เกรอะกรังไปด้วยเศษดิน หิน ทราย ที่เกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน เดินเข้าลึกไปเรื่อยๆ กระทั่งได้พบกับบ้านไม้หลังด้านในสุดที่มารดาได้บอกไว้ ใครต่อใครที่เขาเดินผ่านมามองหน้าเขาด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร เช่นเดียวกับคนเฝ้าประตูตัวใหญ่สองคน และคนอีกกลุ่มที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะหินอ่อนใกล้ๆ กับบ้านไม้หลังนั้น







“ไอ้หนู มาหาใคร?”




หน้าตาท่าทีขึงขังถูกส่งมาถามเด็กหนุ่ม พร้อมมือหนาที่กันแขกเอาไว้ไม่ให้พุ่งตัวเข้าไปในบ้านได้





“มาหาพ่อเต่า”



“ลูกไอ้เต่าหรอกเหรอ?”



สรรพนามหยาบโลนที่กันต์ธรไม่เคยคิดที่จะเรียกใครมาก่อนในชีวิต ถูกใช้กับชื่อบิดาของเขา นั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ต่อความยาวกับชายผู้มีรูปร่างหน้าตาน่ากลัวคนนี้ เขาเดินเข้าไปด้านในเมื่อมือที่กั้นไว้เมื่อครู่ลดลง





สมาชิกชายหญิง ดูดีมีราศีไปจนถึงผู้ไม่มีสิ่งใดประดับกาย บ้างยืนยิ้ม บ้างคิ้วตกสลับยืนปะปนกันเต็มบริเวณ เด็กหนุ่มผู้เข้ามาใหม่มองหาบิดาเขาอยู่เพียงครู่ ก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ซึ่งบัดนี้ได้ต่างออกไปจากเมื่อก่อนมาก แม้จะพึ่งแยกกันมาเป็นเวลาเพียงปีกว่า











“พ่อ!!!! ธรขอคุยด้วยหน่อย”




กันต์ธรเดินไปตบเบาๆ เข้าที่บริเวณท่อนแขนของบิดา ที่บัดนี้กำลังมีใบหน้ายิ้มแย้มอย่างหนักอยู่ในวงไฮโล





“ไอ้ธร!! มานี่ได้ไง!?!”




เมื่อบิดาเห็นลูกชาย ก็ตกใจหุบยิ้มขึ้นมาเสียอย่างนั้น เขากระซิบกับคนในวงพนันครู่หนึ่ง แล้วลากแขนลูกชายให้เดินออกไปคุยกันด้านนอก ผ่านผู้คุ้มกันประตูคนเดิมเมื่อครู่ แล้วห่างออกไปบริเวณริมคลองหลังบ้าน








“มาทำไม!?!”



“พ่อเอาการ์ตูนธรไปขายทำไม!!!!?!”



“อะไรของแกวะ มาถึงก็ตะคอกฉันเลย!!! แกเห็นสภาพบ้านเราไหม อะไรขายได้ฉันก็ต้องขาย! ไม่งั้นจะเอาอะไรมากิน มาเลี้ยงแม่แก ห๊ะ!!!”





“ตังก็ไม่มี แล้วมาบ่อนทำไม!!!!”

















เพลี๊ยะ!!!!!




ฝ่ามือหนักๆ กระทบใบหน้าขาวเนียนของเด็กหนุ่มเข้าเต็มๆ แว่นตาคู่ใจกระเด็นหลุดตกลงบนพื้นใกล้ๆ กับบริเวณนั้น จนเจ้าตัวต้องรีบก้มลงควานหา ระหว่างนั้นเองที่บิดาเขาย่อตัวลงแล้วเริ่มพูดจาด่าทอต่อไปอีก







“เพราะมีลูกโง่! แบบนี้ไง ฉันถึงได้หมดตัว ยังมีหน้ามาถามอีก ว่ามานี่ทำไม!! ที่นี่ดีที่สุดแล้ว เงินทุกบาททุกสตางค์ฉันเอามาต่อยอด ไม่รู้อะไรยังมีหน้ามาอวดดีอีก ไอ้เด็กเวร!!!!”








“…”




ลูกชายที่ถูกทำร้ายร่างกายเป็นครั้งแรก สวมแว่นสายตากลับเข้าที่เดิมพร้อมน้ำตา เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว จึงได้วิ่งหนีกลับบ้านตัวเองไป










ความร้าวฉานที่นายเต่า อดีตเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ประสบความสำคัญอย่างมหาศาลโยนให้เป็นความผิดของคนตระกูลวงศ์วรรธน์ พี่ชายของตนเองที่ฮุบกิจการทุกอย่างไป จนเขาหลงเหลือเพียงแต่ชื่อ และสิ่งเดียวที่ทำให้ชายผู้เลยวัยกลางคน สามารถตื่นเช้าขึ้นมาใช้ชีวิตต่อได้ คือการได้นำหนี้ที่ตนสร้างไว้มากมาย มาต่อยอดเพื่อสร้างหนี้ของตนให้มากขึ้นไปอีก






และไม่มีใครเลยบนโลกใบนี้ ที่จะห้ามปรามชายผู้ถูกผีพนันเข้าสิงเต็มรูปแบบคนนี้ได้









เด็กหนุ่มอนาคตไกลที่กำลังเริ่มออกเดินทางเพื่อชีวิตที่มั่นคงในอนาคต กลับต้องยุติทุกอย่างลง ด้วยไม่มีสิ่งใดสนับสนุนเขาอีกแล้วในชีวิต จากเมืองนอกเมืองนาสู่ชุมชนอันเต็มไปด้วยความป่าเถื่อนและการใช้ชีวิตที่ผิดรูปแบบของคนในครอบครัว เหตุการณ์ที่กันต์ธรไม่เคยนึกฝัน ว่าจะเกิดขึ้นจริงกับชีวิตเขา






ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลณรงค์กร ไม่เฝ้าคอยถามอีกต่อไปว่าบัดนี้เกิดอะไรขึ้น ไม่เฝ้าจับผิดผู้ใดหรือพยายามหยุดบิดาเขาอีกต่อไป เขาตัดสินใจยุติบทบาทการเป็นนักเรียนนักศึกษาของตนเอาไว้ แล้วเริ่มเดินสายหางานทำด้วยวุฒิการศึกษาชั้น ม.6

















เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คาด เด็กหนุ่มผู้ได้รับความสะดวกสบายมาตั้งแต่เด็ก ไม่สามารถโหมงานหนักอย่างที่ใครๆ เข้าใจ เขาเริ่มต้นด้วยกันรับถั่วมาเดินขายตามท้องตลาด เคาะไปตามบ้านหลังต่างๆ ในย่านคันคลองแสนหดหู่ รายได้ที่สุดแสนน้อยนิดจนแทบมองไม่เห็นกำไร ไม่ได้ทำให้เขาท้อแท้ใจ กันต์ธรเริ่มมองหางานใหม่ๆ จากสถานที่ ที่เขาต้องเดินผ่านในทุกวัน เขาขอไปช่วยงานขนท่อนไม้ในปางของพ่อเลี้ยงคนหนึ่งในชุมชน แต่สุดท้ายแล้ว ก็ถูกกลั่นแกล้งสารพัดจากคนงานรุ่นเก่า จนเด็กหนุ่มทนไม่ไหวจึงได้ขอเดินออกมา






“ธร วันนี้เป็นยังไงบ้างลูก?”




“…สนุกดีแม่”





เด็กชายขายาวตัวผอมที่พึ่งผ่านการทำงานที่ใช้ร่างกายอย่างหนักมา ยิ้มขื่นให้มารดาครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตามมาด้วยหยดน้ำตาแห่งความอิดโรย นอกจากจะเหนื่อยกายแล้ว เขายังไม่เคยโดนดูถูกเหยียดหยามมากมายเท่านี้มาก่อนเลย แม้แต่คนที่เขาเคยคิดว่าอยู่ระดับล่างกว่าเขามากๆ เช่นคนงานขนท่อนซุง บัดนี้ก็สามารถกดหัวเขาให้จมดินลงได้ โลกใบนี้ช่างโหดร้ายเสียจนกันต์ธรอยากลาลับไปเสียไวไว






“อันนี้ค่ากับข้าวของพรุ่งนี้นะแม่ แม่ซ่อนไว้ดีดีนะ ธรจะหามาให้เพิ่ม แม่รอก่อนนะ”






กันต์ธรพูดปนสะอื้นไห้ เขาไม่เคยรู้สึกว่าเงินทองเป็นของมีค่ามากมายเท่าช่วงเวลานี้มาก่อน และแม้ว่าเขาจะเหนื่อยยากสักปานใด ก็ยังคล้ายกับว่าจะไม่เพียงพอสำหรับเลี้ยงปากท้องของคนในครอบครัวได้เลย








“เงินที่ธรให้ไว้เมื่อวาน แม่รีบเอาไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่เลยนะ ก่อนที่พ่อจะมาเจอ”



“อึก…ธร”



“แม่?”





“ฮืออ ไม่เหลือแล้ว เงินที่ลูกให้มาเมื่อวาน พ่อเขาเอาไปบ่อนหมดแล้ว”




มารดาปล่อยโฮด้วยสุดจะกลั้น เงินอันน้อยนิดที่ทุกคนในครอบครัวกระเบียดกระเสียรอย่างหนักเพื่อให้มีไว้สำหรับกินข้าว ถูกแย่งชิงเอาไปต่อยอด? ด้วยฝีมือของบิดาที่ไม่คิดจะทำมาหากินสุจริตแต่อย่างใด








กันต์ธรที่พึ่งผ่านงานหนักมาปาดน้ำตาออกจากใบหน้าจนหมด บัดนี้ดวงตาของเด็กหนุ่มฉายความรุนแรงขึ้นมาจนมารดาเริ่มเป็นห่วง เธอไม่เคยเห็นดวงตาอาฆาตแค้นเช่นนี้ของลูกชายมาก่อน เขาไม่รอให้มารดาได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มอีก สองขานั้นก็ก้าวออกประตูบ้านไปดังปึงปัง







โทสะที่ปะทุหนักของเด็กหนุ่ม ตามเขาไปทุกที่ที่เขาเหยียบย่าง กันต์ธรตรงดิ่งไปยังบ้านไม้หลังเดิม ที่พักหลังเขาได้เดินทางไปบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ด้วยบิดาถูกกักตัวเอาไว้บ้างเมื่อไม่มีเงินขัดดอก แต่ครั้งนี้ เขาจะต้องจัดการบางอย่างให้มันเด็ดขาดไปเสียที




ทั้งความอิดโรยที่ติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน ความเจ็บปวดใจในทุกๆ ทาง ไร้ซึ่งทางออกใดให้เขาได้เลือกอีก















‘ทั้งหมดเป็นเพราะพวกมัน!!! ไอ้พวกคนจั_ไรบ้านวงศ์วรรธน์ พวกมึงต้องไม่ตายดี!!!’









ประโยคฝังใจที่ตลอดระยะเวลาตั้งแต่กันต์ธรกลับมาอยู่บ้าน เขาได้ยินในทุกวัน บิดาเขากล่าวโทษตระกูลของพี่ชาย ที่บัดนี้ ร่ำรวยขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าตัว ในคราวแรก กันต์ธรไม่ได้นึกสงสัยหรือเชื่อคำที่บิดาเขาละเมอเผลอพูดในตอนมึนเมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์







แต่พักหลังมานี้ หลังจากที่เด็กหนุ่มได้เดินทางไปทำงานแบกหามหลายต่อหลายที่ เขาก็ค้นพบว่าบ้านวงศ์วรรธน์นั้น รวยเอาๆ ผิดกับครอบครัวเขาราวฟ้ากับเหว







คำพูดที่เริ่มแทรกซึมเข้ามาในใจและความเชื่อของกันต์ธรมากขึ้นทุกวัน มันสั่งสมและทำให้เขาเริ่มมองหาจุดเชื่อมโยงในสิ่งที่บิดาเขาได้บอกกล่าวเอาไว้ กับความจริงที่กำลังเกิดขึ้น










































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------















ขอบคุณคอมเม้นท์จาก คุณ AkuaPink และ คุณ blove ด้วยนะคะ ^____^

มาลุ้นกันต่อค่า  :กอด1: :L2: :L2: :L2:



 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:





    ​

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
มันเป็นเพราะพ่อติดพนันมากกว่าไหม ถ้าตั้งใจทำงานบ้านก็ไม่ต้องอับจนขนาดนี้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด