(END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (END) รอยรักศักดาเดช --- บทที่ 26 : บ่วงทองสองตระกูล (22/01/2020)  (อ่าน 12251 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ตรรกะพ่อของธรป่วยมาก โดนโกงจริงไหมต้องสืบอีกที แต่โดนโกงแล้วควรจะหาทางเอาคืนหรือทำงาน นี่ไรเข้าบ่อน มัวแต่นั่งโทษคนอื่น ส่งต่อความเกลียดชังสู่ลูก อะไรของครอบครัวนี้เนี้ย รอตอนต่อไปเลยค่ะ จะยังไงต่อ

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 11 : ประดับทอง



























“ไอ้ธร พ่อมึงติดหนี้ของวันนี้สามพัน!!! จะจ่ายนายกูมาดีดีหรือจะให้ลากตัวมันลงนรก!?!!!”



“พวกมึงอยากทำอะไรก็เชิญ อย่ามายุ่งกับแม่กู ไสหัวกลับไปซะ!”



“นายกูสั่งมา ถ้ามึงไม่จ่าย ให้เอาตัวแม่มึงกลับไปกับพวกกูด้วย”



หลังจากวันที่กันต์ธรตัดสินใจเดินเข้าไปในบ่อนเพื่อพูดคุยกับบิดาเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็ไม่วายถูกทำร้ายร่างกายอีก จากนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะยุติความช่วยเหลือใดใดที่มีต่อบิดาเขาทั้งหมด หลายครั้งที่เจ้าหนี้ตามมาทวงหนี้ถึงที่บ้าน วันนี้ก็เช่นกัน หนี้ที่ทบทั้งต้นทั้งดอก บานปลายกลายเป็นดงดอกเห็ด แต่บิดาเขาก็ยังไม่วายนำเงินที่กันต์ธรหามาได้อย่างยากลำบากไปต่อยอดเรื่อยๆ





และวันนี้ นายใหญ่ของบ่อนที่บิดาเขาเป็นขาประจำ ไม่ยอมหยุดง่ายๆ อีกแล้ว ชายร่างใหญ่หลายคนที่กันต์ธรเริ่มคุ้นเคย ยกพวกเดินทางมาถึงบ้านณรงค์กรและจับตัวมารดาเขาเอาไว้ตามคำสั่งที่ได้รับมา






“พวกมึงปล่อยแม่กู!!!!”


“มึงก็จ่ายหนี้ของวันนี้มาสิ!!!”


“ปล่อยแม่กู แล้วกูจะไปจ่ายหนี้ให้นายพวกมึงเอง”



เด็กชายผอมก้างกับแว่นหนาเตอะ ไม่มีอีกแล้ว ตั้งแต่วันที่กันต์ธรเริ่มต้นปากกัดตีนถีบเพื่อให้มีชีวิตต่อไปในวันพรุ่งนี้ได้ ระยะเวลาก็ล่วงเลยมาได้ปีเศษ บัดนี้เขามีร่างกายกำยำล่ำสันดั่งผู้ใช้แรงงานหนัก ผิวขาวเนียนละเอียดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหายวับไป เหลือไว้เพียงกล้ามเนื้อสีแทนจากความกร้านแดด แววตาสดใสเช่นเด็กน้อยในวันวาน ถูกกลบฝังลึกลงในจิตใจส่วนที่ถูกปิดตาย





สิ่งที่กันต์ธรมีมาแต่ก่อนเก่า สิ่งที่เขาไม่เคยเข้าใจ ความไม่เกรงกลัวสิ่งใดฉายชัดขึ้นมาเรื่อยๆ ตามกาลเวลา นอกจากนั้น ความเคียดแค้นจากคำพูดของบิดาที่เขาเริ่มเสาะหาความจริง ก็กระจ่างชัดจนเขามั่นใจแล้วว่า นั่นคือความจริงทั้งหมด เขากำลังรอคอยเวลาที่จะเอาคืนคนที่พรากทุกความสุข ทุกสิ่งอย่างของเขาไปเพียงเท่านั้น





ชายหนุ่มเดินไปยังบ่อนที่เขาไปเป็นประจำพร้อมกับกลุ่มนักเลงร่างใหญ่หลายคน หากแต่กันต์ธรกลับรู้สึกถึงความสบายๆ ในบรรยากาศที่ได้ยืนใกล้ชิดกับคนพวกนี้เสียมากกว่าความรู้สึกหวาดกลัวใดใด











...










ก๊อก ก๊อก ก๊อก




“ขออนุญาตครับนาย ลูกไอ้เต่าเอาหนี้มาจ่ายครับ”



“อือ ให้เขาเข้ามา”



ชายวัย 35 ปี ผู้มีผิวกายขาวเนียนละเอียด ไว้ผมรองทรงสีดำขลับ ขับใบหน้านั้นให้กระจ่างสว่างขึ้นกว่าคนทั่วไป นั่งอยู่กลางห้องด้านในของบ้านไม้หลังนั้น ท่วงท่าและการแต่งกายสุภาพเรียบร้อย ช่างไม่เข้ากันแต่อย่างใดกับสภาพการเป็นเจ้าของบ่อนและสถานที่สุดเสื่อมโทรมแห่งนี้





กันต์ธรพึ่งมีโอกาสได้เข้าพบกับเจ้าของบ่อนเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกประหลาดใจอยู่ลึกๆ กับตัวเอง เมื่อเขาไม่อาจละสายตาจากความขาวเนียนละเอียดของร่างที่นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะกว้างนั้นได้เลย หัวใจซ้ำเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสีแดงเริ่มลามไปตามโครงหน้าและใบหู กันต์ธรได้รับเพียงใบหน้านิ่งๆ จากเจ้าของสถานที่ส่งตอบกลับมาเท่านั้น






“อ…เอ่อ”


“ลูกลุงเต่าเหรอ?”


“ครับ”


“วันนี้พ่อนายติดหนี้ฉันเพิ่มอีกสามพัน กับหนี้เก่าอีกแสนสอง ฉันเลยจำเป็นต้องให้ลูกน้องพาตัวแม่นายมา”



จำนวนเงินมหาศาลสะกดกันต์ธรให้นิ่งงันอยู่กับที่ ด้วยในใจกำลังประมวลผลรายได้ของตนเองอยู่ ต่อให้เขาทำงานทั้งชีวิตจนแก่ตาย ก็ยังไม่เห็นหนทางที่จะหาเงินมากมายขนาดนั้นมาคืนเจ้าของบ่อนได้เลย








“ผมขอจ่ายขัดดอกไปห้าร้อยก่อนได้ไหม ผมยังไม่มีเงินมากขนาดนั้นมาให้คุณตอนนี้หรอก”


“พูดตามตรง ฉันเองก็เห็นใจนายนะ พ่อนายก่อหนี้เอาไว้แท้ๆ แต่นายกลับต้องมารับภาระ”


“ครับ ผมผิดเองที่เลือกเกิดไม่ได้”


กันต์ธรยังไม่สามารถห้ามสายตาตัวเองให้หยุดจ้องมองเจ้าของสถานที่ด้วยแววตาเช่นเมื่อครู่ได้ และฝ่ายนั้นก็เริ่มมองกลับมาในแบบเดียวกัน สายตาที่นิ่งสงบมองลูกหนี้เขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วสบมองดวงตาของกันต์ธรอีกรอบ







“ตอนนี้นายทำงานอะไรอยู่?”


“ตัดไม้ให้พ่อเลี้ยงสนครับ”


“พ่อเลี้ยงสน?”


“ครับ “


“เหนื่อยเลยสิ กับคนเคยสบายอย่างนาย”


“ผมชินแล้ว”


“อยากลองมาช่วยงานฉันดูไหมล่ะ?”


“…”


“ทำงานใช้หนี้ ถ้าทำได้ดี ฉันมีเงินเดือนให้ใช้ต่างหากด้วย”




“คุณจะให้ผมทำอะไร?”


“แบบไอ้พวกที่ไปบ้านนายวันนี้…ทวงหนี้ให้ฉัน”



ข้อเสนองานใหม่ ที่กันต์ธรตอบรับอย่างไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ เขาผ่านความลำบากมามากเกือบครบทุกรูปแบบ โดนดูถูกเหยียดหยามต่างๆ นาๆ สารพัด ทั้งไอความทุกข์ระทมที่ปกคลุมทุกอณูในรั้วบ้าน ช่วงเวลาเช่นนี้ เขาไม่มีสิทธิแม้สักนิดที่จะเลือกงาน และยิ่งโอกาสลดหนี้พร้อมได้เงินใช้ไปในตัวเช่นนี้ ก็ไม่ได้มีมาบ่อยนัก





และที่สำคัญ…เจ้าของบ่อนนั้น ก็งดงามเสียจนเขาต้องเก็บไปฝันเลยทีเดียว











...










กันต์ธรเริ่มต้นเรียนรู้การรีดเงินง่ายๆ จากพวกลูกหนี้ที่จ่ายเป็นประจำไม่มีเบี้ยว แล้วเพิ่มระดับความยากให้มากขึ้น กับลูกหนี้ที่มีกลวิธีหลบหลีกต่างๆ นาๆ เขาได้รับการเรียนรู้จากคำบอกเล่าและปฏิบัติงานจริง สิ่งที่ใครหลายคนสบประมาทชายหนุ่มเอาไว้ มลายหายไปกับสายลม เมื่อชายหนุ่มผู้กำยำคนนี้ ทำงานออกมาได้ดีเสียจนสามารถเผยรอยยิ้มของเจ้านายออกมาได้ รอยยิ้มแรกที่เขาได้เห็น กันต์ธรไม่สามารถลืมเลือนได้เลยว่ามันงดงามเพียงใด




รอยยิ้มที่ทาบทับลงไปให้เขาได้มองเห็นใบหน้าของใครบางคน คนที่เคยอยู่ในอ้อมกอดของเขามาตลอดหลายปี คนที่เป็นทายาทของตระกูลหยาบช้าและจอมปลอม คนผู้ทำลายทุกสิ่งของเขาให้ต้องมาจมกับความเลวร้ายเช่นทุกวันนี้




ในคราวแรกเขาไม่ได้มีจิตคิดมุ่งร้ายต่อภพตะวันแต่อย่างใด จนบัดนี้แม้จะพยายามเกลียดแค้นสักเพียงไหน เขาก็ยังคงมีความทรงจำต่อภพตะวันหลงเหลืออยู่มากมาย








และก็เป็นใบหน้านั้นของคนที่เขาเคยรักเช่นกัน ที่ฉายขึ้นมาทุกครั้ง ตอนที่เขาถูกบิดาทุบตี มารดาถูกข่มขู่ให้ต้องร้องไห้แทบตลอดเวลา เขาไม่ควรไปหลงรักทายาทของบ้านนั้นเต็มหัวใจเช่นนี้เลย คราวใดที่นึกถึง กันต์ธรก็จะแผ่รังสีแห่งความเกลียดชังออกมาด้วยเช่นเดียวกัน








ชายหนุ่มผู้แข็งแรงจึงไม่อยากที่จะนึกถึงภพตะวันมากมายนัก ให้ต้องเจ็บปวดที่ใจของเขาเอง












“เก่งใช้ได้เลยนะ ลุงแหวนเป็นลูกหนี้ที่ฉันปวดหัวด้วยที่สุดเลย นายทำยังไงลุงแกถึงยอมจ่ายล่ะ?”



“ผมขออนุญาตไม่บอกนะครับ”



“ไม่คิดว่านี่เป็นคำสั่งหรอกเหรอ?”



“ถ้าผมบอก แล้วคุณไปบอกให้ลูกน้องคนอื่นทำตาม ผมก็ไม่สำคัญกับคุณแล้วสิครับ”







นายประดับทอง เจ้าของบ่อนสุดงดงาม หรี่ตาจ้องมองกันต์ธรด้วยรอยยิ้ม ด้วยคำพูดเมื่อครู่นั้น ดูลุ่มลึกกว่าสิ่งที่คนทั่วไปจะเข้าใจไปได้มาก จากวันนั้นมา ประดับทองจึงลดงานให้กันต์ธรเป็นการตามทวงหนี้เฉพาะลูกหนี้คนสำคัญและโจทย์ยากๆ เท่านั้น




ชายหนุ่มทายาทตระกูลณรงค์กรผู้ตกอับ กลายมาเป็นบอดิการ์ดคนสำคัญให้กับเสี่ยประดับทองเต็มเวลาหลังจากนั้นไม่นาน และนั่นทำให้เขาได้รับสิทธิพิเศษที่ช่วยให้บิดาของเขาสามารถผลาญเหรียญในบ่อนได้มากเท่าที่ต้องการ




“พรุ่งนี้ฉันจะไปคุยกับพ่อเลี้ยงสน”


“ครับ ผมจะเตรียมคนไปให้”


“ไม่ต้อง นายไปกับฉันแค่คนเดียวพอ”





กันต์ธรคล้ายว่าจะหลงมัวเมาในความงามของประดับทองอย่างถอนตัวไม่ขึ้น หากแต่ความหวังของชายหนุ่มกลับห่างไกลออกไปทุกที เมื่อประดับทองเดินทางไปพบเจ้านายเก่าของเขา เช่นพ่อเลี้ยงสน ที่อายุอานามเฉียดหกสิบปีได้ เกือบทุกสัปดาห์ในระยะหลังมานี้






และในที่สุด ความใกล้ชิดที่มากล้นระหว่างกันต์ธรและประดับทอง ก็ทำให้เขาล่วงรู้ความลับของนายใหญ่ที่ว่า ประดับทองและพ่อเลี้ยงสนนั้น เป็นคนรักกันมานานร่วมสิบห้าปีได้ เนื่องจากสมัยที่ประดับทองเป็นวัยรุ่น เขาอยู่ในความดูแลของพ่อเลี้ยงสน และไม่ทราบว่าดูแลกันอีท่าไหน สุดท้ายจึงได้ดูแลกระทั่งหัวใจของกันและกันด้วย













แต่แล้ววันหนึ่ง ก็คล้ายกับว่าโชคชะตาจะเข้าข้างกันต์ธรที่บัดนี้อายุเข้าปีที่ 22 แล้ว เขาอยู่ช่วยงามประดับทองมาเกือบ 2 ปีเต็ม ในวันนั้น ประดับทองมีน้ำตาให้เขาได้เห็นเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่เขาได้เชยชมความงามที่เฝ้ามองมาตลอดสองปี




ประดับทองออกคำสั่งให้ชายหนุ่มโอบกอดและมอบความอบอุ่นให้ ด้วยบัดนี้อยู่ในช่วงขมขื่นจากความไม่เข้าใจกันกับพ่อเลี้ยงสน คำสั่งที่กันต์ธรไม่เคยกระทำมาก่อนในชีวิต การหลับนอนกับผู้ชายด้วยกันอย่างเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก มันทำให้เขาตื่นเต้นใจแทบขาด ก่อนหน้านี้สมาชิกในแก๊งทวงหนี้เคยพาเขาไปเที่ยวสาวตามสถานที่อโคจรอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนดึงดูดใจกันต์ธรได้มากเท่าครั้งนี้




การปรนเปรอที่เขาได้รับมาตลอดตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม การปรนเปรอที่ปะปนไปด้วยกลิ่นอายของความรัก ไม่ได้ต่างจากการปรนเปรอทางกายกับร่างงดงามนี้มากเท่าไหร่นัก…เขาพยายามบอกตัวเองให้รู้สึกเช่นนั้น










“คุณแน่ใจหรือครับ?”


“นายไม่อยากทำเหรอ? ฉันดูออกนะว่านายคิดอะไร”






กันต์ธรที่หยุดการกระทำกลางอากาศ ได้รับแววตารู้ทันส่งมา จากนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะหยุดอีกเลย ชายหนุ่มไม่รู้ตัวว่าเขากำลังทำอะไร หรือสมองกำลังนึกถึงใครอยู่ หากแต่ว่า สัมผัสนุ่มละมุนและหอมหวานเช่นนี้ เขาไม่ได้แตะต้องมานานจนเกือบลืมไปหมดแล้ว









เขาโอบกอดประดับทองอย่างหนักหน่วงในทุกครั้ง ดังเช่นความต้องการของชายหนุ่มทั่วไปจะพึงมีได้ หลายครั้งที่ประดับทองไม่ได้สั่ง แต่กันต์ธรกลับเป็นฝ่ายเข้าหาเองด้วยความรู้สึกอันแรงกล้า ที่มีมากขึ้น และมากขึ้นทุกที






และทุกครั้งหลังจบธุระส่วนตัวระหว่างเจ้านายและลูกน้อง ประดับทองจะมีคำถามส่งตรงไปยังกันต์ธรเช่นทุกวัน







‘นายกำลังคิดถึงใครอยู่งั้นเหรอ?’





คำถามที่กันต์ธรไม่สามารถตอบออกไปได้ เขาไม่รู้สึกตัว ว่าจิตใจล่องลอยไปถึงใคร







หรือบางที เขาอาจจะรู้สึกตัว…แต่ไม่กล้าที่จะยอมรับก็เท่านั้น




















    ​


















-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------










ขอบคุณ คุณ bun , คุณ AkuaPink และ คุณ blove มากๆเลยนะคะสำหรับคอมเม้นท์ ^^


มาลุ้นกันต่อค่ะ พ่อคุณธรจะสำแดงฤทธิ์อะไรอีก อิอิ  :กอด1:




 :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L1: :L1: :L1:




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อ้าวๆ ยังไงๆ 555 เออเหตุการณ์ก่อนที่จะได้เจอกันอีกนี่มันต่างก็โชกโชนจริงๆ 5555 รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 12 : รอการกลับมา





















“ไงป้า กำลังจะไปไหน?”



“ธ…ธร ฉ…ฉันกำลังจะ…ไปตลาด”



“รีบไปทำไมล่ะ อยู่คุยกันก่อนสิ ฮึฮึฮึ”



กันต์ธร ณรงค์กร หัวหน้ากลุ่มทวงหนี้ผู้หล่อเหลา ภายใต้สังกัดของเสี่ยประดับทอง เจ้าของบ่อนชื่อดังอายุน้อย เมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในสายงานเดียวกัน ชายหนุ่มวัย 25 ปี คลุกคลีและซึมซับทุกพฤติกรรมความก้าวร้าวจากอันธพาลรุ่นเก่า ปลูกฝังลงจิตใต้สำนึกของเขายาวนานเกือบ 5 ปีเต็ม





และบัดนี้ กันต์ธร เด็กน้อยแสนใจดีคนนั้น ได้กลายเป็นปีศาจร้ายที่ใครต่อใครต่างพากันหวาดกลัวเพียงได้ยินชื่อ ทั้งตัวเขาเองก็สัมผัสได้ว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้ ทำให้เขารู้สึกเป็นตัวของตัวเองซะเหลือเกิน






สมุดปกอ่อนถูกกางออกบนโต๊ะไม้สีคล้ำ ที่ตั้งอยู่ภายในบ้านไม้หลังเล็กมุงสังกะสี หญิงชาวบ้านอายุเลยวัยกลางคนไปได้พักใหญ่ กุลีกุจอเตรียมออกจากบ้าน ก่อนถึงเวลาที่กันต์ธรจะมาเยือนเป็นประจำ และนั่นทำให้หัวหน้ากลุ่มทวงหนี้ ต้องออกมาดักคอยเร็วขึ้นทุกวันเช่นกัน








“จ่ายมาเหอะ จะได้ไม่ด้วนไปอีกข้าง”


“ฉ…ฉันไม่มีจริงๆ นะ”



สีหน้าแห่งความทุกข์ระทมของหญิงสูงวัย ไม่ได้มีผลสะกิดต่อมความรู้สึกสงสารใดใดของชายหนุ่มได้สักนิด เขาเดินเข้าใกล้แล้วกระชากแขนข้างขวาของเธอขึ้นมา จ้องมองไปยังมือที่มีนิ้วมือเหลือเพียงสามนิ้ว





เสียงกรีดร้องดังลั่นซอย เมื่อนิ้วที่สามได้ถูกตัดออกในเวลาต่อมาอย่างรวดเร็ว บ้านไม้มุงสังกะสีอีกหลายหลัง ปิดประตูหน้าต่างแล้วเงียบเสียงไปสนิท ด้วยเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกิดครั้งแล้วครั้งเล่ากับลูกหนี้ของประดับทองนั้น เป็นการลงทัณฑ์อย่างหนักโดยไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น




ความโหดเหี้ยมเป็นที่เล่าขานกันไปทั่วทั้งจังหวัด แต่ก็ไม่วายยังคงมีคนกล้าลองดีติดหนี้เสี่ยประดับทองอยู่ไม่ขาดสาย ลูกหนี้หลายคน ชิงปลิดชีพตัวเองก่อนที่การทรมานจากกันต์ธรจะเดินทางไปถึง และนั่นย่อมไม่ใช่ผลดีกับเจ้าหนี้เช่นประดับทอง




ความรุนแรงที่หนักข้อขึ้นทุกวันของกันต์ธร เริ่มทำให้เจ้านายเช่นประดับทอง รู้สึกกังวลใจอยู่ไม่น้อย เพราะนั่น ยังรวมไปถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างเรื่องราวลึกซึ้งของพวกเขาบนเตียงด้วย
















“พอแล้ว! ฉันเจ็บ!!! พอ!!!!!”





หัวหน้าหน่วยทวงหนี้โถมกายเข้าใส่เสี่ยหน้าใสมานานร่วมชั่วโมงแล้ว สารพัดท่าในการร่วมเสพสมถูกงัดออกมาใช้อย่างไม่ซ้ำกัน ทั้งยังรวมไปถึงมือทั้งสองที่หยาบกร้านของกันต์ธร ก็บีบเข้าที่บริเวณลำคอขาวนั้นอย่างแรง และมันแรงขึ้นเรื่อยๆ จนประดับทองแทบขาดอากาศหายใจเอาเสียจริงๆ ในคราวหนึ่ง









“ฉันบอกให้พอ!!!”









กริ๊ก!







เสียงตวาดลั่นดังขึ้นสนั่นห้องส่วนตัวอันมิดชิด พร้อมปืนกระบอกเล็กพอดีมือก็ถูกยกขึ้นแล้วจ่อเข้ากลางศีรษะของชายหนุ่มจ้าวตัณหาด้านบน







“ฮึฮึ”





เสียงหัวเราะที่ประดับทองคุ้นชินและดวงตาหรี่ปรือที่ถูกส่งมาให้ ช่างน่าหวาดกลัว ชายหนุ่มไม่หยุดการกระทำของตนเองลง เพียงมีปืนกระบอกเล็กจ่อศีรษะ ทั้งยังกระทำการใดใดที่รุนแรงขึ้นอีกจากเมื่อครู่ ด้วยบัดนี้ อารมณ์ได้ถูกพัดพาให้ตื่นเต้นหนักกว่าเก่าเป็นเท่าทวี






ร่างประดับทองในวัยเกือบ 40 ปี ถูกย่ำยีอย่างหนัก ไม่ต่างกับการถูกชายฉกรรจ์หลายสิบคนรุมทำร้าย




เรื่องราวสุดเผ็ดร้อนนี้ ไม่อาจหลบหลีกสายตาของพ่อเลี้ยงสน คนรักของประดับทองไปได้ คำสั่งเด็ดขาดให้จัดการชายหนุ่มวัย 25 ผู้เต็มไปด้วยความรุนแรงจึงถูกส่งตรงออกมา และมันถึงเวลาแล้วที่ประดับทองจะต้องยุติความสัมพันธ์ที่เกินเลยไปไกล ระหว่างเขาและชู้รักอายุน้อยคนนี้







“ผมไม่เลิก!”



“ฉันไม่ได้ถาม”



“เรื่องวันก่อนผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”



“ใช่ เพราะถ้านายตั้งใจ ฉันคงตายไปแล้ว”




“ผมขอร้อง ผมรักคุณนะ”



“นายไม่ได้รักฉัน…ธร นายแค่กำลังใช้ฉันระบายอารมณ์”



“ผมเปล่า”





“งั้นตอบมาสิ ว่าตอนนอนกับฉัน นายคิดถึงใคร!?! …นายทำงานให้ฉันมานานนะ แต่ช่วงหลังๆ มานี้ นายใช้ความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มันเกิดอะไรขึ้นกันนาย ห๊ะ ธร!?!”







“ผมไม่รู้”




คำตอบในใจที่ฉายชัด ถูกความกลัวบดบังเอาไว้ ไม่ให้ชายหนุ่มกล้าเอ่ยมันออกไป เขาไม่กล้าบอกให้ใครได้ล่วงรู้ ว่าเขาใช้ร่างของประดับทองเพื่อเป็นตัวแทนของคนคนหนึ่งที่เขาไม่อยากนึกถึงมากที่สุด ยิ่งนึกยิ่งเจ็บอยู่ข้างใน ความรุนแรงทางใจและการทำร้ายทางร่างกายที่เขาได้รับมาตลอด ตั้งแต่ที่ชีวิตดิ่งลงเหว สุมไฟแค้นในใจเขาที่มีต่อภพตะวันและครอบครัวหนักขึ้นเรื่อยๆ




เขาอยากทำร้าย อยากทำลาย อยากทำให้คนที่ไม่ได้มารับรู้เรื่องอะไรด้วยเลย ได้รับรู้และเข้าใจบ้าง ว่าชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นสาหัสขนาดไหน ทั้งๆ ที่ปากก็บอกว่าอยากอยู่ด้วยกัน อยากเคียงข้างกัน แต่ก็ทำร้ายเขาได้สารพัด ทั้งเจ้าตัว ทั้งครอบครัว





กันต์ธรผู้ไม่ได้รับการใส่ใจในความรู้สึก คิดกล่าวโทษทุกคนในชีวิต และมีเพียงสองทางเท่านั้น ที่เขาจะสามารถระบายความเจ็บปวดนั้นออกมาได้ คือหนึ่ง การระบายความโหดร้ายในใจกับบรรดาลูกหนี้ และสอง การหลับนอนกับประดับทองอย่างบ้าคลั่ง








“นายตั้งใจทำงานให้ฉันมาตลอดนะธร ฉันต้องขอบใจมาก แต่ฉันว่ามันน่าจะถึงเวลาแล้ว ที่ฉันจะปล่อยนายไป…ฉันจะถือว่านาย ใช้หนี้ฉันครบหมดแล้ว จากนี้พวกเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”





“คุณไล่ผมออก เพราะเขาสั่งมาสินะครับ?”



“…ใช่”




คำตอบสั้นๆ แต่ทว่าแสนเจ็บปวด คำสุดท้ายที่เจ้านายผู้งดงามได้บอกกับเขา มันทำให้เขาจำฝังใจอย่างไม่มีวันลืม และแม้ว่าจะมีอาการจุกอยู่ในอกสักเท่าไหร่ เขาก็ยังคงรู้สึกขอบคุณประดับทองอย่างมากล้น ที่ได้ชี้ช่องทางชีวิตและความสามารถของเขาให้ตัวเขาเองได้รับรู้ ทั้งยังช่วยให้เขาได้รับความสุขทางกายอยู่เป็นประจำตลอดหลายปีที่ผ่านมา






หนี้ก้อนโตที่ถูกหักล้าง และอำนาจเงินทองที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตนเอง ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่และครอบครัวของเขากลับมาเชิดหน้าชูตาและร่ำรวยได้ไม่ต่างจากเดิม





เพียงสิ่งเดียวที่ต่างออกไป คือความสุขของคนภายใต้ชายคาตระกูลณรงค์กร บิดาที่ติดหนี้ไม่เลิก ยังคงก่อหนี้หนัก แต่ถึงอย่างนั้น ประดับทองผู้ขึ้นชื่อว่าเคยมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับกันต์ธร ก็ยังคงให้สิทธิ์เขาได้เล่นการพนันเท่าที่ใจต้องการ ด้านมารดาผู้อดทนมาตลอด แม้จะมีข้าวของเงินทองกองเป็นภูเขา แต่ด้วยงานที่ลูกชายทำนั้น เรียกได้ว่ายืนอยู่บนกองทุกข์ของผู้อื่น ทำให้เธอไม่อาจมีรอยยิ้มสดใสฉาบไล้บนใบหน้าได้เช่นก่อนเก่า







“ธร วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอลูก?”



“เค้าไล่ธรออกแล้วแม่”



“คุณประดับทองน่ะเหรอ?”



“ครับ”



“มีปัญหาอะไรกันรึเปล่า?”



“แฟนเค้าหวงอ่ะ”



“…แล้วธรจะทำยังไงต่อ”



“ไม่รู้เหมือนกัน ขอธรคิดสักสองสามวันนะ”



“ไม่เป็นไรนะธร แม่ว่าก็ดีเหมือนกัน ลูกจะได้พักบ้าง นานมากแล้วที่แม่ไม่เห็นธรได้พักเลย”



“ธรทำเพื่อแม่นะ”



“แม่รู้…ขอบใจธรมากนะลูก”













กันต์ธร กลายเป็น ’เสี่ยธร’ ที่ใครๆ ต่างพากันยกมือไหว้ ด้วยหลังจากนอนคิดอยู่สองถึงสามสัปดาห์ เขาก็เริ่มออกค้นหาชายผู้มีกำลังวังชาดีมากลุ่มหนึ่ง เพื่อมารับหน้าที่เป็นลูกน้องในการทวงหนี้ให้กับเขา เสี่ยธรทำธุรกิจทุกรูปแบบที่ได้รับการเรียนรู้มาจากประดับทอง ทั้งเปิดบ่อน ปล่อยเงินกู้ รีดค่าคุ้มครอง




เขาไม่จำเป็นต้องออกไปคุยงานเอง หรือใช้แรงตัวเองให้เหนื่อยอีกต่อไป เขาเพียงนั่งควบคุมให้ทุกสิ่งอยู่ในสายตาในบ้านของตัวเองเท่านั้น เรียกได้ว่า เขากำลังพยายามดันตัวเองให้เป็นประดับทองคนที่สองก็ว่าได้




และตั้งแต่ที่กันต์ธร กลายร่างเป็น เสี่ยธร เขาก็มีจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียวในการมีชีวิต






คือ…รอการกลับมาของลูกหนี้คนสำคัญของเขา






























‘ถึง กันต์ธร ณรงค์กร

สวัสดีธร ฉันไม่รู้ว่าจดหมายฉบับนี้ของฉัน จะส่งไปถึงนายไหม
ฉันเขียนถึงนายไปกี่ฉบับแล้ว ฉันเองยังจำไม่ได้
และคิดว่านี่คงเป็นฉบับสุดท้ายแล้วนะ ที่ฉันจะส่งไป
ฉันอยากให้นายย้ายมา เหมือนที่เราสัญญากันไว้นะธร
ฉันยังรอนายอยู่นี่นะ
งานของฉันตอนนี้ก็ไปได้สวย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ถ้านายย้ายมา ฉันจะลองคุยกับหัวหน้าให้
เขาใจดีแล้วก็ช่วยเหลือฉันหลายอย่าง…’





ภพตะวัน วงศ์วรรธน์ ชายหนุ่มวัย 25 ปี ที่บัดนี้เข้าทำงานในบริษัทขนาดกลางแห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ เขายังคงส่งจดหมายหลายร้อยฉบับไปยังที่อยู่เดิม ที่ใช้ติดต่อกับเพื่อนรักของเขา แม้ว่า จะไม่มีจดหมายตอบกลับส่งมาให้เขาเป็นเวลาห้าปีเศษแล้วก็ตาม ชีวิตที่สุขสบาย การปรับตัวที่เข้าที่เข้าทาง ไม่ได้ลดปริมาณความคิดถึงที่เขามีต่อกันต์ธรไปได้เลยสักนิด




ชายหนุ่มหน้าใสวัยขบเผาะ ยังคงมีรักเดียวอยู่ในดวงใจ และเฝ้ารอวันที่จะได้พบกันอีกครั้ง กับเด็กหนุ่มผู้ให้คำมั่นสัญญากับเขาเอาไว้




แต่นี่ก็นานเกินไปแล้ว และภพตะวันก็ท้อแท้หนักมากขึ้นทุกวัน กระดาษบางแผ่นที่เขาส่งไป มีสภาพยับย่นเป็นหย่อมๆ ด้วยน้ำตาเจ้าตัวได้หยดลงกระทบแผ่นกระดาษ ภพตะวันจะรอจนมันแห้งสนิทก่อนแล้วจึงพับใส่ซอง เพื่อส่งออกไป




เช่นเดียวกับจดหมายฉบับสุดท้ายฉบับนี้ ที่มีรอยยับย่นเกือบทั่วทั้งแผ่น ชายหนุ่มผู้เติบโตขึ้น สง่างามขึ้นมาก ทั้งสรีระภายนอกและท่าทางการวางตัวที่นอบน้อม เขาโบกกระดาษเปื้อนน้ำตาในมือไปมาจนแห้งสนิท จึงปิดใส่ซอง จ่าหน้าเป็นที่อยู่เดิมในอเมริกาของกันต์ธร





ชายหนุ่มหน้าตาดีเดินคอตกออกจากอพาร์ทเมนท์สุดหรูส่วนตัว หรือนี่จะเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับคำว่า  ‘ดวงใจใกล้สลาย’ ของเขากันนะ









ปึก!



“โอ๊ย”



“ขอโทษครับ!”




ด้วยจิตใจอันเหม่อลอยไปถึงใครบางคนอย่างหนัก ทำให้ชายหนุ่มเผลอชนเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งตรงทางเดิน เขาลืมตัวไปสนิทว่าเมื่อครู่เผลอพูดภาษาไทยออกไป และนั่น ก็ทำให้หญิงสาวคนนั้น ที่กลับมายืนตรงได้อีกครั้ง ต้องนิ่งชะงักไปแล้วเอาแต่จ้องหน้าเขาไม่วางตา




“คุณ…เป็นคนไทยเหรอคะ?”



“อ่า…เอ่อ ครับ เมื่อกี้ ผมขอโทษด้วยนะครับ”



“ไม่เป็นไรค่ะ โชคดีที่คุณช่วยรับไว้ทัน”



การพบกันครั้งแรก ของคนไทยสองคนที่มีนิสัยใจคอสุภาพเรียบร้อยและหน้าที่การงานดี และที่สำคัญ พวกเขายังโสดด้วยกันทั้งคู่ ความใกล้เคียงที่หาได้ยาก เรียกได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร และนั่น ทำให้พวกเขาเข้ากันได้ดีในเวลาอันสั้น





ช่องว่างของส่วนลึกที่ภพตะวันคอยมอบมันให้กับคนไกลที่ไม่มีการติดต่อมานานหลายปี ค่อยๆ ถูกเติมเต็มและแทรกซึมเข้ามา ด้วยหลานสาวตระกูลผู้ดี ที่เขาพึ่งพบว่า เธอเป็นคนจังหวัดเดียวกันกับเขา และนั่นยิ่งช่วยกระชับสัมพันธ์ของพวกเขาให้มากขึ้นไปอีก





ภพตะวันไม่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใคร ไม่ว่าชายหรือหญิง ตั้งแต่แยกกับกันต์ธร




และในวันนั้น ที่อากาศเย็นเขาปกคลุมทั่วพื้นที่ ภายในอพาร์ทเม้นท์แสนอบอุ่นริมถนนชื่อดังในลอนดอน ภพตะวันได้รับความอบอุ่นแรกจากเรือนร่างของอิสตรี ความลึกล้ำที่เขาไม่เคยได้รับสัมผัสมาก่อนในชีวิตนี้ มันช่างหอมหวานและยั่วยวนจนเขาไม่อาจข่มใจ หลังจากนั้น คนทั้งคู่จึงได้ตกลงปลงใจเกี่ยวก้อยเป็นเจ้าของซึ่งกันและกันในที่สุด













...


















Savahale Talk : ก็คือ ต่างคนต่างรออ่ะเนอะ แงงง ทำไมเขียนเองเศร้าเองงี้ไม่รู้ T___T
    ​













-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------










ขอบคุณ คุณ AkuaPink และ คุณ blove สำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะ  :mew1:


มาลุ้นกันต่อค่า ^^




 :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
คนนึงรอคอยแบบหมดหวัง แต่อีกคนรอคอยด้วยความแค้น หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

ออฟไลน์ smmikie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
ต่างคน ต่างรอ ต่างกันอยุ่คนละมุม

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ต่างตนต่างรอแบบเข้าใจผิดๆ รอแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย จดหมายก็ส่งไม่ถึงไม่ได้รับอีกคนก็ไม่รู้ พอไม่รู้ก็ฟาดงวงฟาดงา คือไปคนละทางเลย จะบรรจบพอเข้าใจกันตอนไหนละเนี้ย โอ๊ยยยย กลุ้มแทน 555555 สนุกๆ รอรอตอนต่อไปเลยค่ะ

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 13 : เผชิญหน้าอีกครั้ง
















“เชิญด้านในเลยนะคะ”



เจ้าของบ้านสูงวัยทั้งสอง ต่างพากันเดินไปทั่วบริเวณซุ้มประตูทางเข้าบ้าน งานเลี้ยงฉลองต้อนรับการกลับมาของลูกชายเพียงคนเดียว ของเสี่ยเจ้าของธุรกิจรถสิบล้อยักษ์ใหญ่ในจังหวัด ไม่อาจจัดให้น้อยหน้าใครได้ แขกเหรื่อชนชั้นผู้ลากมากดี ถูกเชิญมาร่วมงานกันแทบทั้งจังหวัด ทำให้ผู้จัดงานต้องคอยเดินต้อนรับและตรวจตราความเรียบร้อยอย่างไม่ได้พักผ่อน



นอกจากเจ้าบ้านผู้อาวุโสของบ้านแล้ว ยังมีอีกหนึ่งชายหนึ่งหญิง ผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปร่างหน้าตาและกิริยาท่าทางที่แสนสง่างาม คอยต้อนรับและบริการคนในงานอยู่ไม่ห่างกัน บ้านหลังใหญ่ของตระกูลวงศ์วรรธน์ ถูกประดับประดาไปด้วยม่านเนื้อดีและไฟประดับสีต่างๆ ที่ตัดให้เข้ากันกับบรรยากาศ




ทั้งวงดนตรีชื่อดัง ก็ถูกจ้างมาเล่นเพลงแสนรื่นหูตลอดค่ำคืนนี้ เรียกรอยยิ้มของแขกและผู้จัดงานได้เป็นอย่างดี หากว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนับจากนี้ จะได้เวลาที่นายเตี๋ยว ผู้เป็นเจ้าของบ้าน จะขึ้นไปประกาศเปิดงานบนเวทีพร้อมลูกชายอย่างเป็นทางการ แขกที่เดินเข้างานมาแล้ว เริ่มทยอยกันไปนั่งตามเลขโต๊ะที่เขียนไว้ในบัตรเชิญ









“ตื่นเต้นไหมลูก? วันนี้ภีมหล่อมากเลยนะ”



เสียงมารดาสั่นเครือเล็กน้อย ถามหาความตื่นเต้นจากลูกชาย ทั้งที่ตนเองนั้นกำลังตื่นเต้นกว่ามากอย่างออกหน้าออกตา





“ครับ…”



“เดี๋ยวพอไฟเปิด ภีมเดินออกไปยืนข้างพ่อเลยนะ”



“ครับ…”



“แล้วก็พูดที่ลูกเตรียมมา ท่องมาแล้วใช่ไหม?”



“ครับคุณแม่”



“ดีมาก ถ้าอย่างงั้น ภีมเดินไปหาพ่อที่ข้างเวทีเลยนะ เดี๋ยวแม่จัดการทางนี้เอง”



“ได้ครับ”





ภพตะวันหวีผมเลียบแปล้ กับชุดสูทเนื้อดีสีชมพูอ่อน ซ่อนใบหน้าสุดเบื่อหน่ายเอาไว้ข้างใน เขาไม่ได้สนับสนุนงานเลี้ยงที่สิ้นเปลืองนี้มาแต่แรก แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงยอมรับสิ่งที่ทุกคนตั้งใจจัดขึ้นมาให้ ชายหนุ่มหันหลังพร้อมเดินไปหาบิดาที่บัดนี้เดินไปรออยู่ใกล้ๆ กับเวทีเรียบร้อยแล้ว อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า บทพูดที่เขาและสาลี่คิดมาด้วยกันทั้งคืน ก็จะได้ประกาศออกสื่ออย่างเป็นทางการ














“ภีม!!!!!”




เสียงทุ้มตะโกนลั่นบริเวณหน้าซุ้มประตูทางเข้างาน เรียกให้คนที่ยืนบริเวณนั้นทั้งหมดหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน รวมทั้งเจ้าของงานที่กำลังจะเดินไปเตรียมตัวข้างเวที ภพตะวันหันมาจ้องค้างกับแขกคนสำคัญ บุรุษผู้ทำให้งานเลี้ยงของภพตะวัน ต้องเลื่อนเวลาจัดงานออกมาเป็นสัปดาห์ เพื่อให้เขานอนรักษาตัวในโรงพยาบาลจนร่างกายหายดีก่อน





ชายผู้มอบบาทาอันหนักหน่วงให้ร่างกายเขา ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกันในรอบสิบปี
















ตึกตึกตึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ




“กันต์ ธร!”





มารดาของภพตะวันมีท่าทางตกใจอย่างหนัก เมื่อแขกได้ไม่รับเชิญโผล่มา เธอหันไปหาลูกชายแล้วหันกลับมามองหน้าแขก ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งคู่กำลังยืนจ้องหน้ากัน








“สวัสดีครับป้าบัว…สงสัยว่าบัตรเชิญที่ฝากเอาไปให้ผมจะหายนะครับ มันเลยไปไม่ถึงมือผม แต่ไม่เป็นไรนะครับ ยังไงผมก็มาแล้ว”




เสี่ยธรในชุดสูทดำน้ำตาลยกมือไหว้มารดาของเพื่อนรัก และไม่รอช้าเดินผ่านหน้าหญิงสูงวัยไปทางที่ภพตะวันยืนอยู่ เจ้าของงานยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทั้งหัวใจก็ยังคงเต้นแรงเช่นเคย แม้ก่อนหน้านี้เขาจะพึ่งถูกคนของกันต์ธรรุมซ้อมอย่างหนักมาก็ตาม








“นายไม่ได้บัตรเชิญเหรอ?”



“อือ สงสัยมีคนทำหล่น”



“เดี๋ยวฉันต้องขึ้นไปเปิดงานกับพ่อก่อน แล้วจะลงมาคุยด้วยนะ”



“ภีม…”






แขกคนพิเศษเดินเข้าไปด้านในงานพร้อมภพตะวัน และก่อนที่เจ้าของงานจะเดินแยกไปขึ้นเวที แขนเขาก็ถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือหนาอันแข็งแรง







“หืม?”



กันต์ธรเคลื่อนมือจากท่อนแขนภพตะวัน เคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ ไปจนถึงบริเวณท่อนเอวในชุดสูทตัวหนา ก่อนจะโอบเอาไว้ให้ภพตะวันเข้ามาประชิดตัวกับเขา ด้านภพตะวันที่ใจสั่นก่อนหน้านี้ เริ่มสั่นหนักขึ้นไปอีก ดั่งกลองชุดที่กำลังตีรัวในจังหวะสุดมัน เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเพื่อนเก่า และพบว่ามันยังคงเดิมแบบที่เขาเคยมอง




แต่นั่นกลับเป็นเพียงวูบเดียวเท่านั้น แววตาดวงนั้นแปลเปลี่ยนไปจากนั้นคล้ายกับเป็นคนละคนจนภพตะวันประหลาดใจ เขาเดาเอาเพียงว่า กันต์ธรคงกำลังเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับเขาอยู่เท่านั้น






“ธร…ถ้าเรื่องอาทิตย์ก่อนที่นายพาคนมารุมทำร้ายฉัน ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันรู้ว่านายไม่ได้ตั้งใจ ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนายอีกเยอะเลย รอฉันเดี๋ยวนึงนะ”






ภพตะวันกล่าวเพียงเท่านั้น ก็โผตัวเข้ากอดเพื่อนรักไว้แน่นอย่างคิดถึง จากนั้นก็เบี่ยงตัวเดินขึ้นบันไดตรงเวทีไปเพื่อรอให้ไฟบนเวทีสว่างขึ้นตามคำบอกเล่าของมารดา






ปล่อยให้เสี่ยธรผู้กร้านโลกยืนตะลึงนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นเพียงลำพัง เขาตั้งใจมางานนี้ เพื่อเป้าประสงค์เดียว คือการยั่วยุและแก้แค้น หากแต่สิ่งที่ได้สัมผัสเมื่อครู่ กลับลบล้างทุกความตั้งใจอันเลวร้ายของเขาไปจนสิ้น กันต์ธรไม่อาจหยุดยั้งความรู้สึกฟูฟ่องในอกนี้ได้เลย อ้อมกอดแสนอบอุ่นที่เขาคิดถึง นานมากแล้วที่ไม่ได้สัมผัส






อึก




‘เจ็บชะมัด…’






กันต์ธรทาบมือลงบนอกข้างซ้ายที่คล้ายกับมีไม้แหลมเสียบแทงเข้าตรงกลางก้อนเนื้อที่เรียกว่าหัวใจ ใบหน้าชาวาบและขึงตึงอย่างไม่อาจห้ามปราม เขาอึดอัดและหายใจไม่ออก ชายหนุ่มผู้มีประสงค์ร้าย เดินหันหลังออกมาตามริมทางในความมืด เขาอยากแก้แค้น อยากทำลาย แต่สิ่งแรกที่เขาต้องทำ คือต้องจัดการสลัดอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอยู่นี้ให้หลุดก่อน







เสี่ยใหญ่แห่งชุมชนเดินวนไปยังโต๊ะยาวที่มีเครื่องดื่มสีสันสดใสมากมายตั้งอยู่ เขาเลือกหยิบแก้วบนโต๊ะนั้นมาหนึ่งใบ แล้วกระดกลงคออย่างรวดเร็ว น้ำรสหวานที่ฝาดบริเวณปลายลิ้น ไม่สามารถช่วยให้สมองที่ถูกกดทับของเขารู้สึกดีได้แต่อย่างใด เขาจึงลิ้มลองมันเสียแทบทุกชนิดที่ตั้งเอาไว้บริเวณนั้น จนในที่สุด อารมณ์และความรู้สึกก็สามารถกลับมาเป็นปกติดังเช่นในทุกๆ วันของเขาได้






สายตาคมเหลือบมองไปทั่วบริเวณงาน และในตอนนี้ก็ยังคงเป็นภพตะวันที่กำลังกล่าวอยู่บนเวทีมาได้พักใหญ่ ใบหน้าแสนหล่อเหลานั้น กันต์ธรจำได้ไม่มีวันลืมแม้แต่สักเสี้ยววินาทีของลมหายใจ มันตราตรึงอยู่ในใจเขามาตลอดแม้เขากำลังกกกอดร่างกายของใครอื่นอยู่ก็ตาม ใบหน้าที่เขาจ้องมองได้อย่างไม่รู้สึกเบื่อ แต่กลับอยากเบื่อ และอยากให้ตนเองรู้สึกเกลียดชังเสียมากกว่าหลงใหลเช่นที่เป็นอยู่ในตอนนี้





ความมึนเบลอจากการผสมปนเปกันของแอลกอฮอล์หลายชนิด เริ่มส่งผลให้สมองของเขามีความคิดที่ลึกซึ้งกับคนบนเวทีหนักขึ้นเรื่อยๆ และก่อนที่เขาจะห้ามตัวเองไม่ไหวแล้วไปฉุดเจ้าของงานลงมากอดไว้แนบอก เจ้าตัวตัดสินใจหลบสายตาแล้วเปลี่ยนไปมองทางอื่นแทน




โต๊ะที่ตั้งไม่ห่างจากหน้าเวที มีหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาเริ่มคุ้นเคยนั่งอยู่ เธอจ้องมองชายบนเวทีอย่างไม่วางตาด้วยรอยยิ้มละมุน เธอปรบมือทุกครั้งที่ประโยคของคนบนเวทีนั้นซึ้งกินใจ ไม่มีสิ่งใดดึงความสนใจของเธอไปได้เลยแม้แต่น้อย



และนั่น ทำให้เสี่ยธรคนดัง เผยรอยยิ้มร้ายออกมาได้อีกครั้ง













“ขอโทษนะครับคุณสาลี่ พอดีในครัวมีปัญหานิดหน่อยครับ รบกวนมาช่วยดูสักนิดได้ไหมครับ?”




พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งเดินเข้าแจ้งข่าวกับหญิงสาวที่กำลังยิ้มและตั้งใจฟังสิ่งที่ภพตะวันกล่าวอยู่บนเวที เธอหันมาพยักหน้าแล้วเดินตามพนักงานคนนั้นออกมาจนถึงในครัว ที่บัดนี้เงียบสนิท ด้วยคนงานต่างพากันแอบไปดูเจ้านายพูดบนเวทีกันหมด




เมื่อไม่พบว่ามีใครอยู่ในนั้น รวมถึงพนักงานคนเดิมอยู่ๆ ก็หายตัววับไปเสียอย่างนั้น ท่านหญิงผู้เลอโฉม จึงตัดสินใจเดินออกจากห้องครัวเพื่อกลับไปนั่งที่โต๊ะ แต่ก่อนที่จะทันได้ก้าวเท้าพ้นขอบประตู ก็มีเสียงหนึ่งเรียกเธอเอาไว้









“คุณสาลี่…”



เงาคนที่หลบอยู่หลังตู้ค่อยๆ โผล่ออกมา และปรากฏใบหน้าหนุ่มผู้ทวงหนี้โหดคนเดิมกับที่เธอพบในตลาด และเป็นคนเดียวกับที่สั่งลูกน้องรุมถวายบาทาให้คู่หมั้นของเธอ เขาคนนั้นจ้องมองเธอดั่งอสรพิษจ้องเหยื่อ ปากค่อยๆ อ้าออกแล้วลิ้นก็แลบเลียไปทั่ววงปากคล้ายกำลังหิวอย่างน่าสยดสยอง






“นาย…!”




“ฮึฮึฮึ”



“ต้องการอะไร!?!”



“ยืนนิ่งๆ ดีกว่านะคุณคนสวย จะได้ไม่ต้องมีรูบนหน้าท้อง”




เสี่ยธรค่อยๆ เดินเข้าใกล้หญิงสาวพร้อมมีดปลายแหลมเล่มเล็กในมือ เขาจ้องหน้าเธอไม่วางตาแล้วค่อยๆ ทำจมูกฟุดฟิดสูดดมไปรอบบริเวณนั้น







“เธอนี่ ทั้งสวยทั้งหอมเลยนะ ฉันว่าเราไปคุยกันแบบส่วนตัวกว่านี้ดีกว่า”



“ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับนาย!”



“หรือเธออยากให้ฉันไปคุยกับภีมแทนดีล่ะ เธอนี่…ช่างไม่รู้อะไรซะจริงๆ เลยนะ มากับฉันดีดี จะได้ต้องมีใครเจ็บตัว”












ค่ำคืนนั้น หลังจากที่ภพตะวันเดินลงมาจากการกล่าวต้อนรับแขกเป็นเวลานาน เขาก็ไม่พบหน้ากันต์ธรและคู่หมั้นของเขาอีกเลยตลอดทั้งคืน และไม่ว่าไปตามถามจากใคร ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าหายไปไหน กระทั่งวันถัดมานั่นล่ะ คู่หมั้นของเขาจึงเดินทางมาหาเขาที่บ้านด้วยสีหน้าเศร้าหมองออกไป



เธอทำทุกอย่างเป็นปกติ แต่คนรักที่คบหากันมา กว่า 3 ปี ย่อมมองออกอย่างแน่นอน แต่ด้วยภพตะวันไม่ใช่คนที่ต้องเค้นเอาความจริงจากใครให้ต้องรู้สึกอัดอึด เขาจึงได้ไม่ถามอะไรเธอออกไปให้มากมายนัก และจากวันนั้นมา คู่หมั้นของเขา ก็หายตัวไปไร้การติดต่อใดใดกลับมาอีก


























“ภีม แม่ไม่เห็นหนูสาลี่มาหลายวันแล้วนะ ทะเลาะอะไรกันรึเปล่า?”



“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าสาลี่เป็นอะไร วันก่อนที่มาก็ดูเธอซึมๆ แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรเธอไป”



“แม่ว่าไปเยี่ยมเธอที่บ้านดูหน่อยไหมภีม”



“ครับ ผมจะไปดูพรุ่งนี้”



“ทำไมลูกไม่ไปวันนี้เลยล่ะ นี่ก็กำลังจะออกบ้านไม่ใช่เหรอ?”



“พอดีวันนี้ผมตั้งใจว่าจะไปเที่ยวหาธรครับ”









!!!




“ภีม แม่ว่าอย่าพึ่งไปดีไหม วันนี้ไปหาหนูสาลี่ก่อนดีกว่านะ”




“คุณแม่มีอะไรกับธรรึเปล่าครับ ตั้งแต่วันก่อนแล้วที่ธรมางาน ก็ดูคุณแม่ท่าทางแปลกๆ”



“ภีม…ฟังแม่ดีดีนะ ตอนนี้กันต์ธรเพื่อนลูก…ไม่ใช่คนที่ลูกเคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว”




คุณนายบ้านวงศ์วรรธน์เก็บงำความลับระหว่างสองตระกูลเอาไว้ และตั้งใจว่า จะเก็บมันไว้ตลอดไป เมื่อเวลาล่วงเลยไปยาวนานถึงสิบปี และลูกชายของเธอ บัดนี้ก็มีคู่หมั้นคู่หมายที่เพียบพร้อมแล้ว เธอภาวนามาตลอดให้ภพตะวัน ลืมเรื่องราวเก่าๆ ระหว่างเพื่อนรักของเขาซะ แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นเช่นนั้น






จนสุดท้าย ความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขาไม่อยู่ ก็ได้ถูกเล่าให้ลูกชายเพียงคนเดียวได้ฟัง






“มิน่า ธรถึงพาคนมาทำร้ายผม”



“รู้แบบนี้แล้ว เลิกไปยุ่งกับคนบ้านนั้นเถอะนะภีม ก่อนที่แม่จะหัวใจวายตายไปซะก่อน”



“…”



“ได้ไหมลูก?”



“ครับ…ผมจะไม่ไปยุ่งกับเขาอีก”





ภพตะวันนั่งนึกภาพตามเรื่องราวที่เขาได้รับฟังจากมารดาอยู่ครู่หนึ่ง ในอกก็เกิดเจ็บปวดขึ้นมาเสียอย่างนั้น จดหมายทั้งหมดที่เขาตั้งใจส่งไปให้กันต์ธร ไม่เคยถึงกันต์ธรเลยสักฉบับ และในขณะที่เขาไม่ได้อยู่นี้ กันต์ธรก็พบกับความโหดร้ายของโลกใบนี้เพียงลำพังมาโดยตลอด เมื่อนึกได้เช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มทายาทตระกูลวงศ์วรรธน์ก็ไม่อาจหยุดความเจ็บปวดภายในลงได้เลย




เขาอยากไปหา อยากไปขอโทษ อยากไปปลอบโยน คนที่เขาเคยสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างกัน แต่เขากลับไม่ได้อยู่ที่นั่น วันที่โลกใบนี้หยิบยื่นความโหดร้ายให้กับเพื่อนรักของเขา





ภพตะวันเดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบเชียบ เขาเดินห่างตัวบ้านไปเรื่อยๆ จนพบเข้ากับรถประจำทางสาธารณะสภาพใกล้ผุพัง ชายหนุ่มผู้แต่งกายเนี้ยบโดยสารรถคันนั้นเข้าไปในตัวเมือง เพื่อไปกล่าวขอโทษให้หายรู้สึกผิดต่อกันต์ธร ณรงค์กร




บ้านใหญ่หลังเดิมที่เขาอาศัยเป็นบ้านหลังที่สองสมัยเรียนชั้นมัธยม เขาจำมันได้ดี ซึ่งบัดนี้ได้มีการปรับปรุงและตกแต่งเพิ่มเติมด้วยไม้เนื้อดีแทบทั้งหลัง ชายหนุ่มเดินไปกดกริ่งเพียงไม่นาน เจ้าบ้านที่แสนคุ้นหน้าคุ้นตาก็ออกมาเปิดประตูให้









“สวัสดีครับคุณน้า”




“ภีม?”




“ธรอยู่ไหมครับ?”




“อ..อยู่ อยู่จ้ะ ภีมกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”




“ผมกลับมาได้เกือบเดือนแล้วครับ ผมนึกว่าธรบอกคุณน้าแล้ว”




“อ่า…ธรน่าจะบอกแล้ว แต่น้าลืมเอง ภีมเข้ามาก่อนสิ”




“ขอบคุณครับ”





แขกผู้มาเยือนยิ้มแย้มดังเช่นเด็กน้อยอีกครั้ง เขาตื่นเต้นเหลือเกินที่จะได้เดินเข้าไปด้านใน ภพตะวันทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวแล้วนั่งมองการตกแต่งรูปแบบใหม่ไปรอบๆ เพียงครู่ก็มีน้ำและขนมมาวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ นั้น





...







“ภีม”




“ธร…”





เสี่ยธรเดินตาขวางออกมาจากห้องทำงาน เมื่อมารดาเข้าไปแจ้งว่ามีคนมาหา ช่วงนี้งานเขายุ่งมากเป็นพิเศษ ด้วยใกล้เทศกาล และใครหลายคนมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินกันมากกว่าปกติ เสี่ยธรจึงต้องตรวจสอบประวัติและวางแผนสำหรับรับมือ หากว่าถูกเบี้ยวหนี้




เมื่อเสี่ยเจ้าของบ้านเห็นว่าใครมาหา สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ทั้งที่คิดเอาไว้แล้วว่าจะไปแกล้งภพตะวันที่บ้านเสียหน่อย แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่า เจ้าตัวมานั่งยิ้มลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านของเขาเองเป็นที่เรียบร้อย







“นายมีธุระอะไร?”



“ฉัน…อยากมาคุยด้วยหน่อย ตั้งแต่กลับมาฉันยังไม่ได้คุยกับนายเลย”



“งั้นตามมาสิ”







“ไปไหนเหรอ?”



“ตามมาเดี๋ยวก็รู้”








ความสนุกของกันต์ธรกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาไม่สามารถหุบรอยยิ้มชั่วร้ายของตนลงได้เลย และอดใจไม่ไหวแล้ว ที่จะเอาคืนทายาทตระกูลผู้ดีจอมปลอมให้สมใจอยาก
    ​

























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------








ขอบคุณ คุณ bun , คุณ smmikie  และ คุณ blove สำหรับคอมเม้นท์มากๆเลยนะคะ  :pig4: :กอด1:


เค้าเจอกันแล้วนะคะ แงงงง คุณภีมจะเจออะไรบ้าง มาลุ้นกันต่อในบทถัดไปนะคะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจอีกครั้งค่า :pig4: :pig4: :pig4:



 :L1: :L1: :L1:  :L1: :L1:




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ต่อจากนี้ภีมจะต้องเจ็บช้ำอีกหรือเปล่า จะโดนกระทำอะไรบ้าง คู่มั่นก็หายไปแล้ว

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
เอาคืนแล้วตัวเองก็อย่าเสียใจกับการกระทำของตัวเองละธร หึหึ!! อิอิ!! รอตอนต่อไปเลยค่ะ

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 14 : สูญสิ้นสิ่งสำคัญ




















แขกผู้มาเยือนฉายสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเพื่อนรักเดินนำตนอ้อมไปอีกทางของบ้าน แล้วเลี้ยวเข้าไปในห้องห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยหน้าต่างไม้สีน้ำตาล ภายในประดับตกแต่งไปด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่







“มานั่งนี่สิ”



กันต์ธรเดินไปหยุดบริเวณเก้าอี้ตัวใหญ่เนื้อดีสำหรับนั่งทำงาน ที่ใครเห็นแล้วก็ต้องรู้สึกได้ในทันทีว่า เบาะรองนั่งนั้น ต้องนุ่มมากเป็นแน่ ภพตะวันที่เดินตามเข้ามามองหน้าเพื่อนรักแล้วยิ้มตอบ จากนั้นเจ้าตัวก็เดินไปนั่งลงบนบัลลังก์ส่วนตัวของกันต์ธร ที่นอกจากเจ้าของแล้ว ยังไม่เคยมีใครได้นั่งทับรอยเขาเลยแม้แต่คนเดียว








“โต๊ะทำงานนายเหรอ?”



“อือ นั่งรอฉันตรงนี้เดี๋ยว ฉันไปเอาขนมมาให้”




เจ้าของห้องทำงานเดินออกจากห้องไปแล้ว ปล่อยทิ้งไว้เพียงแขกผู้มาเยือน ภพตะวันยังคงมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่ได้แตะเอกสารใดๆ บนโต๊ะที่ยังวางกระจัดกระจายอยู่ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ ห้องทำงานแห่งนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ และกินพื้นที่ของบ้านไปหลายตารางวา





ตั้งแต่ภพตะวันก้าวเข้าบ้านหลังนี้มา หัวใจที่กระเพื่อมอยู่ด้วยความตื่นเต้น ยังไม่หยุดกระเพื่อมลงเลย

















“นัดกันดีดี อย่าให้พลาด”



“ครับนาย!”




เจ้าของบ้านที่เดินออกจากห้องส่วนตัวมา ไม่ได้เดินเข้าห้องครัวหรือเรียกแม่บ้านแต่อย่างใด เขาเดินออกมาหาลูกน้องกลุ่มหนึ่งข้างนอกตัวบ้าน แล้วสั่งการบางอย่างไปโดยที่เจ้าตัวยังไม่หุบยิ้ม หากว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการแล้วล่ะก็ ความแค้นที่สั่งสมมาตลอดสิบปี คงได้สะสางลงเสียที ทุกอย่างจะได้จบลง ไม่ต้องค้างคาใจใดใดกันอีก





ชายฉกรรจ์สามถึงสี่นาย กระจายตัวกันออกแยกย้ายตามคำสั่ง เมื่อจัดการธุระสำคัญเรียบร้อย กันต์ธรจึงได้เดินเข้าห้องครัวแล้วจัดการนำน้ำและขนมมาจัดวางในถาดเพื่อนำไปเสิร์ฟให้แขกผู้ทรงเกียรติด้วยตัวเอง เขาเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานและพบว่าเพื่อนรักยังคงนั่งอยู่ในจุดเดิม และยังคงส่งยิ้มมาให้เขาไม่ขาด







สายตาที่แสนน่าชังดึงดูดให้เจ้าของห้องต้องวางถาดลงบนโต๊ะทำงาน ทับเอกสารสำคัญหลายใบของตัวเอง แล้วอ้อมมายืนด้านหลังของเก้าอี้หมุนเนื้อดีตัวนั้น เขาจับเบาะหลังของเก้าอี้แล้วหมุนให้ภพตะวันหันหน้ามาหาเขา จากนั้นเจ้าตัวก็โน้มตัวลง สองมือจับที่บริเวณพนักวางแขนและคร่อมตัวลง ขังภพตะวันไว้ในเบาะนุ่มนั้น จนคนที่นั่งเก้าอี้แทบจะแทรกจมเข้าไปในเบาะ






“นายจะคุยอะไรนะ?”




“ฉัน…”





ลมหายใจที่เป่ารดใกล้เข้ามาทุกที มันเริ่มละลายสติของภพตะวันให้ค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ ชายหนุ่มทำได้เพียงก้มหน้าแล้วเบียดตัวเข้ากับเบาะ คำพูดที่คิดไว้หายสาบสูญไปกับอารมณ์วาบหวามของตนเองที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้






“หืม...ภีมว่าไงนะ ฉันไม่ได้ยินเลย?”






เจ้าของห้องแตะปลายจมูกลงบริเวณใบหูของภพตะวันแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไม่ต่างกับหัวใจ







“ฉัน…นาย…”












ตึกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ






“…ฉันขอโทษนะธร”



“…”



และแล้ว คำพูดที่กันต์ธรไม่อยากได้ยินมากที่สุดก็ถูกเปล่งออกมา เขาหยุดทุกการกระทำของตนลง แล้วยืดตัวขึ้นยืนตรงต่อหน้าภพตะวัน ความรู้สึกอุ่นละมุนเมื่อครู่หายวับไปพร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด






“ขอโทษอะไร?”



“ตอนนั้น…ที่ฉันไม่ได้อยู่ด้วย”




ภพตะวันเอ่ยคำขอโทษอย่างตรงไปตรงมาทั้งน้ำเสียงและแววตา การกระทำที่มีผลรุนแรงส่งไปยังกันต์ธรให้ต้องรู้สึกหนักขึ้นกว่าเก่า ผู้ฟังกำลังออกอาการสั่นด้วยในอกจุกตันไปหมดและอีกนิดเดียว ความกดดันทั้งหมดก็จะปะทุออกมาเป็นความอ่อนแอ ที่เรียกว่าน้ำตา หากแต่เจ้าของกลับไม่ต้องการให้น้ำใสไหลออกมาต่อหน้าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เขา ชายหนุ่มเดินหันหลังออกจากห้องไป และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ความอัดอั้นใจร่วงหล่นรดลงมาอาบไล้บนใบหน้าพอดี








“ธร…”







“กลับบ้านไปซะภีม!”







กันต์ธรเดินหนีออกห่างไปยังห้องรับแขกที่อยู่ไม่ไกลนักโดยไม่หันกลับมามองคนที่วิ่งตามหลังมาและเรียกเขาเอาไว้ ด้วยสิ่งที่ภพตะวันอยากพูดนั้น ยังมีอีกมากมาย







“นายโกรธฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอธร? แม่เล่าให้ฉันฟังแล้วนะ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับบ้านนาย ฉันรู้ว่านายเจ็บปวด แต่ขอร้อง…”









กึก




“…นายไม่รู้หรอก!!!”





ชายหนุ่มคนเดิมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มเมื่อครู่ บัดนี้หันมาสบตากับภพตะวันด้วยดวงตาแดงก่ำฉายแววอาฆาตรุนแรง ทั้งน้ำเสียงที่ตวาดกลับมาก็ดุเดือดเสียจนภพตะวันถึงกับนิ่งชะงักไปด้วยตกใจอย่างหนัก





“อยากรู้ไหม ว่ามันเป็นยังไง ถ้านายอยากรู้…พรุ่งนี้สองทุ่มก็มาที่นี่อีกทีสิ แล้วนายจะได้รู้”





กันต์ธรยังคงมีสายตาคมแค้นส่งมา ดวงตานั้นเบิกโพลงและน้ำตาไหลออกมาเป็นสายโดยที่เจ้าตัวไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย กรามหนาขบเข้าหากันอย่างข่มอารมณ์อัดอั้นในอก อีกเพียงนิดเดียว หากภพตะวันยังไม่หยุดลอยหน้าลอยตาใกล้ๆ เขาก็พร้อมเต็มที่ ที่จะส่งมือหนาไปบีบคอคนตรงหน้าให้ขาดใจตายเสียตรงนี้







ภพตะวันผู้มาเยือนไม่อาจเอ่ยคำใดออกไปได้อีก ด้วยเขาไม่รู้ว่า ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็นใคร หากแต่สิ่งที่ส่งตรงมายังเขา…ช่างน่าหวาดกลัว





ชายคนนั้นมีรอยยิ้มน้อยๆ ส่งมาให้ ทั้งที่ดวงตากำลังปลดปล่อยน้ำตาแห่งความทรมาน เขาไม่อาจทนอยู่ใกล้กับคนคนนี้ได้อีก หนุ่มผู้มาเยือน ตัดสินใจเดินถอยหลังห่างจากชายผู้นั้นไป พร้อมกับมือที่กุมบริเวณกลางอก




ความเจ็บปวดที่ถูกส่งมา ทำให้ภพตะวันที่โดยสารรถประจำทางกลับบ้านมีน้ำตาตลอดทาง เขายังคงจมเข้าไปอยู่ในโลกที่กันต์ธรถ่ายทอดมาให้เมื่อสักครู่ แม้ไม่สามารถย้อนกลับไปมองเหตุการณ์ที่เพื่อนรักของเขาเคยพบเจอมาได้ แต่นั่นก็คงจะเจ็บปวดเกินขีดจำกัดที่คนคนหนึ่งจะรับมือได้ไหวเป็นแน่





ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาลืมเลือนทุกสิ่งรอบตัวไปหมด กระทั่งคู่หมั้นที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายวัน เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงตั้งแต่หัวค่ำ แต่กลับไม่สามารถข่มตาให้หลับสนิทลงได้ จิตใจยังคงวนเวียนคิดหาทางออกให้กับบาดแผลในใจของเขาและกันต์ธรตลอดทั้งคืน โดยที่มารู้สึกตัวอีกที แสงแดดก็สาดลอดม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว


















“ภีม เมื่อวานไปหาหนูสาลี่มาเหรอลูก?”




“ป่าวครับ”




“อ่าว แล้วไปไหนมาล่ะ? แม่เห็นภีมไม่อยู่”




“…”




“ภีม?”




“ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวไปนอนพักก่อนนะครับ”




ภพตะวันลงมาทานอาหารเช้ากับครอบครัวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง แม้จะบังคับให้ฝืนยิ้มออกไปอย่างไร คราวนี้ก็ยากเกินไปที่จะแสร้งทำ ปากบางนั้นไม่อยากขยับหรือเอื้อนเอ่ยกับผู้ใด เขาเพียงต้องการนอนจมความคิดโดยลำพังเท่านั้น










‘อยากรู้ไหม ว่ามันเป็นยังไง ถ้านายอยากรู้…พรุ่งนี้สองทุ่มก็มาที่นี่อีกทีสิ แล้วนายจะได้รู้’




คำพูดสุดท้ายที่กันต์ธรบอกกับเข้าไว้เมื่อวาน และอีกไม่กี่ชั่วโมงจากนี้ เวลานัดของเขาก็จะมาถึง ยิ่งใกล้เวลาที่เขาจะออกไปพบเพื่อนรักมากเท่าไหร่ หัวใจที่นิ่งเฉยของเขาก็เริ่มเต้นแรงขึ้นเท่านั้น เขาไม่รู้ว่ากันต์ธรนัดเขาไปทำไม แต่คราวนี้เขาจะต้องแก้ไขทุกอย่างให้มันดีขึ้นให้ได้ ภพตะวันยิ้มออกมาได้อีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นแต่งตัวในชุดสุภาพ






เขาเดินไปหยิบกุญแจรถยนต์แล้วขับออกไปเพียงลำพัง ตอนเวลาประมาณสองทุ่ม ช่วงเวลาที่คนในบ้านกำลังพักผ่อนอยู่ในห้องนันทนาการร่วมกัน




เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่า การออกไปพบกับเพื่อนเก่าครั้งนี้ อาจไม่ได้กลับมาที่บ้านอีก บางสิ่งบางอย่างตะโกนบอกกับเขาว่า ชายที่เขาพบเมื่อวาน ไม่ใช่กันต์ธรคนเดียวกับที่เขาเคยบอกรักอีกต่อไปแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร สายใยความผูกพันที่ผูกเขากับชายคนนั้นเอาไว้ ก็ไม่อาจมีสิ่งใด ตัดมันให้ขาดลงได้เลย




รถยนต์คันหรูขับเลียบไปตามทางเพื่อเข้าไปยังตัวเมือง ใจก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่เด็กหนุ่มที่เตี้ยกว่าเขา หนีออกจากบ้านและขี่รถจักรยานยนต์คันเก่า ฝ่าดงความมืดไปไกลถึงสิบกิโล เพื่อไปพบเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกทางกัน แม้นั่นจะเป็นช่วงเวลาที่ผ่านมายาวนานแล้ว แต่ความประทับใจก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใจของภพตะวันได้เลย





ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งไปพร้อมกับเหม่อลอยนึกถึงหน้าของใครบางคนไป








แต่แล้ว…






...เท้าที่เหยียบคันเร่ง ก็ต้องยกขึ้นแตะเบรกอย่างกะทันหัน...












เอี๊ยดดดดดดดดดด!!!!











โครม!!!!!!!!








หัวใจภพตะวันเต้นแรงขึ้นจนมันแทบทะลุทรวงอกออกมา การเบรกกะทันหันเมื่อครู่ทำให้รถของเขาเสียหลักและพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างทางจนหน้ากระโปรงยุบไปครึ่งหนึ่ง








แฮก แฮก แฮก




ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าออกรุนแรงเพื่อระงับอาการสั่นเทาทั้งร่างของตนเอาไว้ เมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น? เขาเห็นว่ามีรถอีกคันหนึ่งพุ่งตรงมาในถนนเลนส์ของเขา และมันพุ่งตรงพร้อมเข้าปะทะกับรถของเขาอย่างเต็มที่





แล้วรถคันนั้นปลอดภัยดีไหม?




เมื่อเรียกสติกลับมาได้เพียงครึ่ง เจ้าของรถยนต์หน้าใสก็ถอดเข็มขัดนิรภัยของตนออก แล้วค่อยๆ ก้าวเท้าลงมาจากรถทั้งที่ร่างยังมีอาการสั่นเทาอยู่







เขามองไปรอบๆ และพบว่าบริเวณนี้คือจุดเปลี่ยวร้าง สองริมทางคือป่าไม้มืดครึ้ม มีเพียงแสงสว่างจากไฟหน้ารถของเขาที่กะพริบแผ่วๆ อยู่เท่านั้นที่ทำให้เขาสามารถมองเห็นรถคันเมื่อครู่ได้




ภพตะวันเดินเข้าใกล้กับรถคันนั้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยเรียกใดๆ ออกมา ด้วยยังตกตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย เขาเดินเข้าใกล้จะเกือบถึงประตูของรถอีกคันและไม่นาน ประตูรถยนต์ทั้งสี่ด้านของรถคันนั้นก็ถูกเปิดออกพร้อมกันจากด้านใน ปรากฏเป็นเงาบุรุษรูปร่างสูงใหญ่พร้อมของบางอย่างในมือที่ลักษณะคล้ายอาวุธ






ความสิ้นสติที่คงค้างในใจเมื่อครู่ ถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึงจากสัญญาณเตือนภัยในสมอง มันขึ้นสีแดงกะพริบรุนแรงจนภพตะวันเริ่มเดินถอยหลัง และวิ่งหนีเข้าไปในพงหญ้าที่ขึ้นสูงใกล้ๆ กับรถของเขาที่จอดนิ่งสนิทจมกับต้นไม้อยู่





ขาสองข้างพุ่งไปข้างหน้าอัตโนมัติ มันจ้ำอ้าวหนีคนกลุ่มนั้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อกระต่ายน้อยรู้ตัว ชายทั้งสี่ที่ลงจากรถก็วิ่งตามมาไม่ช้ากว่ากันสักเท่าไร




กำลังขาที่ฝึกฝนติดกันมาเป็นเวลานาน สามารถวิ่งตามภพตะวันได้ทันเพียงไม่กี่อึดใจ เหยื่อผู้โชคร้ายหวาดกลัวอย่างหนัก วิ่งหนีไปด้วยร้องไห้ไปด้วย ช่างเป็นภาพที่น่าเห็นใจอย่างถึงที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น ชายฉกรรจ์ที่วิ่งเร็วที่สุดในกลุ่มก็ยังคงกระโจนตัวรวบกระต่ายน้อยเอาไว้อย่างไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดใด












“อย่า!!! ปล่อยนะ!!!!!”





เมื่อรวบตัวภพตะวันเอาไว้ได้ ชายคนเดิมก็ใช้ผ้าคลุมศีรษะสีดำ ครอบลงไปจนภาพตรงหน้าของเจ้ากระต่ายมืดมิด แต่ถึงอย่างนั้น เจ้ากระต่ายที่มีสัญญาณเตือนภัยร้องลั่นในหัว ก็ไม่ยอมแพ้ลงโดยง่าย เขาทั้งเตะทั้งต่อยออกไปทั้งที่ถูกคลุมหัวอยู่





และแล้ว ก็มีหนึ่งหมัด ที่เสยตรงเข้าปลายคางของผู้ไม่หวังดีเข้าเต็มๆ ภพตะวันไม่รอช้า เมื่อกายเป็นอิสระ เขาก็ออกแรงวิ่งต่อไปโดยที่ยังมีผ้าคลุมศีรษะคลุมอยู่ วิ่งไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วสูง และวิ่งต่อไปอีกอย่างไม่คิดชีวิต ไม่คิดว่าจะชนเข้ากับสิ่งใด พร้อมกับมือที่พยายามดึงผ้าคลุมศีรษะนั้นให้หลุดออกไปด้วยพร้อมกัน






เขาวิ่ง และวิ่ง จนเสียงที่ไล่ตามหลังมา ค่อยๆ เงียบลงไป และผ้าสีดำก็กำลังจะหลุดออกเช่นกัน













ปึก!



เมื่อผ้าคลุมร่วงลงพื้น จมูกของภพตะวันก็ชนเข้ากับแผงอกหนาของใครบางคนเข้าเต็มแรง แรงนั้นสะท้อนกลับจนเจ้าตัวคนชนเซถลาแทบล้มลงไปกองกับพื้น แต่แล้วแขนของชายคนเดิมที่ถูกชน ก็คว้าภพตะวันเอาไว้ได้ทัน แม้ว่าสายตาจะยังพร่าเบลออยู่จากอาการตกใจ แต่หูก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เรียกชื่อของเขา และนั่นทำให้ภพตะวันที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากเงื้อมมือคนเถื่อน ได้เบาใจลงจนต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้ง














“ภีม! ....ภีม!”






“ธร!?!!!! ฮืออออ….”










“ภีม…นายหนีอะไรมา?”




“ฮืออ ธร…”




ภพตะวันคล้ายกับหมดแรงไปอย่างกะทันหัน ขาเขาพับลงไปกองกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน และทำอะไรอยู่กันนะ? ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ลืมขึ้นมาได้ ด้านกันต์ธรทรุดตัวลงนั่งยองๆ ข้างเพื่อน แล้วค่อยๆ ประคองภพตะวันให้ยืนขึ้นอีกครั้ง







“กลัวเหรอภีม? นายกลัวรึเปล่า?”




ชายหนุ่มผู้วิ่งหนีความตายพยักหน้าหงึกหงักหัวแทบหลุด แล้วกอดเพื่อนรักเอาไว้แน่น กันต์ธรประคองภพตะวันให้ลุกขึ้น แล้วเดินต่อมาอีกครั้งครู่ ก็โผล่พ้นเจอขอบถนนอีกฝั่ง และรถของกันต์ธรจอดอยู่ไม่ห่างจากบริเวณนั้นมากนัก







“ไม่เป็นไรแล้วนะภีม เดี๋ยวฉันพาไปส่งบ้านนะ”




อีกเพียงไม่กี่ก้าว สองเพื่อนรักก็จะเดินถึงประตูรถยนต์ของกันต์ธร แต่แล้ว ก็มีรถคันหนึ่งซึ่งขับผ่านหน้าพวกเขาไปเมื่อครู่ วกรถวนกลับมา และไม่รอช้าเปิดประตูออกมาพร้อมกับไม้หน้าสามในมือ







“ธร…!”



ภพตะวันและกันต์ธรกุมมือกันไว้แน่น ในคราวแรกเป็นมือของภพตะวันเพียงฝ่ายเดียวที่สั่นเทาอย่างหนัก หากแต่บัดนี้ มือของเสี่ยธร ก็เริ่มออกแรงสั่นน้อยๆ บ้างแล้ว






“ไง….เสี่ยธร มาทำอะไรแถวนี้?”



หนึ่งในสามของชายหน้าโหดเอ่ยทักขึ้น และได้รับสายตาดุดันส่งกลับไปอย่างไม่คิดยอมแพ้ เขาปล่อยมือจากภพตะวันแล้วใช้ตัวบังเพื่อนรักเอาไว้ด้านหลัง ตั้งท่าพร้อมพุ่งเข้าชนกับกลุ่มคู่แข่งทางการค้า








“ถ้าพวกมึงยังอยากหายใจ! มุดรูไหนออกมา ไสหัวกลับเข้าไปเลย!”






“ปากดีนักนะไอ้ธร! เก่งแต่ปากมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เห็นเอาตัวรอดได้สักที!”








“อย่างน้อยกูก็ยืนเอง ไม่ได้มัวแต่หลบหลังลูกน้อยอย่างมึง!!”




“นั่นสิ งั้นคราวนี้กูจัดถวายให้มึงเองหนึ่งชุดเลยแล้วกัน”





ชายสามคนผู้มาใหม่ ไม่รอให้กันต์ธรได้เบ่งบารมีต่อจากนั้น ทุกคนพุ่งตัวเข้าใส่กันต์ธรที่มีภพตะวันยืนหลบอยู่ด้านหลัง ไม่ว่าเมื่อไหร่ หากได้สู้กันอย่างตัวต่อตัวแล้วล่ะก็ กันต์ธรก็ไม่เคยเอาชนะ ‘จ้าววายุ’ ที่บัดนี้เป็นหัวหน้ากลุ่มรีดค่าคุ้มครองอีกฝั่งของเมืองได้เลย








และที่ยิ่งไปกว่านั้น บัดนี้กันต์ธรมีชายอีกคนที่เขาห่วงใย ยืนอยู่ด้วยกันตรงนั้น สติและสมาธิที่สั่งสมมานานหลายปี หายไปจนหมดสิ้น เพียงลูกน้องคนหนึ่งของจ้าววายุ เดินเข้าใกล้ภพตะวัน














ปัก!!!!






“ธร!!!”





ด้วยความที่เอาแต่มองไปยังอีกคนที่กำลังจะหมดท่า ไม้หน้าสามในมือคู่อริ จึงฟาดลงเต็มๆ กลางศีรษะของเสี่ยธร และในทันที โลหิตสีแดงขุ่นก็รินรดลงมาตามรอยแตกร้าวของศีรษะ เข่าทั้งสองข้างของอันธพาลรุ่นใหญ่ทรุดลง แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จุดจบ ไม้หน้าสามอันเดิม ฟาดลงมาอีกครั้งบริเวณแผ่นหลังของเสี่ยเคราะห์ร้าย และเพียงไม่นาน ร่างทั้งร่างของกันต์ธร ก็ฟุบลงกองกับพื้นถนน ดวงตาเขาเหลือกขึ้นมองไปยังภพตะวัน พร้อมกับมือสั่นเทาที่พยายามจะคว้าคนตรงหน้าเอาไว้







“ธร…!!!”




ภพตะวันที่สติหลุดหลายรอบในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง นั่งพับเพียงลงบนพื้นถนน ในขณะที่ชายคนเดิมกับเมื่อครู่ค่อยๆ เดินเข้าใกล้ มือหนาของจ้าววายุ ลูบลงจับที่ปลายคางของภพตะวันให้ใบหน้านั้นค่อยๆ เงยขึ้นสบมองตน






สีหน้าและแววตาแห่งความหวาดกลัว ช่างงดงามและตรึงใจจ้าววายุเหนือสิ่งอื่นใด โจรหนุ่มแทบลืมหายใจเมื่อได้มอง เขาจำไม่ได้ว่าชายคนนี้เป็นใคร แต่ทว่า ความงดงามที่ได้พบเจอในบัดนี้ ทำให้เขาไม่อาจหยุดความคิดอันชั่วร้ายลงไปได้






เขาสั่งให้สมุนซ้ายขวาพาภพตะวันขึ้นรถและกลับบ้านไปด้วย แต่ยังไม่ทันที่กลุ่มคู่อริจะได้ทำการใดใด ชายฉกรรจ์ 4 คนที่วิ่งไล่หลังภพตะวันมาเมื่อครู่ ก็เดินมาถึงยังจุดที่กันต์ธรนอนหมดสติจมกองเลือดอยู่ ชายสองกลุ่มมองหน้ากันด้วยความเคียดแค้นสุดใจ





และนั่น ก็เป็นภาพสุดท้ายที่ภพตะวันจำความได้
















...














“แม่…?”




“ฟื้นแล้วเหรอภีม”




“ผม…มาอยู่นี่ได้ไงครับ?”



ภพตะวันมองไปรอบๆ ก็พบกับมารดา บิดา และคู่หมั้นคนสวยของเขา ก้มลงมองร่างกายก็พบว่าบัดนี้ตนเองนอนอยู่บนเตียงขาว ที่คล้ายกับเตียงเดิมที่ได้นอนเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน สมองประมวลผลอย่างหนัก แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็นึกไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น และเขามาอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไร









“คนบ้านณรงค์กรเจอลูกกับกันต์ธรที่ริมถนน”



“ธร…?”



“ลูกไปอยู่นั่นได้ยังไงภีม?”





“ธร…ธรล่ะครับ? คุณแม่! ธรล่ะ!?!!”




“…พักอยู่อีกห้อง”




เมื่อได้ฟังดังนั้น ผู้ป่วยที่มีรอยฟกช้ำตามร่างกายก็กระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งไปยังห้องพักของคนในความคิดอย่างรวดเร็ว เขาภาวนาให้กันต์ธรปลอดภัยจากการถูกทำร้าย ในขณะที่วิ่งออกไป ใจก็เต้นแรงด้วยความกังวล




ประตูห้องพักผู้ป่วยที่ไม่ห่างจากภพตะวันถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน ภายในพบมารดาของกันต์ธร และแพทย์ที่กำลังส่องไฟฉายเข้าไปในดวงตาของกันต์ธรอยู่ ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่บนเตียง แล้วมองมายังแขกที่เข้าห้องผู้ป่วยพิเศษมาโดยไม่ได้เคาะประตู










“ธร…ไม่เป็นไรใช่ไหม!?!”





คนที่นั่งอยู่บนเตียง มีท่าทีปกติดีกว่าที่คาด ภพตะวันจึงเบาใจและลดความเร็วในการเดินของตัวเองลง หันไปยกมือสวัสดีมารดาของกันต์ธรและคุณหมอได้ จากนั้นก็เดินเข้าใกล้เพื่อนรักด้วยรอยยิ้มอย่างโล่งอก เขาเอื้อมมือไปกุมมือกันต์ธรเอาไว้ ด้านกันต์ธรก็จับมือตอบแล้วมองหน้าภพตะวันด้วยรอยยิ้มมึนงง ก่อนจะเอ่ยกับแขกผู้มาเยี่ยมอย่างแผ่วเบาว่า















...













“…คุณเป็นใคร?”
    ​



























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------







ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะ คุณ bun  และ คุณ blove  :กอด1: :pig4: :pig4:


มาลุ้นกันต่อนะคะ ^^ ว่าคุณภีมกับคุณธร ใครจะโดนหนักกว่ากัน 5555555






 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
อ้าวกลายเป็นธรความจำเสื่อม แต่นิสัยนี่จะเปลี่ยนไปด้วยไหม จะกลับมาดีเหมือนเดิม หรือโหดเหมือนเดิม

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
ห๊ะะะ เรื่องนี้มันพีคเกินไปแล้วนะคะะะ

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 15 : รู้สึกว่ารัก














“ธร…?”



“ภีมมาทางนี้กับน้าหน่อยได้ไหม”



ภพตะวันที่เดินเข้ามากุมมือกันต์ธรเอาไว้เริ่มแสดงสีหน้าไม่ดีให้ทุกคนได้เห็น มารดาผู้ป่วยเจ้าของห้องจึงได้เรียกไปคุยเป็นการส่วนตัวใกล้ๆ กับหน้าห้องน้ำ และบอกเล่าอาการสาหัสที่กันต์ธรได้รับ ด้วยศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากเหตุทะเลาะวิวาทเมื่อคืนที่ผ่านมา หลายคนและหลายเหตุการณ์ในชีวิต จึงได้หล่นหายไปจากความทรงจำของเขา หนึ่งในนั้น รวมไปถึงภพตะวันเพื่อนรักด้วย และผู้ป่วยจำเป็นต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลไปอีกสักระยะ เพื่อรอดูว่าจะมีอาการแทรกซ้อนใดเกิดขึ้นอีกหรือไม่








ในเบื้องต้นจากการวินิจฉัย แม้ว่าความทรงจำจะขาดหายไป แต่ผู้ป่วยก็ยังสามารถลุกขึ้นนั่งได้ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีด้านการรักษา



ชายหนุ่มผู้ผ่านค่ำคืนอันโหดร้าย มองไปยังคนที่นั่งมองมาจากเตียงกว้าง บัดนี้บุรุษในชุดขาวได้เดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และดวงตาที่ภพตะวันได้มองเห็นจากเพื่อนรักของเขาในตอนนี้ ฉายเพียงภาพความว่างเปล่าระคนสงสัย และนั่นก็ดีแล้ว…ดีกว่าแววตาระทมทุกข์ที่เขาได้รับมาจากกันต์ธรเมื่อวันก่อนเสียอีก








“ผมจะช่วยดูแลธรเองนะครับ”



ดวงใจและร่างกายของภพตะวันที่พึ่งถูกถ่ายโอนบาดแผลมาหมาดๆ เริ่มยิ้มออกมาได้จากภายใน อย่างน้อยในตอนนี้ กันต์ธรก็ไม่ต้องเจ็บปวดกับความทรงจำอันโหดร้ายที่ผ่านมาของเจ้าตัว ภพตะวันกุมมือของมารดาเพื่อนรักเอาไว้แน่น และเอ่ยคำพูดปลอบโยนแสนนุ่มนวลนั้นออกมาจากใจ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ เพราะคนที่นั่งมองเขาอยู่บนเตียงนั้น



…คือคนสำคัญที่สุดของเขา












จากวันนั้นตลอดหนึ่งสัปดาห์ ภพตะวันที่ได้รับบาดเจ็บเพียงแผลถลอกก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง รวมทั้งหัวใจอันเจ็บปวดของเขาก็ด้วย เขามาดูแลกันต์ธรที่ห้องผู้ป่วยพิเศษนี้ในทุกวันตั้งแต่เช้าตรู่ โดยมีลูกน้องคนสนิทของกันต์ธรเวียนกันมานอนเฝ้าเจ้านายในตอนกลางคืน



ภพตะวันจะตั้งใจทำอาหารเช้าสำหรับผู้ป่วยตามคำแนะนำของแพทย์มาให้กันต์ธรด้วยตัวเองในทุกวัน และทุกครั้งที่เขาได้ลงมือเคี่ยวข้าวต้มร้อนๆ ให้กับเพื่อนรัก หัวใจของเขาจะพองฟูและอิ่มสุขเป็นอย่างมาก เมื่อเดินทางมาถึงโรงพยาบาล เขาก็จะจัดแจงนำอาหารทั้งหมดใส่ถ้วยชามแล้วดูแลเช็ดตัวคนป่วยที่ยังคงหลับอยู่ให้สะอาดเท่าที่จะสามารถทำได้




อาการข้างเคียงที่มารดาของกันต์ธรเป็นห่วง มีเพียงอาการวิงเวียนและปวดศีรษะเป็นพักๆ เท่านั้น และอาจรวมไปถึงการเดินแล้วเกิดตัวเอียงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง








“อรุณสวัสดิ์…ภีม”



“อรุณสวัสดิ์ธร”



ชายแปลกหน้าที่กันต์ธรจำไม่ได้อีกแล้วว่าเขาคือใคร สตรีวัยชราท่านนั้นบอกกับเขาว่าชายคนนั้นชื่อ ‘ภีม’ และเป็นเพื่อนรักสมัยที่ยังเรียนหนังสือของเขา ทุกเช้าที่เขาตื่นมา เขาจะได้พบหน้าภีมเป็นคนแรก และนั่นก็ทำให้เขาอยากที่จะเอ่ยคำทักทายยามเช้าต่อชายคนนั้นในทุกวัน





กันต์ธรไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่เมื่อลืมตาแล้วได้พบหน้าของภีมเป็นคนแรก เช้าวันนั้นของเขาจะสดใสมาก บางสิ่งที่อบอุ่นสะท้อนอยู่ภายในและนั่นทำให้หัวใจเขาต้องเต้นแรงกว่าที่เป็น แม้ว่าเขาจะรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง แต่หน้าใสๆ นั้นก็กลบฝังทุกความทรมานกายไปได้หมด








“วันนี้ฉันทำข้าวต้มหมูสับมาให้ด้วยนะ อยากลองลุกไปนั่งกินตรงนั้นดูไหม?”






บุรุษพยาบาลในบทบาทสมมติชี้ไปยังชุดรับแขกที่ประกอบไปด้วยโต๊ะไม้และเก้าอี้สองตัว บริเวณริมหน้าต่างมุมหนึ่งของห้องพักพิเศษนี้ กันต์ธรพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ถูกประคองให้ลุกขึ้นเดิน แม้จะมีอาการเดินเอียงอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหา เพราะมือของเขามีอีกมือหนึ่งของชายผู้น่ารักเกาะกุมช่วยเหลือเอาไว้ตลอดเวลา





เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงโต๊ะ ชามใบใหญ่ตรงหน้าที่ถูกครอบฝาปิดเอาไว้ก็ถูกเปิดออก กลิ่นหอมฉุยและไอร้อนโชยออกมาจากข้าวต้มสุดน่ากิน ภพตะวันหยิบช้อนในตะกร้าหวายใกล้ๆ ออกมาแล้วคนให้เข้ากันสักครู่ ก่อนตักขึ้นเป่า แล้วยื่นไปใกล้ๆ กับปากของผู้ป่วย







“…”




“ธร…?”






กันต์ธรไม่ยอมเปิดปากรับข้าวต้ม เขาเอาแต่นั่งจ้องหน้าภพตะวันตาไม่กะพริบ หัวคิ้วทั้งสองพุ่งเข้าหากันอย่างลืมตัว ด้วยบัดนี้เขารู้สึกปวดจี๊ดตรงขมับศีรษะด้านหนึ่ง







“ธรเป็นอะไร? ปวดหัวเหรอ?”




“ฉัน…คุ้นๆ”




“คุ้นอะไร!?! “




เมื่อได้ฟังดังนั้น ภพตะวันก็มีดวงตาลุกวาวขึ้นมา เขารอฟังคำตอบอย่างตื่นเต้น ด้วยกันต์ธรคล้ายกำลังนึกเหตุการณ์บางอย่างออก








“จำไม่ได้…”



สีหน้าเริ่มเคร่งเครียดหนักขึ้นด้วยมันคุ้นซะเหลือเกิน แต่กลับนึกไม่ออก พร้อมกับศีรษะบริเวณเดิมก็ปวดหนักขึ้นเรื่อยๆ ภพตะวันที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเรียกหมอให้เข้ามาช่วยดูอาการ













“ธรบอกผมว่าคุ้นๆ ครับ เหมือนเขาจะเริ่มนึกออกบ้างแล้ว”



“เมื่อวานตอนบ่าย ธรก็ปวดหัวแบบนี้ แล้วก็บอกน้าว่าคุ้นๆ เหมือนกัน…หมอบอกว่า ความทรงจำของธรจะค่อยๆ กลับมาตามการรักษาและระยะเวลา”



“อีกนานไหมครับ ถึงจะกลับบ้านได้”



“จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าแผลภายนอกหายดีหมดนั่นล่ะ”



“แล้ว…อาเต่าล่ะครับ ได้มาเยี่ยมธรบ้างไหม?”



“…ไม่จ้ะ”





คำถามที่ถูกถามออกไป ทำให้สีหน้าของมารดากันต์ธรเริ่มฉายแววอึดอัด ภพตะวันจึงไม่คิดถามสิ่งใดต่อไปอีก เขาไม่ได้พูดคุยเรื่องอื่นกับเธอมากไปกว่าอาการและการดูแลกันต์ธร แต่ถึงอย่างนั้นก็สามารถมองออกได้ว่า มารดาของเพื่อนรักคงกำลังระทมย่างหนักอยู่เป็นแน่





เพียงไม่กี่สัปดาห์ถัดมา บาดแผลจากการแตกร้าวที่ภายนอกก็สมานเข้าหากันเป็นที่เรียบร้อย ผู้ป่วยได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ ทั้งความทรงจำก่อนเก่าก็ค่อยๆ ฉายออกมาทีละเล็กทีละน้อยจนใครต่อใครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า กันต์ธรฟื้นตัวได้ไวกว่าคนไข้รายอื่นมาก





ในขณะเดียวกับที่เสี่ยธรผู้ทรงอิทธิพลกำลังบาดเจ็บสาหัสอยู่นี้ โลกแห่งความวุ่นวายภาพนอกก็ก่อตัวร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ เมื่อข่าวว่ากันต์ธรความจำเสื่อมแพร่สะพัดออกไป และทั้งอริศัตรู คู่พันธมิตรต่างเริ่มวางแผนและหาช่องทางในการโกยประโยชน์จากจุดอ่อนของกันต์ธร









“ไสหัวออกไปจากหน้าบ้านกู! ไอ้ศักดิ์ ไล่มันออกไป!!!!!”





นายเต่าที่พึ่งกลับจากบ่อน พบว่ามีชายร่างใหญ่หลายคนมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่บริเวณหน้าบ้านตนเอง จึงใช้ให้ลูกน้องของกันต์ธรไปช่วยจัดการ และหลายต่อหลายครั้งที่นายเต่าต้องออกโรงเอง กับกลุ่มคนที่พยายามขอเข้ามาในบ้านณรงค์กรเพื่อหาผลประโยชน์




และยังโชคดีอยู่มาก ที่นายศักดิ์และนายพันธุ์ สมุนซ้ายขวาของกันต์ธร เรียกได้ว่าเก่งฉกาจและจงรักภักดีต่อเจ้านายเหนือสิ่งอื่นใด สถานการณ์จึงไม่ย่ำแย่ลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่




“อาเต่าสวัสดีครับ”



“…”



ภพตะวันเดินทางมาถึงบ้านณรงค์กรพอดีกับเหตุการณ์ไล่บี้คนออกจากหน้าบ้านของนายเต่าเมื่อครู่ ยกมือสวัสดีทักทายเจ้าของบ้าน แต่กลับถูกญาติห่างๆ ของตนเชิดหน้าใส่แล้วเสมองไปทางอื่น มีเพียงคุณนายของเจ้าของบ้านเท่านั้น ที่เดินออกมาต้อนรับและยิ้มให้




จากนั้นแขกคนสำคัญก็เดินไปหากันต์ธรที่บัดนี้ยังไม่ตื่นในห้องนอนส่วนตัวที่ภพตะวันคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาเดินเข้าห้องไปโดยที่ไม่ได้เคาะประตูแบบนี้ทุกวัน และวันนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่กันต์ธรยังคงนอนหลับสนิทบนเตียง แขกที่มาถึงเริ่มจัดการกับของบางชิ้นที่ถูกวางไว้ระเกะระกะบนพื้น และจัดห้องให้กับกันต์ธรตามปกติ จนเจ้าของห้องลืมตาขึ้นมา และพบกับ  ‘ภีมของเขา’ เป็นคนแรกของวันเช่นเคย








“อรุณสวัสดิ์ภีม”



“อรุณสวัสดิ์ธร…วันนี้อยากลงไปกินข้าวข้างล่างหรือกินในห้องดี?”




“ลงไปกินข้างล่างก็ได้ ภีมล่ะกินรึยัง?”




“ฉันกินมาแล้ว”




ภพตะวันถามเพื่อนรักของเขาทุกวันว่าอยากทานข้าวที่ไหน จากนั้นก็เดินไปประคองกันต์ธรลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินไปส่งที่หน้าห้องน้ำ และก่อนที่กันต์ธรจะเดินเข้าห้องน้ำ ภพตะวันจะมีหน้าที่ช่วยถอดชุดนอนให้เขาด้วย




เมื่อผ้าทุกชิ้นหลุดร่วงออกจากกายจนหมด ภพตะวันก็จะปล่อยให้กันต์ธรเดินเข้าห้องน้ำไปเองเพียงลำพัง หากแต่วันนี้เขากลับไม่เดินเข้าไป และยังคว้าข้อมือของผู้ช่วยพยาบาลเขาไว้ด้วยอีก ภพตะวันหันมามองหน้าด้วยความสงสัยและเริ่มคิดไปว่า กันต์ธรอาจกำลังเวียนหัวอยู่ จึงได้ช่วยประคองเขาเข้าไปด้านในห้องน้ำ








“นายไหวไหมธร? เวียนหัวเหรอ? ให้ฉันเช็ดตัวให้ไหม?”



“อือ…เวียนหัว แต่มันเหนียวตัวอยากอาบน้ำมากกว่า…ภีมอาบให้หน่อยดิ”






“อ่า…ได้”



ภพตะวันตอบด้วยสีหน้าเก้อเขิน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็มีหน้าที่ดูแลกันต์ธรอย่างเต็มรูปแบบอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้สำหรับเขาเล็กน้อยมาก ผู้ดูแลพากันต์ธรไปนั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่งใต้ฝักบัว จากนั้นก็เริ่มปรับระดับน้ำให้แรงพอดีแล้วค่อยๆ รดลงบริเวณขาของเพื่อนรัก แล้วเปลี่ยนจุดไปเรื่อยๆ ให้ผู้ป่วยค่อยๆ ปรับระดับอุณหภูมิของร่างกายได้ จนสายตาของผู้ช่วยได้เลื่อนไปถึงบางจุดของกันต์ธร ที่ยังคงยืนตรงเคารพธงชาติในตอนเช้าอยู่ เช่นเดียวกับหนุ่มวัยเจริญพันธุ์คนอื่นทั่วไป




มือนุ่มลูบไล้ไปตามร่างกายกำยำที่มีสีขาวนวลไม่ต่างจากเขามากนัก ด้วยตั้งแต่กันต์ธรผันตัวมาเป็นนายใหญ่ เขาก็อยู่ในบ้านเป็นส่วนมาก ทั้งอาหารการกินฝีมือมารดาก็แสนจะวิจิตรบรรจง ผิวกายแดงคล้ำเช่นก่อนเก่าสมัยโหมงานหนัก จึงได้คืนสภาพเป็นเนื้อแท้ดั้งเดิมที่เจ้าตัวเป็นอยู่ หากแต่สิ่งที่แถมกลับมานั้น คือมัดกล้ามและความแข็งแรงที่หาได้ยากจากคนทั่วไปในชุมชน




กระทั่งภพตะวันเองที่เคยมีส่วนสูงที่มากกว่า บัดนี้ก็เทียบไม่ติดอีกแล้ว เขายังคงใช้มือเปล่าลูบไล้ผ่านสายน้ำที่รินรดลงบนกายบึกบึนสมส่วนนั้น ใจก็สั่นไปพร้อมๆ กับกายส่วนต่างๆ ที่พาดมือผ่านไป ภพตะวันผู้ขึ้นชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษสุดผู้ดี กลับไม่อาจทนข่มใจกับความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นนี้ได้ แม้ว่าจะแยกจากกันมาอย่างเนิ่นนาน และเจ้าตัวก็มีคู่หมั้นเป็นตัวเป็นตนแล้วก็ตาม ภพตะวันก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเช่นกันว่า เขามีบางสิ่งบางอย่างในสมองที่กำลังคิดสกปรกกับร่างขาวเนียนและกำยำตรงหน้านี้








“ภีม”




“ห..หะ?”




“นายเป็นอะไร…ทำไมหน้าแดง”








“…เปล่า ธร ตรงนั้น ให้ฉันช่วยไหม?”



ชายหน้าแดงถามออกไปพร้อมกับที่เจ้าตัวเผลอกัดริมฝีปากล่างของตนเองอย่างลืมตัว สายตาจับจ้องไปยังจุดรวมสายตานั้นอย่างไม่ตั้งใจ ภาพที่กันต์ธรไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับภพตะวัน แต่ที่แน่ใจกับตัวเองคือ เขาอยากจัดการกับจุดอ่อนไหวส่วนตัวที่กำลังคับพองอยู่นี้ ด้วยปากแดงๆ นั้นที่ขบเข้าหากันของชายตรงหน้าซะเหลือเกิน





“ภีมใจดีกับฉันมากเลยนะ”




เจ้าของห้องที่เริ่มออกอาการหายใจหอบถี่ไม่รอช้า เขาเอื้อมมือขึ้นแล้วกดไหล่ภพตะวันให้ย่อตัวนั่งลงบนพื้นแม้จะยังมีอาการเวียนศีรษะอยู่ก็ตาม จากนั้นก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ปล่อยให้บางสิ่งบางอย่างของตนที่กำลังเต้นตุบๆ ตั้งตรงใกล้กับปลายจมูกของภพตะวันพอดิบพอดี





แม้จะอยากปฏิเสธแทบขาดใจ แต่ภพตะวันก็ไม่รอช้าที่จะช่วยเหลือเพื่อนให้พ้นจากความอึดอัด เขาครอบปากลงไปแล้วจัดการเจ้าสิ่งนั้นอย่างเคอะเขินในทีแรก จากนั้นเพียงไม่นาน ความเคยชินกับสิ่งที่เคยทำมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว ก็เริ่มเวียนกลับเข้ามาให้เขาย้อนนึกได้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป จนความเคอะเขินนั้นหายกลายเป็นความชำนาญการที่เข้ามาแทน





การอาบน้ำสุดแปลกใหม่ที่กันต์ธรไม่เคยพบเจอ แต่กับบางสัมผัสที่เขาได้รับ กลับรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก ยิ่งความรู้สึกนั้นถูกกระตุ้นรุนแรงขึ้นเท่าไหร่ จิตเบื้องลึกของเขาก็ยิ่งคุ้นชินหนักขึ้น หนักขึ้น และเขาต้องการคำตอบเป็นอย่างมาก ว่าสิ่งที่รู้สึกคุ้นชินของเขากับภพตะวันนี้ เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อนหรือไม่










เมื่อช่วยเพื่อนรักอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย แขกผู้ตั้งใจมาดูแลกันต์ธรก็พาเขาลงมาทานข้าวด้านล่าง ขณะที่เจ้าของบ้านตักอาหารเข้าปากนั้น เขาไม่รู้รสชาติของมันเลยสักนิด สายตาเขา เอาแต่จ้องมองไปยังชายอีกคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามและกำลังก้มหน้าอ่านอะไรบางอย่างอยู่




ตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาขึ้นมาและได้พบกับเพื่อนเก่าคนนี้ กันต์ธรก็รู้สึกแปลกๆ กับคนๆ นี้มาโดยตลอด ยิ่งได้อยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกแปลก ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็อยากอยู่ใกล้ อยากเห็นหน้าตลอดเวลา อยากได้ยินเสียง อยากพูดคุย




และตอนนี้ หลังจากผ่านเหตุการณ์การช่วยเหลือเมื่อครู่มา กันต์ธรก็อยากทำอย่างอื่นมากกว่าแค่อยู่ใกล้ๆ กับ  ‘ภีมของเขา’ เข้าให้แล้ว

































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------




 :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123: :3123:










ขอบคุณ คุณ AkuaPink , คุณ bun และ คุณ singalone ด้วยนะคะสำหรับคอมเม้นท์  :mew1:


มาลุ้นๆกันต่อนะคะ ขอบคุณมากค่า  :L2: :L2: :L1: :L1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



    ​

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
นี่ขนาดจำไม่ได้นะ ถ้าจำได้ขึ้นมาจะขนาดไหนว่าแต่ทำไมพ่อของธร ยอมให้ภีมเข้าบ้านทั้งที่ไม่ชอบครบครัวของภีม

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ความจำเสื่อม แต่รักฉันฝังลึกในใจ คลับคล้ายคลับคา ว่ารักๆเธอนะ 55555 เสี่ยธรจะจำได้เมื่อไหร่ละเนี้ย ดีนะภีมยังได้มาดูแล รอตอนต่อไปเลยค่ะ :)

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
ขอบคุณคอมเม้นท์จาก คุณ bun และ คุณ blove ด้วยนะคะ  :กอด1:

มาลุ้นๆกันต่อค่าาา  :L1: :L1: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:




 :mew1:







...








บทที่ 16 : The bitter hug



















แม้จะจำไม่ได้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาเคยทำอะไรกันไว้บ้าง แต่ลึกๆ แล้วกันต์ธรก็มั่นใจว่า คงไม่ธรรมดาเป็นแน่ หลังมื้ออาหารเช้า ภพตะวัน กันต์ธรและมารดาของเขา ก็เดินทางออกไปพบแพทย์ตามนัด แล้วกลับมายังบ้านณรงค์กรในช่วงบ่ายแก่ๆ





“พักผ่อนนะธร ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันกลับล่ะ”



“ภีม”



“หืม?”



“นายเคยนอนที่นี่ใช่ไหม?”



“…ทำไมอยู่ๆ ถึงถามล่ะ”



“ฉันรู้สึกแปลกๆ ตลอดเลยเวลานายอยู่ใกล้ฉัน เราเคยนอนด้วยกันเหรอ?”




“อืม…ฉันนอนบ้านนายมา 6 ปี ตั้งแต่ ม.1”



“แล้วเรา…เป็นอะไรกัน?”



“เราเป็นเพื่อนกันธร”



“แล้วทำไม…นายถึงเคยทำแบบนั้นให้ฉัน”




“แบบไหน?”



“แบบเมื่อเช้า”








“…เพราะฉันอยากทำ”








ภพตะวันตอบออกไปพร้อมอมยิ้มรสขม เขาไม่เคยลืมกันต์ธรได้เลยสักวันตั้งแต่ที่แยกกัน หากเขาล่วงรู้ก่อนหน้านี้ ว่ากันต์ธรถูกเรียกกลับไทยกะทันหัน เขาก็พร้อมที่จะเดินทางกลับมาเพื่ออยู่เคียงข้างดังที่เคยได้สัญญาเอาไว้ ยิ่งได้มาอยู่ดูแลเพื่อนรักที่กำลังป่วยในทุกวันร่วมเดือนเช่นนี้ ความรู้สึกที่ท่วมท้นยิ่งไม่อาจปกปิดได้




หากเป็นเมื่อก่อนตอนพวกเขายังเด็ก คราวใดที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันลำพังมากขนาดนี้ กันต์ธรก็จะหาสารพัดวิธีมาล่วงเกินและเอาเปรียบเขา จนเป็นเขาเองที่เผลอเสพติดไปอย่างไม่อาจเลิกให้หายขาดได้ แต่กันต์ธรคนนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาลืมเลือนไปหมดกระทั่งความเอาแต่ใจของตนเอง และภพตะวัน ก็ยังไม่สามารถห้ามใจให้เลิกได้ขาดกับสารเสพติดชนิดนั้นไปได้





แขกผู้ตั้งใจมาดูแลเพื่อนรัก ไม่สามารถทนแบกรับความรู้สึกละอายในใจของตนได้ไหวอีกต่อไป เขาเดินออกมาเพื่อกลับบ้านของตนในทันที




ความรู้สึกผิดและเส้นขนานที่เรียกว่าความสุขสมตบตีกันอยู่ภายใน ภพตะวันที่กลับบ้านมา เก็บตัวอยู่ในห้องนอนจนตะวันตกดิน เขาปล่อยให้สมองนึกคิดอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน และในที่สุดก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองที่ว่า





บัดนี้ เขาคงไม่อาจอยู่ดูแลกันต์ธรได้อีก ด้วยดวงใจเขาเรียกร้องต้องการความรัก และร่างกายก็กำลังลดระดับความยับยั้งชั่งใจลงเรื่อยๆ จนน่าเป็นห่วง ภพตะวันผู้คงไว้ซึ่งความดี ตกลงกับตนเองว่าจะไม่ขอตักตวงความสุขใส่ตัวอย่างเอาเปรียบเพื่อนรักที่กำลังป่วยและจำอะไรไม่ได้อีกต่อไป




เย็นวันนั้นเขาลงมาทานข้าวช่วงหัวค่ำพร้อมครอบครัว และพบว่าคู่หมั้นคนสวยได้เดินทางมาร่วมรับประทานมื้อค่ำตามคำเชิญของมารดาเขา ภพตะวันที่ต้องการยุติความรู้สึกชั่วร้ายในใจ ชวนคู่หมั้นของเขาไปเยี่ยมกันต์ธรด้วยกันในวันพรุ่งนี้ แม้หญิงสาวจะมีหน้าตาหวั่นวิตก แต่เธอก็ยังตกปากรับคำภพตะวันอยู่ดี

























“สวัสดีครับคุณน้า ธรตื่นหรือยังครับ”



“ยังจ้ะ วันนี้ภีมไม่ขึ้นไปหาธรเหรอ?”



“พอดีวันนี้ผมพาสาลี่ คู่หมั้นของผมมาเยี่ยมธรด้วยครับ”




หญิงสาวแสนสวยยกมือสวัสดีและเริ่มพูดคุยอย่างนุ่มนวลกันคุณนายเจ้าของบ้าน วันนี้เป็นวันแรกที่กันต์ธรตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบกับคนปลุกที่คุ้นเคย เขาชำระร่างกายและเดินลงมาด้านล่างอย่างทุลักทุเลด้วยอาการเดินเอียงที่ยังไม่หายไป และพบว่าคนที่เขาคิดถึง ได้นั่งรอเขาอยู่ในห้องรับแขก โดยข้างๆ กันนั้น มีหญิงสาวที่เขาไม่รู้จักนั่งอยู่ด้วย







ภาพความลำบากของคนป่วยทำให้ภพตะวันเริ่มรู้สึกอึดอัดในใจ ด้วยความเคยชินที่ต้องดูแลกันต์ธรในทุกวัน พอเห็นว่าผู้สูญเสียความทรงจำมีท่าทางที่ลำบากเขาก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้ง่ายๆ …แต่ก็ต้องทน ด้วยวันนี้เขาตั้งใจมาเพื่อยุติความชั่วร้ายในใจตน






“อรุณสวัสดิ์ธร…”




“อรุณสวัสดิ์ภีม…ทำไมวันนี้นายไม่ขึ้นไปปลุกฉันล่ะ?”




“วันนี้ฉันมาคุยธุระ…นี่สาลี่ คู่หมั้นฉัน”



“คู่หมั้น? ฉันนึกว่าเรา…”






“เรา? เราเป็นเพื่อนกันไงธร นายลืมอีกแล้วเหรอ”



“แต่ว่า…ฉันไม่เข้าใจ”



“ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันคงไม่ได้มาดูแลนายแล้วนะ ฉันมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ…เพราะงั้น…”




“…”




“ธร…”




“…ฉันขอคุยด้วยหน่อย”




“ได้สิ…นายว่ามาเลย”




“แบบส่วนตัว…ไปคุยกันในห้องฉัน”




“นายพูดตรงนี้เลยก็ได้นะ ฉันกับสาลี่เป็นคนรักกัน ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”








“ไป คุย ใน ห้อง ฉัน!!!”




คำตวาดดังสนั่นลั่นบ้านหลังใหญ่ ครั้งแรกที่คนความจำเสื่อมเผลอระเบิดโทสะออกมาอย่างลืมตัว คล้ายกับว่ากันต์ธรคนเดิมจะเริ่มออกอาละวาดอีกครั้งหนึ่งแล้ว ดวงตานั้นเบิกโพลงเช่นเดียวกับที่มารดาและภพตะวันเคยเห็น รวมทั้งหญิงสาวคนสวยที่มีใบหน้าซีดเผือดตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้







เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เลวร้ายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ภพตะวันจึงได้พยักหน้าและลุกขึ้นยืนพร้อมเดินตามกันต์ธรขึ้นชั้นบนของตัวบ้านไป ภพตะวันเดินเข้าใกล้กันต์ธรแล้วประคองเขาเอาไว้อย่างห่วงใย เพราะหลังจากระเบิดอารมณ์เมื่อครู่ เจ้าตัวก็เซไปทำท่าคล้ายจะล้ม สองหนุ่มจึงเดินขึ้นบันไดไปอย่างยากลำบาก






และก่อนที่กันต์ธรจะเดินถึงบันไดขั้นที่ห้า เขาก็หันกลับไปยังโซฟาที่มีหญิงสาวคนสวยนั่งอยู่





“ฉันจะคุยกับภีม คนอื่นที่ไม่เกี่ยวกลับไปซะ!!”




คำสั่งที่เหมือนพูดออกมาลอยๆ ทำให้หญิงสาวที่นั่งก้มหน้าอยู่แต่แรกค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วยกมือไหว้เพื่อขอตัวลากลับกับคุณนายเจ้าของบ้าน ภพตะวันที่เห็นดังนั้นก็พร้อมเบี่ยงตัวกลับลงไปหาคู่หมั้น แต่กลับถูกแขนแข็งแรงของกันต์ธรจับไว้แน่น และคนที่บอกกับเขาว่าเวียนหัวมาตลอด บัดนี้กลับกระชากแขนเขาให้เดินตามขึ้นไปด้านบนดั่งคนไร้โรคภัยใดใด











ปัง!




กริ๊ก!







“ธร…นายจำได้แล้วเหรอ?”



“จำอะไรได้? ฉันแค่ไม่ชอบคู่หมั้นนาย!”




“ถึงนายจะไม่ชอบ ยังไงเธอก็เป็นคนรักของฉันนะ”




“เลิกกับเธอซะ”




“อะไรของนาย? ทำไมฉันต้องเลิก!?!”




“ฉันไม่ชอบ”




“นายก็พูดแต่ว่าไม่ชอบไม่ชอบ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย เธอจะแต่งเข้าบ้านฉัน ไม่ใช่บ้านนาย!”




“เลิกกับเธอซะ เพราะนายต้องอยู่กับฉัน ไม่ใช่กับเธอ”




“ทำไมฉันต้องอยู่กับนายด้วย”





“จำใส่สมองของนายไว้นะภีม ปากนาย เป็นของฉัน ใบหน้านาย เป็นของฉัน ร่างกายนาย…เป็นของฉัน ความรู้สึกทั้งหมดของนาย เป็นของฉัน…จะไม่มีใครทำให้นายพอใจได้อีกบนโลกใบนี้ นอกจากฉัน”





“ธร…นี่นาย?”




ภพตะวันที่มีอารมณ์โกรธพลุ่งพล่าน เปลี่ยนมาฉายแววประหลาดใจ เมื่ออยู่ๆ ประโยคๆหนึ่งที่เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินก็ถูกเอ่ยขึ้นจากคนๆ เดิม






ภาพบางภาพในห้องน้ำโรงเรียนแห่งหนึ่งในช่วงหัวค่ำ แวบเข้ามาและเติมเต็มความทรงจำบางส่วนของกันต์ธรเข้าให้แล้ว และบางสิ่งบางอย่างร้องบอกกับเขาให้ระลึกขึ้นได้ว่า ชายตรงหน้านี้หอมหวานมากเพียงใด








“ธร…!”




“…”




“นายจะทำอะไร?”





ความอยากรู้ประดังเข้ามาในความรู้สึก หากว่าเป็นเช่นภาพที่เขาเห็นเมื่อครู่ กันต์ธรก็ต้องการพิสูจน์มันให้ถึงที่สุดโดยที่เส้นความยับยั้งชั่งใจของเขานั้นกำลังหย่อนลงเรื่อยๆ ขาสองข้างเดินเข้าหาเพื่อนรักด้วยท่าทางขึงขัง และเมื่อประชิดถึงตัว เขาก็จับหัวไหล่ทั้งสองข้างของภพตะวันแล้วบีบเอาไว้แน่น ดวงตาสองคู่สบกัน หนึ่งนั้นไม่เข้าใจและเริ่มหวาดกลัว ส่วนอีกหนึ่งนั้นเกิดความต้องการมหาศาลในทุกอณูที่โลหิตของเขาแล่นผ่าน













ปึง!




“โอ๊ย!”





ชายเจ้าของห้องผู้แข็งแกร่งและสูญเสียความทรงจำ ดึงตัวภพตะวันขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างแล้วโยนลงบนเตียงอย่างแรงด้วยอาการขาดสติ ทั้งความหอมหวานที่เขาเริ่มจำได้ และความทรยศหักหลังที่พาคู่หมั้นคู่หมายมาเหยียบถึงในบ้าน ตีรวนปนเปกันไปหมด สิ่งที่จิตใต้สำนึกสั่งการกับเขาในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว คือ ‘ภีมของเขา’ ต้องเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น






กันต์ธรไม่รอช้า เมื่อแขกผู้มาเยือนยังไม่ทันได้ตั้งตัวจากการที่ร่างกระแทกกับเตียงเมื่อครู่ ร่างกายแข็งแรงก็ขึ้นคร่อมทับแล้วขังภพตะวันไว้ใต้ร่างหนาของเขา เขายังคงโมโหเป็นอย่างมากกับความคิดในหัวที่แล่นตัดสลับกันไปมา แล้วก็พึ่งพบว่า ชายที่นอนอยู่เบื้องล่างเขานี้ ช่างงดงามเสียนี่กระไร











อึก







“ธร…”




น้ำเสียงที่เรียกนั้นสั่นเครือ ลากลามไปยังแววตาที่สั่นระริก ภพตะวันไม่กล้าจ้องมองใบหน้าของเพื่อนรักที่บัดนี้เอาแต่จ้องเขาอย่างพร้อมรับประทานสุดใจ นิ้วมือของคนไม่สบายลากไล้ไปตามข้างแก้มนวลเนียนนั้น ไปจนถึงปลายคาง มือหนาจับเอาไว้แล้วออกแรงส่งให้ภพตะวันหันกลับมาจ้องตากับเขา







“ฮึฮึ”



สายตาที่แม้จะเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่กันต์ธรมอง ก็ยังสามารถมองออกได้อย่างง่ายดาย สายตาที่สารภาพมาอย่างเต็มร้อย ว่ารักเขาแบบสุดหัวใจ สายตาที่ภพตะวันต้องการหลบซ่อนเอาไว้ ด้วยรู้สึกอับอายต่อตัวเองเป็นอย่างมาก




“รักฉันขนาดนั้นเลยเหรอภีม ปรนนิบัติฉันดีกว่าคนในบ้านฉันอีก แถมยังตามใจฉันไปซะหมด ถามจริงๆ เถอะ รักฉันขนาดนี้ แล้วไปหมั้นกับคนอื่นทำไม? หรือเพราะว่าฉันไม่ได้รักนาย? โทษทีนะ แต่ฉันจำไม่ได้”





กันต์ธรคล้ายกับละเมอพูดบางสิ่งออกมาอย่างไม่ทันได้ไตร่ตรอง เขากำลังวุ่นวายอยู่กับวงหน้าแสนสวยของคนที่ถูกเขาคร่อมทับเอาไว้อยู่ เจ้าตัวใช้นิ้วโป้งลูบไล้ไปตามวงปากแดงๆ นั้นก่อนจะพยายามส่งมันเข้าไปในโพรงปากของภพตะวันและดุนดันเล่นกับลิ้นน้อยๆ








“…เพราะนายไม่ตอบจดหมายฉันเลย มีแต่ฉันที่เขียนถึงนายอยู่คนเดียวตั้งหลายปี”




“จดหมาย?”




“อือ”




“นายส่งไปไหน? ทำไมไม่ส่งมาบ้านฉัน”




“ฉันนึกว่านายยังอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่านายกลับมานานแล้ว”




“ที่ไหน?”



“อเมริกา”



“…?”




“นายจำได้ไหมว่าเคยไปอยู่ที่นั่น”




ชายผู้กำลังลูบไล้บริเวณศีรษะของภพตะวันเพียงส่ายหัวไปมา เขานึกอะไรแทบไม่ออกเลย นึกออกอยู่เรื่องเดียว…คือคนตรงหน้าเขาทำไมถึงได้น่ารักน่าใคร่ได้ถึงเพียงนี้ กันต์ธรไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป เขากดปากลงหนักๆ บนหน้าผากที่ลูบไล้เมื่อครู่ไปหนึ่งที แล้วนิ่งค้างไว้เพื่อสูดดมความหอมบริเวณนั้นเข้าลึกเต็มปอด






ความใกล้ชิดตั้งแต่เมื่อครู่ เริ่มทำให้ภพตะวันที่หวาดกลัวมีหัวใจเต้นแรงหนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่ควร กันต์ธรเอาแต่ประทับรอยจูบไปอีกครั้งและอีกครั้งบริเวณหน้าผากนั้น จนคนถูกกระทำเริ่มมีอาการเขินอายจนหน้าแดงหูแดง










“จูบได้ไหม?”




“…ไม่”







“ทำไมล่ะ?”




เจ้าของห้องเอ่ยถามแผ่วเบาด้วยลมหายใจรุนแรง และได้รับคำตอบแผ่วเบาพร้อมลมหายใจลำบากของภพตะวันตอบกลับมาเช่นกัน อารมณ์บางอย่างปะทุขึ้นด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่สำนึกผิดชอบชั่วดีในใจของภพตะวันก็ยังคงทำงานอยู่









“ฉันมีคนรักอยู่แล้ว”




“นายรักผู้หญิงคนนั้นมากกว่าฉันเหรอ?”



“…”




“ฉันจะบอกให้ก็ได้…นายไม่ได้รักเธอหรอก นายแค่เหงาเพราะคิดถึงฉัน”




ว่าแล้วชายผู้คิดเองเออเอง ก็ไม่ปล่อยให้ภพตะวันได้ปริปากโต้แย้งใดใดออกมาได้อีก เจ้าของห้องครอบปากลงประกบจูบอย่างดูดดื่มกับเพื่อนรัก บางอย่างในใจร้องลั่นตะโกนบอกว่านี่คือสิ่งที่เขานั้นรอคอยมาอย่างยาวนาน รสชาติหวานเจี๊ยบดุจดั่งสายไหมสีชมพู หลอกให้หลงใหลจนลุ่มหลงอย่างโงหัวไม่ขึ้น









‘อืมม..’




ลิ้นร้อนจากร่างด้านบนบดแทรกลงไปในวงปากสุดน่ารัก และกวาดต้อนไปตามโพรงปากดูดกลืนทุกสิ่งที่สัมผัสโดนได้มาไว้กับตัว ช่วงชิงลมหายใจร้อนๆ ของภพตะวันอย่างเอาเป็นเอาตาย ลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระวัดรัดพันอย่างโหยหาซึ่งกันและกันอย่างไม่มีใครยอมใคร








ภพตะวันที่อดกลั้นมาตลอดหลายวันตั้งแต่ได้ใกล้ชิดกับคนสำคัญในดวงใจ กอบโกยเอาความรู้สึกนี้เข้าหาตัวเช่นเดียวกัน เขาคิดถึงคนๆ นี้มากยิ่งกว่าสิ่งใด คิดถึงเด็กหนุ่มแสนใจดีและเป็นที่พึ่ง คิดถึงเด็กชายที่คอยกุมมือและปลอบโยนเขาเอาไว้ในวันที่อ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ






มือนั้นเอื้อมไปกุมกับมือของกันต์ธรเอาไว้ ดังเช่นที่เขาเคยได้รับมาตลอด และมืออีกข้างก็โอบขึ้นรอบลำคอของคนด้านบนให้วงปากและร่างกายนั้น บดเบียดแนบชิดลงมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้










“จุ๊บ…ฮ่า”




“…”




“ภีม…ร้องไห้ทำไม?”









“อึก…ฉันคิดถึงนาย”






จุ๊บ




“ฉันก็อยู่นี่แล้วไง”




กันต์ธรที่ได้ฟังคำบอกเล่าแสนหวาน ดึงมือที่กุมกันไว้นั้นขึ้นประทับรอยจูบพร้อมส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มไปให้




“แล้วนายจำได้เหรอ ว่ารักฉันรึเปล่า?”






“…”




“จำไม่ได้สินะ”




ภพตะวันผู้น่าสงสารปล่อยน้ำตาให้อาบใบหน้าหนักขึ้นกว่าเก่า เมื่อคำตอบที่ได้รับกลับมามีเพียงความว่างเปล่า กันต์ธรตอบอะไรเขาไม่ได้ ด้วยเจ้าตัวจำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น มีเพียงเขาคนเดียวที่หยุดอยู่ที่เดิมกับเมื่อสิบปีที่แล้ว แม้จะดูเหมือนว่าเขาสามารถเดินต่อไปได้ไกล แต่นั่นกลับไม่ใช่เลย






“ลุกเถอะ ฉันจะกลับแล้ว”





ชายหนุ่มผู้มีน้ำตานองหน้าดันแผงอกของชายที่เริ่มเข้าสู้สภาวะเหม่อลอยให้ลุกออกไป และนั่นก็แสนง่ายดาย เมื่อชายคนนั้นเริ่มจมเข้าไปในความคิดของตนเองอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ภพตะวันจะทันได้ลุกไปไกล แขนขาวๆ ก็ถูกดึงรวบกลับมาไว้ในอ้อมกอดอีกครั้งจนภพตะวันล้มลงบนตักกว้างดังเช่นที่เขาเคยนั่งมาก่อน








“ให้ฉันลอง แล้วฉันจะบอก…ว่ารักนายไหม”




























--------เซ็นเซอร์----------ค่ำคืนอันหวานฉ่ำ-------




















-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------








 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:









CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
มีขอลองก่อนอีก มันใช่สิ่งที่ต้องลองไหม ถ้ายังนึกไม่ออก

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
ขอบคุณคอมเม้นท์ด้วยนะคะ คุณ bun  :กอด1:

^^ เสี่ยแกจะจำได้เมื่อไหร่ มาลุ้นกันต่อค่า  :mew1:



 :L2: :pig4: :pig4: :pig4:









...

















บทที่ 17 : ลำนำรักกลางทุ่ง

















คำถามที่ค้างคา ได้รับคำตอบเข้ามาในใจเมื่อช่วงเวลาหวานฉ่ำได้ผ่านพ้นไป และบัดนี้ร่างกายอันหอมหวานนั้น ก็กำลังนั่งอยู่บนตักของเขา ภพตะวันช่วยให้สมองที่มักมีอาการวิงเวียนและตีบตัน ปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมาได้อย่างเหลือเชื่อ



กันต์ธรสนใจห้องทำงานของเขามากเป็นพิเศษ แม้จะจำไม่ได้ว่าห้องนี้มีไว้ใช้ทำงานอะไร แต่ตอนนี้ เขาก็นั่งอยู่บนเก้าอี้สุดนุ่มที่หมุนได้ของตัวเองแล้ว โดยที่บนตัก มีร่างของภพตะวันผู้แสนน่ารักนั่งทับอยู่ แขนแข็งแรงของเจ้าบ้านโอบรอบเอวนั้นไว้แน่น ปลายจมูกก็กดลงสัมผัสกับแผ่นหลังของคนด้านบนเป็นระยะๆ อย่างเคลิบเคลิ้มหลงใหล







“ธร…ที่ฉันบอกว่ามีธุระ ฉันมีธุระจริงๆ นะ”



“ธุระอะไร…”



“ฉันกลับมาอยู่บ้านมาตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้ไปช่วยงานพ่อที่อู่เลย พ่อก็ถามฉันทุกวันว่าเมื่อไหร่จะไปช่วย…แล้วตอนนี้นายก็อาการดีขึ้นมาก ฉันก็เลยคิดว่าจะไปช่วยพ่อซะหน่อย”



เจ้าของอาการที่ภพตะวันว่าดีขึ้นมากนั้น ยังคงไม่หยุดลูบไล้ไปตามต้นขาและหน้าท้องของเขาเลยตั้งแต่เข้ามานั่งในห้องทำงานแห่งนี้ กระดาษสีคล้ำบนโต๊ะตรงหน้าดูเหมือนไม่สามารถดึงดูดความสนใจให้กับเจ้าของที่สูญเสียความทรงจำไปได้







“นายก็บอกพ่อนายไปสิ ว่ามาดูแลฉันอยู่”



“พ่อเตี๋ยวรู้อยู่แล้วว่านายป่วย แต่นี่มันหลายเดือนแล้วนะธรที่ฉันเอาแต่อยู่กับนาย ฉันอยากไปช่วยพ่อฉันบ้าง”




“…งั้นก็แล้วแต่นาย”



กันต์ธรที่เอาแต่วุ่นอยู่กับแผ่นหลังหอมฉุยส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจเล็กน้อย เขาจะทำอะไรได้อย่างไร เมื่อสิ่งที่เขาได้รับจากภพตะวันอยู่นี้ ก็เรียกได้ว่าแทบจะเป็นทั้งหมดของคนน่ารักคนนี้แล้ว และแม้ว่าเขาจะแสดงอาการว่าน้อยใจไปมากเท่าไหร่ ภพตะวันที่แสนน่ารัก ก็ยังคงยิ้มออกมาแล้วหอมแก้มเขาไปหลายที เพียงเท่านี้ เขาก็ยอมได้หมดทุกอย่างแล้ว














เช้าวันถัดมากันต์ธรไม่ได้พบหน้าของคนในดวงใจ มันทำให้เขาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไร เขาก็ต้องอดทนและหาอะไรทำเพื่อไม่ให้คนในใจต้องอึดอัดมากจนเกินไป เจ้าตัวเดินเข้าห้องทำงานที่คราวก่อนมีคนน่ารักนั่งอยู่บนตัก ทำให้เขาไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างใดเลย หากแต่วันนี้ เอกสารและแฟ้มสีน้ำตาลเข้มมากมาย กลับสามารถดึงดูดเขาให้หยิบออกมาอ่านและเริ่มเรียนรู้ทำความเข้าใจ จนเขาได้รู้ว่าเขานั้น คือเจ้าของแก๊งทวงหนี้โหดอันเลื่องชื่อ รวมทั้งธุรกิจดำมืดอีกหลายอย่างที่เคยได้ลองทำมา เขาค้นแฟ้มข้อมูลในห้องมาอ่านไปเรื่อยๆ จนพบเข้ากับแฟ้มๆ หนึ่งซึ่งมีการจดตัวเลขจำนวนเงินและรายชื่อของงานที่ทำ โดยหน้าปกของแฟ้มเขียนเอาไว้ว่า  ‘คุณประดับทอง’






‘คุณประดับทอง?’



‘…’



‘…ใคร?’























ภพตะวันเมื่อเข้าช่วยงานบิดาอย่างเต็มตัว เขาก็สามารถหาโอกาสไปเยี่ยมกันต์ธรได้เพียงสัปดาห์ละสองครั้ง หากแต่เป็นสองครั้งที่มาถึงไวมาก ด้วยเวลาที่เขาจมเข้าไปในความตั้งใจกับการทำงาน เวลาจะผ่านไปเร็วเสมือนเพียงก้มหน้าลงไปแล้วเงยหน้าขึ้นมาหนึ่งที ก็หมดวันไปเป็นที่เรียบร้อย เช่นเดียวกับช่วงเวลาที่ได้ถ่ายทอดความหวานละมุนกับกันต์ธร ก็แสนสั้นไม่ต่างกัน เขาอยากจะอยู่ใกล้ๆ คนสำคัญให้นานกว่านี้ จึงได้ลองชักชวนกันต์ธรมาเยี่ยมชมที่อู่รถสิบล้อของครอบครัวเขาดูสักครั้ง




กันต์ธรที่มีอาการหงุดหงิดหนักขึ้นทุกวัน ด้วยไม่เคยรู้สึกพอใจช่วงเวลาที่ภพตะวันมีให้มาตั้งแต่ต้น เขายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะตามมาดูขั้นตอนการทำงานของภพตะวันที่น่ารักของเขา





ทายาทตระกูลวงศ์วรรธน์จะขับรถออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เพื่อมารับเพื่อนรักไปเยี่ยมชมอู่รถของเขาที่อยู่ห่างออกไปทางบ้านของภพตะวันประมาณ 5 กิโลเมตร






เมื่อกันต์ธรเดินทางมาถึงอู่รถของบ้านภพตะวันในวันแรก เขาทำได้เพียงเดินตามและยืนมองดูสิ่งที่เพื่อนรักของเขาทำ โดยภพตะวันจะเดินสำรวจความเรียบร้อยโดยรอบ ตรวจสอบรถคันที่เอาเข้าซ่อมว่าส่วนไหนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตรงไหนเพิ่มเติมหรือไม่ จากนั้นเจ้าตัวก็จะเดินเข้าไปในห้องเล็กๆ ด้านข้างแล้วเริ่มตรวจสอบตารางการเดินรถ และจำนวนลูกค้าที่จ้างงานในแต่ละวันด้วยตัวเอง







ตั้งแต่ครั้งแรกที่กันต์ธรได้มาเยี่ยมเยือนอู่รถแห่งนี้ เขาก็ติดภพตะวันแจอย่างไม่ยอมถอย เขาขอมาที่อู่แห่งนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ และชื่นชอบที่จะเรียนรู้การประกอบช่วงล่างของตัวรถมากเหนือสิ่งอื่นใด







“ธร…มากินข้าวเถอะ”



“เดี๋ยวฉันไป ขอดูตรงนี้อีกหน่อย!”



กันต์ธรตะโกนกลับไปให้เจ้าของอู่รถที่ยืนอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้าสำนักงานขนาดย่อม ภพตะวันยิ้มออกมาแทบตลอดเวลาตั้งแต่มีกันต์ธรมาอยู่ใกล้ๆ เขาสละเวลานอนของตัวเอง ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งแต่ตี 4 เพื่อเรียนรู้และทำอาหารที่กันต์ธรชอบ แล้วนำมาให้เจ้าตัวรับประทานในช่วงเช้าและกลางวันในทุกวัน










“วันนี้บ่ายๆ รถจะเริ่มโล่งแล้วเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ฉันมีที่ที่นึงที่ชอบไปตอนเด็กๆ นายอยากไปด้วยกันไหม?”




“ฉันอยากไปทุกที่ที่ภีมอยู่…”




“อือ…ฉันก็เหมือนกัน”




สองหนุ่มนั่งพักทานข้าวกันตรงบริเวณม้านั่งตัวยาวใกล้ๆ กับโรงจอดรถ ภพตะวันที่ยังไม่ได้หุบยิ้มมานาน ยังคงก้มหน้าก้มตาอมยิ้มต่อไปแม้ว่าในปากจะยังคงเคี้ยวข้าวไปด้วย






…รสชาติแกงเขียวหวานไก่ที่มีความเผ็ดร้อนกลมกล่อง กลับให้ความรู้สึกหวานเจี๊ยบดั่งน้ำตาลหกใส่ทั้งขวดโหลปานนั้น










กันต์ธรนั้นตั้งใจเรียนรู้การซ่อมบำรุงช่วงล่างมาได้ระยะหนึ่ง และเขาเริ่มมีความชำนาญจนเด็กในอู่ต้องยกนิ้วให้ เขาไม่เพียงเรียนรู้และทำงานได้ดี ทั้งยังมีความรับผิดชอบและใส่ใจกับเรื่องคิวรถในอู่อีกด้วย เขาจะรอจนรถทุกคันแล่นออกจนหมดก่อนในทุกวัน จึงได้เดินกลับเข้าไปหาภพตะวันที่ด้านใน





ช่วงบ่ายแก่ๆ ที่รถวิ่งออกจากอู่จนหมด และรถที่หมดเวรจอดนิ่งสนิททุกคัน ภพตะวันก็พาเพื่อนรักของเขาขับรถออกไปในสถานที่ที่เขาได้บอกเอาไว้เมื่อช่วงกลางวัน รถยนต์วิ่งลัดเลาะไปตามทุ่งนาอันสดใสได้เพียงไม่นานก็จอดยังบริเวณริมขอบถนนแห่งหนึ่ง







ภพตะวันเดินลงมาจากรถ แล้วจูงมือเพื่อนรักให้เดินตามกันไป ชายสองคนเดินเลาะขอบคันนาลึกเข้าไปด้านใน โดยภาพด้านซ้ายขวาคือทุ่งนาสีเขียวที่มีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ เดินไปจนถึงใต้ต้นไม้ใหญ่กลางทุ่ง ที่นั่น มีศาลาไม้สภาพเก่าตั้งอยู่










“ถึงแล้ว…”



“ว้าว…”




บรรยากาศโดยรอบในช่วงบ่ายแก่ๆ เช่นนี้ เรียกได้ว่าโปร่งและโล่งสบายเป็นอย่างมาก ลมเย็นพัดโชยมาแทบตลอดเวลา ทั้งความเขียวชอุ่มทุกองศาที่สายตาเหลือบไปมอง และชายตรงหน้า…ที่งดงามกว่าวิวและบรรยากาศใดใดในที่นี้







“ไม่ค่อยได้เห็นใช่ไหมล่ะ คนบ้านในเมือง”




“อืมม…สบายใจจัง”




กันต์ธรหลับตาพริ้มปล่อยให้ลมเย็นพัดกระทบใบหน้าและผิวกาย กลิ่นอายธรรมชาติที่เขาแทบไม่ได้สัมผัส ด้วยเจ้าตัวนั้นจมอยู่กับความเครียดตลอดเวลาจากภาระหน้าที่การงานมาตลอดหลายปี






ระหว่างที่เสี่ยธรกำลังดื่มด่ำกับความเบาสบายในจิตวิญญาณอยู่นั้น ก็มีสายตาคู่หนึ่งมองไปที่เขาตลอดเวลา รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้ากันต์ธร ส่งมายังภพตะวันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เจ้าของสถานที่ยิ้มตามภาพนั้นด้วยแก้มแดงปลั่ง จากนั้นจึงได้ขยับตัวเข้าใกล้ แล้วโอบกอดคนที่กำลังสุขใจอยู่ในขณะนี้เอาไว้










“…ฉันรักนายนะธร”




“…”




วาจาหวานล้ำกับแววตาที่ฉายชัดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ สะกดกันต์ธรที่พึ่งลืมตาขึ้นมาให้นิ่งค้างไป เขาเอื้อมไปจับข้อมือของภพตะวันเอาไว้แล้วเคลื่อนกายออกจากอ้อมกอด ก่อนจะนำมือนุ่มนิ่มนั้นมาวางไว้บนเอวทั้งสองข้างแทนเพื่อให้เขาสามารถจ้องมองดวงตาอิ่มเอิบนั้นได้อย่างชัดเจน เขาโน้มกายลงประทับรอยจูบแผ่วเบาบนหน้าผากกว้างอย่างรักใคร่ แล้วรวบตัวภพตะวันเอาไว้ในอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขา














ครืนนน…





ครืนนน…






ซ่า!!!






เพียงครู่เดียวหลังจากอากาศปลอดโปร่งสดใส ท้องฟ้าก็ร้องคำรามดังขึ้น พร้อมเม็ดฝนที่ร่วงหล่นลงมาอย่างกะทันหัน ชายสองคนที่กอดกันแน่นค่อยๆ ก้าวห่างออกจากกันและเดินไปอยู่ใต้ศาลาจุดที่ไม่โดนฝนสาด








“…เมื่อกี้ยังสว่างอยู่เลยแท้ๆ”




“นายโดนฝนไหมธร?”




“ฉันไม่เป็นไร ภีมมายืนใกล้ๆ ฉันนี่”




กันต์ธรเริ่มหงุดหงิดกับฟ้าฝนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาคว้าเอาภพตะวันมากอดไว้ในอ้อมแขนเพื่อไม่ให้เจ้าตัวโดนละอองฝน แต่ไม่ว่าอย่างไร ฝนที่ตกลงมาก็หนักเกินกว่าศาลาไม้หลังเก่านี้จะต้านทานได้ไหว ชายหนุ่มทั้งสองถูกฝนสาดใส่ให้ต้องเปียกปอนในบางส่วนของเครื่องแต่งกาย








ทั้งเสื้อยืดตัวบางที่ภพตะวันใส่นั่นก็ด้วย แม้เขาจะกอดเอาไว้แน่นแทบสิงร่างกันและกันเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถหลบเม็ดฝนที่สาดเข้ามาได้เลย และภพตะวันก็เริ่มเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำเข้าให้แล้ว









‘อา…เซ็กซี่จัง’





แม้จะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงภัยทางธรรมชาติเช่นขณะนี้ กันต์ธรก็ยังคงไม่อาจหยุดลวนลามชายอีกคนทางสายตาไปได้ เขาเอาแต่จ้องมองจุดนุ่มนิ่มสีชมพูสองข้างที่เปียกแนบติดกับเสื้อตัวบางนั้นของภพตะวัน น่ารักน่าชังเสียจนเผลอเคลื่อนมือไปสัมผัสเข้าจนได้








“ธร…!”



“…โทษที”




เมื่อถูกดุเสียงเข้มขึ้นมา เขาจึงผละมือออกอย่างสุดแสนเสียดาย แล้วรวบร่างภพตะวันมากอดเอาไว้แทน





ความใกล้ชิดระดับลมหายใจรดต้นคอ และการถูกแตะต้องส่วนอ่อนไหวเมื่อครู่ เริ่มทำให้ภพตะวันรู้สึกอ่อนแรง ใจเต้นกระหน่ำรุนแรงอย่างไม่อาจพูดบอกออกไป ทำได้เพียงกอดตอบกันต์ธรแน่นขึ้นเรื่อยๆ เขาแอบประทับรอยจูบลงไปบนซอกคอขาวของกันต์ธรอยู่หลายที จนคนถูกกระทำรู้สึกตัว








“อย่ายั่วนะภีม! ฉันยังไม่อยากให้คนแถวนี้เห็นหนังสดของพวกเรานะ”




“ฮะฮะ…”



“ยังจะหัวเราะอีก”




กันต์ธรที่เอ่ยเสียงเข้มทำขึงขังเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักในลำคอส่งกลับมา เจ้าตัวดันคนอารมณ์ดีออกจากอ้อมกอดแล้วประคองศีรษะมาประกบจูบอย่างดูดดื่มแทน









“อืมมม…”




ปากหนากดลงดุนดันดูดกลืนลิ้นสีแดงนุ่มนิ่มน่ารักของภพตะวันอย่างแรงกลางสายฝนที่สาดกระเซ็นเข้ามา เขาประคองร่างบางเอาไว้ในวงแขน ด้วยบัดนี้ภพตะวันคล้ายคลึงกับคนที่หมดแรง ด้วยฤทธิ์จูบสุดชำนาญของชายผู้นำทาง มือสากข้างหนึ่งสอดลูบไล้ไปตามแผ่นหลังใต้เสื้อบางอันเปียกชุ่มตัวนั้น แล้วค่อยๆ เคลื่อนมือลงจนถึงก้อนกลมนุ่มมือสุดโปรดของเขา บีบขย้ำอย่างมันเขี้ยวไปเต็มแรงไม่หยุด





“อืออ…”




เมื่อกวาดต้อนความหอมหวานจากวงปากสุดน่ารักของภพตะวันจนเป็นที่พอใจแล้ว บุรุษร่างหนาก็ไล่เลียดูดกลืนไปตามซอกคอขาว ในขณะที่มือทั้งสองข้างยังคงบีบเฟ้นลงไปในจุดเดิมกับเมื่อครู่ ด้านคนหมดแรงทำได้เพียงใช้แขนทั้งสองข้างคล้องคอของชายสติหลุดเอาไว้ พร้อมลูบไล้ไปตามเส้นผมนุ่มมือนั้นอย่างระบายอารมณ์สุดหวาดเสียวที่เกิดขึ้นกับร่างกายอยู่นี้








‘จุ๊บ! จุ๊บ! จุ๊บๆๆๆๆๆๆๆ’




กันต์ธรยังคงลากไล้ลิ้นร้อนไปตามส่วนต่างๆ ของภพตะวันอย่างไม่หยุด ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี ใจก็นึกไปไกลถึงวันนั้น ที่เขาได้พลอดรักกันอย่างเต็มรูปแบบ หากแต่วันนี้คงไม่สะดวก แม้บรรยากาศจะสุดแสนเป็นใจก็ตาม






“ธร…”



“อืมม…”




“ธร…”




“หืม…?”




“ฝนหยุดแล้วนะธร กลับกันเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย”




ภพตะวันเอ่ยขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงตั้งแต่ฝนตก และบัดนี้ฝนได้หยุดลงไปแล้ว แต่กันต์ธรก็ยังคงจูบวนอยู่บนหน้าอกของคนน่ารักไม่หยุด จนมือน้อยๆ นั้นต้องดันหน้าชายผู้กำลังกลืนกินบางสิ่งบางอย่างให้หลุดออกมา










“ยังไม่อิ่มเลย ขออีกนิดนะ”




“นายไม่อยากให้ใครมาเห็นไม่ใช่เหรอ ฝนหยุดแล้วนะ เดี๋ยวมีคนมาเห็นหรอก”




“…”





กันต์ธรเงยหน้าขึ้นมองซ้ายมองขวา และพบว่าบัดนี้ฝนหยุดลงแล้ว และแสงสว่างก็ฉายขึ้นมาให้มองเห็นรอบข้างเด่นชัดอีกครั้ง เขาจึงรีบดึงเสื้อภพตะวันลงเพื่อปกปิดของสงวนที่เขาหวงแหนเสียยิ่งกว่าสิ่งใด









“แถวนี้มีใครไหม? นี่ที่ของนายรึเปล่า?”




“อืม ที่ของพ่อฉันเอง มีคนเฝ้าที่อยู่สองคน”




“มีใครเห็นเราไหมเมื่อกี้?”




“ไม่มีหรอก นายทำหน้าตลกชะมัด…ฮะฮะ”





ภพตะวันหัวเราะคิกคักออกมาอีกแล้ว วันนี้เขาหัวเราะกับเรื่องเล็กน้อยของกันต์ธรกี่ครั้งแล้วไม่รู้ รู้แค่ว่า…สุขใจเหลือเกิน














กันต์ธรยังคงมีสีหน้าหวาดระแวง ด้วยเมื่อครู่ตอนฝนตกนั้น คล้ายกับมีม่านหนาบดบังการมองเห็นอยู่ หากแต่เมื่อม่านนั้นจางไป อะไรๆ มันก็ฉายให้เห็นชัดขึ้นมา ภพตะวันไม่รอให้คนรักได้ทำหน้าตลกต่อ เขาจูงมือกันต์ธรกลับไปยังรถยนต์ที่ขับมา แล้วขับกลับไปยังอู่รถของเขา




และแม้จะกลับมาถึงอู่และพวกเขากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้ว แต่กันต์ธรก็ยังไม่หยุดเกาะติดเขาหนึบเช่นเดียวกับเหาฉลาม ใบหน้าและจมูกสากๆ นั้น ตามนัวเนียในทุกที่ที่เขาเดินไป จนกระทั่งเขาขับรถพาเจ้าตัวกลับไปส่งที่บ้านนั่นล่ะ กันต์ธรจึงหยุดพฤติกรรมโรคจิตลงได้









“คืนนี้นอนบ้านฉันก็ได้นะภีม”




“ฉันอยากนอนนะธร…แต่พ่อนายคงไม่พอใจแน่ๆ”




“ฉันแทบไม่เจอเขาเลย แม่บอกว่าเขากลับดึกทุกวัน…นอนกับฉันเถอะนะ…นะนะ”




“เอาไว้พรุ่งนี้ฉันจะมารับนายแต่เช้า ตกลงไหม?”




“ไม่ตกลงได้ด้วยเหรอ?”




“ธร…”




“ฉันพูดเล่นน่ะ ไว้ดึกๆ ฉันโทรหานะ”




“อืม…”




กันต์ธรผู้สูญเสียความทรงจำ ไม่ได้สูญเสียเพียงความทรงจำอีกต่อไป บัดนี้เขาได้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปด้วยแล้ว เมื่อจิตใจเฝ้าแต่ลุ่มหลงวนเวียนอยู่กับภพตะวันอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนเผลอรู้สึกน้อยใจขึ้นมาเพียงภพตะวันไม่ยอมมานอนที่บ้านเขาซะอย่างนั้น









เสี่ยธรผู้ไม่สนใจอะไรอีกแล้วบนโลกนอกจากภพตะวัน เดินเข้าบ้านตัวเองไปจนถึงห้องรับแขกด้านหน้าสุด และพบกับบิดาที่วันนี้กลับบ้านมาไวกว่าปกติ กำลังจ้องเขม็งมองมาทางเขาด้วยสายตาจับผิด








“ไปไหนมา? แล้วนั่นชุดใคร?”



“ชุดภีมครับ ผมไปช่วยภีมที่อู่มา”




“อู่!?!!!”




“…ครับ”




“อู่ของฉันที่ไอ้พวกวงศ์วรรธน์มันฮุบไปน่ะนะ? แกคิดยังไงของแก ถึงไปช่วยมัน ห๊ะ!!!! ไอ้ธร!?!!”




“พ่อพูดอะไร?”




“อ่อ…ฉันลืมไป ว่าแกมันสมองเสื่อม ก็โง่ไปโดนลูกไอ้ขุนพลทุบหัวเอง!!!”




“พ่อ…?”




“ถ้าลืมฉันก็จะบอกให้เอาบุญ ไอ้บ้านนั้นนั่นแหละ ที่ทำให้แกต้องเป็นแบบนี้!!! ทำให้พวกเรา ต้องเป็นแบบนี้!!!!”












ปัก!







ปัก!!






ปัก!!!!












“พี่เต่า! พอเถอะพี่ ธรมันป่วยอยู่นะ!”












“มึงนั่นแหละพอ! ไอ้ธรมันลูกกู มึงเห็นมันไหม ว่ามันชอบผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก กูบอกแล้ว ให้เตือนมันๆ มึงเคยฟังกูไหม? เอาใครไม่เอา เสือกไปเอาไอ้ลูกบ้านนั้น มึงโง่รึไง ไอ้ธร!!! มึงโง่รึไง!!!!!!!!!!!”









“ฮืออ…พ่อ…”









เสี่ยธรที่จำอะไรไม่ได้ ถูกตะคอกคำด่าสารพัดใส่หน้า พร้อมมือหนาของบิดาที่ทุบตีไปตามร่างกายและศีรษะอย่างแรงด้วยอารมณ์โทสะ ความเจ็บช้ำที่ฝังใจจากการถูกฮุบกิจการประกอบกับวันนี้เสียพนันไปมากกว่าปกติ ส่งผลให้แรงอารมณ์ที่ส่งไปยังลูกชายนั้น รุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า ด้านกันต์ธรที่ไม่เคยถูกทำร้ายหรือทุบตีตั้งแต่ตนป่วย ไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไร และบิดาของเขาพูดถึงเรื่องอะไร แต่ความเจ็บแค้นในอกที่ฝังมาอย่างเนิ่นนานตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ทำให้เขาร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง










“ซวยชิ_หาย มีลูกอย่างมึง ตั้งแต่มึงเกิดมากูก็มีแต่ซวยเอาๆ ทรัพย์สมบัติมีเท่าไหร่ก็วิบัติหมด ยัง…ยังมามองหน้ากูอีก ไอ้ลูกเวร!!!!!”

















“อร๊ากกกกกก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”







ตะกอนแห่งความอัดอั้นทั้งหมดระเบิดขึ้นมาเป็นเสียงกรีดร้องดังลั่น พร้อมทั้งอาการปวดศีรษะตุบๆ อย่างรุนแรงทั่วบริเวณ กันต์ธรล้มลงไปกองกับพื้นแล้วอ้าปากกรีดร้องต่อไม่หยุด จนบิดาและมารดาของเขาชะงักลงไป










“ปวด!!!!! แม่! ธรปวดหัว!!!! อรั่กกกกก!! ปวดหัว!!!!!”




มารดาที่เห็นลูกชายเพียงคนเดียวดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น ตะคอกสั่งสามีให้ไปหยิบกุญแจรถ ด้านตนนั้นทิ้งตัวลงประคองลูกชายไว้ให้อ้อมแขน





เสียงแหกปากกรีดร้องดังสนั่นลั่นบ้าน ดังไปถึงบ้านหลังเล็กของลูกสมุนกันต์ธรที่อยู่ไม่ห่างกันนั้น ชายฉกรรจ์หลายสิบชีวิตวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่รอช้า ทุกคนรีบช่วยกันพาตัวกันต์ธรไปขึ้นรถเพื่อนำส่งโรงพยาบาล


























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------








 :L1: :L1: :L1: :L1:






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
หลังจากนี้พ่อของธรจะเห็นแก่ลูกชายบ้างหรือเปล่า
จะยอมปล่อยวางเรื่องทุกอย่างไหม
และถ้าธรจำได้จะยังดีกับภีมอยู่ไหม

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
พ่อธรบ้าไปแล้ว เกินเยียวยา อะไรอีกละวะเนี้ยยยยโอ๊ยย  :fire: จะดีๆอยู่แล้วเชียว รอตอนต่อไปเลยค่ะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะ คุณ AkuaPink  คุณ bun  คุณ blove   :กอด1:

 :pig4: :pig4: :pig4:



มาลุ้นกันต่อนะคะ ^^












...














บทที่ 18 : คดีฆาตกรรม?

















เปลือกตาดำคล้ำทั้งสองข้างที่ปิดสนิทลงตั้งแต่ช่วงหัวค่ำของเมื่อวาน ค่อยๆ ปรืออ้าออก ลูกตากลอกไปมาอย่างพยายามปรับโฟกัส แล้วกะพริบถี่ๆ ไปหลายที ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆ เคลื่อนศีรษะไปมองรอบด้านและพบว่ามารดาของตน กำลังฟุบหลับอยู่ข้างเตียงและกุมมือเอาไว้





กันต์ธรที่เผชิญกับเหตุการณ์ความรุนแรงทางสภาวะอารมณ์และได้รับการกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะจากทุบตีของบิดา ได้สติอีกครั้งพร้อมความทรงจำทั้งหมดที่ไหลกลับเข้าที่ ดวงตานั้นแม้จะพึ่งถูกลืมขึ้นมา แต่กลับฉายแววตาที่มุ่งตรงเด็ดเดี่ยวดังเช่นเสี่ยธรผู้โหดร้ายคนเดิมได้กลับเข้าร่างเป็นที่เรียบร้อย



ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยบาดแผล เลือกที่จะไม่รับรู้ถึงความเลวร้ายจากการกระทำของบิดามานานหลายปี และกันต์ธรคนนั้นได้เดินทางกลับมาแล้ว ความแข็งแกร่งทาบทับทุกความอ่อนแอในเบื้องลึกจนมิด เขาค่อยๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุมของมารดา แล้วเคลื่อนตัวลงจากเตียง จากนั้นก็เดินออกไปหน้าห้องผู้ป่วยพิเศษ พบกับสมุนคนสนิทนายศักดิ์และนายพันธุ์ที่เฝ้าอยู่








“นาย…?”



“….”




แววตาคมกร้าว ฉายชัดให้พวกเขารู้ได้ในทันที ว่าคนตรงหน้านี้คือกันต์ธรคนไหน เมื่อรู้ดังนั้น รอยยิ้มที่ไม่ได้เกิดมาหลายเดือนของผู้ติดตามก็ฉายออกมาเต็มใบหน้า กันต์ธรที่หลุดออกมาจากห้องมืดมิดในจิตใต้สำนึกของตนเอง พูดคุยบางสิ่งกับสมุนทั้งสองเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บทางศีรษะ แผนการที่พังไม่เป็นท่ากับการลวงภพตะวันไปสังหาร













เช้าวันถัดมาภพตะวันเดินทางมายังบ้านณรงค์กร และพบเพียงคนเฝ้าบ้านที่บอกเล่าว่าเมื่อคืนเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นและบัดนี้กันต์ธรอยู่ที่โรงพยาบาล ทายาทธุรกิจสิบล้อเร่งออกจากบ้านณรงค์กรและตรงดิ่งไปยังโรงพยาบาล ช่วงเวลาไม่กี่เดือนให้หลังมานี้ กันต์ธรต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่หลายต่อหลายครั้ง และนั่นทำให้ภพตะวันรู้สึกปวดใจอย่างมาก






“ธร…ธร!”



“ภีม?”




ภพตะวันร้อนรนเข้าห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปและพบว่ากันต์ธรอยู่ในห้องกับบิดาและมารดาของเขา เป็นอีกครั้งที่ภพตะวันเห็นว่ากันต์ธรไม่ได้มีอาการหนักแต่อย่างใด เขายกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสอง จากนั้นท่านทั้งสองก็เดินออกจากห้องพักของกันต์ธรไป







“เกิดอะไรขึ้นธร?”




“ฉันแค่ปวดหัวน่ะ”




“แค่ปวดหัว? ต้องมานอนโรงพยาบาลเลยเหรอ”



“อือ แค่ปวดหัวนั่นแหละ”




ชายหนุ่มผู้มาใหม่น้ำตาหน่วงคลอเต็มดวงตา เขายกมือขึ้นลูบไปตามใบหน้าและศีรษะของกันต์ธรอย่างห่วงใย ด้านผู้ป่วยจับมือนั้นไว้แล้วดึงมาจูบละมุนพร้อมส่งสายตาคมคายไปให้หนึ่งที จากนั้นมือเดิมก็เคลื่อนไปจับที่ปลายคางของภพตะวัน แล้วประทับรอยจูบลงไปบนปากบางนั้นอีกหนึ่งที








“…ฉันไม่เป็นไร ดีใจนะที่ภีมเป็นห่วง”




“อือ…”



ภพตะวันเอ่ยตอบครางเครือแล้วขยับกายขึ้นนั่งบนเตียง ด้านเจ้าของเตียงจับรวบเพื่อนรักเอาไว้ให้ซบลงบนอกของเขา เสียงหัวใจที่ภพตะวันได้ยินมาตลอดหลายเดือน วันนี้กลับเต้นเป็นจังหวะนิ่งสงบมากกว่าทุกวัน






“หมอให้ฉันกลับบ้านพรุ่งนี้ แต่ฉันคงยังไม่ได้ไปช่วยงานนายนะ ว่าจะพักอยู่บ้านสักหน่อย ตอนเย็นภีมมากินข้าวที่บ้านฉันไหม?”



“แต่ว่า…พ่อนาย…”



“ฉันคุยกับพ่อได้ นายไม่ต้องห่วงหรอก”



“อือ งั้นก็ได้ พรุ่งนี้ฉันจะไปกินข้าวเย็นด้วยนะ”






















ภพตะวันที่เข้าช่วยธุรกิจครอบครัวเต็มตัว เริ่มสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยที่เพิ่มมากขึ้น ในวันที่กันต์ธรไม่ได้มาช่วยงานที่อู่ ก่อนหน้านี้ที่เพื่อนรักไม่ได้มาช่วย ทุกอย่างก็ปกติดี แต่พอได้มีช่วงเวลาหนึ่งที่มีทั้งคนช่วยงานและให้กำลังใจกันในทุกๆ วัน พอต้องกลับมาอยู่ตามลำพัง กลับให้ความรู้สึกที่เหนื่อยง่ายกว่าเดิมมากขึ้นหลายเท่า ทายาทตระกูลวงศ์วรรธน์จึงได้เฝ้ารอเวลาที่จะได้เดินทางไปร่วมทานมื้อเย็นกับครอบครัวณรงค์กรอย่างใจจดใจจ่อ





ทางด้านเจ้าพ่อคนดังที่พึ่งได้รับการฟื้นความจำมาอย่างเต็มรูปแบบ ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องทำงาน ด้วยช่วงก่อนหน้าที่เขาจะล้มป่วยลงนั้น เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เขาต้องเข้มงวดเป็นพิเศษกับธุรกิจการกู้หนี้ยืมสินของเขา สมองเขาไม่มีภพตะวันแวบเข้ามาเลยแม้แต่น้อย หากแต่ดวงใจกลับรู้สึกถึงความคำนึงหาสุดพิเศษที่ยากจะบอกกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้







คุณนายแม่ของเสี่ยธร ดีใจอย่างมากที่ลูกชายกลับมาหายดี เธอตั้งใจจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ขึ้นสำหรับมื้อค่ำของวันนี้ รวมไปถึงนายเต่า ที่แม้จะยังโกรธเคืองไม่หาย แต่ก็ยอมกลับจากบ่อนของประดับทองมาแต่หัวค่ำ เพื่อช่วยภรรยาจัดการกับงานเลี้ยงเล็กๆ นี้
























“ธร…ทำอะไรอยู่เหรอ?”




ภพตะวันเดินทางมาถึงบ้านวงศ์วรรธน์ในช่วงประมาณหกโมงเย็น เขาประหลาดใจเล็กน้อยกับความครึกครื้นของบรรยากาศในบ้าน ที่ปกติแล้วจะเต็มไปด้วยความวังเวงและน่ากลัว หากแต่วันนี้ กลับเดินเข้ามาแล้วได้รับกลิ่นอายรอยยิ้มของใครหลายคน และการประดับตกแต่งสถานที่จากธงสีสันสดใสตั้งแต่รั้วหน้าบ้าน





เมื่อเดินเข้ามาก็พบกับภรรยาเจ้าของบ้าน จากนั้นเจ้าตัวจึงเดินเข้าไปหาคนที่เขาเอาแต่คิดถึงตั้งแต่ช่วงเช้าของวัน กันต์ธรนั่งหน้าเครียดอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ท่วงท่านั้นเปลี่ยนไปจากเมื่อสามวันก่อนที่ภพตะวันได้เจอมา หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่เคยได้เห็นกันต์ธรตอนตั้งใจทำงานเช่นนี้กันแน่นะ







“นายรอฉันตรงนั้นแหละ เดี๋ยวฉันออกไป”




เจ้าของห้องทำงานที่เคร่งเครียด เงยหน้าขึ้นทั้งที่แววตายังคงเคร่งขรึมอยู่ คำกล่าวนิ่งสงบทรงพลังส่งมาให้แขกที่กำลังจะก้าวเดินเข้าไปด้านใน สมุดสีคล้ำในมือกันต์ธรถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว และเจ้าตัวก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ รอยยิ้มถูกเผยออกมาเมื่อเจ้าตัวเดินมาถึงจุดที่ภพตะวันยืนอยู่







“นายทำอะไรอยู่เหรอ?”




“เอางานมานั่งดูน่ะ”




“แล้วนึกอะไรออกบ้างไหม?”




“…ไม่”







“ธร…”




เสี่ยธรนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จึงรวบตัวเพื่อนรักเข้ามารัดแน่นในอ้อมแขน เขากดจมูกลงไปบนไหล่ที่สวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน และได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มแสนคุ้นเคย ความตึงเครียดบริเวณหัวคิ้วจากการจับจ้องกระดาษเป็นเวลานาน คล้ายกับค่อยๆ จางลงไปเพียงได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นนี้ เขาสูดดมอยู่เนิ่นนาน และเริ่มเคลื่อนจมูกไปซุกไซร้บริเวณซอกคอขาวต่อ จนเจ้าของร่างงามต้องค่อยๆ ดันศีรษะเจ้าของบ้านออก ด้วยจุดที่พวกเขายืนอยู่ในตอนนี้คือหน้าห้องทำงานของกันต์ธร








“หอมจัง”




“หอมเหรอ? ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ”




“ไปอาบก่อนไหม แล้วเราค่อยลงไปกินข้าวกัน…ฉันช่วย”



“อ่า…ฉันว่าเราอย่าทำให้ผู้ใหญ่รอนานเลยนะ”



“ไม่นานหรอก ฉันขอแค่สิบนาที”




“ธร…?”




ความคลับคล้ายคลับคลาที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ภพตะวันเริ่มประหลาดใจหนักขึ้นกว่าเดิม กันต์ธรที่เอาแต่กอดรัดเขาอยู่ในตอนนี้ ใช้คำพูดที่คล้ายคลึงกับคนเดิมที่เขารู้จักมานาน และที่ยิ่งกว่านั้น การอาบน้ำไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นนัก กันต์ธรกอดรัดเขาแน่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จนภพตะวันแทบหลอมละลายไปกับสายน้ำก็ว่าได้








“ธร…วันนี้เป็นอะไรหืม?”




“…ฉันรักนาย”





แม้เจ้าบ้านจะยังคงหลับหูหลับตากอดรัดและประโคมจูบไปทั่วทั้งกายของภพตะวัน ก็ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังรู้สึกไม่พอเสียที คำบอกรักที่วนกลับมามากกว่าสิบครั้งเท่าที่ภพตะวันจะนับได้ ให้ความรู้สึกสับสนและพึงใจไปพร้อมๆ กัน









และเช่นเคยที่ว่า สิบนาทีของกันต์ธร…ไม่มีจริง











การอาบน้ำแสนยาวนานไม่ได้ทำให้คนในบ้านเสี่ยธรประหลาดใจ ทุกคนรู้ดีถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง แม้นายเต่าเจ้าของบ้านจะรู้สึกไม่พอใจมากนัก แต่คืนนี้เขาก็เอาแต่นั่งเงียบและกระดกน้ำเมาเข้าปากมาหลายชั่วโมงแล้ว





“อาเต่า สวัสดีครับ”



“…สวัสดี”




เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ภพตะวันได้คุยกับญาติห่างๆ คนนี้ เขายิ้มให้การทักทายเล็กๆ นั้นด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ชายหนุ่มหน้าเนียนสวมใส่ชุดสบายๆ ของกันต์ธร เดินมายังโต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางบ้านที่เต็มไปด้วยอาหารหน้าตาดีกว่าสิบอย่าง กลิ่นอายหอมหวนชวนให้ลิ้มลอง ภพตะวันนั่งลงข้างกันต์ธร ซึ่งนั่งตรงข้ามกับบิดาและมารดาของเขา







แอลกอฮอล์ชั้นดีการันตีที่ราคาและเวลาบ่ม ถูกรินใส่แก้วของทุกคนบนโต๊ะอาหาร ความสุขปรากฏเต็มพื้นที่ แก้วทรงสูงถูกทุกคนยกขึ้นชนกันกลางอากาศและยกดื่ม










“ธร…”




“หืม?”




“…ฉันเวียนหัว”




“…ภีม?”







หากแต่เพียงครู่เดียวหลังจากหยดน้ำสีอำพันไหลลงคอ ภพตะวันก็เอียงตัวกระซิบไปที่หูกันต์ธร พร้อมดวงตาที่เริ่มพร่าเบลอ เสี่ยธรที่เห็นท่าไม่ดี รีบประคองแขกเอาไว้แล้วทำท่าจะพาเดินขึ้นไปพักด้านบน










ตึง!




“ภีม!?!!”




ศีรษะมนๆ ของคนน่ารัก กระแทกลงบนโต๊ะไม้และหมดสติไป ก่อนที่กันต์ธรจะทันได้พาลุกขึ้นจากเก้าอี้ เมื่อเสี่ยธรเห็นภพตะวันหมดสติไปก็รีบคว้าตัวมาไว้และจะอุ้มออกไปอีกครั้ง แต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน










“วางมันลง…ธร”




“พ่อ?”



“มันไม่รอดหรอก”




“…”





ขวดบางอย่างถูกนำออกมาจากกระเป๋าเสื้อของนายเต่า ด้านข้างมีฉลากเขียนติดว่า




‘Cyanide’













“พ่อ!!!!!!”




ปัง!





เพล้ง!!!!





เสี่ยธรที่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ตะโกนลั่นออกมากลางบ้าน พร้อมกับมือที่ตบลงบนโต๊ะจนจานที่ถูกวางไว้บริเวณขอบโต๊ะกระเทือนตกแตกไป










“ตกใจทำไม แกก็คิดจะฆ่ามันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”




“ว่าไงนะ? ผมมีวิธีของผม!!! พ่อจะ…”




“มึงหยุด ไอ้ธร!!! มึงก็กะลวงมันมาฆ่าอยู่แล้วกูรู้…หรือมึงใจอ่อน”



“มึงรู้หมดทุกอย่าง ว่าอะไรควรทำ มึงลืมไปแล้วเหรอ ว่าชีวิตมึงมันบัดซบขนาดไหน ตอนที่พวกมันพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพวกเรา!!”




“มึงดูหน้าพ่อหน้าแม่มึงบ้างไอ้ธร พวกกูทุกข์ทรมานกันขนาดไหน ทั้งหมดก็เพราะพวกมัน!”



“พี่เต่า!”



“มึงหยุด กูสั่งสอนลูกโง่ๆ ของมึงอยู่ไม่เห็นเหรอ! ไม่เคยรู้จักสำนึกบุญคุญ โง่ยังไงก็โง่อย่างงั้น แถมยังมีหน้าไปช่วยงานมันถึงที่อีก กูไม่รู้จะทำยังไงกับมึงแล้วไอ้ธร!!!!!!”




“อย่างน้อยผมก็ทำงาน ดิ้นรนช่วยบ้านนี้เอาไว้ ไม่ใช่วันๆ เอาแต่เข้าบ่อน จนติดหนี้ให้ลูกเมียลำบาก! แล้วพ่อรู้อะไรไหม ที่พ่อไปเล่นไพ่ที่บ่อนคุณประดับทองเท่าไหร่ก็ได้แบบทุกวันนี้เพราะอะไร!!! เพราะไอ้ลูกชายผิดเพศของพ่อคนนี้ไง ที่ไปนอนกับเจ้าของบ่อน แลกเงินมาให้พวกเรามีกินมีใช้สบายแบบทุกวันนี้!!! จะว่าอะไรให้คนอื่น มองดูตัวเองบ้างเถอะ!”




“เถียงกูคำไม่ตกฟาก อวดเก่งนักใช่ไหมไอ้ธร! ถ้าไม่มีกูสักคน มึงจะได้โตมายืนด่ากูฉอดๆ แบบนี้ไหม ห๊ะ!!!”




“ก็ไม่ได้อยากเกิดมาเจออะไรแบบนี้หรอก แต่มันเลือกไม่ได้ไงวะ!!!”




“ไอ้ธร!!!”







เพลี้ยะ!!!



ฝ่ามือหนักๆ ของนายเต่า กระทบเข้ากับใบหน้าของลูกชายเต็มๆ อีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นกันต์ธรก็หันกลับมาสู้ด้วยสายตาอย่างไม่มีใครยอมใคร จึงถูกฝ่ามือหนักๆ กระทบหน้าไปอีกหนึ่งที







เพลี้ยะ!!!




“มึงอย่ามาอวดดี!!!! ชีวิตมึงมีอะไรดีบ้าง กูล่ะสมเพชมึงจริงๆ ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกกูเลย!!! อ่อนแอปวกเปียก! ทั้งขายตัว ทั้งขูดรีด เกิดมาเคยทำอะไรที่ชาวบ้านจะไม่นึกรังเกียจบ้างไหม!?!!”





“มึงวางมันลงเลยนะ แล้วสั่งลูกน้องมึงเอามันไปทิ้งซะ! ถ้ายังไม่อยากให้กูกับแม่มึงเดือดร้อน…มันไม่มีทางฟื้นขึ้นมาหามึงได้หรอก คนอย่างมันสมควรตาย เลือกเอาไอ้ธร จะยอมให้พ่อแม่มึงถูกจับ หรือจะสั่งคนมาจัดการให้มันจบๆ ไป”







กันต์ธรที่ถูกตบหน้าสองทีและด่าทออย่างรุนแรง เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาด้วยไม่อาจฝืนทนต่อไปได้ไหวอีก ทั้งภพตะวันที่ถูกวางยาและคาดว่าเสียชีวิตไปแล้ว ยิ่งฉุดดึงสติของกันต์ธรให้จมดิ่งลงสู่ก้นเหวลึก เขาประคองร่างไร้เรี่ยวแรงที่ทุกส่วนตกลู่ลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกขึ้นมาประคองกอดไว้ แต่กลับถูกนายเต่าที่เมามายทุบตีเข้าให้อีก จนสุดท้ายกันต์ธรก็ยอมวางภพตะวันกลับลงไปบนเก้าอี้ที่จุดเดิม





ทายาทณรงค์กรมองไปยังมารดาที่ร้องไห้โฮอยู่ใกล้ๆ เธอทำได้เพียงเท่านั้น ทุกสิ่งคล้ายผิดพลาดไปเสียหมด ครอบครัวแสนอบอุ่นพังทลายไม่เป็นท่าครั้งแล้วครั้งเล่า และครั้งนี้ ดูท่าว่าจะรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ เมื่อนายเต่า ลงมือปลิดชีพญาติตัวเองด้วยความแค้นที่ฝังรากลึกเกินใครจะหยั่งถึงได้





“แม่…”





ภาพมารดาที่ต้องอดทนแบกรับความเข็ญใจมานานร่วมสิบปี ทำให้เสี่ยธรตัดสินใจตะโกนเรียกลูกน้องที่นั่งอยู่โต๊ะด้านนอกให้จัดการกับร่างของภพตะวันตามคำสั่งของบิดา จากนั้นเขาก็เดินกลับเข้าห้องส่วนตัวไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรวดเร็วเกินใจจะรับได้ทัน เขายังคงมีสภาพความคิดคล้ายกับคนกึ่งหลับกึ่งตื่น พร้อมกับภาพที่ฉายเข้ามาในมโนสำนึกที่ชัดเจนกว่าบันไดตรงหน้าที่เท้ากำลังก้าวขึ้นไป










“พวกมึงลากคอมันตามกูมา”



นายเต่าเริ่มออกคำสั่ง จากนั้นร่างของภพตะวันก็ถูกนายศักดิ์และนายพันธุ์หิ้วบริเวณศีรษะและข้อเท้าเอาไปใส่ไว้ในรถยนต์ และชายสามคนก็ออกไปพร้อมกับร่างของภพตะวัน





กันต์ธรที่มีทั้งความรักและแรงแค้นฝังรากลึกไม่ต่างจากบิดา ล้มตัวลงนอนลืมตามองเพดาน ปล่อยให้น้ำตารินรดออกบริเวณหางตาไปเรื่อยๆ เขาได้ยินเสียงรถยนต์ที่คุ้นหูแล่นขับออกจากรั้วบ้านไป พร้อมกับร่างของภพตะวันที่เขาหลงรัก





จากกันคราวนี้




…จากกันตลอดไป?




…ไม่มีวันได้พบกันอีก?





แผลบาดเจ็บเสียดแทงลึกเกินกว่าจะสัมผัสได้ กันต์ธรหลุดลอยหายไปจากสถานที่ ที่เขานอนอยู่ หลุดเข้าไปในมโนภาพที่ช่วยหลอกล่อเขาเอาไว้ให้ยังไม่หยุดหายใจ ด้วยตอนนี้ เจ้าตัวไม่อาจรับสภาพความจริงที่เกิดขึ้นได้










ความหอมของกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม และซอกคอขาวนั้นยังติดตรึงอยู่ที่ปลายจมูก ความหวานละมุนจากวงปากนุ่มนิ่มยังติดตรึงอยู่ที่ริมฝีปากของเขา





ความสุข…จากความโหดร้ายที่เขาเองก็ตั้งใจว่าจะทำต่อภพตะวันเช่นกัน…เกิดขึ้นบ้างไหมนะ?






ทำไม? พอได้เอาความแค้นทั้งหมดไปลงที่ภพตะวันแล้ว ถึงไม่รู้สึกสุขขึ้นมาเลยสักนิด กลับให้ความรู้สึกเหมือนเขาเองนั่นล่ะ ที่กำลังจะหมดลมหายใจในตอนนี้

















……………………………………




“ไม่ค่อยได้เห็นใช่ไหมล่ะ คนบ้านในเมือง”



“อืมม…สบายใจจัง”



กันต์ธรหลับตาพริ้มปล่อยให้ลมเย็นพัดกระทบใบหน้าและผิวกาย กลิ่นอายธรรมชาติที่เขาแทบไม่ได้สัมผัส ด้วยเจ้าตัวนั้นจมอยู่กับความเครียดตลอดเวลาจากภาระหน้าที่การงานมาตลอดหลายปี




ระหว่างที่เสี่ยธรกำลังดื่มด่ำกับความเบาสบายในจิตวิญญาณอยู่นั้น ก็มีสายตาคู่หนึ่งมองไปที่เขาตลอดเวลา รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้ากันต์ธร ส่งมายังภพตะวันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เจ้าของสถานที่ยิ้มตามภาพนั้นด้วยแก้มแดงปลั่ง จากนั้นจึงได้ขยับตัวเข้าใกล้ แล้วโอบกอดคนที่กำลังสุขใจอยู่ในขณะนี้เอาไว้




“…ฉันรักนายนะธร”






……………………………………














“…ฉันก็เหมือนกันภีม”




“รัก…”







“…นาย”


























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------











ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ภีมตายแล้วจริง ๆ เหรอ ....
ผู้ที่ถูกกระทำก็ยังเป็นภีมอีกครั้ง ถึงภีมจะรักธรยังไง
ก็คงไม่สามารถทำให้ความแค้นนี้ลดลงเลยใช่ไหม

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นด้วยนะคะ คุณ bun  :กอด1: :pig4: :pig4:

เราว่าเสี่ยแกน่าจะมียีนส์หัวรุนแรงอยู่ในสายเลือดค่ะ เลยแค้นแรง
มาลุ้นกันต่อนะคะ ว่าเรื่องราวจะไปทางไหนต่อ ขอบคุณมากค่า  :L2:


















...












บทที่ 19 : ล้างมือในอ่างทองคำ



















ก๊อก ก๊อก


















ก๊อก ก๊อก ก๊อก










เอี๊ยด!






“ธร…”




“…”





“…แม่เอาข้าวมาให้ ลุกมากินซะหน่อยเถอะลูก”



“…”



หนึ่งสัปดาห์หลังผ่านพ้นวันงานฉลองสุดสะเทือนใจ กันต์ธรก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง เขาแทบไม่แตะข้าวปลาจนมารดาเริ่มกังวลใจ บัดนี้บ้านหลังใหญ่สูญเสียหมดทุกสิ่ง ไม่ใช่เพียงชื่อเสียงเงินทอง แต่แม้กระทั่งกับความเป็นมนุษย์ผู้มีใจสูง ก็แทบไม่มีใครในบ้านหลังนี้หลงเหลืออีกแล้ว








“พ่อกลับมารึยัง?”



“…ยังจ้ะ”



หนึ่งสัปดาห์หลังผ่านพ้นวันงานฉลองสุดสะเทือนใจ นายเต่า…เจ้าของบ้านณรงค์กรได้หายตัวไปพร้อมกับร่างของภพตะวัน และไม่กลับมาที่บ้านอีก นายศักดิ์และนายพันธุ์ที่กลับมายังบ้านเสี่ยธร เล่าให้เจ้าบ้านที่เหลือทั้งสองฟังเพียงว่า นายเต่าได้สั่งให้ตนนำลวดตะแกรงพันร่างไร้เรี่ยวแรงนั้นของภพตะวันเอาไว้โดยรอบ จากนั้นก็โยนลงน้ำ ด้านนายเต่าที่สั่งการทุกอย่างจนเสร็จสิ้นได้เกิดหวาดกลัวความผิดขึ้นมา จึงได้หนีไป






กันต์ธรออกจากบ้านมาอีกครั้งพร้อมลูกน้องหลายคนกลางดึกของคืนนั้น ช่วยกันงมหาร่างของภพตะวันบริเวณริมแม่น้ำที่นายเต่าสั่งคนโยนลงไป แต่กลับไม่พบ จนดวงอาทิตย์ลอยส่องแสงบนท้องฟ้า ความหวังเพียงเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ในใจจึงมลายหายไปหมดสิ้น กันต์ธรไม่ออกจากห้องตั้งแต่วันนั้น เขาไม่พูดคุยกับใคร นอกจากมารดาที่เขายังคงห่วงใยเท่านั้น






“เมื่อคืน พี่เตี๋ยวโทรมาถามหาภีม ว่าอยู่กับธรรึเปล่า?”



“แล้วแม่บอกเค้าไปว่าไง”



“…ไม่อยู่”



“ผมจะไปมอบตัว”



“ไม่ได้นะธร!”



“ทำไมล่ะ? ผมเป็นคนฆ่าภีมนะแม่!”



“ลูกไม่ได้ทำ! ถ้าธรต้องติดคุกแทนคนอื่น แม่ยอมตายดีกว่า”



“…แม่”




“แม่ไม่ได้อยากอยู่บนโลกนี้ตั้งนานแล้ว แต่ที่แม่ยังอยู่ เพราะแม่มีธร”




กันต์ธรที่นอนหงายอยู่บนเตียง เมื่อได้ฟังดังนั้นจากมารดา ปากอันแห้งกรังก็เริ่มสั่นไหวพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินท่วมท้นออกมา เขายกมือขึ้นปิดหน้าแล้วส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด แรงกระเพื่อมของร่างกายและเสียงสะอื้นไห้นั้นหนักขึ้นเรื่อยๆ








‘ฮื่อออ…ฮื่ออออ’




เสียงร่ำไห้อึดอัดชวนจุกในอกดังระงมทั่วทั้งห้อง มารดาเขาเองก็เริ่มร้องไห้โฮออกมาตามลูกชาย ด้วยความเจ็บนั้นฝังลึกจนแทบเป็นทั้งหมดของความรู้สึกไปแล้ว …เสี่ยธรผู้มีอำนาจล้นมือ กลับไร้ซึ่งความสุข… เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วโผเข้ากอดมารดาอย่างหาที่พึ่ง






สองแม่ลูกที่ทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี ตระกองกอดกันอยู่อย่างนั้นร่วมชั่วโมงจนกันต์ธรเริ่มหายใจโล่งมากขึ้นเมื่อได้ระบายก้อนอารมณ์อัดแน่นในอกออกไป เขาผละออกจากอ้อมกอดนั้นแล้วกุมมือมารดาเอาไว้ พร้อมเอ่ยคำสัญญา







“ธรจะอยู่กับแม่นะ…แม่ก็ต้องอยู่กับธรเหมือนกัน”





















ชายหนุ่มวัย 28 ปี ผู้เป็นเสาหลักของบ้าน ลุกขึ้นยืนอีกครั้งด้วยพลังใจจากมารดา เขาเดินเข้าห้องทำงานของตนเองไป แล้วเริ่มรื้อสมุดหนังสือและแฟ้มมากมายออกมากองไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็โยนมันใส่ในกล่องลังไม้ขนาดใหญ่





“ไอ้พันธุ์! …เฮ้ยย!! หายหัวไปไหนกันหมดวะ!!! ไอ้พันธุ์!!!!”



“…ครับนาย!”




แฮก แฮก




สมุนคนสนิทที่อยู่ๆ ก็ถูกเรียกใช้งานกะทันหัน วิ่งเข้ามาในห้องด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ เขาไม่ได้ยินเสียงเจ้าชีวิตมาหลายสัปดาห์ และความซึมเศร้าจากผู้เป็นนาย ส่งต่อไปยังลูกน้องทุกคน หากแต่วันนี้เสียงกันต์ธรกลับดังลั่นอย่างมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง นั่นทำให้นายศักดิ์และนายพันธุ์ผู้เป็นสมุนซ้ายขวารีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม









“กว่าจะมาได้นะพวกมึง ไปมุดหัวอยู่ไหนกันมา?”



“ผมสองคนกำลังจะออกไปเก็บค่าคุ้มครองในตลาดครับ”



“พวกมึงไม่ต้องไปแล้ว”




“…?”



“เอาลังนี่ไปเผาให้กูด้วย”



“นาย…หมายความว่าไงครับ?”



“เอาไปเผาเสร็จ ก็เรียกทุกคนไปรวมกันที่ลานใต้ดิน กูขี้เกียจพูดหลายรอบ”



“ครับนาย”



นายพันธุ์นิ่งค้างมองไปยังลังไม้ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยกระดาษเอกสารในการทำธุรกิจของกันต์ธรทั้งหมด เขาหันกลับมามองหน้าผู้เป็นนายที่บัดนี้ฉายรอยยิ้มส่งตรงมาให้เขา ลูกน้องผู้ภักดีเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ นี่อาจเป็นจุดสิ้นสุดสำหรับอาชีพอันป่าเถื่อนของกันต์ธรแล้วก็เป็นได้







ชายหนุ่มผู้มีจิตใจอันสงบสุข ต้องแบกรับเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดไว้เพียงลำพัง เพื่อประคองชีวิตตนเองและคนในบ้านให้อยู่รอดปลอดภัยมาจนทุกวันนี้ ทุกย่างก้าวและน้ำตา สมุนทั้งสองได้รับรู้มาโดยตลอด และหากว่าเจ้าชีวิตของเขาจะเลือกเดินต่อไปไม่ว่าจะเส้นทางไหน พวกเขาก็พร้อมทำตามโดยไม่คิดสงสัยใดๆ






กันต์ธรชนะแล้ว…ชนะมารร้ายในใจตน



และสิ่งที่ช่วยให้เขาหลุดพ้น ก็คือสิ่งเดียวกับที่ทำให้เขาเจ็บแค้นในอกมาอย่างเนิ่นนาน






…ความรัก










สมุนซ้ายขวาและลูกน้องอีกหลายสิบชีวิตที่กันต์ธรเลี้ยงไว้ ถูกเรียกให้มายืนพร้อมหน้าพร้อมตากันในลานกว้างใต้ดินของบ้านที่เขาสร้างไว้ตั้งแต่ต้น แหล่งรวมพลเฉพาะกิจเมื่อมีงานสำคัญ




เมื่อลังไม้และเอกสารทั้งหมดถูกเผาเหลือไว้เพียงซาก เสี่ยสุดหล่อผู้ยิ่งใหญ่ ก็เดินเข้ามากลางวง และประกาศสิ่งสำคัญให้กับทุกคนทราบ








“…ไงพวกมึง มากันหมดรึยัง? ถ้าหมดแล้วกูจะพูดทีเดียวเลยนะ…”



คำบอกเล่ายืดยาวกินเวลาไปเกือบสิบห้านาที ลูกน้องหลายคนมีสีหน้าไม่พอใจ







“นายเลิกแล้วพวกเราจะทำไง? ผมมีลูกมีเมียต้องเลี้ยงดูนะนาย…”



“มึงไม่ต้องห่วง กูรักพวกมึงทุกคน ใครที่ไม่มีทางไปจริงๆ กูจะหางานให้ แต่ถ้าใครพอช่วยเหลือตัวเองได้ มีทางที่ดีกว่า มึงก็แยกกันไป…กูจะจ่ายค่าจ้างให้พวกมึงล่วงหน้าสามเท่าระหว่างที่พวกมึงไปหาที่ซุกหัวนอนใหม่…”




กันต์ธรนั้นมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานอย่างมากมาโดยตลอด นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาคิดจะทำการใหญ่อะไร ก็ล้วนแล้วแต่สำเร็จไปเสียหมด รวมทั้งลูกน้องหมู่มากที่เขารับเลี้ยงมา เจ้าตัวก็เลือกและบ่มเพาะนิสัยมาอย่างดีในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำให้หลังจบการประชุม ไม่มีใครที่คิดจะโต้แย้งใดใดต่ออีก











เช้าวันถัดมา ลูกน้องทั้งหมดของกันต์ธรก็หายไปจากบริเวณบ้านณรงค์กร เหลือเพียงนายศักดิ์และนายพันธุ์ที่ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณริมรั้วหน้าบ้าน เจ้าของบ้านที่พึ่งได้รับความสงบเช่นนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี รู้สึกเบาใจขึ้นมาอย่างแปลกๆ เขายืนมองลูกน้องคนสนิทอยู่บนระเบียงชั้นสองของบ้านครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินลงบันไดมา และพบกับมารดาที่กำลังเช็ดโต๊ะทานข้าวอยู่







“ธรจะไปไหนลูก?”



“…บ้านภีมครับ”



“ธร!”




“แม่ ลุงเตี๋ยวมีลูกชายคนเดียวนะ แล้วพวกเราก็พรากลูกเขาไป ผมคิดว่าเราต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง”




“แล้วธรหายโกรธบ้านนั้นแล้วเหรอ?”



“ถ้าบอกว่าหายแล้ว ผมก็คงโกหก…ผมก็แค่กำลังพยายามให้อภัยพวกเขาอยู่ เพราะผมรักภีม”



“แม่ภูมิใจในตัวธรนะ ถ้าภีมยังอยู่ เขาก็จะภูมิใจเหมือนที่แม่ภูมิใจ”



“ครับ…ผมไปก่อนนะแม่”





















“กันต์ธร!”



“สวัสดีครับป้าบัว”




ความเงียบสงบเข้าปกคลุมรอบด้าน บ้านหลังใหญ่ที่กันต์ธรมาครั้งสุดท้ายในวันงานฉลองต้อนรับภพตะวันกลับบ้าน บัดนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก ต่างออกไปเพียงความวังเวงคล้ายกับไร้คนอยู่อาศัย สาวใช้พากันต์ธรเดินไปนั่งรอบริเวณโซฟาสีหม่น เพียงครู่เดียวคุณนายเจ้าของบ้านก็เดินออกมาพบ







“มาที่นี่ทำไม?”



“ผมเอาผลไม้มาฝากครับ”




“วันหลังไม่ต้อง…ฉันซื้อกินเองได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็รีบกลับไปซะ บ้านนี้ไม่ต้อนรับเธอ”



“ครับ ผมรู้…ผมก็ไม่ได้อยากมานักหรอก สิ่งที่พวกคุณทำไว้กับครอบครัวผม ผมก็ยังไม่ลืม แค่จะมาเพราะอยากช่วยทำหน้าที่แทนภีมให้ก็แค่นั้น”



“เธอพูดอะไรกันต์ธร เธอไม่มีทางแทนที่ลูกชายฉันได้…ไม่มีวัน”



“ผมไม่ได้หวังแทนที่ ผมแค่มาทำเพื่อภีม”



“งั้นก็ตอบฉันมาสิ ว่าเอาลูกชายฉันไปไว้ที่ไหน!?!”



ภพตะวันที่หายตัวไปบอกกับคนในครอบครัวว่าจะเดินทางไปทานข้าวเย็นที่บ้านณรงค์กร และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่ครอบครัวได้พบเขา ทุกคนเชื่อว่าภพตะวันถูกกันต์ธรฆ่าตายไปแล้วเพียงแค่ยังไม่มีใครพบศพ และไม่มีหลักฐานใดชี้ชัดว่ากันต์ธรคือคนร้าย






ทั้งอิทธิพลก่อนเก่า รวมไปถึงพันธมิตรทางธุรกิจที่อยู่ในองค์กรต่างๆ มากมายที่กันต์ธรรู้จัก ทำให้ไม่มีใครสามารถทำอะไรเสี่ยใหญ่ผู้นี้ได้เลย









“ผมไม่รู้ว่าภีมอยู่ไหน”



“โกหก! เธอฆ่าเขาไปแล้วใช่ไหม เธอทำแบบนี้ทำไมกันต์ธร ตาภีมกำลังจะมีชีวิตที่ดี เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย กับเรื่องธุรกิจระหว่างครอบครัวพวกเรา”



“ก็ถ้าพวกคุณไม่โกงบ้านผมก่อน ลูกชายคุณคงไม่หายไปหรอก!”



“พวกฉันไม่เคยโกงใคร มีแต่พ่อเธอนั่นแหละที่ติดหนี้พวกเราแล้วไม่คืน”




“ทรัพย์สินที่อยู่ในมือพวกคุณทั้งหมดตอนนี้ พ่อผมเป็นคนสร้างขึ้นมา พวกคุณก็แค่หุ้นส่วน พอพ่อผมยอมแบ่งขายหุ้นให้ พวกคุณก็โกงเราไป แล้วฮุบไปเป็นของตัวเองจนหมด จนผมไม่เหลืออะไรเลย ไม่เหลือแม้แต่โต๊ะกินข้าว ยังจะมีหน้ามาเรียกร้องความยุติธรรมอีกเหรอ?”



“ฉันไม่รู้ว่าเรื่องที่เธอได้ยินมาเป็นยังไงนะกันต์ธร แต่ความจริงคือ พ่อเธอขายหุ้นทั้งหมดให้พี่เตี๋ยวเอง ตอนนั้นพวกเราไม่รู้ว่าเต่าจะเอาเงินไปทำอะไร จนเขาใช้เงินก้อนนั้นหมด แล้วก็วนเวียนกลับมาขอเงินพี่เตี๋ยวอยู่เรื่อยๆ จนหุ้นทั้งหมดถูกขายเป็นของพี่เตี๋ยว



พี่เตี๋ยวไม่เคยมีเวลาว่างให้กับครอบครัวเลย ภีมต้องเดินกลับบ้านสิบกิโลหลายครั้งทั้งที่ยังเด็กมาก ต้องนั่งรอพ่อเขาคนเดียวจนค่ำมืดหลังเลิกเรียน ต้องไปค้างบ้านเธออาทิตย์ละสามสี่ครั้ง เพราะอะไร!?! ก็เพราะพี่เตี๋ยวเอาแต่ทำงานไง!!!! เขาไม่มีเวลาให้ใครทั้งนั้น เขาไม่ได้มีต้นทุนดีแบบพ่อเธอ เขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว เธอเคยรู้เรื่องพวกนี้บ้างไหม?”










มารดาภพตะวันคล้ายดั่งได้ระบายความทุกข์ใจออกมาให้คนอื่นคนไกลเช่นกันต์ธรได้รับฟัง น้ำเสียงนั้นสั่นเครือด้วยแรงน้ำตา เธอพูดระบายออกมาเรื่อยๆ พร้อมกับยกมือขึ้นทาบอกคล้ายพยายามสกัดกั้นอารมณ์ไม่ให้ทะยานขึ้นสูงไปมากกว่านี้








“ตอนนั้น…มันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อผม”



“พ่อเธอ เปิดธุรกิจใหม่กับนายขุนพล”



“พ่อของจ้าววายุ?”



“ใช่…ฉันได้ยินมาว่ามันเป็นธุรกิจที่ไม่โปร่งใส แต่ก็ไปได้สวย พ่อเธอถูกนายขุนพลชักชวนให้ลองเล่นการพนัน พอได้ลอง เขาก็เริ่มเล่นหนักขึ้นเรื่อยๆ พี่เตี๋ยวเตือนเขาหลายครั้ง แต่ตอนนั้นเขาไม่ฟังใครเลยนอกจากหุ้นส่วนคนใหม่ของเขา พี่เตี๋ยวมาปรึกษาฉันเรื่องเงินที่พ่อเธอมายืมเขาไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่คืน เงินก้อนสุดท้ายที่พี่เตี๋ยวให้ยืมไป คือค่าตั๋วเครื่องบินของเธอ…ให้เธอได้กลับบ้าน หลังจากนั้นพอเราเริ่มไม่ให้เขายืมเงิน เขาก็สาดสีและโยนความผิดทั้งหมดมาให้พี่เตี๋ยว”



“…แต่ว่า ทำไมผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย”



“ฉันก็ยังแปลกใจนะกันต์ธร เธอก็ดูเป็นเด็กฉลาด แต่กลับเชื่อคำพูดของพ่อเธอได้ง่ายๆ …เธอลองกลับไปถามแม่เธอดูสิ ว่าที่ฉันพูดมันจริงไหม มันอาจทำใจยอมรับยากหน่อยนะ แต่เธอก็จะได้รู้ความจริงเอง”










คุณนายบ้านวงศ์วรรธน์หยิบตะกร้าผลไม้ของกันต์ธรขึ้นพร้อมกรีดนิ้วปาดน้ำตา แล้วเดินออกไป ปล่อยแขกผู้มาเยือนเอาไว้ในนิ่งงันจมกับความคิดตนเองอีกครั้ง








กันต์ธรกลับบ้านโดยมีนายศักดิ์เป็นคนขับรถให้ ตลอดเส้นทางเข้าเมืองเพื่อกลับเข้าบ้านของเขานั้น เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขากลัวเหลือเกิน ว่าสิ่งที่มารดาของภพตะวันบอกไว้จะเป็นความจริง และหากว่าทั้งหมดนั้นเป็นความจริง หัวใจอันบอบช้ำดวงนี้ของเขา คงแบกรับกับสิ่งใดต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว
























-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------









ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ความจริงกับสิ่งที่เชื่อมันต่างกัน
ธรก็คงต้องยอมรับความเจ็บปวดที่ตัวเองและครอบครัวได้กระทำลงไป

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ด้วยนะคะ คุณ bun

มาลุ้นกันต่อนะคะ  :กอด1:


 :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L1: :L1:


















...












บทที่ 20 : ชีวิตเหงา























“จริงรึเปล่าแม่?”



กันต์ธรหวาดกลัวต่อคำตอบนั้นเป็นอย่างมาก เขาเฝ้าภาวนาให้เรื่องทั้งหมดที่นายหญิงของบ้านวงศ์วรรธน์ที่บอกเขามาเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด แต่แล้วเมื่อเขาได้กลับมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มารดาฟัง เขาได้รับเพียงน้ำตาและการพยักหน้าเป็นคำตอบ




หัวใจชายหนุ่มถูกบีบรัดอย่างรุนแรง กันต์ธรไม่อาจโต้ตอบคำใดกับมารดาเขาไปได้อีก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่เขาเฝ้าค้นหามีเพียงความเคียดแค้น กับคำตอบสุดท้ายที่เขาได้พบ กลายเป็นเพียงลมพายุร้าย ที่เขาสร้างขึ้นเองทั้งสิ้น ลมพายุเหล่านั้นพัดจากกายเขาไป และพัดวนกลับมาปกคลุมทั่วร่างกายและจิตใจเขาในบัดนี้




มันวนเวียนและกัดกินความสุขเพียงเล็กน้อยนั้นจนหายไปหมดสิ้น เสี่ยธรผู้ทรงอำนาจและบารมีทรุดเข่าลงตรงนั้นอย่างหมดสภาพ เขาเข้าใจผิดมาโดยตลอดในทุกๆ เรื่อง ปล่อยให้ความแค้นกัดกินดวงใจอย่างไม่ยอมหยุด ความแค้นที่ทำลายเขาโดยตรง รวมทั้งคนรอบข้างทั้งหมด กระทั่งลามไปถึงชายคนหนึ่งซึ่งเขารักหมดทั้งหัวใจด้วย





















“ธรจะไปไหนลูก?”



“บ้านภีมครับ”



หลังจากวันที่ความจริงทั้งหมดปรากฏเด่นชัดขึ้นมา กันต์ธรก็วนเวียนไปบ้านวงศ์วรรธน์แทบทุกวัน เขาไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีสักเท่าไหร่ แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบเดือนแล้วก็ตาม ความพยายามที่เขาทำเพื่อลบล้างและไถ่บาป ไม่อาจเกิดผลได้เร็วทันใจ แต่นั่นก็ยังพอมีสัญญาณที่ดีเกิดขึ้นมาบ้าง เมื่อบัดนี้ เขาสามารถทำให้มารดาของเขายิ้มออกมาอย่างมีความสุขจากก้นบึ้งของดวงใจได้แล้ว






“สวัสดีครับป้าบัว”



“มาทำไมไม่รู้ทุกวี่ทุกวัน งานการไม่มีทำรึไง?”




“ไม่มีครับ เลยว่าจะขอไปช่วยลุงเตี๋ยวที่อู่”



“ก็ไปสิ วันก่อนเธอก็ไปแบบไม่ได้แวะมาที่นี่ก่อนสักหน่อย”




“ครับ วันก่อนลุงเตี๋ยวบอกว่าวันนี้ป้าบัวต้องไปตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาล ผมเลยแวะมาพาป้าบัวไปตรวจก่อนไปช่วยลุงเตี๋ยว”




“กันต์ธร บ้านฉันมีคนขับรถ เธออยากไปช่วยพี่เตี๋ยวก็ไปสิ”



“แต่ผมจะไปส่งป้าบัวก่อน!”



“นี่เธอ อย่ามาบังคับฉันนะ!”







“…ผมเปล่า”




อดีตนักเลงผู้เอาแต่ใจ หลงลืมไปว่าเมื่อครู่ใช้คำพูดและน้ำเสียงเช่นใดกับภรรยาเจ้าของบ้าน เมื่อถูกเอ็ดเอาจึงพึ่งมานึกขึ้นได้และหน้าจ๋อยลงไป





ด้านคุณนายเจ้าของบ้านเห็นกันต์ธรที่ตื่นตัวตลอดเวลาในการช่วยเหลือนิ่งเงียบลงไปก็เริ่มรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น








“จะไปก็ไป ถ้าฉันไปช้าแล้วโดนคุณหมอตำหนิ ฉันจะโทษเธอคนเดียวเลย”



“…”



ชายหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม เขาไม่ตอบอะไรเจ้าของบ้าน เพียงเดินตรงดิ่งนำคุณนายบัวไปที่รถของเขา เมื่อแขกคนสำคัญขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อย กันต์ธรที่มักมีคนขับรถประจำตัว ก็ได้เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นคนขับให้กับคุณนายบ้านวงศ์วรรธน์แทน





เขาช่วยคุณนายบัวถือของ คอยประคอง และรับยาตามแพทย์สั่งอย่างเต็มใจ เขาสัมผัสได้ว่าสตรีท่านนี้มีบางสิ่งที่คล้ายคลึงกับภพตะวันเป็นอย่างมาก ก็แน่ล่ะ คุณนายบัวเป็นแม่ของคนรักเขานี่นะ









“แวะซื้ออะไรก่อนไหมครับป้าบัว”



“ไม่ล่ะ ฉันอยากกลับไปพักที่บ้านแล้ว”



“ครับ”



“ตาภีมติดต่อเธอมาบ้างรึเปล่า?”



คุณนายบัวที่เคยเชื่อว่าลูกชายถูกฆ่านั้น เริ่มมีความคิดที่เปลี่ยนไป ด้วยไม่ว่าตำรวจและชุดสืบสวนจะออกค้นหามากเพียงใด ก็ไม่พบร่างของลูกชายเธอเลย นั่นทำให้เธอเข้าใจไปว่าภพตะวันเพียงหนีหน้าไปเท่านั้น







“…เปล่าครับ”



“…”




ไม่ใช่เพียงตำรวจที่ออกตามหา ตัวกันต์ธรเองก็ยังคงไปที่นั่นอยู่บ่อยครั้ง ที่ที่บิดาของเขาโยนภพตะวันลงไปในแม่น้ำ ลึกๆ ในใจของชายหนุ่มก็ยังแอบหวังเช่นเดียวกันกับคุณนายบัว แม้ว่าแทบจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลยก็ตาม ยาพิษที่ภพตะวันกินเข้าไปนั้น เรียกได้ว่าร้ายแรง รวมทั้งตะแกรงที่ห่อพันรอบร่างนั้นก็ด้วย ทั้งที่ควรจมลงสู่ก้นแม่น้ำที่ใดที่หนึ่งแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่มีใครหาพบ









หลังจากพามารดาของภพตะวันไปตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อย กันต์ธรก็ขับรถไปยังอู่รถสิบล้อที่เขาเคยวนเวียนไปช่วยงานภพตะวันอยู่พักใหญ่ เขาพบกับนายเตี๋ยว พี่ชายของบิดาเขา กำลังคุยกับคนขับรถเพื่อวิ่งออกไปรับของแต่คล้ายกับว่าเกิดปัญหาอะไรบางอย่างกับถังน้ำมันเข้า








“สวัสดีครับลุงเตี๋ยว”



“ไงธร…ไปโรงพยาบาลเรียบร้อยดีไหม?”



“ครับ…มีอะไรกันรึเปล่าครับ?”



“ก็ไอ้เจ้าคันนี้น่ะสิ น้ำมันมันซึมออกมา…”



ปัญหาเกี่ยวกับช่วงล่างของหัวรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ช่างฝีมือดีหลายคนช่วยกัน ไม่ได้ทำให้กันต์ธรนิ่งเฉย แม้จะมีคนเข้าช่วยซ่อมแซมแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังคงพุ่งตัวเข้าไปแล้วช่วยหยิบจับเท่าที่จะทำได้ จนทุกอย่างลุล่วงไปได้ด้วยดี







บิดาของภพตะวันนั้นใจกว้างกว่าใครทั้งนั้น เขาล่วงรู้มานานก่อนหน้านายเต่าเสียอีก ว่าลูกชายเขามีใจให้กันต์ธร แม้จะเอาแต่โหมงานหนัก แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ ทั้งยังเป็นผู้ชายด้วยกัน เขาจึงมองออกได้ง่ายๆ เลยในทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ภพตะวันโทรมาขอค้างที่บ้านกันต์ธรแล้ว






แต่อย่างไรเสีย ขึ้นชื่อว่าหัวอกคนเป็นพ่อ ย่อมต้องการให้ลูกชายนั้นเดินตามทางที่บุรุษทั่วไปพึงกระทำ จึงได้สนับสนุนให้ภพตะวันเดินทางไปศึกษาต่อตามคำแนะนำของนายเต่า ยิ่งรู้ว่าภพตะวันมีคนรักเป็นหญิงสูงศักดิ์ ทั้งท่วงท่าวาจางดงามเขายิ่งสนับสนุน แต่สุดท้ายแล้ว



ความรัก…ก็เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ แต่ทว่าทรงพลังมหาศาล



ไม่มีใครหยุดยั้งความรักที่ภพตะวันมีต่อกันต์ธรได้ ลูกชายเขารักเด็กหนุ่มคนนี้มากกว่าใครๆ ยอมเสียสละให้หมดทุกอย่างแม้จะโดนเขาเกลียดและเอาเปรียบตลอดมาก็ตาม








“ฉันถามเธอตรงๆ นะธร…เธอไม่ได้ฆ่าลูกชายฉันใช่ไหม?”



“ลุงเตี๋ยว…”



อยู่ๆ เจ้าของอู่รถสิบล้อก็เดินเข้าไปหากันต์ธรที่กำลังล้างทำความสะอาดคราบน้ำมันที่ติดมืออยู่ คำถามนั้นสะกดกันต์ธรให้นิ่งลงไป ความรื่นเริงจากการได้ช่วยช่างหลายคนซ่อมช่วงล่างรถเมื่อครู่เลือนหายไป หลงเหลือไว้เพียงความอึดอัดใจและมือที่เริ่มออกอาการสั่น








“…ผมไม่ได้ทำ”



“ฉันเชื่อเธอ…เธอรู้ใช่ไหม ว่าเจ้าภีมรักเธอมาก สิบกว่าปีแล้วนะธร ที่ฉันมองดูพวกเธอ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าไม่มีอะไรทำให้ลูกชายฉันเปลี่ยนใจไปจากเธอได้จริงๆ เธอล่ะ…รักเขาแบบที่เขารักเธอบ้างไหม?”



“ครับ…ถ้าเขากลับมา ผมสาบานจะไม่ทำให้เขาต้องร้องไห้อีก”



“อย่าทำให้ฉันคิดว่าเธอดีแต่ปากก็แล้วกัน”



“ลุงเตี๋ยว…?”



“ตามมากินข้าวด้วย ฉันให้คนซื้อมาเผื่อแล้ว”



“…ครับ”



กันต์ธรที่อยู่ใกล้ชิดกับบิดาและมารดาของภพตะวันมาระยะหนึ่ง รับรู้ถึงความใจดีและความอบอุ่นอยู่ลึกๆ ในใจ หลายครั้งที่ท่านทั้งสองแอบถามหาภพตะวันจากเขา นั่นทำให้เขาอยากร้องไห้ออกมาทุกครั้ง ด้วยเขาเองรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด และคิดถึงภพตะวันแทบขาดใจไม่แพ้ท่านทั้งสองเลย





















กันต์ธรอยู่ดูแลคุณนายบัว และช่วยงานนายเตี๋ยวที่อู่รถสิบล้อกินเวลานานไปถึงหนึ่งปีเต็ม เขาเจอฤทธิ์ทางวาจาและการกระทำของคุณนายแม่มาแล้วแทบทุกรูปแบบ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังคงเดินหน้าไถ่บาปต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ




“ธร…พรุ่งนี้วันหยุด ฉันกับพี่เตี๋ยวเลยคุยกันว่าจะไปเที่ยวพักผ่อนบนดอยสักหน่อย เธอก็ไปด้วยกันสิ”



“ไปกี่วันเหรอครับ?”



“2 วัน ค้างที่นั่นหนึ่งคืน”



“พอดีผมนัดกับเจ้าของที่ไว้ว่าจะไปคุยกับเขาพรุ่งนี้น่ะครับ”



“ได้ทำเลถูกใจแล้วเหรอ?”



“ครับ อยู่ใกล้ๆ บ้านผมเลย”



“ถ้าอยู่ใกล้บ้านเธอ คงจะแพงน่าดูเลยนะ”



“ครับ ผมเลยนัดเขาไปต่อรองราคากันพรุ่งนี้”



“งั้นเอาอย่างงี้ ฉันจะให้พี่เตี๋ยวไปช่วยคุยด้วย มีผู้ใหญ่ไปช่วยคุยอาจง่ายขึ้น”



“ป้าบัวไปเที่ยวดอยเถอะครับ ผมไม่รบกวนดีกว่า”



“เอางั้นเหรอ?”



กันต์ธรนั้นมีทรัพย์สินมากมายมหาศาลจากการทำงานเก็บเงินมาหลายปี และบัดนี้เขาตั้งใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ตามคำแนะนำของคุณนายบัว ด้วยการนำเงินที่มีอยู่ไปลงทุนเปิดร้านอาหาร อาชีพสุจริตครั้งแรกในชีวิต เขาใช้เวลาศึกษาข้อมูลโดยได้รับความช่วยเหลือจากญาติห่างๆ ของเขา จนในที่สุดก็ได้พบกับทำเลที่ถูกใจในการทำร้าน





















เช้าถัดมากันต์ธรเตรียมเงินจำนวนหนึ่งในการมัดจำติดตัวมาด้วยเรียบร้อย หากแต่การเจรจากลับไม่ได้เป็นไปดังคาด แม้จะต่อรองอย่างไรเจ้าของที่คนเก่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยเหลือเรื่องราคาแต่อย่างใด






“ช่วยๆ กันหน่อยเถอะครับ ผมเตรียมเงินมามัดจำแล้วนะ”




เสี่ยธรแม้จะเป็นที่หวาดกลัวต่อผู้มีรายได้น้อย แต่กับผู้มีอันจะกินไปถึงชนชั้นร่ำรวย กลับไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอำนาจใดๆ ของกันต์ธร ยิ่งเจ้าตัวถอนตัวจากยุทธภพมานานร่วมปีเช่นนี้แล้ว จึงไม่มีใครต้องให้ความเกรงใจหรือช่วยเหลือบุรุษผู้เคยตัดนิ้วและขูดรีดผู้อื่นแต่อย่างใด






“อย่าต่อมากเลยเสี่ย เสี่ยก็มีตังไม่ใช่เหรอ? จะงกทำไม”



“แต่ว่าตอนนี้ผม…”






ก๊อก ก๊อก ก๊อก



“คุณเตี๋ยว…”



“…”



กันต์ธรที่นั่งต่อรองมาหลายชั่วโมงไม่ได้รับการให้เกียรติจากเจ้าของที่คนเก่าสักเท่าไหร่ แต่แล้วหญิงชายสูงวัยคู่หนึ่งก็เดินเข้ามาในชุดสุภาพ เจ้าของธุรกิจผู้โด่งดังในจังหวัดเดินเข้ามาพร้อมกับภรรยา




ทั้งคู่นั่งลงช่วยกันต์ธรต่อรองในการซื้อที่ดินในราคาที่สมเหตุสมผล



จนในที่สุด ยอดการต่อรองก็ลงตัว กันต์ธรเซ็นสัญญาซื้อที่ดินด้วยเงินหนึ่งก้อนเต็มจำนวน ซึ่งส่วนหนึ่งคือเงินที่เขาเตรียมมาสำหรับมัดจำ และอีกก้อนหนึ่งที่นายเตี๋ยวช่วยจ่ายให้จนครบเต็มราคา เมื่อการซื้อขายเรียบร้อย ว่าที่เจ้าของร้านอาหารและเสี่ยเจ้าของอู่รถสิบล้อพร้อมภรรยาก็พากันไปทานข้าวกลางวันกันต่อ ระหว่างทางที่ขับรถตามกันไปนั้น กันต์ธรก็ได้น้ำตาไหลออกมาด้วยความตื้นตัน







“ลุงเตี๋ยวกับป้าบัวไม่ไปเที่ยวดอยแล้วเหรอครับ?”



“พี่เตี๋ยวอยากมารับเธอไปด้วยกันน่ะ”



“…ขอบคุณนะครับ”




เสี่ยธรยกมือไหว้พร้อมน้ำตาที่รื้นขึ้น ความใส่ใจที่เขาได้รับจากบิดาและมารดาของคนที่เขาเคยได้ทำร้าย ทำให้เขาทั้งสุขใจและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน เขาไม่คิดว่าผู้ใหญ่ทั้งสองจะให้อภัยกับสิ่งที่เขาเคยได้ทำลงไปมากมาย และที่ยิ่งกว่าได้รับการให้อภัย กันต์ธรกลับได้รับความอบอุ่นใจที่เขาแทบไม่เคยได้รับจากบิดามาก่อนเลย





ในวันนั้นกันต์ธรและมารดาของเขาได้ติดรถผู้ใหญ่ทั้งสองไปเที่ยวบนดอยด้วยกัน รอยยิ้มถูกเติมเต็มลงบนใบหน้าของคนทุกคนบนรถ










และหนึ่งปีเต็มถัดจากนั้น ร้านอาหารของกันต์ธรก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นและมีกำไรหลั่งไหลเข้ามามากมาย กันต์ธรได้รับคำแนะนำและความช่วยเหลือเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จากครอบครัววงศ์วรรธน์ โดยที่มารดาของกันต์ธรเองตั้งแต่เปิดร้านอาหารแห่งนี้มา ก็เข้ามาควบคุมรสชาติอาหารในครัวด้วยตัวเองตลอด สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของมารดานั้นช่างงดงาม แทบไม่หลงเหลือความเศร้าหมองที่มักแฝงมาเช่นก่อนเก่าอีกแล้ว




ภพตะวันหายตัวไปได้สองปีเต็ม และเป็นสองปีเต็มที่กันต์ธรเทียวดูแลบิดามารดาของเพื่อนรักของเขาอย่างดีที่สุด แม้จะมีภาระหน้าที่ ทั้งบริหารงาน ดูแลลูกค้า แก้ปัญหาในร้าน แต่กันต์ธรจะนำอาหารที่จัดทำขึ้นพิเศษที่มีประโยชน์และทรงคุณค่าทางโภชนาการ ขับรถไปส่งให้กับบิดาและมารดาของภพตะวันด้วยตัวเองในทุกวันก่อนเที่ยง ความสม่ำเสมอนี้ทำให้นายเตี๋ยวและภรรยา รักกันต์ธรและทุ่มเททุกอย่างให้ไม่ต่างจากบุตรของตนเลยสักนิด







“ป้าบัวว่าไงบ้าง เมื่อวานที่แม่ทำสลัดไข่ฝากไปให้ชิม”



“อร่อยสิครับ ป้าบัวแนะนำว่าอยากให้แม่หาสูตรน้ำสลัดแบบอื่นมาลองเป็นตัวเลือกให้ลูกค้าด้วย บางคนเขาชอบแบบเผ็ดก็มี”



“นั่นสิ…เดี๋ยวแม่ลองทำดู”








กันต์ธรเดินกลับเข้ามาในร้านหลังจากนำอาหารไปส่งให้ที่บ้านวงศ์วรรธน์ในวันนี้เรียบร้อยแล้ว มารดาเขาพึ่งค้นพบเมนูใหม่ที่มีประโยชน์สำหรับทุกคนในครอบครัว และคิดว่าจะทำขาย จึงได้ส่งรุ่นทดลองแจกจ่ายไปทั่ว หนึ่งในนั้นคือลูกค้าประจำของร้านกันต์ธรด้วย




ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตประจำวันด้วยความสุขปนเหงาบาดลึกเช่นเดิมมาร่วมปี เดินยิ้มทักทายลูกค้าตามโต๊ะดังเช่นทุกวัน และก็เช่นเคยที่เขาจะเผลอแอบคิดไปว่า หากภพตะวันได้มานั่งอยู่ในร้านและมองเห็นความสำเร็จนี้ของเขาแล้วล่ะก็ ชายผู้เป็นที่รักคงต้องยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจในตัวเขามากเป็นแน่






“ธร…”



“ครับแม่? ว่าไง”



“…เมื่อกี้ ไม่เห็นเหรอ?”



“เห็น? อะไร?”



“หันไปดูสิ”



กันต์ธรหันหลังกลับไปมองตามสายตาของมารดา และพบว่านั่นคือภาพที่เขาเห็นดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ภพตะวันนั่งยิ้มส่งกำลังใจให้เขา ที่โต๊ะมุมหนึ่งของร้าน เจ้าของร้านที่เห็นภาพนั้นทุกวันยิ้มตอบกลับไปพร้อมความสุขใจเล็กๆ ระหว่างวัน แล้วหันกลับมายิ้มให้มารดาหนึ่งที










“ครับ…ภีมยังอยู่กับผม”




“ธร…?”




“เดี๋ยวผมไปช่วยไอ้ศักดิ์เก็บโต๊ะก่อนนะแม่ คนเยอะละมันเอาไม่ไหว”






กันต์ธรเดินผ่านหน้ามารดาของเขาไปยังบริเวณโต๊ะคิดเงินแล้วหยิบเอาผ้าเช็ดโต๊ะออกมาหนึ่งผืน เขาเดินสวนมารดาออกมายังบริเวณโต๊ะที่มีแขกนั่งอยู่เกือบเต็มทุกโต๊ะ โดยที่มารดาเขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ลูกชายก็ไม่ได้สนใจอะไร ด้วยบัดนี้เป็นช่วงเที่ยงวันและคนเข้าร้านแน่นจนลูกน้องเขาเอาไม่อยู่จริงๆ








กันต์ธรเดินไปเดินมาทั้งเก็บรวบรวมจานแล้วยกเข้าหลังร้าน จากนั้นก็ใช้ผ้าเช็ดไปทั่วโต๊ะจนสะอาดโดยที่ไม่คิดเกี่ยงแรงใดใดแม้จะจ้างผู้ช่วยงานร้านไว้หลายต่อหลายคนก็ตาม เขาเก็บทุกโต๊ะจนเรียบร้อยและจะเดินกลับเข้าหลังร้านเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เดินผ่านโต๊ะมุมหนึ่งไป ก็มีเสียงๆ หนึ่งที่ไม่ได้ยินมานานมากแล้ว แต่กลับคุ้นเคยยิ่งกว่าเสียงใด เอ่ยเรียกชื่อเขาขึ้นมา










“ธร…”




กึก






ชายหนุ่มเจ้าของร้าน ที่บัดนี้อายุอานามปาเข้าไปสามสิบปีแล้ว หยุดเท้าลงพร้อมดวงใจที่เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง เขาไม่กล้าหันกลับไปมองว่าเสียงนั่น ใช่คนที่เขาคิดหรือไม่ จนเสียงเดิมนั้นได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง









“สวัสดีธร”






แม้กระนั้น กันต์ธรผู้มีแผลในใจก็ยังคงนิ่งงัน สัมผัสภายในเขาเริ่มอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เขาอาจเพียงฝันไปหรือหูแว่วดังเช่นทุกครั้ง


…แต่ทุกครั้งที่เกิดอาการจิตหลอน เขาก็จะหวังให้ทุกครั้งนั้นเป็นเรื่องจริง


…แต่ทุกครั้งที่ผ่านมา กลับเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเองทั้งสิ้น


เขาหวาดกลัวเกินไป ว่าคราวนี้ก็จะเป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ผู้เคยมั่นคงและทรงอำนาจ ชายหนุ่มผู้มั่นใจในตัวเองเกินใคร บัดนี้ไม่หลงเหลือความมั่นใจใดใดฉายชัดในดวงใจและใบหน้าอีกแล้ว เขากลัวไปหมดทุกอย่าง หากว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนๆ นั้น…ภพตะวันที่รักของเขา








































-------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด