(END) รัตติกาลนคร The couple series [อัคนี & ภาสกร] ตอนพิเศษ 07/10/2019
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (END) รัตติกาลนคร The couple series [อัคนี & ภาสกร] ตอนพิเศษ 07/10/2019  (อ่าน 5963 ครั้ง)

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************




 :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2: :pig2:






 กว่าห้าสิบปี ที่สองแก๊งผู้ยิ่งใหญ่

เพลิงรัตติกาล และ ปักษาทมิฬ

เข่นฆ่าแย่งชิงเพื่อขึ้นเป็นที่หนึ่งแห่งวงการธุรกิจใต้ดินในรัตติกาลนคร



สองพี่น้องจ้าวสำนักปักษาทมิฬ ทวิช และ ภาสกร อัครสกุณา

วางแผนลอบสังหารศิขริน หัวหน้าฝั่งคู่อริหลายสิบครั้ง

แต่ทุกครั้ง ชายดวงแข็งผู้นั้นก็รอดไปได้เสมอ



จนกระทั่ง ชะตาได้นำพาให้ภาสกรเข้าลอบฆ่าศิขรินอีกครั้ง

แต่เขากลับได้พบกับใครบางคน ภาสกรได้ลักพาตัวคนสำคัญของเพลิงรัตติกาล

กลับปราสาทปักษาทมิฬมาด้วย



ชายผู้มีความงดงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

เปลวไฟที่สร้างความลุ่มหลงให้ภาสกรเป็นอย่างมาก

หากแต่ว่าความรักที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นนี้ จะเป็นไปได้จริงหรือ?

เมื่ออัคนีนั้น เป็นถึงคนสำคัญของแก๊งคู่อริ และภาสกรก็แค้นเพลิงรัตติกาลเป็นอย่างมาก











เรื่องราวความรักสุดโรแมนติกบนเส้นขนาน
ภาคแยกพิเศษจาก รอยเลือดแห่งรัตติกาลนคร

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70773.0


Theme : Manly guy Couple


  :mew3:


*************************************************


เรื่องนี้แยกมาจากเนื้อเรื่องหลัก เพราะเราชื่นชอบอัคนีเป็นพิเศษค่ะ
เลยแต่งเรื่องแยกต่างหากเลย 1 เรื่อง อิอิ

ฝากติดตามและเป็นกำลังใจกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่า
  :L1:











...









ภาคแยกคู่ที่ 2 เปิดแล้วนะคะ : )

รัตติกาลนคร The Couple Series [เพลิงพระพาย & ไออุ่น]


https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71052.0














...










ฝากติดตาม >>> รอยรักศักดาเดช

https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71159.0

ด้วยยนะคะทุกคน ^_______________^







...





ท่านใดชื่นชอบ ติดตามเราทางนี้ได้นะคะ  :กอด1:

Facebook Page : https://www.facebook.com/savahale

Twitter : https://twitter.com/Napat_savahale

Website : https://savahale.wordpress.com/



 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2019 17:28:52 โดย Savahale »

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 1 : จุดเริ่มต้นสงครามความแค้น










“ฉันจะสร้างมันขึ้นตรงนี้”






ชายวัย 35 ปีสองคนยืนอยู่บนพื้นที่กว้าง รอบข้างมีเพียงความว่างเปล่า หนึ่งคือศิขริน เพลิงอัคนี
และอีกหนึ่งคือ หิรัญ อัครสกุณา สองเพื่อนรักที่ร่วมสร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยกันเนิ่นนานถึง 17 ปี
จนวันนี้มาถึง วันที่พวกเขาสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตนเองได้ ในนามคนกลุ่มใหญ่

ที่เรียกขานตัวเองว่า ‘เพลิงรัตติกาล’





ศิขรินเกิดและเติบโตในสลัม มีมารดาขายเรือนร่างแลกเงินเพื่อนำมาเลี้ยงดูตน อายุ 18 ปี
เขาเริ่มช่วยมารดาหาเลี้ยงชีพด้วยการเข้าร่วมกับแก๊งเล็กๆ แก๊งหนึ่งในชุมชน
เขารั้งท้ายในการเรียนหนังสือ แต่เป็นที่หนึ่งในเรื่องของธุรกิจใต้ดิน





เขาได้รับความไว้วางใจให้ทำงานสำคัญจากนายใหญ่เสมอตั้งแต่เริ่มเข้าร่วมแก๊ง
และที่นั่นเองทำให้เขาได้พบกับหิรัญ อัครสกุณา ลูกชายของหัวหน้าแก๊งในชุมชน
ทั้งคู่มีอายุเท่ากันและทำงานได้เข้าขากันมากกว่าใคร หลังจากนั้นไม่นาน
บิดาของหิรัญก็เสียชีวิตลง และหิรัญก็ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแก๊งแทน
โดยที่ข้างกายมีศิขรินคอยช่วยเหลือมาโดยตลอด





อยู่มาวันหนึ่งศิขรินได้บอกเล่าถึงจุดยืนของตนเองในวงการธุรกิจใต้ดินให้เพื่อนรักฟัง
หิรัญไม่มีสิ่งใดโต้แย้ง เขารู้ดีว่า ศิขรินนั้นแกร่งกว่าเขามากเพียงใด
หิรัญไม่ได้ต้องการขึ้นเป็นหัวหน้าใหญ่ แต่ก็ไม่อาจขัดขืนคำสั่งเสียสุดท้ายของบิดาได้
ทั้งคู่คอยสนับสนุนซึ่งกันและกัน ศิขรินเริ่มมองหาลู่ทางใหม่ทั้งหมดที่เป็นไปได้
เขาเติบโตอย่างก้าวกระโดด จนสามารถก่อตั้งแก๊งเล็กๆ ขึ้นมาเป็นของตนเองสำเร็จ





“ฉันดีใจกับนายด้วย”






ในที่สุดความฝันในรอบสิบปีของศิขรินก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาให้เห็น
เขาดูแลกลุ่มของตนเองและคอยช่วยเหลือกลุ่มของหิรัญไปพร้อมๆ กัน





จากวันนั้นต่อมาอีกเพียง 7 ปี กลุ่มของศิขรินเริ่มลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
จนคนในความดูแลมากเกินกว่าที่เขาจะมีเวลาไปช่วยดูแลคนของหิรัญ
ศิขรินตัดสินใจขอให้หิรัญมาอยู่กับเขา ให้คนของอัครสกุณา มาอยู่ภายใต้กลุ่มเพลิงรัตติกาลของเขา
หิรัญตกปากรับคำในทันทีเพราะเขานั้นคิดไว้แต่แรกแล้วถึงเรื่องนี้ หากไม่มีศิขรินคอยช่วย
คนเก่าคนแก่ของอัครสกุณาคงอยู่รอดได้อีกไม่นาน





“ฉันจะสร้างมันขึ้นตรงนี้”





ศิขรินยืนมองความสำเร็จของตน ทุกย่างก้าวที่ผ่านมาเขาใส่สุดกำลัง กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้








“ฉันดีใจกับนายด้วย”






หิรัญเฝ้ามองรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจของเพื่อนรักมาเนิ่นนาน ทั้งความเจ็บปวด
บาดแผลนานัปการ รอยยิ้ม น้ำตา ในทุกห้วงแห่งการเดินทาง ศิขรินจะมีหิรัญคอยอยู่เคียงข้างมาโดยตลอด





“ฉันจะให้นายขึ้นเป็นหัวหน้า แล้วฉันจะคอยช่วย เหมือนที่เราเคยเป็นมาเมื่อก่อน”





ศิขรินตัดสินใจมาอย่างดี หิรัญรับฟังคำร้องขอ ศิขรินรู้ตัวดีว่าเขาไม่อาจขาดหิรัญไปได้ไม่ว่าอย่างไร
และเขายินดีผูกตนไว้กับเพื่อนตายผู้นี้ แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวัง เมื่อหิรัญปฏิเสธที่จะขึ้นเป็นหัวหน้า
ด้วยเหตุผลที่ว่า ทั้งหมดนี้ศิขรินเป็นคนสร้างมันขึ้นมา





“ฉันอยู่ข้างนายเสมอ นายก็รู้”





“จำที่นายพูดไว้ให้ดี ถ้าหากวันหนึ่ง นายหนีไปจากฉัน…ฉันจะตามล่านาย
ต่อให้ต้องไปถึงสุดขอบอเวจีฉันก็จะไป”






คำพูดศักดิ์สิทธิ์ประกาศกร้าวพร้อมแววตาจริงจังที่หิรัญพบเห็นอยู่เสมอมาส่งตรงมายังเขา
ไม่ว่าอย่างไร หิรัญก็ไม่มีวันทอดทิ้งให้เพื่อนรักต้องโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน
เพราะหากว่าตนต้องจากไปจริงๆ แล้วล่ะก็ ก็คงจากไปได้ด้วยเพียงร่างกาย เพราะหัวใจนั้น
ถูกมหาโจรผู้นี้ขโมยไปอย่างเนิ่นนานแล้ว





ปราสาทหลังงามในนามเพลิงรัตติกาลถูกก่อสร้างขึ้นและปิดงานลงอย่างรวดเร็ว
ศิขรินเฉลิมฉลองความสำเร็จนานติดกันหลายเดือน กว่าจะพอใจ และเขาก็ยังไม่ได้หยุดลงเพียงเท่านั้น
ศิขรินออกล่าอาณานิคม และหาผู้เข้าร่วมอยู่เสมอ โดยมีหิรัญคอยอยู่ช่วยเหลือเคียงข้าง
ดังเช่นที่เป็นมาโดยตลอด





แต่แล้ว ช่วงเวลาอันสดใสก็คล้ายมีเมฆก้อนใหญ่เข้าบดบัง ด้วยความหลงมัวเมา
ในรสแห่งสุขจากการเฉลิมฉลองอันเนิ่นนาน ทำให้ศิขรินเริ่มลุ่มหลงในรสเพศหนักขึ้นเรื่อยๆ
สองสิ่งที่สำคัญสำหรับเขาในตอนนี้ มีเพียงการขยายอาณาจักรและการเสพสุข
กับเครื่องบรรณาการที่ถูกส่งมาทุกวันไม่ขาดสาย และเขาลิ้มลองหมดทุกสิ่ง กับคนเกือบทุกเพศทุกวัย





ศิขรินให้กำเนิดบุตรธิดาหลายร้อยคนภายในเวลาไม่กี่ปีต่อจากนั้น รวมไปถึงภรรยา นางบำเรอ
นายบำเรออีกหลายร้อยคน และนั่นก็สร้างบาดแผลวงใหญ่ให้แก่หิรัญเป็นอย่างมาก
ดวงใจปักษาเจ็บปวดคล้ายดั่งมีมีดปลายทู่ที่ไม่ได้รับการฝน ทิ่มแทงลงบนหัวใจครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยยังไม่ทันที่แผลจะสมาน มีดเล่มเดิมก็กรีดแล้วทิ่มแทงย้ำๆ ลงไปอย่างนั้นไม่หยุดหย่อน





หิรัญไม่อาจทนรับความเจ็บปวดนั้นได้ไหวอีกต่อไป 5 ปีต่อจากนั้น
เขาตัดสินใจหลบหนีออกมาจากปราสาทหลังงาม





แต่ยังไม่ทันได้ไปถึงไหน ศิขรินก็ให้คนจับตัวเขากลับไป
และเริ่มลงมือทรมานเขาด้วยความโหดร้าย
ดังเช่นว่าความผูกพันก่อนเก่านั้นได้เลือนหายไปจากใจของศิขรินจนหมดสิ้น





“หนีไปคุณหิรัญ! ผมจะล่อพวกมันไปอีกทาง”





“…ขอบใจนะ ระวังตัวด้วย”





อีกครั้งที่หิรัญพยายามหลบหนี เขาน้ำตาซึมเมื่อต้องแยกทางกับบอดิการ์ดของบิดา
ที่ยังคงอารักขาเขาอยู่จนกระทั่งตอนนี้







ปัง! ปัง! ปัง!





โทสะอันแรงกล้าของศิขรินบดบังทุกความห่วงใยที่หิรัญเคยมอบให้ กระทั่งลงมือกับชาตรี
บอดิการ์ดคนเก่าแก่ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา หิรัญสุดแสนเจ็บปวด เมื่อคนที่ตนรักยิ่งชีวิต
ลงมือปลิดชีพคนที่เคยช่วยเหลือตนด้วยท่าทางเย็นชา





การสูญเสียบุคคลสำคัญ เช่นชาตรี อัครสกุณาไป ทำให้หิรัญไม่อาจทนต่อความป่าเถื่อน
และลุ่มหลงมัวเมาของศิขรินได้อีก เขาหลบลี้ไปไกลและเริ่มได้รับข่าวว่าศิขริน
ลงมือทรมานคนของอัครสกุณาอย่างโหดเหี้ยมให้ตายลงทีละคน เพื่อบีบให้หิรัญกลับไป





คนของอัครสกุณาบางคนลักลอบหนีออกมาได้ และมารวมตัวกันในจุดปลอดภัยกับหิรัญ
ทุกคนที่รอดพ้นจากเงื้อมมือสัตว์ร้ายอย่างศิขรินมา ร้องขอให้หิรัญจัดการเรื่องนี้
และหิรัญก็คิดเช่นนั้น เขาเริ่มรวมกำลังพลเข้าช่วยคนของอัครสกุณาออกมาจากปราสาทเพลิงรัตติกาลได้
โดยมีหลายคนที่เข้าร่วมกับศิขรินภายหลัง ไม่อาจทนเห็นความโหดร้ายของนายใหญ่ได้
ก็คอยหนุนและย้ายข้างมาอยู่กับหิรัญหลายต่อหลายคน





ในที่สุดกำลังคนของหิรัญก็มากพอที่จะสามารถต่อกรกับศิขรินได้
หิรัญตั้งกลุ่มใหม่ที่ใหญ่ขึ้นของตน ในนาม 'ปักษาทมิฬ'





…และเรื่องราวทั้งหมดนั้นก็ล่วงเลยมา กว่า 40 ปีแล้ว
ที่สงครามระหว่างสองแก๊งแห่งรัตติกาลนครได้เริ่มต้นขึ้น















พุทธศักราช 2552





“คนของเราพร้อมแล้ว จะออกกันคืนนี้ ตีสาม”





“นายไม่จำเป็นต้องไปเองก็ได้นะภาส”





“ฉันจะเป็นคนไปเอาเลือดมัน มาสังเวยวิญญาณพ่อ”





ชายหนุ่มรูปร่างบึกบึนสูงใหญ่ ดวงตาคมกร้าว สะท้อนความแค้นที่อัดอั้นอยู่ในใจมากว่าสิบปี
กับแผนการล้างแค้นที่วางไว้อย่างรัดกุมที่สุด





“หวังว่ามันจะสำเร็จสักที”





อีกฟากของภาสกรคือพี่ชายของเขา เจ้าสำนักคนปัจจุบันของปักษาทมิฬ ทวิช อัครสกุณา
วงหน้าคมสันกับผิวพรรณสองสีนั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้ในท่าทางสบาย
ผิดกับแววตาที่ลุกโชนด้วยเพลิงแค้นไม่ต่างอะไรกับน้องชายเลยสักนิด
ทายาททั้งสองของหิรัญที่แม้จะเป็นพี่น้อง แต่ลักษณะนิสัยต่างกันสุดขั้ว
กลับมีความเห็นตรงกันและเข้ากันได้เป็นอย่างดีเมื่อคุยกันในเรื่องลอบฆ่าศิขริน





โดยตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา สองพี่น้องแห่งปักษาทมิฬได้วางแผนลอบฆ่าศิขรินอยู่หลายครั้ง
แต่แล้วชายดวงแข็งผู้นั้นก็รอดไปได้ทุกครั้ง





สิบปีก่อน ลูกชายคนโตของหิรัญอายุเพียง 18 ปี เขากำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังของเมือง
แล้วทุกๆ แผนการก็พังลงไม่เป็นท่า เมื่อเขาก็ได้รับข่าวสะเทือนใจที่ทำให้ทวิช
ไม่ปริปากพูดคำใดออกมาเลยเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม…บิดาของเขาจากโลกนี้ไป
และการลอบสังหารจากคนของเพลิงรัตติกาลสำเร็จแล้ว





ลูกชายทั้งสองของหิรัญรู้ดี ว่าบิดาของตนนั้น แม้จะสั่งคนออกล่าหัวของศิขริน
แต่พอรู้ว่าฝ่ายนั้นได้รับบาดเจ็บ ก็แอบเสียใจเพียงลำพัง ช่างต่างกันลิบลับกับนายใหญ่ของฝั่งนู้น
ที่เลือดเย็นเสียยิ่งกว่าสิ่งใด วางแผนทุกวิถีทางเพื่อปลิดชีพบิดาของตน และครั้งสุดท้าย
ก็ไม่มีใครสามารถยื้อชีวิตของหิรัญเอาไว้ได้





ทวิชและภาสกรเกลียดชังศิขริน และเพลิงรัตติกาลยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลกใบนี้
ความวุ่นวายที่สองพี่น้องต้องแบกรับในช่วงที่ทั้งคู่ยังอายุน้อยมากนั้น ทั้งสองไม่เคยลืมเลือน
เมื่อหัวเรือใหญ่ล้มลง ลูกบ้านต่างลุกฮือและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
พี่ใหญ่ของบ้านเก็บตัวเงียบไม่ออกมาพบปะผู้ใดหนึ่งเดือนเต็ม
เหลือไว้เพียงภาสกรที่อายุเพียง 16 ปี เขาใช้ทุกโทสะเข้าควบคุมพฤติกรรมของคนในบ้าน





โชคยังดีที่หิรัญได้คาดการณ์เผื่อไว้ พินัยกรรมที่ถูกเปิดออก เขียนไว้ชัดเจนถึงการแต่งตั้ง
กันต์ หรือที่หิรัญเรียกว่า เซียนปักษา อาจารย์ของเด็กทั้งคู่ให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่ง
หัวหน้าสูงสุดไปก่อนจนกว่าเด็กหนุ่มทั้งสองจะพร้อม





หนึ่งเดือนถัดจากนั้น ทวิชก็ได้เริ่มลงมือจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ความเยือกเย็นและความเด็ดขาดอันเหี้ยมโหด
ดังเช่นหิรัญฉายผ่านออกมาในร่างทวิช อัครสกุณาในวัย 18 ปี





“ต่อให้คราวนี้ยังไม่สำเร็จ ฉันก็จะหาทางฆ่ามันให้ได้สักวัน”





ภาสกรแววตาลุกโชน พร้อมลุยเต็มที่ เขาเดินออกจากห้องทำงานของทวิช
เพื่อกลับเข้าไปเตรียมคนและเช็กอาวุธให้พร้อมอีกรอบ จากนั้นชายหนุ่มจึงเดินไปยังบันได
ที่มีรูปใหญ่ของชายผู้สง่างามนั่งอยู่บนเก้าอี้และส่งยิ้มน้อยๆ มาทางเขา
กรามหนาขบเข้าหากันอย่างข่มอารมณ์เคียดแค้น
น้ำใสไหลคลอบริเวณเบ้าตาด้วยดวงใจคิดถึงชายในภาพอย่างสุดหัวใจ





“พ่อเคยบอกว่าผมเหมือนพ่อ…พ่อคิดผิดแล้ว”





“ผมไม่มีวันรักศัตรูมากกว่าชีวิตตัวเองแบบพ่อหรอก”






สัมผัสกรีดแทงในอกไม่อาจห้ามปรามไหว น้ำตาหลั่งรินออกมาด้วยความปวดร้าว
ไม่เคยมีใครได้เห็นหยดน้ำจากดวงตาคู่นี้ มีเพียงบิดาผู้เดียวเท่านั้นที่เคยได้เห็น
และจะเป็นเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ที่จะได้เห็น


















-------------------E-N-D---C-H-1------------------

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2019 19:38:15 โดย Savahale »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
จะ bad end ไหมนะ

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 2 : ราดน้ำมันบนกองเพลิง












รถตู้คันใหญ่แล่นออกจากปราสาทของกลุ่มปักษาทมิฬ
ด้านในมีชายฉกรรจ์สิบชีวิตพร้อมอาวุธครบมือ ออกเดินทางไปยังรีสอร์ตสุดหรูแห่งหนึ่งกลางป่า
ซึ่งห่างจากตัวเมืองรัตติกาลนครพอสมควร ธุรกิจสีขาวเพียงไม่กี่อย่างของกลุ่มเพลิงรัตติกาล




ทวิชแอบส่งคนเข้าไปแฝงตัวในกลุ่มคู่อริมานานหลายปี
และข่าวสำคัญหลายอย่างก็ถูกส่งต่อมาให้ฝั่งปักษาทมิฬรับรู้




คนของปักษาทมิฬในเพลิงรัตติกาลรายงานว่า คืนนี้ศิขรินจะเดินทางมาพบกับบุคคลสำคัญ
ซึ่งไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนว่าคนผู้นี้คือใคร แต่แทบทุกสัปดาห์
เขาจะออกมายังรีสอร์ตแห่งนี้อยู่เป็นประจำ ผู้สังเกตการณ์เฝ้ามองพฤติกรรมของศิขรินจนมั่นใจ
จึงได้รายงานไปยังกลุ่มปักษาทมิฬ ให้เริ่มลงมือได้




รถตู้ผ่านเข้าทางหน้าประตูอย่างถูกต้อง กระจกถูกลดลงและคนในรถชูสัญลักษณ์
ของเพลิงรัตติกาลที่เตรียมไว้ขึ้นเท่านั้น ก็สามารถผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ภาสกรแบ่งทีมออกเป็น 3 ทีมด้วยกัน โดยเขาให้ทีมที่ 1 จัดการเก็บพวกคนเฝ้าประตู
ทีมที่ 2 สำรวจพื้นที่ และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย
เขาจะเข้าไปเชือดคอศิขรินด้วยมีดปลายแหลมที่ฝนมาอย่างดีเล่มนี้




ทุกอย่างคล้ายจะเป็นไปตามแผน เมื่อรถตู้จอดเข้ายังที่จอดเรียบร้อย
ทีมที่ 2 ก็เริ่มลงมือปฏิบัติการณ์ทันที ตีนผีย่องเบาไปยังมุมต่างๆ
ที่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่และเริ่มลงมือทำลายทิ้ง จากนั้นก็กระจายกันออกไป
เพื่อสำรวจความเรียบร้อย ภาพบอดิการ์ดที่ยืนตามจุดต่างๆ
ถูกฉายผ่านทางกล้องตัวเล็กบนหัวของสมาชิกในทีมที่ 2 ทุกคน
เมื่อคนบนรถล็อกเป้าได้เรียบร้อย ภาสกรจึงส่งมือสังหารทีม 1 ออกไปเก็บกวาด
โดยไม่ให้พลาดแม้แต่จุดเดียว




"มันไม่ควรง่ายขนาดนี้"




ภาสกรที่ไม่ได้มีสมองมากนักก็ยังมองออกว่าการคุ้มกันพื้นที่แห่งนี้
แม้จะแน่นหนาเพียงใด ก็ยังรู้สึกว่ามันง่ายเกินไป
เมื่อเทียบกับแผนการหลายสิบครั้งที่เขาและทวิชลงมือทำมาโดยตลอด




ชายหนุ่มที่มองการเก็บกวาดผู้คุ้มกันฝั่งคู่อริเริ่มสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล
โดยที่ไม่ทันได้ปล่อยให้ทีมเก็บกวาดทำงานเรียบร้อยดีซะก่อน
ภาสกรที่อยู่บนรถตู้เพียงลำพังกับคนขับ รีบลงจากรถแล้วเข้าไปยังสถานที่จริงทันที




เมื่อทีมที่ 1 ยังทำงานไม่เสร็จแต่ภาสกรโผล่ออกมาแล้ว ทุกคนจึงเริ่มเอะใจและเตรียมตั้งรับ
หากว่านี่เป็นกับดัก ลูกน้องคนหนึ่งซึ่งกำลังรัดคอบอดิการ์ดเพลิงรัตติกาล
ชี้นิ้วไปยังเรือนไม้หลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดนั้นนัก และนั่นคือที่ที่ศิขรินควรอยู่
แต่บางสิ่งบอกกับเขาว่า แผนการครั้งนี้อาจไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง




สองขาแข็งแรงไม่รอช้า ออกตัววิ่งสุดกำลังเพื่อเข้าไปยังเรือนไม้หลังนั้น






ตุบ




ชายร่างยักษ์หนัก 88 กิโลกรัม สูง 186 เซนติเมตร ใช้วิชาตัวเบา
ที่รับการถ่ายทอดมาจากท่านอาจารย์เซียนปักษา
พาร่างอันหนักอึ้งลอดผ่านหน้าต่างเข้าไปได้อย่างเงียบเชียบ




เมื่อเท้าทั้งสองแตะลงบนพื้น ภาพที่ปรากฏต่อหน้าเขาอยู่นี้ คือห้องครัวเล็กๆ
ไร้ซึ่งชีวิตใดอาศัยอยู่ ภาสกรค่อยๆ เดินสำรวจไปรอบๆ
เรือนไม้หลังนี้มีห้องที่แยกออกจากกันไม่มากนัก
ผู้บุกรุกหยิบมีดปลายแหลมที่เตรียมมากระชับไว้ในมือ
แล้วเดินไปยังประตูห้องนอนที่มีเพียงม่านลูกปัดรูปผีเสื้อบังตาอยู่




สองมือหนาบรรจงเปิดม่านลูกปัดนั้นด้วยความเบามือเพื่อไม่ให้คนในห้องต้องไหวตัวทัน
เตียงไม้กว้างวางพาดไว้เกือบเต็มพื้นที่ มองลอดมุ้งบางคลุมเตียงไป
ด้านในปรากฏชายร่างใหญ่ผู้หนึ่งกำลังหลับใหลไม่รู้ตัวอยู่ ภาสกรมองเพียงแวบเดียว
ก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นไม่ใช่ศิขรินอย่างแน่นอน




แผนการที่วางเอาไว้หลายเดือนพังลงไม่เป็นท่า เขาพิมพ์ข้อความส่งเพื่อแจ้งทุกทีม
ที่กำลังทำงานอยู่ด้านนอกและทวิช ถึงความล้มเหลวอีกครั้งด้วยสองมือที่เริ่มสั่นเทาจากโทสะ






ตุบ ตุบ ตุบ




ภาสกรเดินสำรวจเรือนไม้หลังเดิมอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอื่นอยู่ในที่นี้
นอกจากชายผู้กำลังนิทรา เขาเดินเข้าไปสำรวจข้าวของทั้งภายนอกและในห้องนอน
ก็พบเพียงอุปกรณ์ส่วนตัวของชายหนุ่มทั่วไป
โดยไม่มีวี่แววของคนที่เขาพยายามตามฆ่าเลยสักนิด




มือหนาเปิดม่านบังตาจากหน้าต่างซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเตียงนั้นเพื่อมองสำรวจภายนอก
จากมุมนี้พบว่า แม้บัดนี้ภายนอกจะมืดมิด แต่แสงจันทร์ก็สามารถสาดให้เห็นโครงสร้าง
ของรีสอร์ตแห่งนี้เกือบทั้งหมดจากมุมที่เขากำลังยืนอยู่ ชายผู้กำลังหลับใหล
คงเป็นคนสำคัญของที่แห่งนี้อย่างแน่นอน เมื่อนึกขึ้นได้
เขาก็หันกลับไปมองชายที่กำลังนอนหงายอยู่บนเตียงอีกครั้ง






กึก





แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างที่เขาจับม่านอยู่ สาดไล้ทะลุม่านคลุมเตียงผืนบางไปยังชายผู้นั้น
วงหน้าขาวสว่างสะท้อนแสงจันทร์งดงามดั่งหิมะในช่วงฤดูหนาว ภาสกรไม่อาจขยับกายใดๆ ได้อีก
เขาตกลงในห้วงที่ไม่สามารถอธิบายกับใครได้
ดวงใจสั่นระรัวคล้ายกำลังจะหลุดออกมาจากอกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตนี้





แม้จะมองจากมุมไกลๆ และยังมีผ้าม่านบางๆ กั้นอยู่ ความงดงามของชายผู้นั้นก็เปล่งประกาย
ออกมาอย่างชัดเจน เนิ่นนานกว่าจะรู้สึกตัว ภาสกรตะลึงตาค้าง เขาจับม่านหน้าต่างไปเกี่ยวไว้
ให้เปิดค้างไว้อย่างนั้น แล้วเจ้าตัวก็เดินเข้าใกล้ใครบางคนอย่างไม่รู้สึกตัว




มือหนาค่อยๆ แหวกม่านคลุมเตียงออกให้แสงจันทร์ส่องเข้ามาอย่างชัดเจน ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่
ดวงใจเขายิ่งกระตุกแรงขึ้น แรงขึ้น จนเจ้าตัวเริ่มกลัวว่าหัวใจจะวายตายอยู่ตรงนี้เสียก่อนได้แก้แค้น




ดวงตาของคนกำลังหลับใหลปิดสนิทและคล้ายกำลังฝันดี เมื่อปากบางได้รูปนั้นยกยิ้มน้อยๆ
แม้กำลังนอนหลับอยู่ ภาสกรที่ไม่เคยเข้าใกล้ความงามมากมายเช่นนี้มาก่อน
ใบหน้าของร่างหนาชาวาบ เขาสำรวจความงามนั้นอย่างไม่คิดจะหยุด
ดวงตาที่หลุบลงปรากฏขนตาแพรหนาชัดเจน จมูกโด่งเชิดรั้นเป็นทรงสวย
ปากอมชมพูได้รูปนั้นที่กำลังยิ้มน้อยๆ ผิวกายที่สะท้อนเข้าตาเขาเมื่อครู่
เมื่อได้มองอย่างใกล้ๆ ช่างเนียนละเอียดดังเช่นหิมะที่เขาคิดเมื่อแรกเห็นฉันนั้น




ใบหน้าจึงค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้เพื่อสำรวจทุกส่วนให้ชัดเจนดังใจปรารถนา
และคล้ายกับว่าไม่มีอะไรหยุดเขาได้ ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่ กลิ่นหอมอ่อนๆ
จากส่วนใดนั้นก็ไม่ทราบได้ อาจเป็นกลิ่นกายหรือเส้นผมที่ยาวสลวยเต็มหมอน
ตรึงสติภาสกรให้ฝังจมูกลงบนซอกคอขาวเพื่อรับกลิ่นนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น









ฟืด




ฟืดด...




ฟืดดดดดด...







ภาสกรไม่เคยได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ทว่ากระตุ้นความรู้สึกเขาได้รุนแรงขนาดนี้มาก่อน
เขาไล่สูดดมไปทั่วเพื่อหาที่มาของกลิ่นหอมนี้ จนกระทั่ง




ปึก!




"โอ๊ย! "




เข่าหนักอึ้งพุ่งเข้าเต็มท้อง ชายผู้กำลังเคลิบเคลิ้มนิ่วหน้าแล้วเดินถอยหลังออกห่างจากเตียงกว้าง
เสียงคำรามทุ้มต่ำอย่างเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายโดยไม่ทันตั้งตัวดั่งขึ้นไม่หยุด
แววตาอ่อนไหวเมื่อครู่เปลี่ยนกลับไปมุ่งตรงดุดันเช่นเดิม




"แกเป็นใคร!?! "




เจ้าชายนิทราฟื้นคืนชีพหลังจากถูกสัมผัสไปหลายจุดและสัมผัสที่เริ่มรุนแรงขึ้นของชายผู้บุกรุก




'ตื่นมาไม่เห็นน่ารักเหมือนตอนหลับเลย'





ภาสกรสบถในใจ เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถสลัดความเจ็บปวดบริเวณท้องทิ้งไปได้
และพบว่าชายผู้งดงามแต่มอบความเจ็บปวดให้เขาได้ลงจากเตียงไปยืนอีกฝั่งเป็นที่เรียบร้อย




ผู้บุกรุกเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งเพื่อทำการปิดปากชายโชคร้ายที่ไม่น่าตื่นขึ้นมาเลย
เขาเดินเข้าใกล้ชายผู้นั้นเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อหลังชนกำแพง
ตาใสก็หรี่ลงจ้องเขม็งมาทางภาสกรอย่างไม่เกรงกลัว แต่งานนี้คนเลือดร้อนย่อมได้เปรียบ
ในเรื่องความไวมากกว่า เมื่อเห็นทีท่าว่าคนงามกำลังจะตั้งท่าต่อสู้





ปึง!




ภาสกรจึงพุ่งตัวเข้าชนเจ้าของเรือนไม้ และใช้ร่างหนาของตนกดร่างของชายอีกคน
เอาไว้ให้ติดกับกำแพง มือทั้งสองข้างจับล็อกแขนเนียนขาวแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ
ความใกล้ชิดที่มากเกิน สร้างความหวั่นไหวให้แก่ภาสกรมหาศาล แต่หากไม่สู้ เขานั่นแหละที่จะต้องตาย




ภาสกรต่อสู้อย่างหนัก...กับการหักห้ามใจตนเอง และเมื่อใกล้ชิดในจุดที่จมูกสามารถชนกันได้
เขาก็ไม่อาจต้านทานไหว กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูกคล้ายกับเชิญชวนให้เขาสัมผัสให้มากกว่านี้
จมูกโด่งฝังเข้ายังซอกคอของชายตัวหอมและสูดดมอย่างรุนแรง หอมจนอยากลิ้มลอง




ปากหนาอ้าออกแล้วดูดกลืนผิวขาวนวลเนียนบริเวณต้นคออันหอมหวานนั้นอย่างไม่อาจหยุดยั้ง




"ปล่อย! "




ยังไม่ทันได้ห้ามปรามมากไปกว่านั้น มือหนาที่จับล็อกมือทั้งสองข้างบนศีรษะ
ก็หลุดออกข้างหนึ่งแล้วนำมาปิดปากที่กำลังห้ามปรามตนเอาไว้




"ฮื่อ! "




เสียงคำรามทุ้มต่ำรอดฝ่ามือหนาของภาสกรออกมา แววตาเคืองแค้น ดิ้นรนให้หลุดจากการเกาะกุม







ครืด ครืด...ครืด ครืด




ภาสกรที่กำลังขาดสติร้อยเปอร์เซ็นต์ กลับมามีแววตาดังเดิมอีกครั้ง
เมื่อโทรศัพท์เคลื่อนที่สั่นขึ้นมาหลายรอบ เขานำมือที่ปิดปากชายผู้ถูกล่วงเกินออก
แล้วหยิบมีดปลายแหลมที่ตนนำติดตัวมาด้วย จี้เข้าที่ลำคอที่เขาฝากรอยรักไว้เมื่อครู่แทน
ก่อนจะค่อยๆ เดินห่างออกมาและอ่านข้อความ




เจ้าสำนักคนปัจจุบันของปักษาทมิฬร้อนรนอย่างหนัก เมื่อแผนการอันรัดกุมพังลงไม่เป็นท่า
เขาเร่งหาข้อมูลจากทุกแหล่งว่าบัดนี้ศิขรินอยู่ที่ไหน จนพบว่า
เหยื่อของพวกเขาพึ่งเดินทางกลับไปเมื่อช่วงหัวค่ำ ก่อนที่ภาสกรจะลงมือนั่นเอง
ข้อความจากทวิช เรียกตัวน้องชายกลับอย่างรวดเร็ว เพราะอีกไม่ช้า ศิขรินต้องรู้แน่
ว่ามีคนลักลอบเข้าไปหวังสังหารตนในรีสอร์ต




ภาสกรเมื่ออ่านจบใจความ ก็หัวเสียไม่ต่างจากพี่ชาย เขาต้องรีบกลับออกไปโดยเร็ว
แต่คล้ายกับว่าความหวานละมุนเมื่อครู่เป็นยางเหนียว รั้งใจเขาไว้ไม่ยอมให้กลับออกไปได้โดยง่าย




"นายเป็นอะไรกับศิขริน? "




"..."




ภาสกรเอ่ยถามและไม่ได้รับคำตอบใด มีดคมจี้คอลึกเข้าไปเรื่อยๆ
จนเริ่มกดเข้าเนื้อและโลหิตของชายผู้โชคร้ายก็ค่อยๆ รินไหลออกมา...แต่ทั้งนั้น
เขาก็ยังคงไม่ได้คำตอบ




ชายเลือดร้อนจำเป็นต้องฆ่าทุกคนที่รู้เห็นเรื่องนี้ นั่นคือกฎที่ตนบัญญัติขึ้นเอง
เพื่อให้ดวงใจกล้าแข็งเพียงพอที่จะสามารถทำงานใหญ่ได้สำเร็จ
ด้านเจ้าชายนิทราที่ถูกปลุกรับรู้ถึงชะตากรรมของตน ดวงตาเคียดแค้นปิดลงพร้อมถูกประหาร







"ฮึ่ยยย! แม่งเอ้ย!!!!! "




ชายหนุ่มสบถรุนแรงขึ้นกว่าเก่า ความหงุดหงิดและโมโหเข้าครอบงำใจตน
มีดในมือลดลงจากคอรหง ทันใดนั้น เมื่อมีดถูกดึงกลับ
ชายผู้ที่กำลังหลับตาก็ได้ลืมตาขึ้นและพร้อมประจันหน้า แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลงมือไปมากกว่านั้น
มีดในมือก็ถูกเปลี่ยนเป็นกระบอกปืนพกแทน




"เดินไป...! "




ภาสกรตะเบ็งเสียงออกคำสั่ง ชายผู้เป็นเป้านิ่งจึงค่อยๆ
ออกเดินโดยมีลำกล้องปืนพกจ่ออยู่ที่ด้านหลัง เขาเดินตามคำสั่งของภาสกรออกไปด้วยดวงตาวูบไหว
ศพของคนรู้จักที่คอยดูแลเขานอนเกลื่อนเต็มบริเวณ น้ำใสค่อยๆ รื้นขึ้นในดวงตา
แต่เขาก็ยังฝืนทนไม่ให้มันไหลออกมาให้ชายผู้อยู่เบื้องหลังต้องได้ใจในความแพ้พ่ายของเขาไปมากกว่านี้




"คุณภาส..."




"หุบปาก! ไม่ต้องถามมาก ออกรถไป! "




ตัวประกันถูกปืนจ่อที่หัวตลอดเวลาระหว่างที่รถตู้ค่อยๆ ขับออกไป
คนบนรถทุกคนสัมผัสได้ถึงพลังโทสะอันแรงกล้าของเจ้านาย จนไม่มีใครกล้าปริปากพูดคำใดออกมา
แม้จะไม่เข้าใจว่า ชายผู้ที่ถูกนำมาด้วยนี้เป็นใคร และทำไมถึงพามาด้วยก็ตาม






และนั่น...ก็คือการลงมือราดน้ำมันลงบนเถ้าธุลีแห่งความขัดแย้ง
แล้วจุดไฟขึ้นอีกครั้ง ด้วยฝีมือภาสกร













------------------------E-N-D---C-H-2-----------------------
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:




คุณ AkuaPink

ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะคะ ^_______^

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:




คุณ sirin_chadada

ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์นะคะ ^_______^
เรื่องนี้เป็นนิยายรักคลายเครียดค่ะ อิอิ ไม่หลอนค่ะ 55555
ติดตามกันต่อนะคะ
  :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com

บทที่ 3 : ตัวประกันผู้งดงาม










รถตู้คันเดิมแล่นเข้าภายในตัวปราสาทและจอดนิ่งสนิทภายในโรงรถ
ภาสกรเดินเข้าในตัวบ้านพร้อมกับตัวประกัน และได้พบกับทวิช อัครสกุณา
ที่กำลังนั่งหน้าเครียดอยู่บนโซฟา คล้ายกำลังรอคอยตนอยู่






“แค่ถอนกำลังออกมา ทำไมมันนานขนาดนี้!!!!”







ไม่ใช่เพียงใบหน้าที่เคร่งเครียดเท่านั้น โทสะที่น้อยคนจะได้พบจากเจ้านายผู้เยือกเย็น
ถูกสาดใส่น้องชายเพียงคนเดียวที่มักทำให้เจ้าสำนักปักษาทมิฬหัวเสียได้ตลอดเวลา
ใจก็พลางนึกไปว่าภาสกรอาจถูกลอบฆ่าระหว่างทางไปเรียบร้อยแล้ว






“แล้วนั่นใคร?”






“…”






“อย่าบอกนะ ว่าแกพาเด็กของมันกลับมาด้วย ห๊ะ!!!”






“ใช่…ฉันจับมาเป็นตัวประกัน”






เจ้าบ้านหนุ่มกำมือแน่นคล้ายพยายามข่มความโกรธ อกหนากระเพื่อมรุนแรงอย่างไม่อาจห้ามปราม
เสียงใหญ่ตะเบ็งเรียกให้คนหยิบปืนมาให้ และจ่อเล็งเข้าที่หัวของตัวประกันผู้งดงาม






“พอเถอะน่าแทน! ฉันรู้ว่านายหงุดหงิด ฉันก็หงุดหงิดไม่ต่างจากนายหรอก แต่นายฆ่าเขาไม่ได้”






“ทำไม?”






“เพราะเขาเป็นตัวประกัน”






ตาต่อตา ฟันต่อฟัน คงเป็นประโยคที่อธิบายเหตุการณ์นี้ได้ดีที่สุด
ภาสกรไม่เคยกลัวทวิช และทวิชเองก็ไม่กลัวภาสกรเช่นกัน
สองพี่น้องที่นิสัยภายนอกต่างกันสุดขั้ว แต่ภายในอัดแน่นไปด้วยแรงแค้น โทสะ
และความเกลียดชังเช่นเดียวกัน






“แกไม่รู้ด้วยซ้ำ!!! ว่ามันจะมาชิงของของมันคืนไหม นางบำเรอมันมีเป็นพัน!”






“อย่างน้อยเขาก็ต้องสำคัญกับมันมากแน่ๆ ไม่งั้นมันไม่ซ่อนไว้ลับขนาดนั้นหรอก!!!”






ความมาคุของสถานการณ์ยังไม่จางหาย ทวิชเหลือบมองชายผู้มีผิวขาวสว่างดุจหิมะ
และได้รับสายตาเคืองแค้นส่งมาให้ไม่ต่างกัน






“...แกจะจัดการยังไงก็เรื่องของแก!!! แต่ถ้ามันก่อปัญหาที่นี่เมื่อไหร่ มันตายแน่”






ทวิช อัครสกุณา หอบดวงใจอันเต็มไปด้วยความร้อนแรงแห่งอารมณ์โกรธขึ้นด้านบนไป
ปล่อยให้ภาสกรขบฟันข่มโทสะยืนอยู่อย่างนั้นเพียงลำพังกับนักโทษ






ความหงุดหงิดในใจภาสกรพุ่งสูงขึ้นเท่าทวีคูณ ตั้งแต่ที่การลอบสังหารครั้งนี้ล้มเหลวไป
จนถึงเขาไม่อาจลงมือปลิดชีพคนของเพลิงรัตติกาลได้ แถมยังต้องมาทะเลาะเป็นการใหญ่โตกับพี่ชาย
ด้วยสาเหตุเดียว…ชายผู้นี้






เขาหันกลับไปมองชายผู้มีกุญแจมือล็อกข้อมือหนาไว้ แล้วกระชากไหล่ให้เดินขนาบข้างเขา
ขึ้นบันไดไปชั้นบน ชายผู้เป็นดั่งตัวประกันหยุดมองภาพขนาดใหญ่ตรงกลางบันไดและรู้ได้ในทันที
ว่าคนในภาพคือ หิรัญ อัครสกุณา






อยู่ๆ สองขาของนักโทษก็หยุดเดิน ภาสกรที่หงุดหงิดอยู่ก่อนแล้ว
จึงได้ตะคอกใส่ให้เดินไปไวไวพร้อมแรงผลักจนชายผู้ถูกบังคับล้มลงหัวฟาดพื้น






เมื่อตั้งตัวได้เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งด้วยความเบลออยู่ครู่หนึ่ง ภาสกรก็ตะคอกใส่อีก
แขนหนาฉุดคนหัวโนให้ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก






“ยังไม่ตายก็รีบเดินขึ้นไป!!!!”






สองขาก้าวเดินต่อไปจนถึงชั้น 3 ของบ้าน และเมื่อประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก
ภาสกรก็ผลักเขาให้เดินเข้าห้องไปอย่างรุนแรงอีก ทั้งคู่เดินเข้ามาภายในห้องและไฟอัตโนมัติก็สว่างขึ้น
ภายในกว้างขวางเรียกว่าครึ่งหนึ่งของชั้นนี้คือห้องของภาสกรเพียงคนเดียว
โดยมีโซนส่วนตัวมากมายแทบจุคนได้ถึงยี่สิบคนเลยทีเดียว ห้องทุกมุมถูกตกแต่งด้วยสีแดงดำ
 พรมนุ่มเท้าที่ตัวประกันเหยียบอยู่นั้นก็เป็นสีแดงสดคาดลายดำเป็นหย่อมๆ ไปเช่นกัน






ภาสกรล็อกประตูจากภายในด้วยรีโมต และตรงไปยังโทรศัพท์ไร้สายที่วางอยู่ไม่ห่างจากประตู






“เอาเครื่องติดตามขึ้นมาให้ฉันที”






ปิ๊บ






ชายผู้มาใหม่ได้รับอนุญาตให้นั่งลงบนโซฟาสีดำ เพียงครู่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ภาสกรเดินไปเช็กที่มอนิเตอร์และเปิดรับอุปกรณ์บางอย่างเข้าห้องมาแล้วล็อกห้องดังเดิม






“จะทำอะไร…!?!”







ดวงตาวูบไหวกับใบหน้านิ่งเกร็งมองไปยังอุปกรณ์ในมือของภาสกร
แม้มีกุญแจมือล็อกไว้ทั้งสองข้าง ตัวประกันก็ไม่ได้อยู่เฉย เขาลุกขึ้น
วิ่งไปยังรีโมตประตูที่เจ้าของห้องวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ ประตู แล้วกดเปิด
แต่ไม่ทันได้ขยับกายไปไหนได้ไกล ท่อนแขนหนาก็จับแล้วล็อกคอของผู้มาใหม่แน่น
กล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนค่อยๆ ขยายขึ้นตามความตั้งใจของเจ้าของ
รัดคอชายผู้ดื้อรั้นแทบหมดลม






แฮก แฮก






เมื่อนักโทษใกล้หมดลมเข้าจริง ภาสกรจึงได้ปล่อยให้ล้มลงไปนั่งหอบอยู่บนพื้นแทน
แล้วเขาก็เดินเข้าไปหาพร้อมอุปกรณ์เมื่อครู่






ปัก!






“โอ๊ย!”






คล้ายกับมีสิ่งแปลกปลอมบางอย่างพุ่งเข้าไปในเนื้อข้อเท้าของตน
เจ้าของข้อเท้าผู้พยายามโกยเอาอากาศเข้าปอด ลูบบริเวณข้อเท้าที่ยังคงมีอาหารเจ็บอยู่น้อยๆ
แล้วก็เหลือบมองอุปกรณ์นั้นสลับกับใบหน้าของชายร่างยักษ์ด้วยแววตาเอาเรื่อง






“จะฆ่าฉันก็ฆ่า...!!! เขาไม่มีวันมาช่วยฉันหรอก”







ตาคมจ้องเขม็งอย่างไม่กลัวเกรง ไม่ต่างอะไรกับการมองของทวิชที่มีต่อเขาเลยสักนิด
ภาสกรผู้เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธค่อยๆ อารมณ์ดีขึ้น ยิ่งได้เห็นใบหน้างดงามนั้นค้อนมา?
ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นอีกเป็นเท่าตัว






“ยิ้มอะไร?”






“ยิ้มอะไร…ใครยิ้ม?”






เจ้าของห้องที่ไม่รู้ตัวว่าเผลอยิ้มออกไป แสร้งเปลี่ยนเรื่องไปอธิบายของที่อยู่ในมือ






“รู้ไหมนี่อะไร…เครื่องติดตาม แบบเดียวที่ใช้กับสัตว์ในสวนสัตว์”






“…”






“ไม่ว่านายจะไปไหน หรือทำอะไร...ฉันจะรู้ และถ้านายพยายามดึงมันออก มันจะระเบิด”






“ฉันพึ่งรู้ว่าปักษาทมิฬใช้ของแบบนี้กับคนของตัวเอง”






ตัวประกันมองไปยังเจ้าของห้องด้วยดวงตาหาเรื่องและพร้อมจะเข้าชนเสมอ
ติดตรงที่ข้อมือถูกล่ามไว้ และความมึนเบลอจากอาการหัวฟาดพื้นเมื่อครู่ยังไม่หายดี






“ฮึ…ทำอย่างกับเพลิงรัตติกาลไม่ใช้อย่างนั้นแหละ”






พูดจบ มือหนาก็ดึงไหล่ทั้งสองข้างของตัวประกันให้ยืนขึ้น และผลักให้เขาเดินเข้าไปในห้องนอน
โดยไม่รอช้า ภาสกรกระชากเสื้อและกางเกงนอนของตัวประกันจนขาดวิ่นและหลุดออกในคราวเดียว






!!!






“แกจะทำอะไร?!?”






ด้วยความตกใจจึงไม่ทันได้ป้องกันตัว ร่างทั้งร่างจึงถูกผลักล้มลงบนที่นอน






โครมมมมม







ชายร่างใหญ่ หนัก 78 กิโลกรัม สูง 181 เซนติเมตร ความหนาของร่างกายไม่ได้ห่างจากภาสกรมากนัก
แต่ความแข็งแรงนั้น เรียกได้ว่าต่างชั้นกันแบบสุดๆ






“ฉันก็จะตรวจดูไง ว่าศิขรินมันฝังเครื่องติดตามไว้ตรงไหน”






“หยุด! เขาไม่ได้ฝังอะไรใส่ฉันทั้งนั้นแหละ!”






แม้จะพยายามดิ้นหนีอย่างไร ก็ไม่มีทีท่าว่าภาสกรจะหยุด ร่างขาวถูกจับให้นอนหงาย
และมือหนาข้างหนึ่งของภาสกรก็จับข้อมือทั้งสองข้างของตัวประกันล็อกไว้เหนือศีรษะ






ตัวประกันที่เริ่มหมดแรง นอนนิ่งและเสมองไปยังประตูทางออก ระหว่างนั้น
มือหนาอีกข้างของภาสกรก็ค่อยๆ ลูบไล้ไปบนผิวขาวเนียนละเอียดดุจหิมะที่เปล่าเปลือย
เขาสำรวจทุกจุดตั้งแต่ซอกคอขาว ผ่านหัวไล่ลงมายังเนินอกแกร่ง
ผ่านยอดอกสีชมพูสดทั้งสองไปยังหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อขนาดไม่บางตา
แล้วค่อยๆ เคลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ จนมืออีกข้างหลุดออกจากการเกาะกุมมือตัวประกันที่ด้านบน






“พอแล้ว! บอกแล้วไงว่าเขาไม่ได้ฝังอะไรไว้”






เมื่อมือในกุญแจมือหลุดออกจากการเกาะกุม ตัวประกันก็ใช้มันยันร่างของภาสกร
ที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับอะไรบางอย่างจนหลงลืมตัวให้ออกห่าง และลุกขึ้นนั่งบนเตียงในท่าพับเพียบ






เจ้าของห้องพึ่งได้สติกลับคืนมาและไม่ได้ขยับเข้าใกล้ไปมากกว่านั้น
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะลุกหนีไปไหน






อึก






เสียงกลืนน้ำลายดังต่อเนื่องหลายครั้งในห้องอันเงียบสงัด
ทำเอาชายผู้มาใหม่รู้สึกเขินอายอย่างไม่อาจห้ามไหว สีแดงดั่งเลือดฝาดปรากฏขึ้น
บนกายขาวตั้งแต่ใบหน้า ลามไปถึงหู และทั่วเรือนร่าง






คล้ายกับสัตว์ร้ายที่กำลังหิวโซจะพุ่งตรงขึ้นเตียงมากลืนกินตัวประกันผู้งดงามทั้งตัว แต่แล้ว






จุ๊บ






เจ้าของห้องที่ไม่รู้ว่าอารมณ์ไหน เข้ามาใกล้แล้วประทับจูบแผ่วเบาลงบนหน้าผาก
ที่นูนขึ้นมาพร้อมรอยแดงจากการที่หัวฟาดพื้นเมื่อครู่






‘อะไรของเขา?’






“อย่าคิดหนี เพราะไม่ว่านายจะหนีไปไหน ฉันจะตามเจอ”






พูดทิ้งไว้เท่านั้น ภาสกรก็ลุกออกจากเตียงและเดินเข้าห้องน้ำไป







ปึง!






“เกือบไปแล้ว…นั่นผู้ชายนะไอ้ภาส”






เสียงก่นด่าตนเองลอยวนอยู่ในห้องน้ำ มือหนาทุบเข้ากับกำแพง
แล้วจึงเปิดน้ำวักหน้าอยู่หลายหน อารมณ์ที่พุ่งทะยานสูงเมื่อครู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดระดับลงเลย
แม้ว่าภาสกรจะเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่เขาก็ไม่เคยขืนใจใครสักครั้ง
โดยเฉพาะการมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน เป็นเรื่องที่ไม่เคยนึกถึงตั้งแต่เกิดมา 26 ปี บนโลกใบนี้






“ฮึ่ม ฮึ่มม…”






แม้กระนั้นภาพชายที่ร่างกายมีสีแดงระเรื่อปรากฏขึ้นผสานกับความขาวเนียนละเอียด
ก็ไม่อาจหลุดออกจากความคิดได้ เจ้าตัวจึงปล่อยจินตนาการให้ล่องลอยไป
พร้อมกับการทำร้ายตัวเอง ดั่งเช่นที่เขาทำทุกคืนก่อนนอน






“ฮื่อออออ”






เสียงทุ้มต่ำคำรามในห้องน้ำดังขึ้นเรื่อยๆ จนมันเล็ดลอดออกมาให้ใครบางคนที่กำลังค้นตู้เสื้อผ้าได้ยินเข้า
กายเปลือยเปล่าที่กลับสู่สภาพปกติได้พักใหญ่ก็ปรากฏสีแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง







“...หน้าไม่อายจริงๆ”





ผู้มาใหม่รื้อเสื้อผ้าในตู้จนพบเข้ากับชุดคลุมตัวโคร่ง เขาพยายามใช้มันคลุมร่างกายเอาไว้
ไม่ให้กายนี้มันไปต้องตาชายผู้มากด้วยตัณหาในห้องน้ำได้อีก





เขาเดินไปรอบห้องและพบว่า ไม่มีทางออกไปได้แน่นอน ระดับน้องชายนายใหญ่อย่างภาสกร
ระบบความปลอดภัยในห้องส่วนตัวคงแน่นหนาไม่แพ้ในปราสาทของเพลิงรัตติกาล






เพียงไม่นาน ภาสกรที่ทำร้ายตัวเองจนพอใจก็ได้เดินออกมาในชุดนอน
เขาพบตัวประกันในชุดคลุมของตนกำลังก้มๆ เงยๆ ให้ภาสกรต้องรู้สึกหวิวๆ ในใจอีกครั้ง
แล้วก็เกิดคำถามกับตนเองว่า ที่ทำร้ายตัวเองไปเมื่อครู่ มันยังไม่เพียงพออีกหรือ?






‘อา...เซ็กซี่ชะมัด’






ก่อนที่สมองจะแล่นไปไกลเกินกว่านั้น เจ้าตัวก็ได้ดึงสติกลับมาและเริ่มก่นด่าตัวเองเป็นรอบที่ร้อยของวันนี้






‘นั่นผู้ชายไอ้ภาส! ผู้ชายตัวอย่างยักษ์ใกล้ๆ มึงเลย! นะ ไอ้ภาส’






ชายหนุ่มวัย 26 ปี ในวัยกำลังเจริญพันธุ์ พยายามทนข่มใจอีกครั้งดังเช่นบทเรียนที่ได้เรียนรู้
มาจากเซียนปักษา เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นจึงได้เดินเข้าใกล้ตัวประกันและไขกุญแจมือออกให้







แกร๊ก! กริ๊ง!








“อย่าคิดหนี…เดิมตามมาดีๆ ได้เวลานอนแล้ว”






ภาสกรล้มตัวลงนอนบนเตียง เช่นเดียวกับคนแปลกหน้าที่นอนลงชิดขอบเตียงอีกฝั่งจนแทบตกเตียง
ไม่ช้าเจ้าของห้องก็กดรีโมทเพื่อดับไฟทั้งห้องลง
เหลือไว้เพียงดวงไฟจากภายนอกที่สว่างลอดหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา






“...เขาไม่มีวันมาช่วยฉันหรอก”






ตัวประกันนอนหันหลังให้ภาสกรและได้บอกกล่าวเรื่องที่ตนมั่นใจแก่เจ้าของห้องอีกครั้ง
แล้วก็ต้องรีบปิดตาลง เพราะคล้ายกับว่าคนอีกฝั่งกำลังลุกขึ้นและมุ่งเข้ามาหาตน
ด้วยความสั่นสะเทือนของเตียงนอน






ท่อนแขนหนาที่ได้รับจากการฝึกซ้อมร่างกายอยู่เป็นประจำติดต่อกันนานหลายปี
โอบเข้าที่เอวของคนกำลังนอนหันหลัง แล้วดึงร่างนั้นให้ประชิดติดกับอกแกร่งของตน
ชายผู้หลับตาพยายามดันท่อนแขนที่รัดกายตนออก แต่ก็ไม่เป็นผลเช่นเดิม
เมื่อฝ่ายนั้นกอดรัดแน่นเสียยิ่งกว่างูเหลือมรัดเหยื่อ







“...ฉันก็หวังอย่างนั้น”







ภาสกรกระซิบตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ลมหายใจหอบถี่ เขาผ่อนลมเข้าออกลึกๆ
คล้ายกำลังพยายามหักห้ามใจตนเองอยู่เช่นกัน แต่นั่นยิ่งทำให้ความหอมอ่อนๆ
ของคนที่ตนกอดรัดอยู่นั้น เข้าสู่โสตประสาทมากขึ้นไปอีกเท่า
จมูกโด่งจึงฝังลงบริเวณท้ายทอยของตัวประกัน และสูดดมอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด







“ดมอะไรนักหนา ชอบกลิ่นผู้ชายมากขนาดนั้นเลยรึไง?”






“นายชื่ออะไร...?”






“…”






“จะตอบดีดี หรือจะให้ถามด้วยวิธีอื่น”






“…อัคนี”







“จริงดิ..? ไม่เห็นเข้ากับนายเลย แล้วชื่อเล่นล่ะ?”






“จะรู้ไปทำไม”






“ก็รู้ไว้ เผื่อเรียก”






“คงไม่ได้เรียก”






“ชื่อเล่น!?!”







ภาสกรกระชับวงแขนของตนแน่นขึ้นจนคนถูกรัดเริ่มหายใจไม่ออกขึ้นมาจริงๆ
ปากก็ถามไป พร้อมจมูกที่ยังสูดดมบริเวณเดิมไม่เลิก






“…เพลิง”






“เพลิง…อัคนี”







“…”






“นี่นาย ปล่อย…”






คล้ายกับว่าชายผู้กำลังรัดตนไว้ได้หมดสติลงสู่ห้วงนิทราไปเป็นที่เรียบร้อย
ด้วยท้องที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะที่แนบอยู่บริเวณด้านหลังของอัคนี
และไม่ว่าเขาจะพยายามดึงแขนใหญ่นั้นออกอย่างไรก็ไม่หลุด
คล้ายกับคีมอันใหญ่ที่มีระบบล็อกอัตโนมัติอย่างไรอย่างนั้น













------------------------E-N-D---C-H-3-----------------------

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:  :L1:


ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 4 : ความห่วงใย










แสงอาทิตย์สาดเข้ามาภายในห้องสีแดงดำ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าบัดนี้ได้เวลาเริ่มต้นวันใหม่แล้ว
แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าชายสองคนบนเตียงกว้างจะลืมตาตื่นขึ้นแต่อย่างใด
ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอและความอบอุ่นจากอ้อมกอด
เป็นสิ่งที่อัคนีจะพบได้ในทุกเช้าตั้งแต่วันที่ภาสกรลงมือทำสิ่งที่เจ้าตัวก็ไม่คาดคิดว่าชีวิตนี้จะทำ
และนั่นก็ทำให้รองหัวหน้าปักษาทมิฬผู้เต็มไปด้วยโทสะ
ได้ค้นพบอะไรบางอย่างบนโลกใบนี้ที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน







"..."







นายบำเรอลำดับต้นๆ ของศิขรินค่อยๆ ปรือตาขึ้นด้วยความงัวเงีย
ภาพแรกตรงหน้าคือแผงอกใหญ่โตที่มีเสื้อกล้ามตัวบางบดบังอยู่
อัคนีก็พบว่าบัดนี้แขนของเขาเองก็กำลังพาดอยู่บนเอวหนาของชายผู้กำลังหลับใหลเช่นกัน
เมื่อรู้สึกตัวก็รีบยกแขนออกแล้วดันอกแกร่งให้ออกห่าง
และนั่นก็ทำให้ชายผู้กำลังหลับใหลอย่างเป็นสุขรู้สึกตัวขึ้นมา









"...ไง ตื่นแล้วเหรอ"







เจ้าของเตียงพยายามปรับโฟกัสให้ดวงตาที่พึ่งเปิดขึ้นรับแสงสว่างได้
จ้องมองไปยังใครบางคนที่พยายามดันตัวลุกขึ้น แต่ก็ถูกแขนคีมล็อกนั้นจับเอาไว้







"จะไปไหน"







"...ห้องน้ำ"







อัคนีมองมายังผู้ถามด้วยสีหน้าหงุดหงิดและนั่นถือเป็นเรื่องดีๆ ในเช้านี้ของภาสกร
หนึ่งสัปดาห์แล้วที่เขาลักพาตัวคนของเพลิงรัตติกาลมาด้วยความตั้งใจ
ตัวประกันแสนงดงามที่ทำให้ทุกเช้าของเขาเปลี่ยนไป







ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียง กดสวิตช์เปิดประตูห้องนอนแล้วเดินไปยังครัวขนาดเล็กภายใน
เครื่องชงกาแฟสุดหรูถูกเปิดใช้งานและเพียงไม่นานกาแฟร้อน 2 แก้ว
ก็ถูกนำออกมาวางไว้ยังโต๊ะกว้างใกล้กับหน้าประตูห้องนอน
เป็นจังหวะเดียวกับที่ตัวประกันเดินออกจากห้องนำมาพอดี







"นายดูแลตัวประกันอย่างดีแบบนี้ทุกคนเลยสิ"







อัคนีนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังเนื้อดีแล้วยกกาแฟร้อนขึ้นเป่า โดยมีภาสกรนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม







"ฉันก็ไม่รู้...ไม่เคยมีใครมาที่นี่"







"แล้วคนอื่น นายพาไปไว้ที่ไหน"







"ไม่มีที่ไหน...ฉันฆ่าทิ้งหมด"







กึก







อัคนีนิ่งไปชั่วครู่จึงได้ยกกาแฟในมือขึ้นดื่มด้วยดวงใจอันสั่นไหว
เขาไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นใคร ภาสกรเองก็แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร แล้วทำไม...







"ทำไมนายไม่ฆ่าฉัน? "







"...ก็อยากทำอยู่ ฮึฮึ"







ภาสกรมองชายตรงหน้าด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ คล้ายกับประโยคเมื่อครู่นั้น
สื่อไปทางอื่นเสียมากกว่า แต่ก่อนที่เขาจะได้แทะโลมอัคนีไปมากกว่านั้น
โทรศัพท์เคลื่อนที่ก็มีข้อความจากพี่ชายส่งเข้ามาให้ลงไปพบในห้องทำงาน







"เฮ้อออ พ่อเรียกละ...วันนี้อยากลงไปข้างล่างไหม? "







"ฉันไปได้เหรอ"







ตั้งแต่วันที่ถูกพามา นักโทษก็แทบไม่ได้ออกจากห้องนี้ไปไหนเลย
และมันก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก อัคนีแม้จะเป็นนายบำเรอของศิขรินแต่เขาก็รักธรรมชาติ
ศิขรินจึงได้จัดการซ่อนเขาไว้ในรีสอร์ตที่เต็มไปด้วยพรรณไม้อันเขียวขจี







"อือ"







พูดจบเจ้าของห้องก็เดินเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้อัคนีค้นเสื้อผ้าในตู้มาใส่เอง
โดยเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของเจ้าของห้องเขาใส่ได้เกือบทุกชิ้น และโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ
ในทุกวันอัคนีจะค้นเสื้อผ้ามาอีกชุดหนึ่ง แล้วเดินนำไปวางไว้บนโต๊ะห้องแต่งตัวที่ติดกับห้องน้ำ







"ไปกันได้ละ"







ภาสกรเดินออกมายังจุดที่ตัวประกันนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
วันนี้จะเป็นวันแรกที่อัคนีได้ออกจากห้องนี้ และได้สำรวจพื้นที่ในปราสาทปักษาทมิฬ
เขาเดินตามเจ้าของห้องออกไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ที่ถูกข่มเอาไว้ไม่ให้ฉายออกมาชัดเจน
เรื่องราวเพียงเล็กน้อยที่ทำให้ใจกระตุกเบาๆ คือภาสกรสวมชุดที่เขาเตรียมไว้ให้ในทุกวัน







"นี่ป้าเพ็ญ คนดูแลที่นี่...ป้าเพ็ญจะคอยดูแลนาย ภาสฝากด้วยนะป้า"







ชายหนุ่มทั้งสองเดินลงมายังด้านล่าง ผ่านจุดที่อัคนีล้มหัวฟาดพื้นมา
ก็ได้พบกับสาวใหญ่วัย 50 ในชุดเรียบร้อยยืนคอยอยู่ กล่าวไว้เท่านั้นภาสกรก็เดินแยกตัวออกไป







"คุณเพลิงใช่ไหมคะ? "







"ครับ"







"ยังไม่ได้ทานข้าวใช่ไหมคะเช้านี้? "







"...ยังครับ"







เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้ทานข้าวเช้า มีเพียงกาแฟแก้วเดียวจากภาสกร
ตัวประกันก็มองไปยังจุดที่ภาสกรเดินลับตาไปเมื่อครู่







"...เขาก็ยังไม่ได้ทาน"







แม่บ้านพาอัคนีเดินเข้าไปในห้องอาหารห้องหนึ่งซึ่งไม่กว้างขวางนัก นั่งรอเพียงครู่เดียว
อาหารหลากหลายชนิดก็ถูกจัดขึ้นโต๊ะ ของมีประโยชน์แบบเดียวกับที่เขากินทุกวันบนห้องของภาสกร







"ป้าเป็นคนเอาขึ้นไปให้ผมทุกวันเลยเหรอ"







"ค่ะ แต่คุณภาสสั่งไว้ ว่าให้เอาขึ้นไปให้คุณแค่วันละอย่าง เธอกลัวคุณอ้วนเพราะไม่ได้ทำอะไร"







อัคนีก้มมองหน้าท้องอันแทบราบของตนที่กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเริ่มหายไป
จากการไม่ได้ออกกำลังกายติดกันเป็นสัปดาห์
แล้วก็ต้องหันกลับมามองอาหารละลานตาบนโต๊ะอีกครั้ง













--------------------------------------------------------













"เมื่อไหร่จะฆ่ามัน"







"..."







"หรือจะให้ฉันเป็นคนทำ"







ปัง!







"ก็ฉันบอกแล้วไง ว่าไม่ฆ่าๆ "







ภาสกรขบกรามแน่น ทุกครั้งที่ทวิชเรียกคุยงาน เขาจะถูกถามตลอดว่าเมื่อไหร่จะฆ่าตัวประกัน
และภาสกรไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงนัก









"ฮึ...แกหลงรักมันสินะ"







"แทน!!! "







"แกอยากตายเหมือนพ่อเหรอ ตายเพราะไอ้ความรักโง่โง่!!! "







อารมณ์รุนแรงที่ถูกจุดให้เดือดขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับตั้งหม้อน้ำไว้บนเตาไฟ
และเมื่อถึงจุดที่อุณหภูมิความร้อนสูงสุด ภาสกรก็ไม่อาจทนไหวกับคำพูด
สะกิดบาดแผลอันเจ็บปวดของเขาได้อีกต่อไป







เพล้ง!!!!!!!!!!!!







เก้าอี้ตัวใหญ่ที่ตนนั่งอยู่เมื่อครู่ถูกยกขึ้นและโยนเข้าใส่เจ้าของห้อง
ทวิชผู้ปราดเปรียวเบี่ยงตัวหลบได้ทัน เก้าอี้ตัวนั้นจึงได้ลอยไปทะลุกระจกใสด้านหลังโต๊ะทำงานของทวิชแทน







ภาสกรผู้เต็มไปด้วยแรงโทสะ หอบหายใจรุนแรงคล้ายต้องการปลิดชีพพี่ชายลงให้ได้
เขาเดินเข้าไปหยิบเศษกระจกที่แตกแล้วเดินเข้าใกล้พี่ชาย







ด้านทวิชที่กำลังอารมณ์เดือดพล่านไม่แพ้กัน เดินไปยังชั้นวางดาบที่อยู่ไม่ห่างโต๊ะทำงานนัก
แล้วดึงดาบคมออกจากฝัก จ่อไปยังชายร่างยักษ์ที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาหาตนพร้อมเศษกระจก







ภาสกรไม่หยุดเดินแม้บัดนี้ดาบเล่มยาวจะเริ่มปักเข้าบริเวณหัวไหล่ของตน
เขาพุ่งตัวหลบดาบที่กำลังวาดไปบนอากาศเพื่อฟันร่างเขา
พร้อมกับปาเศษกระจกในมือเข้าใส่ทวิช หวังให้มันปักลงตรงกลางหัวใจของพี่ชายแต่ทั้งคู่ก็พลาด
เศษกระจกในมือเฉียดเป้าที่ภาสกรตั้งใจ ปักลงบนใต้หัวไหลของทวิชแทน







แฮก แฮก







แม้ว่าโลหิตจะเริ่มกระจายไปทั่วห้องตามที่ร่างทั้งสองขยับไป แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าใครจะหยุดลง
ทั้งสองพุ่งเข้าหากันแบบสุดตัว การต่อสู้ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่พวกเขาจำความได้
และความรุนแรงก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ โดยที่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะรู้ผลแพ้ชนะ







ก๊อก ก๊อก ก๊อก







ชายสองคนที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกัน ไล่ฟันกันอยู่อย่างนั้นจนทุกสิ่งในห้องทำงานได้รับความเสียหาย
กระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น ภาสกรจึงเป็นฝ่ายลดมือลงก่อน
ตามด้วยพี่ชายที่วางดาบในมือลงแล้วกดจอมอนิเตอร์ดูหน้าห้อง







"เข้ามา"







ประตูอัตโนมัติบานหนาถูกเปิดออก ปรากฏชายผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง
เดินเข้ามาแล้วหยุดมองห้องทำงานของเจ้านายที่บัดนี้ถูกโลหิตของชายสองคน
ที่มีลักษณะดีเอ็นเอเดียวกันสาดกระจายไปทั่วห้อง ภาพนรกบนดินที่ไม่ได้เห็นมาอย่างยาวนาน
ทำให้ชายผู้นั้นถึงกับถอนหายใจ







"มีอะไรก็ว่ามา..? "







"ฉันไปล่ะ...จะส่งคนมาซ่อมห้องนายให้"







"อือ"







ภาสกรพูดทิ้งไว้เท่านั้นด้วยท่าทางนิ่งเฉยแล้วก็เดินออกจากห้องไปคล้ายว่าเมื่อครู่
ไม่ได้มีเหตุการณ์นองเลือดใดเกิดขึ้น ปล่อยให้ทวิชได้พูดคุยธุระสำคัญกับเมฆา













-----------------------------------------------------------















"คุณเพลิงรอป้าตรงนี้สักครู่นะคะ เดี๋ยวป้าไปเอาขนมมาให้"







"ครับ"







อัคนีนั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กดัดในโดมที่เต็มไปด้วยพรรณไม้นานาพันธุ์ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า
จะมีสถานที่เช่นนี้อยู่ในบริเวณปราสาทของปักษาทมิฬ หลายจุดที่เขายังไม่ได้เดินไปดู
เมื่อทานข้าวเช้าเรียบร้อยป้าเพ็ญก็พาเขาเดินวนอยู่ละแวกห้องครัวอยู่นาน
จนเขาต้องบอกกล่าวถึงสิ่งที่ใจต้องการ โดยไม่รอช้าป้าเพ็ญก็พาเขามาที่นี่







ชายหนุ่มผู้มีเครื่องติดตามอยู่ในข้อเท้าเดินชมต้นไม้ในโดม บางต้นมีลักษณะประหลาด
อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นทำให้เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก โดยที่ไม่ทันระวังตัว
ก็มีใครบางคนเดินเข้ามาด้านหลัง







ฉึบ!







มีดเล่มหนาพลาดเป้าไปเพียงเล็กน้อย บัดนี้เสื้อยืดสีขาวที่อัคนีสวมใส่
มีเลือดไหลออกมาเป็นทางยาวบริเวณเอวหนาลามไปถึงหน้าท้องด้านหน้าเกือบครึ่ง
ผู้ร้ายที่แทงพลาดพุ่งมีดในมือเข้าหาอัคนีอีกหลายครั้ง โดยที่อัคนีพยายามสู้กลับไปเช่นกัน
แต่ด้วยเลือดที่ไหลออกมามากเกินไป ทำให้แรงกายค่อยๆ ลดลง
จนไม่อาจต้านแรงของมือมีดที่พยายามกดเข้าไปยังบริเวณหน้าท้องของตนได้







เพล้ง!!!







ถาดขนมในมือแม่บ้านร่วงลงกับพื้น สองขาก้าวถอยหลังแล้วออกวิ่งเพื่อไปตามคนมาช่วยอย่างไม่คิดชีวิต







ปึก!







ใบหน้าสาวใช้ชนเข้ากับอะไรบางอย่าง พร้อมกลิ่นคาวเลือดที่โชยมากระทบสัมผัสที่ปลายจมูก







"คุณภาส!!! "







ภาสกรเอื้อมมือไปเช็ดเลือดออกจากใบหน้าของป้าเพ็ญด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แล้วสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อรู้เรื่องเข้าก็ไม่รอช้าวิ่งเข้าไปยังโดมอันร่มรื่น
และพบว่าบัดนี้ใครบางคนที่เขาลักพาตัวมากำลังนอนหอบหนัก
พร้อมมือที่จับห้ามเลือดบริเวณท้องของตนเอาไว้







"เพลิง! ไหวไหม"







ชายผู้มีเลือดโชกทั่วร่างพยายามพยุงอัคนีให้ลุกขึ้นเพื่อไปทำแผล
แต่แล้วสองมือนั้นก็ถูกดึงออก อัคนีมีสีหน้าไม่สู้ดีคล้ายกำลังจะร้องไห้







"นายเป็นอะไร? "







นัยน์ตาสั่นไหวมือปัดป่ายไปทั่วร่างหนาเพื่อหาที่มาของบาดแผลบนกายของภาสกร
ด้านเจ้าของร่างก็พยายามหยุดมือนั้นแล้วดึงอัคนีให้ลุกเดิน







"เพลิง...เพลิง! "







อึก







"ฉันไม่เป็นไร ไปเล่นกับแทนมา"







"...เล่น? "








"นายก็โดนเหมือนกันนี่นะ"







"พี่ชายนาย? "







ภาสกรขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอีกครั้ง เขาพาอัคนีขึ้นไปบนห้องของตนแล้วตามหมอประจำบ้านมาช่วยดูแล
เมื่อหมอทำแผลของอัคนีเรียบร้อยเขาก็ผล็อยหลับไป เมื่อเห็นดังนั้นภาสกรก็หันมาทำแผล
ของตนเองบ้างจนเสร็จเรียบร้อย ร่างหนาก็เดินลงไปด้านล่างทั้งที่ดวงตายังเบิกโพลง
พร้อมลุยอีกครั้งด้วยอารมณ์โกรธสุดขีด







"แทน!!!!!!! "















 :-[



------------------------E-N-D---C-H-4-----------------------

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:  :L1:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 5 : ดวงใจของชายผู้ไร้ค่า












สองเดือนถัดจากวันที่ถูกลอบแทงโดยคนของทวิช อัคนีก็แทบไม่ได้ออกจากห้องไปไหนอีกเลย
เจ้าของห้องทราบจากป้าเพ็ญว่าชายหนุ่มที่เขาลักพาตัวมาชื่นชอบพันธุ์ไม้เป็นพิเศษ
จึงได้สั่งคนมารื้อโซนนั่งเล่นโซนหนึ่งที่ติดกับระเบียง
แล้วนำต้นไม้มาปลูกจนกลายเป็นสวนขนาดย่อมในห้องส่วนตัว




หน้าที่หลักที่ตัวประกันได้รับมอบหมายจากเจ้าของห้อง คือคอยอยู่ให้กำลังใจเขาเท่านั้น
ภาสกรไม่ได้ล่วงเกินชายรักธรรมชาติคนนี้ มากไปกว่าการกอด สูดดมตามส่วนต่างๆ
จนกว่าเจ้าตัวจะพอใจ และมีบางครั้งที่เขาพยายามจะทำมากกว่านั้น
แต่ก็พบว่าตัวประกันจะนิ่งลงและเริ่มมีสีหน้าเศร้าซึม จนภาสกรต้องยอมแพ้




คืนนี้ก็เช่นเดียวกันที่แขนแกร่งกอดรัดร่างของอัคนีไว้แน่นคล้ายกลัวว่า
เจ้าของกายหอมจะห่างหายไปจากตน กลิ่นสัมผัสคุ้นชินที่เขาต้องสูดดมก่อนนอนทุกคืน
เพื่อหลับลงได้อย่างฝันดี







ขลุก...ขลัก ขลุกขลัก




อัคนีลืมตาขึ้นมาในความมืด และพบว่าบัดนี้แขนหนาที่คอยรัดเขาไว้ตลอดเวลาได้หายไป
เกิดเสียงบางอย่างขึ้นบริเวณห้องแต่งตัว ตัวประกันนอนฟังความเคลื่อนไหว
ของคนในห้องอย่างเงียบเชียบ เพียงไม่นานเจ้าของเตียงก็เดินเข้าใกล้อัคนีที่ยังคงแสร้งว่าหลับสบายอยู่




จมูกโด่งที่คุ้นเคยฝังลงบนแก้มขาว แล้วค้างอยู่อย่างนั้นได้สักพัก ก็เคลื่อนไปยังหน้าผาก
สูดความหอมแล้วฝากรอยจูบไว้ เนิ่นนานกว่าจะเคลื่อนออก
สองแขนถูกดึงกลับออกจากเตียงกว้าง คล้ายกำลังจะเดินออกไป
แต่แล้วเจ้าตัวก็เดินกลับมาอีกครั้ง อัคนีที่ลืมตาขึ้นแล้วเมื่อครู่ รีบปิดตาลงได้ทันท่วงที




ภาสกรประทับจูบลงบนปากบางที่ยังคงปิดสนิท เขาผละออกเพียงครู่
ก็โน้มตัวลงมาจูบอีก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนพอใจ
สองขาจึงเดินออกจากห้องส่วนตัวของตนเองไปในที่สุด







ตึก ตัก...ตึก ตัก




โชคยังเข้าข้างอัคนี เสียงหัวใจที่เต้นแรงของตนไม่ทำให้ภาสกรรู้ตัวว่าตนตื่นอยู่
เขาใช้มือกุมที่หน้าอกตนเองคล้ายพยายามข่มใจให้นิ่งลง และหากว่าบัดนี้ไฟในห้องสว่างขึ้น
คงพบว่าชายผู้มีผิวกายขาวเนียนละเอียดผู้นี้
ร่างกายกำลังขึ้นสีแดงสดเป็นลูกมะเขือเทศอย่างแน่นอน




อัคนีประหลาดใจว่าเจ้าของห้องออกไปไหน ตั้งแต่ที่ตนอาศัยที่นี่มาหลายเดือน
ก็ไม่เคยเห็นภาสกรออกไปไหนช่วงกลางดึกเช่นนี้มาก่อน
แม้ใจจะยังคงเต้นกระหน่ำอย่างไม่อาจหยุดยั้ง เจ้าของเรือนผมยาวสลวยก็รีบเดินไปกดปุ่ม
ที่ตนเฝ้าสังเกตมาตลอดเพื่อออกจากห้องตามภาสกรไป




ประตูบานหนาค่อยๆ ถูกเปิดออกจนมองเห็นภายนอก แต่ถึงอย่างนั้น
อัคนีก็ไม่เห็นวี่แววของเจ้าของห้องว่าไปทางไหนแล้ว ร่างขาวในเสื้อเชิ้ตใหญ่เพียงตัวเดียวจึงค่อยๆ
เดินลงบันไดไป หน้าประตูบ้านมีชายฉกรรจ์ 4 นาย เฝ้าทางเข้าไว้
นักสำรวจเมื่อเดินลงไปถึงด้านล่างก็เบี่ยงตัวหลบยามทั้ง 4
แล้วเดินไปตามทางเดินฝั่งทิศตะวันออกของตัวบ้าน ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็พบว่ามีทางหนึ่ง
เป็นทางเล็กแคบ กำแพงสองฝั่งมีประตูเรียงติดกันคล้ายโรงแรม




นักสำรวจเดินมาจนสุดทางเดินและกำลังจะเดินกลับออกไป
แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากประตูขวามือด้านในสุด
อัคนีแนบหูลงบนประตูเพื่อฟังให้ชัดว่าเสียงที่ตนได้ยินนั้น เป็นอย่างที่ตนเข้าใจหรือไม่
และเมื่อตั้งใจฟัง ก็พบว่านั่นคือเสียงอย่างที่่ตนเข้าใจจริงๆ ...เสียงหอบหายใจรุนแรงของชายหญิงคู่หนึ่ง
นักสำรวจคนงามไม่รอช้า รีบเดินออกห่างจากประตูบานนั้นอย่างรวดเร็ว
จนมาถึงทางแยกสำหรับออกไปจากช่องทางนี้







"เพลิง"




"!!! "




"จะไปไหน!?! "




ภาสกรที่ลุกหายไปจากเตียงเมื่อครู่ กำลังยืนพิงผนังใกล้ๆ กับทางแยกนั้นแล้วมองมาที่ตน
ทำให้นักสำรวจผู้ไม่ได้ตั้งใจสะดุ้งสุดตัว ก่อนที่จะค่อยๆ เดินเข้าใกล้ชายที่เรียกชื่อตนเมื่อครู่







"ฉ...ฉัน สะดุ้งตื่น แล้วไม่เห็นนาย เลยลงมาดู"





"ฉันจะไปทำงาน กลับเข้าห้องไป"




ภาสกรดึงแขนนักสำรวจรุ่นเยาว์ให้เดินตามขึ้นบันไดไป เขาถูกดันให้เข้าไปในห้องเพียงลำพัง







"งานอะไรเหรอ...? "




ปัง!




เจ้าของห้องปิดประตูและล็อกห้องจากภายนอก เขาไม่ได้ตอบคำถามอัคนี
เพียงเดินลงไปพบกับทวิชที่รออยู่ในห้องเตรียมความพร้อม
ธุรกิจดำมืดของปักษาทมิฬไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
มีนักลงทุนหลายคนที่เข้ามาค้าขายด้วยความไม่ซื่อสัตย์และหวังกอบโกย
ทวิชจึงได้ตั้งหน่วยงานหนึ่งขึ้นมา เรียกว่าหน่วยเก็บกวาด
ภาสกรผู้เลือดร้อนอาสาเป็นคนดูแลหน่วยงานนี้ หรือเรียกได้อีกอย่างว่า ‘หน่วยเดนตาย’
ภาสกรจะลงมือเก็บกวาดเองแทบทุกครั้งที่เป็นไปได้มาโดยตลอด




จนกระทั่งเขาไปลักพาตัวคนของศิขรินมา ตั้งแต่นั้นเองที่ภาสกรแทบไม่ได้ลงพื้นที่
ทำงานด้วยตนเองอีกเลย จนงานพลาดบ่อยครั้ง และนายใหญ่อย่างทวิชรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก










อัคนีนอนเหยียดกายบนเตียงกว้างเพียงลำพัง เขาไม่อาจข่มตาลงได้
ก่อนหน้านี้เคยรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัดเป็นอย่างมากกับแขนหนักๆ
ที่คอยกอดรัดเขาเอาไว้ตลอดเวลา รวมไปถึงจมูกโด่งที่พยายามจะสูดดมเขา
จนทั่วร่างแทบตลอดเวลาเช่นกัน เป็นเช่นนี้ทุกวันจนเขาเผลอหลับไป แต่คืนนี้




ไม่มีแขนใหญ่ๆ นั่นคอยโอบกอดไว้ เขาจะนอนหลับลงได้อย่างไร
สีหน้าและแววตาของภาสกรเมื่อครู่ ดุดันและน่าหวาดกลัวอย่างที่เขาไม่คุ้นชิน
อัคนีลืมเลือนบางสิ่งไป บางสิ่งที่เขาควรตอกย้ำกับตัวเองอย่างหนักในทุกวัน
ว่าเขาเป็นเพียงเชลยที่ถูกจับมาเท่านั้น แม้ระยะหลังๆ มานี้
ความสุขแบบที่ไม่เคยพบพานจะค่อยๆ ก่อตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็ยังหลีกหนีความจริงที่ว่า เขาเป็นเพียงตัวประกันของภาสกรไปไม่ได้




ทุกความอบอุ่นที่ได้รับ เขาไม่เคยรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเจ้าของห้องกว้างนี้สักนิดว่ามันคืออะไร
ความมืดมิดและความหวาดกลัวเข้าครอบงำ ดวงจิตค่อยๆ ดิ่งลงและเริ่มที่จะตัดพ้อต่อตนเองอีกครั้ง
อย่างไม่อาจห้ามได้ หรือเป็นเพราะกลิ่นกายของเขาที่ทำให้ภาสกรลุ่มหลง
หรือเพียงเพราะร่างกายที่ขาวเนียนดุจหิมะนี้ หรือเพียงเพราะใบหน้าอันงดงามนี้
ภาสกรคิดอย่างไรกันแน่ ความฟุ้งซ่านมากมายเกาะกุมจิตใจ




เขาไม่เคยรู้สึกอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน ด้วยเพราะไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกบางอย่างที่ค่อยๆ
ก่อตัวขึ้นนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เกิดมา เขาเป็นเพียงอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่ศิขรินใช้
เพื่อสนองความต้องการของตนเอง ถ้านั่นยังให้ความรู้สึกที่ด้อยค่าไม่มากพอ
การถูกภาสกรจับมากระทำตามใจตนเช่นที่เป็นอยู่นี้
ก็แทบตะโกนใส่หน้าเขาได้แล้ว ว่าเขานั้น...ช่างไร้ค่าสิ้นดี




อึก





น้ำตาที่กลั้นเอาไว้หลายต่อหลายหน ร่วงลงบนหมอน
แม้เจ้าตัวจะฝืนกลั้นเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกมา ก็ไม่สามารถทำได้อยู่ดี
ยิ่งปล่อยความคิดให้ไหลไป ความเจ็บปวดยิ่งเกาะกิน จนกระทั่งความมืดมิดค่อยๆ
ถูกความสว่างของแสงแดด สาดเข้ามาแทนที่
อัคนีที่ดวงตาแดงก่ำลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป




เขานั่งถือแก้วกาแฟในมือตั้งแต่น้ำยังร้อน จนตอนนี้เย็นชืดไปได้พักใหญ่ ประตูห้องก็ถูกเคาะขึ้น










ก๊อก ก๊อก ก๊อก




ชายผู้นั่งเหม่อลอยรีบลุกขึ้น วางแก้วกาแฟไว้บนโต๊ะแล้วเดินไปยืนรอที่หน้าประตู




"คุณเพลิง"




"ป้าเพ็ญ...แล้ว..."




"ป้าเอากับข้าวขึ้นมาให้ค่ะ ส่วนคุณภาส..."




ป้าเพ็ญไม่จ้องหน้าคนที่รอฟังคำตอบ เพียงโค้งตัวแล้วเอาถาดในมือไปวางไว้บนโต๊ะ
แต่ก็ไม่ทันที่สาวใหญ่จะเดินพ้นออกประตูไปได้




"เขายังไม่กลับมาเหรอครับ"




"...กลับมาแล้วค่ะ"




"..."




"เมื่อคืนคุณภาสได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้พักอยู่ที่ห้องพักของคุณหมอค่ะ"




"...หนักมากไหมครับ? "




"ตอนนี้ยังไม่ได้สติเลยค่ะ"




"ป้าพาผมไปหาเขาได้ไหม"




"ขอโทษนะคะคุณเพลิง แต่คุณแทนสั่งป้าไว้ไม่ให้คุณออกจากห้องไปไหนค่ะ"




แม่บ้านมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งยังสงสารอัคนีจับใจ ใบหน้างดงามนั้น
บัดนี้ปรากฏมีดวงตาแดงก่ำจากการร้องไห้และอดนอน แต่อย่างไรก็ไม่อาจฝืนคำสั่งของเจ้าของบ้าน










อัคนีเดินกลับเข้าไปนั่งยังโซฟาตัวเดิม ดวงใจร้อนรนจนแทบระเบิดออกมา
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาพยายามกดโทรศัพท์ในห้องที่ภาสกรเคยใช้ แต่ก็ไม่เป็นผล
โทรศัพท์ถูกเข้ารหัสไว้ อัคนีล้มตัวลงนอนบนโซฟาแล้วร่ำไห้ลงกับหมอนอิง
จนเจ้าตัวเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ







"เพลิง...เพลิง"




!!!




"ภาส! "




"โอ๊ย! "




เชลยผู้หลับใหล ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกที่คุ้นเคย
ความดีใจที่ได้พบทำให้เขาเผลอโผเข้ากอดภาสกรอย่างลืมตัว
จนทำให้ผู้ได้รับบาดเจ็บมีเลือดซึมออกจากปากแผลอย่างช่วยไม่ได้




"...ขอโทษ"




สองมือสั่นเทา ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ดี เมื่อตนเป็นเหตุให้เจ้าของห้อง
มีเลือดซึมออกมาอีกครั้ง ภาสกรจึงจับมือคู่นั้นไว้จนเจ้าตัวเริ่มนิ่งลง




"เป็นอะไร ภาสหายไปเดี๋ยวเดียว เพลิงก็ตาบวมขนาดนี้แล้ว ใครทำอะไรเพลิง หืม? "




ภาสกรประทับรอยจูบลงเปลือกตาบวมเป่งทั้งสองข้าง แล้วเปลี่ยนมาประทับลงบนหน้าผาก
และเลื่อนไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าจะหยุด ขณะเดียวกับที่สายตาของอัคนีจ้องมองยังแผล
ที่เลือดเริ่มซึมออกมากขึ้นๆ ของภาสกร จนอดรนทนไม่ได้
สองแขนจึงผลักกายเขาออกแล้วบอกให้เขาไปเย็บแผลใหม่




แม้จะยังอยากเชยชมให้สมใจมากกว่านี้ แต่แววตาห่วงใยจนเจ็บปวดจากอัคนีที่ส่งมา
ทำให้เขายอมเดินไปหยิบโทรศัพท์แล้วกดเรียกหมอประจำบ้านให้ขึ้นมาเย็บแผลให้ใหม่
ด้วยไม่อาจทนทานต่อความเจ็บปวดทางสีหน้าของอัคนีได้







อัคนีนั่งจ้องหมอเย็บแผลให้ภาสกรอย่างไม่กระดิกสายตาไปทางไหนแม้แต่เสี้ยวเดียว
จนผ้าพันแผลบริเวณข้างลำตัวถูกพันเรียบร้อยนั่นแหละ
เจ้าตัวจึงได้ลุกจากตรงนั้นแล้วเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ กับภาสกร




"ทำไมเพลิงไม่กินข้าว? "




"ไม่หิว"




"ภาสกินเป็นเพื่อน"




ว่าแล้วภาสกรก็เดินไปเปิดฝาครอบอาหารออกแล้วจัดแจงจานแบ่งข้าวใส่ให้เท่าๆกัน
แล้วเรียกให้อัคนีลุกมา เจ้าของห้องนั่งมองชายผู้งดงามของตน
ที่บัดนี้มีดวงตาแดงก่ำและสีหน้าเศร้าหมอง ค่อยๆ ตักข้าวเข้าปากอย่างไร้รสชาติ
รับประทานไปได้เพียงสองสามคำ เจ้าตัวก็ขอเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกาย




"เพลิง...เช็ดตัวให้หน่อยได้ไหม"




"..."




อัคนีไม่ได้ตอบสิ่งใดออกไป เพียงเดินกลับเข้าห้องน้ำไปแล้วออกมาพร้อมกับกะละมังใบเล็ก
และผ้าขนหนูผืนหนึ่ง สองมือซักผ้าเบาๆ ในกะละมัง
บิดจนหมาดแล้วลงมือเช็ดตัวให้กับชายผู้ที่ถอดเสื้อรออยู่




"หันหลังสิ"




ภาสกรหันหลังให้อัคนีช่วยเช็ดตัวให้ มือหนาเคลื่อนไปพร้อมกับผ้าขนหนูอย่างช้าๆ
เว้นช่วงที่ใกล้กับบริเวณบาดแผลและลงน้ำหนักมืออย่างเบาที่สุด




"โดนอะไรมา"







แปะ




"...ยิง"




ภาสกรพ่นลมออกจากจมูกก่อนตอบออกไป เขาไม่อยากเล่าให้อัคนีฟังเท่าไหร่
ในความพลาดท่าของเขาเอง และไม่บ่อยนักที่ใครจะมีโอกาสได้เอาเลือดเขาออกนอกจากทวิช







แปะ




"ใครยิงล่ะ? "




"ไม่สำคัญหรอก"







แปะ




อัคนียังคงเช็ดวนบริเวณด้านหลังของภาสกรไปเรื่อยๆ ในจุดเดิม จนเจ้าของแผ่นหลังต้องหันกลับมา







"เพลิง..."




ภาสกรเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและดวงตาเริ่มสั่นไหว เมื่อบัดนี้ใบหน้าขาวที่แสงงดงาม
เต็มไปด้วยน้ำตาที่รินรดลงมาอย่างมหาศาล เจ้าของห้องนำเสื้อของตนที่วางพาดอยู่
ไม่ห่างขึ้นมาแล้วเช็ดน้ำตาให้อัคนี ด้านคนที่ถือผ้าขนหนูนิ่งงันลงไปโดยที่น้ำตายังไม่ยอมหยุดไหล




"...ฝีมือเขาใช่ไหม"




"ไม่สำคัญหรอก"




มือหนายกเสื้อของตนขึ้นเช็ดน้ำตาให้อัคนีอีกครั้ง ก่อนดึงร่างของชายร่ำไห้เข้ามากอดแน่น




"ฉันไม่ยอมให้ใครเอานายไปทั้งนั้น"











"นายจะมาเสี่ยงเจ็บตัวเพราะตัวประกันไร้ค่าอย่างฉันทำไม!?!

ให้ฉันตายไปซะก็หมดเรื่อง!! "


















เพลี๊ยะ!!!





ภาสกรไม่อาจยั้งอารมณ์ที่ทะยานขึ้นอย่างรุนแรงของตนได้
มือหนาฟาดเข้าเต็มหน้าขาวจนสุดแรง
ตัวประกันแสนไร้ค่าหันมาพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาทีละน้อยจากมุมปาก







อึก







"นายเป็นของฉัน! ใครที่มันคิดจะฆ่านาย ใครที่มันคิดจะแย่งนายไป มันต้องข้ามศพฉันไปก่อน! "







เจ้าของห้องตะคอกสุดเสียง แล้วเดินปึงปังออกจากห้องไปด้วยหากอยู่ต่อ
อาจโมโหจนเผลอลงมือมากไปกว่านี้ ด้านเชลยผู้ไร้ค่า คล้ายกับสติอันห่างไกลกลับเข้าร่าง
เขาจะเดินตามภาสกรออกจากห้องไป แต่ก็หยุดลงเพียงเท่านั้น
อัคนีเดินไปหยิบกล่องยาแล้วเดินไปนั่งทำแผลของตน ในมุมที่เต็มไปด้วยพรรณไม้สีเขียว












ผ่านไปเพียงครู่ ชายเลือดร้อนก็ไม่อาจทนไหวกับความผิดที่ตนได้ก่อ
เขาจึงเดินกลับเข้าห้องมาและเดินไปนั่งยังเก้าอี้ข้างๆ อัคนีในสวนหย่อม





"ภาสขอโทษ..."




"ภาสกร…"




"ครับ! "




"ฉันถามตรงๆ นายพาฉันมาที่นี่ทำไม"







ตึก ตัก




"เก็บฉันไว้ต่อรองกับเพลิงรัตติกาล...เก็บฉันไว้เป็นหมอนข้าง...เก็บฉันไว้เป็นที่ระบาย...
ชอบร่างกายฉัน...หรือว่ารักฉันกันแน่"




คำถามที่ถูกเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา สร้างความตื่นเต้นให้กับใจภาสกรไม่น้อย
มันเต้นแรงจนเขาเองก็คาดว่าผู้ถามคงได้ยิน ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้ว
เสียงใจที่เต้นแรงแบบฉุดไม่อยู่นั้น เป็นเสียงจากหัวใจเขา หรือจากชายผู้กำลังรอคอยคำตอบกันแน่





"..."







"ถ้าความหมายของคำว่ารัก คือการที่ฉันตายแทนนายได้ ฉันก็คงตอบว่า...ฉันรักนาย"










ตึกตักๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ




ใบหน้าเศร้าหมองพร้อมดวงตาแดงก่ำ ที่พึ่งข้ามผ่านค่ำคืนอันโหดร้ายมา
เริ่มมีสีเลือดฝาดแล่นขึ้นทั่วใบหน้าอีกครั้ง อัคนีรู้สึกร้อนรนจนไม่อาจนั่งอยู่กับที่ได้
เขาลุกขึ้นพร้อมกับกล่องยา แต่ก็ไม่ทันคนใจร้อนที่คว้าแขนเขาเอาไว้
แล้วโอบกอดเขาจากทางด้านหลัง พร้อมก้มลงสูดดมเส้นผมหอมเข้าเต็มปอด







"แล้วเพลิงล่ะ...รักภาสไหม? "














------------------------E-N-D---C-H-5-----------------------

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:



คุณ AkuaPink  :L2:

ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ด้วยนะคะ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 6 : Bittersweet










"แล้วเพลิงล่ะ...รักภาสไหม? "






เจ้าของห้องมีดวงตาสั่นไหวไม่หยุด เขานิ่งงันเพื่อรอคอยคำตอบด้วยความหวังมากมายในใจ
แต่ท้ายที่สุดแล้วภาสกรก็ได้รับเพียงอ้อมกอดของจากอัคนีเป็นคำตอบเท่านั้น
คำสารภาพรักจากชายผู้มากด้วยโทสะที่ถูกกลั่นออกมาจากส่วนลึกในดวงใจ
ได้ส่งผลอย่างมากต่อตัวประกันในกำมือ








ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตัวประกันแสนงดงามของเขาก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป
อัคนีเริ่มเป็นฝ่ายเข้ามากอด มานั่งบนตักและมาลองสูดดมกลิ่นกายของภาสกรบ้าง






"เป็นไง รู้สึกชอบบ้างไหม"






"...ไม่"






อัคนีตอบอย่างตรงไปตรงมาปนเสียงขบขัน เขาไม่ได้รู้สึกว่ากลิ่นผู้ชายหอมขึ้นมาแต่อย่างใด
แม้จะเป็นกลิ่นของภาสกร แต่ถึงอย่างนั้น นักโทษคนงามกลับคล้ายได้รับสารเสพติด
ถึงไม่ถูกใจแต่ก็เลิกไม่ได้ ขนาดที่ว่าใกล้หมอนต้องมีเสื้อของภาสกรไว้ผืนหนึ่งเลยทีเดียว






"ภาสก็อยู่นี่ จะเก็บเสื้อไว้ข้างหมอนทำไมไม่รู้"






"..."






ชายหนุ่มผู้เขินอายไม่สามารถแย้งสิ่งใดได้ เมื่อตนทำอย่างนั้นจริงๆ
และตั้งแต่วันที่ภาสกรบอกรักตนพร้อมแผลจากกระสุนที่เฉียดจุดสำคัญ
ภายในหนึ่งสัปดาห์ ภาสกรจะตื่นกลางดึกถึงสองสามครั้ง เพื่อออกไปทำงาน
ในช่วงแรกที่ภาสกรออกจากห้องไป อัคนีก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้เช่นเดิม
จนเขาเริ่มที่จะเรียนรู้และคุ้นชิน จึงได้เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า และนำเสื้อตัวโปรดของภาสกร
มาวางไว้ข้างหมอน สูดดมจนเผลอหลับไปได้






นอกจากการออกไปที่เริ่มบ่อยขึ้นเรื่อยๆ อัคนีก็ยังได้พบกับบาดแผลบนตัวของคนรัก
ที่เพิ่มมากขึ้น ใหญ่ขึ้น อันตรายขึ้น บางครั้งแผลเก่ายังไม่ทันหาย
ก็ได้แผลสดใหม่มาอีกแล้ว โดยที่อัคนีไม่สามารถรู้ได้เลยว่าแผลนั้น
เป็นฝีมือจากการออกไปทำงาน หรือจากพี่ชายของภาสกรเองกันแน่






หนึ่งปีเศษตั้งแต่ที่ถูกจับตัวมา อัคนีเริ่มคุ้นชินกับปราสาทของปักษาทมิฬมากขึ้นบ้างแล้ว
เขามีโอกาสได้สำรวจหลายพื้นที่โดยมีภาสกรประกบทุกครั้งที่เขาว่างจากการทำงาน
และก็เป็นหนึ่งปีเศษที่ไม่มีวันไหนเลยที่ร่างกายของภาสกรจะปกติ
ซึ่งมันได้สร้างความเจ็บปวดให้กับอัคนีเป็นอย่างมาก






"คืนนี้ต้องออกไปไหม? "






"ไปตี 1"






เชลยรักในอ้อมกอดใช้แขนหนาของเจ้าของห้องต่างหมอน เขาซบหน้าลงกับอกแกร่ง
แขนก็โอบรัดภาสกรไว้อย่างแนบแน่น เช่นเดียวกับภาสกรที่กำลังสูดดมเส้นผมของเขาอยู่






"คืนนี้ไม่ไปได้ไหม...แผลที่ได้มาวันก่อนยังไม่หายดีเลย"






"ถ้าภาสไม่ไป ภาสโดนแทนฆ่าแน่"






"เพลิงไปด้วยได้ไหม...เพลิงสู้ได้นะ ไม่หนีหรอก"






เจ้าของห้องถอนหายใจแล้วคลายอ้อมกอดออก ปลายนิ้วเชยใบหน้าของคนบนแขน
ขึ้นมาประทับจูบลงบนหน้าผากอย่างรักใคร่






"รู้หรอกว่าเก่ง แต่ภาสเป็นห่วง เพลิงไปด้วยภาสจะไม่มีสมาธิ"






ชายหนุ่มผิวขาวลากมือไปตามรอยบาดแผลบนแขนของภาสกร
เขาลุกขึ้นแล้วจูบลงไปบนรอยแผลเป็นเหล่านั้น ด้วยอารมณ์สุข ระคนเจ็บปวดในใจ
ด้านภาสกรที่เห็นท่าทีสุดแสนน่ารักนั้นก็ไม่อาจทนไหว ลมหายใจเริ่มติดขัด
และก่อนที่ตนจะพลั้งลงมือกระทำบางอย่างที่ไม่สมควร แขนหนาก็ดึงไหล่ของอัคนี
ให้นอนลงบนแขนของตนตามเดิม แล้วล็อกคออัคนีเอาไว้ไม่ให้ทำมากไปกว่านั้น






"ยั่วรึไง ถ้าภาสทนไม่ไหวขึ้นมาจะทำไง? "






"ภาสก็ทนไหวมาตั้งนานแล้วนี่"






"เพราะภาสรักเพลิง ไม่อยากบังคับ"






"...เพลิงเต็มใจ...อยู่กับเพลิงนะคืนนี้"






อารมณ์ที่เริ่มทะยานสูงก่อตัวขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ของภาสกร
ปะปนกับความโกรธเกรี้ยวที่เจ้าตัวไม่อาจยับยั้ง อีกเพียงสองชั่วโมง
ก็ได้เวลาเข้างานของเขาแล้ว หากว่าเขาตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
กับชายผู้ยั่วยวนตนอยู่ในตอนนี้ไป คาดว่าอย่างไรตนเองก็ไม่สามารถหยุดเรื่องเช่นนั้นลงได้
ภายในสองชั่วโมงอย่างแน่นอน






อัคนีที่พยายามดันตัวเข้ามาใกล้ชิดขึ้นกว่าเดิม ทำให้ภาสกรเริ่มสบถคำรุนแรงออกมา
ด้วยโทสะอันแรงกล้า เขาต้องต่อสู้กับใจตนเองอีกกี่ครั้งกี่หนกัน
เพื่อที่จะสามารถรักษาสมดุลของทุกเรื่องในชีวิตไว้ได้






เจ้าของเตียงกว้างตัดสินใจดึงแขนของคนรักให้หลุดออก และลุกขึ้นจากเตียงไป






"...ภาสทำเพื่อพวกเรานะเพลิง! "







ภาสกรผู้อ่อนหัดเรื่องการวางแผนชีวิต เอ่ยประโยคสุดหล่อทิ้งท้ายไว้แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
เขาทำไม่ได้ เขามีความลับบางอย่างที่ไม่อาจบอกให้อัคนีล่วงรู้ได้
ทุกบาดแผลฉกรรจ์บนร่างกาย มันเกิดจากหายนะจากโลกภายนอกที่อัคนีไม่ได้พบเจอมาอย่างเนิ่นนาน






ศิขรินที่คล้ายว่าจะเงียบหายไป แท้จริงใช้วิธีลอบกัดคนของปักษาทมิฬทุกวิถีทาง
และทวิชได้กล่าวกับเขาเสมอ ว่าความรุนแรงของสงครามระหว่างแก๊งมันปะทุขึ้น
เพราะเขาไปลักพาตัวเด็กของฝั่งนั้นมา สองพี่น้องจึงร่างสัญญาฉบับหนึ่งขึ้น
โดยที่ภาสกรเซ็นยินยอมในทุกกรณีให้ทวิชฆ่าอัคนีได้ หากว่าตนผิดสัญญาแม้แต่เพียงข้อเดียว











"ลงมาเร็วนะวันนี้"






ทวิชที่กำลังนั่งคุยกับลูกน้องอยู่เอ่ยทักน้องชายที่ออกจากห้องมาก่อนเวลาอย่างผิดปกติ






"แผนว่าไง"






"คืนนี้ฉันนัดคุยกับเจ้าพ่อค้ายารายใหญ่คนนึง แต่มีข่าวแว่วมาว่าฝั่งนั้นก็ติดต่อไปเหมือนกัน
ฉันเลยไม่แน่ใจว่า ฉันกับมัน ใครที่ได้เจอเจ้าพ่อคนนี้ก่อนกัน...ถ้ามันเจอก่อน
งานนี้พวกเราคงโดนเละ"






"เมฆาว่ายังไง เขาให้คำตอบเรื่องนี้ไม่ได้เหรอ ว่าพวกมันเจอเขาก่อนเรารึเปล่า"






"คนของเราที่แฝงตัวเข้าไปในกลุ่มมัน พึ่งโดนเก็บไป 2 ศพ
ฉันเลยสั่งยกเลิกการติดต่อกับคนที่เหลือชั่วคราว"






"นายก็เลยจะลองเสี่ยง? ...คนอย่างนายเนี่ยนะแทน"






"ฉันจำเป็น ถ้าเราได้คนคนนี้มาเข้าร่วม ส่วนแบ่งทางการตลาดของเราจะสูงกว่า
เพลิงรัตติกาลจนมันตามไม่ทันเลยล่ะ"






"งั้นก็ได้ ฉันจะจัดทีมคุ้มกัน..."






แผนการโดยละเอียดถูกถกกันอยู่นานเกือบ 3 ชั่วโมง
ก่อนนัดสำคัญของทวิชจะเริ่มขึ้นตอน ตี 3 ของคืนนี้ เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม
รถตู้ 3 คัน และรถยนต์อีก 2 คัน ก็ได้ถูกขับออกจากปราสาทปักษาทมิฬ






การเจรจาดูท่าว่าจะไปได้สวย ชายผู้น่าเกรงขาม 2 คน ยืนอยู่บริเวณท่าเรือ
เบื้องหลังคือตู้คอนเทนเนอร์มากมาย ทวิชจับมือปรองดองกับคู่ค้าคนสำคัญเป็นที่เรียบร้อย
นักเจรจายืนมองผู้นำเอาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ปักษาทมิฬจนรถยนต์สุดหรู 3 คัน
ขับออกไป ชายหนุ่มวัย 28 ปี ก้าวขึ้นรถตู้เพื่อกลับไปยังปราสาทด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม











แต่แล้ว











ตู๊ม!!!!






รถยนต์คันหน้าสุดของขบวนก็ได้เกิดระเบิดขึ้นมา ไฟลุกเป็นวงรอบ ไล่ลามไปสองข้างทาง
เผาไหม้ไปบรรจบกันเป็นวงกลม โดยมีรถตู้สุดหรู 3 คัน อยู่ในวงล้อมแห่งเพลิงรัตติกาล














ปังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ








ปืนกลขนาด 99 มม. ระดมยิงรัวใส่รถตู้กันกระสุนทั้ง 3 คัน











"แทนหมอบลง!!! "






สองพี่น้องแห่งปักษาทมิฬนั่งอยู่บนรถตู้คันที่สาม ภาสกรที่นั่งมาเคียงข้างพี่ชาย
กดหัวทวิชลงแนบกับพื้น และหยิบปืนที่เตรียมไว้ข้างกายขึ้นมา
คล้ายกับว่ากระสุนที่ยิงไม่หยุดจะเริ่มเจาะเกาะรถออกได้ทีละชั้น
ในขณะที่ศัตรูกำลังระดมยิงไม่ยั้งไปที่รถตู้คันที่ 2 พอสบได้โอกาส
ภาสกรก็กระชับปืนไว้แน่น แล้วเอื้อมตัวไปกดสวิตช์ประตูรถให้ค่อยๆ เปิดออก
ซึ่งบัดนี้คนขับและคนด้านข้างคนขับถูกกระสุนยิงเจาะพรุนแทบทั้งร่างเป็นที่เรียบร้อย











"โธ่เว้ย!!! "






ความเดือดดาลของชายผู้มากด้วยประสบการณ์ ส่งกระสุนปืนยิงทะลุร่างผู้ครองปืนกล
เมื่อตัวเปิดงานล้มลง การต่อสู้อันเข้มข้นก็ได้เริ่มต้นขึ้น เจ้าสำนักปักษาทมิฬ
เมื่อกดโทรเรียกกำลังเสริมเรียบร้อย ก็ไม่รอช้าที่จะลงไปช่วยน้องชาย
สนามรบที่สองพี่น้องไม่ได้ฟาดฟันกันเองอีกต่อไป
ชายสองคนยืนหันหลังชนกันและกราดยิงศัตรูอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ






สถานการณ์คล้ายจะเริ่มกลับมาเข้าข้างผู้ถูกซุ่มโจมตีอีกครั้ง
ภาสกรจึงสั่งให้ทวิชกลับขึ้นไปบนรถเพื่อรอกำลังเสริม ความใจไว้ซึ่งกันและกันที่มีมาแต่กำเนิด
ทำให้ทวิชค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนรถเกราะและก้มตัวหมอบลง
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังคนเริ่มหดหายไปแล้ว















ตู๊ม!!!!











แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อระเบิดลูกหนึ่งถูกปาเข้าตรงกลาง
จุดที่ภาสกรยืนอยู่ ระเบิดทำงานในทันทีที่ตกถึงพื้น
ไม่ปล่อยให้ชายร่างยักษ์ได้มีโอกาสหลบหนีแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว











"ภาส!!!!! "






ประกายไฟพุ่งเข้าตาทวิช ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นได้ว่าบัดนี้ร่างของภาสกรกระเด็น
ไปอยู่จุดไหน ฝุ่นควันตลบอบอวลไปทั่ว และหลังจากนั้นไม่นาน กำลังเสริมที่ทวิชเรียกไว้ก็มาถึง











"ภาส...ภาส! "






"...แทน..."











อั่ก






"แกไม่เป็นไร! แกไม่เป็นไร! ฉันอยู่นี่ ไอ้น้องรัก"






ทวิชประคองศีรษะน้องชายไว้ในอ้อมแขน มือหนาสั่นรุนแรงพยายามโอบกอดภาสกรเอาไว้
ดวงตาภาสกรลืมไม่ขึ้นจากการถูกสะเก็ดระเบิด ร่างกายที่กระเด็นไปไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก
หากแต่ไฟที่ถูกจุดโดยรอบได้เผาไหม้ร่างกายบางส่วนของเขา
จนภาสกรไม่รู้สึกถึงกายครึ่งร่างอีกต่อไป






"แทน! ฉัน...ขยับไม่ได้ แทน! "







ชายผู้มีโครงหน้าคล้ายคลึงกับภาสกรปิดปากร่ำไห้อย่างเงียบเชียบ
เรียกแพทย์สนามประจำบ้านมาช่วยกันรักษาภาสกรโดยเร็วที่สุด
จากนั้นจึงได้พากันกลับไปยังปราสาทหลังงาม












---------------------------------------------------------------------












"ภาส!! "






แฮก แฮก






ชายบนเตียงใหญ่สะดุ้งตื่นด้วยฝันร้ายสุดชีวิต เขาเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้
ในขณะที่อ้อมแขนยังคงกอดเสื้อตัวโปรดของภาสกรเอาไว้อยู่
หยดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าขาว ดวงใจเต้นกระหน่ำรุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อัคนีมองไปข้างกายและพบว่าบัดนี้เตียงยังคงว่างเปล่าแม้ท้องฟ้าด้านนอกจะเริ่มสว่างขึ้นมาแล้ว






แม้จะยังเป็นช่วงเช้ามืด แต่อัคนีก็ไม่สามารถข่มตาลงนอนต่อได้
เขาลุกขึ้นและนั่งรอภาสกรกลับมาในจุดเดิมที่เคยรอทุกครั้ง
แต่วันนี้มีไม่ว่าจะรอนานแค่ไหนก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของห้องจะกลับมา
จนเวลาปาเข้าไปเที่ยงวัน ความร้อนรนในอกของอัคนี ทำให้เขาไม่อาจทนไหวอีกต่อไป






สองขาเดินลงมาด้านล่างของบ้าน และพบว่าบัดนี้ปราสาทเกิดความเงียบงันขึ้นอย่างผิดปกติ
แม้แต่ป้าเพ็ญที่มักนำอาหารขึ้นไปส่งให้ก็ไม่ได้ไปตามเวลา อัคนีเริ่มร้อนใจมากขึ้น
เขาเดินไปยังบอดิการ์ดหน้าประตูบ้านที่ปกติจะยืนกันอยู่ 4 คน แต่วันนี้กลับมีมากถึง 8 คนด้วยกัน






"ขอโทษนะ...ฉันขอถามหน่อย คุณภาสกลับมารึยัง? "






และคำตอบที่ได้รับ ก็ทำให้อัคนีมีใบหน้าชาวาบ อกข้างซ้ายคล้ายมีตุ้มเหล็กยัดเข้าไปอยู่ในนั้นพันลูก
ลมหายใจขาดห้วงไปชั่วขณะ เขาค่อยๆ เดินกลับเข้าไปด้านในและเดินไปตามทางที่บอดิการ์ดหน้าประตูบอก






ตุ้มเหล็กพันลูกในอกที่อัดแน่นกันอยู่ในนั้นค่อยๆ สั่นสะเทือน
ดั่งหัวใจเขาที่เต้นรัวคล้ายกับจะวายเฉียบพลัน หยาดเหงื่อหยดลงไปตามโครงหน้า
และสีแดงปลั่งดั่งมะเขือเทศสุกบนใบหน้า บัดนี้ซีดเผือดคล้ายกระดาษเปล่า






มือที่สั่นอย่างรุนแรงเคาะประตูห้องเพียง 2 ครั้ง ก่อนมันจะเปิดออกอัตโนมัติจากด้านใน






"...ภาส"






"เข้ามาทำไม...ออกไป! "







เจ้าของบ้านที่นั่งกุมมือน้องชายอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นตัวต้นเหตุของความรุนแรงอยู่เบื้องหน้า
ก็กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่แฝงไปด้วยความโกรธมหาศาล






"ฉันบอกให้แกออกไป"






แม้คำพูดนั้นจะเป็นการออกเสียงแผ่วเบา แต่ดวงตาที่คล้ายกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ด้านใน
ก็หยุดอัคนีเอาไว้ที่หน้าประตูนั้น






"ฉ...ฉันของเข้าไปดูเขาหน่อย"






"ไม่! "






"ขอร้องล่ะทวิช ฉันขอเห็นหน้าเขา...เป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะ"






อัคนีคุกเข่าลงต่อหน้าเจ้าของบ้านที่เดินเข้าใกล้และพยายามดันตัวเขาออกไปจากห้อง
ภาพร่างกายของคนที่อัคนีรักยิ่งชีวิตนอนไม่ได้สติ ใบหน้าถูกห่อด้วยเฝือกและผ้าพันแผล
มีเพียงดวงตาที่ปิดสนิทอันดำคล้ำ ที่โผล่ออกมาให้เห็น เท่านั้นก็ทำให้ตัวประกันของภาสกร
รู้ซึ้งถึงความร้ายแรงของบาดแผลที่ภาสกรได้รับคราวนี้แล้ว






"..."






เจ้าของบ้านยืนนิ่ง ปล่อยให้อัคนีเดินเข้าใกล้น้องชายของตน






"แกรู้ใช่ไหมอัคนี ว่าฝีมือใคร"






"..."






"มันฆ่าพ่อฉัน แล้วมันก็กำลังจะฆ่าน้องชายฉันไปด้วยอีกคน!"






"ฮือออ...ภาส..."






อัคนีจับขอบเตียงและร่ำไห้เจียนขาดใจ ฟากทวิชพยายามข่มกลืนก้อนบางอย่างที่จุกอยู่ที่คอเอาไว้
ไม่ให้ต้องเผยความเจ็บปวดออกมาต่อหน้าศัตรู






"แกจะทำยังไงอัคนี...แกรักน้องชายฉัน อย่างที่มันรักแกไหม
...แกนั่นแหละที่เป็นคนทำให้ภาสมันเป็นแบบนี้!!!!! "







ชายผู้ยิ่งใหญ่โกรธจัด ทวิชขบกรามแน่น และเสียงที่ตะเบ็งออกไปก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
แม้จะพยายามหยุดยั้งไม่ได้ความเสียใจแล่นผ่านออกมาทางดวงตา เขาก็ไม่สามารถทำได้
ประโยคสุดเคียดแค้นถูกพ้นออกมาพร้อมน้ำใสที่ไหลหยดอย่างไม่อาจห้ามได้






ภาพของอัคนีที่คร่ำครวญร่ำไห้ด้วยอาการเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
สองมือบีบขอบเตียงแน่นคล้ายต้องการระบายออก เส้นเลือดมากมายปรากฏขึ้น
บนใบหน้าขาวเนียนด้วยเจ้าตัวเค้นเสียงแห่งความสาหัสออกมา
ทวิชยืนมองภาพนั้นและสัมผัสได้ว่าอัคนีเสียใจไม่แพ้ตน
เขาจึงเดินออกจากห้องไปพร้อมมือที่ยังกำแน่น






ผ่านไปหลายชั่วโมงหลังจากนั้น หน้าห้องทำงานของทวิช
ก็ได้ต้อนรับแขกคนสำคัญของเพลิงรัตติกาล ประตูเปิดออกและชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่
ท่วงท่าสง่าผ่าเผยก็เดินเข้าไปด้านใน ยืนประจันหน้ากับเจ้าของบ้านอย่างไม่เกรงกลัว






"มีอะไร"






"ฉันจะยุติเรื่องนี้"






"คิดว่าฉันจะปล่อยนายกลับออกไปง่ายๆ งั้นเหรอ"






"นายฆ่าฉันไม่ได้อยู่แล้ว...ถ้าฉันตาย เหตุการณ์มันจะยิ่งรุนแรงไปมากกว่านี้
...ฉันจะกลับไปคุยกับเขา ให้เขาหยุดทุกอย่าง"







"มันไม่มีทางหยุด นายก็รู้"






"ฉันจะทำทุกทาง ให้เรื่องนี้มันจบ"






"...ถ้าน้องชายฉันตื่นขึ้นมาไม่เห็นนาย เขาคงไม่ยอมแน่"






"บอกเขาว่า ฉันหนีไปเอง และฉันไม่เคยรักเขา...นายจะโกหกยังไงก็ได้
...งานถนัดนายอยู่แล้วนี่ ทวิช"







อัคนีพูดไว้เพียงเท่านั้น แล้วเดินไปยังประตู ความสงบนิ่งอันน่าเกรงขาม
และแววตาทรงพลังของชายตรงหน้าทวิชในตอนนี้ สร้างความรู้สึกหวั่นเกรงในอกให้เจ้าของบ้านไม่น้อย




หากว่าวันหนึ่ง อัคนีไม่ได้เป็นเพียงนางบำเรอของศิขริน เขาคงได้เจอกับคู่แข่งทางธุรกิจที่น่ากลัวมากแน่นอน









"อัคนี"









"..."









"...ลืมน้องชายฉันไปซะ"















------------------------E-N-D---C-H-6-----------------------

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 7 : ปักษาจาบัลย์










“…เพลิง”






ภาสกรลืมตาตื่นขึ้นด้วยอาการชาไปทั่วร่าง เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถ
ปรับโฟกัสที่ดวงตาและเรียกสติให้รับรู้ถึงเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ได้
แขนและขาถูกพลังมหาศาลเข้าช่วยขับดัน กว่าจะที่จะสามารถขยับไปตามใจได้
เมื่อทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ภาสกรจึงก้มลงยังมือของตนที่บัดนี้ใครบางคน
กำลังฟุบหน้าลงกับขอบเตียงแล้วกุมมือเขาไว้อยู่






“ภาส…ฟื้นแล้วเหรอ รู้สึกไงบ้าง?”






“แทน…”







ผู้ป่วยมองซ้ายขวาคล้ายกับกำลังหาใครบางคนแต่ก็ไม่พบ เขาจึงได้เอ่ยถามพี่ชายของตนไป
แต่คำตอบกลับที่ภาสกรได้รับ เป็นเพียงการหลีกเลี่ยง และพูดเรื่องอื่นแทน






“ฉันหลับไปนานแค่ไหน”






“สามวัน”






“สามวัน!!”






“นายรู้สึกเป็นไงบ้าง ขยับขาได้ไหม?”






ภาสกรออกแรงอย่างหนักเพื่อขยับขาของตนดูอีกครั้ง
และก็พบว่ามันยังคงกระดิกได้อยู่ รวมไปถึงดวงตาที่ทวิชกังวลเป็นพิเศษ
แต่เมื่อน้องชายเอ่ยทักทายเขาได้ก็แปลว่ายังมองเห็นอยู่
ทวิชอยู่ดูแลน้องชายจนเขากินยาและพร้อมจะนอนพักผ่อนอีกครั้ง
จึงได้เดินออกประตูไป แต่ก่อนที่เจ้าของบ้านจะได้เดินออกไป แขนก็ถูกคว้าเอาไว้






"แทน...ฉันอยากเจอเพลิง"











"..."






"...เขา...หนีไปแล้ว"






"..เป็นไปไม่ได้"






"เป็นความจริง วันที่พวกเราถูกลอบโจมตี ศิขรินมันกะเอาพวกเราตาย
ระหว่างนั้น มันก็ส่งคนมาพาอัคนีกลับไป"






"ไม่จริง! "






"นายจะเชื่อหรือไม่ รออาการดีขึ้น แล้วฉันจะให้นายคุยกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น"






"ไม่! ฉันต้องการคุยตอนนี้"







ปึง!






ทวิชที่เริ่มอดกลั้นอารมณ์โกรธไม่ไหวเผลอทุบโต๊ะบริเวณหัวเตียงดังลั่น
แล้วตะคอกใส่น้องชายด้วยน้ำเสียงดุดัน คล้ายกับว่าความเจ็บปวดในการเฝ้ารอ
การฟื้นขึ้นมาของน้องชายตลอดสามวัน ได้กัดกร่อนหัวใจเขาไปเรื่อยๆ
จนเขาไม่อาจสลัดความเจ็บในใจนั้นทิ้งได้ง่ายๆ เพียงไม่กี่นาทีหลังภาสกรฟื้นขึ้นมา






"แกรักมันมากใช่ไหมภาส แล้วแกรักพี่แกบ้างไหม ชีวิตฉันเหลือแกอีกแค่คนเดียว!
มันทำร้ายพวกเราขนาดนี้แกยังอาลัยอาวรณ์มันอีกเหรอ ตั้งแต่พ่อตาย ใครดูแลแก
ใครช่วยเหลือแก มันเข้ามาหลอกให้แกรัก ทำให้แกอ่อนแอ
ต้องให้ฉันตายไปอีกคนใช่ไหม แกถึงจะรู้สึกตัวสักที ห๊ะ ภาส!
ถ้าแกอยากรู้ว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไงตอนมันมาบุกที่นี่เพื่อชิงของของมันคืนมากนัก ได้!
ฉันจะไปเรียกป้าเพ็ญกับพวกที่เฝ้าหน้าประตูให้
แต่บางคนก็มายืนให้แกซักไม่ได้หรอกนะ เพราะบาดเจ็บสาหัสไม่ต่างจากแกหรอก!"







ความอดทนอดกลั้นที่ปะปนคำลวง แต่ใจความสำคัญก็ยังคงเต็มไปด้วยอาการน้อยใจ
ยิ่งร่ายยาวออกไปมากเท่าไหร่ เจ้าสำนักสุดแกร่งแห่งปักษาทมิฬยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น
ความกดดัน ความเครียด และความห่วงใยที่มีมากมายมหาศาลปลดปล่อยน้ำตา
ที่ภาสกรแทบไม่เคยได้เห็นตั้งแต่บิดาของเขาเสียชีวิตไป






อึก






สายเลือดพยัคฆ์เดียวกันที่แล่นพล่านในคนสองคน ฉุดรั้งให้ความรู้สึกมากมาย
ในใจพวกเขานั้น มากเกินกว่าที่จะสามารถสัมผัสถึงได้ในคนทั่วไป
ภาสกรที่สาบานไว้ต่อหน้าภาพถ่ายของบิดาพยายามสกัดกั้นน้ำตาเอาไว้เช่นเดียวกัน






"ทำใจซะ...ถ้าแกดีขึ้นเมื่อไหร่ เราค่อยมาคุยกัน"






ทวิชปาดน้ำตาออกจากใบหน้า และค่อยๆ ปรับดวงใจที่เต้นแรงให้เข้าที่
ก่อนจะเดินตัวตรงออกจากห้องไป โดยไม่หันกลับมามองคนไข้บนเตียงอีกเลย






ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยแผลสด รอยแผลเป็น ผิวหนังบางส่วนที่ถูกไฟไหม้และยังไม่หายดี
เจ็บปวดได้ไม่เท่าครึ่งหนึ่งของความรู้สึก ภาสกรเริ่มเงียบลงกว่าปกติ
อาหารก็แทบไม่แตะ จนทวิชต้องสั่งคนฉีดสารอาหารเข้าเส้นเลือดน้องชาย
เมื่อเห็นว่าร่างกายเขาเริ่มสูบผอม






แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคนในเมือง ถูกนำตัวมาเพื่อรักษาภาสกรเป็นกรณีพิเศษ
จนเวลาล่วงเลยไปได้เดือนเศษ ร่างกายจากรอยแผลสดและแผลไฟไหม้
ก็ได้ตกสะเก็ดและกลายเป็นแผลเป็นในที่สุด เขาสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง
แต่คล้ายกับภาสกรที่อยู่ในสายตาทวิชตอนนี้ ไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว













"หายแล้วสิ ถึงมาหาฉันได้"






"ฉัน...ไม่เชื่อนายหรอก"






"เรื่องอะไร...อัคนี? "






"..."






ภาสกรเดินเข้ามาในห้องของพี่ชาย เขาพยายามสอบถามจากทุกคนที่ทวิช
บอกว่าอยู่ในเหตุการณ์วันที่ศิขรินมาชิงตัวประกันคืน และได้รับคำตอบไปในทิศทางเดียวกัน
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่อาจยอมรับความจริงได้








"อยากพิสูจน์ไหมล่ะ? "






"...ยังไง"






"พวกเราจะช่วยกันฆ่าศิขรินอีกครั้ง แล้วถ้าคราวนี้มันตาย นายจะได้ตาสว่างสักที"






"นายหมายความว่าไง? "






"อัคนีแฝงตัวอยู่กับพวกเรามาปีกว่า แถมยังทำให้นายกับฉันเกือบตายได้พร้อมๆกัน
ความดีความชอบมากขนาดนี้ นายคิดว่าถ้าศิขรินมันตาย
มันจะตั้งใครขึ้นเป็นหัวหน้าเพลิงรัตติกาลแทนมันหล่ะ?"






"..."






"ขนาดนายเอง ยังหลงอัคนีมากขนาดนั้น แล้วไม่คิดบ้างเหรอ
ว่าศิขรินมันก็หลงเด็กของมันเหมือนกัน"






คำพูดเสียดแทงใจจากพี่ชาย ทำให้ภาสกรกำมือแน่นเพื่อสกัดกั้นอารมณ์ความแค้น
ที่นอนเนื่องอยู่ในใจตั้งแต่เด็ก ไม่ให้เข้ามาผสมปนเปกับความผิดหวังจากเรื่องที่ทวิชได้บอกกล่าว






ภาสกรกลับมามีความมุ่งมั่นที่จะสังหารศิขรินอีกครั้ง และผิดจากความตั้งใจแรก
ที่เป็นเพียงการฆ่าล้างแค้นให้บิดา แต่หากว่าคราวนี้สามารถทำได้สำเร็จ
เขาก็จะได้ทั้งล้างแค้นและพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องของอัคนี ดั่งเช่นที่ทวิชได้บอกเขาไว้ด้วย






ร่างกายที่เคยกำยำล่ำสัน กลับมากำยำอีกครั้ง แม้ว่าจะได้เรียนรู้วิชาทั้งหมด
จากเซียนปักษาแล้ว แต่เขาก็ยังคงขอการฝึกเพิ่มเติมจากท่านอาจารย์ของเขา
และเป็นจริงที่ว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เขามุ่งมั่นมากขึ้น ฝึกฝนมากขึ้น
และคอยหนุนทวิชในเรื่องของข้อมูลและแผนการครั้งถัดไปในการลอบสังหารศิขริน






"สายของเรารายงานมาว่า อีกหนึ่งสัปดาห์ศิขรินจะเดินทางไปร่วมงานรับปริญญา
ของลูกชายคนหนึ่ง งานนี้ผู้คุ้มกันจะไม่แน่นหนาเพราะศิขรินต้องการให้เป็นส่วนตัว"






"ลูกชายคนนี้พิเศษยังไง มันมีลูกเป็นร้อย ทำไมถึงไปงานรับปริญญาของเด็กคนนี้"






"เขาเป็นลูกชายคนสุดท้องที่เกิดกับภรรยาคนแรกของมัน คนในเพลิงรัตติกาลรู้กันดี
ว่าศิขรินรักเด็กคนนี้จนออกนอกหน้า"






"งั้นก็เข้าทาง แล้วเราจะจัดการมันช่วงไหน"






"มหาลัยของเด็กคนนี้อยู่ห่างออกไปทางตอนเหนือของเมือง เดินทางไปค่อนข้างลำบาก
สายของเราเลยมั่นใจว่า มันจะต้องพักโรงแรมขนาดกลางแห่งหนึ่งเพื่อไม่ให้เตะตาแน่นอน
แต่ตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าโรงแรมไหน ถ้าแน่ใจแล้วจะรายงานมาอีกที"






"..."






"ว่าไงภาส นายพร้อมลุยไหม"






"ฉันจะไปเอง"






"แล้วถ้าคราวนี้ไม่ใช่มัน แต่กลายเป็นเด็กสักคนหนึ่งของมันแทน
นายจะพากลับมาอีกไหม ฮึฮึ"






"...ฉันจะฆ่าทิ้งให้หมด ไม่ว่าจะใครหน้าไหนก็ตาม"






"ดี! ไปเตรียมตัวให้พร้อม ถ้าได้ชื่อโรงแรมมาแล้วฉันจะรีบบอก"








ภาสกรเดินออกจากห้องทำงานของทวิชไปอย่างเซื่อมซึม เขาเดินลัดเลาะ
ออกจากตัวปราสาทแล้วมุ่งไปยังโดมที่เต็มไปด้วยพรรณไม้เขียวชอุ่มที่เขา
ตั้งใจจำลองมันไว้ในห้องส่วนตัว เพื่อเป็นมุมโปรดให้คนในดวงใจไม่รู้สึกอึดอัด
กับการอาศัยอยู่กับเขาที่นี่มากจนเกินไป แต่พอยิ่งได้มาเห็นสถานที่ที่อัคนีชื่นชอบ
ดวงใจเขายิ่งคล้ายดั่งแหลกลาญเข้าไปใหญ่








ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่อาจเชื่อได้สนิทใจว่าอัคนีจะหนีไป แม้ว่าชายผู้งดงามคนนั้น
จะไม่เคยเอ่ยคำว่ารักให้เขาได้ฟังสักครั้ง แต่การกระทำทั้งหมดก็แสดงให้เห็นกันอยู่มาตลอดมา
ว่าฝ่ายนั้นก็หลงรักเขามากไม่ต่างกันเลยสักนิด และแม้ว่าทวิชจะพูดความจริง
กับเขาทั้งหมดหรือไม่ ก็เป็นความจริงดังเช่นที่พี่ชายเขากล่าวเอาไว้
ทวิชเป็นครอบครัวคนสุดท้ายของเขา พวกเขาเป็นพี่น้องที่ต่างกันมากก็จริงอยู่
แต่ความรักระหว่างสายเลือดนั้น แทบไม่จำเป็นต้องมีใครมาบอกให้รัก
ก็รักโดยกำเนิด สายใยระหว่างพี่น้องได้ตรึงใจภาสกรเอาไว้ไม่น้อย
ว่าเขาเองก็ไม่อาจทิ้งพี่ชายเพียงคนเดียวคนนี้ของเขาไปได้เช่นเดียวกัน






ภาสกรใช้เวลาอยู่ในโดมพรรณไม้ได้ไม่นานนัก ด้วยไม่อาจอดทนต่อความเจ็บปวด
ที่แล่นในใจเอาไว้ได้ เขาลัดเลาะเดินต่อไป ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ถัดจากโดมหลังนั้น
สองข้างทางมีต้นไม้ล้อมรอบ และสองเท้าเดินไปตามหินก้อนใหญ่ที่ถูกเรียงไว้เป็นทางเดิน








หลังจากที่เขาผ่านช่วงเวลาแห่งความตายมาได้อย่างหวุดหวิด
รวมทั้งดวงใจที่แตกสลายไม่มีชิ้นดี สถานที่แห่งนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นที่เดียว
ที่ช่วยให้เขาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้






'ผิงอาน'

...เรือนพำนักของเซียนปักษา






ผิงอานเป็นเรือนไม้ขนาดเล็กตั้งอยู่ภายในบริเวณพื้นที่หลายไร่ของปราสาทปักษาทมิฬ
สถานที่ที่สงบและร่มรื่นที่สุดในรั้วของตระกูลปักษา ภายในบริเวณมีลำธารเล็กๆ
ที่ใสสะอาดกั้นทางเข้าออกอยู่ โดยมีสะพานไม้พาดให้สามารถเดินเข้ามาด้านในได้






ภาสกรเดินมาถึงศาลาหลังเดิมที่มาในทุกวัน แต่วันนี้ท่านอาจารย์ของเขากำลังมีแขกมาพบ
แขกที่เขาไม่ชอบหน้าสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากชายคนนี้จะฉลาดเกินตัวแล้ว
ยังเป็นมิตรกับทุกๆ สิ่งบนโลกไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์ก็ตามที
ชายผู้มีความสุภาพและเยือกเย็นดั่งมนุษย์คนละขั้วมิติกับเขาเลยก็ว่าได้






"...ภาส เข้ามาสิ"







"อาจารย์..."






"เชิญครับคุณภาส ผมกำลังจะไปพอดี"






ชายหนุ่มผิวขาวรูปร่างสูงโปร่งส่งยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตรให้กับภาสกร
แล้วหันไปยกมือทำความเคารพเซียนปักษาก่อนเดินจากไป






"มาทำไมบ่อยๆ ไม่รู้"






"ภาส นั่นก็ศิษย์ฉัน เขาย่อมมาที่นี่ได้เสมอ"






"...ขอโทษครับ"






"วันนี้เจ้าแทนใช้ไปทำอะไรอีกหล่ะ หน้าตาถึงได้อมทุกข์มาขนาดนี้? "






"ผมกำลังจะเริ่มงานอีกครั้ง"






"ยังไม่ยอมหยุดกันอีกหรือ? "






"เมื่อกี้อาจารย์คุยกับเมฆาแล้วนี่ เขาไม่ได้บอกเหรอ"







"เราไม่ค่อยคุยเรื่องความแค้นกันสักเท่าไหร่หรอก"






"แล้วเขามาคุยเรื่องอะไร? "






"เรื่องเดียวที่เขาห่วงใย...พี่ชายเธอ"







"..."






"ความอาฆาตแค้น ก็เหมือนไฟ...ไม่ได้ลุกลามเผาไหม้เพียงผู้ที่เราต้องการแก้แค้น
แต่มันเผาไหม้กระทั่งใจเราด้วย"







"ไฟที่ฆ่าพ่อผมหน่ะเหรอ อาจารย์จะให้ผมอยู่เฉยๆ ปล่อยมันตายเองรึไง? "






"...ฆ่าแล้วจะได้อะไรล่ะ? นอนหลับสนิทขึ้นงั้นเหรอ เค้ามาฆ่าเรา เค้าก็นอนไม่หลับ
เพราะกังวลว่าเราจะไปแก้แค้น...เรานั้นก็ไม่ต่างกัน กลับไปแก้แค้นเขา
ก็ต้องมาเป็นทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจอีก เพราะกังวลว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นเช่นกัน...
ลุกไหม้ เผาลามวอดวายไปทั่ว ไม่มีที่สิ้นสุด"







เมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของเซียนปักษา ภาสกรก็เดินเข้าไปในศาลาหลังเล็กแล้วนั่งลงใกล้ๆ
อาจารย์ สายตาเหม่อมองออกไปยังสวนหย่อมที่มีน้ำใสไหลผ่าน
ด้วยพยายามกดข่มอารมณ์ความว้าวุ่นในใจที่มากมายเกินคำบรรยาย






"...ผมเจ็บปวดมาตลอด สิบปีที่พ่อยอมถูกมันฆ่า เพราะพ่อรักมัน...ผมไม่เคยเข้าใจเลยสักนิด
ว่าพ่อยอมได้ไง ผมทั้งโกรธ ทั้งเคียดแค้น ทุกลมหายใจเข้าออกคิดแต่จะล้างแค้นให้พ่อ...

จนผมได้เจอเพลิงเข้าในวันนั้น ยิ่งได้อยู่ใกล้ๆ เขาทุกวัน ใจที่เจ็บปวด
คิดแต่จะฆ่ามันก็ค่อยๆ หายไป อึก บางวันผมก็ลืมไปด้วยซ้ำ ว่าหน้าที่ผม
คือต้องตามฆ่ามันให้ได้...พอเพลิงจากไป ผมทำอะไรไม่ถูกเลย...เหมือนผมถูกขังไว้ในห้อง
ไม่มีทางออก มันมืดไปหมด ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมต้องการอะไร...ผมตอบตัวเองไม่ได้จริงๆ อาจารย์"






"เรื่องบางเรื่องนั้น ก็ใช่ว่าเราจะสามารถเข้าใจได้ในทุกเวลา...ดูนั่นสิ
ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออกในทุกๆ วัน ก็มีเพียงช่วงเวลาเดียวที่เราจะมองเห็น
มันโผล่ขึ้นทักทายท้องฟ้าได้ เช่นเดียวกับแสงสลัวตอนที่มันกำลังจะตกดิน...เวลานี้เป็นยามบ่าย
เราไม่มีทางเห็นอาทิตย์ตกในยามบ่ายได้ฉันใด คำถามมากมายใจใน
ก็ย่อมต้องรอให้ถึงเวลาอันสมควรก่อน...เธอจึงจะพบกับคำตอบนั้นเอง"







"เมื่อไหร่ล่ะอาจารย์ เมื่อไหร่จะถึงเวลานั้น ผมจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว...? "






"...เมื่อถึงเวลาอันสมควร"
















------------------------E-N-D---C-H-7-----------------------

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 8 : ภารกิจสุดท้าย









หลังจากพูดคุยกับเซียนปักษาได้ไม่กี่วัน ทวิชก็เรียกน้องชายของเขาเข้าไปคุยเรื่องความคืบหน้าของแผนการอีกครั้ง และเป็นเช่นเคย ที่ทวิชจะใช้ทุกวิถีทาง เพื่อปลุกอสูรร้ายในใจน้องชายให้ตื่นขึ้นมา ภาสกรออกเดินจากห้องประชุมพร้อมกับเปลวไฟลุกโชนในดวงตา แม้จะบอกว่าหมดลงแล้วความรู้สึกแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อถูกทวิชพูดสะกิดเข้าให้เพียงเล็กน้อย ดวงใจก็คล้ายกระตุกวูบอยู่ข้างใน และคราวนี้เขาจะไม่พลาดอีก ถ้าทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่ทวิชเคยพูดไว้ เขาจะกลับไปชิงตัวคนรักของเขาคืน ไม่ว่าต้องแลกด้วยกี่ชีวิตก็ตาม








แผนการอันรัดกุมที่สุด ที่ได้เรียนรู้จากทุกความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น จากการพยายามลอบฆ่ามาหลายสิบครั้ง ทำให้คราวนี้ ทวิชส่งคนไปดักเฝ้าเจ้าสำนักเพลิงรัตติกาลที่หน้าโรงแรมตั้งแต่ 2 วัน ก่อนที่ศิขรินจะเข้าพัก นักท่องเที่ยวของปักษาทมิฬแฝงตัวเข้าไปอย่างแนบเนียนที่สุด และหนึ่งในนั้นก็คือเมฆา มือขวาคู่บารมีของทวิช มนุษย์ที่ภาสกรไม่ชอบขี้หน้าหรืออยากร่วมงานด้วยสักเท่าไหร่...ชายผู้แตกต่างกับตนโดยสิ้นเชิง









'เขามาแล้ว'









สองคู่รักชาวต่างชาติกำลังนั่งรับประทานอาหารในห้องกระจกบนชั้นที่มองเห็นทุกทิศของโรงแรมแห่งนี้ ฝ่ายชายกรอกเสียงลงบนไมค์โครโฟนจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในเสื้อ แล้วลงมือรับประทานอาหารตรงหน้าต่อ









และนี่เป็นครั้งแรกที่คนของปักษาทมิฬสามารถเข้าใกล้ตัวศิขรินได้มากขนาดนี้ ทุกความเคลื่อนไหวถูกจับตาโดยคู่รักชาวต่างชาติและกล้องวงจรปิดของโรงแรม










"4...5...6... 6 คน"







"ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเอาบอดิการ์ดมาแค่นี้"







"ไม่...8 สิ ตรงเคาน์เตอร์นั่นด้วย"









กล้องวงจรปิดทุกตัวทำงาน และเริ่มจับใบหน้าของบอดิการ์ดที่แฝงตัวเป็นคนทั่วไปเอาไว้ได้หมด ทวิชส่งคนตามเก็บบอดิการ์ดของศิขรินทีละคนอย่างใจเย็น จนเมื่อตะวันลับขอบฟ้า คนกลุ่มหนึ่งในชุดธรรมดาทั่วไป ก็ได้มานั่งร่วมกันรับประทานอาหารบนห้องอาหารของโรงแรมระดับกลางที่แสนธรรมดา








แต่ทว่า บรรยากาศบนโต๊ะอาหารนั้น กลับสุดแสนละมุนอบอุ่น...ดังเช่นชื่อจริงของเด็กหนุ่มผู้กำลังจะเข้ารับปริญญาในวันพรุ่งนี้...ไออุ่น เพลิงอัคนี








"วันนี้ไม่ต้องไปกับรุ่นน้องเหรออุ่น? "







"อุ่นไปเลี้ยงสายมาเมื่อวานแล้วครับแม่"







"กินข้าวเสร็จต้องรีบนอนเลยไหม พรุ่งนี้ให้พ่อออกไปส่งกี่โมงดี"







"ตี 4 ครับ เดี๋ยวอุ่นออกไปพร้อมเพื่อนก็ได้ เพื่อนอุ่นคนนึงพักโรงแรมนี้เหมือนกัน"







"อ่าว แล้วทำไมไม่ชวนมาทานข้าวด้วยกันล่ะ"







"ช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครว่างหรอกครับ ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง ครอบครัวอีก อุ่นเองก็อยากอยู่พร้อมหน้าแบบนี้มาตั้งนานแล้วเหมือนกัน"







"...คุณคะ คืนนี้ฉันขอไปนอนกับลูกนะ ฉันอยากช่วยไออุ่นแต่งตัว ตื่นมาจะได้ช่วยเขาได้เลย ไม่รบกวนคูณ...ฉันอยากให้รูปใหญ่ที่จะเอามาติดผนังห้องรูปล่าสุดของบ้าน เป็นรูปไออุ่นที่หล่อที่สุด คิกคิก"







"ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ "









ชายหนุ่มผู้กำลังจะได้เข้ารับปริญญาบัตรในวันพรุ่งนี้ยิ้มแย้มแจ่มใส พยักหน้ารับคำมารดาพร้อมเสียงหัวเราะสนุกสนาน ความสุขอันล้นเหลือที่ฉายชัดออกมาทางสีหน้าและแววตา ได้สะกิดใครบางคนที่นั่งโต๊ะไม่ห่างกันนัก ให้ต้องนิ่งงันลงไป









รวมไปถึงอีกฟากฝั่งของคนที่กำลังรับฟังบทสนทนาผ่านไมค์โครโฟนตัวจิ๋วที่ติดกับเสื้อเมฆาอยู่ด้วย












ตึก ตึก...ตึก ตึก






เลือดนักสู้สูบฉีดรุนแรง แม้จะบอกกับตนว่าต้องแข็งแกร่ง ต้องพุ่งชน และฆ่าแหลกไม่มีเหลือ แต่ลึกๆ ในใจภาสกรกลับสัมผัสได้ถึงความหวั่นไหว เขายังคงจำความรู้สึกช่วงที่บิดายังมีชีวิตได้ดี พวกเขาไม่ได้พูดคุยกันมากมายนัก แต่เขาก็ไม่เคยถูกทิ้งขว้าง หรืออยู่ห่างจากสายตาของบิดาเลย ความสุขที่เขาเคยได้รับ สร้างความอึดอัดใจให้เขาเป็นอย่างมาก








อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาก็ต้องลงมือสังหารบิดาของชายคนนี้แล้ว และตัวเขาเอง ก็คงต้องถูกหมายหัวจากไออุ่น ดั่งที่เขาหมายหัวศิขรินที่ฆ่าพ่อเขา เช่นในขณะนี้








ความอาฆาตแค้น ก็เหมือนไฟ...ไม่ได้ลุกลามเผาไหม้เพียงผู้ที่เราต้องการแก้แค้น แต่มันเผาไหม้กระทั่งใจเราด้วย








ภาสกรไม่อาจทนกับความรู้สึกบางอย่างนั้นไหว เขาลุกออกจากที่นั่น และเดินไปยังรูปถ่ายของบิดา อีกไม่กี่ชั่วโมง เขาก็ต้องออกไปทำภารกิจอันยิ่งใหญ่ ที่เฝ้ารอมาอย่างยาวนาน แต่ในใจกลับรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก








"ผมจะทำยังไงดีพ่อ...เด็กคนนั้น เขาจะกลายเป็นปีศาจร้ายอย่างผมไหม"








อึก







ภาสกรผู้ไม่อาจตอบคำถามในใจ ความรู้สึกเปราะบางนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจเป็นเพราะสิ่งที่เขากำลังสัมผัสจากเด็กคนนั้น ใกล้เคียงกับช่วงเวลาดีๆ ที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำระหว่างเขากับบิดา...หรือเป็นเพราะว่าชีวิตเขาได้พบกับใครบางคน ที่ทำให้เขารู้จักคำว่ารัก ห่วงใย และการได้รักชีวิตคนคนหนึ่งมากกว่าตนเองกันแน่











"...ผมคิดถึงพ่อ"








ความเข้มแข็งที่ภาสกรพยายามสร้างขึ้นเพื่อปิดบังทุกบาดแผลในใจเริ่มพังทลายลง เขายังคงคิดถึงบิดาในทุกวัน และหากว่าเขาเลือกได้ เขาก็ไม่ได้ต้องการสงครามหรือการล้างแค้นใดใดอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้











"...ภาส"









ในขณะที่ภาสกรกำลังหลั่งน้ำตาออกมาด้านหน้ารูปถ่ายของบิดา เสียงที่คล้ายกันกับเขาก็เอ่ยชื่อเขาขึ้น ภาสกรปาดน้ำตาออกอย่างรวดเร็ว แล้วเดินกลับขึ้นห้องส่วนตัวไปโดยไม่ได้หันกลับมามองคนด้านล่าง








ชายผู้เป็นใหญ่ที่สุดในปราสาทหลังนี้ ได้เห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของน้องชายก็เกิดความวิตกกังวลขึ้น...รักนั้นเป็นไฉน? ใยสุดแสนน่าหวาดหวั่น...สามารถเปลี่ยนปีศาจร้าย ให้กลายเป็นคนธรรมดาได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ทวิชได้แต่เฝ้ามอง และเริ่มหาทางเลือกที่สองไว้ เมื่อเห็นว่าบัดนี้ ภาสกร อาจไม่เหมาะกับหน่วยรบเดนตายของตนอีกต่อไป













แผนการลอบสังหารครั้งสุดท้ายเริ่มต้นขึ้นเมื่อภาสกรออกเดินทาง โดยที่ไม่ทันรู้ตัว รถยนต์อีกขบวนหนึ่งก็ได้ตามหลังเขาไปด้วย นายใหญ่แห่งปักษาทมิฬออกเดินทางตามไป เพื่อจัดการความแค้นสิบปีให้จบสิ้นลงเสียที








เมื่อเดินทางไปถึง ภาสกรก็รอสัญญาณจากทวิชที่อยู่ในรถอีกคัน ประมาณสามนาฬิกา...ก็ได้เวลาลงมือ ภาสกรหยุดรอในลิฟต์ เพื่อให้หน่วยเก็บกวาดทำงานจนเรียบร้อย โรงแรมขนาดกลางที่ถูกจองเต็มทุกห้อง แต่กลับมีห้องห้องหนึ่ง ที่ปรากฏชายร่างยักษ์ 2 คนยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่ หน่วยเก็บกวาดที่ได้เตรียมพร้อมมาอย่างดีสำหรับงานนี้ ประจันหน้ากับบอดิการ์ดทั้งสองด้วยปืนเก็บเสียง รวดเร็วอย่างที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัว พื้นที่ถูกเคลียร์อย่างราบคาบ หน่วยเก็บกวาดใช้อุปกรณ์ตัดโซ่และกลอนทุกชิ้นที่ถูกขัดไว้จากภายใน จากนั้นจึงได้รีบถอนกำลังไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณทั้ง 2 ของคนเฝ้าประตู เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย








ภาสกรเดินออกจากลิฟต์ และเดินเข้าไปในห้องพักของเป้าหมายที่ได้ทำเครื่องหมายไว้ตั้งแต่ 2 วันที่แล้วด้วยความเงียบเชียบ ชายสูงวัยนอนอยู่บนเตียงคล้ายยังไม่ทราบว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาในห้อง








ภาสกรจ้องมองใบหน้าศัตรูที่เขาเฝ้าเคืองแค้นมากว่าสิบปี ความเคียดแค้นที่เขาพร่ำบอกตนเองอยู่เสมอว่า ให้ฆ่ามันซะ หาทางลอบฆ่ามันให้ได้...กลับมีเสียงเสียงหนึ่งแว่วเข้ามาในโสตประสาท










'กินข้าวเสร็จต้องรีบนอนเลยไหม พรุ่งนี้ให้พ่อออกไปส่งกี่โมงดี'


'ตี 4 ครับ เดี๋ยวอุ่นออกไปพร้อมเพื่อนก็ได้ เพื่อนอุ่นคนนึงพักโรงแรมนี้เหมือนกัน'


'อ่าว แล้วทำไมไม่ชวนมาทานข้าวด้วยกันล่ะ'











มีดปลายแหลมที่เขาเฝ้าเพียรฝนครั้งแล้วครั้งเล่า มีดที่เขาตั้งใจจะปักลงตรงกลางใจของนายใหญ่แห่งเพลิงรัตติกาล มีดที่เขาตั้งใจจะกรีดเอาโลหิตอันเหม็นเน่าของชายผู้นี้ไปราดรดต่อหน้าหลุมศพของบิดา









"คนคนนี้เหรอ ที่พ่อยอมตายเพื่อเขา...ผมไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย ว่าคนคนหนึ่งจะยอมตายเพื่อคนที่รักได้ยังไงกัน...มันน้ำเน่าสิ้นดี พ่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารักพ่อบ้างไหม แต่พ่อก็ยังรักเขาทั้งๆ ที่เขาทำร้ายพ่อครั้งแล้วครั้งเล่า"









ยิ่งพูดไป ดวงใจยิ่งเจ็บปวด ชายแก่ตรงหน้าเขาบัดนี้ คือชายผู้โชคดีและดวงแข็งที่สุดเท่าที่ภาสกรเคยพบมา ทั้งได้เป็นเจ้าของดวงใจของบิดาที่เขารักมากที่สุด ทั้งยังได้ครอบครองอัคนีผู้งดงาม ก่อนหน้าเขาเสียอีก










"...ศิขริน"









"..."









"...ตื่น! "








แม้จะพูดเสียงดังหรือพยายามเขย่าหัวไหล่รุนแรงเพียงใด ชายผู้หลับใหลก็ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยินหรือตื่นขึ้นมาพูดคุยกับเขาเลยสักนิด








ภาสกรไม่รอช้า เร่งเข้าใกล้นายใหญ่แห่งเพลิงรัตติกาล และใช้สองนิ้วตรวจสอบลมหายใจของชายบนเตียง และพบว่า








...ศิขริน ไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว










สองมือกดไมค์โครโฟนจิ๋วที่ติดเสื้อเพื่อต่อสายไปยังผู้ที่กำลังเฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ








"แทน..."







"..."







"...มันตายแล้ว"







"..."







"...เยี่ยมมากไอ้น้องชาย"












ปิ๊บ!







ปลายสายที่เอ่ยกลับมาน้ำเสียงบ่งบอกถึงความลิงโลดในอารมณ์ ทวิชตัดสายไปพร้อมกับสั่งให้คนของตนขับรถกลับไปยังปราสาท หากแต่ภาสกรยังคงยืนอยู่ไม่ห่างจากร่างชายไร้วิญญาณด้วยความงุนงง










"...พ่อ? "







ชายร่างยักษ์ผู้กำลังจมอยู่กับความไม่เข้าใจ เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมีเสียงเล็กๆ ดังขึ้นไม่ห่างจากเตียงกว้าง เขาสบตาเข้ากับชายคนหนึ่งซึ่งมีดวงตาสั่นไหว คล้ายกับมีคำถามคาใจ ชายหนุ่มผู้หวีผมเรียบแปล้ ในชุดครุยตัวยาว









"...พ่อ"











"...ฉัน...เปล่า..."









หนุ่มน้อยน่ารักดวงใจสั่นไหวอย่างรุนแรง เหตุสะเทือนใจที่โถมเข้าใส่อย่างกะทันหัน ปิดทุกช่องทางการรับรู้ของเขาไป หลงเหลือไว้เพียงหยดน้ำตาอาบไล้เต็มใบหน้า วงขาเรียวสั่นเทาเดินถอยหลังไปเรื่อยๆ จนชนเข้ากับขอบประตู จากนั้นเจ้าตัวก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว









...ฆ่าแล้วจะได้อะไรล่ะ? นอนหลับสนิทขึ้นงั้นเหรอ เค้ามาฆ่าเรา เค้าก็นอนไม่หลับ เพราะกังวลว่าเราจะไปแก้แค้น...เรานั้นก็ไม่ต่างกัน กลับไปแก้แค้นเขา ก็ต้องมาเป็นทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจอีก เพราะกังวลว่าเขาจะกลับมาแก้แค้นเช่นกัน...ลุกไหม้ เผาลามวอดวายไปทั่ว ไม่มีที่สิ้นสุด









ภาพชายหนุ่มที่ภาสกรไม่เคยพบยังคงติดตรึงในดวงใจไม่หาย แม้ว่าเจ้าตัวจะวิ่งหายลับตาไปแล้ว และคราวนั้นเอง ที่ภาสกรสัมผัสถึงคำว่า...สลดใจเป็นครั้งแรก








เขายืนจมลึกในห้วงอารมณ์อยู่อย่างนั้นจนเริ่มตั้งสติได้ จึงได้เร่งฝีเท้าออกจากจุดนั้นด้วยเช่นกัน ขณะที่วิ่งไปมือก็กดพิมพ์ข้อความแจ้งคนที่รออยู่ด้านล่างเตรียมพร้อมหลบหนี รถยนต์ของปักษาทมิฬทุกคันแล่นออกไปเพียงครู่ เสียงไซเรนของรถตำรวจและรถพยาบาลในพื้นที่ก็วิ่งเข้าไปยังโรงแรมทันที








ภาสกรเฝ้ามองใบหน้ายิ้มแย้มของคนบนรถด้วยความสับสน ศิขรินตายแล้ว ดั่งที่เขาและพี่ชายตั้งใจไว้ ความพยายามหลายสิบครั้งบังเกิดผล แต่ภาสกรก็ไม่อาจมีรอยยิ้มบนใบหน้าได้










วิ๊งงง----------------------------------------------------










อาการหูดับ ดังเช่นคลื่นโทรทัศน์ที่อยู่ๆ ก็ถูกตัดฉากไป เหลือไว้เพียงความว่างเปล่าและภาพสีเดียวในดวงตา กำลังปรากฏขึ้นมาในโสตของปีศาจร้าย









แววตาสั่นไหวของชายหนุ่มในชุดครุยที่เขาพบเมื่อครู่ ตามหลอกหลอนเขา จนรถทุกคันแล่นเข้าสู่ปราสาทหลังใหญ่








ทวิชในชุดนอนเดินออกมาต้อนรับน้องชายและทีมงานทุกคนด้วยใบหน้าอารมณ์ดี








"สำเร็จแล้วนะภาส ในที่สุด พวกเราก็ทำสำเร็จ"








ทวิชโผเข้ากอดน้องชายแล้วตบไหล่แรงๆ ไปสองสามที จึงได้สังเกตเห็นสีหน้าของภาสกร








"นายเป็นอะไร? "







"แทน..."







"..."







"...ไม่ใช่ฉัน"







"นายหมายความว่าไง? "







"ฉันไม่ได้ฆ่ามัน...มันตายก่อนที่ฉันจะไปถึง"







ความจริงที่ภาสกรไม่ทันได้บอกตั้งแต่ตอนแรก ทำให้ทวิชนิ่งลงไปครู่หนึ่ง แล้วก็กลับมามีรอยยิ้มตามเดิม







"มันไม่สำคัญแล้วล่ะ...ยังไงมันก็ตายแล้ว"









เจ้าของบ้านกอดคอน้องชายแล้วเดินเข้าบ้านไป ทวิชมีงานที่ต้องสะสางอีกหลายอย่างจึงได้ขอตัวแยกไปก่อน ปล่อยให้ภาสกรเดินอย่างเชื่องช้าไปหาภาพถ่ายของบิดาอีกครั้ง







"..."







ความสับสนมากมายไร้ซึ่งคำพูดใด ภาสกรยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้น จนแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในตัวปราสาท








อีกหนึ่งสิ่งหลังจากสังหารศิขรินได้ ที่เขายังรอคำตอบใกล้เข้ามาทุกที ความหวังเพียงเล็กน้อยในใจ สำหรับคำพูดของทวิช...เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลังจากศิขรินตาย











สองวันถัดจากนั้น นายใหญ่แห่งปักษาทมิฬก็ได้เรียกภาสกรเข้าพบ และยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งให้











'ยาพิษแล่นเข้าร่าง....
สิ้นชื่อ เจ้าพ่อคนดังแห่งเพลิงรัตติกาล
ภรรยากว่าร้อย พาลูกเข้าฟังพินัยกรรม
เปิดตัวเจ้าสำนักคนใหม่...อัคนี เพลิงอัคนี'















------------------------E-N-D---C-H-8-----------------------

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-09-2019 13:44:51 โดย Savahale »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 9 : Mayor's Birthday (Original)













พุทธศักราช 2562








"นายเรียกฉันมา มีอะไร"







"อาทิตย์หน้าฉันมีนัดกับ มิสเตอร์อัลเบิร์ตที่นิวยอร์ก..."







"จะให้ฉันไปอารักขานาย? "







"เปล่า...นัดหมายมันตรงกับวันเกิดท่านนายกเทศมนตรีพอดี นายก็รู้ ฉันต้องไปร่วมงานทุกปี...งานน่าเบื่อ...อาหารเดิมๆ ....ดนตรีโบราณ แต่ก็จำเป็นต้องไป"







"แล้วนายจะทำไง? "







"ฉันจะให้นายไปงานท่านนายกเทศมนตรีแทนหน่อย"







"ไม่ล่ะ นายก็รู้ฉันไม่ชอบออกงานสังคม แล้วก็ไม่เคยไป ทำไมนายไม่ให้คนอื่นไป"







"...นายได้ยินข่าวเรื่อง ฆาตกรต่อเนื่องในเมืองเราใช่ไหมภาส"












ปุบ!








หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พาดหัวข่าวสะเทือนขวัญ ถูกโยนลงบนโต๊ะตรงหน้าภาสกร




















"หลานเสี่ยบุญนำ หุ้นส่วนเรา..."







"..."







"ถ้าสมมติว่า...มีชายกลุ่มใหญ่กลุ่มนึง มีพรรคพวกเยอะมากๆ เขามาร่วมงานวันเกิดนายทุกปี...แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง ในเมืองที่นายอาศัยอยู่ ก็เกิดคดีฆาตกรรมประหลาด ประมาณว่าศพถูกทรมารด้วยวิธีต่างๆ ...แล้วบังเอิญว่า ชายกลุ่มใหญ่ที่มาร่วมงานวันเกิดนายทุกปี ไม่มาเข้าร่วมในช่วงนั้นพอดี...เป็นนาย นายจะแปลกใจไหม ว่าพวกเขาหายไปไหน? นายจะสงสัยไหม...ว่าพวกเขากำลังหลบหน้าหรือปิดบังอะไรนายอยู่"







"...แล้วทำไมต้องเป็นฉัน"







"เพราะนอกจากฉัน คนที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้านหลังนี้ก็คือ นาย! "









ไม่เคยมีครั้งไหน ที่เหตุผลอันน้อยนิดของภาสกรจะสามารถเอาชนะตรรกะอันยาวเหยียดของทวิชได้ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็เป็นจริงอย่างที่เขาว่า เหยื่อรายแรกของคดีสุดอื้อฉาวในรัตติกาลนครคือหลานสาวหุ้นส่วนคนสำคัญของแก๊งปักษาทมิฬ การไปร่วมงานก็ถือเป็นเครื่องยืนยันความบริสุทธิ์ใจอย่างหนึ่งของแต่ละองค์กรณ์ว่า ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องราวเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้









"แต่ฉันไม่รับปากนะ ว่าจะมีเรื่องมีราวตามมาให้นายปวดหัวไหม"







"ถ้านายกังวลเรื่องที่จะเจอกับหัวหน้าฝั่งนั้นล่ะก็ สบายใจได้...อัคนีไม่เคยมาร่วมงานเองตลอดสิบปี เขาส่งเพลิงพระพายมาแทนตลอด"







"ฉัน...ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น"







"...ฮึ! "









ถึงจะบอกว่าไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น แต่เขาก็รู้สึกเบาใจไปไม่น้อยที่ได้ฟังเช่นนั้น สิบปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวบนโลกที่ภาสกรพยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุด ก็คือการเจอหน้าอัคนี คนที่เขารักดั่งดวงใจ ที่บัดนี้ขึ้นเป็นใหญ่ในเพลิงรัตติกาลหลังศิขรินถูกบุคคลปริศนาลอบสังหารก่อนที่เขาจะไปถึง และก็เป็นดังที่เขาหวัง นายใหญ่คนใหม่แห่งเพลิงรัตติกาลคือชายผู้ที่เข้าถึงตัวยากมากที่สุด








แม้ดวงใจจะเจ็บปวด แต่ระยะเวลาอันยาวนาน ก็ได้ช่วยสมานแผลเขาไปได้มาก ในคราวแรกก็เคืองแค้นแสนสาหัส จนปีแรกได้ผ่านไป...ปีที่สองผ่านไป...จนเข้าสู่ปีที่ห้าและหก ใบหน้าอันงดงามที่ยังคงติดอยู่ในใจ ก็เริ่มที่จะเลือนรางไปทีละน้อย ทั้งความผูกพันและความเจ็บปวด








ติดอยู่เรื่องเดียวในใจคือ...ใครเป็นคนฆ่าศิขรินตัดหน้าเขา









"ฉันสั่งคนมาวัดตัวตัดชุดให้นายแล้วนะ วันงานก็ทนๆ เอาหน่อย ไปสักชั่วโมงสองชั่วโมงให้เขาเห็นหน้า ทักทายเล็กน้อยเป็นพิธีแล้วค่อยกลับ แล้วก็อย่าลืม ห้ามมีเรื่องในงานเด็ดขาด นายเป็นตัวแทนของคนทั้งแก๊ง เข้าใจไหม"








"ครับ...พ่อ"







"ฮึฮึ"









ทวิชร่ายยาวในชุดพร้อมเดินทาง ธุรกิจมืดที่เขาพยายามกระจายอำนาจไปไกลที่สุดเท่าที่เจ้าตัวจะทำได้ และคราวนี้การเจรจาก็อาจกินเวลายืดเยื้อไปเกือบสองสัปดาห์ หรือนานกว่านั้น








"นายไม่คิดว่าฉันควรไปอารักขานายเหรอ"







"...เราทุกคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเอง ใช่ไหม...ไว้เจอกัน ไอ้น้องรัก"








เจ้าของบ้านเริ่มออกเดินทางไปแล้ว ทิ้งปราสาทหลังงามให้เป็นหน้าที่ของภาสกรชายผู้เลือดร้อน แม้บัดนี้อายุอานามจะปาเข้าไป 36 ปีแล้ว แต่แรงโทสะดั่งวัยคะนองก็แทบไม่ได้เลือนหายไปจากเขาเลย










เริ่มจาก









"จะวัดอะไรนักหนา! "









และ









"ชุด...ม่งโคตรคับเลย"









และ









"...เพลงโบราณมากจริงๆ ด้วย...อาหารก็โคตรจืด"










ภาสกรนั่งถอนหายใจอยู่ที่โต๊ะกลมใกล้ๆ กับเวที โดยมีบอดิการ์ดหลายคนยืนล้อมรอบเขา เนื่องจากเขาสั่งไว้ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวาย เขาไม่คิดจะทักทายใคร และไม่คิดอยากให้ใครเข้ามาทักทายเขาเช่นกัน และเขาเองก็ยังคงมองหาท่านนายกเทศมนตรีอยู่ จะได้รีบคุยรีบกลับ








แต่แล้ว








ก็มีเสียงดังเกิดขึ้นบริเวณหน้าทางเข้างาน ปรากฏเป็นชายสองกลุ่มเล็กๆ กำลังรุมต่อยตีกันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยมือเปล่า การ์ดในงานกรูเข้ามาช่วยกันแยกทั้งคนสองกลุ่มออกจากกัน แต่ด้วยฝีมือที่เหนือชั้นกว่า จึงไม่มีการ์ดคนไหนสามารถเข้าห้ามได้อย่างเด็ดขาด









ภาสกรแทบไม่ต้องคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอก เขากังวลทุกอย่างตั้งแต่เริ่มเดินเข้ามาในงาน โดยเฉพาะกลัวว่าตนจะสร้างปัญหาให้ต้องถูกทวิชบ่นร่ายยาวจนหูดับอีก สองขาแข็งแรงพุ่งลุกจากโต๊ะออกไปทันที แต่ด้วยสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า คือพวกพ้องที่เขารู้จักหลายคนกำลังเริ่มมีเลือดหยดไหลออกมา เขาจึงไม่อาจห้ามโทสะได้










“พวกมึงพอ!!!”









ดุจดั่งพายุลูกยักษ์ รุนแรงและสะเทือนปฐพี เสียงตะโกนออกคำสั่งดังลั่น หยุดทุกการเคลื่อนไหวของคนในที่นั้นไว้ทุกคน แม้กระทั่งนักดนตรีที่กำลังบรรเลงบทเพลงอยู่บนเวทีด้านใน ปืนกระบอกเล็กถูกนำออกมาจ่อไปยังชายคนหนึ่งในวงต่อสู้เมื่อครู่













แกร๊ก










ปืนถูกขึ้นไกพร้อมยิงออกไป แต่แล้วปลายกระบอกปืนก็หันไปตามเสียงเรียก








“พอแค่นั้นแหละ”












กึก









น้ำเสียงทุ้มต่ำกดข่มสงบนิ่ง เย็นวาบดุจดั่งคุ้นชินในความรู้สึก แม้ใจจะคิดว่าลืมเลือนไปหมดแล้ว หากแต่เมื่อภาสกรเงยหน้าขึ้นมา ชายผู้หนึ่งที่เขาไม่ได้พบหรือพูดคุยทำความเข้าใจมาเกือบสิบปีก็มายืนอยู่ตรงหน้า ความเจ็บปวดที่กัดกินเขาเป็นเวลายาวนาน สร้างเกราะขึ้นมาหนึ่งชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เขาต้องกลับไปเจ็บปวดอีก...เกราะที่เรียกว่า ความคั่งแค้น








อัคนีมองเขาด้วยแววตาดังเช่นที่ทวิชใช้มองหุ้นส่วนหลายๆ คน มันว่างเปล่าและไม่สามารถรับรู้เรื่องราวความนัยได้เลย และแม้ว่าภาสกรจะจ้องเขม็งด้วยแววตาเคียดแค้นเพียงใด อัคนีก็ไม่คิดหลบ












ปึง ปึง ปึง









“สวัสดีครับทุกท่าน…ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ที่ทุกท่านมาร่วมงานในวันนี้…”









ทุกอย่างหยุดลง พร้อมกับปืนกระบอกเล็กในมือของภาสกรที่ลดระดับลง เมื่อเสียงของนายกเทศมนตรีได้ขึ้นกล่าวบนเวที ทุกคนถูกเชิญให้กลับเข้าที่ ภาสกรซ่อนข่มความรู้สึกที่หลากหลายในใจตนไว้ภายใต้ใบหน้าอาฆาตรุนแรง มือหนาสั่นเทาเล็กน้อยตามแรงกระเพื่อมของหัวใจที่เต้นแรงแทบทะลุทรวงอกออกมา









อัคนีเดินกลับไปนั่งยังโต๊ะอีกฝั่งอันไกลโพ้นจากกลุ่มปักษาทมิฬ แต่ภาสกรก็ไม่อาจละสายตาจากใครบางคนในความทรงจำไปได้ เขาจับจ้องไปยังอัคนีตลอดเวลา แม้ว่าทางฝั่งนั้นจะไม่หันมามองเขาเลยสักนิด









ตะกอนอันนอนเนื่องในใจที่ถูกสิ่งอื่นทับถมเป็นเวลานาน ค่อยๆ ลอยขึ้น พร้อมกับแรงโทสะที่ไม่อาจหยุดยั้งของเจ้าตัว เขาใช้ทุกคำสอนของเซียนปักษาเข้าข่มอารมณ์ในตอนนี้ แต่ก็ไม่เป็นผล ภาสกรรอจนท่านนายกเทศมนตรีกล่าวจบ เขาก็รีบเข้าไปทักทายดั่งที่พี่ชายได้สั่งไว้ พูดคุยเพียงสองสามประโยคก็ขอตัวลากลับ









เขาไม่อาจทนเห็นหน้าอัคนีได้ มันปวดร้าวไปหมด ทั้งเจ็บทั้งแค้น อกแทบระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ อัคนีที่เขามองเห็นในวันนี้ ยังคงความงดงามไม่ต่างอะไรกับสิบปีก่อน หากแต่ท่าทางนั้น สง่าและสุขุมลุ่มลึกขึ้นมาก แววตานิ่งสงัดที่เขาอ่านไม่ออก ความรู้สึกที่สัมผัสไม่ได้ว่ายังคงมีเขาหลงเหลือในใจ สร้างความเจ็บปวดดั่งมีดนับพันเล่มกำลังทิ่มแทงทุกส่วนของร่างกายเขาอยู่ก็ไม่ปาน









และไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถหักห้ามใจไม่ให้นึกถึงคนที่เขารักสุดหัวใจคนนี้ได้เลย








---------------------------------------------------------------------









"เขาออกไปแล้ว"







เพลิงพระพายที่นั่งข้างชายสูงใหญ่ในท่าทางสบาย สวมใส่ชุดสูทสุดหรูสีขาวขลิบน้ำเงิน เรียกใครบางคนที่เขาสังเกตุได้ว่าดื่มหนักกว่าทุกที อัคนีหันไปมองยังเก้าอี้ว่างเปล่าของชายคนหนึ่งที่เอาแต่จ้องเขาไม่วางตา แววตาเย็นชาที่เขาฝึกฝนมานานหลายปี แปรเปลี่ยนฉายแววสั่นไหว







"ดูเขาแค้นคุณมากเลยนะครับ"







"...แบบนี้แหละดีแล้ว"








---------------------------------------------------------------------










ภาสกรเมื่อกลับถึงบ้าน ก็เดินเข้าห้องส่วนตัวของเขาทันที และคล้ายกับว่า จะได้พบหน้าของใครบางคนที่มักนั่งรอเขาเป็นประจำในจุดๆ เดิม เพื่อรอต้อนรับกลับในยามที่เขาเหนื่อยจากการใช้แรงงาน บาดแผลทุกรอยที่เขาเต็มใจให้ใครก็ตามฝากไว้บนร่าง เพื่อปกป้องสิ่งสำคัญของเขา ชายหนุ่มผู้งดงามที่เขาเคยบอกรัก กกกอดมานานร่วมปีกว่า คนที่ร้องไห้ไม่ยอมกินข้าวเพราะเป็นห่วงเขา ชายผู้ติดเสื้อผ้าของเขาเสียยิ่งกว่าตัวเขาเอง ชาย...ผู้หลอกลวง








เจ้าของห้องทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง และเริ่มทบทวนทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่เคยได้ฟังคำตอบจากอัคนี ว่ารู้สึกอย่างไรกับตน และเป็นเพียงเขาเอง ที่ไปจับตัวอัคนีมาไว้เป็นตัวประกัน และเป็นเขาเองที่บังคับให้อัคนีเป็นหมอนข้าง และเป็นเขาเองที่ทำทุกอย่างเพื่อความรัก และเป็นเขาเองที่เป็นคนบอกรัก...อยู่ฝ่ายเดียว











ติ๊ด ติ๊ด...ติ๊ด ติ๊ด








"ฮัลโหล"








"งานเป็นไง นายไม่ได้หาเรื่องอะไรมาให้ฉันใช่ไหม? "









ชายหนุ่มผู้กำลังจมจ่อกับความเจ็บปวดทางใจ เผยรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงค่อนขอดจากพี่ชาย








"แทน..."








"หืม..? "








"เขาไปที่นั่น"








"..."








"อัคนี...? "









"..."








"นายยังไม่ลืมเขาอีกเหรอ จะสิบปีแล้วนะภาส"









"เพราะนายคนเดียว ฉันถึงต้องเจอเขาอีกครั้ง"








"แล้วนายทำไง ได้คุยกันไหม"








"จะให้คุยอะไร มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว...ทุกอย่างเป็นอย่างที่นายพูด"








"..."








"...แทน...? "








"นายรู้สึกยังไง"








"...ไม่รู้เหมือนกัน มันปนกันไปหมด"








"นายอยากจบเรื่องนี้ไหมภาส"









"ยังไง"








"..."








"ทุกปีในวันครบรอบวันตายของศิขริน อัคนีจะเอาดอกไม้ไปเยี่ยมเขาที่หลุมศพ ถ้านายอยากจบเรื่องนี้ ฉันแนะนำว่า...ฆ่าเขาซะ"














อึก








"แต่ถ้าทำไม่ลง จะให้ฉันช่วยก็บอกได้"









"ไม่! "









"..."








"ฉันจะจบเรื่องนี้เอง"










ภาสกรผู้เต็มไปด้วยความคิดที่หลากหลาย เริ่มวางแผนปลิดชีพอัคนีในวันที่การคุ้มกันหละหลวมที่สุด ข้อมูลลับจากทวิชที่ได้บอกกับเขา ทำให้ชายผู้ไร้เป้าหมายในชีวิตกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง อีกเพียง 3 วัน ก็จะถึงวันครบรอบการเสียชีวิตของศิขริน และนั่นถือเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับเขา















------------------------E-N-D---C-H-9-----------------------

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:









คุณ AkuaPink  :3123:

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ด้วยนะคะ  :pig4: :pig4:

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 10 : รัก...ทรมาน

Alert : โปรดระวัง ด้านในมีฉากรุนแรง
















ภาสกรในวัย 36 ปี ฟิตซ้อมร่างกายและจิตใจอย่างหนักเพื่อใช้ในเหตุการณ์เฉพาะหน้า ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องยุติเรื่องนี้ลงเสียที มันยาวนานเกินไปแล้ว หากว่าอัคนียังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าอย่างไรวันใดวันหนึ่งข้างหน้าทั้งคู่ก็ต้องได้พบกันอีก และความเจ็บปวดในใจเขาก็จะไม่มีวันจบสิ้น









เมื่อวันตัดสินชะตากรรมมาถึง ภาสกรขับรถออกจากปราสาทเพียงลำพัง เขาไม่ได้บอกใคร มีเพียงทวิชคนเดียวที่รู้ถึงแผนการนี้ และเมื่อไปถึง









เขาก็พบว่าบริเวณหลุมศพยังไม่มีใครมา ภาสกรซุ่มรออยู่ครู่หนึ่งรถยนต์สุดหรูติดฟิล์มดำรอบคัน ก็ขับเข้ามาจอดบริเวณด้านหน้าทางเข้าสุสาน ไม่นานถัดจากนั้น บุรุษผู้มีวงหน้าขาวเนียนก็เดินลงจากรถมาเพียงลำพัง









ชายในชุดสูทสีขาวสนิท ก้าวเดินในท่วงท่าสง่าผ่าเผย ผ่านจุดที่ภาสกรซ่อนตัวอยู่แล้วเดินลึกเข้าไปในสุสานเพียงลำพัง โดยที่ไม่รอช้า มือสังหารแห่งปักษาทมิฬที่รอจังหวะอยู่แล้ว เร่งฝีเท้าเดินตามเขาเข้าไปด้านใน









มือขาววางช่อดอกไม้ลงตรงหน้าป้ายหลุดศพที่เขียนว่า 'ศิขริน เพลิงอัคนี'















แกร๊ก









ลำกล้อง Glock 17 Gen 4 จ่อเข้ากลางศีรษะทางด้านหลังของอัคนี ชายผู้ประนมมือไว้ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือคิดหนี เขานิ่งเสียจนภาสกรต้องหายใจติดขัด เมื่อมือที่ประนมเข้าหากันทิ้งลงข้างตัว ขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วค่อยๆ หันกลับมาหาผู้ร้ายที่กำลังจ่อปืนเข้าหาตน









ครั้งที่สองในรอบสิบปี ที่อัคนีและภาสกรได้จ้องตากันตรงๆ และเป็นเช่นเดิม อัคนีมีแววตาที่ว่างเปล่าส่งไปให้ผู้ร้ายพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ











"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"









"มีใครอยู่ในรถอีก! "









"...ฉันมาคนเดียว"









อัคนีตอบพร้อมปิดตาลง ดังเช่นวันแรกที่เขาทั้งคู่ได้พบกัน ไม่มีบอดิการ์ด ไม่มีการขัดขืน ชายผู้สง่างามตั้งใจมาที่นี่เพื่อให้ภาสกรสังหารตน











"ฉันเคยถามนายมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็จะถามเหมือนเดิม..."









"..."









"..นายเคยรักฉัน อย่างที่ฉันรักนายบ้างไหม"











แค่นิดเดียว แค่ตอบว่ารักเหมือนกัน แม้นั่นจะเป็นเพียงคำลวง ภาสกรก็พร้อมที่จะลดปืนลงแล้วปล่อยเขาไปในทันที











"..."










"...ไม่"










อัคนีตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาแม้ดวงตาจะยังคงปิดสนิท และนั่นก็ดีแล้ว ที่เขายังไม่ลืมตาขึ้นมา ไม่เช่นนั้น คงได้เห็นว่าปักษาผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้กำลังหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่อาจหยุดยั้ง











เจ็บปวดเจียนขาดใจแล้วกับความรักครั้งนี้ ภาสกรพร้อมเต็มที่ ที่จะลั่นไกออกไป แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่อาจกลั้นใจยิงออกไปได้เลย













ฟืดด









เสียงคล้ายการสูดลมหายใจอย่างยากลำบากครั้นร้องไห้ เรียกให้อัคนีลืมตาขึ้น แต่ก็ไม่ทันผ้าปิดตาสีดำผืนใหญ่ที่ถูกครอบศีรษะของเขาเอาไว้ มือทั้งสองข้างถูกนำไปไขว้ไว้ด้านหลังแล้วล็อกด้วยกุญแจมือ










"ภาสกร...จะทำอะไร!?! ทำไมไม่ยิง! "










ชายผู้วางท่าเย็นชา เริ่มออกอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อกระสุนที่เขาตั้งใจเตรียมมารับ กลับยังไม่เจาะเข้ากะโหลกของเขา











"ปล่อยฉันนะ! "









"ไปรำลึกความหลังกันหน่อยเป็นไง เพลิงบอกเองนี่...ว่าเพลิงเต็มใจ"










เสียงกระซิบที่ข้างหนูชายผู้ถูกปิดตา สั่นเครือไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่เจ้าตัวและแม้แต่ผู้ฟังก็ไม่อาจแยกออก และนั่นคือสิ่งที่อัคนีไม่ต้องการให้เกิดขึ้นมากที่สุด














กริ๊ก!









เจ้าสำนักเพลิงรัตติกาลถูกภาสกรพาขึ้นรถส่วนตัวของเขา แล้วขับตรงกลับไปยังปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณตอนใต้ของรัตติกาลนคร กับระยะทางที่รถค่อยๆ ขับห่างออกไปจากสุสาน อัคนีที่ถูกปิดตาอยู่เริ่มรับรู้ถึงชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นกับตน แต่เขาก็ไม่คิดหนีแต่อย่างใด เพราะทั้งชีวิตเขานั้น อุทิศเพื่อชายอันเป็นที่รักยิ่งคนนี้มานานกว่าสิบปีได้แล้ว









ชายผู้ถูกผ้าคลุมสีดำปิดตาไว้ให้มืดมิด ถูกมือหนากระชับที่ลำคอ แล้วผลักเขาให้ออกเดินไปข้างหน้า สถานที่ที่อัคนีเคยอาศัยอยู่ถึงปีเศษ ความทรงจำมากมายเริ่มต้นขึ้นเมื่อขาเขาค่อยๆ ก้าวเข้าไปด้านในตัวบ้าน ภาพเพดาน ผนัง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นยังคงติดตา แต่แล้ว เขากลับไม่ได้ถูกบังคับให้ขึ้นไปยังห้องส่วนตัวของภาสกร เหมือนคราวแรกที่ถูกลักพาตัวมา









สองขาก้าวเดินตามแรงบังคับจากด้านหลัง เขายังคงอยู่ที่ชั้น 1 ของตัวบ้าน และค่อยๆ ถูกนำให้เดินตรงไปลึกเรื่อยๆ ผ่านห้องที่เขาเคยเข้าไปพบภาสกรที่นอนไม่ได้สติเมื่อครั้งถูกระเบิด และลึกเข้าไปเรื่อยๆ อีก














แกร๊ก











แอ๊ด









เสียงประตูถูกเปิดออกดังขึ้น อัคนีก้าวต่อไปตามแรงกระชากและพบว่าเขากำลังเดินออกด้านนอกของตัวบ้านผ่านประตูอีกฝั่งหนึ่ง










"จะพาฉันไปไหน? "









"..."









อัคนีไม่ได้รับคำตอบใดกลับมา มีเพียงแรงผลักที่เริ่มรุนแรงขึ้น เขาก้าวตามภาสกรไปเรื่อยๆ และได้ยินคล้ายเสียงเปิดประตูเหล็กพับ ใครบางคนที่อยู่ในละแวกนั้นเอ่ยทักทายทำความเคารพต่อภาสกร จากนั้นอัคนีก็ถูกพาให้เดินเข้าไปด้านในต่อ เมื่อปลายเท้าย่างเข้าไปในสถานที่นั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความชื้นและเย็นวาบ อากาศที่ต่างไปจากด้านนอกโดยสิ้นเชิง









เจ้าสำนักเพลิงรัตติกาลที่ดำรงตำแหน่งมาถึงสิบปี รู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังถูกพาไปที่ไหน ยิ่งเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ ความเย็นและความชื้นยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เสียงโหวกเหวกโวยวายลอยเข้าสองหูพร้อมกับกลิ่นอับและเหม็นเน่าที่โชยมา คล้ายกับมีอะไรตายอยู่ในนี้









ภาสกรหยุดยืนอยู่ที่ประตูห้องห้องหนึ่ง เขานำกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วไขเข้าไป เมื่อไขเรียบร้อย ก็ผลักอัคนีเข้าไปด้านไป เดินไปอีกเล็กน้อย ก็หยุดไขกุญแจอีก









จนกระทั่งมาถึงจุดที่อัคนีคิดว่า อาจเป็นที่อยู่สุดท้ายของลมหายใจตนเองแล้ว มือขาวทั้งสองข้างถูกจับยกขึ้น แล้วล็อกกุญแจติดไว้กับคาน ชายตัวสูงไม่ได้มีท่าทีขัดขืน แม้ตนเองถูกจับมัดห้อยตัวอยู่ก็ตาม











"...พาฉันมาที่นี่ทำไม? "








"..."









อัคนียังคงไม่ได้รับคำตอบใด และเสียงฝีเท้าของคนที่จับเขามัดก็ค่อยๆ เดินห่างออกไป จนห้องทั้งห้องมีเพียงเขาที่ห้อยอยู่ลำพัง










นานหลายชั่วโมงตั้งแต่ภาสกรเดินออกไป ขาแข็งแรงทั้งสองของนายใหญ่แห่งเพลิงรัตติกาลก็ยังคงยืนอยู่ จนเสียงดังขึ้นอีกครั้งที่หน้าห้อง














พลึบ!










ผ้าคลุมถูกเปิดออก และเป็นอย่างที่อัคนีคิดไว้ ที่นี่คือห้องทรมานของปักษาทมิฬ อุปกรณ์มากมายที่หาไม่ได้ทั่วไปในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นดาบหลายสิบเล่มที่วางอยู่บนชั้น ถังไม้ใบใหญ่ที่ขอบเริ่มขึ้นสนิม กรงขนาดพอดีตัวที่ห้อยอยู่ไม่ห่างจากจุดที่เขาถูกมัด มุมที่มีขาตั้งปืนและปืนขนาดใหญ่สำหรับเล็งและจ่อยิงได้อย่างจะจะ เตียงเหล็กสีชวนให้เจ็บปวด รวมไปถึงชั้นวางเลื่อย มีด สนับมือ ของมีคนแทบทุกชนิด













ผลัวะ!









โดยที่ไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าขาวเนียนก็ถูกหมัดหนักๆ ของชายผู้เดินเข้ามาเมื่อสักครู่พุ่งเข้าใส่เต็มหน้า ความปวดแล่นแปร๊บเข้ามาทันทีจากทุกโสตประสาทการรับรู้ สติเริ่มมึนเบลอจากการถูกกระทำอย่างกะทันหันและรุนแรง โลหิตสีแดงไหลออกมาทางจมูกและปาก ปรากฏรอยแตกร้าวบนสันจมูกจนเลือดซึมออกมามากมาย













ปัก!









อัคนีที่ยังไม่ทันได้ลืมตาและตั้งตัวตรง ถูกหมัดเดิมนั้นชกเข้าบริเวณท้องอย่างแรง













อัก!!!









เลือดพุ่งออกมาจากปากอีกครั้งพร้อมกับอาการไออย่างรุนแรง














แค่ก แค่ก แค่ก









อัคนีพยายามเงยหน้าขึ้นมองชายผู้มอบความเจ็บปวดให้แก่เขา และพบว่า แววตาของชายผู้นั้นเต็มไปด้วยความสนุกและสะใจเต็มที่











"พึ่งโดนไปสองหมัด! อย่าพึ่งรีบสลบล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า"











เขาจำเสียงนั้นได้ในทันที ชายที่เอ่ยทักภาสกรที่หน้าประตูทางเข้าที่เขาผ่านมาเมื่อครู่ อัคนีไม่แปลกใจนักที่คนของปักษาทมิฬจะเกลียดชังตนถึงเพียงนี้













ผลัวะ!









อีกครั้งที่หมัดหนักๆ เสยเข้าเต็มใบหน้า อัคนีคอพับลงพร้อมพ่นบางอย่างออกจากปาก ฟันและเลือดที่กระเด็นลงบนพื้น อาการเจ็บปวดที่ถูกซ้ำเข้าเรื่อยๆ จนอัคนีเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วม













ผลัวะ!









อีกหนึ่งหมัดที่ประเคนเข้าบริเวณหน้าท้องของชายในชุดสูทที่เคยขาวสนิท บัดนี้ถูกแต้มไปด้วยสีแดงสด และกลิ่นคาวของโลหิตที่โชยมา และนั่นก็เป็นหมัดสุดท้ายก่อนที่อัคนีจะสลบไป









อัคนีสลบไปแล้ว และนั่นทำให้ผู้ลงมือกระทำความรุนแรงฉายสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน เขาสบถเสียงดัง และเดินไปยังถังไม้ใบใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างมือนัก ถังถูกยกขึ้นแล้วน้ำด้านในก็ถูกสาดเข้าใส่ชายผู้หมดสติ ให้ได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง













แฮก แฮก แฮก









"จะฆ่าฉันก็รีบฆ่า...! "









ชายสูงโปร่งในชุดเสื้อยืดและกางเกงตัวโคร่งสีน้ำตาล วางถังไม้ลงที่เดิมแล้วเดินเข้าใกล้อัคนีพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม











"ไม่ต้องรีบหรอกอัคนี...คนอย่างแก มันต้องตายทรมาน"











ว่าแล้ว ชายผู้เลือดเย็นก็เดินไปหยิบมีดสั้นที่คมเสียจนสะท้อนแสงไฟมาเล่มหนึ่ง แล้วกรีดลงไปตามร่างกายอย่างไม่ลึกมาก ทั้งหัวไหล่ หน้าอก ลำคอ ลำแขนทั้งสองข้าง หน้าท้อง บริเวณหลัง เรียกได้ว่าองศามือวาดไปทางไหน ก็ได้ฝากรอยมีดเอาไว้ในทุกที่ โลหิตสีแดงสดไหลออกมาจากบาดแผลนั้นอย่างช้าๆ พร้อมๆ กัน









ผู้ลงมือยืนมอง ชายผู้เป็นต้นเหตุให้คนในครอบครัวเขาต้องตาย ค่อยๆ เลือดไหลออกจากร่างเนิ่นนานจนผู้ที่ถูกมัดเริ่มมีใบหน้าที่ซีดลงเรื่อยๆ และใกล้หมดสติลงอีกครั้ง











"อย่าพึ่งรีบตายอัคนี นี่พึ่งแค่เริ่มต้น"











ชายคนเดิมเดินไปหยิบถังไม้อีกใบที่วางข้างกัน แล้วสาดน้ำให้โชกไปทั้งร่างของอัคนี ชายผู้มีบาดแผลเต็มตัว ถูกน้ำเกลือถังใหญ่สาดเข้าให้เต็มๆ














"ฮื่อ!!!! "











เสียงทุ้มต่ำลอดไรฟันที่ถูกกัดข่มเอาไว้ สันกรามหนาฉายชัดขึ้น ความเจ็บปวดแล่นขึ้นเป็นริ้วๆ ใบหน้าขาวเนียนบัดนี้เต็มไปด้วยรอยเลือดของตนที่ถูกน้ำสาดเข้าใส่เมื่อครู่ และเส้นเลือดที่ปูดโปนออกมาจากความเจ็บปวดที่ถูกสกัดกั้นไว้









ร่างกายเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเลือดยังคงไหลออกตามบาดแผลที่ถูกกรีดไว้เมื่อครู่ อัคนีเริ่มมีดวงตาที่พร่าเบลอและลมหายใจแผ่วเบาลงไปทุกที









ชายคนเดิมเดินไปยังโต๊ะที่ไม่ห่างจากจุดนั้นมากนัก นำเข็มกับด้ายมาร้อยเข้าหากัน จากนั้นจึงฉีกกระชากเสื้อผ้าและกางเกงของชายผู้พร้อมสลบลงไปออกทั้งหมด















"อร๊ากกกกก!!!! "












สติที่ใกล้ดับ กลับมาสูบฉีดอะดรีนาลีนอีกครั้ง เมื่อเข็มเล็กทิ่มเข้าไปยังเนื้อแบบสดๆ ไร้ซึ่งยาชาใดๆ เขากรีดร้องโหยหวนอย่างไม่อาจห้ามไหว แม้กระนั้น อัคนีก็ยังคงได้ยินคำพูดที่มึนเบลอในโสตประสาทว่าเขาห้ามตาย มือก็บรรจงเย็บแผลสดไปเรื่อยๆ ทีละแผล จนครบทุกแผลที่เขาได้ลงมีดกรีดเอาไว้ในตอนแรก










อัคนีทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาสลบลงไปในที่สุด ชายคนเดิมที่เย็บแผลจนเสร็จเดินไปยังตู้แช่แล้วหยิบเอาเลือดสองถุงออกมา ต่อเข้ากับสายและส่งเข้าร่างของชายผู้หมดสติ มือทั้งสองข้างที่ถูกมัดให้ห้อยอยู่ถูกปลดลงมา แล้วนำร่างไปไว้บนเตียงเหล็กพร้อมกับล็อกข้อมือและข้อเท้า ขึงพืดไว้กับเตียง










จากนั้นเขาจึงได้นำผ้าสำหรับปิดแผล มาปิดที่แผลที่เขาเย็บไปเมื่อครู่อย่างชำนาญ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ชายคนเดิมก็ได้เดินออกจากห้องไป เพื่อพบใครบางคนที่รออยู่ด้านนอก












"..."









"มันไม่ตายหรอก...เชื่อมือผม"









ภาสกรมีใบหน้าดุดัน ไม่ใช่ในความหมายที่กำลังโกรธแต่งอย่างใด แต่คล้ายกับอยากฆ่าชายที่ยืนคุยกับเขาตอนนี้เสียมากกว่า












"เขาตาย...แกตาย"












ร่างหนาเอ่ยทิ้งไว้ด้วยน้ำเสียงกดข่มเพียงเท่านั้น ก่อนเดินจากไป










และนั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นของนรกบนดินสำหรับอัคนีเท่านั้น ชายคนเดิมเข้ามาเพื่อทรมานเขาในทุกๆ วันโดยไม่ซ้ำกัน อัคนีมีคนประเภทนี้อยู่ใต้อาณัติเช่นกัน และเขารู้ดีว่า ชายผู้นี้ ถูกฝึกมาให้เป็นนักทรมานทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ















------------------------E-N-D---C-H-10-----------------------

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 11 : ตัดสินใจ

















เนื้อตัวที่เคยขาวเนียนละเอียด ไร้ซึ่งจุดด่างพร้อยใดแม้สักนิด บัดนี้กลับเต็มไปด้วยรอยคมมีดที่เฉือนลึกและรอยเลือดตกสะเก็ดแห้งกรังติดแผลเย็บสดเป็นจุดๆ แทบไม่เหลือที่ว่างให้มองเห็นผิวขาวนั้นอีกต่อไป










"อั่ก...เมื่อไหร่จะฆ่าฉันสักที!"










ชายคนเดิมนั่งพ้นควันบุหรี่อัดเข้าใส่อัคนี ที่บัดนี้ถูกเครื่องรีดชนิดหนึ่งหนีบบริเวณลำคอเอาไว้ให้อยู่นิ่ง เขาเป่าควันสีเทาให้ลอยเข้าใส่ใบหน้าอัคนีครั้งแล้วครั้งเล่า จนผู้สูบชักเบื่อหน่าย เขากดก้นบุหรี่ลงกับไหล่กว้างที่แม้จะผ่านมาหลายวันแล้ว ร่างนั้น ก็ยังคงเปล่าเปลือยอยู่เช่นเดิม













ปราสาทหลังงามของปักษาทมิฬครึกครื้นอีกครั้ง เมื่อนายใหญ่ได้เดินทางกลับมา ใครหลายคนที่เฝ้ารอ ผู้อาศัยในปราสาทมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะด้วยเรื่องงานหรือคิดถึง ล้วนแต่มารอต้อนรับทวิชที่หน้าบ้าน










"ที่นี่เป็นไงบ้าง?"










เมื่อมาถึงก็ถามไถ่ทุกคนที่ออกมารอต้อนรับ ร่วมพูดคุยเพียงครู่ก็กลับเข้าไปเริ่มเคลียร์งานในห้องทำงานส่วนตัวทันที กว่าที่ภาสกรจะได้พบหน้าที่ชาย ก็ปาไปสามวันหลังจากนั้น เนื่องจากรองประมุขได้ปกปิดบางสิ่งเอาไว้ บางสิ่งที่อาจทำให้แก๊งของเขาต้องถึงการวิบัติลงได้ หากว่าใครบางคนที่เขาจับมาหนีรอดออกไป










แต่ถึงกระนั้น ภาสกรก็ใจไม่แข็งพอ ที่จะสามารถสั่งฆ่าอัคนี

















"นายเรียกฉันมาทำไม...?"









ภาสกรเดินเข้ามาในห้องพี่ชายด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก และทวิชมองออกในทันทีตั้งแต่แวบแรกที่เห็น










"ฉันกลับมา 3 วันแล้วนะ นายไม่คิดจะมาทักทายพี่ชายนายเลยเหรอ"











"...ฉันเห็นนายเอาแต่ทำงาน เลยไม่ทันได้ทัก"









"..."









"แล้วไปคุยงานเป็นไง"









"ระดับฉัน ไม่มีพลาดหรอก...ว่าแต่นายเถอะ จัดการฆ่าอัคนีไปรึยัง"










กึก










นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวเพ่งมองตรงไปยังภาสกร ชายผู้มีชะงักปักหลังอ้ำอึ้ง แต่ก็ยังคงมองตอบทวิชไปด้วยกลัวว่าตนจะมีพิรุจ










"ยังสินะ"









"ฉัน..."









"คงถึงเวลาที่ฉันต้องลงมือเองแล้ว"











"ฉันจัดการได้...!"












"ก็รีบทำซะสิ!!!"










ทวิชถามไถ่น้องชายอีกหลายอย่างหลังจากนั้น แต่ก็คล้ายกับว่าความสนใจของภาสกร จะไม่ได้อยู่ที่พี่ชายของตนมากเท่าไหร่ เมื่อพูดคุยกันจบ เขาก็รีบกลับเข้าห้องส่วนตัวแล้วเปิดกล้องวงจรปิดในห้องทรมานขึ้น พบว่าบัดนี้ อัคนีก็ยังคงถูกทรมานด้วยการจับกดน้ำอยู่ดังก่อนหน้าที่เขาจะลุกออกไป




















แฮก แฮก










ชายผู้งดงามที่ภาสกรหลงรัก ไม่เหลือเค้าโครงความงามใดๆปรากฏต่อหน้าเขาอีกต่อไปแล้ว หลายครั้งที่เขาอยากยกเลิกคำสั่งในการทำร้ายอัคนี แต่น้ำเสียงอันสงบนิ่งที่บอกกับเขาว่า ‘ไม่รัก’ มันก็ฉุดให้เขาต้องใจแข็งขึ้นมาทุกที










ผมยาวสลวยลู่ลงด้วยเปียกปอนจากการถูกจับกดน้ำ ปากบางอ้ากว้างเพื่อเอาอากาศเข้าสู่ปอดอย่างรุนแรง อัคนีล้มตัวลงนอนราบกับพื้นอย่างหมดสภาพ ผ่านไปหลายวันที่เขาถูกทรมาน แผลบางส่วนได้เริ่มแห้งไปแล้ว และชายผู้โหดร้ายประจำห้องขัง ไม่ยอมให้แผลเหล่านั้นต้องแห้งไปได้นาน










มือหนากระชากเส้นผมอัคนีให้ลุกขึ้นนั่งในท่าคุกเข่า แล้วสิ่งที่ภาสกรไม่ได้สั่งการไว้ก็ได้เกิดขึ้น ผู้คุมวิญญาณเลื่อนซิปกางเกงของตอนเองลง และเริ่มทำบางสิ่งที่คล้ายกับการราดน้ำมันลงบนกองไฟ ภาพที่ทำให้ภาสกรต้องใจเต้นกระหน่ำรุนแรง ดุจดั่งพายุมฤตยูอันดำมืด ได้ครอบคลุมทุกอวัยวะของเขาไว้ทั้งหมด ภาสกรคว้าปืนพกประจำกาย แล้ววิ่งลงบันไดบ้านมาอย่างรวดเร็ว
















"..ภาส!?!"










ทวิชที่เดินสวนออกจากห้องทำงานของเขามาด้านนอกพอดี เห็นน้องชายวิ่งหน้าตั้งพร้อมกระชับปืนสั้นไว้ในมือก็ได้เรียกไว้ แต่ไม่มีทีท่าว่าภาสกรจะหยุดและสนใจเขาแต่อย่างใด ทวิชจึงวิ่งตามออกไปด้วยความสงสัย










ภาสกรวิ่งเข้าไปด้านในและเห็นอัคนีกำลังถูกกดหน้าลงกับพื้น ท่อนขาขาวที่เต็มไปด้วยบาดแผลถูกลูบไล้พร้อมกรามหนาของชายผู้กระทำที่ขบเข้าหากันคล้ายพยายามสกัดกั้นอารมณ์ และเพียงไม่นานถัดจากนั้น ชายผู้บังอาจผู้นั้น ก็พร้อมส่งบางส่วนให้ล่วงล้ำเข้าไปในกายของอัคนี ภาพตรงหน้าสุดร้ายแรงที่ภาสกรเคยคิดเอาไว้ ว่าถ้ามีใครสักคนแตะต้องยอดดวงใจของเขา มันจะไม่มีแม้แต่โอกาสปริปากแก้ตัว











ดวงใจพยัคฆ์สั่นระรัวดั่งกลองเรือรบ โทสะแล่นขึ้นจนสุดปรอทแดง สติถูกช่วงชิงไปโดยสมบูรณ์แบบ



















ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!...










กระสุนหนึ่งนัด เจาะเข้ากลางกะโหลกหนา ทะลุตกลงยังอีกฝั่ง และอีกหลายนัดที่ตามมาจากเพลิงอารมณ์โกรธแค้น สาดใส่ไม่ยั้งจนพรุนไปทั้งตัว












ฟุ่บ









ร่างของผู้คุมร่วงลงกับพื้น พร้อมเลือดที่ไหลนองทั่วบริเวณ อัคนีตาเบิกโพลงมองไปยังมือปืนด้วยดวงใจที่สั่นระรัว










…ทนต่อไป ไม่ไหวอีกแล้ว รับไม่ไหวอีกแล้ว










เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นอย่างที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจปล่อย หลุดออกมาจากการควบคุม มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ตั้งแต่ที่อัคนีถูกจับมาทรมานที่นี่











พยัคฆ์นั้นรักสิ่งใดยิ่งชีวิต ร้อยทั้งร้อยตอบได้ในทันทีว่า…ศักดิ์ศรี และอัคนีเองก็เช่นกัน เขาไม่เคยคิดที่จะให้ร่างกายนี้ต้องถูกผู้ใดล่วงเกินแม้แต่ปลายก้อย หากนั่นเป็นการทรมานอันสาหัส…เขาก็ยินดีรับ หากแต่ถ้าการทรมานนั้นต้องจบลงด้วยการที่เขาต้องถูกล่วงเกินสิ่งสงวนสำหรับคนรักแล้วนั้น เขาก็ไม่อาจมีลมหายใจต่อไปได้อีกเช่นเดียวกัน










เขาไม่เคยคาดคิดว่าสถานการณ์จะมาลงเอยเช่นนี้ ไม่เคยคาดคิดว่าชายผู้ที่เคยพร่ำบอกรักเขา เคยกอดและหอมเขาอย่างแสนรักใคร่ในทุกค่ำคืน จะสามารถสั่งการ ให้ลงมือกระทำรุนแรงกับเขาได้ถึงเพียงนี้ เขาหวังเพียงกระสุนนัดเดียวเท่านั้น…กระสุนนัดเดียว จากจ้าวดวงใจ










และหากว่า ชายผู้ต้องการกระทำการอุกอาจเมื่อครู่ไม่ล้มลงไป เขาเอง คงตัดสินใจกลั้นใจให้หมดลมไปแล้วเป็นแน่













"ฮืออ อึก"










อัคนีพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบากแล้วเอื้อมไปหยิบชุดคลุมที่อยู่ห่างออกไปด้วยมืออันสั่นเทาและดวงใจสุดบอบช้ำ กระแสความรู้สึกของคนสองคนที่สื่อถึงกันได้ ช่างรุนแรงมากมายเสียจนภาสกรไม่อาจทนไหวอีกต่อไป คล้ายกับว่าความเจ็บปวดทั้งหมดของยอดดวงใจนั้น สื่อถึงเขาได้ทั้งหมด รองเจ้าสำนักปักษาทมิฬเดินเข้าใกล้ดวงใจของเขา แล้วหยิบชุดคลุมนั้นมาคลุมร่างของอัคนีไว้ เจ้าสำนักเพลิงรัตติกาล โผเข้ากอดภาสกรและซบอกร่ำไห้อย่างไม่ยอมหยุด












…แม้เขาจะทำร้าย

…แม้เขาจะทำลาย

…แต่ทั้งหมดของส่วนลึกในห้วงดวงใจและจิตวิญญาณ
ได้มอบให้ชายผู้มากด้วยโทสะคนนี้ไปหมดแล้ว














"ฮือออ...ฮือออ"











สุดสะเทือนใจ กับภาพที่ภาสกรไม่อาจรับไหว มือแกร่งสั่นเทาอย่างหนัก โอบกอดร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลและกลิ่นคาวโลหิตที่ติดกาย ชายผู้นี้ คือคนที่เขาเคยนอนกอดและสูดดมทุกค่ำคืน ชายผู้ไม่เคยบอกว่ารักเขาสักคำ และยังเรียกร้องให้เขาปลิดชีพตนครั้งแล้วครั้งเล่า ชายผู้สาหัสกับทั้งร่างกายและความรู้สึก จากน้ำมือของเขาเอง…น้ำมือของคนที่บอกว่ารักมากเหนือสิ่งอื่นใด ฝีมือของชายใจร้าย ที่ไม่คู่ควรกับน้ำตานี้ของอัคนีผู้เป็นดั่งยอดดวงใจแม้แต่น้อย











“เพลิง…”











“อึก ฮือ….ฮือออ”











"...ภาสขอโทษ"











ยิ่งได้ฟังประโยคอ่อนไหวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อัคนียิ่งไม่อาจควบคุมให้ตนหยุดยั้งความเจ็บปวด หวาดกลัว และความทรมานนี้ลงได้ มือขาวที่เต็มไปด้วยบาดแผล จิกเกร็งไปบนวงแขนแข็งแรงของภาสกรอย่างพยายามระบายความเก็บกดในใจนี้ออกไป เสียงร่ำไห้ดังระงมไม่หยุด สร้างความเศร้าสลดหดหู่ให้บรรยากาศอันเยียบเย็นนี้ เย็นลงไปอีกหลายเท่าตัว










ภาสกรใจสั่นอย่างรุนแรง เขาอยากเอาปืนจ่อเข้าปากตัวเองแล้วลั่นไกให้รู้แล้วรู้รอดเสีย แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำดั่งใจต้องการ ใครบางคนที่วิ่งตามเขามาเมื่อครู่ ก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมเสียงฝ่ามือกระทบกัน
























แปะ แปะ แปะ










"เยี่ยมมากภาส...แกพามันกลับมาที่นี่อีกจนได้"










ทวิชเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แววตาฉายความว่างเปล่า หากแต่มือเริ่มออกอาการสั่นอย่างรุนแรง เจ้าของบ้านเดินเข้าใกล้ร่างไร้วิญญาณที่นอนฟุบหน้าลง และเลือดยังคงไหลทะลักออกมาตามจุดต่างๆ










"แกรู้ไหม...เฮ้อ"









"..."









"แกรู้ไหม...ว่าแกทำลายทรัพยากรที่มีมูลค่าสูงของแก๊งไป แกก็รู้ว่าเจ้านี้เก่งขนาดไหน ฝึกหนักขนาดไหนกว่าจะได้มาถึงจุดนี้ ฉันสูญเงิน สูญเวลาไปกับมันเท่าไหร่...แล้วแกก็ฆ่ามันทิ้ง น่าเสียดายจริงๆ"










ทวิชเดินอ้อมไปหยิบดาบขึ้นมาจากชั้นเล่มหนึ่งจากชั้นที่วางไม่ห่างนัก แล้วเขี่ยร่างไร้วิญญาณพลิกไปพลิกมา










"แกจับมันมาทรมาน แต่ไม่ยอมฆ่าสักที สุดท้ายก็มีคนตาย...คนของปักษาทมิฬ ตาย..! เพราะมันอีกคนแล้ว ต้องให้ตายอีกกี่คน? หืม? ภาส มันถึงจะสมน้ำสมเนื้อกับความโง่ของแก!!!"










คำพูดเรียบนิ่งเริ่มคละคลุ้งไปด้วยโทสะ รุนแรงขึ้นเรื่อยเรื่อย เรื่อยเรื่อย ดาบในมือถูกนำกลับมาจับกระชับไว้ แล้วดึงออกจากฝัก










"สุดท้าย...มันก็ต้องมาถึงมือฉันจนได้สิ"










ปลายดาบในมือทวิช วาดลงบนต้นคอของภาสกร แล้วค่อยๆเคลื่อนไปยังอัคนีที่อยู่ในอ้อมกอด ภาสกรดันอัคนีออกจากอ้อมอกแล้วใช้ตัวบังดาบของพี่ชายไว้










"ฆ่าฉันเถอะแทน ถ้านายฆ่าเพลิง...ฉันก็มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้เหมือนกัน"














"ภาส...!"










แม้จะพยายามฝืนดันตัวภาสกรให้หนีจากคมดาบอย่างไร แต่อัคนีก็ไม่อาจมีเรี่ยมแรงมากพอ ที่จะสามารถสู้กับความแข็งแกร่งของภาสกรได้เลย











"ฉันเหนื่อยกับแกแล้วภาส...ไม่ว่าฉันจะพูดยังไง แกก็ไม่เคยฟัง ถ้าแกอยากตายนัก...ก็ลงมือเลย แต่ถ้ายังเห็นว่าที่นี่คือบ้านของแก และฉันคือพี่ชายแก...ก็ฆ่ามันซะ จัดการให้มันเด็ดขาดไปสักที"























เคล้ง!!!!










มีดดาบในมือทวิชถูกทิ้งลงกับพื้นตรงหน้าภาสกร จากนั้นนายใหญ่แห่งปักษาทมิฬก็เดินออกจากห้องขังไป พร้อมกับลงกลอนขังน้องชายไม่รักดีไว้กับอัคนี และออกคำสั่งไว้ว่า จนกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย ห้ามใครเปิดประตูนี้ออกโดยเด็ดขาด





































------------------------E-N-D---C-H-11-----------------------

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทที่ 12 : ความลับของเปลวไฟ


















ทวิชเดินออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงร่างไร้วิญญาณนอนจมกองเลือดหนึ่งร่าง และชายอีกสองคนไว้ในห้องขังแสนอับชื้นนี้ ภาสกรดึงอัคนีกลับเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขน ปลอบโยนจนชายผู้กำลังร่ำไห้นิ่งลงได้









"...ภาสกร"








"..."








"ลงมือเถอะ...ฉันพร้อมแล้ว"












"...เพลิง"











"อย่างน้อยก็ขอให้นายเป็นคนลงมือ นั่นดีที่สุดสำหรับฉันแล้ว"

















เจ้าสำนักเพลิงรัตติกาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จ้องลึกไปยังนัยน์ตาของชายผู้กำลังประคองกอดตนเอาไว้ ด้วยแววตาวูบไหวอันเต็มไปด้วยความหมาย









"ลงมือเถอะ..."









อัคนีดันตัวออกห่างจากภาสกร แล้วนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ก่อนที่ดวงตาเศร้าหมองจะคอยๆปรือลงจนปิดสนิท














ภาสกรหยิบดาบข้างกายตนขึ้นกระชับไว้ในมือ อีกครั้งที่เขาต้องต่อสู้...ต่อสู้กับความถูกต้องที่โลกใบนี้สร้างขึ้นให้เขา ต่อสู้กับใจตนเอง...อย่างที่เจ้าตัวพยายามมาโดยตลอด หากว่ามือคู่นี้ปลิดชีพบุรุษตรงหน้าลงได้เมื่อไหร่ ทุกสิ่งที่จะตามมาต่อจากนี้ จะเอื้ออำนวยความสุขให้กับทุกคนรอบกายเขา ทวิชจะได้ขึ้นเป็นหนึ่งในตองอู โดยไม่มีผู้ใดทัดเทียม ปักษาทมิฬจะผงาดไกลที่สุดเท่าที่หน้าประวัติศาสตร์เคยมีมา และเขา...จะได้ทุกสิ่งที่ตนต้องการ ทั้งชื่อเสียง เงินทอง หรือคนรักที่จะมีสักกี่คนก็ย่อมได้









ชายร่างยักษ์ยืนขึ้นตั้งตัวตรง ดาบหนาค่อยๆถูกยกตั้งขึ้นในท่วงท่าเตรียมจ้วงแทง สองมือพุ่งดาบในมือไปข้างหนา เล็งเข้าตรงขั้วหัวใจของอัคนี




















อึก








ปลายดาบค่อยๆทิ่มลงไปบนอกหนาที่ยังคงมีรอยแผลอยู่ มันค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น และค่อยๆสั่นสะท้านจากด้ามจับมาจนถึงปลายดาบ


















อึก








'...เจ็บเหลือเกิน'








ความลึกที่เขาค่อยๆเสียบแทงเข้าไปในทรวงอกของชายตรงหน้า ให้ความรู้สึกที่คล้ายกับว่า ดาบเล่มนั้น มีอานุภาพดั่งดาบพันเล่ม และมันกำลังพุ่งตรงปักเข้ากลางดวงใจของเขาเอง มือหนาสั่นเทาหนักขึ้นเรื่อยๆ ภาสกรไม่อาจห้ามน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป มือทั้งสองปักดาบลึกลงไปอีก และโลหิตสีแดงสดของชายผู้งดงาม ก็ค่อยๆไหลออกตามร่องรอยของ ของมีคม














'อึก...เจ็บจะตายอยู่แล้ว'








ภาสกรสุดอดกลั้น ระเบิดแผดเสียงออกมาดังลั่นอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส คล้ายกับเป็นเขานั่นเอง ที่กำลังจะขาดใจ จนดาบในมือร่วงหล่นลงกับพื้น


























เคล้ง...!!!!









ภาสกรทรุดเข่าลงตรงหน้าอัคนีแล้วก้มหน้าร่ำไห้ มือหนากุมที่อกด้านซ้ายของตนที่คล้ายกับมีดาบพันเล่มเจาะเข้าไปเมื่อครู่










ฮื่อออ...!











น้ำเสียงทุ้มต่ำครางออกมาดุจสัตว์ร้ายผู้ถูกศรอาบยาพิษปักเข้าตรงกลางใจ อัคนีลืมตาขึ้นมองภาพอันน่าสังเวชของสัตว์ร้ายที่กำลังเจ็บปวดนั้นด้วยใจสลายไม่ต่างกัน










ขาสองข้างค่อยๆลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้าใกล้ภาสกร อัคนีโน้มตัวลงเอื้อมไปหยิบดาบเล่มเดิมที่ตกอยู่ไม่ห่างกายภาสกรเมื่อครู่ขึ้นทั้งน้ำตา











"...รักเหมือนกันนะ"











อัคนีผู้งดงามและแข็งแกร่งหันปลายดาบเข้าหาตนเอง มือทั้งสองจับกระชับดาบในมือไว้แน่น แล้วพุ่งมันเข้ากลางลำตัวของตน
















ฉึบ!




















!!!





















ดวงตาแดงก่ำเบิกโพลง น้ำใสไหลทะลักออกมาอย่างไม่คิดห้าม ใบหน้าที่ซีดเผือดอยู่แล้วก่อนหน้า บัดนี้ชะงักค้าง กระทั่งลมหายใจของเขาเอง

















เนิ่นนานกว่าที่จะรู้สึกตัว อัคนีกะพริบตาเมื่อสติเริ่มกลับมาอีกครั้ง มือทั้งสองปล่อยด้ามจับของดาบออกเป็นอิสระ

















"ภาส!!!!!!!!"











เสียงตะโกนดังลั่นห้องกรง ความกลัวและร้อนรนแล่นทั่วร่างหนา กรีดร้องร่ำไห้อย่างไม่หยุด
















"ภาส!! ภาส!!!!!!"











มีดดาบที่ตนตั้งใจปักมันเข้าหวังปลิดชีพตนเอง ได้ปักลงกลางหลังกว้างของภาสกรจนสุดความยาว ปลายดาบทิ่มทะลุมายังด้านหน้า และทิ่มลงบริเวณหน้าท้องอัคนีเพียงเล็กน้อย










ภาสกรได้ยินทุกอย่าง ทุกคำพูดที่อัคนีได้กล่าวขึ้น เขาทรุดเข่าลงอีกครั้งและล้มลงไปกองกับพื้น อัคนีรีบรับกายแกร่งนั้นเอาไว้ในอ้อมแขน










"...ภาสอยู่ไม่ได้เพลิง อยู่ไม่ได้"















ภาสกรยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนักกับช่วงเวลาปกติ เขามีเพียงน้ำตามากมายที่รินไหลออกมา หากว่าชีวิตต่อจากนี้ ต้องอยู่โดยไม่มีชายที่กำลังประคองร่างเขาผู้นี้อยู่บนโลก เขาก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เช่นกัน คงเป็นดังเช่นที่ทวิชได้ว่าเอาไว้









เขามันโง่...ไม่ต่างอะไรจากบิดาของเขาเลย









"เพลิงจะไปตามคนมาช่วยนะ...! รอก่อนนะภาส"









อัคนีประคองชายผู้มีมีดดาบปักทะลุกลางลำตัวให้เอนกายลงไปกับพื้นอย่างแผ่วเบา แต่แล้ว ข้อมือหนาก็ยังคงมีแรงมากพอที่จะหยุดอัคนีไว้ตรงนั้น









"เพลิง...เพลิงหนีไปหาศิขรินเพื่อขึ้นเป็นหัวหน้าต่อจริงรึเปล่า?"








"..."








"ภาสขอร้อง...บอกภาสมาตรงๆเถอะ"















อึก








หยดน้ำตายังคงหยดลงไม่ขาดสาย อัคนีมองไปยังปลายดาบที่ปักทะลุกายของภาสกรด้วยฝีมือตน ใบหน้าอันงดงามก็ยกขึ้นเหยเกอย่างเจ็บปวด










"ไม่!...เพราะเพลิงทำให้ภาสเกือบตาย เพลิงเป็นต้นเหตุทำให้ภาสเกือบตาย เพราะเพลิงเอง เพลิงไม่อยากให้ภาสตาย...ไม่อยากให้ภาสตาย"









"ตอนนั้นภาสเข้าไปฆ่ามัน แต่มันตายไปก่อนแล้ว"








"อึก...เพลิงฆ่ามันเอง เพลิงไม่ยอมให้มันฆ่าคนที่เพลิงรักได้อีกคนหรอก"








"เพลิง...เคยมีคนรักก่อนเจอศิขรินเหรอ?"








"อืม เพลิงรักเขามากเลยล่ะ"








"ภาสเสียใจด้วยนะ"








"ภาสกร...อย่าทำหน้าอย่างงั้นสิ เพลิงหมายถึงพ่อชาตรี"








"พ่อ..? ชาตรี..?"








"ใช่ พ่อของเพลิงเอง...มันฆ่าพ่อของเพลิงเหมือนกัน"








"คุณลุงชาตรีเหรอ?"














อัคนีมองตรงไปยังภาสกรด้วยดวงตาสั่นไหวแล้วยกยิ้มอย่างเจ็บปวดออกมา เมื่อนึกถึงวันที่เขาตัดสินใจลงมือวางยาพิษศิขรินด้วยตัวเอง ความสุขและสะใจก็แล่นขึ้นบนใบหน้าที่กำลังอาบน้ำตาอย่างไม่อาจห้ามปราม









"ชาตรี...อัครสกุณา คนเดียวกับที่ภาสเคยรู้จักนั่นแหละ"









ภาสกรนิ่งงันตาค้างไปเมื่อได้ฟัง เขาจ้องมองคนรักที่หัวเราะออกมาทั้งน้ำตาอย่างบ้าคลั่ง รวมไปถึง ใครบางคนที่กำลังนั่งมองทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่บนเก้าอี้เนื้อดีในห้องทำงานส่วนตัว ก็มีใบหน้าตะลึงค้างไม่ต่างกัน









สองพี่น้องแห่งปักษาทมิฬ รับรู้เรื่องราวที่มาแรกเริ่มของการแบ่งฝั่งระหว่างสองแก๊งได้เป็นอย่างดี บิดาและคนในแก๊งต่างเหล่าขานถึงชายผู้ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องหิรัญ ให้สามารถรอดพ้นจากศิขริน จนสามารถหนีมาก่อตั้งปักษาทมิฬขึ้นได้สำเร็จ ชายผู้เป็นต้นแบบ เป็นแรงกระตุ้นให้หิรัญตอบโต้ และเริ่มต่อสู้จนมีทุกวันนี้...ชาตรี อัครสกุณา









ความลับของเปลวไฟ ที่มีเพียงไม่กี่คนบนโลกที่ล่วงรู้









ภาสกรนึกเพียงว่า ที่อัคนียอมอยู่ที่นี่ด้วยแต่โดยดีเป็นเพียงเพราะตนบังคับฝืนใจเท่านั้น และหลายครั้งที่อัคนีพยายามจ้องมองภาพถ่ายของบิดาตน ภาสกรก็ไม่ได้นึกเอะใจแต่อย่างใด แต่บัดนี้เขาเข้าใจแล้ว ว่าทั้งหมดนั้น เป็นเพราะอัคนีอยากอยู่ที่นี่กับเขาโดยแท้จริง









"...มันตั้งเพลิงขึ้นแทนมัน เพราะมันรู้ ว่าภาสไม่มีวันฆ่าเพลิงได้ หรือถ้าทวิชส่งคนมาฆ่าเพลิงสำเร็จ ก็จะเกิดสงครามภายในปักษาทมิฬขึ้น ระหว่างภาสกับพี่ชายของภาสเอง มันวางแผนไว้หมดทุกอย่าง"








"...ภาสขอโทษ...เพลิงกลับมาอยู่กับภาสนะ มาอยู่ที่นี่ด้วยกัน"














อัคนีก้มมองแผลของภาสกรที่มีเลือดไหลซึมออกมาเรื่อยๆ เขาลุกขึ้นอีกครั้งแล้วเดินไปบริเวณหน้ากล้องวงจรปิด














"ฉันรู้ว่านายดูอยู่...! น้องชายนายกำลังจะตาย ถ้านายไม่มาช่วยเขาแล้วปล่อยให้เขาตาย
ฉันจะตามล่านาย...ทวิช"










ดวงตาแดงก่ำดุดัน ตะเบ็งเสียงผ่านไปยังชายผู้นั่งดูอยู่อีกฝั่งของอุปกรณ์ ทวิชกดโทรเรียกแพทย์ประจำบ้าน และเดินออกจากห้องไปพร้อมเมฆา ที่ยืนฟังอยู่ไม่ห่าง















เพียงไม่นานจากนั้น ทวิช เมฆา แพทย์ประจำบ้านและคนของปักษาทมิฬกลุ่มหนึ่งก็มาถึงห้องขังพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตมากมาย ทุกคนช่วยกันประคองร่างของภาสกรขึ้นบนเปล แต่เขาก็ยังไม่ยอมออกไปไหน มือหนากุมมืออัคนีไว้แน่น คล้ายกลัวว่าถ้าปล่อยไปคราวนี้ จะไม่ได้พบกันอีก














"อยู่ด้วยกันที่นี่เถอะนะเพลิง..."









ชายผู้มีดาบเสียบอยู่หยุดทุกความช่วยเหลือไว้ แล้วดึงดันให้อัคนีอยู่กับตนที่นี่










"เพลิงอยู่ไม่ได้ภาส...มีคนพยายามฆ่าภาสกับพี่ชายภาสอยู่ ถ้าเพลิงหนีมา เรื่องมันจะยิ่งเลวร้าย อีกอย่าง ตอนนี้ที่นั่นก็คือบ้าน คือครอบครัวของเพลิง...มีคนที่เพลิงไว้ใจรอเพลิงกลับไปอยู่"










"ที่นี่ก็บ้านของเพลิงนะ"








"ตราบใดที่เพลิงยังอยู่ที่นั่น...ภาสจะปลอดภัย"











ภาสกรหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง ชายผู้งดงามที่เขาพบในวันนั้นเมื่อสิบปีก่อน ชายผู้มีผิวกายสะท้อนแสงจันทร์ ชายผู้มีจิตใจเข้มแข็งยิ่งกว่าเขาร้อยพันเท่า ชายผู้อดทนและแบกรับทุกสิ่งไว้เพียงลำพังตลอดมา ชายผู้เสียสละทุกสิ่งบนโลกใบนี้เพื่อให้เขายังอยู่ดีมีสุข ชายผู้ไม่ได้มีเพียงความงามที่ภายนอก แต่ยังรักเขาสุดหัวใจ ดั่งเช่นที่ภาสกรเฝ้าตั้งคำถามมาโดยตลอด













"ภาสรักเพลิงนะ"








"...เพลิงรู้"

















อัคนีกุมมือภาสกรเป็นครั้งสุดท้าย และได้ปล่อยมือออกจากการเกาะกุม ภาสกรร้องขอให้เมฆา ชายที่เขาไม่ชอบหน้านัก ช่วยอารักขาอัคนีกลับไปยังปราสาทเพลิงรัตติกาลอย่างปลอดภัย และนั่น ไม่มีเสียงขัดแย้งใดจากทวิชอีกต่อไป









"อย่าพึ่งตายนะไอ้น้องรัก...ฉันยังไม่อยากถูกอัคนีมันตามฆ่าเอา"










ทวิชเอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น เปลช่วยชีวิตที่มีร่างของภาสกรนอนตะแคงอยู่ก็ค่อยๆถูกพาหามไปยังโรงพยาบาลพร้อมสายที่ระโยงระยางเต็มไปหมด





















รถยนต์สีเขียวเข้มรุ่นเก่า จอดเทียบใกล้กับปราสาทของเพลิงรัตติกาล สภาพอัคนีที่เป็นอยู่ในขณะนี้ หากว่ามีใครพบเห็นเข้าพร้อมกับคนของปักษาทมิฬ ชีวิตของเมฆาคงได้จบลงตรงนั้น








"คุณเดินเข้าไปไหวนะครับ?"








"ฉันไม่เป็นไร"








"คุณอัคนี..."
















กึก








"โปรดรับสิ่งนี้ไว้ด้วยครับ...คุณจะได้ติดต่อกับคุณภาสได้"














ชายผิวขาวรูปร่างสูงโปร่งยื่นซองใสที่ด้านในมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องหนึ่งให้กับเจ้าสำนักเพลิงรัตติกาล









"ภาสสั่งไว้เหรอ?"








"เปล่าครับ...ผมทำเอง"








"เมฆาใช่ไหม...?"








"ครับ"








"ถ้าทวิชทำไม่ดีกับนายเมื่อไหร่ มาหาฉันได้ทุกเมื่อเลยนะ"














อัคนีรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้ในมือแล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคนสนิทของแก๊งคู่อริ










เมื่อประตูรถยนต์คันเก่าถูกปิดลง อัคนีรอให้รถคันนั้นแล่นผ่านไปสักครู่จึงค่อยๆนำร่างกายอันเต็มไปด้วยบาดแผลเดินเข้าปราสาทไป และสิ่งแรกที่เขาคาดเอาไว้ว่าจะได้เห็นก็เป็นจริง เพลิงพระพายวิ่งหน้าตั้งพร้อมใบหน้ากลั้นน้ำตาเข้ามาหา










ครอบครัว...ที่รอเขากลับมา เรียกรอยยิ้มอบอุ่นให้ฉายขึ้นบนใบหน้าพยัคฆ์ เจ้าของปราสาทถูกสวมกอดจากชายหนุ่มผู้เปรียบเสมือนบุตรชายเอาไว้แน่น








"คุณเพลิง...!"













"ไง...ฉันกลับมาแล้ว"
 





 































































- - - - - - - - - - - -  END - - - - - - - - - - - -

รัตติกาลนคร The Couple Series (อัคนี & ภาสกร)

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ติดตาม ตอนพิเศษ กับฉากหวานๆของสองพยัคฆ์ได้ในตอนถัดไปค่ะ : )


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและให้กำลังใจกันด้วยนะคะ
เตรียมพบกับภาคแยกของคู่ถัดไป จะเริ่มลงหลังจบตอนพิเศษทั้งหมดของคู่นี้ค่ะ
แล้วพบกันค่ะ : )






- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



สำหรับตอนพิเศษ จะมีทั้งหมด 4 ตอนนะคะ
เราจะลงไว้ในนี้ 1 ตอนนะคะ
ท่านใดที่อ่านแล้วชื่นชอบ ตามไปอ่านอีก 3 ตอนที่เหลือได้
ตามลิงค์ที่เราแปะไว้กระทู้แรกได้นะคะ


 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
คดีพลิกจ้า

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

ออฟไลน์ Savahale

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 54
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
    • https://savahale.wordpress.com
บทพิเศษ 1 : In the first place (1)
























"สวัสดี"













"สวัสดีครับ...นั่นคุณอัคนีรึเปล่า? "














น้ำเสียงทุ้มต่ำสั่นเครือน้อยๆ ลอดผ่านสัญญาณโทรศัพท์มา แม้ฟังดูแล้ว...เจ้าของน้ำเสียงเช่นนี้ คงเป็นชายร่างกายใหญ่โตและอุดมไปด้วยมัดกล้าม แต่ปลายสายที่ได้ฟัง ก็ยังอดอมยิ้มไม่ได้อยู่ดี













ทำไมมันช่างฟังดู…น่ารักอะไรอย่างนี้
















"อยากคุยกับอัคนีคนไหนล่ะภาส"








"ฮะฮะ คนไหนก็ได้ ขอแค่เป็นคนที่รักภาสก็พอ"












"อุก...ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...! "


















อัคนีคนที่รักภาสกรยกมือขึ้นปิดปากแล้วระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าชายร่างยักษ์พร้อมด้วยใบหน้าที่มักเต็มไปด้วยโทสะอย่างภาสกร จะสามารถพูดอะไรที่มันฟังดูพิลึกได้ถึงเพียงนี้









"เพลิงอย่าหัวเราะสิ"








"ฮ่าฮ่าฮ่า...ขอโทษๆ เพลิงแค่รู้สึกว่ามันน่ารักดี"








"อือ"

















คนโทรเข้าค้อนเสียงมาเบาๆ แต่อัคนีก็ยังคงได้ยิน เขาพยายามฝืนยิ้มสุดชีวิต แล้วกดข่มเสียงให้ปกติที่สุด เพื่อไม่ให้คนรักที่ปลายสายต้องรู้สึกเขินอายไปมากกว่านี้








"ภาสมีอะไรรึเปล่า โทรมาแต่เช้า"








"ภาสออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ...เผื่อเพลิงอยากรู้"








"ได้รับของเยี่ยมจากเพลิงแล้วใช่ไหม"








"ได้แล้ว เก็บไว้ในห้องของเราเนี่ย"









ไม่ว่าจะพยายามฝืนอย่างไร อัคนีก็ไม่สามารถหุบยิ้มลงได้เลย เขารู้ทุกความเคลื่อนไหวของภาสกรดี ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นคราวก่อน ไม่ว่าภาสกรจะไปที่ไหน ทำอะไร คุยกับใคร อัคนีก็ล่วงรู้หมด แม้เจ้าตัวจะบอกตัวเองว่านั่นคือการเฝ้าระวังอันตรายให้ภาสกร แต่ลึกๆ แล้วใครจะรู้ อัคนีไม่ไว้ใจนางพยาบาลสุดเซ็กซี่ของที่นั่นซะมากกว่า















"เมื่อไหร่เพลิงจะมาอยู่ด้วยกันสักที"








"ภาส...เราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะ"








"ภาสคิดถึงเพลิงจะตายอยู่แล้ว"








"รอภาสหายดีจริงๆ ก่อน แล้วเราค่อยเจอกัน"








เป็นเช่นทุกวัน กับประโยควนซ้ำของภาสกรตั้งแต่ที่ทั้งคู่ต้องแยกจากกันในวันนั้น...'เมื่อไหร่เพลิงจะมาอยู่ด้วยกัน'...'คิดถึงเพลิง'...'มาเยี่ยมหน่อย'...และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้นายใหญ่แห่งเพลิงรัตติกาลมีหัวใจพองฟูอย่างไม่อาจห้ามปรามไหว คล้ายกับว่าโลกทั้งใบมีกลีบดอกไม้สีชมพูโรยโดยรอบในทุกที่ที่อัคนีเดินผ่าน









หลายวันหลังจากภาสกรออกจากโรงพยาบาล เขาก็โทรหาอัคนีทุกวัน บางวันก็หลายครั้ง จนคนงานยุ่งเริ่มหัวเสียขึ้นมาเล็กน้อย ระยะหลังๆ อัคนีจึงเริ่มไม่รับสายจากภาสกรสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากคุยกันแล้ว เขาก็แทบไม่มีสมาธิในการทำงานต่อเลย














"เพลิงยุ่งนะภาส เข้าใจเพลิงบ้างสิ...ก็เหมือนกับพี่ชายภาสนั่นแหละ ภาสว่าทวิชวันนึงยุ่งมากแค่ไหน เพลิงก็ยุ่งแบบนั้นแหละ"
















ประโยคสุดท้ายของเมื่อสองวันก่อน ภาสกรไม่โทรกลับมาหลังจากนั้น และอัคนีก็ไม่เคยเป็นฝ่ายโทรหาเขาก่อนเลยสักครั้งเช่นกัน ชายผู้มีกลีบดอกไม้โปรยไปตามทางในทุกๆ ที่ที่เดิน เริ่มมีอาการหงุดหงิดอย่างไม่รู้ตัว








"ฉันไม่เข้าใจ ทำไมสนามกอล์ฟของเราถึงรายได้ลดลงขนาดนี้!?! "








อัคนีนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องประชุม ทุกคนสังเกตได้ว่า ตั้งแต่เริ่มประชุมมาได้ชั่วโมงกว่า ชายที่นั่งหัวโต๊ะไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังคงความเป็นมืออาชีพในการทำงานได้อยู่
















"ฉันต้องการคำตอบไออุ่น...! "










ลูกชายคนเล็กของศิขรินที่เกิดกับภรรยาคนแรก อายุ 32 ปี เติบโตขึ้นพร้อมร่างกายกำยำล่ำสัน ดั่งที่เจ้าตัวพยายามออกกำลังกายอย่างหนัก ชายหนุ่มนั่งข้างอัคนีและมีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเดียวกันกับเจ้าสำนัก โดยมีสายตาของเพลิงพระพายที่อยู่อีกฝั่งส่อแววช่วยเหลือ









ไออุ่นอธิบายถึงฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน และช่วงนี้มีพายุเข้าบ่อยครั้ง จำนวนสมาชิกของสนามกอล์ฟใจกลางเมือง ธุรกิจสาขาหนึ่งของเพลิงรัตติกาลจึงมียอดลดลง














"คุณเพลิง...ผมว่า"








"ไม่ต้องพูดพระพาย...! ถ้าเก่งจริง ก็หาทางอื่นเพิ่มยอดกำไรมาให้ได้"








อัคนียังคงหันไปใส่อารมณ์กับไออุ่นเช่นเดิม และไออุ่นก็ลงมือจดอะไรบางอย่างลงในสมุดตรงหน้าอย่างเคร่งเครียดไปพร้อมๆ กัน
















อัคนีส่งคนเข้าสอดแนมในปราสาทปักษาทมิฬหนักขึ้นเรื่อยๆ และสายก็ได้รายงานมาว่าช่วงนี้ภาสกรหมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานของทวิช จะออกมาอีกทีก็ดึกดื่นแล้ว นั่นทำให้นายใหญ่ของเพลิงรัตติกาลยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่












เขาตัดสินใจเป็นฝ่ายโทรหาภาสกร และได้คำตอบมาว่า

















"...ก็เพลิงอยากให้ภาสรู้ว่าเพลิงยุ่งยังไง ภาสเลยมาช่วยงานแทนเยอะขึ้น แล้วก็มาดูการทำงานของแทนด้วย ภาสจะได้เข้าใจเพลิงมากขึ้น"








"..."









คำตอบง่ายๆ จากภาสกร ทำให้อัคนีแทบอยากร้องไห้ออกมา ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ มีเพียงเขาที่หงุดหงิดเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว ในขณะที่ภาสกรกำลังพยายามทำความเข้าใจในตัวคนรักให้มากขึ้น















"แล้วได้อะไรบ้าง? "








"ภาสไม่เข้าใจ...ว่าแทนดูแลทั้งหมดนี่ได้ไง ทั้งธุรกิจ ทั้งหุ้นส่วน ไหนจะต้องลงพื้นที่ไปคุยงานเองแทบทุกวัน พอกลับมาก็ต้องมานั่งเคลียร์เอกสารบนโต๊ะหลายกอง ไหนจะเรื่องปัญหายิบย่อย เรื่องข...."











"ภาสกร"









"หืม? ครับ"









"พรุ่งนี้เที่ยง ต้องเข้าไปเรียนรู้งานกับทวิชไหม? "








"ไป...แต่ก็ออกไปหาเพลิงได้"









"พรุ่งนี้เที่ยง ที่ เดอะ การ์เด้น ชั้น 3 มุมสีเขียว เพลิงจะฝากของไปกับพระพาย ภาสจำพระพายได้ใช่ไหม"









"อืม เพลิงไม่มาเองเหรอ"









"พรุ่งนี้เพลิงติดประชุมนัดสำคัญ อย่าสายนะ อย่าให้พระพายรอ"








"เข้าใจแล้ว...คิดถึงเพลิงนะ"








"...คิดถึงภาสเหมือนกัน"
















บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น ชายผู้เต็มไปด้วยโทสะและความร้อนรนในอารมณ์คล้ายจะมีความหวังขึ้นมากับการนัดหมายของอัคนี แต่ใบหน้าฉายแววคึกคักนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งลง เมื่อคนที่จะได้พบคือเพลิงพระพาย










ภาสกรตื่นตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง แต่ถึงอย่างนั้น ทวิชที่นอนดึกกว่าเขา ก็ยังคงมาถึงห้องทำงานก่อนเขาจนได้ ภาสกรไม่ได้เพียงเข้าใจถึงความลำบากในหน้าที่ของอัคนี แต่กลับเข้าใจพี่ชายของเขามากขึ้นไปด้วย และนั่นยังรวมไปถึง ความอยากช่วยแบ่งเบาภาระของทวิชด้วยเช่นกัน










เมื่อช่วยทวิชเคลียร์งานให้ได้มากที่สุดเรียบร้อย ภาสกรก็รีบออกไปยังร้านอาหารชื่อดังในตัวเมืองและไปนั่งรอก่อนเวลานัดหมายโดยลำพัง




















12:00 น.
ณ เดอะ การ์เด้น ชั้น 3 มุมสีเขียว








ชายคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่ง ผิวกายสองสีคล้ายคลึงกับพี่ชายของเขา ก็เดินเข้ามานั่งลงยังฝั่งตรงข้ามของภาสกร มือน้อยๆ หยิบห่อผ้าสีทองวางไว้บนโต๊ะ แล้วค่อยๆ เคลื่อนมันไปไว้ตรงหน้าภาสกร










"คุณเพลิงฝากมาให้ครับ"








"อะไร...? "









ภาสกรเปิดห่อผ้า ก็พบกับป้ายทองคำแท้ สลักสัญลักษณ์เพลิงรัตติกาล และมีลายเซ็นของเจ้าสำนักประดับอยู่ด้านข้าง











"ตราผ่านทาง คุณเพลิงบอกว่าคุณต้องใช้มัน...สองทุ่มของวันนี้ เขาจะไปรอคุณ ในที่ที่พวกคุณพบกันเป็นครั้งแรก...รบกวนรักษาสิ่งนี้ไว้ให้ดีนะครับ เพราะมันมีเพียง 2 ชิ้นบนโลก"










พูดจบ เพลิงพระพายก็ขอตัวออกมาทันที ปล่อยให้ชายงานยุ่งคนใหม่ของวงการ นั่งลูบไล้ป้ายทองคำนั้นด้วยแววตาเลื่อนลอย เมื่อนึกขึ้นได้กับสิ่งที่พระพายพูด ดวงใจก็เต้นแรงขึ้นมากะทันหัน อีกเพียงไม่กี่ชั่วโมง เขาจะได้พบกับคนรักที่ไม่ได้พบหน้ากันมาเกือบเดือน...คิดถึงใจจะขาดอยู่แล้ว








ด้วยความลิงโลดในใจ ที่เจ้าตัวพยายามกดข่มไว้ ปรากฏออกมาเป็นการรับประทานอาหารที่ เดอะ การ์เด้น มากมายด้วยความเอร็ดอร่อยอย่างกับไม่เคยทานมาก่อน








เมื่อจัดการอาหารเลิศรสแปดอย่างบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ภาสกรก็กลับไปช่วยงานทวิชต่อ เขาเร่งเคลียร์งานออกไปให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงได้ขอตัวกลับเข้าห้องส่วนตัวเร็วขึ้นกว่าทุกวัน ทวิชผู้เฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีขึ้นของน้องชายตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับอัคนี ก็ไม่มีอะไรที่พี่ชายอย่างเขาต้องห่วงอีกต่อไป




















ท้องฟ้ามืดลงแล้ว และภาสกรใช้รถสีเขียวคันเก่าของเมฆาเพื่อขับออกจากปราสาทของตนมาเพียงลำพัง เกือบสิบปี ที่เขาไม่ได้เดินทางมายังถนนเส้นนี้ ถนนที่ลึกเข้าไปในแนวป่า เขาขับต่อไปเรื่อยๆ อีกสักพัก ก็พบกับรีสอร์ตใหญ่โตแห่งหนึ่งซึ่งถูกความเขียวขจีของพรรณไม้ปกคลุมไว้ เขาขับผ่านเข้าไปยังหน้าประตูทางเข้าแล้วโชว์ป้ายทองคำที่ได้รับมาจากเพลิงพระพาย








เพียงไม่นานที่กั้นบริเวณหน้าประตูก็เปิดให้รถของเขาผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ภาสกรขับรถตรงไปยังเรือนไม้ในความทรงจำ ที่บัดนี้ยังคงมีสภาพดี และถูกปรับเปลี่ยนให้ดูหรูหราขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อจอดรถในละแวกนั้นเรียบร้อย ชายวัย 36 ปี ก็ได้เดินลงมาจากรถมา เขาสังเกตได้ถึงความผิดปกติ เมื่อบริเวณนี้ไม่มีบอดิการ์ดเฝ้าอยู่เลยสักคน









สองขาก้าวเดินเข้าไปไปในเรือนไม้ผ่านทางประตูด้านหน้า ความเงียบเชียบเข้าปกคลุมทั่วทุกพื้นที่ในเรือนไม้งามหลังนี้ ภาสกรเดินไปเรื่อยๆ จนถึงทางเข้าห้องนอน ที่ยังคงมีม่านลูกปัดรูปผีเสื้อประดับบังตาไว้อยู่ เขาค่อยๆ แหวกม่านออก ดวงตาทอดมองไปยังเตียงนอนหลังใหญ่กลางห้อง ดังเช่นครั้งแรกที่เขาก้าวเข้ามาที่นี่









และเขา ก็ได้พบกับ...ชายคนหนึ่ง ซึ่งมีวงหน้างดงามอย่างถึงที่สุด นั่งพิงหัวเตียงในท่าสบาย แล้วทอดสายตามองมาที่เขาเช่นกันพร้อมรอยยิ้ม





















"สวัสดี...ผู้บุกรุก"

































ตึกตักๆๆๆๆๆๆๆๆๆ








ดวงจิตชายผู้บุกรุกคล้ายต้องมนต์สะกด สองขาเดินเข้าใกล้ความงามนั้นอย่างไม่รู้ตัว สองมือค่อยๆ แหวกม่านบางคลุมเตียงออก ภาสกรทิ้งตัวลงเบาๆ นั่งลงเคียงข้างเจ้าของเรือนไม้ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ สวมกอดแนบชิดจนอีกฝ่ายแทบหายใจไม่ออก











"ขอโทษที่ปล่อยให้รอนะ"










ภาสกรก้มลงสูดดมความหอมจากเส้นผมสลวย แล้วค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าลงมาประทับจูบแผ่วเบาบนหน้าผากกว้างของชายผู้เป็นที่รัก อัคนีซบหน้าลงบนอกแกร่งอีกครั้ง โดยมีมือของภาสกรที่ลูบไล้ไปตามร่างกายของตนอย่างไม่หยุด จากสัมผัสที่แผ่วเบาก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนภาสกรไม่สามารถทนทานได้ไหว เขาจับเสื้อเชิ้ตสีขาวของอัคนีดึงออกจนกระดุมหลุดกระเด็นไปทั่วบริเวณ










อัคนีที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับความหวานละมุนของบรรยากาศ สะดุ้งตัวตกใจ เมื่อจู่ๆ เสื้อทำงานของเขาก็ถูกกระชากออก ภาสกรมีแววตานิ่งค้างกับภาพตรงหน้า ด้านอัคนีปัดมือหนาออกจากเสื้อตน แล้วพยายามปิดบังร่างกายไม่ให้ภาสกรได้มองเห็นด้วยแววตาเจ็บปวด










"อย่ามองนะ...! "











ผู้บุกรุกจับมือทั้งสองของอัคนีที่พยายามซ่อนกายไว้ใต้เสื้อเชิ้ตที่ขาดออกจากกัน แล้วค่อยๆ ใช้มืออัคนีดึงเสื้อที่ปิดบังกายออก และจ้องมองไปยังร่องรอยแผลเป็นมากมายที่เกิดจากฝีมือเขา









อัคนีปิดตาลงและค่อยๆ สะอื้นไห้ในลำคอเบาๆ เขาเจ็บปวดอย่างยิ่ง เมื่อภาสกรต้องได้เห็นภาพอันไม่น่ามองจากร่างกายของเขา อัคนีทราบดีว่าภาสกรชื่นชมในความงดงามของร่างกายเขาเป็นอย่างมาก และนั่นก็ทำให้ภาสกรตกหลุมรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ตลอดมาที่อัคนีไม่กล้าพบหน้าตรงๆ กับภาสกร เพราะแผลเหล่านี้ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและทรมานใจเป็นอย่างมาก กลัวไปสารพัดว่าหากชายผู้เป็นที่รักได้เห็นเข้า เขาคงถูกคนคนนี้รังเกียจเอาเป็นแน่









"...ภาสขอโทษนะเพลิง"










ชายผู้ก่อเหตุ มีแววตาเศร้าหมองลงอย่างน่าเห็นใจ รวมไปถึงมือหนาที่จับมือของอัคนีไว้ก็เริ่มสั่นไหวไปตามดวงใจอันเจ็บปวด เขาปล่อยมืออัคนีออก แล้วลูบไล้ลงบนอกแกร่งและหน้าท้องของชายผู้กำลังหลับตา ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นน่ากลัวทั่วทั้งบริเวณ










เมื่อได้รับฟังคำขอโทษอย่างอ่อนโยนจากผู้ฝากรอยเอาไว้ อัคนีที่พยายามกดข่มให้ตนเองเข้มแข็ง ยิ่งไม่อาจหักห้ามความปวดใจของตนเอาไว้ได้ เขาร่ำไห้ออกมาหนักขึ้นกว่าเก่าแม้จะยังปิดตาอยู่










ภาสกรผละออกห่างจากร่างขาวนั้น และนั่นทำให้อัคนีเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม เขาไม่กล้าลืมตาขึ้นมา รับรู้ความจริงตรงหน้าได้ จนภาสกรที่ลุกออกไปนิ่งเงียบได้สักพัก อัคนีจึงลืมตาขึ้นมอง และพบว่า










บัดนี้ชายร่างยักษ์ผู้ที่บุกเข้ามาที่นี่ด้วยบัตรเชิญ กำลังนั่งคุกเข่าลงบนพื้นด้านหน้าตน ดวงตาคมมองนิ่งมายังอัคนี พร้อมกับน้ำใสที่ไหลออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะปาดทิ้ง เมื่ออัคนีเห็นภาพนั้นก็ขยับเข้าใกล้ ภาสกรจึงเอื้อมดึงมือของอัคนีมาประทับจูบลงไปอย่างแผ่วเบาทั้งน้ำตา










"ภาสขอโทษจริงๆ ที่ทำร้ายเพลิง ภาสเป็นคนโง่...อภัยให้ภาสด้วยนะ"









"ภาส...ไม่รังเกียจเหรอ ร่างกายเพลิงมันไม่ได้สวยงามแบบที่ภาสชอบแล้วนะ"









ภาสกรกุมมือนั้นไว้แน่น คล้ายพยายามบีบเพื่อคลายความเจ็บปวดในใจตน













"ภาสรักเพลิง...ด้วยทุกอย่างที่เป็นเพลิง ไม่ใช่เพราะร่างกายนี้ ต่อให้เพลิงจะไม่ได้อยู่ในร่างนี้ ถ้าภาสเจอเพลิง ภาสก็จะรักเพลิงอยู่ดี"









อัคนีกุมหน้าอกตนเองที่มันกำลังคล้ายจะระเบิดออกมา ด้วยคำพูดหวานละมุนสุดทรงพลังของภาสกรเมื่อครู่ เขาขยับตัวลงนั่งบนพื้นข้างภาสกร แล้วซบศีรษะลงบนไหล่หนานั้น















"...เพลิงรักภาส"


















กึก







คำบอกรักแผ่วเบาจากอัคนีด้วยอารมณ์หอมหวาน คือสิ่งที่ภาสกรรอมาเนิ่นนานถึงสิบปี เขาไม่อาจต่อสู้ห้ามปรามใจตนเองได้ต่อไปอีกแล้ว กายหนาเอื้อมตัวออกจากศีรษะของคนที่ซบลงมาด้านข้าง แล้วจับล็อกใบหน้าของอัคนีไว้ ส่งลิ้นสากเข้ากวาดต้อนทุกสัมผัสใบโพรงปากที่เขาฝันหามาโดยตลอด











อัคนีร้องครางในลำคอ ลิ้นหนาไล่เล็มดุนดันทุกส่วน ตั้งแต่เริ่มหยอกเย้ากับลิ้นนุ่มนิ่มของอัคนี และไล่ลามไปตามโพรงปากล่างบน ไรฟันทุกซี่แล้วผละออกเพื่อดูดลิ้นนุ่มนิ่มนั้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง สลับกับริมฝีปากล่างบนที่เริ่มบวมเจ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้













"อืมมมม..."











ภาสกรดุจดั่งชายไร้บ้านผู้หิวโหยแล้วพึ่งได้กินข้าวในรอบสามวัน เข้าดูดกลืนลิ้นของอัคนีอย่างเนิ่นนาน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าชายไร้บ้านจะพอใจได้สักที อัคนีโอบแขนไปรอบคอของภาสกร และนำเขาเดินมายังเตียงกว้าง จากนั้นอัคนีก็ล้มลงไปบนเตียงนุ่มโดยมีภาสกรตามมาประกบจูบดูดดื่มต่ออย่างเนิ่นนานไม่ขาดสาย











"อื้ออ...! "












ชายด้านล่างประท้วงในลำคอเมื่อมือสากของภาสกรเริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายและจุดอ่อนไหวต่างๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ เขาลูบไล้ไปบนผิวขาวที่แม้จะประทับไปด้วยรอยแผลเป็น แต่เนื้อสัมผัสที่ขาวนวลเนียนนั้นก็ยังคงลื่นมืออยู่ ภาสกรลูบไล้และยังคงจูบดูดดื่มอยู่เนิ่นนานเกือบครึ่งชั่วโมง จนอัคนีที่ร่างกายมีสีแดงแล่นริ้วขึ้นทั่วร่างเริ่มทนไม่ไหว จนต้องเอ่ยปากออกไป










"ภ...ภาส จะทำแค่จูบจริงๆ เหรอ"










ภาสกรที่ได้สติจากเสียงสั่นเครือที่กระซิบไม่ห่าง เขาดึงเสื้อและกางเกงของอัคนีจนหลุดออกหมด จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าของตนเองออกบ้าง แล้วเบียดกายเข้ากับชายผู้นอนหายใจรวยรินอยู่ใต้ร่างของตน












ชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้า ใบหู และลำคอแดงก่ำดั่งผื่นหนา จูบลงบนปากบางอย่างหิวโหยอีกครั้งแล้วผละออกไปดูดกลืนและไล่เลียบริเวณลำคออันหอมหวาน บริเวณที่เขาชื่นชอบมากที่สุดมาโดยตลอด แม้ว่าใจจะยังอยากไล่เล็มให้มากกว่านี้ แต่ดูท่าว่า หากยังไม่หยุดแล้วละก็ อัคนีคงได้หลอมละลายไปกับอ้อมแขนเขาอย่างแน่นอน และตอนในนี้ เขาเองก็อยากเอาใจอัคนีมากมายเหลือเกิน
  ​

   

























































































-------------------------[  END  ]----------------------------

 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:








คุณ cavalli  :L2:

ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ด้วยนะคะ : )





คุณ Ice_Iris :pig4:


ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ด้วยนะคะ : )












จบแล้วนะคะ  :mew1:


ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ

แล้วพบกันใหม่ในภาคแยกคู่ต่อไปค่ะ อิอิ




 :bye2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อุกรี๊ดดดดด~~อร๊ายยยยย >.,< ฟินเว่อร์ ลุ้นแทบตายกลัวใจให้ตายจากกัน 5555 สนุกกกกก ชอบๆ แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่รักเรานั้นเหมือนเดิม คิดถึงมากขึ้น รอเพลิงลงจากตำแหน่งโน้นละถึงจะได้อยู่ด้วยกัน ทนอีกหน่อยภาส อานะ ฮ่ะๆ //อยากอ่านคู่พี่เด้ ไอ้พี่แทน คนโฉดไม่มีหัวใจ อยากให้ลองรักใครสักคนแล้วจะรู้สึก หึหึ!! เมฆจับกดเลยดีไหม ช่างไม่รู้อะไรเล้ย  อ๊ายยยอยากอ่าน มีต่อไหมนะ จะรอ 5555 //ขอบคุณนะคะที่แต่งมาให้อ่าน กุมขมับภาคหลักมายิ้มแก้มปลิภาคนี้ ฮิลใจกันดี 5555 เอาอีกๆ รออ่านผลงานต่อไปค่ะ ไฟท์ติ้ง~

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ความรักอ่าเนาะ เอาจิงๆผนึกกำลังดีกว่าาาา

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด