ตอนที่ ๑๖
“เด็กเวรอะไรจะกวนตีนกันได้ขนาดนี้วะ”
“อาฮะ”
“อย่างน้อยก็รุ่นพี่แม้จะไม่ใช่รุ่นพี่ในคณะมัน กูไม่ได้จะข่มกันเรื่องอายุด้วย แต่แม่ง…ไม่มีความเกรงอกเกรงใจสักนิด กวนตีนจนกูนี่อยากไปซื้อโล่ทองคำแถวสำเพ็งให้เลย”
“อาฮะ”
“สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับมา บงเบอร์อู่ซ่อมรถก็ไม่ได้เพราะแม่งกวนตีนแจ้นหนีขึ้นไปเรียนซะก่อน จะตามไปแม่งก็ไม่ใช่เรื่องอีก”
“อาฮะ”
“มึงพูดเป็นอยู่คำเดียวหรือไงวะไอ้เมฆ”
คนถูกพาลใส่หยุดเดินก่อนจะหัวเราะ ขำเพื่อนหนักเสียจนต้องยกมือกุมท้องตัวงอ เลิกหัวเราะไม่ได้จริงๆ ...ในขณะที่อัยการเมื่อเห็นอาการนั้นของเมฆนาทก็ให้นึกหงุดหงิดหนักขึ้นกว่าเดิม ทว่ายังไม่ทันได้ด่าให้หยุดหัวเราะอีกฝ่ายก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“เพิ่งเคยเห็นมึงเป็นแบบนี้”
“เป็นแบบไหน?”คิ้วเข้มขมวด ส่วนเมฆนาทแม้จะหยุดหัวเราะแล้วแต่ยังมีประกายล้อเลียนอยู่ในแววตา ..พาให้อัยการใคร่อยากยกถังขยะตรงมุมนั่นทุ่มใส่เพื่อนนัก
“ไม่รู้ตัวเลยเหรอไอ้กรรณว่ามึงหลุดมาดมาก ที่สำคัญเลยนะ…เด็กนั่นคือคนที่ทำให้มึงหลุด ขนาดที่แม้แต่ตัวมึงเองยังไม่รู้ตัว”
อัยการชะงัก คิดตามก็ให้จริงดังเพื่อนว่า ปกติเขาค่อนข้างใจเย็น ติดจะขรึมนิดๆเสียด้วยซ้ำจนพาให้ใครหลายคนที่ไม่รู้จักกล่าวว่าเขานั้นขี้เก๊กเหลือแสน ไม่เคยใจร้อนหรือฉุนเฉียวมากเสียจนต้องมาระบายให้เพื่อนฟังแบบนี้มาก่อน ...ยกมือขึ้นลูบหน้าก่อนถอนหายใจออกมาหนักๆออกมาหนึ่งที
หากเมื่อลดมือลงอัยการคนเดิมจึงกลับมาประทับองค์อีกครั้ง
“กูไม่ชอบเด็กลูกลมนั่น นอกจากจะไร้ความรับผิดชอบแล้วยังไม่รู้จักโต ไม่มีเหตุผล เท่าที่จำได้กูไม่เคยทำอะไรไม่ดีกับมันเลยนะ เพิ่งได้เจอได้รู้จักด้วยซ้ำ แต่แม่ง…ทำเหมือนว่ากูเคยไปเหยียบหางมันมาก่อนอย่างนั้น”
“ก็ไม่แน่นะครับท่านอัยการ บางทีชาติก่อนมึงกับเด็กลูกลมอะไรนั่นอาจจะเคยเจอะเคยเจอกันมาก่อนก็ได้ อาจจะเคยผูกกรรมกันมาจนทำให้ชาตินี้ต้องมาเจอมามีกรรมร่วมกันอีกอะไรแบบนั้น”
อัยการไม่แคล้วหันมองแรงใส่เพื่อนทันที
“ไร้สาระ”
เมฆนาทจิ๊ปากเบาๆ ทำเสียงกวนหูเพื่อนไปอย่างนั้น ก่อนจะแสร้งไอกลบเกลื่อนเมื่อแววตาของอัยการเริ่มดุดันเอาเรื่องจนไม่กล้าคิดแหย่ต่อ เลี่ยงยกแขนกอดคอพากันเดินืพลางพูดเปลี่ยนเรื่อง
“มึงว่าเพื่อนของเด็กลูกลมคือเด็กที่เกือบถูกรถชนไปเมื่อวันก่อนหรือวะ?”
“อือ”ทีงี้ล่ะทั้งเสียงทั้งสีหน้าละมุนมาเชียวไอ้ท่านอัยการเอ๊ย!
“มึงสนใจผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่?”ถามตรงๆแบบไม่มีอ้อมไม่มีค้อม รู้จักกันมาก็นานนม เมฆนาทล่ะไม่เค๊ยไม่เคยเห็นว่าเพื่อนของเขาคนนี้จะให้ความสนใจใครมากขนาดแสดงสีหน้าอ่อนโยนเยี่ยงอย่างตอนนี้มาก่อน
ผู้หญิงไม่เคยกับผู้ชายยิ่งไม่ต้องพูดถึง
หากไม่นับ‘ไอ้น้องลูกลม’นั่นด้วยน่ะนะ
“นิดหน่อย แต่ถ้าเรียกให้ถูกต้องบอกว่ากูติดใจน้องเขามากกว่า”
เมฆนาทเบิกตากว้าง ปากร้องว้าวแอคติ้งโอเว่อร์เกินหน้าเกินตาเสียจนน่ายันติดกำแพง
“หยุดคิดสัปดนเลยนะไอ้เมฆ กูแค่รู้สึกคุ้นเคยกับน้องเขาเฉยๆ เหมือนว่า ...เคยรู้จัก ก็เลยรู้สึกติดใจเพราะกูมั่นใจเลยว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเจอน้องเขาที่ไหนมาก่อนแน่ๆ”
คราวนี้เมฆนาทเงียบ ด้วยเคยตกอยู่ในห้วงความรู้สึกเดียวกันกับเพื่อน คุ้นเคยกับบางคนทั้งที่มั่นใจว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนไม่ว่าจะคุ้ยความทรงจำหาอย่างไรก็ตาม
“แล้วสรุปโขนนี่มึงได้เล่นเป็นอะไรกันแน่วะ?”
อัยการเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อพากันเดินมาถึงโรงละครในคณะนิเทศฯ อันเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับซ้อมการแสดงครั้งใหญ่ที่จะถูกจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าซึ่งจะตรงกับอาทิตย์หลังสอบมิดเทอมภาคเรียนหนึ่งของมหาวิทยาลัยพอดี
กำหนดเวลาเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่านักแสดงหลักจะถูกเปลี่ยนตัวอย่างกะทันหันก็ตาม โชคดีนักที่ยังซ้อมร่วมไปได้ไม่เยอะ และก็เปลี่ยนตัวเพียงนักแสดงหลักเท่านั้น ฉะนั้นจึงไม่ได้ส่งผลกระทบไปถึงพวกนักแสดงรองไปยันนักแสดงบทเสริมต่างๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรความกดดันอย่างหนักในการซ้อมนั้น ได้ถูกทุ่มไปยังนักแสดงหลักซึ่งถูกสลับบทบาททั้งหมด
ไม่แตกต่างไปจากดาบสองคม
จะอยู่หรือรอดก็ขึ้นอยู่กับนักแสดงชุดนี้นี่ล่ะ
ไม่ใช่ความท้าทาย ไม่แม้จะเทียบเคียงสักนิด หากเป็นความเห็นแก่ได้เห็นแก่ประโยชน์ของพวกผู้ใหญ่ล้วนๆ แต่ผู้รับเคราะห์กลับเป็นเด็กนักศึกษาเสียอย่างนั้น
เมฆนาทถอนหายใจก่อนหันไปเอ่ยตอบเพื่อนหลังจากปิดล็อคล็อคเกอร์ส่วนตัวที่มีชื่อเขาแปะอยู่เรียบร้อย ซึ่งใช้ไว้สำหรับเก็บของ
“ทศกัณฐ์”
“เหมือนจะสมใจ?”อัยการจำได้คับคล้ายคับคลาว่าในตอนแรกเพื่อนของเขาถูกวางตัวไว้ในบทของพระราม กลับมาบ่นขรมให้เขาฟังยกใหญ่ว่าไม่ชอบ เป็นฝ่ายคนดีไม่เห็นว่าจะสนุกตรงไหน
บทพระเอกเมฆนาทไม่อยากได้ทั้งที่คนอื่นล้วนจ้องกันตาเป็นมัน ที่ไม่อยากได้เหตุเพราะเจ้ามักเข้าถึงบทได้ยาก อัยการนึกๆดูจากการแสดงละครเวทีหรือพวกโปรเจคยิบย่อยที่ได้รับจากอาจารย์ประจำวิชามาเพื่อกับแลกคะแนนสอบแล้ว หากต้องแสดงเมฆนาทจะเลือกบทตัวร้ายทุกครั้ง ทั้งยังแสดงได้ดีเสียจนพาให้เขาที่นั่งดูเป็นเพื่อนมันหลังจากถ่ายทำรวมถึงตัดต่อเสร็จสิ้นกระบวน นึกหมั่นขี้หน้าเพื่อนไปหลายนาทีเลยทีเดียว
เพราะถ้าให้ร้ายมันก็ร้ายได้ถึงแก่นจนน่ากระทืบ
มาครานี้งานแสดงใหญ่ อีกทั้งยังเป็นการแสดงที่ต้องใช้ทักษะที่ไม่ใช่ใครจะฝึกแล้วเป็นกันได้ง่ายๆ อย่าง‘การแสดงโขน’นี้ เพราะว่าการแสดงประเภทนี้นั้นไม่เหมือนกับการแสดงละครเวทีหรือเล่นเอ็มวีเหมือนอย่างที่ผ่านๆมา อารมณ์ที่จะต้องดึงออกมาในการแสดงยิ่งทวีความยากเข้าไปอีกเรียกได้ว่าเป็นเท่าตัวก็ว่าได้ หรืออาจจะสองสามเท่าตัวด้วยซ้ำ
จะช่วยเสริมหรือช่วยดร็อปก็ขึ้นอยู่กับว่าบทที่ได้รับจะตรงตามความถนัดของนักแสดงแค่ไหน
ทศกัณฐ์งั้นหรือ?
อัยการหันไปมองเพื่อนที่แอบเห็นมันยกมุมปากยิ้มแวบๆ หากเพียงไม่กี่วินาทีภาพก็ตัดเปลี่ยนเป็นใบหน้าเซ็งๆติดไปทางเหนื่อยหน่าย
“ที่กูอยากได้และจะสมใจกูที่สุดคือบทว่าง แบบว่างไปเลยไม่ต้องให้กูเล่น ขี้เกียจชิบหายนี่ยังไม่ทันพ้นเดือนแรกของภาคเรียนไปเลยนะมึง อาจารย์โยนโปรเจคห่ามาให้อีกละ ไหนจะต้องมาซ้อมรำเพิ่มอีก”
กลอกตาพลางถอดเสื้อเชิ้ตนักศึกษาออกแล้วเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดสีขาวแทน รวมถึงกางเกงสแลคที่ถูกผลัดเปลี่ยนเป็นโจงกระเบนสีแดงแบบยางยืดประยุกต์ นั่นคือสามารถสวมใส่ได้เลยเหมือนกางเกงตัวหนึ่งโดยไม่ต้องมานั่งจูงนั่งจับแบบโจงกระเบนฉบับดั้งเดิม
เปลี่ยนมันตรงนั้นในห้องล็อคเกอร์ต่อหน้าเพื่อนนั่นล่ะ รู้เช่นเห็นชาติกันมาแต่ไหนแต่ไร หมดไปนานแล้วซึ่งยางอาย
อัยการหัวเราะ ไอ้บ่นน่ะบ่นจริงนั่นล่ะ แต่คงไม่ได้จริงจังอะไรนักหรอก
“เออ พูดถึงเรื่องซ้อมแล้ววันนี้กูอาจกลับมืด มึงจะเอากุญแจรถไปเลยหรือเปล่ากูจะได้หยิบให้”ที่ต้องหยิบให้เพราะตอนนี้สองเพื่อนซี้เปลี่ยนมือมาใช้รถของเมฆนาทแทน ส่วนน้องลี่ย์ลูกรักของอัยการนั้นส่งเข้าอู่ไปแล้วเมื่อวันก่อน
แต่คนขับก็ยังคงเป็นอัยการอยู่ดี
“ไม่ต้องเลยไอ้เมฆ จะกลับมืดมึงก็เอารถไปขับกลับเองเลย กูไม่ถ่อวนกลับมารับมึงที่มหาลัยหรอกนะ”
เพราะอยู่หอเดียวกันเพียงแต่คนละห้องเท่านั้น หวงความเป็นส่วนตัวกันทั้งคู่ต่อให้จะสนิทกันขนาดไหนก็เถอะ จะไปจะมาหากเวลาเริ่มเวลาเลิกเรียนตรงกันก็ตูดแทบติดเหมือนมีอะไรดูดให้ต้องไปด้วยกันตลอด ตอนนี้ก็เหมือนกันหากเขาไม่มีเรียนต่อหลังจากนี้คงได้ถูกกักกันให้อยู่ดูมันซ้อมโดยไอ้เพื่อนไร้ความเกรงใจอีกเช่นเคย
“มึงขับกลับไปนั่นแหละดีแล้ว กูขี้เกียจ เดี๋ยวนั่งแท็กซี่กลับหอก็ได้”พูดพลางโยนกุญแจรถให้เพื่อน อัยการทำหน้าหน่ายทันที
“อะไรมึงจะขี้เกียจขนาดนั้นวะ”
อัยการหัวเราะยกมือปัดๆอากาศ “เออหน่า กูสบายใจของกูแบบนี้”
“โง่จะเสียค่าแท็กซี่ทั้งที่มีรถให้ขับ เรียกสบายใจไม่ถูก ต้องเรียกว่าควาย แต่จะเปรียบไปก็สงสารควายอีก”
โดนมาหนึ่งดอกเล่นเอาจุกกับคำว่าควายแบบเน้นๆ แต่สุดท้าย...
“งั้นเอางี้ เดี๋ยวกูมารับ จะเลิกซ้อมตอนไหนก็โทรมาบอกกูก่อนเลิกสักชั่วโมงแล้วกัน”
ตัดความรำคาญใจ เมฆนาทไร้ความเกรงใจแต่อัยการไม่ใช่ เขาคงไม่กลับหอแต่จะแวะไปเดินห้างเล่นฆ่าเวลา ซื้อหนังสือเสริมกฎหมายเพิ่มสักเล่มสองเล่ม เช็คโปรแกรมหนังเมื่อวันก่อน ยังดีที่มีหนังภาคต่อซึ่งเขาตามอยู่เข้าโรงพอดี หนังจบคงใกล้ๆกับเวลาเลิกซ้อม ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวและ‘ควาย’อีกหนึ่งตัว
เมฆนาทมองตามหลังเพื่อนก่อนแผ่นหลังกว้างจะหายไปหลังประตูปิด อดจุดยิ้ม‘สมใจ’ขึ้นมาไม่ได้
เดินผิวปากอารมณ์ดีออกจากห้องล็อคเกอร์ที่อยู่หลังเวทีแสดง เดินเลาะอีกหน่อยก็มาถึงทางเชื่อมสู่หน้าเวทีซึ่งมีนักศึกษาต่างชั้นปีคนอื่นๆกำลังซ้อมอยู่
“อ้าว เมฆ!”ธานินที่เห็นเมฆนาทเป็นคนแรกยกมือขึ้นโบกเรียก ยิ้มตาใสดูมีชีวิตชีวา…แบบสุดขีดไปหน่อย
หากเมฆนาทไม่สนใจเดินเลี้ยวไปอีกทางเพื่อหา
อาจารย์พงษ์ศักดาซึ่งเป็นหัวหน้าประจำภาควิชาศิลปะการแสดงผู้ฝึกสอนนาฏศิลป์โขนอันเป็นภาควิชาภาคบังคับที่นักศึกษาทุกคนของคณะนิเทศศาสตร์ต้องผ่านการลงเรียนวิชานี้ในชั้นปีที่ ๒
และนอกจากอาจารย์พงษ์ศักดาแล้วยังมีอาจารย์ประจำภาคอีกประมาณ ๓ – ๔ ท่าน กระจัดกระจายกันไปฝึกซ้อมให้กับนักศึกษาตามบทบาทที่ได้รับอันแตกต่างกันไป
ซึ่งจะแบ่งได้ ๔ จำพวกตามนี้ คือ ตัวพระ ตัวนาง ตัวยักษ์ และตัวลิง
เมฆนาทเองเพิ่งเริ่มเรียนวิชานี้ได้แค่สองสัปดาห์ ทั้งยังไม่ทันได้ลงรายละเอียดมากสักเท่าไร ในขณะที่นักแสดงหลักคนอื่นๆล้วนเคยผ่านภาควิชานี้มาแล้วด้วยกันแทบทั้งสิ้นเนื่องจากบ้างอยู่ปี ๓ บ้างก็อยู่ปี ๔ กันแล้ว งานแสดงโขนครานี้จึงเปรียบเสมือนให้นักศึกษาได้นำวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาตลอดหนึ่งเทอมต่อยอดทักษะการแสดง ส่วนนักศึกษาชั้นปี ๒ เพียงหนึ่งเดียวที่ถูกรับเลือกให้ได้รับบทหลักทั้งยังเป็นบทหนักอย่างเมฆนาทนั้น จึงต้องถูกติวสูตรเข้มข้นจากอาจารย์พงษ์ศักดาผู้เป็นอาจารย์หัวหน้าภาคเป็นพิเศษ
บท‘ทศกัณฐ์’นับว่ามีความพิเศษตรงที่หัดยากมากกว่าตัวละครอื่นๆเกือบเท่าตัว ซึ่งคนแสดงนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับตัวพระ คือ มีใบหน้ารูปไข่ คมคาย ผึ่งผาย ในที่นี้รวมถึงกิริยาการเยื้องย่างเวลาออกท่ารำจะต้องสง่างามห้ามบิดงอโค้งตัวหมดเรี่ยวแรงเด็ดขาด
และผู้รับบทเป็นทศกัณฐ์นั้นจำต้องมีความแข็งแรงตรงบริเวณช่วงขาเป็นอย่างมาก เนื่องจากในการแสดงจะต้องย่อเหลี่ยมรับการขึ้นลอยของตัวพระและตัวลิงให้ได้ อีกทั้งทศกัณฐ์ยังเป็นตัวละครที่มีลีลาท้วงท่าค่อนข้างเยอะ อาทิ ยามเกรี้ยวโกรธจะกระทืบเท้าตึงตังเสียงดังโครมคราม(ที่ต้องกระทืบจริงทำเสียงให้สนั่นหวั่นไหวจริงๆไร้ซึ่งแสตนอินใด) หรือแม้ยามสบายใจก็จะต้องนั่งกระดิกแขนกระดิกขา เต๊ะท่าให้ดูน่าหมั่นไส้จึงสมบท
มีพรสวรรค์อย่างเดียวไม่ได้ จำต้องมีพรแสวงในการฝึกฝนลับคมฝีมือการแสดงอีกด้วย
โชคดียิ่งนักที่เมฆนาทมีทักษะการแสดงโขนติดตัวมาตั้งแต่เด็กเนื่องจากถูกผู้เป็นตาจับเรียนราวกับรู้ล่วงหน้าว่าหลานชายจะมีโอกาสได้แสดงโขนกับใครเขาในอนาคต ครานี้สำหรับเมฆนาทแล้วจึงไม่นับว่าเป็นการเริ่มต้นจากศูนย์เลยเสียทีเดียว
“สวัสดีครับอาจารย์”ยกมือไหว้ นอบน้อมด้วยเคารพนับถือ
“พร้อมซ้อมไหมเมฆนาท?”อาจารย์พงษ์ศักดาเอ่ยถามลูกศิษย์ด้วยความเห็นใจ วันก่อนยังได้รับบทพระอยู่แท้ๆ นี่ต้องเปลี่ยนมารับบทยักษ์ อารมณ์รู้สึกนั้นแทบคนละขั้วกันเลยก็ว่าได้
“ไม่พร้อมได้ไหมครับอาจารย์”
อาจารย์พงษ์ศักดาหัวเราะจนหนวดสั้นมือตบไหล่กว้างของลูกศิษย์ปุๆ
“เอาหน่า ครูสังเกตตั้งแต่ตอนได้เห็นเธอซ้อมวันแรกๆแล้ว เธอมีแววนะเมฆนาท สีหน้าท่าทางใช้ได้ แค่ต้องเกลาเพิ่มอีกสักหน่อย”
‘หน่อย’ของอาจารย์คงจะคนละหน่วยวัดกันกับ‘หน่อย’ของลูกศิษย์กระมัง
“งั้นมาเริ่มกันเลยแล้วกัน จะได้ไม่เสียเวลา”
“ครับ”
ตลอดระยะเวลาของการฝึกซ้อมเมฆนาทไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตน... กำลังตกอยู่ในสายตาหมายมาดร้ายของ‘ใครบางคน’
ลักษมัณเกร็งมาก เกร็งขนาดที่ว่ารู้สึกเหมือนก้นกำลังจะเป็นตะคริวในอีกไม่ช้านาน และก็ดูเหมือนว่าทุกปฏิกิริยาของเขาจะตกอยู่ในสายตาของใครอีกคนตลอด
“ไม่ถูกปากหรือ?”
หม่อมเจ้าจักรกฤษณ์ทรงวางช้อนส้อมแล้วตรัสถามไถ่ แม้สีพักตร์จะแสดงถึงความเป็นห่วง หากโอษฐ์นั้นกลับอมยิ้มขำเมื่อเห็นคนถูกทักที่เอาแต่นั่งเขี่ยข้าวไปเขี่ยข้าวมาในจานของตัวเอง แต่ไม่ยอมตักกับกินคู่กันกับข้าวเสียทีสะดุ้งโหยง ตัวหรือก็นั่งเกร็งเสียจนดูแข็งเก้กังไปหมด
“หามิได้ครับ เอ่อ ..จะมะค่ะ?”
หากครานี้ไม่เพียงแต่อมยิ้มเท่านั้น ท่านชายรามกลับทรงหลุดสรวลออกมาเลยจนพาให้คนเกร็งด้วยทำอะไรไม่ถูก ตกใจหน้าตาเลิ่กลั่กเข้าไปใหญ่ ลักษมัณมองพระพักตร์อ่อนโยนซึ่งฉาบฉายไปด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล พลันให้รู้สึกเก้อเขินขึ้นมาอย่างไรไม่ทราบ ร้อนหน้าร้อนตัวจนต้องก้มลงมองจานข้าวและลายผ้าลูกไม้ปูโต๊ะแทน หลบสายพระเนตรที่ทอดมองมาอย่างพราวระยับคู่นั้นเสีย
“ทำตัวตามสบายเถอะ พี่ไม่ได้เคร่งราชาศัพท์อะไรขนาดนั้น”ท่านชายตรัสด้วยสุรเสียงเจือหัวเราะน้อยๆ
“ค ครับ”
หากจะให้ย้อนความ คงต้องย้อนไปก่อนหน้านี้สักชั่วโมงเห็นจะได้
หลังจากเรียนเสร็จ ด้วยมีเรียนเพียงคาบเดียว ลักษมัณจึงคิดว่าจะกลับบ้านไปนอนพักสักงีบด้วยรู้สึกง่วงหง่าวอย่างไรชอบกล ไม่รู้ว่าเพราะแอร์ในห้องเรียนนั้นเย็นสบายเกินไป หรือเพราะว่าช่วงนี้เขานอนไม่สนิทติดต่อกันหลายคืนเกินจนส่งผลต่อร่างกายในที่สุดกันแน่
ทว่าแผนการนั้นเป็นอันต้องพับเก็บเมื่อลงมาจากตึกเรียนพร้อมกับสิตา ดันได้พบได้เจอกับผู้สูงศักดิ์อันมีสถานะเป็นพระญาติผู้พี่ของคุณชายเพื่อนสนิทเข้าเสียก่อน อีกฝ่ายคล้ายว่ารอมาได้สักพักแล้ว ยกมือขึ้นไหว้ยังไม่ได้ทันเอ่ยทักทาย องค์กลับเป็นฝ่ายตรัสถามคำถามที่พาให้ลักษมัณงวยงงขึ้นมาก่อน
“คิดไว้หรือยังครับ ว่าจะทานอะไรกัน?” หากไม่เพราะท่านชายรามทรงทอดพระเนตรตรงมายังเขา ลักษมัณคงไม่เลิ่กลั่กจนต้องหันไปส่งสายตาไถ่ถามเพื่อนตัวเล็กที่ยืนยิ้มหวานอยู่เคียงข้าง
คุณชายสิตารีบยกมือขึ้นคล้องเข้าที่แขนเพื่อนรักหมับ ...กะไม่ให้หลุดทันที
“เราว่าจะบอกรักตั้งแต่ก่อนเรียนแล้ว แต่ดันลืมเอาเสียนี้ คือว่าพี่รามจะเลี้ยงข้าวเราสองคน แล้วรักก็ห้ามปฏิเสธด้วย ไม่งั้นนะเสียเครดิตเราแย่เลย”ดวงตากลมเป็นประกาย สองแก้มนวลขับสีแดงจางๆเมื่อพูดถึง‘พี่ราม’
“แต่..” ลักษมัณอึกอัก ยิ่งเห็นพระพักตร์อ่อนโยนของท่านชายรามที่นิ่งฟังหาได้ตรัสแทรก…กระทั่งออร่าก็ยังเปล่งประกายกระแทกตาเสียจนพาให้กลายเป็นเป้าส่องเป้ามองของเหล่านักศึกษาที่เพิ่งเรียนเสร็จบ้างหรือมีเรียนต่อบ้างโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ยิ่งยากหาคำมาปฏิเสธ โดยเฉพาะเมื่อหันกลับมามองคุณชายที่ยังคงกอดแขนสีหน้าอ้อน ให้ยิ่งจนคำพูดไปกันใหญ่
“นะรัก” สุดท้ายลักษมัณก็ได้แต่ถอนหายใจ ...เคยขัดใจเพื่อนคนนี้เสียที่ไหน ใจอ่อนยวบตลอด
“เห็นน้องสิตาบอกว่ารักชอบทานมัสมั่นไก่ใช่ไหม?”ทอดเนตรมองเพื่อนสนิทของน้องชายด้วยทรงเอ็นดู พลางเอื้อมหยิบจับช้อนกลางในถ้วยกับก่อนจะตักน่องไก่ในแกงมัสมั่นขึ้นวางลงบนจานข้าวของเด็กหนุ่ม ระหว่างตักไม่มีแม้แต่เสียงช้อนกระทบจานให้ดังระคายหูเลยแม้สักน้อย ในขณะที่คนมือหนักอย่างลักษมัณนั้นหนอ...
“ขะ ขอบคุณครับ”
กึก
เก๊ง
ไม่ว่าจะตอนตักหรือตอนวางช้อนก็ตาม บอกตามตรงเลยว่าลักษมัณเกร็งที่สุดแล้วจริงๆ เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยร่วมโต๊ะทานข้าวกับเชื้อพระวงศ์มาก่อนแม้สักกะครา บางทีหากมีสิตาอยู่ด้วยเขาอาจจะไม่รู้สึกเกร็งเท่านี้
สิตาจ๋า ทำไมไปห้องน้ำนานนักนะ “เห็นแล้วก็พาให้นึกถึงกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานขึ้นมาได้บทหนึ่ง”ท่านชายรามทรงแย้มสรวลออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูจะใคร่รู้ขึ้นมาของคนเด็กกว่า ความเกร็งเก้กังที่ทรงสังเกตุก็คล้ายจะอันตรธานไป
ลักษมัณชอบทานมัสมั่น ท่านชายเองก็ทรงโปรดปรานด้วยเช่นกัน
ปกติแล้วในช่วงเวลาเสวยนั้น ท่านชายจะไม่ทรงตรัสไปทานไป หนึ่งคือมารยาทที่พึงควรกระทำบนโต๊ะอาหาร สองเป็นคำสอนสั่งมาตั้งแต่เมื่อครั้งองค์ยังทรงเยาว์ชันษาจากในรั้ววัง แต่เพราะทรงไม่อยากทอดเนตรเห็นคนอ่อนวัยกว่านั่งเกร็งแข็งคล้ายไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เช่นนั้นแม้กับข้าวกับปลาในภัตตาคารอาหารไทยชื่อดังแห่งนี้จะรสอร่อยถูกปากสักแค่ไหน อีกฝ่ายคงไม่เป็นอันลิ้มรส เพียงแค่ตักเข้าปากให้อิ่มไปเท่านั้น
คงน่าเสียดาย เพราะท่านชายทรงตั้งพระทัยเลือกสรรค์ร้านมาก
“
มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้.... ใฝ่ฝันหา”
“กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ในพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่สองสินะครับ”คลายอาการตื่นเกร็งในทันใด ดวงตาเป็นประกายด้วยจำได้ แต่ท่านชายทรงจำได้แม่นกว่า ในขณะที่ลักษมัณเพียงคับคล้ายเท่านั้น แต่ท่านชายรามทรงมาเป็นกลอนเป็นยวงเชียว
ท่านชายรามพยักพักตร์ ก่อนปลายดัชนีจะแตะลงบนขอบจานแบนผิวแปลกเพราะไม่ใช่จานกระเบื้องสีขาวอย่างจานอื่นๆ ผิวของจานคล้ายกับผิวครกที่มีอาหารอีกหนึ่งชนิดจัดวางอยู่เป็นชิ้น รูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เครื่องที่ถูกผัดจนแห้งถูกห่ออยู่ในแพไข่ ทั้งหมด ๔ ชิ้น ๔ แพด้วยกัน ทางร้านจัดจานสวยงามเสียจนลักษมัณแทบไม่กล้าตักมากินให้เสียองค์ประกอบ
ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็นี่น่าจะเป็นอาหารไทยโบราณที่ชื่อว่า....
“
ล่าเตียงกุ้ง ความจริงแล้วของร้านนี้จะมีทั้งกุ้งและหมูผัดผสมกัน แต่น้องสิตาชอบทานกุ้งมากกว่า พี่เลยให้เชฟใส่แต่กุ้ง รักทานได้ไหม? หรือจะสั่งเพิ่มก็ได้นะครับ เผื่ออยากลองชิมรส”
“ไม่เป็นไรครับท่านชาย ผมทานได้หมดครับ ไม่เป็นปัญหาเลยเพราะกระเพาะผมอึดมาก”กลัวท่านชายไม่เชื่อเลยยกนิ้วโป้งประกอบคำ
หมดแล้วซึ่งความเกร็งในแรกเริ่ม
“เรียกพี่ว่า‘พี่ราม’เหมือนที่น้องสิตาเรียกเถอะ เพื่อนของน้องชาย ก็เหมือนน้องชายของพี่อีกคน”ล่าเตียงกุ้งถูกตักใส่จานลักษมัณเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่าง ในขณะที่มัสมั่นยังไม่ทันได้จัดการ หากมองกลับไปยังจานของท่านชายนั้น ข้าวยังคงข้าวจั๊วะอยู่เพราะว่ามีแต่ข้าวสวยร้อนๆ หาได้มีกับอื่นใดผสมผสานเหมือนอย่างจานของลักษมัณนี้
เอื้อมขยับตักมัสมั่นให้โดยไม่ทันคิด
“อย่างนั้นพี่รามก็ต้องทานเยอะๆด้วยนะครับ แบ่งแต่ความอ้วนมาให้ผมแต่จานตัวเองกลับว่างเปล่าซะอย่างงั้น”ยิ้มกว้างก่อนชะงักทั้งมือทั้งยิ้ม เมื่อเห็นสายพระเนตรอ่อนโยนที่ทรงพิศมองตรงมา
รีบชักมือชักช้อนกลับมาวางบนจานตัวเองในทันใด ตายล่ะหว่า เผลอตัวไป นึกอยากตีปากตัวเองนัก อาการเกร็งพลันกลับมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แล้วเผลอพูดจาเล่นหางเล่นเศียรแบบนั้นไปได้ยังไงวะไอ้รัก!
“เอ่อ ผม...”
“ครับ พี่จะทานเยอะๆ” ฉับพลัน สมองของลักษมัณคล้ายกับมีไฟฟ้าแล่นแปลบปลาบเสียจนพาให้ปวดจี๊ดขึ้นมาเอาดื้อๆ เพียงแค่สบประสานเข้ากับพระเนตรสีราตรีกาลคู่นั้นของท่านชาย ความคุ้นเคยแล่นริ้วไปทุกอณูความรู้สึก เหตุการณ์เช่นนี้คับคล้ายว่าเคยผ่านมาแล้ว
เขานั่งตรงนี้ แต่อีกฝ่ายหาได้นั่งตรงกันข้ามเฉกเช่นครานี้
ไหล่เคียงกัน กายชิดใกล้ “น้องลักษมณ์หากไม่มีเจ้า พี่จักทำเช่นไรเล่า?”
“หากไม่มีน้อง เสด็จพี่รามก็จักยิ่งต้องเสวยให้มากเข้าสิพ่ะย่ะค่ะ จักได้ทรงมีพละกำลังตามหาน้องอย่างไร”
“เพียงเจ้าไม่เข้าไปในพนาไพร ไม่ไปให้ไกลจากสายตาพี่ เท่านั้นเห็นจักเพียงพอแล้ว” วรกายสูงลุกขึ้นเอื้อมพระหัตถ์ทาบลงบนเนื้อแก้มของลักษมัณ พิศนัยน์ตาเหม่อลอยของคนเด็กกว่าพลางแย้มสรวลอ่อนโยนเหลือคณานับ พระเนตรดำสนิทลุ่มลึกยากจะพรรณนาซึ่งความนัยแฝงเร้น
ลักษมัณขยับใบหน้าหลบพระหัตถ์ของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับยกมือขึ้นกุมศีรษะ ดวงตาสับสน ความรู้สึกปนเปไม่อาจแยกแยะ
ราวกับว่าเห็นภาพซ้อนทับเขากับท่านชายกระนั้น…
‘ภาพ’ของคนสองคนที่เขาแสนมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักมาก่อน
“น้องลักษมณ์…”
“ขอโทษนะครับที่หายไปเสียนานเลย” ลักษมัณหลุดออกจากภวังค์ชวนสับสนแทบทันทีเมื่อยินเสียงอันคุ้นเคย ส่วนคุณชายสิตานั้นชะงักงันไป ดวงตากลมผินมองทางซ้ายที ทางขวาที เพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้นก่อนใบหน้าติดหวานจะระบายยิ้มร่าเริงที่ดูฝืดฝืนกว่าปกติออกมา คุณชายสิตาทิ้งกายลงนั่งระหว่างท่านชายรามและลักษมัณด้วยเป็นโต๊ะทรงกลมที่ไม่ใหญ่มากนักเพราะมีกันแค่สามคน
“พอดีท่านพ่อโทรมาน่ะครับ เลยแวะนั่งคุยกับท่านก่อนเข้ามา”ยิ้มบอกกล่าวกับเจ้ามือที่ไม่ได้มีสีพักตร์ผิดจากปกติแต่อย่างใด ก่อนทำตาโตมองอาหารบนโต๊ะ“อะ น่ากินจังครับ สิตาหิวมากกกกก”ลากเสียงยาวบอกให้ทุกคนรู้ว่าหิวมากจริงๆ
คุณชายสิตาก้มหน้าตักล่าเตียงกุ้งของโปรดที่มีอยู่เพียงสองชิ้นในจาน ตาไม่รักดีดันเผลอไปมองอีกสองชิ้นซึ่งวางบนจานข้าวของผู้เป็นพระญาติผู้พี่กับเพื่อนสนิทคนละชิ้น รวมถึงแกงมัสมั่นอยู่เคียงล่าเตียงกุ้งอีกหนึ่งอย่าง กับข้าวจานโปรดของพี่ราม และก็เป็นของชอบของลักษมัณด้วยเช่นกัน
จานสองจานราวกับฝาแฝดก็ไม่ปาน
เลื่อนสายตามองวงพักตร์อ่อนโยน ก็ให้เห็นสายพระเนตรนั้นจับวางไว้ที่คนฝั่งตรงข้ามโต๊ะ จ้องมองรักอยู่อย่างนั้นไม่วางเนตร ทั้งที่เพื่อนตัวโย่งของเขาเอาแต่ก้มหน้า นานนับหลายนาทีถึงได้ยอมละสายตาหันกลับมามองกัน
“ทานกันเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดหมดอร่อยกันพอดี”
นัยน์เนตรที่คล้ายจะเคลือบแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง เป็นประกาย โชติช่วงยิ่งกว่าคราไหนที่ได้พิศมองสบ
มือน้อยยกขึ้นกุมอกข้างซ้าย ไม่รู้เหตุใดจึงได้เจ็บปลาบขึ้นมา
ทั้งที่ไม่มีอะไร มันไม่มีอะไร แต่... คุณชายสิตาเพิ่งเคยเห็นท่านชายรามทอดมองใครด้วยสายพระเนตรแบบนี้เป็นครั้งแรก
แม้กระทั่งตัวคุณชายเองก็ตาม พี่รามไม่เคยมีสายเนตรเช่นนี้ให้แก่เขาเลยแม้สักครั้ง
---------
โปรดติดตามตอนต่อไป
---------
// หอมหัวคุณชายตัวน้อยของแม่